คำนำ นวัตกรรมทางการศึกษา “คู่มือการจัดการเรียนรู้ภูมิศาสตร์แบบเชิงรุก (Active Learning) สำหรับครูผู้สอน กลุ่มสาระการเรียนรูส้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 - 6” จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาครูผู้สอนให้มีความรู้ มีความเข้าใจ สามารถจัดการเรียนรู้ ภูมิศาสตร์แบบเชิงรกุ (Active Learning) ได้ 2) เพือ่ ใหผ้ ู้สอนนำคู่มือไปใชจ้ ัดการเรยี นสาระภูมศิ าสตร์ แบบเชิงรุก (Active Learning) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) เพื่อเป็นแนวทางการให้ครูผู้สอนนำไป ประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดสาระ ภูมิศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ที่มุ่งให้ผู้เรียนมีบทบาทในการเรียนรู้มากขึ้น เน้นการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) หวงั เปน็ อยา่ งย่ิงวา่ เอกสารเล่มนี้จะชว่ ยให้ครมู ีความรู้ ความเข้าใจ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้สาระภูมิศาสตร์แบบเชิงรุก (Active Learning) ดว้ ยกระบวนการทางภูมิศาสตร์ และส่งผลตอ่ การพฒั นาผ้เู รียนให้เกดิ ประโยชนส์ ูงสุดตอ่ ไป ชุตมิ า เบ็ญจมินทร์ ก
“THE STUDY OF GEOGRAPHY IS ABOUT MORE THAN JUST MEMORIZING PLACES ON A MAP. IT’S ABOUT UNDERSTANDING THE COPLEXITY OF OUR WORLD, APPRECIATING THE DIVERCITY OF CULTURES THAT EXISTS ACROSS CONTINENTS. AND IN THE END, IT’S ABOUT USING ALL THAT KNOWEDGE TO HELP BRIDGE DIVIDES AND BRING PEOPLE TOGETHER.” BARACK OBAMA ข
ส า ร บั ญ คำนำ บทนำ หนา้ สารบญั ก คำชแ้ี จง หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ค ส่วนที่ 1 (ภมู ิศาสตร์) จ สว่ นที่ 2 ทำไมต้องเรยี นสังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม 1 ส่วนท่ี 3 เรียนรอู้ ะไรในสงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ 5 สาระภูมิศาสตร(์ ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) กล่มุ สาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษา 5 ข้นั พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 5 ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลางและการรู้เรอ่ื งภมู ศิ าสตร์ 6 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560) 7 ใบกิจกรรมท่ี 1 17 การจัดการเรยี นร้แู บบเชงิ รกุ (Active Learning) แนวคิดของการจดั การเรียนร้แู บบเชิงรุก (Active Learning) 23 ความหมายการจัดการเรยี นรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ความสำคัญของการเรียนรู้แบบเชิงรกุ (Active Learning) 29 ลกั ษณะของการจัดการเรยี นรเู้ ชงิ รกุ (Active Learning) 29 รูปแบบวิธีการจดั กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบเชงิ รุก (Active Learning) 29 บทบาทของผสู้ อนในการจดั การเรียนร้แู บบเชงิ รุก (Active Learning) 30 ใบกิจกรรมที่ 2 31 32 39 43 ค
ส า ร บั ญ ( ต่ อ ) สว่ นที่ 4 การออกแบบและเขยี นแผนการจดั การเรยี นรู้ หนา้ ความหมายของการออกแบบการจัดการเรียนรู้ แนวคดิ ในการออกแบบกจิ กรรมการเรียนร้เู ชงิ รุก (Active Learning) 45 การออกแบบหน่วยการเรยี นรู้ 46 การจดั ทำแผนการจัดการเรยี นรู้ในหน่วยการเรียนรู้ 46 ส่ือการเรียนการสอน 50 แนวทางการวัดและประเมินผลการรเู้ ร่อื งภูมศิ าสตร์ 58 ใบกิจกรรมที่ 3 59 83 สว่ นที่ 5 แนวทางการจดั ทำแผนการจดั การเรียนรู้ 87 ตารางวิเคราะห์เปา้ หมายการจดั การเรยี นรู้ ตามหลกั สูตรแกนกลาง การศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 สาระภมู ิศาสตร์ 89 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 4 - 6 90 ตัวอย่างการจัดทำแผนการจดั การเรยี นรู้ ใบกิจกรรมท่ี 4 100 136 บรรณานกุ รม 139 ภาคผนวก 141 143 ตัวอยา่ ง แบบฟอรม์ การจดั การหน่วยการเรียนรู้ 144 ตวั อยา่ ง แบบบนั ทกึ แผนการจัดการเรยี นรู้ 147 แบบทดสอบ ง
ค ำ ช้ี แ จ ง นวัตกรรมทางการนิเทศการศึกษา คู่มือการจัดการเรียนรู้ภูมิศาสตร์แบบเชิงรุก (Active Learning) สำหรับครูผู้สอน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 - 6 จัดทำขั้นโดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาครูผู้สอนให้มีความรู้ ความเข้าใจ สามารถจัดการเรียนรู้ภูมิศาสตร์แบบเชิงรุก (Active Learning) ได้ 2) เพื่อให้ผู้สอน นำคู่มือไปใช้จัดการเรียนสาระภูมิศาสตร์แบบเชิงรุก (Active Learning) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3) เพื่อเป็นแนวทางการให้ครูผู้สอน นำไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้อง กับมาตรฐานการเรียนรูแ้ ละตัวช้ีวัดสาระภูมศิ าสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้ สงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โครงสร้างของคู่มือการจัดการเรียนรู้ภูมิศาสตร์แบบเชิงรุก (Active Learning) สำหรับ ครูผู้สอน กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 - 6 ประกอบด้วยเนื้อหาสำคญั 5 ส่วน ดงั น้ี สว่ นท่ี 1 บทนำ สว่ นท่ี 2 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม (ภูมิศาสตร)์ สว่ นที่ 3 การจัดการเรียนรู้แบบเชงิ รุก (Active Learning) ส่วนท่ี 4 การออกแบบและเขยี นแผนการจดั การเรียนรู้ ส่วนท่ี 5 แนวทางการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ จ
ฉ
กระทรวงศกึ ษาธิการได้ประกาศใช้หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขึน้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 ใหเ้ ป็นหลกั สูตรแกนกลางของประเทศ เมอ่ื วนั ที่ 11 กรกฎาคม 2551 สำนกั งานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา ได้ดำเนินการติดตามผล การนำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องในหลายรูปแบบ ทั้งการประชุมรับฟังความคิดเห็น การนิเทศติดตามผลการใช้หลักสตู รของโรงเรียน การรบั ฟังความคดิ เห็นผ่านเวบ็ ไซต์ของสำนักวชิ าการ และมาตรฐานการศึกษา รายงานผลการวิจัยของหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรและ การใช้หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 ผลจากการศกึ ษา พบว่า ปัญหาส่วน ใหญ่เกิดจากการนำหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สู่การปฏิบัติ ในสถานศึกษา และในห้องเรียน อย่างไรก็ตามในด้านของเนื้อหาสาระในกลุ่มสาระการเรียนรู้ ตามหลักสูตรแกนกลางฯ พบว่า มาตรฐานการเรยี นรูแ้ ละตัวชี้วัดซ่ึงเป็นเปา้ หมายการพัฒนาคณุ ภาพ ผู้เรียน ยังไม่เพียงพอต่อการรองรับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปลี่ยนแปลงทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นหัวใจของการวางรากฐานขีดความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศ การพัฒนาศักยภาพคน การยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ ที่สอดคล้องกับการเรยี นรู้ในศตวรรษที่ 21 ให้สามารถพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ก้าวทันและทัดเทียม นานาชาติ นอกจากนี้ การศึกษาข้อมูลทิศทางและกรอบยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560 - 2564) ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาของการปฏิรูปประเทศ และสถานการณ์โลกท่ีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเรว็ และเชอ่ื มโยงใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยจัดทำบนพื้นฐาน ของกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2578) ซึ่งเป็นแผนหลักของการพัฒนาประเทศ และเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) แผนการศึกษา แห่งชาติพ.ศ. 2560 -2579 รวมทั้งการปรับโครงสร้างประเทศไปสู่ประเทศไทย 4.0 ซึ่งยุทธศาสตร์ แห่งชาติที่จะใช้เป็นกรอบแนวทางการพัฒนาในระยะ 20 ปีต่อจากนี้ ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) ยุทธศาสตร์ด้วยความมั่นคง 2) ยุทธศาสตร์ด้วยการสร้างความสามารถในการแข่งขัน 3) ยุทธศาสตร์การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน 4) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาส 1
ความเสมอภาค และเท่าเทียมกันทางสังคม 5) ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคณุ ภาพชีวติ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและ 6) ยุทธศาสตร์ว่าด้วยการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหาร จัดการของภาครัฐเพื่อมุ่งสู่วิสัยทัศน์และทิศทางการพัฒนาประเทศไปสู่ “ความมั่งคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” เปน็ ประเทศพฒั นาแล้วดว้ ยการพฒั นาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง โลกในศตวรรษที่ 21 นับว่าเป็นยุคแห่งข้อมูลและข่าวสาร และมีการเปลี่ยนแปลง อยู่สม่ำเสมอ ด้วยความก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยี การเขา้ ถงึ ข่าวสารจึงสามารถทำได้ทกุ ทท่ี ุกเวลา จงึ ถือ ได้ว่า ทักษะการสื่อสารเป็นทักษะที่สำคัญและมีบทบาทต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน เป็นอย่างมาก เนื่องด้วยมนุษย์มีการอยู่ร่วมกันเปน็ กลุ่มสงั คม ไม่ว่าจะเป็นระดบั ครอบครัว ไปจนถึง การรวมกลมุ่ ทีเ่ ปน็ สงั คมขนาดใหญใ่ นระดบั ประเทศ การเรียนการสอนแบบเชิงรกุ (Active Learning) เป็นการจัดการเรยี นการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคญั โดยเปิดโอกาสให้ผูเ้ รียนไดเ้ รียนรู้ดว้ ยการลงมอื ปฏบิ ตั จิ ากกิจกรรมทห่ี ลากหลายเพ่ือสร้างความรู้อย่างมีความหมายด้วยตนเอง หลกั การคือ กิจกรรม การเรียนการสอนต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ลงมือกระทำด้วยการค้นหาคำตอบด้วยความอยากรู้ อยากลองและความสงสัยซึ่งช่วยให้นักเรียนเกิดทักษะการแก้ปัญหา ปฏิสัมพันธ์ในชั้นเรียนและ ความคงทนในการเรียนรู้ (ศริ ิพร มโนพเิ ชฐวัฒนา, 2547 : 38) สาระภูมิศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับทั้งวิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษา สามารถ บูรณาการกับศาสตร์อื่น ๆ ได้ เช่น ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ รวมท้ังได้พิจารณาเห็นว่า ปจั จุบันประเทศไทย และพนื้ ท่ีต่าง ๆ ของโลกเกิดภาวะวิกฤตด้านกายภาพ ด้านสงิ่ แวดลอ้ ม และมีผลกระทบรนุ แรงมากขึน้ เร่ือย ๆ นอกจากน้ันกระแสโลกาภวิ ัตน์ ความทันสมัย ของวทิ ยาการและเครื่องมอื ทางภมู ิศาสตร์ ท่เี ปน็ เทคโนโลยีสารสนเทศทางภมู ศิ าสตรม์ ากข้ึน ตลอดจน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม เพื่อเป็นการสรา้ งความย่ังยืน ซึ่งการเรียนรู้เพยี งพอ ต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และบางครั้งเกิดขึ้นโดยคาดการณ์ไม่ได้ ผู้เรียนจึงต้อง มีทักษะ กระบวนการและความสามารถทางภูมิศาสตร์ เพื่อเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ประกอบกัน ดังน้ันจึงจำเปน็ ทจี่ ะตอ้ งมกี ารทบทวนและปรบั ปรงุ สาระภูมศิ าสตร์ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ข้ึน การปรับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดสาระภูมิศาสตร์ให้มีความชัดเจนสอดคล้อง กับพัฒนาการตามช่วงวัย มีองคค์ วามรู้ทเ่ี ป็นสากล เพม่ิ ระดับความสามารถ ทกั ษะ และกระบวนการ ทางภูมิศาสตร์ที่ชัดเจนขึ้น ทำให้แนวทางการสอนภูมิศาสตร์ ต้องเริ่มจากการสร้างองค์ความรู้ ภูมิศาสตร์ ความสามารถออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้อย่างเหมาะสมกับเนื้อหา เน้นการเรียนรู้ แบบเชิงรกุ (Active Learning) และการใช้เครื่องมือทางภมู ศิ าสตร์ การสร้างกระบวนการเรียนรู้และ 2
ทกั ษะทางสงั คมด้านตา่ ง ๆ สามารถนำไปประยุกต์ใชก้ ารปฏบิ ัตกิ ารสอนได้ ดงั ที่ พิมพพ์ ันธ์ เดชะคุปต์ (2546 : 25) กล่าวถึงแนวทางการแกป้ ัญหาการจัดการเรยี นการสอนของครใู นยุคปัจจุบนั วา่ ครูจะต้อง มีองค์ความรู้ในเนื้อหาก่อนที่จะออกแบบการเรียนการสอน โดยจะต้องมีการเลือกรูปแบบวิธีสอน ให้เหมาะสมกบั เนื้อหา วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนรแู้ ละลกั ษณะของผู้เรยี น การเตรียมสอ่ื และแหล่งเรียนรู้ มีการประเมินอย่างเหมาะสมกับเนื้อหา และมีการจัดเตรียมบรรยากาศห้องเรียน เมื่อครูมีความรู้ ด้านเนื้อหาอย่างชัดเจนจะส่งผลให้มีการจัดกิจกรรมตามเนื้อหาและการเตรียมสื่อหรือเครื่องมือ ทางภูมิศาสตร์ได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งการสร้างทักษะชีวิตให้กับผู้เรียน ดังที่ The National Council for Geographic Education (NCGE, 2012) ได้กล่าวว่าการจัดการเรยี นการสอนภูมิศาสตร์ ตอ้ งสอดแทรกทักษะในศตวรรษท่ี 21 และการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ตอ้ งเนน้ การฝกึ ปฏบิ ตั ิ การศกึ ษา และสำรวจข้อมูลในท้องถิ่นที่มุ่งให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ ของระบบตา่ ง ๆ การตั้งคำถามที่ตรงประเด็น รวมทั้งการส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้เทคโนโลยีอนิ เทอร์เน็ต และการใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (Geo-Information Technology) ในการสืบค้นข้อมูลและ นำเสนอขอ้ มลู ภมู ิศาสตร์ได้ 3
4
) ทำไมต้องเรยี นสงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ช่วยให้ผู้เรียนได้มีความรู้ ความเข้าใจการดำรงชีวิตของมนุษย์ทั้งในฐานะปัจเจกบุคคลและการอยู่ร่วมกันในสังคม การปรับตัว ตามสภาพแวดล้อม การจัดการทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด เข้าใจถึงการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย กาลเวลาตามเหตุปัจจัยต่าง ๆ เกิดความเข้าใจในตนเองและผู้อื่น มีความอดทน อดกลั้น ยอมรับ ในความแตกต่าง และมีคุณธรรม สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต เป็นพลเมืองดี ของประเทศชาติ และสงั คมโลก เรียนรอู้ ะไรในสังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม กลุ่มสาระการเรียนรูส้ ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ว่าด้วยการอยู่ร่วมกนั ในสังคม ที่มีความเชื่อมสัมพันธ์กัน และมีความแตกต่างกันอย่างหลากหลายเพื่อช่วยให้สามารถปรับตนเอง กับบริบทสภาพแวดล้อม เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ทักษะ คุณธรรม และค่านิยม ทเ่ี หมาะสม โดยได้กำหนดสาระตา่ ง ๆ ไว้ ดงั นี้ ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนาที่ตนนบั ถือ การนำหลักธรรมคำสอนไปปฏิบัติในการพัฒนา ตนเอง และการอยู่ร่วมกนั อย่างสันติสุข เป็นผู้กระทำความดี มีค่านิยมที่ดีงามพัฒนาตนเองอยู่เสมอ รวมทัง้ บำเพญ็ ประโยชน์ต่อสงั คมและส่วนรวม หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนนิ ชีวิตในสังคม ระบบการเมือง การปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมขุ ลักษณะและความสำคัญการเป็นพลเมืองดี ความแตกตา่ งและความหลากหลายทางวัฒนธรรม คา่ นิยมความเช่ือปลกู ฝงั ค่านยิ มด้านประชาธิปไตย อันมีพระมหากษตั ริย์ทรงเปน็ ประมุข สิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ การดำเนินชวี ิตอย่างสันติสุขในสังคมไทย และสังคมโลก 5
เศรษฐศาสตร์ การผลิต การแจกจ่าย และการบริโภคสินค้าและบริการ การบริหาร จัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การดำรงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ และการ นำหลักเศรษฐกจิ พอเพียงไปใช้ในชวี ิตประจำวนั ประวัตศิ าสตร์ เวลาและยุคสมยั ทางประวตั ิศาสตร์ วธิ กี ารทางประวัตศิ าสตร์พัฒนาการ ของมนษุ ยชาติจากอดตี ถงึ ปจั จบุ นั ความสัมพันธแ์ ละการเปล่ียนแปลงของเหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ ผลกระทบ ที่เกิดจากเหตุการณ์สำคัญในอดีต บุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดตี ความเปน็ มาของชาติไทย วัฒนธรรมและภูมิปญั ญาไทย แหลง่ อารยธรรมท่ีสำคัญของโลก ภูมิศาสตร์ ลักษณะกายภาพของโลก แหล่งทรัพยากร และภูมิอากาศของประเทศไทย และภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก การใช้แผนที่และเครื่องมอื ทางภูมศิ าสตร์ ความสัมพนั ธ์กันของสิง่ ต่าง ๆ ในระบบธรรมชาติ ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น การนำเสนอขอ้ มลู ภมู ิสารสนเทศ การอนุรกั ษ์สงิ่ แวดล้อมเพอื่ การพัฒนาทีย่ ั่งยืน สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ สาระท่ี 1 ศาสนา ศลี ธรรม จรยิ ธรรม มาตรฐาน ส 1.1 ร้แู ละเขา้ ใจประวตั คิ วามสำคัญศาสดาหลกั ธรรมของ พระพุทธศาสนา หรือศาสนา ที่ตนนับถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึดมั่น และปฏิบัติตาม หลักธรรม เพื่ออย่รู ่วมกนั อย่างสันตสิ ขุ มาตรฐาน ส 1.2 เข้าใจตระหนักและปฏิบัติตนเป็นศาสนิกชนที่ดี และธำรงรักษา พระพทุ ธศาสนาหรือศาสนาท่ตี นนบั ถอื สาระที่ 2 หน้าท่ีพลเมือง วฒั นธรรม และการดำเนินชวี ิตในสงั คม มาตรฐาน ส 2.1 เข้าใจและปฏิบัติตนตามหน้าที่ของการเป็นพลเมืองดี มีค่านิยม ที่ดีงาม ธำรงรักษาประเพณีและวัฒนธรรมไทย ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมไทย และสังคมโลก อย่างสันติสุข มาตรฐาน ส 2.2 เขา้ ใจระบบการเมืองการปกครองในสงั คมปัจจบุ นั ยดึ มนั่ ศรทั ธา และธำรงรักษาไว้ซงึ่ การปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั ริย์ทรงเปน็ ประมุข สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส.3.1 เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและ การบริโภคการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดได้อย่างมปี ระสิทธิภาพและคุม้ ค่า รวมทั้งเขา้ ใจหลกั การของ เศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการดำรงชวี ติ อย่างมีดลุ ยภาพ 6
มาตรฐาน ส.3.2 เข้าใจระบบ และสถาบันทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ความสัมพันธ์ ทางเศรษฐกิจ และความจำเปน็ ของการร่วมมอื กันทางเศรษฐกิจในสังคมโลก สาระท่ี 4 ประวัตศิ าสตร์ มาตรฐาน ส 4.1 เข้าใจความหมายความสำคัญของเวลาและยุคสมัยทา ง ประวตั ศิ าสตร์ สามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตรม์ าวเิ คราะหเ์ หตกุ ารณต์ ่างๆ อย่างเปน็ ระบบ มาตรฐาน ส 4.2 เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในด้าน ความสัมพันธแ์ ละการเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนือ่ ง ตระหนักถึงความสำคญั และสามารถ วิเคราะหผ์ ลกระทบท่ีเกดิ ขนึ้ มาตรฐาน ส 4.3 เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มคี วามรักความภมู ใิ จและธำรงความเปน็ ไทย สาระที่ 5 ภมู ศิ าสตร์ มาตรฐาน ส 5.1 เขา้ ใจลักษณะทางกายภาพของโลกและความสัมพนั ธ์ของสรรพส่ิง ซึ่งมีผลต่อกัน ใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ในการค้นหา วิเคราะห์ และสรุปข้อมูลตาม กระบวนการทางภูมศิ าสตร์ ตลอดจนใชภ้ ูมิสารสนเทศอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ มาตรฐาน ส 5.2 เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ที่ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์วิถีการดำเนินชีวิต มีจิตสำนึกและมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรและ สงิ่ แวดล้อมเพือ่ การพัฒนาท่ยี ั่งยนื สาระภมู ศิ าสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และ วัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 ภูมิศาสตร์เป็นการศึกษาเกี่ยวกับสถานที่ ลักษณะทางกายภาพที่ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวโลก ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่มีผลต่อการสร้างสรรค์วัฒนธรรม ของมนุษย์ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมอันเกิดจากการกระทำของธรรมชาติและมนุษย์ ดังนน้ั การศกึ ษาภูมศิ าสตร์จึงควรมีความรู้ในการจัดการเรยี นรู้สาระภูมิศาสตร์ ตามท่ีนักการศึกษาได้ ให้ความหมาย ความสำคญั และเป้าหมายของการศกึ ษา ตลอดจนแนวทางในการจดั การเรียนรู้ ความหมายของภมู ิศาสตร์ ราชบัณฑิตยสถาน (2549 : 258) ได้ให้ความหมายของภูมิศาสตร์ว่าเป็นศาสตร์ว่าด้วย การจัดการพื้นที่และสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์อยู่ ตลอดจนองค์ประกอบด้านสังคมมนุษย์ โดยศึกษา 7
ถงึ ลกั ษณะ ความหมาย รปู แบบ การกระจาย กระบวนการเกดิ การเปลยี่ นแปลง ววิ ัฒนาการ ไปจนถึง ความสัมพันธ์กับสง่ิ แวดล้อมทงั้ ในอดีตและปจั จุบัน กติ ตคิ ุณ ร่งุ เรือง (2556 : 91) ภมู ิศาสตร์เปน็ ศาสตร์ท่ีมีความเกี่ยวขอ้ งทางด้านพื้นที่และ บริเวณต่าง ๆ บนพื้นผิวโลก เป็นการศึกษาปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นทางกายภาพของพื้นที่และ ปรากฎการณ์ที่เกิดข้ึนกับมนุษย์ ณ บริเวณที่ทำการศึกษา รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมทีอ่ ยู่บริเวณโดยรอบ และเป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ สถานที่ และสิ่งแวดล้อมโดยการใช้ข้อมูลทางแผนท่ี ในการอธิบายความสมั พันธ์ดา้ นพ้ืนที่ การตงั้ ถ่ินฐาน และการอยูอ่ าศัยของมนุษย์ในภาพรวมภูมศิ าสตร์ เป็นรากในการเลอื กสถานที่ การตงั้ ถิ่นฐานตามโครงสร้างของผิวโลก การสร้างสงั คมมนุษย์ในดินแดน ต่าง ๆ และมีความสัมพันธ์กับชีวิตของพืชและสัตว์ในการเกิด การดำรงชีวิต และการเปลี่ยนแปลง ระบบนิเวศวิทยา กระทรวงศึกษาธิการ (2560 : 93) ได้อธิบายว่า ภูมิศาสตร์ เป็นวิชาที่เชื่อมระหว่างวิชา วิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ นักภูมิศาสตร์ศึกษาลักษณะของพื้นผิวโลก และผลที่มีต่อมนุษย์โดย เน้นที่ตั้ง และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับส่ิงแวดล้อม เพื่อให้นักเรียนเข้าใจลักษณะทางกายภาพ ความเป็นอยู่ของมนุษย์ โดยใช้เทคนิคทางภูมิศาสตร์ช่วยในการศึกษา สืบค้น วิเคราะห์และอธิบาย สาเหตุการเกิดปรากฏการณ์ทางพื้นที่ หรือสร้างแบบจำลองเพื่อคาดการณ์ผลที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ ศึกษาลักษณะสภาพแวดล้อมทางกายภาพหรือทางสงั คมให้กบั พนื้ ทีน่ ัน้ ๆ คณัฏพัส บุตรแสน (2561 : 48) กล่าวว่า ภูมิศาสตร์เป็นรายวิชาที่ศึกษาความสัมพันธ์ ระหวา่ งสิ่งแวดล้อมกับมนุษย์ซึ่งมีปฏิสัมพนั ธร์ ะหว่างกนั อธิบายถึงลักษณะของพืน้ ท่ีทางด้านกายภาพ ภูมิภาคของโลก ลักษณะของสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ อันได้แก่ ลักษณะทางธรณีภาค อุทกภาค บรรยากาศภาค และชีวภาค ตลอดจนการอาศัยภูมิศาสตร์ในการสร้างสรรค์วัฒนธรรมของมนุษย์ เช่น การสรา้ งที่อยูอ่ าศัย อาชีพ และการดำรงชวี ติ ตามพนื้ ทท่ี ่อี าศัยอยู่ และการจัดการทรพั ยากร ESRI Schools and Libraries Program(2003 : 1)อ้างอิงใน คณัฏพัส บตุ รแสน (2561 : 48) กล่าวว่า ภูมิศาสตร์ คือ การศึกษาเกี่ยวกับโลกและสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่บนโลก สภาพภูมิอากาศ แหล่งน้ำ มนุษย์ พืชพรรณ และสัตว์ในพื้นที่ต่าง ๆ และความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งที่อยู่บนโลก เพื่อศึกษาเกี่ยวกับโลกและสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทางภูมิศาสตร์ การดำเนิน ชีวิตประจำวันของมนุษย์ที่มีความสัมพันธ์กับภูมิศาสตร์ การสังเกต การโต้ตอบ และการตัดสินใจ ทางภูมศิ าสตร์ตามสถานการณ์ที่มนษุ ยไ์ ด้เผชญิ กับชีวติ ประจำวนั 8
มโนทัศน์และความสำคัญของภมู ิศาสตร์ สาระภูมิศาสตร์แสดงให้เห็นถึงปรากฎการณ์ที่เกิดขึน้ ตามธรรมชาติ และความสัมพันธ์ ระหว่างสิ่งแวดล้อมกับมนุษย์ ดังนั้นภูมิศาสตร์จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ศึกษา ดังที่นักการศึกษาได้ กล่าวถงึ ความสำคญั ของภมู ิศาสตร์ ไว้ดงั น้ี อรรถพล อนันตวรสกุล (2561 : 10) กลา่ วาถงึ มโนทัศน์ในสาระภูมิศาสตร์ ประกอบด้วย 5 เรื่อง คือ 1) ที่ตั้ง (Location) เน้นการทำความเข้าใจปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลให้เกิดการตั้งถิ่นฐาน 2) พื้นที่ (Place) เน้นการทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะของแต่ละพื้นที่ และเป็นพื้นฐาน ในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ที่ถูกให้เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน (Interconnectedness) 3) ภูมิภาค (Region) ลักษณะร่วมของภูมิภาค และปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ภายในภูมิภาคหนึ่ง ๆ และระหวา่ งภมู ิภาค 4) การเปล่ยี นแปลงและความเคลื่อนไหว(Change and Movement)เน้นการทำ ความเข้าใจปรากฎการณ์ต่าง ๆ ทั้งทางกายภาพ และสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงและเคลื่อนไหวอยู่ ตลอดเวลาตามเงื่อนไขปัจจัยที่เกี่ยวข้อง และ 5) ปฏิสัมพันธ์ระหว่ามนุษย์กับสิ่งแวดล้อม (Man Environment Interaction) เน้นการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ที่มีต่อกันระหว่างกิจกรรม ของมนุษย์และปัจจยั ทางสิ่งแวดล้อม กิตติคุณ รุ่งเรือง (2556 : 17 - 22) กล่าวถึงความสำคัญของภูมิศาสตร์ว่า เป็นวิชา ท่ีมีพืน้ ฐานมาจากการสร้างองคค์ วามรูท้ อ่ี าศยั ความเปน็ เหตุเป็นผลระหวา่ งกนั เพ่อื นำความรู้ดังกล่าว มาใช้อธิบายถึงความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างธรรมชาติ มนุษย์ และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น และหาก นักเรียนได้ศกึ ษาวิชาภูมศิ าสตรโ์ ดยสมบูรณ์นกั เรียนจะมีคุณลักษณะที่ดี เป็นผู้ที่มีความรู้ความเขา้ ใจ ในข้อเท็จจริงตา่ ง ๆ เกี่ยวกับมนุษย์และธรรมชาตแิ วดล้อม ว่ามีความสัมพันธ์ที่มีความสำคัญ ต่อกัน อย่างไรบ้าง เป็นผู้ที่มีทักษะในการนำความรู้ทางภูมิศาสตร์ไปใช้ในเกิดประโยชน์ในการศึกษา ทำความเข้าใจและสามารถอธิบายหรอื คาดการณ์ และเสนอแนะวิธหี ลกี เลย่ี งหรอื บรรเทาความรุนแรง จากปรากฏการณ์ทางธรรมชาตทิ ี่เกดิ ขึ้นได้ สามารถนำไปประยุกต์ได้ สามารถนำประโยชน์ทีไ่ ด้ไปใช้ ในสถานการณ์ปัจจุบัน ในการวางแผนดำเนินการตัดสินใจ หรือนำมาใช้แก้ปัญหาวิกฤตการณ์ตา่ ง ๆ อันเนอื่ งมาจากภูมศิ าสตร์ กนก จันทรา (2561 : 1 , 5) กล่าวถึงความสำคัญของการรู้เร่ืองภูมิศาสตร์ ว่าสามารถ ช่วยให้นักเรียนเข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลก ที่มีความสัมพันธ์กับที่ตั้ง เข้าใจระบบธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้จะช่วยให้ เกิด การตัดสนิ ใจอยา่ งมเี หตุผลในชวี ติ ประจำวันโดยคำนึงถึงบริบทโดยรอบ สำหรับในการทำงานจะช่วยให้ เกิดการวางแผนและการสร้างกลยุทธ์ที่ลดต้นทุนสิ่งแวดล้อมและสังคม สำหรับการเป็นพลเมือง 9
ที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม พัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนได้ นอกจากนี้ ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมของชุมชน ลดความขัดแย้งและความรนุ แรง พฒั นาคุณภาพชวี ิตในชมุ ชนรอบโลก เป้าหมายของการเรียนสาระภูมิศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการ (2560 : 2-3) ได้อธิบายว่า สาระภูมิศาสตร์ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจ ลักษณะทางกายภาพของโลก ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมที่ก่อให้เกิดการสรา้ งสรรคว์ ิถี การดำเนินชีวิต เพื่อให้รู้เท่าทัน ปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม ตลอดจนสามารถ ใช้ทักษะ กระบวนการ ความสามารถทางภูมิศาสตร์ และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ในการจัดการ ทรัพยากรและสงิ่ แวดลอ้ มตามสาเหตุและปจั จัย อนั จะนำไปสู่การปรับใช้ในการดำเนนิ ชีวิต ดังนั้น เพื่อให้การเรียนรู้สาระภูมิศาสตร์บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ จึงได้กำหนด ทิศทางสำหรับครูผู้สอน เพื่อใช้เป็นแนวทางการเรียนรู้ที่ส่งผลให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถ และทักษะกระบวนการทางภูมิศาสตร์ที่สะท้อนสมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ของผู้เรียน ให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่มุ่งพัฒนาให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อและ การประกอบอาชพี จึงได้กำหนดแนวทางการเรยี นรู้ ซ่ึงประกอบด้วย 1. ความร้คู วามเข้าใจทางภมู ิศาสตร์ 2. ความสามารถทางภมู ิศาสตร์ 3. กระบวนการทางภูมิศาสตร์ 4. ทกั ษะทางภมู ิศาสตร์ 10
จากเปา้ หมายของการเรยี นสาระภูมศิ าสตรท์ ี่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปเป็นแผนภาพได้ ดงั นี้ • ลกั ษณะทางกายภาพของโลก • ความเข้าใจระบบธรรมชาติ • การใชแ้ ผนทแี่ ละเครือ่ งมือ และมนุษย์ ทางภมู ศิ าสตร์ • การใหเ้ หตุผลทางภมู ิศาสตร์ • กระบวนการทางภูมิศาสตร์ • การตดั สินใจอย่างเป็นระบบ • การใชภ้ ูมิสารสนเทศ • ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ สิง่ แวดล้อมทางกายภาพ • การต้ังคำถามเชงิ ภูมิศาสตร์ • การสังเกต • การรวบรวมข้อมูล • การแปลความขอ้ มลู ทางภมู ิศาสตร์ • การจดั การขอ้ มูล • การใช้เทคนิคและเครอื่ งมือทาง • การวิเคราะห์ข้อมูล • การสรปุ เพอื่ ตอบคำถาม ภูมศิ าสตร์ • การคดิ เชิงพ้ืนท่ี • การคดิ แบบองค์รวม • การใช้เทคโนโลยี • การใชส้ ถิติพน้ื ฐาน เปา้ หมายของการเรยี นสาระภมู ศิ าสตร์ 11
การรูเ้ ร่ืองภูมิศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการ (2560 : 4 - 7) ได้อธิบายว่า การรู้เรื่องภูมิศาสตร์ เป็นความรู้ พื้นฐานของผ้เู รยี นในคริสตว์ รรษที่ 21 ในการแสวงหาความรแู้ ละตอบคำถามทีเ่ กยี่ วข้องกับทำเลท่ีตั้ง หรือความสัมพันธ์ของส่ิงต่าง ๆ บนพื้นผิวโลก การพัฒนาใหผ้ ู้เรียนสามารถดำรงตนอยู่ในวถิ ีของการ เปน็ พลเมืองโลกที่ดี ตลอดจนเข้าใจการเปล่ยี นแปลงของสง่ิ แวดลอ้ มได้อย่างถูกตอ้ งน้นั จำเป็นอย่างยง่ิ ที่จะต้องทำให้ผู้เรียนตระหนักในการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ โดยมีการสอดแทรกการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ ในระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การรู้เรื่องภูมศิ าสตร์เป็นลักษณะที่แสดงความสามารถ ในการใชค้ วามเข้าใจเชิงภูมิศาสตร์(ability to use geographic understanding) และการให้เหตุผล ทางภูมิศาสตร์ (geographic reasoning) เพอื่ การตัดสนิ ใจเชิงภมู ศิ าสตรอ์ ย่างเปน็ ระบบ (systematic geographic decision) การแก้ไขปัญหาและวางแผนในอนาคต (problem solving and future planning) โดยอาศัยองคป์ ระกอบที่สำคญั 3 ประการ คือ ความสามารถทางภูมิศาสตร์ กระบวนการ ทางภมู ศิ าสตร์ และทกั ษะทางภูมศิ าสตร์ ดังตารางตอ่ ไปนี้ ตารางที่ 1 การรเู้ รื่องภมู ศิ าสตร์ ความสามารถ กระบวนการ ทกั ษะทางภูมศิ าสตร์ ทางภูมิศาสตร์ ทางภูมศิ าสตร์ • การสังเกต • ความเข้าใจระบบธรรมชาติ • การตั้งคำถามเชงิ ภมู ิศาสตร์ • การแปลความขอ้ มูล และมนุษย์ • การรวบรวมข้อมูล ทางภูมิศาสตร์ • การใช้เทคนิค และเครอื่ งมือ • การใหเ้ หตุผลทาง • การจดั การขอ้ มูล ทางภมู ิศาสตร์ ภมู ิศาสตร์ • การวเิ คราะห์ข้อมลู • การคดิ เชงิ พน้ื ที่ • การคิดแบบองคร์ วม • การตัดสนิ ใจอย่างเปน็ • การสรปุ เพอ่ื ตอบคำถาม • การใช้เทคโนโลยี ระบบ • การใช้สถิติพน้ื ฐาน ท่ีมา : กระทรวงศึกษาธกิ าร (2560 : 4) 12
ความสามารถทางภมู ิศาสตร์ การรู้เร่อื งภูมิศาสตรจ์ ำเปน็ ต้องอาศยั ความสามารถในการใหเ้ หตุผลเก่ียวกบั สง่ิ ต่าง ๆ บนโลก จากองค์ประกอบทส่ี ำคัญ 3 ประการ ไดแ้ ก่ 1. ความเขา้ ใจระบบธรรมชาตแิ ละมนุษย์ ความเข้าใจระบบธรรมชาติและมนุษย์ผ่านปฏิสัมพันธ์(interaction)เป็นการเข้าใจ ความเป็นไปของโลกผ่านปฏิสัมพันธ์ของระบบธรรมชาติและระบบมนุษย์ โดยใช้ในระบบธรรมชาติ จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเข้าใจระบบของโลก สิ่งแวดล้อม และนิเวศวิทยา ที่เน้นหน้าท่ี และปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน นอกจากนี้ ในระบบมนุษย์จะเป็นการเข้าใจการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์บนพื้นผิวโลก เช่น การตั้งถิ่นฐาน ลักษณะทางวัฒนธรรม กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทีก่ อ่ ให้เกดิ การเคล่ือนย้ายของคน ข้อมลู และขา่ วสาร 2. การให้เหตผุ ลทางภมู ศิ าสตร์ การให้เหตุผลทางภูมิศาสตร์ผ่านการเชื่อมโยงระหว่างกัน (interconnection) เป็น การเข้าใจการเกิดปรากฏการณ์ในแต่ละสถานที่จากการมีปฏิสัมพันธ์ของระบบกายภาพและระบบ มนุษย์ ดังนั้น นอกจากความเชื่อมโยงระหว่างกันของทั้งสอบระบบแล้ว การรู้และเข้าใจความเปน็ มา สภาพทางภูมิศาสตร์ และสภาพทางสังคม เป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ ท่แี ตกตา่ งกันในแตล่ ะสถานที่ได้ 3. การตัดสินใจอยา่ งเปน็ ระบบ การตัดสินใจอย่างเป็นระบบตามนัย (implication) เป็นความสามารถขั้นสูงที่เกิดจาก การบูรณาการความรู้เรื่องการมีปฏิสัมพันธ์ และการเชื่อมโยงระหว่างกันของสิ่งต่าง ๆ มาใช้ ประกอบการตัดสินใจอยา่ งเป็นระบบในการแกไ้ ขปัญหาและวางแผนในอนาคตไดอ้ ย่างเหมาะสม 13
กระบวนการทางภมู ศิ าสตร์ ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภูมิศาสตร์ให้ผู้เรียนเกิดการคิดอย่างเป็นระบบ เขา้ ใจและมีความรอู้ ย่างถูกต้องชัดเจน ผู้สอนอาจจะใช้วิธีการสอนแบบแก้ปัญหา (problem solving method) หรือวธิ กี ารสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (inquiry method) เปน็ ตัวกระตุ้นผเู้ รียน โดยผ่าน กระบวนการ จดั กจิ กรรมทสี่ ำคัญ 5 ขั้นตอน ไดแ้ ก่ 1. การตั้งคำถามเชิงภูมิศาสตร์ เป็นการระบุประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้ศึกษานำมาพิจารณา ประกอบการหาคำตอบเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของการศึกษา โดยจะต้องอยู่ในรูปแบบประโยค คำถามที่กระชับ ชัดเจน และตรงประเด็น เช่น “ปัจจัยอะไรบ้างที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลง ลักษณะของแม่นำ้ ” 2. การรวบรวมข้อมูล เป็นขั้นตอนสำคัญขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการทางภูมิศาสตร์ ท่ีรวบรวมขอ้ เท็จจรงิ และขอ้ มูลท่ีเปน็ ประโยชน์และคาดวา่ จะนำไปใช้ประกอบการศึกษา การรวบรวม ข้อมูลต้องอาศัยความรู้และเทคนิคต่าง ๆ เช่น ประเภทของข้อมูล การออกแบบแบบบันทึกข้อมูล การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล วิธีการแจงนับข้อมูล การออกแบบสอบถาม และการบันทึก การสงั เกต เปน็ ต้น 3. การจัดการข้อมูล เป็นการจัดระเบียบข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลเพื่อประกอบ การศึกษา นอกจากนี้ยังเป็นการตรวจสอบความครบถ้วนและความถูกต้อง เพื่อความสะดวก ในการวเิ คราะหข์ ้อมูล 4. การวิเคราะห์และแปลผลข้อมูล เป็นหัวใจของกระบวนการทางภูมิศาสตร์ เมื่อข้อมูล ผ่านกระบวนการจัดการแล้วก็จะง่ายต่อการอธิบาย วิเคราะห์ และแปลผลข้อมูลดังกล่าว ด้วยสถิติ พน้ื ฐาน 5. การสรุปเพื่อตอบคำถาม เป็นการสรปุ เนือ้ หาให้ตรงคำถามของการศึกษาตามที่ระบไุ ว้ ในขั้นต้น นอกจากนี้ผู้ศึกษาตอ้ งวิจารณ์ผลลัพธ์ที่ได้เพื่อตอบวัตถุประสงคข์ องการศึกษา โดยผู้ศึกษา จะต้องรายงานผล ที่ได้ในแต่ละกระบวนการอยา่ งละเอยี ด ถูกต้อง และชัดเจน ตามวิธีการวิเคราะห์ ขอ้ มลู ทไี่ ด้กำหนดไว้ ซ่ึงอาจจะอ้างองิ กรอบแนวคิดและทฤษฎีตา่ ง ๆ ด้วย ทักษะทางภมู ิศาสตร์ ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนมีการรู้เรื่องภูมิศาสตร์นั้น ผู้สอน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพัฒนาทักษะของผู้เรียนที่เกี่ยวข้องกับมุมมองทางภูมิศาสตร์ โดยสามารถ จดั กิจกรรมตา่ ง ๆ ด้วยการสอดแทรกทกั ษะท่ีสำคญั ดังต่อไปนี้ 14
1. การสงั เกต (observation) เป็นการนำผู้เรยี นไปสังเกตการณ์ส่งิ แวดลอ้ มทงั้ ที่เกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติและมนุษย์สร้างขึ้น เช่น การสังเกตความแตกต่างของสิ่งแวดล้อมรอบตัวระหว่างบ้าน กับโรงเรยี น 2. การแปลความข้อมูลทางภูมิศาสตร์ (interpretation of geographic data) เป็น การแปลความหมายข้อมูลของสิ่งที่ปรากฎอยู่บนพื้นโลก ที่อ้างอิงด้วยตำแหน่ง ที่อาจจะปรากฏอยู่ ในรปู แบบของแผนภูมิ แผนภาพ กราฟ ตาราง รูปถ่าย แผนท่ี ภาพจากดาวเทยี ม และภมู สิ ารสนเทศ 3. การใช้เทคนิคและเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ (using geographic technique and equipment) เป็นการใช้วธิ ีการ เชน่ การยกตัวอย่าง (sampling) การวาดภาพรา่ งในภาคสนามการใช้ รูปถ่าย แผนท่ี และเครอ่ื งมือต่าง ๆ ในการรวบรวมขอ้ มลู ทางภูมศิ าสตร์ 4. การคิดเชิงพื้นที่ (spatial thinking) เป็นการคิดที่ใช้ความรู้ทางภูมิศาสตร์ในการระบุ วิเคราะห์ และทำความเข้าใจประเด็นเกี่ยวกับที่ตั้ง ทิศทาง มาตรส่วน แบบรูป พื้นที่ และแนวโน้ม ของความสัมพนั ธร์ ะหว่างปรากฎการณ์ทางภมู ศิ าสตร์กบั เวลา 5. การคิดแบบองค์รวม (holistic thinking) เป็นการมองภาพรวมของระบบต่าง ๆ ทางภูมิศาสตร์ผ่านการวิเคราะห์และสังเคราะห์ความสัมพันธ์ของสรรพสิ่ง ทั้งที่เกิดขึ้นเองธรรมชาติ และ ส่งิ ท่ีมนษุ ย์สรา้ งข้นึ 6. การใช้เทคโนโลยี (using technology) เป็นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการสืบค้น ข้อมูลทางภูมิศาสตร์ผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น การใช้อินเทอร์เน็ตในการสืบค้นข้อมูลต่าง ๆ การใช้ google Earth การใช้โทรศพั ทเ์ คลื่อนท่ี ประกอบการเรยี นการสอน 7. การใช้สถิติพื้นฐาน (using basic statistics) เป็นการใช้สถิติอย่างง่าย เช่น ค่าเฉลี่ย เลขคณิต ค่ามัธยฐาน และค่าฐานนิยม ในการวิเคราะห์ข้อมูล การเข้าใจลักษณะการกระจาย (dispersion) และความสัมพันธ์ (correlation) ของข้อมูลทางภูมิศาสตร์ และการวิเคราะห์แบบรูป ของข้อมูลเชงิ พน้ื ที่ (analysis of spatial pattern) ทั้งน้ี การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนท่เี น้นการเรียนรู้ภมู ิศาสตร์ใหผ้ ู้เรยี น จำเป็นอย่าง ยิ่งที่จะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมต่อระดับการเรียนรู้ในแต่ละช่วงชั้น การจัดกิจกรรมภาคสนาม (fieldwork)เป็นการส่งเสริมการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ได้อย่างดี เนื่องจากการจัดกิจกรรมดังกล่าว เป็นการบูรณาการความรู้ทางภูมิศาสตร์ในประเด็นต่าง ๆ ผ่านกระบวนการและการใช้ทักษะ 15
ทางภูมิศาสตร์ในการตอบและแก้ไขประเด็น หรือปัญหาที่ผู้สอนได้ตั้งขึ้น ด้วยการลงมือปฏิบัติจริง ในพื้นทห่ี นึง่ ๆ จากแนวคิดของนักวิชาการ นักการศกึ ษา และสถาบันทีเ่ ก่ียวขอ้ ง สรุปได้ว่า การรู้เร่อื ง ภูมิศาสตร์ (Geo-literacy) หมายถึง ความสามารถในการเข้าใจระบบธรรมชาติและมนุษย์ การให้ เหตุผลทางภูมิศาสตร์ และการมองอนาคตและตัดสินใจอย่างเป็นระบบ โดยการแสดงความสามารถ เหลา่ น้ีจะต้องอาศยั ความรู้ ทักษะและกระบวนการทางภูมศิ าสตร์ ดังนั้น ในการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ ที่เสริมสร้างการรู้เรื่องภูมิศาสตร์ต้องพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม เครื่องมือและเทคโนโลยีทางภูมิศาสตร์ และพัฒนาทักษะ การคิดเชิงพื้นที่ การคิดเชิงอนาคต การคิดเชิงระบบ และทักษะการแปลความหมายข้อมูล ทางภูมิศาสตร์และสถิติ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการทางภูมิศาสตร์เป็นเครื่องมือ ในการทำความเข้าใจความรู้ทางภูมศิ าสตร์และพัฒนาทักษะทางภมู ศิ าสตรไ์ ปพร้อม ๆ กัน คณุ ภาพผูเ้ รยี น จบชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 มีความรู้เกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพ ภัยพิบัติ ลักษณะกิจกรรมทางเศรษฐกิจและ สังคม ในจังหวัดภาคและประเทศไทย สามารถเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพกับภัย พิบัติตา่ ง ๆ ในประเทศไทยและหาแนวทางในการจดั การทรพั ยากรและส่งิ แวดล้อม 16
ตัวชีว้ ัดสาระการเรยี นรู้แกนกลาง และการรู้เรื่องภมู ิศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) สาระที่ 5 ภูมศิ าสตร์ มาตรฐาน ส 5.1 เข้าใจลักษณะทางกายภาพของโลกและความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งต่าง ๆ ซึ่งมีผลต่อกัน ใช้แผนที่และเครื่องมือภูมิศาสตร์ในการค้นหา วิเคราะห์ และสรุปข้อมูลตาม กระบวนการทางภมู ศิ าสตร์ ตลอดจนใช้ภูมิสารสนเทศอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 4-6 ชน้ั ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรู้ geo-literacy แกนกลาง ความสามารถ กระบวนการ ทักษะ 1. การสังเกต ป.4 1. สบื คน้ และ - ลักษณะทาง 1. ความเข้าใจ 1. การตงั้ คาํ ถาม 2. การแปลความ ระบบธรรมชาติ เชิงภูมศิ าสตร์ ขอ้ มลู อธบิ ายข้อมลู กายภาพของ และมนษุ ย์ 2. การรวบรวม ทางภมู ิศาสตร์ 2. การใหเ้ หตผุ ล ขอ้ มลู 3. การใชเ้ ทคนิค ลักษณะ จังหวัดตนเอง ทางภมู ิศาสตร์ 3. การจดั การ และเคร่ืองมือ ข้อมลู ทางภมู ิศาสตร์ ทางกายภาพ 4. การวเิ คราะห์ ขอ้ มูล 1. การสังเกต ในจงั หวดั ตนเอง 5. การสรุปเพอ่ื 2. การแปลความ ตอบคําถาม ขอ้ มลู ด้วยแผนท่ีและรปู ทางภมู ิศาสตร์ 3. การใช้เทคนคิ ถ่าย และเครือ่ งมอื ทางภูมิศาสตร์ 2. ระบแุ หล่ง - แหล่งทรพั ยากร 1. การสังเกต ทรพั ยากรและ และสถานท่ี 2. การแปลความ สถานทส่ี ำคญั สำคัญในจงั หวัด ข้อมูล ในจงั หวดั ของ ของตน ทางภมู ิศาสตร์ ตนเองดว้ ยแผนท่ี 3. การใชเทคนิค และรปู ถา่ ย และเครือ่ งมอื ทางภูมิศาสตร์ 3. อธบิ ายลกั ษณะ - ลกั ษณะ 1. ความเขาใจ ทางกายภาพ ทางกายภาพ ระบบธรรมชาติ ท่ีส่งผลตอ่ แหลง่ ทส่ี งผลตอ และมนุษย์ ทรัพยากรและ แหล่งทรัพยากร 2. การใหเหตผุ ล สถานทส่ี ำคัญ และสถานที่ ทางภูมศิ าสตร์ ในจังหวดั สำคัญในจังหวัด 17
ชน้ั ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรู้ ความสามารถ geo-literacy ทักษะ แกนกลาง 1. ความเขาใจ กระบวนการ 1. การสงั เกต ป.5 1. สบื คน้ และ ระบบธรรมชาติ 1. การต้งั คาํ ถาม 2. การแปล อธิบายขอ้ มลู - ลกั ษณะ และมนุษย์ เชงิ ภมู ิศาสตร์ ความข้อมลู ลกั ษณะ ทางกายภาพใน 2. การใหเหตุผล 2. การรวบรวม ทางภูมิศาสตร์ ทางกายภาพ ภูมิภาคของตน ทางภูมิศาสตร์ ขอ้ มลู 3. การใชเทคนคิ ในภมู ิภาคของตน 3. การจัดการ และเครอื่ งมอื ด้วยแผนท่แี ละ ข้อมูล ทางภูมิศาสตร์ รปู ถา่ ย 4. การวิเคราะห์ 4. การใช ขอ้ มลู เทคโนโลยี 2. อธบิ ายลกั ษณะ - ลกั ษณะ 1. ความเขาใจ 5. การสรุปเพ่อื ทางกายภาพ ทางกายภาพ ระบบธรรมชาติ ตอบคําถาม 1. การสังเกต ที่สงผลตอ่ แหล่ง ที่สงผลตอ และมนษุ ย์ 2. การแปล ทรัพยากร แหล่งทรัพยากร 2. การใหเหตุผล - ความข้อมูล และสถานทสี่ ำคัญ และสถานท่ี ทางภูมศิ าสตร์ ทางภูมศิ าสตร์ ในภูมิภาคของตน สำคญั ในภมู ภิ าค 1. การตงั้ คาํ ถาม 3. การใชเทคนคิ ของตน เชิงภมู ศิ าสตร์ และเครอ่ื งมือ 2. การรวบรวม ทางภมู ิศาสตร์ ป.6 1. สบื คน้ และ - เครื่องมอื 1. ความเขาใจ ขอ้ มูล 4. การใช 3. การจัดการ เทคโนโลยี อธบิ ายข้อมูล ทางภูมิศาสตร์ ระบบธรรมชาติ ข้อมลู 1. การสังเกต 4. การวิเคราะห์ 2. การแปล ลักษณะ (แผนทร่ี ูปถา่ ย และมนุษย์ ขอ้ มลู ความขอ้ มลู ทาง 5. การสรปุ เพือ่ ภมู ิศาสตร์ ทางกายภาพ ทางอากาศ ภาพ 2. การใหเหตุผล ตอบคาํ ถาม 3. การใชเทคนิค 1. การตงั้ คําถาม และเครอ่ื งมอื ของประเทศไทย จากดาวเทียม) ทางภูมิศาสตร์ เชิงภูมิศาสตร์ ทางภูมิศาสตร์ 2. การรวบรวม 4. การใช ด้วยแผนท่ี รปู ถา่ ย ที่แสดงลักษณะ ข้อมูล เทคโนโลยี ทางอากาศ ทางกายภาพของ 1. การสงั เกต 2. การแปล และภาพจาก ประเทศไทย ความขอ้ มูล ทางภมู ิศาสตร์ ดาวเทยี ม 2. อธบิ ายความ -ความสมั พนั ธ์ 1. ความเขาใจ ความสัมพนั ธ์ ระหวา่ งลกั ษณะ ระบบธรรมชาติ ระหว่างลักษณะ ทางกายภาพ และมนุษย์ ทางกายภาพกบั ภัย 2. การใหเหตุผล 18
ชน้ั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรู้ geo-literacy ทกั ษะ แกนกลาง ความสามารถ กระบวนการ 3. การใชเทคนิค 3. การจัดการ และเครื่องมอื พบิ ตั ิในประเทศ กับภัยพบิ ตั ขิ อง ทางภมู ิศาสตร์ ขอ้ มูล ทางภูมิศาสตร์ 4. การวิเคราะห์ 4. การใช้ ไทยเพอ่ื ประเทศไทย 3. การตัดสินใจ ข้อมลู เทคโนโลยี 5. การสรปุ เพื่อ เตรยี มพร้อมรบั มอื เชน อุทกภัย อยา่ งเปน็ ระบบ ตอบคาํ ถาม ภยั พบิ ัติ แผน่ ดินไหว วาตภยั สึนามิ ภยั แลง ดนิ ถลม และโคลนถลม - การ เตรียมพรอ้ ม รบั มือภยั พิบัติ สาระท่ี 5 ภูมิศาสตร์ มาตรฐาน ส 5.2 เขาใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดลอมทางกายภาพที่กอใหเกิด การสร้างสรรค์วิถีการดำเนินชีวิต มีจิตสํานึกและมีสวนร่วมในการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดลอม เพือ่ การพัฒนาท่ียั่งยืน ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4-6 ชน้ั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรู้ ความสามารถ geo-literacy ทกั ษะ แกนกลาง 1. ความเขาใจ กระบวนการ 1. การสังเกต ป.4 1. วิเคราะห์ ระบบธรรมชาติ 1. การต้งั คําถาม 2. การแปลความ สง่ิ แวดลอม - ส่ิงแวดลอม และมนษุ ย์ เชงิ ภมู ศิ าสตร์ ขอ้ มูลทาง ทางกายภาพท่ี ทางกายภาพ 2. การใหเหตุผล 2. การรวบรวม ภูมศิ าสตร์ สง่ ผลตอการ ท่ีสงผลตอ ทางภมู ศิ าสตร์ ข้อมูล 3. การใชเทคนคิ ดำเนนิ ชีวิตของ การดำเนินชีวิต 3. การจัดการ และเคร่อื งมือทาง คนในจังหวดั ของคนในจังหวดั ข้อมูล ภมู ิศาสตร์ 4. การวเิ คราะห์ ข้อมลู 5. การสรปุ เพือ่ ตอบคําถาม 19
ชน้ั ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรู้ ความสามารถ geo-literacy ทักษะ แกนกลาง 1. ความเขาใจ กระบวนการ 1. การสงั เกต 2. อธิบายการ ระบบธรรมชาติ 2. การแปลความ เปล่ยี นแปลง - การ และมนษุ ย์ 1. การตัง้ คาํ ถาม ขอมลู ทาง ส่งิ แวดลอมใน เปล่ียนแปลง 2. การใหเหตุผล เชงิ ภูมศิ าสตร์ ภูมิศาสตร์ จังหวัดและผล สิ่งแวดลอมใน ทางภมู ศิ าสตร์ 2. การรวบรวม 3. การใชเทคนคิ ที่เกดิ จากการ จงั หวัดและผล ขอ้ มลู และเครอื่ งมือ เปลย่ี นแปลง ท่ีเกิดจากการ 3. การจดั การ ทางภูมศิ าสตร์ เปลีย่ นแปลง ข้อมูล เชน การตง้ั ถน่ิ 4. การวเิ คราะห์ 1. การสังเกต ฐาน การย้ายถิ่น ข้อมลู 2. การแปลความ 5. การสรุปเพอื่ ขอมูลทาง 3. นาํ เสนอ - สิ่งแวดลอม 1. ความเขาใจ ตอบคําถาม ภูมศิ าสตร์ แนวทางการ ทางกายภาพ ระบบธรรมชาติ จดั การ ทีม่ อี ิทธิพล และมนุษย์ 1. การสังเกต ส่งิ แวดลอม ต่อลักษณะ 2. การใหเหตุผล 2. การแปลความ ในจังหวดั การตั้งถ่ินฐาน ทางภูมิศาสตร์ ขอ้ มลู ทาง และการย้ายถน่ิ ภมู ศิ าสตร์ 3. การใชเทคนคิ ป.5 1. วเิ คราะห์ - ส่ิงแวดลอม 1. ความเขาใจ และเคร่อื งมือ ทางภูมศิ าสตร์ สงิ่ แวดลอม ทางกายภาพ ระบบธรรมชาติ 1. การสังเกต ทางกายภาพ ทีม่ อี ิทธิพล และมนุษย์ 2. การแปลความ ขอมูลทาง ทีม่ ีอทิ ธิพลตอ่ ต่อลักษณะ 2. การใหเหตผุ ล ภูมศิ าสตร์ 3. การใชเทคนคิ ลักษณะ การต้ังถิน่ ฐาน ทางภมู ศิ าสตร์ และเครอ่ื งมอื ทางภูมศิ าสตร์ การตง้ั ถิน่ ฐาน และการย้ายถ่นิ และการย้ายถ่ิน ของประชากร ของประชากร ในภูมภิ าคของ ในภูมภิ าคของตน ตน 2. วเิ คราะห์ - อทิ ธิพลของสิ่ง 1. ความเขาใจ อิทธิพลของสงิ่ แวดลอมทาง ระบบธรรมชาติ แวดลอมทาง ธรรมชาตทิ ่ีกอให และมนุษย์ ธรรมชาตทิ ี่ เกดิ วิถกี าร 2. การใหเหตผุ ล กอใหเกดิ วถิ ีการ ดำเนนิ ชีวิตใน ทางภูมิศาสตร์ ดำเนนิ ชีวติ ภมู ิภาคของตน ในภูมภิ าคของตน 20
ชน้ั ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรู้ geo-literacy ทักษะ แกนกลาง ความสามารถ กระบวนการ 3. นาํ เสนอ - ผลจากการรกั ษาและ 1. ความเขาใจ 1. การสงั เกต ตัวอยา่ งท่ี การทำลาย ระบบธรรมชาติ 2. การแปล สะทอนใหเหน็ ผล ส่ิงแวดลอมในภมู ิภาค และมนุษย์ ความขอมลู จากการรกั ษา ของตน 2. การใหเหตุผล ทางภมู ศิ าสตร์ และทำลาย - แนวทางการจดั การสง่ิ ทางภูมศิ าสตร์ 3. การใชเทคนิค ส่ิงแวดลอม และ แวดลอมในภมู ิภาค 3. การตดั สินใจ และเคร่ืองมือ เสนอแนวทาง ของตน อยา่ งเป็นระบบ ทางภูมศิ าสตร์ ในการจดั การ 4. การใช สง่ิ แวดลอมใน เทคโนโลยี ภมู ภิ าคของตน ป.6 1. วเิ คราะห์ - ส่ิงแวดลอม 1. ความเขาใจ 1. การตั้ง 1. การสังเกต ปฏิสมั พนั ธ์ ทางกายภาพกับลกั ษณะ ระบบธรรมชาติ คําถาม 2. การแปล ระหว่าง กิจกรรมทางเศรษฐกจิ และมนษุ ย์ เชงิ ภมู ศิ าสตร์ ความขอมูล สง่ิ แวดลอมทาง และสังคม (ประชากร 2. การใหเหตผุ ล 2. การรวบรวม ทางภมู ิศาสตร์ กายภาพกบั เศรษฐกิจ สังคม และ ทางภูมศิ าสตร์ ข้อมูล 3. การใชเทคนคิ ลักษณะกิจกรรม วฒั นธรรม) 3. การจัดการ และเคร่ืองมือ ทางเศรษฐกจิ ในประเทศไทย ข้อมลู ทางภูมศิ าสตร์ และสงั คมใน - ปฏสิ ัมพนั ธ์ระหวา่ ง 4. การวิเคราะห์ 4. การคดิ เชงิ ประเทศไทย มนษุ ย์กบั ส่งิ แวดล้อม ขอ้ มลู พืน้ ท่ี 5. การสรปุ เพอื่ ตอบคาํ ถาม 2. วิเคราะห์การ -การเปลี่ยนแปลงทาง 1. ความเขาใจ 1. การตัง้ 1. การสงั เกต เปลี่ยนแปลง กายภาพของประเทศไทย ระบบธรรมชาติ คาํ ถาม 2. การแปล ทางกายภาพของ - ผลจากการ และมนุษย์ เชิงภูมศิ าสตร์ ความขอ้ มูล ประเทศไทย เปลยี่ นแปลง 2. การใหเหตผุ ล 2. การรวบรวม ทางภมู ิศาสตร์ ในอดตี กับ ทางกายภาพทมี่ ีตอ ทางภูมศิ าสตร์ ข้อมูล 3. การใชเทคนคิ ปจจุบัน และผล กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ 3. การจดั การ และเครอ่ื งมอื ที่เกดิ ขึ้นจากการ และสงั คม (ประชากร ข้อมลู ทางภูมิศาสตร์ เปล่ยี นแปลง เศรษฐกิจ สงั คม และ 4. การวิเคราะห์ 4. การคิดเชิง วฒั นธรรม)ของประเทศ ขอ้ มลู พ้ืนที่ ไทย ในอดีตกบั ปจจบุ นั 5. การสรุป เพอ่ื ตอบคําถาม 21
ชน้ั ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ geo-literacy แกนกลาง ความสามารถ กระบวนการ ทักษะ 3. นําเสนอตัวอย่างที่ - ผลจากการรกั ษา 1. ความเขาใจ - 1. การสงั เกต สะทอนใหเห็นผล และทำลาย ระบบธรรมชาติ 2. การแปล จากการรักษาและ ทรัพยากร และมนุษย์ ความขอ้ มูล ทำลายทรัพยากร และส่งิ แวดลอมใน 2. การให้เหตุผล ทางภมู ิศาสตร์ และส่งิ แวดลอม และ ประเทศไทย ทางภมู ศิ าสตร์ 3. การใชเทคนคิ เสนอแนวทาง - แนวทางในการ 3. การตัดสนิ ใจ และเครือ่ งมอื ในการจัดการ จดั การทรพั ยากร อย่างเปน็ ระบบ ทางภูมศิ าสตร์ ทย่ี ั่งยืน และสง่ิ แวดลอมท่ี 4. การคดิ แบบ ในประเทศไทย ยั่งยนื โดยมจี ิตสาํ นกึ องครวม รคู ุณคา 5. การคิดเชงิ พนื้ ท่ี 6. การใช เทคโนโลยี 22
กจิ กรรมที่ 1 เรื่อง ระบพุ ฤติกรรมทีป่ รากฏในตวั ช้ีวัด คำชี้แจง ให้ท่านศึกษามาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัดสาระภูมิศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 และ ทำการวิเคราะห์เนื้อหาสาระ และพฤติกรรมที่ต้องการจะวัดประเมินผล โดยการระบุ พฤติกรรมที่ปรากฏในตัวชี้วัดท่ีผู้เรียนแสดงออก หรือ คำสำคัญ (Key Word) ลงใน ใบกจิ กรรมที่ 1 เรอ่ื ง ระบพุ ฤตกิ รรมทีป่ รากฏในตัวช้ีวดั ตวั อยา่ งที่ 1 กลมุ่ สาระการเรียนร้สู งั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม (สาระภูมิศาสตร)์ ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 4 มาตรฐาน ส 5.1 เข้าใจลักษณะทางกายภาพของโลกและความสัมพนั ธ์ของสรรพสิ่งซึ่งมีผลต่อกัน ใช้แผนที่และเครื่องมือภูมิศาสตร์ในการค้นหา วิเคราะห์ และสรุปข้อมูลตามกระบวนการ ทางภมู ศิ าสตรต์ ลอดจนใช้ภูมิสารสนเทศอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ตวั ช้วี ัด รายละเอียดตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรู้ พฤตกิ รรม / คำสำคัญ ส 5.1 ป.4/1 สบื ค้นและอธิบาย ขอ้ มูลลักษณะทาง - ลักษณะทางกายภาพ - สบื คน้ ส 5.1 ป.4/2 กายภาพในจังหวัด ตนเองด้วยแผนที่ จังหวัดของตน - อธิบายข้อมูลลกั ษณะ ส 5.1 ป.4/3 และรปู ถา่ ย ระบุแหลง่ ทรัพยากร ทางกายภาพในจงั หวดั และสถานที่สำคญั ใน จงั หวดั ของตนเองดว้ ย ของตน แผนทีแ่ ละรูปถา่ ย อธิบายลักษณะทาง - แหล่งทรัพยากรและ - ระบแุ หล่งทรพั ยากรและ กายภาพทสี่ ง่ ผลต่อ สถานที่สำคัญในจังหวัด สถานทีส่ ำคญั ในจังหวัด แหลง่ ทรพั ยากรและ ของตน ของตน สถานท่ีสำคัญใน จงั หวัด - ลักษณะทางกายภาพท่ี - อธบิ ายลักษณะทาง สง่ ผลตอ่ แหล่งทรัพยากร กายภาพท่ีสง่ ผลต่อแหล่ง และสถานที่สำคัญ ทรพั ยากร ในจงั หวดั ของตน 23
มาตรฐาน ส 5.1 เข้าใจลักษณะทางกายภาพของโลกและความสัมพนั ธ์ของสรรพสิ่งซึ่งมีผลต่อกนั ใช้แผนที่และเครื่องมือภูมิศาสตร์ในการค้นหา วิเคราะห์ และสรุปข้อมูลตามกระบวนการ ทางภมู ิศาสตร์ ตลอดจนใชภ้ มู สิ ารสนเทศอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 5 ตัวชว้ี ัด รายละเอียดตวั ชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้ พฤตกิ รรม / คำสำคญั ส 5.1 สืบค้นและอธบิ าย ป.5/1 ขอ้ มลู ลักษณะทาง ........................................... ........................................... กายภาพในภมู ภิ าคของ ........................................... ........................................... ตนด้วยแผนที่และ ........................................... ........................................... รูปถา่ ย ........................................... ........................................... ........................................... ........................................... ........................................... ........................................... ส 5.1 อธิบายลักษณะทาง ป.5/2 กายภาพทส่ี งผลตอ ........................................... ........................................... แหลง่ ทรพั ยากรและ ........................................... ........................................... สถานที่สำคญั ........................................... ........................................... ในภูมภิ าคของตน ........................................... ........................................... ........................................... ........................................... ........................................... ........................................... 24
มาตรฐาน ส 5.1 เข้าใจลักษณะทางกายภาพของโลกและความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งซึ่งมีผลต่อกัน ใช้แผนที่และเครื่องมือภูมิศาสตร์ในการค้นหา วิเคราะห์ และสรุปข้อมูลตามกระบวนการ ทางภมู ศิ าสตร์ ตลอดจนใชภ้ ูมสิ ารสนเทศอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 6 ตวั ช้วี ัด รายละเอยี ดตัวชวี้ ัด สาระการเรียนรู้ พฤติกรรม / คำสำคญั ส 5.1 ป.6/1 สบื คน้ และอธิบาย ข้อมลู ลกั ษณะทาง .......................................... .......................................... กายภาพของประเทศ .......................................... .......................................... ไทยดว้ ยแผนที่ .......................................... .......................................... รูปถา่ ย ทางอากาศ .......................................... .......................................... และภาพจาก .......................................... .......................................... ดาวเทียม .......................................... .......................................... ส 5.1 ป.6/2 อธบิ ายความ ความสมั พนั ธ์ระหว่าง .......................................... .......................................... ลกั ษณะทางกายภาพ .......................................... .......................................... กบั ภยั พิบัติ .......................................... .......................................... ในประเทศไทยเพอ่ื .......................................... .......................................... เตรียมพรอมรับมือภัย .......................................... .......................................... พิบัติ .......................................... .......................................... 25
มาตรฐาน ส 5.2 เขาใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดลอมทางกายภาพที่ก อให เกิด การสร้างสรรค์วิถีการดำเนินชีวิต มีจิตสํานึกและมีสวนร่วมในการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดลอม เพอ่ื การพฒั นาท่ียัง่ ยืน ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ตัวชว้ี ัด รายละเอียดตวั ช้ีวดั สาระการเรียนรู้ พฤติกรรม / คำสำคัญ ส 5.2 ป.4/1 วิเคราะหส์ ่ิงแวดลอม ทางกายภาพ .......................................... .......................................... ที่ส่งผลตอ .......................................... .......................................... การดำเนนิ ชวี ติ ของ .......................................... .......................................... คนในจังหวัด .......................................... .......................................... .......................................... .......................................... .......................................... .......................................... ส 5.2 ป.4/2 อธิบาย .......................................... .......................................... การเปล่ียนแปลง .......................................... .......................................... สิง่ แวดลอมใน .......................................... .......................................... จงั หวัดและผล .......................................... .......................................... ที่เกิดจาก .......................................... .......................................... การเปล่ียนแปลง .......................................... .......................................... ส 5.2 ป.4/3 นาํ เสนอแนวทาง .......................................... .......................................... การจัดการ .......................................... .......................................... สิ่งแวดลอม .......................................... .......................................... ในจังหวดั .......................................... .......................................... .......................................... .......................................... .......................................... .......................................... 26
มาตรฐาน ส 5.2 เขาใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดลอมทางกายภาพที่ก อให เกิด การสร้างสรรค์วิถีการดำเนินชีวิต มีจิตสํานึกและมีสวนร่วมในการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดลอม เพือ่ การพฒั นาทย่ี ัง่ ยืน ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 5 ตัวช้ีวัด รายละเอียดตัวชี้วัด สาระการเรยี นรู้ พฤติกรรม / คำสำคญั ส 5.2 วเิ คราะห์สงิ่ แวดลอม ป.5/1 ทางกายภาพทม่ี อี ทิ ธิพล .......................................... .......................................... .......................................... .......................................... ตอ่ ลกั ษณะการต้งั ถ่ินฐาน .......................................... .......................................... และการย้ายถ่นิ ของ .......................................... .......................................... ประชากรในภูมภิ าคของตน .......................................... .......................................... .......................................... .......................................... ส 5.2 วเิ คราะห์อทิ ธิพลของ .......................................... .......................................... ป.5/2 สิง่ แวดล้อมทางธรรมชาติ .......................................... .......................................... .......................................... .......................................... ที่กอ่ ใหเกิดวิถีการดำเนิน .......................................... .......................................... ชีวติ ในภมู ิภาคของตน .......................................... .......................................... .......................................... .......................................... ส 5.2 นาํ เสนอตัวอย่างที่สะทอ้ น ป.5/3 ใหเหน็ ผลจากการรกั ษาและ .......................................... .......................................... ทำลายส่งิ แวดลอ้ ม และ .......................................... .......................................... เสนอแนวทางในการจดั การ .......................................... .......................................... สิง่ แวดลอมในภูมภิ าค .......................................... .......................................... ของตน .......................................... .......................................... .......................................... .......................................... 27
มาตรฐาน ส 5.2 เขาใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดลอมทางกายภาพที่ก อให เกิด การสร้างสรรค์วิถีการดำเนินชีวิต มีจิตสํานึกและมีสวนร่วมในการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดลอม เพอ่ื การพฒั นาที่ย่ังยนื ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 6 ตวั ชว้ี ัด รายละเอียดตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้ พฤตกิ รรม / คำสำคญั ส 5.2 ป.6/1 วิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์ .......................................... .......................................... ระหวา่ งสิ่งแวดลอม .......................................... .......................................... ทางกายภาพ .......................................... .......................................... กบั ลกั ษณะกิจกรรม .......................................... .......................................... ทางเศรษฐกิจและ .......................................... .......................................... สังคมในประเทศไทย .......................................... .......................................... ส 5.2 ป.6/2 วิเคราะห์ .......................................... .......................................... การเปลี่ยนแปลง .......................................... .......................................... ทางกายภาพของ .......................................... .......................................... ประเทศไทยในอดตี .......................................... .......................................... กับปจจุบัน และผล .......................................... .......................................... ทเ่ี กดิ ข้นึ จากการ .......................................... .......................................... เปลี่ยนแปลง ส 5.2 ป.6/3 นําเสนอตัวอยา่ ง ท่สี ะทอนใหเหน็ ผล .......................................... .......................................... จากการรกั ษาและ .......................................... .......................................... ทำลายทรัพยากรและ .......................................... .......................................... สิง่ แวดล้อมและเสนอ .......................................... .......................................... แนวทางในการจัดการ .......................................... .......................................... ท่ยี ่ังยืนในประเทศไทย .......................................... .......................................... 28
แนวคิดของการจัดการเรียนรแู้ บบเชงิ รุก (Active Learning) การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) เป็นกระบวนการเรียนการสอน ที่ส่งเสรมิ ใหผ้ ูเ้ รียนมีส่วนร่วมในชั้นเรียน สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูผู้สอนกบั ผูเ้ รียน มุ่งให้ผู้เรยี นลง มือปฏิบัติ โดยมีครูเป็นผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator) สร้างแรงบังดาลใจ ให้คำปรึกษา ดูแล แนะนำทำหน้าที่เป็นโค้ชและพี่เลี้ยง (Coach & Mentor) แสวงหาเทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้ และ แหลง่ เรยี นรู้ท่หี ลากหลายให้ผู้เรยี นได้เรียนรอู้ ย่างมคี วามหมาย (Meaningful Learning) ผู้เรียนสร้าง องค์ความรู้ได้ มีความเข้าใจ ในตนเอง ใช้สติปัญญา คิด วิเคราะห์ สร้างสรรค์ผลงานหรือนวัตกรรม ที่บ่งบอกถึงการมีสมรรถนะสำคัญในศตวรรษที่ 21 มีทักษะวิชาการ ทักษะชีวิต และทักษะวิชาชีพ บรรลเุ ปา้ หมายการเรยี นรตู้ ามระดับช่วงวัย ความหมายการจดั การเรียนรแู้ บบเชงิ รกุ (Active Learning) การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรกุ (Active Learning) คือ การจัดการเรียนรู้ทีเ่ นน้ ให้ผู้เรียน มีปฏิสัมพันธ์กับการเรียนการสอน กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดขั้นสูง (Higher-Order Thinking) ด้วยการคิดวเิ คราะห์ สังเคราะหแ์ ละประเมนิ ค่า ไม่เพียงแต่เป็นผู้ฟงั ผเู้ รยี นตอ้ งอา่ น เขียน ตั้งคำถาม และถาม อภิปรายร่วมกัน ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริง โดยต้องคำนึงถึงความรู้เดิม และความต้องการของผู้เรียนเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ผู้เรียนจะถูกเปลี่ยนบทบาทจากผู้รับความรู้ไปสู่ การมีส่วนรว่ มในการสรา้ งความรู้ ทววี ฒั น์ วัฒนกลุ เจริญ (2555 : 68) การเรยี นรแู้ บบเชิงรุก (Active Learning) หมายถึง การจัดการเรียนการสอนท่ลี ดกระบวนการถ่ายทอดเนอื้ หาให้ผูเ้ รยี นเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการพฒั นา ความคิดระดับสูง เน้นให้ผู้เรียนปฏิบัติมากกว่าฟังบรรยาย และเน้นการใหข้ ้อมูลย้อนกลับกบั ผู้เรียน เป็นหลัก วาสนา เจรญิ ไทย (2557 : 81) การจดั การเรียนรแู้ บบเชิงรกุ (Active Learning) หมายถึง เป็นการเรยี นรู้ที่เน้นผูเ้ รียนเปน็ สำคัญ เน้นการมบี ทบาทของผู้เรียนในการเรียนรู้ โดยเน้นการปฏิบัติ 29
มากกว่าการฟงั จากครผู สู้ อนเพียงอยา่ งเดยี ว พรอ้ มสร้างเสรมิ การพดู การฟัง การอ่าน การเขยี นท่ีเป็น สำคัญของผ้เู รียน รณรงค์ ขันแข็ง (2559 : 29) ได้ให้ความหมายการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) หมายถึง กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรยี นเป็นสำคัญ โดยผู้เรียนจะต้องมีส่วนร่วม ในการเรียนของตนเอง ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทดลอง การวิเคราะห์ และการอภิปราย กลุ่มย่อย สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) เป็นการจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยผู้เรียนจะต้องควบคุมการเรียนรู้ด้วยตนเองในการลงมือ ปฏิบตั จิ รงิ ผ่านกิจกรรมตา่ ง ๆ ไม่ว่าจะเปน็ การทดลอง การวิเคราะห์ และการอภปิ รายกลุม่ ยอ่ ย ทำให้ มโี อกาสคดิ และตัดสินใจ เกยี่ วกับการพูด การฟงั การอ่าน การเขยี น สามารถเชอ่ื มโยงความรู้เดิมและ ความรูใ้ หม่ระหว่างการเรยี นการสอน ความสำคัญของการเรยี นรแู้ บบเชงิ รกุ (Active Learning) 1. ส่งเสริมการมีอิสระทางด้านความคิดและการกระทำของผู้เรียน การมีวิจารณญาณ และการคิดสร้างสรรค์ ผู้เรียนจะมีโอกาส มีส่วนร่วมในการปฏิบัติจริงและมีการใช้จารณญาณ ในการคิดและตัดสินใจในการปฏิบตั ิกรรมนั้น มุ่งสร้างให้ผู้เรียนเปน็ ผู้กำกับทิศทางการเรียนรู้ ค้นหา การเรียนรู้ของตนเอง สู่การเป็นผู้รู้คิด รู้ตัดสินใจด้วยตนเอง (Metacognition) เพราะฉะนั้น Active Learning จึงเป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาความคิดขั้นสูง (Higher order thinking) ในการมีวิจารณญาณ การวิเคราะห์ การคิดแก้ปัญหา การประเมิน ตัดสินใจ และ การสร้างสรรค์ 2. สนับสนุนส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งความร่วมมือ ในการปฏิบัติงานกล่มุ จะนำไปส่คู วามสำเร็จในภาพรวม 3. ทำให้ผู้เรียนทุ่มเทในการเรียน จูงใจในการเรียน และทำให้ผู้เรียน แสดงออกถึงความรู้ ความสามารถ เมื่อผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติกิจกรรมอย่างกระตือรือร้น ในสภาพแวดล้อม ที่เอื้ออำนวย ผ่านการใช้กิจกรรมที่ครูจัดเตรียมไว้ให้อย่างหลากหลาย ผู้เรียนเลือกเรียนรู้ กิจกรรม ต่าง ๆ ตามความสนใจและความถนัดของตนเองเกิดความรับผดิ ชอบและทมุ่ เทเพ่ือมุ่งสู่ความสำเร็จ 4. ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่ก่อให้เกิดการพัฒนาเชิงบวกทั้งตัวผู้เรียนและตัวครู เป็นการปรับการเรียนเปลี่ยนการสอน ผู้เรียนจะมีโอกาสได้เลือกใช้ความถนัด ความสนใจ ความสามารถท่ีเป็นความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล (Individual Different) สอดรับกับแนวคดิ พหปุ ญั ญา 30
(Multiple Intelligence) เพื่อแสดงออกถึงตัวตนและศักยภาพของตัวเอง ส่วนครูผู้สอนต้องมี ความตระหนักที่จะปรับเปลี่ยนบทบาท แสวงหาวิธีการ กิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อช่วยเสริมสร้าง ศักยภาพของผู้เรียนแต่ละคน สิ่งเหล่านี้จะทำให้ครูเกิดทักษะในการสอนและมีความเชี่ยวชาญ ในบทบาท หน้าท่ที ร่ี บั ผดิ ชอบเป็นการพัฒนาตน พัฒนางาน และพัฒนาผเู้ รียนไปพรอ้ มกนั ลักษณะของการจัดการเรยี นรู้เชงิ รกุ (Active Learning) ลกั ษณะของการจัดการเรยี นรู้เชงิ รุก มดี ังน้ี 1. เป็นการพฒั นาศกั ยภาพการคิด การแก้ปัญหา และการนำความร้ไู ปประยกุ ตใ์ ช้ 2. ผู้เรยี นมีส่วนรว่ มในการจดั ระบบการเรียนรู้ และสรา้ งองค์ความรู้โดยมีปฏิสัมพันธ์รว่ มกัน ในรปู แบบของความร่วมมือมากกวา่ การแข่งขนั 3. เปิดโอกาสให้ผเู้ รียนมีสว่ นรว่ มในกระบวนการเรยี นรูส้ ูงสุด 4. เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูล ข่าวสาร สารสนเทศ สู่ทักษะการคิดวิเคราะห์ และ ประเมินค่า 5. ผ้เู รียนไดเ้ รียนรูค้ วามมวี นิ ยั ในการทำงานรว่ มกับผูอ้ นื่ 6. ความร้เู กิดจากประสบการณ์ และการสรปุ ของผเู้ รียน 7. ผู้สอนเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติ ดว้ ยตนเอง ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2553: 84-85) ได้สรุปลักษณะสำคัญของการจัดการเรียนร้เู ชิงรุกไว้ ดังน้ี 1. เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นพัฒนาทักษะการคิด การแก้ปัญหาและการนำความรู้ ไปประยุกต์ใชไ้ ด้ 2. เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ โดยผู้เรียนสามารถ สร้างองคค์ วามรู้และจัดระบบการเรยี นรู้ดว้ ยตนเองจากความรว่ มมือกับผเู้ รยี นด้วยกนั เอง 3. ผู้เรียนจัดการเรียนรู้หรือสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองจากประสบการณ์เดิม การสังเกต การทดลอง การอภิปรายหรอื การสรปุ ทบทวนบทเรียน จากลกั ษณะการเรยี นร้แู บบ Active Learning ดังกล่าว จึงควรมกี ระบวนการจดั การเรียนรู้ ที่สอดคลอ้ งกนั ดังนี้ 31
1. จัดการเรียนรู้ที่พัฒนาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปัญหาและการนำ ความรู้ไปประยุกตใ์ ช้ 2. จดั การเรยี นรทู้ ่ีเปิดโอกาสให้ผ้เู รียนมีสว่ นร่วมในกระบวนการเรยี นร้สู ูงสดุ 3. จัดใหผ้ ูเ้ รยี นสรา้ งองค์ความรูแ้ ละจัดกระบวนการเรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง 4. จัดให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ทั้งในด้านการสร้างองค์ความรู้ การสร้าง ปฏิสัมพันธ์ ร่วมกนั สร้างรว่ มมอื กนั มากกว่าการแขง่ ขนั 5. จดั ให้ผู้เรียนเรียนรเู้ ร่ืองความรับผิดชอบร่วมกนั การมีวนิ ยั ในการทำงานและการแบ่ง หนา้ ทค่ี วามรบั ผดิ ชอบในภารกจิ ต่าง ๆ 6. จัดกระบวนการเรยี นท่ีสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนอา่ น พดู ฟัง คิดอย่างลุ่มลกึ ผู้เรียน จะเป็นผ้จู ดั ระบบการเรียนรดู้ ้วยตนเอง 7. จัดกิจกรรมการจดั การเรียนรทู้ ่เี นน้ ทกั ษะการคดิ ข้ันสงู 8. จัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูล ข่าวสาร หรือสารสนเทศ และหลกั การ ความคดิ รวบยอด 9. ผู้สอนจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติ ดว้ ยตนเอง 10. จัดกระบวนการสร้างความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้ และการสรุป ทบทวนของผูเ้ รียน รปู แบบวธิ ีการจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบเชิงรกุ (Active Learning) การจัดการเรียนรู้ที่เน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียน ในลักษณะการจัดการเรียนรู้ แบบเชิงรุก (Active Learning) มีวิธีการจัดการเรียนรู้หลากหลายวิธี เช่น วิธีสอนแบบแก้ปัญหา (Problem Solving Method) วธิ ีการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (inquiry method) วธิ ีสอนแบบแก้ปัญหา (Problem Solving Method) วิธีการสอนแบบแก้ปัญหาเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนให้เรียนรู้ กระบวนการโดยเริ่มตั้งแต่มีการกำหนดปัญหา วางแผนแก้ปัญหา ตั้งสมมติฐาน เก็บรวบรวมข้อมูล พิสูจน์ข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล ผู้สอนเป็นผู้เสนอปัญหาหรือผู้สอนและผู้เรียนจะร่วมกัน กำหนดปญั หาทม่ี ีความสำคญั เป็นปญั หาใหม่ทผ่ี ู้เรียนยังไมเ่ คยประสบมาก่อน และต้อง ไม่เกินทักษะ ทางเชาวน์ปญั ญาของผูเ้ รยี น ผ้เู รียนจะเป็นผ้แู กป้ ญั หา หรอื หาคำตอบดว้ ยตนเอง ความสามารถในการ แก้ปัญหาของผู้เรียนจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสติปัญญา ความรู้ ประสบการณ์ แรงจูงใจ อารมณ์ 32
ซ่งึ วธิ กี ารแกป้ ัญหาจะไมม่ ีรปู แบบหรอื ข้นั ตอนตายตัว ผ้สู อนจะตอ้ งจัดสภาพแวดลอ้ มหรือบรรยากาศ การเรียนรู้ที่เอื้อต่อการใช้กระบวนการคิดแก้ปัญหา ผู้สอนจะต้องให้โอกาสผู้เรียนใช้ความคิดและ ฝึกการแก้ปัญหา เพื่อให้เกิดความชำนาญ จะทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ใหม่ ๆ ได้ดี ในการจัดการเรียนรู้ แบบแกป้ ญั หาน้นั มีหลักการสำคญั คอื ใหผ้ ูเ้ รยี นเรียนร้ดู ้วยตนเองไดล้ งมือกระทำกิจกรรมการเรียนรู้ จะเน้นทักษะการแสวงหาความรู้ การค้นพบ การสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง มีการจัดบรรยากาศ ในชั้นเรยี นเปน็ ประชาธปิ ไตย นำกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์มาใชใ้ นข้ันตอนการจัดกจิ กรรม ประโยชนข์ องวิธกี ารสอนแบบแก้ปญั หา 1. การเสนอปญั หาท่นี ่าสนใจจะทำให้ผเู้ รยี นมีความกระตอื รอื ร้นในการเรยี น 2. ผู้เรียนได้ฝึกคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง มีการฝึกทักษะ การสังเกต วิเคราะห์ หาเหตุผล ใช้ข้อมูลในการตดั สินใจ 3. ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการทำงานร่วมกับการทำกิจกรรมกลุ่ม เป็นการฝึกวิถีชีวิต ประชาธปิ ไตย 4. ผู้เรียนได้ฝึกการค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ ทำให้ได้รับประสบการณ์ การเรยี นรูท้ ่หี ลากหลาย 5. ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจจากประสบการณ์ตรง ทำให้มีความกระจ่างชัดเจน จากประสบการณก์ ารเรยี นรู้ นำทกั ษะท่ไี ด้รบั เชน่ การเผชิญปญั หา การหาแนวทาง ในการแก้ปัญหา การตดั สนิ ใจ เป็นประโยชนใ์ นการนำไปประยุกต์ใชใ้ นการดำเนนิ ชีวิต ข้อจำกดั ของการสอบแบบแกป้ ญั หา 1. ต้องใช้เวลาในการเรยี นร้คู อ่ นขา้ งมาก 2. ปัญหาทน่ี ำมาเสนอน้นั จะต้องนา่ สนใจเหมาะสมกับวยั และระดับสตปิ ญั ญาของผูเ้ รียน 3. ผเู้ รยี นจะตอ้ งมีทักษะในการค้นคว้าหาข้อมูล มิฉะนนั้ จะได้ขอ้ มูลไม่เพยี งพอ ตอ่ การสรุป และตดั สนิ ใจ 4. ผู้สอนจะต้องมีความสามารถในการช่วยแนะนำหรือแนะแนวทางในการแก้ปัญหาใหแ้ ก่ ผู้เรียน ข้ันตอนการสอน วิธีสอบแบบแก้ปัญหาสามารถแบ่งเปน็ ขนั้ ตอนได้ ดงั นี้ 1. ขนั้ กำหนดปญั หา ผู้สอนและผู้เรียนอาจร่วมกันตั้งปัญหา ปัญหาที่นำมานั้นอาจมาจากแหล่งต่าง ๆ เช่น ปัญหาที่มาจากความสนใจของผู้เรียนส่วนใหญ่ ปัญหาที่มาจากบทเรียน โดยผู้สอนกำหนดขึ้นมาเอง 33
โดยพิจารณาจากบทเรียน เนื้อหาตอนใดเหมาะสมท่ีจะนำมาเป็นประเดน็ ในการต้ังปัญหาเพื่อนำไปสู่ การเรียนรู้ ปัญหาที่เกี่ยวกับสังคมเป็นปัญหาที่พบเห็นกันทั่วไปในสภาพแวดล้อมของตัวผู้เรียน การหยิบยกมาเป็นปัญหาในการศึกษาย่อมจะเป็นสภาวะท่ีทำให้ผู้เรียนเห็นว่ากำลังเผชิญกับปัญหา ในชีวิตจริง ปัญหาที่เกิดจากประสบการณ์ของผู้เรียน ได้แก่ ปัญหากฎหมาย ปัญหาชีวิต ปัญหา ส่ิงแวดลอ้ ม เมื่อกำหนดปัญหาแล้ว ผู้สอนเน้นให้ผู้เรียนทำความเขา้ ใจปัญหาที่พบในประเด็นตา่ ง ๆ เช่น ปัญหาถามว่าอย่างไร มีข้อมูลใดแล้วบ้าง ต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอีกบ้าง การฝึกให้ผู้เรียน วิเคราะห์ปัญหาจะทำใหม้ ีความเข้าใจปัญหามากข้ึน การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนในขั้นนี้ ผู้สอน อาจต้ังปัญหา ตัง้ คำถามให้ผ้เู รียนเกดิ ขอ้ สงสัย เช่น การใช้คำถาม, การเลา่ ประสบการณห์ รือการสร้าง สถานการณใ์ ห้เกิดปัญหา , การให้ผเู้ รียนคดิ คำถามหรือปญั หาและการสาธติ เพ่ือก่อใหเ้ กดิ ปญั หา 2. ขนั้ ต้ังสมมติฐาน การตั้งสมมติฐานเป็นการคาดคะเนคำตอบของปัญหา โดยใช้ความรู้และประสบการณ์ ช่วยในการคาดคะเน ขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนการใช้เหตุผลในการคิดวเิ คราะห์ปัญหาและคาดคะเน คำตอบ พิจารณาแยกปัญหาใหญ่ออกเป็นปัญหาย่อย แล้วคิดอย่างเป็นระบบ ผู้เรียนจะพยายาม ใช้ความรู้ความเข้าใจ ประสบการณ์เดิมมาคิดแก้ปัญหา คาดคะเนคำตอบ แล้วจึงหาทางพิสูจน์ว่า คำตอบทคี่ ดิ กันขึน้ มาน้ันมคี วามถูกต้องอยา่ งไร แนวทางการคดิ เพอื่ ต้ังสมมตฐิ าน เชน่ ปญั หานั้นนา่ จะ มีสาเหตุมาจากอะไร หรอื วิธกี ารแก้ปัญหานั้นนา่ จะแก้ไขไดโ้ ดยวิธใี ด 3. ขั้นวางแผนแกป้ ญั หา ขั้นนี้จะเป็นขัน้ ที่มีการวางแผน หรือออกแบบวิธีการหาคำตอบจากสมมติฐานท่ีไดต้ ัง้ ไว้ โดยศึกษาถึงสาเหตุที่เกิดปัญหาขึ้น และใช้เหตุผลในการคิดหาวิธีการแก้ปัญหาให้ตรงกับสาเหตุ โดยหาวิธีการแกป้ ญั หาหลายๆ วิธี แล้วใช้วิธพี ิจารณาเลือกวิธีแกป้ ัญหาวธิ ีที่ดที ีส่ ุดไปได้ที่สดุ ในกรณี ที่มีปัญหานั้นต้องตรวจสอบด้วยการทดลอง ก็ต้องกำหนดวิธีทดลองหรือตรวจสอบเตรียมอุปกรณ์ เครื่องมือท่จี ะใช้ใหพ้ รอ้ ม 4. ข้ันการเกบ็ และการรวบรวมข้อมูล ข้นั การเก็บและรวบรวมข้อมูลน้เี ปน็ ขัน้ ท่ผี ู้เรียนจะศึกษาค้นควา้ ความรู้จากแหล่งต่าง ๆ เช่น ห้องสมุด อินเทอรเ์ นต็ ตำราเรียน การสงั เกต การทดลอง การไปทัศนศึกษาการสัมภาษณ์ผู้รู้หรือ ผู้เชี่ยวชาญ จากสถิติต่างๆ ในขั้นนี้ผู้เรียนจะใช้วิธีการจดบันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบเพื่อนำข้อมูล มาทดสอบสมมติฐาน 34
5. ขน้ั วเิ คราะหข์ ้อมลู และทดสอบสมมตฐิ าน เมือ่ ไดข้ ้อมลู ท่ีรวบรวมมาแลว้ ผูเ้ รยี นกน็ ำข้อมลู นนั้ ๆ มาพจิ ารณาวา่ จะน่าเชื่อถือหรือไม่ ประการใด เพ่ือนำข้อมูลน้นั ๆ ไปวิเคราะห์และทดสอบสมมติฐานท่ตี งั้ ไวว้ ่าเป็นไปตามทีก่ ำหนดหรอื ไม่ 6. ข้ันสรุปผล เป็นขั้นที่นำข้อมูลมาพิจารณาแปลความหมายระหว่างสาเหตุกับผลที่เกิดขึ้น ผู้เรียน ประเมนิ ผลวิธีการแก้ปัญหาหรือตดั สนิ ใจเลือกวิธีการที่ได้ผลดีที่สุดในการแกป้ ญั หา หรือเป็นการสรุป ลงไปว่าเช่ือสมมติฐานที่กำหนดไว้ ซึ่งอาจจะสรุปในรูปของหลักการที่จะนำไปอธิบายเป็นคำตอบ หรือวิธีแก้ปัญหา และวิธีการนำความรู้ไปใช้ อนึ่งในการสรุปผลนั้น เมื่อได้ข้อสรุปเป็นหลักการแล้ว ควรนำมาประกอบการพิจารณาตรวจสอบอกี ครัง้ หนง่ึ วา่ น่าเชอื่ ถอื หรือไม่ การสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry method) การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ แปลมาจากคำภาษาอังกฤษ คือ “Inquiry” ที่ผ่าน มามีผู้แปลเป็นภาษาไทยหลายคำดว้ ยกัน เช่น การสอนแบบสืบเสาะ การสอนแบบสืบสอบ การสอน แบบสอบสวน การสอนแบบสืบสวนสอบสวน การสอนใหค้ น้ หาความรโู้ ดยใชก้ ระบวนการคิด ความเปน็ มาและความหมายของการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ เรมิ่ ครัง้ แรกในปี ค.ศ. 1961 จากการตน่ื ตวั ของอเมริกา เมื่อพบว่ารัสเซียสามารถส่งจรวดขึ้นสู่อวกาศได้สำเร็จจึงได้ปรับปรุงวิชาการด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์อย่างกว้างขวาง Suchman ได้ตั้งโครงการวิจัยเกี่ยวกับการสอนนี้ที่มหาวิทยาลัย อิลนิ นอยส์ สหรฐั อเมริกาSuchman (1962 : 1) กล่าววา่ การสอนแบบสบื เสาะหาความรเู้ ป็นการสอน ที่ส่งเสริมให้นักเรียนมีความสามารถในการค้นคว้าและสืบเสาะหาความรู้ด้วยตนเอง เกิดความคิด อย่างมีเหตุผล การเรียนรู้เกิดขึ้นได้มากกว่ารับการสอนจากผู้สอนที่เป็นผู้บอกทั้งหมดหรือมากกว่า ที่นักเรียนเรียนด้วยตนเองจากตำราอย่างเดียว นักเรียนมีอิสระในการแสวงหาความรู้ เกิดแรงจูงใจ ท่จี ะคน้ ควา้ หาความร้ไู ด้เปน็ อยา่ งดี เพราะนักเรียนสนกุ สนาน มอี สิ ระในการรว่ มกจิ กรรม ความรู้ที่ได้จะมีความหมายและฝังแน่นเป็นประโยชน์ต่อนักเรียนได้นาน การสอนจะเน้น ให้นักเรียน ตั้งคำถามเพื่อให้นักเรียนได้ค้นพบหลักการและกฎเกณฑ์ด้วยตนเอง Suchman แบ่งการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ออกเปน็ 3 ข้นั ดงั นี้ ขั้นที่ 1 ตั้งปัญหา ผู้สอนจะสร้างสถานการณ์ท่ีขัดแย้งกันในหลักการเพื่อให้นักเรียน เกิดช่องว่างระหว่างโครงสร้างของการรับรู้ และความคิดเห็นเดิมกับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ กระตุ้น ให้นักเรยี นเกดิ ความอยากรเู้ พอ่ื ทจ่ี ะสืบค้นตอ่ ไป 35
ขั้นที่ 2 ซักถาม ในขั้นนี้นักเรียนจะตั้งคำถามเพ่ือซักถามครูโดยต้ังคำถามให้อยู่ในรูปท่จี ะ ตอบว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่ เท่านั้น การที่กำหนดให้ถามเช่นนี้ก็เพื่อที่จะให้การสืบค้นเป็นไปแบบอุปมา ให้มากที่สดุ ท่จี ะมากได้ ขัน้ ที่ 3 วจิ ารณ์กระบวนการสืบคน้ คำถาม ในข้นั นผี้ ู้สอนจะช่วยวิจารณ์ว่าควรจะปรับปรุง การถามอย่างไร บางครั้งครจู ะเปิดโอกาสโดยใช้เครื่องบันทึกเสียงให้นักเรียนได้ฟงั คำถามของตนเอง แลว้ วจิ ารณว์ า่ ตอนใดไมเ่ หมาะสมและควรปรบั ปรงุ แกไ้ ขอยา่ งไร ต่อมาการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้นี้ได้รับความสนใจจากนักการศึกษาอย่างกว้างขวาง นกั การศึกษาหลายทา่ นใหค้ วามหมายเกย่ี วกบั การสอนแบบเสาะหาความรูไ้ วด้ งั น้ี ทิศนา แขมมณี (2554: 141) กล่าวถึง การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ว่าเป็นการจัดการ เรียนการสอน โดยผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดคำถาม เกิดความคิด และลงมือเสาะแสวงหาความรู้ เพื่อนำมาประมวลหาคำตอบหรือข้อสรุปด้วยตนเอง โดยที่ผู้สอน ช่วยอำนวยความสะดวกในการ เรยี นรู้ ในด้านตา่ ง ๆ ให้แก่ผเู้ รียน นติ ิมา รุจเิ รขาสวุ รรณ (2555 : 11) กลา่ วถึง การสอนแบบสบื เสาะหาความรูว้ ่า เป็นวิธีการ สอนทมี่ ุ่งใหผ้ ู้เรียนค้นหาความร้ทู ่ีจะช่วยใหผ้ ู้เรียนได้ค้นพบความจริงต่าง ๆ ดว้ ยตนเอง โดยให้ผู้เรียน ได้เผชญิ หน้ากับปัญหา แลว้ พยายามคิดคน้ หาคำตอบด้วยตนเอง ผเู้ รยี นจะไดจ้ ัดกระทำข้อมูล ศึกษา สำรวจ เพื่อนำมาประมวลหาคำตอบหรอื ลงข้อสรุปดว้ ยตนเอง จนเกิดเป็นความรู้ ความเข้าใจ โดยท่ี ผสู้ อนชว่ ยอำนวยความสะดวกในการเรยี นรใู้ นดา้ นตา่ ง ๆ เช่น ในการสืบค้นหาแหล่งความรู้ สรุปได้ว่า การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ คือ แนวทางการจัดการเรียนการสอนที่เน้น ผู้เรียนเปน็ ศนู ย์กลางโดยเน้นการจัดการเรยี นรู้ทกี่ ระต้นุ ให้ผู้เรยี นไดแ้ สวงหาความรู้ สืบค้น หรือค้นหา คำตอบในประเดน็ ท่กี ำหนด เพ่อื สรุปเป็นความรู้ใหม่ด้วยตนเอง โดยมผี สู้ อนช่วยอำนวยความสะดวก ในการเรยี นรู้ด้านตา่ ง ๆ ให้แก่ผเู้ รยี น ขัน้ ตอนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ ทศิ นา แขมมณี (2554 : 249) กลา่ วถึง ข้นั ตอนของวิธีการสอนสบื เสาะหาความรู้ มีดังนี้ 1. ให้ผู้เรียนเผชิญปัญหาหรือสถานการณ์ที่ชวนให้งุนงงสงสัยควรเป็นปัญหาหรื อ สถานการณ์ทีเ่ หมาะสมกบั วยั ความสามารถและความสนใจของผเู้ รยี น 2. ให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นตอ่ ปัญหาหรือสถานการณ์นั้น ผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดง ความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง และครูพยายามกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งหรือความแตกต่างทาง ความคิดขน้ึ เพอ่ื ทา้ ทายใหผ้ เู้ รยี นพยายามหาทางเสาะแสวงหาขอ้ มูล ผสู้ อนอาจใหผ้ ู้เรยี นท่มี ีความเห็น เดยี วกันรวมกลุ่มกนั หรอื อาจรวมกลมุ่ โดยใหแ้ ต่ละกลุ่มมีสมาชกิ ท่มี คี วามคดิ เหน็ แตกต่างกนั ก็ได้ 36
3. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวางแผนในการแสวงหาความรู้ เมื่อกลุ่มมีความคิดเห็น แต่ต่างกัน สมาชิกแต่ละกลุ่มช่วยกันวางแผนว่าจะแสวงหาข้อมูลอะไร กลุ่มพิสูจน์อะไร จะตั้ง สมมุติฐานอะไร กลุ่มจำเป็นต้องมีข้อมูลอะไร และจะไปแสวงหาที่ไหน หรือจะได้ข้อมูลนั้นมาได้ อย่างไร ใครจะช่วยทำอะไร จะใช้เวลาเทา่ ไร ขน้ั น้เี ป็นขน้ั ท่ผี เู้ รยี นจะได้ฝกึ ทักษะการสบื เสาะหาความรู้ ทักษะกระบวนการกลุ่ม ผู้สอนทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการทำงานให้แก่ผู้เรียน รวมทั้งให้ คำแนะนำเกี่ยวกบั การวางแผน แหลง่ ความรู้ และการทำงานรว่ มกนั 4. ให้ผูเ้ รียนดำเนนิ การแสวงหาความรู้ ผเู้ รยี นดำเนินการเสาะแสวงหาความรู้ตามแผนงาน ทไี่ ด้กำหนดไว้ ผสู้ อนช่วยอำนวยความสะดวก ใหค้ ำแนะนำและตดิ ตามการทำงานของผู้เรยี น 5. ให้ผ้เู รียนวิเคราะหข์ อ้ มูล สรปุ ผลขอ้ มูล นำเสนอและอภปิ รายผล เมอ่ื กลุม่ รวบรวมข้อมูล ไดม้ าแลว้ กลุม่ ทำการวิเคราะหข์ อ้ มูล และสรุปผล ผสู้ อนชว่ ยใหค้ ำแนะนำเก่ียวกบั การวเิ คราะห์ข้อมูล และสรุปผล ต่อจากนั้นจึงให้แต่ละกลุ่มนำเสนอผล อภิปรายผลร่วมกันทั้งชั้นและประเมินผล ท้ังทางดา้ นผลงานและกระบวนการเรยี นรู้ทไ่ี ด้รับ 6. ให้ผู้เรียนกำหนดประเด็นปัญหาที่ต้องการสืบเสาะหาคำตอบต่อไป การเสาะแสวงหา ความรู้ของกลุ่มตามขั้นตอนขา้ งต้น ช่วยให้กลุ่มได้รับความรู้ ความเข้าใจ และคำตอบในเรือ่ งท่ศี กึ ษา และอาจพบประเด็นที่เป็นปัญหาชวนให้งุนงงสงสัย หรืออยากรู้ต่อไปผู้เรียนสามารถเริ่มต้นวงจร การเรียนรู้ใหม่ ตง้ั แตข่ ัน้ ที่ 1 เปน็ ต้นไป การเรยี นการสอนตามรปู นอ้ี าจมีตอ่ เน่ืองไปเรอื่ ย ๆ ตามความ สนใจของผเู้ รยี น มินตรา รุ่งรังสี (2561 : 20 อ้างถึง ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์, 2554 : 47) กล่าวถึงขั้นตอนของวธิ ี การสอนสืบเสาะหาความรู้ มดี ังนี้ ข้ันที่ 1 ขนั้ สร้างความสนใจ หรือ Engage ขั้นนี้เป็นขั้นของการนำเข้าสู่บทเรียน ซึ่งทำให้ผู้เรียนเกิดอาการอยากเรียนและ สนใจกิจกรรมควรจะอยู่บนพื้นฐานของประสบการณ์ที่ได้เรียนมาแล้วในอดีต และนำมาเชื่อม กับประสบการณ์เรียนรู้ในปัจจบุ ัน บทบาทของครจู ะทำหนา้ ทีใ่ นการตั้งคำถาม ถามนักเรียน กำหนด ปัญหา ชี้ให้เห็นประเด็นที่เป็นข้อโต้แย้งกัน นักเรียนควรจะมีความอยากรู้อยากเห็นในปัญหา กระบวนการและทกั ษะต่าง ๆ ขนั้ ท่ี 2 ขน้ั สำรวจและค้นหา หรอื Explore ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ในการสำรวจ นักเรียนได้สำรวจและ ค้นหาในเนื้อหา และสร้างแนวความคิดที่ได้มาจากประสบการณ์ของนักเรียน และกำหนด ปรากฏการณ์ที่ได้จากการสำรวจโดยการสร้างคำพูดเป็นของตนเอง ผู้เรียนมีเวลาและโอกาสในการ 37
ท่ีจะพดู คยุ กบั นักเรยี นคนอืน่ ๆ จากนนั้ นกั เรยี นก็สร้างองคค์ วามรู้ และทำความเขา้ ใจดว้ ยตนเอง และ ในขณะเดียวกนั ก็ทำความเข้าใจในเร่อื งของคนอื่นด้วย ขน้ั ที่ 3 ขั้นอธิบาย หรอื Explain ขนั้ น้ีเป็นข้ันท่ีได้มาจากการสำรวจ คน้ คว้า ซงึ่ ผู้เรียนได้ดำเนินการมาแล้ว นักเรียน สามารถกำหนดแนวความคิดรวบยอดตามความเข้าใจของนักเรียนเอง โดยผ่านประสบการณ์และ ความรเู้ ดมิ ของนักเรียนทีม่ ีอย่แู ละสามารถประมวลเปน็ ความรู้เพอื่ ถ่ายทอดและสือ่ สารไปยงั ผู้อนื่ ได้ ขน้ั ที่ 4 ขน้ั ขยายความรู้ หรือ Elaborate หรอื Extend ขั้นนี้นักเรียนมีโอกาสในการประยุกต์ใช้แนวความคิดรวบยอดน ำไปสู่การค้นหา ในสถานการณ์ใหม่ ๆ ที่ละเอียดและระดับลึกลงไป นักเรียนสามารถค้นคว้ารายละเอียดในส่ิง ที่ต้องการศึกษา และสำรวจตรวจสอบได้มากขึ้น ตลอดจนมีการใช้ทักษะต่าง ๆ และมีการอภิปราย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันกับผู้อื่นขั้นนี้ผู้เรียนควรจะได้รับความรู้ ความเข้าใจและแนวความ คิดรวบยอดที่ลกึ ลงไป ข้นั ที่ 5 ขน้ั ประเมนิ ผล หรือ Evaluate ขั้นนี้เป็นขั้นที่สำคัญ เนื่องจากนักเรียนจะได้รับผลสะท้อนย้อนกลับจาก ประสบการณ์และความเข้าใจของนักเรียน นักเรียนจะยังคงมีการพัฒนาแนวความคิดรวบยอดและ ความเข้าใจอย่างต่อเน่ือง นักเรียนจะประเมินความเข้าใจของนักเรยี นจากแนวความคิดท่ีเป็นกุญแจ สำคัญและการพัฒนาของทักษะพนื้ ฐานทจ่ี ำเป็น จากท่ีกล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าขั้นตอนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ในแต่ละยุคสมยั ที่ผ่านมา มีขั้นตอนที่แตกต่างกันแต่เมื่อพิจารณาในส่วนของรายละเอียดแต่ละขั้นตอน พบว่ามีส่วน สำคัญที่สอดคล้องกัน กล่าวได้ว่าไม่มีความความแตกต่างในหลักการสำคัญในวิธีการปฏิบัติ ดังนั้น จึงพอสรุปได้วา่ ข้นั ตอนของวธิ ีการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ มี 5 ขัน้ ตอน ดังนี้ 1. ขั้นสร้างความสนใจ เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจ อยากรู้ โดยอาจใช้ การ เลน่ เกม ยกตวั อย่างสถานการณ์ ปัญหาท่ีนา่ สนใจ การตัดกระดาษแลว้ เติมคำตอบ หรือทบทวน ความรเู้ ดิมแลว้ ใช้คำถามที่ต่อเนือ่ งจากเรือ่ งเดิมเพอ่ื นำเข้าสเู่ ร่อื งใหม่ 2. ขั้นสำรวจและค้นหา ทำความเข้าใจกับปัญหาหรือศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง ทเ่ี ราสนใจ และลงมือแก้ปัญหา 3. ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป เป็นขั้นการเขียนอธิบาย ระบุวิธีการแก้ปัญหา และผลของ การแก้ปัญหา สรุปหลักการ กฎเกณฑ์ที่ได้จากการสำรวจและค้นหาด้วยตัวเองและเป็นสำนวน 38
ของผู้เรียน โดยอาจจะใช้อภิปรายร่วมกันหรือให้นักเรียนอ่านข้อความที่สรุป แล้วตรวจสอบ ความถูกต้อง 4. ขั้นขยายความรู้ หลังจากที่ได้ข้อสรุปแล้วจะให้นักเรียนได้ทำแบบฝึกหัดเพิ่มเติม มีความยากง่ายในระดบั ต่าง ๆ และปัญหาจะเนน้ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในชวี ติ หรอื ในชวี ติ ประจำวนั 5. ขั้นประเมิน เป็นขั้นการประเมินผลการเรียนรู้โดยตรวจสอบจากการเขียนข้อสรุป การทำแบบฝกึ หัดเพม่ิ เติมของนกั เรยี นและการทดสอบ บทบาทของผู้สอนในการจัดการเรียนรแู้ บบเชิงรุก (Active Learning) ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แนวทาง Active Learning ครผู ้สู อนตอ้ งออกแบบกจิ กรรม ทส่ี ะท้อนการพัฒนาผ้เู รยี นใหเ้ กิดการเรียนรู้ และเนน้ การนำไปใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ิตจรงิ โดยดำเนินการ ดังน้ี 1. สรา้ งบรรยากาศการมีสว่ นร่วม และการเจรจาโต้ตอบ ส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ท่ีดี กบั ผ้สู อนและเพอ่ื นในชนั้ เรยี น 2. ลดบทบาทการสอน และการให้ความรู้โดยตรง เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม ในการจดั ระบบการเรียนรู้ แสวงหาความรู้ และสรา้ งองคค์ วามรู้ดว้ ยตนเอง 3. ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้เป็นพลวัต (มีการเคลื่อนไหว/การขับเคลื่อน) ส่งเสริม ใหผ้ ู้เรียนมสี ว่ นร่วมในทกุ กจิ กรรม กระตุ้นให้ผเู้ รียนคน้ พบความสำเรจ็ ในการเรยี นรู้ สามารถนำความรู้ ความเข้าใจไปประยุกต์ใช้ สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า และคิดสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ โดยเช่ือมโยงกบั สภาพแวดล้อมใกลต้ วั ปญั หาของชมุ ชน สังคม หรอื ประเทศชาติ 4. จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในกลุ่มผู้เรียน วางแผนเกี่ยวกับ เวลาในจัดการเรยี นรูอ้ ยา่ งชดั เจน รวมถึงเน้ือหาและกิจกรรม 5. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ท้าทายเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากวิธีการสอน ที่หลากหลาย 6. เปิดใจกวา้ งยอมรับในความสามารถ การแสดงออกและการแสดงความคดิ เหน็ ของผู้เรยี น 7. ผ้สู อนควรทราบว่าผเู้ รียนมคี วามถนดั ท่แี ตกต่างกัน และทราบความรู้พ้นื ฐานของผเู้ รยี น 8. ผู้สอนควรสร้างบรรยากาศในการเรียน ให้ผู้เรียนกล้าพูด กล้าตอบและมีความสุข ในการเรียนรู้ 39
การจัดการเรียนรู้ที่จะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มสี ่วนร่วมมากทีส่ ุด ครูผู้สอนต้องพยายามสรา้ ง ลกั ษณะการเรยี นรู้แบบเชงิ รุก ใหเ้ กดิ ขนึ้ อยา่ งสม่ำเสมอ โดยจะต้องให้ผเู้ รยี นได้เข้าใจและรูว้ า่ ในขณะ ทก่ี ำลงั เรียนรนู้ ้ัน ผู้เรียนจะตอ้ งมลี ักษณะดงั นี้ 1. รวู้ ่าตัวเองจะตอ้ งเรยี นรู้เกี่ยวกับอะไรบ้าง รู้สิ่งท่ีจะเรียน 2. ส่งิ ที่จะเรยี นรู้น้ัน เกีย่ วขอ้ งกับเรอ่ื งท่ีเรียนไปแล้วอย่างไร 3. สิ่งที่จะเรยี นรนู้ ้นั สอดคลอ้ งหรอื ไมส่ อดคลอ้ งกบั ความเปน็ ไปของโลกปัจจุบนั อย่างไร 4. ผเู้ รยี นต้องรวู้ ่า ทำอยา่ งไรจึงจะรวู้ า่ ข้อเท็จจริงหรอื ขอ้ ความรู้ท่ไี ด้รับรู้น้ัน ถกู ต้องแนน่ อน 5. ผู้เรียนจะต้องกลับไปตรวจสอบการบ้าน หรือสิ่งที่ค้นคว้าใหม่ ว่าได้คำตอบที่ถูกต้อง หรอื ไมห่ รือตอบถูกตอ้ งตรงกบั คำถามขอ้ ไหน 6. สามารถสอบถามความรู้เพิ่มเติมจากผู้อื่น หรือทำงานร่วมกับผู้อื่น เพื่อให้ได้คำตอบ ก่อนที่จะสรุปคำตอบสุดท้าย โดยต้องฟังหรือหาคำตอบให้ได้มาอย่างสมบูรณ์ที่สุด ก่อนที่จะสรุป นำเสนอ บทบาทของครูในฐานะเปน็ ผกู้ ระต้นุ การเรียนรู้ ดุษฎี โยเหลา และคณะ (2557 : 128) ได้กลา่ วถงึ บทบาทสำคญั ของครูในขณะจัดกิจกรรม การเรียนรวู้ ่าครูจะตอ้ งแสดงบทบาทตา่ งๆ เพ่ือสง่ เสริมใหเ้ กดิ กระบวนการเรียนร้แู บบเชงิ รุก (Active Learning) โดยครูจะตอ้ งเป็นผู้สงั เกตการทำงานของนกั เรยี น ครูตอ้ งสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ โดยใช้คำถาม ปลายเปิดกระตุ้นการเรียนรู้แทนการบอกกล่าว ครูต้องศึกษาและรู้จักข้อมูลนักเรียน เป็นรายบุคคลเพื่อแสดง บทบาทให้เหมาะสมในการทำให้เกิด Active Learning กับนักเรียน เปน็ รายคน ดังน้ี บทบาทของครใู นฐานะผู้กระต้นุ การเรียนรู้ 40
1. ใช้คำถามกระตุ้นการเรียนรู้ คำถามที่ใช้ในการกระตุ้นการเรียนรู้นั้น ต้องเป็นคำถาม ที่มีลักษณะเป็นคำถามปลายเปิด เพื่อให้ผู้เรียนได้อธิบาย โดยขึ้นต้นว่า “ทำไม” หรือ ลงท้ายว่า “อยา่ งไรบ้าง” “อะไรบา้ ง” “เพราะอะไร” 2. ทำหน้าที่เป็นผู้สังเกต ครูจะต้องคอยสังเกตว่า ผู้เรียนแต่ละคนมีพฤติกรรมอย่างไร ขณะปฏิบัติกิจกรรมเพ่ือหาทางชแี้ นะ กระตนุ้ หรอื ยับยงั้ พฤติกรรมทไ่ี ม่เหมาะสม 3. สอนให้ผู้เรียนเรียนรู้การตั้งคำถาม เมื่อผู้เรียนสามารถตั้งคำถามได้ จะทำให้ผู้เรียน รู้จักถาม เพื่อค้นคว้าข้อมูล รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และร่วมแสดงความคิดเห็นของตนเอง ในเรื่องที่เกยี่ วข้องกับการเรยี นรู้ 4. ให้คำแนะนำเม่ือผู้เรยี นเกิดข้อสงสัย ครูจะต้องเป็นผู้คอยแนะนำ ชี้แจง ให้ข้อมูลต่าง ๆ หรือยกตัวอย่างเหตุการณ์ใกล้ตัวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของผู้เรียนเชื่อมโยงไปสู่ความรู้ ด้านอนื่ ๆ ในขณะทำกิจกรรมเมื่อผู้เรยี นเกดิ ขอ้ สงสัยหรือคำถาม โดยไม่บอกคำตอบ 5. เปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นคิดหาคำตอบดว้ ยตนเอง สงั เกตและคอยกระตนุ้ ด้วยคำถามใหผ้ ูเ้ รยี น ไดค้ ิดกจิ กรรมทอ่ี ยากเรียนร้แู ละหาคำตอบในสงิ่ ที่สงสยั ด้วยตนเอง 6. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสร้างสรรค์ผลงานอย่างอิสระ ตามความคิดและความสามารถ ของตนเองเพื่อให้ผไู้ ดใ้ ชจ้ นิ ตนาการและความสามารถของตนเองในการคดิ สรา้ งสรรค์อยา่ งเตม็ ท่ี บทบาทผูเ้ รยี นในการจดั การเรียนรู้แบบเชิงรกุ (Active Learning) ในทำนองเดยี วกนั การจัดการเรียนรูแ้ บบเชิงรกุ (Active Learning) ผ้เู รยี นไมไ่ ดเ้ ป็นผู้นั่งฟัง ผู้สอนบรรยายอย่างเดียว แต่เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนกิจกรรมเพื่อให้เกดิ การเรียนรู้ ดังท่ี นนทลี พรธาดาวทิ ย์ (2559: 28) กล่าวไวด้ ังนี้ 1. มีความรับผิดชอบ มีการเตรียมตัวล่วงหน้าให้พร้อมที่จะเรียนรู้ ศึกษา และปฏิบัติงาน ในสงิ่ ท่ีผู้สอนมอบหมายใหศ้ ึกษาลว่ งหน้า 2. ให้ความร่วมมือกับผู้สอนในการจัดการเรียนรู้ เริ่มจากการวางแผนการจัดการเรียนรู้ การดำเนินกิจกรรม และการประเมินผล 3. มสี ว่ นรว่ มในการทำกจิ กรรมอย่างกระตอื รือรน้ 4. มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ การทำงานเป็นทีม และการยอมรับฟังความคดิ เห็นของผ้อู ื่น 5. มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ได้ลงมือปฏิบัติในสถานการณ์จริงด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง 41
6. มีการใช้ความคิดเชิงระบบ ได้แก่ การคิดวิเคราะห์ การคิดเชิงเหตุผล การคิดอย่าง มีวจิ ารณญาณ การคิดเชอ่ื มโยง และการคดิ อย่างสร้างสรรค์ 7. มีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้ เพราะการเรียนรู้ไม่ใช่เรื่องที่น่าเบื่อแต่การเรียนแบบ สนุกสนานมชี ีวิตชีวา 42
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158