~ 101 ~ วจนะของทา่ นศาสนทตู ใน 2 กระแสนีไ้ ด้ให้คํานิยามของคําว่าทาสท่ีแปลกใหมล่ ํา้ ยุคอนั ผกู พันธ์คํานิยามดงั กล่าวไว้กับการปฏิบัติด้วยมนษุ ยธรรมของนายทาสต่อผ้เู ป็ นทาสกล่าวคือ ความ ‚เทา่ เทียม‛ ท่ีอิสลามเสีย้ มสอนนายทาสในการปฏิบัติตอ่ ทาสนนั้ จําต้องปรากฏผลในทาง รูปธรรมคือการกินอาหารและสวมใสเ่ สอื ้ ผ้าเช่นเดยี วกบั ทาส เพราะเหล่านีค้ ือสิทธิที่ทาสมีต่อนาย ของตนเองที่ย่ิงไปกวา่ นนั้ คือการท่ีทาสไมค่ วรได้รับการลงโทษอย่างป่ าเถ่ือนและสามารถละเลย การทํางานท่ีเกินความสามารถของตนเองได้ วจนะของท่านศาสนทูตทัง้ สองต้นนีจ้ ึงเป็ นการ ประกนั ในสทิ ธิเสรีภาพขนั้ พืน้ ฐานท่ีทาสจกั ต้องได้รบั จากนายของเขา หลงั การประกนั สิทธิของทาสดงั ที่ได้กลา่ วไปในวจนะตา่ งๆแล้ว การทําลายระบอบทาสใน ขนั้ ตอ่ มาจึงปรากฏผา่ นวจนะบทนี ้ความวา่ لن همام بن مكب أع سمع أبا هرنرة ريي الله لك يحدث لن الكبي صتى الله لتي أستم أع قال لا نقل أحدتم أطمم ربك أيئ ربك اسق ربك أليقل سيدي مملاي ألا نقل أحدتم لبدي أمتي أليقل فااي أفااٌب أيلامي ‚จากอบูฮุร็อยเราะฮฺ กล่าวว่า ท่านนบี ศ็อลฯ กล่าวว่า อย่าได้เอ่ยเอื้อนวาจาว่า จงนา อาหารมาใหน้ ายของท่าน จงหาน้ามาใหน้ ายของทา่ นอาบน้าละหมาด จงหาน้าดื่มมาใหน้ ายของ ท่านทีซิ ! แต่ท่านจงแทนตัวเอง(ในยามที่นายทาสพูดกับทาส)ว่า ‚ซัยยิดี‛ หรื อ ‚เมาลาอี‛ (ผูป้ กครอง) และขณะเดียวกนั ก็ไม่ควรกล่าว(แก่ทาส)ว่า ‚ทาสชายของฉนั ‛ หรือ ‚ทาสหญิงของ ฉนั ‛ แต่ใหก้ ล่าวว่า หนมุ่ นอ้ ยของฉนั หรือ สาวนอ้ ยของฉนั หรือ เด็กนอ้ ยของฉนั แทน84 วจนะอนั ทรงเกียรตขิ องท่านศาสนทตู ข้างต้นนีค้ ือการปฏิวตั ิระบอบทาสในรูปแบบที่ก้ าว ลํา้ หน้าที่สดุ ครัง้ แรกบนโลกนีด้ ้วยการยตุ ิการเรียกมนุษย์ด้วยสรรพนามว่า ‚ทาส‛ พร้ อมแปร สถานะภาพเดมิ ของทาสมาสกู่ ารสานใยความรกั ระหวา่ งมนษุ ย์ด้วยการชีน้ ําปวงประชามสุ ลิมให้ เรียกทาสวา่ ‚พ่ีน้อง‛ หรือ นามที่ส่ือความสมั พนั ธ์ของบคุ คลในครอบครัว ผลของการปฏิวตั ิทาง วฒั นธรรมดงั กลา่ วนีป้ รากฏผา่ นการเรียกขาน ‚ชื่อบคุ คล‛ ในสงั คมมสุ ลิมกล่าวคือคําวา่ บ่าวหรือ ทาสในภาษาอาหรับจะใช้คาํ วา่ ‚อบั ดนุ ‛ ซึง่ อสิ ลามสงั่ ห้ามเรียกมนุษย์ด้วยกันในช่ือนีน้ อกจากจะ ใช้เรียกเพื่อบ่งชีถ้ ึงความเป็ นทาสหรือบ่าวที่มนษุ ย์มีต่อพระเจ้าเท่านนั้ ในขณะที่อารยธรรมโลก ภายใต้ร่มธงของศาสนาอืน่ ๆนอกจากจะไมม่ กี ารวางหมากกลเพ่ือยุติสถานะภาพความเป็ น ‚สตั ว์ ในกายมนษุ ย์‛ ของทาสแล้วยงั เออออห่อหมกกับการเรียกขานมนษุ ย์ด้วยกันว่า ‚ทาส‛ ! ความ เดด็ ขาดและเน้นยํา้ ในสทิ ธิของทาสได้ถกู จารึกไว้ในคําตกั เตอื นอนั ยงิ่ ใหญ่ของท่านศาสนทตู ศอ็ ลฯ ท่ีมตี อ่ ท่านอบซู รั จากความผิดโทษฐานที่ท่านได้เรียกชื่อมารดาของทาสของท่านด้วยกบั นามอนั เสื่อมเสยี ดงั ปรากฏการตกั เตือนของทา่ นวา่ 84 ศอฮฮี อฺ ัล-บคุ อรีย์. หมายเลขหะดีษ: 2414
~ 102 ~ مفَُهَْمم ْن َتا َن، َفَِإأَْننْ ِدَتنَتُّْمفاُْمُم،ْمُهَجْمَمتََمُهاُمنَـاْغلَتِتّبُـُُهتَْمح،ْم َألَخاََملُتُُمَمِتّْمُف،مَمّإاِ ْنـَخْتَمبَاعُ ُُمس،ٌَِكَأْليَُـجْتابِِهْتِسَيُّة،ُأنفَََاأَُخأِلَبيمَهكُاُمتَذَُهْحٍّرْمَأََلَنيَّـِْدرتَهُِ فَـبِْتأُيُِّمِطْمِإَِعّْم َُكِمَمّااْمُنرَأٌْؤ ُتفِيل ‚โอ้อบูซรั เจ้ายงั คงมีลกั ษณะบางประการเยี่ยงผู้คนอวิชชา ทาสของเจ้าก็คือ ‚พี่นอ้ ง‛ ของเจ้า และอลั ลอฮฺไดม้ อบหมายใหพ้ วกเขาอยู่ภายใตค้ าสงั่ ของเจา้ ดงั นน้ั ผูใ้ ดก็ตามที่มี ‚พีน่ ้อง‛(ทาส) ที่ อย่ภู ายใตค้ าสงั่ ของเขาก็จกั ควรที่จะตอ้ งใหอ้ าหารแก่พวกเขาเชน่ เดียวกบั อาหารทีพ่ วกทา่ นกิน จกั ควรประดบั ประดาเสือ้ ผา้ แก่พวกเขาเช่นเดียวกบั ที่ท่านสวมใส่ และจงอยา่ ขอใหพ้ วกเขาทางานใน สิ่งที่เกินความสามารถของพวกเขา และหากเจ้ากระทาเช่นนั้นไปก็จงช่วยเหลือเขาทางาน ดว้ ย!!!‛85 หะดษี ข้างต้นนีไ้ ด้ให้แง่คดิ แก่ชนมสุ ลมิ ทงั้ ปวงวา่ ฐานันดรทาสยังถูกประกนั ด้วยสิทธิของ การไมอ่ าจจะได้รับการเหยียดหยามในด้านวาจาจากนายทาส นน่ั ก็เพราะวา่ การเป็นนายทาสของ บคุ คลผ้หู นึง่ มไิ ด้มาจากพละกําลงั ความสามารถที่เขามีตอ่ มนษุ ย์ผ้อู ื่นหากแตว่ า่ สทิ ธิในการได้เป็ น นายทาสของบคุ คลผ้หู น่ึงเป็ นเพียงสิทธิที่พระองค์อลั ลอฮฺได้มอบแก่ตวั เขาเพื่อการดแู ลมนษุ ย์ เทา่ นนั้ ความงดงามและการให้เกียรติแก่ทาสดงั กลา่ วไปนีม้ ันสอดรับกับสติปัญญาแล้วหรือกับ การที่บางคนยังคงดือ้ แพ่งคิดว่าอิสลามสอนให้มีการ ‚ข่มขืน ‚ทาสหญิงทงั้ ๆที่อิสลามยกเกียรติ พวกนางเป็ นถึง ‚พี่น้อง‛ แล้วคนโง่ที่ไหนจะเช่ืออีกว่าอิสลามสอนให้ ‚ข่มขืน‛ พ่ีน้อง!!? หะดีษ ข้างต้นนีย้ ังมีสิ่งที่น่าพิจารณาอย่างลึกซึง้ ตรงจุดท่ีว่าท่านได้สัง่ ใช้ เราให้มอบอาหารประเภท เดยี วกบั ที่เรากินนนั้ ให้ทาสกินด้วย นโยบายดงั กลา่ วของท่านนบีได้ทลายความเหล่ือมลํา้ ทางการ บริโภคท่ีมนษุ ย์ได้สร้างขนึ ้ มาจากความมงั่ คงั่ ทางเศรษฐกิจ หากเราพิจารณาวา่ โลกยุคปัจจุบนั นี ้ ถกู พิษของลทั ธิทุนนิยมและบริโภคนิยมเล่นงานเอาจนมนุษย์ต้องแตกตา่ งกันจากพืน้ ฐานทาง เศรษฐกิจ มสุ ลิมในยคุ ปัจจบุ นั กพ็ ึงพิจารณาด้วยความตระหนักวา่ แม้กระทงั่ ความเหล่ือมลํา้ ชนิด ระหวา่ งนายทาสกบั ทาสนนั้ อิสลามก็ได้ทําลายลงด้วยนโยบายของหลกั ความเสมอภาคแห่งการ บริโภคด้วย ย่ิงไปกวา่ นนั้ เพ่ือให้นโยบายนีไ้ ด้รบั การปฏบิ ัตอิ ย่างเป็นรูปธรรมมิใช่อดุ มคตลิ อยๆทา่ น รอซลู จงึ ได้ชีท้ างวา่ إذا أتى أحدتم خادم بطمام فإن َّل يجتس مم فتيكاأل لقمة أأ لقماٌن أأ أتتة أأ أتتاٌن فإع ألي للاج 85 ศอฮฮี ฺอลั -บคุ อรีย์. กติ าบลุ อมี าน. หมายเลขหะดษี : 30
~ 103 ~ “เม่ือคนรับใช้(ทาส)ของท่านนําอาหารมาให้ท่าน หากไมไ่ ด้ให้นัง่ ร่วมวงกับท่าน(เพราะ ความรงั เกียจ-ผ้แู ปล)กใ็ ห้เขารบั ประทานร่วมสกั คําหรือสองคํา หรือสกั หน่ึงมือ้ หรือสองมือ้ เพราะ คนรบั ใช้คอื ผ้ทู ี่ได้ตระเตรียมอาหารนนั้ ”86 หะดษี ข้างต้นนีท้ ่านรอซูลได้ทลายความแตกต่างทางชนชนั้ อย่างเป็ นรูปธรรมด้วยการให้ ทาสนง่ั กินอาหารร่วมโต๊ะกบั พวกนายทาสซงึ่ เป็นนโยบายท่ีสืบเน่ืองตอ่ มาจากการสงั่ ให้กินอาหาร ประเภทเดียวกนั และกระนนั้ ก็ตามแม้นวา่ ในหมนู่ ายทาสจะมบี างกลมุ่ ท่ีถือตนรังเกียจการน่งั ร่วม โต๊ะเดียวกบั ทาส ท่านรอซูลกย็ งั เข้นให้เราเลือกท่ีจะให้ทาสได้กินร่วมโต๊ะกบั นายของตนเพียงแคค่ าํ เดียวก็ยังดี!! น่ีคือคําสอนอนั ประเสริฐที่พยายามจะทําลายความเหล่ือมลํา้ ทางการบริโภคของ มนษุ ยชาติ เราจะพบว่าโลกยคุ ปัจจบุ ันนนั้ พวกเขาได้แบ่งแยกฐานะของผ้คู นจากตําแหน่งทาง สงั คม ดงั นนั้ รัฐมนตรีจึงกินร่วมโต๊ะกบั บ๋อยไมไ่ ด้ กษัตริย์กก็ ินร่วมโต๊ะกบั ประชาชนไมไ่ ด้ ผ้บู ริหาร บริษัทกก็ ินร่วมโต๊ะกบั เดก็ เสริฟไมไ่ ด้ แตค่ อลีฟะฮฺอิสลามซงึ่ มสี ถานภาพอนั ยิ่งใหญ่ดจุ ดง่ั จักพรรดิ์ โลกอย่างท่านอมุ ัรอิบนุค็อฎฎ๊อบกลบั กินร่วมโต๊ะอาหารกบั ทาสผ้ตู ํ่าต้อยได้ !!! น่ีไม่ใช่อดุ มคติ เพราะอุดมคติเป็ นแค่ความฝันแต่นีค้ ือสิ่งที่เคยเกิดขึน้ มาแล้วและความสูญเสียอํานาจทาง ประวตั ศิ าสตร์ของมวลมสุ ลิมได้นําพาไปส่คู วามสญู หายของภาพประวตั ิศาสตร์อนั น่าประทบั ใจ เหลา่ นีไ้ ปเสยี แตถ่ กู แทนท่ีด้วยหลกั ปฏิบตั ิของมสุ ลิมยคุ ทนุ นิยมท่ีได้แบ่งสงั คมออกเป็ นชนั้ ชนเป็ น ชนั้ กลาง ชนชนั้ แรงงาน ชนชนั้ ข้าราชการ ชนชนั้ เจ้า ชนชนั้ ผ้รู ู้ ที่ต่างชนชนั้ ทงั้ หมดก็มีอาณาจักร ทางสงั คมเป็นของตวั เองทงั้ สนิ ้ ภายใต้หน้ากากจอมปลอมของความเป็นพี่น้องร่วมศาสนาเพียงแค่ ลมปาก และน่ีคือเหตผุ ลท่ีวา่ ทําไมตวั ข้าฯไมเ่ คยพบเห็นอธิการบดมี หาวทิ ยาลยั หรือเคยคิดท่ีจะกิน อาหารร่วมโต๊ะกบั พ่อครวั โทรมๆท่ีทําอาหารให้พวกเขาเลย หรือแม้กระทง่ั การคะยนั้ คะยอพวกเขา ให้กินอาหารท่ีเสริฟมาสกั คําก็ยังดี โดยมิต้องเสแสร้งอ้างเหตผุ ลใดๆเพื่อปกป้ องตนเองเพราะทงั้ มวลนีค้ อื ซนุ นะฮฺที่เป็นข้อสง่ั ใช้ซ่ึงไมม่ เี หตผุ ลใดในการใช้ปฏเิ สธมนั ได้ สมควรที่จะกลา่ วอีกครงั้ วา่ มลู เหตแุ ละปัจจยั ‚หลกั ‛ ที่ชกั นําอารยธรรมมนุษย์ให้กระโจน ไปสวู่ งั วนแหง่ ระบอบสงั คมทาสก็สบื เน่ืองจากความชาชินของอารยธรรมมนษุ ย์ในการบชู ารูปเจวด็ หรือแม้แตบ่ ชู ามนษุ ย์ด้วยกนั เองในฐานะ ‚เทวราชา‛ หรืออวตารของพระเจ้าในคราบมนษุ ย์รวมทงั้ อ่ืนๆจากระบบอนั โง่เขลานี ้ ซ่ึงอิสลามขนานนามมนั วา่ ‚ชิรกฺ‛ (Polytheism) อนั หมายถึงการตงั้ ภาคหี รือการให้มนษุ ย์และก้อนกรวดมามหี ้นุ สว่ นแห่งการได้รบั การเคารพกราบไหว้จากมวลมนษุ ย์ ร่วมกับพระเจ้าที่แท้จริง ระบอบแห่งการตงั้ ภาคีซึ่งฝังรากลึกในอารยธรรมมนุษย์จึงได้ถ่ายโอน ความเยอ่ หย่ิงในการเป็นเจ้าชีวิตตอ่ ไพร่ฟ้ าประชาราษฎรเข้าสจู่ ิตใจของเหลา่ บรรดากษัตริย์และชน ชนั้ ปกครอง นําพาไปสคู่ วามปรารถนาอนั แรงกล้าท่ีจะได้รับการบชู าจากมนุษย์ด้วยกันดจุ ดงั ตน 86 ศอฮฮี อฺ ัล-บคุ อรีย์. กิตาบลุ อิตก.ฺ หมายเลขหะดีษ : 2418
~ 104 ~ เป็ นพระเจ้า สงครามและการจับคนมาเป็ นทาสจึงเร่ิมขนึ ้ ด้วยเหตผุ ลประการนี ้ อย่างไรก็ดีตาม หลกั ฐานจากแมบ่ ททางศาสนาของอิสลามดงั ท่ีได้ยกไปแล้วนนั้ สะท้อนมโนทัศน์ของอิสลามตอ่ ระบอบทาสได้เป็นอย่างดวี า่ อิสลามมีเป้ าหมายในการล้มล้างความโหดร้ายของระบอบทาสอย่าง เป็ นขนั้ ตอน มลู เหตเุ บือ้ งลึกท่ีกลายมาเป็ นแรงผลกั ดนั ให้ศาสนาอิสลามรังเกียจการกดขี่ทาสก็ เน่ืองด้วยอิสลามเป็นศาสนาที่ชิงชงั และเป็ นศตั รูตอ่ ระบอบป่ าเถ่ือนอย่างระบอบการตงั้ ภาคีและ บูชาคนหรือ ‚ชิรกฺ‛ อย่างแรงกล้า ดงั ปรากฏการประกาศกร้าวของอิสลามท่ีสะท้อนเจตนารมณ์ สงู สดุ ในการกวาดล้างระบอบภาคีบชู าคนอนั เป็ นบ่อเกิดแห่งระบอบทาสให้หมดสิน้ ไปจากหน้า แผน่ ดินนีผ้ า่ นวจนะของท่านศาสนทตู ที่วา่ \" بُمِثْ ُ بِال َّسْي ِف َحَّْى نـُْمبََد الَتُّ َلا َشِرن َك: قَاَل َر ُسمُل الَتِّ َصَتّى الَتُّ َلتَيِْ َأ َسَتّ َم: قَاَل، َل ِن ابْ ِن لُ َمَر ، َُ \"ل. อบิ นอุ มุ รั (รอฎฯิ ) รายงานวา่ ทา่ นศาสนทตู แห่งอลั ลอฮฺได้กลา่ ววา่ ‚ฉนั ได้ถูกส่งมาด้วยกบั คมดาบ จนกระท่ังพระองค์อัลลอฮฺจะถูกเคารพบูชาเพียงพระองค์เดียวโดยปราศจากการตัง้ ภาคีต่อ พระองค์‛87 ท่านอิบนิรอญับอลั -ฮนั บะลยี ์ กลา่ ววา่ คาํ พดู ของทา่ นนบีที่ว่า “ฉนั ได้ถกู สง่ มาด้วยกบั คม ดาบ” หมายถึงทา่ นรอซูลได้ได้ถกู สง่ มายงั มวลมนษุ ย์เพ่ือเรียกร้องมนษุ ย์ไปสกู่ ารศรทั ธาตอ่ อลั ลอฮฺ เพียงผ้เู ดียวด้วยกบั คมดาบภายหลงั จากทา่ นรอซูลได้เรียกร้องพวกเขาด้วยกบั หลกั ฐานแล้ว ดงั นนั้ ผ้ใู ดไมต่ อบรบั การเรียกร้องสอู่ ลั ลอฮฺทงั้ ท่ีการเรียกร้องนนั้ ได้กระทําไปผา่ นอลั กรุ อาน,หลกั ฐานและ การเรียกร้ องด้วยวิทยปัญญาแล้ว คมดาบจึงเป็ นหนทางแห่งการเรียกร้ องสดุ ท้ายสําหรับเขา88 ความสมั พนั ธ์ของการเรียกร้องมนษุ ย์ท่ีดือ้ รัน้ และเป็ นปฏิปักษ์ตอ่ อิสลามส่กู ารศรัทธาในพระเจ้า (เตาฮีด)ด้วยคมดาบกบั การทําลายการกดข่ีมวลมนษุ ย์ภายใต้ปลกั ของความเป็นทาสท่ีถกู เกอื ้ หนนุ คํา้ จนุ อย่โู ดยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชและการตงั้ ภาคีตอ่ พระองค์จึงหล่อหลอมขนึ ้ เป็ นเนือ้ เดียวกนั อย่างไมอ่ าจแยกได้เลย ดงั ปรากฎการญิฮาดของมวลมสุ ลิมในยุคแรกที่พวกเขาหมายมน่ั ในการล้างบางการกดขีม่ นษุ ย์จากระบอบทาสของพวกเทวราชานิยมทงั้ หลาย ภาพท่ีชดั เจนท่ีสดุ ของเหตุการณ์นีค้ ือการสงครามระหว่างบรรดาฃอฮาบะฮฺกับมหาอาณาจักรเปอร์เซีย ประวตั ิศาสตร์ได้บนั ทกึ ไว้ถงึ ระบอบอนั ชวั่ ร้ายที่คอสโร(กษัตริย์) แห่งเปอร์เซียองค์ตา่ งๆได้กดขี่มวล มนษุ ย์อย่างกว้างขวางด้วยการอ้างตนวา่ เป็นสมมตุ เิ ทพท่ีมนษุ ย์ต้องเคารพกราบไหว้ การสงคราม ของชาวมสุ ลมิ ในครงั้ นีไ้ ด้รบั การประกาศกร้าวตอ่ หน้าท้องพระโรงของกษัตริย์เปอร์เซยี และจอมทพั รุสตมั ก่อนการสงครามจะระเบิดขนึ ้ โดยทา่ นริบอีย์บินอามรี ทตู ของฝ่ ายมสุ ลิม ความวา่ 87 มสุ นดั อมิ ามอะฮมฺ ดั . หมายเลขหะดีษ : 4969 88 Muhammad Abdussalam Faraj. Jihad The Absent Obligation. P.14-15.
~ 105 ~ “พระเจ้าทรงสง่ เรามาเพื่อปลดปลอ่ ยมนษุ ย์ออกจากการเป็นทาสของมนุษย์ด้วยกันส่กู าร เป็นบ่าวของพระองคเ์ พียงองคเ์ ดียว”89 ความสําเร็จของอิสลามในการล้มล้างระบอบทาสและยกระดบั ความเสมอภาคของมนุษย์ ยงั ได้ถกู จารึกในหน้าประวตั ิศาสตร์ผ่านการกระทําของอคั รสาวกผ้ยู ่ิงใหญ่ของท่านศาสนทตู ซึ่ง เป็นแบบอย่างแดม่ วลมสุ ลมิ ทงั้ ผองอย่างทา่ นอมุ รั อบิ นคุ อ็ ตต๊อบ (รอฎิฯ) เมื่อคราวที่ท่านเดินทาง จะไปเปิ ดเมืองเยรูซาเลม ชาวเมอื งต้องพากนั ตกใจเม่ือพบวา่ ประมขุ ของอาณาจกั รอิสลามอนั เป็ น อาณาจกั รท่ีกว้างใหญ่ไพศาลนบั จากแอฟริกาตะวนั ตกจรดชายแดนจีนอยา่ งท่านอมุ รั ต้องเป็ นคน จงู ม้าให้แก่ทาสของทา่ นซงึ่ กําลงั ขี่มนั อยู่ ด้วยเหตผุ ลพืน้ ๆวา่ ท่านจะแบ่งเบาความเหน่ือยล้าของ ทาสตลอดการเดินทางได้บ้าง ในขณะที่อคั รสาวกของทา่ นศาสนทตู อกี ท่านหนึง่ คือทา่ นอบซู รั (รอฎิ ฯ)ได้กระทําตามคําสงั่ ใช้ของทา่ นศาสนทตู ด้วยการแบ่งเคร่ืองน่งุ ห่มของท่านคร่ึงหน่ึงแก่ทาสและ เกบ็ อกี คร่ึงหนึง่ ไว้สวมใสเ่ อง พฤติกรรมอนั น่าสรรเสริญและวจนะทงั้ มวลเหลา่ นีค้ ือแบบอย่างแก่ ปวงมสุ ลิมท่ีอิสลามได้สงั่ สอนให้พวกเขายึดถือมนั่ ในการใช้เป็ นแบบแผนแห่งการปลดแอกทาส จากความเป็น ‚สตั ว‛์ เพราะแบบอย่างของบรรดาอคั รสาวกของทา่ นศาสนทตู แล้วนนั้ ได้รับการสง่ั ใช้ เน้นยํา้ จากท่านศาสนทูตให้ เรายึดมน่ั ไว้อย่างเหนียวแน่นด้วยเช่นกัน และด้วยเหตุแห่ง แบบอย่างของทา่ นอมุ รั นี ้บรรดาผ้นู ํามสุ ลิมจึงได้ถกู บงั คบั มใิ ห้มอบความยากเยน็ ลาํ เคญ็ แก่บรรดา ทาส ทาสจะต้องไม่ถกู ทรมาน, ข่มเหงบีฑา,หรือเลีย้ งดูอย่างอธรรม บรรดาทาสสามารถท่ีจะ แตง่ งานในหมพู่ วกเขากนั เองภายใต้การอนญุ าตของนายทาส หรือแม้กระทงั่ สามารถท่ีจะแตง่ งาน กบั ชายและสตรีที่เป็นไทได้! บรรดาทาสยงั สามารถทีจ่ ะปรากฏตวั ในฐานะ ‚พยาน‛ และมีสว่ นร่วม พร้อมกบั ชายท่ีเป็นไทในธรุ การตา่ งๆได้จํานวนมากจากบรรดาทาสได้ถกู มอบหมายให้เป็นข้าหลวง ผ้บู ญั ชาการแหง่ กองทพั และเจ้าหน้าที่ เพราะในสายตาของอสิ ลามแล้วทาสผ้เู ป่ี ยมไปด้วยศรัทธา นนั้ ย่อมมรี ะดบั ที่เหนือกวา่ คนเป็นไทที่ขาดศรัทธา ทงั้ นีก้ ารปฐกถาครงั้ สดุ ท้ายของทา่ นศาสนทตู ตอ่ ผองมสุ ลิมนบั แสนก็มพิ ้นการประกนั สิทธิ เสรีภาพของทาสดงั ที่ทา่ นอิบนซุ ะอฺด์ได้บนั ทึกไว้ ความวา่ ‚และ(พึงตระหนกั ในเรื่องเกี่ยวกบั ) เหล่าทาสของทา่ น! จงพิจารณาดเู ถิดวา่ ท่านไดม้ อบ อาหารแก่ทาสซึ่งอาหารเช่นเดียวกบั ทีท่ า่ นรับประทานหรือไม่? และไดต้ กแตง่ พวกเขาเช่นเดียวกบั สิ่งที่พวกท่านสวมใส่หรือไม?่ หากแมน้ วา่ พวกทาสไดก้ ระทาการณ์ผิดพลาดที่เกินกว่าท่านจะให้ 89 บดิ ายะฮวฺ นั นฮิ ายะฮฺ ของทา่ นอิบนิกะษีร อ้างถึงใน อบุลหะซัน อาลี อัล-นัดวีย์. โลกสญู เสียอะไรจากความ ตกต่ําของประชาชาติมสุ ลมิ ภาค 1. หน้า141.
~ 106 ~ อภยั เขาไดก้ ็จงขายเขา(แก่นายคนอื่น)เสีย เพราะวา่ พวกทาสต่างก็เป็นบา่ วของพระเจ้าและจกั ตอ้ ง ไมถ่ ูกทารุณกรรม!!90‛ คาํ เทศนาของทา่ นศาสนทตู ในวจนะนีย้ ังคงถกู จารึกไว้แดม่ วลมสุ ลิมเพ่ือเป็ นแนวทางใน การจดั การปัญหาความขดั แย้งระหว่างทาสกบั นายทาส วจนะข้างต้นได้บ่งชีถ้ ึงกรอบคิดในเร่ือง ทาสที่แตกตา่ งออกไปของอสิ ลามกบั วฒั นธรรมทาสในอารยธรรมอ่ืน สําหรับอิสลามแล้วคํานึงถึง ข้อเท็จจริงท่ีวา่ มนษุ ย์จะได้ชื่อวา่ ทาสหรือชนผ้เู ป็นไทแล้วตา่ งล้วนกเ็ ป็นปถุ ชุ นท่ีหลงลืมผดิ พลาดได้ ด้วยกนั ทงั้ สนิ ้ แตค่ วามผิดพลาดในการทํางานของทาสในอารยธรรมมนษุ ย์ทผ่ี า่ นมาคือบอ่ เกิดแห่ง พฤตกิ รรมการลงโทษทารุณกรรมอนั เลวร้ายที่มนษุ ย์มีต่อทาส อิสลามจึงลํา้ หน้ากวา่ ใครอื่นด้วย การวางกรอบกฎหมายให้นายทาสผ้ชู ิงชงั ตอ่ ทาสท่ีทํางานบกพร่องด้วยการขายเขาแก่นายคนอื่น มากกวา่ ที่จะลงโทษด้วยการทารุณกรรมใดๆ นอกจากนีห้ ลกั คําสอนของท่านนบีที่กําชบั ให้เรา ตกแต่งประดับประดาทาสด้วยเสือ้ ผ้าชนิดเดียวกันก็เป็ นความล้มุ ลกึ ของท่านที่ต้องการเจาะ ทําลายเปลือกนอกของมนุษย์ที่แบ่งแยกชนชัน้ ออกจากกันด้วยเคร่ืองประดบั ซ่ึงก็ปรากฏผล ออกมาอยา่ งเป็นรูปธรรมจากหะดีษอีกต้นหน่ึงความวา่ رأن أبا ذر الغفاري ريي الله لك ألتي حتة ألتى:لن الممرأر بن سمند قال يلام حتة ‚จากอลั มะอฺรูร อิบนสุ วุ ยั ดฺ เลา่ ว่าฉนั เหน็ อบูซรั อลั ฆิฟารี ใส่เสื้อคลมุ อยู่ รวมทง้ั ทาสของ เขาก็ใส่เส้ือคลุมเช่นเดียวกับเขา91‛ จากหะดษี ต้นนีผ้ ลของมนั ได้ปรากฏอย่างเป็ นรูปธรรมวา่ ซอฮาบะฮฺระดบั แนวหน้าอย่าง ทา่ นอบซู รั ได้ทลายความแบ่งแยกทางชนชนั้ (ดงั ท่ีพวกบริโภคนิยมยคุ ปัจจบุ นั นิยมกระทํา)ด้วยการ มอบเสอื ้ คลมุ ในลกั ษณะเดยี วกนั กบั ท่ีเขาสวมใสใ่ ห้แกท่ าสของเขา โดยไม่เหนียมอายว่าภายนอก ของทา่ นต้องถกู หอ่ ห้มุ ด้วยเสอื ้ ผ้าท่ีไมแ่ ตกตา่ งกบั ชนชนั้ ทาสทงั้ ที่โลกในขณะนนั้ ถือว่าทาสคือชน ชนั้ ต่าํ ท่ีสดุ ของมนษุ ย์ สภาพของทาสในอารยธรรมอสิ ลามช่างสขุ สมภริ มย์หมายเสียน่ีกระไร! เนื่อง เพราะแม้นพวกเขาจะเป็นทาสแตอ่ ิสลามกไ็ ด้ทําการประกนั เสรีภาพและสิทธิของพวกเขาไว้อยา่ งดี เยี่ยม ผิดกบั สงั คมอนารยะของลทั ธิบริโภคนิยมและทนุ นิยมเฉกเชน่ ทกุ วนั นี ้ แม้นว่าทาสจะปลอด พ้นไปจากสงั คมในระบอบนีไ้ ปแล้วแตส่ ภาพของมนุษย์กลับเลวร้ายย่ิงกว่าทาสในสงั คมอิสลาม เสียด้วยซํา้ ไป เพราะในขณะท่ีอิสลามกดหวั พวกนายทาสให้มอบอาหารแก่ทาสเช่นเดียวกบั ท่ีพวก 90 โปรดดหู นงั สอื ของท่านอิบนิซะอฺด์ ท่ีช่ือว่า ฏ็อบะกอตอลั กุบรอ เล่ม 2 สว่ นท่ี 1 หน้า 133 อ้างถึงใน Majid Ali Khan. Muhammad The Final Messenger. P.315. 91 ศอฮีฮฺอัล-บคุ อรีย์. กิตาบุลอมี าน. หมายเลขหะดีษ : 30
~ 107 ~ เขากินอยู่ ระบอบทุนนิยมซึ่งมีกระบวนการผลิตอาหารในปริมาณมากต่อวันกลบั ไม่สามารถ เยียวยาคนอดอยากท่ีเป็น ‚ไท‛ นบั แสนตามท้องถนนใจกลางเมืองใหญ่อย่างนิวยอร์คได้ ในขณะท่ี อาหารมากมายถกู ผลติ และบอ่ ยครงั้ ต้องเนา่ บดู เพราะจําหน่ายไมท่ นั จากภาวะสินค้าล้นตลาดแต่ ผ้คู น 2 ใน 3 ของโลกกลบั ต้องอดอยากแทบดื่มมลู สตั ว์กิน!! ในขณะท่ีระบอบทุนนิยมได้ก่อเกิด เสอื ้ ผ้าขยะๆท่ีสดุ แสนฟ้ งุ เฟ้ อมากมายตามตลาดแตค่ นมากมายในโลกกลบั ยงั ขาดแคลนเสือ้ ผ้าดีๆ ใช้ ระบอบสงั คมท่ีอาหารเหลือเฟื อนบั แสนต้องเน่าบูดควบค่กู ับความอดอยากของประชาชน ระบอบสงั คมที่เสือ้ ผ้านบั แสนต้องถูกเข่ียทิง้ เนื่องจากหมดความนิยมควบคไู่ ปกบั การขาดแคลน เสอื ้ ผ้าใช้ของประชากรโลก นี่มนั ระบอบวติ ถารอบุ าทว์กาลโี ลกสนิ ้ ดี!! แม้แตก่ รรมกรยคุ ทนุ นิยมเอง ก็ตามแตค่ ณุ ภาพชีวติ กย็ งั เลวกวา่ ทาสในอารยธรรมอิสลามอย่หู ลายปี ดีดกั ท่านเคยเห็นกรรมกร คนใดบ้างเล่าที่สามารถดํารงตําแหน่งเป็ นข้าหลวงเช่นที่อิสลามได้ให้แก่ทาสไว้ ??! สภาพ เศรษฐกิจและกระบวนการผลติ แบบทนุ นิยมได้รีดนาทาเร้นชนชนั้ กรรมาชีพด้วยวิธีการไลอ่ อกจาก งานเสมอในยามท่ีเศรษฐกิจโลกถึงคราววนิ าศเพราะความอ่ิมตวั และล้นตลาดของสินค้า กลบั กัน ภาษีที่ประชาชนต้องจ่ายแก่รัฐก็กลับถูกใช้ โอบอ้มุ ธุรกิจของพวกนายทุนทัง้ หลายในยามท่ี เศรษฐกิจอ่อนแอ สมควรที่จะกล่าวสรุปในท่ีนีว้ ่าภายใต้ความหลงระเริงดจุ หน่มุ สาวใจแตกของ ระบอบทนุ นิยมที่มนษุ ย์ตา่ งเป็น ‚เสรีชน‛ แคเ่ พียงเปลือกนอกทงั้ สนิ ้ นนั้ ชนชนั้ ทาสในยคุ บรรพกาล ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นชนชนั้ กรรมาชีพในยคุ ปัจจบุ นั และนายทาสทงั้ หลายก็กลายพนั ธ์มาเป็ นพวก นายทนุ หน้าเลือดท่ีสร้างความเสยี หายบนหน้าแผน่ ดนิ มากที่สดุ วจนะอีกกระแสหนึ่งของท่านศาสนทตู ศ็อลฯ ที่บ่งชีช้ ัดอย่างชัดเจนวา่ การ ‚กดข่ี‛ ทาส- หญิงคือสง่ิ ต้องห้ามในกฎหมายอสิ ลาม ดงั ท่ีท่านศาสนทตู ศอ็ ลฯ กลา่ ววา่ ما من لبد استرلاه الله رلية فتم يحطها بكصيحة إلا َّل يجد رائحة اْلكة “ไม่มีบคุ คลใดท่ีพระองค์อลั ลอฮฺได้มอบ “ผ้คู น” ให้อย่ภู ายใต้การดแู ลของเขาแล้วเขาก็ ล้มเหลวในการดแู ลพวกเขาอย่างเหมาะสม เว้นแตว่ า่ เขาผ้นู นั้ จะไม่ได้สดู ดมกลิ่นอนั หอมชวลของ สวงสวรรค์”92 คําว่า ‚ผ้คู น‛ ในวจนะบทนีห้ มายถึงผ้คู นทงั้ มวลและย่อมกินความถึงทาสหญิงอย่าง แน่นอน และเช่นกนั วา่ การ ‚ขม่ ขืน‛ ทาสหญิงคือความล้มเหลวในการดแู ลอย่าง ‚ชว่ั ร้าย‛ ที่สดุ ที่ นายทาสกระทําตอ่ หญิงทาสของตนเอง ดงั นนั้ การขม่ ขืนทาสหญิงจงึ เป็นส่งิ ต้องห้ามโดยตวั ของมนั เอง อนั จะเป็นผลให้เกิดบาปใหญ่แก่มสุ ลมิ ตนใดกต็ ามแตท่ ี่ละเมิดตอ่ ทาสหญิงด้วยการเพิกเฉยไม่ สนใจวจนะของทา่ นศาสนทตู ศอ็ ลฯ ทงั้ นีแ้ ม้นางจะได้ชื่อว่า ‚ทาสหญิง‛ ท่ีไมเ่ ป็ นไทแก่ตนก็ตาม 92 ศอฮฮี ฺอลั -บคุ อรีย์. กติ าบลุ อะฮฺกาม. หมายเลขหะดีษ : 6731
~ 108 ~ กระนนั้ คณุ คา่ และความเป็นคนของนางคือปัจจัยสําคญั ที่อิสลามพิจารณาและนํามาเป็ นเง่ือนไข บงั คบั ให้นายทาสมสุ ลมิ ต้องดแู ลให้ความเมตตาแก่พวกนางดงั ปรากฏคําสง่ั ใช้ในอลั กุรอานความ วา่ ًٱَألْٱُقْلْربُبََُٰدىأاَْأٱٱْلَْلتَّاَِرَأٱلْاَْلُتكُُ ْشِبِرُتَأماٱْلبَِِّصاَشِْحيئاًِبَأببِِٱٱلََْْٰلمَلِْكَدنِْبِنَأإِٱبْْحِنَسٱلاعَاًّسبَِيأبِِلِذ َأيَماٱْلَمُقتَْربََٰمَى َْأٱلْأيََٰيَْاَٰدََكَُم ُٰمَىْمَأإٱِْلَّنَمٱٰلَََستَِّملٌاَِنيَُِحأٱُّْْلَباِرَم ِذنيَتا َن ُْماَالا ًفَ ُخمرا และจงเคารพสกั การะอลั ลอฮฺเถิด และอยา่ ให้มสี ิ่งหนง่ึ ส่ิงใดเป็ นภาคกี บั พระองค์ และจงทาํ ดีตอ่ ผ้บู งั เกิดเกล้าทงั้ สองและตอ่ ผ้เู ป็ นญาติทใ่ี กล้ชดิ และเดก็ กําพร้าและผ้ขู ดั สน และเพ่ือนบ้านใกล้เคยี งและ เพอื่ นทหี่ า่ งไกล และเพื่อนเคียงข้าง และผ้เู ดินทาง และผ้ทู ี่มือขวาของพวกเจ้าครอบครอง แท้จริงอลั ลอฮฺ ไมท่ รงชอบผ้ยู ะโส ผ้โู อ้อวด (4:36) วลีท่ีวา่ ‚และสง่ิ ที่มอื ขวาของเจ้าครอบครอง‛ ในโองการข้างต้นนีห้ มายถึงบุคคลผ้มู ีทาส หญิงในครอบครองดแู ลซ่ึงพระองค์อลั ลอฮฺได้บญั ชาให้ดแู ลพวกนางอย่างมีเมตตาธรรมเน่ืองด้วย การใช้คาํ วา่ ‚มอื ขวา‛ ก็สะท้อนภาพของการให้เกียรติทาสหญิงเพราะในภาษาอาหรับคําวา่ ‚มือ ขวา‛ คือภาษาทางสญั ลกั ษณ์ท่ีบ่งชีถ้ ึงการมอบความเมตตาเช่น บริจาคก็ให้บริจาคด้วยมือขวา เป็ นต้น คําส่ังเหล่านีเ้ คียงค่ไู ปกับความสัมพันธ์ของกล่มุ คําสั่งในโองการเดียวกนั ที่พระองค์ได้ บญั ชาให้มนุษย์เคารพสักการะพระองค์!! รวมถึงเคารพกตญั ํูต่อบิดรมารดาและสานสายใย สมั พนั ธ์ตอ่ เพื่อนบ้าน ความเมตตาและมนษุ ย์ธรรมของอสิ ลามท่ีมตี อ่ ทาสยงั ผา่ นตวั อยา่ งดงั ตอ่ ไปนีอ้ กี لن أبي مسممد الأعصاري قالتك أيرب يلاما لي فسمم من ختفي صمتا التم أبا مسممد لله أقدر لتيك مكك لتي فالاف فإذا هم رسمل الله صتى الله لتي أستم فقت نا رسمل الله هم حر لمج الله فقال أما لم َّل تفمل لتفحاك الكار أأ لمساك الكار ‚อบูมสั อดู อลั อนั ศอรีย์รายงานว่า : ขณะทีฉ่ นั กาลงั ทบุ ตีทาสของฉนั อยู่นนั้ ฉนั ได้ยินเสียง ดงั ขึ้นมาจากขา้ งหลงั ของฉนั (พร้อมกบั กลา่ วว่า) อบูมสั อดู จงทราบเถิด พระองค์อลั ลอฮฺนน้ั ทรงมี อานาจมากล้นเหนือตวั เจ้ามากกว่าที่เจ้ามีอานาจเหนือทาสผู้นี้เสียอีก ฉนั จึงหนั กลบั ไปดูยงั ต้น เสียงและพบว่ามนั คือ ท่านศาสนทูต ศ็อลฯ ฉนั จึงไดก้ ล่าวแก่ท่านว่า ท่านศาสนทูตแห่งอลั ลอฮฺ ฉนั ไดป้ ล่อยเขาให้เป็นไทเพื่อเป็นเกียรติคุณแด่พระประสงค์ของอลั ลอฮฺ ดงั นนั้ ท่านศาสนทูตจึง กลา่ ว หากเจา้ ไม่ทาเช่นนน้ั ประตแู ห่งไฟนรกจะถูกเปิ ดแก่เจ้าหรือไมไ่ ฟนรกก็จะแผดเผาเจา้ 93‛ มีรายงานจากท่าน อบิ นิอมุ รั เลา่ วา่ เขาได้ยินท่านรอซูล ศอ็ ลฯ กลา่ ววา่ 93 ศอฮีฮฺมสุ ลมิ . หมายเลขหะดีษ : 1659
~ 109 ~ من لطم ممتمت أأ يرب فمفارت أن نماق “บคุ คลใดตบหรือทบุ ตที าส คา่ ปรบั สําหรบั เขาคอื การปลดปลอ่ ยทาสคนนนั้ ”94 หะดษี ตา่ งๆเหลา่ นีค้ ือข้อระวงั ให้เหลา่ มสุ ลิมทงั้ หลายตระหนกั ในเร่ืองการลงไม้ลงมือกับ ทาส ทา่ นศาสนทตู ได้ยืนยนั อย่างหนกั แน่นแกเ่ ราวา่ ในขณะท่ีพวกนายทาสทงั้ หลายกระทําตนหย่ิง ผยองคิดวา่ ตนมอี าํ นาจเหนือทาสนนั้ แตท่ วา่ พระองค์อลั ลอฮฺกลบั มพี ระอาํ นาจเหนือเขาอย่างมาก ล้น นี่คอื คําตกั เตือนอนั เปี่ ยมไปด้วยวทิ ยญาณทห่ี กั ห้ามมิให้มสุ ลมิ ปฏบิ ตั ิตอ่ ทาสประหน่ึงราวอารย ธรรมเดยี รถีย์ปฏบิ ตั ิตอ่ ทาสกนั และสาํ หรับผ้พู ลงั้ พลาดตีทาสไปแล้ว อิสลามก็มีทางออกแก่เขาว่า เขาจะต้องปลอ่ ยทาสเป็นไทและท่านศาสนทูตได้บอกแก่เราว่าหากเราไม่กระทําตามกฎดงั กลา่ ว นรกกค็ ือสถานท่ีอนั เหมาะสมแก่เราแล้ว น่ีคือการบอกเป็นนยั แล้ววา่ ในอสิ ลามนนั้ การทบุ ตีทาสคอื หนทาสสไู่ ฟนรกและการทุบตีทาสจะเป็ นผลให้ทาสเป็ นอิสระ!! ขอท่านผ้อู า่ นจงพิจารณาเถิดวา่ กฎหมายของอสิ ลามประเภทนีห้ ากถกู นําใช้ปฏิบตั ิในสงั คมทาสทวั่ โลก ทาสจะไม่ต้องถูกจารึกใน ประวตั ศิ าสตร์ด้วยฐานะของมนษุ ย์ที่ถกู กดข่ีอกี เลยหรือไมก่ ็การทบุ ตีทาสในสงั คมอารยธรรมโลกก็ จะเป็ นสื่อให้ทาสหมดไปจากโลกนี ้ ประวตั ิศาสตร์โลกก็จะถกู จารึกอย่างแปลกประหลาดย่ิงว่า ระบอบทาสหมดไปจากโลกนีก้ เ็ พราะการทารุณกรรมทาส การกดขีท่ าสทําให้ทาสหมดไปจากโลก นี!้ !? จากเรื่องราวข้างต้นมหาบรุ ุษผ้เู ป็นศาสนทูตแห่งพระเจ้าและต้นแบบของผองมนษุ ยชาติ ได้สงั่ ห้ามเรามใิ ห้ทบุ ตแี ละเฆย่ี นลงโทษพวกนาง พร้อมด้วยกบั การสง่ั ให้ปลดนางทาสทงั้ หลายท่ีได้ ถกู ละเมิดจากเจ้านายด้วยกรรมวิธีดังกล่าวให้เป็ นทาส ซ่ึงแน่ล่ะว่าการกระทําของท่านรอซูล สาํ หรบั มวลมสุ ลิมแล้วย่อมเป็นแบบอย่างหนกั อนั ปฏิเสธมไิ ด้ เพราะใครจงใจจะปฏิเสธแบบอย่าง (ซุนนะฮฺ)ของท่านด้วยความเย่อหยิ่งจองหองเขาจะกลายเป็ น ‚กาเฟร‛ ที่ต้องถกู รัฐบาลอิสลาม ประหารชีวิต! และการกระทําของท่านนบีย่อมได้รับการสนับสนุนเชิดชูบัญญัติเป็ นกฎหมายแก่ มวลมสุ ลิม การปลดปล่อยทาสหญิงเพียงเพราะถูกนายทาสทุบตี คือความลํา้ หน้าในกฎหมาย ยกเลิกทาสของอิสลาม เพราะเท่ากบั อิสลามมาวางกรอบในการห้ามทุบตีกดขี่ทาสอนั เป็ นการ ยกระดบั ทาสขนึ ้ มาอกี คาํ รบหนึง่ ลกั ษณะเดน่ ของอสิ ลามประการนีม้ อิ าจปรากฏพบในอารยธรรม สงั คมทาสอื่นๆเลยเพราะการทบุ ตีขม่ เหงทาสเป็นหลกั ปฏิบตั ขิ องนายทาสทงั้ มวลอยแู่ ล้ว กลา่ วคือ การทบุ ตีทาสคือการกระทําของนายทาสตอ่ ทาสที่เป็นการกดข่ีเชิง ‚สญั ลกั ษณ์‛ เพราะหัวใจหลกั แห่งการกดขี่ทาสในมโนทศั น์ของมนุษย์ก็คือการเฆ่ียนตีทาส กฎหมายอิสลามท่ีห้ามการทารุณ กรรมทาสจึงเป็ นการทําลายสญั ลกั ษณ์แห่งการกดข่ีนีด้ ้วยการทดแทนอิสรภาพแก่ทาสทงั้ ปวง 94 ศอฮฮี ฺมสุ ลมิ กติ าบลุ อีมาน. หมายเลขหะดีษ : 1657.
~ 110 ~ เพราะฉะนนั้ แม้แตก่ ารทบุ ตีทาสท่านศาสนทตู ของเรายงั ได้สงั่ ห้ามการปฏิบตั ิเยี่ยงนดี ้ งั นนั้ กระไรกนั เลา่ ‚การขม่ ขนื ‛ ซงึ่ ชวั่ ร้ายกวา่ การทบุ ตีอยหู่ ลายขมุ จงึ ถกู เช่ือวา่ มนั เป็นที่อนมุ ตั ใิ นอิสลามอย่างปัก ใจจากฝ่ ายผ้อู คตชิ งั ตอ่ อิสลามชนิดน่าสมเพทเวทนาถงึ เพียงนี!้ ! ในขณะท่ีกฎหมายอิสลามสงั่ ห้ามการตีทาส แตใ่ นทางกลบั กนั พระคมั ภีร์ไบเบิลของยิว และคริสตก์ ลบั เปิ ดชอ่ งโหวใ่ ห้เกิดการตีทาสได้อยา่ งเสรีโดยมีเง่ือนไขวา่ การทุบตีทาสจะต้องไมใ่ ห้ ทาสล้มตายในทันทีที่ลงมือตีทาส แต่ถ้าหากทาสตายวนั รุ่งข้ึนก็ถือว่าการทบุ ตีนนั้ ไม่เป็นไร!! ดงั ปรากฏบญั ญตั คิ วามวา่ อพยพ 21:20-21 ถา้ ผใู้ ดทุบตีทาสชายหญิงของตนดว้ ยไม้ จนตายคามือผูน้ น้ั ตอ้ งถูก ปรับโทษ.. หากว่าทาสนน้ั มีชีวิตตอ่ ไปไดว้ นั หน่ึงหรือสองวนั จึงตาย นายก็ไม่ตอ้ งถกู ปรบั โทษเพราะ ทาสนน้ั เป็นดงั เงินของนาย.. พระบญั ญตั ินีจ้ งึ เปิ ดชอ่ งให้นายทาสสามารถทําการตที าสให้ตายอย่างไรก็ได้ขอเพียงอย่า ให้ตายทนั ทีกพ็ อ เพราะทาสนนั้ คอื เงินทองทรัพย์สนิ ของเรา พดู อกี นยั หนง่ึ พระบญั ญัตินีจ้ ะสอ่ เค้า ให้นายทาสสามารถ ‚ข่มขืน‛ ทาสได้ไหมก็ในเม่ือการ ‚ฆ่า‛ ทาสยงั มีช่องทางให้กระทําได้จาก เหตผุ ลท่ีตนื ้ เขินวา่ ทาสคือทรพั ย์สนิ ของเราแล้วไฉนกนั เล่าการ ‚ขม่ ขืน‛ ทาสหญิงซ่ึงเลวน้อยกว่า การ ‚ฆา่ ‛ ทาสจะไมถ่ กู อนมุ ตั ิจากบญั ญัติประการนีด้ ้วยเหตผุ ลเดียวกนั วา่ ‚ทาสคือทรัพย์สินของ เรา‛ !!??! ถ้าหากวา่ กนั ไปตามตรรกะแล้วการท่ีท่านศาสนทตู ได้สง่ั ห้ามมสุ ลิมมใิ ห้กระทําการใดๆ อนั เป็นสิ่งชวั่ ช้าทงั้ ปวงแก่ผ้เู ป็นทาสท่ีอยใู่ ต้ปกครอง ซึ่งการขม่ ขนื นนั้ สตปิ ัญญาบง่ ชไี ้ ด้ชดั เจนวา่ คือ การกระทําอนั ชวั่ ช้าดงั นนั้ การขม่ ขืนทาสจึงตกอย่ใู นการกระทําอนั ช่วั ช้าซึ่งถกู สงั่ ห้ามในหลกั การ ของอิสลามไปโดยปริยาย และหากจะมีนกั บรู พาคดีคริสต์เตียนคนใดจะดนั ทุรังหวั ชนฝาอ้างวา่ อิสลามสอนให้ปฏบิ ตั ิดีและมิให้กระทําการชว่ั ร้ายตอ่ ทาสในเร่ืองทงั้ ปวง ‚ยกเว้น‛ เพียงการขม่ ขืน ทาสหญิงเท่านนั้ ที่อิสลามยอมให้ ดงั นนั้ จึงจําเป็ นแก่เหลา่ ผ้ชู ิงชังแก่อิสลามทงั้ หลายที่จะต้องนํา หลกั ฐานมาพิสจู น์วา่ อสิ ลาม ‚ยกเว้น‛ กรณีขม่ ขนื ไว้ ซ่ึงถ้าหากพวกเขาหาไม่ได้ (ซ่ึงแน่นอนว่าหา ไม่ได้เพราะไมม่ ีหะดีษเช่นว่านีอ้ ยู่เลย) เราก็สามารถที่จะสรุปในทันทีได้เลยวา่ อิสลามห้ามการ ขม่ ขนื ทาสหญิงทกุ กรณี!! ทาสกบั ความเหนือกวา่ ทางกฎหมาย หนึ่งในสิทธิทางกฎหมายบางประการทอ่ี สิ ลามมอบให้ทาสนนั้ เรียกได้วา่ มีความลาํ ้ หน้าไป กวา่ ข้อกฎหมายอน่ื ท่ีมอี ยใู่ นโลกขณะนนั้ และอาจจะแม้ปัจจบุ ันก็ตาม สําหรับอิสลามแล้วแม้โดย นิตนิ ยั ทาสจะมสี ถานภาพท่ีด้อยกวา่ เสรีชนอยู่ แตก่ ระนนั้ กต็ ามช้อกฎหมายของอิสลามกย็ งั ให้สิทธิ ทางกฎหมายบางประการแก่ทาสที่เสรีชนไมไ่ ด้รบั หนง่ึ ในข้อกฎหมายเหลา่ นนั้ ก็คือการลดโทษการ
~ 111 ~ กระทําผดิ ประเวณีที่ทาสได้กระทําไป โทษของการผดิ ประเวณีของเสรีชนที่อิสลามได้กําหนดไว้คือ การโบย 100 ทีและทําการเนรเทศอีก 1 ปี มาตรการลงโทษอนั รุนแรงนีเ้ ป็ นสิ่งท่ียอมรับได้ด้วย สามญั สาํ นึกหากเราพิจารณาถึงอาชญากรรมท่ีเกิดขนึ ้ ติดตามมาจากการผิดประเวณี คงไมต่ ้อง อภปิ รายในรายละเอียดมากเพียงเราสามารถพิจารณาจากความจริงที่วา่ การผดิ ประเวณีของคนใจ แตกทงั้ หลายได้นําพาไปสกู่ ารฆาตกรรมเด็กทารกอีกนับล้านคนจากกฎหมายวา่ ด้วยการทําแท้ง เม่อื เทียบกบั การโบย 100 ทีและการเนรเทศแล้วก็ยงั ถือวา่ เป็นการลงโทษท่ีเบากว่าด้วยซํา้ กับการ ฆา่ เดก็ ในไส้ของเขาพวกเขา ดงั นนั้ ในอสิ ลามการผิดประเวณีจงึ ถกู พิจารณาวา่ เป็ นอาชญากรรมท่ี เลวร้ายในอสิ ลาม และด้วยจากโลกทศั น์ของอิสลามที่พิจารณาวา่ การผิดประเวณีคือบาปอนั หนกั หน่วงนี ้อลั กรุ อานจึงได้ประทานข้อกฎหมายลงมาเป็นขนั้ ตอนดงั นี ้ ٱلْبُـيُم ِت ُِب فَأَْم ِس ُممُه َّن َْشِه ُدأا فَِإن ِّمْك ُم ْم ًأَْربَمة َلتَْيِه َّن ْلفََهُٱَّنْساَ َسْشبِيِهلُادًأا أَِْمأنيَْجِعَّمَسَلآئِٱلَُمتّ ُْم َٱلََْٰف ِح َشة َأٱللَاٌِّب نَْأتٌَِن ٱلْ َمْم ُت َحََّْٰى نـَاَـَمَفّا ُه َّن และบรรดาผ้ทู ี่กระทําสิ่งลามกจากในหมสู่ ตรีของพวกเจ้านนั้ จงให้มพี ยานสี่คนของพวกเจ้ายืนยัน นางเหลา่ นนั้ ถ้าพวกเขายืนยนั แล้ว กจ็ งกกั ขงั นางเหลา่ นนั้ ไว้ในบ้าน จนกวา่ ความตายจะพรากพวก นาง หรือไมก่ จ็ ะทรงให้มที างหน่ึงสาํ หรบั พวกนาง (4:15) นีค้ ือวิวรณ์แรกเกี่ยวกับเรื่องนีซ้ ึ่งได้ถกู ประทานลงมาในแรกเริ่มเพ่ือวางกฎหมายลงโทษท่ัวๆไป เกี่ยวกบั การทําผิดประเวณีของสตรี จากนนั้ วิวรณ์ท่ี 2 จึงได้ประทานลงมาเพ่ือดําเนินมาตรการ ลงโทษตอ่ ทงั้ 2 เพศดงั ความวา่ ًَأٱلَتَّذا ِن نَأْتِيَانِهَا ِمك ُم ْم فَآذُأهُمَا فَِإن تَابَا َأأَ ْصتَ َحا فَأَ ْلِر ُيماْ َلْكـ ُه َمآ إِ َّن ٱلَتَّ َتا َن تَـَّماباً َّرِحيما และชายสองคนในหมขู่ องพวกเจ้าท่ีกระทําการลามก นนั้ พวกเจ้าจงลงโทษเขาเสียทงั้ สองคน หาก ทงั้ สองสํานึกผิดกลบั เนือ้ กลบั ตวั และปรับปรุงแก้ไขแล้ว ก็จงระงบั การลงโทษเขาทงั้ สองเสีย แท้ จริงอลั ลอฮฺนนั้ เป็นผ้ทู รงอภยั โทษ ผ้ทู รงเมตตาเสมอ (4:16) และหลงั จากนนั้ วิวรณ์ที่ 3 จงึ ได้ประทานลงมาเพ่ือระบถุ ึงรูปแบบของการลงโทษพวกเสพเมถุนผิด กฎหมายวา่ بٱِلٱَلّزَاتّعِِيَةَُأٱَْلأٱيَـلَّْمزاِمِنٱلفَآٱِخْجِرتِ ُدَأْلأاْيَ ُْشتََهّلْدَأاَلِحَذاٍدبـَ ُِهّمْكـَمُاه َماطَآئِِمئََفةَةٌ ِّمَجْتَنَدٱةٍلْ ُمَأْلؤاَِمكِتٌَأَْنُخ ْذُت ْم بِهَِما َرأْفَةٌ ُِب ِدن ِن ٱلَتِّ إِن ُتكاُ ْم تُـْؤِمكُمَن
~ 112 ~ หญิงมีช้แู ละชายมีชู้ พวกเจ้าจงโบยแต่ละคนในสองคนนัน้ คนละหนึ่งร้ อยที และอย่าให้ความ สงสารยบั ยงั้ การกระทําของพวกเจ้าตอ่ คนทงั้ สองนนั้ ในบญั ญัติของอลั ลอฮฺเป็ นอนั ขาด หากพวก เจ้าศรัทธาตอ่ อลั ลอฮฺและวนั ปรโลก และจงให้กลมุ่ หน่งึ ของบรรดาผ้ศู รทั ธาเป็นพยานในการลงโทษ เขาทงั้ สอง (24:2) จากโองการทงั้ หมดนีม้ นั บง่ ชีแ้ ก่เราวา่ ข้อกฎหมายของอิสลามได้ระบุโทษแก่ผ้ผู ิดประเวณี ด้วยการโบยพวกเขาเป็นจํานวน 100 ครงั้ และเนรเทศไปจากบ้านเกิดเป็ นเวลา 1 ปี อย่างไรก็ตาม ในกรณีของการเลน่ ช้นู นั้ เขาจะต้องถกู เฆย่ี น 100 ครงั้ พร้อมด้วยการขว้างก้อนหินจากมวลชนจนถงึ แก่ความตาย การลงโทษถึง 2 มาตรการเชน่ นีแ้ ม้จะมอี ลุ ามาอ์บางสว่ นตีความวา่ ไมจ่ ําเป็ นจะต้อง ทําการเฆ่ียนหากสามารถที่จะพาไปยังสถานท่ีขว้างผ้ผู ิดประเวณีได้เลย แต่ความเข้ าใจของนัก กฎหมายสว่ นนีไ้ มส่ อดคล้องกบั การกระทําของท่านอะลี อิบนอุ ะบีตอลิบ (รอฎิฯ) ซอฮาบะฮฺผ้เู จน จดั ในด้านกฎหมายอิสลาม เพราะตามการตดั สินของท่านอะลีตอ่ หญิงเล่นข้นู างหนึ่งนนั้ ปรากฏ พบว่าท่านได้สง่ั เฆ่ียนนางในวนั พฤหสั และได้ขว้างนางด้วยหินในวนั ศกุ ร์ โดยท่านได้ระบุอย่าง ชดั เจนว่าการกระทําของท่านทัง้ หมดเป็ นการปฏิบัติตามบัญญัติของอลั ลอฺและแบบอย่างการ ลงโทษของท่านรอซลู ศอ็ ลฯ อย่างไรกต็ ามท่ีได้อธิบายมาทงั้ หมดนีเ้ ป็ นการลงโทษตอ่ เสรีชนท่ัวไป แตใ่ นกรณีของทาสท่ีผดิ ประเวณีนนั้ กฎหมายอิสลามได้ลดจํานวนการลงโทษเป็ นครึ่งหนึ่งของเสรี ชนคือจากการเฆี่ยน 100 ครงั้ มาเป็นเฆี่ยนเพียง 50 ครงั้ ดงั นนั้ มาตรการการลงโทษขนั้ รุนแรงด้วย การขว้างหินจนถึงแก่ความตายแม้จะเป็ นการกระทําผิดเช่นเดียวกับเสรีชน(เล่นชู้)ก็ตาม แต่ ฐานันดรทาสก็ยงั ถือว่าได้รับการยกเว้นจากข้อกฎหมายเหล่านี ้ กล่าวคือเง่ือนไขของผ้ผู ิดท่ีจะ สามารถลงโทษตามกฎหมายการขว้างได้นนั้ มเี พียง 4 ประการเทา่ นนั้ คือ 1) เป็นมสุ ลิม 2) เป็ นคน สติสมั ปชญั ญะปกติ 3) ผา่ นการแตง่ งานแล้ว 4) ต้องบรรุลนุ ิติภาวะตามกรอบของศาสนาแล้ว 5) จะต้องเป็นเสรีชนมิใช่ทาส95 ข้อกฎหมายทงั้ หมดนีจ้ งึ เป็นการลดหย่อนและค้มุ ครองฐานันดรทาส ในสงั คมหรือจะพดู ในทางกลบั กนั แล้วกถ็ ือวา่ เป็นการให้สิทธิทางกฎหมายแก่ทาสที่เหนือกว่าเสรี ชนนนั่ เอง ในความเหน็ ของทา่ นเมาดดู ีข้อกฎหมายดงั กลา่ วนีม้ ขี นึ ้ จากเหตผุ ลท่ีวา่ สตรีไทนนั้ ได้รับ การค้มุ ครองทางสงั คมท่ีเหนือกวา่ ทาสหญิงอยแู่ ล้ว96ข้อกฎหมายของอิสลามประการนีจ้ งึ พยายาม จะถว่ งดลุ ความเหลื่อมลาํ ้ ทางสงั คมที่บ่อยครงั้ กฎหมายท่ีไร้นํา้ ยาบนโลกนีม้ กั จะถือโทษเอาความ ได้เพียงแคค่ นต่ําต้อยในสงั คมเท่านนั้ และแม้ว่าทาสหญิงผ้นู นั้ จะเป็ นทาสเลวท่ีทําผิดประเวณี ซํา้ ซากกฎหมายอิสลามก็เปิ ดทางแก้ปัญหาเพียงแคก่ ารขายพวกนางเสีย ดงั มีหะดีษที่ระบุว่า ทา่ นนบีกลา่ ววา่ 95 Abdurrahman I Doi. Shariah The Islamic Law. P.239 96 เมาลานา ซยั ยิดอบลุ อะลาเมาดดู ี. อ้างแล้ว. หน้า 338
~ 113 ~ إذا زع الأمة فاجتدأها ٍب إذا زع فاجتدأها ٍب إذا زع فاجتدأها ُب الثالثة أأ الرابمة بيممها ألم بضفًن “เมือ่ ทาสหญิงทําผิดประเวณีก็จงเฆี่ยนเธอ หากละเมดิ อกี ก็จงเฆ่ียนอกี หากละเมิดอีกเป็ นครัง้ ที่ 3 กจ็ งเฆี่ยนอีก หากละเมิดอกี เป็นครงั้ ท่ี 4 ก็จงขายนางไปเสยี แม้จะได้ราคาเพียงเชือกที่ทําจากผมก็ ตาม(ราคาน้อยนิด)”97 นอกเหนือไปจากบริบทของการลงโทษแล้ว ในด้านพฤติกรรมด้านการแต่งกาย กฎหมาย อิสลามก็ยังผ่อนปรนให้แก่ทาสหญิงกว่าเสรีชนอยู่มาก เพราะในกรณีของเสรีชนนัน้ กฎหมาย อิสลามได้สง่ั ใช้พวกนางอยา่ งแข้งขนั ถงึ การสวมใส่ฮิญาบและส่งเสริมในเร่ืองการปิ ดหน้าแก่พวก นาง อย่างไรก็ดใี นกรณีของทาสหญิงนนั้ การสวมฮิญาบของนางนนั้ “ไมว่ าญิบ” สําหรับนาง โดย นางสามารถที่จะเปิ ดเผยเส้นผมของนางแก่ผ้อู น่ื ได้ ดงั หะดีษที่เป็นหลกั ฐานของเรื่องนีค้ วามวา่ لن أعس ريي الله لك قال أقام الكبي صتى الله لتي أستم بٌن خيِب أالمدنكة ثلاثا نبنى لتي بصفية بك حيي فدلمت المستمٌن إلى أليما فماتان فيها من خبز ألا ْلم أمر بالأعطاع فألقى فيها من الامر أالأقط أالسمن فماع أليما فقال المستممن إحدى أمهات المؤمكٌن أأ مما متم يديك فقالما إن حجبها فهي من أمهات المؤمكٌن أإن َّل يحجبها فهي مما متم يديك فتما ارتحل أطى لها ختف أمد اْلجاب بيكها أبٌن الكاس “จากอนสั บินมาลกิ เลา่ วา่ ทา่ นนบี ศอ็ ลฯ ได้หยดุ พกั ค้างแรมสามวนั ระหวา่ งเดินทางจาก คอยบรั ไปมะดีนะฮฺ ทา่ นได้อย่รู ่วมกนั ฉนั ท์สามี-ภรรยากบั ซอฟี ยะฮฺอย่างสมบรู ณ์(หลงั จากแตง่ งาน แล้ว) ฉนั เองได้ทําหน้าท่ีเชิญมสุ ลิมทงั้ หลายมาร่วมงานฉลองแตง่ งานของทา่ นนบี ในงานมที งั้ ขนม ปังและเนือ้ ท่านสงั่ ให้คลี่ผ้าหนังออก ตงั้ อินทผาลมั เนยแห้งและเนยเหลวซึ่งก็คือกระบวนการ เฉลมิ ฉลองการแตง่ งานของท่านรอซูล ศอ็ ลฯ บรรดามสุ ลิมต่างกลา่ ว(ด้วยความประหลาดใจ)ว่า นางเป็นหนง่ึ ในภรรยาของท่านนบี หรือวา่ เป็นเพียงทาสในปกครองของท่านรอซลู พวกเขาจงึ ตงั้ ข้อ สงั เกตวุ า่ หากท่านรอซูลวา่ หากท่านรอซูลไมส่ ง่ั ให้เธอปิ ดมา่ นกนั้ แล้วเธอกเ็ ป็นเพียงทาสในปกครอง ของท่าน ดงั นนั้ เม่อื ท่านรอซลู ออกเดนิ ทาง(จากท่ีพกั แรม)ทา่ นรอซลู ได้ให้เธอนงั่ อยขู่ ้างหลงั ทา่ นใน อฐู ตวั เดยี วกนั และทํามา่ นกนั ระหวา่ งนางซอฟี ยะฮฺกบั ประชาชนทวั่ ไป(แสดงวา่ เธอคอื ภรรยา)98 97 ศอฮฮี อฺ ลั -บคุ อรีย์. หมายเลขหะดีษ : 2417. 98 ศอฮีฮอฺ ลั -บคอรีย์. กติ าบนุ นกิ าฮ.ฺ หมายเลขหะดีษ : 4797
~ 114 ~ จากหะดษี ต้นนีท้ า่ นหญิงซอฟี ยะฮฺหนึ่งในภรรยาของท่านนบี ศ็อลฯ ซ่ึงกําลงั เป็ นท่ีเข้าใจ (ผิด)ในหมซู่ อฮาบะฮฺขณะนนั้ ว่านางเป็ นทาสของท่านนบีแตก่ ็ได้รับการแก้ไขความเข้าใจก็โดย อาศยั จากการปิ ดกนั้ ผ้ามา่ นของนางเป็นตวั พิจารณา อย่างไรกต็ ามพึงทราบไว้ ณ จดุ นีว้ ่าการผอ่ น ปรนในเร่ืองฮิญาบแกท่ าสหญิงในข้อกฎหมายอิสลามนนั้ มไิ ด้หมายความว่าอิสลามมีเป้ าประสงค์ ที่จะสร้างความตา่ งทางชนชนั้ ระหวา่ งเสรีชนกับทาสแต่อย่างใดไม่ เพราะหลกั ฐานท่ีเราได้ยกไป ก่อนหน้านนั้ บง่ ชีแ้ กเ่ ราอย่างชดั เจนแล้ววา่ กฎหมายอิสลามเน้นยํา้ ถึงความเสมอภาคในเรื่องการ แต่งกายระหว่างทาสกบั นายของเขาอย่เู สมอ คนบางพวกเช่นรอฟิ เฎาะฮฺชีอะฮฺจอมโสโครกได้ พยายามร่วมมอื กบั ศตั รูอสิ ลามด้วยการสรรหาหะดษี อปุ โลกน์มาป้ ายสีแก่ท่านอมุ รั อิบนคุ อ็ ฏฏ๊อบ วา่ ท่านได้แสดงออกถึงความโหดร้ายและถือชนั้ ชนกันระหว่างเสรีชนกับทาสด้วยการเฆ่ียนตีทาส หญิงท่ีสวมใสฮ่ ิญาบและบงั คบั พวกนางให้ถอดฮิญาบออก ความอคตชิ ิงชงั ได้ทําให้พวกเขายกหะ ดษี มาบทหนง่ึ ซึ่งมีเนือ้ หาความวา่ قال، رأن لمر أُب نده درة فضرب رأس أمة حْى سقط القكاع لن رأسها: لن المسيب بن دارم قال فيم الأمة تشب باْلرة: ‚จากมุสัยยบั บนิ ดาร็อมกลา่ ววา่ ฉนั เหน็ อมุ รั ถือแส้ไว้ในมอื ของเขาและทําการเฆี่ยนไปท่ี ศีรษะของนางทาสจนกระทงั่ ผ้าคลมุ ศีรษะของนางได้หลดุ ออกจนสามารถเห็น(ผมของ)นางได้ และ อมุ รั กลา่ วขนึ ้ วา่ ทําไมทาสจงึ ริอาจมาแตง่ กายเฉกเช่นที่สตรีไทแตง่ กายได้‛ หะดีษนีบ้ นั ทกึ ไว้ใน เตาะบะกอตอลั กุบรอ ของท่านอิบนสุ ะอฺด์ เลม่ 7 หน้า 127,กันซ์- อัลอุมมาล หะดีษท่ี 41928, ตารีคดมิ ัชก์ เลม่ 58 หน้า 191 สายรายงานต้นนีเ้ ป็นสายรายงานไมศ่ อฮีฮฺจากสาเหตทุ ่ีวา่ มสุ ยั ยับบินดาร็อมผ้รู ายงานหะ ดีษต้นนีเ้ ป็นบคุ คลที่ไมเ่ ป็นรู้จกั ทงั้ ตวั ตนและสถานภาพในการรายงานหะดีษของเขา ดงั นนั้ จึงเป็ น ผลให้หะดษี ต้นนีไ้ มม่ ีความถกู ต้องแตอ่ ย่างใด อยา่ งไรกต็ ามหากเราทึกทกั ไปวา่ หะดีษต้นนีเ้ ป็ นสิ่ง ที่ถกู ต้องนน่ั ก็อาจหมายความวา่ ท่านอมุ รั ไม่อนญุ าตให้สตรีทาสซึ่งไม่ใช่มสุ ลิมมาสวมใส่ผ้าคลมุ ศีรษะซึง่ เป็นสญั ลกั ษณ์ของสตรีมสุ ลิมผ้ศู รทั ธาเพื่อป้ องกนั ความสบั สนในการพิจารณาวา่ คนใดคอื มสุ ลมิ และคนใดเป็นทาส ในด้านการประพฤติปฏบิ ตั ิศาสนกิจ บคุ คลผ้เู ป็นทาสก็จะได้รับผลบญุ ตอบแทนในความ จริงใจของเขาเป็น 2 เท่าจากเสรีชนดงั หะดีษความวา่
~ 115 ~ لن أبي ممسى ريي الله لك لن الكبي صتى الله لتي أستم قال الممتمك الذي يحسن لبادة رب أنؤدي إلى سيده الذي ل لتي من اْلق أالكصيحة أالطالة ل أجران “จากอบมู ซู าเลา่ วา่ ท่านนบี ศ็อลฯ กลา่ วว่าสําหรับทาสที่ทําอิบาดะฮฺตอ่ พระเจ้าอย่างดี และบริการตามภาระหน้าที่และเชื่อฟังนาย ยอ่ มได้รับการตอบแทนเป็นสองเท่า”99 หะดษี ดงั กลา่ วได้ระบถุ งึ สทิ ธิผลบญุ ที่ทาสจะได้รับเหนือกวา่ เสรีชน ผลจากคําสอนเหล่านี ้ ได้สง่ ผลตอ่ ความปราถนาอจิ ฉาในความดีที่เสรีชนมีตอ่ ทาส ดงั ที่ข้าฯได้ยกตวั อย่างไปในตอนต้น ของหนังสือแล้วว่าแม้กระท่ังท่านอบูฮรุ ็อยเราะฮฺเองก็ยังได้เคยลน่ั วาจาว่าท่านอยากจะตายใน สภาพของการเป็นทาส คําสอนของอสิ ลามข้อนีจ้ ะต้องไมถ่ กู ตีความอย่างผิดๆว่าเป็ นเลห่ ์เพทบุ าย ทางศาสนาท่ีจะธํารงการมีอย่ขู องทาสในสงั คมโดยเอาเร่ืองผลบุญทางศาสนามาหลอกลวงเพ่ือ สนองตอ่ การกดขท่ี างสงั คม เพราะในกฎหมายอสิ ลามนนั้ มีบญั ญตั สิ ง่ เสริมและผลบญุ อนั มากมาย จากความประเสริฐของการปลอ่ ยทาสที่เสรีชนพึงกระทําอย่แู ล้ว อีกทงั้ ผ้เู ป็นนายเองก็จําต้องได้รับ การไตส่ วนถึงความผิดที่ตนเองจะได้รบั หากพวกเขามกั งา่ ยหรือสะเพร่าในการดแู ลทาสในอํานาจ ของพวกเขา ข้อกฎหมายอกี ประการหนง่ึ ท่ีอิสลามได้ให้สิทธิแกท่ าสอย่างเสมอภาคกับเสรีชนก็คือทาส นนั้ สามารถท่ีจะเป็นพยานในศาลได้ไมว่ า่ ทาสผ้นู นั้ จะเป็นทาสชายหรือทาสหญิง : أقال ابن سًننن، أزرارة بن أأَب، شهادة المبد جائزة إذاتان لدلا أأجازها شرنح: قال أعس تتمم بكم: أقال شرنح. أإبراهيم ُب الشيء الااف، أأجازها اْلسن. شهادت جائزة إلا المبد لسيده لبيد أإماء. “ท่านอะนสั บินมาลิกกลา่ วว่า การเป็ นพยานของทาสนนั้ คือสิ่งที่ถูกอนุญาต ตราบใดที่ทาสผ้นู นั้ เป็ นบุคคลผ้ทู รงความยตุ ิธรรม และท่านท่านสรุ ็อยฮฺและสรุ อเราะฮฺบินอบีเอาฟาก็ได้ยอมรับใน หลกั การเดยี วกนั นี ้และทา่ นอิบนซุ ิรีนกลา่ ววา่ ทาสสามารถเป็นพยานได้เว้นแตค่ ดีของนายตนเอง เท่านนั้ ที่ถกู ห้าม สว่ นท่านอลั หะซนั และทา่ นอบิ รอฮีมก็ยอมรบั การเป็นพยานของทาสเพียงแตต่ ้อง เป็นกรณีของคดีความเลก็ ๆน้อยๆ และชรุ ็อยฮฺกลา่ วเพ่ิมวา่ พวกท่านทกุ คนล้วนแล้วแตเ่ ป็นบตุ รของ ทาสหญิงและชายทงั้ สนิ ้ ”100 99 ฟัตฮุลบารีย์ฯ. กติ าบลุ อิตก. หมายเลขหะดีษ : 2413 100 อสั สนุ นั อลั กบุ รอ. หมายเลขหะดษี : 19993
~ 116 ~ จากความเห็นของบรรดาซอฮาบะฮฺเหล่านี ้ เข้าใจได้ว่าในกรณีพิพาทซ่ึงต้องขนึ ้ ศาลนัน้ บรรดาทาสจะมสี ิทธ์ิในการเป็นพยานตอ่ จําเลยเชน่ เดยี วกบั เสรีชนทกุ ประการทงั้ นกั วชิ าการข้างต้น ทัง้ หมดนัน้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็ นวงศ์วานทาสมาก่อนทัง้ สิน้ พิสจู น์ให้เห็นถึงพื่นท่ีของความเป็ น นกั วิชาการซงึ่ เปิ ดกว้างแกพ่ วกทาสด้วยเช่นกัน ทาสกบั การปฏวิ ตั ทิ างจกั รวาลวทิ ยาของอสิ ลาม การมาของอิสลามในคาบสมุทรอารเบีย นอกจากหลกั คําสอนจะเป็ นการปฏิวตั ิความ เส่อื มทรามทางสงั คมด้วยเรื่องของทาสแล้ว ที่ไปไกลกว่านนั้ คือการที่อิสลามได้ปฏิวตั ิโลกทศั น์อนั บิดเบีย้ วทางดาราศาสตร์ที่มนษุ ยย์ คุ อดีตผ้จู มปลกั อยกู่ ับไสยศาสตร์และโหราศาสตร์ได้หลงงมงาย อย่กู บั มนั มาเป็นเวลาช้านาน หน่ึงในปรากฏการณ์ทางธรรมชาติท่ีฉายภาพความโง่เขลาของอารยธรรมมนษุ ย์ในยุค อดีตกค็ ือปรากฏการณ์ท่ีเราเรียกกันว่า สรุ ิยุปราคาและจนั ทรุปราคา อนั เป็ นปรากฏการณ์ที่เกิด ความมดื มวั หมองไปทวั่ ทกุ หยอ่ มหญ้า ในดินแดนของชาวจีนโบราณพวกเขาเช่ือกันอย่างมงายวา่ ปรากฏการณ์ทงั้ สองเกิดขนึ ้ จากการท่ีเทพเจ้ามังกรได้กลืนดวงอาทิตย์ไว้เพื่อเป็ นการรักษาหรือ ทํานุบํารุง ในขณะที่พวกอาหรับในสมยั ของท่านนบี ศ็อลฯ เองก็มีความเช่ือว่าปรากฏการณ์ดัง กลา่ วคอื ความผวั ผวนทางธรรมชาติท่ีเกิดขนึ ้ จากการตายของบคุ คลผ้ศู กั ด์ิสิทธิ์หรือบคุ คลท่ีมีบารมี สําคญั ต่อคนในสงั คม ความเชื่อผิดแผกดงั กล่าวปรากฏขึน้ ในปี ที่ 10 ของฮิจเราะฮฺศกั ราชเมื่อ ปรากฎวา่ ในปี นีป้ รากฏการณ์ทางธรรมชาติประเภทนีไ้ ด้อบุ ตั ิขนึ ้ พร้อมๆกับการตายของอิบรอฮีม บุตรของท่านนบี ศ็อลฯ ประชาชนตา่ งพากันเข้าใจไปวา่ การตายของอิบรอฮีมบุตรของท่านนบี ศอ็ ลฯ นนั้ จะเป็นผลให้ธรรมชาติเกิความผนั ผวนขนึ ้ และแน่นอนท่ีสดุ หากท่านรอซูลของเราเป็ น หนง่ึ ในบรรดาศาสดาเทียมท่ีไมไ่ ด้มาจากพระเจ้า ท่านก็จะต้องฉวยโอกาสจากปรากฎการณ์ทาง ธรรมชาตนิ ีเ้ พ่ือเสริมสร้างความศกั ดิ์สทิ ธิ์ของตนเองอย่างแนน่ อน แตก่ ลบั ไมไ่ ด้เป็นเชน่ นนั้ ท่านรอ ซูลผ้เู ป็นศาสนทตู ของพระเจ้าท่ีแท้จริงได้ปฏิวตั ทิ างจกั รวาลวทิ ยาด้วยการยกเลิกคําอธิบายในเชิง ไสยศาสตร์เหล่านี ้ ดังปรากฎในการบันทึกของท่านอิมามบุคอรีย์ในหนังสือ ศอฮีฮฺ ของท่าน ทา่ นนบีได้กลา่ วหกั ล้างความเชื่องมงายเหลา่ นีว้ า่ “อปุ ราคาของดวงอาทิตย์และดวงจนั ทร์นน้ั มิไดเ้ กิดข้ึนจากการตายของมนษุ ย์แต่อย่างใด มนั ทงั้ สองเป็นเพียงแค่สญั ญาณที่ไดถ้ กู มอบแก่มนษุ ย์โดยพระผูเ้ ป็นเจ้า เมื่อพวกท่านพบเจอมนั
~ 117 ~ ท่านควรจะทาการละหมาด,สรรเสริ ญพระองค์และขอความเมตตาและความจาเริ ญจากพระองค์ ตลอดจนการมอบบางส่ิงในกุศลธรรม”101 ความเฉียบแหลมแหง่ แบบอย่างของทา่ นศาสนทตู นนั้ ยงั ไปไกลกวา่ นนั้ เพื่อเป็นการทลาย ความงมงายในจิตใจมนุษย์อย่างเป็ นรูปธรรมชัดเจน ท่านรอซูลได้สง่ั ใช้ให้มวลมุสลิมทําการ ปลดปลอ่ ยทาสให้เป็นไทในยามที่เกิดอปุ ราคาเหล่านีข้ นึ ้ มา อนั นบั ว่าเป็ นการปฏิวตั ิทางจกั รวาล วทิ ยาของคนยคุ สมยั นนั้ โดยเช่ือมโยงความงมงายของพวกเขาไปส่กู ารปลดปล่อยอิสระภาพของ ทาสทงั้ หลาย เป็นการวางหมากในการเปล่ยี นแปลงทางโครงสร้างสงั คมและวฒั นธรรม การปลด ทาสให้เป็นไทจึงเป็นอนสุ รณ์แหง่ การปลดปลอ่ ยความเข้าใจทางจกั รวาลเชงิ ไสยศาสตร์ที่มนษุ ย์ยคุ สมยั อดีตได้เข้าใจกนั ดงั รายงานท่ีศอฮีฮฺความวา่ لن أسماء بك أبي بمر ريي الله لكهما قال أمر الكبي صتى الله لتي أستم بالمااقة ُبتسمف الشمس تابم لتي لن الدراأردي لن هشام “จากอัสมาอ์บตุ รของอบบู ักร เลา่ ว่า ท่านนบี ศอ็ ลฯ ได้สง่ั ให้ปลดปล่อยทาสในขณะท่ีเกิดสรุ ิย คราส”102 لن أسماء بك أبي بمر ريي الله لكهما قال تكا عؤمر لكد الخسمف بالمااقة “จากอสั มาอ์บตุ รของอบบู กั ร เลา่ วา่ ท่านนบี ศอ็ ลฯ ได้สงั่ ให้ปลดปล่อยทาสในขณะที่เกิด จนั ทรคราส”103 ทาสกบั สทิ ธิแห่งความบริสทุ ธ์ิทางเพศ ดงั ท่ีได้กลา่ วไว้ในตอนต้นๆของหนงั สอื แล้ววา่ ธรุ กิจการค้าประเวณีด้วยทาสหญิงนนั้ เป็ น หลกั ปฏบิ ตั ขิ องพวกยโุ รปคริสตเ์ ตียนในการสร้างความมง่ั คงั่ แกพ่ วกเขามาโดยตลอด แม้กระทงั่ ทกุ วนั นีพ้ วกเขาก็ยงั แปรสภาพของสตรีท่ีเป็นเสรีชนไปสคู่ วามเป็นทาสสวาทได้อยา่ งไร้ยางอาย ธุรกิจ 101 หนงั สอื ฟัตฮลุ บารีย์ เล่ม 2 หน้า 424 อ้างถงึ ใน Maulana Wahiduddin Khan. Woman Between Islam and Western Society. P. 18-19 102 ศอฮฮี อฺ ัล-บคุ อรีย์. หมายเลขหะดีษ : 2383 103 ศอฮฮี ฺอลั -บคุ อรีย์. หมายเลขหะดษี : 2384
~ 118 ~ โสเภณีท่ีเฟื่ องฟขู นึ ้ ในยโุ รปคือผลจากวฒั นธรรมทาสโสเภณีของพวกเขาที่ฝังรากลึกมาอย่างช้า นาน ในหลกั การของอสิ ลาม ทาสหญิงมสี ทิ ธิมนษุ ยชนทกุ ประการเฉกเช่นเดียวกับสตรีไทอ่ืนๆ ความปรารถนาที่จะรกั ษาพรมจรรย์ของตนหรือความมงุ่ หวงั ท่ีจะเป็นของชายใดคนหนงึ่ ท่ีเป็ นสามี ของนางนัน้ คือสิ่งที่กฎหมายอิสลามปกป้ องมาตลอด การบีบบังคบั ทาสหญิงให้ขายตัวเพื่อ ผลประโยชน์ทางการค้าหรือแม้กระทั่งการขม่ ขืนรังแกทางเพศต่อนางล้วนแล้วแตข่ ดั แย้งกับข้อ กฎหมายของอสิ ลามทงั้ สนิ ้ เก่ียวกบั เร่ืองนีอ้ ลั กรุ อานได้อรรถาธิบายไว้วา่ بَـَألْماَِدتُإِْمْتِرَرُاهِهماِْهفَـَّاَنـيَاتَيُِفُممٌْمر ََّلرتَِحيىٌمٱلََْبِغَآِء إِ ْن أََرْد َن تَحَ ُّصكاً ِلّاَْباَـغُماْ َلَر َض ٱْْلَيَاةِ ٱل ُّدعْـيَا َأَمن نُ ْمِره ُه َّن فَِإ َّن ٱلَتَّ ِمن “และพวกเจ้าอย่าบงั คบั บรรดาทาสีของพวกเจ้าให้ผิดประเวณี หากนางประสงค์จะอยู่ อยา่ งบริสทุ ธ์ิ แตพ่ วกเจ้าต้องการผลประโยชน์แห่งการดํารงชีวิตในโลกนี ้ และผ้ใู ดบงั คบั พวกนาง เช่นนัน้ ดังนัน้ หลังจากการบังคับพวกนาง แท้ จริงอัลลอฮฺเป็ นผ้ทู รงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ (24:33) มปี รากฏหะดษี ที่เข้ามาขยายถงึ ความเป็นมาของโองการนีไ้ ว้วา่ نقمل جاءت مسميكة لبمض الأعصار فقال إن سيدي نمرهني لتى البغاء جابر بن لبد الله فكزل ُب ذلك ألا تمرهما فاياتمم لتى البغاء ญาบิร อบิ นิอบั ดลุ ลอฮฺกลา่ ววา่ ‚มซุ ยั กะฮฺ ทาสหญิงจากเผา่ อนั ศอร ได้มาหาฉนั พร้อมกับ กลา่ วว่า นายของฉันบังคับขู่เข็ญฉันให้กระทาการณ์อันผดิ ประเวณี(ขายตัว) หลงั จากนนั้ โองการดงั กลา่ วนีจ้ ึงได้ถกู ประทานลงมาความว่า ‚และพวกเจ้าจงอย่าบงั คบั บรรดาทาสีของพวก เจ้าให้ผิดประเวณี หากนางประสงค์จะอยอู่ ยา่ งบริสทุ ธิ์‛ (24:33)104 ทา่ นอบมู สั อดู อลั อนั ศอรีกลา่ ววา่ لن أبي مسممد أن الكبي صتى الله لتي أستم نهى لن َثن المتب أمهر البغي أحتمان الماهن “ท่านรอซูลได้สง่ั ห้ามการรับรายได้ของการขายสนุ ขั ,รายได้จากโสเภณีและรายได้ จากโหราศาสตร์”105 104 สนุ นั อบดู าวดุ . กติ าบอฏั เฏาะลาก. หมายเลขหะดษี : 2311 105 สนุ นั อิบนิมาญะฮ.ฺ หมายเลขหะดีษ : 2152
~ 119 ~ จากโองการและหะดีษดังกล่าว สรุปได้ว่าอิสลามได้ส่ังห้ามอย่างชัดเจนถึงการ ‚ล่วง ละเมิดทางเพศ‛ ตอ่ ทาสหญิงไมว่ า่ จะเป็นการบีบบงั คบั ทางเพศตอ่ นางเพ่ือการค้าหรือรูปแบบใดๆ กต็ ามแต่ ทงั้ นนั้ กเ็ พื่อป้ องกันสิทธิและความประสงค์ของทาสหญิงในการรักษาพรมจารีของนาง ด้วยเหตนุ ีเ้ องจึงทําให้สองนักปราชญ์ด้านอรรถคดีและนิติศาสตร์ผ้ปู ราดเปร่ืองของโลกอิสลาม ชนิดหาคนเทียบมิได้อย่างทา่ นอิมามมาลิกและอมิ ามชาฟิ อีย์ต้องตดั สินว่าการข่มขืนทาสหญิงคือ การกระทําท่ีจําต้องได้รบั โทษ ท่านอิมามมาลิกกลา่ ววา่ : أنها إنتاع حرة: َِ الأمر لكدعا ُب الرجل نغاصب المرأة بمراًتاع أأ ثيبا أالمقمبة ُب ذلك لتى، فمتي ما عقص من َثكها: أإنتاع أَمة, فمتي صداق مثتها ألا لقمبة لتى المغاصبة ُب ذلكتت، المغاصب ‚ในทศั นะของเราผ้ชู ายที่ขม่ ขนื สตรีโดยไมค่ าํ นึงถึงวา่ นางคือผ้บู ริสทุ ธิ์หรือไม่ หากวา่ นาง เป็นหญิงไท ชายผ้ขู ม่ ขืนนางต้องจ่ายคา่ สินสอดให้เท่ากบั หญิงอืน่ ที่มีฐานะเทา่ กบั นาง และหาก นางเป็นหญิงทาส ชายผ้ขู ม่ ขนื ต้องจา่ ย เพื่อชดใช้เกียรติ และคณุ คา่ ท่ีได้สญู เสียไปจากนาง สว่ น การลงโทษจะต้องถกู บงั คบั ใช้แกช่ ายผ้ขู ม่ ขนื และไมม่ กี ารลงโทษแก่สตรีผ้ถู กู ขม่ ขืนไมว่ า่ ในกรณี ใดก็ตาม‛106 ทา่ นอิมามชาฟิ อยี ์กลา่ ววา่ أإذا اياصب الرجل اْلارنة ٍب وطئها بعد الغصب أهم من يًن أهل اْلهالة أخذت مك اْلارنة أالمقر وأقيم عليه حد الزنا ‚หากชายได้ครอบครองทาสหญิงด้วยการใช้กําลงั (เข้าครอบครอง) และตอ่ มาได้ร่วม ประเวณกี บั ทาสหญิงหลงั จากได้รบั ตวั นางมาด้วยการบีบบงั คบั ใช้กําลงั และหากวา่ ชายผ้นู นั้ ไมถ่ กู แก้ตา่ ง(ในการกระทําของเขา)ด้วย(เหตผุ ลของ)ความอวชิ ชา(ในทางกฎหมายของอิสลามประการ นี)้ ดงั นนั้ เขาจะไมม่ สี ทิ ธเิ ป็นนายของทาสหญิงผ้นู ีอ้ กี เขาจะต้องถกู บงั คบั ให้จ่ายคา่ ชดเชยและ จะต้องยอมรับการลงโทษสาํ หรับเพศสมั พนั ธ์ต้องห้ามของเขา‛107 น่ีคือหลกั กฎหมายอนั แท้จริงของอิสลามท่ีผา่ นการวนิ ิจฉยั ของสองนกั นิตศิ าสตร์ผ้ยู ิ่งใหญ่ ในโลกอิสลามผา่ นองค์ความรู้ด้านอิสลามอย่างรอบด้าน มิใช่สกั แต่ว่าอ่านแม่บทหะดีษอย่างที่ 106 อลั -มวุ ตั เฏาะอ์. เลม่ 2 หน้า 734. หมายเลขหะดษี : 1412 107 อลั อมุ . เลม่ 3 หน้า 253.
~ 120 ~ นาย แซม แชมมนู กระทําอย่แู ล้วจากนนั้ จึงมาทึกทกั ขยายความจนเข้ารกเข้าพงไปในท่ีสดุ เห็น อย่างนีก้ ็อยากจะแทรกแผน่ ดินมดุ แทนเจ้าพวกนักบูรพาคดีเหล่านนั้ เสียจริงๆ ก็มีอย่างท่ีไหนกัน โฆษณากนั เสียดิบดีวา่ เป็ น ‚มวยสากล‛ แตพ่ อขนึ ้ ยกชกสงั เวียนคราบของ ‚มวยวัด‛ ดีๆก็หลุด ลอ่ นจ้อนมาให้เหน็ อย่างนา่ เวทนา สมควรท่ีจะกล่าวไว้วา่ การวินิจฉัยของท่านอิมามทงั้ 2 นนั้ วางอยู่บนแบบอย่างแห่งการ กระทําของบรุ ุษท่ีชาวมสุ ลิมยกย่องเมยี งมองวา่ ประเสริฐมากกวา่ ใครเพื่อนแล้วในประชาชาตินีร้ อง จากท่านศาสนทตู และทา่ นอบบู กั ร ซ่ึงกค็ ือท่านอมุ รั อิบนิคอ็ ตต้อบ จากหะดีษซอเฮี๊ยฮฺบทนี ้ َخمْيقَََُجبسْهَاٍْثْادفلُنءيََإِاَنُلَّاَنْنَمهَُُدر َةฮََـُِّنطفنََُُمدาبرِْْإْلْةِبّحبรَ:ََاูأأََِفนَِرنُعٌََّاٍةلدَُجفَبบَُิاقخَْبسَقـَبَْاالمَِِلرนنبـَأَِبِّْممَحْاخอخاََُِِْصَصلลั َـَِرأقأَأكَنََْْاอزًَََلّااَدنَُأيلثะَََمأَِِْنَخلحرَْهศاَفبََْـأسلَاِرأอ็ أنََىْنفنَُنِِْنزมََُُِذرارًُاـرباْبْألَأمกَلََََِّنارمْرالسลُ่دببَِْْلُرِاضَُايهرาبََفْهرُنِيวَـَلرْلْاَِنرวَاَِْخيبٌْدباาََ่فَخبأُاٍََِرجَسلمِمب:َمْمْلٍدىفََأท่مخََْفَارهثعَََجألَِرزِاาَْلَُبَتـَخนًىنلتََِميُُْنخةอَلفَِلُـمَىبأبْيََْـมََุتَّلشدإَِتّإِجَِةلรัٍَِكاالكَعاอُدิدْقيَـََرفًنِاسََاบَُُُنذْتبربَلِاَجاأนََْلิببّْبمَِلَلُامคـََِةًربَامتََِااอ็َلَِْدصرَأَُرنفعตعِِْادَْميخْامبُهَِْبَـตمتاّتَ๊نأََََقِمالอبىابُبُنُالَفَلْمـบَُبْمََاطحََُِّصدَاََِّّْناَبأรَقأُـَلََرَْعبطอَخِقلْاَبفَََـدتฎِخิقلََكٍَداُساْلْلداฯَْضّدَََََسثألأَـأَأไَقََمحُُحأَاดكََ้للَىِدفْْككสْبَِِاعععََِنلง่ ُُُِِلَنَييلคااللبَاْفلََلََّّْرترتّّبنبอىىِنقََـااِهمลิٍْبْاٌّىُُنناََُـดّتََحطَََبِبَِْْسّيييمบิْْفََـلََُُأُننررนَِكَاابرََسسىวَلْْللمَََتََمهะأااََطتَّبلَُْلُْْايـลีهااخابَأااَلดَُْااتثثُـَـََـَعرلعُككَََرเقََّّيباَْددـزขََََ้أتَِححََُْنامَخجาأأبَْففَََـ ร่วมในกองทพั ดงั นนั้ คอลดิ จึงได้สง่ ฎิรอร บินอลั อสั วรั เข้าร่วมในกองทหารม้าและพวกเขาได้บุกรุก เข้าไปในบริเวณท่ีเป็นเขตแดนของเผ่าบนีอะสาด พวกเขาได้จบั เจ้าสาวผ้เู ลอโฉมผ้หู นึ่งมา ฎิรอร หลงไหลในตวั เธอดงั นัน้ เขาจึงขอให้เพื่อนๆของเขามอบนางคนนีใ้ ห้ตวั เขาซ่ึงพวกเขาก็ยินยอม ตอ่ มาเขาได้ร่วมรกั กบั นางผ้นู ีแ้ ละเมื่อเสร็จสนิ ้ กามกิจแล้ว ฎิรอร ก็รู้สกึ สาํ นึกผิดเขาจึงเข้าไปหาคอ ลิดและปรับทกุ ข์กบั เขาถึงความผดิ ดงั กลา่ ว คอลิดได้กลา่ วว่า ‚ฉันอนุมตั ิแก่ท่านและได้ทําให้มนั เป็นที่หะล้าลแก่ท่าน‛ แตฎ่ ิรอรได้กลา่ ววา่ ‚ไม!่ จนกวา่ ท่านจะเขียนจดหมายแจ้งเรื่องนีร้ ายงานไป ยังท่านอุมัร (พวกเขาจึงเขียนไป) และอมุ ัรก็ตดั สินมาว่า ฎิรอร จะต้องถูกขว้างด้วยก้ อนหิน (ประหารชีวิต)!!ในขณะนัน้ จดหมายการตัดสินของท่านอมุ ัรได้ถูกส่งมาและฎิรอรก็ได้ตายไป เสียก่อน (คอลิด) จงึ กลา่ ววา่ พระองคอ์ ลั ลอฮฺทรงไมป่ ระสงค์ให้เกิดความอปั ยศ(แก่ฎิรอรท่ีจะต้อง ถกู ประหารเชน่ นนั้ )108 ดงั นนั้ มนั ย่อมเป็นการไมป่ ระเทืองแดป่ ัญญาของผองวิญํูชนเลยหากเขาจะนึกคิดไปว่า อิสลามคือศาสนาท่ี ‚ไฟเขียว‛ ในการข่มขืนทาสหญิงหรือลดค่าของนางลงให้เป็ นเพียงแค่ 108 สนุ นั อลั กบุ รอ. หมายเลขหะดีษ : 18685
~ 121 ~ นางบําเรอ!! ทงั้ ที่หลกั ฐานอนั ชดั แจ้งและความเข้าใจของปราชญ์กัลญาณชนแห่งอิสลามมิได้ เข้าใจเช่นนนั้ แต่อย่างใดเลย ปัญหาทัง้ หมดทงั้ หลายอนั ปรากฏจนก่อให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ อิสลามวา่ เป็นศาสนาชว่ั ร้ายท่ีเปิ ดทางให้กบั การขม่ ขนื สตรีในทกุ ครงั้ ท่ีมีการทําสงครามนนั้ เกิดขนึ ้ จากการอา่ นโองการอลั กรุ อานไมเ่ ข้าใจของคนสว่ นใหญ่ท่ีมิใชม่ สุ ลิม คนเหลา่ นีไ้ ด้อา่ นพบโองการท่ี อสิ ลามอนมุ ตั สิ ทิ ธิของทหารมสุ ลิมในการหลบั นอนกบั ทาสหญิงที่ได้จากเชลยในสงครามจึงทึกทัก ไปในตวั แล้วว่ากระบวนการดงั กลา่ วนีค้ ือการขม่ ขืนเพราะภาพแห่งฉากการข่มขืนเชลยหญิงใน หน้าประวตั ิศาสตร์สงครามของมนุษยชาติได้ก่อจินตภาพอนั เบ่ียงเบนในการเข้าใจอัลกุรอาน โองการดงั กล่าว ส่ิงแรกท่ีต้องควรเน้นยํา้ ให้ มีการนิยามขึน้ มาใหม่ก่อนก็คือคําว่า ‚ข่มขืน‛ หมายความวา่ อย่างไร แนน่ อนในหลกั ความเข้าใจทว่ั ไปแล้วการขม่ ขนื หมายถงึ การที่บุรุษเพศและ สตรีร่วมประเวณีกนั ในสภาพที่ฝ่ ายหญิงไมเ่ ตม็ ใจและได้รบั การขนื ใจจากฝ่ ายชายด้วยพละกําลงั ที่ เหนือกว่า แต่ในกรณีของการหลับนอนกับเชลย-ทาสหญิงตามท่ีอิสลามได้อนุมตั ิไปนัน้ หาใช่ ลกั ษณะวิธีดงั กลา่ วนี!้ !? ฐานปัญหาของเร่ืองทงั้ หมดที่ก่อให้เกิดความเข้าใจท่ีสบั สนเหล่านีเ้ กิด จากแวน่ ตาแห่งยคุ สมยั ใหมท่ ี่มองไปยงั สภาพความสมั พนั ธ์ทางเพศในยุคอดีต มนษุ ย์เราทกุ วนั นี ้ ตา่ งเกิดมาในสภาพท่ีโลกปราศจากชนชนั้ ทาสและรังเกยี จการมีทาสอย่างสดุ ขวั้ หวั ใจ ในขณะท่ีคน ยคุ อดตี นนั้ การมีทาสคอื ปกตวิ สิ ยั ของสภาพสงั คมโลก นน่ั ก็เพราะวา่ มาตรฐานในการกําหนดกรอบ เกณฑ์ทางศีลธรรมของคนยคุ ปัจจบุ นั กบั ยคุ อดตี แตกตา่ งกนั มาก เม่ือพบการพูดถึงกฎหมายทาส ในอิสลามคนยคุ ปัจจุบนั จึงก่อกิเลศจริตไปวา่ อิสลามสนบั สนนุ เร่ืองทาส อิสลามสนบั สนนุ การ ขม่ ขืนสตรีทาส!! ในความเป็ นจริงแล้วการที่อิสลามอนมุ ตั ิให้ทหารมสุ ลิมสามารถหลบั นอนกบั หญิงทาส จากเชลยศึกได้นนั้ มิได้หมายความไปว่ามนั เป็ นรูปแบบสมั พันธ์ทางเพศของการข่มขืน แต่เรา จําต้องรับทราบว่าธรรมเนียมการนําเชลยศึกมาเป็ นทาสในอดีตนัน้ คือเร่ืองปกติท่ีมีมาก่อน อิสลามนับพันๆปี อิสลามมิได้ เร่ิมต้ นมันเพียงแค่มาเพ่ือจัดการระบบดังกล่าวให้มี ขอบเขตท่ดี ีขนึ้ และพยายามหาทางกาจัดมันเท่านัน้ กลา่ วคอื ในการทําสงครามนนั้ เมือ่ ผ้หู ญิง ถกู จบั แล้วโดยปกตจิ ะถกู แบ่งให้ทหารมสุ ลิมแตล่ ะรายไปในฐานะเชลยศกึ เพื่อนําไปเป็ นทาสตาม ธรรมเนียมปกติของชนยคุ อดีต ซึง่ การท่ีมสุ ลิมคนหน่ึงได้เชลยใดมาเขายอ่ มเป็นนายทาสของเชลย ผ้นู นั้ และมีสิทธิท่ีจะมีเพศสมั พันธ์กับนางได้ แต่ทัง้ นีค้ วามสัมพันธ์ทางเพศดังกล่าวก็จาต้อง ได้รับการยนิ ยอมจากตัวนางด้วยความเต็มใจด้วยหาใช่การบีบบังคับขืนใจนางก็หาไม่ นายทหารมสุ ลิมจะต้องให้เกียรตนิ างและไมส่ ามารถบงั คบั ตบตีใช้กําลงั เพ่ือร่วมเพศกบั นางได้หาก นางไมย่ ินยอม แตห่ ากนางยินยอมด้วยความเตม็ ใจกถ็ ือวา่ ทงั้ สองสามารถร่วมหลบั นอนกนั ได้โดย ไมจ่ ําเป็นต้องแตง่ งานเพราะถือวา่ นายทาสมีสิทธิความเป็นเจ้าของโดยดษุ ฎตี อ่ นางแล้ว ในอสิ ลาม การแตง่ งานนนั้ กระทําขนึ ้ กบั หญิงไทท่ีเรา ‚ไมม่ ีสทิ ธิเหนือนาง‛ เพ่ือเป็นแบบแผนในการตกลงปลง
~ 122 ~ ใจร่วมใช้ชีวิตกนั ฉนั ท์สามีภรรยาเท่านนั้ แตก่ รณีของทาส นายทาสถือวา่ มสี ิทธิเหนือทาสหญิงของ เขาแล้วหากนางประสงค์จะใช้ชีวิตฉันท์สามีภรรยากบั นายทาสซ่ึงกรณีเช่นนีแ้ หละท่ีอิสลามได้ อนมุ ตั ใิ ห้ทงั้ สองปลงใจกนั ได้โดยไมต่ ้องแต่งงานกันให้เสียเวลา เพราะถือว่านายมีสิทธิของความ เป็ นเจ้าของเหนือนางแล้ว แต่ก็นัน่ แหละแม้อิสลามจะมองว่านายทาสมีสิทธิความเป็ นเจ้าของ เหนือนางแล้วกต็ ามอสิ ลามกไ็ มไ่ ด้หมายความวา่ เจ้าของสามารถกระทําตามใจกับทาสของเขาได้ หากนางไมย่ ินยอม และการที่อิสลามอนุมตั ิให้นายทาสมีสมั พนั ธ์ท่ีถกู ต้องกบั นางได้ก็หาใช่เป็ น การลดคา่ ของนางเป็นแคน่ างบําเรอ กลบั กนั การที่นางตงั้ ครรภ์จะเป็ นส่ือช่วยยกระดบั ของนางให้ เป็นไทตามกฎหมายอิสลามอนั เป็นความสมั พนั ธ์ท่ีวางอย่บู นความรับผิดชอบของนายทาสต่อตวั นาง มิใช่สมั พนั ธ์ประหน่ึงหญิงขายตวั ไร้ยางอายในยคุ ทุนนิยมปัจจุบันนี!้ ! เพราะฉะนนั้ โดยสรุป แล้วเชลยหญิงสงครามท่ีอสิ ลามอนมุ ตั ิจึงมไิ ด้อย่ใู นความหมายของการข่มขืนเชลยหญิงแตอ่ ย่าง ใด หากแตเ่ ป็นสมั พนั ธ์ด้วยความเตม็ ใจระหว่างนายทหารมสุ ลิมที่ได้รับมอบสิทธิกบั เชลยหญิงที่ อยใู่ นความดแู ลของเขา ในขณะท่ีการขม่ ขนื นนั้ หมายถงึ การขนื ใจผ้หู ญิงในทางเพศอย่างไร้ความ รบั ผิดชอบและขอบเขตที่สดุ !! สถานภาพของทาสหญิงในอสิ ลาม: ความบิดเบีย้ วในมโนทศั น์ของประชากรโลก เมอ่ื อสิ ลามภายใต้การนําพาของท่านศาสนทตู ศอ็ ลฯ ได้อบุ ตั ิขนึ ้ บนบรรณพิภพนี ้ ระบอบ ทาสคือปรากฏการณ์พืน้ ฐานของสงั คมมนษุ ย์ทว่ั โลกซึ่งมอี ย่แู ตเ่ ดมิ หลายศตวรรษก่อนการมาของ อิสลาม ระบอบทาสกลบั กลายมาเป็นเบ้าหลอมแห่งอารยธรรมมนุษย์ยุคอดีตแทบทกุ อารยธรรม จนยากเกินท่ีจะจิตนาการไปวา่ อารยธรรมใดบ้างของมนษุ ย์บนหน้าประวตั ิศาสตร์ที่จะปลอดจาก สภาพของการกดขีบ่ ีฑาทาส แตท่ งั้ ท่ีระบอบสงั คมทาสคอื ความจริงท่ีสดุ แสนจะธรรมดาของอารย ธรรมมนษุ ย์ในอดีต อสิ ลามกลบั เป็นศาสนาแรกท่ีคาํ นึงถงึ ความเสื่อมโทรมและป่ วยไข้ของสงั คมท่ี เกิดขึน้ จากการกดขี่ทาส อิสลามคํานึงถึงความต้องการของทาสในการได้รับการประกันสิทธิ เสรีภาพและการช่วยเหลอื การมาของอสิ ลามจงึ เป็นแตเ่ พียงความพยายามท่ีจะเข้ามาปฏิรุปและ จดั ระเบียบสงั คมทาสใหมด่ ้วยการสอนสง่ั วางกฎหมายในการดแู ลทาสประหนึ่งเหมอื นราวกบั ทาส เป็นบคุ คลที่เป็นไทเชน่ มนษุ ย์คนอื่นๆ แตท่ งั้ นีก้ ารมายกเลิกทาสของอิสลามก็หาใช่การใช่วิธีการ ปฏิวตั หิ รือก่อสงครามปลดแอกทาสด้วยการทําสงครามเขน่ ฆา่ นายทาสอยา่ งกบั ท่ีพวกทาสกระทํา กบั นายของตนหลงั จากอบั ราฮมั ลนิ คอร์นได้สงั่ ยกเลิกทาสในสหรฐั อเมริกา กรรมวิธีของอิสลามใน การแก้ปัญหาสงั คมเช่นทาสจะเป็ นไปตามขนั้ ตอนเช่นเดียวกับที่อิสลามมายกเลิกการด่ืมสรุ าก็ เป็นไปตามขนั้ ตอนเช่นกนั ด้วยการสง่ั ใช้ให้งดด่ืมสรุ าในชว่ งแรกเฉพาะตอนใกล้เวลาละหมาด และ ภายหลงั จึงห้ามการดืม่ สรุ าทกุ กรณี
~ 123 ~ ดงั นนั้ มนั จึงเป็ นธรรมเนียมของสงครามในยุคอดีตจากทุกอารยธรรมที่จะต้องมีการนํา เชลยศกึ ชายและหญิงไปเป็นทาส ซงึ่ อสิ ลามมไิ ด้เริ่มระบอบดงั กลา่ วนีแ้ ตม่ นั เป็นธรรมเนียมปฏิบตั ิ ของนักรบทุกๆพืน้ ท่ีมาเป็ นระยะเวลาท่ียาวนานแล้วก่อนการมาของอิสลามด้วยซํา้ และเม่ือ อสิ ลามอบุ ตั ขิ นึ ้ บนหน้าแผน่ ดินนีอ้ ิสลามจึงเพียงแตพ่ ยายามทจ่ี ะกําจดั ธรรมเนียมอธรรมดงั กลา่ วนี ้ ทีละขนั้ ทีละตอน แตก่ ระนนั้ ก็ตามการท่ีอิสลามอนมุ ตั ิให้ทหารมสุ ลมิ นําหญิงเชลยมาเป็ นทาสได้ก็ หาใชว่ า่ อิสลามสง่ เสริมระบอบทาสไม่ แต่มนั คือความจําเป็ นและสามญั สํานึกเบือ้ งแรกท่ีมสุ ลิม จะต้องตอบโต้ฝ่ ายศตั รูที่จบั ชาวมสุ ลมิ ไปเป็ นทาสในระหว่างสงครามบ้าง ด้วยเหตนุ ีม้ สุ ลิมในยุค นนั้ จึงมคี วามชอบธรรมท่ีจะจบั คนของฝ่ ายศตั รูมาเป็นทาสบ้างแลกเปล่ยี นกนั บ้าง แต่ถึงแม้จะถูก จบั มาเป็นทาสระบอบอิสลามก็ประกันสิทธิแก่พวกเขาไว้อย่างดีงามดงั หลักฐานท่ีได้กลา่ วไปใน ตอนต้นซงึ่ แตกตา่ งกบั ฝ่ ายตรงข้ามท่ีจบั มสุ ลมิ ไปเป็นทาสพร้อมกบั กดขบ่ี ีฑาตา่ งๆนานา แตด่ งั ที่ได้ กลา่ วไปแล้ววา่ เป้ าหมายท่ีแท้จริงของอิสลามวางอย่บู นแผนการท่ีจะทําลายระบอบทาสเหลา่ นี ้ อิสลามจึงเป็นเพียงศาสนาเดียวท่ีมอี ยู่ที่ได้ประทานกฎหมายอนั แยบยลซง่ึ จกั นําพาไปส่กู ารกําจดั ธรรมเนียมปฏิบตั ิเหล่านีด้ ้วยการอนุมตั ิให้ทหารมสุ ลิมสามารถมีสมั พันธ์ทางเพศกบั หญิงทาส เหล่านีไ้ ด้ในรูปแบบของการรับผิดชอบหาใช่การจบั คนมาบํารุงบําเรอกามตณั หาดงั ที่คนโง่บาง กลมุ่ เข้าใจไม่ กลา่ วคือการมีเพศสมั พันธ์จําต้องผ่านการยินยอมจากทาสหญิงดงั ท่ีกล่าวไปแล้ว และหากสมั พนั ธ์ดงั กลา่ วนําพาไปสกู่ ารตงั้ ครรภข์ องนางตัวนางจะถูกยกระดับและกลายเป็ นไท บุตรของนางก็จะเป็ นบุตรอันชอบธรรมตามกฎหมายของชายมุสลิมผู้นัน้ ทุกประการซ่ึง สามารถรับมรดกได้เช่นเดียวกับบุตรของภรรยารายอ่นื ๆ นี่คอื กฎระเบียบท่ีอิสลามวางไว้ซ่ึง ไมป่ รากฏในศาสนาและสงั คมอ่ืนใดเลย เพราะในสงั คมอื่นๆแม้ว่านางทาสจะถกู นายทาสสนอง ความใคร่กนั ปางใดกต็ ามนางก็ยงั เป็นทาสอย่วู นั ยงั คํ่าและบุตรของนางก็จกั ได้ชื่อว่า ‚ลกู ทาส‛ ท่ี ไมม่ สี ิทธิมเี สียงเชน่ เดียวกบั บตุ รของเมยี หลวงรายอนื่ ๆ ประวตั ศิ าสตร์ราชอาณาจักรไทยจึงไม่เคย ปรากฏพบลกู ทาสขนึ ้ ครองราชย์เป็นกษัตริย์เลย! แผนการอีกประการหนึ่งที่อิสลามซ่อนเร้นไว้เบือ้ งหลงั การอนุมตั ิทหารมสุ ลิมให้นําหญิง เชลยมาเป็นทาสก็เนื่องด้วยผลทางจิตวทิ ยาทอี่ ิสลามหวงั จะให้กล่ินอายแหง่ อิสลามได้แทรกซมึ เข้า สหู่ วั ใจนางในระหวา่ งการได้รบั การดแู ลจากทหารฝ่ ายมสุ ลิม ซึ่งทงั้ นีด้ งั ท่ีได้กล่าวแล้ววา่ เม่ือนาง ถกู จบั มาเป็นทาสแตอ่ ิสลามก็สอนสง่ั ให้นายทาสดแู ลนางด้วยการให้เกียรติและเคารพนางอย่างดี นางจะต้องได้รับอาหารและเสอื ้ ผ้าอาภรณ์เช่นเดียวกับท่ีนายทาสมีอยู่ การสร้างความรู้สึกที่ดีแก่ นางเหลา่ นีจ้ ะเบิกโรงไปสกู่ ารเปิ ดใจของนางและในจงั หวะนีเ้ องท่ีทหารมสุ ลิมจะเร่ิมสอนสง่ั อิสลาม ให้แก่นางได้รู้จกั เน่ืองเพราะเป็นการชีน้ ําจากทา่ นนบีแกท่ หารมสุ ลมิ ทกุ นายให้กระทําดงั ตอ่ ไปนีแ้ ก่ ทาสหญิงวา่ منتاع ل جارنة فمالها فأحسن إليها ٍب ألاقها أتزأجهاتان ل أجران
~ 124 ~ ‚บคุ คลผมู้ ีทาสหญิงในครอบครองกจ็ งอบรมสง่ั สอนใหม้ ีมารยาทที่ดี แลว้ ปลดปล่อยเธอ แต่งงานใหเ้ ธอ การกระทาเช่นนีจ้ ะไดผ้ ลบญุ ตอบแทนเป็นสองเทา่ ‛109 เหลา่ นีค้ อื แผนการท่ีอสิ ลามได้วางแผนไว้เพ่ือนําไปสกู่ ารปลดปล่อยสตรีจากการเป็ นทาส อย่างเป็นระบบขนั้ ตอน!! หาใช่การเสยี ้ มสอนให้ทหารหรือนายทาสมสุ ลิมเอาเปรียบสตรีทาสด้วย การปยู ีป้ ยู ําเกียรตยิ ศของนางดงั ที่พวกคนโสโครกพยายามที่จะบิดเบือนมนั ไม่ เพราะหากแม้นว่า อิสลามมีเป้ าประสงค์หมายท่ีจะให้ทหารมสุ ลิมและนายทาสทงั้ หลาย ‚ข่มขืน‛ หญิงทาสหรือ ปฏิบตั ิกบั นางประหนึ่งราวกบั เป็นนางบําเรอได้จริงแล้วไซร้ ใยอิสลามจะต้องวางกฎเกณฑ์วา่ หาก นางตงั้ ครรภ์แล้วนางจะเป็นไทและบตุ รของนางจะเป็ นบตุ รตามกฎหมายมีสิทธิรับมรดกจากบิดา ทุกประการอนั เป็ นการทําลายระบบทาสอย่างแยบยลได้เลา่ !!? ถ้าหากอิสลามเป็ นดงั่ ‚เขาวา่ ‛ จริงๆอิสลามก็มิจําต้องวางกฎระเบียบปฏิบัติตอ่ ทาสให้ย่งุ ยากมากความดงั ท่ีได้นําเสนอไปเลย กลับกันอิสลามควรจะชีแ้ นะหรือทําเมินเฉยต่อสิทธิของทาสหญิงโดยปล่อยให้ทหารมสุ ลิมสดุ แล้วแตจ่ ะปฏิบัติตอ่ นางตามความพอใจ!! สิ่งเหล่านีม้ ิเคยปรากฏในหลกั ธรรมของอิสลามเลย กลับกันมันคือสภาพท่ีเกิดขึน้ กับอารยธรรมและศาสนาอื่นๆ ในคริสต์ศาสนาบิดาสามารถ แม้กระทงั่ ขายบตุ รสาวแท้ๆของตวั เองเป็นทาสได้ (Exodus 21:7) ซํา้ ยงั ได้รับการไฟเขียวจากพระ เจ้าให้ฆ่าสตรีทกุ คนหลงั จากสงครามสิน้ สดุ ลงคงเหลือแตส่ ตรีบริสทุ ธิ์เท่านนั้ ท่ีเก็บไว้ให้พวกทหาร ลมิ ้ ลองดงั ความวา่ เพราะฉะนนั้ จงประหารชีวติ เดก็ ผ้ชู ายเลก็ เสียทกุ คนและประหารชวี ติ ผ้หู ญิงซ่ึงได้ ร่วมกบั ผูช้ ายเสียทกุ คน..แต่จงไว้ชีวติ เดก็ ผู้หญิงท่ยี งั ไม่ได้ร่วมกับผ้ชู ายไว้สาหรับท่าน ทงั้ หลายเอง..110 คริสต์ศาสนาไม่มีกฎเกณฑ์ระบุถึงสิทธิของสตรีทาสเลย ไม่มีแม้กระท่ังคําสงั่ ห้ามการ ขม่ ขนื หากทหารคริสต์เตยี นจะขม่ ขืนเชลยหญิงของนางละ่ จะผิดหลกั ศาสนาตรงไหนก็ในเม่ือไม่มี กฎระเบียบใดๆวางทงั้ สนิ ้ !!! ในสงั คมอารยธรรมของศาสนาอ่ืนๆไม่วา่ จะเป็ นยิว พทุ ธ พราหมณ์- ฮินดู หรือแม้กระทงั่ ในสงั คมไทยในยคุ อดีตกาลไมม่ กี ารระบสุ ทิ ธิของทาส หญิงทาสสามารถเป็นได้ ทกุ อย่างตงั้ แต่คนงานท่ีทํางานประดจุ ราว ‚สตั ว์‛ ไปจนถึงนางบําเรอ พวกซากเดนศกั ดินาขนุ นางในอดีตตา่ งก็กดขี่บีฑาขม่ เหงทาสหญิงให้นางเป็ นเพียง ‚นางสนมกํานัลใน‛ ท่ีคอยเติมเต็ม ความใคร่ของเหลา่ ขนุ นางกันแทบทัง้ สิน้ การกดข่ีรังแกทาสในอดีตกระทําการอย่างสุดเหวี่ยง ปราศจากขอบเขตเนื่องเพราะศาสนาทงั้ หลายบกพร่องและไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆทงั้ สิน้ ทงั้ ในเรื่อง 109 ศอฮฮี ฺอัล-บคุ อรีย์. เลม่ 2 หน้า 899. กติ าบลุ อติ ก.ฺ หมายเลขหะดีษ : 2406 110 พระคมั ภีร์ไบเบิล, ฉบบั พนั ธสญั ญาเดิม (ออนไลน์) : กนั ดารวิถี 31:17-18 สบื ค้นจาก http://www.bible2search.net/cgi-bin/bblink.pl?word2=&option=กนั ดาร วถิ ี&less=31&type=type2&choice=17&tst=ob
~ 125 ~ เชลยทาสหรือทาสติดท่ีดินก็ตาม ประวตั ิศาสตร์การทําสงครามของมนษุ ยชาติจึงถูกละเลงด้วย นํา้ ตาอนั ขน่ื ขมของสตรีทาสผ้ถู กู ขม่ ขืนในสมรภมู ิตา่ งๆ สงครามเวียดนามนําพามาซึ่งการข่มขืน เชลยหญิงโดยพวกทหารอเมริกนั ชาตชิ ว่ั ในบอสเนียร์สตรีมสุ ลิมนบั หมืน่ ถกู รุมขม่ ขืนจากทหารเซอ เบียร์ซงึ่ นบั ถือคริสตศ์ าสนา สงครามท่ีเมืองนานกิงระหวา่ งญี่ป่ นุ กบั จีนนาํ พามาซง่ึ การจบั หญิงชาว จีนนับแสนไปให้ทหารญี่ป่ นุ ขม่ ขืนจนภาพถ่ายแห่งความอัปยศดังกล่าวยังมีให้เห็นถึงปัจจุบัน แม้กระทงั่ สงครามที่ไทยทํากบั พมา่ ,เขมรและชาติเพื่อนบ้านอนื่ ๆ ทหารไทยเองก็ไม่เคยละเว้นลาภ โชคที่ตวั เองได้มาจากการทําสงครามนนั่ ก็คือการขืนใจสตรีเชลยของชาติอ่ืนๆทงั้ สิน้ !! ส่ิงเหลา่ นี ้ เกิดขึน้ จากระบบอันป่ าเถื่อนที่สังคมยุคอดีตสร้ างมนั ขึน้ มาและบรรดาศาสนาทัง้ หลายต่างก็ บกพร่องและไมพ่ ยายามจะล้มล้างความชว่ั ร้ายเหลา่ นีไ้ ป แล้วใยกนั เลา่ เมอ่ื อสิ ลามมาเพื่อวางแผน ทําลายระบบเหลา่ นีอ้ ยา่ งเป็นขนั้ ตอนอิสลามจึงถูกมองอย่างอธรรมท่ีสดุ ในประวตั ิศาสตร์ว่าเป็ น ศาสนาที่สง่ เสริมการขม่ ขืนเชลยหญิงไปได้!!! จากท่ีร่ายยาวมาทงั้ หมดย่อมเป็นท่ีชดั แจ้งแก่ชนทงั้ หลายแล้ววา่ การโจมตแี ละคาํ ถามของ ผ้คู นที่ถาโถมเข้าสอู่ สิ ลามผา่ นประเดน็ ดงั กลา่ วนีล้ ้วนแล้วตา่ งก็เป็ นผลมาจากการขาดความเข้าใจ ในวทิ ยญาณอนั ย่ิงใหญ่ของอิสลามที่อยเู่ บือ้ งหลงั การอนมุ ตั ิให้ครอบครองทาสหญิงได้โดยสกั แต่ เพียงคดิ วา่ อสิ ลามวางกฎระเบียบดงั กลา่ วตามคตินิยมของสงครามแบบทะเลทรายท่ีมงุ่ สนองตอบ ตอ่ ความมกั มากในกามคณุ ของเหล่าอศั วินอิสลาม!! หามิได้เลยนัน่ มิใช่เป็ นจุดหมายสงู สดุ ของ กฎหมายดงั กลา่ ว ในทางกลบั กนั กฎหมายดงั กล่าวคือความต้องการที่จะปลดแอกทาสจากธรรม เนียมอนั โหดร้ายในอดีตซ่ึงสิ่งท่ีสนับสนนุ คําอ้างดงั กล่าวก็คือกฎเหลก็ ของอิสลามท่ีว่าหากนาย ทาสได้หลบั นอนจนทําให้ทาสของนางตงั้ ครรภ์ขนึ ้ มาแล้วนายทาสมิสามารถจะขายเธอให้แก่ผ้อู ่ืน หรือผลกั ไสไลส่ ง่ เธอ ยิ่งไปกว่านนั้ หากนายทาสได้ตายไปหล่อนจะมิอาจถกู ถือเป็ นหญิงทาสอีก ตอ่ ไปได้อีกเพราะหลอ่ นจะเป็นอสิ ระและบตุ รของนางก็คอื บตุ รตามกฎหมายของนายทาสที่มีสิทธิ รับมรดกเช่นเดียวกบั บตุ รของภรรยาอน่ื ๆทกุ ประการ!!และแน่นอนมนั เป็นความสมั พันธ์ทางเพศที่ วางอยบู่ นความรบั ผิดชอบ ความเข้าใจอนั คลาดเคลื่อนและบิดเบือนของผ้คู นในทกุ วนั นนี ้ นั้ ยงั เตลิดไปไกลถงึ ขนาดวา่ อสิ ลามอนมุ ตั ิให้ผ้เู ป็นนายหลบั นอนกบั หญิงรับใช้ภายในบ้านได้!! ทงั้ ๆท่ีไมเ่ คยปรากฎคําสง่ั สอน ใดๆจากอิสลามเช่นดงั กวา่ เลย เพราะหญิงรับใช้เป็นหญิงไทมใิ ชห่ ญิงทาส!!ดงั นนั้ จงึ เป็นท่ีต้องห้าม ทกุ กรณีที่จะมีสมั พนั ธ์ทางเพศกบั หญิงรับใช้ยกเว้นแตจ่ ะผา่ นการแตง่ งานเทา่ นนั้ ! ส่งิ ท่ีควรคา่ แกก่ ารยกย่องก็คือระบอบทาสยคุ ปัจจบุ ันนนั้ ต่างก็ล้วนหมดสิน้ ไปจากสงั คม ส่วนใหญ่ของโลกแล้วหลังการตกลงช่วยเหลือกันของนานาประเทศในเรื่องนี ้ ซึ่งการกระทํา ดงั กลา่ วของนานาชาติกล็ ้วนแล้วแตส่ อดคล้องกบั อดุ มการณ์ของอสิ ลามในการปลดแอกทาสที่ถูก ดําเนินการมาเกือบ 1400 ปี มาแล้วทงั้ สิน้ !! อีกทงั้ ส่ิงที่เหนือชนั้ กวา่ ของอิสลามในการที่อิสลาม
~ 126 ~ อนมุ ตั ิการหลบั นอนของนายทาสกบั หญิงทาสได้นนั้ นอกจากจะด้วยเหตผุ ลดงั ที่ได้กลา่ วไปทงั้ หมด แล้ว อิสลามยังตระหนักถึงข้อเท็จจริงของตวั ตนมนุษย์ท่ีหนีไม่พ้นความอยากในกามารมณ์ท่ี อาจจะก่อให้เกิดผลร้ายตอ่ สงั คมถ้าความอยากดงั กล่าวไมไ่ ด้รับการควบคมุ และสนองตอบจน กลายเป็นการระเบิดทางอารมณ์นําพาไปสกู่ ารขม่ ขนื และการผิดประเวณี เพราะฉะนนั้ อิสลามจึง แก้ปัญหาเหลา่ นีด้ ้วยการอนุมตั ิให้ชายมีสมั พันธ์ทางเพศกบั ทาสหญิงได้ภายใต้เง่ือนไขแห่งวิทย ปัญญาของ 2 ประการคือ 1) ในกรณีท่ีชายไม่สามารถสรรหาสินสอดหรือความพร้ อมในการ แต่งงานกับหญิงไทได้ 2) ในกรณีท่ีฝ่ ายชายหว่ันเกรงในอารมณ์ทางเพศของตนเองจนอาจจะ ก่อให้ เกิดการผิดประเวณีอันเป็ นสัมพันธ์ ‚ต้องห้ าม‛ อย่างร้ ายกาจในทัศนะอิสลามซึ่งใน ขณะเดียวกันฝ่ ายชายเองกลับไม่มีความพร้ อมในการแต่งงาน ดังนัน้ ทาสหญิงท่ีอยู่ในการ ครอบครองจงึ เป็นตวั เลือกที่สองที่นายทาสสามารถมสี มั พนั ธ์รกั ฉนั ท์สามีภรรยาได้ เชลยหญิงท่ีผา่ นการแตง่ งาน : กระบวนการทําคนให้เป็น ‚ทาส‛ ในการศกึ ษาเรื่องทาสของข้าฯ ข้าฯพบวา่ ผ้คู นตา่ งกระโจนเข้าสวู่ งั วนแหง่ ความสบั สนและ ข้องใจในวทิ ยญาณของอิสลามวา่ หากแม้นอิสลามมีเป้ าประสงค์ต้องการทําลายระบอบทาสอนั โหดร้ายเหลา่ นีต้ ามที่อ้างจริง แล้วทําไมกันเลา่ ท่ีอิสลามกลบั คงไว้ซ่ึงกระบวนการท่ีทําคนให้เป็ น ‚ทาส‛ ผา่ นการจบั เชลยและตีตราสถานภาพของบคุ คลเหลา่ นนั้ เป็น ‚ทาส‛ มากกวา่ จะปลอ่ ยพวก เขาให้เป็นอสิ ระเสีย อีกทงั้ ในกรณีของหญิงเชลยท่ีผา่ นการแต่งงานมาแล้วล่ะ การจบั นางมาเป็ น ทาสแล้วอนมุ ตั กิ ารหลบั นอนของนายทาสแก่นางจะไมเ่ ป็นการละเมิดภรรยาของผ้อู ่นื ดอกหรือ? โดยสรุปจากข้อกงั ขาและข้องใจเหลา่ นีก้ ค็ ือวา่ ผ้คู นตา่ งตงั้ มาตรฐานกนั ในตรงจดุ ที่วา่ หาก อสิ ลามต้องการสง่ เสริมการปลดแอกทาสจริงก็จําเป็ นแก่อิสลามท่ีจะต้อง ‚ห้าม‛ การนําคนเชลย มาเป็ นทาสหรือพูดอีกนัยหน่ึงก็คือการสงครามของอิสลามไม่ควรที่จะมีการจับเชลยมาไว้ใน ครอบครองเลยแตค่ วรจะปลอ่ ยพวกเชลยให้หมดสิน้ ไปต่างหาก ประเด็นของคนเหล่านีจ้ ึงเดินมา บรรจบในจดุ ของคาํ ถามที่วา่ ทําไมต้อง ‚จบั ‛ ? และทําไมไม่ ‚ปลอ่ ย‛ ? ทัศนะวพิ ากษ์ หากเราได้หวนกลบั ไปเหลียวแลและเมียงมองถึงพระบัญชาของพระองค์อลั ลอฮฺ ตามท่ี ปรากฏในอลั กรุ อานแล้วเราจะพบว่าเกี่ยวกับเชลยศกึ นนั้ อลั กุรอานได้มอบทางเลือกให้ผ้ศู รัทธา เพียงแค่ 2 ประการเทา่ นนั้ คือ ُّلَاَحعَْـّْاََٰى إَِصََذرآِمأَْكـثُْهَخْكماُ َُمألَٰـَمُهِم ْمن ِفَلّيَْبـُشتُُّدَماْأاْبَـٱْملَْمثََضاُمَقْمفَبِإِبََـّمْما َمٍِكّضا َبَـأٱَْلمّ ُِذدن ََنأإَِّمقُااِتُفِماَْدِآُءًب ََحسَبِّْيَٰىِلتَٱلَضَتَِّع ٱفَـْتَْلَْنر نُُبِضأََْأّلَزاأََرَْلهاَمالَذَلهُِْمَك َألَْم نَ َشآءُ الَت
~ 127 ~ “จนกระทงั่ เม่อื พวกเจ้าปราบพวกเขาจนแพ้แล้ว ก็จงจับพวกเขาเป็ นเชลยหลงั จากนนั้ จะ ปลอ่ ยเป็ นไทหรือจะเรียกเอาค่าไถ่ก็ได้ จนกระทั่งการทําสงครามได้ สิน้ สดุ ลงด้วยการวางอาวธุ เชน่ นนั้ แหละ และหากอลั ลอฮ.ทรงประสงค์แน่นอน พระองค์จะทรงตอบแทนการลงโทษพวกเขา แตท่ งั้ นีเ้ พื่อพระองค์จะทรงทดสอบบางคนในหมพู่ วกเจ้ากับอีกบางคน สว่ นบรรดาผ้ทู ่ีถกู ฆ่าตาย ในทางของอลั ลอฮ. พระองคจ์ ะไมท่ รงทําให้การงานของพวกเขาไร้ผลเป็นอนั ขาด” (47:4) โองการนีไ้ ด้พูดถึงทางเลือกของทหารมุสลิมในการจัดการปัญหาเชลยว่าพวกเขามีเพียง 2 ทางเลอื กเท่านนั้ คือ 1) ปลอ่ ยตวั เชลยไป 2) ปลอ่ ยเชลยด้วยวธิ ีการไถ่ถอนตวั ด้วยเงิน ซงึ่ วิธีการที่ 2 นีห้ าใช่ว่าอิสลามกําลงั จะเสีย้ มสอนทหารมสุ ลิมให้กระทําตวั ดง่ั โจรห้าร้อยเรียกคา่ ไถ่ผ้คู นดงั ที่ กําลงั ปลกุ ระดมโดยพวกผ้บู ้าคล่ังในศาสนาประจําชาติตามเวป็ ไซต์ก็หาไม่ หากแต่เป็ นหนึ่งใน กระบวนการปลดปลอ่ ยเชลยทค่ี วรคา่ แก่การกระทําเน่ืองจากการสงครามนําพามาซ่ึงความหายนะ ทางทรัพยากร,ชีวิตและทรัพย์สนิ การไถ่ตวั เชลยจงึ เป็นการเรียกร้องความเสียหายของผ้ชู นะจากผู้ แพ้ ทงั้ ยงั เป็นการสง่ั สอนให้เห็นถึงความยากลําบากในการทําสงครามแก่เชลยด้วยเพื่อมิให้เกิด ความ ‚เหลงิ ‛ จากการปลอ่ ยไปงา่ ยๆอนั จะเป็นผลให้เชลยที่ถกู ปล่อยหวนกลบั มาทําสงครามใหม่ อกี การเรียกคา่ ไถ่ตวั จากเชลยนีป้ ัจจบุ ันก็พฒั นามาเป็ นระบบคา่ ปฏิกรรมสงครามท่ีนานาชาติก็ ยอมรบั ในหลกั การข้อนี ้กฎเกณฑ์จากโองการเหลา่ นีจ้ ะปรากฏพบในแบบอย่างของท่านศาสนทูต มากมายหลายครงั้ เชน่ ในสงครามบะดรั เชลยสว่ นใหญ่ถกู ปลอ่ ยตวั ไปเว้นแคบ่ างคนที่ต้องจา่ ยคา่ ไถ่ตวั ในขณะท่ีหากจ่ายค่าไถ่ตวั ไมไ่ ด้ก็ให้ไปสอนหนังสือแทน โองการเหล่านีเ้ ราจะไมพ่ บถึงการ ชีแ้ นะแก่ทหารมสุ ลิมเลยวา่ ทหารมสุ ลิมควรจะนําคนมาเป็นทาส แตแ่ ม้จะไมช่ ีแ้ นะให้นําคนมาเป็น ทาสก็ไมไ่ ด้หมายความถงึ การ ‚ห้าม‛ โดยสนิ ้ เชิงเพราะปรากฏการจบั เชลยมาเป็ นทาสอย่บู ้างใน การทําสงครามของท่านนบีเนื่องเพราะสถานการณ์และปัจจยั แวดล้อมท่ีจําเป็ น แต่ส่วนใหญ่ของ สงครามที่ทา่ นกระทําท่านมกั จะปลอ่ ยผ้คู นเป็นอสิ ระเสมอ อย่างไรก็ดีหากจะมีคนสมองตืน้ บางคนทําการวิพากษ์วิจารณ์ท่านศาสนทูตถึงความ โหดร้ายท่ีทหารมสุ ลมิ ทําการประหารเชลยศกึ ผ้ชู ายชาวยิวเผา่ บนีกุร็อยเซาะฮฺทงั้ หมดและสง่ั จบั เดก็ และสตรีมาเป็นทาสนนั้ จําต้องเป็นสิง่ ที่ได้รบั การชีแ้ จง(ซึง่ หนังสอื เอกสารภาษาไทยสว่ นใหญ่ มกั ละเลยไมช่ ีแ้ จง) และบอกกลา่ ววา่ กรณีดงั กลา่ วนีไ้ มไ่ ด้เป็นจดุ ชีช้ ดั วา่ อสิ ลามคือศาสนาท่ีทําคน ให้ เป็ นทาส! 1) แตเ่ ดมิ นนั้ ยิวเผา่ บนีกรุ ็อยเซาะฮฺเป็นพนั ธมิตรท่ีทําสญั ญาสนั ติภาพในการร่วมปกป้ อง บ้านเมืองกบั ฝ่ ายมสุ ลิม(และในสญั ญาก็ระบุโทษประหารแก่ผ้ลู ะเมิดแล้วด้วย) อย่างไรก็ดีก่อน หน้านีม้ ียิวอยู่ 2 ตระกูลท่ีหักหลงั ด้วยการละเมิดสญั ญาสนั ติภาพกับมุสลิมคือ เผ่าบนีนะดีร และบนีก็อยนุกออฺ ซ่ึงท่านศาสนทูตสง่ั ลงโทษขนั้ เบาแคเ่ นรเทศเท่านนั้ ยงั ผลให้การลงโทษด้วย
~ 128 ~ ความเมตตาของทา่ นนบีทําให้ยิวเผา่ อน่ื ๆเชน่ บนีกุร็อยเซาะฮฺเกิดอาการเหลิงคิดจะเอาเย่ียงอย่าง ตาม 2) ในการละเมดิ สญั ญาโดยพวกยิวนนั้ พวกเขาไปเข้าร่วมกบั กองทพั ฝ่ ายผ้ตู งั้ ภาคนี บั หม่ืน คนหมายจะเผดจ็ ศกึ ฝ่ ายมสุ ลิมซึ่งหากครัง้ นีม้ สุ ลิมพ่ายแพ้แล้วไซร้ ทหารมสุ ลิมคงจะถุกเข่นฆ่า อยา่ งทารุณกรรมในที่สดุ 3) หลงั จากผ้ตู งั้ ภาคีพนั ธมิตรยิวถอนตวั กลบั ไปแล้ว พวกยิวก็หนั หน้ามาทําสงครามกับ ฝ่ ายมสุ ลมิ ตอ่ จนในที่สดุ กพ็ ่ายแพ้ อาวธุ ดาบ 1500 เลม่ เสือ้ เกราะ 300 ตวั หอก 2000 ด้าม และ โลอ่ ีก 1500 อนั ได้ถกู ค้นพบเจอในคา่ ยของพวกยิวอนั เป็ นการแสดงให้เห็นถึงความพยายามของ พวกเขาในการฆ่าฝ่ ายมสุ ลิม111 4) โทษฐานในความผิดครัง้ นีท้ ่านศาสนทูตมิได้ตดั สินอะไรไป ท่านเพียงแค่บอกว่าให้ พวกยวิ เลือกเอาตามประสงค์ว่าจะให้ท่านศาสนทูตตดั สินอย่างไร พวกยิวก็เลยยิม้ กระหย่อม ยอ่ งใจโดยได้เสนอให้ทา่ นซะอฺด บินมอุ าซ หน่งึ ในอคั รสาวกของทา่ นศาสนทูตอดีตยิวเป็ นผ้ตู ดั สิน ความผดิ ของพวกเขาในครงั้ นี ้เพราะคดิ เอาวา่ ความเป็นยิวเดมิ ของท่านซะอดฺ อาจจะทําให้ทา่ นเหน็ ใจในพวกยิวกนั เอง แตท่ วา่ การเลือกทา่ นซะอฺดของฝ่ ายยิวหาได้เป็นไปตามแผนการของพวกเขาไม่ เนื่องเพราะทา่ นซะอดฺ ซ่งึ เคยเป็ นอดีตยวิ ท่านจงึ ได้ใช้คัมภีร์ของชาวยวิ (ไบเบิลพันธสัญญา เดิม) มาตัดสินพวกยวิ เผ่าบนีกุร็อยเซาะฮดฺ ้วยมาตรฐานของชาวยวิ เองความวา่ พระราชบญั ญัติ 20 20:10 เมือ่ พวกทา่ นเขา้ ไปใกลเ้ มืองซ่ึงทา่ นจะไปสรู้ บนน้ั จงเสนอหลกั สนั ติภาพแก่เมืองนนั้ ก่อน 20:11 ถา้ เขาตอบทา่ นอยา่ งสนั ติและเปิ ดประตูเมืองให้แก่ท่าน ก็ใหป้ ระชาชนทง้ั ปวงที่พบอยู่ใน เมืองนน้ั ทางานโยธาใหแ้ ก่ท่านและปรนนิบตั ิท่าน 20:12 ถา้ เมืองนน้ั ไมร่ ่วมสนั ติกบั ทา่ น แตก่ ลบั ออกมารบ ก็ใหท้ ่านเขา้ ลอ้ มตีเมืองนน้ั ได้ 20:13 เมือ่ พระเยโฮวาห์พระเจา้ ประทานเมืองนน้ั ไวใ้ นมือท่านแล้ว ท่านจงฆ่าชายทุกคนเสียด้วย คมดาบ 20:14 แต่ผหู้ ญิงและเดก็ สตั ว์และทกุ สิ่งในเมืองนนั้ คือของทีร่ ิบไวท้ งั้ หมด ท่านจงยึดเอาเป็นของ ตวั ท่านจงอิ่มใจในของทีร่ ิบมาจากศตั รูของท่าน ซ่ึงพระเยโฮวาห์พระเจา้ ของทา่ นประทานแก่ท่าน ดงั นนั้ การตดั สนิ จึงเป็นไปตามกฎเหลก็ ในพระคมั ภรี ์ไบเบิลที่ทงั้ คริสตแ์ ละยิวเองตา่ งบงั คบั ใช้กบั ผ้อู น่ื มาโดยตลอด ชะตากรรมของสตรียิวจึงต้องตกเป็นเชลย-ทาสแก่ฝ่ ายมสุ ลมิ เพราะฉะนนั้ 111 เมาลานา ซยั ยิดอบลุ อะลาเมาดดู ี. ตฟั ฮมี ุลกรุ อาน ความหมายคัมภีร์อลั กรุ อาน เล่ม 5. แปลโดย บรรจง บิน กาซนั . หน้า 2012
~ 129 ~ การจบั สตรีชาวยิวมาเป็ นทาสในครัง้ นีจ้ ึงมิอาจจะถือโทษว่าเป็ นบัญญัติของอสิ ลามท่ีเสีย้ ม สอนสนับสนุนการมีทาสก็หาไม่ หากแต่เป็ นการตัดสินด้วยคาสอนของคริสต์ศาสนา และยวิ เองและหากจะมีการประณามหยามเหยียดวา่ การตดั สินครัง้ นีเ้ ป็ นการตดั สินท่ีโหดร้ายก็ ขอให้ตระหนกั ถึงข้อเท็จจริงที่วา่ หากฝ่ ายมสุ ลิมได้พ่ายแพ้ในสงครามครัง้ นีพ้ วกเขาจะถกู ตดั สิน ด้วยวิธีการท่ีโหดร้ายกวา่ นี ้พวกยิวอาจจะตดั สินชะตากรรมของมสุ ลมิ ด้วยไบเบิลโองการนี ้ เพราะฉะนนั้ จงประหารชีวติ เดก็ ผ้ชู ายเลก็ เสยี ทกุ คนและประหารชีวิตผ้หู ญิงซงึ่ ได้ร่วมกบั ผ้ชู ายเสยี ทกุ คน..แตจ่ งไว้ชีวติ เดก็ ผ้หู ญิงทีย่ งั ไมไ่ ด้ร่วมกบั ผ้ชู ายไว้สําหรับท่านทงั้ หลายเอง.. พระคมั ภรี ์ไบเบิล, ฉบบั พนั ธสญั ญาเดมิ กนั ดารวถิ ี 31:17-18 พระราชบญั ญัติ 13 13:12 ถ้าท่านท้ังหลายได้ยินว่า ในหวั เมืองหนึ่งหวั เมื องใดซ่ึงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ประทานใหท้ า่ นอาศยั อยู่นนั้ 13:13 มีบางคนที่เป็นลกู ของเบลีอลั ไดอ้ อกไปจากทา่ มกลางทา่ น ชกั ชวนชาวเมืองนนั้ ว่า `ใหเ้ ราไป ปรนนิบตั ิพระอืน่ กนั เถิด' ซึ่งเป็นพระที่ท่านไม่รู้จกั 13:14 ท่านทง้ั หลายจงสอบถามและอตุ ส่าห์คน้ หาและถามดูอย่างขะมกั เขมน้ และดูเถิด ถา้ เป็น ความจริงและเป็นเรื่องแน่นอนวา่ ส่ิงที่น่าสะอิดสะเอียนนนั้ มีคนกระทากนั อยใู่ นหมู่พวกท่าน 13:15 ทา่ นจงฆ่าชาวเมืองนน้ั เสียดว้ ยคมดาบ ทาลายเสียใหส้ ้ินเชิงดว้ ยคมดาบ ทงั้ คนทง้ั หลายที่ อาศยั ในเมืองนน้ั และฝงู สตั ว์ดว้ ย 13:16 ท่านจงเก็บขา้ วของทงั้ ส้ินในเมืองนน้ั ไปกองไวท้ ี่กลางถนน และเผาเมืองนน้ั กบั บรรดาขา้ ว ของในเมืองนนั้ เสียดว้ ยไฟ เพือ่ พระเยโฮวาห์พระเจา้ ของทา่ น ใหเ้ มืองนน้ั ร้างอย่เู ป็นนิตย์ อย่าสร้าง ข้ึนมาใหมอ่ ีกเลย 13:17 อยา่ ใหข้ องตอ้ งหา้ มนนั้ มาติดพนั มือของท่าน เพื่อว่าพระเยโฮวาห์จะทรงหนั จากพระพิโรธ ยิ่งของพระองค์ และทรงสาแดงพระกรุณาคณุ ต่อทา่ น และทรงเมตตาท่าน ใหท้ า่ นทวีมากขึ้น ดงั ที่ พระองค์ปฏิญาณไวก้ บั บรรพบรุ ุษของทา่ นนน้ั 13:18 เมื่อท่านท้ังหลายเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน คือรักษาพระ บญั ญตั ิทงั้ ส้ินของพระองค์ดงั ที่ขา้ พเจา้ บญั ชาทา่ นไวใ้ นวนั นี้ และกระทาสิ่งที่ถูกตอ้ งตามสายพระ เนตรพระเยโฮวาห์พระเจ้าของทา่ น\" พระราชบญั ญตั ิ 17 17:2 ภายในประตเู มืองใดๆของทา่ นทง้ั หลายซ่ึงพระเยโฮวาห์พระเจา้ ของท่านประทานแก่ท่านนน้ั ถา้ พบวา่ ในท่ามกลางพวกท่านมีชายหรือหญิงคนใดกระทาความชวั่ ในสายพระเนตรของพระเยโฮ วาห์พระเจ้าของทา่ น โดยละเมิดพนั ธสญั ญาของพระองค์
~ 130 ~ 17:3 และไปปรนนิบตั ิพระอื่น และนมสั การพระเหล่านน้ั หรือดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ หรืออนั ใดที่ เป็นบริวารทอ้ งฟ้ า ซึ่งขา้ พเจ้าไดห้ า้ มไว้ 17:4 มีคนมาบอกท่านแลว้ และท่านก็ได้ยิน และไดส้ อบถามอย่างขะมกั เขม้น และดูเถิด ถ้าเป็น ความจริงและเป็นเรื่องแนน่ อนวา่ สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนนน้ั มีคนกระทากนั ในอิสราเอล 17:5 ท่านจงนาชายหรือหญิงผกู้ ระทาสิ่งที่ชว่ั ร้ายนน้ั มาที่ประตเู มือง และท่านจงเอาหินขว้างชาย หรือหญิงนน้ั เสียใหต้ าย พระราชบญั ญัติ 13 13:6 ถา้ พี่ชายนอ้ งชายของท่านมารดาเดียวกนั กบั ท่าน หรือบตุ รชายบตุ รสาวของทา่ น หรือภรรยา ที่อยู่ในอ้อมอกของท่าน หรื อมิตรสหายร่วมใจของท่าน ชักชวนท่านอย่างลบั ๆว่า `ให้เราไป ปรนนิบตั ิพระอืน่ กนั เถิด' ซึ่งเป็นพระที่ทา่ นเองหรือบรรพบรุ ุษของท่านไมร่ ู้จกั 13:7 เป็นพระบางองค์ของชนชาติทง้ั หลายซึ่งอยูร่ อบทา่ น ไมว่ ่าใกลห้ รือไกล จากสดุ ปลายแผ่นดิน โลกขา้ งนีถ้ ึงทีส่ ดุ ปลายโลกขา้ งโนน้ 13:8 ท่านอยา่ ยอมตามหรือเชื่อฟังเขา อยา่ ใหน้ ยั น์ตาของทา่ นเมตตาปรานีเขา ท่านอย่าไวช้ ีวิตเขา หรืออยา่ ซ่อนเขาไวเ้ ลย 13:9 ทา่ นจงประหารชีวิตเขาเสียเป็นแน่ ท่านควรลงมือก่อนในการทาโทษเขาถึงตาย และตอ่ ไปให้ บรรดาประชาชนร่วมมือดว้ ย 13:10 ทา่ นจงเอาหินขวา้ งเขาใหต้ าย เพราะเขาแสวงหาช่องที่จะพาท่านไปจากพระเยโฮวาห์พระ เจา้ ของทา่ น ผูท้ รงพาท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ออกจากเรือนทาส 13:11 และคนอิสราเอลทงั้ ปวงจะฟังและยาเกรง ไมก่ ระทาความชว่ั เช่นนี้ท่ามกลางท่านทง้ั หลาย อีกเลย 13:12 ถ้าท่านทง้ั หลายได้ยินว่า ในหัวเมืองหนึ่งหัวเมืองใดซ่ึงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ประทานใหท้ ่านอาศยั อยู่นนั้ พระราชบญั ญัติ 13 คาตกั เตือนเรื่องผูพ้ ยากรณ์เทจ็ 13:1 \"ถา้ ในหม่พู วกท่านมีผพู้ ยากรณ์หรือผูฝ้ ันเหน็ เหตกุ ารณ์เกิดขึ้น และสาแดงหมายสาคญั หรือ การมหศั จรรย์แก่ทา่ น 13:2 และหมายสาคญั หรือการมหศั จรรย์ซ่ึงเขาบอกท่านนนั้ สาเร็จจริง ถ้าเขากล่าวว่า `ให้เรา ติดตามพระอื่นกนั เถิด' ซ่ึงเป็นพระทีท่ า่ นไมร่ ู้จกั `และใหเ้ รามาปรนนิบตั ิพระนนั้ '
~ 131 ~ 13:3 ท่านอย่าเชื่อฟังคาของผู้พยากรณ์หรือผู้ฝันเห็นเหตุการณ์คนนนั้ เพราะพระเยโฮวาห์พระ เจ้าของท่านลองใจท่านดู เพือ่ ใหท้ รงทราบว่า ทา่ นทง้ั หลายรักพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านดว้ ย สดุ จิตสดุ ใจของทา่ นหรือไม่ 13:4 ทา่ นทง้ั หลายจงดาเนินตามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และยาเกรงพระองค์ และรักษา พระบญั ญตั ิของพระองค์ และเชื่อฟังพระสรุ เสียงของพระองค์ และท่านจงปรนนิบตั ิพระองค์ และ ติดสนิทอยู่กบั พระองค์ 13:5 แตผ่ ูพ้ ยากรณ์หรือผฝู้ ันเห็นเหตกุ ารณ์คนนนั้ ตอ้ งมีโทษถึงตาย เพราะว่าเขาไดส้ งั่ สอนใหก้ บฏ ตอ่ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ผู้ทรงนาท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ และทรงไถ่ท่านออกจาก เรือนทาส เขากระทาให้ พระราชบญั ญัติ 18 คาตกั เตือนเรื่องผูพ้ ยากรณ์เท็จ (มธ 7:15-16) 18:20 แต่ผพู้ ยากรณ์คนใดบงั อาจกล่าวคาในนามของเราซึ่งเรามิไดบ้ ญั ชาใหก้ ล่าวหรือผูน้ นั้ กล่าว ในนามของพระอืน่ ผพู้ ยากรณ์นนั้ ตอ้ งมีโทษถึงตาย' 18:21 และถา้ ท่านนึกในใจวา่ `ทาอยา่ งไรเราจึงจะรู้พระวจนะทีพ่ ระเยโฮวาห์ยงั มิไดต้ รสั นนั้ ได'้ 18:22 เมือ่ ผพู้ ยากรณ์กลา่ วคาในพระนามของพระเยโฮวาห์ ถา้ มิได้เป็นไปจริงตามถอ้ ยคาของผู้ กล่าว ถ้อยคานั้นมิได้เป็ นพระวจนะที่พระเยโฮวาห์ตรัส ผู้พยากรณ์น้ันบงั อาจกล่าวเอง ท่าน ทงั้ หลายอย่าเกรงกลวั เขาเลย\" ทงั้ หมดทงั้ หลายนีห้ ากจะเป็นความผดิ กค็ งต้องถือโทษโกรธาแก่ศาสนายิวและคริสต์เสีย เองท่ีได้บรรจกุ ฎของสงครามท่ีรุนแรงเชน่ นี ้มิใช่มาถือโทษโกรธความตอ่ อสิ ลามเพราะในอลั กรุ อาน ไมม่ บี ทลงโทษที่รุนแรงประการนีอ้ ย่เู ลย และการตดั สินเช่นนีโ้ ดยตวั ของท่านศาสนทตู เองก็มิเคย ปรากฏตลอดชีวิตแห่งการทําสงครามเพ่ืออิสลามของท่านเลย ท่าน ดร.อะลี มะญีด คาน ผ้เู ชี่ยวชาญด้านอตั ตะชีวประวตั ขิ องทา่ นนบีมฮุ มั มดั ศอ็ ล ฯ ได้กลา่ วไว้วา่ ‚หากแมน้ วา่ พวกยิวไดเ้ ลือกใหท้ ่านศาสดาเป็นผตู้ ดั สินในความผิดครั้งนี้พวกเขาคงไม่ตอ้ งพบกบั หายนะร้ายแรงเชน่ นี้ หรือหากแมน้ ว่าพวกเขาออ้ นวอนขอโทษตอ่ ทา่ นศาสดาเมื่อพวกเขาพบท่าน ชาวยิวก็อาจจะไดร้ บั การอภยั โทษ (เหมือนทกุ ๆครั้งทีผ่ ่านมา) ก็ได้ เพราะทา่ นศาสดาคือผเู้ มตตา เสมอ แต่ทวา่ พวกยิวเป็นชนผเู้ ยอ่ หย่ิงในความแขง็ แกร่งในดา้ นพลงั อานาจของพวกเขา ซ่ึงดว้ ย เพราะส่ิงนนั้ เองทีพ่ วกเขาจึงอวดดีและหมายจะฆ่าท่านนบี ท่านซะอฺดจึงมีสิทธิในการตดั สิน บทลงโทษดงั กลา่ ว‛112 112 Dr. Ali Majid Khan. Muhammad The Final Messenger. P.228.
~ 132 ~ การจบั เชลยชาวยิวเผา่ บนีกรุ ็อยซาะฮฺในสงครามครงั้ นีย้ งั ปรากฏประเดน็ การวพิ ากษ์อยา่ ง รุนแรงในหมนู่ ักบรู พาคดีคริสต์เตียนและนกั วิชาการแขนงต่อต้านอิสลามโดยตรง เช่น Ali Sina เจ้าของงานวรรณกรรมลวงโลกอย่าง ‚Understanding Muhammad‛ ที่ได้ขนานนามต่อท่านศา สนทตู อย่างหยาบช้าวา่ ‚Muhammad was a Rapist‛ โดยท่ีอะลี ซินา ได้ให้เหตผุ ลโต้แย้งวา่ การท่ี ทา่ นนบีได้ตวั นาง ร็อยฮะนะฮฺ บินตซิ มั อนู อนั นดั รียะฮฺ มาเป็ น ทาสหญิงสว่ นตวั ของท่านนนั้ เป็ น การเบิกโรงให้ท่านนบีสามารถร่วมหลบั นอนกบั เชลยศกึ ผ้นู ีไ้ ด้ซงึ่ การหลบั นอนที่วา่ นีค้ ือส่ิงเดียวกนั กบั ที่เรียกวา่ ‚การขม่ ขืนเชลยศกึ ‛ นนั่ เอง ข้อสรุปในแบบดงั กล่าวของอะลี ซินา นนั้ วางอย่บู นฉนั ทาคติ,อวิชชาและจิตใจท่ีถกู สุม เพลงิ พยาบาทตอ่ อิสลามและทา่ นศาสนทตู มฮุ มั มดั ศอ็ ลฯ เพราะข้อมลู เกี่ยวกบั ตวั ของนางร็อยฮะ นะฮฺ บินตซิ มั อนู อนั นดั รียะฮฺ มไิ ด้ปรากฏในลกั ษณะวติ ถารดงั ที่คนสกปรกอย่างอะลี ซินาพยายาม จะบิดเบือนตบตาผ้อู า่ นแตอ่ ย่างใดเลย เกี่ยวกบั ชะตากรรมของนาง ร็อยฮะนะฮฺ บินติซมั อนู อนั นัดรียะฮฺ หลงั การประหารที่บนี กรุ ็อยเซาะฮฺนนั้ บรรดานกั ประวตั ิศาสตร์ได้มคี วามเหน็ แตกตา่ งออกเป็น 3 ทรรศนะ ทรรศนะท่ี 1 กลา่ ววา่ นางได้ถกู จับเป็ นเชลยแตก่ ็ได้รับการปล่อยตวั ไป นางจึงกลบั ไปอยู่ กบั ครอบครวั ของนางและอาศยั อย่ทู ่ีนัน่ อย่างเงียบสงบ ทศั นะดงั กลา่ วนีเ้ ป็ นของปราชญ์ด้าน ‚สิ เราะฮฺ‛ อย่างท่านอลั ลามะฮฺ ชิบลี นวั อมฺ านีย์ ทรรศนะที่ 2 กลา่ ววา่ หลงั จากนางร็อยฮานะฮฺตกเป็นเชลยของท่านศาสนทูต ศ็อลฯ แล้ว ทา่ นศาสนทตู ได้ปลอ่ ยเธอให้เป็นอิสระและแต่งงานกบั เธอ อย่างไรเสียนางเลือกที่จะอย่ใู นฐานะ ของทาสหญิงมากกวา่ และในเวลาตอ่ มานางก็เข้ารับอิสลามทัศนะดงั กลา่ วนีเ้ ป็ นของท่านอิบนุล กอ็ ยยิม ทรรศนะท่ี 3 กลา่ ววา่ ทา่ นศาสนทตู ได้สมรสกบั นางหลงั จากนางเข้ารับอิสลามและนางได้ ใช้ชีวิตร่วมกบั ท่านรอซลู ในฐานะภรรยาของท่านจนกระทง่ั นางได้เสียชีวิตลงหลงั จากท่านศาสนทตู เสร็จสนิ ้ การทําฮิจญะตลุ วะดาอฺ ศพของนางถกู ฝังไว้ที่อลั บะเกี๊ยะอฺ113น่ีเป็ นทัศนะของท่านอิบนุฮิ ชาม,ท่านอบลุ ฟะร็อจอิบนลุ เญาซีย์และท่านอลั ลามะฮฺซอฟี ยรุ เราะฮฺมานอลั มบุ าร็อกฟรู ีย์114 จากทรรศนะทงั้ 3 ดงั ท่ีเสนอไปข้างต้นเราจะพบวา่ ไมม่ ีทรรศนะใดเลยท่ีสอ่ เค้าไปในทางวา่ ท่านศาสนทูตข่มเหงใจนาง เน่ืองจากความสัมพันธ์ระหว่างท่านศาสนทูตกับนางล้วนผ่าน กระบวนการของพิธีสมรสทงั้ สนิ ้ แล้วไฉนกนั เลา่ ท่ีคนอย่างอะลี ซินา ซงึ่ อ้างตนวา่ เจนจดั ในอิสลาม กลบั ลวงหลอกชาวโลกวา่ การกระทําของท่านศาสนทตู คอื การขม่ ขนื เชลยหญิงไปเสยี ได้!!? 113 Ali Majid Khan. Muhammad The Final Messenger. P.231. 114 Safiurrahman Al-Mubarakpuri. Ar-Raheeq Al-Makhtum The Sealed Nectar Biography of the Noble Prophet. P.378.
~ 133 ~ ท่ีจําต้องแจกแจงกันดงั ที่เห็นนนั้ ก็มิใช่อ่ืนใดนอกจากความตงั้ ใจของข้าฯท่ีจะปรับความ เข้าใจและทศั นะคติบางประการต่อท่านผ้อู ่าน เน่ืองด้วยวา่ ข้าฯได้อ่านพบในงานเขียนและบท วิเคราะห์มากมายจากนักวิชาการจําพวกไมถ่ ่องแท้แก่ตนแห่งวิชาการอิสลาม ที่ได้พยายามหา เหตุการณ์บางประการจากหน้ าประวัติศาสตร์ มาสนับสนุนสมมุติฐานของพวกเขาว่าอิสลาม เสริมสร้างระบอบทาสขนึ ้ มา เกี่ยวกบั ประเดน็ ในเรื่องของ ทาสหญิงท่ีผา่ นการแตง่ งานมาแล้วตลอดจนกระบวนการทํา คนให้เป็น ‚ทาส‛ ผา่ นการทําสงครามท่ียงั ถกู ข้องใจกงั ขาจากผ้คู นตามท่ีได้กลา่ วสรุปไว้ในตอนต้น เก่ียวกบั เร่ืองนีน้ นั้ ทา่ นมฟุ ตี อิบรอฮีม เดไซ แหง่ แอฟริกาใต้ได้ให้ความกระจา่ งแก่เราในฟัตวาของ ทา่ นความวา่ ‚หลงั จากที่ทหารมสุ ลิมไดก้ ลบั ไปสู่เขตแดนของรัฐอิสลาม(พร้อมดว้ ยเชลย)แล้ว ทหารแต่ ละนายจะไดร้ ับมอบสิทธิใหม้ ีความสมั พนั ธ์ทางเพศก็แต่เฉพาะกบั ทาส-เชลยหญิงทีพ่ วกเขาไดร้ ับ มอบสิทธิในการดูแลเท่านั้น ซ่ึงจะไม่รวมถึงทาสหญิงอื่นๆที่เขาไม่ได้ถูกมอบสิทธิในความเป็ น เจา้ ของให้ ซ่ึงสิทธิในความเป็นเจ้าของดงั กล่าวนี้จะถูกมอบโดยรัฐบาลของรัฐอิสลามภายใตก้ าร อนมุ ตั ิของผนู้ าแหง่ รัฐอิสลาม(อะมีรุลมอุ ฺมินีน) และดว้ ยกบั สิทธิในความเป็นเจ้าของต่อทาสหญิง เหล่านี้ จะถือเป็นสิ่งอนมุ ตั ิตามกฎหมายในการทีน่ ายทาสจะมีสมั พนั ธ์ทางเพศกบั นางได(้ ซ่ึงมิได้ หมายถงึ การข่มขนื ทาสหญิงดังที่ได้อธิบายไปแล้ว) อย่างไรก็ตามสาหรับทาสหญิงที่ได้เคย ผา่ นการแต่งงานมาแลว้ ตง้ั แต่ช่วงที่นางยงั อยใู่ นรฐั แห่งศตั รูอิสลามซ่ึงไม่ใช่มสุ ลิม และนางก็ได้ถูก จบั เป็นเชลยมาคนเดียวโดยไม่มีสามีในเวลาต่อมา ย่อมไม่ถือเป็นสิ่งอนมุ ตั ิสาหรับทหารมสุ ลิมทีจ่ ะ มีความสมั พนั ธ์ทางเพศกบั นางจนกวา่ การแตง่ งานของนางก่อนหนา้ นีจ้ ะเป็นส่ิงโมฆะลง ซ่ึงกรณีนี้ จะเกิดผลข้ึนได้ก็ต่อเมื่อทหารมุสลิมส่งเธอให้แก่รัฐบาลอิสลามและทาให้เป็ นที่ถูกต้องตาม กฎหมายแก่มสุ ลิม การทีท่ หารส่งเชลยหญิงประเภทนี้กลบั ไปสรู่ ฐั อิสลามจะเป็นสิ่งที่ยงั ผลใหก้ าร แตง่ งานของเธอก่อนหน้านี้ขาดลงและเป็นโมฆะด้วยหลกั ทางกฎหมายอิสลามเนื่องจากว่าสามี ของเธอเป็นพลเมืองของรัฐที่ตง้ั ตนเป็นศตั รูต่ออิสลามและเธอกลายเป็ นพลเมืองของรัฐอิสลาม และมนั จะกลายเป็นสิ่งที่มิอาจเป็นไปไดส้ าหรับทงั้ สองทีจ่ ะพบปะและร่วมชีวิตฉนั ท์สามีภรรยากนั อีก จากกฎหมายดงั กลา่ วนี้คือเหตผุ ลที่บง่ บอกว่าเหตใุ ดในกรณีที่สามีของเธอถูกจบั มาเป็นเชลย และกลายเป็นทาสพร้อมกับนางนัน้ นายทหารมุสลิมจึงมิอาจจะมีสัมพันธ์ทางเพศกับนางได้. (เพราะความเป็นสามี-ภรรยายงั ไม่ส้ินสดุ ลง) ความเหมือนอีกประการหน่ึงระหวา่ งหญิงไทกบั หญิงทาส-เชลยก็คือว่า ในขณะที่หญิงไท ซ่ึงไดห้ ย่ากบั สามีจะสามารถแต่งงานใหมไ่ ดก้ ็ต่อเมื่อหมดช่วง ‚อิดดะฮฺ‛ เท่านนั้ เช่นเดียวกันหญิง เชลยจะสามารถมีสมั พนั ธ์ทางเพศไดก้ ็ตอ้ งพน้ ช่วงที่เรียกว่า ‚อิสติบรออฺ‛
~ 134 ~ ท่านรอซูลลลุ ลอฮฺ ไดส้ ง่ั ใชแ้ ก่เหล่าอคั รสาวกของท่านไว้ว่าใหพ้ วกเขาปฏิบตั ิต่อทาสหญิง ดว้ ยความเมตตาและมนษุ ยธรรม ดว้ ยการมองพวกเขาในฐานะสมาชิกของครอบครัว เหตผุ ลหลกั ของอิสลามที่อนุมตั ิให้นาพวกนางมาเป็นทาสนนั้ ก็มาจากการคานึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพวกนาง ตอ้ งการความช่วยเหลือ ซึ่งวิธีนีน้ น้ั ย่อมเป็นสิ่งทีด่ ีกวา่ จะปลอ่ ยใหพ้ วกเธอถูกปฏิบตั ิราวกับบุคคล ทพุ ลภาพ และทอดทิ้งพวกนางใหต้ อ้ งเร่ร่อนอยตู่ ามทอ้ งถนนในสงั คมที่แปลกหน้าภายใต้สภาพที่ ยากจนและแร้นแคน้ การปฏิบตั ิเช่นนี้ในทา้ ยที่สุดแลว้ จะเป็นผลก่อใหเ้ กิดการยกระดบั สภาพอนั เลวร้ายทีบ่ รรดาเชลยหญิงอาจจะตอ้ งขายตวั เพือ่ ประทงั ชีวิต(เนื่องจากการล้มตายของครอบครัว ในสงคราม) สงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1914 คือภาพสะทอ้ นใหเ้ ห็นอย่างชัดเจนถึงสภาพอัน เลวร้ายของสตรีทีถ่ กู ปล่อยเป็นอิสระซ่ึงพวกเธอจาตอ้ งเร่ร่อนอยู่ตามทอ้ งถนนในสภาพแวดลอ้ ม ของสงั คมทีเ่ ลวร้าย ในระหว่างช่วงสงครามครั้งนนั้ สตรีชาวเยอรมนั และองั กฤษต่างได้ถูกปล่อย เป็ นอิสระในสภาพที่ต้องเร่ร่อนอยู่ตามท้องถนนในสภาพที่ไม่มีใครจะมอบอาหารให้นาง ผลกระทบดงั กล่าวนี้คือส่ิงทีช่ ดั แจง้ ถึงสภาพอนั เลวร้ายและไร้อารยะย่ิงกวา่ เดิมจากวิธีการที่สงั คม ทอดทิ้งพวกนางไปโดยไม่เหลียวแล ดงั นนั้ มนั คือสิ่งที่เป็ นหลกั ฐานได้เลยว่าหลกั การปฏิบตั ิต่อ เชลยหญิงทีอ่ ิสลามไดว้ างไวน้ นั้ คือส่ิงทีจ่ ะนาไปยงั สภาพความสมั พนั ธ์ในทางสงั คมของพวกนางที่ ดีข้ึน และนาพวกนางไปสู่สภาพอนั บริสทุ ธ์ิในชีวิตทางสงั คมของพวกนาง‛115 วเิ คราะห์ คําตอบของทา่ นมฟุ ตี อิบรฮีม เดไซได้ให้ข้อมลู ความกระจา่ งแก่เราแตถ่ งึ กระนนั้ ก็ตามจาก คาํ ตอบของท่านมีสงิ่ ท่ีจําต้องวเิ คราะห์ในหลายๆประเดน็ ประการแรก ในประเด็นของกระบวนการทํา ‚คน‛ ให้เป็ น ‚ทาส‛ ผ่านการจับเชลยนัน้ อิสลามได้วางกลยทุ ธ์ที่แยบยลและคํานึงถึงข้อเท็จจริงท่ีวา่ การปลดปลอ่ ยสตรีเป็ นไทด้วยวิธีการ ทอดทิง้ ไม่ใส่ใจพวกนางนนั้ คือการกระทําในสงครามท่ีควรแก่การประณาม เพราะเป็ นการก่อ ปัญหาสงั คมขนึ ้ มาอีกประการหนึ่ง เพราะเชลยหญิงเหลา่ นีซ้ ่ึงสญู เสียทงั้ สามี,ทรัพย์สินและทุก อยา่ งไปกบั สงครามจะต้องกลายเป็นสตรีเร่ร่อนที่ต้องแค้นเขญ็ กบั ความเดยี วดายไร้การดแู ล ยิ่งใน สงั คมยคุ โบราณกาลแล้วสตรีเหลา่ นีจ้ ะกลายเป็นสตั วท์ ี่จําต้องขายตวั เองเป็ นโสเภณีเพื่อความอยู่ รอดของปากท้อง ดงั นนั้ การที่อสิ ลามแก้ปัญหาทางสงั คมที่อาจจะเกิดขนึ ้ กบั หญิงเชลยเหล่านีด้ ้วย วธิ ีการมอบเธอให้อยภู่ ายใต้การดแู ลของทหารมสุ ลิมภายใต้สถานภาพของ ‚ทาส‛ นนั้ จะไม่อาจ สามารถประณามหยามเหยียดอิสลามว่าสง่ เสริมการมีทาสได้เพราะวิธีการนีค้ ือการแก้ปัญหาที่ เหมาะสมที่สดุ แล้วกบั ยคุ สมยั โบราณที่มสี งั คมทาส อีกทงั้ การท่ีอิสลามอนุมตั ิในกระบวนการวิธีนี ้ 115 Ml. Khalid Dhorat. What is a slave girls in islam? : http://www.islam.tc/cgi- bin/askimam/ask.pl?q=14421&act=view
~ 135 ~ นั่นก็เพราะวา่ ความเป็ น ‚ทาส‛ ในกฎหมายอิสลามหาใช่สตั ว์มนษุ ย์ท่ีต้องทํางานหนกั กลบั กัน อิสลามยงั ประกนั สิทธิของพวกนางด้วยการได้รบั การดแู ลอย่างดีจากนายทาส และจนท้ายจนรอด หากนายทาสมสี มั พนั ธ์ทางเพศกบั นางจนตงั้ ครรภ์นางก็จะเป็นหญิงไทความเป็นทาสจงึ หมดไปใน ที่สดุ แตห่ ากนางประสงค์จะรกั ษาความบริสทุ ธ์ินายทาสกม็ อิ าจจะลว่ งบงั คบั เกียรติยศของนางได้ เพราะทาสคือกลมุ่ บคุ คลท่ีมสี ทิ ธิของตนเองอย่ใู นทศั นะของอสิ ลาม ดงั นนั้ การทําให้เชลยเป็ นทาส ด้วยวิธีการทงั้ หมดท่ีวา่ มานีเ้ กิดขนึ ้ เพราะความต้องการในการแก้ไขปัญหาหญิงเชลยเร่ร่อนซึ่ง จําเป็นพิเศษจากลกั ษณะสงั คมยุคอดีตและท่ีถูกรองรับกฎเกณฑ์ดงั กล่าวได้ก็เพราะมีระบบการ ประกนั สิทธิสภาพของทาสในอสิ ลามอยดู่ ้วย การมอบให้หญิงเชลยอยใู่ นการดแู ลของทหารมสุ ลิม จึงมิใชก่ ารมงุ่ เน้นเพื่อแสวงหาความสขุ ทางเพศกบั นางเพราะพฤตกิ รรมเหลา่ นนั้ เป็ นที่ต้องห้ามดงั หลกั ฐานของท่านอมุ รั ท่ีเราได้นําเสนอไปแล้ว ท่านเมาดดู ยี ์กลา่ ววา่ “ควรเขา้ ใจดว้ ยวา่ ถา้ หากผบู้ ญั ชาการทหารแจกจ่ายเชลยหญิงใหแ้ ก่บรรดาทหารเป็นการ ชว่ั คราว เพียงเพื่อวตั ถปุ ระสงค์ทางเพศหรืออนญุ าตใหพ้ วกเขามีความสมั พนั ธ์ทางเพศในช่วงเวลา นน้ั การกระทาดงั กล่าวถือเป็นทีต่ อ้ งหา้ มและไมม่ ีความแตกตา่ งอะไรไปจากการผิดประเวณี และ การผิดประเวณีนนั้ เป็นความผิดทางอาญาตามกฎหมายอิสลาม”116 อสิ ลามจงึ ไมเ่ หมอื นกบั ยิวและคริสตศ์ าสนาที่เรียกร้องอนมุ ตั ิการนําหญิงเชลยมาเป็ นทาส แตไ่ มม่ กี ฎระเบียบการประกนั สทิ ธิใดๆทงั้ สนิ ้ แกห่ ญิงทาส นายทาสจะลว่ งลาํ ้ กดข่ีบีฑานางอย่างไร ก็ไมป่ รากฏบทบญั ญัติวางไว้เลย และเชน่ กนั อิสลามกไ็ มเ่ หมือนกบั บางศาสนาท่ีไมพ่ ดู และบญั ญัติ ใดๆทัง้ สิน้ ไม่ว่าจะเป็ นกฎเกณฑ์ของเชลยศึกและการนําคนมาเป็ นทาส ทัง้ หมดล้วนแล้วแต่ ปราศจากกฎระเบียบสดุ แล้วแตอ่ ตั ตาของแมท่ พั นายกองจะประสงค์ หากแมท่ ัพนายกองดีหน่อย เชลยหญิงก็อาจจะรอดพ้นไปได้แตห่ ากแม่ทัพนายกองก็เป็ นจําพวกเดียวกบั ชนผ้นู ่าสะพรึงชัง ทงั้ หลายกม็ พิ กั จะต้องพดู ถึงสภาพของเชลยหญิงวา่ จะกลายเป็นของเลน่ ‚ยามวา่ ง‛ แก่นายทหาร ถึงปานใด แต่ก็แปลกที่ว่าความบกพร่องในศาสนาทัง้ มวลนีก้ ลับไม่ถูกต่อต้านประณามจาก นานาชาติเหมือนกบั ที่พยายามจะมีการหาเร่ืองตอ่ อิสลามในประเดน็ ดงั กลา่ วนีเ้ ลย ประการที่สอง ดงั ท่ีได้ระบไุ ปแล้ววา่ ในคมั ภีร์อลั กรุ อานนนั้ ไมม่ ขี ้อความที่ชีช้ ัดให้จบั คนมา เป็ นทาสแต่อย่างใดเลย ดงั นัน้ แม้จะมีการวางระบบกฎเกณฑ์ของเชลยหญิงดงั ท่ีได้กล่าวไป ทงั้ หมดนนั้ ก็หาใช่วา่ ชะตากรรมของหญิงเชลยในทศั นะของอิสลามจะจบลงด้วยการมอบให้เป็ น ทาสแก่ทหารมสุ ลมิ เพื่อดแู ลเพียงหนทางเดียวเท่านนั้ ยงั มีหนทางอื่นๆท่ีเปิ ดกว้างอีกเช่น รัฐบาล อสิ ลามอาจจะนําทาสเหล่านีไ้ ปแลกเปล่ียนกบั เชลยมสุ ลิมท่ีฝ่ ายศตั รูจับไปหรืออาจจะปลอ่ ยไป งา่ ยๆเลยกไ็ ด้ ซึ่งในกรณีเช่นนีแ้ บบอยา่ งจากท่านศาสนทตู ก็ปรากฏเป็ นส่วนใหญ่ เช่น เม่ือตอนที่ 116 เมาลานาซยั ยดิ อบุลอะลาเมาดดู .ี อ้างแล้ว.
~ 136 ~ ท่านหญิงศอฟี ยะฮฺ ตกเป็นเชลยของท่าน ตวั ท่านรอซูลได้เสนอแก่นาง 2 ทางเลือกคือให้นางเป็ น อิสระและสามารถกลับไปอยู่ใช้ ชี วิตตามเดิมท่ี นางพอใจหรื อไม่ก็รับอิสลามและท่านรอซูลจะ แตง่ งานกบั นางเพ่ือชว่ ยเหลือนางซึ่งก็ปรากฏวา่ นางได้เลือกประการหลงั เอง117และมีน้อยครัง้ มาก ที่ทา่ นมอบหมายเชลยหญิงให้อย่ใู นการครอบครองของทหารมสุ ลมิ ประการที่สาม ดงั ท่ีได้กลา่ วยํา้ มาหลายครัง้ แล้วว่าการท่ีรัฐบาลอิสลามมอบเชลยหญิง ให้แก่นายทหารมสุ ลิมดูแลนัน้ หาได้เป็ นการเปิ ดทางให้นายทหารมสุ ลิมสามารถขม่ ขืนนางได้ หากแตเ่ ป็นการมอบสทิ ธิแก่นายทหารมสุ ลิมท่ีประสงค์จะใช้ชีวิตดจุ ดงั สามีภรรยากบั นางซ่ึงทงั้ นี ้ และทงั้ นนั้ กต็ ้องผา่ นการยินยอมจากนางด้วย ทงั้ หากวา่ ทหารมสุ ลมิ ประสงค์เช่นนนั้ แล้วเขาจะต้อง รอช่วงเวลาที่มดลกู ของนางปราศจากเชือ้ อสจุ ิของสามีเดิมแล้วซ่ึงเรียกกนั ว่า ‚อิสติบรออฺ‛ โดยใน กรณีของหญิงทาสท่ีถกู หยา่ จากสามี (หญิงทาสเชลยท่ีมสี ามีกเ็ ข้ากรณีนี)้ นายทาสมสุ ลิมที่รับเธอ มาจะต้องรอเวลาให้ถึง 2 รอบเดือนของนาง(อาจจะกินเวลาราวๆ 60 วนั !) เสียก่อนจึงจะแตะต้อง นางได้ ชว่ งระยะเวลาสองเดือนในแง่นีค้ ือวิทยปัญญาของอิสลามท่ีเปิ ดโอกาสให้แก่นางได้ทําใจ กบั การโศกเศร้าท่ีนางต้องสญู เสียเครือญาติในสงครามผนวกด้วยกับนายทาสเองก็ต้องดแู ลเธอ ด้วยมนษุ ยธรรมตามหลกั การอิสลาม ช่วงระยะเวลานีจ้ งึ เป็นโอกาสแก่นายทาสท่ีจะปลอบประโลม เธอและสอนอิสลามแก่เธอด้วย ส่ิงเหล่านีแ้ ตกต่างกับการขม่ ขืนที่กระทําได้อย่างไร้ขอบเขต ไร้ ความรบั ผิดชอบ ไร้การยินยอม ไร้สทิ ธิใดๆทงั้ สนิ ้ ของเชลยหญิง หากจะมีใครสกั คนตงั้ ข้อกงั ขาเพิ่มเติมวา่ จะเป็ นไปได้อย่างไรที่เชลยหญิงซ่ึงกลายมามี สถานภาพเป็ นทาสจะยินยอมพร้ อมใจมีเพศสมั พันธ์กับทหารมสุ ลิมซ่ึงได้ทําสงครามต่อส้กู ับ เผา่ พันธ์พุ ี่น้องและสามีเดิมของนางได้ ข้อกังขาประการนีเ้ กิดขนึ ้ จากการใช้แวน่ ตาและเสรีภาพ ของคนยคุ ปัจจบุ นั ไปเป็นมาตรวดั การกระทําของคนยคุ อดตี ซ่ึงเป็ นวิธีการท่ีผิดมหันต์ ส่ิงแรกท่ีพึง เข้าใจก่อนก็คือสภาพแวดล้อมหนึ่งๆจะเป็นตวั กลอ่ มเกลาให้ผ้คู นมที ศั นะคตแิ ละคา่ นิยมท่ีแตกตา่ ง กนั ไป เช่นกนั สภาพแวดล้อมในแบบสงั คมทาสยุคอดีตก็เป็ นตวั กลอ่ มเกลาทศั นคติและค่านิยม ถกู ผดิ ดชี ว่ั ได้แตกตา่ งจากคนยคุ ปัจจบุ นั ได้เชน่ กนั สาํ หรับสตรีในยคุ อดีตท่ีแวดล้อมไปด้วยระบอบ สงั คมทาสการตกเป็นเชลยและภายภาคหลงั กลบั กลายเป็นภรรยาของผ้ทู ่ีจบั ตนเป็นเชลยนนั้ คือสิ่ง ท่ีสดุ แสนจะธรรมดามิใชเ่ รื่องราวอนั เกินจะรับได้แตป่ ระการใด ขอให้สงั เกตพระราชินีในยคุ อดีต ตา่ งๆมากมายล้วนแล้วแตผ่ า่ นการสมรสกบั กษัตริย์ตา่ งเมอื งที่ฆ่าบิดาของตวั เองทงั้ สิน้ ดงั ปรากฏ ให้เห็นตามวรรณคดแี ละภาพยนตร์ย้อนยคุ ทงั้ หลาย ไมต่ ้องดอู ื่นไกลเลยแม้กระทง่ั บตุ รสาวของอบู ซฟุ ยานหวั โจกฝ่ ายมชุ ริกที่ทําสงครามเขน่ ฆ่ามสุ ลิมมาหลายครัง้ หลายคราบุตรสาวของเขาอย่าง 117 Ali Majid Khan. Muhammad The Final Messenger. P.382
~ 137 ~ ทา่ นหญิงอมุ มฮุ ะบีบะฮฺยงั กลายมาเป็นหนง่ึ ในภรรยาของท่านนบีเลยด้วยซํา้ ไป ส่ิงเหลา่ นีส้ ะท้อน ให้เห็นภาพของทศั นคติและคา่ นิยมของคนยคุ อดีตที่แตกตา่ งกนั ไป เก่ียวกบั หะดษี ท่ีเจ้าแซม แชมมนู ได้ยกมาอ้างในตอนต้นหนงั สือนนั้ มีความวา่ لن ابن ُمًننز أع قال دخت أعا أأبم صرمة لتى أبي سميد الخدري فسأل أبم صرمة فقال نا أبا سميد هل سمم رسمل الله صتى الله لتي أستم نذتر المزل فقال عمم يزأعا مع رسمل الله صتى الله لتي أستم يزأة بتمصطتق فسبيكاترائم المرب فطال لتيكا المزبة أريبكا ُب الفداء فأردعا أن عساماع أعمزل فقتكا عفمل أرسمل الله صتى الله لتي أستم بٌن أظهرعا لا عسأل فسألكا رسمل الله صتى الله لتي أستم فقال لا لتيمم أن لا تفمتما ماتاب الله ختق عسمة هيتائكة إلى نمم القيامة إلا ساممن อิบนมุ ฮุ ยั ริสรายงานว่า : ตวั ฉนั และอบูศิรมะฮฺไดเ้ ขา้ ไปพบเหน็ อบูสะอีดอลั คดุ รีจากนน้ั จึง ถามเขาว่าท่านคยไดย้ ินรอซูลของอลั ลอฮฺกลา่ วถึง ‚อลั -อศั ล‛ฺ (การหลง่ั นอก) ไหม อบูสะอีดกล่าว ว่า .ใช่ เคย ‚เมื่อคราวที่เราไดอ้ อกไปกับท่านศาสนทูตแห่งอลั ลอฮฺในการสงครามคร้ังหน่ึงกับ เผา่ บนอู ลั มสุ ตอลิก และเราไดต้ บั สตรีรูปงามชาวอาหรบั เป็นเชลย และพวกเราปรารถนาในตวั สตรี เพราะการวา่ งเวน้ (ไม่ไดห้ ลบั นอนกบั ภรรยามานานเนื่องจากอยู่ในระหว่างการทาสงคราม) และ พวกเราก็ชอบที(่ จะร่วมประเวณีกบั เชลยหญิง)ดว้ ยวิธีการหลง่ั นอกมากกว่าเพราะหวงั ในการที่จะ ใหค้ นของพวกนางมาปลดปล่อยนางจากการเป็นทาส เราจึงถามท่านรอซูลถึงบทบญั ญัติที่เราได้ ปฏิบตั ิไป ท่านรอซูลตอบว่าไม่มีประโยชน์อะไรทีท่ ่านจะหลง่ั ขา้ งนอกเพราะมวลวิญญาณทีอ่ ลั ลอฮฺ จะใหก้ าเนิดจะตอ้ งมีอยู่ตราบจนวนั กิยมะฮฺ118 จากหะดีษข้างต้นนีก้ ลมุ่ ผ้ชู ิงชงั ในอสิ ลามได้หยิบยกมาอ้างด้วยการวางเง่ือนไขอธิบายเชน่ นีว้ า่ - หะดษี ของฝ่ ายมสุ ลมิ เองได้ยืนยนั วา่ ทหารมสุ ลิมได้ทําการร่วมประเวณีกบั เชลยศกึ ผ้หู ญิง - ตามสามญั สํานึกของมนษุ ย์ทว่ั ๆไปในกาลปัจจบุ นั มนั เป็นสง่ิ ท่ียอมรบั ไมไ่ ด้วา่ สตรีที่ถกู จบั เป็นเชลยจะยินยอมพร้อมใจร่วมรักกบั ทหารผ้ทู ี่พ่ึงจะเข่นฆ่าสมาชิกในเผ่าของตนเองไป หมาดๆ - นนั่ ยอ่ มหมายความวา่ หะดีษต้นนีบ้ ่งชีว้ า่ ทหารมสุ ลมิ ขม่ ขนื เชลยหญิง!! น่ีคือข้อสรุปและความพยายามท่ีจะอธิบายโดยพวกนกั บรู พาคดีผ้ชู ิงชงั ต่ออิสลามและพวก ลกู หาบกุ้งหอยปปู ลาในประเทศไทยท่ีสกั แต่ว่าคดั ลอกข้อมูลจากเวป็ ไซต์ฝรั่งมาทําการโจมตี อิสลามในกระดานเสวนาประดุจราวผ้คู ลงั่ ลทั ธิชาตินิยมดกั ดานตา่ งๆ ซ่ึงในความเป็ นจริงการ อธิบายทกึ ทกั สรุปไปเช่นนนั้ คอื ความอวิชชาในด้านประวตั ิศาสตร์โดยใช้อตั ตาของมนุษย์ในกาล ปัจจบุ นั เป็นตวั ตดั สินดงั ท่ีได้กลา่ วไปแล้ว เพราะการเป็นสามภี รรยาด้วยความเตม็ ใจระหวา่ งเชลย 118 ศอฮฮี ฺมสุ ลมิ . เลม่ 2. กติ าบุลนิกาฮฺ. หมายเลขหะดษี : 1438
~ 138 ~ หญิงกบั นายทหารฝ่ ายตรงข้ามสําหรบั สงั คมยคุ อดีตแล้วคอื เรื่องปกตทิ ่ีเกิดขนึ ้ ได้เสมอดงั การกลา่ ว ไว้ของนกั ประวตั ิศาสตร์ความวา่ สตรีทีต่ ิดตามบิดาและสามีของเธอไปยงั แนวรบของสงครามนนั้ มกั สวมใส่เครื่องแต่งกายและ ประดบั ประดาตัวเองให้ดูดีงดงามในช่วงก่อนการสูร้ บเสมอ ด้วยกบั ความหวงั ว่าความงามของ พวกนางจะช่วยใหผ้ ชู้ นะเกิดความพึงใจไมฆ่ ่าพวกเธอในยามที่เธอตอ้ งตกเป็นเชลย119 Matthew B. Schwartz ได้กลา่ ววา่ ‚สตรีที่มกั จะติดตามกองทพั ไปยงั แนวหนา้ ของสงครามนนั้ โดยปกติแลว้ ก็มกั ไปเพื่อบริการแก่ เหลา่ ทหารเช่น การดูแลเสื้อผา้ การดแู ลรักษาทหารทีป่ ่ วยหรือบาดเจบ็ หรือแมก้ ระทง่ั การใหบ้ ริการ ทางเพศ(โสเภณี) แก่เหลา่ ทหารก็ตาม โดยปกติแลว้ สตรีเหลา่ นีม้ กั ตะแต่งกายในรูปแบบที่สวยงาม เพื่อดึงดดู ความสนใจจากเหลา่ ทหารผูช้ นะในสงคราม120 จากปากคาํ ของนกั ประวตั ิศาสตร์ท่ีมิใชม่ สุ ลิมข้างต้นได้สรุปอยา่ งชดั เจนเลยว่าสตรีทาสในยุค อดีตมกั จะยินยอมเต็มใจที่จะมีเพศสมั พันธ์กับบุคคลท่ีจับนางเป็ นเชลย เพราะฉะนัน้ การจะ พิจารณาเร่ืองเหล่านีเ้ ราจักต้องควรวางทศั นคติของคนยุคปัจจบุ นั ในศตวรรษที่ 21 ท่ีปราศจาก ระบอบทาสไปแล้วไว้ก่อนและมองไปยังข้อเท็จจริงทางประวตั ิศาสตร์ด้วยความเป็ นธรรมและ ปราศจากโมหะคติ เราก็จะพบเองว่าไม่มีเร่ืองชวนหัวแต่ประการใดเลยกบั การท่ีเราจะกลา่ วว่า ทาสหญิงในอดีตนนั้ ยินดีที่จะมีเพศสมั พนั ธ์กับผ้ทู ่ีจับนางเป็ นเชลย!! และหะดีษท่ีรายงานโดย ทา่ นอบสู ะอีดอลั คดุ รีดงั ท่ีได้ยกไปแล้วจงึ มใิ ชก่ ารขม่ ขืนเชลยหญิงหากแตเ่ ป็นการมเี พศสมั พนั ธ์กัน ระหวา่ งนายทาสกบั นางทาสหลงั จากเขาได้รับมอบสิทธิแห่งการเป็ นนายทาสจากรัฐอิสลามแล้ว นนั่ คอื จากการมอบหมายของท่านนบี ศอ็ ลฯ และปฏิบัติดแู ลนางไปตามเหตผุ ลและวิทยปัญญา ของกฎหมายประการนีท้ งั้ หลายทงั้ ปวงดงั ท่ีได้กลา่ วไป หากคนหวั รนั้ บางจําพวกจะอ้างต่อไปว่าไม่ใช่หญิงเชลยทกุ คนที่จะสมยอมมีเพศสมั พนั ธ์กับ นายทาสของเขา ข้าฯก็จะขอถามกลบั ไปบ้างว่าแล้วท่านรู้ได้อย่างไรวา่ เชลยหญิงท่ีไม่สมยอม เหลา่ นนั้ จะถกู นายทาสของนางขืนใจเอา??! ทา่ นรู้ได้อย่างไรวา่ หะดีษของอบสู ะอีดอลั คดุ รีต้นนีค้ ือ การขม่ ขนื ทาสหญิง?? ท่านรู้ได้อยา่ งไรวา่ ทหารมสุ ลิมในอดีตข่มขืนเชลยหญิงไมเ่ ลือกหน้าสดุ แต่ วา่ จบั มาได้?? หามไิ ด้มนั เป็นเพียงการทกึ ทกั ทงั้ หมด เพราะเป็นไปได้สงู วา่ หากนายทาสมสุ ลมิ เห็น วา่ เธอไมป่ ระสงค์จะมีสมั พนั ธ์ด้วยเขาก็สามารถขายนางให้กับนายทาสคนอื่นท่ีนางพอใจได้ และ 119 John McClintock, James Strong. Encyclopdia of Biblical, Theological, and Ecclesiastical Literature. [Harper & Brothers, 1894], p. 782 120 Matthew B. Schwartz, Kalman J. Kaplan. The Fruit of Her Hands: The Psychology of Biblical Women. [Wm. B. Eerdmans Publishing, 2007] , pp. 146-147
~ 139 ~ เขากส็ ามารถหาซือ้ ทาสคนอ่ืนๆท่ีพอใจในตวั เขาใหมก่ ็ได้ หรือบางทีเขาก็อาจจะรอระยะเวลาด้วย กบั การทําดีตอ่ นางและสง่ั สอนอิสลามแกน่ างจนนางเหน็ ถงึ สจั ธรรมของอิสลามพร้อมกบั ชีแ้ จงเธอ วา่ สงครามที่ทําให้เธอต้องตกเป็นเชลยนนั้ กล็ ้วนมาจากการรุกรานของฝ่ ายเธอเองก่อนจนเป็ นผล ให้นางพอใจในตวั นายทาสและอ่นื ๆอกี มากมายหลายประการ ท่ีเป็ นไปได้ทงั้ สิน้ !! ดงั นนั้ จะขอยํา้ อกี ทีวา่ กลมุ่ ผ้อู คติสะพรึงชงั ตอ่ อิสลามรู้ได้อยา่ งไรวา่ ทหารมสุ ลมิ ทําการข่มขืนสตรีเชลย!!? เพราะ รายงานของอบสู ะอดี ไม่ได้แสดงเลยว่า - นอกจากอบสู ะอีดแล้วกี่คนที่ได้ร่วมหลบั นอนกบั ทาส-เชลยหญิง? - และก่ีคนที่ถกู ทหารมสุ ลิมขม่ ขืน แล้วใยกนั เลา่ ท่ีพวกเขาจงึ อคตติ ่ออิสลามด้วยการทึกทักไปทนั ทีเลยวา่ นายทาสมสุ ลิมขม่ ขืน ทาสหญิงของตนหรือต่อให้พวกเขาหามาได้ว่ามีทหารมุสลิมข่มขืนสตรีเชลยจริงๆก็หาได้เป็ น ข้ออ้างในการโจมตอี ิสลามไมเ่ พราะนน่ั คอื การกระทําชวั่ ของคนบางคนเสมือนกบั ท่ีในพุทธศาสนา มพี ระทศุ ีล เสมอื นกบั ท่ีในคริสตจกั รมีบาทหลวงชว่ั ร้ายแอบแฝงอย่!ู ! หะดีษในเรื่องนีอ้ ีกต้นหนึ่งซึ่งได้ถูกหยิบยกมากล่าวถึงไว้ในตอนต้นจากการบันทึกของ อมิ ามอะฮฺมดั ใน ‚มสุ นดั ‛ ของทา่ นและใน ‚สนุ นั ‛ ของอบดู าวดู อนั เป็ นรายงานเรื่องเดียวกันกับที่ ปรากฏอยใู่ น ‚ศอเฮี๊ยฮฺมสุ ลิม‛ ดงั นี ้ لن أبي سميد الخدري أن رسمل الله صتى الله لتي أستم نمم حكٌن بمث جيشا إلى أأطاس فتقما لدأا فقاتتمهم فظهرأا لتيهم أأصابما لهم سبانا فمأن عاسا من أصحاب رسمل الله صتى الله لتي أستم تحرجما من يشيانهن من أجل أزأاجهن من المشرتٌن فأعزل الله لز أجل ُب ذلك أالمحصكات من الكساء إلا ما متم أيداعمم أي فهن لمم حلال إذا اعقض لدتهن “อบสู ะอดี อลั คดุ รี (รอฎฯิ ) รายงานวา่ ณ สมรภมู ฮิ นุ ยั นฺ ท่านศาสนทตู แห่งอลั ลอฮฺ (ศอ็ ลฯ) ได้ ส่งกองทพั ออกไปยงั เอาตาส และได้เผชิญหน้ากบั ฝ่ ายศตั รูจนเกิดการส้รู บกบั พวกเขาขนึ ้ และ (ฝ่ ายมสุ ลมิ )ก็ได้รบั ชยั ชนะเหนือพวกเขา และได้จบั พวกเขาเป็นเชลยสงครามไว้ บรรดาอคั รสาวก ของท่านศาสนทตู ดเู หมือนอยากจะหลกี ห่างจากการมีสมั พนั ธ์ทางเพศกบั เชลยหญิง(ที่จับมาได้) เนื่องเพราะวา่ (พวกเขารงั เกียจ)ที่สามีของพวกนางคือผ้ตู งั้ ภาคี(มชุ ริก) ดงั นนั้ พระองค์อลั ลอฮฺจึง ประทานโองการนีล้ งมาว่า “และบรรดาหญิงที่อยู่ในปกครองของสามีนอกจากที่มือขวาของพวก เจา้ ครอบครอง” (หมายถึงวา่ บรรดามสุ ลิมได้รับอนมุ ตั สิ าํ หรับสตรีเหลา่ นีเ้ มอ่ื ‚อิดดะฮฺ‛ ของพวก นางสนิ ้ สดุ ลง)121 จากหะดีษข้างต้นเราจะพบวา่ ทหารมสุ ลมิ รงั เกียจท่ีจะมีสมั พนั ธ์ทางเพศกบั เชลยหญิงของพวก เขาด้วยซํา้ เน่ืองเพราะวา่ พวกนางได้ผา่ นการแต่งงานมาแล้ว อย่างไรก็ตามโองการดงั กลา่ วได้มา 121 ศอฮฮี ฺมสุ ลมิ . หมายเลขหะดีษ : 1456
~ 140 ~ แก้ไขทัศนคติของพวกเขาไว้วา่ พวกเขาได้รับการอนุมตั ิที่จะมีสมั พนั ธ์ทางเพศกบั เชลยหญิงของ พวกเขาแม้วา่ นางจะผา่ นการแตง่ งานมาแล้วก็ตาม นน่ั กเ็ พราะวา่ สถานภาพการแตง่ งานของพวก นางได้จบสนิ ้ ลงหลงั การถกู จบั มาเป็นทาสของพวกนาง เกี่ยวกบั เร่ืองนีท้ า่ นอมิ ามนะวาวยี ์ได้กลา่ วอธิบายไว้เชน่ กนั วา่ فإع نكفسخ عماح زأجها المافر ‚แท้จริงมนั (การจบั สตรีมาเป็นทาส) ได้ทําให้สนิ ้ สดุ ลงซ่งึ การแตง่ งานระหวา่ งนางกบั อดีตสามี ผ้ปู ฏิเสธของนาง‛122 เพราะฉะนัน้ เราจะเห็นได้ว่าตามจดุ ยืนในทางกฎหมายของอิสลามแล้ว การที่อิสลาม อนมุ ตั ใิ ห้ทหารมสุ ลิมสามารถมีสมั พนั ธ์ทางเพศกับ ทาสหญิงท่ีตนครอบครองไว้ได้แม้วา่ นางจะ ผา่ นการแตง่ งานแล้วก็ตามนนั้ หาใช่อสิ ลามกําลงั สอนให้ทหารมสุ ลมิ ละเมดิ เกียรตภิ รรยาของผ้อู ืน่ ไม่ หากแตเ่ พราะในสายตาของอสิ ลามแล้วการตกเป็นเชลยทาสในรฐั อสิ ลามถือวา่ เป็นส่งิ อตั โนมตั ิ ท่ีจะทําให้สถานภาพชีวิตค่ขู องนางสิน้ สดุ ลงนั่นก็คือนางจะถูกหย่าขาดจากสามีของนางโดย ปริยาย ข้าฯเช่ือเหลอื เกินวา่ เหลา่ นกั วิจารณ์อิสลามจะตงั้ ข้อกังขาต่อไปวา่ ‚อิสลามเอาสิทธิอะไร และจากไหนถึงสามารถประกาศหย่าขาดสามี-ภรรยาคหู่ นึ่งเช่นนีไ้ ด้?‛ ซึ่งข้าฯมองว่าการตงั้ ข้อ กงั ขาเช่นนีม้ ิใช่ประเด็นสําคัญตอ่ การเข้าใจบทบัญญัติอิสลามในเร่ืองดังกล่าวแต่อย่างใดเลย หากแตเ่ ป็นการวจิ ารณ์อสิ ลามแตเ่ พียงเปลือกนอกอยา่ งผิดท่ีผิดจดุ แน่นอนมสุ ลิมเชื่อและศรัทธา ด้วยการพิสูจน์เชิงประจกั ษ์ว่าอิสลามคือศาสนาแห่งพระผ้เู ป็ นเจ้าดงั นนั้ กฎหมายใดที่ผ่านพระ ประสงค์ของพระเจ้าย่อมถือว่าชอบธรรมทัง้ สิน้ ในการนํามาใช้ปฏิบัติ ซึ่งแน่นอนว่าบางครัง้ กฎหมายที่อิสลามระบไุ ว้อาจจะขดั แย้งกับระบบกฎหมายอื่นๆของชาวโลก แต่นน่ั มิใช่ส่ิงสําคญั เพราะมสุ ลมิ ถือวา่ กฎหมายของพระเจ้าต้องมากอ่ นกฎหมายนํา้ มอื มนษุ ย์เสมอ ในอสิ ลามเม่ือพระ เจ้าบญั ชากฎหมายวา่ ด้วยการแตง่ งานของหญิงที่ผา่ นการแตง่ งานมาแล้ววา่ ต้องรอให้มดลกู ของ พวกนางหมดจากคราบอสจุ ิของสามีเดิมเสยี ก่อน (อดิ ดะฮฺ) นางจึงจะแตง่ งานใหมไ่ ด้ แน่นอน! นี่ คือกฎหมายท่ีมสุ ลมิ ศรทั ธาวา่ มาจากพระเจ้าและมสุ ลิมก็ปฏิบตั ิอย่างเตม็ ใจมาตลอดในกฎหมาย ข้อนี ้แม้วา่ ศาสนาอ่ืนๆของโลกหรือระบอบการเมืองใดๆก็ตามจะไม่มีกฎหมายดงั เช่นว่านี ้ แตน่ ัน่ ไมส่ ลกั สาํ คญั เพราะน่ีเป็นมมุ มองทางกฎหมายของอสิ ลามท่ีไมจ่ ําเป็นวา่ มวลมนษุ ย์ทงั้ โลกจะต้อง ยอมรับมนั ก็ตาม ดงั นนั้ เม่ืออิสลามกําหนดกฎหมายว่าหญิงที่ถูกจบั เป็ นเชลยและกลายมาเป็ น ทาสจะหยา่ ขาดจากสามเี ดิมของนางโดยปริยาย น่ีจึงเป็ นข้อกฎหมายของอิสลามท่ีมสุ ลิมเชื่อวา่ มาจากพระเจ้าเช่นเดียวกบั กฎหมายระยะเวลาห้ามการแต่งงาน(อิดดะฮฺ)ของหญิงท่ี ผ่านการ 122 ชรั ฮนุ นะวะวยี ์ อะลา ศอฮฮี ฺมสุ ลมิ . เลม่ 10 หน้า 35
~ 141 ~ แตง่ งานดงั ที่กลา่ วมาแล้ว ดงั นนั้ จึงเป็นเร่ืองผดิ ท่ีผิดจดุ หากจะมใี ครตงั้ ข้อกงั ขาวา่ ‚อิสลามเอาสิทธิ อะไรถึงสามารถประกาศหย่าขาดสามี-ภรรยาคู่หน่ึงเช่นนี้ได้?‛ เพราะในทกุ ศาสนาต่างก็มีข้อ กฎหมายในแบบของตนเองแทบทัง้ สิน้ เช่น ในคริสต์ศาสนาได้มีการตัดสินให้สตรีเป็ นหญิงผิด ประเวณีเพียงเพราะสามไี ด้หย่านางไปและยงั ถือวา่ ชายใดแตง่ งานกับนางอีกเขาก็จะเป็ นคนผิด ประเวณีไปด้วย123 ซึง่ ข้อกฎหมายเช่นนีไ้ มป่ รากฏทงั้ ในอิสลามและพทุ ธศาสนา แนน่ อนหากเราตงั้ ข้อกงั ขากลบั ไปบ้างวา่ ‚คริสต์ศาสนาเอาสิทธิอะไรถึงสามารถกาหนดขอ้ กฎหมายเช่นนี้ได้?‛ ชาว คริสตก์ ็คงไมม่ ีทางเลือกนอกจากจะยอมรบั ตรงๆไปวา่ เป็นบทบญั ญตั จิ ากพระเจ้า หรือในกรณีของ พทุ ธศาสนาท่ีศีลข้อ 1 ได้ประกาศไว้ซง่ึ การห้ามฆ่าสตั ว์ทกุ ประเภท ทงั้ ท่ีในทกุ ศาสนาของโลกตา่ งก็ ล้วนมพี ิธีกรรมท่ีต้องอาศยั การฆ่าสตั ว์เป็ นอาหารทงั้ สิน้ เม่ือเราถามกลบั ไปบ้ างว่า ‚พุทธศาสนา เอาสิทธิอะไรถึงสามารถกาหนดข้อกฎหมายเช่นนี้ได้?‛ แน่นอนวา่ คําตอบที่ได้มาก็คงไม่ใช่สิทธิ อะไรจากไหนหากแตเ่ ป็นเพียงมมุ มองทางศีลธรรมและกฎหมายของพทุ ธศาสนาท่ีแตกต่างกับคน อนื่ ไปกเ็ ท่านนั้ เอง เช่นเดียวกบั ท่ีระบอบลทั ธิการเมืองบนโลกนีต้ า่ งกม็ ีมมุ มองทางกฎหมายในแบบ วิถีของตนเองหาใช่เร่ืองของสิทธิชอบธรรมแตอ่ ยา่ งใดไม่ ในระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์ที่ฝังราก ลึกในสงั คมไทยมาแสนนานการหมิ่นพระบรมเดชานภุ าพตอ่ กษัตริย์มีโทษถึงตายกนั ชนิด 7 ชว่ั โคตร, ในระบอบสังคมนิยมการครอบครองกรรมสิทธ์ิส่วนบุคคลและการประกอบธุรกิจใน ภาคเอกชนถกู สง่ั ห้ามและอาจมีโทษถึงตาย,ในระบอบทุนนิยมประชาธิปไตย การกดข่ีขดู รีดทาง เศรษฐกิจด้วยวิถีทางของ ‚ดอกเบีย้ ‛ คือส่ิงท่ีนายทุนกระทํากันอย่างดาษดื่นพร้ อมได้รับคํา สรรเสริญในมนั สมองอนั ชาญฉลาดในการโกงกินขดู รีด ทงั้ ดอกเบีย้ ยงั ถูกต้องตามกฎหมายของ ระบอบทนุ นิยมทงั้ ที่ในมิติของอิสลามดอกเบีย้ คอื ศตั รูท่ีชวั่ ร้ายที่สดุ ของมนษุ ย์ ข้อกฎหมายในแบบ ดัง ก ล่ า ว นี ้ไม่ ส า ม า ร ถ ตัง้ ข้ อ วิ พ า ก ษ์ ด้ ว ย คํ า ถ า ม ว่ า ‚ทุน นิ ย ม , ค อ ม มิ ว นิ ส ต์ แ ล ะ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ เอาสิทธิอะไรถึงสามารถกาหนดข้อกฎหมายเช่นนี้ได้?‛ เพราะเราก็ย่อม ทราบอยแู่ กใ่ จดีวา่ ข้อกฎหมายทงั้ หมดที่ระบอบลทั ธิการเมืองทงั้ หลายบัญญัติไว้นนั้ มิใช่เป็ นเร่ือง ของสทิ ธิจากไหนแตอ่ ยา่ งใดเลย หากแตเ่ ป็ นมมุ มองและทัศนะทางกฎหมายของระบอบนนั้ ๆเอง ทงั้ สิน้ ซึ่งผ้คู นที่อย่ใู นระบอบลทั ธิการเมืองนนั้ ๆก็จําต้องยอมรับ แล้วใยกนั เลา่ ท่ีเม่ืออิสลามจะมี ทศั นะทางกฎหมายเร่ืองของการหย่าขาดของเชลยหญิงกบั สามีเดิมของนางในแบบตนเองบ้าง คน บ๊องตืน้ ทงั้ หลายจึงเกิดข้อกงั ขาและยงั พยายามจะโจมตีอิสลามด้วยการถามหาสทิ ธิของอสิ ลามกนั อยอู่ ีก??? ท่านอมิ ามนะวาวีย์ยงั ได้กลา่ วอธิบายหะดีษของท่านอบสู ะอีด อลั คดุ รีย์ตอ่ ไปวา่ 123 มทั ธิว 5-5:32 ฝ่ ายเราบอกท่านทงั ้ หลายว่า ผ้ใู ดจะหย่าภรรยา เพราะเหตอุ ืน่ นอกจากการเลน่ ชู้ กเ็ ทา่ กบั ว่าผู้ นนั ้ ทาํ ให้หญิงนนั ้ ลว่ งประเวณี และถ้าผ้ใู ดจะรบั หญิงซงึ่ หยา่ แล้วเช่นนนั ้ มาเป็ นภรรยา ผ้นู นั ้ ก็ลว่ งประเวณีด้วย
~ 142 ~ أالتم أن مذهب الشافمي أمن قال بقمل من المتماء أن المسبية من لبدة الأأثان أيًنهم من , المفار الذنن لاتااب لهم لا يحل أطؤها بمتك اليمٌن حْى تستم فما دام لتى دنكها فهي ُمرمة , فيؤأل هذا اْلدنث أشبه لتى أنهن أستمن, فهؤلاء المسبياتتن من مشرتي المرب لبدة الأأثان أهذا الاأأنل لا بد مك أالله ألتم ‚และพึงรู้ไวเ้ ถิดวา่ แทจ้ ริงในมสั ฮบั (สานกั นิติศาสตร์) ชาฟิ อีย์และบรรดาผทู้ ี่เหน็ พอ้ งกบั พวกเขาจากบรรดานกั วิชาการทงั้ หลายนน้ั ไดใ้ ห้ทศั นะไว้ว่า บรรดาชนผูก้ ราบไหว้เจว็ดและกล่มุ บคุ คลซึ่งไมม่ ีคมั ภีร์ทางศาสนา (ไมใ่ ช่อะฮฺลลุ กิตาบเช่น ยิวหรือคริสต์-ผูแ้ ปล) (บรรดามุสลิม) ไม่ สามารถทีจ่ ะมีความสมั พนั ธ์ทางเพศ (กบั พวกเขา) ได้จนกวา่ พวกเขาจะหนั มารับอิสลามเสียก่อน ตราบใดที่พวกเขายงั คงยึดถือในศาสนาเดิมของพวกเขาพวกเขาก็ยงั คงเป็นที่ต้องห้าม(สาหรับ มสุ ลิม) บรรดาทาสหญิงเหล่านี้ (รวมถึงกรณีทีป่ รากฏในหะดีษทีเ่ อ่ยไปขา้ งต้น-ผูแ้ ปล) คือหญิงที่ นบั ถือศาสนาบชู าเจว็ด ดงั นน้ั หะดีษบทนีแ้ ละอะไรก็ตามทีม่ ีเนื้อหาทานองนี้ จะต้องถูกอธิบายใน ฐานะที่มันบ่งบอกเป็ นนัยว่าบรรดาทาสหญิงได้หันมารับอิสลามแล้ว ไม่มีหนทางอื่นใดเลย นอกจากจะตอ้ งทาการการอธิบายหะดีษต่างๆเช่นที่ว่านี้ และอลั ลอฮฺทรงรู้ดีย่ิง‛124 เราได้เห็นกนั ไปแล้วว่าบรรดานักวิชาการอิสลามผ้ปู ราดเปร่ืองแห่งมสั ฮับชาฟิ อีย์ได้ให้ คําอธิบายไปวา่ ไมเ่ พียงแตบ่ รรดามสุ ลมิ จะถกู สงั่ ห้ามการแตง่ งานกับสตรีผ้ตู งั้ ภาคีเท่านนั้ พวกเขา ยงั ถกู ห้ามการมีสมั พนั ธ์ทางเพศกบั บรรดาทาสหญิงท่ียงั คงนบั ถือในศาสนาบชู าเจว็ดเดิมของนาง อกี ด้วย ซง่ึ ความถกู ต้องชอบธรรมประการเดยี วที่นายทาสมสุ ลิมจะมีความสมั พนั ธ์ทางเพศกบั ทาส หญิงของพวกเขาได้กค็ ือการท่ีพวกเขาต้องรอคอยจนกวา่ พวกนางจะหนั มาน้อมรับอิสลามเสยี กอ่ น และเป็นที่รู้กนั วา่ ในอิสลามนนั้ ไมม่ หี ลกั ฐานแม้แตช่ ิน้ เดียวท่ีเสีย้ มสอนให้บรรดามสุ ลิมทําการบีบ บงั คบั ให้ชนตา่ งศาสนิกหรือแม้แตท่ าสหญิงเข้ารบั อิสลาม มิหนําซํา้ อิสลามยงั ห้ามการบงั คบั ผ้คู น มาเข้ารับอิสลามในทางตรงกันข้ามด้วย (อัลกุรอาน-2:256) เพราะฉะนัน้ เรื่องราวของการ ‚ขม่ ขนื ‛ ทาสหญิงจากสงครามจึงเป็ นที่ต้องห้ามและมิอาจกระทําได้อย่างชัดแจ้งในบัญญัติของ ศาสนาอิสลามไปในตัวด้วย หะดีษของอบูสะอีดอลั คดุ รีย์นัน้ จึงเข้าใจได้วา่ ท่านอบูสะอีดได้มี สมั พันธ์รักกบั ทาสหญิงของท่านภายหลงั จากท่ีรัฐบาลอิสลามของท่านนบี ศ็อลฯ ได้มอบหมาย ทาสหญิงเหลา่ นนั้ ให้แกท่ ่านอยา่ งถกู ต้องตามกฎหมาย และความสมั พนั ธ์ดงั กลา่ วกไ็ มใ่ ช่เรื่องของ การขม่ ขนื อะไรเพราะเป็นความสมั พนั ธ์ตามกรอบกฎหมายประการนีข้ องอสิ ลาม สว่ นการท่ีท่านไม่ ประสงคจ์ ะให้มีการหลงั่ ในกเ็ นื่องมาจากทา่ นอบสู ะอีดคงรู้ดีวา่ อาจจะมใี ครมาขอไถ่ตวั ทาสหญิงนี ้ ไปเป็นไทเพราะข้อกฎหมายอิสลามนนั้ เม่ือทาสหญิงท้องกบั นายแล้วเขาก็จะต้องรับผิดชอบนาง 124 ชรั ฮนุ นะวะวยี ์ อะลา ศอฮฮี ฺมุสลมิ . เลม่ 10 หน้า 35
~ 143 ~ และลกู ไปตลอดและนางจะเป็นไทหลงั การตายของนายไป ทา่ นอบูสะอีดจึงคิดฉกฉวยด้วยการใช้ วธิ ีการหลงั่ นอกกบั นางทาสแตก่ ารกระทาํ ดงั กลา่ วได้รับการทกั ท้วงจากทา่ นนบีวา่ ไมม่ ีประโยชนอ์ นั ใดเพราะมนั ไมอ่ าจห้ามการตงั้ ครรภ์ของสตรีได้ อีกทงั้ สตรีทาสที่ท่านอบสู ะอีดมีเพศสมั พนั ธ์ด้วย นนั้ ก็ได้หนั มาเข้ารับอิสลามแล้วในขณะนนั้ ตามคาํ อธิบายของท่านอิมามนะวาวีย์อนั เป็ นการบ่งชี ้ วา่ ทงั้ สองคงเกิดความรักต่อกนั เพราะการมีจดุ ร่วมทางศาสนาเดียวกนั ได้นําพาให้ความสมั พนั ธ์ ระหว่างทงั้ สองคือท่านอบูสะอีดในฐานะนายทาสกับทาสหญิงของท่านเป็ นท่ีอนุมตั ิตอ่ กันตาม ทศั นะของนกั กฎหมายแห่งสํานกั คิดชาฟิ อีย์ เมื่อนําข้อเท็จจริงทางประวตั ิศาสตร์มาพิจารณาว่า หะดีษของทา่ นอบสู ะอดี นนั้ บง่ บอกเราวา่ ท่านมีสมั พันธ์ทางเพศกบั หญิงทาสท่ีได้มาจากสงคราม กับเผา่ บนีอลั -มสุ ตอลิก และประวตั ิศาสตร์ก็ได้ยืนยันว่าหลงั การแต่งงานของท่านนบีกับท่าน หญิงํวุ ยั รียะฮฺในสงครามครัง้ นีบ้ รรดามสุ ลิมได้ปลอ่ ยเชลยสงครามนบั ร้อยคนเพราะละอายแก่ ท่านรอซลู ศอ็ ลฯและคนในเผา่ กไ็ ด้หนั มาเข้ารบั อิสลามกนั 125ดงั นนั้ คําอธิบายของท่านอิมามนะวา วยี ์ที่วา่ ทาสหญิงในหะดษี นีเข้ารบั อสิ ลามแล้วจึงถกู ต้องที่สดุ วลั ลอฮอุ ะอฺลมั สําหรับบรรดาผ้ทู ี่ศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์อิสลามอยา่ งแตกฉานจะพบวา่ ในช่วงชีวิตแห่งการ เทศนาธรรมของทา่ นศาสนทตู มฮุ มั มดั ศอ็ ลฯ นนั้ บรรดา เชลยหญิงท่ีถกู ทหารมสุ ลิมจบั ได้ในยาม สงครามนนั้ ตา่ งพากนั พร้อมใจที่จะหนั มารบั นับถืออิสลามมากกวา่ ท่ีพวกเขาจะหนั กลบั ไปอย่กู บั ชนเผา่ เดิมของนางพร้อมกับศาสนาบูชาเจว็ดก้อนกรวดท่ีพวกนางเคยนบั ถือเชื่อมนั่ ในช่วงแรก เหตผุ ลท่ีอย่เู บือ้ งหลงั ปรากฏการณ์ดงั กล่าวนีก้ ็คือการตระหนักในสจั ธรรมของอิสลามและความ ประทบั ใจในความเป็ นธรรมท่ีทหารมสุ ลิมกระทําต่อเชลยสงครามทงั้ หลาย กรณีเช่นท่ีวา่ นีซ้ ่ึงมี ช่ือเสยี งที่สดุ กค็ อื กรณีการหนั มารับอสิ ลามของท่านหญิงศอฟี ยะฮฺ บินติฮยุ ยั หลงั จากท่ีนางต้องตก เป็ นเชลยของฝ่ ายมสุ ลิมในสงครามค็อยบรั 126ในทางตรงกันข้ามแล้วเรื่องราวของเชลยสงคราม หญิงทงั้ หลายตามที่ได้มีการเอย่ หลกั ฐานไปทงั้ หมดก็ไมป่ รากฏการขม่ ขืนเชลยโดยทหารมสุ ลิมแต่ อย่างใดเลย เก่ียวกบั การณ์นีม้ ีเรื่องราวแห่งช่วงชีวิตการตอ่ ส้ขู องท่านศาสนทตู ให้ชนรุ่นหลงั ได้รับชม เป็ นตวั อย่างกนั ในการสงครามท่ี อลั เอาตาส กล่าวคือ เม่ือมาลิก บิน เอาฟฺ แม่ทพั ของฝ่ ายผ้ตู งั้ ภาคีได้ตดั สินใจจัดทพั เพื่อทําการต่อส้กู ับฝ่ ายมสุ ลิมแล้ว มาลิกได้นําเอาทรัพย์สมบตั ิ,สตรีและ เดก็ ๆทงั้ หมดที่มอี ย่ใู นเผา่ ของเขาออกสงครามร่วมกบั ตวั เขาด้วยที่อลั เอาตาสอนั เป็นหบุ เขาทอี่ ยใู่ น ดนิ แดนฮะวาซินและไมไ่ กลไปจากอลั ฮนุ ยั นฺมากนกั การตดั สินใจนําพาทงั้ สตรี,เดก็ และทรัพย์สิน 125 Safiurrahman Al-Mubarakpuri. Ar-Raheeq Al-Makhtum The Sealed Nectar Biography of the Noble Prophet. P.386. 126 Majid Ali Khan. Muhammad The Final Messenger. P.382; Saifur Rahman al-Mubarakpuri, Ar- Raheeq Al-Makhtum (The Sealed Nectar), p. 564.
~ 144 ~ สฤงคารออกไปส่แู นวหน้าของสมรภมู ิถือว่าเป็ นการเส่ียงมากนกั เน่ืองเพราะหากฝ่ ายตนเพลี่ยง พลาํ ้ พา่ ยแพ้ สง่ิ ทงั้ หมดเหลา่ นนั้ จะต้องถกู ยึดครองโดยฝ่ ายผ้ชู นะไปโดยปริยาย แตก่ ระนนั้ ก็ดีเมื่อ ได้รับการท้วงติงมาลิก บิน เอาฟฺ ก็ให้เหตผุ ลวา่ ที่เขาทําเช่นนนั้ ก็เพ่ือท่ีจะกระต้นุ ตวั ของเขาและ ทหารให้ต่อส้กู ับฝ่ ายมสุ ลิมอย่างถึงท่ีสดุ เพื่อปกป้ องทรัพย์สมบัติและผ้คู นทงั้ หมดมิให้ตกอย่ใู น นํา้ มือของฝ่ ายมุสลิมทัง้ ยงั เป็ นการกระต้นุ ให้พวกเขากระหายในชัยชนะชนิดแพ้ไม่ได้อีกด้วย อย่างไรก็ดกี ารส้รู บในครงั้ นีฝ้ ่ ายผ้ตู งั้ ภาคีได้เพลี่ยงพลาํ ้ พา่ ยแพ้ไปในท่ีสดุ ฝ่ ายผ้ตู งั้ ภาคีถกู จบั เป็ น เชลยจํานวนมาก ทรัพย์สงครามท่ีได้มาในครงั้ นีป้ ระกอบไปด้วย เชลยศึก 6 พันคน พร้อมด้วยอฐู ,แกะและเงินทองจํานวนมาก ชยั ชนะของฝ่ ายมสุ ลิมครัง้ นีจ้ ึงได้มาซึ่งทรัพย์เชลยจํานวนมหาศาล อย่างไรกด็ ีหลงั การล้อมเมอื งตออฟี เสร็จลงท่านศาสนทตู ในฐานะแมท่ พั สงครามของฝ่ ายมสุ ลิมได้ สงั่ ตงั้ ค่ายพกั อย่ตู รงบริเวณท่ีเรียกวา่ อลั -ญิรอนะฮฺ ถึง 10 คืนก่อนที่ท่านจะตดั สินใจเร่ิมทําการ แบ่งปันทรัพย์สงครามแก่ทหารมสุ ลิม แตถ่ ึงกระนนั้ ก็ตามแม้วา่ ตวั ท่านจะได้รับทรัพย์สงคราม มากมายมหาศาลในการสงครามครัง้ นีแ้ ต่การแบ่งปันทรัพย์สงครามก็ถูกทําให้ล่าช้าออกไป เนื่องจากท่านหวงั วา่ คณะผ้แู ทนของฝ่ ายฮะวาซินอนั เป็ นค่สู งครามกับท่านจะเดินทางมาพบท่าน พร้อมกบั สํานึกผดิ ในการตงั้ ตนเป็นศตั รูกับฝ่ ายมสุ ลิมตลอดจนร้องขอทรัพย์สงครามคืนจากฝ่ าย มสุ ลิม แตด่ เู หมือนว่าการรอคอยของท่านจะไร้ผลเพราะคณะผ้แู ทนจากเผ่าฮะวาซินไม่ปรากฏ วี่แววแต่อย่างใดเลยวา่ จะมา ท่านจึงตดั สินใจจัดสรรทรัพย์สงครามออกเป็ นสว่ นๆและแจกจ่าย ทรัพย์สงครามทงั้ หมดแก่ทหารมสุ ลมิ เรื่องราวตรงนีข้ อให้โปรดสงั เกตวา่ แม้แตต่ วั ของทา่ นศาสนทตู เองทา่ นกลบั จงใจที่จะทําให้ การแบง่ ทรพั ย์สงครามดลู า่ ช้าออกไป เนื่องจากวา่ ตวั ทา่ นประสงคท์ ี่จะให้พวกผ้แู ทนจากเผ่าฮะวา ซินกลบั มาหาท่านเพื่อขอร้องทรพั ย์สงครามคืนจากท่านไป และโปรดสังเกตอีกว่าในบรรดาทรัพย์ สงครามท่ีทา่ นได้มานนั้ มีเชลยหญิงจํานวนมากถกู จบั มาด้วย ถ้าหากตวั ของท่านเข้าใจวา่ อิสลาม อนมุ ตั กิ าร ‚ขม่ ขืน‛ เชลยหญิงในสงครามดงั ที่พวกผ้อู คติชังตอ่ อิสลามได้พยายามโหมพยาบาท ลวงผ้คู นแล้วไซร้ ท่านคงเปิ ดทางไฟเขยี วให้เหลา่ ทหารมสุ ลมิ ทําการขม่ ขืนเชลยหญิงไปแล้วอย่าง แน่นอน แตท่ วา่ การปฏิบตั เิ ช่นนีก้ ลบั ไมป่ รากฏเลยจากแบบอย่างอนั ทรงเกียรติของท่าน อย่างไรก็ ดีหลงั การแบ่งทรพั ย์สงครามคณะผ้แู ทนจากเผา่ ฮะวาซินก็เดนิ ทางมาพบท่านศาสนทูต พวกเขามี ทงั้ หมด 14 คนโดยมี สเุ ฮร บิน ศอ็ ดรฺ เป็นหวั หน้าคณะ และก็เป็นดงั คาดพวกเขาขอร้องท่านศาสน ทตู ให้คนื ทรพั ย์สงครามแกพ่ วกเขาไป ซง่ึ ด้วยความเมตตาของทา่ นศาสนทตู ท่านจึงได้ปล่อยเชลย ทงั้ หมดท่ีอย่ใู นการครอบครองของตระกลู อบั ดลุ มตุ ตอลบิ ไปยงั ผลให้เหลา่ สาวกของทา่ นจากชาวมุ ฮาญิรีนและอนั ศอรต้องดาํ เนินตามท่านนบี พวกเขาจึงปลอ่ ยเชลยสงครามทงั้ เดก็ และสตรีกลบั ไป
~ 145 ~ จนหมดสนิ ้ พร้อมกนั นีท้ า่ นศาสนทูตยังได้มอบเครื่องน่งุ ห่มแต่งกายแก่เชลยทุกคนเป็ นของขวญั ด้วย!!127 เร่ืองราวข้างต้นนีค้ อื หนง่ึ ในความเมตตาท่ีท่านศาสนทตู ปฏิบตั ติ อ่ คสู่ งครามท่ีหมายหัวจะ เขน่ ฆา่ และบดขยีผ้ ้คู นของทา่ นในตอนแรก ความเมตตาจากการกระทําของท่านศาสนทูตในครัง้ นี ้ คือสิ่งท่ีจัดอยู่ในคํานิยามของคําว่า ‚เมตตา‛ อย่างแท้จริง กล่าวคือความเมตตาจะเกิดขึน้ ได้ ภายใต้สถานการณ์ที่บคุ คลผ้หู นง่ึ มีอํานาจและสทิ ธิขาดที่จะกระทําอยา่ งอ่นื ตามความต้องการของ ตนได้อยา่ งเตม็ ที่ แตบ่ คุ คลผ้นู นั้ กลบั เลือกท่ีจะกระทําด้วยความเมตตากรุณามากกว่าจะกระทํา ตามความต้องการของตนเอง สภาวะดงั กลา่ วนีค้ ือกรณีตวั อย่างที่เกิดขนึ ้ จากการปล่อยเชลยศึก ชาวฮะวาซินที่ทา่ นได้เมตตาพวกเขาไป ทงั้ ที่ท่านอย่ใู นฐานะของผ้ชู นะสงครามที่สามารถกระทํา ทกุ อยา่ งตอ่ ผ้แู พ้สงครามได้อย่แู ล้ว!! เร่ืองราวการสงครามกบั เผา่ ฮะวาซินดงั ที่ได้ยกตวั อยา่ งไปนีไ้ ด้ให้ข้อสรุปแก่เราวา่ - มสุ ลิมไมไ่ ด้รับอนมุ ตั ิให้มีสมั พนั ธ์ทางเพศกบั เชลย-ทาสหญิงผ้ตู งั้ ภาคีจนกว่าพวกนางจะหนั มารับอิสลามเสียก่อน และทันทีท่ีพวกนางหนั มารับอิสลามมนั ก็เป็ นเรื่องง่ายท่ีนายทาสกบั ทาส หญิงของพวกเขาจะตกลงปลงใจกนั ที่จะใช้ชีวติ ฉนั ท์สามภี รรยา - ไมป่ รากฏหลกั ฐานใดๆเลยจากแหลง่ ข้อมลู ท่ีถกู ต้องของฝ่ ายมสุ ลิมวา่ ทหารมสุ ลมิ ได้กระทํา การณ์โหดร้ายป่ าเถ่ือนตอ่ เชลย-ทาสหญิงของพวกเขา - ไมป่ รากฏหลกั ฐานใดๆเลยวา่ ได้มีทาสหญิงจากสงครามมีเพศสมั พนั ธ์กบั ทหารมสุ ลมิ คนใด คนหนงึ่ ทหารมสุ ลิมอาจจะปลอ่ ยพวกนางคนื ไปยังเผา่ ของพวกนางกอ่ นที่พวกเขาจะทําอะไรกบั พวกนาง - ไมม่ ีหลกั ฐานใดๆเลยที่บง่ ชีว้ า่ มที หารมสุ ลมิ ทําการขม่ ขืนสตรี - สมมตุ ิวา่ เราทกึ ทกั ไปวา่ มหี ลกั ฐานวา่ ทหารมสุ ลิมขม่ ขืนเชลยหญิง ก็ไมไ่ ด้เป็นหลกั ฐานวา่ อสิ ลามและแบบอย่างของท่านศาสนทตู จะยอมรับการกระทําดงั กลา่ ว เพศสมั พนั ธ์ด้วยวธิ ีการหลงั่ นอกกบั สถานภาพของทาสหญิง บรรดานกั บรู พาคดีและเหลา่ ผ้หู มายใคร่จะโจมตีอิสลามด้วยการใส่ไคล้อย่างโสโครก ได้ จดุ โหมโฆษณาชวนเชื่อกนั ผา่ นวรรณกรรมของพวกเขาวา่ อสิ ลามคอื ศาสนาที่ละเมิดเกียรตภิ มู ิของ ทาสหญิงด้วยการปฏิบตั ทิ างเพศตอ่ พวกนางประหน่ึงราววา่ พวกนางไมม่ สี ิทธิทางเพศใดๆนอกจาก เรือนกายท่ีมีหน้าท่ีบําบดั และตอบสนองความใคร่แดพ่ วกนายทาสทงั้ หลาย ซ่ึงเพ่ือการสนับสนุน ทฤษฎขี องพวกเขาจึงได้มีการหยิบยกหลกั ฐานท่ีวา่ 127 รายละเอียดของการต่อส้อู า่ นเพมิ่ เตมิ ได้ใน Saifur Rahman al-Mubarakpuri, Ar-Raheeq Al-Makhtum (The Sealed Nectar): The Third Stage, pp.475-488.
~ 146 ~ ญาบิร บินอบั ดลุ ลอฮฺ รายงานวา่ ‚พวกเราได้ทํา ‘อลั -อสั ลฺ’ (การหลง่ั นอก) ในขณะที่อลั กุ รอานกําลงั ถกู ประทานลงมา...อิมามมาลิก บิน อะนสั กลา่ วว่า การร่วมประเวณีดว้ ยวิธีการหลง่ั นอก (อสั ล)ฺ กบั หญิงทีเ่ ป็นไทจาตอ้ งขออนญุ าตจากนางก่อน ในขณะทีห่ ญิงทาสไมจ่ าเป็นตอ้ งของ อนญุ าต128 พวกเขาได้ให้มมุ มองอนั บิดเบีย้ วจากหะดษี ต้นนีว้ า่ นายทาสสามารถร่วมประเวณีกบั ทาส หญิงได้ด้วยวธิ ีการ ‚หลงั่ นอก‛ โดยไมต่ ้องได้รบั การอนญุ าตจากนางเสียก่อน ดงั นนั้ ย่อมหมายถึง นายทาสมสุ ลมิ สามารถ ‚ขม่ ขืน‛ นางได้!!! ประการแรกที่พงึ เข้าใจและตระหนกั จากกรณีดงั กลา่ วนีก้ ค็ ือกฎเกณฑ์เร่ืองการ ‚หลงั่ นอก‛ กบั ทาสหญิงตามท่ีกลา่ วไปนีม้ ิใช่คําเทศนาธรรมของท่านศาสนทูตหากแตเ่ ป็ นคํากล่าวของท่าน อมิ ามมาลกิ หนึง่ ในนิติศาสตร์ของสําคญั ของโลกมสุ ลิม แต่ถึงกระนนั้ ก็ตามในทางกฎเกณฑ์ทาง นิติศาสตร์ของอิสลามแล้วคาํ พดู ของทา่ นศาสนทตู เท่านนั้ ท่ีจะเป็ นหลกั ฐานชีข้ าดประการสดุ ท้าย สาํ หรบั มวลมสุ ลมิ ประการที่สอง คํากลา่ วของอิมามมาลิกเช่นนนั้ วางอย่บู นพืน้ ฐานเหตผุ ลที่ว่าในกรณีของ หญิงไทที่เป็นภรรยาของเรานนั้ นางมีสทิ ธิอนั ชอบธรรมในความต้องการท่ีจะมบี ตุ รกบั สามีของนาง และในทางเดยี วกนั สามเี องก็ไมม่ สี ทิ ธิท่ีจะไปห้ามความต้องการในการมีบตุ รของนางได้ ดงั นนั้ จึง จําเป็นแก่เขาที่จะต้องขออนญุ าตจากนางในเรื่องนีเ้สยี กอ่ น อย่างไรก็ตามในกรณีของทาสหญิงนนั้ หากวา่ นายทาสได้ทําให้นางตงั้ ท้องขนึ ้ มานางจะเป็ นไทและสามีของนางจําต้องแตง่ งานกบั นาง เพราะฉะนนั้ นายทาสจงึ ไมจ่ ําเป็นต้องขอคาํ อนญุ าตจากนางในเร่ืองการหลง่ั นอกยามท่ีมีการร่วม ประเวณีกนั ประการท่ีสาม ข้อกฎหมายของอสิ ลามที่ได้อนมุ ตั ิการหลงั่ นอกนนั้ ก็เพื่อท่ีจะหักล้างความ เชื่อไสยศาสตร์ท่ีมีอยใู่ นหมชู่ าวยิว ดงั ปรากฏหะดีษบทหนึ่งในการบนั ทึกของท่านบัยฮะกีย์ซ่ึงได้ กลา่ วกบั ท่านศาสนทตู ความวา่ ، أأعا أرند ما نرند الرجال، أأعا أتره أن تحمل، أأعا ألزل لكها، نا رسمل الله إن لي جارنة \"تذب اليهمد لم أراد الله أن يختق ما اساطم أن: أإن اليهمد تحدث أن المزل الممءأدة الصغرى قال تصرف “โอ้ท่านศาสนทูตของอลั ลอฮฺ ฉันมีทาสหญิงอย่นู างหนึ่งและฉันได้ร่วมรักกบั นางด้วย วิธีการหลง่ั นอก เพราะว่าฉันไม่ต้องการให้นางตงั้ ครรภ์แต่กระนนั้ ฉันก็ปรารถนาต่อนางในส่ิงที่ ผ้ชู ายปรารถนาตอ่ สตรี แตท่ งั้ นีพ้ วกยิวได้กลา่ วว่า การหลงั่ นอกคือวิธีการฆ่าทารก ท่านศาสนทตู 128 ญามอี ฺ อตั ติรมซิ ยี ์ หมายเลขที่.1137
~ 147 ~ จงึ กลา่ ววา่ พวกยิวกําลงั โกหก เพราะหากวา่ อลั ลอฮฺทรงประสงค์จะให้เดก็ กําเนิดขนึ ้ มา เจ้าจะไม่ สามารถปฏเิ สธมนั ได้”129 เพราะฉะนนั้ จดุ ใดกนั เลา่ จากความเห็นประการนีข้ องอิมามมาลิกท่ีบ่งชีเ้ ป็ นนัยวา่ อิสลาม อนุมตั ิการข่มขืนทาสหญิง? หรือแม้กระทั่ง “สมมุติ” ว่าอิมามมาลิกจะประกาศิตไปตรงๆเลยวา่ มสุ ลมิ สามารถขม่ ขนื ทาสหญิงได้ก็หาได้เป็ นหลกั ฐานในการใช้ประณามหยามเหยียดอิสลามได้ เพราะวา่ ประกาศิตขาดหนึง่ เดยี วสาํ หรับมสุ ลมิ ต้องมีท่ีมาจากอลั กรุ อานและวจนะของท่านศาสน ทตู ศอ็ ลฯ บรรดานกั วจิ ารณ์อสิ ลามอาจจะยงั คงพยายามตงั้ แง่ตงั้ มมุ กับอิสลามว่าในความเป็ นจริง แล้ว การท่ีพวกเขาโจมตีอิสลามในประเดน็ เร่ืองของการอนญุ าตให้นายทาสสามารถร่วมหลบั นอน กบั ทาสหญิงของพวกเขาได้นนั้ คอื ประเดน็ สาํ คญั ของการโต้แย้ง กลา่ วคือในความเป็ นจริงแล้วจะ อยา่ งไรเสยี ผ้ชู ายก็ยงั คงได้รบั “สิทธิ” จากศาสนาในการร่วมประเวณีกับทาสหญิงของพวกเขาได้ ดงั นนั้ โดยนยั แล้วมนั จงึ เป็นข้อบง่ ชีว้ า่ ผ้ชู ายนนั้ โดยทางหลกั การแล้วสามารถกระทํา “ทุกอย่าง” ที่ เป็น “สิทธิ” ของตนเองได้ หรือสามารถร่วมประเวณีกบั ทาสหญิงของพวกเขาได้เตม็ ที่ตามต้องการ เพราะนั่นคือ “สิทธิ” ของพวกเขาอย่แู ล้ว ดงั นนั้ สิทธิตรงนีจ้ ึงแยกไม่ออกจากสิ่งท่ีเรียกว่า “การ ข่มขืน” นน่ั เอง ข้าฯจะขอโต้แย้งกลับไปว่าแม้นส่ิงดงั กล่าวจะถูกเรียกว่าเป็ น ‚สิทธิ‛ ของผ้ชู ายแต่ถึง กระนนั้ ก็ตามมนั ก็ยงั อยใู่ นลกั ษณะรูปแบบเดยี วกบั ‚สทิ ธิ‛ ท่ีบิดาจกั ต้องได้รบั การเคารพจากบุตร สทิ ธิที่บตุ รจะต้องได้รับมรดกจากบิดาหลงั จากบิดาเสยี ชีวิตลง ปัญหาท่ีทําให้เกิดการแยกไม่ออก ระหวา่ งสิทธิท่ีผ้ชู ายสามารถร่วมประเวณีตอ่ ทาสหญิงกบั ‚การข่มขืน‛ ก็คือ การตงั้ คา่ กําหนดเอา เองวา่ หาก ก. เป็นอยา่ งนนั้ แสดงวา่ ข. ต้องมีผลเป็นอยา่ งนี ้ซง่ึ ในเร่ืองนีพ้ วกเขาได้ตงั้ กฎขนึ ้ มาวา่ หากอสิ ลามอนมุ ตั สิ ทิ ธิให้ชายสามารถร่วมประเวณีกบั ทาสหญิงของพวกเขาได้(นี่คือเหต)ุ นน่ั ย่อม หมายความว่าอิสลามอนุมัติการขืนใจทางเพศตอ่ ทาสหญิง(นี่คือผล) ทงั้ ท่ีการสรุปเช่นนีเ้ ป็ น เร่ืองที่ไมถ่ ูกต้อง!! หากนกั วิจารณ์อิสลามตงั้ กฎต่ออิสลามเช่นนี ้ ก็เท่ากับพวกเขากําลงั จะบอก ชาวโลกไปในตวั วา่ ในอสิ ลามบิดามีสิทธิที่จะได้รับการเคารพจากบตุ รแตห่ ากบตุ รไมเ่ คารพบิดา นน่ั ย่อมหมายความวา่ บิดาสามารถลงโทษทางร่างกายตอ่ บตุ รได้ด้วยสิทธิของความเป็ นพ่อ??!!? หรือหากบิดาไม่ยอมมอบมรดกแก่บตุ รทงั้ ท่ีในอิสลามบุตรมี ‚สิทธิ‛ ในการรับมรดกจากบิดานน่ั ยอ่ มหมายความวา่ บตุ รสามารถฆ่าบิดาเพ่ือเอามรดกที่เป็ นสิทธิของตนกลบั มาได้ !!??!! ทงั้ หมด ยอ่ มเป็นเรื่องเหลวไหลและบ๊องตืน้ ถ้าจะมใี ครนึกฝันวา่ อสิ ลามสอนแบบนี ้เพราะในอสิ ลามการท่ีมี สิทธิประการหน่ึงไมไ่ ด้หมายความวา่ จะมสี ิทธิอีกประการหนง่ึ ไปด้วย เช่นหน่ึงในสิทธิอนั ชัดแจ้งที่ 129 อสั สนุ นั อลั -กบุ รอ. กติ าบบนุ นิกะฮฺ หมายเลขท่ี 13666
~ 148 ~ มสุ ลมิ จะได้รบั จากพี่น้องร่วมศาสนาของเขาก็คอื การได้รบั การเย่ียมเยียนในยามป่ วยและการได้รับ คาํ ทกั ทายทางศาสนา(การให้สลาม)จากพี่น้องของเขา แตน่ นั่ มิได้หมายความวา่ เม่ือข้าฯป่ วยหรือ พบเจอพ่ีน้ องมุสลิมแล้วข้าฯไม่ได้ รับการปฏิบัติจากพี่น้ องมุสลิมตามสิทธิ ดังกล่าวน่ันจะ หมายความวา่ ข้าฯสามารถใช้กําลงั เข้าบงั คบั ให้พี่น้องมสุ ลิมเย่ียมอาการป่ วยของข้าฯหรือให้สลาม แกข่ ้าฯด้วยการอ้างวา่ ‚น่ีคือสทิ ธิของฉนั ที่ต้องได้จากทา่ น!!!‛ ฉนั ท์ใดก็ฉันท์นนั้ การที่อิสลามมอบ ‚สทิ ธิ‛ ในการร่วมหลบั นอนกบั ทาสหญิงตอ่ นายทาสนน่ั ไมไ่ ด้หมายความไปในตวั ว่าเมื่อทาสหญิง ดงึ ดนั ปฏเิ สธการร่วมหลบั นอนนายทาสจะสามารถใช้กําลงั ข่มขืนกระทําชําเราตอ่ นางทาสได้ !!! แล้วใยกนั เลา่ ท่ีพวกอบุ าทว์กาลโี ลกยงั คดิ วา่ สิทธิที่อสิ ลามมอบในการร่วมหลบั นอนกับทาสหญิงก็ คือสิทธิในการ ‚ขม่ ขนื ‛ พวกนางไปเสยี ได้!!? ข้าฯจะขอยํา้ เตอื น ณ ตรงนีใ้ ห้ชดั เจนแจม่ แจ้งวา่ การร่วมประเวณีคือสิทธิทางกฎหมายท่ี สามี-ภรรยาหรือนายทาสกบั ทาสหญิงได้รบั มอบให้กระทําได้ แตก่ าร “ข่มขืน” ไมใ่ ช่เร่ืองของสิทธิ ประการใดหากแตเ่ ป็นเพียงรูปแบบความสมั พนั ธ์ทางเพศอนั ชั่วร้ายท่ีไม่วา่ ใครจะกระทําต่อใครก็ ไมอ่ าจยอมรบั ได้จากศีลธรรมทางศาสนาทงั้ สนิ ้ หลกั ฐานเกี่ยวกบั การห้ามการขม่ ขืนปรากฏอยู่ใน หะดษี บทหนงึ่ ความวา่ لا يجتد أحدتم امرأت جتد المبد ٍب يجاممها ُب آخر اليمم “อบูอบั ดิลละฮฺ อิบนซุ ัมอะฮฺเล่าว่า ท่านนบี ศ็อลฯ กล่าวว่า พวกท่านจงอย่าได้เฆ่ียนตี ภรรยาของท่านประดจุ ดงั การเฆ่ียนตีตอ่ ทาส หลงั จากนนั้ ก็มีเพศสมั พนั ธ์กนั ในช่วงสดุ ท้ายของ วนั ”130 หะดีษนีไ้ ด้บ่งบอกอย่างแจ้งชัดว่าการข่มขืนคือพฤติกรรมที่อิสลามส่งั ห้ามในทกุ กรณี เพราะการขม่ ขืนนนั้ โดยข้อเทจ็ จริงแล้วคอื การใช้กําลงั เข้าขืนใจต่อสตรี และการใช้กําลงั ย่อมเป็ น อื่นไมไ่ ด้นอกจาการตบตี ดงั นนั้ เม่ืออิสลามสง่ั ห้ามการร่วมประเวณีหลงั การตบตีก็เท่ากบั สงั่ ห้าม การขม่ ขนื เพราะ 1. การขม่ ขนื คือการตบตี 2. การร่วมประเวณีหลงั การตบตคี อื สง่ิ ต้องห้าม 3. ดงั นนั้ การขม่ ขนื จึงเป็นส่ิงต้องห้าม!!! ข้อวิพากษ์ทางตรรกะทัง้ หมดได้บ่งชีอ้ ย่างแจ้งชัดด้วยสติปัญญาแล้วว่าการขม่ ขืนคือ พฤติกรรมท่ียอมรับไมไ่ ด้ในทกุ กรณีและเป็นท่ีต้องห้ามในหลกั การอิสลามเพราะการร่วมประเวณี หลังการขม่ ขืนเป็ นหน่ึงในรูปแบบของการร่วมประเวณีหลงั การตบตีทัง้ สิน้ สํานวนของหะดีษ ข้างต้นที่ระบวุ า่ อยา่ ได้เฆ่ียนตีภรรยาของทา่ นประดจุ ดงั การเฆี่ยนตตี อ่ ทาส กม็ ิได้หมายความวา่ ตี 130 ฟัตฮุลบารีย์. หมายเลขที่ : 4908
~ 149 ~ ภรรยาไมไ่ ด้แตต่ ที าสได้เพราะเราได้นําเสนอหลกั ฐานการสงั่ ห้ามทบุ ตที าสไปแล้วซึง่ ตรงนเี ้ป็นเพียง การพดู ของท่านรอซลู ในสภาพทวั่ ไปวา่ มนษุ ย์นนั้ มกั จะตบตที าสและอย่าได้เอาพฤติกรรมตรงนีม้ า ใช้กบั ภรรยา และน่ีคือข้อพิสจู น์ในอิสลามแล้วว่าส่ิงใดก็ตามท่ีอิสลามให้สิทธิอย่างเต็มท่ี มิได้ หมายความเสมอไปวา่ สทิ ธิอกี ประการหน่ึงจะตติ ตามมา เช่น การท่ีอิสลามให้สิทธิแก่สามีในการ ร่วมรกั กบั ภรรยาของเขา มนั มิได้หมายความวา่ เม่ือภรรยาไมต่ ้องการร่วมประเวณีกบั สามี สามีก็ สามารถเข้าจัดการ “ข่มขืน” นางได้ตามสิทธิ ความเข้าใจเช่นนีเ้ ป็ นความโง่เขลามากและไม่ สอดคล้องกบั แบบอย่างแห่งความสภุ าพของท่านนบีที่ได้เคยกระทําให้ดเู ป็ นแบบอย่างแก่เราซึ่ง แม้กระทงั่ ภรรยาของท่านเองเมื่อปฏเิ สธจะร่วมหลบั นอนกบั ท่าน ทา่ นนบีก็ทําได้เพียงแค่การระงับ ตนเองและแสดงความออ่ นโยนตอ่ สตรีเทา่ นนั้ !!! ทา่ นอมิ ามดารุฏกฏนีย์ได้บนั ทกึ เรื่องราวการแตง่ งานของท่านนบี ศอ็ ลฯ กบั หญิงนางหน่ึง ที่ชื่ออมุ ยั มะฮฺความวา่ ، - صتى الله لتي أستم- لن لائشة ؛ أن ابكة اْلمن الملابية لما دخت لتى رسمل الله ، \" لذت بمظيم: - صتى الله لتي أستم- فقال رسمل الله، ألمذ بالله مكك: فقال، فدعا مكها \" اْلقي بأهتك “จากท่านหญิงอาอิชะฮฺ - เมื่อบตุ รสาวของอลั เญานฺถกู ส่งตวั ให้แก่ท่านรอซูล(ในฐานะ เจ้าสาว) ขณะท่ีทา่ นรอซลู เข้าใกล้หาเธอ(ตามวิสยั ของสาม)ี นางกลบั กลา่ วออกมาว่า ฉันขอความ ค้มุ ครองต่ออัลลอฮฺให้พ้นจากท่าน ท่านรอซูล ศ็อลฯ จึงกล่าวตอบกลับว่าแน่แท้เธอได้รับการ ค้มุ ครองจากพระผ้ทู รงย่ิงใหญ่แล้ว ดงั นนั้ ขอให้เธอกลบั ไปหาครอบครวั ของเธอเถิด”131 ในอกี สํานวนหนึง่ กลา่ วเพิ่มวา่ ٍب خرج لتيكا فقال نا أبا أسيد اتسها فارسياٌن أأْلقها بأهتها “ตอ่ จากนนั้ ทา่ นรอซลู ได้กลบั ออกมาหาพวกเรา ท่านกลา่ วว่า อบูสยั ดฺเอ๋ยจงมอบผ้าลินิน ให้เธอสองผืน(เป็นสินนํา้ ใจ)เพ่ือให้เธอใช้แตง่ ตวั และบอกเธอให้กลบั ไปหาครอบครวั ของเธอ”132 หะดษี เหลา่ นีไ้ ด้เป็นแบบอย่างของทา่ นรอซลู ศอ็ ลฯ แก่ปวงผ้ศู รัทธาวา่ แม้กระทงั่ ตวั ภรรยา ที่ผ้ชู ายมสี ิทธิในการร่วมประเวณีกบั นาง แตเ่ มอ่ื ปรากฏพบวา่ นางรงั เกียจสามแี บบอย่างและความ ออ่ นโยนของทา่ นรอซูลก็เป็นผลออกมาให้เหน็ พบวา่ ทา่ นมิได้ทําอะไรตอ่ นางไปเลย กลบั กนั ทา่ นรอ ซลู ยงั ได้สง่ มอบผ้าลินินเพ่ือเป็นสนิ นํา้ ใจตอบแทนแกน่ าง บรรดาอลุ ามาอ์ได้กล่าวว่าการปฏิเสธที่ จะร่วมหลบั นอนกบั ท่านรอซลู ของนางได้ทําให้ทา่ นรอซลู หย่านางทางอ้อมด้วยการส่งนางกลบั ไป ยงั ครอบครัวเดิมของนางโดยมิได้ร่วมประเวณีกบั นางกอ่ น แบบอยา่ งตรงนีจ้ งึ ชีน้ ําแนวทางแก่มวล 131 สนุ นั อฎั ฎารุฏกฏุ นยี ์. หมายเลข : 3905 132 มสุ นดั อลั - อิมามอะฮฺมดั . หมายเลขหะดีษ : 22362
~ 150 ~ มสุ ลิมถงึ ความออ่ นโยนในการปฏิบตั ติ อ่ สตรีมใิ ช่เสีย้ มสอนให้ขืนใจนางเพ่ือเป้ าหมายทางเพศดงั ความเข้าใจของคนโง่ๆบางคนกห็ าไม่ เป็นไปได้อย่างไรกนั ที่โง่งมเหลา่ นนั้ ได้ตาํ หนิหลกั การอิสลาม วา่ อนมุ ตั กิ ารขม่ ขืนสตรีทาสทงั้ ท่ีหะดีษทงั้ หลายทงั้ ปวงมิได้มจี ดุ ใดบง่ ชีไ้ ปในทางนนั้ เลย จะเป็ นไป ได้อย่างไรกนั เลา่ ที่อสิ ลามจะอนมุ ตั กิ ารขม่ ขนื สตรีทาสทงั้ ท่ีมนั มิใช่วสิ ยั ของคาํ ว่าคณุ ธรรมของการ อย่รู ่วมกบั สตรีดงั ท่ีท่านรอซูลได้กลา่ ววา่ منتان نؤمن بالله أاليمم الآخر فلا نؤذي جاره أاسامصما بالكساء خًنا فإنهن ختقن من يتع أإن ألمج شيء ُب الضتع أللاه فإن ذهب تقيم تسرت أإن ترتا َّل نزل ألمج فاسامصما بالكساء خًنا “บคุ คลท่ีศรทั ธาในวนั อลั ลอฮฺและวนั อาคเิ ราะฮฺเขาจะต้องไมใ่ ห้ร้ายตอ่ เพื่อนบ้านของเขา และฉนั จะแนะนําพวกท่านให้เลยี ้ งดสู ตรีด้วยคณุ ธรรมเพราะพวกเธอถกู สร้างมาจากกระดกู ซ่ีโครง สว่ นท่ีงอที่สดุ ของกระดกู ซี่โครงสว่ นบน หากพวกทา่ จะดดั ให้ตรงท่านก็จะทํามนั หกั หากทา่ นปลอ่ ย ไว้ไมด่ ดั มนั กย็ งั คงงออยตู่ ลอดไปดงั นนั้ ฉนั ขอแนะนําพวกทา่ นให้เลยี ้ งดสู ตรีด้วยคณุ ธรรม”133 ด้วยเหตนุ ีม้ นั จึงเป็นเร่ืองนา่ ขนั ที่เหลา่ นกั วิจารณ์อิสลามจะแอบอ้างวา่ อิสลามอนุมตั ิการ ขม่ ขืนทาสหญิงทงั้ ท่ีการให้ทศั นะเช่นนีม้ ิเคยปรากฏใดๆจากนกั วิชาการมสุ ลิมที่ถูกยอมรับทงั้ ใน อดีตและปัจจบุ นั คงจะสรุป ณ ท่ีนีว้ า่ การที่พระมหาคมั ภรี ์อลั กรุ อานมอบ ‚สิทธิ‛ แด่ชายมสุ ลิมให้ สามารถมสี มั พนั ธ์ทางเพศกบั หญิงทาสของพวกเขาได้มิใช่หมายความว่าชายมสุ ลิมจะได้รับมอบ ‚สทิ ธิ‛ ในการขม่ ขืนพวกนางด้วย จดุ นีจ้ ะชดั เจนจากคาํ ถามท่ีวา่ ในทกุ ๆศาสนา(ทงั้ ยิว,คริสต,์ พทุ ธ และพราหมณ์)ก็มีการมอบสิทธิหรือยอมรับร่วมกนั วา่ สามมี ี ‚สิทธิ‛ ที่สามารถร่วมประเวณีหรือใช้ ภรรยาเป็นท่ีสนองตอบความต้องการทางเพศได้ แตก่ ระนนั้ ก็ตามสิทธิตรงนีจ้ ะหมายถึง ‚สิทธิ‛ ใน การ ‚ขม่ ขืน‛ หรือใช้กําลงั บงั คบั ภรรยาเพ่ือจดุ ประสงคท์ างเพศด้วยกระนนั้ หรือ???!! เป็ นที่ชัดเจน ว่าในอิสลามสามีมีสิทธิท่ีสามารถได้รับการร่วมประเวณีกับภรรยาอย่างแท้จริง แต่กระนนั้ ก็ดี อสิ ลามก็ปฏิเสธการใช้กําลงั ทุบตีบีบคนั้ ภรรยาเพ่ือการร่วมประเวณี ในทุกศาสนาก็เช่นกนั การที่ มอบสทิ ธิในการร่วมเพศแก่สามเี กือบจะแทบทกุ ศาสนาก็มิได้หมายความว่าทกุ ศาสนาเหล่านีจ้ ะ ยอมรบั การใช้กําลงั บีบบงั คบั เพื่อเป้ าหมายทางเพศของสามีที่มีตอ่ ภรรยาได้ เพราะทุกศาสนาก็จะ ให้เหตผุ ลว่าไม่มีบัญญัติจากพระคัมภีร์หรือคําสอนชัน้ ต้นของศาสนาตนเองใดๆเลยว่าสามี สามารถ ‚ขม่ ขนื ‛ ภรรยาของนางได้ ฉนั ท์ใดก็ฉนั ท์นนั้ อสิ ลามก็สามารถให้เหตผุ ลได้เช่นกนั ว่าไม่มี บัญญัติใดๆจากอัลกุรอานเลยที่ระบุว่านายทาสสามารถ ‚ข่มขืน‛ ทาสหญิงของพวกนางได้ เชน่ เดยี วกบั สามีผ้ไู ด้รับสิทธิทางเพศที่ไมส่ ามารถขม่ ขืนภรรยาของเขาได้!! ประเดน็ ปัญญาที่เกิดขนึ ้ จาก ‚การหลงั่ นอก‛ นีย้ งั คาบเกี่ยวพนั กบั เร่ืองของการ ‚ขายทาส หญิง‛ แกผ่ ้อู ่นื กลา่ วคอื ในกรณีที่นายทาสหมดปัญญาจะเลีย้ งดทู าสหญิงหรือหมางเมินไมพ่ อใจ 133 ศอฮฮี อฺ ลั บคุ อรีย์. กติ าบนุ นิกาฮ.ฺ หมายเลขหะดีษ : 4890
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214