42 templates พรอ้ มใช้ ไมพ่ อใจดาวนโ์ หลดเพมิ่ ได้
43 ดาวน์โหลดฟรีๆ งา่ ยๆ ไม่ตอ้ งสมัครสมาชิกกอ่ น Background พรอ้ ม นอกจากนนั้ ยงั มี Photo, Mask, Frame, Clipart, ที่สาคัญสามารถนาภาพของเรามาใช้ได้ Shape ให้เลอื กใช้ อย่างงา่ ยๆ
44 - เปลี่ยนภาพ, พืน้ หลัง, ตัวหนงั สอื หรอื สว่ นประกอบอืน่ ๆ ทม่ี ากบั Template ไดง้ า่ ย แค่ดบั เบลิ คลกิ - นอกจากน้นั ยงั สามารถสร้างการ์ดปใี หม่ การด์ อวยพร การด์ วันเกดิ เทศกาลสาคัญต่างๆได้ - สรา้ ง wallpaper ให้กับ desktop ได้ - หรอื ประยุกตส์ ร้างท่คี ่นั หนงั สือจนถึงโปสเตอร์ก็ได้
45 หมวดท่ี 2 สรา้ งเสรมิ สมรรถนะและการเรยี นรู้ กจิ กรรม 7 พฒั นาความสามารถดา้ นการใชเ้ ทคโนโลยี กิจกรรมที่ 2.8 1. ชอื่ กจิ กรรม การจดั ทาแฟม้ สะสมผลงานในรปู e-Portfolio 2. เวลาทใ่ี ช้ 4 ชว่ั โมง 3. วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพอื่ ให้นักเรียนพฒั นาทกั ษะคอมพวิ เตอร์ 2. เพอ่ื เปน็ ทีร่ วบรวมผลงานของนกั เรยี น 3. เพอื่ ใหไ้ ด้รูปแบบรายงานผลงานของนักเรียน 4. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. ใหน้ ักเรยี นจัดทาแฟ้มสะสมผลงานในรูปแบบ e-Portfolio 5. สอื่ การเรยี นรแู้ ละแหลง่ การเรยี นรู้ 1. คอมพิวเตอร์ 2. โปรแกรมท่ีจัดทาหนังสืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ 6. การวดั และการประเมนิ ผล 6.1 สังเกตพฤตกิ รรมนกั เรียนในเร่อื งต่อไปนี้ 6.1.1 สังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นขณะปฏบิ ตั กิ ิจกรรม 6.1.2 สังเกตผลงานความสาเร็จ ของกิจกรรม 6.2 แบบประเมนิ ความพงึ พอใจต่อกิจกรรม 6.3 สอบถามความพงึ พอใจตอ่ การเข้ารว่ มกจิ กรรมของนักเรยี น นอ้ ยทส่ี ดุ นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทสี่ ดุ
46 แบบประเมนิ ช่ือ/นามสกุล............................................................... การจดั ทาแฟม้ สะสมผลงานในรปู e-Portfolio ระดับช้ัน....................รุน่ ..............เลขท่ี..................... ประเดน็ ความคดิ เหน็ ระดบั ความพงึ พอใจ / ความรคู้ วามเขา้ ใจ / การนาความรไู้ ปใช้ ดา้ นความรคู้ วามเขา้ ใจ 1. ความรู้ ความเข้าใจในเร่อื งน้กี ่อนการจดั ทาแฟ้ม มาก มาก ปาน นอ้ ย นอ้ ย สะสมผลงานในรปู แบบ e-Portfolio ทสี่ ดุ 4 กลาง 2 ทสี่ ดุ 2. ความรู้ ความเข้าใจในเรื่องนี้หลังการจดั ทาแฟ้ม 531 สะสมผลงานในรูปแบบ e-Portfolio 3. สามารถบอกประโยชน์การทาแฟ้มสะสมผลงานใน รูปแบบ e-Portfolio ได้ 4. สามารถบอกข้อดีการทาแฟ้มสะสมผลงานใน รูปแบบ e-Portfolio ได้ 5. สามารถอธบิ ายรายละเอยี ดสว่ นประกอบของ e-Portfolio ได้ 6. สามารถจดั ระบบความคิด/ประมวลความคิดสู่การ พฒั นางานอยา่ งเป็นระบบ ดา้ นการนาความรไู้ ปใช้ 1. สามารถนาความรทู้ ีไ่ ดร้ ับไปประยกุ ต์ใชใ้ นการ ทางานได้ 2. สามารถนาความรู้ไปเผยแพร่ / ถ่ายทอดแก่ผู้อืน่ ได้ 3. สามารถให้คาปรึกษาแกเ่ พอื่ นในการจัดทา e-Portfolio ได้ 4. มีความมน่ั ใจและสามารถนาความรู้ทไ่ี ดร้ ับไปใช้ได้ ความพงึ พอใจตอ่ การเขา้ รว่ มกจิ กรรม นอ้ ยทสี่ ดุ นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทสี่ ดุ
47 หมวดท่ี 2 สรา้ งเสรมิ สมรรถนะและการเรยี นรู้ กจิ กรรม 7 พฒั นาความสามารถดา้ นการใชเ้ ทคโนโลยี กิจกรรมท่ี 2.9 1. ชอื่ กจิ กรรม การจดั ทาแฟม้ สะสมผลงานดว้ ยโปรแกรม Microsoft Word 2. เวลาทใ่ี ช้ 4 ชั่วโมง 3. วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพอ่ื ให้นักเรียนพัฒนาทกั ษะคอมพวิ เตอร์ 2. เพอื่ เปน็ ทีร่ วบรวมผลงานของนกั เรียน 3. เพื่อใหไ้ ดร้ ูปแบบรายงานผลงานของนกั เรยี น 4. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. ให้นกั เรยี นจดั ทาแฟม้ สะสมดว้ ยโปรแกรม Microsoft Word 5. สอื่ การเรยี นรแู้ ละแหลง่ การเรยี นรู้ 1. คอมพวิ เตอร์ 2. โปรแกรม Microsoft Word 6. การวดั และการประเมนิ ผล 6.1 สังเกตพฤติกรรมนักเรยี นในเร่อื งตอ่ ไปนี้ 6.1.1 สังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนขณะปฏบิ ัติกิจกรรม 6.1.2 สงั เกตผลงานความสาเร็จ ของกจิ กรรม 6.2 แบบประเมนิ ความพงึ พอใจต่อกจิ กรรม 6.3 สอบถามความพงึ พอใจต่อการเข้าร่วมกจิ กรรมของนักเรยี น 6.4 สอบถามความพงึ พอใจต่อการเข้าร่วมกจิ กรรมของนักเรยี น นอ้ ยทส่ี ดุ นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทส่ี ดุ
48 แบบประเมนิ ชอ่ื /นามสกลุ ............................................................... การจดั ทาแฟม้ สะสมผลงานในรปู Microsoft Word ระดับชนั้ ....................ร่นุ ..............เลขที.่ .................... ประเดน็ ความคดิ เหน็ ระดบั ความพงึ พอใจ / ความรคู้ วามเขา้ ใจ / การนาความรไู้ ปใช้ ดา้ นความรคู้ วามเขา้ ใจ 1. ความรู้ ความเข้าใจในการใช้โปรแกรม Microsoft มาก มาก ปาน นอ้ ย นอ้ ย Word ทส่ี ดุ 4 กลาง 2 ทสี่ ดุ 2. ความรู้ ความเข้าใจในการประยุกตใ์ ชโ้ ปรแกรม 531 Microsoft Word ในการจดั ทาแฟม้ สะสมงาน 3. สามารถบอกประโยชน์การทาแฟ้มสะสมผลงานโดย ใชโ้ ปรแกรม Microsoft Word 4. สามารถบอกข้อดีการทาแฟม้ สะสมผลงาน โดยการ ใชโ้ ปรแกรม Microsoft Word 5. สามารถอธบิ ายรายละเอยี ดส่วนประกอบของแฟม้ สะสมผลงานได้ 6. สามารถจัดระบบความคิด/ประมวลความคดิ สู่การ พฒั นางานอยา่ งเป็นระบบ ดา้ นการนาความรไู้ ปใช้ 1. สามารถนาความร้ทู ี่ได้รับไปประยุกตใ์ ชใ้ นการ ทางานได้ 2. สามารถนาความรู้ไปเผยแพร่ / ถ่ายทอดแก่ผู้อน่ื ได้ 3. สามารถให้คาปรึกษาแก่เพอื่ นในการจัดทาแฟม้ สะสมผลงานโดยใชโ้ ปรแกรม Microsoft Word ได้ 4. มคี วามมน่ั ใจและสามารถนาความรู้ท่ไี ด้ปรบั ใชไ้ ด้ ความพงึ พอใจในการเขา้ รว่ มกจิ กรรม นอ้ ยทส่ี ดุ นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทสี่ ดุ
49 หมวดที่ 2 สรา้ งเสรมิ สมรรถนะและการเรยี นรู้ กจิ กรรม 8 พฒั นาทกั ษะการเรยี นรสู้ ง่ เสรมิ การเรยี นรหู้ มวดวชิ าชพี กิจกรรมท่ี 2.10 1. ชอ่ื กจิ กรรม งานสารบรรณเบอื้ งตน้ 2. เวลาทใี่ ช้ 2 ชว่ั โมง 3. วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพื่อให้นักเรียน มีความรู้ ความเข้าใจ เกย่ี วกับระเบียบงานสารบรรณ 2. เพอ่ื ใหน้ ักเรยี น มีความรู้ ความเข้าใจเกยี่ วกับการรบั -สง่ หนงั สอื 4. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. ใหน้ ักเรยี นลงทะเบียนการรับ-สง่ หนังสอื 5. สอ่ื การเรยี นรแู้ ละแหลง่ การเรยี นรู้ 1. สมุดบนั ทกึ การรับ-สง่ หนงั สอื 2. ใบงาน 6. การวดั และการประเมนิ ผล 6.1 สังเกตพฤตกิ รรมนกั เรยี นในเร่ืองต่อไปนี้ 6.1.1 สังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นขณะปฏบิ ัติกิจกรรม 6.1.2 สังเกตผลงานความสาเรจ็ ของกจิ กรรม 6.2 แบบประเมนิ ความพึงพอใจตอ่ กิจกรรม 6.3 สอบถามความพงึ พอใจตอ่ การเข้ารว่ มกจิ กรรมของนักเรยี น นอ้ ยทส่ี ดุ นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทส่ี ดุ
50 แบบประเมนิ ชื่อ/นามสกลุ ............................................................... งานสารบรรณเบอ้ื งตน้ ระดับชัน้ ....................รนุ่ ..............เลขที่..................... ประเดน็ ความคดิ เหน็ ระดบั ความพงึ พอใจ / ความรคู้ วามเขา้ ใจ / การนาความรไู้ ปใช้ ดา้ นความรคู้ วามเขา้ ใจ 1. ความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับการรบั -สง่ หนงั สอื มาก มาก ปาน นอ้ ย นอ้ ย 2. สามารถบอกประโยชน์เกย่ี วกบั การรับ-สง่ หนังสอื ทสี่ ดุ 4 กลาง 2 ทส่ี ดุ 3. สามารถอธิบายข้นั ตอนการรับ-สง่ หนงั สอื 531 ดา้ นการนาความรไู้ ปใช้ 1. สามารถนาความรู้ที่ได้รับไปประยกุ ต์ใชใ้ นการ ทางานได้ 2. สามารถนาความรไู้ ปเผยแพร่ / ถ่ายทอดแก่ผู้อนื่ ได้ 3. สามารถให้คาปรกึ ษาแก่เพอื่ นในการรบั -สง่ หนงั สือ 4. มีความมั่นใจและสามารถนาความรู้ทไี่ ด้ปรบั ใชไ้ ด้ ความพงึ พอใจในการเขา้ รว่ มกจิ กรรม นอ้ ยทส่ี ดุ นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทส่ี ดุ
51 หมวดท่ี 2 สรา้ งเสรมิ สมรรถนะและการเรยี นรู้ กจิ กรรม 8 พฒั นาทกั ษะการเรยี นรสู้ ง่ เสรมิ การเรยี นรหู้ มวดวชิ าชพี กจิ กรรมท่ี 2.11 1. ชอื่ กจิ กรรม การใชเ้ ครอ่ื งใชส้ านกั งานเบอ้ื งตน้ (โทรศพั ทก์ บั งานเลขานกุ าร) 2. เวลาทใ่ี ช้ 2 ชว่ั โมง 3. วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพือ่ ให้นกั เรียนเหน็ ความสาคัญของการใช้โทรศพั ท์ในการตดิ ตอ่ สอื่ สาร 2. เพ่อื ให้นกั เรียน มีความรู้ในหลักในการตดิ ต่อสือ่ สารทางโทรศัพท์ 3. เพอ่ื ให้นักเรียนมีมารยาทในการติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์ 4. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. ให้นกั เรียนศกึ ษาจากใบความรู้ 2. ใหน้ กั เรยี นดจู ากตวั อย่างการใช้โทรศัพทใ์ นการสื่อสารจากละครสั้น 3. บรรยายให้ความรู้ 4. ใหน้ ักเรียนแสดงบทบาทสมมุติในการใช้โทรศัพท์ในการสือ่ สารในสถานะการณต์ า่ งๆ 5. เปิดโอกาสใหม้ กี ารซักถาม 5. สอื่ การเรยี นรแู้ ละแหลง่ การเรยี นรู้ 1. ใบงาน 2. โทรศัพท์ 6. การวดั และการประเมนิ ผล 6.1 สงั เกตพฤตกิ รรมนกั เรยี นในเร่ืองตอ่ ไปนี้ 6.1.1 สงั เกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนขณะปฏิบตั ิกิจกรรม 6.1.2 สังเกตผลงานความสาเร็จ ของกิจกรรม 6.2 แบบประเมินความพึงพอใจต่อกิจกรรม 6.3 สอบถามความพงึ พอใจต่อการเข้าร่วมกจิ กรรมของนกั เรยี น นอ้ ยทสี่ ดุ นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทส่ี ดุ
52 ช่ือ/นามสกลุ ............................................................... แบบประเมนิ ระดบั ชั้น....................รุ่น..............เลขที.่ .................... การใชเ้ ครอ่ื งใชส้ านกั งานเบอ้ื งตน้ (โทรศพั ทก์ บั งานเลขานกุ าร) ประเดน็ ความคดิ เหน็ ระดบั ความพงึ พอใจ / ความรคู้ วามเขา้ ใจ / การนาความรไู้ ปใช้ ดา้ นความรคู้ วามเขา้ ใจ 1. ความรู้ ความเข้าใจเกย่ี วกับการใชโ้ ทรศัพทใ์ นการ มาก มาก ปาน นอ้ ย นอ้ ย สือ่ สาร ทสี่ ดุ 4 กลาง 2 ทส่ี ดุ 2. สามารถบอกประโยชน์ของการใชโ้ ทรศัพท์ในการ 531 ส่อื สาร 3. สามารถบอกหลักในการใช้โทรศพั ทใ์ นการสอื่ สาร 4. สามารถอธิบายมารยาทในการใชโ้ ทรศัพทใ์ นการ สื่อสาร ดา้ นการนาความรไู้ ปใช้ 1. สามารถนาความร้ทู ไี่ ดร้ ับไปประยกุ ต์ใชใ้ นการ ทางานได้ 2. สามารถนาความร้ไู ปเผยแพร่ / ถ่ายทอดแก่ผู้อน่ื ได้ 3. สามารถให้คาปรกึ ษาแกเ่ พือ่ นในการใชโ้ ทรศพั ทใ์ น การสอื่ สาร 4. มีความมน่ั ใจและสามารถนาความรู้ทไี่ ด้ปรับใช้ได้ ความพงึ พอใจในการเขา้ รว่ มกจิ กรรม นอ้ ยทสี่ ดุ นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทสี่ ดุ
53 ใบความร.ู้ ..การใชโ้ ทรศพั ทใ์ นการสอ่ื สาร สาระการเรยี นรู้ 1. ประโยชนข์ องโทรศัพท์ 2. ความสาคญั ของโทรศัพทก์ ับงานเลขานุการ 3. หลักในการตดิ ต่อส่ือสารทางโทรศพั ท์ 4. มารยาทในการติดต่อส่อื สารทางโทรศัพท์ ผลการเรยี นรทู้ คี่ าดหวงั 1. บอกประโยชนข์ องโทรศพั ท์ได้ 2. อธิบายความสาคัญของโทรศัพทก์ ับงานเลขานุการได้ 3. อธบิ ายหลักในการรบั และตอ่ โทรศัพท์ได้ 4. บอกมารยาทในการตดิ ตอ่ สอื่ สารทางโทรศัพท์ได้ 5. มมี ารยาทและใช้โทรศพั ทเ์ พอ่ื การตดิ ต่อสือ่ สารไดถ้ ูกต้อง ประโยชนข์ องโทรศพั ท์ 1. ประหยัดเวลา 2. ประหยัดค่าใชจ้ ่าย 3. ช่วยให้เกดิ ความรวดเรว็ ความสาคญั ของโทรศพั ทก์ บั งานเลขานกุ าร เลขานุการจาเปน็ ต้องใชโ้ ทรศัพท์เพ่ือการตดิ ตอ่ ประสานงานในดา้ นต่าง ๆ ของหนว่ ยงานให้แก่ ผบู้ รหิ าร หลกั ในการตดิ ตอ่ สอื่ สารทางโทรศพั ท์ ตอ้ งมีมารยาททีด่ ีในการติดต่อโตต้ อบทางโทรศพั ท์ 1. หลักการรบั โทรศัพท์ 2. หลักการตอ่ โทรศัพท์ หลกั การรบั โทรศพั ท์ 1. เตรยี มพร้อม (Ready) คอื เตรียมเลขหมายที่ต้องการตดิ ต่อ สมดุ จด และสมุดจดต้องแบ่งตามหมวดหมูร่ ายช่ือ เพื่อ การคน้ หางา่ ย ประการสาคัญหากไมอ่ ยู่โต๊ะทางานควรแจง้ ใหเ้ พือ่ นรว่ มงานทราบทกุ ครั้ง
54 2. การตอบรบั (Respond) ควรรับสายทันทีในกริง่ ท่ี 2-3 และถือกระบอกพดู ให้ตรง และห่างจากปากครึ่งนิ้ว พรอ้ มกลา่ ว คาทักทายด้วยคาวา่ \"สวัสดี\" ตามด้วยช่อื หน่วยงาน หรอื ชอื่ ตนเอง หรือเลขหมาย โทรศัพท์ ควรยกหดู ้วยมือซ้าย มอื ขวาถือปากกาสาหรับจดข้อความ 3. การตัง้ ใจฟงั (Attend) คือ สามารถจบั ใจความและทวนสิง่ ทีร่ ับทราบได้อยา่ งถกู ต้อง โดยไม่พูดแทรก หรอื ตดั บทสรปุ ความในขณะท่ียงั พูดไมจ่ บ 4. การตดั สนิ ใจ (Decide) คอื การตดั สินใจรับเรือ่ งดาเนนิ การเองหรือโอนสายใหแ้ ก่ผู้มอี านาจหรอื ผูเ้ ก่ยี วข้องตัดสนิ ใจ 5. การแนะนา (Advise) แสดงให้เขารู้วา่ เราเต็มใจจะให้ความชว่ ยเหลือโดยการให้คาแนะตาต่าง ๆ 6. การจบการสนทนา (Ring Off) ต้องแนใ่ จว่าการสอ่ื สารข้อความทัง้ สองฝ่ายเข้าใจถูกตอ้ งตรงกนั ก่อนวางสายควรกล่าวคาวา่ “สวัสดี” และควรใหเ้ ขาเปน็ ผ้วู างสายกอ่ น จากน้นั ให้วางหอู ยา่ งสุภาพและแผ่วเบา ขอ้ ควรระมดั ระวงั ในการรบั โทรศพั ท์ ไมค่ วรแสดงความไม่พอใจหรือถอนหายใจแรง ๆ ไมค่ าบบหุ รี่ เค้ียวหมากฝรัง่ หรือเค้ียวของกินขณะพูด ควรจดเฉพาะสาระจรงิ ๆ ควรให้รายละเอยี ดท่ชี ัดเจนถูกตอ้ ง ควรให้ความชว่ ยเหลือและทาทกุ อย่างใหเ้ ขาพอใจ กรณที ี่ต้องใหผ้ พู้ ูดถอื สายรอนาน ๆ ควรกล่าวคาว่า “ขอโทษค่ะ/ครับ กรณุ ารอสักครู่ค่ะ/ครบั กรณที ่ตี ้องการทราบนามของผูพ้ ดู ควรกลา่ วคาว่า “ขอโทษ” ก่อน ควรโอนสายได้อย่างถูกต้อง หากรับข้อความแลว้ ควรจดบนั ทกึ แล้วส่งให้ผเู้ ก่ียวขอ้ งทราบทันที ไม่ควรวางโทรศัพทด์ ้วยการกระแทกหอู ย่างรนุ แรง หลกั การตอ่ โทรศพั ท์ 1. การเตรยี มพร้อม (Ready) เตรียมเลขหมายทต่ี อ้ งการติดตอ่ และวตั ถุประสงค์ของการติดตอ่ ตลอดจนเตรียมคาถามหรอื คาตอบตา่ ง ๆ ไว้ใหเ้ รยี บรอ้ ย 2. ความต้งั ใจ (Attend) หากโทรไปแล้วสายไม่วา่ งให้ทดลองหมนุ ใหมอ่ กี ครง้ั ถา้ ยงั มีสัญญาณไมว่ ่างอีกควรรอเวลาสักครู (10 นาที) แลว้ หมุนใหม่ 3. การส่อื ความหมาย (Deliver) สามารถถา่ ยทอดข้อความให้ผ้รู ับฟังได้อยา่ งเป็นท่พี อใจ
55 4. การแจ้งขอ้ มูล (Inform) บอกให้เขาทราบว่าจะสามารถดาเนินการในเร่ืองน้นั ๆ ให้เขาได้อย่างไรบ้าง 5. การจบการสนทนา (Ring Off) ควรจบด้วยคาพดู ทีส่ ภุ าพ มีจงั หวะการพดู ที่ทาใหป้ ลายสายทราบวา่ หมดธุระในการตดิ ต่อแล้ว และควรเอ่ยชือ่ ค่สู นทนาเมื่อมีโอกาส พร้อมกลา่ วคาว่า “ขอบคุณ” และ “สวัสดี” กอ่ นวางสาย อย่างสภุ าพ และแผ่วเบา ขอ้ ควรระวงั ในการตอ่ โทรศพั ท์ ควรพูดด้วยเสยี งดังพอประมาณ เวน้ ช่วงระยะการฟังเป็นคร้ังคราว ไมค่ วรขบเคี้ยวอาหาร หมากฝรง่ั หรอื คาบสง่ิ ใดขณะพูด ไมค่ วรถอนหายใจเสยี งดัง ไม่พูดเรื่องสว่ นตัว เร่อื งไม่สาคัญ ไม่ควรพูดกบั ผู้อืน่ ขณะท่อี ีกฝ่ายถอื สายฟังอยู่ เมอ่ื ตอ่ ผดิ ควรกล่าวคาขอโทษ มารยาทในการตดิ ตอ่ สอื่ สารทางโทรศพั ท์ อาจกลา่ วไดว้ า่ “น้าเสยี งและคาพูดทดี่ ี สามารถสร้างรอยย้ิมให้แกผ่ ตู้ ิดตอ่ ได้” 1. พูดให้สน้ั และได้ใจความ 2. น้าเสยี งนมุ่ นวล เป็นธรรมชาติ 3. ไมค่ วรใช้คาพูดที่ไมส่ ภุ าพ และไม่ให้เกียรตผิ ู้รับสาย 4. การออกเสยี งตัวอักษรและตัวเลขตอ้ งชัดเจน 5. นา้ เสยี งเปน็ มิตร มชี วี ิตชีวา สดชนื่ แจม่ ใส 6. ไมใ่ ช้โทรศพั ท์สานักงานคยุ เรอ่ื งส่วนตัว 7. จาเสยี งคสู่ นทนาไดแ้ ม่นยา 8. ไมพ่ ดู ความลบั ทางโทรศัพท์ 9. ตอ่ ผดิ ควรกลา่ วคาว่า “ขอโทษ” ด้วยเสียงที่สุภาพ 10. กลา่ วคาว่า “สวสั ดี” ทกุ ครั้งท่ีรับและจบการสนทนา 11. กล่าวคาว่า “ขอบคุณ” ทกุ คร้ังทไ่ี ด้รับความช่วยเหลอื 12. ทา้ ยประโยคทุกครง้ั ควรกลา่ วคาว่า คะ คะ่ หรอื ครับ 13. ไมม่ ีใครต้องการพูดสายกบั คนทีพ่ ูดไมร่ ้เู ร่ือง 14. จงยิ้มขณะพดู โทรศัพท์
56 หมวดที่ 2 สรา้ งเสรมิ สมรรถนะและการเรยี นรู้ กจิ กรรม 8 พฒั นาทกั ษะการเรยี นรสู้ ง่ เสรมิ การเรยี นรหู้ มวดวชิ าชพี กจิ กรรมที่ 2.12 1. ชอ่ื กจิ กรรม พมิ พด์ ดี องั กฤษใหค้ ลอ่ ง 2. เวลาทใ่ี ช้ 36 ชั่วโมง 3. วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพ่ือให้นักเรยี นมีทกั ษะการพมิ พด์ ดี อังกฤษให้คล่อง 4. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. ฝึกทกั ษะการพมิ พด์ ีดอังกฤษ 5. สอื่ การเรยี นรแู้ ละแหลง่ การเรยี นรู้ 1. โปรแกรมฝึกพมิ พ์ดีดองั กฤษ 2. คอมพวิ เตอร์ 3. สมุดบนั ทึกคะแนนการฝกึ พมิ พด์ ีดอังกฤษ 6. การวดั และการประเมนิ ผล 6.1 สงั เกตพฤตกิ รรมนักเรยี นในเร่ืองตอ่ ไปนี้ 6.1.1 สงั เกตพฤตกิ รรมของนักเรยี นขณะปฏิบัตกิ ิจกรรม 6.1.2 สงั เกตผลงานความสาเร็จ ของกิจกรรม 6.2 แบบประเมนิ ความพงึ พอใจตอ่ กิจกรรม 6.3 สอบถามความพงึ พอใจตอ่ การเข้ารว่ มกิจกรรมของนักเรยี น นอ้ ยทส่ี ดุ นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทสี่ ดุ
57 หมวดท่ี 2 สรา้ งเสรมิ สมรรถนะและการเรยี นรู้ กจิ กรรม 8 พฒั นาทกั ษะการเรยี นรสู้ ง่ เสรมิ การเรยี นรหู้ มวดวชิ าชพี กจิ กรรมท่ี 2.13 1. ชอ่ื กจิ กรรม พมิ พด์ ดี ไทยใหค้ ลอ่ ง 2. เวลาทใ่ี ช้ 36 ชัว่ โมง 3. วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพอื่ ให้นักเรยี นมที ักษะการพมิ พด์ ีดไทยให้คล่อง 4. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. ฝึกทักษะการพิมพ์ดดี ไทย 5. สอ่ื การเรยี นรแู้ ละแหลง่ การเรยี นรู้ 1. โปรแกรมฝกึ พิมพ์ดีดไทย 2. คอมพิวเตอร์ 3. สมุดบันทกึ คะแนนการฝกึ พมิ พ์ดีดไทย 6. การวดั และการประเมนิ ผล 6.1 สังเกตพฤติกรรมนกั เรยี นในเรอื่ งตอ่ ไปน้ี 6.1.1 สงั เกตพฤติกรรมของนกั เรยี นขณะปฏบิ ตั ิกิจกรรม 6.1.2 สังเกตผลงานความสาเรจ็ ของกจิ กรรม 6.2 แบบประเมินความพงึ พอใจต่อกิจกรรม 6.3 สอบถามความพึงพอใจต่อการเข้ารว่ มกจิ กรรมของนกั เรยี น นอ้ ยทสี่ ดุ นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทส่ี ดุ
58 หมวดท่ี 3 สรา้ งเสรมิ คณุ ลกั ษณะและคา่ นยิ ม กจิ กรรม 11 ปลกู ฝงั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม กจิ กรรมท่ี 3.1 1. ชอ่ื กจิ กรรม ธรรมะสะกดิ ใจ 2. เวลาทใ่ี ช้ 18 ชวั่ โมง 3. วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพื่อใหน้ ักเรียนสามารถนาธรรมะไปปรับใช้ในชีวติ ไดอย่างมีความสุข 2. เพื่อใชธ้ รรมะเสรมิ สรางคุณภาพชีวิต 3. เป็นการฝึกสมาธิ คือ ใหใ้ จมีความสงบต้งั ม่ันอยู่กับคาสวดมนต์อย่างตอ่ เนอื่ ง 4. ฝกึ ทกั ษะการฝกึ 5. ฝกึ ทักษะการสรปุ ความ 4. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. สวดมนต์ 2. ฟังธรรม 3. สรปุ ส่ิงท่ีไดเ้ รียนร้จู ากธรรมะ 5. สอื่ การเรยี นรแู้ ละแหลง่ การเรยี นรู้ 1. บทสวดมนต์ 2. เครอ่ื งเสียง 3. Clip ธรรมะ 4. แบบสรปุ กจิ กรรม 5. กลอ้ งถา่ ยภาพ 6. การวดั และการประเมนิ ผล 6.1 สังเกตพฤตกิ รรมนกั เรยี นในเร่ืองต่อไปนี้ 6.1.1 สงั เกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี นขณะปฏบิ ตั กิ ิจกรรม 6.1.2 สังเกตผลงานความสาเร็จ ของกจิ กรรม 6.2 แบบประเมนิ ความพงึ พอใจตอ่ กจิ กรรม 6.3 สอบถามความพงึ พอใจตอ่ การเข้าร่วมกจิ กรรมของนักเรยี น 6.4 แบบสรุปสิง่ ท่ีนักเรียนได้เรยี นรู้จากการฟังธรรมะ นอ้ ยทส่ี ดุ นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทส่ี ดุ
59 บทสวดมนตไ์ หวพ้ ระประจาวนั บทสวดมนตไ์ หว้พระประจาวัน ให้นกั เรยี นสวดมนต์เวลาเขา้ แถวภายหลงั เชญิ ธงชาติแลว้ หรือจะสวดในหอ้ งเรียนก็ได้ เวลายนื สวดจบบทหนึ่งให้น้อมศีรษะพร้อมกบั ยกมอื ไหว้ ถ้านง่ั กบั พื้นกใ็ ห้กราบแบบเบญจางคป์ ระดิษฐ์ นกั เรยี นประนมมอื พร้อมแลว้ ให้ครหู รือหวั หนา้ ชน้ั สวดนา และคนอ่นื ๆ สวดตามดงั บท สวดมนต์ บทสวดนมสั การพระรตั นตรยั อะระหัง สมั มาสัมพทุ โธ ภะคะวา พระผมู้ พี ระภาคเจา้ , เปน็ พระอรหันตด์ ับเพลงิ กเิ ลสเพลงิ ทกุ ขส์ ิ้นเชิง ตรสั ร้ชู อบไดโ้ ดย พระองค์เอง พทุ ธงั ภะคะวนั ตงั อภวิ าเทม.ิ ข้าพเจา้ ขออภิวาทพระผมู้ พี ระภาคเจา้ , ผู้รู้ ผู้ตน่ื ผเู้ บิกบาน (กราบ) สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม พระธรรมเป็นธรรมที่พระผมู้ ีพระภาคเจา้ , ตรสั ไวด้ ีแลว้ ธัมมงั นะมสั สาม.ิ (กราบ) ข้าพเจา้ ขอนมสั การ พระธรรม (กราบ) สปุ ะฏิปปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, พระสงฆส์ าวกของพระผู้มีพระภาคเจา้ , ปฏบิ ัตดิ ีแล้ว สังฆัง นะมาม.ิ (กราบ) ข้าพเจ้าขอนอบนอ้ มพระสงฆ์ (กราบ) บทสวดนมสั การนอบนอ้ มบชู าพระพทุ ธเจา้ (ทานองสงั โยค) (ผูน้ าวา่ ) นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, (รบั พร้อมกนั ) อะระหะโต, สัมมาสัมพทุ ธัสสะ (๓ จบ )
60 บทสวดสรรเสรญิ พระพทุ ธคณุ (ทานองสงั โยค) อิติปิโส ภะคะวา (ผู้นาวา่ ) อะระหัง สมั มาสัมพทุ โธ (รบั พรอ้ มกนั ) วชิ ชาจะระณะสมั ปนั โน สขุ โต โลกะวิทู อนตุ ตะโร ปุริสสะทมั มะสาระถิ สตั ถา เทวะมะนุสสานัง พทุ โธ ภะคะวาติ (กราบ) (ทานองสรภัญญะ) (รบั พร้อมกัน) สุวิสทุ ธ (นา) องคใ์ ดพระสมั พทุ ธ สันดาน ตัดมลู เกลศมาร บ มิหมน่ มหิ มองมัว หน่งึ ในพระทัยทา่ น กเ็ บกิ บานคือดอกบัว ราคี บ พันพัว สวุ คนธกาจร องคใ์ ดประกอบดว้ ย พระกรุณาดังสาคร โปรดหมู่ประชากร มละโอฆกันดาร ช้ที างบรรเทาทกุ ข์ และชส้ี ุขเกษมสานต์ ช้ีทางพระนฤพาน อนั พ้นโศกวโิ ยคภยั พรอ้ มเบญจพธิ จกั - ษุจรสั วิมลใส เหน็ เหตทุ ่ใี กล้ไกล กเ็ จนจบประจักษจ์ รงิ กาจดั น้าใจหยาบ สันดานบาปแหง่ ชายหญิง สตั ว์โลกไดพ้ งึ่ พิง มละบาปบาเพญ็ บญุ ข้าขอประณตน้อม ศริ เกล้าบังคมคณุ สัมพทุ ธการญุ - ญภาพน้นั นิรันดร (กราบ)
61 (ทานองสงั โยค) บทสวดสรรเสรญิ พระธรรมคณุ (ผูน้ าวา่ ) สวากขาโต (รบั พรอ้ มกนั ) ภะคะวะตา ธมั โม (ทานองสรภญั ญะ) สนั ทฏิ ฐโิ ก, อะกาลโิ ก, เอหปิ ัสสิโก, โอปะนะยิโก, ปัจจตั ตงั เวทติ พั โพ วิญญหู ี ติ (กราบ) (ผ้นู าวา่ ) (รับพร้อมกนั ) ธรรมะคือคณุ ากร ส่วนชอบสาธร ดจุ ดวงประทปี ชชั วาล แห่งองค์พระศาสดา สอ่ งสตั ว์สนั ดาน สวา่ งกระจ่างใจมล ธรรมใดนับโดยมรรคผล เปน็ แปดพึงยล และเก้านับท้ังนฤพาน สมญาโลกอดุ รพิสดาร อันลึกโอฬาร พสิ ุทธิพ์ ิเศษสุกใส อกี ธรรมตน้ ทางครรไล นามขนานขานไข ปฏิบัติปรยิ ตั เิ ปน็ สอง คอื ทางดาเนินดุจครอง ให้ล่วงลปุ อง ยังโลกอดุ รโดยตรง ขา้ ขอโอนออ่ นอตุ มงค์ นบธรรมจานง ดว้ ยจติ และกายวาจาฯ (กราบ)
62 บทสวดสรรเสรญิ พระสงั ฆคณุ (ทานองสังโยค) (ผนู้ าวา่ ) สุปะฏิปันโน (พร้อมกนั ) ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, อุชุปะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ ญายะปะฏปิ ัน โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สามจี ิปะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ ยะทิทงั , จัตตาริ ปุรสิ ะยคุ านิ อัฏฐปุรสิ ปุคคะลา, เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ อาหุเนย โย, ปาหุเนยโย, ทกั ขเิ นยโย, อญั ชะลกี ะระณีโย, อนตุ ตะรงั ปญุ ญกั เขตตงั โลกัสสา ติ (กราบ) (ผูน้ าว่า) สงฆ์ใดสาวกศาสดา (รับพร้อมกัน) รับปฏิบตั มิ า แตอ่ งคส์ มเดจ็ ภควันต์ เห็นแจ้งจตสุ จั เสรจ็ บรร- ลุทางท่อี นั ระงับและดับทกุ ข์ภยั โดยเสด็จพระผู้ตรัสไดร ปญั ญาผ่องใส สะอาดและปราศมวั หมอง เหนิ ห่างทางขา้ ศึกปอง บ มิลาพอง ดว้ ยกายและวาจาใจ เป็นเน้อื นาบุญอันไพ- ศาลแด่โลกยั และเกดิ พบิ ลู ยพ์ ูนผล สมญาเอารสทศพล มีคณุ อนนต์ อเนกจะนบั เหลอื ตรา ขา้ ขอนพหมพู่ ระศรา- พกทรงคุณา- นุคุณประดุจราพนั ด้วยเดชบญุ ข้าอภิวันท์ พระไตรรตั น์อัน อดุ มดิเรกนิรตั ศิ ยั จงช่วยขจัดโพยภัย อนั ตรายใดใด จงดับและกลบั เส่อื มสญู (กราบ)
63 (ทานองสงั โยค) บทสวดชยสทิ ธคิ าถา (ผู้นาว่า) พาหุง (รับพรอ้ มกัน) สะหสั สะมะภินมิ มติ ะสาวุธันตงั ครเี มขะลงั อทุ ิตะโฆระสะเสนะมารงั ทานาทิธัมมะวะธนิ า ชิตะวฺ า มุนนิ โท ตนั เตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะสิทธิ นจิ จงั (ทานองสรภัญญะ) (ผูน้ าว่า) (รับพรอ้ มกนั ) ปางเม่อื พระองคป์ ระระมะพทุ - ธะวสิ ุทธะศาสดา ตรสั รอู้ นุตตะระสะมา ธิ ณ โพธบิ ัลลังก์ หุวชิ าวชิ ติ ขลัง ขนุ มารสหสั สะพหพุ า- คชะเหยี้ มกระเหิมหาญ ข่ีคีรีเมขะละประทัง กละคดิ จะรอนราญ พระสมทุ รทะนองมา แสรง้ เสกสะราวธุ ะประดษิ ฐ์ รมุ พลพหลพยหุ ปาน หวังเพอ่ื ผจญวะระมุนนิ - ทะสุชินะราชา พระปราบพหลพยหุ ะมา ระมะเลืองมะลายสูญ สวุ มิ ละไพบลู ย์ ดว้ ยเดชะองคพ์ ระทศพล ชนะนอ้ มมโนตาม ทานาธธิ รรมะวธิ ิกูล และนมามิองคส์ าม ชยะสทิ ธิทกุ วาร ด้วยเดชะสัจจะวะจะนา พละเดชะเทียมมาร ขอจงนิกรพละสยาม อริแม้นมนุ นิ ทรฯ ถึงแม้จะมีอรวิ ิเศษ ขอไทยผจญพชิ ิตะผลาญ
64 บทแผเ่ มตตา สพั เพ สตั ตา สัตวท์ ง้ั หลายทัง้ ปวง ทเี่ ป็นเพอ่ื นทกุ ข์ เกดิ แก่ เจ็บ ตาย อะเวรา โหนตุ ดว้ ยกนั ทั้งหมดทัง้ ส้นิ อพั พะยาปชั ฌา โหนตุ จงเปน็ สขุ เปน็ สุขเถดิ อย่าได้มีเวรแกก่ นั และกนั เลย อะนฆี า โหนตุ จงเปน็ สุขเปน็ สุขเถิด อย่าไดเ้ บียดเบียนซง่ึ กนั และกนั เลย สขุ ี อตั ตานงั ปะรหิ ะรนั ตุ จงเป็นสขุ เปน็ สขุ เถิด อยา่ ไดม้ คี วามทกุ ขก์ ายทุกขใ์ จเลย จงมีความสขุ กาย สุขใจ รกั ษาตนใหพ้ น้ จากทุกข์ภัยทั้งส้นิ เทอญ คาอาราธนาศลี 5 มะยงั ภันเต วิสุง วิสุง รกั ขะณตั ถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปญั จะ สลี านิ ยาจามะ ฯ ทุตยิ ัมปิ มะยงั ภนั เต วสิ งุ วสิ ุง รกั ขะณตั ถายะ ตสิ ะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สลี านิ ยาจามะ ฯ ตะติยัมปิ มะยงั ภนั เต วิสงุ วิสุง รักขะณัตถายะ ตสิ ะระเณนะ สะหะ ปญั จะ สีลานิ ยาจามะ ฯ คาอาราธนาพระปรติ ร วิปัตตปิ ะฏิพาหายะ สัพพะสมั ปัตตสิ ิทธยิ า สัพพะทุกขะวินาสายะ ปะรติ ตงั พรถู ะ มงั คะลงั วปิ ตั ตปิ ะฏพิ าหายะ สพั พะสมั ปัตติสิทธยิ า สพั พะภะยะวนิ าสายะ ปะริตตงั พรถู ะ มงั คะลงั วิปัตติปะฏพิ าหายะ สัพพะสมั ปตั ติสทิ ธิยา สัพพะโรคะ- วนิ าสายะ ปะรติ ตัง พรถู ะ มังคะลงั ฯ
65 ตารางการฟงั ธรรม-ธรรมะสะกดิ ใจ ครงั้ ท่ี วนั ท่ี เรอื่ ง คณุ ครผู มู้ าสะกจิ ใจ ดว้ ยธรรมะ 1. 16 พ.ค. 59 2. 23 พ.ค. 59 แกน้ สิ ยั คนเห็นแก่ตวั 11 ก.ค. 59 ครูกัญญาณฐั 3. 30 พ.ค. 59 4. 6 ม.ิ ย. 59 วิธสี ังเกตคนดคี นไม่ดี 26 ก.ค. 59 ครูปยิ ะมาศ 5. 13 มิ.ย. 59 6. 20 มิ.ย. 59 ชอบโกหก และพูดเสียดแทง 2 ส.ค. 59 ครศู โิ รรตั น์ 7. 27 มิ.ย. 59 8. 4 ก.ค. 59 ห้ามคนนนิ ทา 9 ส.ค. 59 ครปู ิยะนชุ 9. 11 ก.ค. 59 10. 18 ก.ค. 59 เปลยี่ นตวั เองใหม่ ใครกร็ ัก ครูพนดิ า 11. 25 ก.ค. 59 12. 1 ส.ค. 59 เปลี่ยนความโกรธใหเ้ ป็นความเข้าใจ 16 ส.ค. ครูอศิ รานวุ ัฒน์ 13. 8 ส.ค. 59 14. 15 ส.ค. 59 การยบั ยัง้ ช่ังใน 23 ส.ค. 59 ครวู ลิ ยั พร 15. 22 ส.ค. 59 16. 29 ส.ค. 59 มิตรแท้ มติ รเทียม ครพู นิดา 17. 5 ก.ย. 59 18. 12 ก.ย. 59 ยิ่งใหย้ ง่ิ ได้ ครสู งิ หา นสิ ยั ส่คู วามสาเรจ็ ครูอิศรานุวฒั น์ ทาดี มคี นอจิ ฉา ครกู ญั ญาณัฐ วิธแี กโ้ รคเซง็ เครยี ด เบอ่ื กลมุ้ ครปู ิยะมาศ กตกิ าชวี ิต ครศู ิโรรตั น์ รับมือกับความผดิ หวงั ครปู ิยะนชุ ความโง่ แก้ไขอย่างไร ครูวลิ ัยพร การพฒั นาตัวเองให้ฉลาดขึ้น เรว็ ข้นึ และดขี นึ้ ครูดนนุ นั ท์ ทาไมตอ้ งทางานหนกั กวา่ คนอน่ื ครดู นุนันท์ เสน้ บางๆ ของความสาเร็จ ครูสงิ หา
แบบบนั ทกึ การเรยี นรจู้ ากกจิ กรรม...ธรรมะสะกดิ ใจ 66 ชอื่ /นามสกลุ ............................................. ระดบั ชน้ั ...............รนุ่ ..........เลขท.่ี .......... หวั ขอ้ ธรรมะ... เนอ้ื หาธรรมะ..... ทมี่ าสะกดิ ใจ -- ธรรมทฟี่ งั ... จะนามาใชก้ บั ชวี ติ -- ความพงึ พอใจตอ่ กจิ กรรม ปานกลาง มาก มากทสี่ ดุ นอ้ ยทส่ี ดุ นอ้ ย
67 หมวดท่ี 3 สรา้ งเสรมิ คณุ ลกั ษณะและคา่ นยิ ม กจิ กรรม 9 ปลกู ฝงั คา่ นยิ ม และจติ สานกึ การทาประโยชนต์ อ่ สงั คม มจี ติ สาธารณะและการ ใหบ้ รกิ ารดา้ นตา่ งๆ ทงั้ ทเ่ี ปน็ ประโยชนต์ อ่ ตนเองและสว่ นรวม กจิ กรรมที่ 3.2 1. ชอ่ื กจิ กรรม ปวช. อาสา ลกู ราชประชา ๓๓ 2. เวลาทใ่ี ช้ 8 ช่ัวโมง 3. วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพ่อื ให้นกั เรยี นรู้จักช่วยเหลอื ผอู้ น่ื รจู้ กั การเป็นผใู้ ห้ 2. เพอ่ื ใหน้ ักเรียนเหน็ คุณคา่ ของตนเองทีส่ ามารถสรา้ งประโยชน์ใหก้ ับผู้อ่นื 3. เพอ่ื ให้นักเรียนมสี มั พนั ธภาพท่ดี กี บั อืน่ 4. เพือ่ ฝกึ เปน็ ผนู้ าและผตู้ ามที่ดีเพื่อเสรมิ สรา้ งความสามัคคีในผ้เู รยี น และร้จู ักการทางานเปน็ กลุ่ม 4. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. สอนทกั ษะการทาขนมให้กับผู้ท่ีสนใจ 5. สอ่ื การเรยี นรแู้ ละแหลง่ การเรยี นรู้ 1. วัสดุ-อปุ กรณ์ การทาขนม 2. สูตร วธิ ีการในการทาขนม 6. การวดั และการประเมนิ ผล 6.1 สังเกตพฤติกรรมนกั เรียนในเรอื่ งตอ่ ไปน้ี 6.1.1 สังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนขณะปฏบิ ตั กิ ิจกรรม 6.1.2 สงั เกตผลงานความสาเร็จ ของกจิ กรรม 6.2 แบบประเมินความพงึ พอใจตอ่ กจิ กรรม 6.3 สอบถามความพงึ พอใจตอ่ การเข้าร่วมกิจกรรมของนกั เรียน 6.4 แบบสรุปส่งิ ทน่ี กั เรียนไดเ้ รียนรจู้ ากการทากจิ กรรม นอ้ ยทส่ี ดุ นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทสี่ ดุ
67 แบบประเมนิ ความพงึ พอใจ ชือ่ /นามสกลุ ............................................................... กจิ กรรม ปวช. อาสาลกู ราชประชา33ฯ ระดบั ชั้น....................ร่นุ ..............เลขท.่ี .................... ตอนสอนเพอ่ื นโรงเรยี นโสตปานเลศิ ทาขนม...เพอื่ งานอาชพี คาชแ้ี จง ใหท้ าเครอื่ งหมาย ใหต้ รงกับความคดิ เห็นของนักเรียน ระดบั 5 หมายถงึ พงึ พอใจมากทีส่ ดุ ระดบั 4 หมายถึง พึงพอใจมาก ระดับ 3 หมายถงึ พงึ พอใจปานกลาง ระดับ 2 หมายถงึ พึงพอใจน้อย ระดับ 1 หมายถึง พึงพอใจน้อยทสี่ ุด ประเมนิ ผสู้ อน (ผดู้ าเนนิ กจิ กรรม) ระดบั ความพงึ พอใจ 5 432 1 ขอ้ ท่ี รายการประเมนิ 1. นกั เรียนมีความสุขและพงึ พอใจในการเป็นผถู้ ่ายทอดความร/ู้ ผสู้ อน ใหก้ ับผู้อื่น 2. นกั เรียนมีความมั่นใจในการสอนผอู้ ืน่ 3. นกั เรียนมีความเช่อื ม่ันในตนเอง 4. นักเรียนเหน็ ว่าตนเองมีคณุ คา่ และสามารถสร้างประโยชนก์ บั ต่อผอู้ ืน่ 5. นกั เรยี นรู้วา่ การศึกษามปี ระโยชน์ทงั้ ต่อตนเองและผูอ้ ื่น 6. นกั เรียนสามารถแกไ้ ขปัญหาทีเ่ กิดข้ึนในระหว่างการทากิจกรรม 7. นักเรยี นได้รจู้ กั กนั มากขน้ึ 8. นักเรียนมีสมั พันธภาพที่ดีกับผู้อนื่ 9. นกั เรียนได้ชว่ ยเหลือเกอ้ื กลู ซ่ึงกันและกนั 10. นักเรยี นมโี อกาสทากจิ กรรมได้อย่างอสิ ระแตอ่ ยู่ในขอบเขตของการ เปน็ นักเรยี นทดี่ ี 11. นักเรียนรู้จกั ใชเ้ วลาให้เกดิ ประโยชน์ 12. บรรยากาศในการปฏิบัตกิ จิ กรรมเป็นกันเอง
67 ความคดิ เหน็ เพมิ่ เตมิ ตอ่ กจิ กรรม ปวช. อาสาลกู ราชประชา33ฯ ตอนสอนเพอื่ นโรงเรยี นโสตปานเลศิ ทาขนม...เพอ่ื งานอาชพี สิง่ ทนี่ ักเรยี น ได้เรยี นร้จู าก กจิ กรรม ความรสู้ ึก ความประทบั ใจ ท่มี ีต่อกจิ กรรม เพิม่ เติม ความพงึ พอใจตอ่ กจิ กรรม ปานกลาง มาก มากทสี่ ดุ นอ้ ยทส่ี ดุ นอ้ ย
67 แบบประเมนิ ความพงึ พอใจ ช่อื /นามสกลุ ............................................................... กจิ กรรม ปวช. อาสาลกู ราชประชา33ฯ ระดบั ชัน้ .................... ตอนสอนเพอ่ื นโรงเรยี นโสตปานเลศิ ทาขนม...เพอ่ื งานอาชพี คาชแ้ี จง ใหท้ าเครอ่ื งหมาย ใหต้ รงกบั ความคิดเหน็ ของนกั เรียน ระดบั 5 หมายถงึ พึงพอใจมากทส่ี ดุ ระดับ 4 หมายถึง พึงพอใจมาก ระดับ 3 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง ระดบั 2 หมายถงึ พึงพอใจนอ้ ย ระดับ 1 หมายถงึ พึงพอใจนอ้ ยทส่ี ุด ผเู้ รยี นเขา้ รว่ มกจิ กรรม ขอ้ ท่ี รายการประเมนิ ระดบั ความพงึ พอใจ 1. นักเรียนมคี วามสุขและพึงพอใจในพที่ ี่มาสอน 54321 2. นักเรียนรวู้ ่าการศึกษามปี ระโยชน์ทั้งตอ่ ตนเองและผอู้ ่ืน 3. นกั เรยี นสามารถแก้ไขปัญหาทีเ่ กิดข้ึนในระหว่างการทากจิ กรรม 4. นกั เรียนไดร้ ู้จักกันมากข้ึน 5. นกั เรียนมีสมั พันธภาพทดี่ กี ับผ้อู ่นื 6. นักเรยี นไดช้ ่วยเหลอื เกื้อกูลซ่ึงกันและกนั 7. นกั เรียนมีโอกาสทากิจกรรมได้อยา่ งอสิ ระแต่อยู่ในขอบเขตของการเป็นนกั เรยี นท่ี ดี 8. นกั เรยี นร้จู ักใช้เวลาให้เกดิ ประโยชน์ 9. บรรยากาศในการปฏิบัติกจิ กรรมเป็นกันเอง สิ่งทีไ่ ด้เรียนรจู้ ากกจิ กรรม ความรูส้ ึก/ความประทบั ใจต่อกิจกรรม ความพงึ พอใจตอ่ กจิ กรรม ปานกลาง มาก มากทสี่ ดุ นอ้ ยทส่ี ดุ นอ้ ย
68 หมวดท่ี 3 สรา้ งเสรมิ คณุ ลกั ษณะและคา่ นยิ ม กจิ กรรม 11 ปลกู ฝงั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม เรอ่ื งความกตญั ญู กจิ กรรมที่ 3.3 1. ชอื่ กจิ กรรม กระตกุ ตอ่ มคดิ ....จากหนงั สอื พระมหากษตั รยิ ย์ อดกตญั ญู 2. เวลาทใ่ี ช้ 4 ช่ัวโมง 3. วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพ่ือสรา้ งคา่ นิยมในการเป็นคนดี มคี วามกตัญญูกตเวที 2. เพือ่ สง่ เสรมิ ให้นักเรยี นปฏิบตั ิตนเป็นคนดีมคี วามกตญั ญู 4. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. อ่านหนังสือพระมหากษตั ริยย์ อดกตัญญู 2. ดู Clip เรือ่ งเลา่ พระมหากษตั รยิ ์ยอดกตัญญู 3. บนั ทกึ เหตุการณ์หรอื ขอ้ ความจากการอา่ นหนงั สือพระมหากษตั รยิ ์ยอดกตัญญู 4. บนั ทึกสงิ่ ทไ่ี ด้เรยี นร้จู ากการอา่ นหนังสอื พระมหากษตั รยิ ์ยอดกตัญญู 5. แลกเปลย่ี นความคิดจากเหตกุ ารณ์ทปี่ ระทบั ใจจากการอ่านหนังสอื พระมหากษตั รยิ ย์ อดกตญั ญู 5. สอ่ื การเรยี นรแู้ ละแหลง่ การเรยี นรู้ 1. Clip เรื่องเลา่ พระมหากษตั ริย์ยอดกตญั ญู 2. หนังสือพระมหากษตั ริย์ยอดกตัญญู 3. แบบบันทกึ การอ่านจากหนังสือพระมหากษตั ริยย์ อดกตัญญู 6. การวดั และการประเมนิ ผล 6.1 สังเกตพฤติกรรมนักเรยี นในเร่อื งต่อไปน้ี 6.1.1 สังเกตพฤตกิ รรมของนักเรียนขณะปฏบิ ตั กิ ิจกรรม 6.1.2 สังเกตผลงานความสาเรจ็ ของกิจกรรม 6.2 แบบประเมินความพงึ พอใจต่อกจิ กรรม 6.3 สอบถามความพึงพอใจตอ่ การเข้ารว่ มกจิ กรรมของนกั เรียน 6.4 แบบสรุปส่งิ ท่นี ักเรียนไดเ้ รียนรจู้ ากการทากจิ กรรม 7 ความพงึ พอใจตอ่ การไดอ้ า่ น พระมหากษตั รยิ ย์ อดกตญั ญู นอ้ ยทส่ี ดุ นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทส่ี ดุ
แบบบนั ทกึ สง่ิ ทไ่ี ดเ้ รยี นรจู้ าก 69 เรอื่ งพระมหากษตั รยิ ย์ อดกตญั ญู ช่ือ/นามสกุล.......................................... ระดบั ชั้น............รุ่น........เลขท่.ี .............. ส่งิ ที่นักเรยี น ได้เรยี นรู้ ความร้สู ึก ความประทบั ใจ เพิ่มเตมิ ความพงึ พอใจตอ่ กจิ กรรม ปานกลาง มาก มากทส่ี ดุ นอ้ ยทส่ี ดุ นอ้ ย
70 หมวดท่ี 3 สรา้ งเสรมิ คณุ ลกั ษณะและคา่ นยิ ม กจิ กรรม 11 ปลกู ฝงั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม เรอ่ื งความกตญั ญู กิจกรรมที่ 3.4 1. ชอ่ื กจิ กรรม กระตกุ ตอ่ มคดิ ....จากหนงั สอื คณุ ทองแดง 2. เวลาทใี่ ช้ 4 ช่วั โมง 3. วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพ่อื สรา้ งคา่ นิยมในการเป็นคนดี มีความกตัญญูกตเวที 2. เพื่อสง่ เสริมให้นักเรยี นปฏิบัติตนเปน็ คนดมี ีความกตญั ญู 4. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. อ่านหนงั สอื คุณทองแดง 2. ดกู าร์ตูน คณุ ทองแดง 3. บันทกึ เหตุการณ์หรือข้อความจากการอา่ นหนังสอื คณุ ทองแดง 4. บันทกึ ส่ิงท่ีได้เรียนรจู้ ากการอา่ นหนังสอื คุณทองแดง 5. แลกเปลี่ยนความคดิ จากเหตุการณ์ทปี่ ระทบั ใจจากการอา่ นหนงั สือคณุ ทองแดง 5. สอื่ การเรยี นรแู้ ละแหลง่ การเรยี นรู้ 1. การต์ นู เรอื่ ง คณุ ทองแดง 2. หนงั สือ เร่ือง คุณทองแดง 3. แบบบันทึกการอ่านจากหนังสอื คุณทองแดง 6. การวดั และการประเมนิ ผล 6.1 สงั เกตพฤติกรรมนกั เรียนในเรื่องตอ่ ไปนี้ 6.1.1 สงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนขณะปฏบิ ตั กิ ิจกรรม 6.1.2 สังเกตผลงานความสาเร็จ ของกจิ กรรม 6.2 แบบประเมนิ ความพึงพอใจตอ่ กิจกรรม 6.3 สอบถามความพงึ พอใจตอ่ การเข้าร่วมกิจกรรมของนักเรยี น นอ้ ยทสี่ ดุ นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทส่ี ดุ 6.4 แบบสรุปสง่ิ ท่ีนักเรียนได้เรียนรจู้ ากการทากจิ กรรม
แบบบนั ทกึ สงิ่ ทไ่ี ดเ้ รยี นรจู้ าก 71 เรอื่ งคณุ ทองแดง ชอ่ื /นามสกุล............................................ ระดบั ชัน้ .............รนุ่ .........เลขท.่ี ............... ส่งิ ท่ีนักเรยี น ไดเ้ รยี นรู้ ความรสู้ ึก ความประทบั ใจ เพ่มิ เติม ความพงึ พอใจตอ่ กจิ กรรม ปานกลาง มาก มากทส่ี ดุ นอ้ ยทสี่ ดุ นอ้ ย
72 หมวดท่ี 3 สรา้ งเสรมิ คณุ ลกั ษณะและคา่ นยิ ม กจิ กรรม 11 ปลกู ฝงั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม เรอื่ ง ความอดทน ความมงุ่ มนั่ กิจกรรมที่ 3.5 1. ชอื่ กจิ กรรม กระตกุ ตอ่ มคดิ ....จากหนงั สอื พระมหาชนก 2. เวลาทใี่ ช้ 4 ช่ัวโมง 3. วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพ่ือสร้างคา่ นยิ มในการเปน็ มีความอดทน ความมุ่งมน่ั 2. เพอื่ ส่งเสรมิ ให้นกั เรยี นปฏบิ ตั ิตนเป็นคนมคี วามอดทน ความมุ่งม่นั 4. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. อ่านหนงั สอื พระมหาชนก 2. ดูการ์ตูน พระมหาชนก 3. บนั ทึกเหตุการณ์หรือขอ้ ความจากการอา่ นหนังสือพระมหาชนก 4. บันทกึ สงิ่ ทไ่ี ดเ้ รยี นรจู้ ากการอ่านหนังสอื พระมหาชนก 5. แลกเปลยี่ นความคิดจากเหตกุ ารณท์ ่ปี ระทบั ใจจากการอา่ นหนงั สอื พระมหาชนก 5. สอ่ื การเรยี นรแู้ ละแหลง่ การเรยี นรู้ 1. การ์ตูน เรือ่ ง พระมหาชนก 2. หนงั สือ เรื่อง พระมหาชนก 3. แบบบนั ทกึ การอ่านจากหนงั สอื พระมหาชนก 6. การวดั และการประเมนิ ผล 6.1 สังเกตพฤติกรรมนักเรียนในเรื่องตอ่ ไปน้ี 6.1.1 สังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนขณะปฏบิ ัตกิ ิจกรรม 6.1.2 สังเกตผลงานความสาเร็จ ของกิจกรรม 6.2 แบบประเมินความพึงพอใจตอ่ กจิ กรรม 6.3 สอบถามความพงึ พอใจตอ่ การเข้าร่วมกจิ กรรมของนกั เรยี น นอ้ ยทส่ี ดุ นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทส่ี ดุ 6.4 แบบสรุปส่งิ ท่ีนกั เรียนได้เรยี นรู้จากการทากิจกรรม
73 แบบบนั ทกึ สง่ิ ทไี่ ดเ้ รยี นรจู้ าก ชื่อ/นามสกุล......................................... เรอ่ื งพระมหาชนก ระดับช้นั ............รุน่ ........เลขท.ี่ ............. ส่งิ ท่ีนักเรยี น ไดเ้ รียนรู้ ความรู้สกึ ความประทบั ใจ เพ่ิมเตมิ ความพงึ พอใจตอ่ กจิ กรรม ปานกลาง มาก มากทสี่ ดุ นอ้ ยทส่ี ดุ นอ้ ย
74 หมวดท่ี 3 สรา้ งเสรมิ คณุ ลกั ษณะและคา่ นยิ ม กจิ กรรม 10 ปลกู ผงั ความรกั ชาติ ศาสนา พระมหากษตั รยิ ์ กจิ กรรมท่ี 3.6 1. ชอื่ กจิ กรรม กระตกุ ตอ่ มคดิ ....จากละครเทดิ พระเกยี รติ เรอ่ื งมลู นธิ ปิ ระชานเุ คราะหใ์ นพระบรมราชปู ถมั ภ์ 2. เวลาทใ่ี ช้ 4 ชว่ั โมง 3. วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพ่ือสร้างคา่ นิยมในการรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ ์ 2. เพื่อส่งเสรมิ ให้นกั เรยี นแสดงออกในการรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ ์ 4. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. ดลู ะครเทิดพระเกยี รติเร่อื งมลู นิธิราชประชานเุ คราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ 3. บันทึกเหตกุ ารณ์หรอื ข้อความที่ประทับใจจากการดูละครเทดิ พระเกียรตเิ รอ่ื งมูลนธิ ริ าชประชานุ เคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ 4. บันทึกสิ่งทีไ่ ด้เรยี นรู้จากการดูละครเทิดพระเกียรติเรอื่ งมลู นธิ ิราชประชานุเคราะห์ในพระบรม ราชูปถมั ภ์ 5. แลกเปลยี่ นความคิดจากเหตกุ ารณท์ ่ปี ระทบั ใจจากการ ดลู ะครเทดิ พระเกยี รตเิ ร่อื งมลู นธิ ิราช ประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ 5. สอื่ การเรยี นรแู้ ละแหลง่ การเรยี นรู้ 1. Clip ละครเทดิ พระเกียรติเร่ืองมลู นธิ ริ าชประชานุเคราะหใ์ นพระบรมราชูปถัมภ์ 2. แบบบันทึกการดูละครเทดิ พระเกียรตเิ ร่ืองมลู นธิ ิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ 6. การวดั และการประเมนิ ผล 6.1 สังเกตพฤตกิ รรมนกั เรยี นในเรอื่ งต่อไปนี้ 6.1.1 สงั เกตพฤติกรรมของนักเรยี นขณะปฏิบตั ิกิจกรรม 6.1.2 สงั เกตผลงานความสาเรจ็ ของกจิ กรรม 6.2 แบบประเมินความพงึ พอใจตอ่ กิจกรรม 6.3 สอบถามความพึงพอใจต่อการเข้ารว่ มกิจกรรมของนักเรียน 6.4 แบบสรุปสงิ่ ทน่ี กั เรียนได้เรียนรู้จากการทากิจกรรม 7 ความพงึ พอใจตอ่ การไดด้ ลู ะครเทดิ พระเกยี รติเรื่องมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ นอ้ ยทส่ี ดุ นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทสี่ ดุ
แบบบนั ทกึ สงิ่ ทไี่ ดเ้ รยี นรจู้ าก 75 เรอ่ื งละครเทดิ พระเกยี รติ เรอ่ื ง มลู นธิ ริ าชประชานเุ คราะหใ์ นพระบรมราชปู ถมั ภ์ ช่อื /นามสกุล.......................................... ระดบั ช้นั ............ร่นุ ........เลขท.่ี .............. สิง่ ทน่ี กั เรียน ได้เรียนรู้ ความรสู้ ึก ความประทบั ใจ ความพงึ พอใจตอ่ กจิ กรรม ปานกลาง มาก มากทส่ี ดุ นอ้ ยทส่ี ดุ นอ้ ย
76 หมวดที่ 3 สรา้ งเสรมิ คณุ ลกั ษณะและคา่ นยิ ม กจิ กรรม 11 ปลกู ฝงั ความรกั ความภาคภมู ใิ จในความเปน็ ไทย และหวงแหนสมบตั ขิ องชาติ กิจกรรมท่ี 3.7 1. ชอื่ กจิ กรรม กระตกุ ตอ่ มคดิ ....จากละครเทดิ พระเกยี รติ เรอ่ื ง อามา่ 2. เวลาทใ่ี ช้ 4 ช่ัวโมง 3. วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพื่อสรา้ งคา่ นยิ มในความรกั ความภาคภมู ใิ จในความเป็นไทย และหวงแหนสมบตั ขิ องชาติ 2. เพอื่ ส่งเสรมิ ให้นักเรยี นปฏิบตั ิตน แสดงความรัก ความภาคภมู ใิ จในความเป็นไทย และหวงแหน สมบตั ขิ องชาติ 4. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. ดูละครเทิดพระเกยี รติเรอ่ื ง อามา่ 2. บนั ทกึ เหตกุ ารณ์หรอื ข้อความทีป่ ระทับใจจากการดูละคร อาม่า 3. บันทกึ ส่ิงทีไ่ ด้เรียนรู้จากการดลู ะครเทดิ พระเกียรติเร่อื ง อาม่า 4. แลกเปลยี่ นความคิดจากเหตุการณ์ทีป่ ระทับใจจากการ ดูละครเทิดพระเกยี รติเรือ่ ง อามา่ 5. สอื่ การเรยี นรแู้ ละแหลง่ การเรยี นรู้ 1. Clip ละครเทดิ พระเกยี รติเรือ่ ง อามา่ 2. แบบบนั ทึกการดลู ะครเทดิ พระเกียรตเิ รื่อง อาม่า 6. การวดั และการประเมนิ ผล 6.1 สงั เกตพฤตกิ รรมนักเรียนในเร่อื งตอ่ ไปน้ี 6.1.1 สงั เกตพฤติกรรมของนักเรยี นขณะปฏบิ ัติกิจกรรม 6.1.2 สังเกตผลงานความสาเรจ็ ของกจิ กรรม 6.2 แบบประเมินความพึงพอใจตอ่ กจิ กรรม 6.3 สอบถามความพึงพอใจตอ่ การเข้าร่วมกิจกรรมของนักเรียน 6.4 แบบสรุปสิ่งทน่ี ักเรยี นได้เรยี นรู้จากการทากจิ กรรม 7 ความพงึ พอใจตอ่ การไดด้ ลู ะครเทดิ พระเกยี รตเิ รอ่ื ง อามา่ นอ้ ยทสี่ ดุ นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทส่ี ดุ
แบบบนั ทกึ สงิ่ ทไ่ี ดเ้ รยี นรจู้ าก ชือ่ /นามสกุล................................................ 77 ละครเทดิ พระเกยี รติ เรอ่ื ง อามา่ ระดับช้นั ............รนุ่ ..............เลขที.่ .............. สงิ่ ทนี่ กั เรยี น ไดเ้ รยี นรู้ ความรสู้ กึ ความ ประทบั ใจ ความพงึ พอใจตอ่ กจิ กรรม ปานกลาง มาก มากทสี่ ดุ นอ้ ยทสี่ ดุ นอ้ ย
78 หมวดที่ 3 สรา้ งเสรมิ คณุ ลกั ษณะและคา่ นยิ ม กจิ กรรม 11 ปลกู ฝงั ความรกั ความภาคภมู ใิ จในความเปน็ ไทย และหวงแหนสมบตั ขิ องชาติ กจิ กรรมที่ 3.7 1. ชอื่ กจิ กรรม ตามรอยเทา้ พอ่ อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง 2. เวลาทใ่ี ช้ 4 ช่ัวโมง 3. วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพื่อให้มีความรูเ้ กย่ี วหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 2. นักเรียนสามารถนาหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงไปใช้ในชีวติ ได้ 3. เพอื่ สรา้ งค่านยิ มในความรกั ความภาคภมู ิใจในความเปน็ ไทย และหวงแหนสมบัตขิ องชาติ 4. เพอื่ ส่งเสรมิ ให้นกั เรียนปฏบิ ตั ติ น แสดงความรัก ความภาคภูมิใจในความเปน็ ไทย และหวงแหน สมบัติของชาติ 4. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. ดู Clip พระราชดารัสพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั เกีย่ วกบั เรอื่ งหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 2. ดู Clip การต์ นู เศรษฐกจิ พอเพยี งและการประยุกตใ์ ชใ้ นสังคมเมือง 3. ดู Clip เพลงฉอ่ ย เศรษฐกจิ พอเพยี ง 4. ดลู ะครเก่ียวกับการใช้ชวี ติ ตามหลักปรัชญาชองเศรษฐกจิ พอเพียง 5. ถอดบทเรียนเกีย่ วกับเร่ืองหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 6. บันทกึ ส่ิงทไ่ี ดเ้ รยี นรู้จากการดลู ะครการใช้ชีวิตอยา่ งพอเพียง 7. ถอดบทเรยี น “การนาหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ใชใ้ นชีวติ ” 8. แลกเปลย่ี นความคิด “การนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ใช้ในชีวติ ” 5. สอ่ื การเรยี นรแู้ ละแหลง่ การเรยี นรู้ 1. Clip พระราชดารัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัว เกยี่ วกบั เรื่องหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 2. Clip การต์ นู เศรษฐกิจพอเพยี งและการประยุกต์ใช้ในสงั คมเมอื ง 3. Clip เพลงฉ่อย เศรษฐกิจพอเพียง 4. VCD ละครพอเพยี งตามแนวคดิ ของพ่อ 5. ใบงานเรือ่ ง ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง 6. แบบบันทึกการดลู ะคร พอเพยี งตามแนวคดิ ของพ่อ 7. ใบงานการถอดบทเรยี น “การนาหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ใช้ในชวี ิต” 8. ใบความรเู้ กี่ยวกับ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
79 6. การวดั และการประเมนิ ผล 6.1 สังเกตพฤตกิ รรมนักเรียนในเรอ่ื งต่อไปนี้ 6.1.1 สงั เกตพฤติกรรมของนกั เรยี นขณะปฏิบตั กิ ิจกรรม 6.1.2 สังเกตผลงานความสาเร็จ ของกจิ กรรม 6.2 แบบประเมนิ ความพงึ พอใจต่อกจิ กรรม 6.3 แบบสรุปสิง่ ที่นักเรียนไดเ้ รียนรู้จากการทากจิ กรรม 6.4 ความพงึ พอใจต่อการไดท้ ากจิ กรรม นอ้ ยทส่ี ดุ นอ้ ย ปานกลาง มาก มากทส่ี ดุ
80 พระราชดารัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วนั ท่ี 4 ธนั วาคม 2541 เนอ่ื งในวนั เฉลิมพระชนม์พรรษา 5 ธันวาคม 2541 โดยมี ฯพณฯนายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย เป็นผู้กราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอย่หู ัวทรงอธิบายเร่อื ง \"เศรษฐกจิ พอเพยี ง\" เปน็ เร่อื งสาคัญ พระองคท์ รงตอ้ งมีพระราชดารสั ซ้าย้าอีก คร้ังในปีน้ี เพราะท่ีทรงอธิบายไปแล้วปีก่อนหน้าน้ันก็ยังไม่เข้าใจถ่องแท้ พระราชดารัสเรื่องเศรษฐกิจ พอเพียงคร้ังแรกเมอ่ื วนั ที่ 18 กรกฎาคม 2517 ในพิธพี ระราชทานปรญิ ญาบัตร ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ : \"การพฒั นาประเทศจาเปน็ ตอ้ งทาตามลาดบั ชนั้ ตอ้ งสรา้ งพน้ื ฐาน คือความ พอมีพอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบอื้ งตน้ โดยใช้วธิ ีการและอปุ กรณท์ ีป่ ระหยดั และถูกต้อง ตามหลกั วชิ า\" พระราชดารสั เรื่องเศรษฐกจิ พอเพยี ง ในวนั ที่ 4 ธันวาคม 2540 : \"รวู้ ่าท่านท้ังหลายกาลงั กลุ้มใจในวกิ ฤตกิ ารณ์ ตัง้ แตค่ นทมี่ เี งนิ นอ้ ย จนกระทง่ั คนทม่ี เี งนิ มาก แตถ่ า้ สามารถทจ่ี ะเปลย่ี นใหก้ ลบั เปน็ เศรษฐกิจแบบพอเพยี ง ไมต่ ้องท้งั หมด แม้จะไม่ถึงครึง่ อาจจะเศษหนึ่งสว่ นส่ี กจ็ ะสามารถที่จะอยไู่ ด\"้ พระราชดารัสเร่ืองเศรษฐกิจพอเพียงวันท่ี 4 ธันวาคม 2541 พระเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายเรื่องความ พอเพียงในด้านที่มิใช่เศรษฐกิจด้วย : \"คาว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี้ไม่มีในตารา ไม่เคยมีระบบเศรษฐกิจ พอเพียง..เศรษฐกิจพอเพียงนี้กว้างขวางกว่า \"self-sufficiency\"...พูดจาก็พอเพียง...ปฏิบัติก็พอเพียง... ความคิดก็เหมือนกัน...ถ้าใครมีความคิดอย่างหน่ึง การพอเพียงในความคิดก็คือแสดงความคิดของตัว ความเห็นของตัว และปล่อยให้อีกคนพูดบ้าง และมาพิจารณาว่า ท่ีเขาพูดกับท่ีเราพูด อันไหนพอเพียง อันไหนเข้าเร่ือง ถ้าไม่เข้าเร่ืองก็แก้ไข เพราะว่าพูดกันโดยท่ีไม่รู้เรื่องกันมันก็เป็นการทะเลาะ จากการ ทะเลาะด้วยวาจา ก็กลายเป็นการทะเลาะด้วยกาย ซ่ึงในที่สดุ กน็ าไปสู่ความเสียหาย...ถ้าพดู ไม่เขา้ ใจปีนี้ กอ็ าจจะต้องอธบิ ายตอ่ ปหี น้า. ความหมายของเศรษฐกจิ พอเพยี ง (Sufficiency Economy) เศรษฐกิจพอเพยี ง หมายถึง ปรัชญาทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวได้ทรงมีพระราชดารสั ชี้แนะ แนวทางที่ควรดารงอยู่และปฏิบัติตนแกพ่ สกนกิ รชาวไทยมาโดยตลอดนานกวา่ 30 ปี ตง้ั แต่กอ่ นเกดิ วกิ ฤต เศรษฐกจิ 2550 ใหใ้ ช้เป็นแนวทางการแกไ้ ข เพ่อื ใหร้ อดพน้ วกิ ฤต และสามารถดารงอยู่ได้อยา่ งม่ันคง และ ย่ังยนื ภายใตค้ วามเปลี่ยนแปลงตา่ ง ๆ ลกั ษณะของปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง 1. เปน็ วิถกี ารดาเนนิ ชีวิต ที่ใช้คณุ ธรรมกากับความรู้ 2. เป็นการพัฒนาตัวเอง ครอบครวั องค์กร สังคม ประเทศชาติ ใหก้ า้ วหนา้ ไปพรอ้ มกับความสมดลุ ม่นั คง ยั่งยนื 3. เปน็ หลักคิดและหลักปฏิบตั ิ เพอื่ ใหค้ นสว่ นใหญพ่ อมีพอกินพอใช้ สามารถพ่งึ ตนเองได้ เพอื่ ใหค้ นกบั คนในสงั คม สามารถอยู่ร่วมกนั อย่างสันตสิ ุข
81 เพอ่ื ใหค้ นกับธรรมชาติ อยู่ร่วมกันอย่างสมดลุ ย่ังยืน และใหแ้ ตล่ ะคนดารงตนอยา่ งมีศักด์ิศรี และรากเหง้าทางวฒั นธรรม องคป์ ระกอบปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง เศรษฐกิจพอเพยี ง ประกอบดว้ ยคุณลักษณะ 3 ประการ และเงอื่ นไข 2 ประการ หรอื ทเี่ รียกว่า 3 ห่วง 2 เงอ่ื นไข คือ ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีต่อความจาเป็น และเหมาะสมกับฐานะของตนเอง สังคม ส่ิงแวดล้อม รวมท้ังวฒั นธรรมในแต่ละท้องถิ่น ไม่มากเกนิ ไป ไม่น้อยเกินไป และต้องไมเ่ บียดเบียนตนเอง และผอู้ นื่ ความมเี หตผุ ล หมายถงึ การตัดสินใจดาเนนิ การเร่ืองต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลตามหลักวชิ าการ หลกั กฎหมาย หลักศีลธรรมจริยธรรม และวัฒนธรรมที่ดีงาม โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เก่ียวข้อง ตลอดจน คานงึ ถงึ ผลท่คี าดว่าจะเกิดข้นึ จากการกระทานน้ั ๆ อย่างรอบรแู้ ละรอบคอบ ระบบภมู คิ มุ้ กนั ในตวั ทด่ี ี หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับต่อผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงใน ด้านต่าง ๆ ไมว่ า่ จะเปน็ ดา้ นเศรษฐกจิ สงั คม สงิ่ แวดลอ้ ม และวฒั นธรรม เพื่อให้สามารถปรับตัวและรบั มือ ไดอ้ ย่างทันท่วงที เง่ือนไขสาคัญท่ีจะทาให้การตัดสินใจ และการกระทาเป็นไปพอเพียง จะต้องอาศัยทั้งคุณธรรมและ ความรู้ ดงั น้ี เง่อื นไขคณุ ธรรม ท่จี ะตอ้ งสรา้ งเสรมิ ให้เป็นพ้ืนฐานจิตใจของคนในชาติ ประกอบด้วย ด้านจิตใจ คอื การตระหนักในคุณธรรม รูผ้ ดิ ชอบช่ัวดี ซอ่ื สตั ยส์ ุจริต ใชส้ ตปิ ญั ญาอย่างถกู ต้องและเหมาะสมในการดาเนิน ชีวิต และด้านการกระทา คือมีความขยนั หมน่ั เพียร อดทน ไม่โลภ ไม่ตระหน้ี รูจ้ กั แบง่ ปนั และรับผดิ ชอบใน การอยรู่ ่วมกบั ผอู้ ่ืนในสงั คม เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วยการฝึกตนให้มีความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องอย่าง รอบด้าน มีความรอบคอบ และความระมัดระวังที่จะนาความรู้ต่าง ๆ เหล่านั้นมาพิจารณาให้เช่ือมโยงกัน เพอ่ื ประกอบการวางแผน และในข้ันปฏบิ ตั ิ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่เป็นทั้งแนวคิด หลักการ และแนวทางปฏิบัติตนของแต่ละบุคคล และองค์กร โดยคานึงถึงความพอประมาณกับศักยภาพของตนเอง และสภาวะแวดล้อม ความมีเหตุมีผล และการมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวเอง โดยใช้ความรู้อย่างถูกหลักวิชาการด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง ควบคู่ไปกับการมีคุณธรรม ซ่ือสัตย์สุจริต ไม่เบียดเบียนกัน แบ่งปัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และร่วมมือ ปรองดองกันในสังคม ซ่ึงจะช่วยเสริมสร้างสายใยเช่ือมโยงคนในภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคมเข้าด้วยกัน สร้างสรรคพ์ ลงั ในทางบวก นาไปสู่ความสามคั คี การพัฒนาที่สมดลุ และยงั่ ยนื พรอ้ มรับตอ่ การเปล่ยี นแปลง ภายใตก้ ระแสโลกาภวิ ตั น์ได้
82 การนาเศรษฐกจิ พอเพยี งไปประยกุ ตใ์ ช้ ตอ้ งคานงึ ถงึ 4 มติ ิ ดงั นี้ ด้านเศรษฐกิจ ลดรายจา่ ย / เพิม่ รายได้ / ใชช้ ีวิตอย่างพอควร / คิดและวางแผนอยา่ ง ด้านสังคม รอบคอบ / มีภมู คิ มุ้ กัน / ไมเ่ สี่ยงเกินไป / การเผื่อทางเลือกสารอง ดา้ นทรัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดล้อม ช่วยเหลือเกอื้ กูล / รู้รกั สามคั คี / สรา้ งความเขม้ แขง็ ให้ครอบครัวและ ด้านวฒั นธรรม ชุมชน รจู้ กั ใชแ้ ละจัดการอยา่ งฉลาดและรอบคอบ / เลือกใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่ อยา่ งร้คู า่ และเกดิ ประโยชนส์ ูงสดุ / ฟืน้ ฟูทรพั ยากรเพ่ือใหเ้ กิดความ ยัง่ ยนื สูงสุด รกั และเห็นคณุ ค่าในความเป็นไทย เอกลกั ษณ์ไทย / เห็นประโยชน์และ คมุ้ คา่ ของภูมปิ ญั ญาไทย ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ิน / รจู้ ักแยกแยะและเลอื กรับ วฒั นธรรมอื่น ๆ
83 ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง สรปุ ไดด้ งั แผนภาพตอ่ ไปน้ี สรปุ ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ทางสายกลาง พอเพยี ง พอประมาณ มเี หตผุ ล ภมู คิ มุ้ กนั ในตวั ทด่ี ี เงอ่ื นไขความรู้ เงอ่ื นไขคณุ ธรรม รอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง สติ ปัญญา ขยัน หมั่นเพยี ร อดทน ในการนาหลักวิชาการตา่ ง ๆ มาใช้ ซือ่ สัตยส์ ุจรติ ไมเ่ บยี ดเบยี น แบ่งปัน นาไปสู่ วตั ถุ / สงั คม / สงิ่ แวดลอ้ ม / วฒั นธรรม สมดลุ และพรอ้ มรบั ตอ่ การเปลยี่ นแปลง
84 การวเิ คราะหป์ รชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งกบั การใชโ้ ทรศพั ทม์ อื ถอื หลกั ความพอประมาณ - พอประมาณกบั เวลาในการสนทนากันแต่ละครง้ั - พอประมาณกับช่วงเวลาในแตล่ ะวัน ว่าเวลาใดควรใช้และเวลาใดไม่ควรใช้ - พอประมาณกบั สถานท่ี รจู้ ักเคารพสถานท่ีท่คี วรใช้ และไม่ควรใช้ - พอประมาณกบั กาลงั ทรัพย์ ทง้ั เร่อื งราคาของเครือ่ งและคา่ ใชจ้ ่ายท่ีเกิดจากการใช้ หลกั การมเี หตผุ ล - ความจาเปน็ ในการใช้ - เน้อื หาสาระในการสนทนาจาเป็นทจี่ ะต้องใชโ้ ทรศัพทเ์ พียงใด หลกั ภมู คิ มุ้ กนั - รู้เท่าทัน Promotion - รู้เทา่ กนั ภยั และโทษอนั เกิดจากการใชโ้ ทรศัพท์มือถือ เงอ่ื นไขคณุ ธรรม - การประหยัด ไมฟ่ ุม่ เฟอื ย - การเคารพตอ่ สถานท่ี - การมมี ารยาท รูจ้ กั เกรงใจผอู้ ื่น - ความรับผิดชอบตอ่ ผลที่เกิดจากการใชโ้ ทรศพั ท์ เงอื่ นไขความรู้ - คุณสมบัตขิ องเคร่ืองใช้โทรศพั ท์ - การดูแลรกั ษาเครื่องใช้โทรศัพท์ - ค่าใช้จ่ายที่เกิดขนึ้ แต่ละครง้ั หรอื รายเดือน การเชอ่ื มโยงสู่ 4 มติ ิ สงั คม - การรจู้ กั ใช้โทรศัพทม์ ือถอื สามารถช่วยเหลือสังคมได้หลายกรณี เช่น ใชแ้ จ้งขา่ ว อาชญากรรม อุบตั ิเหตุ เศรษฐกิจ - การใชโ้ ทรศพั ท์มอื ถอื ทเี่ หมาะสมกบั กจิ กรรมหรอื ภาระงาน ทาให้ประหยัดคา่ ใชจ้ ่าย ไดม้ าก เช่น การตดิ ต่อที่ต้องเดนิ ทางระยะไกล ทาใหป้ ระหยดั ทง้ั เวลาและค่าน้ามันเช้อื เพลงิ การตกลงธุรกิจ โดยใช้โทรศัพทม์ อื ถอื สง่ิ แวดลอ้ ม - การใช้โทรศพั ทม์ ือถอื แทนการเดินทาง ช่วยประหยัดพลงั งานนา้ มัน ลดปญั หาจราจร ปัญหามลพษิ ในอากาศ ในขณะเดยี วกนั ขยะพษิ เชน่ แบตเตอร่จี ากโทรศัพท์มือถือทีเ่ ราใช้กต็ อ้ งท้ิงใหถ้ กู ท่ี โดยการแยกขยะ เพอ่ื ไมไ่ ปก่อปัญหาส่งิ แวดล้อมด้วย วฒั นธรรม - การตดิ ตอ่ สัมพันธ์ การใช้ภาษาฯ การแสดงความรสู้ ึกในโอกาสตา่ ง ๆ กับญาติมิตร บดิ า มารดา โดยใช้โทรศัพท์มอื ถอื ทีท่ าให้เหน็ ถึงความกตญั ญูเวที วัฒนธรรมความเป็นครอบครวั ของ สงั คมไทย
85 การวเิ คราะหห์ ลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งกบั การทาโครงงานของนกั เรยี น ความพอประมาณ - พอประมาณกบั เวลาในการทากิจกรรม - พอประมาณกับความสามารถ - พอประมาณกับสถานที่และอปุ กรณ์ - พอประมาณกับงบประมาณในการจัดทา ความมเี หตผุ ล ภมู คิ มุ้ กนั ในตวั ทดี่ ี - มีทักษะในการปฏบิ ตั งิ านจริง - มกี ารวางแผนอยา่ งเป็นระบบ - วิเคราะห์ความสาคญั /ปญั หาถูกต้อง - ศึกษาข้ันตอนและวิธีการอย่างชดั เจน - เลือกโครงงานได้เหมาะสม - มคี วามรอบคอบและระมัดระวงั ใน การปฏบิ ัติงาน เงอ่ื นไขความรู้ เงอื่ นไขคณุ ธรรม - วธิ กี ารจดั ทาโครงงาน - การตรงตอ่ เวลา - การสืบค้นขอ้ มลู - ความซื่อสตั ย์สุจรติ - การบันทึกข้อมลู - ความเอ้อื เฟอ้ื เผอื่ แผ่ - ความขยันอดทน นาไปสกู่ ารเชอื่ มโยง 4 มติ ิ สงั คม - นกั เรียนได้นาความรู้จากการทากิจกรรมไปประยุกต์ใช้ในชวี ติ จริง และอยู่ใน เศรษฐกจิ สงั คมไดอ้ ย่างมคี วามสขุ วฒั นธรรม สง่ิ แวดลอ้ ม - รจู้ ักใชว้ สั ดุ อุปกรณ์ อยา่ งประหยัดเหน็ คณุ คา่ ของสรรพสิง่ ไม่ฟุ่มเฟอื ย - มคี ุณธรรม มีความรัก เมตตาต่อคนอ่ืน และสรรพสง่ิ ตา่ ง ๆ ไมท่ าลายชวี ติ ผอู้ ืน่ ดว้ ยความคึกคะนอง ตระหนกั ถงึ หลักชวี ติ จรยิ ธรรม - ใช้ทรัพยากรอย่างคุม้ ค่า ไม่ทาลายสิง่ แวดลอ้ ม
86 การวเิ คราะหห์ ลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งกบั การเขยี นเรยี งความ สาระการเรยี นรู้ 1. ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 2. หลกั การเขยี นเรียงความ และองคป์ ระกอบของเรียงความ 3. ลักษณะของเรียงความท่ดี ี 4. การเขยี นเรียงความ เร่อื ง “เยาวชนสร้างคุณค่าชีวติ ดว้ ยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง” 5. การวเิ คราะหแ์ ละประยกุ ตใ์ ช้หลักแนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพยี งกับการทางานและการดาเนิน ชีวิตประจาวัน การบรู ณาการกบั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 1. ความพอประมาณ - มีความรู้และเข้าใจปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งอย่างเพียงพอ เพ่ือใชเ้ ปน็ ข้อมลู ในการ เขียนเรียงความ - จัดสรรเวลาในการเขยี นเรียงความอย่างเหมาะสม - มคี วามรคู้ วามสามารถอย่างเพียงพอในการใช้ภาษา และเขยี นเรียงความ 2. ความมเี หตผุ ล - เหน็ คณุ ค่าของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการนาไปพัฒนาชวี ติ - เหน็ ความสาคญั ของทักษะการเขยี นในการเป็นเครือ่ งมอื สือ่ สาร กาหนดโครงเรอื่ งและ เนือ้ หาเรยี งความที่มเี หตุผลและสามารถนาไปปฏบิ ัติไดจ้ รงิ 3. การมภี มู คิ มุ้ กนั ในตวั ทดี่ ี - มคี วามตระหนกั และรู้จกั ประยุกต์ใชป้ รัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงในการดาเนนิ ชีวิตได้ อยา่ งถูกต้อง - รลู้ กั ษณะเดน่ และขอ้ จากัดของตนเองในการเขยี นเรยี งความ 4. เงอ่ื นไขความรู้ - มคี วามร้ใู นหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งมีความรู้ในการประยุกต์ใช้ปรชั ญาของเศรษฐกิ พอเพยี งได้ในการดาเนนิ ชวี ิตไดอ้ ย่างยงั่ ยนื - มีความรใู้ นหลกั การเขียนเรยี งความ - ศกึ ษาหาความรู้เพ่อื พัฒนาตนเองอยูเ่ สมอ 5. เงอ่ื นไขคณุ ธรรม - เขียนเรยี งความอยา่ งมมี ารยาท และไมค่ ัดลอกงานเขียนของผูอ้ นื่ - ใช้งานเขียนของตนเองเพอื่ จรรโลงตนเองและสังคม - มคี วามขยนั หมนั่ เพียรในการศึกษาหาความรู้ เพอื่ พัฒนาตนเอง - มีความอดทน ตัง้ ใจทางานทไี่ ด้รับมอบหมาย และสามารถสร้างงานได้ อย่างสมบรู ณ์
87 การวเิ คราะหห์ ลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งกบั การประดษิ ฐก์ ระทงใบตอง สาระการเรยี นรู้ 1. ความหมาย ความสาคัญ วิธีการเลอื กใช้และรกั ษาใบตอง 2. วัสดุ อปุ กรณ์ในการประดษิ ฐก์ ระทงและการดูแลรกั ษาวสั ดุ อุปกรณ์ 3. การออกแบบการประดษิ ฐ์กระทงจากใบตอง 4. ประดิษฐก์ ระทงจากใบตอง 5. การนาไปใช้ และการเพม่ิ รายได้ การบรู ณาการกบั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 1. ความพอประมาณ - พอประมาณกับวัสดุ อุปกรณ์ เวลา ศักยภาพ ความชอบ แรงงานที่มอี ยู่ 2. ความมเี หตผุ ล - ใช้วสั ดุทมี่ ใี นทอ้ งถนิ่ อย่างคุ้มค่า - ประหยดั รายจ่าย - เพมิ่ รายได้ 3. การมภี มู คิ มุ้ กนั ในตวั ทดี่ ี - ไดก้ ระทงท่ีทาจากวัสดุธรรมชาติ - ไม่ทาลายส่ิงแวดลอ้ ม - สืบสานประเพณีวฒั นธรรมไทย - เห็นคุณค่าของตนเอง 4. เงอื่ นไขความรู้ - ร้คู วามหมาย ความสาคญั ประโยชนข์ องใบตอง / รอบร้ใู นการประดษิ ฐ์ - กระทงใบตอง / รอบรใู้ นการผลติ - การออกแบบกระทงใบตอง - การเตรียมเครื่องมือ วสั ดุ อุปกรณ์ในการประดษิ ฐ์กระทงใบตอง - ขน้ั ตอนการประดษิ ฐก์ ระทงใบตอง - การจัดจาหน่าย 5. เงอ่ื นไขคณุ ธรรม - ความประณีต ละเอียด รอบคอบ - ความสามัคคีในการทางานร่วมกบั ผู้อ่ืน - ความรับผดิ ชอบ และซ่ือสัตย์ - ความขยัน อดทน - ความประหยดั และออม
88 การวเิ คราะหห์ ลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งกบั “สงิ่ มชี วี ติ กบั สง่ิ แวดลอ้ ม” สาระการเรยี นรู้ 1. ทรพั ยากรธรรมชาติ - ความหมายของทรพั ยากรธรรมชาติ - ประเภทของทรพั ยากรธรรมชาติ - การสารวจทรัพยากรธรรมชาตใิ นทอ้ งถิ่น (ดิน น้า ปา่ ไม้ และพลังงาน) - วเิ คราะหผ์ ลการใช้ทรพั ยากรธรรมชาตใิ นประเทศและโลก (ดิน นา้ ปา่ ไม้ และพลงั งาน) ท่ีมี ผลกระทบต่อคณุ ภาพชีวติ เศรษฐกิจ และสงั คม ท้งั ผลดีและผลเสยี - การประยกุ ต์ใช้หลกั แนวคิดของเศรษฐกจิ พอเพยี งในการป้องกนั แกป้ ญั หา พัฒนา และ อนุรักษท์ รพั ยากรธรรมชาติ 2. สงิ่ แวดลอ้ ม - ความหมายของส่งิ แวดลอ้ ม - ประเภทของสิ่งแวดลอ้ ม - วิเคราะห์สภาพส่งิ แวดลอ้ มทงั้ ผลดี และผลเสียภายในท้องถนิ่ - สงั เคราะห์ปญั หาการทาลายส่ิงแวดลอ้ มในทอ้ งถ่ิน เศรษฐกจิ ประเทศ และโลก - แนวทางการแก้ไขปญั หาของส่งิ แวดลอ้ มท่มี ผี ลกระทบตอ่ คณุ ภาพชวี ิต เศรษฐกิจ และสงั คม - การประยุกต์ใช้หลกั แนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพยี งในการปอ้ งกนั แกป้ ญั หาพัฒนา และ อนุรกั ษ์สิ่งแวดลอ้ ม การบรู ณาการกบั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง 1. ความพอประมาณ - สารวจสภาพการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของมนษุ ยชาติทไี่ ดก้ อ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาส่ิงแวดลอ้ มต่าง ๆ ทั้งในชมุ ชน ประเทศและโลก - วิเคราะหค์ ุณค่าและประโยชน์ของสง่ิ แวดล้อมทีม่ ีตอ่ มนุษยชาติเพื่อใหน้ กั เรียนเกดิ การ เปรียบเทยี บและตระหนักถงึ ปญั หาที่เกิดจากการใชท้ รัพยากรท่ีมผี ลกระทบตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม 2. ความมเี หตผุ ล - ปจั จัยในการดารงชีวิตของประชากร สว่ นเป็นผลมาจากทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม - การอนรุ ักษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม จงึ เป็นรากฐานการพัฒนาคณุ ภาพชีวิต เศรษฐกจิ และสงั คมสูก่ ารพึง่ พอตนเองอย่างยงั่ ยืน 3. การมภี มู คิ มุ้ กนั ในตวั ทดี่ ี - การอนุรักษ์ พฒั นาทรพั ยากรธรรมชาติ เพอ่ื สร้างความสมดุลของธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ ม การมสี ว่ นร่วมของชมุ ชนในการอนุรกั ษ์ ฟืน้ ฟู มีแนวทางการพัฒนาท่ยี ่ังยืน - การจดั การกับสิง่ แวดลอ้ มทดี่ ี จัดสรรพืน้ ที่การใช้ประโยชน์อย่างถกู ต้องเหมาะสม ประชาชนในชมุ ชนมสี ว่ นร่วมสรา้ งภูมิคมุ้ กนั ในตัวทดี่ ี เตรยี มพรอ้ มตอ่ ผลกระทบและการ เปลีย่ นแปลงในอนาคตอย่างมัน่ คง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176