Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรและแผนการพัฒนาศึกษานิเทศก์

หลักสูตรและแผนการพัฒนาศึกษานิเทศก์

Published by jt2554, 2019-12-29 11:14:52

Description: หลักสูตรและแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาก่อนการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งศึกษานิเทศก์ ของ หน่วยพัฒนาภาคใต้ จังหวัดสงขลา ระหว่างวันที่
8-15 มกราคม 2563 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ

Search

Read the Text Version

หลักสตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรกู้ ารพัฒนาขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๔๘ ก่อนแตง่ ตั้งใหด้ ารงตาแหนง่ ศกึ ษานเิ ทศก์ การนิเทศการศึกษา คือ การให้คาปรึกษา ช้ีแนะ แนะนา และให้ความช่วยเหลือต่อกิจกรรม การเรยี นการสอนเพื่อปรบั ปรุงใหไ้ ด้ผลตามเกณฑ์ทว่ี างไว้ (เมตต์ เมตต์การณุ จิต, ๒๕๔๓) การนิเทศ หมายถึง กระบวนการ พัฒนาปรับปรุงคุณภาพการศึกษาอย่างเป็นระบบและต่อเน่ือง โดยการทางานร่วมกันระหว่างผู้นิเทศและผู้รบั การนิเทศ ซึ่งเป้าหมายหลัก เพ่ือพัฒนากระบวนการเรยี นการ สอนให้มีประสิทธิภาพ ซ่ึงจะส่งให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาในทุกๆ ด้าน และบรรลุตามจุดมุ่งหมายของ หลักสตู ร (เออ้ื อารี ทว้ มเสม, ๒๕๔๙) การนิเทศ หมายถึง กระบวนการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างผู้ให้การนิเทศหรือผู้นิเทศ และผู้รับ การนิเทศเพื่ อที่จะพัฒ นาหรือปรับป รุงคุณภาพการจัดการศึกษาแ ละการจัดการเรียนการสอนของครู เพอ่ื ให้ไดม้ าซ่งึ ประสทิ ธิผลในการเรียนของนกั เรยี น (วชั รา เลา่ เรยี นด,ี ๒๕๕๐) จากการศกึ ษาคน้ คว้าความรแู้ ละภูมปิ ัญญาของผู้อื่น จากส่อื การเรยี นรู้และแหล่งการเรียนรตู้ ่าง ๆ ท่หี ลากหลาย และนามาเป็นขอ้ มูล/สารสนเทศของตนเองที่นาไปสูก่ ารวเิ คราะห์เปรยี บเทียบกบั ความรหู้ รือ ประสบการณ์เดมิ ของตนเอง แล้วสรปุ เป็นความรู้ของตนเองไดด้ ังน้ี “การนิเทศการศึกษา หมายถึง กระบวนการหนึ่งท่ีสาคัญในการพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพ การศึกษา โดยการทางานร่วมกันอย่างกัลยาณมิตร ระหว่างผู้นิเทศกับผู้รับการนิเทศ โดยผู้นิเทศเป็นผู้ ช้ีแจง แนะนาให้ผู้รับการนิเทศสามารถปฏิบัติงานการจัดการศึกษาได้ตามมาตรฐานการศึกษา ตลอดจน สามารถปฏิบัติหน้าท่ีจัดการศึกษาหรือจัดการเรียนรู้ให้มีคุณภาพ และบรรลุเป้าหมายหรือจุดหมายท่ี กาหนดไวแ้ ลว้ ”  หลกั การนเิ ทศการศกึ ษา รปู แบบและทฤษฏที ี่เก่ยี วข้องกบั การนิเทศการศึกษา “หลกั การ” ส่วนใหญจ่ ะเกดิ จากแนวคิดของผูเ้ ชย่ี วชาญ ผู้ร้หู รือผมู้ ีประสบการณ์ ในเรื่องนนั้ ๆ ที่ ได้ใช้ความเช่ือ ความรู้สึก ทัศนคติ ความรู้และประสบการณ์ของตนเองแล้วเรียบเรียงเสนอเป็นแนวคิด/ แนวทางปฏิบัติท่ีดีในการทางานในเรื่องน้ัน ๆ ให้บรรลุผลสาเร็จ ซ่ึงหลักการที่เสนอนั้น “อาจจะถูกต้องใน สถานการณ์หน่ึงหรืออาจจะผิดในสถานการณ์อกี แบบหนึ่งก็ได้” เพราะหลักการยังไมม่ ีการพิสูจน์วา่ จะเป็น จริงเสมอในทกุ สถานการณ์ จากการศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลสารสนเทศท่ีหลากหลาย พบว่า มีนักการศึกษา นักวิชาการ ผู้บริหารการศึกษา ศึกษานิเทศก์ และผู้รู้ที่มีประสบการณ์ ได้เสนอหลักการนิเทศการศึกษา ไว้หลาย ประการ เช่น การนิเทศการศึกษา จะต้องเคารพความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นความร่วมมือร่วมใจในการ ดาเนินงาน ใช้ความรู้ ความสามารถในการปฏิบัติงาน เพ่ือให้งานนั้นไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ (Burton and Brueckner, ๑๙๕๕) การนิเทศการศึกษา มุ่งให้ครูรู้จักวิธีคิดค้นการทางานด้วยตนเอง มีความสามารถในการนาตนเอง และสามารถตัดสินปญั หาของตนเองได้ (Adams andDickey, ๑๙๕๓) การนเิ ทศทด่ี ีจะต้องสร้างบรรยากาศท่เี ปน็ กันเอง ยว่ั ยุและสร้างความเข้าใจอนั ดีต่อกันและต้องทา ให้ครรู ูส้ กึ ว่า จะชว่ ยใหเ้ ขาพบวิธีท่ดี กี วา่ ในการทางานเพอื่ บรรลุวัตถปุ ระสงค์ (Franseth ๑๙๖๑ : ๒๓-๒๘) หลักการนิเทศการศึกษาไว้ ๔ ประการ ของเบอร์ตัน และบรุคเนอร์ (Burton and Brueckner, ๑๙๖๕) สรปุ ไดด้ งั น้ี คือ ๑. การนิเทศการศึกษาควรมีความถกู ตอ้ งตามหลักวชิ าการ (Theoretical)

หลักสตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนร้กู ารพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๔๙ ก่อนแตง่ ตง้ั ใหด้ ารงตาแหนง่ ศกึ ษานิเทศก์ ๒. การนิเทศการศึกษาควรเป็นวิทยาศาสตร์ (Scientific) การนิเทศการศึกษาควรเป็นไปอย่าง มีระเบียบ มีการปรับปรุงและประเมินผล ผลการนิเทศควรจะมาจากการรวบรวมข้อมูล และการสรุปผล อย่างมปี ระสิทธิภาพ เปน็ ท่ีเชื่อถอื ได้ ๓. การนิเทศการศึกษาควรเป็นประชาธิปไตย (Democratic) การนเิ ทศการศกึ ษาจะต้องเคารพใน ความแตกต่างของบุคคล เน้นความร่วมมือร่วมใจกันในการดาเนินงานและการใช้ความรู้ ความสามารถใน การปฏิบัตงิ านเพอ่ื ให้งานนนั้ ไปสเู่ ปา้ หมายทตี่ ้องการ ๔. การนิเทศการศึกษาควรจะเป็นการสร้างสรรค์ (Creative) กระบวนการนิเทศการศึกษา ควรเป็นการแสวงหาความสามารถพิเศษของบุคคล แล้วเปิดโอกาสให้แสดงออกและการพัฒนา ความสามารถอยา่ งเตม็ ที่ หลักการพ้ืนฐานเกี่ยวกับการนิเทศการสอนของ อาดัมส์ และดิกก้ี (Adams & Dicky, ๑๙๕๖) ดงั น้ี ๑. การนิเทศเปน็ การส่งเสรมิ ความเจริญงอกงาม ๒. การนิเทศมีความเปน็ ประชาธปิ ไตย ๓. การนเิ ทศเปน็ กระบวนการสรา้ งสรรค์ ๔. การนเิ ทศยดึ หลักการสรา้ งมนษุ ยสัมพนั ธ์ ๕. การนิเทศเพ่ือสร้างเสริมขวญั กาลังใจ ๖. การนิเทศเกย่ี วข้องกับการปรบั ปรุงการเรยี นการสอน ๗. การนิเทศเป็นการประสานสัมพันธ์ระหว่างงานนิเทศกบั งานอืน่ ๆ จากการศึกษาและวิเคราะห์หลักการนิเทศการศึกษาจากนักการศึกษานักวิชาการและผู้รู้ ส่วน ใหญ่ มีความเห็นสอดคล้องกัน สามารถสรุปเป็นหลักการนิเทศท่ีเป็นความรู้ของตนเอง ที่สอดคล้องกับ บริบทปัจจุบัน ดังน้ี ๑. การนเิ ทศการศึกษาเป็นกระบวนการหน่ึงที่สาคญั ในการพัฒนาและปรบั ปรงุ คณุ ภาพการศึกษา ๒. การนเิ ทศการศึกษาชว่ ยส่งเสรมิ การจดั การศกึ ษาท่ีมีคุณภาพของสถานศึกษา ๓. การนเิ ทศการศกึ ษาเปน็ กระบวนการท่เี ปน็ ระบบและเช่ือถือได้ ๔. การนิเทศการศึกษาเป็นการทางานร่วมกนั ของผ้นู ิเทศและผู้รับการนเิ ทศดว้ ยวถิ ชี วี ติ ประชาธปิ ไตยและบรรยากาศกลั ยาณมิตร ๕. การนิเทศการศกึ ษาควรยดึ หลกั ความแตกต่างระหว่างบุคคล ๖. การนเิ ทศการศึกษาตอ้ งสอดคล้องกบั สภาพปัจจุบัน ปัญหาและความตอ้ งการในปัจจุบัน ๗. การนิเทศการศึกษาต้องส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาตนเองของผู้รับการนิเทศเพ่ือให้สามารถ พัฒนางานของตนเองได้ ๘. การนเิ ทศการศึกษาควรให้ความสาคัญการสร้างและการใชเ้ ครอื ข่ายในการชว่ ยทางาน

หลกั สตู รและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การพฒั นาข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ก่อนแตง่ ต้งั ให้ดารงตาแหน่งศึกษานิเทศก์ ๕๐  รปู แบบ (Model) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมาย “รูปแบบ” ว่าหมายถึง รูปท่ีกาหนดข้ึน เปน็ หลักหรือเปน็ แนว ซ่ึงเปน็ ทีย่ อมรับ เช่น รปู แบบรอ้ ยกรอง รปู แบบเปน็ สง่ิ ท่ีถูกสร้างหรอื พัฒนาข้ึนจากแนวคิด แนวปฏบิ ัติ หรือทฤษฎีทไ่ี ดศ้ กึ ษามาแล้ว เพ่ือ ส่ือให้เห็นขั้นตอน กระบวนการ หรือความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่าง ๆ โดยใช้ส่ือท่ีทาให้เข้าใจได้ง่าย และกระชับถูกต้อง ซึ่งรูปแบบนั้นมีหลายลักษณะ อาจจะเป็นรูปแบบของจริง เป็นรปู แบบลาลองท่ีเหมือน ของจริงทุกอย่างแต่มีขนาดเล็กลงหรือใหญ่ขึ้นกว่าปกติ รูปแบบท่ีเป็นแบบอย่างหรืออาจจะเป็นรูปแบบที่ แสดงโครงสร้างของความเกี่ยวข้อง ระหว่างชุดของปัจจัยหรือตัวแปรต่าง ๆ หรือองค์ประกอบท่ีสาคัญใน เชิงความสัมพันธ์หรือเหตุผลซ่ึงกันและกัน เพื่อช่วยให้เข้าใจข้อเท็จจริงหรือปรากฏการณ์ในเรื่องใดเรื่อง หน่งึ โดยเฉพาะ  ทฤษฎี (theory) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมาย \"ทฤษฎี\" ว่าหมายถึง การเห็น การเห็น ด้วยใจ ลักษณะท่ีคิดคาดเอาตามหลักวิชา เพื่อเสริมเหตุผลและรากฐานให้แก่ปรากฏการณ์หรือข้อมูล ในภาคปฏิบัติ ซงึ่ เกดิ ข้ึนมาอย่างมีระเบยี บ ในการทางานใด ๆ ก็ตาม ถ้ายังไม่มีการศึกษาค้นคว้า ทดลองหรือวิจัย ท่ีมีการกระทาซ้าแล้ว ซ้าเล่า จนเกิดความม่ันใจได้ว่า เมื่อกระทาแบบน้ีแล้ว จะเกิดผลอยางนั้น ซึ่งตามหลักวิชาสามารถอธิบาย ได้ว่า ในเบื้องแรกของการสร้างทฤษฎีของมนุษย์ อาจจะใช้ความเชื่อ ความรู้สึก ทัศนคติ ประสบการณ์ ของตนเอง หรืออาจจะรวบรวมข้อมูล สารสนเทศ ความรู้ แนวความคิด แนวปฏิบัติและหลักการต่าง ๆ ของผู้อื่น แล้วกาหนดเป็นขอสันนิษฐาน (Assumption) เอาไวกอน แลวจึงไปหาขอพิสูจน (Proof) มายืนยันวา ส่ิงท่ีไดต้ัง ขอสันนิษฐานไวนั้น “ถูกตองหรือผิด” หากถูกตองและเมื่อมีการกระทาแบบนั้น ซ้า ๆ ในลักษณะเดียวกัน ไมวาจะก่ีคร้ัง กี่คร้ังก็ตาม ผลท่ีไดรับก็จะออกมาแบบเดียวกันหมด เม่ือเป็น เชนนี้ผู้ที่ทาการศึกษา คนควา ทดลองหรอื วิจัย ก็สามารถต้ังส่ิงท่ีคนพบใหมนั้นเปนทฤษฎี หรืออีกนัยหนึ่ง ทฤษฎีก็คือ ความรู้ท่ีเกิดขึ้นจากการรวบรวมแนวความคิดและหลักการต่าง ๆ ไปสู่การศึกษา ทดลองหรือ วิจยั แลว้ สรา้ งเป็นทฤษฎนี น่ั เอง ดังนั้น การแก้ปัญหาในการทางานต่าง ๆ ท่ีมีคุณภาพและประสิทธิภาพ มักจะนาทฤษฎีมาเป็น หลักในการกาหนดแนวคิดหรือแนวปฏิบัติ เพราะทาให้เกิดความเช่ือถือว่าในส่ิงท่ีคิดน้ันจะถูกต้องเสมอ เพราะทฤษฎีนั้นได้ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว การนิเทศการศึกษาจึงมีความจาเป็นอย่างมากท่ีต้องนาทฤษฎี ท่ีเกี่ยวข้อง มาเป็นฐานความคิดในการพัฒนากระบวนการนิเทศการศึกษา เพราะการนิเทศการศึกษา เป็นพฤติกรรมท่ีเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ และมีความเก่ียวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์โดยตรง ดังน้ัน ศึกษานิเทศก์จึงจาเป็นต้องมีความรู้ศาสตร์การนิเทศการศึกษา เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนาและปรับปรุง คุณภาพการศกึ ษาใหบ้ รรลุเปา้ หมายของการจดั การศึกษาต่อไป

หลักสูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรกู้ ารพฒั นาขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๕๑ ก่อนแต่งต้งั ใหด้ ารงตาแหน่งศกึ ษานิเทศก์ ใบความรู้ท่ี ๒.๑.๒ เรือ่ ง ความรู้พ้นื ฐานจาเปน็ ในการนเิ ทศการศกึ ษา การเป็นศึกษานิเทศก์มืออาชีพ นอกจากมีความรู้ในศาสตร์การนิเทศการศึกษาเป็นอย่างดีแล้ว ศึกษานิเทศก์ยังต้องมีความรู้พ้ืนฐานจาเป็นในการนิเทศ (Supervision) อีกด้วย ท้ังน้ีเพ่ือช่วยเหลือ ส่งเสริมสนับสนุน ชี้แนะและชี้นาผู้รับการนิเทศให้สามารถปฏิบัติงานต่าง ๆ ให้บรรลุเป้าหมายของงานได้ สามารถสรปุ เป็นแนวทางการนิเทศงานพื้นฐานได้ดงั น้ี เปา้ หมายงาน วิธีการ การพฒั นาและปรับปรงุ การวดั และประเมนิ ผล ส่เู ป้าหมายของงาน คุณภาพของงาน ตามเป้าหมายของงาน รูปแสดงแนวทางการนิเทศงานพ้นื ฐาน ผู้นิเทศงานจะต้องมีความรู้ความเข้าใจแนวทางการนิเทศงานพื้นฐาน ใน ๔ เร่ืองที่สาคัญของงาน ได้แก่ ประการแรก คือ รู้และเข้าใจ “เป้าหมายงาน” คือ ภาพความสาเร็จของงาน “ผลสาเร็จของงานคือ อะไร”ควรเป็นรูปธรรมและสามารถวัดได้ ประการที่สอง ต้องรู้และความเข้าใจ “วิธีการทางานสู่ เป้าหมาย” การใช้คน การใชว้ ัสดอุ ุปกรณ์ ส่ือ/นวตั กรรม เทคนคิ วิธกี าร กระบวนการหรือกลยุทธ์ต่าง ๆ ท่ี ทาให้งานสาเรจ็ ตามเป้าหมาย ประการที่สาม รู้และเข้าใจ “การวัดและประเมินผล” รแู้ ละสามารถวัดและ ประเมินผลได้ เพื่อให้ทราบว่า ผลงานที่เกิดขึ้นน้ันเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ อย่างไร และประการ สุดท้าย ผู้นิเทศตอ้ งสามารถ “พัฒนาและปรับปรุงคณุ ภาพของงาน” ได้ โดยการนาผลจากการประเมินผล ที่ไปสูก่ ารวเิ คราะห์ วิจัยเพือ่ พฒั นาคุณภาพงานใหด้ ขี ึน้ ต่อไป คุรุสภา (๒๕๖๑) โดยคณะกรรมการคุรุสภาได้ประกาศ สมรรถนะของผู้ประกอบวิชาชีพ ศกึ ษานเิ ทศก์ตามข้อบังคับคุรสุ ภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไว้จานวน ๘ ด้าน คอื การพัฒนา วชิ าชพี การนเิ ทศการศึกษา แผนและกิจกรรมการนิเทศ การพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรยี นรู้ การวจิ ัย ทางการศึกษา นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา การประกันคุณภาพการศึกษาและ คุณธรรม จรยิ ธรรมและจรรยาบรรณ ในแตล่ ะดา้ นมีรายละเอยี ด สามารถสรปุ ได้ ดงั นี้

หลกั สูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรูก้ ารพฒั นาข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๕๒ กอ่ นแต่งตงั้ ให้ดารงตาแหนง่ ศกึ ษานิเทศก์ ๑. ด้านการพัฒนาวิชาชีพ ศึกษานิเทศก์ต้องมีความรู้เก่ียวกับ สภาพงาน คุณลักษณะและ มาตรฐานวิชาชีพศึกษานิเทศก์ ทักษะในการแสวงหาความรู้ในบริบทของการเปล่ียนแปลง การจัดการ ความรู้เก่ียวกับการนิเทศการศึกษา กฎหมายและระเบียบท่ีเกี่ยวข้องกับการศึกษา และศึกษานิเทศก์ต้อง มีสมรรถนะในการปฏิบตั หิ น้าท่ศี ึกษานเิ ทศก์ ไดแ้ ก่ ๑.๑ สรา้ งศรัทธาผรู้ บั การนิเทศเพ่ือให้ตระหนักและมองเห็นประโยชนข์ องการนเิ ทศ ๑.๒ สร้างความก้าวหนา้ และพัฒนาวชิ าชพี อยา่ งตอ่ เน่ือง ๒. ด้านการนิเทศการศึกษา ศึกษานิเทศก์ต้องมีความรู้เกี่ยวกับ หลักการ แนวคิดแนวปฏิบัติ เกี่ยวกับการนิเทศ ผู้นา ภาวะผู้นาและภาวะผู้นาทางวิชาการ จิตวิทยาการนิเทศและการสื่อสาร กลวิธี การถ่ายทอดความรู้ แนวคิด ทฤษฎีและผลงานทางวิชาการ การเสริมแรง การสร้างพลังอานาจ และการ พัฒนาศักยภาพครู และตอ้ งมีสมรรถนะในการปฏิบตั หิ น้าทศี่ ึกษานิเทศก์ ไดแ้ ก่ ๒.๑ ใช้เทคนิคการนิเทศอยา่ งหลากหลายด้วยความเป็นกลั ยาณมติ ร ๒.๒ สรา้ งวัฒนธรรมในการพัฒนางานวิชาการและนาสู่การเป็นบคุ คลแห่งการเรยี นรู้ ๓. ด้านแผนและกิจกรรมการนิเทศ ศึกษานิเทศก์ต้องมีความรู้เก่ียวกับ นโยบายการศึกษาและ การเชื่อมโยงระบบการศึกษากับระบบอื่นในสังคม การวางแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา การพัฒนา แผนการนิเทศตามบริบทมหภาคและภูมิสังคม การจัดทาแผนปฏิบัติการนิเทศ โครงการและการนาสู่การ ปฏบิ ัติ และต้องมสี มรรถนะในการปฏิบตั หิ น้าที่ศึกษานิเทศก์ ได้แก่ ๓.๑ สามารถวางแผนพฒั นาคุณภาพการศึกษาและพัฒนาแผนการนิเทศทนี่ าสู่การปฏิบัติได้จริง ๓.๒ ประเมนิ และปรบั ปรุงแผนการนิเทศ ๔. ด้านการพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ ศึกษานิเทศก์ต้องมีความรู้เกี่ยวกับ หลักการ แนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้เพ่ือให้ผู้เรียน รู้จักคิดวิเคราะห์และสร้างสรรค์งานได้ การวัดและการประเมินผลการเรยี นรู้ และตอ้ งมสี มรรถนะในการปฏบิ ัติหน้าทีศ่ ึกษานเิ ทศก์ ไดแ้ ก่ ๔.๑ สรา้ ง ใช้ ประเมนิ และปรบั ปรุงหลกั สตู ร ๔.๒ นเิ ทศเพือ่ พฒั นาหลกั สูตร การจดั การเรยี นรแู้ ละการวัดประเมินผล ๕. ด้านการวิจัยทางการศึกษา ศึกษานิเทศก์ต้องมีความรู้เกี่ยวกับ หลักการ แนวคิดแนวปฏิบัติใน การวิจัย การใช้และผลิตงานวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรมการนิเทศ และต้องมีสมรรถนะในการปฏิบัติหน้าท่ี ศกึ ษานเิ ทศก์ ได้แก่ ๕.๑ สามารถดาเนนิ การวิจยั เพอ่ื พฒั นาคุณภาพการศึกษา ๕.๒ สามารถนาผลการวจิ ยั ไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ๖. ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา ศึกษานิเทศก์ต้องมีความรู้เก่ียวกับ หลักการ แนวคิดการออกแบบส่ือ นวัตกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการเรียนรู้ เทคโนโลยีสารสนเทศ เพอ่ื การส่อื สาร และตอ้ งมีสมรรถนะในการปฏบิ ตั หิ น้าทศ่ี ึกษานิเทศก์ ไดแ้ ก่ ๖.๑ ประยกุ ตใ์ ชแ้ ละการประเมินสื่อ นวตั กรรม เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการเรียนรู้ ๖.๒ สามารถใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการสื่อสาร ๗. ด้านการประกันคุณภาพการศึกษา ศึกษานิเทศก์ต้องมีความรู้เกี่ยวกับ การบริหารจัดการ การศึกษา ระบบการประกนั คุณภาพการศึกษาทงั้ ภายในและภายนอก และมีสมรรถนะในการปฏิบตั ิหนา้ ท่ี ศึกษานเิ ทศก์ ไดแ้ ก่ ๗.๑ สามารถบรหิ ารจดั การการศกึ ษา ๗.๒ นาผลการประกนั คุณภาพการศึกษาไปใช้เพอ่ื พฒั นาสถานศึกษา

หลักสูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้การพัฒนาข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๕๓ ก่อนแต่งต้งั ใหด้ ารงตาแหน่งศกึ ษานิเทศก์ ๘. ด้านคุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณ ศึกษานิเทศก์ต้องมีความรู้เกี่ยวกับ หลักธรรมาภิบาล และความซื่อสัตย์สุจริต คุณธรรมและจรยิ ธรรมของวิชาชีพศึกษานเิ ทศก์ และต้องมสี มรรถนะในการปฏบิ ัติ หน้าทีศ่ ึกษานิเทศก์ ไดแ้ ก่ ๘.๑ ปฏบิ ัติตนเป็นแบบอยา่ งท่ีดี มจี ติ สานกึ สาธารณะและเสยี สละให้สังคม ๘.๒ ปฏิบตั ติ นตามจรรยาบรรณของวชิ าชีพ ท้ัง ๘ ด้านน้ี เป็นสมรรถนะพื้นฐานสาหรับศึกษานิเทศก์ทุกคน เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าท่ีนิเทศ การศกึ ษาไดบ้ รรลุเปา้ หมายการศกึ ษาที่กาหนดไว้ ศึกษานิเทศก์มืออาชีพ นอกจากมีความรู้ความเข้าใจแนวทางการนิเทศงานพื้นฐานแล้ว ยังต้อง สามารถนิเทศงานตามสภาพปญั หาและความต้องการของผรู้ ับการนิเทศได้ เช่น จากผลสารวจสภาพปญั หา และความตอ้ งการในการนิเทศการศกึ ษาของศึกษานเิ ทศก์ สานักงานเขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษาสานักงานเขตพ้ืนที่ การศึกษาประถมศึกษากาแพงเพชร เขต ๑ และเขต ๒ ปีการศึกษา ๒๕๕๓ (ประจักษ์ ศรสาลี : ๒๕๕๔) พบว่า ครูและผู้บริหารโรงเรียนมีความต้องการได้รับความช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุนจากศึกษานิเทศก์ ใน ๔ เร่ืองสาคัญ คือ การจัดทาหลักสูตรสถานศึกษา มีความต้องการระดับมากท่ีสุด ( X = ๔.๖๔) การจัดทาระบบประกันคุณภาพภายใน มีความต้องการระดบั มากท่ีสุด ( X = ๔.๕๙) การนานโยบายและ จุดเน้นสู่การปฏิบัติ มีความต้องการระดับมากที่สุด ( X = ๔.๕๓) และการพัฒนางานสู่ผลงานวิชาการ มีความต้องการระดับมากท่ีสุด ( X = ๔.๕๐) ดังน้ัน งาน ๔ เรื่องน้ี จึงเป็นความรู้พ้ืนฐานจาเป็นของ ศึกษานิเทศก์ สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษากาแพงเพชร เขต ๑ และเขต ๒ ท่ีจะต้องศึกษา ค้นคว้าเป็นพื้นฐานความรู้ ในการนิเทศเพ่ือช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุนครูและผู้บริหารโรงเรียน โดย การตอบคาถามสาคญั ดังนี้ ความรู้พื้นฐานการจดั ทาหลักสตู รสถานศึกษา คาถามสาคัญสาหรบั ศึกษานเิ ทศก์ ๔ ประการ คือ ๑. เป้าหมายของการจัดทาหลกั สตู รสถานศึกษา คืออะไร ๒. วิธีการจัดทาหลักสตู รสถานศึกษา มีวิธีการอยา่ งไร ๓. การวัดและประเมนิ ผลการจดั ทาหลกั สตู รสถานศึกษา มีวิธกี ารอย่างไร และมผี ลการ ประเมินอย่างไร บรรลุเป้าหมายหรอื ไม่อย่างไร ๔. พฒั นาและปรับปรุงคุณภาพของการจัดทาหลกั สูตรสถานศกึ ษาอย่างไร ความรพู้ ้ืนฐานระบบประกนั คณุ ภาพภายใน คาถามสาคัญสาหรบั ศกึ ษานิเทศก์ ๔ ประการ คือ ๑. เป้าหมายของการระบบประกันคุณภาพภายใน คอื อะไร ๒. วธิ ีการจดั ทาระบบประกันคณุ ภาพภายใน มีวิธีการอย่างไร ๓. การวัดและประเมินผลการจัดทาระบบประกันคุณภาพภายในมีวิธีการอย่างไร และมีผล การประเมินอย่างไร บรรลเุ ป้าหมายหรือไมอ่ ย่างไร ๔. พฒั นาและปรับปรงุ คุณภาพของการจดั ทาระบบประกนั คุณภาพภายในอย่างไร ความรพู้ ืน้ ฐานการนานโยบายและจดุ เนน้ สกู่ ารปฏบิ ัติ คาถามสาคญั สาหรบั ศึกษานิเทศก์ ๔ ประการ คือ ๑. เปา้ หมายของการนานโยบายและจุดเน้นสู่การปฏบิ ัติ คืออะไร ๒. วิธกี ารการนานโยบายและจดุ เน้นส่กู ารปฏบิ ัติ มีวธิ กี ารอย่างไร

หลกั สตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรูก้ ารพัฒนาขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๕๔ กอ่ นแต่งต้งั ให้ดารงตาแหน่งศึกษานิเทศก์ ๓. การวัดและประเมินผลการนานโยบายและจุดเน้นสู่การปฏิบัติ มีวิธีการอย่างไร และมีผล การประเมนิ อยา่ งไร บรรลุเป้าหมายหรอื ไม่อยา่ งไร ๔. พฒั นาและปรบั ปรุงคณุ ภาพของการนานโยบายและจุดเนน้ สู่การปฏิบัติ อยา่ งไร ความรพู้ น้ื ฐานการพฒั นางานสผู่ ลงานวิชาการ คาถามสาคญั สาหรับศึกษานเิ ทศก์ ๔ ประการ คอื ๑. เปา้ หมายของการพฒั นางานสูผ่ ลงานวิชาการ คอื อะไร ๒. วธิ กี ารการพัฒนางานสผู่ ลงานวชิ าการ อย่างไร ๓. การวัดและประเมินผลการพัฒนางานสู่ผลงานวิชาการ มีวิธีการอย่างไร และมีผลการ ประเมนิ อยา่ งไร บรรลุเป้าหมายหรอื ไม่อย่างไร ๔. พฒั นาและปรบั ปรงุ คณุ ภาพของการพัฒนางานสผู่ ลงานวชิ าการ อยา่ งไร จะเห็นได้ว่า “ศึกษานิเทศก์” เป็นผู้บทบาทสาคัญท่ีสุดในเรื่องของการพัฒนาและปรับปรุง คุณภาพการศึกษา ท้ังนี้ ศึกษานเิ ทศก์ต้องเปน็ ผูม้ ีความรูค้ วามเข้าใจในภาพรวมและรายละเอียดของการจัด การศึกษา ท้ังเป้าหมาย วิธีการสู่เป้าหมายและการวัดและประเมินผล สามารถนิเทศ ช่วยเหลือ ส่งเสริม สนั บ สนุ นให้ ครูสาม ารถจัดก ารเรียน รู้ที่ มี คุณ ภ าพ ตามห ลั กสูต รส ถ าน ศึกษ าห รือห ลั กสูต รแก น กลาง การศึกษาขั้นพ้ืนฐานกาหนด และช่วยให้ผู้บริหารโรงเรียนสามารถบริหารสถานศึกษาได้บรรลุเป้าหมาย ตามมาตรฐานการศึกษา ขั้นพื้นฐานหรือเปน็ ไปตามนโยบายและจุดเน้นท่ีหนว่ ยงานตน้ สังกดั กาหนดอยา่ งมี คณุ ภาพ

หลกั สูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๕๕ ก่อนแต่งตั้งใหด้ ารงตาแหนง่ ศกึ ษานเิ ทศก์ ใบความรู้ท่ี ๒.๑.๓ เรอ่ื ง กฎกระทรวงการประกันคณุ ภาพการศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๖๑

หลักสตู รและแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนร้กู ารพฒั นาขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๕๖ ก่อนแตง่ ต้งั ให้ดารงตาแหน่งศึกษานิเทศก์

หลกั สตู รและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การพฒั นาขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๕๗ กอ่ นแตง่ ต้งั ใหด้ ารงตาแหนง่ ศกึ ษานเิ ทศก์ ใบกิจกรรมท่ี ๒.๑.๑ เรอื่ ง ศาสตรก์ ารนเิ ทศการศกึ ษา คาชี้แจง ๑. ผู้เข้ารับการพัฒนาแต่ละคนศึกษาค้นคว้า “ศาสตร์การนิเทศการศึกษา” ในเรื่อง ความหมาย ความสาคัญและจุดมุ่งหมายของการนิเทศ หลักการ รูปแบบและทฤษฏีท่ีเกี่ยวข้องกับการนิเทศการศึกษา จากใบความรู้ที่ ๒.๒.๑ เร่ือง ศาสตร์การนิเทศการศึกษา หรือ จากแหล่งการเรียนรู้อ่ืนๆ ได้แก่ สอบถาม จากผรู้ ู้ และเครอื ข่าย Internet เป็นต้น ๒. ผู้เข้ารับการพัฒนานาผลจากการศึกษาค้นคว้า มาวิเคราะห์ เปรียบเทียบกับความรู้และ ประสบการณ์เดิม แล้วสรุปเป็นองค์ความรู้ของตนเอง สร้างเป็นผลงาน โดยการเขียนเป็น “เรียงความ” ท่สี ะทอ้ นสาระสาคัญในเรือ่ ง ศาสตร์การนเิ ทศการศกึ ษา บนั ทกึ ลงในกจิ กรรม ๓. ให้สมาชิกแต่ละกลุ่ม คัดเลือกผลงานที่ดีท่ีสุดของกลุ่ม เพื่อนาเสนอต่อท่ีประชุมใหญ่ ๑ ผลงาน ใชเ้ วลานาเสนอ ช่ือ................................................ นามสกลุ ..................................................รนุ่ ที่...............กลมุ่ ท.่ี ..............  ศาสตรก์ ารนเิ ทศการศกึ ษา ............................................................................................................................. .......................................... ...................................................................................................................................................... ................. .................................................................................................................. ..................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ................................................................................................................................................................ ....... ........................................................................................................................... ............................................ ............................................................................................................................. .......................................... ....................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ........................................................................................ ............................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ..................................................................................................................................... .................................. ............................................................................................................................. .......................................... ........................................................................................ ............................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ..................................................................................................................................... .................................. ................................................................................................ ....................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ............................................................................................................................................. .......................... ........................................................................................................ ...............................................................

หลกั สตู รและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การพัฒนาขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๕๘ ก่อนแตง่ ต้ังให้ดารงตาแหน่งศกึ ษานเิ ทศก์ ใบกจิ กรรมที่ ๒.๑.๒ เร่ือง ความรู้พ้นื ฐานจาเปน็ ในการนิเทศการศึกษา คาชีแ้ จง ๑. ผู้เข้ารับการพัฒนาแต่ละคนศึกษาค้นคว้า “ความรู้พ้ืนฐานจาเป็นในการนิเทศการศึกษา” ใน สามเรอื่ งสาคัญ คือ ๑) การพัฒนาและการใช้หลักสูตร ๒) การประกันคุณภาพการศึกษา ๓) นโยบายและ จุดเน้นการจัดการศึกษาของ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน จากใบความรู้ท่ี ๒.๒.๒ เร่ือง ความรู้พ้ืนฐานจาเป็นในการนิเทศการศึกษา หรือ จากแหล่งการเรียนรอู้ ื่นๆ ได้แก่ สอบถามจากผู้รู้ และ เครือขา่ ย Internet เปน็ ตน้ ๒. ผู้เข้ารับการพัฒนานาผลจากการศึกษาค้นคว้า มาสร้างเป็น “ผลงานอิสระ” ท่ีสะท้อน สาระสาคัญในสามเรือ่ งสาคัญดงั กลา่ ว บันทึกลงในใบกจิ กรรม ๓. ให้สมาชิกแต่ละกลุ่ม คัดเลือกผลงานที่ดีท่ีสุดของกลุ่ม เพื่อนาเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ ๑ ผลงาน ใช้เวลานาเสนอ ช่อื ................................................ นามสกลุ ..................................................รุ่นท่ี...............กลุ่มท.ี่ ..............  ความรู้พน้ื ฐานจาเปน็ ในการนิเทศการศึกษา ............................................................................................................................. .......................................... ....................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ............................................................................................................................. .......................................... ....................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ............................................................................................................................. .......................................... ....................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ........................................................................................ ............................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ..................................................................................................................................... .................................. ................................................................................................ ....................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ............................................................................................................................................. .......................... ........................................................................................................ ............................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ..................................................................................................................................................... .................. ................................................................................................................ ....................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ............................................................................................................................................................. ..........

หลักสูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้การพฒั นาขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๕๙ กอ่ นแตง่ ตั้งให้ดารงตาแหน่งศกึ ษานเิ ทศก์ กจิ กรรมหนว่ ยย่อยที่ ๒.๒ ทักษะของผู้นิเทศการศึกษา เวลา ๓ ช่ัวโมง สาระสาคัญ ในการนิเทศเพ่ือพัฒนาคุณภาพการศึกษาน้ัน ผู้นิเทศจะต้องมีความรู้ มีความเชี่ยวชาญ มีความ ชานาญในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานร่วมกับครู เพ่ือให้สามารถปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพ การศึกษาให้บรรลุผลสาเร็จตามวัตถุประสงค์ ในการนิเทศการศึกษาผู้นิเทศจะต้องมีทักษะที่จาเป็นหลาย ด้าน ได้แก่ ทักษะเชิงมนุษย์ ทักษะทางวชิ าการและทกั ษะเชิงบริหารจัดการ ถ้าขาดทักษะที่จาเป็นเหล่าน้ี กไ็ มส่ ามารถที่จะปฏบิ ัติการนิเทศใหป้ ระสบผลสาเร็จไดเ้ ช่นกัน วัตถปุ ระสงค์ ๑. เพอื่ พัฒนาความรูค้ วามเข้าใจ เรอื่ งทักษะของผนู้ ิเทศการศึกษา ๒. เพอื่ พัฒนาทักษะของผู้นิเทศการศกึ ษา ขอบข่ายเนอ้ื หา ทกั ษะของผ้นู ิเทศการศึกษา เช่น - การพัฒนาบุคลิกภาพ - การสือ่ สาร เชน่ การพูด การเขียน ฯลฯ - มนุษยสัมพนั ธ์ - ภาวะผนู้ า - การตัดสนิ ใจ - การสรา้ งขวัญกาลงั ใจและการใหข้ ้อมูลยอ้ นกลบั แนวทางการจดั กิจกรรม ๑. สมาชิกแต่ละกลุ่ม ศึกษาใบความรู้ท่ี ๒.๒.๑ เรือ่ ง ทกั ษะของผ้นู ิเทศการศึกษา และปฏิบัติตาม ใบกจิ กรรมที่ ๒.๒.๑ เรือ่ ง ทักษะของผ้นู เิ ทศการศกึ ษา ๒. สมาชิกฝึกปฏิบัติทักษะการพูดเป็นรายบุคคล ตามใบกิจกรรมท่ี ๒.๒.๒ เรื่อง ทักษะการพูด ตามประเดน็ ท่กี าหนด ๓. วทิ ยากรให้ตวั แทนกลุ่ม นาเสนอท่ีประชมุ ใหญ่ ๔. วทิ ยากรและผ้เู ขา้ รับการพัฒนาร่วมกนั สรปุ องค์ความรู้ สื่อ/แหล่งการเรยี นรู้ ๑. ใบความรู้ท่ี ๒.๒.๑ เร่อื ง ทกั ษะของผนู้ เิ ทศการศกึ ษา ๒. ใบกจิ กรรมที่ ๒.๒.๑ เร่ือง ทักษะของผู้นเิ ทศการศกึ ษา ๓. ใบกิจกรรมที่ ๒.๒.๒ เร่อื ง ทกั ษะการพดู ตามประเดน็ ที่กาหนด ๔. ใบความรูเ้ สรมิ (นอกเวลา) ทักษะที่จาเปน็ ของผู้นิเทศในทศั นะของศึกษานิเทศก์ ๕. วีดิโอ เรือ่ ง การส่อื สารท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพ ของ นายทองสุข มันตราทร การวัดและประเมินผล สังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วม และการนาเสนอผลงาน

หลกั สูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรกู้ ารพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๖๐ กอ่ นแตง่ ตั้งให้ดารงตาแหน่งศกึ ษานิเทศก์ ใบความรู้ที่ ๒.๒.๑ เรือ่ ง ทกั ษะของผู้นเิ ทศการศกึ ษา ความสาคัญของการฝึกทักษะการนิเทศ ได้แก่ ทักษะทางวิชาการ ทักษะเชิงมนุษย์ และทักษะ เชงิ บริหาร ๑. การส่ือสาร ความหมาย การสื่อสาร (Communication) แปลว่า การติดต่อ บอก แจ้ง คมนาคม สาร จดหมายโทรเลข (สอ เสถบุตร, ๒๕๑๘ : ๑๔๔) การส่ือสาร (Communication) หมายถึง การติดต่อกันระหว่างมนุษย์ เพ่ือทาให้ผู้รับรู้เรื่องราว อนั มีความหมายรว่ มกัน และเกิดการตอบสนอง (สวนติ ยมาภยั , ๒๕๓๘ : ๗) การส่ือสาร (Communication) คือ กระบวนการถ่ายทอด สารสนเทศ และความคิด ตลอดจน เจตคติ เพอื่ ทาความเข้าใจร่วมกันระหวา่ งผู้ส่งกบั ผู้รบั สรุปการสื่อสารเป็นการติดต่อกันระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคล โดยมีจุดประสงค์ที่จะเสนอ เรื่องราวต่าง ๆ อันได้แก่ ข้อมูลข่าวสาร ความรู้สึกนึกคิด ความต้องการ ตลอดจนความคิดเห็นในเร่ืองต่าง ๆ ใหบ้ คุ คลหรอื กลุ่มบคุ คลรับรู้ การสื่อสารมีประโยชน์ท้ังในแง่บุคคลและในแง่สังคม ในแง่บุคคลทาให้คนเราสามารถรับรู้ ความรู้สึกนึกคิดและความต้องการของผู้อ่ืน ก่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน การสื่อสารทาให้คนมีความ รู้ และโลกทัศน์กว้างขวางข้ึน เพราะได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารจากแหล่งต่างๆ ประโยชน์ของการส่ือสารในแง่ สังคมก็คือ การสื่อสารเป็นกระบวนการท่ีทาให้สังคมเจริญก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ทาให้มนุษย์สามารถ สืบทอดและพัฒนาวัฒนธรรมของตนเอง สามารถเรียนรู้และรับรู้วัฒนธรรมของสังคมอื่น เพ่ือนามา ปรับปรุงวัฒนธรรมของตน ตลอดจนสามารถถ่ายทอดวัฒนธรรมของตนไปสู่คนรุ่นใหม่อย่าง ไม่จบสน้ิ องค์ประกอบของการส่ือสาร กระบวนการสื่อสาร ประกอบด้วยสว่ นสาคญั ได้แก่ ๑. ฝ่ายทสี่ ง่ เร่อื งไป เรียกว่า ผู้ส่งสาร (Sender) ๒. เรอื่ งทส่ี ง่ ไป เรียกว่า สาร (Message) ๓. ตัวกลางท่นี าเรื่องไป เรียกวา่ สอ่ื (media) หรือ ช่องทาง (Channel) ๔. ฝา่ ยท่ีรบั เร่อื ง เรยี กว่า ผ้รู ับสาร (Response) ๕. การรับรู้ เรียกวา่ ปฏิกิริยาตอบสนอง (Receiver) อุปสรรคของการสอื่ สาร อุปสรรคของผู้ส่งสาร เช่น ขาดความรู้ในเรื่องที่นาเสนอ ความบกพร่องของผู้ส่งสารอันเกิดจาก สภาพรา่ งกายหรอื จิตใจไมป่ รกติ ผู้ส่งสารขาดความสามารถในการสอ่ื สาร ทาให้การสอ่ื สารไม่ประสบผลสาเร็จ อุปสรรคทีส่ าร เช่น สารเป็นเรื่องยากเกินไป ใช้รปู แบบที่ซับซ้อน สารน้ันขัดแย้งกับความเช่ือและ ค่านยิ มของผ้รู บั สาร ทาใหไ้ มป่ ระสบความสาเร็จในการส่ือสารเทา่ ทคี่ วร

หลักสตู รและแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้การพฒั นาขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๖๑ กอ่ นแตง่ ต้ังใหด้ ารงตาแหน่งศกึ ษานิเทศก์ อุปสรรคท่ีสื่อ เช่น สื่อถูกรบกวนหรือส่ือชารุดบกพร่อง ส่ือเทคโนโลยีส่วนมากจะเกิดปัญหา ความชารุดของส่ือ เช่น โทรศพั ทข์ ัดข้อง วทิ ยุโทรทัศน์ชารดุ ทาให้สื่อสามารถทาหน้าท่ีนาสารไปสผู่ ู้รบั สาร ได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ อุปสรรคท่ีผู้รับสาร เช่น ผู้รับสารมีอคติต่อผู้ส่งสาร หรือมีอคติต่อสาร ผู้รับสารมีความคิดเห็น แตกตา่ งกับสาร ผู้รับสารขาดความพรอ้ มเจบ็ ป่วย ร่างกายจิตใจผดิ ปรกติ อุปสรรคของการสื่อสารเกิดข้ึนทอ่ี งคป์ ระกอบส่วนใดส่วนหนงึ่ หรือหลายส่วนรวมกัน หากจะทาให้ การสอื่ สารสมั ฤทธิผ์ ลจะต้องแกไ้ ขทอี่ งคป์ ระกอบอนั เปน็ ปัญหา ภาษาที่ใชใ้ นการส่อื สาร ภาษาทใ่ี ช้ในการส่อื สารมี ๒ ประเภท ได้แก่ ๑. ภาษาถ้อยคา หรือวจั นภาษา ไดแ้ ก่ ภาษาพดู ภาษาเขียน ๒. ภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคา หรืออวัจนภาษา ได้แก่ แสง สี เสียง สัญลักษณ์ การเคลื่อนไหวร่างกาย การสัมผัส การมอง ฯลฯ การใช้ภาษาเพ่ือการส่ือสารนั้นจะต้องใช้วัจนภาษาและอวัจนภาษาประกอบกัน ในขณะที่พูด แม้จะใช้ภาษาถ้อยคาแต่ต้องใช้ท่าทาง สายตา น้าเสียง ประกอบด้วย การใช้ภาษาในการส่งสาร มีข้อควรคานึงอยู่ ๓ ประการ ประการแรกจะต้องวิเคราะห์ตนเอง ในฐานะผู้ส่งสารว่ามีจดุ มุ่งหมายในการ สง่ สารอยา่ งไร ประการท่ีสองจะต้องวิเคราะหผ์ ้รู บั สารวา่ เป็นใคร โดยวิเคราะห์ อายุ ฐาน เพศ วยั พ้นื ฐานความรู้ ประการที่สาม โอกาสในการส่งสาร เช่น เป็นพิธีการ ก่ึงพิธีการ หรือกันเอง แล้วเลือกใช้ภาษาในการส่ือสารให้ เหมาะสม ๒. มนุษยสมั พนั ธ์ มนุษยสัมพันธ์ คือ การใช้ศาสตร์และศิลป์ในการเข้ากับบุคคล หรือกลุ่มบุคคล เพ่ือให้สามารถ ปฏบิ ตั ิงานสาเรจ็ อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ และขอ้ สาคัญคอื เกดิ ความพอใจทงั้ สองฝา่ ยด้วย มนุษยสัมพันธ์ เป็นเรื่องการสร้างความเข้าใจอันดี เพ่ือให้เกิดความรู้สึกที่ดี เกิดความพอใจ เกิดความรักใคร่ การท่ีคนเราจะอยู่ด้วยกันได้ต้องอาศัยความรักความเข้าใจอันดีต่อกัน เม่ือเขารักและ เข้าใจเราดีแล้ว ก็จะเกิดความรู้สึกอยากช่วยเหลือ ให้ความร่วมมือสนับสนุนด้วยความจริงใจและเต็มใจ ถา้ ทั้งสองฝ่าย มีมนุษยสมั พนั ธ์กันด้วยดี ผลงานในท่ีทางานยอ่ มดตี ามไปดว้ ย การทางานกับบุคคลทั่วไป ซ่ึงมีความแตกต่างกันท้ังในด้านพ้ืนฐานและประสบการณ์ ฐานะเศรษฐกิจ และสังคมตลอดจนลักษณะนิสัย จึงจาเป็นต้องใช้หลักมนุษยสัมพันธ์ช่วยส่งเสริมการทางานให้บรรลุ เป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ทาให้เกิดการยอมรับนับถอื ศรัทธา และยอมกระทาตามคาแนะนา ร่วมคิด รว่ มทาดว้ ยความสมคั รใจ ทกั ษะมนุษยสัมพันธ์ ทที่ าใหเ้ ปน็ ผ้มู ีมนษุ ยสัมพนั ธ์ที่ดี ไดแ้ ก่ ๑. ความเข้าใจตนเอง - สารวจตนเองว่ามคี วามบกพร่องด้านใดและพยายามปรับปรุงแกไ้ ขข้อบกพร่องของตน - ใหผ้ อู้ ่ืนชว่ ยพิจารณาตวั เรา เช่น การแตง่ กาย การพูด การแสดงท่าทาง ๒. ความเขา้ ใจผู้อน่ื - ยอมรบั ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล - ยอมรับพฤติกรรมของบคุ คลทั้งส่วนดีและข้อบกพร่อง ๓. ปรับปรุงตนเองตามหลักการสร้างมนุษสัมพนั ธ์

หลกั สูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การพฒั นาข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๖๒ ก่อนแตง่ ตงั้ ให้ดารงตาแหนง่ ศกึ ษานเิ ทศก์ หลกั การสรา้ งมนุษยสมั พนั ธ์ ๑. หลัก ๓ ยอ ได้แก่ ยมิ้ แย้ม ยัว่ ยุ ยกยอ่ ง ๒. หลกั สงั คหวัตถุ ๔ ไดแ้ ก่ ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานตั ตตา ๓. หลกั ของขงจอ๊ื ได้แก่ ปดิ หู ปิดตา ปดิ ปาก ๔. หลักทฤษฎีของ Heider ได้แก่ การผูกมิตรสัมพันธ์กับผู้อ่ืน ต้องศึกษาว่าเขาชอบหรือสนใจอะไร ไมพ่ ูดซา้ ซาก แลกเปล่ียนความคิดเหน็ กนั ทาตนเป็นมิตรที่ดี ๕. หลักในการปรับตนเองเพื่อให้เกิดศรัทธา ได้แก่ มีความอดทนและรักษาอารมณ์ได้ ส่งเสริม ยกย่องอย่างจริงใจ ให้คาชมเชยเมื่อทางานเสร็จ วิจารณ์ผลงานอย่างยุติธรรม เป็นนักฟังที่ดี พูดไพเราะ แจ่มแจง้ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ๖. หลักการเอาชนะใจคนให้เห็นด้วยกับความคิดของเรา ได้แก่ การไม่โต้เถียง เคารพในความคิดเห็น ของผอู้ ่ืน เมือ่ ผิดต้องรบั ผิดทันที เริ่มตน้ ด้วยความเป็นมิตร พูดจาไพเราะนุม่ นวล พยายามให้มีความรู้สึกว่า ความคิดน้ันเป็นของผู้สนทนาทาให้เขายอมรับว่า “ใช่” เอาใจเขามาใส่ใจเรา เห็นใจในความผิดหรือความบกพร่อง ของผู้อ่นื ชป้ี มเดน่ อยา่ กล่าวถงึ ปมดอ้ ย แสดงความคิดเหน็ อยา่ งสนกุ สนาน คุณลักษณะของผ้มู ีมนุษยสัมพันธ์ท่ดี ี ๑. รจู้ ักการคบคนทุกเพศทุกวยั ๒. มคี วามรดู้ ี ๓. มีความมน่ั ใจในตนเอง ๔. มีบคุ ลกิ ภาพทด่ี ี ๕. เป็นนกั ฟงั ทีด่ ี ๖. มนี ิสยั รักการอา่ น ๗. มศี ิลปะการถ่ายทอด ๘. รบั ฟังคาวิจารณ์ ๙. มอี ารมณ์ขนั การเสรมิ สร้างเสนห่ ใ์ ห้ตนเอง ๑. ย้ิมแย้มนา ๒. จาช่อื ได้ ๓. ให้การยอมรับ ๔. จับจติ ใจเขา ๕. เราหมัน่ ยกยอ่ ง ๖. สอดส่องเอาใจใส่ ๗. มนี ้าใจเกอื้ กูล ๘. เพิม่ พูนการฟัง ๙. เอ่ยอ้างทเี่ ขาชอบ ๑๐. พรอ้ มมอบความสุข

หลักสตู รและแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนร้กู ารพัฒนาขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๖๓ ก่อนแต่งต้งั ใหด้ ารงตาแหน่งศึกษานเิ ทศก์ พฤตกิ รรมทีค่ วรหลีกเลี่ยง ๑. คิดมาก ๒. ปากโป้ง ๓. หลงตนเอง ๔. เก่งนินทา ๕. หนา้ งอเง้า ๖. เจา้ อารมณ์ ๗. มีปมดอ้ ย ๘. ใจนอ้ ยเหลือ พฤติกรรมท่ีพงึ กระทา ๑. ยิ้มแย้มแจม่ ใส ๒. ทักทายคนอื่นก่อน ๓. ยกย่องสรรเสรญิ ๔. เสมอตน้ เสมอปลาย ๕. รู้จกั ใหเ้ ปน็ นสิ ัย ๖. มคี วามจรงิ ใจ ๗. ไม่เป็นไรเสยี บ้าง ๓. ทกั ษะการพัฒนาบุคลกิ ภาพ บุคลิกภาพ (Personality) หมายถึง ลักษณะและพฤติกรรมเฉพาะของบุคคลซ่ึงเป็นเอกลักษณ์ ท่ไี มเ่ หมอื นใครและไมม่ ีใครเหมือน แบง่ ออกเป็น๒สว่ นคือบคุ ลิกภายนอกและบุคลกิ ภายใน บุคลิกภายนอก ได้แก่ ลักษณะที่มองเห็นเป็นรูปธรรม สัมผัสไดด้ ้วยประสาททั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จาแนกตามลักษณะที่แตกต่างกัน คือลักษณะรูปร่าง ลักษณะใบหน้า สุขอนามัย กิริยามารยาท การแต่งกาย ลกั ษณะการพูด ลกั ษณะทา่ ทาง การใชภ้ าษา การใชส้ ายตา บุคลิกภายใน ได้แก่ สติปัญญา อุปนิสัย คุณธรรม ทัศนคติ ความรับผิดชอบ ความคิดสร้างสรรค์ ความเชือ่ ม่นั ตนเอง อารมณ์ ปฏิภาณไหวพรบิ ลักษณ ะของผู้มีบุคลิกภาพดี ท้ังบุคลิกภายนอก บุคลิกภายใน สามารถสรุปได้ว่า ผ้มู ีบุคลิกภาพดี จะตอ้ งรจู ักสร้างบคุ ลิกภาพของตน ดังน้ี ๑. รูปร่างดี ๒. สขุ ภาพดี ๓. แต่งกายดี ๔. มารยาทดี ๕. ความรูด้ ี ๖. จิตใจดี ๗. ความคิดดี ๘. พูดดี ๙. อารมณด์ ี

หลกั สตู รและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นร้กู ารพัฒนาขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๖๔ กอ่ นแต่งตัง้ ใหด้ ารงตาแหน่งศึกษานิเทศก์ การสร้างความม่ันใจ ความมั่นใจตนเองเป็นบุคลิกภาพภายในของบุคคล เช่น กล้าพูด กล้าแสดง กิริยาท่าทางงามสง่า สร้างความเล่ือมใสศรัทธาแก่ผู้พบเห็น ในทางตรงข้ามถ้าขาดความมั่นใจ ตนเอง อาจเกิดความประหม่า ต่ืนเต้น แสดงกิริยาท่าทางท่ีไม่พึงประสงค์ออกมาโดยไม่รู้ตัว เป็นผลเสียต่อ บุคลกิ ภาพได้ จงึ ตอ้ งสรา้ งความมั่นใจตามแนวปฏิบัติ ดงั น้ี ๑. การเลือกเรื่อง จงพูดเร่ืองท่ีเรารู้ดีท่ีสุด การพูดเรื่องท่ีเรามีความรู้ ความถนัด คือ การสร้าง ความม่ันใจในการพูด ดังนั้น การเลือกเร่ืองที่จะพูดควรพิจารณาจากเรื่องที่กระแสสังคมกาลังสนใจ เป็นเร่อื งทีผ่ พู้ ดู สนใจและต้องการพูด เปน็ เรอ่ื งท่ีผฟู้ งั สนใจ ๒. การวิเคราะหผ์ ู้ฟัง ถ้าผู้พดู ร้จู ักฟงั มากเท่าใด ยอ่ มส่งผลให้การพูดมปี ระสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น เพราะผฟู้ ังเป็นองค์ประกอบสาคัญของกระบวนการส่ือสารดว้ ยคาพูด ผู้พูดจะต้องศึกษาและวิเคราะห์ผู้ฟัง ในดา้ นตา่ ง ๆ เพอ่ื วางแผนและเตรยี มการพูด ๓. การเตรียมเรอื่ ง ต้องรวบรวมเน้ือทีจ่ ะพดู ใหเ้ หมาะสมกับเวลาและจุดมุ่งหมายและผูฟ้ ังกาหนด โครงสร้างการพดู ตามขั้นตอนดงั น้ี - ชอ่ื เรอื่ ง ต้องน่าสนใจ - การทักทายผูฟ้ ัง - การขึน้ ตน้ (คานา) - เนอ้ื เรือ่ ง (รายละเอยี ด) - การลงทา้ ย (คาสรุป) ๔. การเตรียมตัว ได้แก่การเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมท่ีจะพูด ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง มีความพร้อม ท่จี ะพูดตามกาหนดนัดหมาย แตง่ กายให้เหมาะสมกาลเทศะ จิตใจเป็นสมาธิไมว่ ติ กกังวล ๕. การฝึกซอ้ ม ควรฝึกซ้อมทบทวนเน้อื หาทจ่ี ะพูด ลาดบั ขน้ั ตอนก่อนหลงั ตัวอยา่ งอา้ งองิ สานวน โวหาร การใชน้ ้าเสยี ง การใชท้ า่ ทาง ตลอดจนการใช้โสตทศั นปู กรณ์ต่าง ๆ ๖. มคี วามม่ันใจวา่ จะพูดได้ตามทเ่ี ตรยี มตัวเตรยี มใจ และฝกึ ซ้อมมา กล้าพูดกลา้ แสดง ๗. การควบคุมตนเอง มีสติสัมปชัญญะ คือ มีความรู้ตัวอยู่เสมอ ไม่เผลอตัว เกิดความประหม่า ตื่นเตน้ พูดผิดพดู ถูก ถา้ สามารถควบคุมตนเองได้ ๘. การไม่ยอมแพ้ มีความมุ่งมั่นต้ังใจแน่วแน่ จะต้องเป็นผู้ชนะทาได้สาเร็จสร้างขวัญและกาลังใจ ให้เข้มแข็ง มีความปรารถนาท่จี ะพูดใหด้ ีทีส่ ดุ ๙. การใช้โสตทัศนูปกรณ์ จะช่วยโน้มน้าวจูงใจให้ผู้ฟังสนใจตั้งใจฟังและติดตามเร่ืองท่ีพูด ตลอดเวลา ลดความกดดัน ความเครียด ความประหม่าลงได้ ๔. คณุ ลักษณะของผนู้ ิเทศการศึกษา ๑. มคี วามคดิ รเิ ริม่ สรา้ งสรรค์ ๒. มคี วามม่นั ใจในตนเอง ๓. มนษุ ยสัมพันธ์ดี เปดิ เผย ไม่เย่อหยิ่ง ๔. มสี ขุ ภาพดีทงั้ ทางกายและใจ ๕. มคี วามสามารถในการถ่ายทอดความรู้ ๖. มีเทคนคิ ในการพูดและสื่อความหมายได้ดี ๗. มีความสามารถในการสาธติ การสอน

หลกั สตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรกู้ ารพฒั นาขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๖๕ กอ่ นแต่งตงั้ ใหด้ ารงตาแหน่งศกึ ษานเิ ทศก์ ๕. ทกั ษะทีจ่ าเปน็ ในการนเิ ทศการศกึ ษา ๑. ทกั ษะด้านมนุษยสมั พันธ์ ๒. ทักษะการสือ่ สาร ๓. ทักษะการเป็นผนู้ า ๔. ทกั ษะกระบวนการกลมุ่ ๕. ทักษะการประเมนิ ผลการปฏิบัติ ๖. ภาวะผ้นู า ผูน้ า - บุคคลทม่ี ีความเปน็ ผูน้ าหรอื ภาวะผ้นู า - ผู้มีอิทธิพลหรือบุคคลอ่ืนๆ ในกลุ่ม สามารถทาให้บุคคลเหล่าน้ันกระทาส่ิงต่างๆ จนบรรลุ เปา้ หมายตามที่กาหนดไวไ้ ด้ ภาวะผู้นา กระบวนการที่มีอิทธิพลเหนือสมาชิกคนอื่นๆทาให้สมาชิกเหล่าน้ันมีการกระทาในแนวทางใด แนวทางหนึ่งจนบรรลุเป้าหมายทกี่ าหนดไว้ พลงั อานาจ ๑. อานาจจากการใหร้ างวลั ๒. อานาจเกดิ จากการบังคับ ๓. อานาจเกิดจากการทาใหถ้ ูกตอ้ งชอบธรรม ๔. อานาจเกิดจากการเป็นพรรคพวก ๕. อานาจจากความเชี่ยวชาญ คุณลกั ษณะของผ้นู าท่ีดี ๑. มีภาวะผนู้ าท่ีเหมาะสม ๒. พัฒนาบคุ ลากรอยู่ตลอดเวลา ๓. มคี วามคิดรเิ ริม่ สรา้ งสรรค์ ๔. ใหส้ วัสดกิ าร ขวญั กาลงั ใจแก่สมาชิก คณุ สมบัติของผนู้ าวิชาการที่ดี ๑. รูท้ ันรนู้ าโลก ๒. เรยี นรู้ชานาญ เช่ียวชาญปฏบิ ัติ ๓. รวมพลังสรา้ งสรรค์สงั คม ๔. รกั ษ์วฒั นธรรมไทยใฝ่สันติ ๕. เป็นผู้มีมนษุ ยสมั พันธ์ ๖. มนี ิสัยรกั การอ่าน ๗. มศี ลิ ปะการถ่ายทอด ๘. รับฟังคาวจิ ารณ์ ๙. มอี ารมณข์ ัน

หลกั สูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรกู้ ารพฒั นาข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๖๖ กอ่ นแต่งต้ังใหด้ ารงตาแหนง่ ศกึ ษานเิ ทศก์ ใบกจิ กรรมท่ี ๒.๒.๑ เร่ือง ทักษะของผนู้ เิ ทศการศึกษา คาชี้แจง ให้ผเู้ ข้ารบั การพฒั นาสรปุ องค์ความรู้ เก่ียวกับทักษะของผ้นู ิเทศการศึกษา ในประเดน็ ทกั าะเชงิ มนุษย์ และทกั ษะในการบริหารจัดการ ชอ่ื ............................................. นามสกุล......................................................รุน่ ท่ี...............กลุ่มท.่ี ..............  การสรุปองคค์ วามรู้ ๑. ทักษะเชิงมนุษย์ ............................................................................................................................. .......................................... ......................................................................................... .............................................................................. ............................................................................................................................. .......................................... ........................................................................................................................................ ............................... .................................................................................................... ................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ................................................................................................................................................. ...................... ............................................................................................................ ........................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ......................................................................................................................................................... .............. ๒.ทักษะในการบรหิ ารจัดการ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………..…………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ............................................................................................................................. .......................................... ........................................................................................ ............................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ..................................................................................................................................... .................................. ................................................................................................ ....................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ............................................................................................................................................. .......................... ............................................................................................................................. .......................................... ........................................................................................ ...............................................................................

หลกั สตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรกู้ ารพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๖๗ กอ่ นแตง่ ตัง้ ใหด้ ารงตาแหนง่ ศึกษานเิ ทศก์ ใบกจิ กรรมท่ี ๒.๒.๒ เรอ่ื ง ทกั ษะการพูดตามประเดน็ ทก่ี าหนด คาชแ้ี จง ๑. ให้ผเู้ ข้ารบั การพัฒนาจบั ฉลากประเด็นการพูด คนละ ๑ ประเด็น ๒. ผ้เู ข้ารับการพัฒนาพูดตามประเด็นท่ีจบั ฉลากได้ คนละ ๓ นาที ภายในกล่มุ ๓. สมาชิกในกลุม่ และวิทยากรพเ่ี ล้ยี ง ใหข้ ้อเสนอแนะในการพดู ๔. สมาชกิ กลมุ่ คดั เลือกตวั แทนทีพ่ ูดดีทส่ี ดุ ๑ คน เพื่อนาเสนอในกลุ่มใหญ่ ประเด็น ประเด็นท่ี ๑ : การพูดสรา้ งขวญั กาลังใจใหก้ ับครู ประเด็นที่ ๒ : การพดู สรา้ งแรงจงู ใจใหก้ บั ครูในการปฏิบัติงาน ประเด็นที่ ๓ : การพดู สะทอ้ นผลการปฏิบตั ิงานของครู ประเดน็ ท่ี ๔ : การพูดแนะนาตนเองกบั ผู้บรหิ ารและคณะครู ประเดน็ ที่ ๕ : การพดู ใหข้ อ้ เสนอแนะในการปฏิบัติงานของครู ประเดน็ ที่ ๖ : การพดู เม่ือถกู เชิญใหพ้ บปะต่อหนา้ ท่ีประชมุ ครู

หลักสูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนร้กู ารพฒั นาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๖๘ ก่อนแตง่ ตั้งให้ดารงตาแหนง่ ศึกษานิเทศก์ ใบความรเู้ สริม (นอกเวลา) เรื่อง ทกั ษะท่ีจาเปน็ ของผูน้ ิเทศในทศั นะของศกึ ษานิเทศก์ เพือ่ ให้ผูร้ ับการพฒั นามีความรคู้ วามเขา้ ใจทักษะท่จี าเป็นต้องใช้ในการนิเทศเนื้อหา ๑. ศึกษานิเทศก์คือใคร ผู้เข้าร่วมสัมมนาส่วนใหญ่เห็นว่าศึกษานิเทศก์ คือ เพ่ือนท่ีแสนดีหรือ กัลยาณมติ รนเิ ทศ สาหรบั บางสว่ นมคี วามเห็นวา่ ศึกษานิเทศกเ์ ปน็ หมอของครู และครขู องครู ๒. ทักษะเชงิ มนุษย์ ศึกษานิเทศก์มอื อาชพี ควรมีทกั ษะเชิงมนุษย์ ดงั น้ี ๒.๑ เจตคตทิ ดี่ ี รกั และศรทั ธาในวชิ าชีพศกึ ษานเิ ทศก์ ๒.๒ คุณธรรม จริยธรรมและมี EQ สูง มองโลกในแง่ดี รู้จักตนเอง มีความพอดี มีความ โปร่งใส และตรวจสอบได้ มีความกล้าทางจริยธรรมท่ีจะยืนอยู่บนหลักวิชา ตั้งหมั่นอยู่บนหลักการ กล้า เสนอแนะเพ่ือปรับปรุงพัฒนาเมื่อเห็นว่าขัดกับหลักการ มีรับผิดชอบต่อหน้าท่ี ตรงเวลา ซ่ือสัตย์ เป็น แบบอย่างที่ดี มีนิสัยช่วยเหลือผู้อ่ืน อดทน ใจกว้าง มีสติสัมปชัญญะ ไม่หวังผลตอบแทน เป็นผู้เสียสละ เพอื่ สงั คมและประเทศชาติ ๒.๓ มุ่งม่ันพัฒนาตนเองอยู่เสมอเป็นคนทันสมัย ขยันหมั่นเพียร รักการเรียนรู้ ใฝ่รู้ใฝ่ เรียน มสี ปริ ิต (Spirit) ๒.๔ เป็นผู้นาทางวิชาการ เป็นผู้นาการเปลี่ยนแปลง โดยใช้พลังทางวิชาการ ทาให้เกิด การเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการ การจัดการเรียนการสอนและระบบการสนับสนุนต่าง ๆ เป็นต้นหรือ สามารถเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการปฏบิ ตั งิ าน ๒.๕ มีมนุษยสัมพันธท์ ่ีดี มีความจริงใจ ประสานสัมพนั ธ์ สามารถทางานร่วมกบั คนอน่ื ได้ อย่างสร้างสรรค์ และเป็นกัลยาณมิตรกับทุกคน มีความสามารถในการทางานเป็นทีม อารมณ์ดี ย้ิมแย้ม แจม่ ใส ปิยวาจา ๒.๖ บุคลิกภาพดี การพูด การฟัง การเดินการเคล่ือนไหว การแสดงออกทางสีหน้า ทา่ ทางสงา่ งาม มีความอดทด อดกลั้น อารมณ์ดี การแต่งกายเหมาะสม สะอาด สุภาพเรียบร้อย สขุ ภาพ กาย สขุ ภาพจิตดี รูปรา่ งหน้าตาสดชืน่ ๓. ทักษะทางวิชาการ ศึกษานิเทศก์มืออาชพี เปน็ ผู้มีความรู้ความสามารถในดา้ นวิชาการ โดย คณุ ลักษณะ ดังนี้ ๓.๑ มวี ิสยั ทัศน์ ๓.๒ มีทักษะการวิจัย เป็นผู้นาทางวิชาการ จึงต้องมีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ค้นคว้า องค์ความรู้ สร้างและพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา เพ่ือนาไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพ การศึกษา ใช้การวิจัยเป็นเครื่องมือ สร้างและพัฒนาองค์ความรู้ นวัตกรรมทางการศึกษา ท่ีเชื่อถือและมี ประสิทธิภาพ ควรทาวิจัยร่วมกับผู้บริหารและครู เปน็ การแก้ปัญหาและเรียนรรู้ ่วมกัน วธิ ีการน้จี ะเป็นการ พัฒนาผู้บริหารและครูครบวงจร ศึกษานิเทศก์ก็จะเป็นผู้นาทางวิชาการร่วมกับผู้บริหารและครูสร้างและ พัฒนาองค์ความรู้ นวตั กรรมทางการศึกษา จึงช่วยใหศ้ ึกษานิเทศก์เป็นผรู้ ู้จริง ทาเป็นและสามารถนิเทศให้ ผู้รบั การนิเทศนาไปสู่การปฏิบัติได้ รวมท้ังผลการทาวิจัยร่วมกันก็จะเป็นการสรา้ งสัมพันธภาพท่ีดีระหว่าง กนั เกดิ การยอมรับและขวัญกาลงั ใจ ๓.๓ มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา สามารถสืบค้นข้อมูลสารสนเทศได้ ทนั สมยั ทันโลกและทนั ต่อการเปลย่ี นแปลง ใชเ้ ทคโนโลยีในเพอ่ื การนิเทศได้อย่างความฉับไวและทันการณ์

หลกั สตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรกู้ ารพฒั นาขา้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๖๙ ก่อนแต่งต้ังใหด้ ารงตาแหน่งศกึ ษานเิ ทศก์ ๓.๔ มีทกั ษะในการบริหารจัดการ ศกึ ษานิเทศกส์ ามารถบริหารจดั การ นาแนวคดิ ทฤษฎี และกฎหมาย ระเบยี บ นโยบายของหน่วยงานต้นสังกัดลงสู่การปฏบิ ตั ิได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ ๓.๕ ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ศึกษานิเทศก์ต้องพัฒนาตัวเองให้มีความชานาญเฉพาะ ทางให้ได้ เช่น การประกันคุณภาพการศึกษา การประเมินผลการศึกษา การบริหารจัดการการศึกษา การ พัฒนาหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน ส่ือ คู่มือครู แผนการเรียนรู้ เป็นต้น ซึ่งต้องเป็นผู้รู้จริง ทาเป็น และสามารถนิเทศให้ผู้รับการนิเทศนาไปสู่การปฏิบัติได้ จึงมีความจาเป็นจะต้องมีความรู้ความเช่ียวชาญ เฉพาะทางสามารถแกป้ ัญหาให้โรงเรียนได้ ๓.๖ ความสามารถในการบูรณาการ นอกจากจะต้องมีความรคู้ วามเชย่ี วชาญเฉพาะทาง แล้ว ควรมคี วามรูค้ วามสามารถในการบรู ณาการสาระการนิเทศทุกเรอื่ งลงในภารกจิ โดยไม่แยกส่วน ๓.๗ มีทักษะในการตรวจ ตดิ ตามและประเมินผล ๓.๘ มีทักษะด้านภาษาต่างประเทศอยา่ งน้อยทักษะด้านภาษาอังกฤษ ๔. ทกั ษะการนิเทศ ศกึ ษานิเทศกม์ อื อาชพี ควรมคี วามรูค้ วามสามารถในด้านการนเิ ทศ ดังน้ี ๔.๑ มีความรู้ความสามารถในการนาแนวคดิ ทฤษฎี และกฎหมาย ระเบียบ นโยบายของ หน่วยงานตน้ สงั กดั ลงสู่การปฏิบตั ิไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพ คือรแู้ ละทาได้ดว้ ย ๔.๒ ทักษะในการสื่อสาร การนิเทศเป็นการใช้ท้ังศิลป์และศาสตร์ ศึกษานิเทศก์ควรมี ทักษะในการสอ่ื สารหลายรูปแบบ เพอื่ ใชไ้ ด้ในทุกโอกาสและทุกช่องทางอย่างเหมาะสมและมีประสทิ ธิภาพ สามารถทาเร่ืองยากให้เป็นเรื่องง่าย เช่น มีทักษะในการพูด การเขียน การผลิตสื่อและใช้ส่ือที่สอดคล้อง เหมาะสมกบั เร่อื งที่นเิ ทศ ๔.๓ มีทักษะในการนิเทศ สามารถเลือกรูปแบบการนิเทศได้อย่างเหมาะสม ดาเนินการ อย่างเป็นระบบครบวงจรและมีคุณภาพสูง โดยมีเป้าหมายชัดเจนตรงกับความต้องการและปัญหาของ โรงเรียน ผบู้ รหิ าร ครแู ละนกั เรยี น มีทักษะในการจดั กจิ กรรมการแลกเปล่ียนเรียนรู้ มีความรูค้ วามสามารถ ใช้เทคนิค การนิเทศในรูปแบบต่าง ๆ ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม ดังนักพัฒนา ให้ผู้รับการ นิเทศ เกิดการพัฒนาได้สาเร็จและตรงกับความต้องการ สาหรับเทคนิคการนิเทศท่ีน่าสนใจ เช่น เทคนิค การนิเทศแบบ ICT เทคนิคการมีส่วนร่วมเป็นการแลกเปล่ียนเรียนรู้ กระตุ้นให้ครูมีส่วนร่วมในการคิด วิเคราะห์ สร้างองค์ความรู้และพัฒนาการสอน เป็นต้น โดยใช้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางการนิเทศ เกิด ประโยชน์และคุณภาพใหก้ บั โรงเรยี นอยา่ งต่อเนอ่ื งเป็นการพัฒนาที่ย่ังยืน ตัวช้ีวดั ความสาเร็จการนิเทศให้ดู ความพงึ พอใจของโรงเรยี นและโดยเฉพาะคุณภาพของนักเรยี น ๔.๔ มีจติ วทิ ยาการนิเทศ รู้จักคนและเขา้ ใจคน

หลกั สูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรกู้ ารพฒั นาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๗๐ ก่อนแตง่ ตง้ั ใหด้ ารงตาแหนง่ ศึกษานเิ ทศก์ กิจกรรมหน่วยย่อยที่ ๒.๓ ทักษะการใช้ ICT เพื่อการนเิ ทศการศึกษา เวลา ๓ ชวั่ โมง สาระสาคญั ทักษะ ICT เพ่ือการนิเทศการศึกษา เป็นทักษะสาคัญในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบ Cloud Computing มาใช้ในการนิเทศการศึกษา เช่น การใช้ปฏิทินการนิเทศออนไลน์ (Google Calendar, Outlook Calendar) การจัดเก็บส่ือ นวัตกรรมการนิเทศออนไลน์ (Google Drive, One Drive) การสร้างเคร่ืองมือวิจัย/ลงทะเบียนออนไลน์/แบบประเมินออนไลน์ (Google Form, Microsoft form) เพื่อการนเิ ทศสาหรับผู้นิเทศการศึกษา ทสี่ ่งผลให้การปฏบิ ัติงานในความรบั ผิดชอบของ ศกึ ษานเิ ทศก์ มีประสิทธิภาพมากย่งิ ขนึ้ วตั ถุประสงค์ ๑. เพื่อพัฒนาความรู้ ความเข้าใจในระบบ Cloud Computing ของหน่วยศึกษานิเทศก์ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน ๒. เพ่ือพัฒนาความสามารถในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศระบบ Cloud Computing เพอ่ื การนเิ ทศการศกึ ษา ขอบข่ายเนอื้ หา ๑. ความหมายระบบ (Cloud Computing) ๒. การบรกิ ารบนระบบ (Cloud Computing) ๓. ตัวอย่างผใู้ หบ้ รกิ าร SaaS ๔. G Suite & Office 365 สาหรับการศึกษา ๕. G Suite for Education ของหนว่ ยศึกษานิเทศก์ ๖. การเขา้ ใช้งาน G Suite for Education แนวทางการจัดกจิ กรรม ๑. ผูเ้ ขา้ รับการอบรมทาแบบทดสอบก่อนการอบรม ๒. วทิ ยากรรว่ มแลกเปล่ียนเรียนรู้ ประกอบการใชส้ ่ือเพ่ือสรา้ งความเข้าใจในระบบ Cloud Computing ของหนว่ ยศึกษานิเทศก์ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน ๒. ผ้เู ข้ารบั การอบรมสรปุ องค์ความรแู้ ละทักษะท่ีได้รบั ลงปฏิบัติตามใบงาน ๓. ผ้เู ข้ารบั การอบรมทาแบบทดสอบหลังการอบรม สอื่ /แหลง่ การเรียนรู้ ๑. ใบกิจกรรมที่ ๒.๓.๑ ทักษะการใช้ ICT เพื่อการนิเทศการศกึ ษา ๒. Power Point หรอื VTR ของวิทยากร ๓. เครอื่ งมือสื่อสารมือถอื Notebook ส่วนตวั หรือเครื่องมอื ทีเ่ กีย่ วขอ้ ง การวดั และประเมินผล ๑. สงั เกตพฤติกรรมการมีสว่ นร่วม และการฝึกปฏบิ ตั ิจรงิ ด้วยตนเอง ๒. ประเมินผลงาน

หลักสตู รและแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรกู้ ารพฒั นาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๗๑ กอ่ นแตง่ ตั้งให้ดารงตาแหน่งศกึ ษานิเทศก์ ใบกจิ กรรมท่ี ๒.๓.๑ เรื่อง ทักษะการใช้ ICT เพอ่ื การนิเทศการศึกษา คาช้ีแจง ใหผ้ ้รู ับการพฒั นาสรปุ องค์ความรแู้ ละทักษะท่ีได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรมการใช้ทกั ษะ ICT เพอื่ การนเิ ทศการศึกษา ดงั นี้ ๑. ความหมายระบบ (Cloud Computing) ๒. การบริการบนระบบ (Cloud Computing) ๓. ตวั อยา่ งผใู้ ห้บรกิ าร SaaS ๔. G Suite & Office 365 สาหรบั การศึกษา ๕. G Suite for Education ของหนว่ ยศึกษานเิ ทศก์ ๖. การเขา้ ใชง้ าน G Suite for Education ชื่อ.......................................... นามสกุล........................................................รุน่ ที่...............กลุ่มท.ี่ .............. ............................................................................................................................. .......................................... ....................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ............................................................................................................................. .......................................... ....................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ............................................................................................................................. .......................................... ........................................................................................ ............................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ..................................................................................................................................... .................................. ................................................................................................ ....................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ............................................................................................................................................. .......................... ........................................................................................................ ............................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ..................................................................................................................................................... .................. ............................................................................................................................. .......................................... ........................................................................................ ............................................................................... ............................................................................................................................. .......................................... ..................................................................................................................................... ..................................

หลักสูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรกู้ ารพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๗๒ กอ่ นแตง่ ตงั้ ใหด้ ารงตาแหนง่ ศกึ ษานิเทศก์ ใบความรู้ที่ ๒.๓.๑ เรอ่ื ง ระบบ (Cloud Computing) ความหมาย การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ (Cloud Computing) หมายถึงผู้ให้บริการให้บริการอย่างใดอย่าง หน่ึงกับผู้ใช้บริการ โดยผู้ให้บริการมีการแบ่งทรัพยากรให้กับผู้ใช้บริการที่ต้องการใช้งาน การประมวลผล แบบกลุ่มเมฆ เปน็ ลักษณะทพ่ี ัฒนาข้นึ ตอ่ จากการบรกิ ารในลักษณะ web Service ท่มี า : https://th.wikipedia.org/wiki/การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ#/media/File:Cloud_applications.jpg Cloud เป็นคาในภาษาอังกฤษที่แปลว่าเมฆ เป็นการเปรียบเทียบโดยใช้ก้อนเมฆ ในการ ประมวลผลข้อมูล การทางานในลักษณะดังกล่าว จึงเป็นการใช้งานผ่าน เว็บบราวเซอร์ ซึ่งจะต้องมีการ เช่ือมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ตัวย่างการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ (Cloud Computing) ที่ เป็นที่รู้จกั เช่น YouTube ผู้ใช้สามารถใช้งานวีดีโอออนไลนไ์ ด้ โดยไมต่ ้องมีความรใู้ นการสร้างระบบวีดโี อ ออนไลน์ การบริการบนระบบ (Cloud Computing) การประมวลผลแบบกลมุ่ เมฆ (Cloud Computing) มีลักษณะการให้บรกิ ารแบ่งออกเป็oประเภท ตามลกั ษณะการใชง้ านได้ดังน้ี 1. การให้บรกิ ารซอฟตแ์ วร์ หรือ Software as a Service (SaaS) ผู้ให้บริการจะนาซอฟต์แวร์เปิดให้บริการบน Web Site ผู้ใช้บริการสามารถเข้ามาใช้งานผ่าน Web Browser หรืออาจเป็นซอฟตแ์ วร์ท่ีดาวน์โหลดสเู่ ครอื่ งของผู้ใช้บรกิ าร ลักษณะการให้บรกิ ารดงั กล่าว ผู้ให้บริการสามารถคิดค่าใช้จ่ายในการใช้บริการ ซึ่งการใช้งานซอฟต์แวร์จะหยุดทางาน เมื่อครบกาหนด ตามที่ผู้ให้บริการได้กาหนดไว้หากมีการใช้ต่อเน่ือง ผู้ใช้บริการจะต้องมีการเสียค่าใช้จ่ายให้กับผู้ให้บริการ ตัวอย่างการให้บริการในกลุ่มน้ี เช่น G Suite for Business, O ffice 365 for Business 2. การให้บรกิ ารแพลตฟอร์ม หรอื Platform as a Service (PaaS) ผู้ให้บริการจะนาระบบปฏิบัติการเปิดให้บริการบน Web Site ผู้ใช้บริการสามารถเข้ามาใช้งาน ผ่าน Web Browser และผู้ให้บริการยังให้บริการซอฟท์แวร์อ่ืน ๆ ร่วมกับระบบปฏิบัติการดังกล่าวด้วย

หลักสตู รและแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้การพัฒนาขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๗๓ ก่อนแตง่ ต้งั ให้ดารงตาแหน่งศึกษานเิ ทศก์ การให้บริการในลักษณะนี้ ทาให้ผู้ใช้บริการลดภาระในการบริหารจัดการ ฮาร์ดแวร์ รวมถึงการดูและ ระบบปฏิบัติการ ทาให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการซ้ือเคร่ืองแม่ข่ายคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างการให้บริการใน ก ลุ่ ม น้ี เช่ น G o o gle A p p E n gin e , IB M IT Facto ry, M icro so ft W in d o w s A zu re 3 . การให้ บ ริการโครงส ร้างพ้ื น ฐาน ห รือ Infrastru cture as a Servic e (IaaS) ผู้ให้บริการจัดหา ฮาร์ดแวร์ ให้กับผู้ใช้บริการ เช่น Server, Storage เป็นการให้บริการเฉพาะ โครงสร้างพื้นฐาน มีประโยชน์ในการประมวลผลทรัพยากรจานวนมาก ผู้ให้บริการต้องดาเนินการด้าน ตดิ ต้ัง และบารุงรักษาใหก้ บั ผใู้ ชบ้ ริการ ตัวอยา่ งผใู้ ห้บริการ SaaS 1. G Suite G Suite ได้เปลยี่ นช่อื มาจาก Google Apps เปน็ การใหบ้ ริการของบริษทั Google ใน รูปแบบการประมวลผลบนกลุ่มเมฆ ประเภทการให้บริการซอฟต์แวร์ หรอื Software as a Service (SaaS) ลกั ษณะของ G Suite จะประกอบดว้ ยชุดโปแกรมต่าง ๆ ทเี่ ช่อื มต่อกันในการใช้งานได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ เช่น Drive, Mail, Calendar, Drive Doc, Site เป็นต้น โดยผู้ท่ีสามารถใชง้ าน G Suite ได้ นั้นสามารถใช้งาน G Suite ชดุ ใหบ้ รกิ ารฟรี ได้โดยไม่มีข้อผูกมดั เปน็ เวลา 14 วัน และสามารถเพิม่ บญั ชี ใหก้ บั สมาชกิ ไดถ้ งึ 10 คน หากในระยะเวลา 14 วัน แลว้ ไม่มีการซื้อ G Suite ระบบจะทาการยกเลกิ การ ทดลองใชง้ านโดยอตั โนมัติและจะไมม่ ีการเรยี กเกล็ เงนิ ใด ๆ จากผู้ใช้ แต่หากซ้ือบริการแล้วจะไดร้ ับคุณสมบตั ิของโปรแกรมและเนือ้ ท่กี ารใช้งานเพิ่มขึน้ สาหรบั Gmail และ Drive นอกจากนน้ั โปรแกรมอน่ื ๆ จะมคี ุณสมบตั ิที่เพ่ิมขึน้ ตามรปู แบบของการสัง่ ิซือ บริการ สนบั สนนุ ทางโทรศัพทแ์ ละอเี มล์ ตลอด 24 ชัว่ โมง มีการรกั ษาความปลอดภัยของระบบเพิ่มเติม เชน่ การตรวจสอบสทิ ธิ์แบบสองขั้นตอนและ SSO รวมถงึ การควบคมุ ดูแลระบบบัญชผี ้ใู ช้ Google Drive เปน็ ระบบ Cloud Storage ที่ใหเ้ น้ือท่ใี นการจดั เก็บข้อมูล ตามประเภท ของชุดใหบ้ ริการ เบอื้ งตน้ อยู่ที่ 25 GB สามารถเข้าถึงไดง้ ่ายและมีความปลอดภัยของ ข้อมูลสูง ใชง้ านรว่ มกันบคุ คลท่ีตอ้ งการได้พร้อมกันหลายคน สรา้ งโฟล์เดอรเ์ กบ็ ข้อมูลได้ เป็นหมวดหมู่ เช่ือมต่อไฟลเ์ ข้ากับเคร่ือง Mac หรือ PC ไดง้ ่ายดว้ ย Dive file Stream ทาใหป้ ระหยัดพ้ืนที่ได้มากขึ้น Google Mail เป็นระบบการตดิ ตอ่ สอื่ สารทใี่ ห้พ้นื ทีใ่ นกล่องจดหมายมากกวา่ 25 GB ทางานร่วมกับ Microsoft Outlook และโปรแกรมรับส่งเมลอ์ ื่น ๆ ได้เป็นอยา่ งดี หากใช้ บรกิ ารและเช่ือมต่อเขา้ กบั โดเมนเนมของตนเอง สามารถกาหนดใหเ้ ปน็ อเี มลขององค์กร ไดเ้ ลย เชน่ [email protected] นอกจากน้ันยังมี Apps สาหรบั อุปกรณ์ เคลื่อนท่ีทัง้ ในระบบ iOS และ Android ที่ใช้รบั ส่งอเี มล์ ทง้ั แบบ Online และ Offline และสามารถ ประชมุ ผ่านระบบHangOut ไดอ้ กี ด้วย

หลกั สตู รและแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรกู้ ารพัฒนาข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๗๔ ก่อนแต่งตงั้ ใหด้ ารงตาแหนง่ ศกึ ษานเิ ทศก์ Google Calendar เป็นปฏิทนิ ออนไลน์ ที่รวมคุณสมบัตใิ นการใชง้ านท้งั ในแบบ สว่ นตัว แบบองคก์ ร และผสมผสานการทางานร่วมกันได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ มีระบบการ แจ้งเตือนผา่ น SMS มายังโทรศัพท์เคลือ่ นท่ี ใชง้ านรว่ มกบั Google mail, Google Drive, Google Site Google Doc การจัดการเอกสารการทางาน โปรแกรมท่มี ีลกั ษณะการจัดการ สานักงานท่ีอยใู่ นชดุ เดียวกันประกอบดว้ ย Google Slide, Google Sheet, Google Form สามารถใช้งานร่วมกันได้หลายคน มีการบันทกึ การจดั เก็บแบบอัตโนมัติ เกบ็ ประวัตใิ นการแกไ้ ขเอกสารไม่จากดั Google Site การสร้างเว็บไซตท์ ีม่ ปี ระสิทธภิ าพ โดยไมต่ ้องมีทกั ษะในการเขยี น โปรแกรมหรอื การออกแบบ ก็สามารถสรา้ งเว็บไซต์ได้ สามารถแทรกเอกสาร ปฏทิ ิน หรือ นาไฟล์จาก Google Drive มายังเวบ็ ไซต์ได้อยา่ งงา่ ย 2. Office 365 Office 365 เป็นแผนการใช้งานโปรแกรมชุด Microsoft Office แบบออนไลน์ประกอบด้วย โปรแกรม Word, Excel, PowerPoint, OneNote, Outlook นอกจากน้ียังจะได้รับเนื้องท่ีในการเก็บ ข้อมูล One Drive สามารถใช้งานผ่าน Web Browser ได้ทุกอุปกรณ์การเช่ือมต่อ สามารถใช้บัญชี Microsoft ในการทดลองใช้งานได้ การใช้งาน Office 365 สามารถซื้อบริการได้ในหลายลักษณะบริการที่ทาง Microsoft ได้จัดทา เปน็ แผนการใชง้ านไว้ และสามารถเลือกจ่ายแบบ รายเดอื น หรอื รายปี ไดเ้ ช่นกัน เป็นโปรแกรมประมวลผลคา (Microsoft word) ทค่ี นส่วนใหญ่รูจ้ กั และใช้งานกนั อยา่ ง หลากหลายทวั่ โลก ปจั จบุ นั ได้พฒั นาเปน็ รปู แบบ Cloud Computing สามารถทางานผ่าน Web Browser ได้ และสามารถทางานไดห้ ลายคนพรอ้ มกัน เป็นโปรแกรมตารางคานวณ (Microsoft Excel) ท่คี นส่วนใหญ่รจู้ กั และใช้งานกนั อย่าง หลากหลายทัว่ โลก เชน่ เดียวกบั โปรแกรม Microsoft Word ปจั จบุ ันก็ได้พฒั นาเปน็ รูปแบบ Cloud Computing เชน่ เดียวกันกับโปรแกรม Microsoft Word เปน็ โปรแกรมนาเสนอ (Microsoft Excel) ท่คี นส่วนใหญร่ จู้ ักและใช้งานกันอย่าง หลากหลายทว่ั โลก เชน่ เดยี วกบั โปรแกรม Word,Excel ปจั จุบันกไ็ ด้พัฒนาเปน็ รูปแบบ Cloud Computing เช่นเดยี วกันกับโปรแกรม Word,Excel เปน็ โปรแกรมบริหารจดั การอีเมล์ (Microsoft Outlook) พรอ้ มการจดั การปฏทิ นิ ออนไลน์ สามารถทางานร่วมกับ Google Mail ของบริษัท Google ได้ เปน็ ดปณแกรมทอี่ ยู่ในชดุ การ ทางานของโปรแกรม Office 365 ทีม่ ีประสิทธภิ าพ

หลกั สูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การพฒั นาข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๗๕ ก่อนแต่งตัง้ ใหด้ ารงตาแหน่งศึกษานิเทศก์ โปรแกรมเขียนโนต้ (Microsoft Onenote) สามารถจดไอเดยี แนวคดิ ในลักษณะการพิมพ์ หรือการวาดลงใน OneNote ได้อย่างอิสระ และสามารถเข้าถงึ ไฟลไ์ ด้จากทุกอุปกรณ์ ทุก ระบบปฏิบตั กิ ารท้ัง iOS และ Android G Suite & Office 365 สาหรบั การศึกษา 1. G Suite for Education ปัจจุบันสถานศึกษาในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และระดับอดุ มศึกษาที่ไม่แสวงหาผลกาไร ในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก สามารถใช้งานคุณลักษณะ G Suite Business ได้ฟรีแบบไม่คิด ค่าใช้จ่าย รวมถึงการเพ่ิมบัญชีผู้ใช้ของบุคลากรในโรงเรียนและนักเรียนในโรงเรียนด้วย G Suite for Education ประกอบด้วยบรกิ าร 2 หมวดหมดู่ ังนี้ บริการหลัก ของ G Suite ได้แก่ Gmail (รวม Inbox by Gmail), ปฏิทิน, การซิงค์ของ Chrome, Classroom, Contacts, ไดรฟ์, เอกสาร, ฟอร์ม, Groups, ชีต, Sites, สไลด์, Talk/แฮงเอาท์ และหอ้ งนิรภัย บรกิ ารเพ่มิ เติม (เช่น Youtube, Maps และ Blogger) ออกแบบมาสาหรบั ผู้ใช้ทั่วไปและสามารถ เลือกใช้กับบัญชี G Suite for Education ได้ หากผู้ดูแลโดเมนของโรงเรียนอนุญาตให้ใช้ในการศึกษา ผู้ดูแลระบบ G Suite for Education เป็นผู้เลือกบริการ Google ท่ีผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้ และจาเป็น จะต้องจัดเตรียมหรือขอรับความยินยอมหากผู้ใช้ที่เป็นผู้เยาว์ต้องการใช้บริการ เมื่อโรงเรียนได้รับความ ยินยอมท่ีเหมาะสมแล้ว ผู้ใช้ G Suite for Education ก็จะสามารถใช้บริการเพ่ิมเติมท่ีได้รับอนุญาต เช่น YouTube, Maps และ Blogger ไดโ้ ดยไม่มกี ารจากัดอายุ 2. Office 365 for Education Office 365 เวอร์ชันออนไลน์ที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ท้ังสิ้นสาหรับนักเรียนนักศึกษา หรือ ครู อาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา สามารถใช้งานอเี มล การประชุมผ่านวดิ โี อ การรวมขอ้ ความเสียง ฮับที่ ปรับแต่งสาหรับการทางานเป็นทีมของช้ันเรียนด้วย Microsoft Teams เคร่ืองมือควบคุมมาตรฐาน และ การปกปอ้ งข้อมูล ทม่ี มี าใหใ้ นชดุ Office 365 สาหรับการศึกษา Microsoft ได้ออกแบบผลิตภัณฑ์ Office 365 สาหรับสถานศึกษาไว่อย่างหลากหลาย ท้ังท่ีไม่มี ค่าใชจ้ า่ ย หรือแบบมคี า่ ใช้จ่าย ทีส่ ามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมของโรงเรยี น ปัจจุบันศูนย์เร่งรัดและพัฒนาการนิเทศการศึกษาขั้นพื้นฐาน (Education Supervision Development Center: ESDC) สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้เข้าร่วมโครงการ G Suite for Education และ Microsoft Office 365 เพื่อนามาใช้กับบุคลากรของหน่วยศกึ ษานิเทศก์ ใน ส่วนกลาง และ ในสานักงานเขตพน้ื ที่การศึกษา 225 เขตพืน้ ที่ ภายใตโ้ ดเมนเนมดังนี้ G Suite for Education : www.esdc.go.th Office 365 : esdc.obec.go.th โดยศึกษานิเทศก์ทั้งในส่วนกลาง และในสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา 225 เขตพ้ืนที่ จะใช้บัญชี ของ G Suite for Education เป็นหลักในการติดต่อสื่อสารงานทางระบบราชการ และกลุ่มนิเทศติดตาม และประเมินผลการจัดการศึกษาใช้ Google Sites ในการจัดทาเว็บไซต์เพ่ือการนิเทศภายใต้โดเมนเนม www.esdc.go.th ตัวอย่างบญั ชผี ้ใู ช้ นายอานนท์ วงศว์ ิศษิ ฏร์ งั สี ศึกษานิเทศก์ สานกั งานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษา มธั ยมศึกษา เขต 29 บญั ชผี ูใ้ ช้คอื : [email protected]

หลักสูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้การพฒั นาข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๗๖ ก่อนแตง่ ตงั้ ใหด้ ารงตาแหนง่ ศกึ ษานิเทศก์ กจิ กรรมหน่วยย่อยที่ ๒.๔ กระบวนการนิเทศการศึกษา เวลา ๓ ชั่วโมง สาระสาคญั ก ร ะ บ ว น ก า ร นิ เท ศ ก า ร ศึ ก ษ า เป็ น ข้ั น ต อ น ก า ร ด า เนิ น กิ จ ก ร ร ม ก า ร นิ เท ศ ท่ี มี ค ว า ม ร้ อ ย รั ด เกี่ยวเน่ืองกันตามลาดับก่อนหลังอย่างลงตัว มีระเบียบแบบแผน มีลาดับข้ันตอนในการดาเนินงานท่ี ชดั เจน และส่งผลถงึ กันตามลาดบั อย่างต่อเนอื่ ง วัตถุประสงค์ ๑. เพือ่ พัฒนาความรคู้ วามเขา้ ใจเรื่องกระบวนการนเิ ทศการศึกษา ๒. เพื่อพัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์กระบวนการนิเทศการศึกษาสู่การประยุกต์ใช้ในการ นิเทศ ขอบขา่ ยเน้อื หา ๑. กระบวนการนิเทศการศึกษา ๒. การวิเคราะห์กระบวนการนิเทศการศึกษาสู่การประยุกต์ใช้ แนวทางการจัดกจิ กรรม ๑. ผู้เข้ารับการพัฒนาแบ่งกลุ่ม ๆ ละ ๘-๑๐ คน ศึกษาใบความรู้ที่ ๒.๔.๑ เรื่อง กระบวนการ นเิ ทศการศกึ ษา ๒. ผูเ้ ข้ารับการพฒั นาศกึ ษา กรณีศกึ ษา เร่อื ง กระบวนการนเิ ทศของฉนั ๓. ผู้เข้ารับการพัฒนาปฏิบัติตามใบกิจกรรมท่ี ๒.๔.๑ เรื่อง การวิเคราะห์กระบวนการนิเทศ การศึกษาจากกรณีศึกษา ๔. ตัวแทนแตล่ ะกล่มุ นาเสนอผลงาน กลมุ่ ละ ๓ นาที ๕. วิทยากรและผู้เข้ารับการพัฒนาร่วมแลกเปล่ียนเรียนรู้ และให้ข้อเสนอแนะแนวทางการ ดาเนนิ การงานตามกระบวนการนิเทศอยา่ งเหมาะสม ส่ือ/แหล่งการเรียนรู้ ๑. ใบความร้ทู ่ี ๒.๔.๑ เรื่อง กระบวนการนิเทศการศึกษา ๒. ใบกิจกรรมท่ี ๒.๔.๑ เรือ่ ง การวิเคราะห์กระบวนการนเิ ทศการศึกษาจากกรณศี ึกษา ๓. กรณีศกึ ษา ๔. Power point ๕. กระดาษปรู๊ฟ สีเมจกิ การวดั และประเมนิ ผล ๑. สังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วม การปฏบิ ัติงาน และการนาเสนอผลงาน ๒. ประเมินผลงาน (งานกล่มุ )

หลกั สตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรูก้ ารพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๗๗ กอ่ นแตง่ ต้งั ให้ดารงตาแหนง่ ศกึ ษานเิ ทศก์ ใบความรทู้ ่ี ๒.๔.๑ เรอ่ื ง กระบวนการนิเทศการศกึ ษา การพัฒนาคุณภาพการศึกษา มีสิ่งที่สัมพันธ์กัน ๓ กระบวนการสาคัญคือ กระบวนการบริหาร กระบวนการจัดการเรียนรู้ และกระบวนการนิเทศการศึกษา ส่ิงสาคัญในการนิเทศการศึกษาก็คือ จะดาเนนิ การอย่างไรจงึ จะทาให้ประสบผลสาเร็จตามเปา้ หมายท่ีวางไว้ ข้ันตอนในการปฏิบตั ิงานทางการ นิเทศการศึกษาเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า”กระบวนการนิเทศ” ในท่ีน้ีจะกล่าวถึงกระบวนการนิเทศ ๓ แบบ คือ กระบวนการนิเทศแบบ PIDRE ที่ ดร.สงัด อุทรานันท์ ได้พัฒนาขึ้นสาหรับการดาเนินงานนิเทศ การศึกษาในประเทศไทยโดยเฉพาะ กระบวนการนิเทศแบบ PDCA และกระบวนการนิเทศของ สปช. ดงั นี้  กระบวนการนเิ ทศการศกึ ษาแบบ PIDRE ของ สงัด อุทรานันท์ (๒๕๓๐) มี ๕ ขั้นตอน คือ ๑. การวางแผนการนิเทศ (Planning-P) ๒. การใหค้ วามรู้กอ่ นการนิเทศ (Informing-I) ๓. การดาเนินการนเิ ทศ (Doing-D) ๔. การสร้างเสริมขวัญกาลงั ใจ (Reinforcing-R) ๕. การประเมินผลการนเิ ทศ (Evaluating-E) มีรายละเอยี ด ดังนี้ ๑. การวางแผน (P-Planning) เป็นข้ันตอนท่ีผู้บริหาร ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศจะทาการ ประชุม ปรึกษาหารือ เพื่อให้ได้มาซึ่งปัญหาและความต้องการจาเป็นท่ีต้องมีการนิเทศ รวมทั้งวางแผนถึง ขน้ั ตอนการปฏิบตั เิ ก่ียวกบั การนเิ ทศท่จี ัดขึ้น ๒. ให้ความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัตงิ าน (Informing-I) เป็นขั้นตอนของการให้ความรู้ ความ เข้าใจถงึ ส่ิงที่จะดาเนินการว่าต้องอาศัยความรู้ ความสามารถอย่างไรบ้าง จะมีขน้ั ตอนในการดาเนินการอย่างไร และจะดาเนินการอย่างไรให้ผลงานออกมาอย่างมีคุณภาพ ข้ันตอนนี้จาเป็นทุกครั้งสาหรับเร่ิมการนิเทศท่ี จัดขึ้นใหม่ ไม่วา่ จะเป็นเร่ืองใดกต็ าม และเมื่อมีความจาเปน็ สาหรบั งานนิเทศทีย่ งั เป็นไปไม่ได้ผล หรอื ไดผ้ ล ไมถ่ งึ ขนั้ ทพ่ี อใจ ซึง่ จาเป็น ท่ีจะต้องทบทวนใหค้ วามร้ใู นการปฏบิ ัติงานทีถ่ กู ต้องอีกครั้งหน่ึง ๓. การลงมอื ปฏบิ ัตงิ าน (Doing-D) ประกอบด้วยการปฏิบัติงาน ๓ ลักษณะ คอื การปฏิบัติงาน ของผู้รับการนิเทศ (ครู) การปฏิบัติงานของผู้ให้การนิเทศ (ผู้นิเทศ) การปฏิบัติงานของผู้สนับสนุนการ นิเทศ (ผูบ้ ริหาร) ๔. การสร้างเสริมขวัญกาลังใจ (Reinforcing-R) เป็นขั้นตอนของการเสริมแรงของผู้บริหาร เพื่อให้ผู้รับการนิเทศมีความมั่นใจและบังเกิดความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน ขั้นนี้อาจดาเนินไป พร้อม ๆ กับผู้รับการนิเทศที่กาลังปฏิบัติงานหรือการปฏิบัติงานได้เสร็จสิ้นแล้วก็ได้ ๕. การประเมินผลการนิเทศ (Evaluating-E) เป็นขั้นตอนที่ผู้นิเทศทาการประเมินผลการ ดาเนินงานที่ผ่านไปแล้วว่าเป็นอย่างไร หลังจากการประเมินผลการนิเทศ หากพบว่ามีปัญหาหรือมี อุปสรรคอย่างใดอย่างหน่ึงที่ทาให้การดาเนินงานไม่ได้ผล จะต้องมีการปรับปรุง แก้ไข ซึ่งการปรับปรุง แก้ไข อาจทาได้โดยการให้ความรู้เพ่ิมเติมในเร่ืองที่ปฏิบัติใหม่อีกคร้ัง ในกรณีท่ีผลงานยังไม่ถึงข้ันน่าพอใจ หรือได้ดาเนนิ การปรับปรุงการดาเนนิ งานท้ังหมดไปแล้ว ยังไม่ถึงเกณฑ์ทต่ี ้องการ สมควรที่จะต้องวางแผน รว่ มกันวเิ คราะห์หาจุดท่คี วรพฒั นา หลังใชน้ วัตกรรมดา้ นการเรียนรเู้ ข้ามานิเทศ

หลกั สูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การพฒั นาข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๗๘ ก่อนแตง่ ตง้ั ใหด้ ารงตาแหนง่ ศกึ ษานเิ ทศก์ แผนภมู ิแสดงกระบวนการนเิ ทศแบบ PIDRE  กระบวนการนิเทศการศกึ ษาแบบ PDCA กระบวนการนิเทศแบบ PDCA เป็นการนาวงจรเดมมงิ (Demming Circle) หรือโดยทั่วไปนยิ ม เรยี กกันวา่ กระบวนการ PDCA มาใช้เปน็ กระบวนการนเิ ทศการศึกษา มีขนั้ ตอนสาคัญ ๔ ขั้นตอน คือ ๑. การวางแผน (P-Plan) ๒. การปฏิบัตติ ามแผน (D-Do) ๓. การตรวจสอบ/ประเมินผล (C-Check) ๔. การปรับปรุงแกไ้ ข (A-Act) แผนภูมิแสดงกระบวนการนิเทศแบบ PDCA

หลกั สตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรูก้ ารพัฒนาข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๗๙ ก่อนแตง่ ต้ังให้ดารงตาแหนง่ ศกึ ษานเิ ทศก์ จากแผนภมู กิ ระบวนการ PDCA แตล่ ะข้นั ตอนมกี ิจกรรมสาคัญ ดงั น้ี ๑. การวางแผน (P-Plan) ๑.๑ การจดั ระบบข้อมลู สารสนเทศ ๑.๒ การกาหนดจุดพฒั นาการนิเทศ ๑.๓ การจดั ทาแผนการนเิ ทศ ๑.๔ การจัดทาโครงการนเิ ทศ ๒. การปฏิบตั งิ านตามแผน (D-Do) ๒.๑ การปฏิบตั ิตามข้ันตอนตามแผน/โครงการ ๒.๒ การกากบั ตดิ ตาม ๒.๓ การควบคุมคุณภาพ ๒.๔ การรายงานความก้าวหนา้ ๒.๕ การประเมนิ ความสาเรจ็ เป็นระยะ ๆ ๓. การตรวจสอบและประเมินผล (C-Check) ๓.๑ กาหนดกรอบการประเมิน ๓.๒ จัดหา/สรา้ งเครอ่ื งมอื ประเมิน ๓.๓ เก็บรวบรวมขอ้ มูล ๓.๔ วิเคราะห์ข้อมูล ๓.๕ สรุปผลการประเมนิ ๔. การนาผลการประเมนิ มาปรบั ปรงุ งาน (A-Act) ๔.๑ จดั ทารายงานผลการนิเทศ ๔.๒ นาเสนอผลการนเิ ทศและเผยแพร่ ๔.๓ พฒั นาต่อเนื่อง  กระบวนการนิเทศการศึกษาของ สปช. กระบวนการนิเทศการศึกษาของ สปช. หมายถึง กระบวนการนิเทศของสานกั งานคณะกรรมการ การประถมศึกษาแห่งชาติ* ทไ่ี ด้กาหนดไว้ ๕ ขัน้ ตอน ดังนี้ (สานกั งานคณะกรรมการการประถมศึกษา แหง่ ชาต,ิ ๒๕๔๔) ขน้ั ที่ ๑ การศึกษาสภาพปจั จุบนั ปญั หาและความต้องการ เป็นข้ันเริ่มตน้ ท่ีจะได้ขอ้ มูลจาก การศึกษาเพ่ือไปประกอบการตดั สินใจการวางแผนและกาหนดทางเลอื กต่อไป ข้นั ท่ี ๒ การวางแผนและกาหนดเปา้ หมายในการพัฒนา การวางแผนคอื การพิจารณาและ ตดั สนิ ใจอยา่ งมเี หตุผลตามหลักการทางวทิ ยาศาสตร์ในการกาหนดวัตถปุ ระสงค์และเป้าหมายท่ีพึงประสงค์ ซ่ึงรวมถึงการกาหนดการเลอื กการปฏบิ ัติ รายละเอียดขั้นตอนการทางานอยา่ งมีระบบที่สะดวกแก่การ ปฏบิ ัตแิ ละเปน็ ทางเลอื กที่ดที ี่สดุ ขั้นที่ ๓ การสรา้ งสื่อ เคร่อื งมือและการพฒั นาวธิ ีการ ขั้นท่ี ๔ การปฏิบตั ิการนิเทศ

หลักสตู รและแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้การพัฒนาข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๘๐ กอ่ นแตง่ ต้งั ให้ดารงตาแหน่งศกึ ษานเิ ทศก์ ขัน้ ที่ ๕ การประเมินผลและรายงานผล เป็นข้ันตอนการตรวจสอบการปฏิบตั งิ านรวบรวมปัญหา ท่ีปฏบิ ัติแตล่ ะข้ันตอน เพ่อื หาทางแก้ไขการประเมินข้ันสุดท้ายเป็นการเปรียบเทยี บผลงาน แผนภมู ิแสดงกระบวนการนเิ ทศแบบ สปช. ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ เอกสารอ้างองิ สงัด อทุ รานนั ท์. การนเิ ทศการศกึ ษา : หลักการ ทฤษฎี และปฏิบตั ิ (ฉบบั ปรับปรงุ เพ่มิ เตมิ ). พิมพค์ รั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์มติ รสยาม, ๒๕๓๐. สานักงานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาติ. คู่มือนิเทศ การนิเทศเพ่ือเสริมสรา้ งประสิทธิภาพ การนเิ ทศภายในโรงเรียน. พิมพ์ครัง้ ที่ ๒. กรงุ เทพ ฯ : ห้างหุน้ ส่วนจากดั เจ.เอน็ .ท.ี ,๒๕๔๔. สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พื้นฐาน. ค่มู ือดาเนินการพฒั นาหลกั สูตรการพฒั นาผู้นาการ เปลีย่ นแปลงเพอ่ื รองรบั การกระจายอานาจสาหรับครูและศึกษานิเทศก.์ กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกจิ จานุเบกษา, ๒๕๕๐. * สานักงานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาติ (สปช.) เป็นชือ่ ของหน่วยงานบังคับบัญชาเดิม ตอ่ มามกี ารเปลยี่ นโครงสร้างการบริหารงานของกระทรวงศึกษาธกิ าร และเปล่ียนมาเป็นสานกั งาน คณะกรรมการการศึกษาขนั้ พื้นฐาน (สพฐ.) ในปัจจุบัน

หลกั สตู รและแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรกู้ ารพฒั นาข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๘๑ ก่อนแตง่ ตัง้ ให้ดารงตาแหน่งศกึ ษานิเทศก์ กรณศี กึ ษา เรือ่ ง กระบวนการนเิ ทศการศึกษาของฉนั ผมช่ือนายกรณี ศึกษางาน เรียนจบวิชานิเทศการศึกษาและพัฒนาหลักสูตรเมื่อ ๒ ปีท่ีแล้ว หัวหน้ากลุ่มนิเทศฯ โดยความเห็นชอบของ ท่านผู้อานวยการสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษา ได้มอบหมายให้ประจากลุ่มงานพัฒนาหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐานและกระบวนการเรียนรู้รับผิดชอบ โรงเรียนขนาดเล็ก จานวน ๖ แห่ง มีครูรวมกัน ๔๑ คน เป็นชาย ๑๔ คน หญิง ๒๗ คน ในที่นี้ เป็นผู้บริหารชาย ๔ คน หญิง ๒ คน อายุเฉลี่ยของครูและผู้บริหารทั้ง ๖ โรงเรียน ๔๘ ปี มีนักเรียน ๖๔๒ คน ชาย ๓๐๑ คน หญิง ๓๔๑ คน เปิดสอนตั้งแตร่ ะดับปฐมวัย – ประถมศกึ ษาปีที่ ๖ ครูบาง คนสอน ๒ ช้ัน เพราะขาดแคลนครูแต่โชคดีท่ีมีนักเรียนไม่มากนัก ผู้บริหารและครูส่วนใหญ่มีความ รับผิดชอบต่อหน้าท่ี ขยันขันแข็ง ร่วมแรงร่วมใจในการทางาน รักและสามัคคีกันดี ผู้บริหารได้รับการ ยอมรับจากเพือ่ นครูทุกคน ผลการประเมินคุณภาพระดับชาติเมอื่ สิ้นปีการศึกษาท่ผี า่ นมา ของทุกโรงเรยี น ทุกชั้นและกลุ่มสาระการเรียนรู้สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยระดับเขตพื้นท่ีการศึกษา มีเพียงบางกลุ่มสาระการ เรียนรู้ท่มี คี ะแนนเฉล่ียตา่ กวา่ ระดบั เขตพื้นที่การศกึ ษา ไดแ้ ก่ คณิตศาสตร์ ชั้น ป.๓ และ วิทยาศาสตร์ ช้ัน ป.๖ ซึ่งต่ากว่าผลการประเมินในปีก่อน ๆ แต่เมื่อจัดระดับคุณภาพโดยรวมพบว่า ทุกกลุ่มสาระการเรียน รูอ้ ยู่ในกลุ่มกลางๆ ไม่ถึงกับหางแถว ท้ังผมและครูในโรงเรียนที่รับผิดชอบต่างพากันโล่งใจเล็กน้อย แต่ก็ ยังกังวลอยู่ดีเพราะ ผอ.สพป. ได้ประกาศนโยบายให้ทุกโรงเรียนยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทุกชั้น/ กลุ่มสาระการเรียนรู้ คาถามท่ีผมได้รับจากผู้บริหารสถานศึกษาในฐานะที่เป็นศึกษานิเทศก์ประจา โรงเรียน คือ “จะทาอยา่ งไรกันดีท่าน ศน. จึงจะยกระดับคณุ ภาพได้” มันเป็นคาถามสั้น ๆ แต่ท้าทายมาก ประกอบกับจุดเน้นการนิเทศซ่ึงเป็นข้อตกลงร่วมกันของกลุ่มนิเทศฯ เพ่ือสนองนโยบายของ ผอ.สพป. เช่นเดียวกันก็คือ “นิเทศเพ่ือช่วยยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของนักเรียนทุกแห่ง” แม้จะกังวลแต่ก็ ยังม่ันใจเพราะความต้ังใจของผู้บริหารและครูที่แสดงให้เห็นตลอดมา ผมเร่ิมจัดให้การบ้านข้อน้ีเป็นเรื่อง สาคัญลาดับแรกของภารกิจในความรับผิดชอบทั้งหมดของผม สมองผมเร่ิมทางาน ตั้งใจอย่างมีสมาธิ คิด อย่างเป็นระบบ ย้อนระลึกถึงหลักวิชาที่ร่าเรียนมาแล้วสร้างมโนภาพเส้นทางแห่งความสาเร็จ ต้ังแต่ จดุ เร่ิมต้นจนถึงภาพสุดท้ายแห่งความสาเร็จอย่างเป็นขั้นตอน แล้วบันทึกไว้ในสมุดบันทึกรายวันเล่มเล็ก ของผม ต่อมาบันทึกน้ีได้รับการปรับปรุงเติมเต็มเป็นแผนการนิเทศฉบับสมบูรณ์และใช้กับโรงเรียนท้ัง ๖ แห่งท่ีผมรับผิดชอบ ผมเริ่มทางานตามความตั้งใจโดยศึกษาคุณภาพของโรงเรียนทุกแห่งจากอดีตถึง ปัจจุบันทุกชั้น/กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่มีผลการประเมิน จากนั้น Plot เป็นกราฟเปรียบเทียบให้เห็นภาพท่ี ชัดเจน แล้วศึกษาถึงตัวครูผู้สอนก็พบว่า ส่วนใหญ่เป็นคนเดิมสอนชั้นเดิมมีย้ายบ้างช่วงปีท่ีผ่านมา ๒ คน แต่ก็เป็นครูสอนระดับปฐมวัย และสิ่งท่ีพบในโรงเรียนทุกแห่งเหมือน ๆ กันก็คือ ครูส่วนใหญ่ไม่มีแผน จัดการเรียนรู้ ที่มีแผนฯ ก็ไม่ละเอียดพอ นาไปใช้จริงไม่ได้ และยังพบอีกว่าครูที่สอนคณิตศาสตร์และ วทิ ยาศาสตร์ ขาดความถนัดเพราะไม่ได้เรียนเป็นวิชาเอกหรือวชิ าโทมาก่อน เคยสอนมาบ้างเท่าน้ันเอง แต่ ข้อดีและเป็นปัจจัยเสริมทางบวกก็เห็นความตั้งใจและขยันหม่ันเพียรและทางานเป็นทีมทุกโรงเรียน ผู้บริหารเป็นที่ศรัทธาของครูในโรงเรียน ผมจึงขายความคิดให้กับผู้บริหารของทุกโรงเรียนก่อนว่ายังมี ความหวังในความสาเร็จ โดยช้ีให้เห็นข้อมูลท่ีผมศึกษามาก่อนด้วย Power point ท่ีเป็นเคร่ืองมือคู่ใจ ของผมและเสนอใหผ้ ู้บริหารได้นาเร่ืองนีห้ ารือกับคณะครทู ้ังโรงเรียน ผู้บริหารสว่ นใหญ่ใจร้อน เสนอผมว่า จะแจ้งครูให้ดาเนินการแก้ปัญหาท่ีพบตามท่ีคุยกับผม แล้วให้ผมช่วยดูแลการทางานของครู แต่ผมได้โน้ม นา้ วให้ผู้บริหารเปลย่ี นใจ โดยขอให้ปรึกษาหารือกบั ครูก่อนดาเนินการ โรงเรียนทุกแห่งจึงมีการประชุมครู โดยผมเข้าร่วมนาเสนอข้อมูลที่ศึกษามาพร้อมดว้ ยเคร่ืองมือน้ีใชก้ ับผู้บรหิ าร ครูทุกคนเห็นตรงกันว่าภารกิจ สาคญั คือ การเพิ่มผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นของนักเรียน ผู้บริหารและผมช่วยกันตง้ั คาถามให้ท่ีประชุมช่วย

หลักสูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้การพฒั นาข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๘๒ กอ่ นแตง่ ตง้ั ใหด้ ารงตาแหนง่ ศึกษานิเทศก์ คิดค้นสาเหตุที่ทาให้ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไม่น่าพอใจคืออะไร มีคาตอบจากท่ีประชุมหลากหลาย เช่น พ้ืนฐานเด็กไม่ดี เด็กน้อยเรียนไม่สนุก พ่อแม่ ไม่ช่วยสอนการบ้าน ฯลฯ แต่ที่ครูส่วนใหญ่เห็นตรงกัน คือ การเตรียมการสอนของครูยงั ไมด่ ีพอ ดไู ด้จาก ไม่มีแผนจัดการเรียนรู้หรอื มกี ็ไม่ได้ใช้เพราะทาไว้เผอ่ื ว่าจะมี คนมาตรวจ ผู้บริหารมีคาถามต่อทันทีว่าแล้วจะแก้ปัญหาอย่างไรดี จะให้ช่วยอย่างไร ผมเสริมทันทีว่าผม พร้อมจะรว่ มมือด้วย นัยนต์ าครมู ีแววแห่งความหวังเพิม่ ขึ้น จากการทีผ่ ู้บริหารและผมเอ่ยปากอาสาร่วมมือ เหตุการณ์ในที่ประชุมของแต่ละโรงเรียนเป็นไปด้วยความเป็นกัลยาณมิตร ในท่ีสุดได้ข้อตกลงว่าจะ เตรียมการสอนอย่างจริงจังด้วยการจัดทาแผนจัดการเรียนรู้ แต่ต้องได้รับการพัฒนาความรู้ในการจัดทา แผนจัดการเรียนรู้ก่อนจึงจะสามารถทาได้ โดยตกลงว่าควรมีการอบรมร่วมกันในวันหยุด ๑ วัน ตาม ขัน้ ตอนทีก่ าหนดรว่ มกนั วนั อบรม ผมเชิญศึกษานิเทศก์อีกท่านหนึ่งมาร่วมให้ความรู้ ผู้บริหารคนหน่ึงพูดนาถึงเหตผุ ลและ วัตถปุ ระสงคก์ ารอบรม ผมเชื่อมต่อดว้ ยแนวทางการยกระดับผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนโดยเตรยี มการจัดการ เรียนรู้อย่างเป็นระบบด้วยการจัดทาแผนจัดการเรียนรู้ ศึกษานิเทศก์ท่ีผมเชิญมาได้ขายความคิดเร่ืองแผน จัดการเรียนรู้แบบ Back Ward Design แบบง่าย ๆ ที่ประยุกต์มาจากแบบเต็มรูป หากแต่ยังคงจุดเน้น ที่สาคัญเอาไว้ เช่น เริ่มต้นจากการกาหนดผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ตัวชี้วัด/ประเมินผล แนวการจัด กจิ กรรมการเรียนรู้ สอ่ื การเรียนรู้ ฯลฯ ผู้อบรมก็ยอมรบั ด้วยดี เพ่ือนผมเร่ิมต้นด้วยการชวนผู้เข้ารับการอบรมสนทนาตามลาดับข้ันตอนท่ีร่วมกันกาหนดไว้ ผม ช่วยเสริมเติมเต็ม ผู้บริหารเดินเยี่ยมชมชวนคุยด้วยความเป็นมิตรตลอดเวลา สายตาของทุกคนในห้อง ประชมุ ส่ือแววความสุขและความสมหวัง การอบรมวันนั้นจบลงด้วยพันธสญั ญาร่วมกันวา่ ทุกคนจะกลับไป เขียนแผนจัดการเรียนรู้ ผู้บริหารสัญญาว่าจะให้การสนับสนุนทุกเรื่องที่จาเป็น ทั้งทรัพยากรโอกาสและ เวลา ผมและเพื่อนที่ร่วมเป็นวิทยากรสัญญาว่าจะดูแลเสริมสร้างความเข้าใจให้กับครูทุกคนเป็นการ เพิ่มเติมอีกตามความจาเป็น ผมได้ร่วมงานกับผู้บริหารและครูทุกโรงเรียน ในเวลาต่อมาอีก ๒ สัปดาห์ ผมได้เห็นความก้าวหน้าของทุกคน คือ คนท่ีเข้าใจดีจะพาเพื่อนทางานด้วย ส่วนคนท่ีตามไมท่ ันนั้น ผมได้ เพิ่มพนู ความรใู้ ห้อกี ครง้ั หนง่ึ จนกระจา่ งและทางานต่อได้ ผมจะถูกถามเสมอว่า อย่างน้ีใช่ไหม อย่างนี้ถูกไหม ผมพยายามไม่ให้คาตอบตรง ๆ แต่จะตอบ เป็นคาถามตามเทคนิคท่ีเคยร่าเรียนมาแล้ว เช่น ได้ต้ังใจให้เด็กเกิดอะไร แล้วกิจกรรมที่ระบุจะทาให้ เกิดได้หรือไม่ เป็นต้น ทั้งนี้เพ่ือต้องการกระตุ้นให้ครูคิดเองจนเกิดความม่ันใจและภาคภูมิใจในความคิด ของตนเอง นาสู่การพัฒนางานท่ียั่งยืน ผู้บริหารโรงเรียนก็พลอยตอบคาถามลีลาเดียวกับผมไปด้วย (ผมนึกกระหยิ่มวา่ การนิเทศผู้บริหารของผมสาเร็จไปแล้วส่วนหนงึ่ นะน่ี) นอกจากนั้นยังเป็นคนท่ีมรี อยยิ้ม และเอ่ยคาชม และใหก้ าลังใจแก่ครูอย่างน่าทึ่งทเี ดยี ว ผมยุใหค้ รูนาแผนการจัดการเรียนร้ทู แ่ี ต่ละคนเขยี นเสรจ็ แลว้ มาแลกเปลี่ยนกันดู แตล่ ะคนไดค้ าชม และข้อเสนอแนะจากเพื่อน ๆ อย่างพอใจ ผู้บริหารบางท่านได้กล่าวชื่นชมแผนจัดการเรียนรู้ของครูบาง คนอย่างชื่นใจและกล่าวย้าว่า นเ่ี ป็นแบบอย่างท่ีน่าสนใจ ทาเอาเจ้าของผลงานยม้ิ แบบเขินนิด ๆ พองาม สมกับวัยของครูสตรีผู้อาวุโส แต่ก็ไม่วายมีเรื่องราพึงว่าจะสอนได้อย่างนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่น้อง ๆ ก็ให้ กาลงั ใจจนเจ้าตัวรู้สึกมน่ั ใจยิง่ ขน้ึ จากท่ีเคยไปโรงเรียนวันเว้นวัน ผมเริ่มเว้นระยะห่างเป็นสัปดาห์ละ ๑ วัน เพื่อติดตามผลงาน เป็นที่น่าชื่นใจว่าครูทุกคนได้จัดทาแผนจัดการเรียนรู้ได้ตามข้อตกลง ผมและผู้บริหารรวมถึงเพ่ือนผม ท่ีเชิญเป็นวิทยากรมีความเห็นตรงกันว่า แผนการจัดการเรียนรู้มีคุณภาพในระดับที่พอใจ นาไปใช้สอนได้ และได้รายงานให้หวั หน้ากลุม่ ฯ และ ผอ.สพป. ทราบเป็นระยะ ๆ เสมอ

หลกั สตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนร้กู ารพฒั นาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๘๓ ก่อนแตง่ ตั้งใหด้ ารงตาแหน่งศึกษานเิ ทศก์ ผู้บริหารทั้ง ๖ โรงเรียนได้แสดงให้เห็นถึงความต้ังใจและเอาจริง เพราะสังเกตได้ว่าพูดอะไร พูดตรงกัน มีข้อตกลงร่วมกันหลายเรอ่ื ง เชน่ ให้ครูทดลองใชแ้ ผนจัดการเรยี นรู้ทเ่ี ขียนเองสอนจริงทุกคน โดยให้จับคู่กันสังเกตการสอนแล้วให้ข้อเสนอแนะซึ่งกันและกัน จากการจับคู่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ๒ คน กข็ ยายวงเพิ่มขึ้นเป็น ๔ คน บางโรงเรียนสลับคู่กันสังเกตการสอน บางโรงเรียนแลกเปลี่ยนกันท้ังโรงเรียน เพือ่ ตรวจสอบคณุ ภาพของแผนจัดการเรยี นรูข้ องตนเอง ผมเรม่ิ ผ่อนแรงตนเองในการดูแลครู โดยไดร้ ว่ มกบั ผู้บริหาร.........ให้ครทู ี่มีแววเป็นผนู้ า มีผลงาน เป็นที่ประจักษ์และได้รับการยอมรับจากเพื่อนครู ให้เป็นพี่เลี้ยงให้กับครูทุกคนเพ่ือพัฒนาแผนจัดการ เรียนรู้และนาสู่การสอนอย่างมีประสิทธิภาพ ตามรูปแบบและวิธีการที่คณะครูตกลงกันเอง โดยผมเอง และผู้บรหิ ารโรงเรียนรว่ มกับสนับสนนุ และเอ้อื อานวยให้การดาเนินงานทกุ อย่างเปน็ ไปดว้ ยดี ใกล้เวลาประเมินคุณภาพการศึกษาแล้ว ผมและผู้บริหารมั่นใจว่าผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ได้สอบถามครูส่วนใหญ่ของทุกโรงเรียนเหมือนทา Exit Pole ได้คาตอบว่ามีความ ม่นั ใจสงู พอสมควร ถงึ ขนั้ ตอนสดุ ท้ายท่ตี ้ังใจไว้ในกระบวนการนิเทศแล้ว จึงได้ตรวจสอบดวู ่าการปฏิบตั ิหน้าทข่ี องผม สาเร็จมากน้อยเพียงใด ถึงแม้ว่าสายตาตนเองจะมองว่าพอใจแล้ว แต่ก็ตัดสินใจประเมินอย่างเป็นระบบ อีกคร้ังหนึ่ง โดยได้กาหนดว่าจะประเมินครูและผู้บริหารว่ามีความรู้ ความเข้าใจและมีทักษะเพียงใด ผลงานอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้เพียงใด มีความพึงพอใจกระบวนการทางานของผมเพียงใด มีแนวโน้มท่ีจะ เกิดความยงั่ ยนื ในการพัฒนาหรือไม่ ซึ่งเป็นการวัดความสาเร็จของการนิเทศทด่ี ูไดจ้ ากการเปลี่ยนแปลงท่ีดี ขนึ้ ของครูซง่ึ มผี ลงานเปน็ เครอื่ งยนื ยนั ผมได้สร้างแบบสอบถามง่าย ๆ ๑ ฉบับ ๓๐ ข้อ เป็นการให้ระดับคุณภาพแล้วให้ศึกษานิเทศก์ กลุ่มงานวัดและประเมินผลฯ ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ จากนั้นได้ส่งให้ผู้บริหารและครูทุกคนใน โรงเรียนท้ัง ๖ แห่ง เป็นผู้ตอบ ได้แบบสอบถามกลับคืนมาเกือบ ๑๐๐ % จงึ ได้ขอให้เพื่อนศึกษานเิ ทศก์ ใช้ Program SPSS ประมวลผลให้ ผมเห็นเขาทาง่ายมากใช้เวลาไม่มากเลยผลก็ออกมา ยังคิดว่าต้อง เรียนร้บู ้างแล้ว ผมได้วิเคราะห์ผลการประเมินและจัดทาเป็นรายงานฉบับเล็ก ๆ เหมือนเป็นการเล่าเร่ือง ตามลาดับเหตุการณ์แล้วนาเสนอ ผอ.สพป. และหัวหน้ากลุ่มนิเทศฯ พร้อม Power Point ๑๕ เฟรม ไดร้ บั คาชมปนขอ้ เสนอแนะว่า “เปน็ รายงานท่ีดีนา่ สนใจอา่ นงา่ ยส้ันกะทัดรัด ถ้าให้ ศน. ทกุ คนทาอย่าง น้ีไดห้ รือไม?่ ผมอา่ นแลว้ ก็ตอบในใจวา่ “............ครับ” นอกจากนี้ผมยังได้ทาแผ่นพับผลการดาเนินงานภาพรวม ๔ หน้า แจกให้กับโรงเรียนทุกแห่ง ศึกษานิเทศก์และบุคลากรในสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกคน และต้ังใจว่า ผมจะทางานน้ีอย่างเป็น ระบบตอ่ ไป ตามท่ีทา่ น ผอ. เสนอแนะ ผมลืมบอกไปว่าผลการประเมินทุกประเด็นอยู่ในระดับพอใจมาก / ดีมาก ยกเว้น ๒ ประเด็น อยูใ่ นระดบั พอใจและควรแก้ไข คอื “นิเทศได้ตามความต้องการของโรงเรยี น” และ “นเิ ทศได้ต่อเนื่อง” ผมไม่มีข้ออภิปรายโต้แย้งผลการประเมินแต่อย่างใดเลย เพราะเป็นโรคประจาตัวของผมมานาน แลว้ พยายามรักษาอย่แู ต่ก็ยังไม่หาย คือ ไม่สามารถนิเทศโรงเรียนตามปฏิทินทก่ี าหนดไว้ ได้ซักทีท่านคง ไม่เหมอื นผม........ทา่ นแน่มาก...ขอคาแนะนาดว้ ยครับ

หลักสูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การพฒั นาขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๘๔ ก่อนแตง่ ตัง้ ให้ดารงตาแหน่งศกึ ษานิเทศก์ ใบกจิ กรรมท่ี ๒.๔.๑ เร่อื ง การวิเคราะหก์ ระบวนการนิเทศการศกึ ษาจากกรณศี ึกษา คาชี้แจง ๑. แบ่งกลุ่มผู้เข้ารับการพัฒนาเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละ ๘-๑๐ คน โดยให้สมาชิกศึกษาใบความรู้ท่ี ๒.๔.๑ เร่อื ง กระบวนการนเิ ทศการศึกษา และ ศกึ ษากรณีศกึ ษา : กระบวนการนเิ ทศการศึกษาของฉัน ๒. สมาชกิ ในกลมุ่ รว่ มอภปิ รายแลกเปลยี่ นเรยี นรู้ และรว่ มกันวเิ คราะห์ความสอดคล้องระหว่าง ขั้นตอนการนิเทศการศึกษาจากกรณีศึกษากับกระบวนการนิเทศแบบตา่ ง ๆ บันทึกในใบกิจกรรม ๓. ให้สมาชกิ ในกลมุ่ ร่วมกันสรปุ ความรู้โดยเขียนผงั ความคิด แลว้ บนั ทึกลงในกระดาษ ปรู๊ฟ พร้อมเตรยี มนาเสนอในกลุ่มใหญ่ รนุ่ ที่ ................... กลุม่ ที่ ................... สมาชกิ ในกลุ่ม ๑. ชอ่ื -สกลุ ................................................................................................................เลขท.่ี .. ................. ๒. ชื่อ-สกลุ ................................................................................................................เลขท่.ี .. ................. ๓. ชื่อ-สกลุ ................................................................................................................เลขท.ี่ ................... ๔. ชอ่ื -สกุล................................................................................................................เลขท.่ี .. ................. ๕. ชอ่ื -สกุล................................................................................................................เลขท่.ี ................... ๖. ชื่อ-สกลุ ................................................................................................................เลขที่... ................. ๗. ชื่อ-สกุล................................................................................................................เลขท.ี่ ................... ๘. ชอ่ื -สกลุ ................................................................................................................เลขท.่ี .. .................  การวเิ คราะห์ความสอดคลอ้ งของกระบวนการนิเทศ กระบวนการนิเทศ การศกึ ษาของ สปช. กระบวนการนเิ ทศจาก กระบวนการนิเทศ กระบวนการนิเทศ กรณศี ึกษา การศกึ ษาแบบ PIDRE การศกึ ษาแบบ PDCA

หลกั สูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรกู้ ารพัฒนาขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๘๕ ก่อนแต่งตง้ั ใหด้ ารงตาแหน่งศกึ ษานเิ ทศก์ กจิ กรรมหนว่ ยย่อยที่ ๒.๕ เทคนิคและวิธกี ารนิเทศการศึกษา เวลา ๖ ช่ัวโมง สาระสาคญั เทคนิคและวิธีการนิเทศการศึกษา เป็นการบูรณาการศาสตร์ทางการนิเทศต่างๆ ท่ีจะนามาใช้ใน การช่วยเหลือแนะนาและให้คาปรึกษาแก่ผู้รับการนิเทศให้สามารถพัฒนางานในหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพ และคุณภาพที่สูงขึ้น ด้วยเทคนิควิธีและทักษะปฏิบัติ ต่างๆ ซึ่งผู้ทาหน้าที่นิเทศการศึกษาจาเป็นต้องผ่าน ประสบการณ์ต่างๆ ตามกระบวนการพัฒนา และศึกษาค้นคว้า ฝึกฝนจนเกิดทักษะและความม่ันใจ ท่ีจะ นาไปใช้ในการปฏิบัติหน้าท่ีการนิเทศการศึกษาตามภารงานท่ีได้รับมอบหมาย ให้ประสบความสาเร็จและ บรรลุเป้าหมายสงู สดุ จนเป็นทีย่ อมรบั และศรทั ธาของผู้รบั การนเิ ทศ และผู้เก่ยี วขอ้ งทุกฝา่ ย วัตถปุ ระสงค์ ๑. เพอ่ื พัฒนาความรู้ความเข้าใจในเทคนคิ และวธิ ีการนิเทศ ๒. เพอื่ พัฒนาทักษะการนิเทศแบบชแ้ี นะ (coaching) การเป็นพเ่ี ลย้ี ง (mentoring) การฟังอย่างลึกซึ้ง (deep listening) การพูดเสริมแรง (reinforcement) การสร้างแรงบันดาลใจ (inspiration) และการต้ังคาถามท่ีเน้นการคิดสะท้อน (reflective thinking) จากการปฏิบัติงานของ ตนเอง ขอบข่ายเนือ้ หา ๑. เทคนคิ วธิ ีการนเิ ทศการศกึ ษา ๒. เทคนิคการนเิ ทศแบบช้แี นะ (Coaching) และการเป็นพ่ีเลีย้ ง (Mentoring) - การฟงั อย่างลุม่ ลกึ (deep listening) - การพูดเสริมแรง (reinforcement) - การสรา้ งแรงบันดาลใจ (inspiration) - การตัง้ คาถามท่เี น้นการคิดสะท้อน (reflective thinking) แนวทางการจดั กจิ กรรม ๑. วทิ ยากรแลกเปลี่ยนเรยี นรูร้ ่วมกบั ผูเ้ ขา้ รับการพฒั นาเกย่ี วกับเทคนิคการนิเทศการศึกษา ๒. ผ้เู ข้ารับการพฒั นาฝกึ ปฏิบตั กิ จิ กรรมตามใบกิจกรรมที่ ๒.๕.๑ - ๒.๕.๗ ๓. วทิ ยากรและผู้เข้ารับการพัฒนา ร่วมกนั สรปุ องคค์ วามรู้และแนวทางการนาไปใช้ สอ่ื /แหล่งการเรยี นรู้ ๑. ใบความรู้ที่ ๒.๕.๑ เรอื่ ง Story telling ๒. ใบความรู้ที่ ๒.๕.๒ เรือ่ ง เทคนคิ และวิธีการนเิ ทศ ๓. ใบความรู้ท่ี ๒.๕.๓ เรอื่ ง เทคนิคการนิเทศแบบชีแ้ นะและการเปน็ พเ่ี ลี้ยง ๔. ใบความรู้ท่ี ๒.๕.๔ เร่อื ง การนิเทศตามกระบวนการกลั ยาณมติ ร ๕. กรณศี ึกษา ๑ การจัดการเรยี นร้แู บบ Active Learning ๖. กรณีศกึ ษา ๒ การยกระดับผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น ๗. กรณศี ึกษา ๓ การประกันคุณภาพการศึกษา ๘. ใบกิจกรรมที่ ๒.๕.๑ เรื่อง “ยอ้ นรอย และถอดรหัสความรู้เดมิ ” เก่ยี วกับการโค้ช

หลกั สูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนร้กู ารพัฒนาขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๘๖ กอ่ นแตง่ ต้ังให้ดารงตาแหน่งศกึ ษานเิ ทศก์ ๙. ใบกิจกรรมท่ี ๒.๕.๒ Story telling (เรื่องเล่าเรา้ พลงั ) “การปฏิบัติงานทีป่ ระทับใจ” พฒั นา ทกั ษะการฟงั อย่างลกึ ซง้ึ , การพดู เสรมิ แรง และการสร้างแรงบนั ดาลใจ ๑๐. ใบกิจกรรมที่ ๒.๕.๓ Five Whys (Q&A-๕W) พัฒนาทักษะการต้ังคาถามท่ีเน้นการคิด สะท้อน (reflective thinking) ๑๑. ใบกิจกรรมที่ ๒.๕.๔ เทคนคิ การนเิ ทศแบบชีแ้ นะและการเปน็ พี่เล้ยี ง ๑๒. ใบกิจกรรมท่ี ๒.๕.๕ AAR : After Action Review สรปุ ความร้จู ากการฝกึ ส่กู ารปฏิบัติ ๑๓. ใบกจิ กรรมที่ ๒.๕.๖ SCENARIO (Paradigm shift to be Coach & Mentor Supervision) บทบาทสมมตุ ิการปรับกระบวนทศั น์ โดยใช้เทคนิคการนเิ ทศแบบชีแ้ นะฯ ๑๔. ใบกจิ กรรมที่ ๒.๕.๗ เรอ่ื ง สรุปองค์ความรแู้ ละสะท้อนคิดการเรียนร้เู รื่องเทคนคิ วิธกี ารใน การนิเทศ ๑๕. Power point เรื่องเทคนิคการนิเทศการศึกษา เทคนิคการนิเทศแบบช้ีแนะ (Coaching) และการเปน็ พีเ่ ล้ียง (Mentoring) ๑๖. VDO ๑) เทคนิคการฟังอย่างลึกซึ้ง (deep listening) ๒) การพูดเสริมแรง (reinforcement) และ ๓) การสร้างแรงบันดาลใจ (inspiration) ๑๗. กระดาษปรพู๊ สีเมจิก กระดาษ A ๔ ๑๘. เอกสารอา่ นเพ่มิ เตมิ ๑) เทคนคิ การนเิ ทศ ๒) กลั ยาณมติ รนิเทศ การวัดและประเมนิ ผล ๑. ประเมนิ พฤติกรรมการมสี ่วนร่วม และการปฏิบตั ิกิจกรรม ๒. ประเมินผลงาน (งานเดย่ี ว ใบกิจกรรมที่ ๒.๕.๗ เรอื่ ง สรปุ องค์ความรแู้ ละสะท้อนคิด การเรียนรเู้ รื่องเทคนิควิธกี ารในการนเิ ทศ)

หลักสูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรูก้ ารพฒั นาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๘๗ ก่อนแต่งต้ังใหด้ ารงตาแหนง่ ศกึ ษานเิ ทศก์ ใบความรู้ ท่ี ๒.๕.๑ เรื่อง Story telling (เรื่องเลา่ เรา้ พลัง) เรื่องเล่าเรา้ พลงั ( Story Telling) การถ่ายทอดเรื่องเล่าเร้าพลัง เป็นการแลกเปล่ียนเรียนรู้ที่ถูกถ่ายทอดออกมาโดยที่บางคร้ังเรามี วธิ ีการถ่ายทอดท่ีแตกต่างกัน แต่การเลา่ เรอ่ื งแบบ How to คือการเล่าหลักการง่ายท่ีเป็นปัญหา หรือสิ่งที่ ปฏบิ ัตอิ ยแู่ ล้วมีอะไรเกิดขึน้ เกิดความประทบั ใจอยา่ งไรกับการทาสงิ่ นัน้ ไมว่ ่าด้วยวิธีการ เทคนิคตา่ งๆท่ีเรา เสริมเข้ามาแล้วเกิดผลสาเร็จโดยการถ่ายทอดความรู้ให้ผู้ฟังเข้าถึงประเด่นอย่างชัดเจน เข้าใจง่ายและรู้ หลักการของสิ่งที่ถ่ายทอดออกมาแล้วเป็นอย่างดี บางคนเล่าเป็นข้ันตอน บางคนเล่าอย่างธรรมชาติง่ายๆ น่าสนใจ ฟังแล้วรู้สึกคล้อยตาม สิ่งนี้ที่ทาให้เกิดการเรียนรู้ควบคู่กันไป เกิดการเรียนรู้ร่วมกันท้ังผู้เล่าและ ผู้ฟัง  หลกั การพนื้ ฐานสาหรบั การเขียนเร่ืองเล่า การเขียนเรื่องเล่าเปน็ ท้งั ศาสตร์และศิลป์ แต่คนส่วนมากมกั จะคดิ วา่ นักเขียนเป็นคนท่ีมีพรสวรรค์ ด้านการเขียนติดตัวมาแต่กาเนิด ทั้งที่ในความเป็นจริงนักเขียนเหล่านั้นต้องฝึกปรือฝีมือตนเองอย่างหนัก หน่วง และใฝ่หาความรู้เทคนิคการเขียนอยู่เสมอ ความคิดความเช่ือข้างต้นมีผลทาให้หลายๆ คน หมด กาลังใจในการเขียนและคิดว่าการเขียนเรื่องเล่าเป็นงานที่หนักหนา คงไม่สามารถเขียนได้เหมือนกับ นกั เขยี นคนดงั ในดวงใจ อย่างไรก็ตามในแวดวงนักเขยี นมีคากล่าวหนึง่ ท่ชี ่วยสร้างแรงบันดาลใจและผลิตนกั เขียนเร่ืองเล่า ขึ้นมาหลายคน คากล่าวท่ีว่าคือ “การเขียนสอนกันไม่ได้ แต่เรียนรู้ได้” และเทคนิคข้ันตอนในการเขียน เรอ่ื งเลา่ ท่ีจะให้รายละเอยี ดตอ่ ไป ก็เปน็ ไปเพ่ือการเรียนร้รู ่วมกัน ๑. หัวใจของเรื่อง การนาเสนอเรื่องเล่าในฐานะท่ีเป็นกรณีศึกษา(case study) ข้อที่ควรให้ความสาคัญอันดับ แรกของการเล่าเร่ืองก็คือ เราจะต้องหาหัวใจของเร่ืองให้เจอก่อน หัวใจของเร่ืองหรือประเด็นท่ีเราจะ สื่อสารกับผู้อ่านในเรื่องเล่าเร่ืองนี้คืออะไร เพราะเหตุการณ์ท่ีเราจะเล่ามีมากมายและหลากหลายรสชาติ เราจึงต้องมาดูก่อนว่าหัวใจของเร่ืองของเราคืออะไร ไม่อย่างนั้นจะเขียนลากยาวไปเร่ือย และแกว่งไปมา หลายทศิ หลายทาง

หลกั สูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๘๘ ก่อนแตง่ ตง้ั ให้ดารงตาแหน่งศกึ ษานเิ ทศก์ หัวใจของเรื่อง ยังเป็นตัวช่วยกรองว่าเหตุการณ์ไหนที่เราควรจะใส่เข้ามาในเรื่อง เหตุการณ์ ไหนท่ีไม่เก่ียวข้องและเราควรตัดทิ้ง เพราะเวลาที่เราเขยี นเรื่องเล่า บ่อยคร้ังทเ่ี รื่องราวมากมายท่ีเราไปพบ เจออยู่ร่วมในเหตุการณ์ แต่เราจาไว้ว่าเรื่องท่ีเราไปเจอมา ๑๐๐% เราไม่ได้นาเหตุการณ์ท้ังหมด ๑๐๐% น้ันมาเขยี น อย่างมากเราใช้แค่ ๑๐% ทเ่ี หลอื เป็นเร่อื งท่ีไมไ่ ดเ้ ก่ยี วขอ้ งกับหัวใจของเร่ืองทเ่ี ราจะนาเสนอ หัวใจของเร่ืองเล่าไม่จาเป็นต้องเป็นเร่ืองท่ีเศร้าโศก รันทด สลดหดหู่ เสมอไป เรื่องเก่ียวกับ ความดี เร่ืองท่ใี ห้แรงบนั ดาลใจกบั ผู้คน เห็นชีวติ ด้านดขี องผคู้ น หรือชีวติ ดา้ นดีขององค์กรก็สาคญั ไม่แพ้กัน ลกั ษณะหวั ใจของเร่ืองทด่ี ี คือ ๑. เป็นประเดน็ ใหม่ ทีผ่ คู้ นไม่เคยรับรู้มาก่อน ๒. ก่อผลกระทบวงกวา้ ง ๒. โครงเร่อื ง(Plot) หลังจากได้หัวใจของเร่ืองแล้ว ต่อมาเราจะต้องมาวางโครงเร่ืองในการเขยี น โครงเร่ืองทว่ี ่าคือ เรอ่ื งเล่าทงั้ หมดของเราท่สี รุปย่อทสี่ ุดใน ๓ – ๔ บรรทัด หรอื ๓ – ๔ ประโยค เท่าน้ัน ตัวอย่างเช่น หัวใจของเรื่อง คือ ชุมชนที่เกลียดผู้ป่วยเอดส์ คือชุมชนท่ีป่วย ดังนั้นการรักษาผู้ป่วยเอดส์ อย่างเดียวจึงไม่พอ แต่ต้องเยียวยาชุมชนไปพร้อมกันด้วยโครงเร่ือง(เรื่องราวทั้งหมดอย่างย่อๆ) คือโรค เอดส์ได้สร้างผลกระทบต่อชุมชนมากขึ้น แต่ชุมชนก็ยังไม่สามารถยอมรับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้ ทาให้ชาวบ้านรังเกียจผู้ป่วยและครอบครัว ผู้ป่วยและครอบครัวจึงทุกข์ทรมาน ไมเ่ พียงจากอาการของโรค เอดส์ รวมทั้งจากการถูกตีตรา ซ้าเติมของชุมชน การดูแลผู้ป่วยรายบุคคลเพียงอย่างเดียวจึงไม่พอ เน่ืองจากชุมชนท่ีรังเกียจเดียดฉันท์ผู้ป่วยเอดส์ ซึ่งถือเป็นชุมชนที่ป่วย ก็ต้องได้รับการเยียวยารักษาไป พร้อมกนั ด้วย ๓. การเดนิ เร่อื ง พอได้โครงเร่ือง หรือเร่ืองราวท้ังหมดอย่างย่อๆ พอเป็นไกด์ให้เราแล้ว ข้ันตอนต่อไปคือจะ เดินเรื่องอยา่ งไร การเดินเรื่องไม่จาเป็นต้องเรยี งตามลาดับเวลาตามโครงเร่ืองเสมอไป จะย้อนสลับไปสลับ มาก็ได้ แต่ขอให้การเดินเรื่องรับใช้หัวใจเรอ่ื งเล่าของเรา ตัวอย่างเช่น เราต้องการนาเสนอเร่ืองราวของตัวละครคนหนึ่งที่ชีวิตสลับซับซ้อนมาก เกิด เหตุการณ์บังเอิญที่ร้ายๆ ต่างๆ ข้ึนมากมายในชีวิต จนตัวละครเองก็ไม่รู้จะหาคาตอบได้อย่างไร แต่ตัว ละครก็ยนื หยัดหลอ่ เลีย้ งชีวิตมาได้ ด้วยการมองโลกในแงด่ ีและเพยี รทาดี หัวใจที่สาคัญท่ีสุดของการเขียนเล่าเรื่องก็คือ การอนุญาตให้เรื่องราว หรือ case เป็นตัวเล่า เรื่อง พูดง่ายๆ ไม่ใช่ให้เราเป็นคนตัดสินเร่ืองราวที่เล่า หรือบอกคนอ่าน แต่ให้เล่าผ่านเรื่องราว หรอื case อนั น้ีสาคญั มากๆ ในการเขยี นเรื่องเล่า เพราะจะทาให้เรือ่ งเลา่ มพี ลงั  หลักการสาคัญของการเขียนเรือ่ งเลา่ โดยสรุปดังน้ี ๑. การปูพ้นื คนส่วนใหญ่มักจะเคยชินกับการเริ่มเร่ือง โดยมุ่งบรรยายที่ตัวละครก่อน ซ่ึงเป็นวิธีการท่ีไม่ ค่อยดีนัก ขาดพลังในการนาเสนอ การเขียนเร่ืองเล่าเร่ิมแรกเราต้องปูพ้ืนเรื่องเล่าก่อน การปูพื้นมี ๒ ลกั ษณะใหญๆ่ คอื ๑.๑ เกริ่นนา เพ่ือบอกว่าเรื่องที่เล่านี้จะเกี่ยวกับอะไร อย่างเช่น เกร่ินนาว่า “ชีวติ คนเรา แม้ จะเลือกเกดิ ไมไ่ ด้ แตเ่ ราเลือกเปน็ คนดไี ด้ เหมือนกับชีวิตของ.......ทีจ่ ะเลา่ ตอ่ ไปน้ี”

หลักสตู รและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรูก้ ารพัฒนาข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๘๙ กอ่ นแต่งตง้ั ให้ดารงตาแหน่งศกึ ษานเิ ทศก์ ๑.๒ การสร้างฉาก ก่อนท่ีเราจะนาเสนอตัวละคร หรือปล่อยตัวละครเข้ามาในเรื่อง เราอาจ ต้องให้ฉากของเรื่องราวก่อนว่าเรื่องเกดิ ข้ึนที่ไหน ในสถานการณ์เช่นใด เช่น อาจจะเป็นเรื่องราวในหมู่บา้ น ในครอบครัว หรือเกิดข้ึนท่ีกองขยะ ฉากเหล่าน้ีจะเป็นจุดท่ีตัวละครของเราจะเข้ามาแสดงบทบาททาให้ เรอ่ื งราวเกดิ ขน้ึ การบรรยายฉาก ควรจะเริ่มการบรรยายตามที่สายตาเห็นเป็นหลักก่อน เช่น ประตูเปิด ออกมาเรามองเห็นชายวัยชรานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง และมีผู้หญิงอีกคนกาลังสาละวนกับการทากับข้าว ในครัว ส่วนรายละเอียดอ่ืนๆ เช่น เขาอายุเท่าไหร่ เคยทางานอะไรมาก่อน ป่วยด้วยโรคอะไร จะมาเสริม ตรงจุดไหนก็ได้ การเขียนบรรยายฉากที่ดี ต้องเขียนถ่ายทอดออกมาตามที่ประสาทสัมผัสท้ัง ๕ สัมผัสรับรู้ ตามประสบการณ์ของเราที่ไปยืนอยู่ในเหตุการณ์ การเขียนในลักษณะนี้จะนาพาคนอ่านซ่ึงไม่ได้อยู่ร่วม เหตุการณ์กับเราเข้าไปในโลกท่ีเรากาลังพาเข้าไปและสัมผัสรับรู้เหมือนที่เรารู้สึกราวกับอยู่ร่วมใน เหตกุ ารณเ์ ดยี วกนั ตวั อย่างเช่น กองขยะแห่งนี้สูงใหญ่จนท่วมหัวคน มองสุดลูกหูลูกตายาวจรดขอบฟ้า มีไอควันโชยข้ึนจาก การเผาขยะอยู่เป็นหย่อมๆ หมาหลายตัวกาลังเดินคุ้ยเข่ียหาเศษอาหาร (บรรยายตามที่สายตาเห็น) เสียง รถขนขยะแล่นออกจากกองขยะดังกระหึ่มไปท่ัวบริเวณ พร้อมกับเสียงหมาเห่าไล่หลงั ดังขรม (เสียงเริ่มเข้า มา) เมื่อเดินเขา้ ใกล้รับรู้ถึงกล่ินขยะท่ีโชยคลุ้งเหม็นไปท่ัวบริเวณ (ตามด้วยกลิ่น) ฉันเอามือหยิบขวดแก้วท่ี แข็งกระด้างมีคราบเหนียวเนอะหนะเกาะติดใส่ลงในถุงขยะใบใหญ่ที่สะพายอยู่ข้างหลัง (ประสาทสัมผัส ผ่านมือ) ๒. แนะนาตัวละคร เวลาเปิดตัวละครเข้ามาในเร่ือง เราจะไม่เปิดพร้อมกันทุกตัวละคร เราจะเปิดทลี่ ะตัว (วิธกี าร นี้จะชวนให้เรื่องน่าติดตาม) โดยในขั้นแรก เราจะแนะนาตัวละครสาคัญๆ เท่าท่ีจาเป็น และไม่ต้องบอก เรือ่ งราวในชวี ิตตวั ละครทกุ เรือ่ ง เลอื กเอามาเฉพาะเหตุการณ์สาคัญ การเปดิ ตวั ละครจึงไมม่ ีรปู แบบตายตัวสาเร็จรูป หลักสาคญั คือ แนะนาตัวละครแต่พอสมควร แล้วเดินเร่ืองไปเร่ือยๆ (speak through the case) ท่ีสาคัญ เร่ืองราวหรือเหตุการณ์ที่ตัวละครพบเจอ หรือเผชิญต้องมี highlight หรือปมขัดแย้ง tension ซ่ึงมักจะใส่เข้ามาตอนกลางเรื่อง หลังจากปูพ้ืนและ แนะนาเรอื่ งราวของตวั ละครเสร็จแลว้ ๓. จุดเด่นของเรอ่ื ง highlight หรือปมขัดแย้ง tension เรื่องเล่านั้นควรมี highlight หรือปมขัดแย้ง tension ให้คนอ่านชวนติดตาม หรือลุ่นอยู่เป็น ระยะ และเอาใจชว่ ยตัวละครให้ฟันฝ่าอปุ สรรคไปไดใ้ นทา้ ยเรือ่ ง โดยอาจจะมสี ัก ๒-๓ เหตุการณ์สาคัญๆ ก็ พอ ให้เราลองหลับตานึกถึงภาพยนตร์ท่ีเราประทับใจ เราจะพบว่า *หากเป็นภาพยนตร์บู๊ highlight หรือ วกิ ฤต ของเร่อื งมักจะเป็นเหตุการณ์ตอนท่นี างเอกถูกฝ่ายผรู้ ้ายจบั ตัวและรอคอยพระเอกไปชว่ ย *หากเป็น ภาพยนตร์ชีวิต highlight หรือวิกฤต ของเรื่องมักจะเป็นเหตุการณ์ตอนท่ีตัวละครสาคัญรู้ความจริง บางอย่างในชีวิตท่ถี กู เก็บงาไว้ (เชน่ ร้คู วามจรงิ ว่าเปน็ ลกู เล้ียง หรือรคู้ วามจรงิ วา่ พ่อแม่ของตนถูกฆา่ โดยคน ที่เขารักและนับถือในปัจจบุ ัน) *หากเป็นภาพยนตร์รักโรแมนติก highlight หรือวิกฤต ของเรื่องมักจะเป็น เหตุการณ์ตอนที่พระเอกกับนางเอก เกิดเรื่องบาดหมางไม่เข้าใจกัน ซึ่งทาให้เขาทั้งสองแยกจากกัน (เพื่อ รอเวลาคนื ดใี นตอนจบเร่ือง)

หลักสูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรกู้ ารพัฒนาขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๙๐ ก่อนแตง่ ต้งั ให้ดารงตาแหนง่ ศกึ ษานเิ ทศก์ เวลาเราเดินเร่ือง (speak through the case) ให้เรามีจินตนาการอย่างน้ีว่า การเดินเรื่อง เหมือนกบั การปอกหวั หอม คอื จะคล่ีออกทีละชั้น ให้คนอา่ นเห็นเทา่ ทจ่ี าเป็น เพอื่ จะนาไปส่เู รื่องท่ีอยู่ถัดไป โดยคนอ่านก็จะเดินตามเร่ืองที่เราเปิดเผยทีละนิด แต่เราจะต้องมีอยู่ในใจก่อนว่าส่วนไหนจะมาก่อน มา หลงั เพื่อไปสู่ highlight หรือวิกฤตของเรอ่ื ง ๔. ส่วนสรุปหรือคล่ีคลายเหตกุ ารณ์ เราไม่จาเป็นต้องสรุปเร่ืองราวในท้ายเรื่องแบบน้ีเสมอไป เชน่ เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นว่า........ หรือ ดังนั้นเราจะเห็นวา่ ...... หรือสรุปเป็นหลักการเปน็ ข้อๆ แต่ เราต้องมองหาบทสรุปทีไ่ ปรบั ใช้หัวใจของ เร่ือง เพราะเร่ืองเล่าไม่ใช่รายงานท่ีเขียนเสนอให้ผู้บริหารหรือผู้บังคับบัญชาของเรา แต่เรากาลังส่ือสาร เร่ืองเลา่ ที่บอกคุณคา่ บางอยา่ งในชวี ติ หรือคณุ คา่ บางอย่างขององค์กรในดา้ นดี การสรุปเรื่องเล่าที่ดี ควรสรุปด้วยเรื่องเล่าท่ีเป็นเร่องราวสั้น ๆ ท่ีแสดงให้เห็นการคลี่คลาย ของเหตุการณ์ หรอื highlight หรอื ปมขัดแยง้ tension ทีเ่ ราขมวดปมไว้ เรื่องราวในตอนท้ายเรือ่ งเล่าอาจ คล่ีคลายไปได้หลายลักษณะ เช่น สุข เศร้า ทุกข์ทรมาน แต่ท่ีสาคัญเราคนเขียนต้อง landing ลงมาเป็น บทเรียนของชีวติ เพือ่ เป็นกรณีศึกษาใหไ้ ด้ เทคนิคบางประการในการเขยี นกรณีศึกษา (จาก ๘๐ กรณศี ึกษา ของโครงการพัฒนาองค์ ความร้เู พื่อพฒั นาแนวคดิ บริการปฐมภูม)ิ ชาตชิ าย มุกสง ๑. การย่อหน้าและการเขียนในแต่ละย่อหน้า หลักการสาคัญคือพงึ ระลกึ อยู่เสมอว่า แต่ละย่อ หน้าต้องมีใจความเดียวตลอดทั้งย่อหน้า ดังน้ันในการเขียนแต่ละครั้งต้องนึกก่อนว่าย่อหน้าท่ีจะเขียน ตอ่ ไปน้ีเป็นเร่ืองอะไร แล้วจึงสร้างประโยค ความคดิ หลัก (main idea) ขึ้นมากากับหรือเป็นตน้ เรอ่ื งเอาไว้ กอ่ น แล้วจงึ เอาสว่ นใจความที่จะขยาย (supporting idea) หรือใหร้ ายละเอียดทเี่ ป็นเรือ่ งเดยี วกันมาขยาย จนจบใจความ แต่ไมค่ วรเกิน ๑๐ ประโยค และโดยรวมแลว้ แตล่ ะยอ่ หน้าไมค่ วรเกนิ ๗ – ๑๐ ประโยคหรือ บรรทดั ๒. การเขยี นโดยใช้บทสนทนาในการดาเนนิ เรอ่ื ง (ถา้ เป็นไปได้กใ็ ห้หม่นั อ่านนวนิยาย หรอื บท ละครโทรทศั น์ในหนงั สือพมิ พ์กไ็ ด้) ตอ้ งสร้างภาพให้คนอา่ นไดร้ ับรู้ไปพร้อมกันดว้ ยวา่ ใครทาอะไรอยู่ คาพูด แต่ละคาใครเป็นคนพูด พูดในอารมณ์และสถานการณ์อย่างไร ก็ต้องบรรยายอารมณ์ผู้พูดและท่าทาง ออกมากจ็ ะชัดเจนขึน้ ๓. การเขียนบรรยายฉาก ตัวละคร เหตุการณ์และเร่ืองราว การบรรยายต้องให้คนอ่านได้ เห็นว่าเกิดอะไร (what) ข้ึนกับใคร (who) ที่ไหน (where) เม่ือไหร่ (when) ซ่ึงเป็นการบรรยาย (description) ลักษณะตามท่ีเกิดขึ้นจรงิ ที่สาคัญการเขยี นเชงิ คุณภาพต้องการคาบรรยายเชงิ คุณภาพหรือ เรอื่ งราวเหตุการณ์เชิงคุณภาพที่จะอธิบายวา่ เป็นอย่างไร และอธบิ ายใหร้ ู้ถึงเบื้องหลังเหตุการณ์หรือท่ีมาท่ี ไปของเหตุการณ์ว่าทาไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นน้ีขึ้นได้ นับว่าเป็นสิ่งสาคัญเพราะจะทาให้เรื่องราวดูลึก ชัดเจน มนี ้าหนกั มากข้นึ ด้วย

หลักสตู รและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูก้ ารพฒั นาขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๙๑ กอ่ นแตง่ ตง้ั ใหด้ ารงตาแหนง่ ศกึ ษานิเทศก์ ใบความรู้ ๒.๕.๒ เร่ือง เทคนิคและวิธีการนิเทศ ในการนิเทศการศึกษา เพ่ือช่วยเหลือและให้คาปรึกษาแนะนาแก่ครูผู้สอนตลอดจนผู้บริหาร สถานศึกษาใหเ้ ปล่ยี นแปลงพฤติกรรมและพัฒนาทักษะวิชาชีพให้มีคุณภาพ มีวธิ ีเทคนิคการตา่ งๆ จานวน มาก ซ่ึงศึกษานิเทศก์และผู้ทาหน้าท่ีนิเทศ จาเป็นต้องเรียนรู้ ศึกษาค้นคว้าและฝึกฝนให้เกิดความ เช่ยี วชาญ เพื่อนาไปใชใ้ นภารกจิ ทีไ่ ด้รบั มอบหมาย การทางานของศึกษานิเทศกจ์ ะประสบผลสาเรจ็ ไดร้ ับ ความเชื่อถือศรัทธาและยอมรับจากผู้รับการนิเทศ มากน้อยเพียงใด ข้ึนอยู่กับ ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ ตลอดจน “เทคนคิ และวิธกี าร” ของผนู้ ิเทศเปน็ ปัจจัยสาคัญ ซึง่ จะได้กลา่ วถงึ พอสังเขป ดังนี้  พฤติกรรมการนเิ ทศ ก่อนท่ีจะกล่าวถงึ เทคนคิ การนิเทศ ควรมีความเขา้ ใจถึงพฤติกรรมการนิเทศก่อนเพราะเปน็ เรื่อง ทเี่ กี่ยวข้อง สมั พนั ธ์กัน ซงึ่ พฤตกิ รรมการนเิ ทศ สามารถปฏบิ ตั ไิ ด้ทั้งทางตรง ทางอ้อม ตลอดจนทาการ นิเทศแบบมสี ่วนร่วม (Glickman, ๑๙๙๑) กลา่ วไว้ ดังน้ี ๑. พฤติกรรมการนเิ ทศทางตรง (Directive Style) - ผู้นิเทศเนน้ การใช้พฤติกรรมการเสนอขอ้ คิดเหน็ - ให้คาแนะนา - ออกคาส่ังใหป้ ฏบิ ัตติ าม - การสาธิตใหด้ ูเปน็ แนวตัวอย่างทจี่ ะปฏบิ ัติตามได้ - การกาหนดมาตรฐานผลงานทีค่ าดหวงั ให้เกดิ ข้นึ เชงิ ปริมาณ - การแสดงเจตจานงท่จี ะให้รางวัลให้คุณให้โทษตอ่ ผู้รบั การนิเทศ ๒. พฤติกรรมทางอ้อม (Nondirective Style) - ผนู้ ิเทศเน้นการใช้พฤติกรรมการฟัง - การยวั่ ยใุ ห้กาลงั ใจ - การทาความกระจา่ งให้ชดั เจนในประเด็นต่าง ๆ - การเสนอข้อคดิ เห็น - การแกไ้ ขปัญหาร่วมกนั กบั ผูร้ ับการนเิ ทศ เพ่ือทจ่ี ะเสริมสรา้ งใหค้ รูสามารถวางแผน ด้วยตนเองเก่ียวกับการจัดการเรยี นการสอนของเขา ๓. พฤติกรรมการนเิ ทศแบบมสี ่วนรว่ ม ผ้นู เิ ทศเน้นการใช้พฤติกรรมการนิเทศแบบมีสว่ นร่วมในการปฏบิ ตั ิงานกับครูผู้รับการนเิ ทศ เช่น การเสนอข้อคิดเห็น / การทาความกระจา่ งในประเด็นต่างๆ / การรบั ฟงั / การรว่ มมือกนั แก้ปญั หา / และ เจรจา ตกลงใจท่ีจะดาเนินการ ผ้นู ิเทศใช้พฤติกรรมดังกล่าวเพ่ือตกลงใจทาสญั ญาขอ้ ตกลงระหวา่ งครูกับผนู้ เิ ทศ เพอื่ ใช้ ดาเนินการปรบั ปรงุ การจดั การเรยี นการสอน โดยรว่ มดาเนินการไปด้วยกนั

หลักสูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรกู้ ารพฒั นาขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๙๒ กอ่ นแตง่ ต้ังใหด้ ารงตาแหน่งศกึ ษานเิ ทศก์ การนิเทศทง้ั ๓ แบบ ตามแนวคดิ ของ (Glickman, ๑๙๙๑) จาแนกพฤติกรรมดงั ตาราง แบบการนเิ ทศ พฤติกรรมการนเิ ทศ การนเิ ทศทางตรง การสาธิต (Demonstrative) การนเิ ทศทางอ้อม การใหค้ าแนะนาออกคาสง่ั ให้ปฏบิ ัตติ าม (Directing) การกาหนดมาตรฐาน (Standardizing) การนิเทศแบบมีสว่ นร่วม การเสริมแรง (Reinforcment) การฟัง (Listening) การทาความกระจ่างชดั เจน (Clarifying) การย่ัวยุ สนับสนนุ ใหก้ าลังใจ (Encouraging) การเสนอข้อคิดเหน็ (Presenting) การแกป้ ัญหา (Problem Solving) การเจรจาตกลงใจท่ีจะดาเนินการ (Negotiating)  เทคนคิ ท่ใี ช้ในการนเิ ทศทางออ้ ม ในการนิเทศทั้ง ๓ แบบ การนิเทศทางอ้อมเป็นเทคนิควิธีการท่ีศึกษานิเทศก์นิยมใช้ มีเทคนิค ยอ่ ยๆที่ชว่ ยใหก้ ารนิเทศประสบผลสาเร็จ ดงั นี้ เทคนิคที่ ๑ พดู น้อย ทามาก ผู้นิเทศส่วนมากจะยึดครองการพูดและอภิปรายเป็นเปอร์เซ็นต์ท่ีสูงกว่าครูมาก ซ่ึงเป็นอุปสรรค อย่างย่ิงท่ีจะเข้าถึงความในใจและความกังวลห่วงใย และปัญหาของครู ดังน้ันเมื่อใช้เทคนิคการนิเทศ ทางออ้ ม จงึ ควรหลีกเล่ียงการพูดมาก ๆ ไว้ เทคนคิ ที่ ๒ การยอมรับ การถอดข้อความ การใชค้ วามคิด ผู้นิเทศควรแสดงอาการหรือคาพูดท่ีแสดงการยอมรับในระหว่างอภิปรายพูดคุยกับครู เช่น การพยักหน้า หรือใช้คาพูดว่า “ใช่” “ผมเข้าใจ” เป็นต้น และในขณะท่ีครูพูดควรแสดงให้เห็นว่ากาลังฟัง อยา่ งสนใจ การถอดข้อความท่ีถูกตอ้ งแม่นยาเปน็ อีกประเด็นหน่ึงทีส่ าคัญ เมอ่ื ผู้นิเทศมีความเข้าใจความหมาย ทีค่ รพู ดู ออกมาและใชค้ วามคิดของครทู ่ีแสดงออกไปใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างออกไปเป็นสงิ่ ที่ดี การใช้ความคิดของผู้นิเทศ แสดงให้เห็นว่าผู้นิเทศได้ยิน ได้ฟัง มีความเข้าใจและติดตามความคิด ของครูตลอดเวลาแม้จะเป็นส่ิงท่ีดี แต่การติดตามความคิดของครูจะหยุดลงเม่ือผู้นิเทศเริ่มแสดงความ คิดเห็นออกมา ดงั น้ันควรใชค้ วามคดิ เม่ือผรู้ บั การนิเทศหยดุ พดู แล้ว เทคนิคที่ ๓ ใช้คาถามที่ชว่ ยคลคี่ ลายทาใหก้ ระจ่างชดั เจนขึ้น ในการพูดคุยของครู ผู้นิเทศควรจะถามเพื่อขยายความให้กระจ่างชัดข้ึน ให้ครูได้คิดได้ละเอียด ลึกซงึ้ ขน้ึ เพอ่ื ช่วยในการตดั สินใจช่วยเหลือครู เชน่ อาจจะใช้คาว่า “บอกผมใหล้ ะเอยี ดได้ไหมครับว่า หมายถึงอะไร?” “ชว่ ยยกตัวอย่างเพ่ิมเตมิ อกี นดิ ได้ไหม?” เปน็ ตน้ เทคนิคที่ ๔ การใหค้ ายกย่องสรรเสรญิ ในผลงานของครแู ละความเจรญิ งอกงามของครู ในการให้คายกย่องผลงานครู ควรยกย่องแบบเจาะจงถึงสิ่งท่ีได้กระทา เช่น หลังจากสังเกต การสอน ผู้นิเทศพูดกับครูว่า “คาตอบที่คุณครูตอบ ด.ช.วีระน้ันชัดเจนดีมาก” แต่ถ้าให้คายกย่องว่า “การสอนของคุณครูดีมาก” ถือว่ายังไม่ใช่การยกย่องอย่างเจาะจง ซ่ึงการยกย่องไม่เจาะจงน้ี จะไม่ช่วย ให้ครูทราบว่าสิ่งทป่ี ฏบิ ตั นิ ้ัน สิ่งใดดแี ลว้

หลักสตู รและแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรกู้ ารพัฒนาข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๙๓ กอ่ นแตง่ ตง้ั ให้ดารงตาแหน่งศกึ ษานิเทศก์ เทคนคิ ท่ี ๕ หลกี เลีย่ งการใช้คาแนะนาโดยตรง เทคนิคการแนะนาท่ีดี คือ อย่ารีบด่วนแนะนาโดยตรง ในที่นี้ไม่ได้ห้ามแนะนาเสียทีเดียว แต่ ผู้นิเทศควรคอยจังหวะและหาโอกาสเพื่อให้ครูได้คิด พิจารณา แปลความหมายและคิดได้ด้วยตนเองจะดี ที่สุด ถ้าครูคิดตัดสินใจได้ด้วยตนเองเขาจะภูมิใจและเต็มใจปฏิบัติ แต่ถ้าครูคนใดไม่สามารถคิดและ ตดั สินใจได้ ผูน้ ิเทศจะให้คาแนะนากค็ วรแนะนาทางเลอื กให้ครูตดั สินใจ เทคนิคท่ี ๖ การยอมรับและการใชค้ วามร้สู ึกของครู ในการนิเทศ ผู้นิเทศไม่ควรละเลยความรู้สึกและอารมณ์ของครูท่ีแสดงออก หรือเกิดขึ้นระหว่าง นิเทศ ซ่งึ ความรู้สึกนัน้ อาจจะเป็นได้ท้ังการมคี วามหวังอย่างสูง จนถึงหมดกาลงั ใจสนิ้ หวงั หรือจากความร่า เรงิ ไปจนถึงความหดหู่ ดังน้ันผนู้ ิเทศทดี่ ีควรคานึงถึงความรู้สึกของครูเพ่อื จะได้หาทางนิเทศชว่ ยเหลืออย่าง เหมาะสม อย่างไรก็ตามถึงแม้จะสนใจในเรื่องอารมณ์ความรู้สึก แต่ก็ต้องไม่ละเลยเน้ือหาความคิดท่ีครูได้ พดู ออกมาดว้ ย เพราะเปน็ ส่ิงทมี่ ีความสาคัญ  เทคนิคและวิธกี ารจดั ฝกึ อบรม การฝึกอบรมครู เป็นเทคนิคและวิธีการในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพสูงข้ึน ท้ังด้านความรู้ ความคิด ทัศนคติ บุคลิกภาพ ความสามารถ และทักษะในการปฏิบัติงาน ในวิชาชีพ ถือเป็นภารกิจหลักประการหนึ่งของการนิเทศการศึกษา เพราะการพัฒนาคณะครูเป็น กระบวนการ พัฒนาความก้าวหน้าด้านวิชาชีพของครู และความสามารถในการเป็นครู อันมีผลต่อการ ปรบั ปรุงการเรยี นการสอน ในการจดั ฝึกอบรมครูใหม้ ีประสทิ ธิภาพ มแี นวทางปฏิบัติ ดงั นี้ ๑. การตดั สินใจจดั โครงการฝึกอบรม ในการตัดสินใจฝึกอบรม จาเป็นต้องอาศัยข้อมูลเป็นปัจจัยพ้ืนฐาน เพราะจะทาให้ทราบถึง ความตอ้ งการจาเป็นในการฝึกอบรม เม่ือได้ข้อมูลเพยี งพอแลว้ จึงนามาพิจารณาอยา่ งรอบคอบ มหี ลักฐาน ยนื ยนั ว่าเป็นประโยชน์ไดผ้ ลคุ้มคา่ กบั การลงทุน และโรงเรยี นมีความพร้อมที่จะดาเนนิ การได้ จึงตัดสินใจ ๒. การกาหนดวัตถุประสงคใ์ นการฝกึ อบรม วัตถุประสงค์การฝึกอบรม เป็นผลการเรียนรู้ หรือพฤติกรรมใหม่ของบุคคลที่เราต้องการให้ เกดิ ข้นึ หรอื มากยิง่ ขนึ้ หลังจากการฝกึ อบรมเสร็จแลว้ ไดแ้ ก่ เจตคติ คา่ นยิ ม ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ กระบวนการ หรือความชานาญในดา้ นตา่ งๆ เม่อื เร่ิมทาโครงการฝึกอบรมต้องกาหนดให้ชัด ๓. การจัดทาหลักฐานการฝึกอบรม กระบวนการจัดทาหลกั สูตร การฝกึ อบรมประกอบดว้ ยกจิ กรรมหลัก ๕ ประการ ดงั นี้ ๓.๑ การกาหนดวัตถุประสงคข์ องหลกั สตู ร ๓.๒ การเล้ยี ง การจัดเนอ้ื หา และเทคนิคการฝึกอบรม ๓.๓ การนาหลักสตู รไปใช้ ๓.๔ การประเมนิ ผลตามหลกั สูตร ๓.๕ การปรบั ปรุงหลักสตู ร ๔. การคัดเลือกวิทยากรการอบรม วิทยากรการฝึกอบรมมีบทบาทสาคัญมากในการถ่ายทอดเนื้อหาวิชาตามหลักสูตร เพ่ือทาให้ ผู้เขา้ รบั การฝึกอบรมได้เรียนรู้ และเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมตามวตั ถุประสงค์ของการฝึกอบรม วธิ ีการเลือก

หลักสูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรกู้ ารพฒั นาขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๙๔ ก่อนแต่งต้งั ใหด้ ารงตาแหนง่ ศึกษานิเทศก์ วิทยากรที่ดี ควรเลือกจากผทู้ ี่มีความรู้ความชานาญในเน้ือหาวิชาตามหลักสูตรเป็นอย่างดี มีความสามารถ ในการใชเ้ ทคนิควธิ กี ารถา่ ยทอดเน้อื หาวชิ าใหใ้ หผ้ ู้รบั การอบรมได้เรียนรแู้ ละเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ การพิจารณาวิทยากรนอกจากมีคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้นแล้วควรพิจารณาบุคคลภายใน องค์กรดว้ ย ถ้าไมม่ จี ึงเชิญวทิ ยากรภายนอก ๕. การบริหารโครงการฝึกอบรม การบริหารโครงการฝึกอบรม แบ่งออกเปน็ ๓ ระยะ คือ ระยะกอ่ นดาเนินการฝกึ อบรม ระยะ ระหว่างดาเนินการฝึกอบรม และระยะหลงั ดาเนนิ การฝกึ อบรม ในแต่ละระยะมีแนวทางดาเนนิ การ ดังนี้ ๕.๑ ระยะกอ่ นดาเนนิ การฝกึ อบรม ดาเนินการดงั น้ี ๕.๑.๑ ติดตอ่ วทิ ยากรเปน็ การภายใน ๕.๑.๒ ติดต่อสถานท่ี ๕.๑.๓ พิมพ์หลกั สูตรและโครงการฝึกอบรม ๕.๑.๔ คัดเลือกผเู้ ขา้ รบั การพัฒนา จดั ทาบัญชรี ายช่ือ ๕.๑.๕ จดั เตรยี มเงินทีจ่ ะใชจ้ า่ ยในโครงการฝึกอบรม ๕.๑.๖ จัดเตรียมเอกสารพ้ืนฐาน และเอกสารประกอบการฝึกอบรม ๕.๑.๗ จัดเตรยี มประวัติวทิ ยากรในโครงการ ๕.๑.๘ จัดเตรียมแบบประเมินผล ๕.๑.๙ จดั เตรียมสถานท่ี เชน่ โตะ๊ เก้าอ้ี ทีร่ ับรายงานตัว รวมทงั้ วัสดุอปุ กรณ์ ประกอบการอบรม ๕.๑.๑๐ จดั ทากาหนดการพิธีเปดิ การฝึกอบรม ๕.๑.๑๑ ทาหนงั สือเชญิ วทิ ยากร ๕.๑.๑๒ ทารา่ งคากล่าวรายงาน และคากลา่ วของประธาน ๕.๑.๑๓ จัดทาแฟม้ สาหรบั ผู้รบั การอบรม ๕.๑.๑๔ จัดทาแฟม้ ลงทะเบียน ๕.๑.๑๕ เตรยี มประกาศนียบตั ร หรือวุฒิบตั ร ๕.๑.๑๖ เตรยี มการทัว่ ไป เชน่ โต๊ะหม่บู ชู า ดอกไม้ธูปเทียน ไมโครโฟน อุปกรณ์ โสตทศั นปู กรณต์ ่าง ๆ ๕.๑.๑๗ เตรียมเร่อื งเงนิ ทีใ่ ช้จ่ายในการฝึกอบรม ๕.๒ ระยะระหวา่ งดาเนินการฝึกอบรม ควรดาเนินการดังน้ี ๕.๒.๑ จดั เตรยี มแฟ้มเซ็นช่ือประจาวัน ๕.๒.๒ จดั เตรยี มเอกสารทีจ่ ะแจกแต่ละวนั และกระดาษบนั ทกึ ๕.๒.๓ เตรยี มเคร่อื งด่มื วิทยากร ๕.๒.๔ เตรยี มอานวยความสะดวกแกว่ ิทยากรและผู้รบั การอบรม ๕.๒.๕ สังเกตการณ์การฝึกอบรม ตลอดระยะเวลาการอบรม และดูเวลาให้เป็นไปตาม กาหนดการ ๕.๒.๖ แจกแบบประเมินผลระหว่างอบรม รวบรวมผลจากการประเมิน เพื่อทาการ วิเคราะห์ และปรับปรงุ แกไ้ ข ๕.๒.๗ จดั เตรียมแบบทดสอบหลังการฝกึ อบรม เพ่ือใช้ในวันสดุ ทา้ ย

หลักสูตรและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้การพฒั นาขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ๙๕ ก่อนแตง่ ต้งั ใหด้ ารงตาแหนง่ ศกึ ษานิเทศก์ ๕.๓ ระยะหลังดาเนินการอบรม ควรดาเนินการดงั นี้ ๕.๓.๑ ส่งหนงั สือขอบคุณวทิ ยากรและหน่วยงานทเ่ี กี่ยวข้อง ๕.๓.๒ รวบรวมและวิเคราะห์ผลการฝึกอบรม ๕.๓.๓ รายงานผลการฝึกอบรม ๕.๓.๔ นเิ ทศติดตามผลการฝกึ อบรม ๕.๓.๕ รวบรวมและวิเคราะห์ผลที่ไดจ้ ากการตดิ ตามผล และทารายงานเสนอฝ่ายบรหิ าร ๕.๓.๖ จัดการเร่ืองเงินโดยจัดทาหลักฐานการเงิน เพ่ือเบิกจ่ายหรือใช้หน้ีเงินยืม จากราชการ  เทคนคิ วิธีการอบรม จากที่กล่าวไว้ข้างต้นเป็นเพียงแนวทางพอสังเขปในการจัดฝึกอบรมครูที่ศึกษานิเทศก์จะต้องได้ ปฏิบัติเพราะเป็นภารกิจหน่ึงของการนิเทศ แต่สิ่งท่ีศึกษานิเทศก์ควรฝึกเป็นพิเศษให้เกิดความชานาญ คือ การเป็นวิทยากร โดยเฉพาะเทคนิคและวิธีการต่างๆ ในการเป็นวิทยากรท่ีดี เพราะนอกจากศึกษานิเทศก์ จะเป็นวิทยากรการอบรมโครงการที่รับผิดชอบแล้วอาจจะได้รับเชิญจากสถานศึกษาและหน่วยงานต่างๆ ใหท้ าหนา้ ทีว่ ิทยากร ซึ่งมรี ายละเอยี ดดงั น้ี ๑. การเตรยี มสถานท่ี ได้แก่ การตั้งเครื่องฉายต่างๆ จอรับภาพ การจัดท่ีนั่ง หรือกลุ่มให้เหมาะกับกิจกรรม (โต๊ะ เกา้ อ้ีควรเคลื่อนย้ายได้) ที่สาหรบั ตดิ หรือโชว์ผลงานระหวา่ งอบรมเป็นต้น ๒. การสรา้ งความพร้อม ความเข้าใจและศรัทธา วิทยากรควรชีแ้ จงให้ผูร้ ับการอบรมไดท้ ราบแนวทางการฝึกอบรม แจ้งวัตถุประสงคแ์ นวทาง การประเมินผลการอบรม และแจกตารางสาหรับผรู้ บั การอบรม ๓. การสร้างความสมั พนั ธใ์ ห้กล่มุ ผูร้ บั การอบรม ในการสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่มผู้รับการอบรมน้ี เป็นการสร้างความรู้สึกใกล้ชิดเป็นกันเอง และเป็นหนึ่งเดียวกนั ให้สมาชิกสามารถรู้จัก จาชื่อเพ่ือนๆได้ นอกจากนคี้ วรจัดให้ผู้รับการอบรมทุกคนได้มี ส่วนร่วมในกิจกรรมทุกๆกิจกรรม และสนับสนุนให้สมาชิกของกลุ่มให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการ แก้ไขปัญหาต่างๆ ๔. ตัวของวทิ ยากร ในการอบรมวิทยากรที่ดีต้องมีการเตรียมตัวให้พร้อมโดยควรจัดทาแนวทาง หรือโครงสร้าง กิจกรรมการฝึกอบรมไว้อย่างชัดเจน เป็นผู้มีความรู้ และเป็นศูนย์กลางของแหล่งวิชาการในหัวข้อ ท่ี รับผิดชอบ จัดเตรียมเอกสารประกอบคาบรรยายให้เพียงพอแก่ผู้รับการอบรม และอาจจะปฏิบัติตาม หลักการตอ่ ไปน้ี ๔.๑ อย่าแนะนาตนเองมากเกินไปจนเป็นการอวดตน ควรแนะนาในสว่ นที่เก่ียวข้องกับเรอ่ื งที่ ไปเปน็ วิทยากร ๔.๒ อย่าใช้กิจกรรมการอบรมซ้า ๆ ควรจัดกิจกรรมให้มีความหลากหลายเหมาะสมกับสิ่งที่ ผู้อบรมตอ้ งเรียนรู้ ๔.๓ จัดกิจกรรมให้เป็นลาดับข้ันจากงา่ ยไปหายาก จากเร่ืองทเ่ี ปน็ พ้ืนฐานไปสู่เร่อื งที่กว้าง และ ลกึ ข้ึน

หลักสูตรและแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรกู้ ารพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ๙๖ กอ่ นแต่งตั้งใหด้ ารงตาแหนง่ ศึกษานิเทศก์ ๔.๔ จัดกิจกรรมกลุ่มให้เหมาะสม ว่ากิจกรรมใดควรใช้กลุ่มใหญ่ กิจกรรมใดควรใช้กลุ่มเล็ก กิจกรรมใดควรใช้กจิ กรรมเป็นรายบุคคล เป็นตน้ ๔.๕ การใช้กิจกรรม เกม เพลง นิทาน สอดแทรกระหว่างการอบรมควรเป็นกิจกรรม ท่ี เช่ือมโยงกับสิ่งท่ีผู้รับการอบรมต้องเรียนรู้ และไม่ควรใช้ให้มากเกินไปจนผู้อบรมไม่ได้ทากิจกรรมตาม หลักสูตร และควรจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับบรรยากาศและวัยของผู้อบรมในการสร้างบรรยากาศน้ี ไม่ควรใชว้ ิธีการพูดหรอื เลา่ เรือ่ งหยาบคายไมส่ ภุ าพ ๔.๖ การมอบหมายงานให้ทากิจกรรม ควรมอบหมายให้เสร็จแล้วจึงลงมือทาในขณะที่ผ้อู บรม กาลังทากิจกรรมไม่ควรช้ีแจงหรืออธิบายเพ่ิมเติม เพราะจะทาให้ผู้อบรมขาดสมาธิในการทากิจกรรม ถ้าหากเปน็ เร่อื งทีม่ คี วามจาเป็น ควรแจ้งให้ผอู้ บรมหยดุ และฟังคาช้แี จงกอ่ น จากนน้ั จงึ ทากิจกรรมต่อ ๔.๗ ถ้าเป็นการอบรมท่ีมีการจัดกลุ่มและมีวิทยากรประจากลุ่ม ผู้ท่ีทาหน้าที่วิทยากรหลักควร เปิดโอกาสให้วิทยากรประจากลุ่มได้ทาหน้าท่ีช้ีแจง ทาความเขา้ ใจ ตอบปัญหา กระตุ้นส่งเสริมการทางาน ในกลุ่มที่รับผดิ ชอบ ไมค่ วรทาหนา้ ทแี่ ทนวิทยากรกล่มุ เสียทั้งหมด เพราะจะไมส่ ามารถปฏิบตั ไิ ดอ้ ย่างทว่ั ถึง ๔.๘ เปิดโอกาสให้ผู้รับการอบรมได้มีส่วนร่วมกิจกรรม และจบการอบรมแต่ละวันควรมีการ สรปุ บทเรียนโดยให้สมาชกิ ผรู้ ับการอบรมมีส่วนรว่ มในการสรปุ จากที่แนะนาไว้เป็นเพียงการจัดฝึกอบรมทางตรงโดยมีวิทยากรเป็นผู้ดาเนินการ นอกจากนี้ยังมี การจัดอบรมอีกหลายลักษณะ เช่น การอบรมด้วยตนเอง อบรมทางไกลโดยใช้สื่อเอกสาร อบรมทางไกล โดยใช้สื่ออิเลคโทรนิค (e-Training) เป็นต้น หวังว่าศึกษานิเทศก์ทุกท่านจะได้ศึกษาเพิ่มเติม และฝึก เทคนิคตา่ งๆ จนคล่องและนาไปใชป้ ระโยชนใ์ ห้มากยงิ่ ข้ึนตอ่ ไป  กัลยาณมิตรนิเทศ กัลยาณมิตรนิเทศ เป็นการนิเทศท่ีมุ่งพัฒนาคน มากกว่าพัฒนาเอกสารและผลงาน ตามแนวคิด ของกระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๔๐ : ๑๔) ได้นาหลักธรรมของกัลยาณมิตรมาใช้ ตามสาระของหลัก อริยสจั ส่ี มีสาระสาคัญดังนี้ ๑. เป็นการสร้างพ้ืนฐานความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ระหว่างผู้เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้นิเทศ ผู้รับการ นิเทศ โดยเริ่มต้นด้วยศรัทธา ดังนั้นผู้นิเทศต้องจัดกิจกรรม ใช้สื่อการนิเทศเพ่ือสร้างศรัทธา และความ ไวว้ างใจ ๒. การนาหลักกัลยาณมิตรมาผสมผสาน ในกิจกรรมทุกข้ันตอน ถ้าวิเคราะห์กัลยาณมิตรธรรม ๗ ตามหลักการสอนแล้ว ผู้นิเทศที่เป็นกัลยาณมิตรควรมีส่ิงต่อไปน้ีคุณลักษณะที่น่าเคารพนับถือมีคุณสมบัติ คอื ความรู้ ภูมปิ ัญญา ประพฤติดี เป็นผู้ฝึกหดั อบรมตนอยเู่ สมอ สามารถสือ่ สาร สร้างความสัมพันธ์ และ แลกเปล่ียนความคิดกับผู้รับการนิเทศได้อย่างดีมีคุณธรรมคือ การอดทน ต้ังใจนิเทศด้วยความเมตตา มี ความจริงใจ มีความรูจ้ รงิ มีใจกวา้ ง นเิ ทศได้ แจ่มแจ้ง ชดั เจน ๓. การจัดข้ันตอนการนิเทศ ให้เป็นไปตามหลักอริยสัจ เน้นความรู้จริงในทุกข์ ค้นคว้าหาเหตุ ของ ทกุ ข์ มุ่งปฏบิ ตั ติ ามแนวอริยมรรค เพ่ือนาไปส่สู ภาวะพน้ ทกุ ข์ ๔. การมีความสามารถผสมผสาน วิธีการฝึกหัดอบรมตนเอง กับวิธีการพ่ึงพาและการช่วยเหลือ เกือ้ กูลผู้อ่ืนไดอ้ ย่างดี โดยมคี วามเมตตากรณุ า มคี วามจรงิ ใจท่ีทุกฝ่ายมีศรัทธาต่อกัน ร่วมกันคิด ร่วมกันทา ร่วมกนั แก้ปัญหา ตา่ งฝ่ายตา่ งชว่ ยเหลือซง่ึ กนั และกัน และเรยี นรจู้ ากกนั และกัน

หลักสตู รและแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรกู้ ารพัฒนาข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา ๙๗ กอ่ นแต่งตั้งใหด้ ารงตาแหนง่ ศึกษานิเทศก์ ใบความรูท้ ่ี ๒.๕.๓ เรอ่ื ง การนิเทศโดยใช้เทคนคิ การชี้แนะและการเปน็ พ่เี ลยี้ ง (Coaching & Mentoring Supervision Techniques) จดุ มงุ่ หมายของการ Coach ๑. เป็นกระจกที่จะสะท้อนความคิดและความจริงของการกระทาให้เป็นระบบด้วยบรรยากาศ สร้างสรรค์ ๒. เป็นหน้าต่างท่ีเปิดโอกาสสู่การเชื่อมโยงกับความรู้และปัจจัยภายนอกเพื่อเพ่ิมทางเลือกและ ความมั่นใจในการตัดสินใจและลงมือกระทาการเปล่ียนแปลงและพฒั นาตนเอง ๓. สรา้ งความไว้วางใจ (Building trust) ความเขา้ ใจ และสนบั สนุนให้คิดต่อเน่ือง คณุ ลักษณะของ Coach ๑. เป็นบคุ คลท่มี ีต้นทนุ ของความรู้ทเ่ี ก่ียวข้องกบั เนื้อหา วิธีสอน รวมถงึ มีบุคลกิ ภาพและ เจตคติ ที่ดสี ม่าเสมอ ๒. มคี วามยดื หยุ่นไวต่อความร้สู ึก และเป็นกลั ยาณมิตร กับทกุ คน ๓. มีพนื้ ฐานและประสบการณ์ที่เข้าใจธรรมชาตแิ ละวฒั นธรรมการทางาน ๔. มกี ารพฒั นาทักษะ การฟัง การคดิ การถาม และการเขยี นทีช่ ัดเจน ๕. มีกระบวนการคดิ ทบทวน (Reflective Thinking) ๖. มีพฤตกิ รรมการมองเชิงบวก จับถูก คดิ ถงึ ปัญหาเร่ิมจากตนเอง ๗. มกี ารปรับเปลี่ยนพฤติกรรม พดู นอ้ ยลง ฟังมากข้นึ ไมส่ ั่งการใด ๆ ๘. ช่วยกาหนดจดุ พัฒนา เชือ่ มโยงและสนับสนุนความเปล่ียนแปลง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook