Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้ประถม

แผนการจัดการเรียนรู้ประถม

Published by sirinandp, 2022-07-31 10:20:43

Description: #กศน.ตำบลไผ่รอบ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง

Search

Read the Text Version

ใบงานรายวชิ า เศรษฐกจิ พอเพยี ง รหัสวิชา ทช 11001 ระดบั ประถมศึกษา ใบงานท่ี 2 1. นกั ศึกษาสามารถนำหลักเศรษฐกิจพอเพยี ง มาประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตประจำวนั ได้ อย่างไรบา้ ง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ........................................................................ .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................ 2. ให้นกั ศกึ ษาอธบิ ายการนำเงือ่ นไขคุณธรรมและเงอ่ื นไขความรไู้ ปปรับใช้ในชวี ติ ประจำวนั ได้ อย่างไร บา้ ง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ........................................................................ .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................

แบบทดสอบก่อนเรียน รายวชิ าเศรษฐกิจพอเพียง ระดบั ประถมศึกษา 1. ความพอเพยี งหมายถงึ อะไร ก. ความพอดีไม่นอ้ ยเกนิ ไป ไม่มากเกินไป ข. การเตรยี มความพรอ้ มรบั ผลการเปลี่ยนแปลงในดา้ นตา่ งๆ ค. การซ้ือของกนิ ทกุ อยา่ งที่ต้องการ ง. การซือ้ ของอย่างประหยัดมากๆ 2. พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวมพี ระราชดำรัสชีแ้ นะแนวทางการดำเนินชวี ติ นานกว่ากป่ี ี ก. 20 ปี ข. 30 ปี ค. 40 ปี ง. 50 ปี 3. ปจั จุปนั ประชาชนยึดหลกั อะไรในการดำเนนิ ชีวิต ก. หลกั เศรษฐกิจการค้า ข. หลกั เศรษฐกิจพอเพยี ง ค. หลักจรยิ ธรรม ง. หลักคุณธรรม 4. กรอบแนวคดิ ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งชแี้ นะแนวทางใด ก. มุง่ เน้นการรอดพน้ จากภัย ข. แนวทางการดำรงอยู่ ค. มภี ูมิค้มุ กันทด่ี ีในตัวเอง ง. การตดั สนิ ใจและดำเนนิ กจิ กรรมต่างๆ 5. เศรษฐกจิ พอเพียงเปน็ หลกั ในการดำเนินชีวติ แบบใด ก. ประหยัด ข. ทางสายกลาง ค. เพยี งพอ ง. หากินตามธรรมชาติ

6. เง่อื นไขในการดำเนินวถิ เี ศรษฐกจิ พอเพียงมอี ะไรบา้ ง ก. ความรู้ความพอประมาณ ข. ความรูค้ คู่ ุณธรรม ค. ความพอดแี ละความพอเพียง ง. ความรู้ ความพอเพียง และคุณธรรม 7. ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงมี 3 องค์ประกอบ คอื ก. ทางสายกลาง ,มเี หตุมีผล,พอประมาณ ข. พอประมาณ,มีเหตุมผี ล,มคี ุณธรรม ค. พอประมาณ,มภี ูมิคมุ้ กนั ,มีเหตุมผี ล ง. มเี หตุมีผล,มีภมู ิคุ้มกนั ,มคี วามรู้ 8. การดำเนินชีวติ แบบเศรษฐกิจพอเพียงคอื กจิ กรรมใด ก. ครอบครัว ชมุ ชน สังคม ข. บคุ คล ครอบครวั ชมุ ชน ค. บคุ คล ครอบครัว สงั คม ง. ครอบครัว ชมุ ชน ประเทศชาติ 9. เศรษฐกจิ พอเพยี ง มีความหมายตรงกับขอ้ ใดมากทีส่ ุด ก. อยู่ดกี ินดี ข. ใชจ้ า่ ยตามกำลงั ฐานะของตนเอง ค. มีคณุ ภาพชวี ิตทดี่ ีขนึ้ ง. กนิ อยพู่ อประมาณไมฟ่ งุ้ เฟ้อ 10. หลักเศรษฐกิจพอเพยี งสำหรับเกษตรกร หมายถงึ การปฏิบตั ติ ามพระราชดำรเิ ร่อื ง การเกษตรทฎษฎี ใหม่เพ่ือให้เกิดผลดตี อ่ เกษตรกรอยา่ งไร ก. มีผลผลิตสูง ข. เป็นเกษตรกรกา้ วหนา้ มรี ายไดส้ งู ค. พออยู่ พอมี พอกนิ ไม่มหี นส้ี ิน ง. นำความรู้สมยั ใหมม่ าใช้ เฉลย 1. ก 2. ง 3. ข 4. ค 5. ข 6.ข 7. ค 8. ข 9. ง 10. ค

แบบทดสอบหลงั เรียน รายวิชาเศรษฐกจิ พอเพยี ง ระดบั ประถมศึกษา 1.หลักเศรษฐกิจพอเพยี งสำหรับเกษตรกร หมายถึงการปฏบิ ตั ิตามพระราชดำรเิ รอ่ื ง การเกษตรทฎษฎใี หม่ เพือ่ ใหเ้ กิดผลดีต่อเกษตรกรอยา่ งไร ก. มีผลผลิตสูง ข. เป็นเกษตรกรก้าวหนา้ มรี ายได้สูง ค. พออยู่ พอมี พอกิน ไม่มหี นส้ี นิ ง. นำความรู้สมัยใหมม่ าใช้ 2. เศรษฐกิจพอเพียง มีความหมายตรงกบั ขอ้ ใดมากทสี่ ุด ก. อย่ดู กี ินดี ข. ใช้จ่ายตามกำลงั ฐานะของตนเอง ค. มคี ณุ ภาพชวี ิตทดี่ ขี น้ึ ง. กินอยู่พอประมาณไมฟ่ งุ้ เฟอ้ 3. การดำเนินชวี ิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงคอื กิจกรรมใด ก. ครอบครวั ชุมชน สังคม ข. บุคคล ครอบครวั ชุมชน ค. บุคคล ครอบครัว สงั คม ง. ครอบครวั ชุมชน ประเทศชาติ 4. ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งมี 3 องค์ประกอบ คือ ก. ทางสายกลาง ,มเี หตุมผี ล,พอประมาณ ข. พอประมาณ,มเี หตุมผี ล,มีคุณธรรม ค. พอประมาณ,มภี ูมิคมุ้ กนั ,มเี หตมุ ผี ล ง. มเี หตุมีผล,มภี ูมิคุม้ กนั ,มีความรู้ 5. ความพอเพยี งหมายถึงอะไร ก. ความพอดีไม่นอ้ ยเกินไป ไม่มากเกินไป ข. การเตรียมความพร้อมรับผลการเปลี่ยนแปลงในด้านตา่ งๆ ค. การซ้อื ของกนิ ทุกอย่างที่ต้องการ ง. การซือ้ ของอย่างประหยัดมากๆ

6.พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรสั ช้ีแนะแนวทางการดำเนินชวี ิตนานกวา่ กปี่ ี ก. 20 ปี ข. 30 ปี ค. 40 ปี ง. 50 ปี 7.ปัจจุปันประชาชนยึดหลกั อะไรในการดำเนินชวี ิต ก.หลกั เศรษฐกิจการค้า ข.หลักเศรษฐกจิ พอเพียง ค.หลักจริยธรรม ง.หลักคณุ ธรรม 8.กรอบแนวคดิ ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงชี้แนะแนวทางใด ก.มุ่งเน้นการรอดพน้ จากภยั ข.แนวทางการดำรงอยู่ ค.มภี ูมิคุ้มกันท่ีดใี นตวั เอง ง.การตดั สนิ ใจและดำเนนิ กจิ กรรมตา่ งๆ 9.เศรษฐกจิ พอเพยี งเป็นหลกั ในการดำเนนิ ชีวติ แบบใด ก.ประหยัด ข.ทางสายกลาง ค.เพยี งพอ ง.หากินตามธรรมชาติ 10.เง่ือนไขในการดำเนนิ วิถเี ศรษฐกิจพอเพยี งมอี ะไรบา้ ง ก.ความรู้ความพอประมาณ ข.ความรู้คคู่ ุณธรรม ค.ความพอดีและความพอเพียง ง.ความรู้ ความพอเพยี ง และคณุ ธรรม

วชิ าช่องทางการเขา้ สอู่ าชพี (อช11001) บทท่ี 1 การงานอาชพี ใบความรู้ เรอื่ ง ความสำคัญและจำเป็นในการประกอบอาชพี ปจั จัยหลกั ของการประกอบอาชีพ ส่ิงสำคญั ของการเริม่ ตน้ ประกอบอาชพี อสิ ระ จะตอ้ งพิจารณา วา่ จะประกอบอาชพี อสิ ระอะไร โอกาสและความสำเรจ็ มมี ากนอ้ ย เพยี งไร และจะต้อง เตรยี มตัวอย่างไรจงึ จะทำให้ประสบผลสำเร็จ ดังนนั้ จึงตอ้ งคำนงึ ถึงปจั จยั หลักของการประกอบอาชพี ไดแ้ ก่ 1. ทนุ คือ สิง่ ที่จำเป็นปจั จัยพ้ืนฐานของการประกอบอาชีพใหม่ โดยจะตอ้ งวางแผนและแนวทางการดำเนนิ ธรุ กิจไวล้ ่วงหน้า เพ่อื ท่ีจะ ทราบว่าต้อง ใช้เงนิ ทุนประมาณเทา่ ไร บางอาชพี ใช้เงนิ ทุนนอ้ ยปัญหา ย่อมมนี ้อย แต่ถ้าเปน็ อาชีพที่ต้องใชเ้ งินทุนมากจะต้องพจิ ารณาว่ามที นุ เพียงพอหรอื ไมซ่ ่งึ อาจ เปน็ ปัญหาใหญ่ ถา้ ไม่พอจะหาแหล่งเงนิ ทนุ จากท่ีใด อาจจะได้จากเงนิ เกบ็ ออม หรอื จากการก้ยู ืมจากธนาคาร หรอื สถาบัน การเงินอื่น ๆ อย่างไรกต็ าม ในระยะแรกไม่ควรลงทนุ จนหมดเงินเกบ็ ออมหรือลงทุนมากเกินไป 2. ความรู้ หากไม่มีความรู้เพยี งพอ ตอ้ งศกึ ษาขวนขวายหาความรเู้ พ่ิมเติม อาจจะฝึกอบรมจากสถาบันท่ี ให้ความรดู้ ้านอาชีพ หรอื ทำงานเปน็ ลกู จา้ งคน อื่น ๆ หรือทดลองปฏิบตั ิด้วยตนเองเพ่ือใหม้ คี วามรู้ ความ ชำนาญ และมปี ระสบการณ์ในการประกอบอาชีพนั้น ๆ 3. การจัดการ เป็นเร่อื งของเทคนคิ และวิธีการ จึงต้องรู้จักการวางแผนการทำงานในเร่อื งของตวั บคุ คลที่ จะรว่ มคิด รว่ มทำและร่วมทนุ ตลอดจนเคร่ืองมือ เครอ่ื งใชแ้ ละกระบวนการทำงาน 4. การตลาด เปน็ ปัจจยั ทส่ี ำคญั มากทสี่ ุดปัจจยั หนึง่ เพราะหากสินคา้ และบริการท่ีผลติ ข้ึนไมเ่ ป็นท่นี ิยม และไม่สามารถสรา้ งความพอใจให้แก่ผ้บู รโิ ภค ได้กถ็ อื ว่ากระบวนการทั้งระบบไมป่ ระสบผลสำเร็จ ดังนน้ั การ วางแผนการตลาด ซ่งึ ปจั จุบนั มีการแขง่ ขันสูง จึงควรไดร้ ับความสนใจในการพัฒนา รวมทงั้ ตอ้ งรู้และเข้าใจใน เทคนคิ การผลิต การบรรจุและการหีบหอ่ ตลอดจนการประชาสมั พันธ์ เพือ่ ใหส้ นิ ค้าและบริการของเราเป็นที่ นิยมของลกู คา้ กลมุ่ เป้าหมาย ตอ่ ไป ขอ้ แนะนำในการเลอื กอาชีพ กอ่ นตดั สนิ ใจเลอื กประกอบอาชพี ใด ๆ กต็ าม ควรพจิ ารณาอย่างรอบคอบ ซงึ่ มขี ้อแนะนำ ดังนี้ ประการแรก ควรเลอื กอาชพี ที่ชอบหรอื คดิ ว่าถนัด สำรวจตัวเองว่าสนใจ อาชพี อะไร ชอบหรือถนัดด้าน ไหน มีความสามารถอะไรบ้าง ทสี่ ำคญั คอื ต้อง การหรอื อยากจะประกอบอาชพี อะไร จึงจะเหมาะสมกับตัวเอง และครอบครวั กล่าวคือ พจิ ารณาลกั ษณะงานอาชีพ และพจิ ารณาตวั เอง พร้อมท้ังบคุ คลในครอบครวั ประกอบ กันไปด้วย

ประการทีส่ อง จะตอ้ งพัฒนาความสามารถของตวั เอง คือ ต้องศึกษารายละเอียดของอาชพี ท่จี ะเลือกไป ประกอบ ถา้ ความรคู้ วามเขา้ ใจยงั มนี อ้ ย มีไม่เพยี งพอก็ต้องทำการศึกษา ฝกึ อบรม ฝกึ ปฏบิ ัตเิ พ่ิมเติมจาก บคุ คล หรือหน่วยงานตา่ ง ๆ ใหม้ ีพน้ื ฐานความร้คู วามเขา้ ใจในการเร่มิ ประกอบอาชพี ที่ถูกต้อง เพ่ือจะได้เรียนรู้ จากประสบการณ์จรงิ ของผมู้ ีประสบการณม์ าก่อน จกั ไดเ้ พิ่มโอกาสความสำเร็จสมหวงั ในการไปประกอบอาชพี นัน้ ๆ ประการทส่ี าม พจิ ารณาองคป์ ระกอบอนื่ ที่เก่ยี วข้อง เชน่ ทำเลทีต่ ัง้ ของอาชีพท่ีจะทำไม่ว่าจะเป็นการผลิต การจำหน่าย หรอื การใหบ้ ริการกต็ าม สภาพ แวดล้อมผู้รว่ มงาน พ้นื ฐานในการเรม่ิ ทำธุรกจิ เงนิ ทุน โดยเฉพาะ เงินทนุ ต้องพจิ ารณาว่ามเี พยี งพอหรือไมถ่ ้าไมพ่ อจะหาแหล่งเงนิ ทนุ จากท่ใี ด การดำรงชีวติ และความตอ้ งการอาชพี ความหมาย การงานอาชพี หมายถึง การทำมาหากนิ ท่เี กดิ จากกิจกรรมหรือบริการใดๆ ทกี่ อ่ ให้เกดิ ผลผลติ และ รายได้ ซ่ึงเปน็ งานประจำทสี่ จุ รติ ไม่ผิดศีลธรรม ลักษณะอาชพี ลกั ษณะอาชพี แบ่งออกเปน็ 1. อาชีพอสิ ระ มีลักษณะเป็นเจ้าของกจิ การ บริหารจัดการดว้ ยตนเอง อาจเปน็ กจิ การขนาดเล็ก หรือเปน็ อตุ สาหกรรมในครวั เรือน อาชพี อิสระแยกย่อยออกไปเป็น 2 ประเภท ดงั น้ี อาชีพอิสระด้านการผลติ การแปรรปู ผลผลิตเป็นสินคา้ นำไปจำหน่ายในท้องตลาดเปน็ การขาย ปลีกและขายสง่ เชน่ อาหารไทย ขนมไทย เบอร์เกอร่ี ผักผลไม้ อาชพี อสิ ระด้านการให้บริการ เป็นอาชพี ทนี่ ิยมกนั แพรห่ ลาย เนอ่ื งจากมีความเสีย่ งนอ้ ย การ ลงทุนตำ่ เช่น บรกิ ารทำความสะอาด ทำนายโชคชะตา บรกิ ารซกั รีดเสื้อผา้ ช่างซอ่ มอนื่ ๆ 2. อาชพี รับจ้าง เป็นการทำงานที่มีเจ้านายมอบหมาย ได้รับคา่ ตอบแทนเป็นเงนิ เชน่ งานกอ่ สร้าง พนกั งาน ในบรษิ ัท ห้างรา้ น และโรงงาน 3. อาชีพงานฝีมอื เปน็ อาชีพท่ปี ฏิบัตงิ านโดยใชป้ ระสบการณ์และความชำนาญเฉพาะดา้ น เช่น งานศลิ ปะ งานหตั ถกรรม งานปฏิมากรรม 4. อาชีพข้าราชการหรือเจ้าหนา้ ทข่ี องรัฐ รวมท้ังพนักงานรัฐวสิ าหกจิ เป็นอาชพี ทีใ่ ห้บริการแก่ประชาชน แนวทางการเลือกอาชพี อาชพี มหี ลายประเภท มีลกั ษณะแตกต่างกนั การเลือกอาชพี ต้องพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ดงั น้ี 1. ความสนใจ สำรวจความถนัด ความสนใจ ตลอดจนประสบการณต์ ่าง ๆ ให้เหมาะสมกับตนเองมากท่ีสุด เพื่อเปน็ แนวทางการเลือกอาชีพทเี่ หมาะสม 2.แนวโน้มดา้ นอาชีพ เป็นอาชพี ทีเ่ จริญกา้ วหน้าและเป็นท่ตี ้องการของสังคม การเปลย่ี นแปลงดา้ นธุรกิจและ ด้านอตุ สาหกรรม ซงึ่ ประกอบดว้ ยดา้ นการส่ือสาร ดา้ นอเิ ล็กทรอนกิ ส์ ด้านระบบควบคุมอัตโนมตั ิ และดา้ น ธรุ กิจระดับชุมชน

3. ทรพั ยากรท้องถน่ิ จะชว่ ยประหยดั ตน้ ทนุ และค่าใชจ้ ่าย เปน็ การสร้างงานให้คนในทอ้ งถน่ิ 4. วิสัยทศั น์ การเป็นคนทม่ี คี วามคดิ ริเริม่ สร้างสรรค์ และมองการณ์ไกล จะไดเ้ ปรียบในเชิงธุรกจิ มากกว่าคน อื่น 5. ทกั ษะในการประกอบอาชีพ จะตอ้ งมที ักษะหรือความชำนาญในวิชาชีพสาขานัน้ ๆ ประโยชน์ของอาชพี 1. ดา้ นตนเอง • เปน็ คนทรี่ ู้คุณค่าของเงนิ ใช้จา่ ยเงนิ อย่างประหยดั วางแผนการใช้จา่ ยเงนิ การเกบ็ ออมเงนิ เพ่ือ ความม่นั คงของชีวติ 2. ดา้ นครอบครวั • การมอี าชพี จะสรา้ งคณุ ค่าใหก้ ับตนเองและสมาชิกในครอบครวั เป็นตวั อย่างแก่คนในครอบครัว และบุคคลอนื่ ๆ 3. ด้านชุมชน • เป็นการสร้างรายได้ให้ชมุ ชน ทำให้เศรษฐกจิ ชุมชนดขี นึ้ ทำให้ชุมชนเขม้ แขง็ พ่งึ พาตนเองได้ 4. ด้านประเทศชาติ เมอื่ ประชาชนมอี าชพี มรี ายได้ รัฐสามารถเกบ็ ภาษจี ากประชาชนได้ สามารถนำรายได้จากการเกบ็ ภาษไี ปพัฒนาประเทศในดา้ นต่าง ๆ ได้ การบรหิ ารงานอาชพี การบรหิ าร หมายถงึ การกำหนดนโยบาย วัตถปุ ระสงค์ และการวางแผนงาน การจัดการ หมายถึง การรับนโยบาย วัตถปุ ระสงค์ และแผนงานทกี่ ำหนด การบรหิ ารและจัดการ หมายถงึ การกำหนดนโยบายและการปฏิบตั งิ านตาม นโยบายใหบ้ รรลุ เปา้ หมายและวตั ถปุ ระสงค์ กระบวนการบรหิ ารจัดการ คอื การกำหนดและปฏบิ ตั ิตามนโยบาย วัตถุประสงคต์ ามแผนของ ตนเอง การวางแผน หมายถงึ กิจกรรมหรอื กระบวนการทีเ่ ก่ยี วกบั การกำหนดสิง่ ท่ีจะตอ้ งกระทำใน อนาคต การอำนวยการ หมายถึง การช้แี จง แนะนำให้ผ้ปู ฏบิ ตั ิหรือบคุ คลท่ีปฏบิ ัติงานในแต่ละวันให้ เกดิ ผลดี การควบคุม หมายถงึ การติดตามดวู า่ ส่งิ ใดดำเนินการไปแลว้ เป็นไปตามแผนท่กี ำหนดข้ึนหรอื ไม่ เพื่อจะชใี้ ห้เหน็ ถงึ จุดบกพร่องและจุดอ่อนของการปฏิบตั งิ าน การสรา้ งสรรค์ส่ิงใหมๆ่ หมายถึง ผูบ้ ริหารกลุ่มหรอื องค์กร ท่ดี ตี ้องมีคุณลักษณะของการจัดการ คน้ หาส่ิงใหมๆ่ ทีเ่ ป็นประโยชน์แก่การดำเนนิ ธรุ กจิ การทำหนา้ ทเี่ ป็นตัวแทน หมายถงึ ผู้บริหารกล่มุ หรือองค์กรจะต้องทำหนา้ ทเี่ สมือนเป็นตัวแทน

ของกลุ่ม องค์กรธุรกจิ หรือตนเองไปติดต่อกบั บคุ คลต่างๆ ภายนอก การบริหารงบประมาณ หมายถงึ การทำงานควรอยู่ในงบประมาณโดยตอ้ งควบคุมปริมาณ คุณภาพ ค่าใชจ้ ่ายและเวลาใหเ้ ป็นไปตามเป้าหมาย

บทที่ 1 การงานอาชพี ใบงาน เร่อื ง ความสำคัญและจำเป็นในการประกอบอาชีพ ใหผ้ ้เู รยี นสรุปประเด็นตามความเข้าใจของตนเอง ประเดน็ บันทกึ คนเราตอ้ งมีอาชีพจริงหรอื ไม่ และอาชพี มคี วามสำคญั อยา่ งไร ให้เหตุผลประกอบ ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................................................ ....... ............................................................................................................................ ....................................... ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... .................................................................................................................................... ............................... .................................................................................................... ............................................................... ............................................................................................................................. ...................................... ........................................................................................................................................................... ........ ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ..................................... สรปุ ประเด็นความคดิ เหน็ ............................................................................................................................. ...................................... ............................................................................................................................................... .................... ............................................................................................................... .................................................... ............................................................................................................................. ...................................... ................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ......................................

บทที่ 1 การงานอาชพี ใบงานที่ 1 เรื่อง การงานอาชีพ ให้ผู้เรยี นสำรวจอาชีพในชมุ ชน 10 อาชีพ และกรอกลงในแบบสำรวจ แบบสำรวจ ชื่อผเู้ รยี น..................................................................... กศน.ตำบล ....................................................... สถานทศี่ กึ ษา.................................................................... ชือ่ ครูประจำกลมุ่ .......................................... วนั ท่ี ชอ่ื อาชพี ทำเลทตี่ ้ัง การประกอบอาชพี

บทที่ 1 การงานอาชีพ ใบงานท่ี 2 เร่อื ง การงานอาชพี ใหผ้ ้เู รยี นสำรวจอาชพี ใน 5 ภมู ภิ าค คือ ทวีปเอเซยี ทวีปออสเตรเลีย ทวปี อเมรกิ า ทวีปยุโรป และทวีปอัฟ ริกา มา 10 อาชพี และกรอกลงในแบบสำรวจ แบบสำรวจ ชอ่ื ผู้เรียน............................................................... กศน.ตำบล ......................................................... สถานทศ่ี ึกษา.......................................................... ชือ่ ครูประจำกลุ่ม ................................................ วันท่ี ชอื่ อาชพี ทำเลที่ต้ัง การประกอบอาชพี

บทท่ี 1 การงานอาชพี ใบความรู้ เรอื่ ง การกำหนดแนวทางการเขา้ สอู่ าชีพ การกำหนดแนวทางการขยายอาชีพ หลงั จากนำความคิดรวบยอดการขยายขอบข่ายอาชพี มาวิเคราะห์ ความพอเพยี งในการดำเนินการจะทำให้เรา เห็นสภาพปฏิสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรการผลิตกับตัวแปรปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งทีจ่ ะบอกให้เรารู้ว่า ความคดิ การขยายอาชีพเหมาะสมท่ีจะทำหรอื ไม่ จากตัวอยา่ งการวเิ คราะห์เราจะพบว่าตวั แปรทางปรัชญา เศรษฐกจิ พอเพียง จะควบคมุ ความคิดของเราให้อยู่ในขอบข่ายท่ีเหมาะสม มีภูมิคุม้ กนั โอกาสประสบ ความสำเร็จมีสูง ความคดิ รวบยอด อาชีพเกษตรอนิ ทรีย์มีกิจกรรมการปลกู มันเทศ ขยายขอบข่ายอาชพี เพม่ิ กจิ กรรมเล้ยี งหมอู ินทรยี ์ มีของต้องทงิ้ ทกุ รอบการผลติ คือ ใบมันเทศและหัวมนั ตกมาตรฐานสามารถนำมาหมนุ เวียนแปรรปู เป็นอาหาร หมูไดห้ มนุ เวยี นมลู แปรรปู เป็นปุ๋ยหมักใช้ในกิจกรรมปลูกผัก ผลไม้ การกำหนดแนวทางการขยายอาชีพจงึ อาศยั ความรทู้ ่ีไดจ้ ากผลการวิเคราะหม์ ากำหนด โดยใช้วงจร I-P-O (Input-Process-Output) (ปัจจัยนำเข้า-กระบวนการ-ผลได้) เป็นฐานในการกำหนดแนวทางขยายอาชีพ ดงั ตัวอย่างตอ่ ไปน้ี Input-Process-Output = พฒั นาดนิ ดว้ ยปุ๋ยพชื สด ทำปุย๋ หมัก

ธุรกิจหลกั ปลูกมันเทศ ใหก้ นิ เป็นอาหารสด - เกบ็ เก่ยี วยอดมัน - รวบรวมหวั มันตำ่ กวา่ มาตรฐาน นำลูกหมูอายุ 30 วนั มาขุนเป็นเวลา 120 วัน หมอู อแกนคิ นำ้ หนกั 90 ก.ก. ไม่นำหมูเคมมี าขายร่วม มูล + ปัสสาวะ รองคอก ใหก้ ินในรปู อาหารแหง้ ไมใ่ ชอ้ าหารเคมีรว่ มในการขุน จากแนวทางการขยายอาชีพดังกล่าวน้ี จะทำให้เรามองเห็นภาพชวี ิตของงาน อย่างแจม่ ชัดด้วยตนเอง สามารถนำไปส่กู ารเรยี นรู้เพื่อการขยายขอบข่ายอาชพี สู่ความเขม้ แข็งยง่ั ยนื ต่อไป

บทที่ 1 การงานอาชพี ใบความรู้ เร่อื ง กรอบความคิดการจัดการความรู้ กรอบความคดิ การจัดการความรู้ กรอบความรู้ของอาชีพ องคก์ ร/บคุ คล การแสวงหาความรู้ สู่ความเข้มแขง็ ม่ันคงย่งั ยนื การแลกเปลีย่ นเรยี นรู้ กรอบความร้ขู องอาชีพ ยกระดับความรู้ กรอบความรูข้ องอาชีพ การประยุกตใ์ ชค้ วามรู้ ปฏิบัตอิ าชีพ การสรปุ องค์ความรู้ จากรูปสามารถอธบิ ายได้วา่ การจดั การความร้เู ป็นรปู แบบทมี่ ีองคป์ ระกอบรว่ มคือ องคก์ รหรือบุคคลใน การประกอบอาชีพกรอบความรู้ของอาชพี และการปฏบิ ัติการอาชีพทม่ี เี ปา้ หมายสรา้ งความเข้มแขง็ มั่นคง

ยัง่ ยืน ให้กับอาชีพ ดังน้นั การประกอบอาชีพจงึ มคี วามจำเปน็ ทีจ่ ะต้องพฒั นากรอบความรขู้ องตนเองให้ ยกระดับความรู้ พอเพยี งที่จะใช้ปฏิบตั กิ ารสร้างอาชพี สู่ความเขม้ แข็ง มนั่ คง ยั่งยนื ใหอ้ าชีพ กจิ กรรมจัดการกรอบความรขู้ องการประกอบอาชีพให้ยกระดบั ความรู้สูงขน้ึ เป็นระยะๆ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง เพ่อื ใช้ปฏบิ ัติการในระบบของธุรกิจอาชีพให้เกดิ ความเข้มแข็ง ยง่ั ยืน ซึ่งประกอบดว้ ยกจิ กรรมไมน่ อ้ ยกว่า 5 กจิ กรรม คือ 1. การกำหนดหวั ข้อความรู้ เพอ่ื ใชพ้ ัฒนาอาชพี วา่ ควรจะมหี วั ข้อความรอู้ ะไรบา้ ง ทส่ี ามารถครอบคลมุ ใช้ พฒั นาการดำเนนิ สูค่ วามเข้มแข็งม่งั คงยั่งยนื ได้ หวั ขอ้ ความรทู้ จ่ี ำเปน็ ต้องใช้ หัวข้อความรู้ที่จำเปน็ ต้องใช้ หวั ข้อความรทู้ ่จี ำเปน็ ตอ้ งใช้ หวั ข้อความรู้ทจ่ี ำเปน็ ตอ้ งใช้ หัวข้อความรู้ท่ีจำเป็นตอ้ งใช้ กรอบความรเู้ กษตรอนิ ทรีย์ หัวขอ้ ความร้ทู ่จี ำเปน็ ต้องใช้ 2. การแสวงหาความรู้ เปน็ กิจกรรมต่อเน่ืองจากการระบุหวั ข้อความรู้ คณะทำงานของกลุ่มอาชีพจะต้อง ปฏบิ ัติการสืบค้นขอ้ มลู สารสนเทศจากภมู ิปัญญาในกลุ่มอาชพี และแหลง่ ความรูต้ า่ ง ๆ โดยใช้ กระบวนการ ดังน้ี 1. การอา่ น 2. การฟงั 3. การสงั เกต 4. การดม

5. การชิม 6. การสัมผสั 7. นกึ คดิ จากประสบการณ์ของตนเอง สรุปความรู้ รวบรวมหลกั ฐาน วธิ แี สวงหาความรู้ จดบันทึก 3. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อสรุปแนวทางการพฒั นาเป็นกจิ กรรมทใ่ี ห้คณะทำงานทีแ่ ยกกันไปแสวงหา ความรู้ ทำผลสรปุ ความรู้ หลกั ฐาน รอ่ งรอยตา่ ง ๆ นำมาเสนอแลกเปล่ียนเรียนรู้ และร่วมกันสรปุ จัด เขา้ ระบบงาน จัดเปน็ รปู แบบแนวทางเพื่อการศกึ ษา 4. การประยุกต์ใช้ความรู้ เป็นกิจกรรมต่อเนือ่ งจากการแลกเปลย่ี นเรียนรู้ ด้วยการนำรปู แบบแนวทางมา ทดลองประยุกตใ์ ช้ความรู้ ความจริง บันทึกผลการทดลอง ทดลองซำ้ จนมั่นใจในขอ้ มลู ผลการทดลอง ทไี่ ด้แล้วประเมนิ สรุปผล 5. สรุปองค์ความรู้ เป็นการนำข้อมูลสารสนเทศ ผลสรปุ การทดลองมาเขียนเป็นเอกสารคู่มือดำเนนิ งานท่ี ประกอบดว้ ย 1. ภาพรวมระบบของงาน 2. ระบุคุณภาพ และมาตรฐานของผลผลิตที่ตอ้ งเกิดข้ึน 3. ระบุกจิ กรรมแสดงขั้นตอนการจดั การการปฏบิ ัตกิ ารภาษาท่รี ัดกุม สามารถ เรียนรู้ทำตามได้ 4. ระบปุ ัจจยั ดำเนนิ งาน และมาตรฐานท่ีตอ้ งการ เอกสารคู่มอื ดำเนนิ งาน หรอื องค์ความรู้ จะเป็นเอกสารความรูใ้ ช้ดำเนินงาน และควบคุม การทำงานให้เกดิ คุณภาพได้ จงึ เป็นความรู้ทย่ี กระดบั ให้สงู ข้นึ เป็นระยะ ๆ อยา่ งต่อเนือ่ ง ใช้ปฏิบตั กิ ารสรา้ ง ความสำเร็จ ความเขม้ แขง็ มน่ั คง ยั่งยืนให้กลุ่มอาชีพ

บทท่ี 1 การงานอาชพี ใบความรู้ เร่อื ง การจัดการตลาดและการผลติ การจัดการการตลาด การจัดการการตลาด หมายถึง การดำเนินกจิ กรรมต่าง ๆ ด้านธุรกจิ ซึ่งจะต้องมีการวางแผนการผลิต การกำหนดราคา การจัดจำหน่าย ตลอดจนการดำเนนิ กจิ การทกุ อยา่ งเพอื่ สนองความตอ้ งการ และบริการ ให้แกผ่ ซู้ อ้ื หรอื ผู้บรโิ ภคพอใจ ทัง้ ในเรอื่ งราคาและบรกิ าร ซง่ึ แยกกล่าวได้ดังนี้ 1. การวางแผนการผลติ ก่อนทจ่ี ะตดั สินใจดำเนนิ ธุรกิจการทำผลิตภณั ฑก์ ระดาษสา จะตอ้ งคำนงึ ถึงสิ่งตอ่ ไปน้ี คือ 1. ทนุ ถา้ ไมม่ ีทนุ เปน็ ของตนเองตอ้ งอาศยั แหลง่ เงินกู้ จะตอ้ งพจิ ารณาวา่ แหลง่ เงินกู้นั้นมาจากไหน ถ้ากู้ จากเอกชนก็ต้องเสยี ดอกเบ้ยี แพงกวา่ สถาบันการเงนิ ถา้ เสียดอกเบี้ยแพงจะคุ้มกับการลงทุนหรือไม่ 2. แรงงาน ถา้ สามารถใช้แรงงานในครอบครัวได้กจ็ ะสามารถลดรายจา่ ยลงได้ 3. วตั ถุดบิ สามารถหาได้งา่ ยในทอ้ งถิ่นหรอื ไม่ หากไม่มใี นท้องถิ่นจะมีปัญหาเรื่องราคาและการขนส่ง หรอื ไม่ 4. การจดั การ หมายถึง การจัดการด้านตลาด การจัดจำหนา่ ย ก่อนอืน่ ตอ้ งคำนงึ ถึงกลุ่มเป้าหมาย ท่จี ะนำ ผลติ ภัณฑ์ไปจำหนา่ ยการกำหนดราคาขาย ราคาตน้ ทุน กำไร และการลงบัญชเี บ้ืองต้น สิ่งเหลา่ นี้จำเปน็ อยา่ ง ย่งิ ในการประกอบธุรกจิ ดังจะไดแ้ ยกกลา่ วพอเป็นสังเขป ดงั น้ี 2. การกำหนดราคาขาย เมือ่ ทำการผลิตผลิตภัณฑก์ ระดาษสาข้ึนมาเพ่ือการจำหนา่ ย สง่ิ แรกท่ตี ้องทำคอื การกำหนดราคาขายทผี่ ซู้ ื้อ สามารถซ้ือไดใ้ นราคาไม่แพงจนเกินไป และผขู้ ายก็พอใจที่จะขายเพราะไดก้ ำไรตามทต่ี ้องการ การกำหนด ราคาขายทำได้ดงั นี้ 1. ตดิ ตามความตอ้ งการของลกู ค้า ลูกคา้ เปน็ ผ้กู ำหนดราคาขาย ถ้าลกู คา้ มีความตอ้ งการและสนใจมากก็ จะสามารถต้ังราคาไดส้ ูง 2. ตงั้ ราคาขายโดยบวกราคาต้นทุนกบั กำไรทีต่ อ้ งการก็จะเป็นราคาขาย ในกรณเี ช่นน้ีจะตอ้ งรูร้ าคาตน้ ทุน

มากอ่ นจึงจะสามารถบวกกำไรลงไปได้ การตง้ั ราคาขายน้ี จะมีผลต่อปรมิ าณการขาย ถ้าตง้ั ราคาขายไมแ่ พง หรอื ตำ่ กว่าราคาตลาดก็สามารถขายได้จำนวนมาก ผลที่ได้รับคอื ได้กำไรเพิม่ มากขึน้ ด้วย การกำหนดราคาขายมีหลายรปู แบบ แต่ส่งิ ที่สำคัญคอื ต้องคำนึงถึงราคาทส่ี งู ท่ีสดุ ท่ีผู้ซื้อสามารถซ้ือไดแ้ ละ ราคาต่ำสุดที่จะได้เงนิ ทนุ คนื สรปุ หลกั เกณฑใ์ นการกำหนดราคาขาย มีดงั นี้ 1. ไดผ้ ลตอบแทนจากการลงทุนตามเป้าหมาย 2. เพอื่ รักษาเสถียรภาพด้านราคาไม่ถูกหรือแพงจนเกินไป 3. เพ่ือรักษาหรือปรับปรุงส่วนแบง่ ของการตลาด กลา่ วคือ ตง้ั ราคาขายส่งถูกกว่าราคาขายปลีก เพอ่ื ให้ ผรู้ ับซือ้ ไปจำหนา่ ยปลีกจะไดบ้ วกกำไรได้ด้วย 4. เพอื่ แขง่ ขันหรอื ป้องกนั คแู่ ข่งขันหรือผผู้ ลติ รายอ่นื 5. เพอ่ื ผลกำไรสูงสุด การกำหนดราคาขาย มหี ลกั สำคญั คอื ราคาต้นทุน + กำไรท่ตี อ้ งการ ดังนนั้ จงึ จำเป็นต้องศึกษาเร่อื งราวการ คิดราคาต้นทุนให้เข้าใจก่อน 3. การคิดราคาตน้ ทุน การคดิ ราคาตน้ ทนุ หมายถึง การคิดคำนวณราคาวตั ถดุ บิ ท่ีใชใ้ นการผลิต มีคา่ แรงคา่ ใชจ้ ่ายในการผลิต ประกอบดว้ ย คา่ เช่าสถานที่ ค่าไฟฟ้า ค่าขนส่ง ฯลฯ การคิดราคาตน้ ทุนมีประโยชน์ คอื 1) สามารถตั้งราคาขายไดโ้ ดยรวู้ า่ จะไดก้ ำไรเท่าไร 2) สามารถรู้วา่ รายการใดที่ก่อให้เกดิ ตน้ ทนุ สงู หากตอ้ งการกำไรมากก็สามารถลดตน้ ทุนนนั้ ๆ ลงได้ 3) รู้ถึงการลดต้นทุนในการผลิตแล้วนำไปปรบั ปรงุ และวางแผนการผลติ เพมิ่ ขนึ้ ได้ ต้นทนุ การผลิตมี 2 อย่าง คอื 1. ต้นทนุ ทางตรง หมายถงึ ต้นทุนในการซื้อวตั ถดุ ิบรวมทั้งค่าขนส่ง 2. ตน้ ทนุ ทางออ้ ม หมายถึง ตน้ ทนุ ที่จา่ ยเปน็ ค่าบรกิ ารตา่ ง ๆ เช่น คา่ แรงงาน ค่าไฟฟา้ คา่ เช้อื เพลงิ ทง้ั นี้ ใหค้ ิด เฉพาะสว่ นท่เี ก่ยี วกบั การผลติ โดยตรง แล้วนำตน้ ทุนทั้งสองอยา่ งมาคิดรวมกนั กจ็ ะได้เปน็ ราคาต้นทนุ รวม สรปุ การกำหนดราคาขาย จะตอ้ งคำนึงถึง 1. ต้นทุนทางตรง + ต้นทุนทางออ้ ม คือ ตน้ ทนุ รวม 2. การหากำไรที่เหมาะสม ทำไดโ้ ดยเพ่ิมตน้ ทนุ รวมขน้ึ อีก 20-30% ตัวอย่าง ต้นทุนรวมในการทำดอกไมจ้ ากกระดาษสา 500 บาท บวกกำไร 30% ของ 500 จะได้ = 150 บาท

ฉะน้ัน ราคาขาย คือ ต้นทุน + กำไร คอื 500 + 150 เท่ากบั 650 บาท โดยทว่ั ไปรา้ นคา้ ปลีกจะกำหนดราคาขาย โดยการบวกกำไรท่ีต้องการเขา้ กับราคาต้นทุนการผลติ สนิ คา้ น้นั ๆ แตบ่ าง รายก็กำหนดราคาสูง สำหรับการผลติ ระยะเร่ิมแรก เพราะความต้องการของตลาดคอ่ นข้างสงู ในระยะเวลาอันสนั้ การเปลี่ยนแปลงราคาขายอาจมผี ลใหย้ อดลดหรอื เพ่ิมขน้ึ แลว้ แตภ่ าวะแวดล้อม จึงต้องคำนงึ ถึงเชน่ เดยี วกัน ดังนั้น จึงสามารถคิดราคาขายไดง้ า่ ย ๆ ดงั น้ี ราคาขาย = ราคาทุน (ต้นทนุ + ค่าแรง) + กำไรที่ตอ้ งการ การผลิตและการจัดจำหนา่ ย 1. ประเภทของการจดั จำหน่าย มี 2 แบบ คอื 1) การจำหนา่ ยแบบสนั้ คอื การนำสินคา้ จากผู้ผลิตสูร่ ้านค้าปลีก หรอื ร้านค้าย่อยถงึ ผู้ซอื้ หรือผู้บรโิ ภคโดยตรง 2) การจดั จำหนา่ ยแบบยาว คอื การนำสนิ คา้ จากผู้ผลิต (บ้าน) ถึงร้านค้าขายสง่ แลว้ รา้ นค้าขายส่งจำหนา่ ย ตอ่ ไปยงั ร้านค้าขายปลีก ร้านค้าขายปลีกจำหนา่ ยต่อไปยงั ผูบ้ ริโภค สรปุ การทำให้สินค้าท่ีผลติ ข้นึ สามารถขายไดจ้ ำนวนมาก มีวิธีดำเนนิ การได้หลายรูปแบบ คือ 1. จากผู้ผลิต ถงึ ร้านขายส่ง ถึง รา้ นขายปลีก ถงึ ผซู้ อื้ หรือผ้บู ริโภค 2. จากผู้ผลิต ผา่ น นายหนา้ ถึง รา้ นค้าปลีก ถงึ ลูกคา้ 3. จากผู้ผลิต ผา่ น นายหน้า ลูกค้า (ผบู้ ริโภค) โดยตรง โดยระบบการขายฝากและสรา้ งภาพพจนข์ องสินคา้ จงู ใจผู้ซ้อื ดว้ ยวธิ ีการตา่ ง ๆ เป็นตน้ นอกจากนี้ ยงั มวี ธิ ีการสง่ เสรมิ การจำหนา่ ยทไี่ ด้ผลอีก 2 ประการ คือ 1. การใหข้ ้อมูลจูงใจผซู้ ้ือและภาพพจน์ของสินคา้ ท่ีผู้ซื้อต้องการ 2. ภาพพจนข์ องสนิ ค้าทผ่ี ซู้ อ้ื ต้องการ และพอใจทำให้สนิ ค้านนั้ มีค่าและมีราคาในตวั เองมากกว่าวัสดบุ รรจุ ภณั ฑ์ทีเ่ หมาะสม 2. คุณภาพและมาตรฐานของสนิ คา้ จะต้องผลติ ให้ตรงกับความต้องการและรสนยิ มของกลมุ่ เปา้ หมายท้ังในด้านรปู แบบสีสนั และประโยชน์ใช้สอย 3. การโฆษณา ประชาสัมพนั ธ์

การทำการคา้ จำเป็นอย่างย่งิ ทีจ่ ะตอ้ งมกี ารโฆษณาประชาสมั พันธ์เพอื่ ให้ผซู้ อ้ื รจู้ ักสนิ ค้า สื่อที่ใช้ในการนี้อาจจะ เปน็ หนงั สือพิมพ์ นติ ยสาร วารสาร ใบปลวิ หรือแผ่นพับแนะนำสนิ คา้ หรอื อาจจะทำเป็นแคตตาล็อกตัวอย่าง สินคา้ ป้ายโฆษณา นิทรรศการออกรา้ นแสดงสนิ ค้า ตลอดจนโฆษณาผ่านสอ่ื วทิ ยแุ ละโทรทัศน์ การทำบัญชเี งินสดเบอ้ื งต้น การทำบัญชี คอื การทำบนั ทึกรายการซอื้ - ขาย ทกุ อย่างในการดำเนินธุรกิจทส่ี ามารถคดิ เป็นตวั เงินไดไ้ วเ้ ป็น หลักฐาน โดยบนั ทึกรายการรับไวด้ า้ นซ้ายมอื รายการจา่ ยไวข้ วามอื เหตุผลทีว่ ่าทำไมตอ้ งทำบญั ชีเงนิ สด กเ็ พอ่ื ควบคุมการรับ-จ่ายเงนิ ของกจิ การใหอ้ ย่ใู นระบบ เพือ่ ร้ยู อดรายรบั -รายจ่าย และหากำไรเบื้องตน้ โดยการทำ บัญชเี งินสดประจำเดือนทุก ๆ เดอื น และเพอ่ื ทราบผลความเจรญิ กา้ วหน้าของกิจการโดยวิธีการทำบญั ชเี งนิ สดงา่ ย ๆ ดังน้ี ตัวอย่างบญั ชีเงินสด การเขา้ สูร่ ะบบการทำธรุ กิจการทำดอกไม้จากกระดาษสา มีแนวทางดำเนินการเปน็ ข้นั ตอน ดังนี้ ข้นั ที่ 1 ศกึ ษาโอกาสการตลาดและโอกาสการผลติ การศึกษาโอกาสการตลาด หมายถงึ การศึกษาสภาพความจรงิ หรือข้อมูลเก่ยี วกับความเปน็ ไปได้ หากผลติ สนิ ค้าขึ้นมาแล้วจะสามารถขายได้ เชน่ การเปิดตลาดข้ึนมาใหม่ หรือการไดร้ ับสว่ นแบ่งของตลาดจำหน่ายที่มี อยเู่ ดิม โดยศกึ ษาจากประเดน็ ตอ่ ไปนี้ 1. กลมุ่ เปา้ หมายประชากรผู้ซื้อ 2. นสิ ัยการซอ้ื หรอื การบรโิ ภค ตลอดจนรสนิยม 3. ความสามารถในการซื้อ 4. วิธกี ารซอื้ หรือวธิ ที ี่จะเข้าถงึ ผ้ซู ้ือ เวลา สถานที่ 5. รูปแบบการซอื้ เชน่ รายชนิ้ หรือจำนวนมาก หรอื ต้องการมขี องแถม การศึกษาโอกาสการผลติ หมายถึง การศึกษาสภาพความจรงิ หรือข้อมูลเกี่ยวกับความเปน็ ไปไดท้ ่ีจะ สามารถดำเนนิ การผลิตสินค้า เชน่ การกอ่ ตง้ั กิจการใหม่ หรอื การซอื้ ช่วงกจิ การผอู้ ืน่ หรือรบั ทำธรุ กิจ เช่าช่วงสิทธ์ิ มีประเดน็ ท่ีควรศึกษา ไดแ้ ก่ 1. ทำเลทตี่ ัง้ 2. วตั ถดุ ิบ บคุ ลากรที่ต้องใช้ และแหลง่ ท่จี ะไดม้ า 3. เงนิ ทุนและแหล่งทไี่ ด้มา

4. การเสียภาษี 5. กิจการของผอู้ นื่ ทท่ี ำอยูแ่ ล้ว และ/หรอื คู่แข่ง ขน้ั ที่ 2 การวางแผนการตลาดและการผลิต หมายถงึ การจดั ตัง้ ระบบการทำงานท่ีครบวงจรตามหลักการและ การตัดสินใจเลือกตัวเลอื กตา่ ง ๆ ท่ีได้กำหนดไว้แลว้ ในแผนรเิ ร่มิ อาชีพ ตัง้ แตก่ ารจัดหาวตั ถุดิบ การผลติ และ การจำหน่าย ซ่งึ โดยปกตจิ ะครอบคลมุ การจัดการในเร่อื งตอ่ ไปนี้ 1. การทำความตกลงกับผู้ซือ้ อยา่ งแนช่ ัดเรื่องจำนวนท่ีตอ้ งการ และคณุ ภาพของสิง่ ผลติ ราคาต่อหน่วย วธิ ีการ ขนสง่ และการรับมอบสินคา้ ตลอดจนเง่อื นไขผกู พันอ่นื ๆ 2. การทำความตกลงกับผูจ้ ัดสง่ วัตถดุ ิบ เพอื่ ใชใ้ นการผลิต ตลอดจนแรงงานและปจั จยั ในการผลิตอืน่ ๆ ที่ จะตอ้ งรบั มาจากแหล่งภายนอก 3. การจัดตงั้ ระบบการผลิตและการจำหน่ายสามารถดำเนินการได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ เชน่ การติดต้ัง เครอ่ื งมอื การจดั ทพี่ กั อาศัยใหแ้ ก่คนงาน การต่อสายโทรศพั ท์ การจัดระบบขนส่งและสิ่งของ การบรหิ าร การเงนิ การภาษี และอ่ืน ๆ 4. การทดลองเดินเคร่อื งระบบการผลติ เพ่ือให้แน่ใจว่าสามารถทำงานไดเ้ กณฑ์ทกี่ ำหนด ขั้นท่ี 3 การดำเนินการตลาดและการผลติ การตัดสินใจดำเนินการตลาดและการผลติ ตามแผนที่กำหนดไว้โดยท่ัวไปแล้วมีสง่ิ ที่ควรคำนงึ ถงึ ในขน้ั ตอนนี้ ได้แก่ 1. ให้ระบบการตลาดและการผลติ แตล่ ะจุดดำเนนิ ไปตามเกณฑ์ คือ คุณภาพ ความรวดเรว็ และแลว้ เสรจ็ ตาม เวลาท่กี ำหนด 2. แก้ปัญหาเรอื่ งบุคลากร และเครอ่ื งมอื อปุ กรณ์ทนั ทที ท่ี ำงานไมไ่ ด้ เพื่อมใิ หม้ ีอปุ สรรคเกิดข้ึนโดยไม่รู้ตัว 3. ควรมีการบำรงุ ขวญั คนงาน ซ่อมบำรงุ เครือ่ งมอื และอุปกรณโ์ ดยการจัดกะทดแทนอยา่ งเหมาะสม 4. การประเมนิ ลว่ งหน้าถงึ ความพร้อมเพรียงของปัจจยั การผลติ และการตลาดเพ่อื มใิ หม้ ีอปุ สรรคเกิดขน้ึ โดย มไิ ดค้ าดหมาย ขน้ั ที่ 4 การประเมินผลการตลาดและการผลิต หมายถึง การประเมินทบทวนย้อนหลังเกย่ี วกบั การดำเนนิ การ ข้นั ท่ี 2, 3 และ 4 ท่ีผ่านมา เพอ่ื ให้ทราบวา่ ประสบความสำเร็จในเรื่องใดหรอื จุดใด และมอี ปุ สรรคหรือความลม้ เหลวในเรอื่ งใดหรือจุดใด ตามหลักการ

และวิธกี ารประเมนิ ซึ่งได้กำหนดไว้แล้วในแผนรวมถึงการพิจารณาหาชอ่ งทางปรบั ปรุงการดำเนินงานในวงจร การตลาดและการผลิตคร้ังต่อไปให้ไดผ้ ลดี และมปี ระสิทธิภาพย่งิ ขึ้น ดังนั้น การประเมนิ ผลการตลาดและการ ผลิตจงึ ประกอบด้วย 1. การประเมนิ เพื่อปรบั แผนและโครงการในด้านปริมาณ และคณุ ภาพของสิง่ ผลติ แหล่งตลาด และ วัตถดุ ิบ ปรมิ าณและคุณภาพของบุคลากรในการผลติ วิธีการจัดจำหน่าย เป็นต้น 2. การประเมนิ เพ่อื การจัดระบบการตลาดและการผลติ ซ่งึ ไดจ้ ดั ตั้งไว้แล้วเพอ่ื ใหเ้ หมาะสมยิ่งข้ึน เช่น การจดั ที่นั่งหรอื ยนื ปฏิบตั งิ านของบุคลากร การวางเครื่องใช้ในการทำงานใหส้ ามารถหยิบใช้ได้สะดวก เป็นต้น 3. การประเมินเพ่ือปรบั การดำเนินการตลาดและการผลิต เชน่ การแนะนำบุคลากรทีค่ าดว่าจะ ปฏบิ ตั งิ านผิดพลาดลว่ งหน้า เป็นต้น

บทที่ 1 การงานอาชพี ใบงานผเู้ รียนสรปุ องคค์ วามร้ทู ่ีได้จากการศกึ ษาดงู านแหล่งเรยี นรใู้ นชมุ ชน ให้ผู้เรียนวิเคราะห์อาชีพท่ีสนใจว่าจะนำภูมิปัญญามาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาอาชีพได้ อย่างไร ลงในแบบบันทึก โดยมีผู้รู้ช่วยพิจารณาความเป็นไปได้ของภูมิปัญญาที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในการ พฒั นาอาชพี แบบบันทกึ ภมู ิปญั ญาท่ีต้องใช้ อาชพี .......................................................................ช่ือผ้รู ู้........................................................................ ภมู ิปัญญาท่ใี ช้.............................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... การประยกุ ต์ใช้ในการพัฒนาอาชีพ ..................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... ..................................................................................................................................................................... .....................................................................................................................................................................

การสำรวจแหล่งท่ีเออ้ื ตอ่ การพัฒนาอาชพี ให้ผู้เรียนสำรวจแหล่งท่ีเอื้อต่อการพัฒนาอาชีพในชุมชนว่า มีแหล่งใดบ้าง ต้ังอยู่ท่ีใด มี เงื่อนไขการใหบ้ ริการอยา่ งไร แหลง่ ที่เอือ้ ตอ่ การพัฒนาอาชพี ชอื่ ผู้สำรวจ.................................................................................. แหล่ง ชอื่ – ทีต่ ง้ั การให้บรกิ าร 1. แหลง่ เรียนรู้ 2. แหลง่ เงินทนุ 3. แหล่งวสั ดุ อุปกรณ์ เครอ่ื งจกั ร 4. แหลง่ แรงงาน 5. ตลาด

การจดบนั ทกึ ความร้ใู นการฝกึ ทักษะเพ่ือการประกอบอาชีพ ให้ผู้เรียนไปฝึกทักษะการประกอบอาชีพ ในเร่ืองท่ีสนใจด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามความถนัด เช่น จากการอ่านตำรา พบผรู้ ู้ สัมภาษณ์ ฟงั คำบรรยาย หรือฝกึ ปฏิบัติ อยา่ งใดอย่างหนึ่ง แลว้ นำมาบันทกึ ลง ในแบบบันทึกทีก่ ำหนด แบบบนั ทึก เร่ือง...............................................................................แหลง่ ฝึก/ผรู้ ู้........................................................... วธิ กี ารฝกึ .............................................................................วัน เดือน ปี ..................................................... บันทกึ ขอ้ มลู ที่ได้จากการศึกษา ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ผูเ้ รยี นแสดงความคิดเหน็ ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................

บทท่ี 1 การงานอาชพี แบบทดสอบยอ่ ยท่ี 1 1. การขยายขอบข่ายอาชีพหมายถึงข้อใด ก. ทำอาชพี ใหม่ ข. ประกอบอาชพี เพ่มิ จากอาชีพเดมิ ค. กจิ กรรมอาชพี ทม่ี ีอยู่สามารถขยายออกเปน็ ขอบขา่ ยอาชีพ ง. การประกอบอาชีพพร้อมกนั หลายอาชพี และสามรถขยายสาขาได้ 2. ตัวอย่างอาชพี ปลกู พชื อนิ ทรีย์ทเี่ ป็นอาชีพหลกั สามารถขยายขอบข่ายไปเปน็ อาชีพใด ก. การปลูกพชื หมนุ เวียน ข. การจดั การเท่ียงเท่ียวเชิงอนุรกั ษ์ ค. การสง่ เสริมอาชีพอสิ สระสำหรบั บุคคล ง. ประกอบอาชพี ทเี่ ก่ยี วกับเครอื ขา่ ยการเกษตร 3. เหตุผลของการขยายขอบขา่ ยอาชีพเนอ่ื งจากขอ้ ใด ก. สภาพแวดลอ้ มทางเศรษฐกิจ ข. ปญั หาของประชากรในแตล่ ะประเทศ ค. สภาพปญั หาทางด้านการประกอบการ ง. สภาพความตอ้ งการของผู้บริโภคทไ่ี ม่เพยี งพอ 4. การกำหนดแนวทางการขยายอาชพี ผลจากทางใดมาเป็นตัวกำหนด ก. ผลจากการเรยี นรู้ ข. ผลจากการวเิ คราะห์ ค. ผลจากการทดลองศกึ ษา ง. ผลจากการค้นคว้าก่อนทำการทดลอง 5. การขยายขอบขา่ ยจากการสรา้ งและพฒั นาเครือข่ายจากอาชพี คือขอ้ ใด ก. สร้างธุรกจิ ขนมหวานเยลล่ี ข. แฟรนชายน์ ชายส่ีบะหม่ีเก๊ยี ว ค. ศนู ย์กลางรับซ้ือและขายสง่ มะพร้าว ง. จดั บรกิ ารทอ่ งเทย่ี วพักผ่อน ชิมสวนผลไม้ 6. การขยายอาชพี จากตลาด คือขอ้ ใด ก. แฟรนชายดไ์ อศกรีมวอลล์ ข. สร้างธรุ กจิ เครือข่ายนาข้าวอินทรีย์ ค. การบรกิ ารทอ่ งเท่ยี ว กินอาหารเกษตรอนิ ทรีย์ ง. เป็นศูนยก์ ลางรบั ซอื้ และขายส่งมะพรา้ วน้ำหอมภายใต้การควบคมุ คุณภาพ

7. การขยายอาชพี จากการส่งเสรมิ สุขภาพ อนามัย หมายถงึ ขอ้ ใด ก. การเรียนรู้ระบบนิเวศ ความพอเพยี งไรน่ าสวนผสม ข. การสร้างเครือข่ายนาข้าวอินทรีย์โดยรวมกล่มุ สมาชิก ค. การจดั บรกิ ารท่องเทยี่ วพักผอ่ น กนิ อาหารเกษตรอินทรยี ์ ง. การจดั บรกิ ารสถานพักฟน้ื อาหารธรรมชาติไรส้ ารพิษ แบบ Home Stay 8. ปจั จยั ในการบรหิ ารจัดการ ประกอบดว้ ยขอ้ ใด ก. เงนิ ทนุ แรงงาน ข. เงนิ ทนุ แรงงาน ตลาด ค. แรงงาน ทุน อปุ กรณ์ การจดั การ ง. แรงงาน ทนุ อุปกรณ์ ตลาด และการจัดการ 9. การจดั การตลาด ได้แก่ขอ้ ใด ก. ผูบ้ รโิ ภค ผผู้ ลติ ผจู้ ำหน่าย ข. ผบู้ รโิ ภค ผู้ผลติ และจำหน่าย ค. แหล่งขาย ผซู้ อื้ ผู้ผลติ การสง่ เสริมการขาย ง. แหลง่ ขาย การส่งเสริมการตลาด ระบบการเงิน 10. การแสวงหาความรโู้ ดยวธิ ีใดบ้าง “ กรณีตัวอยา่ งการการแสวงหาความรู้เรอ่ื งการพฒั นาคณุ ภาพดนิ ” ก. จากการอา่ นตำรา หรือเอกสารวชิ าการ ข. จากการไปพบผูร้ ดู้ ขู องจรงิ ฟัง สงั เกต และสัมผัส ค. จากการทบทวนประสบการณข์ องตนเอง ง. จากทุกวธิ ที ีก่ ลา่ วมา เฉลย 1. ค 2.ก 3.ค 4.ง 5.ข 6.ง 7.ง 8.ค 9.ง 10.ข

บทที่ 1 การงานอาชีพ ใบความรู้ เรอื่ ง คุณธรรม จริยธรรมในการประกอบอาชีพ จริยธรรม คือ กฎเกณฑค์ วามประพฤตขิ องมนษุ ย์ ซง่ึ เกดิ ขนึ้ จากธรรมชาตขิ องมนุษยเ์ อง ความเป็นผู้มปี รชี า ญาณ (ปัญญา และ เหตุผล) ทำใหม้ นุษย์มีมโนธรรม ร้จู ักแยกแยะความดี ถูก ผดิ ควร ไมค่ วร จริยธรรมมีลักษณะ 4 ประการ คือ 1. การตัดสินทางจริยธรรม(moral judgment) บุคคลจะมีหลักการของตนเอง เพื่อตัดสิน การกระทำของผอู้ ืน่ 2. หลักการของจริยธรรมและการตัดสินตกลงใจเป็นความสมั พันธท์ ี่เกิดข้ึนในตัวบุคคลกอ่ นที่ จะปฏิบตั กิ ารตา่ ง ๆ ลงไป 3. หลกั การทางจรยิ ธรรมเปน็ หลักการสากลทีบ่ คุ คลใช้ตดั สนิ ใจในการกระทำสง่ิ ตา่ ง ๆ 4. ทัศนะเก่ียวกับจริยธรรมได้มาจากความคิดของบุคคลหรืออุดมคติของสังคมจนเกิดเป็น ทัศนะในการดำรงชวี ิตของตน และของสงั คมท่ีตนอาศยั อยู่ คุณธรรม คอื หลกั ความจรงิ หลักการปฏิบตั ิ 1. จรยิ ธรรมมี 2 ความหมาย คอื 1.1. ความประพฤตดิ ีงาม เพื่อประโยชน์สุขแกต่ นและสังคม ซงึ่ มพี ืน้ ฐานมาจากหลกั ศีลธรรมทาง ศาสนา คา่ นยิ มทางวฒั นธรรม ประเพณี หลักกฎหมาย จรรยาบรรณวิชาชพี 1.2. การร้จู ักไตรต่ รองวา่ อะไรควร ไมค่ วรทำ 2. จรรยา (etiquette) หมายถึง ความประพฤติ กิริยาที่ควรประพฤตซิ ึง่ สงั คมแต่ละสงั คม กำหนดข้ึน สอดคล้องกบั วัฒนธรรม ในแตล่ ะวชิ าชพี กอ็ าจกำหนดบุคลกิ ภาพ กิริยา วาจาทบี่ คุ คลในวิชาชีพพึง ประพฤติปฏบิ ัติ เชน่ ครู แพทย์ พยาบาล ย่อมเปน็ ผ้ทู ่ีพึงสำรวมในกิริยา วาจา ทา่ ทางที่แสดงออก 3. จรรยาบรรณวชิ าชพี (professional code of ethics) หมายถงึ ประมวลความประพฤตทิ ่ีผู้ประกอบ อาชีพการงาน แตล่ ะอย่างกำหนดข้นึ เพื่อรกั ษาและสง่ เสริมเกียรติคณุ ชอื่ เสยี งและฐานะของสมาชกิ ทำ ให้ได้รบั ความเชอื่ ถอื จากสงั คม อาจเขียนเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรหรอื ไมก่ ็ได้ เชน่ จรรยาบรรณของแพทย์ ก็ คอื ประมวลความประพฤติทวี่ งการแพทยก์ ำหนดขน้ึ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผูเ้ ป็นแพทย์ยึดถอื ปฏบิ ตั ิ 4. ศีลธรรม (moral) คำวา่ ศีลธรรมถ้าพิจารณาจากรากศพั ท์ภาษาละตนิ Moralis หมายถงึ หลกั ความ ประพฤตทิ ่ีดีสำหรับบคุ คลพึงปฏิบตั ิ ภาษาไทย ศีลธรรมเปน็ ศัพท์พระพทุ ธศาสนา หมายถงึ ความประพฤติที่ ดีทชี่ อบหรือ ธรรมในระดบั ศีล 5. คุณธรรม (virtue) หมายถงึ สภาพคณุ งานความดีทางความประพฤติและจติ ใจ เช่น ความเปน็ ผูไ้ มก่ ลา่ ว เทจ็ โดยหวังประโยชน์สว่ นตน เป็นคณุ ธรรมประการหนึง่ อาจกล่าวไดว้ า่ คุณธรรมคือจรยิ ธรรมแตล่ ะขอ้ ที่ นำมาปฏบิ ัตจิ นเป็นนสิ ยั เชน่ เป็นคนซอ่ื สัตย์ เสียสละ อดทน มีความรบั ผดิ ชอบ ฯลฯ

6. มโนธรรม (conscience) หมายถึงความรู้สึกผิดชอบชัว่ ดี ความรู้สกึ วา่ อะไรควรทำไม่ควรทำ นักจรยิ ศาสตร์เช่ือวา่ มนษุ ย์ทกุ คนมีมโนธรรม เนอ่ื งจากบางขณะเราจะเกิดความรู้สกึ ขดั แยง้ ในใจระหว่างความรสู้ กึ ต้องการสิง่ หนึ่ง และร้วู ่าควรทำอีกส่งิ หนึง่ เช่น ต้องการไปดภู าพยนตก์ บั เพอ่ื น แต่กร็ ู้วา่ ควรอย่เู ป็นเพื่อน คณุ แม่ซึง่ ไมค่ อ่ ยสบาย 7. มารยาท มรรยาท กริ ยิ า วาจา ที่สังคมกำหนดและยอมรับว่าเรียบร้อย เชน่ สังคมไทยให้เกยี รติ เคารพผู้ใหญ่ ผูน้ อ้ ยย่อมสำรวมกิริยาเมอ่ื อยู่ต่อหน้าผใู้ หญ่ การระมัดระวังคำพูดโดยใช้ใหเ้ หมาะกับบุคคล ตามกาลเทศะ ทฤษฎตี ้นไม้จริยธรรมสำหรบั คนไทย คุณสมบตั ิอันเป็นความพรอ้ มทีจ่ ะพัฒนา จริยธรรมของบุคคลประกอบด้วย 1. ความรูเ้ กย่ี วกับธรรมชาติของชีวติ และหลัก จริยธรรม ทุกคนได้มโี อกาสเรียนรู้มาตั้งแตว่ ัย ต้นของชีวิตจากการเลยี้ งดู การศึกษาอบรม และจากประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน โดยอาจเปน็ ในวถิ ที างท่ี ต่างกัน ซึ่งเป็นผลใหบ้ ุคคลมีพัฒนาการทางจริยธรรมตา่ งกัน จากกฎเกณฑ์การตัดสินที่ตา่ งกัน 2. ความใฝธ่ รรม มนุษยม์ ีธรรมชาติ ของการ แสวงหาความถกู ต้องเป็นธรรมหรอื ความดีงาม ตง้ั แต่วยั ทารก คุณสมบัติน้ีทำใหบ้ ุคคลนยิ มคนดี ชอบสงั คมท่มี คี ุณธรรมจรยิ ธรรม ต้องการทจ่ี ะพัฒนาตนเอง ใหเ้ ป็นคนดี อยา่ งไรก็ตามประสบการณ์ในชวี ติ จากการเล้ียงดูและเจริญเติบโตในสภาพแวดลอ้ มทีส่ ง่ เสรมิ คณุ ธรรม เป็นปจั จยั สำคญั ใหบ้ ุคคลพร้อมทจี่ ะพัฒนาตนเองใหม้ ีจริยธรรมสงู กวา่ 3. ความร้จู ักตนเองของบคุ คลน้นั ความรจู้ ักตนเองของบุคคล คอื สร้างความสามารถในการพิจารณาให้รอู้ ิทธิพลของ ความดีและความไมด่ ีของตนใหช้ ัดเจน ซ่งึ จะชว่ ยให้บคุ คลสามารถเสริมสร้างความดีของตนให้มีพลงั เขม็ แขง็ ในลกั ษณะทีต่ นเองและสงั คมยอมรับได้ ความรู้จักตนเองนจี้ ะทำให้บุคคลมีความม่ันใจ มพี ลังและ พร้อมท่ีจะขจัดความไม่ดีของตนและพฒั นาตนเองอยา่ งถกู ตอ้ งดขี น้ึ วิถีทางพัฒนาจรยิ ธรรม 1. การศึกษาเรยี นรู้ กระทำไดห้ ลายวธิ ี ดังนี้ 1.1 การศึกษาเรยี นรดู้ ้วยตนเอง ดว้ ยการหาความ ร้จู ากการอา่ นหนงั สอื เกี่ยวกบั ปรัชญาศาสนา วรรณคดที ีม่ คี ุณค่า หนงั สือเก่ียวกับจรยิ ธรรมทัว่ ไปและ จริยธรรมวชิ าชีพ 1.2 การเขา้ ร่วมประชุมสมั มนา เพือ่ แลกเปลย่ี นความรู้ความคดิ เห็นและ ประสบการณ์เกย่ี วกับคุณธรรมจรยิ ธรรม และการคบหาบัณฑิตผู้ใส่ใจดา้ น จริยธรรม 1.3 การเรียนรูจ้ ากประสบการณ์ชีวติ และจากประสบการณใ์ นสถานท่ีปฏบิ ตั ิงาน

ประสบการณ์จรงิ เป็นโอกาสอันประเสรฐิ ในการเรียนรู้จริยธรรมแห่งชีวติ ทีช่ ่วยใหผ้ ู้เรยี นเรียนรูไ้ ด้ อยา่ งลึกซ้งึ ท้ังด้านเจตคตแิ ละทักษะการแก้ปัญหาเชงิ จรยิ ธรรม อย่างไรก็ตามข้ึนอยกู่ บั ความพร้อมของ บุคคล ผู้มีความพร้อมนอ้ ยอาจจะไมไ่ ดป้ ระโยชน์จากการเรียนรู้อันมีค่าน้ีเลย 2. การวเิ คราะห์ตนเอง บุคคลผู้มีความพรอ้ มจะพัฒนามีความต้งั ใจและเห็นความสำคญั ของการ วิเคราะหต์ นเองเพือ่ ทำความรู้จกั ในตัวตนเอง ด้วยการพจิ ารณาเกย่ี วกับความรู้สึกนกึ คิดและพฤติกรรมการ แสดงออกของตนเอง จะชว่ ยให้บคุ คลตระหนักรคู้ ุณลักษณะของตนเอง รู้จุดดีจุดด้อยของตน รู้ว่าควรคง ลักษณะใดไว้ การวิเคราะห์ตนเอง กระทำได้ดว้ ยหลักการต่อไปนี้ 2.1 การรับฟังความคดิ เห็นเชิงวพิ ากษจ์ ากคำพดู และอากปั กริ ิยาจากบคุ คลรอบข้าง เช่น จาก ผูบ้ ังคับบัญชา จากเพ่อื นรว่ มงาน จากผู้ใกล้ชิดหรือบคุ คลในครอบครวั 2.2 วเิ คราะหต์ นเองเกี่ยวกบั ความคดิ ความต้องการเจตคตกิ ารกระทำ และผลการกระทำ ทง้ั ในอดีตและปัจจุบัน 2.3 ค้นหาความรู้จากแหล่งความรูต้ ่าง ๆ เช่น จากตำรา บทความ รายงานการวจิ ยั ด้าน พฤตกิ รรมศาสตรห์ รือศาสตร์อื่น ๆ ที่เก่ยี วขอ้ งเพอ่ื นำมาประยกุ ต์ใช้ในการวิเคราะหแ์ ละพัฒนา ตน อยา่ งถ่องแท้ 2.4 เขา้ รบั การอบรมเพื่อพัฒนาจติ ใจ (จิตใจและพฤตกิ รรมมนุษย์เปน็ ส่ิงที่เปลยี่ นแปลงและพัฒนา ได้เชน่ เดยี วกับสรรพส่ิงทัง้ หลายในโลก) ทำให้จิตใจไดเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงเกิดปญั ญารบั รู้ตนเองอยา่ งลึกซง้ึ และแทจ้ ริง 3. การฝึกตน เปน็ วิธกี ารพัฒนาด้าน คณุ ธรรมจรยิ ธรรมดว้ ย ตนเองข้ัน สูงสดุ เพราะเป็นการพฒั นาความสามารถของบุคคล ในการ ควบคมุ การประพฤตปิ ฏบิ ัติของตนใหอ้ ยูใ่ น กรอบของพฤติกรรมท่ีพงึ ปรารถนาของสงั คม ท้งั ในสภาพการณป์ กตแิ ละเมื่อเผชิญปัญหาหรอื ขดั แย้ง การฝกึ ตน เปน็ วธิ กี ารพฒั นาดา้ น คุณธรรม จริยธรรมดว้ ยตนเองขั้นสงู สุด เพราะเปน็ การ พฒั นาความสามารถของบคุ คล ในการควบคุมการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิของตนให้อยู่ในกรอบของพฤติกรรมท่พี ึง ปรารถนาของสงั คม ทง้ั ในสภาพการณป์ กติและเมื่อเผชิญปัญหาหรือขัดแย้ง 3.1 การฝึกวนิ ยั ข้นั พน้ื ฐาน เชน่ ความขยนั หมน่ั เพยี ร การพ่งึ ตนเอง ความตรงต่อเวลา ความ รบั ผดิ ชอบ การร้จู ักประหยัดและออม ความซอ่ื สัตย์ ความมี สัมมาคารวะ ความรกั ชาตฯิ 3.2 การรักษาศีลตามความเชือ่ ในศาสนาของตน ศีลเป็นตัวกำหนดท่จี ะทำให้งดเวน้ ในการทจี่ ะ กระทำชว่ั ร้ายใด ๆ อยใู่ นจิตใจ สง่ ผลใหบ้ คุ คลมีพลังจิตทีเ่ ข้มแขง็ รู้เท่าทันความคดิ สามารถควบคมุ ตนได้ 3.3 การทำสมาธิ เป็นการฝกึ ใหเ้ กิดการตง้ั ม่นั ของจติ ใจทำใหเ้ กดิ ภาวะมอี ารมณ์หนึ่งเดยี วของกุศล จติ เป็นจติ ใจท่ีสงบผอ่ งใสบริสุทธเ์ิ ปน็ จติ ทเี่ ข้มแข็ง ม่นั คง แน่วแน่ ทำให้เกิดปญั ญาสามารถพิจารณา เห็นทุกอย่างตรงสภาพความเป็นจริง

3.4 ฝึกการเป็นผูใ้ ห้ เชน่ การรู้จัก ใหอ้ ภยั รู้จักแบง่ ปันความรู้ ความดคี วามชอบ บรจิ าคเพื่อ สาธารณะประโยชน์ อุทิศแรงกายแรงใจชว่ ยงานสาธารณะประโยชน์โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ สรปุ ได้ว่า การพัฒนาจริยธรรมดว้ ยวธิ พี ัฒนาตนเองตามขนั้ ตอนดงั กล่าว เปน็ ธรรมภาระท่บี คุ คล สามารถปฏิบตั ไิ ดค้ วบค่กู ับการดำเนินชวี ิตประจำวัน แต่มใิ ช่เป็นการกระทำในลกั ษณะเสรจ็ สิ้น ตอ้ งกระทำ อยา่ งต่อเน่อื งจนเป็นนิสยั เพราะจิตใจของมนุษย์เปลีย่ นแปลงไดต้ ลอดเวลา เฉกเชน่ กระแสสังคมที่ เปล่ียนแปลงตลอดเวลา กระบวนการจัดการงานอาชพี ของตนเอง ผปู้ ระกอบอาชพี จะต้องมีคุณธรรมจรยิ ธรรม หลักการพฒั นาตนเองตามแนวพระราชดำริ 1. การพัฒนาตนเองตามแนวพระราชดำริ 1.1 ความรู้ ความสามารถ ทรงเนน้ ความรู้ ความสามารถทเี่ บด็ เสรจ็ ของผูป้ ฏิบัติ ประกอบกบั ความมี ระเบยี บแบบแผนในการปฏบิ ัติงาน 1.2 การร้จู ักประยุกตใ์ ช้ ผู้ปฏิบัตติ อ้ งรู้จก้ั ประยกุ ต์ใช้ ดังน้ี - พจิ ารณาให้รอบคอบก่อนท่จี ะประกอบกจิ การใดๆ - พิจารณาให้วางใจเป็นกลาง - พจิ ารณาสภาพความเป็นอยู่ของทอ้ งทีแ่ ละผลสะท้อนทอี่ าจจะเกิดขึ้น - พยามยามหยิบยกทฤษฎีทางวิชาการมาปรับใช้ใหเ้ หมาะสม 1.3 การคดิ อยา่ งรอบคอบ - ใชค้ วามคดิ ใหเ้ ปน็ เครื่องชว่ ยความรู้ จะได้ใช้ความรใู้ หถ้ กู ต้อง - ใชค้ วามจริงใจอันเทย่ี งตรงตามความเหตุผลและมีความเท่ียงธรรม จะได้สรา้ งสรรคป์ ระโยชนไ์ ด้อยา่ ง สมบูรณแ์ ละมีประสิทธภิ าพ 1.4 การใช้ปญั ญา ตอ้ งใช้ปญั ญาในการคิดอ่านอยู่เสมอ เพราะทุกคนตอ้ งใช้ปญั ญาตลอดชีวติ และไมค่ วร ประมาทปญั ญาของของตนเองและผู้อื่น 1.5 การมสี ติและสงบสำรวม 1.6 ความจริงใจและการมสี จั จะ 1.7 การมีวินัย จำแนกเป็น - วนิ ัยทางกาย - วินยั ทางใจ 1.8 การสร้างสรรค์และพัฒนา 1.9 การวางแผนในการทำงาน - งานทุกอย่างจำเป็นต้องมโี ครงการทแ่ี นน่ อนสำหรบั ดำเนินการ - ต้งั เปา้ หมาย ขอบเขต หลักการทแี่ นน่ อน

- ต้องมอี ดุ มการณแ์ ละหลกั ท่มี ่ันคง - ต้องมุ่งมนั่ ทำงานดว้ ยความซ่อื สตั ย์และมีคณุ ธรรม คุณธรรม จริยธรรม ในการประกอบอาชพี ผู้ประกอบอาชีพตอ้ งมีคุณธรรม จรยิ ธรรมเกี่ยวกบั ความรับผดิ ชอบในการผลิตสินค้า เช่น ความสะอาด ความประณตี ความซือ่ สตั ย์ โดยเฉพาะ ดา้ นความปลอดภัยตอ่ สขุ ภาพของผู้บริโภค หรอื การ ใหบ้ ริการที่ปลอดภยั แกผ่ ูร้ ับบริการ ในสว่ นตัวของผ้ผู ลิต การประกอบอาชีพจะต้องมีความขยัน ซอื่ สตั ย์ ร้จู ัก ประหยัด อดออม มคี วามพากเพียร มอี ุตสาหะ \"๘ คณุ ธรรมพื้นฐาน\" ๑) ขยัน ขยนั คือ ความตั้งใจเพยี รพยายามทำหนา้ ท่ีการงานอย่างตอ่ เน่อื งสม่ำเสมอ อดทน ความขยันตอ้ งปฏบิ ัติควบคกู่ ับการใช้ สติปัญญา แก้ปัญหาจนเกดิ ผลสำเรจ็ ผู้ท่ีมคี วามขยันคือ ผทู้ ่ตี งั้ ใจทำอย่างจริงจงั ต่อเนอื่ งในเร่อื งทถ่ี ูกทีค่ วรเปน็ คนสูง้ าน มคี วามพยายาม ไม่ท้อถอย กล้าเผชิญ อุปสรรค รกั งานทีท่ ำ ต้ังใจทำหนา้ ทีอ่ ยา่ งจริงจงั ๒) ประหยดั ประหยดั คือ การรู้จักเก็บออม ถนอมใช้ทรัพย์สนิ สงิ่ ของแต่พอควรพอประมาณ ให้เกดิ ประโยชนค์ ุม้ ค่า ไมฟ่ ุ่มเฟือย ฟงุ้ เฟอ้ ผู้ท่ีมีความประหยดั คอื ผทู้ ดี่ ำเนนิ ชวี ติ ความเป็นอยทู่ เ่ี รียบงา่ ย รจู้ ักฐานะการเงนิ ของตน คดิ กอ่ นใช้คดิ กอ่ นซ้ือ เก็บออม ถนอมใช้ทรัพยส์ นิ สงิ่ ของอยา่ งคุม้ ค่า รจู้ ักทำบญั ชรี ายรบั -รายจา่ ยของตนเองอยู่เสมอ ๓) ความซ่อื สตั ย์ ซื่อสตั ยค์ อื ประพฤติตรงไม่เอนเอียงไมม่ ีเล่หเ์ หล่ยี มมีความจรงิ ใจ ปลอดจากความรสู้ กึ ลำเอยี งหรืออคติ ผู้ทมี่ คี วามซอ่ื สตั ย์คือ ผู้ที่มคี วามประพฤตติ รงทั้งตอ่ หนา้ ที่ ต่อวิชาชีพ ตรงต่อเวลา ไมใ่ ช้เลห่ ์กล คดโกงทัง้ ทางตรงและ ทางอ้อม รับรหู้ น้าท่ีของตนเองและปฏบิ ตั อิ ยา่ งเตม็ ท่ีถูกต้อง ๔) มวี ินยั ๕) สุภาพ ๖) สะอาด สุภาพคือ เรียบรอ้ ย ออ่ นโยน ละมนุ ละม่อม มี มวี ินยั คือ การยดึ มัน่ ในระเบียบ สะอาดคือ ปราศจากความมัว แบบแผน ขอ้ บงั คบั และขอ้ ปฏิบตั ิ หมองทั้งกาย ใจ และ

ซ่ึงมที ้งั วินยั ในตนเองและวนิ ัยต่อ กริ ยิ ามารยาทท่ดี ีงาม มสี ัมมาคารวะ สภาพแวดล้อม ความผอ่ งใสเป็น สังคม ทเ่ี จริญตาทำใหเ้ กดิ ความสบายใจ ผทู้ ม่ี ีความสภุ าพคือ ผูท้ ่อี ่อนนอ้ มถ่อมตนตาม แกผ่ พู้ บเหน็ ผทู้ ม่ี ีวินัยคือ ผทู้ ปี่ ฏิบัตติ นใน สถานภาพและกาลเทศะ ไมก่ ้าวรา้ ว รุนแรง ขอบเขต กฏ ระเบยี บของ วางอำนาจข่มผู้อื่นทั้งโดยวาจาและท่าทาง แต่ใน ผู้ทีค่ วามสะอาดคือ ผรู้ กั ษา สถานศึกษา สถาบนั /องค์กร/ เวลาเดียวกันยังคงมีความมั่นใจในตนเอง เป็นผทู้ ่ี ร่างกาย ทอ่ี ยู่อาศยั ส่ิงแวดล้อม สงั คมและประเทศโดยทตี่ นเอง มีมารยาท วางตนเหมาะสมตามวัฒนธรรมไทย ถกู ต้องตามสขุ ลกั ษณะ ฝึกฝน ยนิ ดปี ฏบิ ัตติ ามอย่างเต็มใจและ จติ ใจมใิ ห้ขนุ่ มวั จงึ มีความแจ่มใส ตงั้ ใจ อยเู่ สมอ ๗) สามัคคี สามคั คคี อื ความพรอ้ มเพยี งกนั ความกลมเกลียวกัน ความปรองดองกนั ร่วมใจกันปฏบิ ตั ิงานใหบ้ รรลผุ ลตามทต่ี อ้ งการเกดิ งานการอยา่ งสรา้ งสรรค์ปราศจากการทะเลาะวิวาท ไมเ่ อารดั เอาเปรียบกนั เปน็ การยอมรับความมเี หตผุ ล ยอมรบั ความ แตกตา่ งหลากหลายทางความคดิ ความหลากหลายในเรอื่ งเชื้อชาติ ความกลมเกลยี วกันในลักษณะเชน่ นี้ เรยี กอีกอย่างว่า ความสมานฉนั ท์ ผ้ทู ม่ี ีความสามคั คีคือ ผู้ทเ่ี ปิดใจกว้างรับฟงั ความคดิ เหน็ ของผูอ้ ่ืน รู้บทบาทของตนทงั้ ในฐานะผ้นู ำและผู้ตามท่ดี ี มคี วามมงุ่ ม่ัน ต่อการรวมพลัง ช่วยเหลอื เกอื้ กลู กันเพอื่ ใหก้ ารงานสำเรจ็ ลลุ ว่ ง แก้ปัญหาและขจดั ความขัดแย้งได้ เป็นผมู้ ีเหตผุ ล ยอมรบั ความแตกต่างหลากหลายทางวฒั นธรรม ความคดิ ความเช่ือพรอ้ มท่จี ะปรับตัวเพือ่ อยูร่ ว่ มกันอย่างสันติ ๘) มนี ้ำใจ มีน้ำใจคอื ความจริงใจที่ไม่เห็นแก่เพียงตัวเองหรอื เรอ่ื งของตวั เอง แต่เห็นอกเหน็ ใจเห็นคุณคา่ ในเพื่อน มนุษย์ มีความเอ้ือ อาทรเอาใจใส่ ใหค้ วามสนใจในความตอ้ งการ ความจำเปน็ ความทกุ ข์สขุ ของผู้อนื่ และพรอ้ มท่ีจะใหค้ วามช่วยเหลอื เกอื้ กลู กัน และกนั ผู้ท่มี นี ้ำใจคือ ผใู้ ห้และผู้อาสาช่วยเหลือสงั คม รู้จักแบ่งปนั เสยี สละความสขุ สว่ นตน เพื่อทำประโยชน์แก่ผอู้ ืน่ เขา้ ใจ เห็นใจ ผู้ ที่มีความเดือดรอ้ น อาสาชว่ ยเหลือสังคมด้วยแรงกาย สตปิ ญั ญา ลงมอื ปฏิบตั ิการเพอ่ื บรรเทาปัญหา หรอื รว่ มสร้างสรรคส์ ง่ิ ดี งามใหเ้ กดิ ขึ้นในชมุ ชน

บทที่ 1 การงานอาชีพ ใบงาน เรื่อง คณุ ธรรม จรยิ ธรรมในการประกอบอาชพี อาชีพ คณุ ธรรม จริยธรรม ท่คี วรมี ดา้ นเกษตรกรรม ด้านอตุ สาหกรรม ดา้ นพาณชิ ยกรรม ด้านความคดิ สร้างสรรค์ ด้านอำนวยการและอาชีพเฉพาะ

บทท่ี 1 การงานอาชพี ใบความรู้ เรือ่ ง การอนรุ ักษพ์ ลังงานและสิง่ แวดลอ้ มในการประกอบอาชพี การอนุรักษท์ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม หมายถึง การใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม อย่างฉลาด โดยใช้ให้นอ้ ย เพ่อื ให้เกดิ ประโยชนส์ ูงสดุ โดยคำนงึ ถงึ ระยะเวลาในการใช้ให้ยาวนาน และ กอ่ ให้เกดิ ผลเสยี หายต่อสิง่ แวดลอ้ มน้อยทีส่ ุด รวมท้ังต้องมีการกระจายการใชท้ รพั ยากรธรรมชาตอิ ย่างทั่วถงึ อย่างไรกต็ าม ในสภาพปัจจุบันทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีความเสอ่ื มโทรมมากข้ึน ดงั น้นั การ อนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อมจงึ มีความหมายรวมไปถงึ การพัฒนาคณุ ภาพส่ิงแวดลอ้ มด้วย การอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ มสามารถกระทำได้หลายวธิ ี ทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนี้ 1. การอนรุ ักษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อมโดยทางตรง ซ่ึงปฏบิ ตั ไิ ด้ในระดบั บุคคล องค์กร และระดบั ประเทศ ท่ีสำคญั คือ 1) การใชอ้ ยา่ งประหยัด คือ การใชเ้ ท่าท่มี ีความจำเป็น เพอ่ื ให้มีทรัพยากรไวใ้ ช้ได้นานและ เกดิ ประโยชนอ์ ยา่ งค้มุ ค่ามากท่ีสดุ 2) การนำกลับมาใชซ้ ้ำอีก สิ่งของบางอย่างเมอ่ื มกี ารใช้แลว้ ครงั้ หน่ึงสามารถทีจ่ ะนำมาใช้ ซ้ำได้อกี เชน่ ถงุ พลาสติก กระดาษ เป็นต้น หรือสามารถทจ่ี ะนำมาใชไ้ ด้ใหมโ่ ดยผ่านกระบวนการต่างๆ เชน่ การนำกระดาษทีใ่ ช้แลว้ ไปผ่านกระบวนการต่างๆ เพ่ือทำเป็นกระดาษแข็ง เป็นต้น ซ่ึงเปน็ การลดปริมาณการ ใช้ทรพั ยากรและการทำลายสง่ิ แวดล้อมได้ 3) การบูรณซ่อมแซม สง่ิ ของบางอย่างเมอื่ ใช้เปน็ เวลานานอาจเกิดการชำรุดได้ เพราะฉะนน้ั ถ้ามกี ารบรู ณะซอ่ มแซม ทำให้สามารถยดื อายกุ ารใชง้ านตอ่ ไปไดอ้ ีก 4) การบำบัดและการฟ้นื ฟู เปน็ วธิ กี ารที่จะชว่ ยลดความเสือ่ มโทรมของทรพั ยากรด้วยการ บำบดั ก่อน เชน่ การบำบัดน้ำเสยี จากบา้ นเรือนหรอื โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ก่อนทีจ่ ะปล่อยลงสแู่ หล่งน้ำ สาธารณะ สว่ นการฟื้นฟูเปน็ การรือ้ ฟืน้ ธรรมชาติให้กลับสู่สภาพเดิม เช่น การปลูกป่าชายเลน เพอ่ื ฟ้นื ฟู ความ สมดลุ ของปา่ ชายเลนให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ เป็นต้น

5) การใชส้ ่งิ อื่นทดแทน เป็นวิธีการทีจ่ ะชว่ ยใหม้ ีการใชท้ รพั ยากรธรรมชาตินอ้ ยลงและไม่ ทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น การใชถ้ ุงผ้าแทนถุงพลาสตกิ การใช้ใบตองแทนโฟม การใช้พลงั งานแสงแดดแทนแร่ เชอ้ื เพลงิ การใชป้ ๋ยุ ชีวภาพแทนปยุ๋ เคมี เปน็ ต้น 6) การเฝ้าระวังดูแลและปอ้ งกนั เป็นวธิ ีการทจ่ี ะไม่ใหท้ รัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อม ถกู ทำลาย เชน่ การเฝ้าระวังการท้ิงขยะ สง่ิ ปฏกิ ลู ลงแมน่ ำ้ คคู ลอง การจัดทำแนวปอ้ งกันไฟปา่ เปน็ ตน้ 2. การอนรุ ักษท์ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มโดยทางอ้อม สามารถทำไดห้ ลายวิธี ดังนี้ 1) การพฒั นาคุณภาพประชาชน โดนสนบั สนุนการศึกษาดา้ นการอนรุ ักษ์ ทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ มท่ีถูกตอ้ งตามหลักวชิ า ซ่งึ สามารถทำไดท้ กุ ระดบั อายุ ทั้งในระบบโรงเรียน และสถาบันการศึกษาตา่ งๆ และนอกระบบโรงเรยี นผา่ นสือ่ สารมวลชนตา่ งๆ เพ่ือให้ประชาชนเกิดความ ตระหนกั ถึงความสำคญั และความจำเป็นในการอนุรักษ์ เกิดความรักความหวงแหน และใหค้ วามรว่ มมืออย่าง จริงจงั 2) การใช้มาตรการทางสังคมและกฎหมาย การจดั ตั้งกลมุ่ ชุมชน ชมรม สมาคม เพือ่ การ อนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ มตา่ งๆ ตลอดจนการให้ความรว่ มมือทง้ั ทางด้านพลังกาย พลงั ใจ พลังความคดิ ดว้ ยจิตสำนึกในความมคี ุณค่าของสิ่งแวดลอ้ มและทรพั ยากรทมี่ ีตอ่ ตวั เรา เช่น กลุม่ ชมรมอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของนกั เรยี น นกั ศกึ ษา ในโรงเรียนและสถาบนั การศึกษาตา่ งๆ มูลนธิ ิ คุ้มครองสัตว์ปา่ และพรรณพชื แห่งประเทศไทย มูลนิธิสืบ นาคะเสถียร มลู นิธโิ ลกสีเขียว เปน็ ต้น 3) ส่งเสริมให้ประชาชนในทอ้ งถน่ิ ได้มีส่วนรว่ มในการอนุรกั ษ์ ช่วยกนั ดูแลรกั ษาใหค้ ง สภาพเดิม ไมใ่ ห้เกิดความเส่ือมโทรม เพ่ือประโยชนใ์ นการดำรงชีวิตในทอ้ งถิน่ ของตน การประสานงานเพ่ือ สรา้ งความรคู้ วามเข้าใจ และความตระหนักระหวา่ งหนว่ ยงานของรัฐ องค์กรปกครองสว่ นท้องถน่ิ กบั ประชาชน ให้มบี ทบาทหน้าทีใ่ นการปกป้อง คุ้มครอง ฟ้ืนฟกู ารใช้ทรัพยากรอยา่ งคมุ้ ค่าและเกดิ ประโยชนส์ ูงสุด 4) สง่ เสรมิ การศกึ ษาวิจยั คน้ หาวิธกี ารและพฒั นาเทคโนโลยี มาใช้ในการจัดการกบั ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อมให้เกดิ ประโยชน์สงู สดุ เช่น การใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีสารสนเทศมา จัดการวางแผนพัฒนา การพัฒนาอุปกรณ์เครอ่ื งมอื เครื่องใชใ้ หม้ ีการประหยัดพลงั งานมากขึน้ การค้นควา้ วจิ ัย วธิ ีการจัดการ การปรบั ปรุง พัฒนาสง่ิ แวดลอ้ มให้มีประสทิ ธิภาพและยั่งยืน เป็นต้น

5) การกำหนดนโยบายและวางแนวทางของรฐั บาล ในการอนุรกั ษแ์ ละพฒั นาส่ิงแวดลอ้ ม ทั้งในระยะสันและระยะยาว เพ่ือเป็นหลักการใหห้ น่วยงานและเจ้าหนา้ ท่ขี องรฐั ที่เกย่ี วข้องยดึ ถือและนำไป ปฏิบตั ิ รวมทัง้ การเผยแพรข่ ่าวสารด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม ทง้ั ทางตรงและ ทางอ้อม แนวทางการอนุรกั ษแ์ ละพฒั นาสภาพแวดลอ้ ม 1. ความหมายของการอนรุ กั ษ์และพฒั นา 1.1 การอนุรกั ษ์ หมายถึงการรจู้ กั ใชท้ รัพยากรธรรมชาตอิ ย่างชาญฉลาดเพอ่ื ให้มปี ระโยชนต์ อ่ มหาชนมากทส่ี ดุ และใชไ้ ด้เปน็ เวลานานที่สดุ ทัง้ นีต้ อ้ งใหม้ กี ารสญู เสยี ทรพั ยากรน้อยทสี่ ุด และจะต้องมีการกระจายการใช้ ทรัพยากรให้เป็นไปโดยท่วั ถงึ กนั ด้วย 1.2 การพฒั นา หมายถึง การทำให้เจรญิ การปรบั ปรงุ เปล่ียนไปในทางทีท่ ำใหเ้ จริญขน้ึ ซึง่ การท่ีจะทำใหเ้ กดิ การพฒั นาข้นึ ได้นัน้ จะตอ้ งมกี ารวางแผนต้องอาศยั วชิ าความรแู้ ละเทคโนโลยีเขา้ มาชว่ ย จงึ จะทำให้การพัฒนา น้นั บรรลุตามวตั ถุประสงค์ 2. ความจำเป็นท่ีจะต้องมกี ารอนุรกั ษ์และพฒั นาสภาพแวดล้อม ทรพั ยากรธรรมชาติและสภาพแวดลอ้ มที่พบอยทู่ ั่วไปในท้องถิน่ หรือตามชุมชนต่าง ๆ ทว่ั ประเทศน้ัน ทส่ี ำคัญ ไดแ้ ก่ ดนิ น้ำ อากาศ แรธ่ าตุ ป่าไม้ และสัตว์ป่า ซ่ึงล้วนแต่ให้คุณประโยชน์ทั้งสนิ้ เหตผุ ลทเี่ ราควรเรง่ อนุรกั ษ์ และพัฒนาสภาพแวดลอ้ ม ก็เน่ืองมาจากทรัพยากรธรรมชาตขิ องประเทศเราไดถ้ ูกทำลายลงมากจนขาดความ สมดลุ 3. แนวทางในการอนรุ ักษ์และพัฒนาสภาพแวดลอ้ ม 3.1 ระดับบุคคล ประชาชนทกุ คนควรมจี ติ สำนึกที่ดีตอ่ แนวทางการอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นาสภาพแวดล้อม ซ่ึงมี วธิ กี ารงา่ ย ๆ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ต้องรู้จกั ประหยดั 2. ตอ้ งรูจ้ กั รกั ษา 3. ต้องรู้จกั ฟื้นฟูทรพั ยากรให้ฟ้นื ตวั และรูจ้ ักปรบั ปรุงใหด้ ขี ้ึน 4. ชว่ ยกนั ส่งเสริมการผลิตและการใช้ทรัพยากรอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ 5. ต้องรู้จักนำทรัพยากรที่ใชแ้ ลว้ มาผลิตใหม่ 6. ตอ้ งรู้จักนำทรัพยากรอนื่ ๆ มาใช้แทนทรัพยากรท่ีมีราคาแพงหรอื กำลังจะลดน้อยหมดสูญไป 7. ตอ้ งช่วยกนั คน้ ควา้ สำรวจหาแหลง่ ทรัพยากรใหม่ เพอ่ื นำมาใช้แทนทรพั ยากรธรรมชาติทีห่ า ยาก 8. ต้องไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ 9. ตอ้ งเต็มใจเข้ารับการอบรมศึกษา ให้เข้าใจถงึ ปัญหาและวิธีการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

3.2 ระดบั ชุมชน เนือ่ งจากประชาชนแต่ละคนเปน็ สมาชกิ ของชมุ ชนท่ีตนอาศยั อยู่ ซง่ึ ลกั ษณะและสภาพของ ชมุ ชน จะมผี ลกระทบมาถึงประชาชนในชมุ ชนนนั้ ๆ ด้วย ทั้งทเ่ี ปน็ สิ่งที่ดแี ละไมด่ ี ในการอนุรกั ษ์ควรร่วมมอื รว่ มใจกนั ดังนี้ 1. ประชาชนในชุมชนจะตอ้ งตระหนกั ถึงการเขา้ ไปมีส่วนรว่ ม ในการอนรุ กั ษแ์ ละพัฒนาสภาพแวดล้อมใน ชมุ ชนของตน 2. ประชาชนในชุมชนจะตอ้ งมคี วามรูค้ วามเขา้ ใจในเรอ่ื งระบบของการจักการ และสามารถแกไ้ ขปรับปรุง และ เปล่ียนแปลงสภาพแวดลอ้ มทีเ่ สื่อมโทรมให้ดขี น้ึ 3.จัดระบบวธิ ีการอนุรกั ษ์ และพฒั นาสภาพแวดล้อมในชมุ ชนของตนให้ประสานงานกับหนว่ ยของรฐั และ เอกชน 3.3 ระดับรฐั บาล 1. รัฐบาลควรกำหนดนโยบาย และวางแนวทางการอนุรักษแ์ ละพฒั นาสภาพแวดล้อมท้งั ในระยะสน้ั และระยะ ยาว เพ่ือเปน็ หลักการให้หนว่ ยงานและเจ้าหนา้ ทีข่ องรัฐทเ่ี กี่ยวขอ้ งได้ยึดถือปฏบิ ตั ติ ่อไป 2. ในฐานะที่เป็นพลเมืองดขี องชุมชนและของประเทศ ประชาชนไทยทกุ คนควรปฏบิ ัตติ นใหถ้ กู ต้องตามกฎ ข้อบังคับ หรอื ตามกฎหมายเกีย่ วกบั สง่ิ แวดล้อมท่ีสำคญั 3. หนว่ ยงานของรฐั ทง้ั ในท้องถ่นิ และภมู ภิ าค จะตอ้ งเปน็ ผู้นำและเป็นแบบอยา่ งท่ีดีในการอนุรกั ษ์และพัฒนา สภาพแวดล้อม รวมท้งั จะต้องให้ความสนับสนุนและรว่ มมือกับภาคเอกชน และประชาชนทั้งไปดว้ ย 4. เผยแพรข่ า่ วสารข้อมูลกฎหมายท้องถิ่น และความรทู้ างดา้ นการอนุรกั ษ์และพัฒนาสภาพแวดล้อมทั้ง ทางตรงและทางออ้ ม 5. หนว่ ยงานที่รบั ผิดชอบในทอ้ งถน่ิ ภมู ภิ าค ต้องรีบเร่งดำเนินการแก้ไขฟน้ื ฟูสภาพแวดลอ้ มที่เสอ่ื มโทรมไปให้ กลบั สู่สภาพเช่นเดมิ และหาทางปอ้ งกันไม่ให้เกดิ สภาพการณ์เช่นนน้ั ขนึ้ มาอกี

บทท่ี 1 การงานอาชีพ ใบงาน เรอื่ ง การอนรุ กั ษพ์ ลงั งานและสง่ิ แวดลอ้ มในการประกอบอาชพี ใหน้ ักศึกษาบอกวธิ ีการอนุรกั ษพ์ ลงั งานและสง่ิ แวดล้อมในการประกอบอาชีพ อาชพี วิธีการอนรุ ักษ์พลังงานและส่ิงแวดลอ้ ม ด้านเกษตรกรรม ดา้ นอตุ สาหกรรม ดา้ นพาณชิ ยกรรม ดา้ นความคดิ สรา้ งสรรค์ ดา้ นอำนวยการและอาชีพ เฉพาะ

บทท่ี 2 ชอ่ งทางการเขา้ สู่อาชีพ ใบความรู้ เร่ือง ความจำเป็นในการมองเห็นช่องทางในการประกอบอาชพี การขยายอาชีพระดบั ประเทศ ธรุ กิจที่มีการขยายขอบข่ายอาชีพในระดับประเทศ มักจะเป็นธุรกิจที่สร้างประสิทธิภาพในระบบการ จัดการใช้ทรัพยากรที่เก่ียวข้อง กับการจัดการกำลังคนท้ังระดับริหารจัดการและแรงงาน การจัดการเงินทุน การจัดการวัสดุนำเข้าการผลิต และกระบวนการผลิตให้ได้ผลผลิตสูงสุด และมีของเสียหายน้อยท่ีสุดเป็นเร่ือง สำคัญ ดังน้ัน การจัดต้ังธุรกิจรองลงมาท่ีมีความสัมพันธ์สอดคล้องกับการลดปริมาณการเสียหายให้น้อยที่สุด จนเหลอื ศูนย์ รองรับธุรกิจหลกั จึงเกิดการขยายข่ายอาชีพขึน้ ตวั อย่าง การขยายขอบข่ายจากอาชีพผลิตกระเป๋าถือสตรี การขยายอาชีพระดับโลก หากเราจะมองไปทปี่ ระเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกจิ ได้แก่ สหรัฐอเมรกิ า อังกฤษ ฝรงั่ เศส เยอรมัน ญป่ี ุน่ ซ่ึงเป็นนกั คิด นักพฒั นาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เชน่ อุตสาหกรรมรถยนต์ อตุ สาหกรรมเคมี อตุ สาหกรรมอิเลก็ ทรอนกิ ส์ และอนื่ ๆ ลว้ นแต่ทำลายส่งิ แวดล้อมประเทศเขามหาอำนาจ เหลา่ น้จี งึ ขยายขอบขา่ ยการผลติ ออกไปยังประเทศท่คี ่าจ้างแรงงานตำ่ และหันกลับมาอนรุ กั ษศ์ ิลปวัฒนธรรม ส่งิ แวดลอ้ ม สรา้ งความสวยงามใหก้ ับระบบเกษตรอนิ ทรียท์ ี่มีความปลอดภัย และคณุ ภาพสูง เพือ่ สรา้ งพืน้ ฐาน สุขภาพชวี ิตประชาชนของเขาให้อยู่ดมี ีสขุ สู่การมีปญั ญาอันเลิศล้ำ การกำหนดแนวทางการขยายอาชพี หลงั จากนำความคดิ รวบยอดการขยายขอบขา่ ยอาชพี มาวิเคราะห์ ความพอเพียงในการดำเนนิ การจะทำใหเ้ รา เหน็ สภาพปฏสิ ัมพนั ธ์ ระหว่างตัวแปรการผลติ กบั ตวั แปรปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งทีจ่ ะบอกใหเ้ รารู้วา่ ความคิดการขยายอาชีพเหมาะสมท่ีจะทำหรือไม่ จากตัวอยา่ งการวเิ คราะห์เราจะพบว่าตัวแปรทางปรชั ญา เศรษฐกจิ พอเพยี ง จะควบคุมความคิดของเราใหอ้ ยูใ่ นขอบขา่ ยที่เหมาะสม มภี ูมิคุม้ กนั โอกาสประสบ ความสำเร็จมสี งู

บทที่ 2 ช่องทางการเขา้ สู่อาชีพ ใบงาน ใหผ้ ู้เรียนเลอื กอาชีพที่คดิ ว่าจะสามารถประกอบอาชีพไดใ้ นชุมชน จำนวน 3 อาชพี โดยพิจารณา ความเป็นไปไดใ้ นการจดั การอาชพี และบนั ทกึ รายละเอยี ดของแต่ละอาชพี ลงในแบบบนั ทกึ แบบบนั ทึก อาชพี ท1ี่ 1.กำหนดชนดิ สนิ ค้า .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2.ปัจจัยท่ีใชใ้ นการผลิต .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. การจัดการการผลติ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 4.กระบวนการผลติ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 5.การจดั การการตลาด

.............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 6.ผลกระทบตอ่ สภาพแวดล้อมในชุมชน .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 8.รายได้ท่ีคาดว่าจะได้รบั .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 9.ปญั หาอุปสรรค .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. อาชีพท่ี 2 1.กำหนดชนดิ สินคา้ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

2.ปจั จยั ท่ีใชใ้ นการผลติ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. การจดั การการผลติ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 4.กระบวนการผลิต .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 5.การจัดการการตลาด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 6.ผลกระทบต่อสภาพแวดลอ้ มในชุมชน .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

7.ความรคู้ วามสามารถของผู้ประกอบอาชพี .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 8.รายได้ทค่ี าดวา่ จะได้รับ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 9.ปัญหาอุปสรรค .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. อาชพี ที่ 3 1.กำหนดชนดิ สนิ ค้า .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2.ปจั จยั ท่ีใช้ในการผลิต .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

3. การจัดการการผลติ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 4.กระบวนการผลิต .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 5.การจดั การการตลาด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 6.ผลกระทบต่อสภาพแวดลอ้ มในชมุ ชน .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 7.ความรูค้ วามสามารถของผู้ประกอบอาชพี .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

8.รายไดท้ ่คี าดว่าจะได้รับ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 9.ปัญหาอปุ สรรค .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

บทที่ 1 การงานอาชีพ ใบความรู้ เรือ่ ง การตัดสนิ ใจเขา้ สู่อาชีพดว้ ยปรชั ญาคิดเป็น ปรัชญาคดิ เป็น อยู่บนพื้นฐานความคดิ ทีว่ า่ ความต้องการของแต่ละบคุ คลไมเ่ หมือนกนั แต่ทุกคนมจี ดุ รวม ของความต้องการที่เหมอื นกัน คือ ทกุ คนตอ้ งการความสขุ คนเราจะมีความสขุ เมือ่ เราและสงั คมส่ิงแวดล้อม ประสมกลมกลนื กันได้ โดยการปรบั ปรงุ ตัวเราให้เข้ากบั สังคมหรือสิง่ แวดล้อม หรอื โดยการปรับปรงุ สังคมและ สิ่งแวดลอ้ มให้เขา้ กบั ตัวเรา หรือปรบั ปรงุ ทัง้ ตวั เราและสังคมสิ่งแวดลอ้ มใหป้ ระสมกลมกลนื กนั หรอื เขา้ ไปอยู่ ในสิง่ แวดลอ้ มที่เหมาะสมกับตน คนที่สามารถทำไดเ้ ชน่ น้ี เพื่อใหต้ นเองมีความสุขนัน้ จำเป็นตอ้ งเป็นผู้มี ความคดิ สามารถคดิ แก้ปญั หา รจู้ ักตนเองและธรรมชาติส่ิงแวดลอ้ ม จึงจะเรยี กไดว้ ่า ผู้นั้นเป็นคนคิดเป็น หรอื อีกนยั หนึ่งปรัชญาคดิ เปน็ มาจากความเชอ่ื พน้ื ฐานตามแนวพุทธศาสนา ที่สอนให้บุคคลสามารถพ้นทกุ ข์ และ พบความสุขไดด้ ว้ ยการค้นหาสาเหตุของปญั หา สาเหตขุ องทุกข์ ซ่งึ ส่งผลให้บุคคลผ้นู ัน้ สามารถอยใู่ นสงั คมได้ อย่างมีความสขุ คิดเป็น เช่ือว่ามนุษยท์ กุ คนมพี น้ื ฐานชวี ติ แตกต่างกันมวี ิถีการดำเนนิ ชวี ิตท่แี ตกตา่ งกนั มีความ ต้องการทีแ่ ตกตา่ งกัน แต่ทกุ คนล้วนมีความต้องการทจ่ี ะมีความสุขอย่างอัตภาพเหมือนกนั เมื่อทุกคนตอ้ งการมีความสขุ เหมอื นกัน จงึ ตอ้ งมกี ระบวนการเพอ่ื ให้เกดิ ความสุขคือกระบวนการคดิ เปน็ โดยมฐี านขอ้ มูลทางวชิ าการ ทางสงั คมสงิ่ แวดล้อม และขอ้ มลู ของตนเองมาเปน็ ตัวการในการช่วย ตดั สนิ ใจ เมื่อตดั สนิ ใจไดแ้ ล้วจึงเลอื กหนทางในการดำเนนิ ชีวติ ก็จะเกิดความสุขจากการตดั สนิ ใจถูกต้อง เมื่อ ดำเนนิ การแล้ว และยังเกดิ ปัญหา หรอื ยังไม่เกิดความสุขจึงกลบั มายอ้ นดคู วามผิดพลาดจากขอ้ มูลว่าวิเคราะห์ ข้อมลู ครบหรอื ยัง แลว้ จงึ ตัดสินใจใหม่วนเปน็ วัฎจักร \"คดิ เปน็ \" เพ่ือการแก้ปญั หาท่ียังยืน แล้วเกิดสุขอย่าง อัตภาพ เปา้ หมายสุดท้ายของการเป็นคน “คดิ เป็น” คือความสุข คนเราจะมีความสุขเมอ่ื ตวั เราและสงั คม สง่ิ แวดลอ้ มประสมกลมกลนื กนั อยา่ งราบรื่นท้ังทางด้านวัตถุ กายและใจ หลักการของการคิดเป็น 1. คดิ เปน็ เชื่อว่า สังคมเปล่ียนแปลงอยูต่ ลอดเวลา ก่อให้เกิดปัญหา ซง่ึ ปัญหานน้ั สามารถแกไ้ ขได้ 2. คนเราจะแก้ไขปัญหาต่างๆได้อย่างเหมาะสมที่สุด โดยใชข้ ้อมูลมาประกอบการตัดสินใจ อย่างนอ้ ย 3 ประการ คือ ขอ้ มูลเกย่ี วกับตนเอง สงั คม และวชิ าการ

3. เมอ่ื ได้ตัดสนิ ใจแกไ้ ขปัญหาด้วยการไตรต่ รองรอบคอบ โดยใช้ขอ้ มูลเกี่ยวกบั ตนเอง สังคม และ วชิ าการ ทั้ง 3 ดา้ นนแี้ ล้ว ย่อมก่อใหเ้ กิดความพอใจในการตดั สนิ ใจนัน้ และควรรบั ผิดชอบต่อการตัดสินใจน้ัน 4. แต่สังคมเปลี่ยนแปลงอยูต่ ลอดเวลา การคิดตัดสินใจอาจจะต้องเปล่ียนแปลงปรับปรงุ ใหมใ่ ห้ เหมาะสมกบั สภาพและสถานการณท์ ่ีเปล่ียนไป แก้ปัญหาโดยพิจารณาขอ้ มลู อยา่ งนอ้ ย 3 ประการคือ 1) การรู้จกั ตนเองอย่างถ่องแทเ้ ทยี่ งธรรม หรอื ตน (Self) โดยพิจารณาความพรอ้ มในด้านการเงนิ สุขภาพอนามยั ความรู้ อายุ และวัย รวมทัง้ ความมีเพือ่ นฝงู และอื่น ๆ 2) สังคมและสงิ่ แวดลอ้ ม (Society and Environment) หมายถงึ คนอื่นนอกเหนอื จากเราและ ครอบครวั จะเรยี กว่าบุคคลที่ 3 กไ็ ด้ คอื ดูว่าสังคมเขาคิดอย่างไรกับการตัดสนิ ใจของเรา เขาเดือดร้อนไหม เขา รังเกียจไหม เขาช่ืนชมด้วยไหม เขามีใจปันให้เราไหม รวมตลอดถึงเศรษฐกิจและสังคมน้ัน ๆ เหมาะกับ เร่ืองท่ีเราตัดสินใจหรือไม่ รวมท้ังขนบธรรมเนียมประเพณี คุณธรรมและค่านิยมของสังคม 3) ความรทู้ างวชิ าการ เป็นความรู้ทางวทิ ยาศาสตรห์ รือความรวู้ ิชาการในเรื่องท่ตี รงกบั การที่เราจะต้อง ตัดสินใจ ซ่งึ ถือเป็นหนังสือหลัก ลักษณะของคนคิดเปน็ มี 8 ประการ 1. มีความเช่ือวา่ ปญั หาที่เกิดขน้ึ เป็นส่งิ ธรรมดา สามารถแกไ้ ขได้ 2. การคดิ ทดี่ ีต้องให้ขอ้ มูลหลายๆด้าน (ตนเอง สังคม วิชาการ) 3. ร้วู า่ ขอ้ มลู เปลี่ยนแปลงอยูเ่ สมอ 4. สนใจทจี่ ะวิเคราะห์ขอ้ มูลอยู่เสมอ 5. รูว้ ่าการกระทำของตนมผี ลต่อสังคม 6. ทำแล้ว ตดั สนิ ใจแลว้ สบายใจ และเตม็ ใจรบั ผิดชอบ 7. แกป้ ัญหาชวี ติ ประจำวันอยา่ งมีระบบ 8. รู้จกั ช่ังน้ำหนกั คุณค่ากบั สง่ิ รอบ ๆ ด้าน สมรรถภาพของคนคดิ เป็น 1. เผชญิ ปญั หาในชวี ิตประจำวันอย่างมีระบบ 2. สามารถทจี่ ะแสวงหาและใช้ข้อมูลหลายๆด้าน ในการคดิ แก้ไขปญั หา 3. รจู้ กั ชั่งนำ้ หนัก คุณค่า และตัดสนิ ใจหาทางเลอื กให้สอดคล้องกบั ค่านิยม ความสามารถและ สถานการณห์ รือเงอื่ นไขส่วนตวั และระดบั ความเป็นไปได้ของทางเลอื กตา่ งๆ

กระบวนการคดิ เปน็ กระบวนการคิดเปน็ อาจจำแนกใหเ้ ห็นข้ันตอนตา่ ง ๆ ทป่ี ระกอบกนั เขา้ เป็นกระบวนการคดิ ไดด้ งั นี้ ขั้นท่ี 1 ข้ันสำรวจปญั หา เมอ่ื เกดิ ปญั หา ย่อมต้องเกิดกระบวนการคดิ แก้ปัญหา น่ันคอื การรบั รู้ ปญั หาท่กี ำลงั เผชญิ อยแู่ ละคดิ แสวงหาทางแกป้ ัญหานนั้ ๆ ขน้ั ที่ 2 ขน้ั หาสาเหตุของปัญหา เป็นการศึกษารวบรวมข้อมูลเกีย่ วกับปญั หาเพ่อื ทำความเข้าใจ ปญั หา และสถานการณน์ นั้ ๆ โดยจำแนกข้อมูลออกเปน็ 3 ประเภทคอื ขอ้ มลู สงั คม : ไดแ้ ก่ข้อมูลเก่ยี วกับสภาพแวดล้อมทอี่ ยูร่ อบๆ ตัว ปัญหาสภาพสงั คมของแต่ ละบุคคล ตัง้ แต่ครอบครวั ชุมชนและสงั คมทงั้ ในแงเ่ ศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง ส่ิงแวดล้อม วัฒนธรรม ประเพณี ความเชอ่ื คา่ นิยม เปน็ ต้น ขอ้ มลู ตนเอง : ไดแ้ ก่ขอ้ มูลเกี่ยวกับตัวบุคคล ซึ่งจะเป็นผู้ตัดสนิ ใจ เป็นข้อมูลทัง้ ทางดา้ น กายภาพ พืน้ ฐานของชวี ติ ครอบครวั อาชพี ความพรอ้ มทง้ั ทางอารมณ์ จิตใจ เป็นตน้ ข้อมูลวชิ าการ : ไดแ้ ก่ขอ้ มูลด้านความรใู้ นเชงิ วิชาการที่จะชว่ ยสนับสนุนในการคิดการ ดำเนินงาน ยงั ขาดวิชาการความรตู้ า่ งๆ ท่ีเกีย่ วข้องกบั ปัญหาในเร่ืองใดบ้าง ข้นั ที่ 3 ขั้นวเิ คราะห์ หาทางแก้ปญั หา เป็นการวเิ คราะหท์ างเลอื กในการแกป้ ัญหา หรอื การ ประเมินคา่ ขอ้ มูลทั้ง 3 ดา้ น คอื ขอ้ มูลด้านตนเอง สังคม วชิ าการ มาประกอบในการวิเคราะห์ ช่วยในการ คดิ หาทางแกป้ ัญหาภายในกรอบแห่งคุณธรรม ประเด็นเด่นของข้ันตอนนี้คือ ระดบั ของการตัดสินใจท่จี ะ แตกตา่ งกนั ไปแต่ละคนอนั เป็นผลเนอื่ งมาจากขอ้ มูลในขน้ั ท่ี 2 ความแตกตา่ งของตดั สินใจดังกล่าวมุ่งไปเพอื่ ความสุขของแต่ละคน ขั้นท่ี 4 ขน้ั ตัดสนิ ใจ เมื่อไดท้ างเลือกแลว้ จงึ ตัดสนิ ใจเลือกแก้ปัญหาในทางที่มีขอ้ มูลตา่ งๆ พร้อม สมบูรณ์ที่สุด การตดั สินใจถอื เปน็ ขน้ั ตอนสำคัญของแตล่ ะคนในการเลอื กวธิ ีการหรอื ทางเลอื กในการแก้ปัญหา ขึน้ อยูก่ ับว่าผลของการตัดสินใจนน้ั พอใจหรือไม่ หากไมพ่ อใจกต็ ้องทบทวนใหม่ ขั้นท่ี 5 ขน้ั ตัดสนิ ใจไปสู่การปฏิบตั ิ เมือ่ ตดั สินใจเลอื กทางใดแลว้ ตอ้ งยอมรบั ว่าเป็นทางเลือกท่ีดี ทีส่ ดุ ในขอ้ มลู เท่าทม่ี ีขณะนัน้ ในกาละน้ันและในเทศะน้นั เป็นการปฏบิ ตั ติ ามสงิ่ ท่ไี ดค้ ดิ และตดั สินใจแล้ว หาก พอใจยอมรับผลของการตดั สินใจ มีความสขุ ก็เรียกได้ว่า “คิดเป็น” แต่หากตัดสินใจแลว้ ได้ผลออกมายังไม่


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook