BALANOPHORACEAE พรรณไม้ไทยประจัน 141
142 พรรณไมเ้ ขาหนิ ปนู ในกลุ่มปา่ ภเู ขยี ว-น้ำ� หนาว 1
กากหมากตาฤาษี Balanophoraceae Balanophora fungosa J. R. Forst. & G. Forst. subsp. indica (Arn.) B. Hansen ชื่ออื่น กกหมากพาสี (เชียงใหม่) ขนุนดิน (ทั่วไป) ดอกกฤษณารากไม้ (ประจวบคีรีขันธ์) บัวผุด (ชุมพร) ว่านดอกดิน (สระบุรี) เห็ดหิน (เลย) พืชล้มลุก เบียนรากของพืชอื่น ไม่มีคลอโรฟิลล์ ดอกแยกเพศร่วมต้นหรือแยกเพศต่างต้น เหง้าใต้ดิน สีน้�ำตาลแกมเหลืองไม่แตกกิ่งก้านหรือพบข้ึนเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ผิวเหง้าเป็นหูดนูนเล็ก ๆ และมีช่องหายใจรูป ดาวกระจายทั่วไป แตกแขนงเป็นรูปทรงเกือบกลม แบน กว้างประมาณ 2.5 ซม. ยาวประมาณ 1.5 ซม. ใบ คล้ายเกล็ดจ�ำนวน 15-30 เรียงเวียน พบน้อยเรียงเกือบตรงข้ามหรือซ้อนเหล่ือม รูปไข่กว้าง กว้าง 1.5-1.7 ซม. ยาว 1-1.5 ซม. ปลายทู่ ช่อดอกแบบช่อกระจะหรือคล้ายช่อเชิงลด รูปรี รูปไข่ หรือรูปไข่แกมรูปกรวยคว่�ำ กว้าง 1-2 ซม. ยาว 1-3 ซม. ก้านช่อดอกสีชมพู สีส้มแกมแดง หรือสีเหลือง กว้าง 0.6-1.5 ซม. ยาว 3-8 ซม. เม่ือเป็นผลก้านยาวได้ถึง 12 ซม. ดอกเพศผู้ มักจะอยู่ตอนบนหรือตอนปลายของช่อดอก สมมาตรตามรัศมี รองรับด้วยใบประดับ ก้านดอกยาว 4-5 มม. กลีบรวมปลายแยก 4 หรือ 5 แฉก รูปรีแกมรูปไข่ ปลายแหลม เกสรเพศผู้รวมเป็นมัด รูปเกือบกลม ก้านยาว 0.5-1 มม. อับเรณูจ�ำนวน 4 หรือ 5 อัน รูปตัวยู ดอกเพศเมีย สีเหลือง มักจะอยู่บริเวณโคนช่อดอก ประเทศไทย พบทว่ั ทกุ ภาคของประเทศไทย การกระจายพนั ธ ์ุ พบตั้งแต่ไตห้ วนั ญีป่ ่นุ อนิ โดนเี ซีย นิวกนิ ี ฟลิ ิปปินส์ ออสเตรเลยี และหม่เู กาะใน มหาสมทุ รแปซิฟกิ นิเวศวทิ ยา พบขน้ึ ตามรม่ เงาของปา่ ดบิ หรือปา่ ผลดั ใบ ตามที่ราบของเขาหินปูน ทค่ี วามสงู จาก ระดับทะเล 0-2,000 ม. ออกดอกและเป็นผลในชว่ งเดือนตุลาคมถึงมกราคม พรรณไม้เขาหินปนู ในกลมุ่ ป่าภเู ขียว-นำ้� หนาว 1 143
144 พรรณไมเ้ ขาหนิ ปนู ในกลุ่มปา่ ภเู ขยี ว-น้ำ� หนาว 1
กากหมาก Balanophoraceae Balanophora latisepala (Tiegh.) Lecomte ชื่ออ่ืน - พืชล้มลุก เบียนรากของพืชอื่น ไม่มีคลอโรฟิลล์ ดอกแยกเพศต่างต้น สูง 10-25 ซม. เหง้าแตกกอ รูปรีเกือบกลม ยาว 2-4.3 ซม. ผิวมีตุ่มหูดรูปดาวกระจายท่ัวไป ใบคล้ายเกล็ด ไร้ก้าน จ�ำนวน 3-6 ใบ เรียง สลับห่าง ๆ ในระนาบเดียวกัน ช่อดอกคล้ายช่อเชิงลด ช่อดอกเพศผู้ เรียว ยาว 5-9 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-2.5 ซม. ใบประดับ รูปรีกว้าง กว้างประมาณ 5 มม. ยาวประมาณ 3 มม. ปลายแยกเป็น 2 แฉก ดอก จ�ำนวนมาก ก้านดอกยาว 1.5-6 มม. กลีบรวม 4-6 กลีบ เรียงเป็น 2 แถว ขนาดไม่เท่ากัน พับโค้งกลับ รูปไข่ปลายแหลม กลีบข้าง ยาว 3-3.5 มม. กลีบกลางรูปเกือบส่ีเหล่ียม กว้าง 3-4 มม. อับเรณู แบน เรียว ยาวประมาณ 5 มม. แตกตามยาว ช่อดอกเพศเมีย เรียวยาวคล้ายรูปทรงกระบอก ยาว 1-7 ซม. เส้นผ่าน ศูนย์กลาง 0.5-2 ซม. ไม่มีกลีบรวม ดอกจ�ำนวนมาก รังไข่ ขนาดเล็ก 1 ช่อง ก้านยอดเกสรเพศเมียติดทน ผลแบบผลแห้งเมล็ดล่อน ขนาดเล็ก มี 1 เมล็ด ประเทศไทย พบท่ัวทกุ ภาคของประเทศไทย การกระจายพนั ธ ์ุ พบต้งั แต่ เมียนมา ลาว กัมพชู า เวียดนาม คาบสมทุ รมลายู สุมาตรา และบอรเ์ นียว นิเวศวทิ ยา พบขน้ึ ตามรม่ เงาของปา่ ดบิ ปา่ ผลดั ใบ หรอื ตามทรี่ าบของเขาหนิ ปนู ทค่ี วามสงู จาก ระดบั ทะเล 0-1,600 ม. ออกดอกในชว่ งเดอื นกรกฎาคมถึงกมุ ภาพนั ธ์ พรรณไม้เขาหนิ ปนู ในกล่มุ ปา่ ภเู ขยี ว-นำ้� หนาว 1 145
balsaminaceae Impatiens ruthiae Suksathan & Triboun
148 พรรณไมเ้ ขาหนิ ปนู ในกลุ่มปา่ ภเู ขยี ว-น้ำ� หนาว 1
เทยี นบุนนาค Balsaminaceae Impatiens bunnackii ined. ชอื่ อน่ื - ไมล้ ม้ ลกุ อายปุ เี ดยี ว ลำ� ตน้ ตง้ั ตรง สงู 20-70 ซม. ออ่ นนมุ่ และฉำ�่ นำ�้ เกลย้ี ง มกั พบจดุ หรอื ขดี สนี ำ้� ตาลอมมว่ ง เขม้ ทวั่ ไป และผลกึ รปู เขม็ (raphides) สขี าวฝง่ั อยใู่ นเซลลผ์ วิ กระจายทว่ั ไปตามแผน่ ใบ และดอก ใบเดย่ี ว เรยี งเวยี น รปู รี รปู ใบหอก หรอื รปู ไข่ กวา้ ง 3-5.6 ซม. ยาว 6-15.5 ซม. ปลายแหลมถงึ เรยี วแหลม โคนมน รปู ลม่ิ หรอื สอบ มกั จะเบยี้ วและมตี อ่ ม 2 คู่ ขอบจกั ฟนั เลอื่ ยตนื้ ๆ และมตี อ่ มคลา้ ยหนามตามรอยจกั แผน่ ใบบางเนอ้ื ออ่ นนมุ่ เกลยี้ งทง้ั 2 ดา้ น ใบออ่ นดา้ นบนอาจพบขยุ คลา้ ยรงั แคสขี าวตามแนวเสน้ กลางใบ เสน้ แขนงใบขา้ งละ 9-17 เสน้ กา้ นใบยาว 1-6 ซม. เกลย้ี ง ดอกเดย่ี วหรอื ออกเปน็ กระจกุ ๆ ละ 2-4 ดอก ตามซอกใบใกลป้ ลายกง่ิ รปู ทรงดอกสมมาตรดา้ นขา้ ง ยาว ประมาณ 3 ซม. กา้ นดอกยาว 1-5 ซม. กลบี เลย้ี งมี 5 กลบี แบง่ เปน็ กลบี เลย้ี งคขู่ า้ งดา้ นนอก (outer lateral sepal) 2 กลบี เชอ่ื มตดิ ทโ่ี คนกลบี 1/2-2/3 ของความยาว (เทยี นปา่ I. calcicola Craib) และเทยี นโสภา (I. saleangensis T. Shimizu) ทงั้ 2 กลบี แยกถงึ โคน) สมี ว่ งแดง สมี ว่ งอมฟา้ หรอื สขี าวอมมว่ งเรอื่ ๆ แตล่ ะกลบี รปู รกี วา้ ง รปู ไขก่ ลบั กวา้ ง ถงึ คอ่ นขา้ งกลม กวา้ ง 4-6 มม. ยาว 9-14 มม. ปลายหยกั เปน็ ตงิ่ หนาม กลบี เลยี้ งคขู่ า้ งดา้ นใน (inner lateral sepal) 2 กลบี มขี นาดเลก็ มาก รปู หอก กวา้ ง 1-1.2 มม. ยาว 3-5 มม. และกลบี เลย้ี งดา้ นลา่ ง (lower sepal) 1 กลบี สมี ว่ งออ่ น ถงึ สขี าว มแี ตม้ สเี หลอื งถงึ สเี หลอื งเขม้ ทกี่ ลางถงุ ดา้ นในและมจี ดุ ประสแี ดงอมนำ้� ตาลกระจาย เปน็ ถงุ รปู กรวย ลกึ 8-10 มม. กน้ ถงุ หยกั คอดทนั ทเี ปน็ เดอื ยโคง้ งอและแยก 2 แฉก เดอื ยและแฉกยาวรวม 6-7 มม. กลบี ดอก สมี ว่ งอมฟา้ เขม้ ถงึ ออ่ น หรอื ขาวอมมว่ งเรอื่ ๆ โคนกลบี ดอกสอี อ่ นกวา่ อาจมจี ดุ ประสแี ดงอมนำ้� ตาลกระจายเลก็ นอ้ ย มี 5 กลบี แบง่ เปน็ 2 ชน้ิ ๆ ที่ 1 เปน็ กลบี ดอกดา้ นบน (standard) รปู ไขก่ ลบั กวา้ ง 7-12 มม. ยาว 11-12.5 มม. ปลายกลบี เวา้ ตน้ื และ โคง้ กลบั เสน้ กลางกลบี เปน็ สนั นนู มกั พบตง่ิ นนู ถงึ หนามแหลมใกลป้ ลายและทใ่ี กลโ้ คนรวม 2 ตงิ่ สอี อกเขยี ว ชน้ิ ท่ี 2 มี 4 แฉกเชอื่ มตดิ กนั แบง่ เปน็ แฉกคขู่ า้ งหรอื กลบี ปกี (wing) 2 กลบี รปู ไขก่ ลบั กวา้ ง 10-11.5 มม. ยาว 14.2-15 มม. ปลายกลม และแฉกคกู่ ลางเปน็ กลบี ปาก (lip) 2 กลบี โคนเชอ่ื มตดิ กนั 1/3 – 2/3 ของความยาว ทงั้ 2 กลบี รวมกนั รปู ไขก่ วา้ งถงึ เกอื บกลม ยาว 1-1.5 ซม. ขอบเรยี บถงึ เปน็ คลน่ื ปลายแตล่ ะแฉกแหลมถงึ เวา้ บมุ๋ โคนกลบี ปากเปน็ เดอื ย แหลม สงู 2-3 มม. สมี ว่ งถงึ สเี หลอื ง ทโ่ี คนเดอื ยอาจมแี ตม้ สเี หลอื งเขม้ ถงึ ออ่ น และอาจมจี ดุ สแี ดงประปราย เกสรเพศ ผู้ มี 5 เกสร เชอ่ื มตดิ กนั เปน็ วง (androecium) ลอ้ มรอบรงั ไข่ กา้ นชอู บั เรณสู เี ขยี วอมขาว อบั เรณสู ขี าว ยาว 5-8 มม. เกลยี้ ง เกสรเพศเมยี รปู ขอบขนาน มี 4 สนั ตามยาว ยาว 4-6 มม. เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 1-1.2 มม. เกลย้ี ง ยอดเกสรแยก 2 พเู ลก็ นอ้ ย ผลแบบแคปซลู รปู ทรงกระบอง เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 0.5-0.6 ซม. ยาว 1.5-2 ซม. ผวิ สเี ขยี วเกลยี้ งเปน็ มนั ปลายหยกั คอดเปน็ ตมุ่ แหลม ยาว 2-3 มม. เมอื่ แกจ่ ะแตกตามรอยประสานเปน็ 4 เสยี่ ง เมลด็ รปู รกี วา้ ง ยาวประมาณ 3.5 มม. มขี นสนั้ ปกคลมุ ประเทศไทย พบเฉพาะในบรเิ วณกลมุ่ ปา่ ภเู ขยี ว-นำ้� หนาวในเขตอทุ ยานแหง่ ชาตภิ ผู ามา่ น จงั หวดั ขอนแกน่ เขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ า่ ผาผงึ้ จงั หวดั ชยั ภมู ิ และกลมุ่ ภเู ขาหนิ ปนู ถำ�้ นำ�้ บงั จงั หวดั เพรชบรู ณ์ การกระจายพนั ธ ์ุ พชื ถนิ่ เดยี วของประเทศไทย นเิ วศวทิ ยา เปน็ พชื ทขี่ น้ึ เฉพาะบนหนิ ปนู ทเ่ี ปยี กชนื้ และมกั มซี ากพชื ผปุ กคลมุ อยดู่ ว้ ย ในปา่ ผลดั ใบ หรอื ปา่ ดบิ ตามทแี่ สงรำ� ไร ทคี่ วามสงู จากระดบั ทะเล 100-500 ม. ออกดอกชว่ งเดอื นสงิ หาคมถงึ พฤศจกิ ายน เปน็ ผล ชว่ งเดอื นกนั ยายนถงึ ธนั วาคม หมายเหต ุ เทยี นบนุ นาคเปน็ พชื ชนดิ ใหม่ (new species) ทอี่ ยรู่ ะหวา่ งรอการตพี มิ พ์ โดยคณะ ทำ� งานโครงการพรรณพฤกษชาตแิ หง่ ประเทศไทย (Flora of Thailand) วงศเ์ ทยี น (Balsaminaceae) ใหข้ อ้ มลู วา่ ตง้ั ชอื่ เพอื่ เปน็ เกยี รตแิ ก่ นายบนุ นาค สงั ขจนั ทร์ (Mr. Bunnak Sangkhachand) อดตี เจา้ หนา้ ทส่ี ำ� นกั งานหอพรรณ ไม้ กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธพ์ุ ชื ซงึ่ ลว่ งลบั ไปแลว้ และเคยเปน็ ผชู้ ว่ ย ศ. ดร. เตม็ สมติ นิ นั ทน์ สำ� หรบั อกั ษรยอ่ ทา้ ยคำ� ระบชุ นดิ วา่ “ined.” มคี วามหมายวา่ ยงั ไมไ่ ดร้ บั การตพี มิ พอ์ ยา่ งเปน็ ทางการ พรรณไมเ้ ขาหินปนู ในกลุ่มปา่ ภเู ขยี ว-น้ำ� หนาว 1 149
150 พรรณไมเ้ ขาหนิ ปนู ในกลุ่มปา่ ภเู ขยี ว-น้ำ� หนาว 1
เทยี นเชยี งดาว Balsaminaceae Impatiens chiangdaoensis T. Shimizu ชอื่ อน่ื - ไมล้ ม้ ลกุ อายปุ เี ดยี ว ลำ� ตน้ ตงั้ ตรง สงู 10-40 ซม. ออ่ นนมุ่ และฉำ�่ นำ�้ เกลย้ี ง มผี ลกึ รปู เขม็ (raphides) สขี าว ฝงั อยใู่ นเซลลผ์ วิ กระจายทวั่ ไปตามแผน่ ใบ และดอก ใบเดยี่ ว เรยี งเวยี น รปู ไข่ หรอื รปู ไขแ่ กมรปู ใบหอก กวา้ ง 1.6-4 ซม. ยาว 2.6-10.7 ซม. ปลายแหลมถงึ เรยี วแหลม โคนมน รปู ลม่ิ หรอื สอบเรยี ว สมมาตร และมตี อ่ มคลา้ ยหนาม 2-3 คู่ ขอบ จกั ฟนั เลอ่ื ยถงึ หยกั ซฟี่ นั และมตี อ่ มคลา้ ยหนามตามรอยหยกั ยาว 0.5-2 มม. และมขี นครยุ สน้ั ตามขอบใบดว้ ย แผน่ ใบ บางเนอ้ื ออ่ นนมุ่ ดา้ นบนมขี นสาก (hirsute) กระจายทวั่ ดา้ นลา่ งเกลยี้ ง เสน้ แขนงใบขา้ งละ 4-9 เสน้ กา้ นใบยาว 1-4.5 ซม. เกลยี้ ง ดอกเดยี่ วหรอื ออกเปน็ กระจกุ ๆ ละ 2 ดอก ออกตามซอกใบใกลป้ ลายกง่ิ รปู ทรงดอกสมมาตรดา้ นขา้ ง กา้ น ดอกยาว 2-4 ซม. กลบี เลยี้ งมี 3 กลบี แบง่ เปน็ กลบี เลยี้ งคขู่ า้ ง (lateral sepal) 2 กลบี ไมเ่ ชอ่ื มตดิ กนั สขี าวอมเขยี ว รปู ไขแ่ กมรปู ใบหอก กวา้ ง 1.5-3 มม. ยาวประมาณ 6 มม. ปลายเรยี วแหลม มขี นสากยาว (long hirsute) สขี าวหนาแนน่ กลบี เลยี้ งดา้ นลา่ ง (lower sepal) 1 กลบี สขี าวอมชมพู เปน็ ถงุ รปู กรวย ลกึ 6-7.5 มม. มขี นสากยาวหนาแนน่ กน้ ถงุ คอ่ ย ๆ หยกั คอด เปน็ เดอื ยโคง้ งอไปดา้ นหนา้ เดอื ยยาว 2.8-3.4 ซม. เดอื ยมขี นสน้ั ประปรายถงึ เกลยี้ ง กลบี ดอก สชี มพู อมมว่ ง โคนกลบี ดอกสชี มพอู มมว่ งเขม้ แบง่ เปน็ 2 ชน้ิ ๆ ท่ี 1 เปน็ กลบี ดอกดา้ นบน (standard) รปู ไขก่ ลบั กวา้ ง 12-21 มม. ยาว 8.5-16 มม. ปลายหยกั เวา้ รปู หวั ใจ ลกึ ประมาณ 1/3 ของความยาวกลบี ดา้ นนอกมขี นสากยาวหนาแนน่ ท่ี ปลายเสน้ กลางกลบี นนู ขนึ้ เปน็ เดอื ยและมตี ง่ิ หนามยาวรวม 1.5-2 มม. สอี อกเขยี ว ชน้ิ ที่ 2 มี 4 แฉกเชอ่ื มตดิ กนั ทโ่ี คน เกลย้ี งทง้ั 2 ดา้ น แบง่ เปน็ แฉกคขู่ า้ งหรอื กลบี ปกี (wing) 2 กลบี รปู ไขก่ ลบั กวา้ ง 10-12 มม. ยาว 8.5-16 มม. ปลาย หยกั เวา้ รปู หวั ใจ กลบี ปกี จะเชอ่ื มตดิ กบั กลบี ปากทโ่ี คนประมาณ 1/3 ของความยาวกลบี และแฉกคกู่ ลางเปน็ กลบี ปาก (lip) 2 กลบี โคนไมเ่ ชอื่ มตดิ กนั แตล่ ะกลบี รปู ไขก่ ลบั ยาว 7-14.5 มม. กวา้ ง 5-10 มม. ปลายตดั เฉยี ง โคนกลบี ปากไมม่ ี เดอื ย แตล่ ะกลบี ถดั จากแตม้ สชี มพอู มมว่ งเขม้ จะมแี ตม้ สขี าว และมจี ดุ สเี หลอื งอมสม้ หรอื เหลอื ง เกสรเพศผู้ มี 5 เกสร เชอื่ มตดิ กนั เปน็ วง (androecium) ลอ้ มรอบรงั ไข่ สชี มพู ยาว 3-4 มม. เกลยี้ ง เกสรเพศเมยี สเี ขยี ว รปู กระสวย ไมม่ สี นั ตามยาว ยาว 2-3 มม. เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 1-1.5 มม. มขี นสน้ั หนาแนน่ ยอดเกสรสชี มพแู ยก 4-5 พ ู ผลแบบแคปซลู รปู กระสวย เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 0.5-0.6 ซม. ยาวประมาณ 1.5 ซม. มขี นสนั้ หนาแนน่ ปลายแหลม เมอ่ื แกจ่ ะแตกตาม รอยประสาน 1-4 เสย่ี ง แลว้ ผนงั จะมว้ นกลบั เมลด็ สนี ำ�้ ตาล รปู ไขก่ ลบั กวา้ งประมาณ 1.5 มม. ยาว 2-2.2 มม. มขี น สนั้ ละเอยี ดหนาแนน่ ปกคลมุ ทว่ั ประเทศไทย พบในภาคเหนอื ทด่ี อยเชยี งดาว จงั หวดั เชยี งใหม่ และพบในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื บรเิ วณภเู ขาหนิ ปนู ในกลมุ่ ปา่ ภเู ขยี ว-นำ�้ หนาว ในเขตจงั หวดั เลย หนองบวั ลำ� ภู ขอนแกน่ และชยั ภมู ิ การกระจายพนั ธ ์ุ พชื ถนิ่ เดยี วของประเทศไทย นเิ วศวทิ ยา เป็นพืชที่ข้ึนเฉพาะบนหินปูนที่เปียกชื้น ในป่าผลัดใบ หรือป่าดิบ ตามที่แสงร�ำไร ทคี่ วามสงู จากระดบั ทะเล 350-500 ม. (1,000-2,000 ม. ทด่ี อยเชยี งดาว) ออกดอกชว่ งเดอื นสงิ หาคมถงึ พฤศจกิ ายน เปน็ ผลชว่ งเดอื นกนั ยายนถงึ ธนั วาคม หมายเหต ุ เทียนเชียงดาว ที่พบครั้งน้ีเป็นการรายงานการพบถิ่นท่ีอยู่ใหม่ (new locality record) เพม่ิ เตมิ จากเดมิ ทม่ี บี นั ทกึ การพบเฉพาะทด่ี อยเชยี งดาว จงั หวดั เชยี งใหม่ ซง่ึ ขนึ้ บนภเู ขาหนิ ปนู ทคี่ วามสงู จากระดบั ทะเล 1,000-2,000 ม. สำ� หรบั ตวั อยา่ งทส่ี ำ� รวจพบในกลมุ่ ปา่ ภเู ขยี ว-นำ้� หนาว นน้ั มลี กั ษณะเดน่ ทรี่ ะบวุ า่ เปน็ เทยี นเชยี งดาวซง่ึ แตกตา่ งจากชนดิ ทใ่ี กลเ้ คยี ง คอื เทยี นดอย (Impatiens violiflora Hook. f.) ตรงทผี่ วิ ดา้ น นอกของกลบี เลยี้ งคขู่ า้ งและกลบี เลยี้ งดา้ นลา่ งจะมขี นสากยาวหนาแนน่ และกลบี เลย้ี งคขู่ า้ งยาว 3-6 มม. พบเฉพาะ ในระบบนเิ วศหนิ ปนู สว่ นเทยี นดอย จะพบขนสนั้ ถงึ เกลย้ี ง และกลบี เลยี้ งคขู่ า้ ง ยาวไมเ่ กนิ 3 มม. และมกั จะพบใน ระบบนเิ วศทไ่ี มใ่ ชห่ นิ ปนู พรรณไม้เขาหนิ ปนู ในกลมุ่ ปา่ ภเู ขยี ว-นำ้� หนาว 1 151
152 พรรณไมเ้ ขาหนิ ปนู ในกลุ่มปา่ ภเู ขยี ว-น้ำ� หนาว 1
เทียนยูงทอง Balsaminaceae Impatiens ruthiae Suksathan & Triboun ชอื่ อนื่ - ไม้ล้มลุกอายุปีเดียว ล�ำต้นต้ังตรงหรือทอดเล้ือย สูงได้ถึง 50 ซม. อ่อนนุ่มและฉ่�ำน้�ำ ทุกส่วนบนต้น เกลี้ยง มีจุดสีน�้ำตาลอมม่วงเข้มทั่วไป ใบเดี่ยว เรียงเวียน รูปไข่ กว้างถึง 5 ซม. ยาวถึง 10.5 ซม. ปลายเรียว แหลม โคนรูปล่ิมหรือกลม บางครั้งเบ้ียว ขอบจักฟันเลื่อยแกมหยักมน แผ่นใบบางเนื้ออ่อนนุ่ม เกลี้ยง เส้น แขนงใบข้างละ 5-7 เส้น ก้านใบยาวถึง 4 ซม. มีต่อมแบบมีก้านประมาณ 2 ต่อมท่ีปลายก้านใบหรือโคนใบ ดอกเด่ียวหรือออกเป็นกระจุก ๆ ละ 2-3 ดอก ตามซอกใบใกล้ปลายก่ิง ห้อยลง และมีรูปทรงดอกบิดเบ้ียว ไม่สมมาตรยาวประมาณ 4 ซม. ก้านดอกยาวประมาณ 1.3 ซม. กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ แบ่งเป็น กลีบเล้ียงคู่ ข้างด้านนอก (outer lateral sepal) 2 กลีบ สีขาวอมเขียว รูปไข่กว้างหรือค่อนข้างกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 8 มม. ปลายหยักเป็นต่ิงหนาม กลีบเล้ียงคู่ข้างด้านใน (inner lateral sepal) 2 กลีบ มีขนาดเล็ก มาก รูปค่อนข้างรี ยาวประมาณ 0.5 มม. และกลีบเล้ียงด้านล่าง (lower sepal) 1 กลีบ สีเหลืองอมส้ม สีเหลืองอ่อน จนถึงสีขาว มีลายร่างแหสีแดงตามแนวเส้นกลีบ เป็นถุงรูปกรวยคว่�ำ ก้นถุงช้ีข้ึนข้างบนหยักคอด ฉับพลันเป็นเดือยโค้งงอ สีเขียว เดือยยาวประมาณ 5 มม. ปลายถุงด้านล้างหยักเป็นต่ิงหนาม กลีบดอก สีแดง อมม่วง สีชมพูเข้ม สีชมพูอ่อน จนถึงสีขาว มี 5 กลีบ แบ่งเป็น 2 ช้ิน ๆ ที่ 1 เป็นกลีบดอกด้านบน (standard) รูปไข่กลับ กว้างประมาณ 1.1 ซม. ยาวประมาณ 1.4 ซม. ปลายกลีบเว้าต้ืน และโค้งกลับ ท่ีโคนกลีบเป็น ต่ิงนูนสีเขียวอมขาว ช้ินท่ี 2 มี 4 แฉกเช่ือมติดกัน มีขนาดไม่เท่ากันและบิดเบี้ยว แบ่งเป็นแฉกคู่ข้างหรือ กลีบปีก (wing) 2 กลีบ รูปไข่เบ้ียว ยาว 1-1.2 ซม. ปลายกลมถึงเว้าบุ๋มบางคร้ังมีติ่งหนาม และแฉกคู่ กลางเป็นกลีบปาก (lip) 2 กลีบ รูปขอบขนาน ยาว 1.7-2 ซม. ปลายเว้าต้ืนถึงเว้าบุ๋ม บางครั้งมีติ่งหนาม โคนกลีบปากสีเหลืองเข้ม มีจุดสีแดงประปราย รังไข่เกล้ียง ผลแบบแคปซูล เม่ือแก่จะแตกตามรอยประสาน เป็น 4 เสี่ยง รูปทรงกระบอง กว้างประมาณ 4 มม. ยาวประมาณ 15 มม. ผิวเกลี้ยงเป็นมันมีสีเขียว ปลาย หยักคอดเป็น 4 พู เมล็ดรูปรี ยาวประมาณ 1.5 มม. ประเทศไทย พบเฉพาะในเขตจังหวัดเลย หรือด้านตะวันออกเฉียงเหนือของกลุ่มป่าภูเขียว- น�้ำหนาว ในวนอทุ ยานผางาม (กล่มุ ประชากรดอกสีแดงอมมว่ ง) วัดถำ้� คูหาวารี อำ� เภอวงั สะพุง (กล่มุ ประชากร ดอกสชี มพอู ่อน) และวนอทุ ยานภูผาล้อม (กล่มุ ประชากรดอกสีขาว) การกระจายพนั ธ ์ุ พชื ถน่ิ เดยี วของประเทศไทย นเิ วศวทิ ยา เป็นพืชท่ีขึ้นเฉพาะบนหินปูนที่เปียกช้ืนและมักมีซากพืชผุปกคลุมอยู่ด้วย ในป่า ผลดั ใบ หรอื ปา่ ดบิ ตามทม่ี แี สงรำ� ไรหรอื ชายปา่ ทค่ี วามสงู จากระดบั ทะเล 350-700 ม. ออกดอกชว่ งเดอื นมถิ นุ ายน ถงึ ตุลาคม เปน็ ผลช่วงเดือนกรกฎาคมถงึ พฤศจกิ ายน พรรณไมเ้ ขาหนิ ปนู ในกลมุ่ ป่าภเู ขียว-นำ้� หนาว 1 153
begoniaceae 154 พรรณไม้ไทยประจัน
Begonia demissa Craib พรรณไมไ้ ทยประจัน 155
156 พรรณไมเ้ ขาหนิ ปนู ในกลุ่มปา่ ภเู ขยี ว-น้ำ� หนาว 1
เปร้ียวแดง Begoniaceae Begonia alicida C. B. Clarke ชอื่ อนื่ - พืชล้มลุก ดอกแยกเพศร่วมต้น สูง 15-28 ซม. หัวใต้ดินทรงกลมหรือกึ่งกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 5-10 มม. ล�ำต้นค่อนข้างต้ังตรง กลม เกลี้ยง อวบน้�ำ สีเขียวหรือสีแดงอ่อน ใบ 2-3 ใบ ติดที่โคนต้น เรียงสลับ ก้าน ใบสีเขียวอ่อนหรือสีแดงอ่อน ยาว 3-7 ซม. แผ่นใบอวบน�้ำ สมมาตร ผิวใบด้านบนเป็นมัน สีเขียวเข้ม เกลี้ยง หรือมีจุดประสีเงิน มีจุดโปร่งแสงกระจายท่ัวใบ มีสีเหลือบ ผิวใบด้านล่างเกลี้ยง สีเขียวแกมขาว ใบรูปหัวใจ หรือรูปหัวใจเบี้ยว กว้าง 1-12 ซม. ยาว 4-11 ซม. โคนรูปหัวใจ ขอบหยักซี่ฟันถ่ี ปลายมนหรือแหลม เส้นใบ เรียงแบบฝ่ามือ 6-7 เส้น ชัดเจนทางด้านล่างใบ หูใบติดทน รูปใบหอก กว้าง 2-2.5 มม. ยาว 3-4 มม. สีเขียว อ่อน ปลายแหลม ขอบเป็นหนาม ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกตามซอกใบหรือปลายยอด ยาว 5-20 ซม. ดอกเพศผู้อยู่โคนช่อ ดอกเพศเมียอยู่ปลายช่อ เกสรเพศผู้แก่ก่อนเกสรเพศเมีย ก้านช่อดอก กลม เกลี้ยง สี แดงเข้ม เป็นมัน ยาว 5-8 มม. ใบประดับ ติดทน เน้ือบาง รูปไข่หรือไข่เบี้ยว สีน�้ำตามแกมแดงหรือสีเขียวอ่อน เป็นมัน ขอบเป็นหนามกว้าง 3-5 มม. ยาว 4-5 มม. ปลายเป็น 2-3 พู ดอกเพศผู้ ก้านดอกตั้งข้ึน ยาว 2-5 มม. กลีบรวม 4 กลีบ สีขาวครีมหรือชมพูอ่อน กลีบรวมคู่นอกรูปเกือบกลม กว้าง 4-5 มม. ยาว 4-5 มม. โคน กลม ขอบเรียบ ปลายมน ผิวด้านนอกปกคลุมด้วยขนต่อมขนาดเล็ก ผิวด้านในเกล้ียง กลีบรวมคู่ในรูปใบหอก กลับ กว้างประมาณ 2 มม. ยาว 4-5 มม. โคนรูปลิ่ม ขอบเรียบ ปลายมน ผิวเกลี้ยงทั้ง 2 ด้าน วงเกสรเพศผู้ สมมาตรตามรัศมี รูปทรงกลม เกสรเพศผู้ 12-15 อัน รูปหัวใจ สีเหลือง ก้านชูอับเรณู ยาวประมาณ 0.3 มม. อับเรณูยาวประมาณ 0.5 มม. แตกเป็นช่องเปิดยาวบริเวณปลายอับเรณู ส่วนโคนเชื่อมกัน ดอกเพศเมีย ก้าน ดอกสีแดงเข้ม ยาว 6-10 มม. กลีบรวม 5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน รูปไข่กลับ กว้าง 2-5 มม. ยาว 10-12 มม. สีขาวหรือสีชมพูอ่อนสะท้อนแสง ปลายมน ขอบเรียบ โคนมน ผิวด้านนอกปกคลุมด้วยขนต่อมขนาดเล็ก ผิว ด้านในเกล้ียง ก้านยอดเกสรเพศเมีย 3 อัน เช่ือมกันที่โคน ปลายแยกคล้ายรูปส้อม สีเหลือง ยอดเกสรเพศเมีย เป็นแถบรูปไต รังไข่มี 3 ปีก สีเขียวอ่อนหรือสีชมพูอ่อน มี 3 ช่อง ผลแบบแคปซูล เป็นมัน สีเขียวหรือสีขาว อมชมพู ผลห้อยลง กว้าง 11-12 มม. ยาวประมาณ 5 มม. ปีกผลขนาดเท่า ๆ กัน 3 ปีก รูปเกือบสามเหล่ียม ยาว 4-6 มม. เมล็ดจ�ำนวนมาก สีน�้ำตาล รูปไข่ ประเทศไทย ภาคเหนือ: เชียงใหม่ ตาก; ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: เลย; ภาคตะวันออก: นครราชสีมา ชัยภูมิ นครราชสีมา; ภาคตะวนั ตกเฉยี งใต้: กาญจนบุรี ราชบุร;ี ภาคกลาง: สระบรุ ี กรงเทพมหานคร; ภาคตะวนั ออกเฉยี งใต:้ ปราจีนบุรี การกระจายพนั ธ ์ุ พบในเมียนมา นเิ วศวทิ ยา พบตามซอกหนิ บนภเู ขาหนิ ปูนหรือบนพน้ื ดนิ ทช่ี มุ่ ช้ืนในปา่ ดิบแล้ง ออกดอกในชว่ ง เดอื นพฤษภาคมถงึ พฤศจิกายน เปน็ ผลในช่วงพฤศจกิ ายนถึงมกราคม พรรณไมเ้ ขาหินปนู ในกลุ่มปา่ ภเู ขยี ว-น้ำ� หนาว 1 157
158 พรรณไมเ้ ขาหนิ ปนู ในกลุ่มปา่ ภเู ขยี ว-น้ำ� หนาว 1
ส้มก้งุ หินปนู Begoniaceae Begonia demissa Craib ชอ่ื อน่ื - พืชล้มลกุ ดอกแยกเพศร่วมตน้ สูง 8-20 ซม. หวั ใต้ดินทรงกลมหรอื เกอื บกลม เสน้ ผา่ นศูนยก์ ลาง 4-10 มม. ใบ 1 ใบ ติดทโี่ คนตน้ กา้ นใบสีแดงเข้ม ยาว 3-10 ซม. แผน่ ใบอวบน้ำ� สมมาตร ผิวใบด้านบนเกล้ยี ง สีเขยี ว อ่อนหรือเขยี วเขม้ เป็นมัน ผิวใบดา้ นล่างเกล้ยี ง สีเขียวอ่อนหรอื สีแดงเขม้ รปู สามเหลีย่ มหรอื รูปหัวใจ กวา้ ง 2-10 ซม. ยาว 2-15 ซม. โคนตัด ขอบหยักมนหรือเปน็ คลื่น ปลายแหลม เส้นใบรูปฝ่ามอื จ�ำนวน 4-7 เส้น ไมช่ ดั เจน ทงั้ 2 ด้าน หใู บรูปใบหอก สเี ขียวอ่อน หลุดรว่ งงา่ ย กว้าง 1-2 มม. ยาว 2-3 มม. ขอบเรยี บ ปลายแหลม ชอ่ ดอก แบบช่อกระจุกซอ้ น 2-3 ชน้ั ยาว 4-16 ซม. ออกตามซอกใบระหว่างคใู่ บประดบั ดอกแยกเพศรว่ มต้น ดอกเพศ ผอู้ ยู่โคนช่อ ดอกเพศเมียอยูป่ ลายชอ่ เกสรเพศผแู้ ก่ก่อนเกสรเพศเมยี กา้ นชอ่ ดอกกลม เกลีย้ ง เปน็ มนั ส่วนโคน กา้ นสแี ดงเขม้ ปลายก้านสีเขยี วออ่ น ยาว 2.5-12 ซม. ใบประดับคล้ายใบ 1 คู่ กวา้ ง 1-2 มม. ยาว 1.5-4.5 มม. ดอกเพศผตู้ ง้ั ขึน้ ก้านดอกสีเขยี วออ่ น ยาว 8-12 มม. กลีบรวม 4 กลีบ สขี าว รปู ไขก่ ลบั หรือรูปใบหอกกลบั กวา้ ง 2-3 มม. ยาว 5-6 มม. โคนรปู ล่มิ ขอบเรยี บ ปลายมน เกลีย้ งทัง้ 2 ดา้ น วงเกสรเพศผูส้ มมาตรดา้ นขา้ ง เกสรเพศ ผู้จ�ำนวน 10-11 เกสร สีเหลืองออ่ น ก้านชอู บั เรณตู ดิ ท่ีฐาน ยาวประมาณ 2 มม. อบั เรณูรปู ขอบขนาน ยาว 1-1.5 มม. แตกเป็นชอ่ งเปิดยาวบรเิ วณปลายอับเรณู ดอกเพศเมยี ก้านดอกสีเขียว ยาว 4-6 มม. กลีบรวม 4 (-5) กลีบ สขี าวหรอื สีชมพูอ่อน เกลย้ี งท้งั สองด้าน กลบี ไม่เทา่ กัน กลีบชั้นนอก 3 กลบี รปู ไข่กลบั กว้าง 1-2 มม. ยาว 3-4 มม. โคนรูปลิม่ ขอบเรยี บ ปลายมน เกลย้ี งทง้ั 2 ด้าน กา้ นยอดเกสรเพศเมยี 3 อัน เชอื่ มกันท่ีโคน สีเหลืองออ่ น ยอดเกสรเพศเมยี เปน็ แถบรูปไต ปกคลมุ ดว้ ยปมุ่ ขนาดเลก็ รังไข่สีเขยี วอ่อน 3 ช่อง มคี รบี 3 ครบี ขนาดไมเ่ ทา่ กนั ผลแบบแคปซลู สีเขยี วออ่ น เป็นมนั ห้อยลง เม่อื รวมความยาวปกี กว้าง 6-7 มม. ยาวประมาณ 5 มม. ปกี ผล อนั บนรปู ขอบขนานแคบ บดิ ปกี ผลคขู่ ้าง รปู กลม เมลด็ จ�ำนวนมาก สีน�ำ้ ตาล รูปทรงกระบอก รปู ทรงรี หรอื รูป ขอบขนาน ประเทศไทย ภาคเหนือ: เชยี งใหม่ น่าน พิษณุโลก; ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ: เลย; ภาคตะวนั ตก เฉยี งใต:้ กาญจนบุร;ี ภาคกลาง: นครนายก; ภาคใต้: ตรงั การกระจายพนั ธ ์ุ พบในเมยี นมา นิเวศวิทยา พบตามหนา้ ผาเขาหนิ ปนู หรอื พน้ื ทช่ี น้ื แฉะชายเขาหนิ ปนู ทคี่ วามสงู จากระดบั ทะเล 100-600 ม. ออกดอกในช่วงเดอื นกรกฎาคมถงึ กนั ยายน เป็นผลในชว่ งเดอื นกนั ยายนถงึ ธันวาคม พรรณไมเ้ ขาหนิ ปนู ในกลุม่ ปา่ ภเู ขียว-น้ำ� หนาว 1 159
160 พรรณไมเ้ ขาหนิ ปนู ในกลุ่มปา่ ภเู ขยี ว-น้ำ� หนาว 1
สม้ กุง้ Begoniaceae Begonia incerta Craib ชอ่ื อนื่ - พืชล้มลุก ดอกแยกเพศร่วมต้น สูง 4-9 ซม. ล�ำต้นใต้ดินทรงกลมหรือเกือบกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 5 มม. ใบ 1-3 ใบ ติดทโ่ี คนตน้ ก้านใบ ยาว 1-1.5 ซม. แผน่ ใบบาง สมมาตร ผวิ ใบมขี นยาวหา่ ง ๆ ท้ัง 2 ด้าน แผ่นใบรปู หัวใจ กว้าง 3-4 ซม. ยาวประมาณ 4 ซม. โคนรปู หวั ใจ ขอบหยักมน ปลายมน เส้นใบรูปฝ่ามอื จำ� นวน 5-7 เสน้ เหน็ ชดั เจนทางดา้ นลา่ งใบ หใู บ ไมพ่ บ ชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจกุ ยาว 6-10 ซม. ออกจากลำ� ตน้ ใตด้ นิ ดอกเพศผอู้ ยโู่ คนชอ่ ดอกเพศเมยี อยปู่ ลายชอ่ เกสรเพศผแู้ กก่ อ่ นเกสรเพศเมยี กา้ นชอ่ ดอกกลม มขี น ยาว 2-7 ซม. ใบประดบั ติดทน รปู ใบหอก กว้างประมาณ 1 มม. ยาวประมาณ 2 มม. ดอกเพศผู้ตั้งขึ้น ก้านดอกยาวประมาณ 10 มม. กลีบรวม 4 กลีบ สขี าว กลีบรวมคู่นอกรูปกลม กว้างประมาณ 7 มม. ยาวประมาณ 7.5 มม. โคนมน ขอบ เรยี บ ปลายมน ผิวด้านนอกมขี นยาวหา่ ง ผวิ ดา้ นในเกล้ยี ง กลีบรวมคู่ในรปู ขอบขนานแกมรูปแถบ กว้าง 2-3 มม. ยาว 4-5 มม. โคนรปู ล่ิม ขอบเรยี บ ปลายมน เกลยี้ งท้ัง 2 ด้าน วงเกสรเพศผู้สมมาตรตามแนวรศั มี ทรงกลม เกสร เพศผู้ 10-15 เกสร ก้านชูอับเรณูเชอื่ มกนั ที่โคน ยาวประมาณ 2 มม. อบั เรณูรูปขอบขนาน ยาว 1-1.5 มม. แตก เป็นชอ่ งเปดิ ยาวบรเิ วณปลายอับเรณู ดอกเพศเมยี ก้านดอกยาวประมาณ 10 มม. กลีบรวม 5 กลีบ สีขาว เกล้ียง ทง้ั 2 ด้าน กลบี ไมเ่ ทา่ กัน รูปไข่กลบั ถึงรปู ใบหอกกลับ กว้าง 3-4 มม. ยาว 5-6 มม. โคนรูปลิ่ม ขอบเรียบ ปลาย มน กา้ นยอดเกสรเพศเมยี 3 เชอ่ื มกนั ทโ่ี คน ยอดเกสรเพศเมยี รปู พระจนั ทรเ์ สย้ี ว ปกคลมุ ดว้ ยปมุ่ ขนาดเลก็ ๆ รงั ไข ่ 3 ช่อง มคี รีบ 3 ครบี ขนาดไม่เทา่ กนั ผลแบบแคปซลู เมือ่ รวมความยาวปกี กว้าง 6-7 มม. ยาวประมาณ 5 มม. ปกี ผลอนั บนรปู สามเหลย่ี ม ปกี ผลคขู่ า้ งแคบกวา่ โคง้ ไปตามความยาวผล เมลด็ จำ� นวนมาก สนี ำ�้ ตาล รปู ทรงกระบอก ประเทศไทย ภาคเหนือ: เชยี งใหม;่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: เลย; ภาคใต้: ภเู ก็ต การกระจายพนั ธ ์ุ เปน็ พืชถน่ิ เดียวของไทย นิเวศวิทยา พบตามหน้าผาเขาหินปูน พ้ืนทีช่ น้ื แฉะชายเขาหินปูน หรือริมล�ำธารหนิ ปนู ทค่ี วาม สงู จากระดบั ทะเล 0-180 ม. ออกดอกในชว่ งเดอื นพฤษภาคมถงึ พฤศจกิ ายน เปน็ ผลในชว่ งพฤศจกิ ายนถงึ มกราคม พรรณไม้เขาหนิ ปนู ในกลมุ่ ป่าภเู ขยี ว-นำ้� หนาว 1 161
162 พรรณไมเ้ ขาหนิ ปนู ในกลุ่มปา่ ภเู ขยี ว-น้ำ� หนาว 1
สม้ กุง้ ผา Begoniaceae Begonia murina Craib ชอ่ื อนื่ - พชื ลม้ ลกุ ดอกแยกเพศรว่ มตน้ สงู 10-25 ซม. ลำ� ตน้ ใตด้ นิ ทรงกลมหรอื เกอื บกลม เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 4-10 มม. ใบ 2-4(-5) ใบ ตดิ ทโ่ี คนตน้ ก้านใบสีแดงเขม้ มีขนยาวหา่ ง ๆ ยาว 1.5-10(-15) ซม. แผน่ ใบอวบนำ้� สมมาตร หรอื เกอื บสมมาตร ผิวใบดา้ นบนมีขนยาวห่าง ๆ สเี ขยี วออ่ นหรอื เขยี วเขม้ ด้าน หรอื มีจุดประสีนำ้� ตาลแดงกระจาย อยู่ตามเสน้ ใบ ผิวใบด้านล่างมีขนยาวปกคลุมหนาแนน่ มสี เี ขยี วออ่ นหรอื สีแดงตามเสน้ ใบ รูปไข่หรือรูปกลม กว้าง 3-10 ซม. ยาว 2-11 ซม. โคนรปู หัวใจ ขอบหยักมนมีขนครยุ ปลายมน เส้นใบรูปฝา่ มือ จำ� นวน 5-7 เส้น หใู บ ติดทน สีแดงเข้ม รูปใบหอก กว้าง 0.5-1 มม. ยาว 2-3 มม. มขี นปกคลุม ขอบเป็นขนครยุ ปลายแหลม ชอ่ ดอก แบบชอ่ กระจกุ ซอ้ น แตกกิง่ 1-2 ชนั้ ยาว 3-6 ซม. ออกทป่ี ลายยอด ภายในกงิ่ มีดอกเพศผู้ 3-4 ดอก ดอกเพศเมีย 1 ดอก เกสรเพศผแู้ ก่ก่อนเกสรเพศเมีย กา้ นชอ่ ดอกกลม สีชมพแู กมขาว มขี นยาวคลมุ หนาแนน่ ยาว 3-6 ซม. ใบหลดุ รว่ งง่าย บาง รปู ใบหอก สเี ขียวอ่อน กวา้ งประมาณ 1 มม. ยาว 2-3 มม. มขี นยาวคลมุ หนาแนน่ ขอบเรยี บ ปลายมน ดอกเพศผู้ตั้งขนึ้ ก้านดอกสีชมพแู กมขาว ยาว 10-30 มม. กลีบรวม 4 กลบี สีขาว กลบี รวมคู่นอกรูป กลมหรือรูปไข่กลบั กวา้ ง 8-10 มม. ยาว 10-12 มม. โคนมนหรือเป็นรปู ลม่ิ ขอบเรียบ ปลายมน ผวิ ดา้ นนอกมขี น ยาวคลมุ หนาแน่น ผวิ ด้านในเกลย้ี ง กลบี รวมคู่ในไมพ่ บ หรือเปน็ รูปขอบขนานแคบ ๆ กวา้ งประมาณ 2 มม. ยาว 4-5 มม. โคนมน ขอบเรียบ ปลายมน เกล้ียงทั้ง 2 ด้าน วงเกสรเพศผสู้ มมาตรตามแนวรัศมี ทรงกลม เกสรเพศผู้ จำ� นวนมาก สีเหลอื ง ก้านชอู บั เรณูเช่อื มกันที่โคน ยาวประมาณ 1 มม. อบั เรณูรูปไขก่ ลับ ยาวประมาณ 1 มม. แตก เปน็ ชอ่ งเปดิ ยาวตามความยาวของอับเรณู ดอกเพศเมีย ก้านดอกสีเขียวอ่อน ยาว 10-20 มม. กลบี รวม 2 กลบี สี ขาว รูปไขก่ ลบั หรือรูปกลม กว้าง 9-10 มม. ยาว 8-10 มม. โคนมน ขอบเรียบ ปลายมน ผิวดา้ นนอกปกคลุมหนา แนน่ ดว้ ยขนยาว ผวิ ดา้ นในเกลย้ี ง กา้ นยอดเกสรเพศเมยี 3 เชอ่ื มกนั ทโี่ คน บดิ เวยี นสองรอบ สเี หลอื งเขม้ ยอดเกสร เพศเมียรูปพระจันทร์เส้ียว รังไขส่ เี ขียวมแี ถบสแี ดง 3 ช่อง มี 3 ปีก ขนาดไม่เทา่ กันปกคลมุ หนาแน่นดว้ ยขนยาว ผลแบบแคปซลู สีเขยี วอ่อนมแี ถบสแี ดง เม่ือรวมความยาวปีก กว้างประมาณ 10 มม. ยาว 10-12 มม. ปกี ผลสาม อันรูปรา่ งเกอื บเทา่ กัน ยาวประมาณ 5 มม. เมล็ดจ�ำนวนมาก สีน�ำ้ ตาล รูปทรงกระบอก ประเทศไทย ภาคเหนอื : สโุ ขทัย; ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื : เลย; ภาคตะวันตก: กาญจนบุรี การกระจายพนั ธ ์ุ เป็นพืชถ่นิ เดียวของไทย นิเวศวิทยา พบตามซอกหนิ บนเขาหินปนู หรอื รมิ ล�ำธารในปา่ ดิบแลง้ ทค่ี วามสูงจากระดบั ทะเล 100-300 ม. ออกดอกในชว่ งเดือนพฤษภาคมถงึ พฤศจกิ ายน เปน็ ผลในช่วงพฤศจกิ ายนถึงธนั วาคม พรรณไมเ้ ขาหินปนู ในกลุม่ ปา่ ภเู ขยี ว-น้ำ� หนาว 1 163
cardiopteridaceae Cardiopteris quinqueloba (Hassk.) Hassk.
166 พรรณไมเ้ ขาหนิ ปนู ในกลุ่มปา่ ภเู ขยี ว-น้ำ� หนาว 1
ข้าวสารคา่ ง Combretaceae Cardiopteris quinqueloba (Hassk.) Hassk. ชื่ออืน่ ตุ๊กตู่ (เชียงใหม)่ อีบี้ (สโุ ขทัย) อีหวี่ (ปราจีนบรุ )ี ผักแตน๋ แต้ (ลพบรุ ี) ผกั แตนแต้ หว่หี ว่ี (สระบรุ )ี ตกุ๊ ตู่ (ชลบุรี) ขะลา๊ นข่าง (ชุมพร) ไมล้ ม้ ลกุ เล้ือยพนั ทุกส่วนของตน้ มีน้ำ� ยางสขี าว ล�ำต้นกลมหรือคอ่ นข้างแบน แตกกิง่ ก้านมากและทอด ยาวได้ 2-5 ม. ใบเดีย่ ว เรยี งเวียน รูปไขก่ วา้ ง กวา้ ง 3-10 ซม. ยาว 4-12 ซม. โคนรปู หวั ใจ ขอบเรียบหรือเวา้ เป็น แฉก 4-9 แฉก ปลายแหลมหรือมน ช่อดอกแบบช่อแยกแขนงออกตามซอกใบ ยาว 4-9 ซม. ดอกขนาดเล็กจำ� นวน มากออกดา้ นเดยี ว ชอ่ ดอกโนม้ ไปขา้ งหนงึ่ และมกั จะมว้ นงอ มที ง้ั ดอกสมบรู ณเ์ พศและดอกเพศผอู้ ยใู่ นตน้ เดยี วกนั กลีบดอกสีขาว ดอกสมบูรณ์เพศกลีบเชื่อมเป็นหลอดรูปกรวย ปลายแยกเป็น 4-5 แฉก เกสรเพศผู้ 4-5 เกสร ติดอยู่ใกล้ปากหลอดดอกและสลับกับกลบี ดอก รงั ไข่อยเู่ หนือวงกลีบ มี 1 ช่อง ยอดเกสรเพศเมยี แยกเป็น 2 แฉก ไมเ่ ทา่ กนั และตดิ คงทนทผ่ี ล ดอกเพศผคู้ ลา้ ยกบั ดอกสมบรู ณเ์ พศ ไมม่ เี กสรเพศเมยี และไมม่ กี า้ นดอก ผลสดสเี ขยี ว รูปขอบขนานแกมรูปไข่กลบั หรือรปู ไขก่ ลบั แกมรปู รี แบน ขอบแผ่เป็นครีบตามยาว มี 2 ปกี มเี ส้นแขนงละเอียด เรยี งขนานกนั กว้าง 1-2 ซม. ยาว 1.5-3 ซม. ปลายผลเวา้ ตนื้ ปลายสดุ เปน็ ติง่ ของยอดเกสรเพศเมียที่ยงั คงความ เขยี วอย่ไู ดน้ านและปรากฏให้เห็นเดน่ ชดั เมล็ด 1 เมล็ด ประเทศไทย ภาคเหนอื : เชยี งใหม่ สุโขทยั ; ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: เลย ชัยภมู ิ เพชรบูรณ์; ภาคกลาง: ลพบุรี สระบรุ ;ี ภาคตะวันออกเฉียงใต:้ ปราจีนบุรี ชลบุรี; ภาคใต้: ชมุ พร การกระจายพนั ธ ์ุ พบตงั้ แต่เอเชียใตถ้ งึ เอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ นิเวศวทิ ยา พบขึ้นบริเวณป่าผลัดใบ ป่าไผ่ และตามที่รกร้าง ที่ความสูงจากระดับทะเล 0-600 ม. ดอกออกในชว่ งเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน เป็นผลในช่วงเดอื นพฤศจกิ ายนถึงมกราคม พรรณไม้เขาหินปนู ในกลุม่ ปา่ ภเู ขียว-น้ำ� หนาว 1 167
combretaceae
Combretum sundaicum Miq.
170 พรรณไมเ้ ขาหนิ ปนู ในกลุ่มปา่ ภเู ขยี ว-น้ำ� หนาว 1
ซังแกเถา Combretaceae Combretum sundaicum Miq. ชอื่ อ่ืน อะกาแกมเบอร์ (มาเลย)์ ไม้พุ่มรอเลื้อย ยาวประมาณ 3 ม. กิ่งอ่อนปกคลุมด้วยขุยสีน�้ำตาลแดงลักษณะคล้ายขน ใบเด่ียว เรยี งตรงกันขา้ ม รูปรีกว้าง กว้าง 5-8.5(-10) ซม. ยาว 6-12(-15) ซม. โคนมนหรอื รูปลมิ่ ขอบเรยี บหรือเป็นคล่นื เลก็ นอ้ ย ปลายทูเ่ ปน็ ต่ิงหนามหรอื เรยี วแหลมสั้น ด้านลา่ งของแผ่นใบปกคลุมหนาแน่นด้วยขยุ ละเอยี ดสเี หลอื งถงึ สนี ำ�้ ตาล ดา้ นบนปกคลมุ ดว้ ยเกลด็ ละเอยี ดสขี าวและมตี มุ่ หดู ขนาดเลก็ หนาแนน่ กา้ นใบคอ่ นขา้ งเรยี ว ยาวไมเ่ กนิ 2 ซม. ช่อดอกแบบช่อกระจกุ ซอ้ นประกอบหรอื แบบชอ่ แยกแขนง ออกทีป่ ลายยอดหรอื ซอกใบ ยาว 5-13 มม. แกนชอ่ ดอกปกคลมุ หนาแนน่ ดว้ ยขนกำ� มะหยี่ ใบประดบั ขนาดเลก็ หลดุ รว่ งงา่ ย รปู แถบ วงกลบี เลย้ี ง รปู แตรแคบ ยาว 11-13 มม. ปลายแยกเป็น 4 แฉก โคง้ ไปด้านหลงั แฉกรูปสามเหลีย่ ม ยาวประมาณ 2 มม. ปลายแหลมหรือ เรยี วแหลม กลีบดอก 4 กลบี สขี าว โคง้ ไปด้านหลงั รูปรแี กมรปู ขอบขนาน หรือรปู ไขก่ ลับ ยาวประมาณ 1.5 มม. ปลายมน หรอื เว้าบ๋มุ เกสรเพศผู้ 8 เกสร ยาว 5-6 มม. ผลค่อนข้างกลม มี 4 ปกี กว้าง 2-2.5 ซม. ยาว 2-3.5 ซม. มขี ยุ สีเหลอื งหรือสีแดงปกคลมุ ประเทศไทย ภาคเหนือ: เชยี งใหม;่ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื : เลย; ภาคกลาง: ลพบุรี สระบรุ ี; ภาคตะวนั ตกเฉียงใต:้ กาญจนบุร;ี ภาคใต้ การกระจายพนั ธ ์ุ พบตั้งแต่ตอนใตข้ องจีน ลาว เวียดนาม มาเลเซยี สิงค์โปร์ และอินโดนเี ซยี นิเวศวิทยา พบขึ้นในพ้ืนท่ีค่อนข้างเปิดโล่งหรือตามขอบป่า ที่ความสูงจากระดับทะเลไม่เกิน 300 เมตร ออกดอกและเปน็ ผลในชว่ งเดอื นเมษายนถึงกนั ยายน พรรณไม้เขาหนิ ปนู ในกลมุ่ ป่าภเู ขยี ว-นำ้� หนาว 1 171
cucurbitaceae
Thladiantha cordifolia (Blume) Cogn.
174 พรรณไมเ้ ขาหนิ ปนู ในกลุ่มปา่ ภเู ขยี ว-น้ำ� หนาว 1
บวบขน Cucurbitaceae Sinobaijiania smitinandii W. J. de Wilde & Duyfjes ชื่ออ่ืน - ไมเ้ ถาล้มลุก ยาว 2-10 ม. ลำ� ต้นหา้ เหลี่ยม มอื เกาะมขี น ใบเดยี่ ว เรียงสลับ รปู ไข่ กว้าง 4-8 ซม. ยาว 7-20 ซม. ผวิ ใบทง้ั 2 ดา้ นมีขนสน้ั โคนรปู หวั ใจแคบ ขอบเรยี บถงึ จักฟนั เลอ่ื ย ปลายแหลม กา้ นใบยาว 1-4 ซม. มขี นสั้น ดอกแยกเพศร่วมต้น ดอกเพศผู้ ออกเปน็ ชอ่ แบบช่อแยกแขนง ยาว 1-5 ซม. ก้านช่อดอกยาว 0.5-1 ซม. ใบประดบั รูปล่ิมแคบ ดอก 5-15 ดอก มีขนประปราย ก้านดอกเรียวยาว ยาวประมาณ 5 มม. ฐานดอกรปู จาน กว้างประมาณ 5 มม. ยาวประมาณ 2.5 มม. กลีบเลยี้ งสีเขยี วเรยี งจรดกัน รปู ไข่ถงึ รปู รแี คบ กวา้ งประมาณ 2.5 มม. ยาวประมาณ 6 มม. ปลายกลบี แหลมถงึ เรียวแหลม กลีบดอกสีเหลอื งเรียงซอ้ นเหลอื่ ม กวา้ งประมาณ 5 มม. ยาวประมาณ 10 มม. โคนกลบี มขี นต่อม มีเกลด็ ขนาดเล็ก 4-5 เกลด็ ปลายกลีบมนกว้าง เกสรเพศผู้ 5 เกสร กา้ น ชูอับเรณยู าวประมาณ 3 มม. ต้ังตรง ปลายโคง้ ลง มีขนละเอยี ด อับเรณรู ูปรี กวา้ งประมาณ 1 มม. ยาวประมาณ 1.5 มม. ดอกเพศเมียเป็นดอกเด่ียว กา้ นดอกยาว 10-20 มม. รงั ไขร่ ูปรแี คบ กวา้ งประมาณ 4 มม. ยาวประมาณ 12 มม. มีขนหนาแนน่ ขนยาว 1-2 มม. กลีบเลีย้ งสีเขยี ว ฉ่�ำน�้ำ กวา้ ง 3-4 มม. ยาวประมาณ 6 มม. กลีบดอก 5 กลบี สีเหลือง รูปไขถ่ งึ รปู รแี คบ กวา้ งประมาณ 3.5 มม. ยาว 6-7 มม. ปลายแหลม ด้านในมีขนต่อมขนาดเลก็ หนาแน่น ก้านยอดเกสรเพศเมยี ยาวประมาณ 3.5 มม. มีรยางคค์ ล้ายหนาม ยอดเกสรเพศเมยี รปู เกอื กมา้ กวา้ ง เรยี บ ยาวประมาณ 1.5 มม. เกสรเพศผทู้ เ่ี ปน็ หมันเด่นชัด ยาวประมาณ 1.5 มม. ปลายคลา้ ยรยางค์ ผลแบบแตง รปู กระสวยกวา้ ง กวา้ ง 2.5-3.5 ซม. ยาว 6-8.5 ซม. มขี นประปราย เนื้อผลสขี าวครมี ก้านผลยาว 1-2 มม. เมลด็ รูปไข่ กวา้ งประมาณ 6 มม. ยาว 4-5 มม. หนา 2.5-4 มม. แบนดา้ นข้างเล็กน้อย สนี ำ้� ตาลออ่ น ประเทศไทย ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื : หนองคาย นครพนม เลย ขอนแกน่ หนองบวั ล�ำภู; ภาค กลาง: สระบุร;ี ภาคตะวนั ออกเฉียงใต:้ สระแก้ว ชลบรุ ี จนั ทบุรี การกระจายพนั ธ ์ุ เปน็ พชื ถิ่นเดียวของไทย นเิ วศวิทยา พบตามชายป่าในป่าผลัดใบผสม ป่าดิบแล้งบนเขาหินปูน และพื้นที่โล่งริมล�ำธาร ทคี่ วามสงู จากระดบั ทะเล 100-450 ม. ออกดอกในเดอื นพฤษภาคมถงึ ตลุ าคม เปน็ ผลในเดอื นมถิ นุ ายนถงึ สงิ หาคม พรรณไม้เขาหนิ ปนู ในกลมุ่ ป่าภเู ขยี ว-น้ำ� หนาว 1 175
176 พรรณไมเ้ ขาหนิ ปนู ในกลุ่มปา่ ภเู ขยี ว-น้ำ� หนาว 1
แตงหนาม Cucurbitaceae Thladiantha cordifolia (Blume) Cogn. ชอ่ื อ่ืน - ไมเ้ ถาลม้ ลกุ แตกกงิ่ กา้ น สงู ไดถ้ งึ 8 ม. ลำ� ตน้ เกลย้ี งหรอื มขี นประปราย เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 2-3 มม. ดอก แยกเพศรว่ มต้น ใบเด่ียว เรียงสลับ รูปไข่ กว้าง 4-9 ซม. ยาว 6-10 ซม. ผวิ ใบด้านบนมขี นสนั้ ปกคลมุ สาก มผี ลึก อยู่ในเซลลใ์ บ ผิวใบดา้ นล่างมีขนปกคลมุ โคนรูปหวั ใจลกึ ขอบหยักซ่ฟี ันหยาบหรือละเอยี ด ปลายแหลมถึงเรียว แหลม ก้านใบยาว 3-6 ซม. มีขนละเอียดปกคลุม ชอ่ ดอกเพศผู้แบบชอ่ กระจะ ยาว 5-10 ซม. มขี นส้ันนุ่มกระจาย หา่ ง ๆ ใบประดบั รปู ไขก่ ลบั หรอื คลา้ ยรปู สามเหลย่ี ม ยาว 10-15 มม. ตอนปลายหยกั ซฟ่ี นั หลดุ รว่ งงา่ ย ดอกเพศผู้ ก้านดอกยาวประมาณ 10 มม. หลอดกลบี รปู ถ้วย เบ้ียว คอหลอดมีขนสน้ั กลบี เลยี้ งรปู สามเหล่ยี มยาว หรือรปู ขอบขนาน กว้าง 3-5 มม. ยาว 8-12 มม. ปลายแหลม มีเส้นตามยาว 3-5 เส้น บางครั้งโค้งไปด้านหลัง ในดอก ตมู กลีบดอกตรงและสัน้ กว่ากลีบเลีย้ งมาก ในดอกบานกลบี ดอกรปู รีแกมรปู ไขก่ ลับ กวา้ งประมาณ 15 มม. ยาว 15-20 มม. ปลายมนหรือหยกั ซีฟ่ นั เล็กนอ้ ย กา้ นชอู ับเรณสู ัน้ อบั เรณู ยาว 3-4 มม. ดอกเพศเมีย เปน็ ดอกเดี่ยว กา้ นดอกยาว 10-40 มม. กลบี เล้ยี งคลา้ ยดอกเพศผู้ รงั ไข่รูปรแี กมรูปไขป่ กคลมุ ด้วยขนนุม่ คล้ายขนสตั ว์ สีเทา ยาว ประมาณ 10 มม. ก้านยอดเกสรเพศเมียยาวประมาณ 2 มม. แยกเป็น 3 แฉก ยาว 4-5 มม. ยอดเกสรเพศเมยี 2 พู แตล่ ะพรู ูปไตกว้าง เสน้ ผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 มม. เกสรเพศผู้ทเ่ี ปน็ หมนั ต้งั ตรง ยาวประมาณ 1.5 มม. ผลรปู ทรงกระบอกแกมรปู ขอบขนาน ปลายมน ผิวมีขนเปราะปกคลมุ หนาแนน่ หรือกระจายหา่ ง ๆ ผนังผลเปน็ รอ่ งตามยาว ประมาณ 15 แถว เมลด็ รูปไข่ บางครั้งแบน ผิวขรุขระ ขอบเมล็ดเป็นร่องตามยาวต้ืน ๆ 2 รอ่ ง ประเทศไทย ภาคเหนอื : แม่ฮ่องสอน เชยี งใหม่ เชียงราย; ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ: เลย; ภาค ตะวนั ตกเฉยี งใต:้ กาญจนบรุ ี การกระจายพนั ธ ์ุ อนิ เดยี เนปาล เมยี นมา ตอนใตข้ องจีน ลาว เวยี ดนาม สมุ าตรา และชวา นเิ วศวทิ ยา พบตามป่าผลัดใบผสม ชายป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้งบนเขาหินปูน และพื้นที่ริมล�ำธาร ทค่ี วามสงู จากระดบั ทะเล 200-800 ม. ออกดอกในเดอื นเมษายนถงึ พฤษภาคม เปน็ ผลในเดอื นมถิ นุ ายนถงึ สงิ หาคม พรรณไม้เขาหนิ ปนู ในกล่มุ ป่าภเู ขียว-น้ำ� หนาว 1 177
178 พรรณไมเ้ ขาหนิ ปนู ในกลุ่มปา่ ภเู ขยี ว-น้ำ� หนาว 1
แตงกลม Cucurbitaceae Zehneria bodinieri (H. Le’v.) W. J. de Wilde & Duyfjes ชื่ออ่นื ขคี้ วายด่อน ขค้ี วายลอ่ น (นครราชสมี า) ไม้เถาล้มลุก ยาว 2-6 ม. แยกเพศรว่ มต้น ลำ� ตน้ เกือบเกลี้ยง ใบเด่ียว เรียงสลบั รปู ไขแ่ กมรูปสามเหล่ยี ม เว้าตน้ื เลก็ นอ้ ย กว้าง 3-10 ซม. ยาว 4-12 ซม. โคนเกอื บตดั หรือรปู หัวใจกวา้ ง ขอบหยักซฟี่ ัน ปลายแหลมถึงเรียว แหลม ก้านใบยาว 2-5 ซม. ชอ่ ดอกเพศผแู้ บบช่อเชิงลดหรอื คลา้ ยช่อกระจะ มี 3-10 ดอก ออกตามซอกใบ ดอก เพศผู้ ก้านดอกยาว 1-4 มม. หลอดกลบี ดอก กว้างประมาณ 2 มม. ยาวประมาณ 3 มม. คอหลอดด้านในมีขนยาว กลีบเล้ยี งยาวประมาณ 0.5 มม. กลีบดอกรปู ไข่ ยาวประมาณ 2 มม. ปลายแหลม ผวิ ดา้ นในและปลายกลีบมขี น เกสรเพศผู้ติดท่กี ่งึ กลางหลอดกลบี ดอก หรือคอ่ นลงมาตอนล่าง ก้านชูอบั เรณู ยาว 1-2 มม. เกือบเกลยี้ ง หรือมขี น ยาวตอนกลางกา้ น อับเรณูกลม เสน้ ผา่ นศูนย์กลางประมาณ 1 มม. ดอกเพศเมียออกเด่ยี ว ๆ หรือเปน็ ช่อคลา้ ยชอ่ ซี่รม่ มี 2-3 ดอก ก้านดอกเรยี ว ยาว 2-5 มม. กลบี เลยี้ งเหมือนดอกเพศผู้ กลีบดอกยาว 2.5-3 มม. กา้ นยอดเกสร เพศเมยี ยาวประมาณ 3 มม. เกลยี้ ง ยอดเกสรเพศเมยี มี 3 พู เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 1.5-2 มม. มปี มุ่ เลก็ ๆ กระจายทวั่ ไป จานดอกสูงประมาณ 0.5 มม. เกสรเพศผ้ทู ี่เปน็ หมัน เรยี ว ยาวประมาณ 2 มม. โคนกา้ นเกสรตดิ ทโี่ คนหลอดกลบี รงั ไข่รูปไข่แกมทรงกลม เกล้ียง กว้างประมาณ 2.5 มม. ยาวประมาณ 3 มม. ผลแบบแตง รูปรี ผวิ เกลยี้ ง สเี ขียว เปลย่ี นเป็นสีน�ำ้ ตาลเม่ือแหง้ ประเทศไทย ภาคเหนอื : แม่ฮอ่ งสอน เชียงใหม่ ตาก; ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ: เลย ชัยภูมิ; ภาค ตะวันตกเฉียงใต้: เพชรบรุ ี การกระจายพนั ธ ์ุ พบกระจายกว้างขวาง ตั้งแต่ศรีลังกา ตอนใต้ของอินเดีย จีน ไต้หวัน อินโดจีน คาบสมุทรมลายู สุมาตรา และซาบาร์ นเิ วศวทิ ยา พบในพนื้ ทโ่ี ลง่ หรอื เคยถกู ทำ� ลาย ชายปา่ หรอื ปา่ ละเมาะ ทค่ี วามสงู จากระดบั ทะเล 500-1,700 ม. ออกดอกและเปน็ ผลตลอดท้งั ปี พรรณไม้เขาหนิ ปนู ในกลุ่มป่าภเู ขยี ว-น้ำ� หนาว 1 179
Christia obcordata (Poir) Bakh. f.
fabaceae
182 พรรณไมเ้ ขาหนิ ปนู ในกลุ่มปา่ ภเู ขยี ว-น้ำ� หนาว 1
ผเี สอื้ Fabaceae Christia obcordata (Poir) Bakh. f. ชอ่ื อื่น สานสาย (เชยี งใหม)่ หญา้ ก้นบง้ึ (เลย) ไมล้ ้มลกุ อายหุ ลายปี ทอดเลอ้ื ยไปกับพ้ืนดิน ยาว 15-60 ซม. ใบประกอบแบบขนนก 3 ใบ พบนอ้ ย ท่ีมี 1 ใบ ก้านใบเรียว ยาว 8-10 มม. ปกคลุมด้วยขนยาว สีเทา ใบย่อยตรงกลางรูปไต รูปสามเหลี่ยมแกม รูปกลมหรือรูปไข่กลับ กว้าง 1-2 ซม. ยาว 0.5-1.5 ซม. ผิวใบด้านบนเกล้ียง ด้านล่างมีขนยาว โคนรูปล่ิม ขอบเรียบ ปลายตัดและเว้าตื้นเล็กน้อย เส้นใบข้างละ 3-5 เส้น ช่อดอกแบบช่อกระจะออกท่ีปลายยอด ยาว 3-18 ซม. ก้านชอ่ ดอก ยาว 2-3 มม. กลบี เลี้ยงเชื่อมเปน็ วงรูประฆงั ค่อนข้างบาง โปรง่ แสง ยาวประมาณ 2 มม. ปลายแยกเป็น 5 แฉกรูปใบหอกแกมรูปไข่ กลีบดอกสีม่วงอมฟ้า ยาว 3-5 มม. กลีบกลางกว้าง โคนสอบ มีก้านกลีบ กลีบคู่ข้างเชื่อมกับกลีบคู่ล่าง กลีบคู่ล่างปลายมน เกสรเพศผู้เชื่อมเป็นมัด 9+1 รังไข่ มีไข่จ�ำนวนมาก ก้านยอดเกสรเพศเมียรูปแถบ โค้ง ยอดเกสรเพศเมียกลม ผลแบบฝักถ่ัว เกลี้ยง มี 4-5 ข้อ วงกลีบเลย้ี งตดิ ทนยดื ยาวหมุ้ ท้ังฝกั ประเทศไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: เลย หนองบัวล�ำภู; ภาคกลาง: สระบุรี ภาคตะวันตก เฉียงใต้: อทุ ยั ธานี การกระจายพนั ธ ์ุ พบต้ังแตจ่ นี อนิ เดยี ญป่ี ุ่น เมยี นมา ลาว เวียดนาม ฟลิ ปิ ปินส์ นิวกีนี และตอนเหนือ ของออสเตรเลีย นิเวศวทิ ยา พบตามพน้ื ทเี่ ปดิ โลง่ ชายปา่ พบบอ่ ยตามพนื้ ทเี่ ขาหนิ ปนู ทคี่ วามสงู จากระดบั ทะเล ไม่เกิน 500 ม. ออกดอกในชว่ งเดอื นตุลาคมถึงมนี าคม เปน็ ผลในชว่ งเดอื นเมษายนถงึ พฤษภาคม พรรณไมเ้ ขาหินปนู ในกลุม่ ป่าภเู ขยี ว-นำ้� หนาว 1 183
184 พรรณไมเ้ ขาหนิ ปนู ในกลุ่มปา่ ภเู ขยี ว-น้ำ� หนาว 1
สะบ้าลาย Fabaceae Mucuna interrupta Gagnap. ชอื่ อ่นื - ไม้เถาเล้ือย มเี นอ้ื ไม้ ใบประกอบขนนกชน้ั เดียว ใบยอ่ ย 3 ใบ กา้ นใบและก้านใบย่อยมขี น โดยเฉพาะ อยา่ งยง่ิ ตรงส่วนโคน ใบยอ่ ยตรงกลางมีขนาดใหญ่ทส่ี ดุ กว้างประมาณ 6.5 ซม. ยาวประมาณ 12 ซม. โคนคอ่ น ขา้ งเบยี้ ว เสน้ ใบข้างละ 5-6 เสน้ แผน่ ใบมีขนสั้นแนบทัง้ 2 ด้าน ช่อดอกแบบช่อกระจะ หอ้ ยลง ยาว 10-14 ซม. ไมแ่ ตกกง่ิ กา้ น กา้ นดอกยาวประมาณ 1 ซม. ปกคลมุ ด้วยขนละเอยี ดสนั้ นุ่ม ใบประดบั ขนาดใหญ่ค่อนข้างตดิ ทน ใบประดบั ย่อยรูปใบหอกกลับแกมรปู ขอบขนาน กวา้ งประมาณ 0.5 ซม. ยาว 2.2-3 ซม. ปลายแหลม ดอกรปู ดอกถวั่ วงกลีบเลีย้ งมขี นสัน้ แข็งปกคลมุ ท�ำให้ระคายเคอื ง กลีบเล้ียงเช่อื มเป็นหลอดรปู ถ้วยกว้าง กว้างประมาณ 1.5 ซม. ยาวประมาณ 1 ซม. ปลายแหลม วงกลีบดอกสขี าวหรอื สีครีม โคนกลบี สีม่วง กลีบกลาง กว้างประมาณ 2.4 ซม. ยาว 3.2-3.5 ซม. กลบี คขู่ ้างกวา้ ง 8-10(-15) ซม. ยาว 5-5.6 ซม. กลีบคลู่ า่ งยาวพอ ๆ กับกลีบคู่ขา้ ง ผลแบบฝกั ถว่ั รูปขอบขนาน กว้าง 6-7 ซม. ยาว 13-14 ซม. แบน หนาประมาณ 2.5 ซม. โคนและปลายมน ขอบ คลา้ ยครีบ ผิวฝักเป็นริ้วตามยาวเรยี งซอ้ นกนั ปลายรวิ้ แยกเปน็ สองปกคลมุ ด้วยขนสนั้ แข็งสีน้ำ� ตาลแกมแดง ทำ� ให้ ระคายเคือง เมล็ด 3 เมล็ด สีน�้ำตาลแกมส้ม รูปกลมแกมรูปไต แบน หนาไม่เกิน 1 ซม. ประเทศไทย ภาคเหนือ: เชียงใหม่; ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ: เลย; ภาคกลาง: สระบุรี การกระจายพนั ธ ์ุ พบตง้ั แต่จนี อินเดีย ภฏู าน เมียนมา ลาว และเวียดนาม นิเวศวทิ ยา พบตามป่าดิบ ป่าเปิดโล่ง พบบ่อยตามพ้ืนท่ีเขาหินปูน ที่ความสูงจากระดับทะเล 75-600 ม. ออกดอกในชว่ งเดือนมถิ ุนายนถงึ สิงหาคม เป็นผลในชว่ งเดอื นกันยายนถึงตุลาคม พรรณไมเ้ ขาหนิ ปนู ในกลมุ่ ป่าภเู ขยี ว-นำ้� หนาว 1 185
Duplipetala hexagona (Kerr.) Thiv
gentianaceae
188 พรรณไมเ้ ขาหนิ ปนู ในกลุ่มปา่ ภเู ขยี ว-น้ำ� หนาว 1
โหมหัดเขา Gentianaceae Duplipetala hexagona (Kerr) Thiv ช่อื อืน่ - ไม้ล้มลุกสูงได้ถึงประมาณ 50 ซม. ล�ำต้นเป็นสันแคบ ๆ ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่หรือรูปไข่แกม รูปใบหอก กว้าง 0.5-3 ซม. ยาว 1-7 ซม. ก้านใบยาวไม่เกิน 0.5 ซม. ช่อดอกแบบช่อกระจุกออกตามซอกใบ ใกล้ปลายยอด ใบประดับรูปใบหอกถึงรูปแถบ ยาวได้ถึง 0.5 ซม. ก้านดอกยาวประมาณ 0.3 ซม. กลีบเลี้ยง สีเขียวอ่อนเชื่อมป่องเป็นรูปคนโท ยาว 0.5-0.8 ซม. มี 6 ครีบ ครีบกว้างประมาณ 0.1 ซม. มีต่อมประปราย ปลายแยกเป็นแฉกสั้น ๆ 6 แฉก ยาวประมาณ 0.1 ซม. กลีบดอกสีขาวเชื่อมเป็นหลอดหรือรูปแตร หลอดกลีบ ยาว 0.7-0.8 ซม. ปลายแยกเป็น (5-)6 แฉก ยาว 0.2-0.3 ซม. เกสรเพศผู้ ยาว 0.2-0.4 ซม. จ�ำนวนเท่ากับ กลีบดอก ติดบนหลอดกลีบในระดับเดียวกัน รังไข่ติดเหนือวงกลีบ รูปขอบขนานหรือรูปไข่กลับ ยาวประมาณ 0.3 ซม. เกสรเพศเมียรูปแถบ ก้านยอดเกสรเพศเมียยาวประมาณ 0.4 ซม. ปลายแยกเป็นสองพู ผลแบบ แคปซูลแตกตามแนวประสาน รูปขอบขนานยาว 0.3-0.4 ซม. เมล็ดขนาดเล็กจ�ำนวนมาก ประเทศไทย ภาคเหนือ: เชยี งใหม่ ตาก; ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: เลย ขอนแก่น; ภาคตะวัน ออก: นครราชสมี า; ภาคตะวนั ตก: ประจวบคีรีขนั ธ์; ภาคตะวนั ออกเฉียงใต:้ จันทบุรี; ภาคใต้: ชมุ พร พังงา ภูเกต็ กระบี่ สตลู การกระจายพนั ธ ์ุ เป็นพชื ถ่ินเดยี วของไทย นิเวศวทิ ยา พบตามทโี่ ลง่ ชายป่า พบบ่อยตามพ้นื ทเ่ี ขาหินปนู เตี้ย ๆ ทค่ี วามสูงจากระดบั ทะเล 300-1,300 ม. ออกดอกในชว่ งเดือนตลุ าคมถึงพฤศจิกายน เป็นผลในช่วงเดือนธันวาคมถงึ มกราคม พรรณไมเ้ ขาหินปนู ในกลุม่ ปา่ ภเู ขียว-น้ำ� หนาว 1 189
Ornithoboea wildeana Craib
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242