Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อิสลามกับหน้าประวัติศาสตร์แห่งการปลดแอก ทาส

อิสลามกับหน้าประวัติศาสตร์แห่งการปลดแอก ทาส

Published by Ismail Rao, 2020-07-13 03:06:27

Description: อิสลามกับหน้าประวัติศาสตร์แห่งการปลดแอก
ทาส

Search

Read the Text Version

~ 151 ~ นาง นายทาสกส็ ามารถขายนางให้เป็ นทาสในครอบครองของผ้อู ่ืนได้อีก แม้ว่านายทาสจะเคยมี เพศสมั พนั ธ์กบั นางแล้วก็ตาม ปมปัญหาจากกฎหมายประการนีไ้ ด้ทําให้บรรดานักบูรพาคดีทําการโจมตีอิสลามว่า ละเมิดสิทธิมนุษยชนของทาสหญิงเพราะหลักกฎหมายดงั กล่าวย่อมเปิ ดโอกาสให้นายทาส สามารถปฏบิ ตั ิตอ่ ทาสหญิงประหนึ่งราวเคร่ืองมือบําเรอความใคร่ ซ่ึงในการนีน้ ายทาสที่ไม่อยาก ให้นางตงั้ ท้องเพราะตามกฎหมายอิสลามจะบังคบั ให้เขาต้องรับผิดชอบลกู ของนางก็สามารถ หาทางออกด้วยการหลง่ั นอกแทน ดงั นนั้ นางจึงไมอ่ าจจะตงั้ ท้องได้และเมอ่ื นายเกิดเบ่ือนางขนึ ้ มา กส็ ามารถขายให้คนอนื่ ผ้รู บั ซือ้ ก็จะเป็นนายทาสซึ่งสามารถกระทําได้เชน่ เดยี วกบั นายทาสคนกอ่ น การทําทาสหญิงเป็ นสินค้าบําเรอทางเพศก็จกั ไม่จบสิน้ ทาสหญิงผ้นู นั้ ก็จะวนเวียนอย่ใู นระบอบ ทาสตลอดไป!! ก. การขายทาสหญิงหลงั การมเี พศสมั พนั ธ์ เท่าท่ีได้อ่านการวิพากษ์กฎหมายอิสลามในเร่ืองทาสของบาทหลวงคริสต์เตียนผ้ใู ช้ นามปากกาว่า Silas ในบทความของเขาที่ช่ือ ‚Muhammad and The Female Captives‛134 บาทหลวงคริสต์เตียนผ้นู ีท้ ําการวิจารณ์อิสลามอย่างรุนแรงด้วยถ้อยคําเสียดสีหยาบคายจาก ประเดน็ ท่ีวา่ หลงั การมีเพศสมั พนั ธ์กบั ทาสหญิงแล้วนายทาสยงั สามารถขายนางให้แกน่ ายทาสคน อ่ืนตอ่ อนั จะเป็นการเปิ ดโอกาสให้นายทาสคนใหมก่ ส็ ามารถหลบั นอนกบั ทาสท่ีซือ้ มาตอ่ ได้อีก ซ่ึง การกระทําเช่นนีบ้ าทหลวงคริสตเ์ ตยี นผ้นู ีม้ องวา่ เป็นการยดั เยียดสถานภาพของนางบําเรอแก่นาง ทาสอยา่ งไมร่ ู้จบสนิ ้ ผา่ นมอื ของนายทาสมากมายหลายคนที่จบั จองตวั นาง พดู อกี นยั หนึ่งแล้วตาม ทัศนะของบาทหลวงผ้นู ีม้ องว่าส่ิงท่ีเรียกวา่ ‚ศีลธรรม‛ ก็คือการท่ีเมื่อนายทาสร่วมหลบั นอนกับ ทาสหญิงแล้วควร ‚ต้อง‛ รบั ผิดชอบด้วยการไมข่ ายเธอแกผ่ ้อู นื่ อีก!! วพิ ากษ์ การให้เหตผุ ลและเงื่อนไขตามที่บาทหลวง Silas ได้กลา่ วอ้างไปนนั้ เมื่อพิจารณาอย่างผิว เผนิ ด้วยอารมณ์ในแบบ ‚เสรีชน‛ ตามอดุ มคตขิ องระบอบประชาธิปไตยกค็ ล้ายดจู ะมีนํา้ หนกั และ เหตผุ ลในการสนบั สนนุ อย่มู ากพอสมควร แตห่ ากพิจารณาการให้เหตผุ ลในแบบดงั กล่าวอย่าง ละเอียดถ่ีถ้ วนจากความเป็ นจริงแล้วจะพบว่าอดุ มไปด้วยการให้เหตผุ ลท่ีไร้ สาระสิน้ ดี อัน เนื่องจากวา่ ในโลกปัจจบุ นั นีย้ ังมคี วามสมั พนั ธ์ของชายและหญิงที่ผา่ นกิจกรรม ‚ทางเพศ‛ ในแบบ 134 Silas. MUHAMMAD AND THE FEMALE CAPTIVES : http://www.answering- islam.org/Silas/femalecaptives.htm

~ 152 ~ อ่นื ๆและก็จบท้ายด้วยการท่ีผ้หู ญิงเองก็อาจจะหาผ้ชู ายคนอื่นมามีสมั พันธ์ทางเพศใหมไ่ ด้อีก ทัง้ ยังเป็ นรูปแบบความสัมพันธ์ท่มี นุษย์ทงั้ มวลยอมรับอย่างไม่มีปัญหา นนั่ กค็ อื ความสมั พนั ธ์ ฉนั ท์สามี-ภรรยาท่ีผา่ นการแตง่ งาน กลา่ วคือ การแตง่ งานของชายหญิงจําต้องมีกิจกรรมทางเพศ เป็นองค์ประกอบแห่งชีวติ คู่ แตก่ ระนนั้ กด็ ีในกรณีที่ทงั้ คเู่ กิดไปกนั ไมไ่ ด้และ ‚หยา่ ร้าง‛ กันหญิงผ้นู ี ้ ซงึ่ เคยมสี ามมี าและเคยผา่ นการร่วมประเวณีกบั สามมี ากอ่ นแล้ว ก็ยังสามารถจะแตง่ งานกับชาย คนใหมอ่ กี ได้ ซง่ึ แน่นอนวา่ การแตง่ งานกบั ชายคนใหมข่ องนางกห็ ลีกหนีไมพ่ ้นกิจกรรมทางเพศอีก เช่นกนั ฉนั ท์ใดก็ฉันท์นนั้ ในเมื่อสตรีที่เคยผา่ นการมีเพศสมั พันธ์กับสามีเก่าท่ีหย่าไปแล้วยงั เป็ น เร่ืองปกตทิ ่ีนางจะหาสามีใหม(่ ซงึ่ กบั สามีใหมก่ ็ต้องมีกิจกรรมทางเพศอีก) แล้วไฉนกันเล่าที่ผู้คน ตา่ งมองกนั วา่ การท่ีทาสหญิงเคยผา่ นการหลบั นอนกบั นายทาสคนเก่าจะถือเป็นเรื่องโหดร้ายหาก นางจะต้องมีการร่วมประเวณีกบั นายทาสคนใหม่!!? กใ็ นเมอ่ื การร่วมประเวณีของทงั้ สองรูปแบบนี ้ (สามี-ภรรยา&นายทาส-ทาสหญิง) ตา่ งกอ็ ยบู่ นความรับผิดชอบตอ่ เดก็ ท่ีเกิดมาและการดแู ลเลีย้ ง ดเู หมือนกนั ทงั้ สนิ ้ ฉะนนั้ หากบาทหลวงผ้นู ีว้ างกฎวา่ เม่ือนายทาสผา่ นการหลบั นอนกบั ทาสหญิง แล้ว นายทาสต้องห้ามขายนางให้ไปเป็ นของนายทาสคนใหม่อีก เราก็จําต้องวางกฎด้วยว่าว่า ภรรยาที่ผา่ นการหลบั นอนกบั สามีแล้วนางก็จําต้องห้ามแตง่ งานกับสามีใหม่อีก หรือไม่ก็ตงั้ กฎท่ี เลยเถิดไปวา่ คใู่ ดแตง่ งานกนั แล้วกห็ ้ามหยา่ ขาด คใู่ ดที่ทนกนั ไมไ่ หวกก็ ้มหน้าฝื นทนกนั ไปชว่ั กปั ชั่ว กลั ป์ !! สงิ่ เหลา่ นีค้ อื ‚กฎหมาย‛ ของอสิ ลามในแง่วา่ ‚อนญุ าต‛ หรือ ‚ไมอ่ นญุ าต‛ ให้ขาย มใิ ช่จะ มาถือโทษโรธแค้นตอ่ หลกั กฎหมายอสิ ลาม เพราะหากวา่ มีนายทาสคนใดจ้องแตจ่ ะมีเพศสัมพนั ธ์ กบั ทาสหญิงเพ่ือคลายใคร่กนั ถา่ ยเดยี วเมื่อเบ่ือก็ขายนางไป ความประพฤติของบุคคลประเภทนี ้ จกั ไมถ่ กู นํามาเชื่อมโยงกบั หลกั การอิสลามเพื่อประณามหยามเหยียดได้เพราะส่ิงเหล่านีไ้ ม่ใช่ข้อ สง่ เสริมให้กระทําของกฎหมายอิสลาม ทัง้ ยังไม่อาจจะถือว่ากฎหมายอิสลาม ‚มีช่องโหว่‚ ได้ เพราะการกระทําของคนชวั่ นนั้ กฎหมายท่ีสมบรู ณ์แบบใดๆก็ไมอ่ าจป้ องกนั การบิดพลิว้ และฝ่ าฝื น ของคนชั่วได้ ดังท่ีกฎหมายของทุกศาสนาและระบอบการเมือง,วฒั นธรรมสงั คมโลกแทบจะ ทงั้ หมดตา่ งก็ยอมรบั เรื่องของการ ‚หย่า‛ แตห่ ากเกิดมีคนวิกลจริตผ้หู นึ่ง ‚แตง่ งาน‛ กบั หญิงคน หนึง่ โดยมเี ป้ าประสงคเ์ พียงเพื่ออยากร่วมประเวณีกบั นาง หลงั จากได้นางมาเป็ นภรรยาแล้วเขาก็ สามารถหย่านางเมื่อเบื่อและหาภรรยาคนใหม่มาทําแบบเดียวกันได้(แบบนีป้ ี เดียวคงได้ภรรยา เกือบโหล) ซ่ึงการกระทําเช่นนีเ้ ราไม่อาจจะโทษกฎหมายการ ‚หย่า‛ ของทกุ ศาสนาวา่ ‚มีช่อง โหว‛่ ได้ แตค่ วรจะโทษตอ่ ตวั มนษุ ย์ท่ีกระทําตนเลวทรามเอง ข. การหลง่ั นอกและการขาย

~ 153 ~ ส่ิงท่ีจําต้องเข้าใจก็คือ การขายทาสหญิงที่ผา่ นการหลบั นอนกบั นายทาสนนั้ ในอิสลาม อนมุ ตั ใิ ห้ขายก็ตอ่ เมอื่ นางพ้นช่วง ‚อิสติบรออฺ‛ หรืออสจุ ิของนางปลดพ้นจากการตงั้ ครรภ์แล้วจึง จะขายนางให้แก่คนอ่ืนได้แตห่ ากนางตงั้ ครรภ์ขนึ ้ มากไ็ มอ่ นมุ ตั ิให้นายทาสขายนางได้อีกเพราะนาง จะเป็นไทและลกู ของนางจะต้องเป็นลกู ตามกฎหมายของนายทาส อย่างไรก็ดีบาทหลวง Silas ได้ กลา่ ววา่ หากนายทาสมสุ ลมิ ประสงคจ์ ะทํานางให้เป็นแค่ ‚นางบําเรอ‛ และไม่อยากรับผิดชอบต่อ ลกู ของนาง นายทาสมสุ ลิมก็สามารถแก้ปัญหาด้วยการหลงั่ นอกเพียงเท่านีน้ างก็ไม่สามารถตงั้ ท้องได้และนายทาสก็สามารถขาย ‚นางทาสสวาท‛ ผ้นู ีแ้ ก่คนอื่นได้เม่ือถึงคราวที่เบ่ือในตวั นาง แล้ว วพิ ากษ์ การโต้แย้งให้เหตผุ ลของบาทหลวง Silas ผ้นู ีด้ เู หมือนจะมีนํา้ หนกั แตก่ ็เช่นเดยี วกบั กรณี กอ่ นหน้านีว้ า่ การโต้แย้งเชน่ นีไ้ มผ่ า่ นทงั้ ตามกระบวนการคดิ ของ ‚อิสลาม‛ และกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ด้วยเชน่ กนั มปี รากฏหะดษี อย่ตู ้นหน่ึงที่จะนํามาเป็ นข้อหกั ล้างการให้เหตผุ ลของนกั บาป Silas ผ้นู ีก้ ค็ อื หะดษี จากการรายงานของท่านญาบิรวา่ ‫أن رجلا أتى رسمل الله صتى الله لتي أستم فقال إن لي جارنة هي خادمكا أساعياكا أأعا أطمف لتيها‬ ‫أأعا أتره أن تحمل فقال الزل لكها إن شئ فإع سيأتيها ما قدر لها‬ ‚มีชายคนหน่ึงมาหาท่านศาสนทูต ศ็อลฯ และเขาไดถ้ ามทา่ นว่า ฉนั มีทาสหญิงคนหนึ่งซ่ึง ช่วยเหลือฉนั ดว้ ยการดน้าต้นไม้(ฉนั ชอบเธอ)และไดร้ ่วมรักกับเธอ แต่ฉนั เองก็ไม่อยากให้เธอ ตง้ั ครรภ์เลย โอท้ ่านรอซูลฉนั จะทาเช่นไร ท่านรอซูล ตอบว่าหากท่านประสงค์เช่นนน้ั ก็ให้ทาการ หลงั่ นอก แตแ่ มก้ ระนน้ั ก็เถอะส่ิงใดทีพ่ ระองค์อลั ลอฮฺกาหนดไว้แก่นางแลว้ มนั ก็จะตอ้ งเกิดขึ้น‛ หะดษี บทนีบ้ อกแกเ่ ราอยา่ งชดั เจนวา่ จากหลกั คาํ สอนของอิสลามแม้อสิ ลามจะเปิ ดโอกาส ให้นายทาสสามารถหลบั นอนกับทาสหญิงด้วยการหลงั่ นอกได้นัน้ แตก่ ็ไมใ่ ช่วา่ อิสลามจะเปิ ด โอกาสให้นายทาสสามารถหลีกหนีพ้นจากการต้องรับผิดชอบบุตรท่ีเกิดจากการทาสหญิงได้ พูด อกี นยั หนึง่ กค็ อื การหลงั่ นอกไมไ่ ด้เป็ นเงื่อนไขที่จะทําให้คนใดคนหน่ึงไมส่ ามารถตงั้ ครรภ์ได้ แต่ การตงั้ ครรภ์จกั เกิดขนึ ้ จากการกําหนดของพระผ้เู ป็นเจ้าไว้ล่วงหน้าแล้ว ดงั หะดีษในส่วนท้ายของ บทเดยี วกนั ความวา่ ‫فتبث الرجل ٍب أتاه فقال إن اْلارنة قد حبت فقال قد أخِبتك أع سيأتيها ما قدر لها‬ ‚ต่อมาไมน่ านนกั ชายคนนน้ั ก็มาหาทา่ นรอซูลอีก แลว้ เลา่ ว่า ทาสหญิงของฉนั ที่ฉนั เลา่ ให้ ท่านฟังคราวก่อนนั้น ตั้งครรภ์เสียแล้ว ท่านรอซูลจึงกล่าวว่า ฉันมิได้บอกท่านหรื อว่าส่ิงใด ทีอ่ ลั ลลอฮฺกาหนดไวจ้ ะตอ้ งเกิดข้ึน‛135 135 ศอฮฮี ฺมสุ ลมิ . กิตาบนุ นิกาฮฺ. หมายเลขหะดีษ : 1439

~ 154 ~ ดงั นนั้ จากหะดษี ท่ียกมานีค้ อื สงิ่ ที่ยืนยนั วา่ มนษุ ย์แม้จะใช้การหลงั่ นอกมนษุ ย์ก็ไมส่ ามารถ หลีกหนีการตงั้ ครรภ์ท่ีพระเจ้ากําหนดไว้ได้ ความจริงข้อนีส้ ามารถพิจารณาได้จากอตั ราการ ตงั้ ครรภ์ในหมสู่ ตรีวยั รุ่นท่ีชิงสกุ ก่อนหา่ ม เอาแคเ่ ฉพาะในไทยเราปัญหาการตงั้ ครรภ์เองก็มากพอ จนทําให้พวกโง่งมบางกลมุ่ อย่างเช่นพวกเต้นกินรํากินอย่างดาราบางคนต้องออกมาสนบั สนุน กฎหมายการทําแท้งแบบครอบจกั รวาล สง่ิ เหลา่ นีส้ ะท้อนให้เห็นถงึ ปัญหาการตงั้ ครรภ์ในภาวะไม่ พร้อมของเดก็ หนมุ่ สาวใจแตกของไทย แตก่ ระนนั้ ก็ตามเราจะคิดว่าเดก็ หน่มุ สาวที่ใคร่ชิงสกุ ก่อน หา่ มเหลา่ นีจ้ ะไมร่ ู้จกั กระบวนวธิ ีการหลงั่ นอกเพ่ือหลกี เลีย่ งการตงั้ ครรภ์เลยหรือ?? หามิได้พวกเขา รู้จกั มนั และปฏบิ ตั ิมนั อยา่ งแน่นอน แตก่ ระนนั้ ก็ตามเหตไุ ฉนปัญหาท้องก่อนแต่งนับวนั ก็ยิ่งมีแต่ เพิ่มขนึ ้ อีก??? คาํ ตอบกอ็ ย่จู ากหะดีษของท่านนบีข้างต้นที่ว่า ‚สิ่งใดที่พระองค์อลั ลอฮฺกาหนดไว้ แลว้ มนั ก็จะตอ้ งเกิดขึ้น‛ และในทางกลบั กนั สง่ิ ที่ยืนยนั ถึงสจั ธรรมของอิสลามแก่ราก็คือ การหลงั่ นอกไมใ่ ชเ่ งื่อนไขทําให้คนไมเ่ กิดการตงั้ ครรภ์เพราะขนาดสามภี รรยาท่ีแตง่ งานกนั และใช้วิธีหลงั่ ใน กนั มาตลอดกใ็ ช้วา่ จะติดลกู งา่ ยๆ สว่ นใหญ่กวา่ ภรรยาจะตงั้ ครรภก์ ผ็ า่ นเวลาการแต่งงานไปเกือบ ปี แล้ว และบางรายหลงั่ ในกนั แคไ่ หนก็ยงั ไมต่ งั้ ครรภ์จนต้องรีบแจ้นปรึกษาแพทย์กนั ยกใหญ่ดงั ที่มี ให้เห็นกันเกลื่อน ฉะนนั้ บาทหลวง Silas จะนําเอาการอนุมตั ิเร่ืองหลงั่ นอกมาเป็ นเงื่อนไขโจมตี อสิ ลามวา่ ทําให้นายทาสสามารถมีเพศสมั พันธ์โดยไม่ต้องเสี่ยงกบั การตงั้ ครรภ์และสามารถขาย ทาสหญิงที่ไมต่ งั้ ท้องได้ จึงเป็ นการให้เหตผุ ลที่เลื่อนลอยและขาดการพิจารณาในทางความจริง มากที่สดุ ความสมั พนั ธ์ทางเพศทบั ซ้อน!!? นาย Silas ยงั ได้หยิบยกประเดน็ ทางกฎหมายอสิ ลามวา่ ด้วยการอนมุ ตั ิความสมั พันธ์ทาง เพศทงั้ ตอ่ หญิงทาสผ้แู ม่ที่เราครอบครองและลกู ทาสของนางท่ีไม่ได้เกิดจากตวั นายทาสเองแต่ อาจจะเกิดจากตวั ของนายทาสเกา่ ของนางตดิ ตวั มาด้วย ในกรณีเช่นนีเ้ ขาอ้างวา่ หลกั การอิสลาม อนมุ ตั ิให้นายทาสสามารถมีสมั พนั ธ์ได้ทงั้ ตวั แมท่ าสและลกู ทาสของนาง ดงั การอ้างข้อเขียนที่ฟัต วาโดยทา่ นอบิ นตุ ยั มียะฮฺ ในหนงั สือของท่าน ดร.อบั ดลุ ละตีฟ แห่งมหาวิทยาลยั อลั อสั ฮรั ความวา่ ‚บคุ คลทีค่ รอบครองทาสหญิง (ผูแ้ ม)่ และรวมถึงครอบครองลูกทาสของนางดว้ ยนน้ั การ เป็นนายทาสของเขาต่อตวั ทาสหญิงผูเ้ ป็นแมม่ ีผลทาใหเ้ ขาเป็นนายทาสต่อลูกของนางดว้ ย ไม่ว่า ลูกของนางจะเกิดจากสามีเดิมของนางหรือเป็นลูกนอกกฎหมาย (ลกู ซินา) ก็ตาม ดงั นน้ั นายทาส จึงมีสิทธิที่จะสามารถมีเพศสมั พนั ธ์กบั ลูกทาสของนางไดด้ ้วย เพราะว่าลูกของนางก็คือลูกของ ทาสอันเป็ นทรัพย์สินที่เขาครอบครอง โดยมีเงื่อนไขว่าเขาจะต้องไม่หลบั นอนกับทั้งสองใน ระยะเวลาเดียวกนั ‛

~ 155 ~ จากฟัตวาที่ดเู หมือนจะก่อความสบั สนนีไ้ ด้ทําให้พวกนักบรู พาคดีอย่าง เจ้า Silas (แก๊ง เดียวกบั เจ้า แซม แชมมนู ที่กลา่ วไปในตอนต้นของหนงั สือ) ต้องรีบฉกฉวยโอกาสดา่ ทอประณาม อิสลามวา่ ไร้มนษุ ยธรรมสามารถกดข่ีบีฑาทางเพศตอ่ หญิงทาสและลกู ของนางได้ด้วย!!? วพิ ากษ์ บาทหลวงไซลาสมิได้หยิบยกข้อความหรืออ้างงานเขยี นของอบิ นตุ ยั มยี ะฮฺแต่อย่างใดเลย ไม่ว่าจะมาจากหนงั สือมจั มอู ์อัลฟะตาวีย์ ของท่านหรือเลม่ อ่ืนๆ เพียงแต่เขาได้อ้างว่านําข้อมลู เหลา่ นีม้ าจากหนังสือของท่าน ดร.อบั ดลุ ละตีฟที่ชื่อว่า You Ask, Islam Answers. page 51-52. ซ่ึง เราก็ไมไ่ ด้พบแหล่งข้อมลู อีกตามเคยวา่ ฟัตวานีไ้ ด้นําเอาข้อเขียนของท่านอิบนตุ ยั มียะฮฺมาจาก แหลง่ ใด ทงั้ หมดดเู หมือนจะเป็นการกคุ วามขนึ ้ มาของบาทหลวงผ้แู ผดเผาดวงใจไปด้วยโมหะจริต นามวา่ ไซลาสเสยี เอง เพราะในกฎหมายพืน้ ฐานของอิสลามแล้วความสมั พนั ธ์ทางเพศท่ีชายผ้หู นึง่ มีต่อภรรยาหม้ายติดลูก ความสมั พันธ์ดังกล่าวนัน้ จะทําให้ตัวเขาเป็ นที่ต้องห้ามต่อลูกสาว (ลกู เลยี ้ ง)ของนางไปตลอดชีวิต ดงั ใจความของอลั กรุ อานวา่ ‫أٱبَِْهلُِحرِأَُّّرنَيَمْخْمفاََـكَِإٌُْْمِننَْملَإَِّتَّللْْيََاّأأَتَُمََمخُْممٰاََممتأُعُُقََّمُمْماْٰدََهماَُدَسُِمّمَتَخْْتمَناَُفَْٱمألبَـَٰإَِّكَبرَِاُهِّنََٰيَُّمنٱَملْمَِةتفَّلَََأاَأأَأََُتّمَاخََُٰٰجَهََمكَنتُاُُمََيحُْفمعَِلمََستَرأاًْيآَلئَََُِّٰرمّمُِماُْحميْمُمَمأْاَمًأَحَٰرَبتَََأائِئَِبخُلُاَٰلَُمأَاُبْـُمكَُماٱئَِْٰمَلِّتُمَيأبُمَـكَُِاٱَلبّ ُِذتنُحٱَنلُجأَِممِِرْخنُت ْأَمَأبـَِكَّْمصاَٰتَبِنُتُِعمّ ْٱمَسلآأَُئأِأَْخُمن ُِمَْتٱََٰلََّمأِأتَُمُّيم َٰمَاْهَادُبَـَُمْخٌْتَُنماُ ْامََٰلِّتي‬ ที่ได้ถกู ห้ามแก่พวกเจ้านนั้ คือมารดาของพวกเจ้า ลกู หญิงของพวกเจ้าพี่น้องหญิงของพวก เจ้า พี่น้องหญิงแหง่ บิดาของพวกเจ้า และพ่ีน้องหญิงแห่งมารดาของพวกเจ้า บตุ รหญิงของพ่ีหรือ น้องชายของพวกเจ้า บตุ รหญิงของพี่หรือน้องหญิงของพวกเจ้า และมารดาของพวกเจ้าท่ีให้นมแก่ พวกเจ้าและพี่น้องหญิงของพวกเจ้าเนื่องจากการดื่มนม และมารดาภรรยาของพวกเจ้าและ ลกู เลีย้ งของพวกเจ้าที่อย่ใู นตกั ของพวกเจ้าจากภรรยาของพวกเจ้าที่พวกเจ้าได้สมสนู่ าง แตถ่ ้า พวกเจ้ามิได้สมสนู่ างแล้ว ก็ไมม่ บี าปใด ๆ แกพ่ วกเจ้าและภรรยาของบตุ รพวกเจ้าที่มาจากเชือ้ สาย ของพวกเจ้า และการที่พวกเจ้ารวมระหวา่ งหญิงสองพ่ีน้องไว้ด้วยกนั นอกจากท่ีได้ผา่ นพ้นไปแล้ว เท่านนั้ แท้จริงอลั ลอฮฺเป็นผ้ทู รงอภยั ผ้เู มตตาเสมอ (4:23) ทา่ นอิมามสยุ ตู ีย์ได้อธิบายข้อความที่ว่า และมารดาภรรยาของพวกเจ้าและลกู เลีย้ งของ พวกเจ้าที่อย่ใู นตกั ของพวกเจ้า ไว้วา่ ‫{ َأأَُّم ََٰه ُ عِ َسائِ ُم ْم َأَربَائِبُ ُم ُم } جمع اربيبة) أهي بك الزأجة من يًنه‬

~ 156 ~ “และมารดาภรรยาของพวกเจ้าและลกู เลยี ้ งของพวกเจ้า-เราะบาอิบ-คอื พหพู จน์ของเราะบีบะฮฺ กลมุ่ คนในโองการนหี ้ มายถงึ บตุ รสาวของภรรยาที่มาจากสามีเดิม(เป็นท่ีต้องห้าม)”136 ทา่ นอิบนิกะษีรกลา่ ววา่ ْ‫ُ عِ َسآئِ ُم ْم َأَربَائِبُ ُم ُم ٱلَتّٰـَِْى َِب ُح ُجمِرُت ْم ِّمن ِعّ َسآئِ ُم ُم ٱلَتّٰـَِْى َد َخْتاُ ْم بِهِ َّن فَِإن ََّّلْ تَ ُممعُما‬ ‫َّل‬ ‫ سماء دخل بها أأ‬،‫ فإنها تحرم بمجرد المقد لتى ابكاها‬،‫ أما أم المرأة‬، } ‫ُجكَا َح َلتَْي ُم ْم‬ َ‫بِه{ِ َّنَأأَُفَّملَهٰـَا‬ : ‫أقمل‬ ‫َد َخْتاُ ْم‬ ‫ فإن طتق الأم قبل‬،‫ فلا تحرم بمجرد المقد لتى أمها حْى ندخل‬،‫ أهي بك المرأة‬،‫ أأما الربيبة‬،‫ندخل‬ ،‫ جاز ل أن نازأج بكاها‬،‫الدخمل بها‬ “และมารดาภรรยาของพวกเจ้าและลกู เลยี ้ งของพวกเจ้าที่อยใู่ นตกั ของพวกเจ้าจากภรรยา ของพวกเจ้าที่พวกเจ้าได้สมสนู่ าง แตถ่ ้าพวกเจ้ามไิ ด้สมสนู่ างแล้ว ก็ไมม่ บี าปใด ๆ แก่พวกเจ้า – ใน กรณีของมารดาภรรยานัน้ นางจะเป็ นท่ีต้องห้ามแก่ลกู เขยของนางหากว่าบุตรสาวของนางได้ แตง่ งานกบั เขาแล้วไมว่ า่ ทงั้ คจู่ ะมเี พศสมั พนั ธ์กนั หรือไมก่ ็ตาม แตใ่ นกรณีของแมห่ ม้ายลกู ติดนนั้ บุตรสาวของแม่หม้ายจะเป็ นท่ีต้องห้ ามต่อพ่อเลีย้ งของเขาหากพบว่าทัง้ ค่ไู ด้แต่งงานและมี เพศสมั พนั ธ์กันหลงั ผ่านพิธีการแต่งงานแล้ว แต่ทว่าหากชายผ้นู นั้ ได้หย่าภรรยาท่ีเป็ นแมห่ ม้าย ดงั กลา่ วโดยยงั ไมท่ นั ที่จะมเี พศสมั พนั ธก์ นั เขากไ็ ด้รบั อนญุ าตให้แตง่ งานกบั บตุ รสาวของเขาได้”137 จากโองการนีจ้ งึ เป็นที่ชดั เจนแก่เราแล้ววา่ ในกรณีท่ีนายทาสได้มีสมั พนั ธ์ทางเพศกับทาส หญิงท่ีเป็ นแมห่ ม้ายติดลกู จากสามีทาสเดิมของนาง ลกู สาวของนางก็จะเป็ นท่ีต้องห้ามแก่นาย ทาสอกี ตอ่ ไป ข้อกฎหมายดงั กลา่ วนีเ้ ป็นเร่ืองที่พืน้ ฐานมากจนข้าฯคิดว่าไมน่ ่าเป็ นไปได้ท่ีปราชญ์ ชนั้ สงู อย่างท่านอบิ นตุ ยั มยี ะฮฺจะออกคาํ ฟัตวาเชน่ นนั้ นอกเสยี จากจะเป็นเพียงการอปุ โลกน์ความ เทจ็ แกต่ วั ทา่ นโดยบาทหลวงผ้นู ีเ้ สียเอง และหากสมมตุ วิ า่ ทา่ นอิบนตุ ยั มียะฮฺออกฟัตวาเช่นนนั้ จริง ก็ไมใ่ ช่วิสัยของผ้ศู รัทธาจะต้องมืดบอดหลบั หหู ลบั ตาตาม เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องตามนัน้ คือ หลกั ฐานจากอลั กรุ อานอนั ประเสริฐและซุนนะฮฺของทา่ นนบีเทา่ นนั้ ในความเป็นจริงหากเราพิจารณาไตร่ตรองถึงกฎหมายว่าด้วยชนชนั้ ทาสตามที่มีปรากฏ อยใู่ นพระคมั ภรี ์ไบเบิลเปรียบทียบกบั การแอบอ้างคําประกาศิตของทา่ นอิบนตุ ยั มียะฮฺข้างต้นแล้ว เราจะพบความหน้ าไหว้ หลังหลอกในหมู่นักบูรพคดีท่ีชิงชังอิสลามดุจไฟสุมอกทัง้ หลาย 136 ตฟั ซีรญะลาลยั นฺ. (ออนไลน์) : http://www.altafsir.com/Tafasir.asp?tMadhNo=1&tTafsirNo=8&tSoraNo=4&tAyahNo=23&tDisplay=ye s&UserProfile=0&LanguageId=1 137 ตฟั ซีรอบิ นกิ ะษีร. เลม่ 2 หน้า 249.

~ 157 ~ เนื่องจากวา่ กฎหมายว่าด้วยเร่ืองทาสในไบเบิลนนั้ ดาษดื่นไปด้วยกระบวนการแห่งการกดขี่และ ละเมดิ ทางเพศตอ่ ทาสอย่างแท้จริง ดงั กฎหมายวา่ ด้วยการอนญุ าตให้นายทาสสามารถหลบั นอน กบั ภรรยาหรือบตุ รสาวของทาสชายที่ตนเองเป็ นเจ้านายอีกที ดงั ปรากฏพระบัญญัติท่ีโปรดท่าน ทงั้ หลายจงพิจารณาอย่างละเอยี ดดงั นี ้ อพยพ 21:1 ตอ่ ไปนี้เป็นกฎหมายซ่ึงเจา้ ตอ้ งประกาศใหเ้ ขาทงั้ หลายทราบไว.้ อพยพ 21:2 ถ้าเจ้าจะซื้อคนฮบี รูไว้เป็ นทาสเขาจะตอ้ งปรนนิบตั ิเจ้า หกปี แต่ปี ที่เจ็ดเขาจะได้ เป็นอิสระโดยไมต่ อ้ งเสียค่าไถ.่ . อพยพ 21:3 ทาสซ่ึงไดม้ าแต่ผู้เดียวจงปล่อยเขาไปแต่ผู้เดียวถา้ เขา มีภรรยาตอ้ งปล่อยภรรยา ของเขาไปดว้ ย.. อพยพ 21:4 ถ้านายหาภรรยาให้เขาขณะที่เขายงั เป็ นทาสและภรรยานนั้ เกิดลูกชายก็ดีหญิง ก็ดี ด้วยกันภรรยากับลูกน้ันจะเป็ นคนของนาย เขาจะเป็นอิสระไดแ้ ต่ตวั ผูเ้ ดียว.. อพยพ 21:5 ถา้ ทาสนนั้ มากลา่ วเป็นที่เข้าใจชดั เจนว่า'ขา้ พเจ้ารัก นายและลูกเมียของข้าพเจ้า ขา้ พเจา้ ไม่อยากออกไปเป็นไท'.. อพยพ 21:6 ใหน้ ายพาทาสนน้ั ไปเฝ้ าพระเจา้ พาเขาไปที่ประตหู รือไมว้ งกบประตแู ลว้ ใหน้ ายเจาะ หูเขาดว้ ยเหล็กหมาดเขาก็จะอยู่ปรนนบิ ัตินายต่อไปจน ชีวติ หาไม่.. อพยพ 21:7 ถ้าคนใดขายบุตรหญงิ เป็ นทาสีหญิงนน้ั จะมิไดเ้ ป็น อิสระเหมือนทาส.. อพยพ 21:8 ถา้ หญิงนน้ั ไม่เป็นทีพ่ อใจของนายทีร่ บั เธอไวต้ อ้ งยอมให้ คนอื่นไถเ่ ธอไปแตไ่ มม่ ีสิทธิ์ จะขายหญิงนน้ั ใหแ้ ก่ชาวตา่ งประเทศเพราะมิได้ ซื่อสตั ย์ต่อหญิงนนั้ แลว้ .. อพยพ 21:9 ถา้ นายยกหญิงนน้ั ใหเ้ ป็นภรรยาลูกชายของตนก็ใหเ้ ขา ปฏิบตั ิต่อหญิงนนั้ ดุจเป็น บตุ รีของตน.. ……………………………………………………………….. อพยพ 21:20 ถา้ ผใู้ ดทบุ ตีทาสชายหญิงของตนดว้ ย ไมจ้ นตายคามือผูน้ นั้ ตอ้ งถูกปรับโทษ.. อพยพ 21:21 หากวา่ ทาสนน้ั มีชีวิตตอ่ ไปได้วนั หน่ึงหรือสองวนั จึงตาย นายก็ไม่ต้องถูกปรับโทษ เพราะทาสนั้นเป็ นดังเงนิ ของนาย.. วพิ ากษ์ ขอให้ท่านผ้อู า่ นโปรดพิจารณาโองการเหลา่ นีโ้ ดยเฉพาะในช่วงข้อความท่ีข้าฯได้ขีดเส้นไว้ เราจะสามารถถอดความเข้าใจและสรุปได้ดงั นี ้ 1) นายทาสท่ีครอบครองทาสชายก็จะสามารถครอบครองเมียและลกู สาวของเขาไปด้วย หากวา่ ทาสชายผ้นู ีไ้ ด้แตง่ งานในขณะท่ีเขายงั เป็นทาส 2) ทาสในไบเบิลนนั้ ถกู ถือวา่ เป็นทรัพย์สนิ เงินทองของเจ้านาย สิ่งนีบ้ ง่ ชีว้ ่านายทาสสามารถ กระทําได้ตามต้องการกบั ทรพั ย์สินเงินทองของเขาแม้กระทง่ั การร่วมเพศกบั พวกนาง

~ 158 ~ 3) หากว่าทาสชายต้องการท่ีจะไถ่ตนเป็ นอิสระ มันก็จะเป็ นอิสระแก่เขาได้คนเดียวส่วน ภรรยาและลกู สาวของเขาก็ต้องตกเป็ นของเจ้านาย ในทางกลบั กนั หากเขาไมอ่ ยากเสีย ภรรยาและลกู ให้ตกอยใู่ ต้เงือ้ มมอื ของนายทาสเขาก็มีทางเลอื กเดยี วนน่ั คือต้องโดนทารุณ กรรมด้วยการเจาะหแู ละตรากตรําเป็นทาสไปจนตาย! ซง่ึ กฎหมายประการนีเ้ ป็นกฎหมาย ท่ีโหดร้ายมิอาจยอมรบั ได้เพราะเท่ากบั ปิ ดโอกาสการเป็นไทของทาสโดยสนิ ้ เชิง เน่ืองจาก ทาสไมม่ ีทางเลอื กนอกจากจะต้องเสียครอบครัวให้แก่เจ้านายตนไปหรือไมก่ ็ก้มหน้าจม ปลกั อยใู่ ต้ซากเดนแหง่ ระบอบทาสไปชว่ั ชีวิต 4) นายสามารถขายบตุ รสาวที่เป็นไทของตนให้เป็นทาสได้ จากข้อสรุปทงั้ หมดจึงเป็นท่ีแจ้งชดั แล้ววา่ นายทาสสามารถร่วมเพศกบั ภรรยาและบตุ รสาว(ทงั้ ท่ีถกู ขายและไมถ่ กู ขาย)ของทาสชายของตนได้ และท่ีสําคญั ไบเบิลจากโองการนีไ้ ด้เผยธาตแุ ท้ใน หลกั ความเชื่อของฝ่ ายยิวและคริสตเ์ ตียนถึงสถานภาพของทาสวา่ เป็นเพียงทรัพย์สินศฤงคารของ นายทาสเท่านนั้ จากข้อความท่ีวา่ อพยพ 21:21 หากว่าทาสนนั้ มีชีวิตตอ่ ไปไดว้ นั หน่ึงหรือสองวนั จึงตาย นายก็ไม่ตอ้ งถูกปรบั โทษ เพราะทาสนั้นเป็ นดังเงนิ ของนาย.. ในขณะท่ีคริสตศ์ าสนาและยิวถือวา่ ทาสคอื เงินทองของเจ้านายที่สามารถทบุ ตีโดยมใิ ห้ตายคา มือได้แต่ในทางกลบั กนั อิสลามกลบั ถือวา่ ทาสคือ ‚พี่น้อง‛ ท่ีมีสิทธิเหนือนายทาสดงั โอวาทของ ทา่ นมหาศาสนทตู ท่ีวา่ ‚ทาสของท่านก็คือบรรดาพีน่ อ้ งของท่าน‛ เป็นเวลาหลายปี ดดี กั แล้วท่ีข้าฯได้ยินได้ฟังเหลา่ บรู พาคดคี ริสต์เตียนตําหนิวา่ ร้ายอิสลาม วา่ เป็นศาสนาแหง่ ความเทจ็ เน่ืองจากวา่ อสิ ลามอนญุ าตให้นายทาสสามารถหลบั นอนกบั ทาสหญิง ของเขาได้ ทงั้ ที่เหตผุ ลดงั กลา่ วดตู ืน้ เขินและเทียบไม่ได้เลยกบั บัญญัติทางศาสนาที่ปรากฏในไบ เบิลซ่ึงอนมุ ตั ใิ ห้นายทาสสามารถร่วมประเวณีกบั หญิงทาสและลกู สาวของนางได้แม้วา่ ทงั้ สองจะ เป็นเมียและลกู ของทาสชายของเขาอกี คํารบหนึ่งก็ตาม!! ประวตั ิศาสตร์แห่งการปลดแอกทาสของอสิ ลาม ดงั ท่ีได้สาธยายไปในข้างต้นแล้ววา่ ข้อเท็จจริงทางประวตั ศิ าสตร์ได้พิสจู น์ถึงการมีอย่ขู อง สงั คมทาสอนั ชวั่ ร้ายก่อนการเกิดขนึ ้ ของอิสลามด้วยซาํ ้ ดงั นนั้ อิสลามจงึ มิอาจจะถกู ตดั สินคาดโทษ ทางประวตั ิศาสตร์ในฐานะผ้รู ิเร่ิมระบอบทาสขึน้ มาได้ เพราะในทางกลับกันอิสลามเสียเองท่ี พยายามเข้ามาล้มล้างระบอบทาสอันเลวร้ ายที่ปรากฏอย่างดาษด่ืนในอารยธรรมของโลก ตะวนั ออกกลางและโลกในภมู ิภาคสว่ นอืน่ ๆ

~ 159 ~ ทา่ นรอซูล ศอ็ ลฯ ได้ให้พจนารถอนั ย่ิงใหญ่ที่จะส่งผลตอ่ การปลดแอกทาสของขบวนการ ทางศาสนาในภายภาคหน้าหลงั การตายของท่านความวา่ ‫لا يجزي ألد أالدا إلا أن يجده ممتمتا فيشترن فيماق‬ ‚ความกตญั ํขู องผ้เู ป็นบตุ รตอ่ บิดาจะยงั ไมส่ มบรู ณ์ตราบใดทบี่ ิดาของเขายงั เป็นทาส เว้นแตเ่ ขาจะไถ่ตวั แล้วปดปลอ่ ยบิดาเขาให้เป็นไทเสียก่อน‚138 วจนะดงั กลา่ วได้อธิบายความกตญั ํตู ่อบิดาในอิสลามว่าเป็ นเนือ้ เดียวกนั กับอิสรภาพ ของบิดาจากปลกั ของความเป็นทาส ในขณะที่ลทั ธิความเชื่ออ่ืนล้วนนิยามความกตญั ํทู ี่ลกู มีต่อ บิดาอย่างไมเ่ ป็นตรรกะ ดงั ท่ีในบางลทั ธิมองวา่ ความกตญั ํขู องบตุ รคอื การที่บิดรมารดาสามารถ เกาะชายผ้าแห่งผลบญุ ของบตุ รไปสวรรค์โดยที่ตนเองมิได้มีสว่ นร่วมในการทําความดีความชอบ ตามพระธรรมบัญญัติเลยด้วยซํา้ ในขณะที่นิยายประโลมโลกนบั ชิน้ ก็สะท้อนภาพของความ กตญั ํไู ปในทิศทางที่บตุ รมิอาจคดั ค้านฝื นใจความปราถนาของบิดามารดาได้แม้วา่ ส่ิงนนั้ จะเป็ น ความชวั่ ก็ตาม ความกตญั ํใู นโลกทศั น์ของสงั คมยคุ อดตี จึงปรากฎออกมาด้วยการท่ีบตุ รจําต้อง ยอมรับความประสงค์ของบิดาท่ีจะขายตนเป็นทาสเรือนเบีย้ หรือเป็นนางบําเรอให้แก่ขนุ นางคนใด ก็ได้ ซ่ึงเป็นข้อกฎหมายท่ีคริสต์ศาสนายอมรบั ไว้ตามท่ีได้เสนอไป กระบวนวธิ ีหนึ่งที่อิสลามวางหมากกลในการปลดแอกทาส (มิใช่สกั แต่วา่ พดู โก้ๆให้ปลด แอกทาสแต่ไม่วางระบบในการปลดปล่อยทาสอย่างเช่นในบางระบอบและลทั ธิ) ก็คือการมอง การณ์ไกลในเชิงพฤติกรรมทางลบของมนุษย์ที่กลบั กลายเป็ นช่องทางไปสกู่ ารปลดปลอ่ ยทาสได้ ในท่ีนีห้ มายความว่าอิสลามชดเชยความผิดบาปของพฤติกรรมมนุษย์ด้วยทางออกของการ ปลดปลอ่ ยทาส ดงั นนั้ ความผิดบาปของมสุ ลิมคนหน่ึงจะสามารถแก้ไขหรือ ‚ล้างบาป‛ ได้ด้วย วิธีการของการปลดปลอ่ ยทาส กระบวนวธิ ีดงั กลา่ วนีม้ ปี รากฏในความผดิ บาปหลากหลายประเภท ท่ีมสุ ลิมผ้กู ระทําสามารถแก้ไขด้วยการปลดทาสในสงั คมให้เป็นไทได้ อาทิ การละทิง้ การถือศีลอด ในเดือนรอมฎอนโดยเจตนา หากแม้นผ้ลู ะทิง้ ไม่สามารถไถ่ความผิดบาปด้วยการถือศีลอด ติดต่อกันสองเดือนได้แล้วไซร้ การ ‚ปล่อยทาส‛ จึงเป็ นทางออกท่ีสําคัญที่บุคคลมีความผิด ประการนีส้ ามารถไถ่ตวั เองจากความผดิ บาปได้ วิธีการอีกประการหนึ่งท่ีจดั ว่าโดดเดน่ มากในการสร้างหน้าประวตั ิศาสตร์แห่งการปลด แอกทาสของอิสลามก็คือระบบการเก็บภาษี ‚ซะกาต‛ ของรัฐอิสลามจากประชากรมสุ ลิมในรัฐ อิสลาม ‚ซะกาต‛ ก็เปรียบเสมือนภาษีในรัฐประชาธิปไตยปัจจุบันท่ีเป็ นหน้าท่ีของพลเมืองท่ี จะต้องจา่ ยแกร่ ัฐ จะตา่ งกนั ตรงท่ีวา่ พลเมืองในรฐั อิสลามที่จะต้องจา่ ยซะกาตจะมาจากพลเมืองท่ี มอี นั จะกินหรือมอี ตั ราเกบ็ เงินรอบปี ครบตามเงื่อนไขที่ศาสนากําหนด ดงั นนั้ ระบบเศรษฐศาสตร์ใน 138 ศอฮฮี ฺมสุ ลมิ . กติ าบลุ อิตก.ฺ หมายเลขหะดษี : 1510

~ 160 ~ อสิ ลามท่ีมเี ร่ืองของซะกาตจึงเป็นระบบที่ประกนั สทิ ธิทางเศรษฐกิจแกค่ นจนและทาส โดยไมป่ ลอ่ ย ให้พวกผ้ดู เี ศรษฐีทงั้ หลายกองสมุ เงินไว้บนกองอกและใช้เงินอย่างสิน้ เปลืองผลาญไปกบั เร่ืองไร้ สาระ เช่น ท่ีพวกเศรษฐีในระบอบทุนนิยมมักใช้เงินนับแสนหมดไปกับการซื อ้ อาหารแมวหรือ ตกแตง่ เสอื ้ ผ้าราคาแพงให้สนุ ขั ทงั้ ท่ีบนท้องถนนตามเมืองใหญ่ยังมีคนมากมายต้องนอนขอทาน และอดอยากแม้กระทง่ั กว๋ ยเต๋ียวชาม 20 บาทก็ยงั หาซือ้ กินไมไ่ ด้!! ระบบซะกาตในอิสลามจึงเป็ น ระบบที่สอนสง่ั แก่พวกคนรวยมอี นั จะกินให้สาํ นึกเสมอวา่ เงินทกุ บาททุกสตางค์ในกระเป๋ าของเรา สว่ นหนง่ึ คือกรรมสิทธ์ิของคนจนและทาสอยู่ ด้วยเหตทุ ่ีซะกาตมีความสาํ คญั ในแง่การประกันสิทธิ สภาพของคนจนรัฐอิสลามจึงประกาศสงครามตอ่ ผ้ลู ะเมิดไมย่ อมจา่ ยซะกาต โดยสรุประบบซะกาตในอสิ ลามจะกําหนดให้คนมอี นั จะกินทงั้ หลายที่มีอตั ราเงินเก็บรอบ ปี ครบตามเงื่อนไขต้องจ่ายซะกาตแก่รัฐบาลอิสลาม ในแง่นีค้ นรวยมากๆก็จําต้องหักเป็ นเงิน ซะกาตมากเป็นเงาตามตวั โดยนําเอาวงเงินเกบ็ รอบปี มาคาํ นวณหกั เป็นเงินซะกาตในอตั รา 2.5 % (กรณีของประเภทซะกาตเงินทอง) มอบเป็นภาษีแก่รฐั บาลอิสลาม ซ่ึงรัฐบาลอิสลามจะนําเงินซะ กาตท่ีเก็บจากพลเมืองในประเทศทัง้ หมดมาแจกจ่ายแก่ผ้มู ีสิทธิรับซะกาตท่ีศาสนากําหนดไว้ 8 ประเภท ซ่ึงหนึ่งในนนั้ ก็คือทาสที่ต้องการเงินไปไถ่ตวั เป็ นอิสระ ขอให้ท่านผ้อู ่านลองคิดดเู ถิดว่า หากประชากรของประเทศท่ีมีสถานภาพทางเศรษฐกิจดอี ยา่ ง คเู วต,ดไู บและซาอดุ อิ ารเบีย จ่ายซะ กาตแกร่ ฐั บาล และรฐั บาลอสิ ลามประสงค์จะแก้ปัญหาเรื่องทาสโดยการมอบซะกาตแก่ทาสเป็ น นโยบายหลกั ของปี ท่ีเกบ็ จะมที าสจํานวนมากขนาดไหนถกู ไถต่ วั เป็นไท!!! และหากเรายงั มรี ะบอบ คอลฟี ะฮฺที่อาณาจกั รแผไ่ พศาลเช่นสมยั ท่านอมุ รั อิบนคุ ็อฏฏ๊อบ (รอฎิฯ) รัฐอิสลามแห่งคอลีฟะฮฺ จะสามารถเก็บซะกาตได้มากมายขนาดใดและทาสจะถูกไถ่ตัวเป็ นไทมากเท่าใด!!!!! และ ประวตั ศิ าสตร์ก็ได้บนั ทึกไว้แล้วา่ ในรัชสมยั ของท่านอมุ รั บินอบั ดลุ อะซีสแหง่ วงศ์อมุ ยั ยะฮฺทาสได้รับ การปลดปลอ่ ยจากนโยบายของซะกาตในจํานวนปริมาณที่มาก!!! นี่คอื หน้าประวตั ิศาสตร์อนั หน้าภาคภมู ใิ จของอสิ ลามท่ีวางกลยุทธในการปล่อยทาสด้วย ระบอบเศรษฐกิจ เป็นหน้าประวตั ศิ าสตร์แห่งการปลดแอกทาสด้วยพจนารถของท่านศาสนทตู ท่ีได้ เอย่ ไปทงั้ หมด หน้าประวตั ิศาสตร์แห่งการปลดแอกทาสในสว่ นนีจ้ ึงหาใช่การพรํ่าสอนแค่ในทาง ทฤษฎีโดยปราศจากการปฏิบตั ิอย่างเป็ นรูปธรรมไม่ ในทางกลบั กันผลจากคําสอและการวาง หมากกลในการทําลายระบบทาสของอิสลามได้ทําให้ประวตั ิศาสตร์อิสลามถกู จารึกด้วยหน้า ประวตั ิศาสตร์แหง่ การปลดแอกทาส ดงั นี ้ ท่านศาสนทตู ศอ็ ลฯ ปลดปลอ่ ยทาสด้วยกําลงั ทรพั ย์สว่ นตวั ของทา่ นและอนื่ ๆไปทงั้ สนิ ้ 63 ราย,ท่านอบบู กั ร 63 ราย,ท่านอบั ดรุ เราะฮฺมาน บินเอาฟฺ 30,000 ราย, ท่านฮะกีม บิน ฮุชาม 100 ราย,ท่านอลั อบั บาส 70 ราย, ท่านหญิงอาอิชะฮฺ 69 ราย,ท่านอบั ดลุ ลอฮฺ บินอมุ รั 100 ราย, ท่าน อษุ มานไถ่ทาสเป็นไทในทกุ วนั ศกุ ร์และท่านยงั กลา่ ววา่ ทา่ นจะไถ่ตวั ทาสคนใดก็ตามท่ีละหมาดวนั

~ 161 ~ ศกุ ร์ด้วยความนอบน้อมตงั้ ใจ, ท่านซุลคิละฮฺ เคยไถ่ทาสในวนั เดียวถึง 8,000 ราย (รอฎิยลั ลอฮุ อนั ฮมุ ) ทงั้ หมดนีค้ อื ความมงุ่ มนั่ ในการไถ่ทาสของเหลา่ สาวกของท่านศาสนทูตด้วยทุนทรัพย์และ ความสามารถของตนเองและของแตล่ ะปัจเจกบคุ คลทงั้ สนิ ้ สาํ หรบั ตวั ของทา่ นอมุ รั อิบนคุ อ็ ฏฏ๊อบ อคั รสาวกคนสําคญั ที่ทา่ นศาสนทตู เน้นยํา้ ให้มสุ ลิม ยึดม่ันเป็ นแบบอย่างแล้ว ตําแหน่งคอลีฟะฮฺและการเป็ นนกั บริหารท่ีชาญฉลาดของท่านทําให้ ประวตั ิศาสตร์ต้องโจษจนั ท์ถึงความสําเร็จของทา่ นในการปลดปลอ่ ยทาส ดงั นี ้ 1) บรรดาเผา่ ทงั้ หมดท่ีได้ตกมรุ ตดั (สิน้ สภาพการเป็ นมสุ ลิม) เพราะปฏิเสธการจ่ายซะ กาตในช่วงสมยั ของทา่ นอบบู กั ร และได้ถกู ท่านอบบู กั รปราบปรามจนถกู จบั เป็ นทาส มากมาย ท่านอมุ รั (รอฎฯิ ) ได้สงั่ ปลอ่ ย ทาสเหลา่ นีใ้ ห้เป็นไทจนหมดสนิ ้ 2) ทา่ นอมุ รั ได้ออกคาํ สงั่ ห้ามมิให้มกี ารนําชาว ‚ซิมม‛ี (คนตา่ งศาสนิกที่อาศยั ภายใต้รัฐ อสิ ลาม) มาเป็นทาส 3) ชาวอาหรบั จะต้องไมถ่ กู นํามาเป็นทาส 4) บคุ คลที่ถกู จบั เป็นทาสในยคุ สมยั แห่งความเดียรถีย์ก่อนการมาของอิสลามและได้มี ชีวิตยืนยาวเป็ นสักขีพยานถึงการเรืองอํานาจของยุคสมยั แห่งอิสลาม ควรจะต้อง พยายามไถ่ถอนตวั เขาเองจากความเป็นทาสด้วยการพยายามหาเงินสินไหมมาจ่าย ทดแทนแก่นายทาสของเขา ไมว่ า่ นายทาสจะเตม็ ใจให้เขาไถ่ตวั หรือไมก่ ็ตาม เก่ียวกับค วามพยาย ามท่ี จะล้ มล้ างระบ อบท าสใ นสังค มอาหรับ ช่วงรัชสมัยแห่งการ ปกครองของท่านอมุ รั อิบนุค็อฏฏ๊อบนัน้ จําต้องพิจารณากันในรายละเอียด เพราะถือว่าเป็ น ปรากฎกา รณ์ อันน่าต่ื นตาตื่นใจ มากท่ี ระบ อบทาสไ ด้ รับความ พยายามจ ากอํานาจ รัฐในกา ร ปลดปลอ่ ยพวกเขาออกจากระบอบเศรษฐกิจและการผลิตอนั โหดร้ายในยคุ สมยั นนั้ ความพยายามของท่านอมุ รั รอฎิฯ ในก้าวแรกเพ่ือการปลดปล่อยทาสเกิดขนึ ้ นับตงั้ แต่ ท่านเข้ารบั ตําแหนง่ คอลีฟะฮฺแห่งอิสลาม นโยบายแรกของท่านก็คือการปลดปล่อยทาสที่เป็ นผล มาจากเชลยศึกในสงครามปราบปรามผ้ตู กศาสนาในยุคสมัยของท่านอบูบักร การขึน้ ครอง ตําแหน่งคิลาฟะฮฺของท่านอุมัรนัน้ นําพามาซึ่งการขยายตัวของอาณาจักรอิสลามจนนัก ประวตั ิศาสตร์ลงความเห็นวา่ ยคุ สมยั นีเ้ ป็นยคุ สมยั ที่อิสลามยิ่งใหญ่และแกร่งท่ีสดุ แล้ว จนเรียกได้ เลยวา่ เป็นยคุ สมยั แหง่ จกั รวรรด์อิ สิ ลามที่ออกดอกผลมาจากท้องทะเลทรายอนั วา่ งปล่าว แต่สิ่งที่ ผลกั ดนั พวกเขาในการเป็นผ้ปู กครองโลกนนั้ มใิ ช่เศรษฐกิจและผลประโยชน์ทางการเมืองดงั ท่ีพวก โรมนั และเปอร์เซียได้กระทําไว้ หากแตเ่ ป็นเพราะแรงศรทั ธาตอ่ พระเจ้าของพวกเขาที่ได้ผลกั ดนั ให้ จกั รวรรดิ์แหง่ ศรทั ธานีอ้ บุ ตั ขิ นึ ้ ในยคุ สมยั ของท่านการพิชิตดินแดนและการขยายอาณาจกั รได้ขจร ขจายไปอย่างกว้างไกล แตส่ ิ่งที่นา่ อศั จรรย์กค็ ือการท่ีดินแดนซ่ึงถกู พิชิตมีขนาดกว้างขวางนับหม่ืน ไมล์และมปี ระชากรนบั ล้านๆคน แตท่ วา่ เมื่อแสวงหาหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ท่ีบ่งบอกถึงการ

~ 162 ~ นําคนมาเป็นทาสจากดินแดนที่พิชิตได้เหลา่ นีเ้ รากลบั พบวา่ มนั มีน้อยมากทงั้ ยังจํากัดแค่ในบาง พืน้ ท่ีเท่านนั้ และกระทงั่ พืน้ ที่ท่ีถกู พิชิตซง่ึ ทหารมสุ ลิมได้นําคนมาเป็ นทาสก็ปรากฎว่ากลมุ่ บคุ คล เหล่านนั้ ล้วนแล้วแต่เป็ นทหารท่ีส้รู บกบั มสุ ลิมในสนามรบทงั้ สิน้ ทงั้ หมดล้วนเป็ นทาสจากเชลย สงครามตามนโยบายการลงโทษเชลยของอิสลามดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ในพืน้ ท่ีอนั กว้างใหญ่ อย่างอิรัคและอียิปตซ์ ง่ึ ถกู พิชิตโดยมญุ าฮิดีนมสุ ลิมแตท่ วา่ มนั กลบั หาเชลยสงครามท่ีถกู นํามาเป็ น ทาสจากดินแดนทงั้ สองไมไ่ ด้เลยด้วยซํา้ และในบางครงั้ เม่ือมกี ารนําผ้แู พ้มาทําเป็นทาสในครงั้ การ พิชิตอียิปต์ อมุ รั ก็กลบั แสดงท่าทีคดั ค้านและได้มีการสง่ จดหมายไปยงั ข้าหลวงอียิปต์โดยระบวุ ่า มันป็ นเร่ืองไม่ถูกต้องตามสิทธิของมุสลิมที่จะนําเอาเชลยสงครามเหล่านีม้ าทําเป็ นทาส นัก ประวตั ิศาสตร์มสุ ลมิ อยา่ งท่านมกั ริซีย์ได้ระบชุ ื่อและรายละเอียดของการสง่ั ปล่อยทาสในหมบู่ ้าน ตา่ งๆของอียิปต์จากคําสง่ั ของท่านอมุ รั และในการขยายอาณาเขตไปยังฟากทิศตะวนั ออกกอง ทหารญิฮาดของคอลฟี ะฮฺอมุ รั ได้พิชิตดนิ แดนอนั กว้างใหญ่ไมว่ า่ จะเป็นบสั เราะฮฺ,ทิบีเรีย,ดามสั กสั ,ฮิมส,์ ฮามาด,อสั กอลาน,อนั ติออค,เปอร์เซีย.คซู ิสสถาน,เคิรมาน.ญาซิเราะฮฺและอืน่ ๆเรากไ็ มพ่ บวา่ จะมีการนําคนในดินแดนเหลา่ นีม้ าทําเป็ นทาสแตอ่ ย่างใดเลย มีเพียงแค่เชลยสงครามในซีเรีย เทา่ นนั้ ที่ได้ถกู นํามาเป็นทาสและพวกนีก้ เ็ ป็นคริสตเ์ ตียนเดิมที่ค้าทาสอย่ใู นดนิ แดนนีแ้ ตแ่ รกแล้ว ในอาณาบริเวณที่เรียกวา่ มนุ าศ็อร แม้วา่ พวกทหารมสุ ลิมจะได้มีการนําเชลยศกึ มาเป็ น ทาสแตใ่ นภายหลงั ท่านอมุ รั ก็ได้สง่ั ปลอ่ ยพวกเขาให้เป็ นไททงั้ หมดโดยกําหนดว่าทาสเหล่านีจ้ ะ เป็นพลเมอื งของรฐั อิสลามด้วยการจ่ายภาษีญิสยะฮฺแทน และในเวลาต่อมาท่านก็ได้ส่งคําบัญชา ไปยังท่านอบูมซู าอัลอชั อะรีย์ว่าห้ามนําเอาเกษตรกรและช่างฝี มือมาเป็ นทาสเด็ดขาด และ นอกจากนีท้ า่ นยงั ได้ออกกฎหมายวา่ ทาสหญิง(ที่แตง่ งานกบั ทาสด้วยกนั )ซึง่ ได้ตงั้ ครรภแ์ ละกําเนิด บตุ รนนั้ จะต้องไมถ่ กู ขายเป็นทาสอยา่ งไมจ่ บสนิ ้ อีก ในเรื่องความเท่าเทียมกนั ระหวา่ งเสรีชนกบั ทาส พฤตกิ รรมสว่ นตวั ของท่านอมุ รั เองนนั้ กไ็ ด้ สร้างความเสมอภาคกบั ทาสอย่เู สมอ ดงั กรณีของการพิชิตเยรูซาเลมซึ่งเราตา่ งทราบกันดีว่าท่าน อมุ รั เป็ นผ้จู ูงม้าและให้ทาสนัง่ บนหลงั ม้า ท่านยังได้เข้าไปจัดการระบอบความยุติธรรมระหวา่ ง ข้าหลวงกบั ทาสโดยอออกคาํ สง่ั วา่ ข้าหลวงคนใดไมท่ ําการเย่ียมเยียนทาสที่ล้มป่ วยจะต้องถกู ปลด ออกจากตําแหน่ง จนถึงขนาดวา่ ครงั้ หนงึ่ ท่านอมุ รั ได้เคยกลา่ ววา่ ขอคาํ สาปแชง่ จากอลั ลอฮฺจงมีแด่ ผ้ทู ่ีรังเกียจการกินอาหารร่วมโต๊ะกบั ทาส!! ในด้านสิทธิมนษุ ยชนเราจะพบวา่ เป็นเร่ืองนา่ ขนั มากท่ีนกั ประวตั ิศาสตร์ที่เจนจดั เรื่องทาส ตา่ งเขียนระบายสเี ก่ียวกบคั วามโหดร้ายของระบอบทาสในอดตี ซง่ึ มาจากการที่ทาสได้ถกู แยกออก จากครอบครัวของตนไปคนละทิศละทาง ประหนึ่งราวกับสิ่งของ แต่ทว่าจิตใจอนั เป่ี ยมไปด้วย มนษุ ยธรรมของท่านอุมรั ได้ทําให้ท่านออกคําส่ังห้ามการขายทาสโดยแยกออกจากกนั ระหวา่ ง ครอบครัวทาส หรือห้ามแยกทาสท่ีมคี รอบครวั ให้อยภู่ ายใต้นายคนละคน เช่น พ่อทาสอยู่กบั นาย

~ 163 ~ อกี คน ส่วนลกู ทาสก็อย่กู ับนายอีกคน ท่านอมุ รั มองว่าทาสท่ีมีครอบครัวจําต้องอย่ภู ายใต้ความ อบอ่นุ ของครอบครัวตนเอง ในการปฐกถาครัง้ สําคญั ของท่านอมุ รั ท่านอิมามอะฮฺมดั ได้บันทึก โอวาทของทา่ นไว้ในหนงั สอื มสุ นดั ของท่านความวา่ “เมื่อทาสสองพี่นอ้ งไดถ้ ูกขายเขาจะตอ้ งไม่ถูกขายแบบแยกกนั เดก็ จะตอ้ งไมแ่ ยกออก จากมารดาของเขา และจากบรรดาบคุ คลทีถ่ กู จบั มาเป็นทาสในระหว่างสงคราม มารดาจะตอ้ งไม่ ถกู แยกออกจากบตุ รของเขา” ยงั มีปรากฏหลกั ฐานอกี วา่ ท่านอมุ รั ได้เคยถกเถียงปัญหาทางนิติสาสตร์อิสลามกับบรรดา ชาวมุฮาญิรีนและอนั ศอรโดยท่านได้ยกโองการท่ีวา่ “จงอย่าตัดสมั พันธ์ของพวกท่าน(กบั ญาติ มติ ร)” และอมุ รั ได้ถามบรรดาซอฮาบะฮฺวา่ จะมีความเลวร้ายใดยิ่งไปกว่าการแยกบรรดาทาสออก จากครอบครัวของพวกเขาอีก ปฏิเสธไม่ได้เลยวา่ ผลจากนโยบายแห่งโครงสร้างส่วนบนของรัฐ อิสลามท่ีทา่ นอมุ รั อิบนุค็อฏฏอ็ บได้วางรากฐานไว้นนั้ ได้กลายมาเป็ นพืน้ ฐานของการสร้างความ เสมอภาคระหวา่ งทาสกับเสรีชนขนึ ้ ในรัฐอิสลาม ข้อเท็จจริงตรงนีเ้ ราได้รับการพิสูจน์จากการที่ ประชาชาตอิ สิ ลามได้เป็นหนีบ้ ญุ คณุ หรือรบั มรดกทางวิชาการมาจากกล่มุ บุคคลที่มีรากเหง้าเดิม มาจากความเป็นทาสทงั้ สนิ ้ และเราจะไมพ่ บประชาชาติอ่ืนใดอีกแล้วที่พวกเขาได้แปรสภาพของ ทาสไปสคู่ วามเป็ นชนชนั้ ราชบณั ฑิตทางศาสนาและด้านการปกครอง ในหมพู่ วกเขามีท่านอิกริ มะฮฺซ่ึงเป็นหนง่ึ ในบรรดาอมิ ามและนกั หะดษี ทงั้ หลาย ทา่ นผ้นู ีไ้ ด้รบั การสบื ทอดวิชาแหง่ ความเป็น ปราชญ์มาจากทา่ นอิบนอุ บั บาส ในขณะที่ที่นาเฟี๊ ยะอฺซึ่งเป็ นอาจารย์ของปราชญ์ผ้ยู ิ่งใหญ่อย่าง ทา่ นอิมามมาลกิ เองก็ล้วนแล้วแตผ่ ่านการเคยเป็ นทาสมาก่อนทงั้ สิน้ ในการบันทึกของท่านอิบนิ เคาะลิกอ็ น ได้มรี ะบวุ า่ แตเ่ ดิมในนครมาดีนะฮฺยุคหลงั ซอฮาบะฮฺผ้คู นก็มีทัศนะวิสยั ที่เป็ นลบและ เหยียดหยามทาสเช่นเดียวกับมนษุ ย์สว่ นอื่นๆของโลก จนกระท่ังเม่ือท่านกอซิมหลานชายของ ทา่ นอบบู กั รและทา่ นซาเลม็ หลานชายของท่านอมุ รั ได้เดินทางมาพํานกั ยงั นครมาดีนะฮฺและเร่ิมทํา การสอนศาสนา สถานภาพของทาสหญิงกไ็ ด้รบั การยกให้สงู สง่ ขนึ ้ ด้วยแก่นธรรมของอิสลาม ซ่ึงใน ทศั นะของปราชญ์อิสลามนามระบืออย่างชิบลยี ์ นอุ มฺ านีย์แล้ว การให้เกียรตแิ ละเคารพยกยอ่ งทาส ในสงั คมมสุ ลิมล้วนเป็นผลมาจากนโยบายการปฏริ ูปทาสของรัฐบาลของท่านอมุ รั ทงั้ สิน้ และการ ปฏิรูปดงั กลา่ วก็ไมใ่ ช่เร่ืองของส่ิงอตุ ริกรรม(บิดอะฮฺ)ของท่านอมุ รั แตอ่ ย่างใดเลย เพราะแก่นคํา สอนของอิสลามซงึ่ มาจากท่านนบีศอ็ ลฯนนั้ ได้ปรู ากฐานทางจริยธรรมแก่ประชาคมมสุ ลิมเพื่อการ ปลดปลอ่ ยและดแู ลทาสอย่างดีอยแู่ ล้ว139พิจารณาจากข้อเทจ็ จริงทงั้ หมดท่ีได้เอย่ ไปนีก้ ารแอบอ้าง ของ นายอาลี ดาชตีย์140 ที่ว่าสงครามหรือญิฮาดท่ีบรรดามสุ ลิมกระทําไปทัง้ หมดนัน้ ล้วนมี 139 Shibli Nu’mani. Omar The Great (The Second Caliph of Islam) Volume II. Pp. 186-194 140 Ali Dashti. Twenty Three Years:A Study of the Prophetic Career of Mohammad. P.190.

~ 164 ~ แรงผลกั ดนั สําคญั มาจากความกระหายท่ีจะปล้นสะดมทรัพย์สินของรัฐเพ่ือนบ้านและจับสตรีมา ทําทาสนนั้ จึงเป็นสมมตุ ิฐานที่ง่อยเปลยี ้ อวิชชาเป็นท่ีสดุ !141 ความสําเร็จอันย่ิงใหญ่ของชาวมสุ ลิมในการปลดแอกทาสในยุคต้นของรุ่งอรุณแห่ง อิสลามมิอาจจะถูกอธิบายว่าเป็ นไปเพราะปัจจัยทางสงั คมหรือระบอบการผลิตของมนุษย์ที่ เปลี่ยนแปลงไปใดๆได้เลยตามที่นักวิชาการแขนงมาร์กซิสต์นิยมอธิบายถึงการเลิกทาสในสงั คม โลก เพราะเบือ้ งหลงั แรงกระต้นุ ในการเลกิ ทาสตามที่เกิดขนึ ้ ในช่วงยุคต้นของอิสลามคือเรื่องของ ‚ววิ รณ์ธรรมปฏิพากย์‛ ซ่ึงผสมผสานจากจิตนิยมและวตั ถนุ ิยมจนหลอ่ หลอมขนึ ้ มาเป็ นระบอบอตั ลกั ษณ์แหง่ อสิ ลาม อดุ มการณ์แหง่ การเลกิ ทาสในอสิ ลามและรัฐบาลมสุ ลิมในยคุ สมยั ต้นได้ก่อผล ผลขนึ ้ จากคติพจน์ในเรื่อง “ความเท่าเทียม” ของมนษุ ย์ในฐานะบ่าวของพระเจ้า ตลอดจนการชีน้ ํา ของอิสลามต่อมนษุ ย์ในพันธะแห่งการปลดแอกทาส หากเราจะยึดปรัชญาของมาร์กมาทําการ อธิบายตอ่ ปรากฏการณ์ในการเลกิ ทาสในยคุ สมยั ของการปกครองอนั อดุ มคติของอสิ ลามเราจะพบ กบั ความมดื บอดของทฤษฎไี ดอเลคตกิ ของคาร์ลมาร์ก เพราะวตั ถุนิยมวิภาษวิธีของเขาท่ีเน้นการ อธิบายถงึ ปรากฏการณ์ทางสงั คมที่เปลีย่ นแปลง,ขดั แย้ง,ตอ่ ส้,ู พึ่งพิงไปบนพืน้ ฐานของการมีวตั ถุ (เศรษฐกิจ)เป็ นเหตนุ ัน้ ไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ในการเลิกทาสของมวลมสุ ลิมได้อย่าง แนน่ อน หากพิจารณาด้วยทฤษฎขี องมาร์กที่เช่อื วา่ โครงสร้างสว่ นลา่ งของรฐั อย่างเชน่ เศรษฐกิจจะ เป็นตวั กําหนดกรอบโครงสร้างสว่ นบนของรัฐให้เป็นไปในทิศทางท่ีสอดรบั กบั ระบอบเศรษฐกิจและ การผลิตแล้ว จากทฤษฎีนีร้ ัฐอสิ ลามจะต้องเออออหอ่ หมกและขดู รีดชนชนั้ ทาสอยา่ งแนน่ อนเพราะ สงั คมอาหรับในยคุ นนั้ ยงั ไมเ่ ข้าสรู่ ะบอบการผลิตแบบศกั ดินาท่ีอาศยั การผลิตแบบเกษตรกรรม หากแตย่ งั เป็นระบอบทาสอยู่ แตก่ ลบั กนั ภาพแห่งประวตั ิศาสตร์ท่ีฉายให้เราเหน็ นนั้ กลบั สวนทาง ไปจากทฤษฎกี ารวิเคราะห์นีเ้ พราะรฐั อิสลามโดยเฉพาะโครงสร้างสว่ นบนเสียเองท่ีก้าวกระโดดลง 141 ข้อสนบั สนนุ สาํ คญั ของอาลี ดาชตีย์ทว่ี า่ เหลา่ ศอฮาบะฮฺทําสงครามเพ่ือแสวงหาความม่งั ค่ังทางเศรษฐกิจก็ คือการทแี่ มท่ พั นายกองมสุ ลมิ มีฐานะรํ่ารวยขนึ ้ มาจากการได้รับสว่ นแบ่งในทรัพย์สงคราม ข้อวิจารณ์ดงั กล่าวนี ้ ค่อนข้างหยาบกร้านและผิวเผินมาก แน่นอนทรัพย์สงครามคือสิ่งที่บรรดาซอฮาบะฮฺได้รับมาในการญิฮาดของ พวกเขาแต่นน่ั เป็ นเง่อื นไขเดด็ ขาดแล้วหรือท่ีจะพสิ จู น์วา่ พวกเขามิได้ญิฮาดเพ่ืออัลลอฮฺแต่ญิฮาดเพ่ือทรัพย์สิน? แนน่ อนวา่ การได้รบั ทรัพย์สงครามเป็ นเพียงผลพลอยได้ของบรรดาซอฮาบะฮฺในการทําสงครามเท่านนั ้ ข้อพิสจู น์ นีพ้ ิจารณาได้จากการท่ีท่านอมุ รั ได้วางกฎของการพิชิตดินแดนว่าหากดินแดนใดมิได้ต่อส้ขู ัดขืนต่อการญิฮาด ของมสุ ลมิ หรืยอมแพ้แต่โดยดีทรพั ย์สนิ และท่ีดนิ ของพวกเขากจ็ ะไม่ถกู ยดึ ครองแต่อย่างใด หากแต่ทรัพย์สินท่ียึด ครองนนั ้ มาจากทรัพย์สนิ ทศี่ ตั รูของอสิ ลามของรัฐนนั ้ ๆได้ทิง้ ไว้เพราะการพ่ายแพ้สงครามของพวกเขาและอพยพ หลบหนีไป เชน่ ทรัพย์สนิ จากพระราชวงั ของกษัตริย์ทรราชแห่งเปอร์เซีย การยดึ ครองทรัพย์สินในสงครามจงึ มา จากทรพั ย์สนิ ทไ่ี มม่ ีเจ้าของหรือทรัพย์สินที่ฝ่ ายศตั รูทิง้ ไว้ หากชาวมุสลิมประสงค์จะยึดครองทรัพย์สงครามเสยี จริงพวกเขากจ็ ะต้องยดึ ครองทรพั ย์สนิ ทกุ กรณแี ละจริยธรรมทางสงครามท่ีอิสลามกําหนดไว้ในตวั ของพวกเขาก็ จะไม่มีปรากฎให้เห็น แต่ทวา่ น่ีคือภาพทไ่ี ม่เคยปรากฎในการญิฮาดของเหลา่ ซอฮาบะฮฺส่วนมากเลย

~ 165 ~ มาทําลายระบอบการผลิตอนั โหดร้ายในยคุ สมยั นนั้ อย่างระบอบทาส โครงสร้างสว่ นบนของรัฐ อสิ ลามย่อมไมม่ ีเหตผุ ลใดๆอย่างแน่นอนหากเราจะอธิบายวา่ การมงุ่ เลกิ ทาสของอาํ นาจรัฐอิสลาม นนั้ เป็นเพราะวตั ถหุ รือเศรษฐกิจตวั ใหม่ได้เข้ามากําหนดการเปล่ียนของระบอบการผลิตจนเกิด ความเปล่ียนแปลงทงั้ ที่ ณ ขณะนัน้ ยังไมม่ ีทนุ นิยมหรือแม้แตร่ ะบอบศกั ดินาสวามิภักดิ์เข้ามา แทนท่ีด้วยซํา้ ! สงั คมอาหรับนนั้ คอ่ นข้างแปลกไปจากสงั คมอื่นตรงที่วา่ มนั เป็นสงั คมทาสแล้วก็ก้าว กระโดดไปยังสงั คมทนุ นิยมอย่างทันทีข้ามหัวสงั คมศกั ดินาไปอย่างน่าฉงน การเลิกทาสของรัฐ อิสลามคอลีฟะฮฺนัน้ จึงเป็ นผลมาจากความเช่ือในเรื่องพระเจ้า ซึ่งอาจจะมีเรื่องของระบอบ เศรษฐกิจแบบอสิ ลามเป็นตวั สนบั สนนุ บ้างเพราะระบอบซะกาตกเ็ ป็นส่อื สาํ คญั ในการเลิกทาสใน สงั คมอาหรับ แตก่ น็ นั่ แหละท่ีระบอบซะกาตจะไมส่ ามารถดํารงอย่ไู ด้หากสงั คมมสุ ลิมปราศจาก การศรทั ธาในแก่นแท้แหง่ พระเจ้าอยา่ งลกึ ซงึ ้ มนั จึงพอจะทําเนาเรียกได้วา่ เป็ น เศรษฐกิจเชิงเทว วิทยาได้อยู่ และการเลิกทาสของรฐั บาลแห่งท่านอมุ รั รอฎิยัลลอฮุอนั ฮฺ จะต้องไม่ถูกอธิบายด้วย กับการนําเอาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ท่ีสงั คมมสุ ลิมประสงค์จะนําเข้ามาแทนท่ี ระบอบเดมิ เพราะการทําลายระบอบทาสในสงั คมอาหรบั โดยอสิ ลามนนั้ เป็นเรื่องของความศรัทธา และโลกทศั น์ในเร่ืองพระเจ้าที่ฝังแนน่ อย่ใู นดวงจิตของมวลมสุ ลมิ ในยคุ สมยั แรกทงั้ สิน้ ดงั ที่เราจะ พบหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ซ่ึงบนั ทึกตวั ตนของท่านอมุ รั ในเร่ืองของการเลิกทาสได้เป็ นอย่างดี ว่าท่านเลิกทาสเป็ นกระบวนการเสริมสร้ างความสมบูรณ์ทางศาสนาและเป็ นแบบอย่างอัน ประเสริฐของท่านศาสนทตู ศอ็ ลฯ! ทา่ นอิมามมสุ ลิมได้บันทึกหะดีษดงั กล่าวไว้ในศอฮีฮฺของท่าน เก่ียวกบั เหตกุ ารณ์ท่ีท่านอมุ รั ได้รบั ทาสหญิงจากสงครามแตท่ ่านต้องรีบปลดปล่อยทนั ทีที่ท่านได้ ยินวา่ ทา่ นรอซูลได้ปลดปลอ่ ยทาส ดงั ปรากฏความวา่ ‫فتما ألاق رسمل الله صتى الله لتي أستم سبانا الكاس سمع لمر بن الخطاب أصماتهم نقملمن‬ ‫ألاقكا رسمل الله صتى الله لتي أستم فقال ما هذا فقالما ألاق رسمل الله صتى الله لتي أستم سبانا‬ ‫الكاس فقال لمر نا لبد الله اذهب إلى تتك اْلارنة فخل سبيتها‬ ‚เม่ือท่านรอซูลของอลั ลอฮฺ ศอ็ ลฯ ทําการปลอ่ ยเชลยสงครามให้เป็ นไท(จากความเป็ น ทาส) และอมุ รั บตุ รของอลั คอ็ ฏฏ๊อบที่กําลงั ได้ยินเสียงของพวกเขา(ทาส)ซ่ึงกําลงั กล่าวว่า ศาสน ทตู ของอลั ลอฮฺ ศอ็ ลฯ ได้ปลดปลอ่ ยพวกเราให้เป็ นไท อมุ รั จึงกล่าวขนึ ้ ว่า อะไรกนั นี่? พวกทาสจึง ได้กลา่ ว(อกี ครงั้ )วา่ ทา่ นศาสนทตู ของอลั ลอฮฺ ศอ็ ลฯ ได้ปลดปล่อยพวกเชลยศกึ ให้เป็ นไท ดงั นนั้ อมุ รั จึงได้กลา่ วขนึ ้ วา่ อบั ดลุ ลอฮฺเจ้าจงไปยงั ทาสหญิงคนนนั้ (ทาสของท่านอมุ รั )และปลอ่ ยนางเป็ น ไทเสีย!!‛142 142 ศอฮฮี ฺมสุ ลมิ . เลม่ 3 หมายเลขหะดีษ : 1656

~ 166 ~ จากบนั ทกึ ทางประวตั ิศาสตร์ที่ถกู ต้องข้างต้นได้ชีแ้ บบอย่างแกม่ วลมสุ ลิมถึงเรื่องของการ ตามรอยท่านนบี ศ็อลฯ แม้กระทง่ั ในเร่ืองท่ีมนษุ ย์มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนเข้ามา เก่ียวพนั กต็ าม เหตกุ ารณ์นีเ้ ราจะพบวา่ แบบอย่างอนั ประเสริฐของทา่ นรอซูลได้ก่อจินตภาพขนึ ้ ใน ห้วงความคิดของท่านอมุ รั จนเป็นเหตใุ ห้ทา่ นอมุ รั ต้องดําเนินการปลดปลอ่ ยทาสอย่างฉับพลนั โดย ไมพ่ ิจารณาถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจท่ีอาจได้รับจากแรงงานทาสทงั้ สิน้ เพียงแค่วินาทีที่ตวั ท่านได้ยินถึงการปลดปล่อยทาสของท่านรอซูล ศอ็ ลฯ ท่านอมุ รั ยังต้องทําการเลิกทาสได้อย่าง เฉียบพลนั ได้ถึงขนาดนีแ้ ล้วกระไรกนั เลา่ ท่ีเมอื่ ทา่ นรอซูลได้ประกาศติ ไว้แล้ววา่ บคุ คลที่เลิกทาสจะ ถกู พระองคอ์ ลั ลอฮฺปลดเปลอื ้ งตวั เขาจากไฟนรกผลบญุ อนั ประเสริฐนีจ้ ะไมเ่ ข้าไปเป็ นกลไกสําคัญ ในการผลกั ดนั รัฐบาลของท่านอมุ รั ให้ดําเนินนโยบายการปลดทาสได้อีก!! พฤตกิ รรมของท่านอมุ รั ได้รับการตอกยํา้ ถึงข้อเท็จจริงท่ีวา่ รฐั บาลอิสลามอย่เู หนือมติ ทิ างเศรษฐกิจ แตร่ ัฐบาลอิสลามก็ไม่ เคยอย่เู หนือมิติแห่งแบบอย่างจริยวตั รของผ้เู ป็ นศาสนทูตแห่งอิสลามเลย นโยบายการเลิกทาส ของทา่ นอมุ รั จึงไมอ่ าจทําการอธิบายถึงปรากฏการณ์ความเปลี่ยนแปลงเหล่านีด้ ้วยทฤษฎีท่ีเอา เศรษฐกิจหรือวัตถุเป็ นบ่อเกิดแห่งเหตุได้ เพราะบ่อเกิดแห่งเหตนุ ัน้ คือความเรียบง่ายแห่ง แบบอย่างของท่านนบี ศอ็ ลฯ ศรัทธาของมวลมสุ ลิมเท่านนั้ ที่เอาชนะวตั ถ(ุ เศรษฐกิจ)ที่กดขี่ขดู รีด ประชาคมของพวกเขาได้ ศรทั ธาในพระเจ้าที่แท้จริงเทา่ นนั้ ที่จะสร้างจิตสํานึกแห่งความเท่าเทียม และอิสรภาพแกม่ วลมนษุ ยชาติ ดงั คาํ ดาํ รสั ของท่านอมุ รั ซึ่งสะท้อนเจตนารมณ์อนั สงู สดุ ของท่าน ความวา่ ‚โออ้ มั รฺ(สาวกท่านหนึ่งของท่านนบี) เจา้ เร่ิมใช้มนษุ ย์เป็นทาสตงั้ แตเ่ มื่อไหร่? ในขณะทีแ่ ม่ ของพวกเขาทกุ คนคลอดพวกเขาออกมาในสภาพทีเ่ ป็นไท143‛ คาํ พดู ของทา่ นอมุ รั ข้างต้นได้สะท้อนภาพความเข้าใจและหลกั ปรชั ญาทางสงั คมของท่าน วา่ ท่านพิจารณามนษุ ย์จากสทิ ธิสภาพทางธรรมชาติเดิมวา่ บังเกิดมาในฐานะของเสรีชนมิใช่ทาส พดู อกี นยั หนึง่ แล้วท่านอมุ รั ได้บอกอมั รฺวา่ พระผ้เู ป็ นเจ้าได้สร้างมวลมนษุ ย์ทุกคนให้เกิดขนึ ้ มาใน สภาพทารกอนั บริสทุ ธิ์ หากแต่สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสงั คมได้ทําลายสิทธิสภาพทาง ธรรมชาติของมนุษย์ด้ วยการปล้ นสะดมเพื่อนมนุษย์ท่ีพระเจ้ าสร้ างมาและทําลายอิสรภาพของ พวกเขาด้วยระบอบทาส คาํ กลา่ วของทา่ นอมุ รั ข้างต้นจึงบง่ ชีถ้ ึงปรัชญาของอสิ ลามท่ีมองว่าความ ศรัทธาในพระเป็นเจ้าคอื รากฐานเบือ้ งต้นของอิสรภาพและการดอื ้ รนั้ ตอ่ พระองค์ตา่ งหากท่ีเป็ นบ่อ เกิดของเผด็จการแห่งโลกนี ้ โลกทัศน์ของท่านอุมัรได้ทําลายความเข้าใจเลอะเลือนของลทั ธิ ประชาธิปไตยท่ีมองวา่ อิสลามและพระเจ้าคอื ระบอบเผดจ็ การทงั้ ท่ีอสิ ลามและพระเจ้าคือที่มาของ รากฐานแหง่ อสิ รภาพ และได้ก่อตวั ขนึ ้ เป็นรัฐบาลที่ยตุ ธิ รรมซ่ึงพร้อมจะทําลายระบอบเศรษฐกิจท่ี 143 อ่านรายละเอียดของเหตุการณ์นีไ้ ด้ในงานของ ดร.ศอลหิ ฺ หสุ ัยน์ อัลอายิด. สิทธิของชนต่างศาสนิกใน ประเทศอสิ ลาม. หน้า 44.

~ 167 ~ ขดู รีดมนษุ ย์อยา่ งระบอบทาสได้ทกุ วินาทีในหน้าประวตั ิศาสตร์ของตนเองมาแล้วมิใช่อดุ มคติยโู ท เปี ยอยา่ งระบอบสงั คมนิยมทงั้ 2 สาย(สายยโู ทเปี ยและสายวิทยาศาสตร์)ที่ตา่ งก็คว้านํา้ เหลวจาก การปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ ความสําเร็จอนั เป็ นรูปธรรมของอิสลามบ่งชีว้ า่ รัฐบาลท่ีตาม เจตนารมณ์ทางศาสนาจะนําพาไปสคู่ วามสงบสขุ แก่มสุ ลมิ และหลงั จากมสุ ลิมได้ถูกปกครองด้วย รฐั บาลเผดจ็ การของวงศอ์ มุ ยั ยะฮฺตา่ งหากที่โฉมหน้าแห่งอิสลามได้ถกู กระชากหลดุ ไปและแทนที่ ด้วยเผดจ็ การท่ีแยกไมอ่ อกจากระบอบสมบรู ณาญาสิทธิราชย์ทีเ่ ป็นรากเหง้าของระบอบกษัตริย์ใน โลกมสุ ลมิ ห้วงเวลาตอ่ มา! อย่างไรก็ตามแม้วา่ ท่านอมุ รั จะมีคณุ งามความดีในการทําลายระบอบทาสซ่ึงกดข่ีขดู รีด สงั คมอย่แู ตก่ ็ไมว่ ายท่ีท่านจะโดนก๊กนอกคอกบางกล่มุ อย่างกล่มุ รอฟิ เฎาะฮฺชีอะฮฺหยิบฉวยเอา เรื่องประเดน็ ทาสมาโจมตีท่านเพื่อบ่งนิสยั ของพวกเขาอย่เู นืองๆเสมอ เรื่องราวดงั กล่าวมกั ได้รับ การบอกเลา่ กล่าวขานในงานวรรณกรรมของพวกรอฟิ เฎาะฮฺเก่ียวกับท่านอิมามฮูเซน นนั่ ก็คือ เรื่องราวของนางชรั บะนหู รือซะฮฺซานะฮฺ บตุ รของจกั รพรรดิยัซดีเกิร์ดที่ได้ถกู จบั มาเป็ นเชลยของ ทหารมสุ ลิมที่ออกไปพิชิตอาณาจกั รเปอร์เซียภายใต้คําสง่ั ของท่านอมุ รั ในนิยายประโลมโลกของ ชีอะฮฺเร่ืองนีก้ ลา่ วกนั วา่ ในตอนที่นางถกู จบั มาเป็นเชลยอยา่ งต่ําต้อยในท้องพระโรงเบือ้ งหน้าอมุ รั นนั้ นางรู้สึกอบั อายท่ีฐานะเจ้าหญิงเช่นนางจะต้องมาตกอย่ใู ต้การเป็ นเชลยของพวกอาหรับป่ า เถื่อน ดงั นนั้ นางจึงสบถคําด่าทอไปต่างๆนานาเป็ นภาษาเปอร์เซียจนอมุ รั เข้าใจว่านางกําลงั ด่า ท่านเอง อมุ ัรจึงระบายความแค้นด้วยการสง่ั จับนางขายเป็ นทาสในตลาดเสีย อย่างไรก็ตาม ท่านอะลซี ึ่งอย่ใู นเหตกุ ารณ์ได้คดั ค้านความเห็นของอมุ รั และได้แนะนําให้ท่านฮุเซนแต่งงานกับ นางชรั บะนไู ปในท่ีสดุ นิยายประโลมโลกได้ถกู เลา่ ขานกันในหม่นู กั ปราชญ์ชีอะฮฺเพียงเพื่อจะโอน เอยี งความชอบธรรมไปแก่อาณาจักรเปอร์เซียที่ได้ถกู พิชิตและสร้างความโหดเหีย้ มให้แก่ผ้พู ิชิต อย่างท่านอุมรั และมสุ ลิมในยคุ สมัยนัน้ ดงั ปรากฏการเขียนสรรเสริญอาณาจักรบูชาไฟอิหร่าน อย่างออกนอกหน้าและหยามเหยียดการญิฮาดของชาวมสุ ลิมวา่ เป็ นการรุกรานเพ่ือปล้นสะดม ทรพั ย์สนิ ของตา่ งชาติในงานท่ีชื่อวา่ วรี ชนแห่งอสิ ลาม ของมริ ซากลุ ามอบั บาสอะลซี าฮิบ144 เรื่องราวดงั ที่ได้เขียนไปนีน้ อกจากจะขดั แย้งกบั อตั ลกั ษณ์ของท่านอมุ รั ที่กลา่ วไปทงั้ หมด แล้วยงั เป็นบนั ทกึ ทางประวตั ิศาสตร์ท่ีไมม่ มี ลู ความจริงแตม่ กั จะได้รับการหยิบยกมาเขียนในงาน ของพวกชีอะฮฺเสมอตามนิสยั กระหายความเทจ็ ของพวกเขา เร่ืองราวจิตตํ่าเร่ืองนีไ้ ด้ถกู เร่ิมเขียนขนึ ้ ครัง้ แรกโดยซะมคั ชะรีย์หน่ีงในผ้ฝู ักใฝ่ ลทั ธิมอุ ฺตะสิละฮฺและเป็ นท่ีรู้กันวา่ ตวั เขามิได้เจนจัดใน ประวตั ิศาสตร์แตอ่ ย่างใดเลย เขาได้เขียนเร่ืองแปลกประหลาดเหลา่ นีไ้ ว้ในหนังสือ รอบิอุลอับ รอร ของเขาและเป็นเหตใุ ห้อบิ นคุ อ็ ลลีก็อนได้คดั ลอกมาอย่างไมย่ งั้ คดิ จากหนงั สอื ดงั กลา่ วและได้ 144 มิรซากลุ ามอบั บาสอะลซี าฮิบ. ฮเู ซนวีรชนแห่งอิสลาม. หน้า 51

~ 168 ~ นํามาเขยี นไว้ในหนงั สอื ท่ีท่านได้เขยี นเกี่ยวกบั ประวตั ิชีวิตของท่านอิมามซัยนลุ อาบิดีน อย่างไรก็ ตามเร่ืองราวเหล่านีก้ ลับไม่ปรากฏในงานเขียนประวตั ิศาสตร์ท่ีถกู ยอมรับจากปวงปราชญ์ท่าน ตา่ งๆเชน่ เฏาะบะรีย์,อบิ นลุ อะษีร,บะลาฎรุ ีย์ เป็นต้น ดงั นนั้ สถานภาพของซะมคั ชะรีย์ซ่ึงไม่ได้ถูก จดั วา่ เป็นนกั ประวตั ศิ าสตร์มสุ ลิมท่ีเชื่อถือได้กเ็ พียงพอแล้วท่ีจะพิจารณาวา่ เร่ืองราวดงั กล่าวเป็ น เท็จ นอกจากนีข้ ้ออ้างดงั กลา่ วกข็ ดั แย้งกบั ความจริงท่ีวา่ จกั รพรรดยิ ซั ดเี กิร์ดมิได้ถกู จบั เป็นเชลยแต่ อย่างใดทวา่ หลงั การพ่ายแพ้ตอ่ กองทพั มสุ ลิมที่มะดาอินเขาได้ละทิง้ เมืองหลวงของเปอร์เซียและ หลบหนีออกจากอาณาจกั รพร้อมครอบครัวของเขาไปยงั ฮลั วานและตอ่ มาก็หนีไปท่ีอิสฟาฮานอีก แล้วก็ยังหนีไปจนถึงคิรมาน กลา่ วกนั วา่ ยซั ดีเกิร์ดและครอบครัวจอมทรราชต้องหนีหัวซุกหัวซุน จากการญิฮาดของชาวมสุ ลิมไปจนถึงฮิจเราะฮฺท่ี 30 สว่ นที่แอบอ้างกนั วา่ นางชัรบะนไู ด้แตง่ งาน กบั ท่านฮเู ซนกย็ งั ดมู ขี ้อกงั ขามากเพราะในชว่ งท่ีสงครามนไี ้ ด้เกิดขนึ ้ นนั้ ท่านฮเุ ซนมีอายเุ พียงแค่ 12 ขวบเท่านนั้ เพราะท่านฮเุ ซนเกิดในปี ท่ี 5 แห่งฮิจเราะฮฺศกั ราชแตก่ ารพิชิตเปอร์เซียเกิดขนึ ้ ในปี ท่ี 17 มนั เป็นเรื่องท่ีเชื่อได้ยากวา่ ท่านอะลจี ะให้ลกู สาวจกั รพรรดิของเปอร์เซียซ่งึ มธี รรมเนียมและเกียรติ ของการแตง่ งานท่ีสงู สง่ มาตลอดมาแตง่ งานกับบตุ รของตนท่ีอายเุ พียงแค่ 12 ปี เท่านนั้ ! เรื่องราว เหลา่ นีช้ า่ งแตกตา่ งจากข้อเทจ็ จริงและประวตั ศิ าสตร์ที่ถกู ต้องซึง่ บนั ทึกภาพของความเมตตาและ ให้เกียรตแิ กบ่ ตุ รแห่งศตั รูต่างเมืองโดยท่านอมุ ัรมาตลอด ดงั กรณีท่ีเกิดขนึ ้ เมื่อคราวท่ีท่านอมั รฺมุ อาศได้พิชิตอียิปตแ์ ละเข้าประจญั บานกบั กองทหารคริสต์เตยี นทบ่ี าลิศ การประจญั บานจบลงด้วย ชยั ชนะของชาวมสุ ลิมและพวกคริสต์เตียนกวา่ 3000 พนั คนได้ตกเป็ นเชลยศกึ ในนนั้ รวมนางอรั มะนซู าอย่ดู ้วย นางเป็ นบุตรีของมเุ กาว์กิสจอมจกั รพรรดิแห่งโรมนั ณ แคว้นอียิปต์ ความมีวินยั ของทหารมสุ ลิมได้ทําให้ท่านอมั รฺต้องสง่ นางกลบั ไปยงั บิดาของนางอย่างมีเกียรติพร้อมกับการ อารักขานางอย่างดโี ดยผ้รู กั ษาการณ์ของท่านท่ีชื่อวา่ กอ็ ยสฺ อะบิลอาศอซั เซาะฮฺมยี ์145 เร่ืองราวแห่งคณุ ธรรมความดีที่มสุ ลิมในยุคแรกได้กระทําไปตามบัญญัติอิสลามในเร่ือง ของการปลดทาสนนั้ ข้าฯเหน็ วา่ สมควรจะหยิบยกการปลอ่ ยทาสของท่านตา่ งๆมาเป็ นตวั อย่างให้ พิจารณากนั ในภาพรวม - การปลดปลอ่ ยทาสของทา่ นอะลอี บิ นลุ หสุ ยั น์ ‫قال سميد بن مرجاعة فاعطتق ب إلى لتي بن حسٌن فممد لتي بن حسٌن ريي الله لكهما‬ ‫إلى لبد ل قد ألطاه ب لبد الله بن جمفر لشرة آلاف درهم أأ ألف دنكار فألاق‬ 145 Shibli Nu’mani. Omar The Great (The Second Caliph of Islam) Volume II. Pp. 190-192

~ 169 ~ สะอีด อบิ นมรั ญานะฮฺกลา่ ววา่ เราได้รายงานหะดีษจากอะลีอบิ นลุ หสุ ยั น์วา่ เขาได้ปลดปลอ่ ย ทาส ในขณะที่อบั ดลุ ลอฮฺอบิ นญุ ะอฺฟัรมอบเงินให้เขาสิบพนั ดิรฮมั หรือหนง่ึ พนั ดนิ ารดงั นนั้ เขาจึงทํา การปลดปลอ่ ยทาส146 - การปลดปลอ่ ยทาสของท่านอบฮู รุ ็อยเราะฮ์ ‫لن قيس قال لما أقبل أبم هرنرة ريي الله لك أمم يلام أهم نطتب الإسلام فضل أحدهما صاحب‬ ‫بهذا أقال أما إِن أشهدك أع لله‬ ‚จากก็อยสเฺ ลา่ ววา่ เมอ่ื อบฮู รุ ็อยเราะฮฺพร้อมด้วยทาสของเขาออกเดินทางเพ่ือไปหาท่านรอซูล ศอ็ ลฯ และเข้ารบั อสิ ลาม ทงั้ สองได้พรากจากกนั ระหว่างทาง(และเม่ือทาสดงั กลา่ วปรากฏตวั ขนึ ้ อีกครงั้ ) อบฮู รุ ็อยเราะฮฺกลา่ ว(กบั ท่านนบี)วา่ ขอท่านจงเป็นพยานวา่ ทาสดงั กลา่ วได้รับอิสรภาพใน หนทางของอลั ลอฮฺแล้ว‛147 ในเรื่องราวดงั กลา่ วนีไ้ ด้มหี ะดีษอกี ประแสหน่งึ มาขายความวา่ เม่ือทาสคนดงั กลา่ วปรากฏ ตวั ขนึ ้ ตอ่ หน้าท่านนบีอบฮู รุ ็อยเราะฮฺจงึ กลา่ ววา่ ‫هم حر لمج الله فألاقا قال أبم لبد الله َّل نقل أبمترنب لن أبي أسامة حر‬ ‚ทาสดงั กลา่ วเป็นอิสระแล้วเพ่ืออลั ลอฮฺและฉนั กไ็ ด้ปลดปลอ่ ยเขา‛148 การกระทําข้างต้นของทา่ นอบฮู รุ ็อยเราะฮฺเบือ้ งหน้าการยอมรับของท่านนบีได้กลบั กลาย มาเป็นรูปแบบหนึง่ ของการปลดปลอ่ ยทาสในหลกั การอิสลามนน่ั คือการเปลง่ วาจาว่าทาสนีเ้ พ่ือ อลั ลอฮฺคือประตไู ปสกู่ ารไถ่ทาสให้เป็นอิสระ ณ บดั นนั้ ดงั การบนั ทึกชื่อหมวดหมขู่ องท่านอิมามบุ คอรีย์วา่ ‫باب إذا قال رجل لمبده هم لله أعمى الماق أالإشهاد ُب الماق‬ ‚เมือ่ นายกลา่ วกบั ทาสของเขาวา่ ทาสนีเ้ พื่ออลั ลอฮฺกห็ มายความวา่ เขาประสงคจ์ ะ ปลดปลอ่ ยทาสให้เป็นอสิ ระจงึ ถือเป็นการยนื ยนั ตอ่ การปลดปลอ่ ยแล้ว‛ หะดีษต้นนีไ้ ด้ตอกยํา้ ถึงคาํ กล่าวของท่านอมุ รั ซึ่งได้เอ่ยไปแล้วก่อนหน้านีว้ า่ สิทธิพืน้ ฐาน ทางธรรมชาติท่ีพระเจ้าได้สร้างมาแก่มนษุ ย์นนั้ คืออสิ รภาพ คาํ กลา่ วของท่านอบฮู รุ ็อยเราะฮฺได้บ่ง บอกแก่เราอย่างชัดแจ้งว่าในยามที่ทาสได้ถูกเอ่ยขนึ ้ เพื่อเป็ นกรรมสิทธิ์ของพระองค์อลั ลอฮฺด้วย วาจาวา่ ทาสนีเ้ พ่ืออลั ลอฮฺ การเป็นเจ้ากรรมสทิ ธิ์ของอลั ลอฮฺด้วยตวั ทาสผ้นู นั้ โดยนยั หนึ่งแล้วก็คือ การเป็นอิสรภาพภายใต้ร่มธงของการเป็นบ่าวแหง่ พระเจ้า ใจความหะดีษเหล่านีบ้ อกแก่เราอย่าง 146 ศอฮฮี ฺอลั -บคุ อรีย์. หมายเลขหะดษี : 2381 147 ศอฮีฮอฺ ลั -บคุ อรีย์. หมายเลขหะดีษ : 2395. 148 ศอฮฮี อฺ ัล-บคุ อรีย์. หมายเลขหะดีษ : 2394.

~ 170 ~ ชดั เจนวา่ ศรัทธาในพระเจ้านําไปสอู่ ิสรภาพและความเสมอภาคกันในหมมู่ วลมนษุ ย์ พระเจ้าจึง ไมใ่ ชเ่ ผดจ็ การท่ีกดขีม่ นษุ ย์แตอ่ ย่างใด - การปลดปลอ่ ยทาสของทา่ นหะกีม อิบนฮุ ิชาม ‫لن هشام أخِبِن أبي أن حميم بن حزام ريي الله لك ألاق ُب اْلاهتية مائة رقبة أْحل لتى‬ ‫مائة بمًن فتما أستم ْحل لتى مائة بمًن أألاق مائة رقبة قال فسأل رسمل الله صتى الله لتي‬ ‫أستم فقت نا رسمل الله أرأن أشياءتك أصكمها ُب اْلاهتيةتك أتحكث بها نمني أتِبر بها قال‬ ‫فقال رسمل الله صتى الله لتي أستم أستم لتى ما ستف لك من خًن‬ ‚จากฮิชามเลา่ วา่ บิดาของฉนั เคยเลา่ ให้ฉนั ฟังว่าหะกีมอิบนฮุ ิชามเคยปลดปลอ่ ยทาสถึง 100 คนและเชือดอฐู พลมี ากกวา่ 100 ตวั (เพื่อเป็นทาน)ในสมยั ญาฮิลยี ะฮฺ เขาเล่าอีกว่าฉนั ได้ถาม ท่านรอซลู ศอ็ ลฯ วา่ โอ้ท่านรอซลู ศอ็ ลฯ ทา่ นมีความเหน็ อย่างไรในกรณีนีก้ ลา่ วคือมนั ได้ถกู ปฏิบตั ิ ในสมยั ญาฮิลียะฮฺ ทา่ นรอซูล ศ็อลฯ ตอบว่าเม่ือท่านเข้ารับอิสลามสิ่งที่เป็ นความดีแล้วมาก็เป็ น ความดกี บั ท่านด้วย‛149 หะดีษต้นนีไ้ ด้ระบวุ ่าความดีแห่งการปลอ่ ยทาสนนั้ แม้จะถกู กระทําในสมยั แห่งความไร้ ศรัทธาแตค่ วามดีดงั กลา่ วจะคงอย่ขู ้ามกาลเวลามายงั สมยั ท่ีผ้คู นหนั มารับศรทั ธาของอิสลามแล้ว - การปลดปลอ่ ยทาสของทา่ นหญิงอาอชิ ะฮฺ ‫لن لائشة ريي الله لكها قال جاءت برنرة فقال إِنتاتب أهتي لتى تسع أأاق ُبتل‬ ‫لام أقية فأليكيني فقال لائشة إن أحب أهتك أن ألدها لهم لدة أاحدة أألاقك فمت أنممن‬ ‫ألاؤك لي فذهب إلى أهتها فأبما ذلك لتيها فقال إِن قد لري ذلك لتيهم فأبما إلا أن نممن‬ ‫الملاء لهم فسمع بذلك رسمل الله صتى الله لتي أستم فسألني فأخِبت فقال خذنها فألاقيها أاشترطي‬ ‫لهم الملاء فإنما الملاء لمن ألاق قال لائشة فقام رسمل الله صتى الله لتي أستم ُب الكاس فحمد الله‬ ‫أأثنى لتي ٍب قال أما بمد فما بال رجال مكمم نشترطمن شرأطا ليس ُبتااب الله فأيدا شرط ليس ُب‬ ‫تااب الله فهم باطل أإنتان مائة شرط فقضاء الله أحق أشرط الله أأثق ما بال رجال مكمم نقمل‬ ‫أحدهم ألاق نا فلان ألي الملاء إنما الملاء لمن ألاق‬ ‚จากอาอิชะฮฺเลา่ วา่ ทาสช่ือบะรีเราะฮฺมาหาฉนั และกลา่ ววา่ ฉนั ได้ทําสญั ญากับนายของ ฉนั ในการเป็นทาสมกุ าตบั 150โดยต้องจ่ายปี ละเก้าอเู ก๊ียะอฺ โดยผอ่ นชําระทุกปี ปี ละหนึ่งอเู กี๊ยะอฺ (ทอง) เธอได้มาขอความช่วยเหลอื จากฉนั อาอชิ ะฮฺกลา่ ววา่ หากนายของเธอตกลงท่ีจะรับชําระครัง้ เดียว ฉนั ก็จะซือ้ เธอและปลดปลอ่ ยเธอโดยถือสทิ ธิ์ในวะลาอฺ(การเป็นผ้ปู กครอง)ให้เป็นของฉนั บะ 149 ศอฮฮี อฺ ลั -บคุ อรีย์. หมายเลขหะดีษ : 2401. 150 ทาสที่ทําสญั ญากบั นายเพือ่ ไถ่ตวั เองด้วยการจ่ายเงนิ ตามกําหนดตกลง

~ 171 ~ รีเราะฮฺจงึ กลบั ไปหานายของเธอและนายของเขาได้ปฏิเสธโดยวางเง่ือนไขวา่ หากจะไถเ่ ธอ สิทธิใน การเป็นวะลาอจฺ ะต้องยงั เป็นของตนดงั เดิม เม่ือทา่ นรอซูล ศ็อลฯ ได้ยินเรื่องดังกล่าว ท่านได้ถาม ฉนั อีกซ่ึงฉันก็เล่าให้ฟังอีก ท่านจึงกลา่ วว่า จงซือ้ นางเถอะแล้วปลดปลอ่ ยให้เป็ นอิสระเสีย ส่วน เงื่อนไขที่บอกวา่ วาละอเฺ ป็นของพวกเขานนั้ แท้จริงแล้วต้องเป็นของเธอ เพราะวาละอฺเป็ นสิทธิของ ผ้ปู ลดปลอ่ ย อาอิชะฮฺเลา่ ววา่ ทา่ นรอซลู ได้ยืนขนึ ้ ตอ่ หน้าประชาชนพร้อมกลา่ วสรรเสริญและสดดุ ี อลั ลอฮฺ แล้วจึงกลา่ ววา่ อมั มาบะอฺดุ ยงั จะเมีเงื่อนไขอ่นื นอกจากคมั ภรี ์ของอลั ลอฮฺอีกหรือนี่ แท้จริง แล้วไมว่ า่ เง่ือนไขใดท่ีไมไ่ ด้ระบไุ ว้ในคมั ภรี ์ของอลั ลอฮฺแล้วก็ถือวา่ เงื่อนไขนนั้ เป็นโมฆะ แม้จะมีเป็ น ร้อยๆเง่ือนไขก็ตาม บญั ญัติของอลั ลอฮฺสตั ย์จริงยิ่งและหนกั แนน่ ย่ิง‛151 ‫لن أبي هرنرة ريي الله لك قال لا أزال أحب بني َميم أحدثني ابن سلام أخِبعا جرنر بن‬ ‫لبد اْلميد لن المغًنة لن اْلارث لن أبي زرلة لن أبي هرنرة ألن لمارة لن أبي زرلة لن‬ ‫أبي هرنرة قال ما زل أحب بني َميم مكذ ثلاث سمم من رسمل الله صتى الله لتي أستم نقمل‬ ‫فيهم سمما نقمل هم أشد أمتي لتى الدجال قال أجاءت صدقاتهم فقال رسمل الله صتى الله لتي‬ ‫أستم هذه صدقات قممكا أتاع سبية مكهم لكد لائشة فقال ألاقيها فإنها من ألد إسماليل‬ ‚จากอบฮู รุ ็อยเราะฮฺเลา่ วว่า ฉนั รักเผ่าบนูตะมีมมากท่ีสดุ ตงั้ แตฉ่ ันได้ยินท่านนบี ศ็อลฯ กลา่ วถงึ พวกเขาสามเร่ืองด้วยกนั โดยท่านกลา่ ววา่ พวกเขาเป็ นประชาชาติของฉันท่ียืนหยัดต่อสู้ กบั อดั ดจั ญาลและเลา่ อีกวา่ เมอ่ื มที านจากเผา่ นีไ้ ด้มามอบให้แก่ทา่ นนบี ท่านนบี ศอ็ ลฯ ก็จะกลา่ ว วา่ น่ีเป็ นทานตามธรรมเนียมของพวกเรา อาอิชะฮฺเองก็มีทาสหญิงคนหน่ึงจากเผ่านี ้ ท่านนบีก็ กล่าวกับอาอิชะฮฺวา่ จงปลดปล่อยเธอให้เป็ นไทเถิด เพราะเธอเป็ นสายสกุลของท่านนบีอิสมา อีล‛152 ทงั้ หมดนีค้ ือภาพตวั อย่างแห่งการปดลปลอ่ ยทาสที่ได้ถกู กระทําโดยบรรดาชนมสุ ลิมยุค แรกผ้เู ป็นแบบอยา่ งแหง่ ผองเรา ทศั นะของอลั กรุ อานกบั ปัญหาทาส พระคมั ภีร์อัลกุรอานได้วางบัญญัติให้แก่ผองผ้ศู รัทธามากหลายวิธีอันจะนําไปส่กู าร ปลดปล่อยทาสให้เป็ นไท ซ่ึงเกี่ยวกับเรื่องนีอ้ ลั กุรอานในฐานะแม่บทธรรมนูญเหนือหวั ประชา ราษฎรมสุ ลิมได้กลา่ วไว้วา่ ‫أَُمْؤنِمكنَاً َّإصَِلّدَاّقُماَْخفَطِإَئاًن‬ ّ‫ََأأَمِدانَةٌَتُاّم َنَسَتّلَِمُم ْةٌؤِمإِلٍَنَٰى أَأَنْهتِنَـِْقاُإِلََلا‬ ‫ُّمْؤِمكٍَة‬ ‫ِقَمـاَنَلقَـُمْمٍْؤمِمكاَلً ُدٍَّخأ َلطَّئاًُم ْمفَـاََأْحُهِرَنمُرُمَْرؤقَـِمبٍَةٌن‬ ‫َرقَـبٍَة‬ ‫فَـاَ ْحِرنُر‬ ‫َأَمن‬ ‫َتا َن‬ 151 ศอฮฮี อฺ ลั -บคุ อรีย์. หมายเลขหะดษี : 2424. 152 ศอฮีฮอฺ ลั -บคุ อรีย์. หมายเลขหะดษี : 2405.

~ 172 ~ ْ‫ُيّمَِجْؤِْدمكٍَفةَ َِأصإِيَانُم َتاَشَْنهَرنِْمِنن ُمقَـاَْاَماٍمبَِمبـَْْيٌـكَِن ُمتَـْْممبَةًَأبـَِّْيمـكَـَنُهٱْملَتِِّّميَٰثََأٌَتقا فََنِدٱنَلَةٌتُُّّم َلَستَِّتيَممةاًٌ إِلََحۤىِمأيَْهمتِاًِ َأتَْحِرنُر َرقَـبٍَة ُّمْؤِمكٍَة فََمن ََّّل‬ และมิใช่วิสัยของผ้ศู รัทธาที่จะฆ่าผ้ศู รัทธาคนหน่ึงคนใด นอกจากด้วยความผิดพลาด เท่านนั้ และผ้ใู ดที่ฆ่าผ้ศู รทั ธาด้วยความผดิ พลาดแล้ว ก็ให้มีการปลอ่ ยทาสหญิงท่ีศรัทธาคนหน่ึง ให้เป็นไท และให้มีคา่ ทําขวญั ซ่ึงถกู มอบให้แกค่ รอบครัวของเขา นอกจากวา่ ครอบครวั ของพวกเขา จะทําทานให้เทา่ นนั้ แตถ่ ้าหากเขาอย่ใู นหมชู่ นท่ีเป็ นศตั รูของพวกเจ้า โดยที่เขาเป็นผ้ศู รัทธากใ็ ห้มี การปลอ่ ยทาสหญิงท่ีศรัทธาคนหนึ่งให้เป็ นไท และถ้าเขาอย่ใู นหมชู่ นที่มีพันธะสญั ญา ระหว่าง พวกเจ้ากบั พวกเขาแล้ว ก็ให้มกี ารทําขวญั ซ่งึ ถกู มอบให้แก่ครอบครัวของเขา และให้มีการปลอ่ ย ทาสหญิงที่ศรัทธาคนหน่ึง ผ้ใู ดท่ีไมพ่ บ ก็ให้มกี ารถือศีลอดสองเดือนตอ่ เน่ืองกัน เป็ นการอภยั โทษ จากอลั ลอฮฺ และปรากฏวา่ อลั ลอฮฺ นนั้ เป็นผ้ทู รงรอบรู้ ผ้ทู รงปรีชาญาน (4:92) โองการนีพ้ ดู ถงึ การจดั วางกลวิธีในการปลอ่ ยทาสที่แยบยลของอิสลาม ซึง่ เราไมพ่ บเห็นใน อนารยะสงั คมอยา่ งประชาธิปไตยและสงั คมนิยม ในโองการนีบ้ คุ คลท่ีประกอบอาชญากรรมฆ่าคน จําต้องปลดปลอ่ ยทาสให้เป็นไทเพ่ือไถ่ความผิดของเขา ในด้านหนึ่งมนั เป็ นการป้ องกนั การฆ่าคน อย่างสง่ เดชดงั ท่ีได้เกิดขนึ ้ ในสงั คมอนั เน่าเฟะของประชาธิปไตยและในอีกด้านหนึ่งมนั คือการไถ่ ถอนหนึ่งชีวติ สชู่ ีวิตใหมท่ ่ีมอี ิสระ ‫إأَِلََميْأَْلاتدََْنَيَاَّفسعنـُُاأاَْسَََؤُررااَمـتِةُْدْْمٌِمأخََنَِيفْندُفذََاتَُِعتِمَِحَمفاُْمُنمتُِٱّصبَُلّْٱمأكَلماًَِْذتّأإُِهنِلَُّذَسْاَامَنْببِاَِـإٱِطللَغَُحْاتَّنتََممغْاْْافيَِاَملُِجتتَِلُُْمِدَُْرمطْۤباأَُمِأٱَْنمأََُضيمْْدعحَِفِماٱيَفعََِْمنِْهلاَظُمُيَأَْۤمامْاْحْمهِةاًتِأَيََيخْٱأدلَٰلـًَََُْاحمُنّاعًََدِْمّْعٰمْـَىُميََنأأاَآْنمـُْتُنأـُْغَمأَكَِتؤاَُميهَتِـَٰذُِْمهخنلِْسُُِمذَنّممَُتـُُكتْٱمنُلهمَنتـُِّرَْبَمـهّمبُِِماٌَُّأهَاُِِمْنَلأّننَٱلٱتلََفلَّقَْتَحِّفإتَِّدُرَِنُّنًُّْضلرَبُٱتَِٱلّلُِمٱََرتِّذقلَـْمَبَأََأيْٱٍۤةيَدلّآَِمانَِفذَآاَنننتتََِماَِبنفـََُتنلَْمنََـْممَمََْبَِدَّّتّفّاَلْـاَإِأغَُُملريَتُْاَِمجتْمََُْرنتادُتإَِِهاْمفَْلْطِْشهِرَمَُِِمهصاُّمناَيَمُُماارْاأَُميفََـَلَُنفباَثـَيَمَلِشمٌاَرماََّترِثاةََِِّةُرمَمِحْأتمَََينّاَمٌمٍَلمتََََْٰذىلِ ٱْلَكبِغَآِء‬ อลั ลอฮ์จะไม่ทรงเอาโทษแก่พวกเจ้าด้วยถ้อยคําที่ไร้สาระในการสาบานของพวกเจ้า แต่ทว่า พระองค์จะทรงเอาโทษแก่พวกเจ้าด้วยถ้อยคําท่ีพวกเจ้าปลงใจสาบาน แล้วสิ่งไถ่โทษมนั นนั้ คือ การให้อาหารแกม่ ิสกีนสิบคนจากอาหารปานกลางของสงิ่ ที่พวกเจ้าให้เป็นอาหารแก่ครอบครัวของ พวกเจ้า หรือไมก่ ็ให้เครื่องน่งุ ห่มแก่พวกเขา หรือไถ่ทาสคนหน่ึงให้เป็ นอสิ ระ ผ้ใู ดไมพ่ บ ก็ให้มี การถือบวชสามวนั นนั่ แหละคอื สง่ิ ไถโ่ ทษในการสาบานของพวกเจ้าเมื่อพวกเจ้าได้สาบานไว้ และ จงรักษาการสาบานของพวกเจ้าเถิด ในทํานองนนั้ แหละอลั ลอฮ์จะทรงแจกแจงบรรดาโองการของ พระองค์แก่พวกเจ้า เพื่อวา่ พวกเจ้าจกั ขอบคณุ (5:89) ِِ‫َأٱَألٱََتّلُِّذنبِمََان تنَـُْمظَاَمتُِهُمرَأنَن َخِمبًِننٌ ِعّ َسآئِِه ْم ٍَُبّ نـَمُمُدأَن لَِما قَالُماْ فَـاَ ْحِرنُر َرقَـبٍَة ِّمن قَـْبِل أَن نَـاَ َمآ َّسا ذَلِ ُم ْم تُملَظُمَن ب‬

~ 173 ~ และบรรดาผ้เู ปรียบเทียบภรรยาของพวกเขาก็เสมือนแม่ของพวกเขานัน้ แล้วพวกเขาจะคืนสู่ ถ้อยคาํ ที่พวกเขาได้กลา่ วไว้ ดงั นนั้ (ส่งิ ที่จําเป็นแกเ่ ขาต้องปฏิบตั ิคอื ) การปลอ่ ยทาสหน่ึงคนก่อนที่ เขาทัง้ สองจะแตะต้องต่อกัน (ร่วมหลับนอน)นัน้ คือส่ิงที่พวกเจ้าถูกเตือน เอาไว้ใช้ ให้ปฏิบัติ และอลั ลอฮทรงรอบรู้ยิ่งในสิง่ ท่ีพวกเจ้ากระทํา(58:3) ‫إأََِيْأْلدَْنيَاعُأَْسَُراَمـْدْْممَنِففَتََِحَمفاتُِٱّصبَُلّكماًِذُهنِلّْاَمَنْباَـإِلغُْاَنماْيََلِجتَِلُدَْرماأَُْنمَضعِفِٱيَْمِْهلاَيَْماحِةاًَخٱلًَْحُنّاَدًّْعْٰـَىيََأاآنـُتَُْغمأكَُِميهَـ ُْمنه ُِمنُّم ْٱمنلَِترَّهّمُاُهِِمَلّننٱفلََِإفتَّ َِّنْضٱتَِٱلّلَِتِّذََأٱۤيَلِّمِذآننتَاَبنـَُتْمنـَْمْبِداَـَإِأغُلْاَمتََرنتاُِهاْمْلِهِرَُِمهّناَمااَْيفََـُفباَـيَمِمٌاَرمّتِاَُّرمَمِحْتمَيَمٌمَلتَْى ٱلْبِغَآِء‬ และบรรดาผ้ทู ี่ยังไม่มีโอกาสแต่งงานก็จงให้เขาข่มความใคร่ จนกว่าอลั ลอฮฺจะทรงให้พวกเขา ร่ํารวยขนึ ้ จากความโปรดปรานของพระองค์ และบรรดาผ้ทู ่ีต้องการจะไถ่ตัวให้เป็ นอสิ ระจากผู้ ท่มี ือขวาของพวกเจ้าครอบครอง พวกเจ้าจงทาสัญญากับพวกเขา หากพวกเจ้ารู้ว่าเป็ น การดีกับพวกเขา และจงบริจาคแก่พวกเขาซ่ึงทรัพย์สมบัติของอัลลอฮฺ ท่ีพระองค์ทรง ประทานแก่พวกเจ้า และพวกเจ้าอย่าบังคบั บรรดาทาสีของพวกเจ้าให้ผิดประเวณี หากนาง ประสงค์จะอยอู่ ยา่ งบริสทุ ธ์ิ แตพ่ วกเจ้าต้องการผลประโยชน์แห่งการดํารงชีวิตในโลกนี ้ และผ้ใู ด บังคบั พวกนางเช่นนนั้ ดงั นัน้ หลังจากการบังคับพวกนาง แท้จริงอัลลอฮฺเป็ นผ้ทู รงอภัย ผ้ทู รง เมตตาเสมอ(24:33) โองการท้ายสดุ ที่ได้ระบุถึงสิทธิของการเรียกร้องอิสรภาพและความเป็ นไทของทาสใน บญั ญตั ิอสิ ลามนนั้ ได้ทลายกรอบความเข้าใจอนั บิดเบีย้ วทงั้ หมดที่นักวิชาการตะวนั ตกได้ใสไ่ คล้ อิสลามเพราะจากโองการนีอ้ ิสลามได้เปิ ดประตแู หง่ การเรียกร้องความเป็นไทแกช่ นชนั้ ทาสทงั้ ปวง จากนายของตนด้วยการทําสญั ญาของการเป็ นไทภายใต้กฎหมายที่เป็ นลายลกั ษณ์อกั ษรแล้ว กลบั กนั เราจะไมพ่ บแม้แตข่ ้อความเดยี วจากพระคมั ภีร์ไบเบิลทงั้ พนั ธะเก่าและใหมท่ ี่ได้ให้สทิ ธิทาง กฎหมายประการนีแ้ ก่ทาส กฎหมายเชน่ นีใ้ นคาํ สอนของพทุ ธศาสนา.พราหมณ์-ฮินดแู ละกฎหมาย โบราณอื่นๆตา่ งก็ไมป่ รากฏกฎหมายเชน่ ท่ีอิสลามวางไว้ประการนีเ้ ลย เราจะอธิบายปรากฏการณ์ เหลา่ นีไ้ ด้อย่างไรวา่ อิสลามเป็ นเพียงศาสนาเดียวที่ให้สิทธิเรียกร้องความเป็ นไทแก่ทาสด้วยการ ตรากฎหมายท่ีเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรหากเรายงั ยดึ คติอธิบายการเปลีย่ นแปลงทางสงั คมด้วยปัจจยั ทางวตั ถเุ ศรษฐกิจหรือทฤษฎีไร้นํา้ ยาอื่นๆทงั้ หลาย ตอ่ ข้อกฎหมายที่ให้สิทธิในการเรียกร้องอิสรภาพของทาสจากโองการดงั กลา่ วเราได้รับ แบบอย่างจากท่านอุมรั อิบนุลค็อฏฏ๊อบ อีกตามเคยถึงจุดยืนของท่านต่อความเด็ดเด่ียวใน กฎหมายประการนี ้ ‫لن ابن جرنج قت لمطاء أأاجب لتي إذا لتم ل مالا أن أتاتب قال ما أراه إلا أاجبا‬ ‫أقال لمرأ بن دنكار قت لمطاء تأثره لن أحد قال لا ٍب أخِبِن أن ممسى بن أعس أخِبه أن سًننن‬

~ 174 ~ ‫سأل أعسا المماتبة أتانتثًن المال فأبى فاعطتق إلى لمر ريي الله لك فقالتاتب فأبى فضرب بالدرة‬ ‫أناتم لمر فماتبمهم إن لتمام فيهم خًنا فماتب‬ “จากอิบนํุ รุ ็อยจฺเลา่ วา่ ฉนั เคยถามอะฏออ์ว่า ฉันมีความจําเป็ นไหมหากทราบว่าทาสผู้ นนั้ มีทรพั ย์ที่จะกําหนดตวั เองเป็นทาสมกุ าตบั ได้ ทา่ นอะฏออ์ตอบวา่ ฉนั มคี วามเห็นว่ามนั คือเรื่อง บงั คบั (วาญิบ)ให้ต้องทําสัญญาปลดปลอ่ ยทาสตามเง่ือนไขของทาสมกุ าตบั อมั รฺอิบนุดินารจึง ถามอะฏออว์ า่ ท่านมีอะไรมาสนบั สนนุ ความเห็นในการชีข้ าดของท่านเล่า เขาตอบปฏิเสธว่าไมม่ ี แตเ่ ขาก็กล่าวพร้อมกันวา่ มซู าอิบนอุ ะนัสบอกกบั เขาว่าสิรีนได้ ถามอะนสั ถึงเรื่องของการที่ทาส ต้องการเป็นทาสมกุ าตบั และทาสผ้นู นั้ กค็ อื สริ ีนเองเพราะเขามที รัพย์สนิ มาก แตอ่ ะนสั ได้ปฏิเสธท่ี จะรับเงินคา่ ไถ่ตวั เป็ นไทตามความต้องการของสิรีน ดังนนั้ สิรีนผ้เู ป็ นทาสจึงไปหาท่านอมุ รั เพ่ือ ขอให้อุมรั ช่วยให้เขาได้เป็ นทาสมุกาตบั ท่านอมุ ัรจึงกล่าวกับอะนัสว่าจงเขียนสญั ญาให้เขา แตอ่ ะนสั ก็ดงึ ดนั ปฏิเสธอกี อมุ รั จงึ ได้ชกั แส้หวดไปยงั อะนสั ผ้เู ป็นนายทาสพร้อมกบั อา่ นอลั กรุ อาน ท่ีวา่ -พวกเจ้าจงทําสญั ญากบั พวกเขาหากพวกเจ้ารู้วา่ เป็นการดกี บั พวกเขา(24:33)”153 นี่คอื สิทธิของทาสในอิสลามที่ต้องถูกจารึกไว้ในหน้าประวตั ิศาสตร์ว่าการปฏิเสธการทํา สญั ญาปลอ่ ยทาสของเหล่านายทาสทัง้ หลาย ครัง้ หนึ่งได้เคยถูกองค์ประมขุ แห่งรัฐอิสลามอนั เกรียงไกรอย่างท่านอมุ รั ต้องถงึ ขนั้ ออกโรงลงมอื กบั นายทาสหวั ดือ้ ที่ปฏิเสธความต้องการอสิ ระของ ทาสทงั้ หลายด้วยตนเองมาแล้ว ในขณะท่ีประเทศและรัฐทงั้ หลายในโลกนีไ้ ม่ยกั มีระบบสญั ญา ทํางานหาเงินมาให้นายทาสตามกําหนดจนสามารถเป็นไทได้ เพราะในบางประเทศทาสก็จกั ต้อง เป็นทาสสืบไปชว่ั ลกู ช่วั หลานแม้กระท่ังในไทยเองก็ตาม หากลทั ธิลา่ อาณานิคมและระบอบการ ผลติ ท่ีเปล่ียนเป็นอตุ สาหกรรมไมเ่ ข้ามาสง่ อิทธิพลในดินแดนแถบอนิ โดจีนแล้ว ก็ไม่รู้วา่ ทาสไทยที่ ถกู กดขจี่ ะต้องงมหวั รบั ใช้ชนชนั้ ศกั ดินาไทยไปอีกนานเท่าใด เพราะประวตั ิศาสตร์ไม่เคยบนั ทึกว่า มีกษัตริย์องคใ์ ดและจกั รพรรด,์ิ ผ้นู ําใดๆของโลกจะเป็ นห่วงเป็ นใยทาสถึงขนั้ ต้องออกโรงลงมือสงั่ สอนเหลา่ นายทาสท่ีละเมดิ รงั แกทาสดงั ทที่ า่ นอมุ รั ได้ทําตนเป็นแบบอยา่ งแก่ผองมสุ ลมิ ไว้เลย ทงั้ ๆ ท่ีบารมีและตําแหน่งของท่านอมุ รั ในฐานะประมุขของอาณาจักรอิสลามอนั กว้างขวางนับแต่ แอฟฟริกาจรดชายแดนจีนก็ย่ิงใหญ่กวา่ เหล่าจกั รพรรดิพระองค์ใดๆของโลกทงั้ หมด แต่กระนนั้ สามญั ชนธรรมดาเชน่ ทาสกย็ งั สามารถไปฟ้ องประมขุ ของอาณาจกั รอิสลามได้อย่างง่ายดาย มนั สะท้อนภาพของการไร้ชนชนั้ ในสงั คมอิสลามอยา่ งดีที่สดุ การมาของอสิ ลามจึงควรที่จะถกู จารึกใน หน้าประวตั ิศาสตร์ไว้อยา่ งยตุ ธิ รรมวา่ อสิ ลามมาเพ่ือท่ีจะยตุ ิความเลวร้ายทงั้ หลายทงั้ ปวงท่ีระบอบ การเมือง,ศาสนาและสงั คมโลกในขณะนนั้ กําลงั กระทําส่ิงเลวร้ายนานปั การตอ่ ทาส และในอสิ ลาม นนั้ หากจะมีการอนุโลมจับคนมาเป็ นทาสนนั้ ก็จากกรณีของสงครามที่เกิดการต่อส้เู พ่ือปกป้ อง 153 ศอฮีฮฺอัล-บคุ อรีย์. เลม่ 2 หน้า 903. กิตาบมุกาตบั .

~ 175 ~ ศาสนากบั ศตั รูของอสิ ลามที่มงุ่ ร้ายหมายขวญั ตอ่ อิสลามเท่านนั้ จะไม่มีการนําคนมาเป็ นทาสใน วิธีอน่ื ๆอกี (ดงั นนั้ คนและรัฐใดที่ไมค่ ิดร้ายตอ่ อสิ ลามก็ไมต่ ้องห่วงวา่ จะมีการจบั คนมาเป็นทาส) ใน ขณะเดียวกันการจับเชลยสงครามมาเป็ นทาสก็ควบคู่ไปกับมนุษย์ธรรมของอิสลามท่ีปกป้ อง เกียรตยิ ศและสทิ ธิของทาสดงั ที่กลา่ วมาแล้ว มิหนําซํา้ ใช่ว่าผ้เู ป็ นทาสจะต้องจมปลกั อย่กู บั ความ เป็ นทาสไปจนตายเพราะอิสลามเองก็เปิ ดหนทางในการปล่อยทาสไว้หลากหลายหนทาง ความสาํ เร็จของอสิ ลามในการปลดแอกทาสจึงได้ถูกนกั วิชาการจากโลกตะวนั ตกผ้มู ีดวงตาเห็น ธรรมกลา่ วยกยอ่ งสรรเสริญดงั ท่ี วิลต์ ดแู รนต์ (Will Durant) ได้กลา่ วไว้วา่ ‚นายทาส (มสุ ลิม) ดูแลทาสของพวกเขาดว้ ยมนษุ ยธรรมอนั อ่อนโยน ซ่ึงทาใหบ้ รรดาทาส ทง้ั หลายปราศจากสภาพชีวิตอนั เลวร้าย บางทีทาสเหล่านี้อาจจะมีสภาพชีวิตที่ดีกว่ากรรมกรใน โรงงานอุตสาหกรรมของยโุ รปช่วงศตวรรษที่ 19 ดว้ ยซ้า‛ (Hurgronje C., Mohammedanism, (N.Y., 1916), p. 128 as quoted by W. Durant, The Story of Civilization, vol. IV (N.Y., 1950), p. 209.) ในขณะท่ีชว่ งใกล้สนิ ้ ยคุ ศตวรรษที่ 18 Mouradgea d'Ohsson นกั บรู พาคดีคนสําคญั ของ โลกตะวนั ตกที่เป็นฐานข้อมลู ในการศกึ ษาแก่ชนยโุ รปรุ่นตอ่ มาในด้าน ‚ออตโตมนั ศกึ ษา‛ ได้กล่าว ไว้วา่ ‚บางทีคงไม่มีประชาชาติใดอีกทีบ่ รรดาเชลย,ทาสและคนงานที่ทางานอย่ใู นครวั เรือน(ของ นายทาส-ผูแ้ ปล)จะมีชีวิตที่ดีไปกว่า(บรรดาทาสทีอ่ ยภู่ ายใตก้ ารดูแลของ)ประชาชาติแห่งมุฮัมมดั โดยเฉพาะในเรื่องของการเลีย้ งดูเมตตาทาสอย่างดี‛ ( The Encyclopedia of Islam, vol.I, p. 35) ขณะที่ P. L Riviere ก็ได้กลา่ วยอมรบั วา่ บรรดานายทาสมสุ ลิมนนั้ ถกู บัญชาให้ปฏิบัติต่อ ทาสด้วยความกรุณาในฐานะกลมุ่ คนท่ีพระเจ้าได้มอบหมายให้อย่ใู ต้การครอบครองของเขา ซึ่ง จากคําสอนดงั กลา่ วของอิสลามนีไ้ ด้ประจักษ์แจ้งแล้วว่าอิสลามเคารพในดลุ ยภาพของมนษุ ย์ ตลอดจนยงั สะท้อนภาพแห่งความเทา่ เทียมของมนษุ ย์ทกุ คนซงึ่ เป็นหลกั คาํ สอนท่ีไมส่ ามารถหาได้ ในอารยะธรรมยคุ โบราณ (Riviere P.L., Revue Bleaue June 1939). ขณะท่ีนโปเลียน โบนาปาร์ด ก็ได้บนั ทึกถึงเร่ืองราวของทาสจากประสบการณ์ที่เขาได้ สมั ผสั มนั มาในโลกมสุ ลมิ ความวา่ ‚บรรดาทาสรับมรดกจากนายทาสได้ ทง้ั ยงั มีการแต่งงานกับลูกสาวของนายทาสด้วย สว่ นมากของพวก ปาชา(ขา้ ราชการระดบั สูงของตรุ กีและประเทศแถบตะวนั ออกกลาง) ต่างก็เคย เป็นทาส พวกขนุ นางช้ันสูง(วะศีร),พวก(ราชวงศ์)มมั ลูคทงั้ หมดต่างก็เคยเป็นทาสมาก่อนทง้ั สิ้น พวกทาสเหลา่ นี้เริ่มตน้ ชีวิตของพวกเขาดว้ ยการทางานรบั ใช้อยู่ในบ้านของนายทาสและไดถ้ ูกยก สถานะจากความเป็นทาสดว้ ยคณุ ความดีของพวกทาสหรือจากความโปรดปรานของนายทาสใน เวลาต่อมา ผิดกับส่ิงที่เกิดข้ึนกับทาสในโลกตะวนั ตก พวกทาสอยู่ในสถานะคนรับใช้ที่ต่าตอ้ ย

~ 176 ~ พวกโรมนั เองแมจ้ ะมีการปลดปลอ่ ยทาสแต่ก็เป็นแตเ่ พียงการปลดปล่อยทาสที่ไม่ไดท้ าให้ทาสเท่า เทียมกบั คนทีเ่ กิดมาอย่างเสรีชนที่เป็นไท‛ (Cherfils, Bonaparte et l'Islam (Paris, 1914) Annemarie Schimmel ได้กลา่ วไว้วา่ “ประวตั ิศาสตร์ทง้ั หมดของอิสลามไดพ้ ิสจู น์แลว้ ว่า บรรดาทาสสามารถที่จะเข้าทางานอยู่ ในแต่ละสานกั งาน และจานวนมากของทหารเตอร์กที่ถูกเกณฑ์มาจากเอเชียกลางก็มกั จะเลื่อน สถานะกลายมาเป็นแม่ทพั และแมก้ ระทง่ั ก็บ่อยครั้งที่ทาสเหล่านี้จะกลายมาเป็นผูป้ กครองดงั ที่ มนั เกิดขึ้นในอิหร่านตะวนั ออก,อินเดีย(ราชวงศ์ทาสของอินเดียในเดลฮี) และอียิปต์ในยุคกลาง (พวกวงศ์มมั ลคู )”154 กสุ ตาฟ เลอบอง (Gustave Le Bon) ปราชญ์บรู พาคดีผ้เู จนจัดเกี่ยวตะวันออกกลาง ศกึ ษาได้กลา่ ววา่ “สิ่งที่ข้าพเจ้าเช่ืออย่างมั่นใจก็คือวา่ ระบอบทาสในหมชู่ าวมสุ ลิมนนั้ ดีกว่าระบอบทาสท่ี ปรากฎอย่ใู นหมชู่ นอ่นื หมชู่ นใด ซง่ึ สถานภาพของทาสในโลกตะวนั ออกนนั้ ดีกวา่ พวกคนใช้ในยโุ รป และบรรดาทาสในตะวนั ออกนนั้ คือสว่ นหนง่ึ จากครอบครัว เหลา่ ทาสผ้ปู ระสงค์ที่จะได้รับอิสรภาพ สามารถที่จะได้รบั อิสระด้วยการเรียกร้องความต้องการของตนตอ่ นาย”155 ตามความเห็นของนกั วิชาการตะวนั ตกตามท่ีได้นําเสนอไปนีส้ ะท้อนภาพแห่งความสําเร็จ อยา่ งชดั เจนของอสิ ลามในการทําลายความแตกตา่ งของมนษุ ย์ที่อบุ ตั ขิ นึ ้ ตากระบอบทาส คําสอน อนั เป่ี ยมไปด้วยเมตตาธรรามของอิสลามที่มีตอ่ ทาสปรากฏเป็นรูปธรรมจากยคุ สมยั ของทา่ นศาสน ทตู และโลกมสุ ลิมในยคุ ตอ่ มา ไมเ่ พียงแตค่ วามสําเร็จของอิสลามในการทําลายชนชนั้ ทาสเท่านนั้ ลทั ธิความคลงั่ ไคล้ใน เชือ้ ชาติอย่าง “ชาตนิ ิยม” ที่อบุ ตั ขิ นึ ้ ในยโุ รปจนกอ่ เกิดสงครามโลกครงั้ ท่ี 2 ภายใต้ลทั ธิ “ฟาซซิสต์” และอื่นๆของสว่ นตา่ งในโลกต่างก็สะท้อนภาพแห่งความล้มเหลวในระบอบของศาสนาและลทั ธิ การเมอื งตา่ งๆซ่ึงไมอ่ าจท่ีจะจดั การความแตกตา่ งทางเชือ้ ชาตขิ องมนษุ ย์ได้ มเี พียงอสิ ลามเท่านนั้ ท่ีแก้ไขปัญหานีอ้ ย่างได้ผลที่สดุ ดงั การยืนยันของนกั ประวตั ิศาสตร์คริสต์เตียนช่ือดงั ชาวองั กฤษ นามวา่ A. J. Toynbee ได้กลา่ วไว้วา่ “การสญู ส้ินความรู้สึกในแบบ “ชาตินิยม” ระหว่างมุสลิมทง้ั หลายคือหนึ่งในความสาเร็จ อนั ยอดเยี่ยมของอิสลาม และในโลกร่วมสมยั นีด้ งั ทีไ่ ดป้ รากฏใหเ้ หน็ มีความตอ้ งการป่ าวประกาศ เพือ่ เผยแพร่ถึงคณุ ความดีของอิสลามประการนี้”156 154 Islam: An Introduction, p. 67 155 อลั ฮะฏอเราะฮฺอลั -อะร็อบ. หน้า459-460. 156 Toynbee, A.J., Civilization on Trial (New York, 1948), p. 205.

~ 177 ~ อย่างไรก็ตามผลจากระบอบแห่งความทรงธรรมที่อิสลามได้ มีไว้ต่อทาสได้ทําให้นัก ประวตั ิศาสตร์ฝรั่งบางคนพิจารณาวา่ ในยคุ แห่งการปกครองของ 4 คอลฟี ะฮฺผ้ทู รงธรรมนนั้ ทาสได้ ถกู กําจดั ลงในดนิ แดนของชาวมสุ ลมิ อย่างทนั ตาเห็นแตท่ วา่ ผลเสียของมนั ได้ปรากฎขนึ ้ หลงั จาก โลกมสุ ลิมได้ก้าวสยู่ คุ สมยั แหง่ การปกครองของพวกอมุ ยั ยะฮฺ(หลงั ยุคท่านมอุ าวียะฮฺ)ท่ีเป็ นเผด็จ การและทรราชซง่ึ ได้ทําให้ระบอบทาสปรากฎขนึ ้ ใหมอ่ ีกครงั้ ในดินแดนอื่นๆที่มิใช่รัฐมสุ ลิมและถกู พวกตนพิชิตโดยผ่านระบอบทาสที่มีอยู่เดิมแล้วในอาณาบริเวณเหล่านัน้ ดังที่นาย Patrick Manning นกั วจิ ารณ์อิสลามเรื่องทาสกลบั กลา่ วโทษอยา่ งข้างๆคๆู วา่ ข้อกฎหมายท่ีอิสลามได้วางไว้ เกี่ยวกบั ทาสทงั้ หมดนนั้ มีแนวโน้มท่ีจะปกป้ องระบอบทาสและขยายให้ระบอบทาสเพิ่มมากขนึ ้ ใน สังคมอารเบีย157 ซึ่งข้าฯมองว่าการพิจารณาเช่นนีเ้ ป็ นการมองข้อเท็จจริงอย่างตืน้ เขินและ ปราศจากการลําดับความเหมาะสมของบริบท แน่นอนการที่เบอร์นาด ลูอิส ด้วยเช่นกันจะ กลา่ วโทษตาํ หนิอสิ ลามวา่ เป็นต้นเหตใุ ห้ทาสปรากฎเพิ่มขนึ ้ ในดินแดนรอบนอกอารเบียหลงั การมี อาํ นาจของพวกอมุ ยั ยะฮฺนนั้ เป็ นสิ่งที่ผิดประเด็น เพราะราชวงศ์อมุ ยั ยะฮฺเป็ นราชวงศ์ที่ได้รับการ ตําหนิและรังเกียจจากชาวมุสลิมอย่แู ล้ว สืบเน่ืองจากราชวงศ์นีไ้ ด้กลายมาเป็ นทรราชของโลก มสุ ลมิ ที่ไมไ่ ด้ปฏิบตั ิตามหลกั การของศาสนาตา่ งจากการปกครองโดยสาวกสมยั แรก ดงั นนั้ การ ปฏบิ ตั ิของคนในราชวงศ์นีจ้ ะไมถ่ กู พิจารณาโดยเช่อื มโยงเข้ากบั อิสลามเพราะนน่ั เป็นการวิเคราะห์ ที่โง่งมมากหากเราจะบอกวา่ การเพิ่มขนึ ้ ของทาสในรอบนอกโดยนโยบายของพวกอาหรับอมุ ยั ยะฮฺ เป็นผลมาจากหลกั การอสิ ลามแตก่ ารเลิกทาสอย่างสําเร็จในยุคสมยั 4 คอลีฟะฮฺของอิสลามเป็ น ผลมาจากอะไรสกั อย่างที่ไมใ่ ช่อิสลาม!!แนน่ อนวา่ นี่คอื การวิเคราะห์ที่อคติของเบอร์นาดลอู ิสสว่ น ข้ออ้างของ Patrick Manning ท่ีวา่ อสิ ลามมแี นวโน้มท่ีจะสนบั สนุนทาสมากกวา่ การยกเลิกทาสก็ ล้วนเป็ นข้ออ้างที่ไม่มีนํา้ หนักในข้อพิสจู น์เลยหากเราพิจารณาอิสลามจากข้อกฎหมายท่ีข้าฯได้ นําเสนอไปทัง้ หมดตลอดเล่ม การพิจารณาวา่ การเพิ่มของทาสซ่ึงเป็ นผลมาจากนโยบายของ พวกบนีอมุ ยั ยะฮฺแล้วทําการผกู โยงกบั หลกั การอิสลามโดยแกล้ง “ตาบอด” ไมเ่ ห็นถึงการปฏบิ ตั ิตอ่ ทาสในยคุ สมยั แห่งการปกครองของ 4 คอลฟี ะฮฺจึงเป็นการิวเคราะห์ที่เข้าขา่ ยตาบอดคลําช้างของ พวกเขาบรู พาคดีอย่างแท้จริง ตวั แปรสําคญั ที่ได้พิสจู น์ว่าเม่ือใดท่ีโลกมสุ ลิมได้ถกู ปกครองด้วย รัฐบาลจิตวิญญาณแห่งอิสลามแล้วเมื่อนนั้ ความผาสกุ ของประชาชนและการปลดปลอ่ ยทาสก็จะ หวนกลบั มาอีกครัง้ ดงั ปรากฎจากการกลบั มาของคอลีฟะฮฺผ้ทู รงธรรมอีกครัง้ หลงั จากได้ขาด สะบนั้ ลงด้วยการขนึ ้ ครองอาํ นาจของเผดจ็ การแหง่ วงศอ์ มุ ยั ยะฮฺ นนั่ คอื ยคุ สมยั ของท่านอมุ รั บินอบั ดลุ อะซีส ประวตั ศิ าสตร์ได้บนั ทกึ ไว้ถึงการทําลายการขดู รีดทางเศรษฐกิจท่ีพวกอมุ ยั ยะฮฺได้กระทํา 157 Patrick Manning. Slavery and African Life Occidental, Oriental and African Slave Trades. P. 28. Lewis. Race and Slavery in the Middle East: an Historical Enquiry. P.10

~ 178 ~ ไว้ตลอดจนการกระจายความมง่ั คงั่ ทางเศรษฐกิจท่ีกระจกุ ตวั อย่ใู นบางกลมุ่ อภิสิทธ์ิของสงั คม เรา ไมส่ ามารถจินตนาการได้เลยวา่ การบริหารการปกครองในรัฐคอลีฟะฮฺของท่านอมุ รั บินอบั ดลุ อะซีส นนั้ ยตุ ิธรรมขนาดไหนแตป่ ระวตั ิศาสตร์ได้ยืนยันแก่เราวา่ ยะฮฺยาอิบนุซาอีดผ้บู ริหารคนสนิทของ ทา่ นอมุ รั ไมส่ ามารถที่จะแจกซะกาตแก่มสุ ลิมในอาณาบริเวณของอฟั ริกาเหนือได้เพราะดินแดน ดงั กลา่ วปราศจากคนจนที่อยใู่ นเงื่อนไขที่จะสามารถรบั การรับซะกาตได้!! อมุ รั จึงได้สงั่ ให้ข้าหลวง ของทา่ นนําเงินซะกาตไปไถ่ตวั ทาสให้เป็นไททงั้ หมด158เหตกุ ารณ์ในหน้าปรวะติศาสตร์ส่วนนีเ้ ป็ น ตวั แปรรูปธรรมท่ียืนยนั วา่ กงล้อแหง่ การปกครองโดยรัฐบาลอสิ ลามที่แท้จริงเทา่ นนั้ ที่จะสามารถท้า ทายอํานาจการกดขขี่ องระบอบการเผลิตและเศรษฐกจิ ได้ ในทศั นะของ R.A. Nicholson นกั บรู พา คดที ี่ศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์อิสลามเขาให้ความเห็นวา่ คณุ ธรรมอนั ลาํ ้ เลิศของท่านอมุ รั ได้สะท้อนโลก ทศั น์ทางปรัชญาการเมอื งของประชาชาติแห่งทา่ นนบีมฮุ มั มดั ได้ตรงข้ามกบั ทศั นะของพลาโตบิดา แห่งรฐั ศาสตร์ตะวนั ตกอย่างสนิ ้ เชิง เพราะตามโลกทศั น์ของอิสลามแล้วผ้ปู กครองท่ีดีมิใช่วดั กนั ที่ การดํารงตนในฐานะกษัตริย์นักปราชญ์ราชครูของเขา หากแต่ผ้ปู กครองที่ดีนัน้ วดั กันได้จาก สภาวะของการเป็ น “วะลียลุ ลอฮฺ” ในตวั ของคอลีฟะฮฺนนั้ คือสภาวะของการเป็ นบ่าวผ้ศู รัทธาใน พระเจ้าอย่างสงู ท่ีสดุ แล้ว ในทัศนะของนิโคลสนั โลกมสุ ลิมจึงไม่น่าจะสรรหาผ้นู ําท่ีดีเช่นนีไ้ ด้อีก เพราะการเป็ นคอลีฟะฮฺของอมุ รั นนั้ มิได้วางรากฐานอํานาจอย่บู นความบ้าอํานาจอนั น่าฮึกเหิม หากแตก่ ารปกครองของคอลฟี ะฮฺอมุ รั นนั้ วางอย่บู นความกลวั เกรง ดงั การสารภาพของทา่ นอมุ รั เอง ต่ออซั ซุดีย์คนสนิทของท่านว่าท่านกลวั การปกครองของท่านจะนํามาซ่ึงความหายนะต่อจิต วิญญาณของท่าน159 เราได้วิเคราะห์ไปแล้ววา่ การที่กฎหมายอิสลามยอมรบั การมีทาสนนั้ มนั มิได้หมายความวา่ อิสลามสนบั สนนุ การมีทาส หากแตอ่ ิสลามต้องการกําจดั การมีทาสอย่างเป็ นขนั้ ตอนด้วยการสงั่ ห้ามการนําเสรีชนมาเป็นทาสและสง่ั ปลอ่ ยทาสเป็นเสรีชนตา่ งหาก การท่ีเบอร์นาด ลอู สิ กลา่ วโทษ อสิ ลามวา่ ได้จํากดั การเกิดขนึ ้ ของทาสใหมๆ่ ในอารเบียซ่ึงทางหนึ่งก็เหมือนสง่ ผลให้มีการนําทาส จากดินแดนอ่ืนเข้ามาเพราะต้องการหลบหลกี ข้อกฎหมายของอสิ ลาม การวิเคราะห์ของลอู ิสเช่นนี ้ มีความเป็นธรรมทางวิชาการแล้วกระนนั้ หรือ? การท่ีรัฐปราบปรามการผลิตยาเสพย์ติดในชาติจน ทําให้พวกผ้ผู ลิตยาต้องไปสร้ างโรงงานการผลิตยาในแหล่งอื่นคือความความผิดของรัฐกระนัน้ หรือ? รัฐควรจะน่ิงเฉยปลอ่ ยให้คนในชาตจิ มปลกั กบั การเสพย์ยาเพราะเห็นแก่รัฐอื่นกระนนั้ หรือ? การประพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ ่ีมสุ ลิมรุ่นแรกปฏิบตั ติ อ่ ทาสนนั้ ช่างแตกตา่ งอย่างสนิ ้ เชิงตอ่ การปฏบิ ตั ิตอ่ ทาส ที่มสุ ลมิ ออ่ นศรทั ธาในรุ่นหลงั ๆมาได้กระทําไว้ 158 ดร. อสี มาแอ กาเต๊ะ. เอกสารประกอบการสอนรายวิชา Islamic History 2. หน้า 13. 159 R.A. Nicholson. Literary History of the Arabs. P.204-205.

~ 179 ~ ท่านเชคมนุ ดั ญิด ได้กลา่ วสรุปวา่ ‫ ٍب قال ل بمد‬، ‫رأى أن لثمان بن لفان ريي الله لك َد َلك أُذُن َلْب ٍد ل لتى ذعب فمت‬ ‫ فإِن لا‬، ً‫ اقرص جيدا‬: ‫ فقال ل‬، ‫ فبدأ نقرص بخفة‬، ‫ فاماكع المبد فألح لتي‬، ‫ تقدم أاقرص أذِن‬: ‫ذلك‬ ً‫ اليمم الذي َّتشاه أعا أخشاه أنضا‬: ‫ أتذلك نا سيدي‬: ‫ فقال المبد‬، ‫ أتحمل لذاب نمم القيامة‬. ‫أتان لبد الرْحن بن لمف ريي الله لك إذا مشى بٌن لبيده لا يديزه أحد مكهم – لأع لا‬ ‫ ألا نتبس إلا من لباسهم‬، ‫ ناقدمهم‬. ، ‫ فغضب‬، ‫أمر لمر بن الخطاب ريي الله لك نمماً فرأى المبيد أقمفاً لا نأتتمن مع سادتهم‬ ‫ ما لقمم نساأثرأن لتى خدامهم ؟ ٍب دلا الخدم فأتتما ممهم‬: ‫ أقال لمماليهم‬. ‫ نا أبا لبد الله‬: ‫ فقال ل‬- ً‫أدخل رجل لتى ستمان ريي الله لك فمجده نمجن – أتان أمًنا‬ ‫! ما هذا ؟! فقال بمثكا الخادم ُب شغل فمرهكا أن َنمع لتي لمتٌن‬ 4- ‫لا ماعع أن ناقدم المبد لتى اْلر ُب بمض الأشياء‬: ‫ أتان لمائشة أم‬، ‫ أقد صح إماما ُب الصلاة‬، ‫فيما نفضت في من شئمن الدنن أالدعيا‬ ‫ بل لقد أمر المستممن بالسمع أالطالة إذا متك أممرهم لبد‬، ‫المؤمكٌن لبد نؤمها ُب الصلاة‬ “มนั ถูกรายงานมาว่าท่านอษุ มานบินอฟั ฟานไดห้ ยิกหูของทาสเมือ่ ตอนที่ทาสไดท้ าบางส่ิง ทีผ่ ิดพลาด ต่อมาอษุ มานก็กล่าวกับทาสว่า จงมาและหยิกใบหูของฉนั คืนเป็นการตอบแทนเถิด ทาสของทา่ นไดต้ อบปฏิเสธแตอ่ ษุ มานก็ยงั คงยืนกรานดงั นนั้ ทาสจึงเริ่มตน้ หยิกหทู า่ นอษุ มานเบาๆ แต่ทา่ นอษุ มานก็ไดก้ าชบั กบั เขาวา่ จงหยิกแรงๆหนอ่ ย เพราะว่าฉนั ไมส่ ามารถพบกบั การลงโทษใน วนั แห่งการฟื้นคืนชีพได้ ทาสจึงเอ่ยขึ้นว่า เช่นนน้ั เหรอนายของฉนั วนั ซ่ึงท่านเกรงกลวั ฉนั เองก็กลวั , และเมื่ออบั ดรุ เราะฮฺมานบินเอาฟ(ฺ ขออลั ลอฮฺทรงพอใจทา่ น)ไดเ้ ดินอย่กู บั ทาสของเขา ไมม่ ีใครสกั คนทีส่ ามารถพูดกบั อบั ดรุ เราะฮฺมานบินเอาฟไฺ ดเ้ พราะเขามิไดเ้ ดินนาหน้าพวกทาส(เสมือนที่นาย ทาสสว่ นใหญ่กระทาไป)และตวั เขาเองก็มิไดส้ วมใส่อะไรที่แตกต่างไปจากที่พวกทาสสวมอยู่เลย, วนั หน่ึงเมื่ออมุ รั อิบนลุ ค็อฏฏ๊อบไดเ้ ดินผ่านมายงั กล่มุ ชนหนึ่งและพบว่าทาสของเขายืนอยู่โดยมิได้ กินอาหารร่วมกบั นายของเขา อมุ รั จึงโกรธเคืองและกล่าวข้ึนวา่ อะไรคือความผิดกับผูค้ นที่เห็นแก่ ตวั แมก้ ระทง่ั กบั คนใชข้ องพวกเขาเล่า? ดงั นนั้ อมุ รั จึงได้เรียกเหล่าคนรับใช้มาและพวกเขาต่างก็ ร่วมรับประทานอาหารดว้ ยกนั , ชายผูห้ น่ึงไดเ้ ขา้ มาหาท่านซลั มานและพบเขากาลงั นงั่ ทาขนมและ ในขณะนน้ั เขาดารงตาแหน่งเป็นขา้ หลวง ชายผนู้ นั้ จึงไดก้ ล่าวแก่เขาว่า โออ้ บูอบั ดุลลอฮฺอะไรกนั นี่? ซลั มานตอบว่า เราไดส้ ง่ คนใช้(ทาส)ของเราไปทาธุระและเราไม่อยากให้เขาทางานสองอย่าง ในครง้ั เดียว 4. ไม่มีความผิดใดๆต่อทาสที่ไดก้ ระทาการณ์บางอย่างที่เหนือกวา่ เสรีชนซ่ึงเป็นเรื่องที่ เกี่ยวกบั ศาสนาและกิจการทางโลกซ่ึงในขอบข่ายเหล่านี้ทาสสามารถเหนือกว่านายของตนได้ ตวั อย่างเช่น หลกั ฐานซึ่งระบุว่าทาสได้เป็นอิมามนาในการละหมาด ดงั กรณีของท่านหญิงอาอิ

~ 180 ~ ชะฮฺมารดาของปวงผศู้ รัทธาซ่ึงปรากฎว่าท่านหญิงมีทาสที่คอยเป็นอิมามนาเธอในการละหมาด และแทจ้ ริงบรรดามสุ ลิมไดถ้ ูกบญั ชาใหเ้ ชื่อฟังและภกั ดีแมน้ ว่าทาสจะถูกเลือกมาเพื่อดูแลบรรดา กิจการงานของพวกเขาก็ตาม” ทศั นะของนกั วิชาการอสิ ลามตอ่ ระบอบทาส ท่าน ดร.ฏฮา ญาบิร อลั -อัลวานี หนงึ่ ในอลุ ามาอฺผ้ทู รงคณุ วฒุ จิ ากประเทศแคนนาดาได้กลา่ วไว้ วา่ “เมื่อพระองค์อลั ลอฮฺทรงสร้างมวลมนษุ ย์ขึ้นมา พระองค์ไดส้ ร้างพวกเขาในฐานะเสรีชนที่ เป็นไทและเป็นตัวแทนของพระองค์บนหน้าบรรณพิภพนี้ ระบอบทาสคือบางสิ่งซึ่งอบุ ตั ิข้ึนจาก ประชากรมนษุ ย์ซ่ึงไม่เขา้ ใจถึงสถานภาพของมนษุ ย์(ทีพ่ ระองค์ทรงสร้างมา)และมนั ไดถ้ กู ถือปฏิบตั ิ กันในสงั คมยุคอดีตกันอย่างกว้างขวาง คร้ันเมื่ออิสลามปรากฏข้ึนมา อิสลามได้พยายามที่จะ แปรเปลี่ยนสถานภาพของทาสไปสู่สภาพเดิมที่พวกเขาถูกบงั เกิดมาอย่างเสรีชนที่เป็นไท ดงั ที่ พระองค์ไดท้ รงสรรสร้างพวกเราดว้ ยกบั ขน้ั ตอนอนั แน่นอน กระบวนการเหล่านน้ั (ในการปลดแอก ทาส)ของอิสลามไดก้ ้าวผา่ นผา่ นไปโดยปราศจากการแทรกแซงจากประชาชาติอื่นๆหรือบรรดารัฐ อืน่ ๆที่ไมใ่ ช่รัฐมสุ ลิม160บางทีเพียงแคใ่ นราวศตวรรษที่ 3 ของฮิจเราะฮฺศกั ราชระบอบทาสอาจจะถึง จดุ จบและสญู ส้ินไป แต่ก็ดงั ที่ได้กล่าวไปแลว้ ขา้ งตน้ เนื่องจากระบอบทาสคือปรากฏการณ์ทาง สังคมที่ปรากฏในวงกว้างของสังคมยุคอดีต กระบวนการขน้ั ตอนที่อิสลามสร้างขึ้นเพื่อการ ปลดปล่อยทาสก็ไมส่ ามารถทีจ่ ะหยดุ ยง้ั ระบอบทาสทีม่ ีอยู่อย่างกวา้ งขวางไวท้ ง้ั หมดได้ แตใ่ นปัจจบุ นั บรรดาการสรรเสริญทง้ั มวลเป็นของอลั ลอฮฺ ประชากรโลกตา่ งก็เห็นพอ้ งใน การทีจ่ ะหยดุ ยงั้ ระบอบสงั คมเช่นนีแ้ ละไดล้ กุ ขึ้นเพื่อตอ่ ตา้ นขจดั มนั ดว้ ยกบั ส่ิงนี้ มนั จึงไม่มีหนทาง ใดทีจ่ ะนาไปสู่การสถาปนาระบอบทาสข้ึนมาอีกคร้ังอีกไม่ว่าในทางหน่ึงทางใด โดยเฉพาะสาหรับ มสุ ลิมเนื่องจากว่าพวกเขาตอ้ งปกป้ องอิสรภาพของผูอ้ ื่นและคาจุ้นสถานภาพในดา้ น “สิทธิ” ของ การเป็นบา่ วของพระองค์อลั ลอฮฺผูเ้ ดียวเท่านนั้ เราจาต้องจดจาถึงปฐกถาอนั โด่งดงั ของท่านคอ ลีฟะฮฺอมุ รั (รอฎิฯ) ทีท่ ่านไดก้ ล่าววา่ “กระไรกนั เลา่ ที่ท่านทาใหผ้ ูค้ นตอ้ งเป็นทาสหรือบ่าวของท่าน ในขณะทีพ่ ระองค์อลั ลอฮฺกลบั สร้างพวกเขามาในสภาพทีเ่ ป็นอิสระ?” นี้หมายความว่าบรรดามสุ ลิมจากยคุ สมยั เร่ิมแรกนน้ั สนบั สนนุ อิสรภาพของมนษุ ย์ทง้ั ปวง และตอ่ ตา้ นการกดขีเ่ สรีชนโดยน้ามือของพวกผูน้ าทรราชและเผด็จการ จากส่ิงที่กล่าวมาทงั้ หมด 160 ตรงนีท้ ่าน ดร.ฏอฮา กําลงั จะกล่าวว่า อิสลามริเริ่มจะปลดปลอ่ ยทาสตงั ้ แต่ในยุคสมัยที่โลกเต็มไปด้วย ระบอบทาส หาใชก่ ระบวนการท่ีเกิดขนึ ้ จากการที่ถกู แทรกแซงโดยประชาคมโลก,องค์กรมนษุ ยธรรมสากลและ การถกู บบี คนั ้ จากรัฐอนื่ ๆ แต่อสิ ลามต้องการปลดปล่อยทาสด้วยกบั อดุ มการณ์ในความเท่าเทียมกันของมนษุ ย์ ตอ่ พระเจ้าของอิสลามเอง

~ 181 ~ เราประสงค์ทีจ่ ะบอกกลา่ วว่า มนั คือธรรมเนียมของสงครามในอดีตที่มกั มีการจบั ผู้คนทง้ั ชายและ หญิงมาเป็นเชลยและแปรเปลี่ยนสภาพของพวกเขาสู่การเป็นทาส อิสลามมิใช่เป็นผูร้ ิเร่ิมธรรม เนียมเหลา่ นี้แตท่ วา่ มนั ถกู ปฏิบตั ิกันมาอย่างยาวนานแล้วก่อนการมาของอิสลามดว้ ยซ้าไป และ เมื่ออิสลามได้อุบตั ิข้ึนอิสลามพยายามที่จะกาจัดมนั อย่างค่อยเป็นค่อยไป และย่อมเป็นเรื่องที่ สอดคลอ้ งกบั สามญั สานึกทีห่ ากวา่ มสุ ลิมจะปฏิบตั ิตามธรรมเนียมดงั กลา่ วดว้ ยในฐานะทีศ่ ตั รูฝ่ าย ตรงขา้ มต่างก็กระทากบั มสุ ลิมในลกั ษณะดงั กล่าวกนั ทงั้ ส้ิน161 ชัยคมฺ ุฮัมมัด นูร อบั ดุลลอฮฺ ได้กลา่ วไว้วา่ “ระบอบทาสคือกฎเกณฑ์สากลที่มีอยู่ในวฒั นธรรมอาหรับ,เปอร์เซีย,อินเดียและอารย ธรรมโรมนั หาใช่อิสลามแต่อย่างใดเลยที่เป็นผู้ริเร่ิมระบอบดงั กล่าวนี้ ในทางกลบั กนั เมื่อคร้ังที่ อิสลามมา ระบอบทาสกลับปรากฏมีอย่างกว้างขวางอยู่ก่อนแล้ว ดังน้ันมันจึงไม่ใช่เรื่องที่ เหมาะสมนกั ที่อิสลามจะสงั่ ห้ามเรื่องของทาส ณ เวลาใดในยุคอดีต อย่างไรก็ดีอิสลามกลับ พยายามที่จะกาจดั แหล่งทีม่ าของทาสและปิ ดกน้ั มนั ทีล่ ะกา้ ว หลงั จากทีอ่ ิสลามไดอ้ บุ ตั ิข้ึน บรรทาสไดร้ ับการปฏิบตั ิดแู ลอยา่ งดี สิทธิมนษุ ยชนต่างๆของ พวกทาสได้รับการปกป้ อง ท่านศาสนทูต ศ็อลฯ ได้บญั ชาให้ปฏิบตั ิอย่างเหมาะสมเพื่อทาส ทงั้ หลาย ซ่ึงในการณ์นี้พวกทาสจกั ตอ้ งไดร้ ับอาหารเช่นเดียวกบั ทีบ่ รรดามสุ ลิมทง้ั หลายกินกนั จกั ตอ้ งถกู ประดบั ประดาในส่ิงทีม่ สุ ลิมทงั้ หลายสวมใส่กนั และจักต้องไม่ถูกใช้ให้ทางานในสิ่งที่เกิน ความสามารถของพวกทาสเวน้ แต่วา่ บรรดามสุ ลิมจะลงไปช่วยทาสทางานด้วยอีกแรง ท่านศาสน ทตู ศอ็ ลฯยงั ไดห้ า้ มบรรดามสุ ลิมทบุ ตีทาสของเขา ดงั ที่คร้งั หนึ่งท่านได้เรียกตวั ชายผู้หน่ึงซึ่งทบุ ตี ทาสของเขาเขา้ พบ และท่านไดก้ ลา่ ววา่ “จงจดจาไว้ ตวั ท่านมีอานาจเหนือทาส แตท่ วา่ อลั ลอฮฺเอง ก็มีอานาจเหนือทา่ น จงนึกถึงวา่ ถา้ ตวั ท่านเองตอ้ งตกอยู่ในสภาพเดียวกับทาสของท่าน ท่านจะ พอใจกบั การปฏิบตั ิเช่นนี้ไดอ้ ย่างไร? ชายผนู้ น้ั จึงรู้สึกเสียใจกบั สิ่งทีเ่ ขาไดท้ า และเขาไดป้ ลอ่ ยทาส ใหเ้ ป็นไท จากทง้ั หมดนี้ ท่านศาสนทูต ศ็อลฯ จึงได้กล่าวกับเขาว่า หากท่านไม่ปลดปล่อยทาส ของใหเ้ ป็นไท ท่านจะถูกลงโทษโดยอลั ลอฮฺในวนั แห่งการพิพากษา” นี่คือวิธีการที่อิสลามให้เกียรติต่อสิทธิของทาสหลงั จากที่พวกทาสไดเ้ คยถูกทารุณกรรม และลงโทษ วกกลบั มาที่ประเด็นของตวั ท่านศาสนทูต ตวั ของท่านศาสนทูตเองก็ไม่เคยมีทาสใน ครอบครอง ทาสคนแรกที่ท่านหญิงคอดียะฮฺ (รอฎิฯ) ได้มอบใหแ้ ก่ท่านก็คือท่านซยั ดฺ อิบนฮุ า ริษะฮฺ ซ่ึงทา่ นศาสนทูตเองก็ไดร้ ับเซตไวใ้ นฐานะบตุ รบญุ ธรรมและไดเ้ รียกเขาวา่ ซยั ดฺบตุ รของมฮุ มั 161 Sami Zaatari. Islam's position on Slavery. : http://muslim- responses.com/islam_on_slavery_/islam_on_slavery_

~ 182 ~ มดั (ก่อนจะมีบทบญั ญตั ิหา้ มวา่ ดว้ ยบตุ รบญุ ธรรมแบบธรรมเนียมอาหรับโบราณในภายหลงั ) แต่ ต่อมาท่านจึงเรียกชื่อซยั ดฺและตามดว้ ยชื่อบิดาบงั เกิดเกลา้ ของเขาแทน สาหรับกรณีของภรรยาของท่านน้นั ปรากฏทัศนะที่แตกต่างกันไปในหมู่นกั วิชาการ เกี่ยวกับสถานภาพของนางมารียา อลั กิบฏิยะฮฺ ซ่ึงนางได้ถูกส่งมาแก่ท่านศาสนทูตในฐานะ ของขวญั (ทางการทูต)ว่านางคือภรรยาหรือทาสีของท่าน และแมว้ ่าเราจะเห็นด้วยในทศั นะที่ว่า นางเป็นทาส, ทา่ นศาสนทตู ไดแ้ ต่งงานกบั เธอและนางไดร้ ับอิสลามจนกลายมาเป็นหนึ่งในมารดา ของปวงผูศ้ รทั ธา อย่างไรก็ตามระบอบทาสได้ถูกส่งั ห้ามแล้วโดยปฏิญญาสากลทง้ั หมด เนื่องจากมัน ละเมิดสิทธิมนษุ ยชน พวกเรามสุ ลิมใหเ้ กียรติสิทธิมนษุ ยชนและเราไม่สามารถทาใหผ้ ู้คนต้องเป็น ทาสไดใ้ นขณะที่พวกเราถูกสร้างมาในสภาพที่เป็นไทโดยพระองค์อลั ลอฮฺซุบฮานะฮุวาตะอาลา ระบอบทาสคือสิ่งที่ไมใ่ ช่ทง้ั หลกั ฏหมายและหลกั ปฏิบตั ิของอสิ ลาม ดงั ท่ีได้มรี ายงานวา่ ท่านศาสน ทตู ได้กลา่ ววา่ “บาปที่เลวร้ายทีส่ ดุ ก็คือการจบั กุมคนทีเ่ ป็นไทและนาเขาไปเป็นทาส!!162 ชัยคตฺ ะกียุดดีน อันนับฮานีย์ อัลอสั ฮะรีย์ กลา่ ววา่ “เมือ่ คราวทีอ่ ิสลามปรากฎข้ึนในภาวะที่มนษุ ย์ได้ถูกนาพาไปสู่ระบอบทาส กฎหมายชะ รีอตั ของอิสลามไดก้ าหนดทางออกแก่สภาพดงั กล่าวไวใ้ หม้ ากกว่าความเป็นทาส โดยอิสลามได้ สรรสร้ างให้การมี อยู่ของทาสและรู ปแบบของการครอบครองทาส,ธุรกิ จ ค้าทาสต้องวางอยู่บน พืน้ ฐานของอิสรภาพมิใช่อยู่บนปลกั แห่งความเป็นทาส” เชคอับดุลลอฮบฺ นิ มุฮัมมัดบนิ ฮมุ ัยดฺ กลา่ ววา่ “บางคนอาจจะแปลกใจว่า อิสลามยอมรับการมีทาสว่าเป็นส่ิงถูกต้องตามกฎหมายได้ อยา่ งไร? เราขอตอบไปอย่างไม่อบั อายเลยว่า ใช่ อิสลามถือว่าระบอบทาสเป็นที่สิ่งที่ถูกตอ้ งตาม กฎหมาย แต่เพื่อความเป็นธรรมและสาหรับการแสวงหาสจั ธรรมแล้วเขาจาเป็นที่จะตอ้ งเข้าไป ศึกษาในรายละเอียดของขอ้ กฎหมายอิสลามเกี่ยวกบั การยอมรบั ในระบอบทาส เขาควรจะศึกษา เปรียบเทียบถึงวิธีการทีอ่ ิสลามไดป้ ฏิบตั ิตอ่ ทาส ความเสมอภาคระหว่างทาสกบั เสรีชนในดา้ นสิทธิ และหน้าที่ที่อิสลามมอบไว้ และเช่นเดียวกันว่าตวั เขาจาตอ้ งศึกษาถึงวิธีการอนั หลากหลายที่ กฎหมายชะรีอตั ไดจ้ ดั เตรียมไวเ้ พื่อการปลดปล่อยทาสใหเ้ ป็นไท...ส่ิงที่สาคญั ในการพิจารณาต่อ ประเดน็ ทาสก็คือวา่ ท่านจะไม่พบขอ้ ความหนึ่งใดในอลั กรุ อานและซุนนะฮฺเลยที่สงั่ ใช้มุสลิมให้นา 162 Sheikh Muhammad Nur Abdullah’s comment : http://islam- online.net/livefatwa/english/Browse.asp?hGuestID=1Gkx43

~ 183 ~ คนมาเป็นทาส ในขณะทีเ่ รากลบั พบโองการอลั กรุ อานและหะดีษนบั ร้อยๆบทที่ระบถุ งึ ความจาเป็น ในการปลดปล่อยทาสใหเ้ ป็นไท”163 ท่าน ดร.มุซมั มิล ซดิ ดีกีย์ (Muzammil Siddiqi) อลุ ามาอแ์ ห่งอเมริกาเหนือ กลา่ ววา่ “อัลกุรอานได้สอนสั่งว่าการปลดปล่อยทาสคือคณุ ธรรมอันยิ่งใหญ่(90:13) หนึ่งใน ประเภทของการมอบซะกาตกค็ ือการมอบเงินสาํ หรับไถ่ตวั เหลา่ ทาสให้เป็ นไท (9:60) มนั เป็ นสิ่งที่ ต้องห้ามในอิสลามท่ีจะนําเอาเสรีชนมาเป็ นทาสและหากบรรดามุสลิมได้ปฏิบตั ิตามคําสอน ประการนีข้ องอสิ ลามอย่างแท้จริงแล้วระบอบทาสกอ็ าจจะสิน้ สดุ ไปตงั้ นานแล้ว มนั เป็ นเรื่องที่น่า เศร้าใจวา่ มสุ ลิมบางคนไมย่ อมปฏิบตั ติ ามคาํ สอนเหลา่ นีข้ องอสิ ลามและระบอบทาสก็ยงั คงดําเนิน อยใู่ นดนิ แดนตา่ งๆของมสุ ลมิ เป็นเวลาหลายศตวรรษ เราตา่ งต้อง ได้รับความอบั อายวา่ มสุ ลมิ บางคนได้มสี ว่ นร่วมอย่ใู นระบอบทาส ซง่ึ เป็นการกระทําท่ีสวนทางกบั หลกั คําสอนของอิสลาม กระนัน้ ก็ ตามมันก็ยังคงเป็ นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์อีกด้วยว่าเป็ น เวลาหลายศตวรรษท่ีประเภทอนั เลวร้ายของระบอบทาสได้ถูก สร้างขนึ ้ มาอย่างกว้างขวางและด้วยรูปแบบท่ีน่ากลวั โดยบรรดา บคุ คลซง่ึ อ้างตนเองวา่ เป็นผ้เู ลอื่ มใสศรัทธาในพระเยซูคริสต์ พวก เขาได้จบั เอาเสรีชนนบั ล้านมาเป็นทาสทงั้ สตรีและเดก็ พร้อมกบั ขน ย้ายพวกเขาจากทวปี หนึ่งไปสทู่ วีปหนึ่งประหน่ึงดจุ ราวกับวา่ พวก เขาเป็นสตั ว์ พวกเขาได้รับผลกําไรนบั ล้านจากการค้ามนษุ ย์อนั น่าละอายเหลา่ นี”้ 164 เราจะขอทิง้ ท้ายไว้ด้วยหลกั ฐานจากวาจาของท่านรอซลู ความวา่ ‫لن أبي ذر ريي الله لك قال سأل الكبي صتى الله لتي أستم أي الممل أفضل قال إيدان بالله‬ ‫أجهاد ُب سبيت قت فأي الرقاب أفضل قال أللاها َثكا أأعفسها لكد أهتها‬ “จากอบซู รั เล่าววา่ ฉันเคยถามท่านนบี ศ็อลการกระทําใดท่ีประเสริฐที่สดุ ท่านตอบว่า การศรทั ธาตอ่ ลั ลอฮฺและการตอ่ ส้ใู นหนทางของพระองค์ ฉนั ถามต่อวา่ การปลอ่ ยทาสประเภทใดท่ี ประเสริฐท่ีสดุ ทา่ นตอบวา่ คอื ทาสท่ีมีคา่ ตวั สงู (แพง) และเป็นที่หวงแหนของนายย่ิง”165 163 'Abdullah bin Muhammad bin Humaid. The Islamic position on Slavery: A refutation of doubts. : http://www.load-islam.com/generatepdf.php?section=article&Id=815 164 Muzammil Siddiqi. Slavery in Islam and the Bible. : http://www.islamonline.net/servlet/Satellite?pagename=IslamOnline-English- Ask_Scholar/FatwaE/FatwaE&cid=1119503547546 165 ศอฮฮี อฺ ลั -บคุ อรีย์. หมายเลขหะดีษ : 2382

~ 184 ~ หะดษี นีเ้ ปิ ดเผยตวั ตนของอสิ ลามอยา่ งแท้จริงวา่ อิสลามประสงค์ที่จะทําลายการมีอย่ขู อง ระบอบทาสอย่างท่ีสดุ ด้วยการจดั ลาํ ดบั และขนั้ ตอนของการปลดทาสจากยากไปหาน้อยนนั่ คอื การ มงุ่ เน้นปลดทาสที่มรี าคาแพงมากท่ีสดุ ไปหาน้อยที่สดุ ทาสในร่มธงของยิวและคริสต์ศาสนา ดงั ท่ีเราได้กลา่ วไปในตอนต้นของหนงั สอื วา่ เหลา่ นกั บรู พาคดีคริสตเ์ ตียนและยิวหวั รุนแรง มกั จะนิยมโจมตอี ิสลามในประเดน็ ทาสวา่ อิสลามสง่ เสริมการ “ขม่ ขนื ” ทาสโดยทาสจําพวกที่ได้มา จากการตกเป็นเชลยศกึ การกระทําของพวกเขาเป็ นการแสดงออกซึ่งอาการวิกลจริตและเข่าข่าย หน้าไหว้หลงั หลอก เบือ้ งหลงั พฤติกรรมอบุ าทว์ของเหลา่ นกั บรู พาคดีนีเ้ ป็ นผลมาจากความอปั ยศ อดสทู ี่พระคมั ภรี ์ไบเบิลของตนเองซึง่ ได้ถกู เชื่อกนั มาร่วมหลายศตวรรษวา่ ประทานมาจากพระเป็ น เจ้า แต่กระนนั้ ก็ดีคมั ภีร์แห่งพระเป็ นเจ้าที่อยู่คอู่ ารยธรรมยุโรปนีก้ ลบั บัญญัติแนวทางแห่งการ ขม่ ขนื เชลยหญิงไว้อย่างชดั เจน ดงั ปรากฏบญั ญตั ิความวา่ 10 เมื่อทา่ นออกไปสู้รบกับศตั รูของท่าน และพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงมอบเขาไวใ้ นมือ ของทา่ นแลว้ และท่านจบั เขามาเป็นเชลย 11 และทา่ นเห็นหญิงงามคนหน่ึงในหมูเ่ ชลยนน้ั และปรารถนาอยากไดม้ าเป็นภรรยาของท่าน 12 ทา่ นจงพาหญิงมาไวท้ ีเ่ รือนของทา่ น ใหน้ างโกนศีรษะและตดั เลบ็ มือเสีย 13 และใหน้ างเปลือ้ งเครื่องแตง่ กายอย่างเชลยออกและใหอ้ ยู่ในเรือนของท่าน ใหไ้ วท้ ุกข์ถึงบิดา มารดาของนางหน่ึงเดือนเตม็ หลงั จากนนั้ ทา่ นจึงจะเขา้ ไปหานางและเป็นสามีของนางได้ และให้ นางเป็ นภรรยาของท่าน 14 ภายหลงั ถา้ ทา่ นไมพ่ อใจนางนนั้ เสียแลว้ จงปล่อยนางไปตามแต่นางจะพอใจไปไหน อย่าขาย นางเอาเงิน อย่ากระทาใหน้ างเป็นสินคา้ เพราะท่านได้หยามเกียรตนิ างแล้ว166 กลมุ่ โองการท่ีได้ยกไปทงั้ หมดนีค้ ือข้อบ่งชีอ้ ย่างชัดเจนว่าการยึดเชลยมาเป็ นภรรยาของ ตนนนั้ คือการกระทําท่ี “หยามเกียรตินาง” ไปแล้ว แตก่ ระนนั้ ก็น่าแปลกที่เมื่อรู้ว่าเป็ นการหยาม เกียรติสตรีพระคมั ภรี ์ของฝ่ ายคริสตเ์ ตยี นเองกลบั ชีน้ ําให้กระทําอยอู่ ีก!!!? โองการข้างต้นจากพระ คมั ภีร์ไบเบิลนีบ้ ง่ ชีถงึ ลกั ษณะของการ “ขม่ ขืน” เชลยหญิงอย่างเห็นได้ชัด นน่ั ก็เพราะว่าเพียงแค่ เราชอบใจในเชลยคนใดเรากส็ ามารถนํานางมาเป็นของเราได้ โดยรอเพียงแคเ่ ดือนเดียวให้นางไว้ ทกุ ข์ จากนนั้ ก็เข้า “จดั การ” นางตามใจอยากแล้วนางก็จะกลายเป็น “ภรรยา” โดยอตั โนมตั ิและเขา ผ้นู นั้ ก็เป็นสามีนางโดยทนั ที เรียกได้วา่ เป็นการเปลีย่ นสถานะจาก “ทาส” สู่ “ภรรยา” ผ่านขนั้ ตอน 166 Thai KJV Bible พระราชบญั ญัติ /Deuteronomy 21

~ 185 ~ การ “ขม่ ขนื ” โดยแท้ คําอธิบายเช่นนีข้ องข้าฯหาใชก่ ารนงั่ เทียนทึกทกั เข้าใจไปเองดงั ที่พวกอคตติ อ่ อิสลามชอบกระทํากับอัลกุรอานของมสุ ลิมไม่ แต่เป็ นคําอธิบายที่ผ่านการรับรองจากเหล่า บาทหลวงสาธคุ นผ้เู จนจดั ในรสบญั ญัติของไบเบิลเองทงั้ สิน้ เพราะฝ่ ายคริสต์เตียนมกั จะอ้างอยู่ เนืองๆวา่ “โองการนี้ไม่ไดพ้ ดู เป็นนยั ว่าใหข้ ่มขืน ตรงกันขา้ มมนั พูดถึงกรณีที่สตรีซึ่งมิใช่ยิวถูกจับ เป็นเชลยศึกและทหารอิสราเอลของพระยะโฮวาร์ก็ตกหลมุ รักในนางเชลยเนื่องเพราะความงาม ของนาง ทหารอิสราเอลไม่ไดร้ ับอนุมตั ิให้ร่วมสงั วาสกับนางก่อนจนกว่านางจะไว้ทกุ ข์เสร็จสิ้น ภายในเวลา 30 วนั ซึ่งจากกฎหมายนีน้ างเชลยก็จะผ่อนคลายความโศกเศร้าทีไ่ ดส้ ูญเสียครอบครัว ไป ทงั้ ยงั ปกป้ องเธอจากการถูกขม่ ขืนและเปิ ดโอกาสใหเ้ ธอไดเ้ รียนรู้ปรเพณีธรรมเนียมของยิว” คําอธิบายแก้ตา่ งเชน่ นีข้ องเหลา่ คริสตช์ นผ้อู บั อายแกต่ นทงั้ หลายถือวา่ ไมส่ ามารถปกปิ ด ความเข้าใจเดิมของเหลา่ บาทหลวงวา่ โองการนีค้ ือบญั ญัติการ “ขม่ ขืน” อย่างชดั เจน เพราะแม้ โองการนีจ้ ะพดู เป็นนยั วา่ นางเชลยนนั้ จะดาํ รงอยใู่ นสถานภาพของ “ภรรยา” ซ่ึงอาจจะกินความถึง การมีกระบวนการแตง่ งาน แตก่ ระนนั้ ก็ตาม “การแต่งงาน” ที่ว่านีค้ ือการบีบบังคับนางให้ต้อง แต่งงานกับคนท่ีจับนางเป็ นเชลยซ่ึงไม่ต่างอะไรกบั การ “ขม่ ขืน” 167 อีกทัง้ ความเข้าใจท่ีว่า โองการนีค้ อื บญั ญตั แิ ห่งการ “ขม่ ขืน” เชลยนนั้ หาได้มาจากตวั ของข้าฯอธิบายเอง หากแต่มาจาก คาํ อธิบายของนกั อรรถาธิบายไบเบิลเองทงั้ สนิ ้ ดงั นี ้ Athalya Brennerได้กลา่ วอธิบายไบเบิลในโองการนีไ้ ว้วา่ a virgin captive who has been raped can be made wife and divorced but not sold into slavery, because the.relationship.began.with.a.rape.[.Deut..21:14.]. ‚เชลยพรมจารีซึ่งได้ถูก “ข่มขืน” สามารถที่จะถูกยึดเอามาทา “ภรรยา” และ “หย่า” ได้ เวน้ แต่หา้ มขายนางสคู่ วามเป็นทาส นน่ั ก็เพราะวา่ ความสมั พนั ธ์ไดถ้ ูกเริ่มต้นดว้ ยกบั การ “ข่มขืน” (พระราชบญั ญตั ิ 21:24)168 Saul M. Olyan กลา่ ววา่ (พระราชบญั ญัติ 21:10-24) “เมื่อใดที่เขา(นายทหาร)ประสงค์ที่จะขจัดสตรีซ่ึงเขาได้ จาเป็นเชลยไวใ้ นสงคราม หากแมน้ วา่ เขาไมป่ รารถนาในนางอีกต่อไป เขาตอ้ งอนมุ ตั ิใหเ้ ธอไปไหน 167 ดู David Noel Freedman, Allen Myers and.Astrid.B..Beck . Eerdmans Dictionary of the Bible..(.Wm..B..Eerdmans.Publishing.2000.).,.p..1359 168 Athalya Brenner. Feminist Companion to the Latter Prophets . [ Continuum International Publishing Group, 2004 ] , pp. 337-338

~ 186 ~ ก็ไดต้ ามที่เธอปรารถนา เขาไม่อาจที่จะขายเธอหรือข่มเหงเธอ เพราะว่าเขาได้ “ข่มขืน” เธอไป แลว้ ”169 จากคาํ อธิบายเหลา่ นีจ้ ึงเป็นที่ชดั เจนวา่ ความเข้าใจของปราชญ์คริสตศ์ าสนานนั้ โองการนี ้ หมายถงึ การขม่ ขืนอย่างแจ้งชดั ซ่ึงชดั เจนจากประโยชน์ ‚เพราะทา่ นไดห้ ยามเกียรตินางแลว้ ‛ การ หยามเกียรตติ รงนีจ้ ึงสอ่ ให้เข้าใจเป็นอ่ืนมไิ ด้นอกจากความสมั พนั ธ์ทางเพศที่อย่บู นการขืนใจและ บงั คบั มากกวา่ เหลา่ นกั บรู พาคดีคริสตเ์ ตียนและยิวหวั รุนแรงมกั จะใช้โองการดงั กลา่ วนีข้ องตนมาแก้เกยี ้ ว เสียดสอี ิสลามวา่ บทบัญญัติสงครามของยิวและคริสต์นนั้ ประเสริฐกวา่ อิสลามเพราะในศาสนา ของตนนัน้ ไม่อนุญาตให้นําเชลยมาเป็ นทาสแต่นางจะต้องเป็ น “ภรรยา” ท่ีผ่านการ “แต่งงาน” เท่านนั้ ผิดกบั ของอิสลามท่ีเปิ ดโอกาสให้นําเชลยมาเป็ นทาสเรือนเบีย้ !! โดยไมต่ ้องแตง่ งานก็มี สมั พนั ธ์ทางเพศกบั นางได้ เกี่ยวกับคําแอบอ้างประการนี ้ ข้าฯอยากจะตอบโต้วา่ ดงั ท่ีได้กล่าวไปแล้วว่าโองการ ข้างต้นจากไบเบิลคือโองการแหง่ การขม่ ขืนอย่างชดั เจน ซงึ่ หากแม้นว่าอิสลามอนุมตั ิการนําเชลย หญิงมาเป็ นทาสพร้อมด้วยการดแู ลด้วยมนุษยธรรมและกฎเกณฑ์ของเพศสมั พนั ธ์ทงั้ หมดท่ีได้ กลา่ วไปแล้ว เทียบกบั ฝ่ ายคริสต์เตียนที่แม้จะได้ชื่อว่าเป็ น “ภรรยา” ก็เถอะแต่ความสมั พันธ์ทาง เพศวางอยกู่ ารขม่ ขืนอย่างไหนจะดีกวา่ ?? แล้วชาวคริสตเ์ ตยี นเอาอะไรมน่ั ใจวา่ บรรดามสุ ลมิ จะไม่ ปลอ่ ยเชลยให้เป็นไทแล้วคอ่ ยแตง่ งานกบั นางแทนทงั้ ท่ีท่านศาสนทูต ศ็อลฯ ได้ทรงสญั ญารางวลั ตอบแทนสองเท่าสําหรบั ผ้กู ระทําเชน่ นีไ้ ว้แล้ว?? และแม้วา่ เชลยหญิงของฝ่ ายคริสตเ์ ตยี นจะได้ช่ือ ว่าเป็ น “ภรรยา” ที่ผ่านการแต่งงานแต่กระนัน้ ก็เป็ นการแต่งงานท่ีผ่านการบังคบั โดยนางไม่มี ทางเลือก เป็ นการบังคับหญิง “เชลย” ท่ีไม่มีทางเลือกด้วยการนํานางมาทําเมีย!! ผ่านฉาก หลอกลวงของพิธีการแตง่ งานแล้วตบท้ายก็รู้อย่ใู นอกคดอย่ใู นข้อวา่ ได้หยามเกียรตินางแล้ว ถาม วา่ จะแตกตา่ งอยา่ งไรกบั การขม่ ขืน? ก็ในเมื่อเป็ นการบงั คบั นางให้เป็ นเมียแล้วพอเบื่อไมพ่ อใจก็ ผลกั ไสไล่ส่งนางไปไหนก็ได้!!? นอกจากนีห้ ากเราจะถามว่าโองการนีค้ ือข้อบญั ญัติให้ทหาร อิสราเอลต้องแตง่ งานกับเชลยหญิงของนาง “เท่านนั้ ” กระนนั้ หรือ? ความเข้าใจเช่นนีฝ้ ่ ายคริสต์ เตียนเอามาจากไหน?? หรือเป็นการอธิบายวางกฎหมายเอาเองเพ่ือแก้เกีย้ วเอาตวั รอดจากความ อบั อาย กใ็ นเมื่อข้อความจากพระคมั ภีร์ไมม่ ีตรงไหนที่ระบุถึงการ “แต่งงาน” ไว้เลย ข้อความจาก พระคมั ภรี ์ก่อให้เข้าใจได้วา่ เม่อื นายทหารอสิ ราเอล “ขม่ ขืน” หรือสมสกู่ บั หญิงเชลยท่ีตนจบั มาแล้ว นางก็จะเป็นภรรยาและเขาก็จะเป็นสามขี องนางทนั ที ขอท่านผ้อู า่ นจงพิจารณาจากข้อความตรงนี ้ ใหม่ 169 Saul M.Olyan, Rites and Rank: Hierarchy in Biblical Representations of Cult. [ Princeton University Press, 2000 ] , p. 166

~ 187 ~ 13 และใหน้ างเปลื้องเครื่องแตง่ กายอย่างเชลยออกและให้อยู่ในเรือนของท่าน ให้ไวท้ กุ ข์ถึงบิดา มารดาของนางหน่ึงเดือนเต็ม หลงั จากนนั้ ทา่ นจึงจะเขา้ ไปหานางและเป็นสามีของนางได้และให้ นางเป็ นภรรยาของท่าน 14 ภายหลงั ถา้ ท่านไม่พอใจนางนนั้ เสียแลว้ จงปลอ่ ยนางไปตามแตน่ างจะพอใจไปไหน อย่าขาย นางเอาเงิน อยา่ กระทาใหน้ างเป็นสินคา้ เพราะทา่ นไดห้ ยามเกียรตินางแลว้ 170 คําวา่ “เข้าหานาง” เป็นการใช้คาํ แบบโบราณหมายถงึ การเข้าหาเพื่อร่วมประเวณี ซ่ึงจาก ข้อความเหลา่ นีม้ ไิ ด้ระบแุ ตอ่ ย่างใดเลยวา่ “กอ่ นเข้าหานาง” นายทหารจะต้องแตง่ งานเสยี กอ่ นและ หลงั การเข้าหานางแล้ว ท่านและนางจงึ จะกลายเป็นผวั เมียกนั ทนั ที ดงั นนั้ ดงั ที่ข้าฯได้กลา่ วสรุปไป วา่ โองการนีค้ อื กระบวนการเล่ือนสถานะของเชลยหญิงจากทาสสภู่ รรยาด้วยวิธีการ “ข่มขืน” อนั เป็นวิธีการป่ าเถื่อนท่ีไม่กินกบั สติปัญญาเลย อีกทงั้ หากโองการนีห้ มายถึงการแต่งงานดงั ที่พวก คริสต์เตียนบางคนพยายามจะบิดเบือนแล้วไซร้ เหตใุ ดไบเบิลจึงใช้คําว่า “เพราะท่านได้หยาม เกียรตินางแลว้ ” หรือวา่ การแตง่ งานท่ีคริสต์เตยี นหมายถงึ จะเป็นการหยามเกียรติ???!! แนน่ อนมนั ย่อมหมายถงึ การละเมดิ ทางเพศอย่างแน่นอน การขม่ ขืนเชลยในไบเบิลยงั ปรากฏในจดุ อน่ื ๆอีกดงั นี ้ “เพราะฉะนน้ั จงประหารชีวิตเด็กผูช้ ายเลก็ เสียทกุ คนและประหารชีวิตผู้หญิงซ่ึงได้ร่วมกับ ผู้ชายเสียทุกคน..แต่จงไว้ชีวิตเด็กผู้หญิงที่ยงั ไม่ได้ร่วมกบั ผู้ชายไวส้ าหรับท่านท้ังหลายเอง..” (กนั ดารวิถี 31:17-18) โองการนีน้ อกจากจะเป็ นใบเบิกโรงไปส่กู ารฆ่าเด็กและสตรีซ่ึงอิสลามห้ามกระทําเช่นนี ้ แล้ว ยงั มีการชีแ้ นะให้เกบ็ กกั สาว “บริสทุ ธิ์” ทงั้ หลายไว้แดท่ หารหน่มุ ๆไว้ด้วย คําตอบมนั ชดั เจน อย่แู ล้ววา่ คอื อะไร!! 1) การฆาตกรรม, ข่มขืนและปล้นสะดมในไบเบิล ณ ยาเบชกเิ ลอาด (ภาค 1) ดงั นน้ั ชุมนมุ ชนจึงส่งทหารผูก้ ลา้ หาญทีส่ ดุ หนึ่งหมื่นสองพนั คนแลว้ บญั ชาเขาวา่ \"จงไปฆ่า ชาวยาเบชกิเลอาดเสียดว้ ยคมดาบทง้ั ผู้หญิงและพวกเด็กๆ.. เจ้าทง้ั หลายจงกระทาอย่างนี้คือ ผชู้ ายและผูห้ ญิงทกุ คนทีไ่ ดห้ ลบั นอนกบั ผูช้ ายแลว้ จึงฆ่าเสียใหห้ มด\"..ในหมู่ชาวยาเบชกิเลอาดนนั้ เขาพบหญิงพรหมจารีสีร่ ้อยคนผทู้ ีย่ งั ไมไ่ ดส้ มส่กู บั ผชู้ ายเลย เขาจึงพาหญิงเหลา่ นน้ั มาที่คา่ ยชิโลห์ ซ่ึงอยใู่ นแผ่นดินคานาอนั .. ชุมนมุ ชนทงั้ หมดก็สง่ ข่าวไปที่คนเบนยามินซึ่งอยูท่ ีศ่ ิลาริมโมนประกาศ ขา่ วสงบสขุ .. คนเบนยามินก็กลบั มาในคราวนน้ั แลว้ เขาก็มอบผูห้ ญิงที่เขาไว้ชีวิตในหมู่ผูห้ ญิงแห่ง ยาเบชกิเลอาดแต่กไ็ ม่พอแก่กัน.. ประชาชนก็สงสารเบนยามินเพราะว่าพระเจ้าทรงกระทาใหเ้ ขา จะขาดไปเผ่าหนึ่งจากเผ่าอิสราเอล.. พวกผูใ้ หญ่ของชุมนมุ ชนนน้ั จึงกล่าวว่า\"เมื่อพวกผู้หญิงใน 170 Thai KJV Bible พระราชบัญญัติ /Deuteronomy 21

~ 188 ~ เบนยามินถกู ทาลายเสียหมดเช่นนี้แลว้ เราจะทาอย่างไรเรื่องหาภรรยาใหค้ นที่ยงั เหลืออยู่\".. เขา ทงั้ หลายกล่าวว่า\"ตอ้ งมีมรดกใหแ้ ก่คนเบนยามินที่รอดตายเพื่อว่าคนเผ่าหน่ึงจะมิได้ลบลา้ งเสีย จากอิสราเอล.. แตเ่ ราจะยกบตุ รีของเราใหเ้ ป็นภรรยาเขาก็ไม่ได\"้ เพราะคนอิสราเอลไดป้ ฏิญาณไว้ วา่ \"ผูใ้ ดใหห้ ญิงแก่เบนยามินเป็นภรรยาขอใหถ้ ูกแช่งสาปเถิด\".. ดงั นน้ั เขาจึงกล่าวว่า\"ดูเถิดทุกปี มี เทศกาลถวายพระเจา้ ที่ชิโลห์ซึ่งอยู่เหนือเบธเอลทางทิศตะวนั ออกของถนนข้ึนจากเบธเอลถึงเชเคม และอยู่ใตเ้ ลโบนาห์\".. เขาจึงบญั ชาสงั่ คนเบนยามินวา่ \"จงไปซ่มุ อยูใ่ นสวนองุ่น.. คอยเฝ้ าดูอยู่ถ้า บุตรีชาวชโิ ลห์ออกมาเต้นราในพธิ ีเต้นราจงออกมาจากสวนอง่นุ ฉุดเอาบุตรีชาวชิโลห์คน ละคนไปเป็ นภรรยาของตนแล้วให้กลับไปแผ่นดินเบนยามินเสีย.. ถา้ บิดาหรือพี่น้องของ หญิงเหล่านน้ั มาร้องทุกข์ต่อเราเราจะบอกเขาว่า'ขอโปรดยินยอมเพราะเห็นแก่เราเถิดในเวลา สงครามเราไม่ได้ผูห้ ญิงใหพ้ อแก่ทุกคนทงั้ ท่านทงั้ หลายเองก็ไม่ได้ใหแ้ ก่เขาถ้ามิฉะนนั้ บดั นี้พวก ท่านก็จะมีโทษ'.. คนเบนยามินก็กระทาตามต่างก็ไดภ้ รรยาไปตามจานวนคือได้หญิงเต้นราที่เขา ไปฉุดมาเขาก็กลับไปอยู่ในที่ดินมรดกของเขาสร้างเมืองขึ้นใหม่และอาศยั อยู่ในนัน้ .. คร้ังนั้น อิสราเอลก็กลบั จากที่นนั่ ไปยงั เผ่าและตระกูลของตนต่างก็ยกกลบั ไปส่ดู ินแดนมรดกของตน.. 2) การฆาตกรรม, ข่มขนื และปล้นสะดมในไบเบิลต่อชาวมีเดียน (ภาค 2) เขาทาสงครามตอ่ สคู้ นมีเดียนดังท่ีพระเจ้าทรงบัญชาโมเสสและได้ฆ่าผู้ชายเสียทุก คน.. เขาไดป้ ระหารชีวิตบรรดากษัตริย์คนมีเดียนพร้อมกบั คนอื่นที่เขาฆ่าเสียมีเอวีเรเคมศูร์เฮอร์ และเรบากษัตริย์ทง้ั หา้ แห่งคนมีเดียนและได้ประหารชีวิตบาลาอมั บุตรเบโอร์เสียดว้ ยดาบ.. และ คนอิสราเอลไดจ้ บั สตรีชาวมีเดียนมาเป็นเชลยพร้อมกบั พวกเดก็ เลก็ ทงั้ หลายและกวาดเอาฝงู ววั ฝงู แพะแกะและขา้ วของทงั้ ปวงไปสิ้นเป็นทรัพย์ทีป่ ลน้ ได.้ . และเอาไฟเผาเมืองที่อาศยั ของเขาและเผา คา่ ยทง้ั สิ้นของเขาเสียดว้ ย.. แลว้ เก็บบรรดาของที่ริบได้และทรัพย์ที่ปลน้ ไดท้ ง้ั คนและสตั ว์ไปเสีย ส้ิน.แลว้ เขานาเชลยและทรัพย์สินที่ปลน้ ได้กับของที่ริบได้ทง้ั หมดมายังโมเสสและเอเลอาซาร์ ปโุ รหิตและชุมนมุ ชนอิสราเอลที่คา่ ยณทงุ่ โมอบั ริมแม่น้าจอร์แดนที่เมืองเยรีโค.. โมเสสและเอเลอา ซาร์ปโุ รหิตและบรรดาประมขุ แห่งคนอิสราเอลออกไปต้อนรับเขานอกค่าย.. และโมเสสโกรธพวก นายทหารคือนายพนั และนายร้อยผูก้ ลบั จากการทาสงคราม.. โมเสสพูดกับเขาทงั้ หลายว่า\"ท่าน ทง้ั หลายไดไ้ วช้ ีวิตพวกผูห้ ญิงทง้ั หมดหรือ.. ดูเถิดโดยคาปรึกษาของบาลาอมั หญิงเหลา่ นีไ้ ดก้ ระทา ใหค้ นอิสราเอลหลงกระทาผิดตอ่ พระเจา้ ในเรื่องเปโอร์และภยั พิบตั ิจึงไดเ้ กิดขึ้นทา่ มกลางชุมนมุ ชน ของพระเจ้า.. เพราะฉะน้ันจงประหารชวี ติ เด็กผ้ชู ายเลก็ เสียทุกคนและประหารชีวิตผู้หญิง ซง่ึ ได้ร่วมกับผู้ชายเสียทุกคน.. แต่จงไว้ชีวิตเด็กผู้หญิงที่ยังไม่ได้ร่วมกับผู้ชายไว้สาหรับ ท่านท้ังหลายเอง..171 171 กนั ดารวิถี 31:7-18

~ 189 ~ จากเรื่องราวดงั กลา่ วนีพ้ ระเจ้ าและโมเสสของยิวและคริสต์ชนได้ยินยอมการ “ข่มขืน” เชลย!!? 3) การฆาตกรรม, ข่มขนื และปล้นสะดมในไบเบิลต่อชาวมีเดียน (ภาค 3) เมือ่ พวกท่านเขา้ ไปใกลเ้ มืองซึ่งท่านจะไปสรู้ บนนั้ จงเสนอหลกั สนั ติภาพแก่เมืองนน้ั ก่อน.. ถา้ เขาตอบท่านอย่างสนั ติและเปิ ดประตเู มืองให้แก่ท่านก็ใหป้ ระชาชนทง้ั ปวงที่พบอยู่ในเมืองนนั้ ทางานโยธาใหแ้ ก่ทา่ นและปรนนิบตั ิทา่ น.. ถ้าเมืองนนั้ ไม่ร่วมสนั ติกับท่านแต่กลบั ออกมารบก็ให้ ทา่ นเขา้ ลอ้ มตีเมืองนนั้ ได.้ . เมื่อพระเยโฮวาห์พระเจา้ ประทานเมืองนน้ั ไว้ในมือท่านแลว้ ท่านจงฆ่า ชายทกุ คนเสียดว้ ยคมดาบ.. แต่ผู้หญิงและเด็กสตั ว์และทุกสิ่งในเมืองนน้ั คือของที่ริบไว้ทง้ั หมด ทา่ นจงยึดเอาเป็นของตวั ทา่ นจงอิ่มใจในของที่ริบมาจากศตั รูของท่านซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของ ท่านประทานแก่ท่าน.. ท่านทงั้ หลายจงกระทาเช่นนี้แก่ทกุ หวั เมืองที่อยู่ไกลจากท่านซึ่งไม่ใช่หัว เมืองของประชาชาติใกลๆ้ นี้.. แตใ่ นหวั เมืองของชนชาติทงั้ หลายนี้ซ่ึงพระเยโฮวาห์พระเจ้าของทา่ น ประทานแก่ทา่ นเป็นมรดกทา่ นอย่าไวช้ ีวิตส่ิงใดๆทีห่ ายใจไดเ้ ลย..172 เป็นได้อยา่ งไรกนั ท่ีพระเจ้าที่แท้จริงจะยินยอมให้เข่นฆ่าล้างผลาญจนไมเ่ หลือส่ิงมีชีวิตท่ี หายใจได้เลย??! 4) กฎหมายแห่งการข่มขืน ถา้ ชายคนหน่ึงพบหญิงพรหมจารียงั ไมม่ ีคนหมน้ั เขาจึงจับตัวเธอและได้ร่วมกับเธอ มีผรู้ ู้เห็น.. ชายผทู้ ีไ่ ดร้ ่วมกบั เธอนนั้ จะตอ้ งมอบเงินหา้ สิบเชเขลใหแ้ ก่บิดาของหญิงสาวคนนนั้ และ ให้หญิงน้ันตกเป็ นภรรยาของผู้ชายคนน้ันเพราะเขาได้ทาให้เธอได้รับความอายและเขา จะหย่าร้างเธอไม่ได้ตลอดชีวติ .173. กฎหมายข้อนีเ้ ปิ ดโอกาสให้แกก่ ารข่มขืนของชายทงั้ หลาย สมมตุ ิวา่ นาย ก. หลงรัก นาง ข. อย่างสดุ ใจและปรารถนาอย่างแรงกล้าท่ีจะได้เธอเป็นภรรยา แตใ่ จเจ้ากรรม นาง ข. กลบั ปฏเิ สธ เขาและไปแตง่ งานกบั ผ้อู ่ืน นาย ก. ผ้ชู ํา้ ใจจงึ แก้ปัญหาด้วยการขม่ ขืนนาง เร่ืองกเ็ ลยเอวงั เรียบร้อย โรงเรียนยิวไปโดยปริยาย!!? 5) ความตายของเหย่ือแห่งกาม!! ถ้ามีหญิ งพรหมจารี คนหน่ึงหม้ันไว้แล้วและมีชายคนหนึ่งไปพบเธอในเมืองและได้ ร่วมกับเธอ.. ท่านจงพาเขาทง้ั สองออกไปนอกประตูเมืองนนั้ และทา่ นจงเอาหินขวา้ งเขาทง้ั สองให้ ตายเสีย หญิงสาวคนนั้นเพราะว่าแม้อยู่ในเมืองก็มิได้ร้องขอความช่วยเหลือชายคนน้นั 172 เฉลยธรรมบัญญัติ. 20:10-16 173 เฉลยธรรมบัญญตั ิ. 22:28-29

~ 190 ~ เพราะว่าได้กระทาใหภ้ รรยาของเพื่อนบ้านไดร้ ับความละอายดงั นี้แหละท่านทง้ั หลายจะกาจัด ความชวั่ เสียจากทา่ มกลางท่าน..174 หญิงที่ถกู ขม่ ขนื กลบั ต้องถกู ประหารเพราะไมข่ อความช่วยเหลอื !!? 6) สตรีและเด็กคือแพะรับบาปขององค์พระศาสดาเดวดิ พระเจ้าตรสั ดงั นี้ว่า'ดเู ถิดเราจะใหเ้ หตุร้ายบงั เกิดข้ึนกบั เจ้าจากครัวเรือนของเจ้าเองและ เราจะเอาภรรยาของเจ้าไปต่อหน้าต่อตาเจ้า ยกไปให้แก่เพ่ือนบ้านของเจ้าผู้น้ันจะนอน ร่วมกับภรรยาของเจ้าอย่างเปิ ดเผย.. เพราะเจ้าทาการนน้ั อย่างลบั ๆแต่เราจะกระทาการนี้ต่อ หนา้ อิสราเอลทง้ั ส้ินและอย่างเปิ ดเผย'.. ดาวิดจึงรับสงั่ กบั นาธันว่า\"เรากระทาบาปต่อพระเจ้า แล้ว\"และนาธนั กราบทูลดาวิดว่า\"พระเจา้ ทรงใหอ้ ภยั บาปของฝ่ าพระบาทแลว้ ฝ่ าพระบาทจะไม่ถึง แก่มรณา.. อยา่ งไรก็ตามเพราะฝ่ าพระบาทไดเ้ หยียดหยามพระเจา้ อย่างที่สดุ ดว้ ยการกระทาครง้ั นี้ ราชบตุ รที่จะประสูติมานน้ั จะตอ้ งส้ินชีวิต175\" ทงั้ ที่องค์ศาสดาเดวดิ ทําบาปแท้ๆแล้วใยพระเจ้าต้องให้ภรรยาของพระองคร์ ับผิดแทนด้วย การตกเป็ นเมียของคนอื่นพร้ อมการให้ ผู้อื่นสมส่นู างอย่าง ‚เปิ ดเผย‛ ต่อหน้ าชนอิสราเอล ทงั้ หลาย!!? 7) พระเจ้าบันดาลให้เกดิ การข่มขนื !! ดเู ถิดวนั แหง่ พระเจา้ มาถึงแลว้ เมื่อทรัพย์สินที่เขาริบไปจากเจา้ นนั้ เขาจะแบ่งกนั ทา่ มกลาง เจา้ .. เพราะเราจะรวบรวมประชาชาติทง้ั ส้ินให้ทาศึกกับเยรูซาเล็ม เมืองนั้นจะถกู ยดึ เขาจะ ปล้ นเอาทรั พย์ ในเรื อนและข่ มขืนผ้ ูหญิงพลเมืองครึ่ งหน่ึงจะตกไปเป็ นเชลยประชาชนส่วนที่ เหลืออยู่จะไม่ถูกตดั ออกเสียจากเมือง.176. ทกุ ข้อความท่ีได้บรรจงเขยี นไปให้ทา่ นผ้อู า่ นได้แลชมคือสิ่งท่ีเป็ นพระบญั ญัติมาจากพระ คมั ภีร์ไบเบิลท่ีทัง้ ยิวและคริสต์เตียนในฐานะประชากรส่วนใหญ่ของโลกนับถือศรัทธาและถือ ปฏิบตั ิกันมาตลอดระยะเวลาแห่งประวตั ิศาสตร์ ซ่ึงหากจะให้ทําการขดุ ค้ยุ ถึงมายาลกั ษณ์แห่ง ความรุนแรงท่ีสะท้อนออกมาสฉู่ ากสงครามแหง่ ประวตั ิศาสตร์จากพืน้ ฐานคําสอนในพระคมั ภีร์ไบ เบิลกจ็ ําคงต้องทําเป็นหนงั สือเลม่ หรือวทิ ยานิพนธ์วา่ ด้วยเร่ืองนีเ้ ป็นการเฉพาะ 174 เฉลยธรรมบญั ญตั ิ. 22:23-24 175 2 ซามเู อล 12:11 -14 176 เศคาริยาห์ 14:1-2

~ 191 ~ อย่างไรก็ดีข้อความท่ีได้ยกมาอ้างจากไบเบิลนนั้ ล้วนแล้วแตม่ าจากพระคมั ภีร์ไบเบิลฉบบั พนั ธะสญั ญาเก่า (The Old Testament) เพื่อความเข้าใจตอ่ ข้อเทจ็ จริงทางประวตั ิศาสตร์ทาสและ มโนทศั น์ของอารยธรรมยโุ รปภายใต้ร่มธงของคริสต์ศาสนาและคริสตจกั ร จําต้องพิจารณาถึงสิทธิ สภาพของทาสตามท่ีปรากฏในพระคมั ภีร์ไบเบิลฉบับพันธะสญั ญาใหม่ (The New Testament) กนั บ้าง “ดูก่อนพีน่ อ้ งทงั้ หลายเราเป็นบุตรแห่งพระสญั ญาเช่นเดียวกับอิสอคั .. แต่ในครั้งนน้ั ผู้ที่ เกิดตามธรรมดาไดข้ ่มเหงผูท้ ี่เกิดตามพระวิญญาณฉนั ใดปัจจุบนั นี้ก็เหมือนกนั ฉนั นนั้ .. แต่พระ คมั ภีร์วา่ อย่างไร ก็ว่าจงไลห่ ญิงทาสกบั บตุ รชายของนางไปเสียเถิดเพราะว่าบตุ รของหญิงทาสจะ รบั มรดกร่วมกบั บตุ รของหญิงทีเ่ ป็นไทไม่ได.้ . เหตฉุ ะนนั้ พีน่ อ้ งทง้ั หลายเราไม่ใช่บุตรของหญิงทาส แต่เป็นบตุ รของหญิงทีเ่ ป็นไท.177. ข้อความจากไบเบิลข้างต้นสะท้อนภาพแห่งความไมเ่ ท่าเทียมกนั ในฐานะภาพแห่งความ เป็นมนษุ ย์จากมโนทศั น์ของคริสตศ์ าสนา เพราะเนื่องจากลกู ทาสมิใช่ลกู ของหญิงไทพวกเขาจึงถกู ขบั ไลแ่ ละมิอาจร่วมรับมรดกกบั ลกู ไทอนื่ ๆ บญั ญัติดงั กลา่ วนีส้ วนทางกับอิสลามท่ีถือว่าลกู ทาสที่ เกิดมาจะเป็ นลูกของนายทาสท่ีถูกต้องตามกฎหมายทุกประการและมีสิทธิทางกฎหมาย เช่นเดยี วกบั ลกู หญิงไทที่สามารถรับมรดกจากบิดาได้เชน่ กนั ‚จงให้คนทง้ั หลายที่อยู่ใตแ้ อกแห่งความเป็ นทาสถือว่านายของตนเป็นผู้สมควรแก่การ ไดร้ บั เกียรติยศทกุ สถานเพื่อว่าพระนามของพระเจ้าและคาสอนจะมิได้ถกู เหยียดหยาม.”178. โองการนีม้ องการยอมรับความเป็ นทาสและการสิโรราบตอ่ นายทาสวา่ เป็ นการเชิดชูคํา สอนพระเจ้า!! ศิษย์ไมใ่ หญ่กวา่ ครูและทาสไม่ใหญ่กว่านายของตน.179. โองการนีค้ ือการตดั “สิทธิ” ที่ทาสมเี หนือนายอย่างชดั เจนในบญั ญตั ิของคริสตศ์ าสนาทงั้ ที่ อิสลามสอนวา่ ทาสมี “สิทธิเหนือนาย” ของตนด้วยเช่นกนั !! ทา่ นทง้ั หลายที่เป็นคนรับใชจ้ งเชื่อฟังนายของท่านทกุ อย่างไม่ใช่เฉพาะนายที่เป็นคนใจดี และสภุ าพเทา่ นน้ั แต่ทั้งนายท่รี ้ายด้วย..180 ฝ่ ายพวกทาสจงเชื่อฟังผูท้ ี่เป็นนายของตนตามเน้ือหนังทกุ อย่างไมใ่ ช่ตามอย่างคนที่ทา แต่ต่อหนา้ อยา่ งคนประจบสอพลอแต่ทาดว้ ยน้าใสใจจริงดว้ ยความเกรงกลวั องค์พระผเู้ ป็นเจา้ 181 177 กาลาเทยี 4:28-31 178 1 ทโิ มธี 6:1 179 มทั ธิว 10:24 180 1 เปโตร 2:18 181 โคโลสี 3:22

~ 192 ~ อสิ ลามถือวา่ การเคารพเช่ือฟังนายคอื หน้าท่ี แตก่ ระนนั้ การกดหวั บรรดาทาสให้อยภู่ ายใต้ กรงเลบ็ ของอสรู ร้ายในคราบนายทาสชนดิ ที่ต้องเชื่อฟังตามเนือ้ หนงั “ทกุ อย่าง” ม้วา่ นายทาสจะชว่ั ร้ายก็ตามก็เป็นสิง่ ท่ีอสิ ลามยอมรับไมไ่ ด้เชน่ กนั หลกั คาํ สอนในเรื่องการกดข่ีบีฑาทาสตามท่ีได้นําเสนอไปนีอ้ าจจะเป็นคําตอบตอ่ ข้อสงสยั อนั ดาํ มดื ทางประวตั ศิ าสตร์ที่วา่ ทําไมชนชาติยโุ รปภายใต้ร่มธงคริสตศ์ าสนาจึงจบั และกดขีท่ าสผิว ดาํ จากแอฟฟริกาทงั้ ในอเมริกาและอาณานิคมของสเปน ตลอดจนสมาคม Ku Klux Klan ที่ลกุ ขนึ ้ ตอ่ ต้านและทารุณกรรมอดีตทาสผิวดําในอเมริกาหลงั ได้รับอิสรภาพซ่ึงปรากฏว่าพวกเขาได้ใช้ พืน้ ฐานคาํ สอนจากไบเบิลเป็นตวั ขบั เคลอื่ นอดุ มการณ์เหยียดผิวของพวกเขานน่ั เอง ทาสในสังคมไทย สงั คมไทยคือสงั คมที่เกิดช่องว่างระหวา่ งชนชนั้ มาโดยตลอดระยะเวลาอนั ยาวนานแห่ง ประวตั ศิ าสตร์ ภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชการกดข่ีข่มเหงมนษุ ย์เพื่อเป้ าหมายแห่งการ เคารพบูชาเทพเจ้าจอมปลอมในนาม เทวราชา คือหน่ึงในหน้าที่หลักของพวกขนุ นางไพร่พล “ฏอฆตู ” ดงั กลา่ ว ด้วยปลกั แหง่ ศกั ดนิ าท่ีผกู ขาดกรรมสทิ ธิ์สว่ นบคุ คลและที่ดนิ ทํากินของประชาชน พวกศกั ดินาภายใต้ระบอบเทวราชาได้เบียดเบียนคณุ คา่ ของความเป็นมนษุ ย์ของประชาราษฎรใน สงั คม ซํา้ ร้ายไปกวา่ นนั้ ยงั ตดั กําลงั เด้วยการแบ่งชนั้ ชนในหมปู่ ระชาชนออกเป็นรายละเอียดแขนง ยอ่ ยต่างๆ แต่โดยหลกั ๆแล้วก็จะมีอยู่ 2 จําพวกคือไพร่และทาส การผกู ขาดการศกึ ษาตลอดจน การยึดครองการตคี วามประวตั ศิ าสตร์.ศลี ธรรมความดคี วามชวั่ ไว้ท่ีกลมุ่ ศกั ดินาแต่เพียงฝ่ ายเดียว กลบั กลายมาเป็นอาวธุ ที่หลอมกําลงั อนั ทรงพลานภุ าพแก่ระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์ กล่าวคือ ชนชนั้ ศกั ดินาจะเป็นผ้ตู ีความ “ความดี” ในทศั นะของตนวา่ หมายถงึ การจงรักภกั ดีตอ่ ศกั ดินาและ เลียแข้งขาตอ่ เทพเจ้าจอมปลอมทงั้ หลาย หรือแม้กระทัง่ การท่ีพวกทาสต้องก้มหน้ายอมรับชะตา กรรมของปลกั แห่งทาส ส่งิ เหลา่ นีก้ ค็ อื “ความดี”ในทศั นะของศกั ดนิ าทงั้ สนิ ้ พวกทาสซ่ึงเป็ นชนั้ ชน ที่ถกู กดขี่มาตลอดแตไ่ ร้ซ่ึงอาวธุ ทางปัญญาเนื่องจากขาดโอกาสทางการศึกษาผนวกกบั การถกู กลอ่ มเกลาทางการเมอื งโดยพวกศกั ดนิ า จงึ ทําให้จิตสํานกึ ทางชนชนั้ และความเป็ นมนษุ ย์ของชน ชนั้ ทาสสูญหายไป ทําให้หน้าประวตั ิศาสตร์ไทยต้องด่างพร้ อยในแง่ท่ีว่าแม้นการปฏิบัติของ สงั คมไทยตอ่ ทาสจะโหดร้ายผิดมนุษย์ธรรมอย่างร้ายแรงปานใดแตท่ าสไทยก็ยังคงก้มหน้ารับ ชะตากรรมอนั โสโครกนีด้ ้วยกบั การลวงหลอกของซากแดนศกั ดินาว่าทาสที่ดีต้องยอมรับสภาพ แห่งการถกู กดข่ี ตอ่ ไปนีค้ ือสภาพที่ทาสในสงั คมไทยจําต้องได้รับการปฏบิ ตั จิ ากนายของตน 1. นายมีสิทธิจะลงโทษทณั ฑ์ จาโซ่ ตรวน ขื่อ คา ทวนด้วยลวดหนงั หรือทารุณกรรม ต่างๆแก่ทาสใหไ้ ดร้ ับบาดเจ็บสาหสั หรือแมแ้ ต่ตาบอดก็ทาได้ แต่อยา่ ใหถ้ ึงตายก็แลว้ กนั

~ 193 ~ 2. นายมีอานาจส่งทาสของตนไปรับโทษคดีใดๆแทนตน บุตร ภรรยา ญาติพี่นอ้ งพอ้ ง พนั ธ์ของนายเงินได้ 3. นายมีอานาจสง่ั ใหท้ าสไปราชการแทนตนได้ แมร้ าชการนน้ั จะถึงตายก็ตาม 4. ทาสที่รักษาดูแลทรัพย์สิ่งของใดๆ ถ้าทรัพย์ส่ิงของนน้ั แตกหกั หาย ทาสจะต้องใช้ ราคาแก่นายทาสจนเตม็ 5. ทาสกลา่ วว่า นายเงินเป็นโจรปลน้ ทรัพย์หรือฉอ้ ราษฎรบงั หลวง หรือกล่าวหาว่าเป็น กบฏ ประทษุ ร้ายประการใดๆก็ดี ถา้ พิจารณาไดว้ ่าไมเ่ ป็นความจริงใหเ้ อาทาสนนั้ ข้ึน ขาหยง่ั เอาเฉลวปะหนา้ ประจานแลว้ ลงโทษเอาทวนตดั ปาก แลว้ ใหข้ ายมนั เสีย จากสิทธิของนายทีม่ ีต่อทาสดงั กล่าว จะเหน็ วา่ ทาสถูกกดขี่มากในทานองเดียวกัน นายก็ มีสิทธิมีประโยชน์จากทาสอย่างล้นเหลือดียิ่งกว่าทรัพย์สินอย่างอื่น เพราะจะให้ติดคกุ แทนหรือ ตายแทนก็ได้ ฉะนน้ั การเลิกทาสบางประเทศจะยากมากจนถึงกับมีการสูร้ บท่ัวประเทศ เช่น อเมริกาเป็นตน้ เพราะเหตทุ ีผ่ ูเ้ ป็นนายย่อมจะหวงแหนสิทธิอนั นีจ้ ึงตอ้ งป้ องกนั อยา่ เตม็ ที่ .....บคุ คลที่ไดช้ ื่อว่าไร้ศกั ดิ์ศรีของความเป็นมนษุ ย์ไดแ้ ก่ทาสเพราะนอกจากจะตอ้ งทางาน ใหก้ ับเจ้าทาสตามที่เขาประสงค์แล้วยงั ไร้สิทธ์ิในตวั เอง เจ้านายจะทุบตีอย่างไรก็ได้ตามความ พอใจ จนมีผกู้ ล่าววา่ “ทาสคือมนษุ ย์ทีม่ ีสภาพเป็นสตั ว์ในคราบมนษุ ย์ดว้ ยกัน” สาหรับไพร่นน้ั อยู่ ในสภาพก่ึงทาส182 นี่คือสภาพของทาสไทยที่ถูกบีฑากดขี่มาตลอดหน้าประวตั ิศาสตร์ไทยจนชนชัน้ ทาส สญู เสียจิตสํานึกของความเป็นมนษุ ย์และยอมก้มหน้าเป็ นก่ึงสตั ว์ก่ึงทาสอย่เู ช่นนีม้ าตลอดระยะ ประวตั ศิ าสตร์ ในหมชู่ นชนั้ ศกั ดนิ าเองก็มไิ ด้เกิดจติ สาํ นึกในความเป็นมนษุ ย์เช่นเดียวกบั สตั ว์จงึ ได้ ทําการกดขท่ี าสอย่เู ชน่ นนั้ มาตลอดระยะเวลา ในขณะที่ทาสหญิงในสงั คมไทยนนั้ พวกนางมิใช่จะ ถกู กระทําเป็นเพียงคนใช้อยา่ งเดยี วแตพ่ วกนางยงั ต้องเป็ นนางบําเรอด้วยเช่นกนั เพราะพวกขนุ นางมกั เอานางเป็นเมยี หรือไมก่ ็ให้นางทาสแกล่ กู หลานของขนุ นางเอาไปทําเมยี ตอ่ อกี ทอดหนง่ึ เมอ่ื เอาไปแล้วก็ไมเ่ ลยี ้ งดเู สร็จกามกิจเม่อื ไหร่กเ็ ขีย่ ทิง้ ไปดงั ปรากฏหลกั ฐานของหมอบรัดเลย่ ์ที่บนั ทึก สภาพอนั ป่ าเถ่ือนของทาสในสงั คมไทย183 ทงั้ ในหมกู่ ษัตริย์ไทยหลายๆพระองค์ในอดีตก็มิได้ทกุ ข์ ร้อนใจที่จะแก้ไขปัญหานีอ้ ยา่ งเป็นเร่ืองเป็นราว แม้นสงั คมไทยจะยกย่องสรรเสริญ รัชกาลท่ี 5 ท่ี ได้ทรงปลดปลอ่ ยทาสในสงั คมให้เป็นไท แตก่ ระนนั้ ก็ดีการปลดปล่อยทาสดงั กล่าวหากพิจารณา ประวตั ิศาสตร์ตามทฤษฎี “วตั ถนุ ิยมวิภาษาวิธี” ของสํานักมาร์กซิสต์แล้วก็มิได้เป็ นปรากฏการณ์ ทางประวตั ิศาสตร์ในแบบ “จิตนิยม” หรือทฤษฎีที่อธิบายความเปลยี่ นแปลงของประวตั ิศาสตร์ด้วย กบั เหตผุ ลท่ีไมใ่ ช่ วตั ถุ พดู ง่ายๆก็คือ การปฏิรูปโดยการยกเลิกทาสเป็ นเพราะเหตผุ ลทาง “วตั ถุ” 182 เฉลิม จนั ปฐมพงศ์ และคณะ. ประวตั ศิ าสตร์สงั คมไทย. หน้า 287-288 183 เฉลิม จนั ปฐมพงศ์ และคณะ. ประวตั ศิ าสตร์สงั คมไทย. หน้า 302.

~ 194 ~ ตา่ งหากท่ีก่อกระต้นุ พระองคท์ า่ นให้กระทําการเลกิ ทาสในสงั คมไทย ดงั ท่ี คณุ สพุ จน์ ด่านตระกลู อดีตนกั เขยี นสายสงั คมนิยมกลา่ ววา่ “กรณีการเลิกทาสและการเคลื่อนไหวในสมยั รัชการที่ 5 ก็เช่นเดียวกัน ในดา้ นหน่ึงเป็น เรื่องของความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของสงั คมตามกฎแห่งธรรมชาติ หรือวตั ถุนิยมวิภาษหรือ สสารธรรมประติการ กล่าวคือจากสัญญาเบาว์ริ งทาใหร้ ะบอบทนุ นิยมได้แตกหน่ออ่อนข้ึนใน ประเทศสยาม และควบคู่มากบั ระบอบทุนิยมคือความต้องการแรงงานรับจ้างเสรีเช่นเดียวกับ อเมริกาฝ่ ายเหนือ จึงจาต้องเลิกทาสเช่นเดียวกบั อเมริกาฝ่ ายเหนือ และนอกจากเลิกทาสแล้ว รชั กาลที่ 5 ยงั ไดป้ ฏิรูประบอบบริหารราชการหลายประการเพือ่ ใหส้ อดรับกบั ระบอบทนุ นิยมที่เพิ่ง แตกหนอ่ อ่อนนน้ั เท่าที่ไม่กระทบต่อระบอบเผด็จการสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่พระองค์ทรงเป็น ศนู ย์รวมแหง่ อานาจ นนั่ คือพระองค์ทรงปฏูรุปภายใตร้ ะบอบเผด็จการสมบรู ณาญาสิทธิราชย์ และ การปฏิรูปภายใต้ระบอบไหนก็ทาให้ระบอบนั้นสมบูรณ์มั่นคงยิ่งขึ้น การปฏิรูปในระบอบ ประชาธิปไตยจะทาให้ระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์มนั่ คงย่ิงข้ึน การปฏิรูปในระบอบเผด็จการ สมบรู ณาญาสิทธิราชย์ก็จะทาใหร้ ะบอบเผด็จการสมบูรณาญาสิทธิราชย์สมบูรณ์มนั่ คงย่ิงข้ึนดงั ปรากฏในพระสมญั ญาของพระองค์วา่ ปิ ยมหาราช นน่ั แล”184 การวิเคราะห์ประวตั ศิ าสตร์ไทยด้วยดวงตาท่ีไมฝ่ ักใฝ่ ชาตินิยมและสมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์ มกั ไม่ค่อยปรากฏในวงการศึกษากระแสหลักเท่าที่ควร กรณีการเลิกระบอบทาสอันช่ัวร้ ายใน สงั คมไทยจงึ ถกู มองอยา่ งยกยอพระเกียรติคณุ ถึงมนุษย์ธรรมของพระองค์มากกว่าการพิจารณา เง่ือนไขทางประวตั ิศาสตร์และระบอบการผลติ ของมนษุ ย์ยคุ ทุนนิยมท่ีแปรเปลี่ยนไป ความเข้าใจ เช่นนีม้ กั ไมค่ ่อยปรากฏในสมองของประชาชนไทยเพราะการศกึ ษาประวตั ิศาสตร์นนั้ ถกู ผกู ขาด และตคี วามมาด้วยนํา้ มือของชนชนั้ ราชบณั ฑิตแหง่ ปลกั ศกั ดินาแทบทงั้ สนิ ้ !!? ปัจฉมิ วจี 184 สพุ จน์ ด่านระกลู . คอมมวิ นิสต์สอนอะไร?.หน้า 29

~ 195 ~ ประวตั ิศาสตร์แหง่ การปลดแอกทาสของอสิ ลามได้พิสจู น์เชิงประจักษ์แล้วถึงความสําเร็จ ในด้านมนษุ ยธรรมที่อสิ ลามได้วางนโยบายไว้ นกั ประวตั ิศาสตร์ได้ยอมรับไว้วา่ การทําลายระบอบ ทาสในยุคต้นของชาวอาหรับภายใต้กลไกรัฐที่ถกู ควบคมุ ด้วยอุดมการณ์ของอิสลามได้ทําให้ ระบอบทาสเกือบจะสญู พันธ์ไปจากโลกมสุ ลิม โดยเฉพาะในสมยั ของท่านอุมัรอิบนุค็อฏฏ๊อบ (ขออลั ลอฮฺทรงพึงใจต่อท่าน) ท่ีได้ฉายภาพของการเลิกทาสจนระบอบนีเ้ ป็ นหมนั ไปภายใต้ นโยบายของรัฐบาลอิสลาม ตวั แปรสําคญั ที่ชีว้ ัดถึงข้อสรุปที่ว่าอิสลามเท่านัน้ ท่ีเป็ นพลังท่ีอยู่ เบือ้ งหลงั ปฏกิ ิริยาทางสงั คมนีก้ ็คอื การเพิ่มขนึ ้ ของระบอบทาสอกี ครงั้ ในโลกอาหรับภายใต้อํานาจ การปกครองอย่างเผด๊จการเบ็ดเสร็จของวงศ์อมุ ยั ยะฮฺหลงั รัชสมยั ของมอุ าวียะฮฺ ความรํ่ารวยของ ราชวงศ์นี ้ ความถือชัน้ ชนในชาติพันธ์อาหรับมากกว่าความเป็ นมสุ ลิม การเอาเย่ียงอย่างการ ปกครองและสังคมมาจากพวกโรมันได้ทําให้ หน้ าประวัติศาสตร์ของการปลดแอกทาสใน ประชาชาตอิ สิ ลามต้องทลายลงมาเมอื่ พวกผ้ปู กครองอมุ ยั ยะฮฺได้เร่ิมสง่ั ซือ้ ทาสเข้ามาจากดินแดน รอบนอกรัฐอิสลาม ความเลวร้ ายของระบอบการปกครองแบบกษัตริย์ของพวกอมุ ยั ยะฮฺนีไ้ ด้ ก่อให้เกิดการแบ่งชนชนั้ จากเชือ้ ชาติขนึ ้ มา กลา่ วคือชาวมสุ ลิมมะวาลีหรือชาวมสุ ลมิ ที่มใิ ชเ่ ชือ้ สาย อาหรบั ได้รับการปฏบิ ตั ิเหมอื นพลเมอื งชนั้ ที่ 2 ความเหลอ่ื มลาํ ้ ทางสงั คมและวฒั นธรรมเกิดขนึ ้ กับ มสุ ลิมกนั เองเพราะความคลงั่ ไคล้ในเผา่ พนั ธ์อาหรบั โอย่างโง่งมของพวกเขา และที่เลวร้ายไปกว่า นนั้ พวกวงศ์อมุ ยั ยะฮฺได้เก็บภาษีบตุ รจากพวกมสุ ลมิ เบอเบอร์โดยการสง่ั ให้สตรีชาวเบอเบอร์ท่ีมีลกู ดกต้องสง่ บตุ รของตนเองมาเป็ นทาสของราชวงศ์อมุ ยั ยะฮฺอนั เป็ นพฤติกรรมที่เลวร้ายเพราะเป็ น การนํามสุ ลมิ และเสรีชนมาเป็นทาส ความระยําตําบอนของระบอบสงั คมอาหรับภายใต้เผดจ็ การ ของวงศอ์ มุ ยั ยะฮฺได้พอกพูนจนเกินกวา่ ท่ีจะแก้ไขได้แล้ว แม้วา่ เม่ือตอนที่อมุ รั บินอบั ดลุ อะซีสขนึ ้ ดํารงตําแหน่งคอลีฟะฮฺภายใต้อดุ มการณ์อิสลามอีกครัจ้ ะนําพาไปส่กู ารเลิกทาสจากกลไกของ ระบอบซะกาตและการยกเลิกภาษีทาสที่พวกอมุ ยั ยะฮฺสร้างขนึ ้ มาแล้วก็ตาม แตท่ ว่าช่วงเวลาการ บริหารอนั แสนสนั้ ของนักปกครองท่ียตุ ิธรรมเช่นท่านอมุ รั ก็ไม่อาจทําลายระบอบทาสท่ีพวกอมุ ยั ยะฮฺสร้างขนึ ้ ใหมม่ าได้ เพราะด้วยความนิยมในอิสลามของท่านได้ผลกั ดนั ให้ทา่ นต้องล้างบางการ ขดู รีดทางเศรษฐกิจท่ีพวกอมุ ยั ยะฮฺกระทําไว้ แต่ท้ายที่สดุ แล้วประวตั ิศาสตร์ของอิสลามก็ต้อง นํา้ ตาตกเมอื่ ทา่ นอมุ รั ถกู พวกในราชวงศ์ลอบปลงพระชนม์จากนนั้ ก็นําไปส่กู ารขนึ ้ ครองราชย์ของ ยาซีดอบิ นอุ บั ดลุ มาลิกท่ีวนั ทงั้ วนั ของคอลีฟะฮฺผ้นู ีห้ มดไปกบั การหาความสขุ สําราญกบั สาวใช้นาง ทาสของเขา ระบอบอนั โง่งมจึงกลบั มาเฟ่ื องฟขู นึ ้ อีกครัง้ และนบั ตงั้ แตน่ นั้ มาจนกาลเวลาได้ก้าว ข้ามไปอยา่ งยาวนานถึงชว่ งสมยั การปกครองของพวอษุ มานียะฮฺ รฐั บาลคอลีฟะฮฺที่ขนึ ้ มาปกครอง มสุ ลมิ ด้วยกําลงั ทหารก็ไมเ่ คยอย่ใู นร่องในรอยของหลกั การศาสนาอีกเลย การปลดปล่อยทาสอนั เป็นพนั ธกิจของมวลมสุ ลมิ ในยคุ ต้นจึงสญู หายไปจากสามญั สาํ นึกของผ้ปู กครองมสุ ลิม มิหนําซํา้ คราใดก็ตามที่อดุ มการณ์อิสลามอนั แท้จริงได้รับการก่อตวั ขนึ ้ สนั ดานของผ้ปู กครองมุสลิมก็จะ

~ 196 ~ เปิ ดเผยออกมานน่ั คอื การกวาดล้างอยา่ งป่ าเถ่ือนโหดร้ายตอ่ ขบวนการอสิ ลาม โศกนาฏกรรมหนึ่ง ท่ียงั คงน่าสะพรึงกลวั จนถงึ ทกุ วนั นีใ้ นยามที่ได้รับการขบั ขานนน่ั คอื การปราบปรามขบวนการฟื น้ ฟู อสิ ลามของท่านเชคมญุ ัดดดิ มฮุ มั มดั บินอบั ดลุ วะฮาบ โดยรฐั บาลตรุ กีออตโตมนั ภายใต้การบัญชา ของอะลปี าชา ประวตั ศิ าสตร์ได้บนั ทึกไว้ถงึ การทารุณกรรมที่พวกออตโตมนั กระทําตอ่ ลกู ศิษย์ของ ท่านเชคด้วยการโยนกองศพของกลมุ่ สานศุ ิษย์ในสํานัก “วะฮะบีย์” ตามความเข้าใจของพวกเขา ให้แก่สนุ ขั ขยํา้ ขยอกกองศพออกเป็ นชิน้ ๆและนับตงั้ แต่การจากไปของท่านอมุ รั บินอับดลุ อะซีส คอลีฟะฮฺผ้ทู รงธรรมในทศั นะอิสลามก็ไมเ่ คยปรากฏคืนมาอีกเลยนอกจากเพียงน้อยนิดเท่านนั้ เช่น ในกรณีของท่านศอลาฮดุ ดนี อลั อยั ยบู ีย์และท่านโอรงั เซปแห่งอินเดยี ตวั แปรสําคญั ที่ชีว้ ดั ถงึ การเลกิ ทาสโดยอิสลามก็คือรัฐบาลคอลีฟะฮฺอิสลามท่ีดําเนินการ ปกครองภายใต้อดุ มการณ์ของอสิ ลามนน่ั เอง อย่างไรก็ตามรฐั บาลอิสลามที่ได้กลายมาเป็นตวั แปร ในการเลิกทาสนีส้ ามารถธํารงอย่ไู ด้ตามกรอบเจตคติของอิสลามก็ตอ่ เม่ือพวกเขาสลดั ตวั เองออก จากปลกั แห่งระบอบกษัตริย์สมบรู ณาญาสิทธิราชและปลกั แห่งเผดจ็ การ ดงั ท่ี อาร์ เอ นิโคลสนั ได้ กลา่ วไว้วา่ ผ้ปู กครองอสิ ลามเช่นท่านอมุ รั บินอบั ดลุ อะซีสนนั้ จะไมม่ วี นั หวนกลบั มาอกี จากสาเหตุ ที่วา่ ผ้ปู กครองตามแบบวิถีแห่งอิสลามนนั้ มิใช่ผ้ปู กครองที่อย่ใู นปลกั ของสมบูรณาญาสิทธิราช หากแต่เป็ นผ้ปู กครองท่ีบรรลุแล้วซ่ึงสภาวะของความเป็ น “วะลียุลลอฮฺ” น่ันคือการเป็ นบ่าวผู้ เคร่งครัดในระบอบอิสลามของอลั ลอฮฺและอดุ มไปด้วยโภคทรพั ย์แห่งปรโลกน่ันคือความรู้วิชาการ อสิ ลาม พดู อกี ทางแล้วกค็ ือระบอบกษัตริย์และเผดจ็ การเบ็ดเสร็จจะไมม่ วี นั ทําให้สงั คมมสุ ลิมหวน กลบั ไปสคู่ วามเป็นอสิ ลามได้เลยเพราะระบอบกษัตริย์ในหม่พู วกอาหรับและเตอร์กนนั้ มีแต่ความ เหล่ือมลาํ ้ และการฟ่ มุ เฟื อยควบคไู่ ปกบั ความเป็นเผดจ็ การ การตกอย่ใู ต้อํานาจและพลงั ทางวตั ถุ หรือเศรษฐกิจของบรรดาเหลา่ กษัตริย์จะไมส่ ามารถทําให้พวกเขาโงหัวขนึ ้ จากปลอ่ งแห่งความโง่ เขลาและความหรูหราเพ่ือแลเห็นความเรียบงา่ ยสมถะของอิสลามได้ การเลิกทาสซ่ึงได้ง่อยเปลีย้ ไปหลงั โลกมสุ ลมิ ตกอย่ใู ต้อาํ นาจของระบอบกษัตริย์จงึ คงอย่ยู าวนานท้าทายกาลเวลาและเป็ นผล ให้รัฐมสุ ลิมเช่น ซาอดุ ิอารเบีย พง่ึ จะหนั มาเลิกทาสในรัชสมยั ของกษัตริย์ไฟศอลในศตวรรษท่ี 20 ทงั้ ท่ีการเลิกทาสได้เริ่มขนึ ้ ในยโุ รปแดนดงคริสต์เตียนไปเป็นศตวรรษกอ่ นหน้าแล้ว เมือ่ ความเป็นผ้ปู กครองท่ีฝักใฝ่ ศาสนามิอาจแยกขาดจากความสมถะได้ และเมื่อความ สมถะเรียบง่ายมิอาจอยู่ร่วมกับระบอบกษัตริย์ได้ และเมื่อระบอบทาสมิอาจถูกล้างลงได้หาก ปราศจากซ่ึงความสมถะของผ้ปู กครอง ผลสรุปที่ฉายภาพออกมาก็เป็ นไปในทิศทางที่วา่ ระบอบ ชนชนั้ ทางเศรษฐกิจ,ระบอบกษัตริย์และสงั คมทาสจงึ เป็นสามเหลี่ยมแห่งความชว่ั ร้ ายท่ีอย่คู วบคู่ กนั มาอย่างดกั ดานในสงั คมโลกมสุ ลมิ และท้ายท่ีสดุ สามสิ่งนีก้ ็พังพินาศลงไปพร้อมๆกับความฉิบ หายของประชาชาติมสุ ลิม ข้าฯจึงมีความเห็นว่าหากไม่พิจารณาการละทิง้ ศาสนาของปัจเจก บคุ คลแล้ว ระบอบกษัตริย์และเผดจ็ การคือตวั การสําคญั ท่ีต้องรบั ผดิ ชอบตอ่ ความหายนะของโลก

~ 197 ~ มสุ ลิม และแม้นกระนัน้ ก็เถอะการละทิง้ ศาสนาของปัจเจกบุคคลก็เป็ นผลมาจากโครงสร้างรัฐ มสุ ลมิ ที่หมอบอยใู่ ต้ความเป็นทาสของโลกวตั ถุอย่างมืดบอดไปหมดแล้วอีกที ในยุคสมยั ปัจจบุ ัน การคงอยขู่ องระบอบกษัตริย์ในซาอดุ อิ ารเบียย่อมไมอ่ าจนําพาไปสคู่ วามเป็ นอิสลามท่ีสงั คมมีแต่ ความเสมอภาคได้หากพวกเจ้าชายนายคนทงั้ หลายมวั แต่เสวยสขุ บนกองเงินอนั มงั่ คง่ั แล้วก็เขี่ย เศษเงินมาปิ ดปากเหลา่ ผ้รู ู้อุลามาอ์ ในขณะท่ีสลุ ต่านดไู บกําลงั ซือ้ สโมสรฟตุ บอลราคานบั ล้าน เหรียญ แตป่ ระชาชนปาเลสไตน์กลบั ท้องกิ่วด้วยความหิวโหยจากภาวะถกู ปิ ดล้อมทางอาหารและ เศรษฐกิจ ความม่ังคั่งของชนชัน้ นําในโลกมุสลิมได้เกิดการถ่ายโอนเป็ นเย่ียงอย่างเข้าสู่ระดับ ภาคเอกชนและปัจเจกชนด้วยเชน่ กนั ความทนั สมยั และแบบอย่างแห่งชาติยโุ รปทําให้ชาวมสุ ลิม ต้องปรับตวั เข้าหาความฟ่ มุ เฟื อยอย่างไร้สาระ เราจะพบวา่ ในขณะท่ีมหาวิทยาลยั อิสลามทัว่ โลก ตา่ งพรํ่าสอนถงึ ความสมถะเรียบง่ายของคอลีฟะฮฺอิสลามในยคุ ต้นแต่พวกนักการศาสนาของเรา ตา่ งสิงสถิตย์อยบู่ นกองเงินที่รัฐบาลแจกแก่พวกเขาอย่างมง่ั คง่ั และดํารงตนประหนึ่งพวกนกั บวช เกียจคร้านท่ีมิได้แก้ไขความป่ วยไข้ของสงั คมแตอ่ ยา่ งใดเลย ในยคุ สมยั ที่โลกมสุ ลิมกําลงั หลงไหล กบั กระแสอิสลามมานุวตั รแต่ทว่าการพฒั นาภายใต้กรอบคิดของอิสลามมานุวตั รบางครัง้ ก็เป็ น การพฒั นาตามรอยวิถีของพวกยโุ รป เราจะพบวา่ ความเจริญบางอย่างที่ไม่จําเป็ นและธรรมเนียม วฒั นธรรมในแบบยุโรปที่ไมเ่ ก่ียวข้องใดๆกับการพัฒนาก็ได้ถูกนําเข้ามา มหาวิทยาลยั อิสลาม มากมายต้องปรบั เปล่ียนการแตง่ กายตามแบบเสอื ้ ผ้าของยโุ รปทงั้ ที่เสอื ้ ผ้าในแบบนีก้ ็มใิ ชเ่ ก่ียวข้อง กบั การพฒั นาใดๆเลย ในขณะที่นกั วิชาการมากมายพยายามป่ าวประกาศว่าชุดโต๊บและการโพก สารบนั่ ไมใ่ ชซ่ ุนนะฮฺของท่านนบีแตเ่ ป็นวฒั นธรรมการแตง่ กายของชนชาติอาหรับแตก่ ระนนั้ พวก เขาก็กลบั เออออห่อหมกไปกบั กฎระเบียบทางสงั คมใหมๆ่ ท่ีโลกมสุ ลิมสร้างขนึ ้ มาโดยรับมาจาก พวกยโุ รปทงั้ สนิ ้ ไมว่ า่ จะเป็น ชดุ สทู และการผกู เนคไทที่เป็ นเคร่ืองแบบทางสงั คมที่ต้องใส่ทํางาน ,รถประจําตําแหน่งราคานบั ล้านของผ้บู ริหาร, โครงสร้างของสถาบันตา่ งๆในสงั คมมสุ ลิมที่สงู เกิน กวา่ การเข้าถึงของชาวบ้านตาดําๆ เราเคยพบเห็นการออกมาพูดว่ากติกาทางสงั คมเหล่านีค้ ือผล มาจากนโยบายใช้ยุโรปเป็ นศนู ย์กลางการพัฒนา (Eurocentrism) ทงั้ ท่ีมนั ไม่เกี่ยวข้องกับการ พฒั นาจริงๆเลยจากปากผ้รู ู้ของเราไหม??? ข้าฯเขียนหนังสือทาสเพื่อย้อนภาพประวตั ิศาสตร์ มิใช่เพื่อสร้ างความรู้สึกซาบซึง้ ใน ประวตั ิศาสตร์อยา่ งโง่งมและปราศจากผลสะท้อนทางสงั คมอย่างเป็ นรูปธรรม สิ่งที่เราได้รับจาก การศกึ ษาเร่ืองทาสเพื่อนําไปส่กู ารพฒั นาก็คือความเสมอภาคของสงั คมมสุ ลิมเกิดขนึ ้ มาได้จาก การท่ีสงั คมมสุ ลิมดํารงตนอย่บู นความสมถะ แน่นอนการท่ีผ้นู ําเช่นท่านอมุ รั สามารถนั่งกินข้าว ร่วมโต๊ะกบั ทาสได้ภาพเช่นนนั้ ย่อมไมอ่ าจเกิดขนึ ้ ได้อีกหากระบอบองค์กรของโลกมสุ ลิมมีแความ หรูหราฟ่ มุ เฟื อยและเป็นโครงสร้างการบริหารท่ีเหล่ือมลาํ ้ ซบั ซ้อน แคเ่ พียงจะนงั่ ประชมุ วิชาการทาง

~ 198 ~ ศาสนายงั ต้องหมดงบประมาณอย่างโง่งมไปถึงหลกั ล้าน ในขณะที่การจ่ายซะกาตเพื่อเป็ นกศุ ล ทานทางสงั คมแทบจะเป็นหมนั ไปจากสามญั สาํ นึกของมวลมสุ ลิมแล้ว โฉมลกั ษณ์ของอารยธรรมอิสลามกบั ความสมถะแหง่ รูปกาย ความอบั อายของโลกมสุ ลมิ และวาทกรรมการพฒั นาที่ตอกยํา้ ความล้าหลงั ครํ่าครึของโลก มสุ ลมิ ได้ทําให้การพฒั นาด้านเทคโนโลยี,วทิ ยาศาสตร์และการศกึ ษาอสิ ลามถกู กระต้นุ อย่างหนกั หนว่ งในศตวรรษที่ 20 เป็ นต้นมา ความกระหายท่ีจะสลดั ตนเองออกจากอดีตของอารยธรรมใน แบบเอเชียไปสคู่ วามทนั สมยั แบบยโุ รปภายใต้นโยบายการฟื น้ ฟอู ิสลามแบบผกั ชีโรยนํา้ ขององคก์ ร เอกชนอิสลามต่างๆได้ทําให้คําสอนในเร่ืองความเรียบง่ายและสมถะอนั เป็ นอตั ลกั ษณ์พิเศษใน อารยธรรมยคุ อดุ มคตขิ องอสิ ลามต้องกลายมาเป็ นบทเรียนสอนกนั พอซาบซึง้ ในวิชาเรียนเท่านนั้ ดงั ที่ได้กลา่ วไปแล้ววา่ ในขณะที่เรากําลงั แสวงหาซงึ่ การพฒั นาโลกมสุ ลมิ ให้มคี วามเจริญด้านวตั ถุ ควบคไู่ ปกบั การฟื น้ ฟอู ิสลาม แต่สรรพส่ิงหลายอย่างท่ีได้ถกู อบุ ัติขนึ ้ จากการพฒั นาในโลกมสุ ลิม บอ่ ยครงั้ มนั มใิ ชเ่ ป็นเง่ือนไขท่ีเกี่ยวข้องกบั การพฒั นาหรือเป็นปัจจยั แหง่ ความล้าหลงั ที่แท้จริงของ โลกมสุ ลิมเลย ในขณะที่อิสลามได้สอนส่งั และกล่อมเกลาความเสมอภาคทางด้านรูปกายของ อาภรณ์ในระหวา่ งเสรีชนกบั ทาส ในขณะที่ท่านอบบู กั ร,อมุ รั ,อษุ มาน,อะลีและเหล่ามสุ ลิมในสมยั แรกตา่ งปฏบิ ตั ิไปตามบญั ญตั ิข้อนีอ้ ยา่ งยึดมนั่ ทวา่ โลกมสุ ลิมกลบั กระโจนไปสคู่ วามโง่งมแห่งรูป กายที่ไม่สมั พันธ์ใดๆต่อการพัฒนาเลย เหล่านักวิชาการอิสลามมากหน้าหลายตาตา่ งสละทิง้ เครื่องแตง่ กายในแบบชาวอาหรบั โดยให้เหตผุ ลวา่ มนั มิใช่ซนุ นะฮฺ ทวา่ พวกเขาเองกลบั ต้อนรับซึ่ง รูปแบบของเครื่องกายจากยโุ รปจนพฒั นามาเป็นกติกาทางสงั คมท่ีบีบคนั้ ผ้คู นไปเสียแล้ว แน่นอน ว่าข้าฯมิได้ตําหนิหรือต่อต้านใดๆกับการแตง่ กายด้วยเสือ้ ผ้าในแบบชาวยุโรปแตก่ ารปฏิบัติต่อ อาภรณ์ที่ครอบรูปกายมนุษย์เหลา่ นีใ้ ห้เป็ นประหนึ่งกติกาหรือกฎเหล็กทางสงั คมต่างหากท่ีเป็ น เรื่องน่ารังเกียจอยา่ งยิ่ง เราจะพบวา่ ในโลกยคุ สมยั นีเ้ ราต่างไม่สามาถเข้าร่วมประชมุ อิสลามโลก อย่างสบายใจได้เลยหากเราไม่สวมสทู ผกู ไทน์อย่างดีพูดอีกทางแล้วความงมงายในการพฒั นา ตนเองตามวิถีของยุโรปทําให้มุสลิมต้องสละทิง้ อตั ลักษณ์แห่งความสมถะที่เหล่ากัลญาณชน ปฏบิ ตั ิกนั มา เสอื ้ ผ้าปะชนุ รอมร่อซง่ึ เป็นแบบวิถีท่ีเรามกั กลา่ วขบั ขานในความถ่อมตนแห่งรูปกาย ของ 4 คอลฟี ะฮฺผ้ทู รงธรรมยอ่ มไมอ่ าจนํามาสวมใสใ่ นยคุ สมยั แหง่ ความงมงายกบั อตั ลกั ษณ์ยุโรป ในหมมู่ สุ ลิมได้อีกแล้ว เราไมส่ ามารถที่จะเป็ นผ้บู ริหารองค์กรอิสลามบนอตั ลกั ษณ์แห่งรูปกายท่ี สมถะเช่นนีไ้ ด้อีกแล้ว มิพักต้องพดู ถึงคําส่งั ใช้ของท่านนบี ศ็อลฯ ที่สอนส่งั ให้เราสวมกายชนิด เดียวกบั ทาสให้เสียเวลาดอก เพราะขนาดว่ายุคสมยั ที่เราต่างเป็ นเสรีชนกนั เองมวลมสุ ลิมก็ยัง แสดงออกอย่างเหลอื่ มลาํ ้ ทางรูปกายของพวกเขา บรรดาอลุ ามาอ์ของเราต่างต้องมีเครื่องแบบอนั หรูหราของตวั เองเพ่ือแยกชดั จากสามญั ชน กลมุ่ ชนชนั้ กลางข้ารัฐการก็มีแบบวิถีแห่งการแต่งกาย

~ 199 ~ อกี แบบที่ตา่ งไปจากพ่อค้าแม่ขาย การประชุมสมั นาใดๆย่อมต้องกระดากอายหากผ้รู ่วมประชุม แตง่ กายไมต่ รงตามอตั ตาของคนในสงั คม คณะครูบาอาจารย์ผ้สู อนในมหาวิทยาลยั ต่างถูกบีบคนั้ ด้วยเคร่ืองแบบแห่งยโุ รปวิถี ทงั้ หมดนีก้ ็เพื่อแบ่งจําพวกคนในสงั คมอย่างเห็นได้ชดั ทงั้ สนิ ้ ขอให้เรา ท่านลองพิจารณาดเู ถิดวา่ แรงกระต้นุ อนั ใดกันเล่าที่ผลกั ดนั ให้บรรดามสุ ลิมในยคุ แรกสามารถ ปฏบิ ตั ิตามพจนารถของทา่ นนบี ศอ็ ลฯ ได้อย่างไมก่ ระดายอาย พวกเขาสามารถสวมใส่อาภรณ์ที่ ทาสเองก็สวมใสด่ ้วย พวกเขามิเคยสนใจวา่ ผ้เู ป็นองค์ประมขุ ของอิสลามต้องมีอาภรณ์ที่บ่งชีใ้ ดๆ ตอ่ ตําแหนง่ เลย แรงขบั เคลอ่ื นทางรูปกายเหลา่ นีม้ อิ าจเกิดขนึ ้ ได้เลยหากบรรดามสุ ลมิ ในยคุ นนั้ ตา่ ง โงง่ มกบั กติกาทางสงั คมที่ยคุ สมยั เราได้วางขนึ ้ ไว้ ประวตั ศิ าสตร์ของอารยธรรมอิสลามได้บันทึกไว้ วา่ ท่านอบบู กั รในฐานะคอลีฟะฮฺนนั้ ท่านสวมใสเ่ สอื ้ ผ้าเก่าๆของทา่ นเพียงชิน้ เดยี วอย่ตู ลอด ขณะท่ี ท่านอมุ รั ตามอาภรณ์ของทา่ นกม็ ีแตร่ อยปะชนุ ของเสือ้ ผ้าในจํานวนหลายจดุ ขณะที่ท่านอษุ มาน เองก็สวมใสเ่ สอื ้ ผ้าที่แทบแยกไมอ่ อกจากทาสของทา่ นเลย ท่านอะลกี เ็ ชน่ เดียวกันที่อาภรณ์ท่ีท่าน สวมใสใ่ นยคุ สมยั ของการดาํ รงตาํ แหน่งคอลฟี ะฮฺก็สามารถประมวลราคาของอาภรณ์ได้เพียง 4-5 ดริ ฮมั เท่านนั้ !! พฤตกิ รรมเหลา่ นีส้ วนทางอย่างสิน้ เชิงกับวิถีท่ีชาวมสุ ลิมเรากําลงั ปฏิบตั ิอย่ใู นยคุ สมยั นี ้เอาแคต่ ําแหนง่ ราชบณั ฑิตทางศาสนาผ้ดู ํารงตําแหน่งก็จําต้องมีเสือ้ ประจําตําแหน่งราคา หลายตงั คเ์ พ่ือประดบั บารมีของตน แนน่ อนวา่ ความสมถะท่ีเกิดขนึ ้ ในหมมู่ สุ ลิมสมยั แรกนนั้ คือการ “จงใจ” จะสมถะเพราะความยําเกรงตอ่ พระเจ้าในใจพวกเขาอย่างแท้จริง มิใช่ว่าเหล่ามสุ ลิมจะ ปราศจากโภคทรัพย์เพื่อความหรูหราแอยา่ งใดไม่ การครอบครองอาณาจกั รอนั ย่ิงใหญ่ครอบคลมุ สองฟากฝั่งโลกทําให้พวกเขาผงาดขึน้ เหนือหวั จกั รพรรด์ิทัง้ หลายแตก่ ระนัน้ ก็เถอะท่านอมุ รั ก็ไม่ เคยคิดที่จะสวมอาภรณ์ของชาติที่พฒั นาแล้วอยา่ งอาภรณ์ของผ้ปู กครองเปอร์เซียใดๆเลย เพราะ ท่านมเิ คยหลงงมงายกบั วาทกรรมการพฒั นาเชน่ ที่เหลา่ มสุ ลิมในยคุ สมยั ของเรากระทํามนั อย่โู ดย คิดเอาตนื ้ ๆวา่ น่ีคอื รูปแบบหนงึ่ ของการพฒั นาอิสลามทงั้ ท่ีมนั เป็นการพฒั นาแคเ่ ปลือกนอกเทา่ นนั้ การวเิ คราะห์ทงั้ หมดนีม้ ใิ ชก่ ารวิเคราะห์แบบงมงายจากอตั ตวสิ ยั ของข้าฯ แตต่ ามทศั นะของ เอ.เจ อาร์เบอรี ผ้คู ้นคว้าเกี่ยวกับอารยธรรมอิสลามแล้วเขาเห็นว่าวิถีแห่งความสมถะตนเหลา่ นีค้ ือ องค์ประกอบสําคญั ของการเป็ นคอลีฟะฮฺที่พระองค์อลั ลอฮฺหมายมนั่ จะให้พวกเขาเป็ นผ้บู ริหาร หน้าแผน่ ดินของพระองค์185 เม่ือความสมถะได้สญู หายไปจากอตั ลกั ษณ์ทางกายภาพของชาว มสุ ลิม ผลกระทบท่ีเราได้มาก็คอื การสร้างระบบบางประการขนึ ้ มาในวงมสุ ลิมที่ไม่มีความจําเป็ น หรือเป็ นเง่ือนไขในการพัฒนาใดๆเลย วฒั นธรรมเคร่ืองแบบ ได้ถูกนํามาใช้กะเกณฑ์บีบคัน้ พฤติกรรมของคนในองค์กรนัน้ ๆ เช่น ระบบมหาวิทยาลัยอิสลามในกาลปัจจุบันเครื่องแบบ นกั ศกึ ษาประหนง่ึ สงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิทม่ี ีอาจละเมิดได้ การจะก้าวยา่ งเหยียบเข้าไปในสถานศกึ ษาอิสลาม 185 A.J. Arberry. Aspects of Islamic Civilization : As Depicted in the Original Texts. P.55.

~ 200 ~ ต้องถกู ประดบั ด้วยเคร่ืองแบบก่อนจึงสามารถกระทําได้ด้วยเหตผุ ลอนั อ่อนด้อยว่าต้องให้เกียรติ สถานท่ีทงั้ ท่ีจริงๆแล้วก็คือให้เกียรติก้อนกรวดและหินทงั้ สนิ ้ ความหรูหราตามวถิ ีแหง่ ยโุ รปสว่ นนีย้ งั ไปไกลถงึ ระบอบบริหารงานองค์กรอิสลามทงั้ หลาย เราอาจจะประทับใจกับภาพท่ีท่านซิรีนทาส ของทา่ นอะนสั ได้เดินไปฟ้ องทา่ นอมุ รั อยา่ งงา่ ยดายแตท่ วา่ ภาพเหลา่ นีไ้ ด้ถกู ทําลายลงตงั้ แต่วินาที ท่ีโลกมสุ ลมิ คดิ จะบริหารงานอยา่ งเป็นโครงสร้างซบั ซ้อนหลายระดบั จนเกินกวา่ ท่ีชาวบ้านตาดําๆ จะได้ประโยชน์จากองค์กรเหลา่ นีไ้ ด้ ช่องวา่ งระหวา่ งนกั วชิ าการศาสนากบั ประชาชนท่ีถกู กดข่ีจน ห่างกนั มากแทบที่เราจะไมไ่ ด้ยินเสียงโอดครวญอนั น่าสงสารนนั้ ได้เลย สงิ่ ท่ีเรารบั มาจากชาวยโุ รป ทงั้ หมดนนั้ คอื ความเจริญที่เป็นเปลือกนอกของชาวยโุ รปทงั้ สนิ ้ ความดแี ละจิตวญิ ญานอนั ย่ิงใหญ่ ของชาวยโุ รปตา่ งหากท่ีโลกมสุ ลิมผ้บู ้าวตั ถุทงั้ หลายไม่ยอมรับมาปฏิบตั ิตาม ความกระหายและ การค้นคว้าในวชิ าการอยา่ งขยนั หนักหน่วงตา่ งหากที่ชาวมสุ ลิมไม่รับจากชาวยโุ รป การเสียสละ อทุ ิศตนไปบนหน้าแผน่ ดนิ นีเ้ พ่ือเป้ าหมายทางวิชาการต่างหากท่ีโลกมสุ ลิมไมร่ ับเขามา จิตสํานึก ของการบริการสาธารณะโดยไมล่ ําเอียงศาสนาก็เป็ นอีกพฤติกรรมดีของชาวยโุ รปท่ีโลกมสุ ลิมไม่ เคยเหลยี วแล เพราะฉะนนั้ การพฒั นาที่โลกมสุ ลืมกระทําอยู่ ณ ตอนนีไ้ มไ่ ด้ไปไหนไกลนอกจากเร่ง พฒั นาทางด้านวตั ถพุ ร้อมกับเอาอิสลามบางเร่ืองมาโปะหน้าไว้พอสวยงาม หากการทําตนด้วย ความเรียบง่ายและระบบการบริหารท่ีสมถะคือหนึ่งในองค์ประกอบของความสําเร็จของชนยคุ อดตี การละทิง้ ซ่ึงความเรียบงา่ ยทงั้ ปวงของชนยคุ ก่อนกเ็ ป็นหนง่ึ ในความหายนะของมวลมสุ ลิมในกาล ปัจจบุ นั ทาสกบั เพศวิถีแหง่ อสิ ลาม ในบรรดามสุ ลิมสมยั แรก เป็นท่ีประจกั ษ์ชดั แล้วซงึ่ ความสําเร็จบนหน้าแผ่นดินนีข้ องพวก เขา กระนนั้ ก็ตามโลกทศั น์แหง่ เพศวถิ ีที่พวกเขามอี ยกู่ ลบั ไมเ่ คยออกนอกกฎเกณฑ์ทางศาสนาเลย บรรดามสุ ลิมในยุคสมยั นนั้ แม้นพวกเขาจะขนึ ้ มาเป็ นผ้นู ําโลกท่ีทลายอารยธรรมวตั ถุนิยมอย่าง เปอร์เซียและโรมันได้สําเร็จแล้วก็ตาม แต่เพศวิถีของพวกเขาก็ยังดําเนินไปตามครรลองของ อิสลาม พวกเขาไม่เคยกระดายอายท่ีจะดํารงตนอย่ใู นระบอบ 1 ผวั 4 เมียหรือแม้กระท่งั การมี ภรรยาทาสก็ได้รับการปฏบิ ตั ิกนั เสียสว่ นใหญ่ในหมสู่ าวกของทา่ นนบี ศอ็ ลฯ ทงั้ หมดนีห้ าใช่วา่ ข้าฯ จะส่งเสริมการมกั มากในกามคณุ แตอ่ ย่างใด ทว่าสิ่งที่เราจะพูดก็คือน่ีคือเพศวิถีของอิสลามท่ี ถกู ต้องซึ่งเหลา่ มสุ ลิมในยุคแรกปฏิบตั ิกนั มา ในขณะที่ความพยายามท่ีจะทําตนให้ทนั สมยั ของ โลกมสุ ลิมกําลงั ดาํ เนินอยู่ มสุ ลิมเองกลบั ละทิง้ เพศวิถีของอิสลามไป เร่ิมตงั้ แตก่ ารท่ีพวกเขาหน่วง เหนี่ยวการแตง่ งานของเยาวชนให้ชกั ช้ายืดยาวออกไปเพราะระดบั การศกึ ษาที่ซบั ซ้อนมากขนึ ้ ใน โลกปัจจบุ นั แตท่ วา่ พวกเขาก็ไม่อาจรับมือได้กบั ภยั อบุ าทว์ท่ีเกิดขนึ ้ จากส่ือและปรัชญาทางเพศ ตา่ งๆจนกระต้นุ ให้เยาวชนมสุ ลิมในยคุ ปัจจุบนั ต่างรีบเร่งชิงสุกก่อนห่ามกันโจ๋งครึ่ม ในขณะท่ี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook