~ 51 ~ เพราะท่านรู้อยู่แลว้ ว่าผูใ้ ดกระทาความดีประการใด ผนู้ นั้ ก็จะไดร้ บั บาเหน็จอยา่ งนน้ั จากองค์พระผู้ เป็นเจ้าอีก ไมว่ ่าเขาจะเป็นทาสหรือเป็นไทย (เอเฟซสั 6:5-8) ทา่ นทง้ั หลายทีเ่ ป็นผูร้ ับใช้ จงเชื่อฟังนายของท่านดว้ ยความยาเกรงทุกอย่าง ไม่ใช่เฉพาะนายที่ เป็นคนใจดีและสภุ าพเท่านนั้ แต่ทง้ั นายที่ร้ายดว้ ย (1 เปโตร 2:18) จงให้คนทงั้ หลายที่อยู่ใต้แอกแห่งความเป็ นทาส ถือว่านายของตนเป็ นผู้สมควรแก่การได้รับ เกียรติยศทกุ สถาน เพือ่ พระนามของพระเจ้าและคาสอนของพระองค์จะมิไดถ้ กู หม่ินประมาท (1 ทิ โมธี 6:1) ส่ิงที่ต้องเข้าใจนอกเหนือจากนีก้ ็คือความจริงท่ีว่า ปรัชญาของอริสโตเติลนนั้ ถือว่าเป็ น ปรัชญาท่ีทรงอทิ ธิพลตอ่ โลกทศั น์การศกึ ษาของพวกพระและนกั บวชคริสต์เตียนในยคุ กลางอย่าง มาก ในมมุ มองของอริสโตเตลิ เขายอมรับในทฤษฎีของการเป็นทาสโดยธรรมชาติ กล่าวคือทฤษฎี ดงั กล่าวนีไ้ ด้กล่าวอ้างว่ามนุษย์นัน้ ได้ถูกทําให้เป็ นทาสโดยธรรมชาติ41หลักคิดวิตรถารของ อริสโตเติลเชน่ นีไ้ ด้สง่ อิทธิพลไปยงั บาทหลวงคริสต์เตียนนามอโุ ฆษในยคุ ตอ่ มาอย่างเซนต์โธมสั อไควนสั ที่เขาเห็นพ้องกบั อริสโตเตลิ วา่ มนษุ ย์ถกู ทําให้เป็นทาสโดยธรรมชาติและการมีอยขู่ องทาส ก็ไมใ่ ช่เร่ืองท่ีขดั แย้งตอ่ หลกั ศรทั ธาของมนษุ ย์ท่ีจะดํารงอย่ใู นสถานภาพต้อยตํ่าเชน่ นนั้ ได้ อไควนสั พิจารณามนษุ ย์ด้วยโลกทศั น์หยาบๆวา่ มนษุ ย์ที่ชาญฉลาดและมคี วามโดดเดน่ นนั้ ดเู หมือนจะเกิด มาเพ่ือเป็นนายคนโดยธรรมชาติอยแู่ ล้วในขณะท่ีมนษุ ย์ซงึ่ มีความฉลาดน้อยแตม่ ีร่างกายกํายานนั้ กจ็ ะถกู ธรรมชาตเิ ลอื กสรรมาให้กระทําการณ์ในฐานะคนรบั ใช้ อไควนสั ยงั เหน็ พ้องต้องกนั กบั เซนต์ ออกสั ตินในแง่ที่วา่ ระบอบทาสเป็ นผลมาจากความเสื่อมโทรมของสงั คม ยิ่งไปกวา่ นนั้ อไควนสั ยัง ได้คิดเตลิดไปอีกวา่ จกั รวาลนนั้ มีโครงสร้างทางธรรมชาติของมนั ที่มอบอํานาจและความเหนือกวา่ แก่มนษุ ย์เหนือสง่ิ อืน่ โลกทศั น์ของอไควนสั จึงอาจจะดดู ีกวา่ อริสโตเติลอย่บู ้างแต่กระนนั้ เขาก็ยัง เหน็ วา่ ทาสนนั้ มสี ทิ ธิที่จํากดั และยงั ยอมรับการที่นายทาสทบุ ตที าสมากกวา่ ท่ีจะมอบความเมตตา แก่ทาส42 เกี่ยวกบั มมุ มองเรื่องทาสที่อริสโตเตลิ เช่ือถืออยนู่ ีไ้ ด้เกิดการวพิ ากษ์วจิ ารณ์ติดตามมาใน ประเดน็ ของ สถานะภาพของอริสโตเตลิ ในด้านความเป็นปราชญ์และปัญญาชนของเขา ตลอดจน ข้อแตกตา่ งระหวา่ งผ้เู ป็นรอซูลกบั ผ้เู ป็นนกั ปรัชญา บุคคลในโลกมกั กล่าวสรรเสริญอริสโตเติลว่าเป็ นปราชญ์ปัญญาชนผู้ย่ิงใหญ่ โดย พิจารณาวา่ คาํ วา่ ปัญญาชนถกู ใช้เพ่ือหมายถึงคนทงั้ หลายที่ทํางานด้วยสมอง ซ่ึงก็ได้แก่พวกนกั คิดนกั ศึกษา นักวิชาการ ครูและอาจารย์เป็ นต้น นี่เป็ นคําที่เรานํามาใช้กัน แต่ในความหมาย 41 Léonie J. Archer (1988). Slavery and Other Forms of Unfree Labour: And Other Forms of Unfree Labour.\" History Workshop Centre for Social History (Oxford, England), Published by Routledge, Page 28 42 Philosophers justifying slavery : http://www.bbc.co.uk/ethics/slavery/ethics/philosophers_1.shtml
~ 52 ~ เฉพาะของมนั ปัญญาชนคือผู้ปฏิบัติตามอุดมการณ์ท่ีเขาเลือกอย่างมีจติ สานึกต่างหาก อดุ มการณ์และความสํานึกทางชนชนั้ ของเขานนั้ เองท่ีช่วยให้เขาได้รู้ถึงขีวิตและการปฏิบัติ การ ดํารงชีวติ และการคิดพร้อมกบั อดุ มคติท่ีจะก่อขนึ ้ เป็ นปรัชญาแห่งชีวิตของเขา ส่ิงตา่ งๆเหลา่ นีจ้ ะ สร้างจิตสํานกึ ท่ีจะทําให้เขาอทุ ิศตวั เองให้กับมนั ด้วยการอทุ ิศตนให้แก่เป้ าหมายทางอดุ มการณ์ เขาจะเป็นคนรักนักต่อสู้ เขาจะมีความสํานึกศรัทธาที่จะนําขบวนการก้าวหน้าในประวตั ิศาสตร์ และปลกุ มนุษยชาติให้ลกุ ขนึ ้ รู้ความจริงแห่งการมีชีวิตของพวกเขาในสงั คม บทบาทที่เขาแสดง ออกไปในประวตั ิศาสตร์ทําให้เขาแตกตา่ งไปจากนกั ปรชั ญา นกั ปรัชญาอยา่ งเชน่ อริสโตเตลิ จะไม่ มคี วามสาํ นึกและความศรัทธาประเภทนี ้ อริสโตเติลมิใช่ปัญญาชนเพราะเขามิได้ริเร่ิมขบวนการ ทางสงั คมและการปฏิวตั ิใดๆในสงั คมของเขา และเขามิได้ปลกุ มวลชนท่ีได้รับความเจ็บปวดใน สมยั ของเขาให้รู้ถงึ ความจริงของสงั คม พลาโตเองก็ไมต่ า่ งไปจากอริสโตเติลเพราะเขาไม่สามารถ แก้ไขปัญหาของสงั คมของเขาได้ ถึงวา่ แม้วา่ เขาจะพบแนวความคดิ อนั หนง่ึ กต็ าม พโทเลมีเป็นนัก วิทนาศาสตร์และเป็นแพทย์ผ้มู ีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มากมาย แต่วิทยาสาสตร์ของเขามิได้ มอี ิทธิพลตอ่ การชะตากรรมของมนษุ ย์ในยคุ ของเขาแต่อย่างใด ถ้าหากกรีกมีคนเช่นนีน้ ับพันคน ชีวิตของเขากค็ งเหมือนที่เป็นกอ่ นๆมา บางทีอาจจะแย่ยิ่งกวา่ ด้วยซํา้ ไป เพราะปัญญาชนเช่นนี้ คือผู้บริโภคท่ีเกียจคร้ านคอยดูดซึมส่ิงท่ีชาวนาผลิตมา ส่ิงท่ีกรีกต้องการนัน้ มิใช่นัก ปรัชญาหรือนักวิทยาศาสตร์ แต่เป็ นคนมีอุดมการณ์ท่ีจริงจังในการท่ีจะปรับปรุงและ เปล่ียนแปลงทาสท่ีได้รับความทุกข์ยากถงึ แม้ว่าผ้ทู ่มี ีอุดมการณ์เหล่านีจ้ ะเป็ นคนธรรมดา หรือทาสก็ตาม การหมกม่นุ อยู่กบั ความลีล้ บั ของการสร้างเรื่องแก่นสารดกึ ดําบรรพ์ทําให้นัก ปรัขญาไม่สามารถอทุ ิศตวั เองให้กับการแก้ปัญหาทางสงั คมได้ อย่างไรก็ตามบรรดารอซูลนัน้ มกั จะเกิดมาเพื่อเปลีย่ นแปลงและสรรสร้างประวตั ศิ าสตร์ขนึ ้ มาใหม่ อนั เป็ นการปฏิวตั ิที่นํามนุษย์ ท่ีทกุ ขย์ ากไปสสู่ งั คมที่เปล่ียนแปลงใหม่ บรรดาประกาศกจึงเป็นมนษุ ย์ธรรมดาแตพ่ เิ ศษกวา่ คนอืน่ ในด้านจิตวิญญาณและการอุทิศตวั พวกเขาแตกต่างไปจากนักปรัชญา ศิลปิ น นักการเมือง นกั บวชและคนทกุ จําพวกบนโลกใบนีแ้ ละนน่ั คือเหตผุ ลที่วา่ เหตใุ ดบรรดารอซูลหรือประกาศกของ พระเจ้าจงึ ไมเ่ คยปรากฎพบนกั ปรชั ญาจอมเพ้อฝันและนกั การเมืองจอมโกหกเลย ข้อเทจ็ จริงทงั้ หมดท่ีเราได้นําเสนอไปนีย้ ่อมชีไ้ ด้อยา่ งชดั เจนถึงการยอมรับในระบอบทาส ของคริสต์ศาสนา ด้วยเหตนุ ีเ้ องความอับอายต่อข้อเท็จจริงของศาสนาของพวกเขาตลอดจน โศกนาฏกรรมที่ชาวคริสต์เตียนยุโรปได้ทําลงไปในนามของศาสนาต่อทาสจึงสงั่ สมมาเป็ นความ อาฆาตมาดร้ายตอ่ ชาวมสุ ลิมและพยายามท่ีจะปัดความผิดที่พวกตนได้กระทําตอ่ มนษุ ยชาติวา่ เป็นเพราะหลกั กฎหมายของอิสลามซ่งึ ยอมรบั การมที าสนัน่ เองท่ึทําให้ทาสไมเ่ คยหมดสิน้ ไปจาก โลกใบนี!้ !
~ 53 ~ ข้อเทจ็ ของกฎหมายอสิ ลามตอ่ การยอมรับการมีอย่ขู องทาส ข้าพเจ้าได้กลา่ วไปแล้วในตอนต้นวา่ ความป่ วยไข้ของมวลมนษุ ยชาติทีได้อตุ ริสร้างสงั คม ทาสขนึ ้ มานนั้ ดําเนินอย่มู าอย่างยาวนานนบั ไมร่ ู้กี่ศตวรรษกอ่ นการมาของอิสลาม การมงุ่ เลิกทาส อยา่ งเฉียบพลนั นอกจากจะไม่ยงั ผลแล้วยงั รังแตจ่ ะสร้างความเสียหายให้เกิดขนึ ้ แก่สงั คมขนาน ใหญ่ไปด้วย ในทางกลบั กนั การมงุ่ นิ่งเงียบปลอ่ ยปละละเลยทาสที่อย่ใู นระบอบสงั คมอนั อธรรม ก่อนการมาของอสิ ลามนน่ั ก็มิใชท่ างแก้ท่ีแท้จริงหากแตเ่ ป็นการน่ิงเฉยตอ่ ความเลวร้ายในสงั คมซึ่ง มิใช่ลกั ษณะนิสัยของศาสนานีท้ ่ีถูกประทานลงมาเพ่ือปลดแอกผ้ถู ูกกดข่ี อิสลามจึงคิดท่ีจะ แก้ปัญหาการกดข่เี พ่ือนมนษุ ย์ด้วยระบอบทาสโดยการมงุ่ จัดระเบียบทาสในสงั คมเสียใหม่ การ บญั ญัติกฎหมายให้ผ้คู นสามารถท่ีจะมีทาสในครอบครองได้จงึ บงั เกิดขนึ ้ ด้วยวทิ ยปัญญาของพระ เจ้าที่มงุ่ จะทําลายสภาพของการไร้สิทธิทางกฎหมายค้มุ ครองต่อพวกทาส โดยทงั้ นีอ้ ิสลามนนั้ ไม่ ยอมรบั และประณามการปฏบิ ตั ติ อ่ ทาสที่มีมาก่อนทงั้ สนิ ้ ไมว่ า่ จะอยใู่ นสงั คมของพวกป่ าเถื่อนบชู า เทวรูปหรือการปฏิบตั ิตอ่ ทาสในหมชู่ าวยิวและคริสต์ชนก็ดี อิสลามจึงหาทางออกด้วยการอนุมตั ิ การมีทาสพร้ อมกับบัญญัติกฎหมายท่ีปกป้ องสิทธิของทาสไปในขณะเดียวกันอนั เป็ นความ พยายามที่จะดงึ พวกทาสเข้าสรู่ ะบบที่ปกป้ องปากเสียงและสิทธิของพวกเขาจากนนั้ ก็ตลบหลงั พวกนายทาสด้วยการวางข้อกฎหมายในเร่ืองการดแู ลทาสอย่างเข้มงวดและมีมนุษย์ธรรม ตลอดจนการหา ‚ช่องทาง‛ ท่ีจะให้ทาสแตล่ ะรายหลดุ พ้นเพ่ือการเป็นไทด้วยเงื่อนไขทางกฎหมาย ไปในตัวด้วย เช่น เมื่อการมีทาสเป็ นท่ีอนุมตั ิกระนนั้ ก็ตามการเฆ่ียนตีทาสกฎหมายอิสลามจะ กําหนดให้ทาสที่ถกู ตีเป็นไทไปโดยปริยาย เป็ นต้น เพราะฉะนนั้ ทศั นะของคนอวิชชาบางจําพวก ที่วา่ อิสลามคาํ ้ จนุ การมที าสเพราะอสิ ลามได้สร้างความเข้าใจที่วา่ การมที าสคอื ส่ิง ‚ไมบ่ าป‛ ขนึ ้ ใน หมมู่ สุ ลมิ จงึ เป็นการมองท่ีตนื ้ เขินและใช้เปลือกนอกมาทําการวิพากษ์อย่างไร้แก่นแท้และไม่เป็ น ตรรกะ การท่ีรฐั หน่งึ ใดบนโลกนีต้ า่ งก็มีกฎหมายวา่ ด้วยคนตา่ งด้าวยอ่ มเป็นข้อบ่งชีว้ ่ารัฐนนั้ อยาก ให้มีการอพยพเข้าเมืองของคนตา่ งด้าวกระนนั้ หรือ??? หามิได้! การมีกฎหมายคนต่างด้าวเป็ น เพียงการจดั ระเบียบตอ่ การอพยพของผ้คู นซึ่งรัฐใดๆบนโลกนีก้ ็ไม่อาจกีดกนั การอพยพได้ดงั นนั้ เพ่ือเป็นผลดกี วา่ การบญั ญตั กิ ฎหมายคนตา่ งด้าวจึงเป็ นการจดั ระเบียบการอพยพของมนษุ ย์ซึ่ง ไม่อาจห้ ามได้ ให้ อยู่ในครรลองคลองธรรมท่ีดีขึน้ เท่านัน้ กฎหมายเรื่องทาสในอิสลามก็ เช่นเดยี วกนั ! ท่านฟัศลุร เราะฮมฺ าน (1919 –1988) ปราชญ์มสุ ลิมชาวอินเดียได้ให้แง่คิดไว้ว่า การท่ี อิสลามยอมรับการมีอยู่ของสังคมทาสว่าเป็ นเร่ืองถูกต้องตามกฎหมายนัน้ ก็เพราะว่ามันคือ ทางเลือกเดียวที่เป็ นไปได้แล้วในการที่จะแก้ปัญหาของทาสท่ีมีอย่ใู นยุคสมยั ของท่านศาสนทูต มฮุ ัมมดั ศ็อลฯ อันเน่ืองจากทาสเป็ นส่ิงท่ีฝังแน่นอยู่ในโครงสร้ างทางสังคมและเศรษฐกิจของ มนษุ ย์ และการจะให้ชาวมสุ ลมิ ทําการปลอ่ ยทาสด้วยการไถต่ วั แตเ่ พียงอย่างเดยี วให้หมดไปอย่าง
~ 54 ~ รวดเร็วทั่วคาบสมุทรอารเบียนัน้ คือสิ่งที่ย่อมไม่สามารถ กระทําได้อย่างแน่นอน คงมีแต่นักฝันเท่านัน้ ท่ีจะทําตาม จินตนาการเหลา่ นี4้ 3 ท่ า น อั ล เ บิ ร์ ต ฮู ร อ นี ย์ (1915-1993) นั ก ป ร ะ วัติ ศ า ส ต ร์ แ ห่ ง ม ห า วิ ท ย า ลัย อ็อ ก ฟ อ ร์ ด แ ห่ ง ป ร ะ เ ท ศ องั กฤษ ได้กลา่ วถึงคณุ ความดีของกฎหมายอิสลามที่มีต่อ ทาสไว้วา่ “ความคิดในเรื่องความเป็ นทาสนนั้ ในสงั คมมสุ ลิม ไม่ได้เป็ นเหมือนกับที่ประเทศต่างๆของอเมริ กาเหนือและ อเมริ กาใตค้ น้ พบ และประกอบด้วยคนชาติต่างๆของยโุ รป ตะวนั ตกนบั ตง้ั แตค่ ริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นไป ความเป็น ทาสเป็นสถานภาพหน่ึงทีก่ ฎหมายอิสลามยอมรบั ตามกฎหมายนนั้ มสุ ลิมที่เกิดมาเป็นอิสรชนไม่ สามารถทาใหเ้ ป็นทาสได้ ฉะนนั้ ทาสจึงไม่ใช่มสุ ลิมแต่เป็นพวกทีถ่ กู จบั ตวั มาจากสงครามหรือไม่ก็ หาซื้อมา หรือเป็ นเด็กที่มีพ่อแม่เป็ นทาสและเกิดมาในความเป็ นทาส พวกเขาไม่มีสิทธิทาง กฎหมายเต็มทีอ่ ยา่ งอิสรชน แตก่ ฎหมายชะรีอะฮ์ได้กาหนดไว้ว่าพวกทาสควรจะได้การดูแลดว้ ย ความยตุ ิธรรมและกรุณา การปลดปล่อยพวกเขาเป็นการกระทาที่ควรไดร้ ับการยกย่องอย่างหน่ึง ความสมั พนั ธ์ของนายควรจะสนิทสนมกนั และอาจจะดารงอยู่ต่อไปหลงั ทาสไดร้ ับอิสรภาพแล้ว เช่นเขาอาจแตง่ งานกบั บตุ รสาวของนายหรือทาธรุ กิจใหน้ ายก็ได้”44 ในขณะที่มัวริส โกเดอฟรอย นักบูรพาคดีที่ศึกษาเก่ียวกับอารยธรรมอิสลามได้ให้ ความเห็นวา่ คําว่า “ครอบครัว” ในหม่ชู าวอาหรับนนั้ มีนิยามที่แตกต่างไปจากความเข้ าใจของ ประชากรโลกเพราะคําวา่ ครอบครัวจะเกิดความหมายท่ีสมบรู ณ์ขนึ ้ มาได้นนั้ ต้องรวมเอาทาสเข้าไว้ เป็นองค์ประกอบหนึง่ ของครอบครวั ด้วย ไมว่ า่ ทาสผ้นู นั้ จะเป็ นผิวขาวหรือดําก็ตาม อีกทงั้ แม้นว่า พระคมั ภีร์อลั กุรอานจะยอมรับการมีทาสไว้แตข่ ณะเดียวกันก็ได้สง่ั สอนให้บรรดานายทาสดแู ล ปฏบิ ตั ิตอ่ ทาสอยา่ งดีและสง่ เสริมการปลอ่ ยทาสให้เป็นอสิ ระทงั้ นีก้ ็เพื่อที่จะยกระดบั ทางสงั คมของ พวกเขาไว้45ข้อเทจ็ จริงทางสงั คมประการนไี ้ ด้ฉายภาพให้เราเข้าใจถงึ แกน่ แท้ของระบอบทาสในหมู่ ชาวมสุ ลมิ อาหรับวา่ มนั มิได้วางฐานอย่บู นความสมั พนั ธ์ของระบอบการผลิตและพลงั ทางการผลิต ระหวา่ งความเป็ นนายกบั ความเป็ นทาสอนั ตํ่าต้อย หากแต่ทาสเป็ นหน่ึงในความสมั พนั ธ์ที่แนบ แน่นเป็นเนือ้ เดยี วกบั ครอบครวั 43 Fazlur Rahman. Islam, University of Chicago Press, p.38 44 อลั เบิร์ต ฮรู านี. ประวัตศิ าสตร์ของชนชาติอาหรับ. หน้า 176-177. 45 Maurice Gaudefroy-Demombynes. Muslim Institutions. P.136
~ 55 ~ เม่ือปรากฏการณ์ทาสเป็นส่ิงที่มิอาจหลกี หา่ งได้ ขณะเดยี วกนั การนิ่งเฉยตอ่ ปัญหาดงั กล่าว ก็รังจะเป็ นการดดู ายต่อความอธรรม อิสลามในฐานะศาสนาที่มาปฏิรูปความช่ัวของคาบสมทุ ร อารเบียจึงได้วางระบบกฎหมายเพื่อให้ทาสได้สามารถลืมตาอ้าปากขนึ ้ มาได้บ้าง เราอาจพิจารณา วา่ รัฐบาลอิสลามแห่งนครมาดีนะฮฺนนั้ จําต้องมนี โยบายประนีประนอมกบั สภาพทางเศรษฐกิจและ โครงสร้างทางสงั คมเท่าที่เป็นไปได้ในขณะนนั้ การคงอย่ขู องความสมั พันธ์ทางการผลิตอย่างนาย ทาสกบั ทาส และโครงสร้างทางสงั คมขณะนนั้ ท่ีมีแตค่ วามเหล่ือมลํา้ ได้กดดนั (Input) ต่อรัฐบาล อสิ ลามให้ยอมรับการมีอย่ขู องสงั คมทาส รัฐบาลอิสลามจึงต้องยอมรับข้อเรียกร้องทางสงั คมใน เบือ้ งต้นด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในการค้มุ ครองตอ่ ฐานนั ดรทาสในสงั คมโดยการแปรนโยบาย ดงั กลา่ วออกไปเป็นข้อกฎหมายของรฐั ท่ีระบสุ งั่ ห้ามการนําเสรีชนใดๆมาเป็นทาสเพิ่มขนึ ้ อีกที การ ยอมรับทาสในข้อกฎหมายของอิสลามเป็ นเพียงการยอมประนีประนอมเบือ้ งต้นเพ่ือรักษา เป้ าหมายสงู สดุ ของรัฐอสิ ลามท่ีสําคญั กวา่ ในภายหลงั นน่ั คือการขยายตวั ของศาสนาอิสลามท่ีจะ พาเสรีภาพและความเท่าเทียมของมนษุ ย์ภายใต้ร่มธงของพระผ้เู ป็ นเจ้าอนั เป็ นมาตรการทําลาย การคงอย่ขู องสงั คมทาสไปโดยปริยาย การวิจารณ์อย่างโง่งมของ อาลี ดาชตีย์ (Ali Dashti) อดีต นกั วชิ าการชีอะฮฺที่ออกจากอสิ ลามไปสคู่ วามเป็ นกาเฟรซึ่งได้วิจารณ์อิสลามวา่ เป็ นศาสนาที่ไมม่ ี ความเป็ นสัจธรรมและสากลพอที่มนุษย์จะยอมรับได้โดยอ้างเหตผุ ลของความไม่เป็ นสากล ดงั กลา่ วจากกฎหมายทาสในอิสลามเป็นหน่งึ ในบรรดาข้ออ้างของเขา46 สิ่งท่ีต้องวิภาษตอ่ ไปก็คือ ความเป็นสากลท่ีเป็นปรมตั ถ์สตั ย์จริงที่วา่ น่นั คืออะไร ? หรือการเป็ นสากลจําต้องแสดงออกผ่าน การไมย่ อมรับการมีอย่ขู องทาสกระนนั้ หรือเป็นเง่ือนไขแล้วหรือ? ความเป็นสากลควรจะอยบู่ นการ หลีกหนีออกจากความป่ วยไข้ของสงั คมควบคไู่ ปกบั การไมแ่ ก้ไขใดๆกระนนั้ หรือ? ศาสนาที่เป็ นสจั ธรรมจะต้องวางอย่บู นพืน้ ฐานของอดุ มคติที่ “กินไมไ่ ด้” มากกวา่ การยอมรับความจริงในสงั คม(สจั นิยม)เพ่ือพฒั นาไปสอู่ ดุ มคติท่ีเป็นภาววสิ ยั กระนนั้ หรือ? จะเหน็ ได้วา่ การวิจารณ์อิสลามของอดีต นกั วิชาการรอฟิ เฎาะฮฺมรุ ตดั รายนีน้ อกจากจะไมเ่ ป็นตรรกะแล้วก็ยงั สะท้อนให้ภาพของความโง่งม ท่ีเป็นสอื่ ให้เขาออกจากศาสนาไปด้วย การดําเนินนโยบายของอิสลามเร่ืองทาสในแรกเร่ิมเลยนนั้ คือการมงุ่ กําจดั แหลง่ ต้นกําเนิด ของระบอบทาสเพ่ือมใิ ห้ทาสใหมๆ่ ได้เพิ่มขนึ ้ ในสงั คมอีก ซ่ึงดงั ที่ได้กลา่ วไปแล้ววา่ การเป็นทาสของ มนษุ ย์นนั้ มกั มาจากสาเหตหุ ลกั ๆดงั นี ้ 1) หนีส้ นิ โดยบคุ คลที่ล้มละลายมกั ขายตวั เองเป็นทาสเพื่อหลกี หนีการเป็นหนี ้ 2) การลงโทษอาชญากรรม 46 Ali Dashti. Twenty Three Years:A Study of the Prophet Career of Mohammad. P.181
~ 56 ~ 3)เชลยสงคราม ซง่ึ กรณีนีผ้ ้ชู นะสงครามมกั ทําการประหารผ้ชู ายและนําเดก็ กับสตรีมาทําทาส แต่ อาจจะมบี ้างท่ีผ้ชู ายจะถกู นํามาเป็นทาสเพื่อใช้แรงงาน 4) การลกั พาตวั เดก็ มาขายเป็นทาส 5) เดก็ ที่ถือกําเนิดขนึ ้ ในสภาพของทาสโดยมารดาของนางเป็นนางบําเรอของพวกนายทาส ในบรรดาแหลง่ กําเนิดทาสทงั้ 5 ประเภทนีอ้ ิสลามได้ทําลายแหล่งกําเนิดของมนั ไปทงั้ สิน้ 4 ประการ คงเหลือแต่เพียงทาสท่ีมาจากเชลยศึกเท่านนั้ โดยการวางหลกั ปรัชญากว้างๆไว้ว่า มนษุ ย์ท่ีเป็นไทนนั้ จะต้องไมถ่ กู นํามาเป็นทาสอกี ดงั วจนะของท่านรอซูล ศ็อลฯ อนั เป็ นหะดีษกุด ซีย์ที่วา่ َر ُج ٌل بَا َع ُحِّرا: ذتر مكهم، ُُ َأَم ْن ُتْك ُ َخ ْص َم ُ َخ َص ْما، ثَلَاثَةٌ أَعَا َخ ْص ُم ُه ْم نَـْمَم الِْقيَاَمِة َُفَأَ َت َل َثَك ‚มีบคุ คลสามจําพวกซ่ึงพระองค์อลั ลอฮฺจะเป็นศตั รูตอ่ เขาในวนั แหง่ การพิพากษา และผ้ใู ดกต็ ามท่ี พระองค์ทรงเป็นศตั รกู บั เขาพระองคจ์ ะได้รบั ชยั ชนะ(และเขาจะปราชยั ) นน่ั คือบคุ คลผ้ทู ี่ขายเสรี ชน(เป็นทาส)และรบั เอาราคา(คา่ ตวั )ไว้‛47 จากหะดษี บทนีม้ นั ได้บ่งชีอ้ ยา่ งชดั แจ้งแกเ่ ราวา่ อสิ ลามได้ริเร่ิมหาหนทางในการกําจัดต้น ตอของการเกิดระบอบทาสด้วยการคดั ค้านการนําคนมาเป็นทาสในทกุ กรณีเว้นแต่เพียงทาสเชลย ศึกเท่านัน้ ส่วนในกรณีท่ี 5 ซ่ึงทาสหญิงได้ตงั้ ครรภ์กับนายทาสของตนนนั้ อิสลามก็ได้วางหลกั กฎหมายท่ีวา่ เดก็ ท่ีเกิดมาและทาสหญิงผ้เู ป็นแมข่ องเดก็ จะต้องเป็นไทไปโดยปริยาย ทา่ นอบลุ อะอฺ ลา อลั เมาวด์ ดู ีย์ ได้แสดงความเหน็ ตอ่ หะดษี ต้นนีไ้ ว้วา่ ‚พจนารถของทา่ นรอซูล ศอ็ ลฯ บทนี้นนั้ มีความหมายครอบคลุม และไม่ได้ถูกแก้ไขหรือ นาเอาไปปรับใช้เพียงแคเ่ ฉพาะบางชนชาติ,เผ่าพนั ธ์,ุ ประเทศหรือกบั บางศาสนาเท่านน้ั ชาวยุโรป ได้รับคาสรรเสริญอนั ย่ิงใหญ่ในการแอบอ้างว่าพวกเขาทาการยกเลิกระบอบทาสจากโลกนี้ได้ แมว้ ่าพวกเขาจะพึ่งกระทามนั ไวใ้ นช่วงกลางของศตวรรษสุดท้ายนี้ก็ตาม(ศตวรรษที่ 20) แต่ทว่า ก่อนหน้านี้ อานาจชองพวกยุโรปเหล่านี้ได้ส่งผลให้พวกเขาทาการบุกรุกแอฟริ กากันอย่าง กว้างขวางมาก โดยการจบั คนอิสระของพวกเขามาเป็ นเชลยและทาการขนยา้ ยพวกเขาเข้าสู่ อาณานิคม การกระทาทีพ่ วกยโุ รปกระทาตอ่ คนเหล่านี้นนั้ เลวร้ายย่ิงกว่าการปฏิบตั ิที่มนุษย์มีต่อ สตั ว์เสียอีก ตาราต่างๆทีช่ าวยโุ รปไดเ้ ขียนถึงเรื่องนี้ตา่ งก็ยอมรบั ในขอ้ เท็จจริงสว่ นนี้‛48 47 ศอฮีฮอฺ ัล-บคุ อรีย์. กติ าบอัลบยุ อู ์. หมายเลขหะดษี : 2114 48 Abul A’la Mawdudi. Human Right in Islam. P.17.
~ 57 ~ และด้วยกบั ข้อเทจ็ จริงที่อิสลามได้หาทางแก้ไขปัญหาของการมีอย่ขู องสงั คมทาสนี ้ จึงทํา ให้การมาของอิสลามได้ส่งผลในวงกว้างตอ่ การลดลงของประชากรทาสในดินแดนมสุ ลิม ดงั ที่ ศาสตราจารย์ Annemarie Schimmel นกั วชิ าการด้านอารยธรรมอิสลามร่วมสมยั ได้ให้ความเห็น ว่าเน่ื องจากการท่ี ทาสภายใต้ กฎหมายอิสลามนัน้ สามารถยอมรับได้เพียงแค่ทาสเชลยและเด็กทาสที่ เกิดจากพอ่ แมท่ ่ีเป็ นทาสทงั้ ค่เู ท่านนั้ ด้วยมาตรการ เหล่านีก้ ารยกเลิกทาสด้วยทฤษฎีของอิสลามจึง ควบค่ไู ปกับการขยายตวั ของอิสลามด้วยเช่นกัน49 ขณะท่ีเบอร์นาด เลวิส ให้ ความเห็นว่าผลของ กฎหมายอสิ ลามในอลั กรุ อานท่ีได้จํากัดประเภทของ ทาสไว้ ได้ ทํ าให้ ทาสลดลงมากในดินแดนตะวันออก กลางจนทําให้ ชาวอาหรับซ่ึงต้องการทาสจําต้อง แสวงหาต ลาดทาสใ นดินแดน อื่นๆซ่ึงส่งผล ให้ การ นําเข้าทาสจากดินแดนของคนต่างศาสนามีจํานวน เพิ่มขนึ ้ 50 ทงั้ หมดนีค้ ือข้อเท็จจริงทอ่ี ย่เู บอื ้ งหลงั การยอมรับวา่ ทาสเป็นเรื่องท่ีถกู ต้องตามกฎหมายใน อิสลาม เพราะยอ่ มไมเ่ ป็นประโยชน์อนั ใดเลยท่ีหลกั กฎหมายอนั ประเสริฐของอิสลามจะต้องนิ่งเฉย ดดู ายสภาพความเลวร้ายที่ทาสได้รับการปฏิบัติอยู่ในสังคมโลกขณะนัน้ ทัง้ นีอ้ ิสลามอนั เป็ น ศาสนาท่ีมาเพื่อปฏิวตั คิ วามเลวทรามที่โลกมอี ย่ใู นขณะนนั้ ย่อมไมส่ ามารถที่จะแอบอ้างวา่ ตนเอง คือทางนําแห่งมนษุ ยชาติได้หากอิสลามทําการน่ิงเฉยต่อปัญหาทาสเช่นในบางศาสนาที่สอนให้ ตนเองหลดุ พ้นกนั ถ่ายเดยี วหรือไมก่ ็เออออ่ ห่อหมกไปกบั การปฏิบัติตอ่ ทาสในวิถีท่ีไร้มนุษยธรรม ดงั บญั ญตั ิของบางศาสนาที่ข้าฯได้ยกตวั บทมาแล้ว เราจะพบว่าในหลกั การอิสลามนนั้ การจะให้ ปลดปลอ่ ยทาสชนิดถอนรากถอนโคนดงั ที่โลกในยคุ ศตวรรษท่ี 20 กระทํานัน้ เป็ นส่ิงที่อิสลาม กระทําไมไ่ ด้ อนั เนื่องมาจากทาสเป็ นทรัพย์สมบัติของคนมากหน้าหลายตาในสงั คม การมงุ่ เลิก ทาสอย่างเฉียบพลนั ในแง่หนึ่งก็เสมือนหนึ่งการปล้นแหลง่ ทรัพยากรที่พวกพ่อค้าและเจ้าขนุ มลู นายยคุ นนั้ มีอยู่ นน่ั ยิ่งเป็นการร้ายแรงยิ่งกวา่ ท่ีอิสลามจะสร้างศตั รูขนึ ้ มาด้วยวิธีการไร้สติเช่นนนั้ ดงั นนั้ ในเบือ้ งแรกแล้วส่งิ ที่อสิ ลามกระทําการช่วยเหลือทาสได้มากที่สดุ ก็คือช่วยเหลือทาสท่ีเป็ น มสุ ลมิ ก่อน(แตม่ ิได้หมายความวา่ ทาสที่นบั ถือศาสนาอ่ืนอิสลามจะเมินเฉย เพราะโดยกฎหมาย 49 Annemarie Schimmel. 1992. Islam: An Introduction. P.67. 50 Lewis. Race and Slavery in the Middle East: an Historical Enquiry. P.10
~ 58 ~ อิสลามแล้วมสุ ลิมจะเป็นทาสไมไ่ ด้) การช่วยเหลือทาสท่ีเป็ นมสุ ลิมในเบือ้ งแรกก่อนนนั้ หมายถึง การชว่ ยเหลือบรรดาทาสที่หนั หน้าเข้ารบั อิสลามใหม่ๆ ที่จําต้องกระทําไปตามนีก้ ็เพราะวา่ ทาสท่ี มงุ่ เข้ารับอิสลามนนั้ จําต้องหานายคนใหมท่ ี่จะดแู ลตนไปตามครรลองของอิสลาม และปรากฏ ตวั อยา่ งวา่ กรณีที่ทาสคนใดหนั หน้าเข้ารบั อสิ ลามนนั้ บรรดาทาสเหลา่ นนั้ มกั จะได้รับการกดข่ีบีฑา จากนายเดิมของตนเพื่อให้ออกจากศาสนาอิสลามดงั กรณีของทา่ นบิลาล อคั รสาวกทาสคนสําคญั ของทา่ นศาสนทตู ศอ็ ลฯ เป็นต้น อกี ทงั้ หากทาสท่ีหนั เข้ารับอสิ ลามจํานวนมากไมไ่ ด้รบั การปกป้ อง ชว่ ยเหลือจากบรรดามสุ ลิมกนั เองก่อนแล้วไซร้ใครกันเลา่ ท่ีจะช่วยเหลือพวกเขาเพราะหน้าท่ีของ มสุ ลิมนนั้ คือการปกป้ องช่วยเหลือพ่ีน้องของเขาท่ีกําลงั ถกู อธรรม ซึ่งนนั่ คือต้นท่ีมาของบัญญัติ กฎหมายอิสลามที่วา่ หากทาสคนใดเข้ารบั อสิ ลามแล้วจงึ เป็นหน้าที่หนักแก่มสุ ลิมที่จะต้องหาทาง ปลดปลอ่ ยเขาให้เป็นไทในกรณีท่ีเขาไมใ่ ช่นายทาส ดงั ที่บรรดาซอฮาบะฮฺได้หาเงินมาไถ่ตวั ท่าน บิลาลจากนายของเขา และในกรณีที่มสุ ลิมเองเมือ่ ปรากฏว่ามีทาสของเขาเข้ารับอิสลามแล้วการ เป็นทาสของเขาจะเป็ นประตไู ปส่กู ารปล่อยทาสท่ีรับอิสลามเหล่านนั้ ส่คู วามเป็ นไท หลกั ฐานใน เรื่องนีเ้ ราได้จากการกระทําของท่านนบี ศอ็ ลฯ ซ่งึ ทา่ นได้ทดสอบความศรัทธาของทาสหญิงผ้หู นึ่ง วา่ أنن الله قال ُب السماء قال من أعا قال أع رسمل الله قال ألاقها فإنها مؤمكة ‚อลั ลอฮฺอยไู่ หน? นางตอบวา่ อยสู่ งู เหนือชนั้ ฟ้ า ท่านรอซูลได้ถามนางตอ่ ไปวา่ ฉนั คือใคร นางตอบ วา่ ท่านคอื ศาสนทตู ของอลั ลอฮฺ ดงั นนั้ ท่านรอซลู ศอ็ ลฯ ได้กลา่ วแกน่ ายทาสของนางวา่ จงปลอ่ ย นางเป็นไทเสยี เพราะนางคือผ้ศู รัทธา‛51 จึงสรุปได้ ณ ตรงนีว้ า่ หลกั ของกฎหมายอสิ ลามนนั้ มเี ป้ าประสงค์ที่จะเยียวยาทาสท่ีอย่ใู น สงั คมอารเบียในห้วงขณะนนั้ หาใช่ความประสงค์ที่จะเพ่ิมพูนหรือคํา้ จนุ การมีอย่ขู องระอบทาส ดงั ท่ีคนสตปิ ัญญาน้อยบางคนได้นกึ คิดฝันเอา ส่ิงที่ผ้คู ดั ค้านอิสลามควรจะกระทําในการวิพากษ์ อิสลามในเร่ืองทาสกค็ อื หากวา่ อิสลามมีเป้ าประสงค์ในการคํา้ จนุ ส่งเสริมระบอบทาสดงั ท่ีว่าจริง เหตอุ นั ใดกนั เลา่ ท่ีกฎหมายอิสลามจึงทําการกําจดั ต้นตอแห่งการเกิดทาสใหมๆ่ ในสงั คมด้วยการ สง่ั ห้ามการนําคนเสรีชนทกุ ประเภทมาเป็ นทาส ขณะเดียวกนั ก็ได้สงั่ ใช้อย่างหนักแน่นถึงการ ปลดปลอ่ ยทาสไปในตวั ด้วยเชน่ กนั ? กลวธิ ีกําจดั การเพ่ิมลดทอนการมีอย่ขู องทาสในสงั คมเช่นนี ้ กระนนั้ หรือที่พวกเขาพิจารณาวา่ มนั คอื การสง่ เสริมการมที าส!!?? 51 สนุ ันอบูดาวุด. หมายเลขหะดีษ : 3282. อย่างไรก็ตามในกรณีท่ีทาสเข้ารับอิสลามนนั ้ แม้นแบบอย่างของ ทา่ นนบี ศอ็ ลฯ จะแสดงออกถงึ การปลอ่ ยทาสในทนั ทแี ตก่ ็ยงั ไม่ใช่เง่ือนไขถงึ ขนั ้ “วาญิบ” เพราะทาสยงั สามารถ เป็ นทาสในขณะท่ีเป็ นมสุ ลิมอย่ไู ด้ นายทาสอาจพิจารณาให้ปลดปล่อยทาสในช่วงเวลาท่ีเหมาะสมและนนั่ คือ สาเหตทุ ว่ี า่ ทาสทด่ี ํารงอยใู่ นสถานภาพของมสุ ลมิ นนั ้ จะมขี ้อกฎหมายบงั คบั ใช้อีกแบบ
~ 59 ~ ท่านเชคอบั ดรุ เราะฮฺมานไอ ดอู ยี ์ (Abdurrahman I Doi) นกั วชิ าการด้านกฎหมายอสิ ลาม จากมหาวิทยาลยั Ahmadu Bello University แห่งประเทศไนจีเรียได้กลา่ วสรุปเรื่องของทาสไว้วา่ ‚นกั กฎหมายมสุ ลิมทงั้ ปวงไดเ้ หน็ พอ้ งกนั วา่ ความเป็นทาสนน้ั คือส่ิงทีถ่ กู กีดกนั ในการสืบทอดเป็น มรดก พวกเขาจะไม่รับมรดก(ของการเป็นทาสตอ่ กนั )และจะไม่ถกู ทาใหร้ บั มรดกดว้ ย หากว่าทาส ใดตายไปเขาจะตอ้ งไม่ถูกสืบทอดมรดก(การเป็นทาส)เพราะความสมั พนั ธ์ของเขา เพราะว่าใน ฐานะทาสแลว้ เขาไม่ไดค้ รอบครองส่ิงใดๆและส่ิงใดทีท่ าสครอบครองตา่ งก็ลว้ นเป็นของนายทาส ทงั้ สิ้นและตวั ของทาสเองนน้ั ไดถ้ ูกดแู ลเสมือนหน่ึงทรพั ย์สินของนาย อิสลามไดส้ ร้างผลบญุ อนั ย่ิงใหญ่แก่ผทู้ ีป่ ลดปลอ่ ยทาสใหเ้ ป็นไทในฐานะที่มนั เป็นการกระทาอนั มีคณุ ธรรมและยงั ทาใหก้ าร ปล่อยทาสเป็นการทดแทนความผิดที่ตวั เองกระทาไป(กฟั ฟาเราะฮฺ) เพราะฉะนน้ั ในโลกปัจจบุ นั นน้ั ทาสไมม่ ีอยู่แลว้ ปัญหาของทาสจึงไม่ปรากฏอยอู่ ีก‛52 ทาสกับปั ญหาเร่ ืองคาศัพท์ ปัญหาประการหนงึ่ ท่ีข้าฯมองวา่ เป็นต้นเหตแุ หง่ รากเหง้าของการโจมตอี สิ ลามในเร่ืองทาส นีก้ ็มาจากปัญหาเร่ืองของคาํ ศพั ท์ที่เราเรียกขานวา่ “ทาส” นั่นเอง โดยพืน้ ฐานแล้วคําว่าทาสเป็ น คําท่ีติดลบไม่มีด้านบวกใดๆปรากฎอย่ใู นความหมายทางภาษาของมนั เลย เช่นคําวา่ ทาสทาง ความคดิ ,ทาสรกั ,ทาสทางเศรษฐกิจ เหลา่ นีล้ ้วนเป็นผลสะท้อนถึงความหมายเชิงลบตอ่ เรื่องทาสที่ ความเข้าใจของมนษุ ย์โดยท่วั ไปรับรู้กนั เพราะคํานิยามโดยท่ัวไปของคําวา่ ทาส หรือความเป็ น ทาส นนั้ หมายถงึ ระบอบที่บคุ คลผ้หู นง่ึ ถกู ปฏบิ ตั ภิ ายใต้ฐานะของการเป็นเพียงแคท่ รัพย์สนิ และถกู บงั คบั เพื่อการทํางาน นอกจากนีย้ ังเป็ นเรื่องที่ถกู ต้องตามกฎหมายอีกด้วยท่ีจะทําการฆ่าทาส53 เมื่อพิจารณาจากคํานิยามของคําว่าทาสดงั กล่าวนีเ้ ราจะพบว่ามันขดั แย้งกับหลกั นิติศาสตร์ อสิ ลามและไม่มีมนษุ ย์ธรรมอนั ใดยอมรับระบอบดงั กลา่ วได้ ผลของวาทกรรมและโลกทัศน์ท่ีได้ สอดแทรกอย่ใู นคําศพั ท์ทางภาษานีจ้ ึงได้ก่อจินตภาพแห่งความโหดร้ายตอ่ ระบอบทาส การพดู หรือการกระทําอนั ใดท่ีเป็ นการยอมรับถึงการมีอย่ขู องทาสก็จะถูกความเกลียดชังเข้าทําการ วิพากษ์อนั เป็นผลมาจากจินตภาพแห่งความหวาดกลวั ท่ีมนษุ ย์มีตอ่ ระบอบนี ้การพดู อยา่ งหยาบๆ วา่ กฎหมายอิสลามยอมรับการมีทาสโดยมิได้ลําดบั การอธิบายท่ีชัดเจนจึงรังแต่จะสร้ างความ วนุ่ วายแก่ผ้ฟู ังอยา่ งที่สดุ ทงั้ ที่ในแงข่ องกฎหมายอิสลามแล้วการเป็นทาสท่ีอิสลามยอมรับนนั้ มิได้ มีอตั ลกั ษณ์ร่วมหรือคาํ นิยามใดๆที่สอดรบั กบั คํานิยามและความเข้าใจท่ีมนษุ ย์มีตอ่ ทาสเลย ทาส ในระบอบอสิ ลามเป็นเพียงคนกลมุ่ หน่งึ ในสงั คมที่ผกู มดั อยกู่ บั ข้อกฎหมายอนั แตกต่างจากเสรีชน 52 Abdur Rahman I. Doi. Shariah : The Islamic Law. P.291. 53 Welcome to Encyclopidia Britannica's Guide to Black History. http://www.britannica.com/blackhistory/article-24164.
~ 60 ~ แต่ไม่ถือว่าด้อยกว่าเสียทัง้ หมด หากจะถือเอาเรื่องของการทํางานมาระบุว่าคนประเภทนีใ้ น กฎหมายอิสลามคือทาสก็ถือว่าเป็ นส่ิงท่ีไม่สมบูรณ์ในการให้ประเภทเพราะทาสในกฎหมาย อสิ ลามนนั้ ถกู สงั่ ห้ามการทํางานจนเกินความสามารถและมขี อบเขตของการทํางานชดั เจน มิได้อยู่ ในฐานะของผ้ทู ํางานเช่นทาสผิวดําอเมริกาแต่อย่างใด และการทํางานก็มิได้โหดร้ ายไปกว่า แรงงานในยคุ ปัจจบุ นั ด้วยซํา้ ไป บางทีอาจจะดีกวา่ ด้วยซํา้ ตรงที่กฎหมายอิสลามได้สง่ั ใช้ให้นาย ทาสทํางานร่วมกบั ทาสของตนเอง ทงั้ กฎหมายอิสลามยงั สงั่ ห้ามการทารุณกรรมทางกายและ จิตใจตอ่ ทาสอีกด้วย มจิ ําต้องพดู ถงึ เร่ืองของการฆ่าทาสท่ีในกฎหมายอ่นื ๆยงั ให้สทิ ธิสว่ นนีไ้ ว้แตใ่ น อิสลามนนั้ ถือวา่ ชีวิตมนุษย์มีอาจจะถูกละเมิดเพราะสถานะภาพที่มีสงู ตํ่าจากบรรไดทางสงั คม ดงั นนั้ ในมมุ มองของข้าพเจ้าจงึ เห็นวา่ เหลา่ นกั วชิ าการมสุ ลิมควรจะสรรหาคําศพั ท์ใหม่ๆมาแทนท่ี คําท่ีมคี วามหมายเชิงลบและไมต่ รงตอ่ ข้อเท็จจริงของกฎหมายอิสลามเช่นคําว่าทาสเสียเพื่อการ นิยามหรือยอมรับคนกล่มุ นีใ้ นสงั คมอิสลามจะไมเ่ ป็ นการสร้างภาพตวั แทนอนั สะอิดสะเอียนแก่ ภาพลกั ษณ์ของอิสลาม เพราะหากเราพิจารณาข้อเท็จจริงที่วา่ อลั กุรอานเองมิได้เรียกคนกลมุ่ นี ้ ด้วยช่ือของทาสหากแต่เรียกพวกเขาในฐานะ “ส่ิงท่ีอยู่ในครอบครองของมือขวา” (วะมามะ ละกตั อัยมานกุ ุม) ซึ่งตามสํานวนภาษาอาหรับแล้วคําว่ามือขวาเป็ นเรื่องของการให้เกียรติและ เมตตาธรรม ทงั้ หะดษี ของทา่ นนบี ศอ็ ลฯ กไ็ ด้ระบหุ ้ามเรียกพวกเขาด้วยช่ือคาํ วา่ “ทาส” หากแตใ่ ห้ เราเรียกพวกเขาวา่ “พ่ีน้อง” เม่อื พิจารณาจากจดุ นีข้ ้าพเจ้าจึงมองวา่ การจะตดั ทอนอิทธิพลโสโครก ทางวิชาการของพวกตะวนั ตกในเรื่องทาสได้ดีท่ีสดุ ก็คือการที่เหล่านักวิชาการมสุ ลิมยตุ ิการเรียก กลมุ่ คนประเภทนีใ้ นกฎหมายอิสลามด้วยคําว่าทาสเสีย แม้วา่ โดยข้อเท็จจริงแล้วพวกเขาจะมี ลกั ษณะร่วมบางอย่างกับคํานิยามของคําว่าทาสในความหมายท่ัวไป แตก่ ็เป็ นลกั ษณะท่ีมิได้ สะท้อนสถานภาพทางกฎหมายอิสลามท่ีแท้จริงของพวกเขาได้เลย ทงั้ รงั แตจ่ ะเป็ นการสร้างความ เสยี หายแก่กฎหมายอสิ ลามด้วยซํา้ ไป อปุ มาได้กบั คําวา่ ศาสดาซึง่ แม้จะมคี นถอดความหมายของ คํานีม้ าจากคําวา่ รอซลู หรือ นบี ก็ตามทีโดยอาศยั ลกั ษณะร่วมของการเป็ นผ้ปู ระกาศศาสนามา เป็นพืน้ ฐานของคําแปลก็ตามแตท่ วา่ สําหรับผ้มู ีความเข้าใจอนั ถูกต้องก็จะรู้ว่าคําวา่ ศาสดามิได้ เป็นคําแปลท่ีถกู ต้องของคาํ วา่ รอซลู เลย ฉนั ท์ใดกฉ็ ันท์นนั้ บคุ คลในมอื ขวา ท่ีอลั -กรุ อานได้บญั ญัติ เรียกไว้กไ็ มใ่ ชท่ าสในเจตนารมณ์เดิมของกฎหมายแห่งพระผ้อู ภิบาลเลย หากแตเ่ ป็ นกล่มุ ชนทาง สงั คมอีกกลมุ่ ชนหนงึ่ ที่อิสลามได้สร้างขนึ ้ มาโดยมีลกั ษณะทางกฎหมายที่พิเศษแตกตา่ งไปจากเสรี ชนทวั่ ๆไป แตก่ ระนนั้ กต็ ามพวกเขากย็ งั มสี ิทธิมเี สยี งทางกฎหมายในอิสลาม มีสิทธิเหนือเจ้านาย ของเขาในบางประการ มสี ทิ ธิที่จะได้รับการเรียนหนงั สือ มสี ิทธิในอาหารประเภทเดยี วกบั เสรีชน มี สทิ ธิในการเป็นผ้นู ําเหนือเสรีชนอื่นๆ มีสิทธิในเครื่องแตง่ กายเช่นเดียวกับเสรีชน ทงั้ ในบางเรื่อง กฎหมายอสิ ลามยงั ให้สิทธิพวกเขาเหนือกวา่ เสรีชนด้วยซํา้ เชน่ หากเสรีชนผิดประเวณีพวกเขาจะ ถกู โบย 100 ครัง้ แต่หากทาสกระทําผิดประเวณี กฎหมายจะลดหย่อนการลงโทษแก่เขาแคค่ ร่ึง
~ 61 ~ เดยี วของเสรีชน นน่ั คือ 50 ครงั้ เพราฉะนนั้ การท่ีเราพิจารณาสทิ ธทิ างข้อกฎหมายของพวกเขาจาก ข้อเท็จจริงทงั้ หมดแตฝ่ ื นดนั ทรุ ังเรียกพวกเขาในสภาพอนั ตาํ่ ต้อยวา่ ทาสจึงเป็ นเร่ืองท่ีไม่กาลเทศะ เพราะคนกลมุ่ นีไ้ ม่อยู่ในนิยามของคําวา่ ทาสในความเข้าใจของคนทวั่ ไปแล้ว นี่คือเหตผุ ลท่ีว่า ทําไมอลั กรุ อานจึงเรียกพวกเขาด้วยชื่ออ่ืนและเหตใุ ดท่านนบี ศอ็ ลฯ จงึ สง่ั ห้ามการเรียกพวกเขาว่า “ทาส” !!! การยอมรับพวกเขาด้วยช่ือของทาสจึงเป็ นการกระทําที่ไมบ่ ังควรและไม่ถูกต้องสิน้ ดี เพราะฉะนนั้ การพดู หยาบๆและขวานผา่ ซากของนกั วชิ าการบางคนที่ว่าอิสลามยอมรับการมีทาส จึงเป็นทารกระทําท่ีหนุ หนั หยาบกร้านและไมพ่ ิจารณาความรู้สกึ ของผ้ฟู ังเอาเสียเลย เราสมควรที่ จะกลา่ ววา่ อสิ ลามยอมรบั การมีอย่ขู องคนกล่มุ หน่ึงในสงั คมท่ีเรียกกนั ว่า “บุคคลภายใต้มือขวา” และกฎหมายอิสลามไมย่ อมรับและเกี่ยวข้องใดๆกบั ระบอบทาสอนั ชว่ั ร้ายที่มีอยใู่ นสงั คมมนษุ ย์ยคุ อดีต หากแตอ่ ิสลามมีกลมุ่ คนทางสงั คมจําพวกหนึ่งในรูปแบบของตนเอง ดงั นนั้ เมื่อมสุ ลิมหันมา เรียกคนกลมุ่ นีด้ ้วยช่ือนามอ่นื เมอื่ นนั้ แหละที่วาทกรรมเร่ืองทาสของโลกตะวนั ตกจะกลายเป็ นสิ่งท่ี ไร้พลงั ในการโจมตีอิสลามและความว่นุ วายจากการพูดหยาบๆว่าอิสลามยอมรับการมีทาสก็จะ หมดสนิ ้ ไป เช่นเดยี วกบั เร่ืองการมีภรรยา 4 คน แทนที่จะใช้คําพูดฆ่าตวั เองว่าอิสลามให้มีเมีย 4 คนได้! เราก็ควรจะเปลยี่ นสํานวนคําพดู วา่ อสิ ลามจํากดั การมีภรรยาแค่ 4 คนในขณะท่ีศาสนาอน่ื ๆ ไมม่ รี ะบตุ วั เลขจํากดั แทนที่เราจะตงั้ หวั ข้อการเสวนาวา่ ทําไมอสิ ลามจงึ มเี มยี ได้ 4 คนเราก็ควรจะ เปลี่ยนภาษาวา่ ทําไมอิสลามจํากดั จํานวนภรรยา? จากเรื่องของภรรยา 4 ที่แต่เดิมอย่กู ับประเด็น ของการให้ “ม”ี กจ็ ะพฒั นามาเป็นประเดน็ ของการ “จํากดั ” ความรู้สกึ ท่ีเป็นบวกจึงติดตามมาโดย ปริยาย น่ีคือความจริงที่เราต้องยอมรับว่าภาษาในบางครัง้ จะพัฒนามาเป็ นวาทกรรมท่ีสร้ าง ความคิดของมนุษย์ในคําศพั ท์นัน้ ๆ หรือสร้ างอํานาจในการโน้มน้าวให้มนุษย์รู้สึกเป็ นลบต่อ คําศพั ท์และกลมุ่ ชนท่ีเกี่ยวข้องเสมอไป ทาส : กับปัญหาเร่ืองนางบาเรอ (Concubine) ในบรรดาทาสที่ดํารงตนอย่ใู นโลกขณะนนั้ นอกเหนือจากการมีอย่ขู องทาสแรงงานแล้ว สตรีท่ีอย่ใู นสภาพของทาสกเ็ ป็นอกี ฐานนั ดรหนง่ึ ทางสงั คมท่ีมกั ถกู พวกผ้รู ากมากดีทําการกดขท่ี าง เพศต่อพวกนาง พดู ให้เข้าใจง่ายๆแล้วก็คือในสงั คมยคุ อดีตนนั้ ทาสหญิงมกั จะถูกนํามาใช้เป็ น นางบําเรอเพื่อตอบสนองกามคณุ ของชนชนั้ สงู ในสงั คมเช่นพวก “กษัตริย์” และขนุ นางอย่เู สมอ ความสมั พนั ธ์ทางเพศที่บรุ ุษมตี อ่ ทาสหญิงถือวา่ เป็นธรรมเนียมซงึ่ นิยมกระทํากนั แทบในทุกสงั คม ของมนษุ ย์ในยคุ อดีต ไมว่ า่ จะเป็ นโรมนั ,กรีก,ไทยและโลกมสุ ลิมเองก็ตาม รูปแบบความสมั พันธ์ ทางเพศท่ีนายทาสของนางกระทําต่อทาสหญิงของพวกนางนนั้ มกั ปรากฎรูปแบบแตกต่างกันไป ตามแตล่ ะพืน้ ที่และวฒั นธรรม ในบางท่ีเช่น วฒั นธรรมไทยนัน้ ทาสหญิงเป็ นเพียงเครื่องบําเรอ ความสุขทางกามของนายทาสซ่ึงวางอยู่บนพืน้ ฐานของการกดข่ีทางเพศเพราะฝ่ ายชายมกั ไม่
~ 62 ~ รับผิดชอบต่อผลของการกระทําและการมีสมั พนั ธ์ทางเพศกับพวกนางก็เป็ นเพียงเร่ืองของการ ระบายความใคร่โดยแท้เพราะมนั มิได้ยกสถานภาพของสตรีให้สงู ขึน้ มาเลยแตอ่ ย่างใด ขณะที่ กฎหมายในเร่ืองของทาสหญิงท่ีถกู ระบอุ ย่ใู นพระคมั ภีร์ไบเบิลภาคพันธสญั ญาเดิมแม้จะเป็ น กฎหมายท่ีเริ่มจดั วางระเบียบความสมั พนั ธ์ทางเพศกบั ทาสหญิงแล้วกต็ าม แตก่ ย็ งั อย่ใู นลกั ษณะที่ หยาบกร้านและดิบสากเกินกวา่ ท่ีอิสลามจะยอมรับได้ กลา่ วได้วา่ หากไมพ่ ิจารณากฎหมายของ ฮมั มรู อบีย์ที่มีความลาํ ้ หน้าในเรื่องของทาสหญิงที่ตงั้ ครรภ์บ้างแล้ว สภาพของทาสหญิงที่ต้องถูก บงั คบั ให้ปรนเปรอทางเพศตอ่ นายทาสของตนนนั้ เป็ นไปอย่างไร้มนุษยธรรมและผิดแผกแตกตา่ ง กันไปตามอตั ตาค่านิยมของกลุ่มนายทาสแต่ละพืน้ ผิวโลก ครัน้ เม่ืออิสลามปรากฏขึน้ มาบน คาบสมทุ รอารเบียในราวศตวรรษท่ี 7 ข้อกฎหมายของอิสลามก็เช่นเดยี วกนั กับกฎหมายเรื่องทาส ดงั ท่ีได้กลา่ วไปวา่ เมือ่ อิสลามไมส่ ามารถเลกิ ทาสได้อย่างเฉียบพลนั ได้ อิสลามจึงเลือกที่จะบญั ญตั ิ กฎหมายตา่ งๆขนึ ้ มาเพ่ือค้มุ ครองและจดั ระเบียบธรรมเนียมทาสขนึ ้ ในดนิ แดนอารเบีย การทํางาน ประดจุ สตั ว์ของทาสกไ็ ด้รับการประกนั สทิ ธิขนึ ้ และเชน่ เดียวกนั ความสมั พนั ธ์ทางเพศที่นายทาสมี ตอ่ ทาสหญิงของตนในสภาพอนั เลวร้ายก็ได้รับการยกสภาพขนึ ้ โดยกฎหมายอิสลาม พูดอีกทาง แล้วก็คือกฎหมายอิสลามยอมรับความสมั พนั ธ์ทางเพศที่นายทาสมีตอ่ ทาสหญิงของนางโดยมิ จําเป็นต้องผา่ นพิธีการแตง่ งานแตอ่ ย่างใด อยา่ งไรก็ตามมโนธรรมอนั ละเอียดออ่ นของข้อกฎหมายอสิ ลามประการนีด้ เู หมอื นจะสงู สง่ เกินไปกวา่ ท่ีมโนธรรมอนั หยาบกร้านของพวกนกั วชิ าการตะวนั ตกผ้พู ึงชังอิสลามจะเข้าใจได้ เม่ือ พวกเขาพบเจออย่างเหลือกลานต่อข้อกฎหมายอิสลามประการนี ้ พวกเขาก็ได้เติมเต็มไฟแห่ง ความชิงชังท่ีสมุ อย่ใู นใจพวกเขาเข้าไปในงานวิชาการท่ีพวกเขาเขียนขึน้ เพ่ือวิพากษ์อิสลามใน ประเดน็ นี ้ ดังที่พวกเขาได้สร้ างวาทกรรมเรื่อง “ทาสสวาท” ( The Sex Slaves) ขึน้ เพื่อป้ าย ภาพพจน์อนั นา่ อบั อายตอ่ ท่านศาสนทตู ของเรามฮุ มั มดั ศอ็ ลฯ โดยโจมตวี า่ ท่านรอซลู ของเรากเ็ ป็น หน่ึงในผ้เู สพสุขทางเพศกับทาสหญิง นอกจากนีพ้ วกเขายงั ได้สร้างวาทกรรมว่าด้วยเร่ืองของ “ฮาเร็ม” (Harem) ขนึ ้ มาเพ่ือที่จะสร้างภาพตวั แทนแกอ่ ารยธรรมอิสลามวา่ ปักรากอย่บู นฐานของ การเสพสขุ ทางเพศจนเกินพอดีกบั เหลา่ ทาสหญิงสวยงามทงั้ หลายมาทกุ ยุคทกุ สมยั โดยหยิบยก กรณีตวั อยา่ งของอาณาจกั รออตโตมนั ขนึ ้ มาเป็นภาพตวั แทนแหง่ ความหมกมนุ่ ในกามคณุ ของโลก มสุ ลมิ พวกเขาได้หยิบยกห้องหบั รโหฐานของนางบําเรอทงั้ หลายท่ีมีอย่ใู นราชวงั อนั อนั วิจิตรของ อาณาจกั รออตโตมนั เช่น พระราชวงั ทอ็ ปคาปึและโดลมาบาเช่ ขนึ ้ มาฉายภาพ นอกจากนีพ้ วกเขา ยงั จินตนาการด้วยการวาดภาพตลาดการค้าทาสหญิงเพ่ือการเสพสขุ ทางเพศท่ีมีอย่ใู นโลกอาหรับ ขนึ ้ มาอยา่ งน่าเกลยี ดและชิงชงั ประหน่งึ ราวกบั วา่ ทาสหญิงที่ถกู ขายอยใู่ นโลกมสุ ลิมนนั้ ถกู กระทํา ชนิดที่มใิ ช่มนษุ ย์หากแตเ่ ป็นเครื่องมือสนองความใคร่แกพ่ วกขนุ นางเงินหนาทงั้ ปวง ดงั ภาพวาดท่ี ช่ือวา่ The Slave Market ซ่ึงถกู วาดโดย Jean-Léon Gérôme จนภาพดงั กลา่ วกลบั กลายเป็ นภาพ
~ 63 ~ ท่ีได้รบั ความนิยมในการอธิบายถึงสภาพทาสของโลกมสุ ลิมในวชิ าประวตั ศิ าสตร์และอารยธรรมใน ยคุ ปัจจบุ นั ทงั้ ที่ในความเป็นจริงแล้วทาสหญิงที่ได้ถกู ขายอย่ใู นตลาดของพวกอาหรับนนั้ ใช่วา่ จะ ถกู ลา่ มโซ่เปลือ้ งผ้าล่อนจ้อนเพ่ือให้ผ้ซู ือ้ ได้แลชมสดั สว่ นของร่างกายจนพอใจก็หาไม่!!! ชาว อาหรับนนั้ มีวฒั นธรรมในเร่ืองการปกปิ ดร่างกายในที่สาธารณะมาตลอดหาได้ น่งุ ลมห่มอากาศ ดงั ที่พวกสตรีสมองบางในยคุ เสรีนิยมนีไ้ ด้กระทําไปแตอ่ ยา่ งใดเลย และหากวา่ จะมีการค้าทาสใน รูปแบบที่วิตรถารเช่นนัน้ อยู่จริงในประวัติศาสต์อาหรับนั่นก็เป็ นเพียงการกระทําส่วนหน่ึงที่ กฎหมายอิสลามไมย่ อมรบั และใช่วา่ การดหู มิ่นสตรีเช่นนีจ้ ะไมเ่ คยเกิดขนึ ้ ในอาณาบริเวณอ่ืนใด ของโลกใบนีเ้ ลยก็หาไมก่ ลบั กันเร่ืองของนางบําเรอท่ีมาจากทาสหญิงนีเ้ ป็ นส่ิงที่มีอย่ใู นทุกพืน้ ท่ี ของทกุ ศาสนาในโลกนี ้ ในวฒั นธรรมของพวกป่ าเถื่อนคริสต์เตียนตะวนั ตก กล่าวได้วา่ ในช่วงศตวรรษท่ี 19-ต้น ศตวรรษท่ี 20 ระบอบนางบําเรอที่ถกู สร้างขนึ ้ จากระบอบทาสนนั้ ได้เฟ่ื องฟูเติบโตขนึ ้ อย่างมาก ความตกตํ่าของยุโรปท่ีได้ปฏิบตั ิตอ่ ทาสหญิงนนั้ เลวร้ายย่ิงกวา่ พวกออตโตมนั เสียอีก ในขณะที่ ทาสหญิงในออตโตมนั นนั้ สามารถท่ีจะมีเพศสมั พนั ธ์ได้แคเ่ พียงกับนายทาสของตนหรือหากเป็ น กษัตริย์ก็สามารถเป็นนางบําเรอเพียงแคข่ องกษัตริย์เท่านนั้ แตท่ าสหญิงผิวขาวในยโุ รปนนั้ ได้ถูก บีบบงั คบั ให้เป็นทาสโสเภณี ดงั เช่นกรณีในองั กฤษ ทาสหญิงท่ีเป็ นโสเภณีมกั มาจากช่วงวยั อายุ 13 ปี และมีราคาคา่ ตวั ท่ีแสนถูกเพียงแค่ 5 ปอนด์เท่านนั้ ธุรกิจทาส-โสเภณีนีไ้ ด้เฟ่ื องฟูขึน้ มาก ในช่วงปี 1880 เชน่ เดยี วกบั ในประเทศอเจนตินาร์ธรุ กิจทาสโสเภณีได้เฟื่ องฟูขนึ ้ ในปี 1860-1939 ขณะเดยี วกนั กบั ที่สหรฐั อเมริกาหญิงโสเภณีผิวขาวได้เกิดความนิยมขนึ ้ มากในสหรัฐอเมริกาช่วงปี 1910 พวกเธอเหลา่ นนั้ ตา่ งถกู นําตวั มาจากยโุ รปและได้ถกู บงั คบั ให้ขายตวั ในซ่องโสเภณีของรัฐชิ คาโก้ไมต่ า่ งอะไรกบั ทาสหญิงในยุคอดีตเลย54ธุรกิจทาสของยุโรปยังได้เช่ือมตอ่ เก่ียวโยงกบั ชาติ เอเชียด้วยเช่นกนั ประวตั ิศาสตร์ได้บนั ทึกถึงการสมคบคดิ กนั ในธรุ กิจค้าทางเพศสตรีชิน้ นีร้ ะหว่าง จกั รวรรดิโปรตเุ กสและญี่ป่ นุ ในช่วงศตวรรษท่ี 16-17 พวกข้าหลวงโปรตเุ กสได้ติดต่อขอซือ้ ทาส สาวและบางครงั้ ก็ได้จบั เชลยหญิงในญี่ป่ นุ มา ทาสเหล่านีไ้ ด้ถกู ใช้เป็ นเครื่องมือระบายความใคร่ แก่พวกโรปตเุ กสบนเรือเดินทางของพวกเขา และสตรีเหล่านีย้ ังได้ถูกนําไปขายตอ่ ในเกาะมาเก๊า ตลอดจนอาณานิคมอน่ื ๆของโปรตเุ กสเชน่ ในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้และอนิ เดยี ดงั ปรากฎการค้า ทาสหญิงชาวญี่ป่ นุ ในเมืองโกอา (Goa) ของประเทศอินเดียจนที่น่ันขนึ ้ ชื่อวา่ เป็ นแหล่งขายทาส สวาทชาวญี่ป่ นุ ของอาณานิคมโปรตเุ กสชว่ งศตวรรษท่ี 16-17 เลยกว็ า่ ได้ 54Cecil Adeams. The Straight Dope: Was there really such a thing as \"white slavery?. http://www.straightdope.com/columns/read/1302/was-there-really-such-a-thing-as-white-slavery
~ 64 ~ พืน้ ท่ีของการค้าทาสดงั ท่ีได้ยกตวั อยา่ งไปนนั้ ล้วนแล้วแตม่ าจากพืน้ ท่ีของชนทกุ ศาสนาท่ี ได้มีส่วนร่วมในอาชญากรรมนีท้ งั้ สิน้ แต่เหตใุ ดกันเล่าเมื่อคําว่าฮาเร็มได้รับการเอ่ยขนึ ้ มาห้วง ความคิดเราจะมงุ่ ความเข้าใจไปที่พวกแขกอาหรบั สวมชดุ ยาวนบั ถือศาสนาอิสลามเท่านนั้ !! และ ท่ีน่าเอือมละอายใจเป็ นอย่างยิ่งก็คือการที่พวกนกั วิชาการในยุคปัจจบุ ันซ่ึงเสแสร้งทําเป็ นโจมตี เรื่องของทาสนางบําเรอซ่ึงมีอย่ใู นโลกมสุ ลิมเมื่อนานมาแล้วกลับน่งั เงียบทนดกู ารมีอย่ขู องทาส สวาทในรูปแบบใหม่ นน่ั ก็คือการขายตวั อย่างถกู กฎหมายในนามประชาธิปไตยไปได้ 55 มีองค์กร สิทธิมนษุ ยชนและนกั เคลอ่ื นไหวเพ่ือสตรีรายใดบ้างท่ีได้โจมตสี มั พันธ์ทางเพศอนั เลวร้ายนีซ้ ่ึงวาง อย่บู นฐานของการเสพสขุ ทางเพศอยา่ งสดุ เหว่ียงทงั้ ยงั ต่างจากทาสหญิงในยคุ อดีตตรงท่ีว่าพวก โสเภณีได้รบั เงินในการขายบริการทางเพศของตวั เองแก่ผ้อู ่ืนในขณะท่ีทาสหญิงในอดีตได้รับการ เลีย้ งดูจากนายของตนแทน!!! ความแตกต่างเหล่านีอ้ ยู่ตรงไหน!!และเหตุใดกฎหมาย ประชาธิปไตยจึงยอมรบั การมอี ย่ขู องโสเภณีอยา่ งน่าไมอ่ ายแต่กระแดะแสร้ งทําเป็ นต่อต้านการมี อยขู่ องทาสสวาทได้!! ข้าพเจ้าคงไมจ่ ําเป็นต้องค้นคว้าเพ่ือแสดงสถิติให้ท่านผ้อู ่านทราบวา่ ก่ีมาก น้อยของสตรีแล้วที่ถูกดึงดดู เข้าส่ธู ุรกิจทางเพศในประเทศตา่ งๆทั่วโลกภายใต้การยอมรับของ กฎหมายโสโครกในนามประชาธิปไตย!!!? ในขณะที่กฎหมายอสิ ลามยอมรับการมสี มั พนั ธ์ทางเพศ กบั ทาสหญิงอย่างมีระบบ ตลอดจนการไมจ่ ํากดั อายุการแตง่ งานของเด็ก พวกนกั สตรีนิยมและ สิทธิมนษุ ชนปัญญาออ่ นกท็ ําการโจมตีอสิ ลามอย่างมดื บอดและอวิชชาแตพ่ วกเขากลบั นง่ั ทนยิม้ ดู การออกกฎหมายโสเภณีอย่างโจ๋งคร่ึมในบ้านเมืองของพวกเขาได้ ในขณะท่ีกฎหมายอิสลาม ยอมรับการมอี ยขู่ องระบอบสามีเดยี วแต่ 4 ภรรยากระนนั้ ก็ตามพวกเขาก็แสร้งทําเป็ นเห็นใจสตรี มสุ ลิมโดยการรณรงคบ์ อยคอตกฎหมายอสิลามข้อนี ้ทงั้ ท่ีบ้านเมอื งแหง่ ประชาธิปไตยของพวกเขา นนั้ เม่ือหน่มุ สาวบรรลุนิติภาวะแล้ว กฎหมายของพวกเขาได้อณุญาติหนุ่มสาวของพวกเขาให้ สามารถมี 1 ผวั 100 เมีย หรือ 100 ผวั 1 เมียก็ได้ หรือ 100 ผวั 1000 เมีย ฯลฯ ก็ได้ ด้วยการมีอยู่ อย่างปราศจากความรบั ผิดชอบ ด้วยการมีภรรยาไว้ท่ีผบั บาร์,ซ่องโสเภณีตลอดจนนกั ศึกษาของ พวกเขาตา่ งก็มผี วั เมียกนั อยา่ งสดุ เหวย่ี งในชว่ งวยั เรียนโดยการน่ิงเงียบเป็ นซาตานใบ้ของระบอบ การปกครองของพวกเขา มหิ นําซํา้ พวกเขายงั มีโรงงานอตุ สาหกรรมฆ่าเด็กท่ีเกิดขนึ ้ จากความไม่ พร้อมของผวั เมียท่ีเสพสขุ กนั จากระบอบร้อยผวั พันเมียพันเมียของพวกเขานั่นเองซ่ึงก็น่าสมเพท พวกเขาเหลือเกินท่ีได้ดิน้ รนสรรสร้างระบอบกฎหมายท่ีรองรับการฆ่าเดก็ อนั เกิดจากระบอบ “ร้อย ผวั พนั เมยี ” ของพวกเขาขณะเดียวกบั ท่ีพวกเขากลบั มีกฎหมายห้ามละเมิดทารุณกรรมสตั ว์และ พวกเขาเองกลบั ยินดีปรีดาในการมีกฎหมายทารุณกรรมเขน่ ฆา่ เดก็ !! ดงั ท่ีเราเห็นวา่ เมอื่ คราวท่ีนซั 55 อนั เป็ นพฒั นาการด้านธุรกจิ โสเภณีของพวกยโุ รปท่ีจากอดตี ใช้ทาสหญิงเป็ นสนิ ค้าแต่บดั นีไ้ ด้ใช้เสรีชนเป็ น สนิ ค้าเสยี แล้ว ดงั นนั ้ เรื่องของทาสสวาทและนางบําเรอได้หมดไปจากโลกนีจ้ ริงเหรอ?
~ 65 ~ รีล เอริ ฮาม นกั ร้องนําแห่งวง Carpenter จากดินแดนอินโดนีเซียได้ตกเป็ นขา่ วฉ่าวโฉ่หลงั จากที่ คลิปวิดีโออบุ าทว์ของตนเองได้แพร่กระจายออกมาทางอินเตอร์เน็ทพร้อมกบั ข้อมลู เน่าเฟะว่า นกั ร้องนําผ้นู ีม้ ีเมีย(ผิดประเวณี) มากถึง 30 กวา่ รายจากสตรีในหมวู่ งการมายาบนั เทิง ความเน่า เฟะของพฤตกิ รรมดงั กลา่ วภายใต้ระบอบประชาธิปไตยฆราวาสได้ผลกั ดนั ให้พี่น้องมสุ ลิมก่อการ ประท้วงต่อภาครัฐเพ่ือการลงโทษนกั ร้องรายนีด้ ้วยข้อกฎหมายอนั ศกั ดิ์สิทธิ์ของอิสลาม แตท่ วา่ การเคล่ือนไหวเพื่อศลี ธรรมในครงั้ นีไ้ ด้รับการตราหน้าจากสอ่ื พวกเขาวา่ เป็นเร่ืองของพวกมสุ ลิมหวั รุนแรง และการดําเนินการลงโทษตอ่ นกั ร้องรายนีก้ ็เป็นเพียงการลงโทษในข้อหาเผยแพร่สื่อลามก อนาจาร พดู ให้งา่ ยแล้วก็คอื กฎหมายประชาธิปไตยมิได้มองวา่ การที่นกั ร้องรายนีม้ ีเมียมากถึง 30 ราย(และใน 30 รายนีก้ ็มีผวั เป็ นของตนเองไปในตัวด้วยตามระบอบร้ อยผัวพันเมีย!)ว่าเป็ น ความผดิ บาปหากแตท่ ี่ผดิ บาปเพราะไปเผยแพร่ภาพวิดีโอกามกิจของเขาออกส่สู ายตาสาธารณะ ดงั นนั้ เราจึงเหน็ วา่ ระบอบประชาธิปไตยและลทั ธิเสรีนิยมได้ผกู ขาดคําวา่ สิทธิมนษุ ยชนและอํานาจ ชอบธรรมทางกฎหมายไว้แก่พวกตนอย่างเดียวพร้อมกับประณามพวกอื่นที่ไม่เห็นด้วยกบั ตนว่า เป็ นพวกล้าหลัง อันเป็ นผลทางรูปธรรมหนึ่งที่ส่อภาพของวิวรณ์ธรรมปฏิพากษ์ได้อย่างดี กระบวนการดงั กลา่ วของประชาธิปไตยเกิดขนึ ้ ได้จากการขนึ ้ เป็ นมหาอํานาจของพวกเขาที่ได้เข้า ไปก้าวกา่ ยจดั ระเบียบโลกตามอตั ตาแหง่ ตนเอง ผลร้ายจากการที่โลกมไิ ด้ถกู ปกครองด้วยอิสลาม จึงยงั ผลให้การจดั ระเบียบโลกถกู ดําเนินการไปบนพืน้ ฐานของความเน่าเฟะและการออกกฎหมาย อนั ป่ าเถ่ือนของพวกเขา หากผ้ทู ี่คดั ค้านอิสลามจะอ้างวา่ การอณญุ าตในเร่ืองทางเพศตามที่เห็นมานนั้ มิใชเ่ ป็นการ อนญุ าตของโลกศาสนา หากแตเ่ ป็นของโลกฆราวาส ดงั นนั้ ยงั ไงเสียศาสนาอิสลามซ่ึงได้อนญุ าต สมั พนั ธ์ทางเพศกบั ทาสกย็ งั ผดิ อยดู่ ี!? เรากข็ อถามกลบั วา่ พวกนักวิพากษ์อิสลามได้ใช้เหตผุ ลอนั ใดในการแบง่ แยกความชอบธรรมระหวา่ งโลกศาสนากบั โลกแห่งฆราวาส พวกเขาได้ใช้อะไรเป็ น มาตรฐานในการมองว่าหากโลกฆราวาสออกกฎหมายโสโครกมาชนิดใดประชาชนก็สามารถ ยอมรับและปฏิบัติตามอย่างหน้ าไม่อายได้ แต่หากศาสน าออกกฎห มายในลักษ ณะเดียวกัน ประชาชนก็ต้องหนั หน้ามาประณามศาสนานนั้ วา่ เป็นศาสนาชวั่ ประหนึ่งคนกลบั กลอกได้เลา่ !!?? อิสลามนนั้ ในทางทฤษฎแี ล้วมิใช่ “ศาสนา” เพราะศาสนานนั้ โดยข้อเท็จจริงแล้วมขี อบเขต พืน้ ที่อยแู่ คเ่ ร่ืองของความเช่ือศรัทธาและการปฏบิ ตั ิที่เป็นพิธีกรรมตามความเช่ือเท่านนั้ แตอ่ ิสลาม นนั้ คือ “ระบอบอัตลกั ษณ์” ประเภทหน่ึงของโลกท่ีประมวลไปด้วยความเช่ือศรัทธา,เอกวิทยา, รูปแบบกฎหมาย,เศรษฐกิจ,การเมือง,และความสมั พนั ธ์ระหว่างปัจเจกชนภายในสงั คม เป็ นต้น และสิ่งใดก็ตามที่ถูกถกั ทอขึน้ มาจนเป็ น “ระบอบอตั ลักษณ์” อีกประเภทหน่ึงซึ่งแตกต่างจาก ระบอบอตั ลกั ษณ์อสิ ลามแล้ว อิสลามพิจารณาว่ามนั คือระบอบแห่งตอฆตู ที่เป็ นปฏิปักษ์กับพระ เจ้าทัง้ สิน้ การที่มีระบอบหนึ่งใดในโลกยอมรับการมีอย่ขู องโสเภณีนัน้ ไม่ว่าจะมันถกู เรียกว่า
~ 66 ~ ศาสนาหรือระบอบการปกครองกต็ าม แตโ่ ดยรวมแล้วกถ็ ือวา่ เป็นระบอบฏอฆตู เช่นกัน และบคุ คล ใดกต็ ามท่ีเห็นพ้องด้วยกบั ระบอบนนั้ กส็ มควรในการได้รับคําประณามแม้ว่าพวกเขาจะไมอ่ ้างว่า ประชาธิปไตยคือศาสนาของพวกเขาก็ตาม แต่หากความเช่ือของพวกเขายอมรับในระบอบ ประชาธิปไตยและปฏิบตั ติ ามกฎหมายเหลา่ นนั้ อยา่ งสบายใจแล้วไซร้พวกเขายังจะมีหน้ามาอ้าง ได้อย่างไรอกี วา่ กฎหมายการค้าประเวณีในรฐั ของพวกเขานนั้ เป็นเรื่องทางโลกมิใช่ทางธรรมดงั นนั้ พวกเขาจึงมีความชอบธรรมในการออกกฎหมายทงั้ ท่ีพวกเขาก็ปฏิบัติตามระบอบอตั ลักษณ์ เหลา่ นนั้ ที่พวกเขาเช่ือถือกนั มาวา่ เป็นระบอบท่ีดีและถกู กฎหมาย!! การหลอกตนเองว่าพวกตนมี หลกั คําสอนทางศาสนาอนั สงู สง่ แตป่ ฏิบตั ิในโลกความจริงมิได้จนต้องสร้างระบอบอนั ชว่ั ร้ายขนึ ้ มา รองรับควบคไู่ ปกบั ศาสนา ศาสนาเชน่ นนั้ มนั จะมีนํา้ ยาหรือประโยชน์อนั ใดอีก?? การหลอกตวั เอง อย่างกลบั กลอกวา่ ตนนบั ถือศาสนาท่ีไมย่ ินยอมเรื่องโสเภณีควบคไู่ ปกับการยอมรับในระบอบอตั ลกั ษณ์ท่ีเปิ ดไฟเขียวให้ แก่โสเภณีมนั คือสิ่งท่ีแตกต่างกันประการใดเล่า!!!??! ตราบใดที่ ประชาธิปไตยและระบอบอตั ลกั ษณ์อนื่ ๆได้รับการปฏิบตั ิบนพืน้ ฐานของกฎหมายและการยอมรับ ประชาธิปไตยกไ็ มต่ า่ งอะไรกบั ศาสนาเพราะประชาธิปไตยนนั้ เร่ืองของความเช่ือคือองค์ประกอบ หนึง่ ด้วยเชน่ กนั นนั่ กค็ อื ความเชื่อที่วา่ ระบอบของตนเองดีเลิศท่ีสดุ ประชาธิปไตยจึงเป็ นศาสนา ทางเลือกหนึ่งของโลกยคุ ใหม่นีแ้ ละผ้ทู ี่ปฏิบตั ิตามในระบอบนีจ้ ึงเป็ นศาสนิกหน่ึงของระบอบนี ้ เช่นกนั และเมือ่ ใช้ตรรกะและคําอ้างในลกั ษณะเดยี วกนั แล้ว อิสลามอนั เป็นระบอบอตั ลกั ษณ์หน่ึง ท่ีมิใช่แค่เพียงศาสนาและความเช่ือก็มีสิทธิอนั ชอบธรรมในการออกกฎหมายเป็ นของตัวเอง เช่นเดียวกนั และแน่นอนว่ากฎหมายความสมั พันธ์ทางเพศกับทาสหญิงโดยไมต่ ้องแต่งงานท่ี อิสลามออกมานนั้ ดเี ลศิ ประเสริฐศรีกวา่ กฎหมายขายตวั ที่ระบอบประชาธิปไตยได้ร่างขนึ ้ มาชนิด เทียบกนั ไมต่ ดิ ดงั จะได้อธิบายตอ่ ไป!! อย่างไรก็ตามแต่การวิพากษ์เรื่องกฎหมายทาสของอิสลามโดยพวกต่อต้านอิสลามดงั ที่ กลา่ วไปนนั้ มีข้อสงั เกตสุ ําคญั อยตู่ รงจดุ ทว่ี า่ พวกเขากําหนดความชอบธรรมแก่ระบอบการปกครอง ของประชาธิปไตยว่ามีสิทธิในการออกกฎหมายการขายตัวเป็ นโสเภณี แต่กระนนั้ ก็ตามเม่ือมี ศาสนาเช่นอิสลามได้กระทําการบัญญัติกฎหมายเร่ืองทาสหญิงไว้ ด้วย แรงจูงใจในการวิพากษ์ กฎหมายข้อนีข้ องอิสลามกลบั ดสู งู ขนึ ้ ตดิ ตามมาอยา่ งไมเ่ ป็นธรรมและไมเ่ ป็นตรรกะ เพราะหากพดู ถงึ ข้อเทจ็ จริงที่วา่ เมอ่ื นกั เคลอ่ื นไหวรณรงคด์ ้านสิทธิมนษุ ยชนในนามประชาธิปไตยได้ยอมรับการ มีอยู่อย่างถูกต้องของรักร่วมเพศ,การผิดประเวณี,โสเภณีและแม้ กระท่ังการฆ่าเด็กด้วย กระบวนการทําแท้งแล้วไซร้ เหตอุ นั ใดกนั เลา่ การมีสมั พนั ธ์ทางเพศกบั ทาสหญิงอย่างถกู ต้องตาม กฎหมายในทศั นะอสิ ลามจึงเป็นสง่ิ ท่ีต้องได้รับการประณาม? ทงั้ ที่รูปแบบซ่ึงอิสลามได้กําหนดไว้ จากความสมั พนั ธ์ทางเพศประการนีม้ ใิ ช่รูปแบบอนั ไร้มนษุ ยธรรมป่ าเถ่ือนแตอ่ ย่างใดเลย หากเรา ละเลยการพิจารณาจากคําตอบอนั สจั ธรรมสนั้ ๆท่ีว่าเพราะพวกเขา “โง่เขลา” เร่ืองอิสลามอย่าง
~ 67 ~ สดุ กําลงั แล้ว เราก็จะพบวา่ แรงตอ่ ต้านกฎหมายอสิ ลามประการนีเ้ กิดขนึ ้ จากการนิยามตวั ตนของ อิสลามผดิ ๆวา่ เป็นเพียง “ศาสนา” ซึ่งโลกทัศน์เดิมของมนุษย์นนั้ ศาสนาไม่มีความชอบธรรม(ไม่ ควร)เสมอภาคกับระบอบประชาธิปไตยของพวกเขาในการวางหลกั กฎหมายในเรื่องเพศไว้ โลก ทศั น์ท่ีวา่ ศาสนาไมม่ คี วามชอบธรรมในการพูดถึงกฎหมายเช่นนีล้ ้วนเป็ นผลมาจากมายาคติลวง หลอกในเร่ือง “เพศ” และเรื่อง “ธรรมะ” ที่มอี ย่ใู นแทบทกุ ศาสนาของโลกนีต้ า่ งหาก ส่ิงที่เราต้องเข้าใจในเบือ้ งต้นตอ่ ข้อกฎหมายอิสลามในเร่ืองทาสก็คือวา่ เมื่ออิสลามให้ นายทาสสามารถมสี มั พนั ธ์ทางเพศกบั ทาสหญิงของเขาโดยมจิ ําเป็นต้องผา่ นการแตง่ งานนนั้ เรื่อง ของเพศสมั พันธ์ระหวา่ งคนทัง้ สองจะต้องไม่ถูกมองประหน่ึงราวกับวา่ มนั คือหัวใจหลักและ รูปแบบเดียวของความสมั พนั ธ์ที่นายทาสมีต่อทาสสาวของเขา กล่าวอีกในนัยหน่ึงการอนมุ ตั ิ กฎหมายดงั กลา่ วตามเจตคติของอสิ ลามนนั้ มิใชว่ า่ อิสลามจะมนั่ หมายให้ทาสหญิงทําหน้าท่ีเป็ น นางบําเรอแก่นายของเขากห็ าไม่ กลบั กนั เจตนารมณ์ของกฎหมายดงั กลา่ วกค็ ือการผลกั ดนั ให้นาย ทาสกบั ทาสหญิงของเขาที่พงึ พอใจตอ่ กนั นนั้ สามารถท่ีจะเป็นสามี-ภรรยากนั ได้โดยมิต้องผา่ นพิธี การแตง่ งานอย่างเป็นทางการให้เสียเวลา หรือเมื่อทงั้ สองพึงใจกนั แล้วก็สามารถร่วมหลบั นอนกนั ได้อย่างสบายใจและใช้ชีวิตตามปกติต่อไปได้ ความเข้าใจผิดๆที่ว่านางทาสคือนางบําเรอ “เทา่ นนั้ ” เกิดขนึ ้ จากการพ่งุ เป้ าไปที่ข้ออนมุ ตั ิของกฎหมายอิสลามแล้วนํามาเป็ นภาพตวั แทนแห่ง ความสมั พนั ธ์ทงั้ หมดระหวา่ งนายทาสกับทาสหญิงท่ีวกวนอยู่แตเ่ ร่ืองการเสพสขุ ทางเพศเท่านนั้ แน่นอนหากพิจารณาข้อกฎหมายอิสลามเชน่ นีค้ วามโกลาหลกจ็ ะเกิดในรูปแบบขอบขา่ ยเดียวกนั กลา่ วคอื สตรีท่ีผา่ นการแตง่ งานกบั บรุ ุษนนั้ กฎหมายอิสลามได้ให้สทิ ธิอย่างเต็มที่แก่ทงั้ สองในการ ร่วมเสพสุขทางเพศกัน การร่วมหลบั นอนกันระหว่างสามี-ภรรยาคือการอนุมัติประการหน่ึงที่ อสิ ลามมไี ว้แกม่ นษุ ย์ แตก่ ระนนั้ กต็ ามข้อกฎหมายของอิสลามเร่ืองแตง่ งานก็ไมม่ ีใครจะเข้าใจไป วา่ อิสลามได้สรรสร้างภรรยาให้เป็น “นางบําเรอ” ของสามีและการหลบั นอนของสามีกับภรรยาก็ เป็นการละเมดิ สทิ ธิมนษุ ยชน เพราะโดยทงั้ นีแ้ ล้วองค์ประกอบของการเป็นสามี-ภรรยานนั้ แม้จะมี เร่ืองบนเตียงเป็ นองค์ประกอบร่วมก็ตามแตก่ ็มิใช่เป็ นองค์ประกอบทงั้ หมดและเป็ นภาพตวั แทน แห่งความสมั พนั ธ์ของคนทงั้ สองได้ ในทางเดยี วกนั องคป์ ระกอบของการเป็ นนายทาส-ทาสหญิงก็ มิใช่จะมเี ร่ืองบนเตียงเป็นองค์ประกอบเดยี วเชน่ กนั อีกทงั้ ความสมั พันธ์ระหว่างคนทงั้ สองก็ได้ถูก สงั่ ห้ามการปิ ดลบั เฉกเช่นกรณขี องเมยี น้อยในระบอบประชาธิปไตยปัจจบุ นั ดงั นนั้ การมงุ่ นําเอาข้อ อนมุ ตั ิทางกฎหมายประการนีม้ าสร้างภาพกลบความสมั พนั ธ์อ่นื ๆระหว่างนายทาส-ทาสหญิงโดย การผลิตวาทกรรมชว่ั ๆอย่าง “ทาสสวาท” (Sex Slaves) เพื่อบ่งชีว้ า่ ทาสหญิงมีไว้เพ่ือเร่ืองเพศ อยา่ งเดียวมนั ก็คงเป็นเรื่องบ้าบอพอๆกบั การสร้างวาทกรรมคล้ายๆกนั ขนึ ้ มาอย่าง “ภรรยาสวาท” (Sex Wife) เพื่อบ่งชีว้ ่าภรรยาท่ีผา่ นการแตง่ งานก็มีไว้เพ่ือเรื่องทางเพศเท่านนั้ ซึ่งเป็ นการมองท่ี หยาบช้าและไมต่ รงตามเจตนารมณ์ของอิสลาม แน่นอนหากยึดตามมาตรฐานเดียวกันนีส้ ถาบนั
~ 68 ~ ทางครอบครวั ของมนษุ ยชาติก็จะพงั ทลายและการแตง่ งานของมนษุ ย์กจ็ ะพงั พินาศกลายเป็นเร่ือง ไร้มนษุ ยธรรมไปตามๆกนั ด้วยเหตนุ ีจ้ งึ จําต้องเข้าใจวา่ เป้ าประสงค์ของการอนมุ ตั ิการเสพสขุ ทาง เพศระหวา่ งสามี-ภรรยาในอิสลามนนั้ กเ็ พ่ือตอบสนองตอ่ ข้อเท็จจริงของมนษุ ย์ท่ีวา่ มนุษย์มีความ ปราถนาในทางเพศตอ่ กนั เพ่ือการป้ องกนั บาปใหญ่จากการผิดประเวณีตลอดจนการสืบเผ่าพนั ธ์ มนุษยชาติ เช่นเดยี วกนั กบั ท่ีข้อกฎหมายอสิ ลามซึง่ อนมุ ตั กิ ารมสี มั พนั ธ์ทางเพศกบั ทาสหญิงนนั้ ก็ เพื่อป้ องกนั การผิดประเวณีท่ีอาจเกิดขนึ ้ จากความหิวกระหายทางเพศของธรรมชาติมนุษย์ ด้วย (อัลกุรอาน-4:25) ตลอดจนเพ่ือสืบเผ่าพันธ์มนุษยชาติและเพ่ือการยกเลิกทาสเพราะ นอกจากลูกทาสท่ีเกิดขนึ้ มาจะเป็ นไทแล้วนางทาสผู้นัน้ ก็จะเป็ นไทติดตามมาด้วยตาม กรอบของกฎหมายอสิ ลาม! ขอให้พิจารณาใจความของคมั ภีร์อลั กรุ อานอย่างแท้จริงใหมว่ ่า อลั กรุ อานนนั้ ได้ให้เกียรติและสทิ ธิแกท่ าสหญิงด้วยการกลา่ ววา่ ََُسَِِفك َََٰحلِأٱَلمٍَتّْنแِٰٰذََكَلลْؤِمُمะُِمَربผٱ้اَيلْيْـใَูذดٍَْمُمใٱُملนََٰيَََصنٰاَِكหمْفَـِماَـมُُنพِِّู่مفวََِصَٰكกُرمأเْمْحُمตَُمََ้كمาُٱلأَْليْْٰدไبِٱมّْنىสَ่ ََُهمتาََرَلมُجاَممتาُاَمรفَّمأถُنَّنมْีِممْصُهกَُํعِفتาنَأٌمآลِّنحَيงَْتمِؤتََِِهمْي(ّٰرَكََِِัّهไـُْمهٌرมَُفلْأَفمมَشَِنيٍة่ٱคี ِحُْذวَٰبَكَِتِِّإาِنأٰٱَََفصلมّنُهْحََبพُمُمٌْمَْمรَلْ้تَـُحอِمَٱلّأมْيإِـعٌَحرْنทفََخِفمَٱาنََضّكنงٍْصأاเِبُنศِْْصحأَْمรُاًبَـษآْمنلتَأฐِّذَمطَنกَิمْفَمَأأِإจٍُْْممنُمแكُاُمضลْكِمَدะبْـَعِمْْمخปَمัَِطأจُْمِاَتจَكِذمَكَْسยัَََٰيٱخٰدلَْنอِاََّيبَِّّلِْإนืَ่خَْلما)َتَِشنُمُمท่ีأَََأأَل จะแตง่ งานกบั บรรดาหญิงอิสระท่ีมีศรทั ธาได้กจ็ งแตง่ งานกบั เดก็ สาว(ทาสหญิง)ของพวกเจ้าท่ีเป็ น ผ้ศู รทั ธาในหมทู่ ่ีมือขวาของพวกเจ้าครอบครอง และอลั ลอฮฺเป็ นผ้ทู รงรอบรู้ย่ิงท่ีในการศรัทธาของ พวกเจ้าบางคนในหมพู่ วกเจ้านนั้ มาจากอีกบางคน ดงั นัน้ จงแต่งงานกับพวกนางด้วยการอนุมตั ิ จากผ้เู ป็นนายของพวกนาง และจงให้แก่พวกนางซ่ึงสินตอบแทนของพวกนางโดยชอบธรรม ใน ฐานะท่ีพวกนางเป็นหญิงที่ได้รับการแตง่ งานมิใช่เป็ นหญิงท่ีค้าประเวณี และไม่ใช่เมียลับ เม่ือ พวกนางได้รับการแตง่ งานแล้ว หากพวกนางกระทําความช่วั (ผิดประเวณี)พวกนางก็จะได้รับโทษ ครึ่งหน่ึงของโทษท่ีบรรดาหญิงอิสระได้รบั นนั่ สําหรบั ผ้ใู นหมพู่ วกเจ้าท่ีกลวั การทําชว่ั และการท่ีพวก เจ้าอดกลนั้ ไว้ได้นัน้ เป็ นการดีกว่าสําหรับพวกเจ้า และอลั ลอฮฺเป็ นผ้ทู รงอภยั โทษ ผ้ทู รงเมตตา เสมอ (4:25) จากโองการข้างต้น ข้อกฎหมายได้บง่ บอกแก่เราวา่ ทาสหญิงหรือ “เดก็ สาว” ในอสิ ลามนนั้ พวกนางมสี ิทธิท่ีจะเป็นภรรยาของผ้อู ่นื ท่ีนางพงึ ใจ นนั่ คอื พวกนางมีสิทธิท่ีจะแต่งงานมีครอบครัว เฉกเชน่ เดยี วกบั ผ้อู ืน่ นอกจากนีเ้ ป้ าหมายของพวกนางนนั้ ย่อมมิใช่เพ่ือการเป็ นนางบําเรอแก่ใคร แต่อย่างใดเลย อลั กุรอานโองการนีไ้ ด้ประณามการนําทาสมาเป็ นเมียลบั (นางบําเรอ)และการ ค้าประเวณีดงั ที่พวกยโุ รปคริสต์เตียนเคยกระทําไว้ พร้อมกันนีย้ งั ได้มีการสง่ั ให้มอบสินสมรสแก่ นางทงั้ นีแ้ ล้วก็เพื่อวา่ นางจะได้อยู่ในฐานะหญิงท่ีมีเกียรติ ใจความของอลั กุรอานข้างต้นนีจ้ ึง เป็นที่ชดั แจ้งแล้วจากข้อครหาของพวกนกั สทิ ธิมนษุ ยชนจอมปลอมซ่ึงวิพากษ์อิสลามอย่างโง่ๆว่า
~ 69 ~ รังแกทาสหญิง อกี ทงั้ การแตง่ งานในข้อกฎหมายข้างต้นนีห้ มายถึงการที่นางสามารถแต่งงานกบั ชายอ่ืนที่มิใช่นายทาสของนางได้ ท่านเมาดดู ีได้กลา่ ววา่ “ถา้ หากนายทาสแตง่ งานทาสหญิงของตนใหก้ บั ชายอืน่ เขาก็ตอ้ งสละสิทธิทีเ่ ขามีอยู่ในการอยู่ร่วม ฉนั ท์สามีภรรยากบั นาง แต่ยงั คงมีสิทธิอืน่ ๆเช่นการรับใชจ้ ากนางเป็นตน้ ”56 ทา่ นอบิ นกุ ดุ ามะฮฺ อลั มกั ดซิ ีย์กลา่ ววา่ المرأة تِح ُّل ألا ، لتزأج مباحة صارت قد فإنها ، اخالاف ألا ، فإن َزَّأج أما َحُرم لتي الاسامااع فأما تحريم الاسامااع بها فلا شك في فإن َأِطئَها لَِزَم ُ الإٍب أالامزنر، لرجتٌن. نمني أع نمَّزر باْلتد. قال أْحد يجتد ألا نُرجم: أقال “หากนายทาสได้จัดการแต่งงานให้ทาสหญิงของเขาแก่ชายอื่น... ดงั น้นั มันจึงเป็ นที่ ต้องห้ามแก่นายทาสอีกที่จะมีเพศสัมพันธ์กับนาง ไม่มีข้อสังสัยและข้อขัดแย้งใดๆ(ในหมู่ นกั ปราชญ์)เลยต่อขอ้ หา้ มดงั กลา่ ว เพราะว่า ณ ขณะนน้ั นางไดเ้ ป็นทีอ่ นมุ ตั ิแก่สามีของนางเท่านนั้ เพราะไม่มีสตรีใดทีจ่ ะถกู อนมุ ตั ิแก่ชายสองคนไดแ้ ละหากวา่ นายไดม้ ีเพศสมั พนั ธ์กบั เธอเขาก็คือผู้ ที่กระทาบาปและตอ้ งถูกลงโทษ ซึ่งตามทศั นะของอิมามอะฮฺมดั แลว้ เขาจะตอ้ งถกู เฆี่ยนแต่ไม่ตอ้ ง ถูกขวา้ ง(ดว้ ยหิน) บทลงโทษสาหรับเขาควรจะทาในรูปแบบของการเฆี่ยน”57 ข้อกฎหมายข้างต้นสะท้อนภาพถงึ การเคารพในบรู ณภาพทางเพศท่ีกฎหมายอิสลามมีต่อ ทาสหญิง เส้นแบง่ เขตกนั้ ระหวา่ งเรื่องเพศท่ีมีศีลธรรมกับเร่ืองเพศท่ีไร้ความเป็ นธรรมนนั้ อย่ตู รง การที่สตรีเป็นที่อนมุ ตั ิทางเพศแก่ชายผ้เู ดียวเท่านนั้ ทาสหญิงในอิสลามได้ถกู กรอบศีลธรรมทาง เพศส่วนนีป้ กป้ องไว้เพราะนางจะถูกอนุมตั ิแก่ชายคนเดียวเท่านนั้ ไม่สามีก็นายของนาง นาง จะต้องไมถ่ กู ปฏิบตั ปิ ระหนงึ่ เรือสองแคมที่สามารถเสพสขุ กบั บรุ ษใดกไ็ ด้ท่ีพงึ ใจนาง บรู ณภาพทาง เพศท่ีอิสลามวางไว้นีจ้ ึงเป็ นการประมวลสิทธิทางกฎหมายท่ีลํา้ หน้าอย่างมากในโลกยุคโบราณ เพราะนอกจากสตรีทาสในยุคอดีตจะถูกใช้เป็ นแรงงานทางเพศแก่ชายมากหน้าหลายตาแล้ว สถานภาพสตรีในยคุ ปัจจบุ นั ก็ยงั ระยําตาํ่ ช้ากวา่ สตรีทาสในกฎหมายอิสลามอย่างเทียบไม่ได้เลย ประเภทแรกคอื พวกโสเภณีท่ียอมให้บุรุษมากหลายหลงั่ นํา้ กามได้ไมเ่ ลือกหน้าเพียงเพื่อแลกกับ เศษเงิน สว่ นประเภทที่สองคือสตรีใจต่ําช้าท่ียอมให้บุรุษพึง “ลิม้ รส” กายเธอได้โดยไมค่ ิดคา่ แรง ทางเศรษฐกิจเลยแตอ่ ยา่ งใด สตรีพวกนีพ้ ร้อมที่จะเสียตนแกช่ ายใดก็ได้ตามแรงขบั ทางธรรมชาติ ซง่ึ พฤตกิ รรมเหลา่ นีเ้ ป็นที่นิยมในหมมู่ ากของหนมุ่ สาวกาลปัจจบุ นั ไมเ่ ว้นแม้แตห่ นมุ่ สาวที่รับมรดก 56 เมาลานา ซยั ยิดอบลุ อะลาเมาดดู ี. ตฟั ฮีมลุ กรุ อาน ความหมายคมั ภีร์อลั -กรุ อาน เลม่ 1. หน้า 336-337. แปล โดย บรรจง บินกาซนั . 57 อลั มฆุ นยี ์. เลม่ 7. หมายเลขที่ 5334.
~ 70 ~ การเป็นมสุ ลมิ มาจากโครตเหง้าศกั ราชของเขา ตามตรรกะแล้วหญิงประเภทนีน้ า่ จะบรมเลวยง่ิ กวา่ โสเภณีท่ีต้องขายตวั เพื่อหาเงินประทงั ชีพเสยี อีก เพราะสตรีประเภทหลงั นีม้ ิได้อะไรเลยแม้กระทั่ง เศษเงินสงิ่ ท่ีนางได้คอื ความกระหายตามธรรมชาติแหง่ ความเป็นสตั ว์ของนางเท่านนั้ เมื่อพิจารณา ความจริงตรงนีแ้ ล้วการท่ีสตรีกลมุ่ หน่ึงรังเกียจอาชีพโสเภณีทงั้ ท่ีตวั เองก็ปล่อยตวั ไปตามความ กระหายอย่างไร้ศีลธรรม จึงไม่เป็ นเหตผุ ลและตรรกะเลยกับการท่ีสงั คมประณามสตรีโสเภณี ถ่ายเดียวแตก่ ลบั เมินเฉยที่จะรังเกียจหญิงประเภทหลงั นีห้ รือนบั พวกนางป็นโสเภณีประเภทหนง่ึ ท่ี ร้ ายแรงกวา่ ดงั ท่ีเราจะพบวา่ การจดั ประเภทหญิงผิดประเวณีว่าเป็ นหญิงโสเภณีนัน้ คือจุดยืนทาง สงั คมท่ีกลั ญาณชนอิสลามได้กระทําไว้ ท่านอิบนิกะษีรได้อธิบายประโยคที่ว่า “มิใช่เป็ นหญิงท่ี ค้าประเวณี และไม่ใช่เมียลับ” วา่ ٍ }َِخ َذ{ا َيِْيتـَرأَ ُْمخ َدَسٰاـَِفٍن َحٰـ:ّأله{ذاَألاقَا ُمَلا:،لاأقنمالماتطمياكلى.أرالدفهائن بفالفلانحالشزعةا:أمني ابن } ، } َ { ُْم َصكَٰـ:تمالى أقمل قال يدكمن الزأاِن اللاٌب لا أهن { أ،اللاٌب لا يدكمن أحداً أرادهن بالفاحشة نمني الزأاِن،المسافحات } هن الزأاِن الممتكات { :لباس أمجاهد أالشمبي أالضحاك ألطاء الخراساِن أتذا رأي لن أبي هرنرة. أخلاء:أَ ْخ َدا ٍن } نمني ُمَاّ ِخ َذا ِت أيحٍن بن أبيتثًن أمقاتل بن حيان أالسدي “พระดํารัสของอลั ลอฮฺตะอาลาที่วา่ –ในฐานะท่ีพวกนางเป็ นหญิงท่ีได้รับการแต่งงาน- หมายถงึ พวกนางเป็นสตรีที่มีเกียรตซิ ง่ึ ไมล่ ว่ งละเมดิ ประพฤติเวณีและน่ีคือเหตผุ ลที่พระองค์ทรง กลา่ วในวรรคตอ่ มาวา่ -มิใช่เป็นหญิงท่ีค้าประเวณี- ตรงนีห้ มายถึงหญิงโสเภณีซ่ึงไม่ยอมหลีกห่าง จากความสมั พนั ธ์ทางเพศท่ีชว่ั ร้าย-และคําดาํ รสั ของอลั ลอฮฺตะอาลาท่ีวา่ -และไมใ่ ช่หญิงที่ยึดเอา ชายเป็นเพ่ือนสนิท(เป็นเมียลบั หรือสําสอ่ น)- ท่านอบิ นอุ บั บาสกลา่ ววา่ บรรดาหญิงที่ค้าประเวณี หมายถงึ หญิงโสเภณีซ่งึ ไมย่ อมหลีกห่างจากความสมั พนั ธ์ทางเพศอนั ใดก็ตามที่ชวั่ ร้าย-และหญิงที่ ยึดเอาชายเป็นเพ่ือนสนิท(เป็นเมยี ลบั หรือสาํ สอ่ น)-หมายถงึ บรรดาเพ่ือนชาย(ท่ีนางลอบซินาด้วย) ความหมายดงั กลา่ วนีถ้ กู รายงานมาจากทา่ นอบฮู รุ ็อยเราะฮฺ,ทา่ นมญุ าฮิด,ท่านชะอบฺ ีย์.ท่านเฎาะฮฺ ฮาก,ท่านอะฏออ์อลั ครุ อซานี,ท่ายะฮฺยาบินอบีกะษีร,และท่านมกุ อติลบินฮัยยานและท่านอซั ซุด ดีย์”58 ในการอธิบายถึงความเหลื่อมลาํ ้ ทางชนชนั้ ระหวา่ งทาสหญิงกับสตรีไท ท่านเมาดดู ีกลา่ ว วา่ “ความแตกต่างในหมู่คนเป็นเพียงการเปรียบเทียบเท่านน้ั นอกเหนือไปจากนน้ั แลว้ มสุ ลิมทกุ คนจะ เทา่ เทียมกนั ความจริงแลว้ สิ่งทีท่ าใหม้ สุ ลิมคนหน่ึงแตกตา่ งไปจากอีกคนหน่ึงก็คือคณุ ภาพของ 58 ตฟั ซีรอิบนกิ ะษีร. เลม่ 2. หน้า 261
~ 71 ~ ความศรัทธามิใช่การผูกขาดตาแหน่งที่สงู กวา่ ทางสงั คม อาจเป็นไปไดท้ ี่บางทีทาสหญิงมสุ ลิมบาง คนอาจจะมีความศรทั ธาและศีลธรรมทีส่ งู กวา่ หญิงเป็นไทในตระกูลสงู บางคนดว้ ยซ้าไป”59 ทาสหญิงในสงั คมมสุ ลมิ ภายใต้กฎหมายอิสลามจงึ มิได้ถกู สร้างขนึ ้ เพื่อเป็นนางบําเรอของ นายทาสเช่นที่ทาสหญิงในยโุ รปถกู บีบคนั้ ไป หากแตเ่ ป็นเพียงความสมั พนั ธ์ทางกฎหมายประการ หนึง่ ที่อิสลามอนมุ ตั แิ กผ่ ้ทู ี่ไมม่ ีความสามารถท่ีจะแตง่ งานกบั หญิงไทได้ และแนน่ อนวา่ หากปรากฏ มสุ ลมิ บางคนและอารยธรรมหน่งึ ใดประพฤติไมด่ ตี อ่ ทาสหญิงเช่นดงั ท่ีมีพวกนางไว้เพ่ือการสนอง ทางเพศโดยตรงเท่านนั้ แล้วมาทําการสรุปเอาดอื ้ ๆวา่ กฎหมายอสิ ลามข้อนีไ้ มด่ ีและควรประณามก็ ถือว่าเป็ นการกระทําท่ีโง่เขลาและไม่เป็ นตรรกะอีกตามเคยเพราะเป็ นการนําพฤติกรรมชั่วของ มนษุ ย์มาเป็นข้ออ้างเทา่ นนั้ เนื่องจากดงั ที่กลา่ วไปแล้วว่ากฎหมายอิสลามประการนีม้ ิได้ต้องการ ให้ทาสหญิงเป็นนางบําเรอหากแตอ่ นมุ ตั ิให้นายทาสและทาสสาวสามารถมีสมั พันธ์กนั ได้โดยไม่ ต้องแตง่ งานให้ยงุ่ ยากเท่านนั้ ซง่ึ หากใช้ความประพฤติชว่ั มาเป็นตรรกะหักล้างในทิศทางเดียวกนั การที่ชายคนหนึง่ ซง่ึ มีภรรยาและไม่เคยเลีย้ งดใู ส่ใจภรรยาของเขาเลยนอกจากจะหาโอกาสร่วม เพศกบั นางเทา่ นนั้ (และในสงั คมก็มีคนแบบนีเ้ ยอะ) เราจะถือวา่ เขาได้กระทําให้ภรรยาของเขาเป็ น นางบําเรอได้หรือไม่?? และมนษุ ย์ควรประณามตลอดจนยกเลิก “การแตง่ งาน” เพ่ือแก้ปัญหา เหลา่ นีก้ ระนนั้ หรือ!!!??! แน่นอนวา่ คงมีคนโง่เท่านนั้ ท่ีคิดจะหยิบยกเอาพฤติกรรมชว่ั ของมนษุ ย์ผู้ ฉวยโอกาสทางกฎหมายเหลา่ นีม้ าใช้เป็นข้ออ้างในการหกั ล้างมิให้กฎหมายนนั้ มีอยู่ การที่โลกนีม้ ี พวกแมงดาเกาะเมียกินคือการนําไปส่ขู ้อสรุปที่วา่ มนษุ ย์ไมต่ ้องแต่งงานดีกว่าและทกุ ศาสนาท่ี ยอมรับการแตง่ งานจึงสมควรถกู ประณามด้วยเชน่ นนั้ หรือ!!??! ประเด็นที่ต้องนํามาวิพากษ์ในขนั้ ตอนตอ่ มาก็คือ ในกฎหมายอิสลามนนั้ ความสมั พนั ธ์ ทางเพศที่นายทาสมุสลิมได้รับอนมุ ัติให้มีตอ่ ทาสหญิงของเขานัน้ เกิดขึน้ จากเงื่อนไขของเชลย สงครามที่เป็นสตรี กลา่ วคือการสงครามที่ถกู กระทําไปในนามของอิสลามหรือที่เรียกวา่ “ญิฮาด” นนั้ นําพามาซึ่งสตรีจากสงครามในฐานะเชลย หลงั สนิ ้ สดุ สงครามแล้วกฎหมายอิสลามได้อนมุ ตั ใิ ห้ นําสตรีเหลา่ นีม้ าเป็นทาสได้และการเป็นทาสดงั กลา่ วกย็ อ่ มนําพามาซ่ึงข้ออนุมตั ิทางกฎหมายใน เรื่องความสมั พนั ธ์ทางเพศท่ีนายทาสสามารถมตี อ่ พวกนางได้ กลา่ วอีกด้านหนึ่งแล้วทาสหญิงที่มี อย่ใู นกฎหมายอิสลามความจริงก็คือเชลยหญิงจากสงครามนน่ั เอง การพดู ถงึ ข้อกฎหมายประการ นีด้ ้วยการจดั ลาํ ดบั การอธิบายไมถ่ กู ต้องตามขนั้ ตอนและปราศจากการไตร่ตรองอย่างลึกซึง้ แยบ ยลกม็ กั จะเกิดข้อเข้าใจผดิ พลาดไปตา่ งๆนานาๆ ข้อสรุปที่วา่ เมอ่ื อิสลามให้สิทธิแก่ทหารมสุ ลิมใน การร่วมหลบั นอนกับเชลย-ทาสหญิงของพวกเขาแล้วก็ย่อมหมายถึงการให้สิทธิในการ “ขม่ ขืน” พวกนางดจู ะกลายมาเป็นประเดน็ วพิ ากษ์อย่างมืดบอดในความเช้าใจของพวกตะวนั ตกซ่ึงกําลงั 59 เมาลานา ซยั ยิดอบลุ อะลาเมาดดู ี. ตฟั ฮมี ลุ กรุ อาน ความหมายคัมภีร์อลั -กรุ อาน เลม่ 1. หน้า 336-337. แปล โดย บรรจง บินกาซนั .
~ 72 ~ ตอ่ ส้ขู บั เคี่ยวกับเหลา่ มญุ าฮิดีนในยุคปัจจุบนั นี ้ ต้นท่ีมาของความเข้าใจผิดและคลาดเคลื่อนใน ประเด็นเหล่านีล้ ้วนแล้วแต่มาจากกการนําเสนอของเว็ปไซต์นักบูรพาคดีคริสต์เตียนอย่าง Answering-Islam ทงั้ สิน้ ดงั ท่ีเจ้าเหมง่ บาทหลวงคริสต์เตียนนามว่า Sam Shamoun ได้เขียน บทความเก่ียวกบั เรื่องนีใ้ นเวป็ ไซตข์ องเขาความวา่ Here is a reference permitting to rape captive women: Also (prohibited are) women already married, except those whom your right hands possess: Thus hath God ordained (Prohibitions) against you: Except for these, all others are lawful, provided ye seek (them in marriage) with gifts from your property, - desiring chastity, not lust, seeing that ye derive benefit from them, give them their dowers (at least) as prescribed; but if, after a dower is prescribed, agree Mutually (to vary it), there is no blame on you, and God is All-knowing, All-wise. S. 4:24 Y. Ali The above passage emphatically allows for the raping of women that are taken captive, even if these captives happened to be married! It did not remain an abstract theoretical right, but was readily put into practice by the Muslim jihadists: Abu Sirma said to Abu Sa'id al Khadri (Allah he pleased with him): O Abu Sa'id, did you hear Allah's Messenger (may peace be upon him) mentioning al-'azl? He said: Yes, and added: We went out with Allah's Messenger (may peace be upon him) on the expedition to the Bi'l-Mustaliq and took captive some excellent Arab women; and we desired them, for we were suffering from the absence of our wives, (but at the same time) we also desired ransom for them. So we decided to have sexual intercourse with them but by observing 'azl (Withdrawing the male sexual organ before emission of semen to avoid conception). But we said: We are doing an act whereas Allah's Messenger is amongst us; why not ask him? So we asked Allah's Messenger (may peace be upon him), and he said: It does not matter if you do not do it, for every soul that is to be born up to the Day of Resurrection will be born. (Sahih Muslim, Book 008, Number 3371) Ibn Kathir wrote: <except those whom your right hands possess> except those women whom you acquire through war, for you are allowed such women after making sure they are not pregnant. Imam Ahmad recorded that Abu Sa’id Al-Khudri said, \"We captured some women from the area of Awtas who were already married, and we
~ 73 ~ disliked having sexual relations with them because they already had husbands. So, we asked the Prophet about this matter, and this Ayah was revealed… <Also (forbidden are) women already married, except those whom your right hands possess>.Consequently, we had sexual relations with these women.\" This is the wording collected by AT-Tirmidhi, An-Nasa’i, Ibn Jarir and Muslim in his Sahih. (Tafsir Ibn Kathir (Abridged) Volume 2, Parts 3, 4 & 5 (Surat Al-Baqarah, Verse 253, to Surat An-Nisa, Verse 147), abridged by a group of scholars under the supervision of Shaykh Safiur-Rahman Al-Mubarakpuri [Darussalam Publishers & Distributors, Riyadh, Houston, New York, Lahore; First edition, March 2000], p. 422; bold emphasis ours) พอจะแปลได้ความวา่ : ต่อไปนีค้ ือขอ้ มลู ที่ชี้ชดั ถึงการอนมุ ตั ิใหข้ ่มขืนเชลยหญิงได้ และบรรดาหญิงที่อยู่ในปกครองของสามีนอกจากที่มือขวาของพวกเจ้าครอบครองเป็นบญั ญัติ ของอลั ลอฮฺที่มีแก่พวกเจา้ และไดถ้ ูกอนุมตั ิให้แก่พวกเจ้าที่นอกเหนือจากนนั้ ในการที่พวกเจ้าจะ แสวงหามาดว้ ยทรพั ย์ของพวกเจา้ ในฐานะเป็นผูแ้ ต่งงาน มิใช่ในฐานะผูล้ ว่ งประเวณี ดงั นน้ั หญิง ใดที่พวกเจ้าเสพสขุ ดว้ ยนางจากบรรดาหญิงเหล่านนั้ ก็จงให้แก่พวกนาง ซ่ึงสินตอบแทนแก่พวก นาง ตามที่มีกาหนดไว้และไม่เป็นบาปใด ๆแก่พวกเจ้าในส่ิงที่พวกเจ้าต่างยินยอมกันในสิ่งนั้น หลงั จากทีม่ ีกาหนดนนั้ ขึ้นแทจ้ ริงอลั ลอฮฺเป็นผูท้ รงรอบรู้ ผูท้ รงปรีชาญาณ(4:24) ‚โองการขา้ งตน้ นีค้ ือการเนน้ ย้าในการอนมุ ตั ิการข่มขืนสตรีซ่ึงถกู จบั เป็นเชลย แมว้ า่ เชลยเหลา่ นี้จะ ผ่านการแต่งงานมาแลว้ ก็ตาม!! มิหนาซ้ามนั มิได้คงไว้ซึ่งสิทธิในเรื่องดงั กล่าวแต่ในทางทฤษฎี เทา่ นนั้ แตท่ ว่ามนั ไดถ้ ูกปฏิบตั ิกนั ในหมนู่ กั รบมสุ ลิมทงั้ หลายดว้ ย ดงั ปรากฏรายงานในเรื่องนี้ว่า อบูสิรมะอฺ ไดก้ ลา่ วแก่ อบูสะอีดอลั คดุ รี ว่า โอ้อบูสะอีด ท่านเคยได้ยินท่านศาสนทูตเอ่ยถึงสิ่งที่ เรียกกนั ว่า ‚อลั -อศั ลฺ‛ หรือไม่? เขาได้ตอบว่า ใช่และยงั กล่าวเพิ่มเติมว่า เราได้ออกไปกับท่าน ศาสนทูตแห่งอลั ลอฮฺในการทาสงครามกับเผ่าบนูอลั มุสตอลิก และไดจ้ ับผูห้ ญิงอาหรับช้ันเลิศ บางส่วนมาเป็นเชลย และพวกเราก็ใคร่กาหนดั ในตวั ของพวกนาง เนื่องดว้ ยพวกเราได้เหินห่าง จากภรรยาของพวกเรา (แต่ทว่าในช่วงเวลานนั้ ) พวกเราปรารถนาทีจ่ ะไถต่ วั นาง(ด้วยการเรียกค่า ปฏิกรรมสงคราม) ดงั นน้ั พวกเราจึงตดั สินใจร่วมประเวณีกบั พวกนางดว้ ยการหลงั่ นอก(อศั ลฺ) แต่ เราก็กลา่ วกนั วา่ : เรากาลงั กระทาการณ์ (เหล่านี้) ขณะที่ท่านศาสนทูตได้อยู่ร่วมกับพวกเรา ใย กนั เล่าเราจึงไมถ่ ามตวั ท่านล่ะ? ดงั นนั้ พวกเราจึงไปถามท่านศาสนทูต(เกี่ยวกบั ประเด็นนี้) และ ท่านศาสนทูตก็กล่าวตอบมาว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่ท่านจะทาเช่นนั้น เพราะมวลวิญญาณ ที่อลั ลอฮฺประสงค์จะใหก้ าเนิดจะตอ้ งมีอยจู่ นถึงวนั กิยามะฮฺ (หะดีษจาก ซอเฮี๊ยฮฺมสุ ลิม บาบที่ 8 หมายเลขที่ 3371) อิบนกุ ะษีรไดเ้ ขียนไวว้ ่า ‚นอกจากทีม่ ือขวาของพวกเจ้าครอบครอง‛
~ 74 ~ หมายถึง เวน้ แต่สตรีซึ่งพวกทา่ นไดร้ ับมาจากการทาสงคราม เพราะท่านได้รับการอนุมตั ิ(ในการ หลบั นอน)กบั สตรีประเภทนีห้ ลงั จากมน่ั ใจแลว้ ว่าพวกหล่อนมิไดต้ ง้ั ครรภ์(จากสามีเดิมของนาง) อิมามอะฮฺมดั ไดบ้ นั ทึกไวว้ ่า อบสู ะอีด อลั คดุ รี ไดก้ ลา่ ววา่ ‚พวกเราไดจ้ บั หญิงอาหรบั บางสว่ นจาก บริเวณทีเ่ รียกกนั ว่า เอาตาส มาเป็นเชลยซึ่งนางเหลา่ นี้ไดผ้ า่ นการแต่งงานมาแล้ว และพวกเราก็ รงั เกียจทีจ่ ะมีเพศสมั พนั ธ์กับพวกนางเพราะว่าพวกนางล้วนแล้วแต่ก็มีสามีกันแล้ว ดงั นนั้ เราจึง สอบถามทา่ นศาสนทตู เกี่ยวกบั ประเดน็ นี้ และโองการในเรื่องนี้จึงถูกประทานลงมาความวา่ และบรรดาหญิงทีอ่ ยู่ในปกครองของสามีนอกจากที่มือขวาของพวกเจา้ ครอบครอง จากนนั้ พวกเราจึงไดม้ ีเพศสมั พนั ธ์กบั สตรีเหล่านี้ : หะดีษเหล่านี้บนั ทึกโดย อตั ติรมิซีย์,อนั นะซะ อีย์,อิบนุยะรีรและมุสลิมใน ‚อศั ศอเฮี๊ยฮฺ‛ ของเขา (อ้างจาก Tafsir Ibn Kathir (Abridged) Volume 2, Parts 3, 4 & 5 (Surat Al-Baqarah, Verse 253, to Surat An-Nisa, Verse 147), abridged by a group of scholars under the supervision of Shaykh Safiur-Rahman Al- Mubarakpuri [Darussalam Publishers & Distributors, Riyadh, Houston, New York, Lahore; First edition, March 2000], p. 422; bold emphasis ours) โดยสรุปจากข้อเขยี นทงั้ หมดของนายแซม แชมมนู ดงั ที่ได้เสนอไปนี ้เจ้าตวั ผ้เู ขยี นตลอดจนคนอนื่ ๆ ก็คงเข้าใจเช่นเดยี วกนั วา่ ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่บรมเลวซึ่งอนมุ ตั ิเร่ืองของการขืนใจทางเพศ ตอ่ สตรีที่ถูกจับมาเป็ นเชลยภายใต้ภารกิจอันยิ่งใหญ่อย่างสงครามศกั ด์ิสิทธิ์(หรือ ‚จีฮัด‛ ใน สาํ นวนของสํานกั นกั ขา่ วไทย) วา่ งนั้ เถอะ!!? ทศั นะวิภาษ ก่อนจักได้ทําการวิพากษ์ถึงความเข้าใจอันเป็ นผลมาจากความอวิชชาของนายแซม เชมมนู ผ้นู ี ้ข้าฯต้องการที่จะสร้างความเข้าใจในเบือ้ งต้นแก่ท่านผ้อู ่านก่อนว่าในกรณีของการจับ คนมาเป็นเชลยสงครามนนั้ กินความหมายเฉพาะแคบ่ ุคคลที่มิได้เป็ นมสุ ลิมเท่านนั้ ท่ีจะถูกจบั มา เป็นทาสเชลยในกฎหมายอสิ ลาม เพราะโดยพืน้ ฐานแล้วอิสลามห้ามการทําสงครามตอ่ ส้เู ขน่ ฆ่า กนั ระหวา่ งมสุ ลมิ ด้วยกนั เอง และในขณะเดยี วกนั สงครามในทศั นะของอิสลามก็วางอย่บู นปัจจยั เพียงไมก่ ่ีประเดน็ เท่านนั้ ซ่งึ อาจจะสามารถอธิบายได้วา่ ประเดน็ หลกั ๆของสงครามในอสิ ลามก็เป็น สงครามในการประกาศความชอบธรรมในอิสรภาพทางศาสนาท่ีถกู ปิ ดกนั้ จากอารยธรรมอ่ืนๆ ประการสําคญั ที่ท่านผ้อู ่านจําต้องเข้าใจก่อนก็คือโดยหลกั การพืน้ ฐานของอิสลามแล้ว บคุ คลที่ตกเป็นทาสภายใต้ร่มธงของอสิ ลามนนั้ จะมีสิทธิ,เกียรติยศและการได้รับการดแู ลอย่างดี เฉกเช่นเดียวกับท่ีมนุษย์ปุถุชนคนอื่นๆเขามีกัน ซ่ึงในความเป็ นจริงของกฎหมายอิสลามนัน้ “การข่มขนื ” เชลยหญิงจากท่ีได้รับในการทําสงครามคอื ส่ิงต้องห้ามท่ไี ม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ ในทางกลบั กนั อิสลามกไ็ ด้อนุญาตให้แก่ชายมสุ ลิมสามารถที่จะมีเพศสมั พนั ธ์กับทาส-เชลยหญิง
~ 75 ~ ของพวกเขาได้ แต่กฎหมายในส่วนนีม้ ิได้หมายความว่าการอนุญาตให้มีเพศสัมพันธ์จะ หมายถึงการเปิ ดไฟเขียวให้ “ข่มขืน” แก่สตรีท่ีถูกจับมาเป็ นทาสได้ หากเราพิจารณา ข้อเท็จจริงท่ีวา่ พระองค์อลั ลอฮฺและท่านศาสนทูตต่างบัญชาใช้แก่ชายมสุ ลิมทําการดูแลเลีย้ งดู ทาส-เชลยหญิงของพวกเขาด้วยการให้เกียรติและเคารพสิทธิของพวกนางอย่างดี ข้าฯเองมิได้ ปฏิเสธดอกว่าหะดีษเรื่องการหลบั นอนกับเชลยหญิงที่นาย แซม แชมมนู ยกมาอ้างอิงจากการ รายงานของอบสู ะอีดนนั้ เป็นหะดีษท่ีมบี นั ทึกอย่จู ริงในตําราประมวลหะดษี ของชาวมสุ ลิม หากแต่ ว่ามนั เป็ นเพียงการหยิบหะดีษมานําเสนอชนิดโยนเผือกร้อนแก่ผ้อู ่านทัง้ ท่ีตนเอง(และอาจจะ รวมถึงผ้อู า่ นทวั่ ๆไป)มิได้รู้กฎเกณฑ์ความเป็นมาและเหตผุ ลวิทยปัญญาของกฎหมายดงั กลา่ วใน อิสลามเลย การนําเสนอหะดีษข้างต้นจึงเบี่ยงเบนกลายไปเป็ นฉากสงครามแห่งการข่มขืนของ เหลา่ อคั รสาวกแห่งทา่ นศาสนทตู ไปเสยี ฉิบ!! ซ่ึงหากการเข้าใจถึงหลกั กฎหมายอสิ ลามทําได้เพียง แคก่ ารน่งั อ่านตวั บทหะดีษเพียงผิวเผินแล้วก็ทึกทกั ตามเข้าใจแห่งอตั ตาของตนดงั ที่นาย แซม แชมมนู กระทําอย่นู นั้ ประชาชาติอิสลามก็คงมิจําเป็ นต้องดนั้ ด้นกันอย่างสาหัสเพ่ือเขียนตํารา อรรถาธิบายหะดีษกันให้เหน่ือยเปล่าก็ได้กระมงั หนังสือ ฟัตฮุลบารีย์ ของอิมามอิบนุฮะญัร และชรั ฮฺศอเฮี๊ยฮฺมสุ ลมิ ของ อมิ ามนะวาวีย์ กค็ งมจิ ําเป็นต้องหยิบยกมาใช้กนั ให้เปลอื งเวลาแต่ ประการใด!! ตลอดระยะเวลาที่ผา่ นมาในหน้าประวตั ศิ าสตร์ มนษุ ย์ชาตติ า่ งเข้าใจผิดเพยี ้ นกนั มาตลอด วา่ อสิ ลามคือผ้กู อ่ สร้างระบบทาสขนึ ้ มา,อิสลามคือศาสนาท่ีเปิ ดทางให้แกน่ ายทาสในการกดข่ีทาส ความเข้าใจดังกลา่ วนีเ้ กิดขนึ ้ มาจากการโหมโฆษณาทางส่ือตะวนั ตกถึงความโหดร้ายของทาส ตามท่ีปรากฏอย่ใู นชาติมสุ ลิมแถบแอฟริกา ทงั้ ท่ีความเป็ นจริงแล้วการนําเอาความล้าหลงั ของ ประเทศในโลกที่ 3 มาโหมกระหน่ํายดั เยียดวา่ เป็นผลมาจากคาํ สอนของอิสลามนนั้ เรียกได้ว่าเป็ น การกระทําอาชญากรรมของสือ่ ตะวนั ตกอย่างแท้จริง เพราะการมที าสในสงั คมแอฟริกาแป็นผลมา จากสภาพแวดล้อมที่ขาดการพฒั นาและความล้าหลงั ทางเศรษฐกิจ ทงั้ การมีทาสเองก็มิใช่หลกั ปฏิบตั ิกนั ในหมมู่ สุ ลมิ เพียงถ่ายเดียว ในหม่คู ริสต์ชนในแถบแอฟริกาเองก็ยงั มีการคงไว้ซ่ึงระบบ ทาสเฉกเช่นเดียวกบั ศาสนาพืน้ บ้านและลทั ธิบชู าผอี ่ืนๆ มิหนําซํา้ เจ้าพวกฝร่ังตานํา้ ข้าวท่ีพี่ไทยเรา เทิดทนู นกั หนามใิ ชห่ รือที่เป็นกลมุ่ บคุ คลท่ีจบั ชนผวิ ดาํ ในแอฟฟริกาไปเป็นทาสของชาวยุโรปอย่าง โหดเหีย้ มจนนําไปสสู่ งครามกลางเมอื งในอเมริกาเพราะปัญหาเรื่องทาสเป็ นต้นเหตุ แม้กระทั่งพ่ี ไทยเราเองก็มีปรากฏชนชัน้ ทาสไพร่มาตลอดระยะประวัติศาสตร์ทัง้ สถานภาพของทาสใน สงั คมไทยก็สดุ แสนตาํ่ ต้อยมิปานสตั วต์ นหนงึ่ เท่านนั้ เพราะนอกจากจะถกู ใช้งานเย่ียงสตั ว์แล้วนาง ทาสทงั้ หลายยงั ตกเป็นเป้ าของกามารมณ์จากพวกท่านขนุ ศกั ดนิ าทงั้ หลายทงั้ เคราะห์กรรมก็มกั ซาํ ้ ซัดอีกเม่ือเมียหลวงรู้ความเข้าก็นิยมตบนางทาสกนั กระจายดงั ท่ีพบเห็นการตามละครนํา้ เน่า โบราณของไทย
~ 76 ~ อารยธรรมทาสที่อย่ฝู ังรากในสงั คมมนษุ ย์ต่างราบร่ืนมาตลอดเน่ืองด้วยเพราะศาสนา ตา่ งๆของโลกมิเคยวางระบบในการทําลายสงั คมทาสอย่างเช่นท่ีอิสลามได้วางไว้แตอ่ ย่างใดเลย ดงั นนั้ อปุ มาการยดั เยียดระบบทาสแก่อิสลามด้วยการกระทําของมสุ ลมิ บางกลมุ่ นนั้ ก็อปุ มยั ได้กบั การยัดเยี ยดเรื่ องการ ผิดประเวณี แก่พุทธศาสนาด้ วยการทุศีลทางเพศของเหล่าพระสงฆ์(และ รวมถึงเยาวชนไทยทงั้ ผองในยคุ ปัจจบุ นั )ตามที่มปี รากฏกนั อย่างดาษดน่ื ในหน้าจอทีวี ซึง่ บคุ คลผ้มู ี ปัญญากจ็ กั รู้ดีวา่ การอปุ มาอปุ มยั ยดั เยียดในลกั ษณะดงั กลา่ วนีค้ ือความอธรรมและอ่อนโลกทัศน์ ทางตรรกะอย่างแท้จริง ฉันท์ใดก็ฉนั ท์นนั้ การจะเข้าใจถึงจุดยืนและเจตคติของอิสลามต่อระบบ ทาสและการ ‚ข่มขืน‛ เชลย-ทาสหญิงนัน้ จําต้องตรวจสอบอิสลามจากแม่บททางศาสนาคือ คมั ภรี ์อลั กรุ อานและหะดษี อนั เป็นวจนะของทา่ นศาสนทตู มิใช่ไปเล่นหยิบยกการประพฤติมิชอบ ของอารยธรรมหนง่ึ ใดมาตดั สินกนั ส่ิงท่ีท่านผ้อู า่ นควรจะกระทําไว้เป็ นเบือ้ งต้นก่อนก็คือการทําลายความเข้าใจผิดๆท่ีว่า อิสลามเป็นผ้รู ิเริ่มระบอบทาสขนึ ้ มาในสงั คมโลก แตใ่ นทางตรงข้ามแล้วระบอบทาสคอื สงิ่ ที่ปรากฏ เป็นโครงสร้างสําคญั ของทกุ สงั คมในยคุ อดีตนับตงั้ แตก่ ่อนการมาของอิสลามด้วยซํา้ ไป มนั คงดู เป็ นเรื่องที่ไม่ไกลเกินจริงนกั หากจะทําการสรุปไปว่าระบอบทาสคือธรรมเนียมอนั เก่าแก่ที่อบุ ัติ ขนึ ้ มาพร้อมๆกบั สงครามครงั้ แรกของมวลมนษุ ยชาติจากสาเหตทุ ี่ว่าระบอบทาสนนั้ คือผลลพั ธ์ที่ เกิดขนึ ้ จากการทําสงครามกันเองในมวลมนษุ ย์ ดงั นัน้ ระบอบทาสท่ีเกิดขนึ ้ ครัง้ แรกจึงเกิดขึน้ หลังจากสงครามครัง้ แรกของมนุษยชาติได้เกิดขึน้ และวิสยั ของสงครามแล้วโดยท่ัวไปมันก็ เปรียบเสมือนโรงงานซ่งึ ได้แปรเปลี่ยนสภาพธรรมชาติของมนุษย์จากบุคคลผ้อู อ่ นโยนส่มู นุษย์ที่ แขง็ กระด้าง,จากมนษุ ย์ท่ีหวาดกลวั ในคาวเลอื ดกก็ ลบั กลายมาเป็นมนษุ ย์ผ้หู ลงั่ เลือดศตั รูชโลมดิน เพื่อตนเอง และสําหรับบุคคลที่มิได้ถูกสังหารลงในการสงครามนนั้ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของ สงครามยคุ อดีตแล้วการตกเป็ นเชลยและนําไปเป็ นทาสคือทางเลือกหนึ่งของผ้เู ผด็จศึกสงคราม ทงั้ หลาย เชน่ เดียวกบั การประหาร,การไถ่ตวั ,การแลกเปลี่ยนเชลยและการปลอ่ ยเชลยศกึ ไปอยา่ งดี งามท่ีตา่ งก็เป็นทางเลอื กหน่งึ ในการทําสงครามทงั้ สนิ ้ เมือ่ ครงั้ ที่ศาสนาอิสลามได้ปรากฏขนึ ้ ในคาบสมทุ รอารเบียและขจรขจายไปทั่วทกุ เผา่ ของ อาหรับนนั้ ประวตั ิศาสตร์ท่ีถกู ต้องได้บอกแก่เราว่าการมาของอิสลามต้องเผชิญกับการคกุ คาม และท้าทายโดยบรรดาศตั รูของพวกเขาทวั่ ทกุ สารทิศ ในห้วงเวลานนั้ ธรรมเนียมสงครามท่ีมกั มกี าร จบั เชลยศกึ มาเป็นทาสได้รบั การปฏบิ ตั ิอยทู่ ว่ั ไปจนกลายเป็นวฒั นธรรมทางสงครามประการหน่ึง ไปแล้วโดยเฉพาะในหมู่นักรบอาหรับที่นิยมทําสงครามกันมาตัง้ แต่ยุคสมัยก่อนอิสลาม เพราะฉะนนั้ ดงั ที่ได้กลา่ วไปแล้ววา่ การมงุ่ จะให้อิสลามเลกิ ทาสอยา่ งเฉียบพลนั ขนึ ้ ในสงั คมยามนนั้ นอกจากจะเป็นความพยายามที่แทบเป็นไปไมไ่ ด้แล้วยงั อาจเป็ นสาเหตทุ ี่สร้ างความย่งุ เหยิงและ โกลาหลขนึ ้ ในหม่ชู าวอาหรับมสุ ลิมเสียแทน ด้วยเหตนุ ีเ้ องกระบวนการในการเลิกทาสด้วยการ
~ 77 ~ จดั การอย่างเป็นขนั้ ตอนจึงถกู นํามาเป็นเครื่องมอื แทนที่นโยบายการเลิกทาสอย่างเฉียบพลนั ที่ไม่ เป็นผลในทางปฏิบตั ิ เพราะหากวา่ การสงครามระหว่างมสุ ลิมกับศตั รูของพวกเขาในอดีตต้องจบ ลงด้วยการบีบคนั้ ให้มสุ ลมิ ทําการปลอ่ ยเชลยศกึ ของพวกเขาให้เป็ นไทกันเพียงทางเลือกเดียว ใน ขณะเดยี วกนั กบั ท่ีศตั รูของพวกเขาได้จบั เชลยมสุ ลิมมาทําเป็นทาสในทิศทางตรงกนั ข้ามด้วยแล้ว การกระทําดงั กลา่ วก็คงมิใชอ่ ืน่ ใดนอกจากจะเป็นการเปิ ดโอกาสให้ความหายนะคบื คลานเข้ามาสู่ สงั คมและกองทพั มสุ ลิมอนั เป็นการมอบโอกาสอนั ยิ่งใหญโ่ ดยใชเ่ หตแุ ก่เหลา่ ศตั รูของอิสลามได้ ซ่ึง แนน่ อนวา่ ย่อมไมม่ ผี ้มู สี ตปิ ัญญาคนใดจะทําใจบีบคนั้ มสุ ลิมให้ยอมรับการกระทําดงั กลา่ วนนั้ ได้ ย่ิงไปกวา่ นัน้ มันเป็ นสิ่งท่ีจําต้องยอมรับอย่างแท้จริงไม่เพ้อฝันไปกับศีลธรรมอุดมคติว่าศิลปะ ทางการสงครามที่ถกู กระทําโดยฝ่ ายศตั รูนนั้ มกั จะถกู กระทํากลบั ในทิศทางเดียวกนั โดยฝ่ ายตรง ข้ามด้วย ทงั้ นีก้ ็เพ่ือที่จะธํารงไว้ซึ่งความสมดลุ ทางการทหารระหว่างทงั้ สองฝ่ าย ด้วยข้อเท็จจริง เหลา่ นีเ้ องที่อิสลามจําต้องมีการอนุโลมให้มสุ ลิมสามารถนําเชลยมาเป็ นทาสของพวกเขาได้เพ่ือ รักษาดลุ ยภาพทางการทหารที่ฝ่ ายศตั รูเองกไ็ ด้มกี ารจบั มสุ ลิมไปเป็นทาสเชน่ เดยี วกนั พดู ถงึ ตอนนี ้ พวกแอนตอี ้ ิสลามอาจจะลกุ ขนึ ้ คดั ค้านวา่ ในเมื่ออิสลามมีหลกั การเรื่องญิฮาดอยู่ แล้วสงครามท่ี มสุ ลิมกระทําไปในยคุ ปัจจบุ นั นเี ้ลา่ มนั จะไมเ่ ป็นกระบวนการท่ีทาํ ให้โลกต้องกลบั ไปสรู่ ะบอบสงั คม ทาสเฉกเชน่ ในอดีตอีกกระนนั้ หรือ? อสิ ลามจะไมใ่ ชผ่ ้สู ร้างระบอบทาสขนึ ้ ใหมแ่ ละคาํ ้ จนุ การมที าส ดอกหรือ? ย่ิงไปกวา่ นนั้ เพ่ือให้ข้อครหานีเ้ พิ่มนํา้ หนกั มากขนึ ้ พวกเขาจงึ ได้นําเอาคาํ ฟัตวาของทา่ น ชยั คฺซอและฮฺ อลั เฟาซาน นกั วิชาการชนั้ ปราชญ์ราชบณั ฑิตของซาอดุ ิอารเบียมานําเสนอไว้วา่ “ระบอบทาสจะยงั คงอยตู่ ราบเทา่ ที่การญิฮาดในหนทางของอลั ลอฮฺยงั คงอยู่”60 จากคําฟัตวาดงั กลา่ วนีเ้ องที่เหลา่ นกั วิชาการตะวนั ตกได้หยิบยกมาเป็นข้อโจมตอี สิ ลามวา่ อิสลามคือตัวการที่จะทําให้ระบอบทาสเกิดขึน้ มาอีกครัง้ คราบนหน้าพิภพนี ้ เพราะกฎหมาย อสิ ลามได้เปิ ดทางให้นําเชลยสงครามมาทําทาส ข้อวิพากษ์วิจารณ์เหล่านีล้ ้วนแล้วแตเ่ ป็ นผลมา จากปราชญ์มสุ ลมิ สว่ นหนึ่งด้วยเชน่ กนั ที่นิยมใช้คําหม่ินเหม่หรือ “ขวานผา่ ซาก” ที่อาจก่อให้เกิด การเข้าใจอสิ ลามอย่างสบั สนเสยี หาย ตลอดจนความโง่เขลาของพวกนกั ต่อต้านอสิ ลามด้วย เก่ียวกบั ประเดน็ นีเ้ รามีประเดน็ ต้องทําความเข้าใจดงั นีว้ ่า อิสลามปฏิเสธระบอบทาสทกุ กรณีเว้นแตท่ าสที่มาจากกรณีของเชลยสงครามเท่านนั้ และสงครามที่ว่านนั้ หมายถึงสงครามญิ ฮาดในศาสนาอสิ ลาม แน่นอนวา่ การญิฮาดมิใช่การรุกรานหรือการเข่นฆ่าล้างผลาญ การญิฮาด อาจจะเกิดขนึ ้ จากกรณีที่ศตั รูอิสลามมงุ่ วางแผนเพ่ือทําการบ่อนทําลายรัฐอิสลามหรือกรณีที่ศตั รู อสิ ลามบกุ รุกเข้าสรู่ ัฐอิสลามแล้ว หรือในอีกกรณีหนึ่งการญิฮาดจะเกิดขนึ ้ ก็ต่อเม่ือรัฐหนึ่งรัฐใดทํา 60 The Heresies of Sayyid Qutb in Light of the Statements of the Ulamaa (Part 2) : http://www.allaahuakbar.net/jamaat-e-islaami/qutb/heresies_of_sayyid_qutb2.htm
~ 78 ~ ตนเป็ นศตั รูกับรัฐอิสลาม โดยการกีดกันการเผยแพร่ศาสนาอิสลามในรัฐดงั กล่าว กีดกันสิทธิ มนษุ ยชนของชาวมสุ ลิมในรัฐดงั กล่าว กีดกันสิทธิทางศาสนาของชาวมสุ ลิม ญิฮาดจึงจําเป็ นที่ จะต้องเกิดขึน้ เพื่อการปลดปล่อยการกดขี่ชาวมสุ ลิมและทําให้อิสลามสามารถดํารงอยู่ได้ใน ดินแดนตา่ งๆ ดงั นนั้ ญิฮาดจึงเป็ นสงครามแห่งความชอบธรรมที่เป็ นผลมาจากความอธรรมของ ฝ่ ายศตั รูกอ่ น การญิฮาดหรือสงครามของชาวมุสลิมนัน้ จะต้ องกระทําไปภายใต้ กฎเกณฑ์ทาง มนษุ ยธรรมมากมายเชน่ การไมฆ่ า่ สตรีและพลเรือนผ้บู ริสทุ ธ์ิ การไมท่ ําลายข้าวของแม้กระท่ังการ ตดั ต้นไม้ก็ยงั ถกู สงั่ ห้ามในกฎหมายการญิฮาดของอิสลาม เมอื่ การญิฮาดเสร็จสิน้ ลงเชลยศึกจาก สงครามจงึ เป็นสิง่ ที่ติดตามมาเป็ นของคกู่ ัน เชลยสงครามนนั้ โดยปกติแล้วกฎหมายสากลในยคุ ปัจจบุ นั นนั้ ยอมรบั ได้หากผ้ชู นะสงครามมิได้ทารุณกรรมเชลยศกึ และแน่นอนวา่ กฎหมายอิสลาม ได้สง่ั ใช้ให้ปฏิบตั ติ อ่ เชลยศกึ อยา่ งดี คําว่า “ทาส” นัน้ หมายถึงบุคคลท่ีไม่มีอิสระแก่ตนเอง คําว่า “เชลย” ก็เช่นเดียวกันที่ หมายความวา่ เป็นบคุ คลที่ไมม่ ีอิสระในตนเอง และอาจจะถกู บงั คบั ใช้แรงงานเช่นเดยี วกันกับทาส ดงั นนั้ การท่ีกฎหมายอิสลามอนมุ ตั ิการนําเชลยมาเป็นทาสก็สืบเนื่องจากข้อเทจ็ จริงท่ีวา่ ทาสเชลย กับเชลยสงครามในยุคปัจจบุ ันกค็ ือส่งิ เดียวกันน่ันเอง!!! และเชลยศกึ กเ็ ป็นบคุ คลในกฎหมาย ประเภทหนึ่งที่กฎหมายนานาชาติในสังคมทุกวันนีต้ ่างก็ยอมรับ จะแตกต่างกันเพียงแต่ว่า กฎหมายนานาชาตมิ กั จะแก้ไขปัญหาของเชลยศึกด้วยการกุมขงั ในตะรางหรือคา่ ยกักขงั นกั โทษ แตอ่ ิสลามซ่ึงประเสริฐกวา่ นนั้ มองวา่ การกกั ขงั เชลยในคกุ ตะรางเป็นการกระทําที่ไม่สมควรเพราะ โดยพืน้ ฐานแล้วคกุ เป็ นส่ิงเลวร้ายต่อผ้ถู ูกกุมขงั จนพวกเขาไม่มีอิสรภาพในด้านตา่ งๆ อิสลามจึง แก้ปัญหาเชลยศึกเหลา่ นีด้ ้วยการทําให้เป็ นทาสเพราะสภาพการเป็ นทาสเชลยในอิสลามนัน้ แตกตา่ งและดเี ลศิ กวา่ การถกู กมุ ขงั อย่ใู นคกุ ตะรางดงั เชน่ ที่กฎหมายสากลในยคุ ปัจจบุ นั กระทําไป เสยี อีก เพราะทาสในอสิ ลามนนั้ มสี ทิ ธิทางการศกึ ษา,ทํางานตามความสามารถของตน,ใส่เสือ้ ผ้า เช่นเดยี วกบั นาย,กินอาหารเชน่ เดยี วกบั นายทาสของตนและสามารถเรียกร้องสิทธิการเป็ นไทจาก นายของตนได้ ฯลฯ ซึ่งเป็นมาตรการลงโทษตอ่ เชลยศกึ ที่ดแี ละมีมนษุ ยธรรมกวา่ การกกั ขงั พวกเขา อยใู่ นเรือนจําหรือคา่ ยกกั กันในสภาพอนั เลวร้ายดงั ที่เราพบเห็นสหรัฐอเมริกากุมขงั ผ้กู ่อการร้าย และเชลยจากสงครามในอฟั กานิสถานบนคกุ อา่ วกวนตานาโมในสภาพที่ไร้มนษุ ยธรรมอย่างมาก แตก่ ็กลบั ถกู ยอมรบั จากกฎหมายนานาชาติวา่ การกมุ ขงั เชลยศกึ เช่นนนั้ เป็นทีย่ อมรับได้ แล้วกระไร กนั เลา่ พวกเขาจงึ แสร้งตบตาชาวโลกวา่ พวกเขายอมรบั กฎหมายทาสเชลยในอิสลามไมไ่ ด้อีก???! เหลา่ นีค้ อื ข้อกฎหมายและแบบฉบบั ของทา่ น ศาสนทตู ศอ็ ลฯ ท่ีเราจะพบจากช่วงชีวิตแห่งการทํา สงครามของท่านว่าน้อยครัง้ มากหรือแทบไม่มีเลยที่ท่านจะตดั สินชะตากรรมของเชลยด้วยการ ประหารหรือไม่ก็กุมขงั พวกเขาแบบที่กฎหมายยุคปัจจุบันได้กระทําไว้ เพราะฉะนนั้ ข้อกฎหมาย
~ 79 ~ ของอิสลามที่อนุมตั ิให้นําเชลยสงครามมาเป็ นทาสนนั้ ถือว่าเป็ นเพียงมาตรการการลงโทษทาง กฎหมายตอ่ ผ้ลู ะเมิดหรือเชลยศกึ ที่อิสลามกระทําไปในยคุ อดตี ควบคกู่ บั การประกนั สิทธิมนษุ ยชน ทางกฎหมายแก่ทาสประเภทนีไ้ ว้ เช่นเดียวกบั ท่ีกฎหมายสากลในยุคปัจจบุ ันมีมาตรการในการ ลงโทษผ้ลู ะเมิดหรือเชลยศกึ ด้วยการกมุ ขงั ในคา่ ยกกั กนั หรือคกุ ตะราง ดงั นนั้ ข้อกฎหมายเร่ืองทาส ในอิสลามประการนีจ้ ึงไม่มีส่ิงใดที่ควรจะถูกประณามเพราะเป็ นพืน้ ฐานในการแก้ไขปัญหา สงครามอยา่ งหน่ึงที่รฐั ตา่ งๆทกุ วนั นีก้ ็กระทํากนั อยใู่ นรูปแบบท่ีตา่ งกนั หากแตค่ วามเข้าใจผิดและ ความรู้สกึ ไมด่ ที ่ีคนมตี อ่ ข้อกฎหมายนีก้ ็ล้วนแล้วแตม่ าจากความรู้สกึ ไมด่ ีตอ่ คาํ วา่ “ทาส” เพราะคน ยคุ ปัจจบุ นั นีม้ โี ลกทศั น์ตอ่ คําดงั กลา่ วในทางลบมากรวมถึงการขาดความเข้าใจวา่ “ทาส” ที่ถกู ระบุ อย่ใู นกฎหมายสงครามของอิสลามนนั้ คอื คนละความหมายกบั ทาสท่ีทศั นคติของมนษุ ย์มีอย่แู ละ เข้าใจ เพราะทาสเชลยในอิสลามนนั้ เป็นเพียงบคุ คลผ้ลู ะเมิดตอ่ รัฐอิสลามซ่ึงถูกกฎหมายอิสลาม ใช้มาตรการลงโทษเทา่ นนั้ ดงั ที่ทา่ น ชยั คอฺ ชั ชนั กีตีย์ (รอฮิมาฮลุ ลอฮฺ) ได้อธิบายไว้วา่ فإذا أقدر اللهُ المستمٌَن المجاهدنن الباذلٌن، أُماربة الله أرسمل، هم المفر: أسبب المتك بالرق جمتهم: ُمَهجهم أأممالهم أجميع قماهم أما ألطاهم الله فاممن تتمة الله هي المتيا لتى المفار متماً لهم بالسبي إلا إذا اخاار الإمام الم َّن أأ الفداء لما ُب ذلك من المصتحة لتمستمٌن “เหตผุ ลสาหรับการมีอยู่ของระบอบทาสก็คือ(การลงโทษต่อ)กุฟรฺ(การปฏิเสธศรัทธา)และการ ตอ่ ตา้ น(ดว้ ยการทาสงคราม)ตอ่ พระองค์อลั ลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์ เมือ่ พระองค์อลั ลอฮฺได้ อนมุ ตั ิแก่มญุ าฮิดีนมสุ ลิมซึ่งพวกเขาไดถ้ วายวิญญาณและทรพั ย์สินของพวกเขาและการต่อสู(้ เพื่อ อลั ลอฮฺ)ดว้ ยกบั ความเขม้ แขง็ ทง้ั หมดของพวกเขาตลอดจนสิ่งทีอ่ ลั ลอฮฺไดม้ อบแก่พวกเขา โดยทา ใหพ้ ระดารสั ของพระองค์นน้ั สูงส่งเหนือเหล่าผู้ปฏิเสธ ดงั นน้ั พระองค์จึงอนุมตั ิทรัพย์สินของพวก เขาดว้ ยการใหม้ ีระบอบทาส(การนาเชลยมาเป็นทาส-ผแู้ ปล)จนกว่าผูป้ กครองมุสลิมได้เลือกที่จะ ปล่อยเชลยให้เป็ นอิสระไปปล่าวๆหรือปล่อยเชลยด้วยการไถ่ตัวก็ได้หากว่าส่ิงดงั กล่าวนน้ั มี ประโยชน์ตอ่ บรรดามสุ ลิม”61 ในสงครามทางศาสนาท่ีเกิดขนึ ้ ระหว่างฝ่ ายมสุ ลิมกับศตั รูนนั้ กรณีของเชลยศกึ ท่ีมสุ ลิม ได้มาไมว่ า่ จะเป็ นชายหรือหญิงก็ดีนนั้ มิใช่ว่าทัง้ หมดเหลา่ นีจ้ ะถูกนํามาเป็ นทาสและปราศจาก ทางออกเลยโดยสิน้ เชิง ในทางกลบั กันการได้เชลยศึกเหล่านีม้ าในเบือ้ งแรกนนั้ รัฐบาลหรือผ้นู ํา มสุ ลมิ จะต้องทําการประวงิ เวลาเพื่อที่จะสามารถนําพวกเชลยเหลา่ นีไ้ ปแลกเปลยี่ นคืนกนั กบั เชลย มสุ ลิมท่ีถกู ศตั รูจบั ไปด้วย ในช่วงระหวา่ งนีเ้ ชลยสงครามที่ตกอย่ใู ต้การจบั กมุ ของชาวมสุ ลมิ จะต้อง ได้ รับการปฏิบัติด้ วยคว ามดีงามและอิสลามป ระณามการทารุ ณ กรร มเชลยสงคราม ทุกกร ณี ชะตากรรมของเชลยจึงขึน้ อย่กู ับฝ่ ายตรงข้ามวา่ จะยินยอมสง่ เชลยศึกมสุ ลิมมาแลกเปลี่ยนคืน 61 อฎั วาอลุ บะยาน ฟี ตฟั ซีริลกุรฺอาน บิลกรุ ฺอาน. เลม่ 3 หน้า 120.
~ 80 ~ หรือไมเ่ พราะชีวิตและเลอื ดเนือ้ ของความเป็ นพ่ีน้องมสุ ลิมร่วมศาสนานนั้ ต้องมาก่อนส่ิงใดทงั้ สิน้ ชาวมสุ ลิมจึงไมม่ สี ่ิงใดจะขดั ขวางการแลกเปล่ียนเชลยเพราะพวกเขาจะต้องเหน็ แกอ่ ิสรภาพของพี่ น้องของพวกเขาเป็ นเบือ้ งแรกก่อน ในทางตรงกนั ข้ามเราพบว่าฝ่ ายศตั รูของมสุ ลิมเสียเองท่ีไม่ ยินยอมให้ มีการแลกเปล่ียนเชลยเพราะนอกจากพวกเขาต้องการจับมุสลิมเป็ นเชลยเพ่ือ จดุ ประสงค์ใดก็ตามแตแ่ ล้ว พวกเขามกั ไมแ่ ยแสสนใจตอ่ เพื่อนร่วมศาสนาของพวกเขาที่จะต้องมา ตกเป็นเชลยสงครามในมือของมสุ ลิม ท่านอบลุ อะอ์ลา เมาดดู ีย์ได้ทําการอรรถาธิบายโองการนี ้ (4:24) ไว้วา่ “ไม่อนมุ ตั ิใหท้ หารคนใดมีความสมั พนั ธ์ทางเพศกบั เชลยสงคราม “ทนั ที” ที่นางตกอยู่ใน ความครอบครองของตน กฎหมายอิสลามตอ้ งการใหส้ ่งผหู้ ญิงเหล่านี้ทงั้ หมดไปให้รัฐบาลที่มีสิทธิ จะปล่อยพวกนางใหเ้ ป็นอิสระ หรือแลกเปลีย่ นนางกบั เชลยมสุ ลิมทีถ่ กู ศตั รูจบั ไปหรือแจกจ่ายพวก นางใหแ้ ก่พวกทหาร และเฉพาะกบั ผหู้ ญิงทีร่ ัฐบาลมอบใหอ้ ยา่ งเป็นทางการเท่านนั้ ที่เป็นที่อนมุ ตั ิ ใหท้ หารอยู่ร่วมกบั นางฉนั ท์สามีภรรยา.”62 กระนนั้ กต็ ามหากการแลกเปล่ยี นเชลยมิอาจทําขนึ ้ ได้แล้ว ในกรณีของเชลยหญิงท่ีถกู จับ มาสตรีเหลา่ นีจ้ ะถกู มอบหมายจากรัฐบาลอิสลาม(คอลฟี ะฮฺหรืออามีร)ให้อย่ใู นการรบั ผิดชอบดแู ล ของทหารมสุ ลมิ แต่ละรายไปในฐานะท่ีนางเป็ นทรัพย์สงครามประเภทหนึ่งตามหลกั การอิสลาม (ฆอนีมะฮฺ) กระบวนการมอบหมายดงั กลา่ วนีจ้ ะเกิดขนึ ้ หลงั จากสงครามสิน้ สดุ ลงแล้วและเหลา่ ทหารพร้อมกบั เชลยศกึ ได้กลบั มายงั รฐั อิสลาม เม่ือรฐั บาลอสิ ลามพิจารณาแล้ววา่ จะมอบหมายให้ สตรีเชลยตกอยใู่ นการครอบครองรับผิดชอบของทหารแต่ละรายไปนนั้ การมอบหมายเหลา่ นีจ้ ะ มอบหมายสทิ ธิทางกฎหมายแก่ทหารในการมีเพศสมั พนั ธ์กบั นางแตเ่ พียงแคเ่ ฉพาะกับสตรีท่ีเขา ได้รับมอบจากรัฐบาลอิสลามเท่านนั้ เชลยหญิงรายอ่ืนท่ีเขาไม่ได้รับมอบจะเป็ นที่ต้องห้ามแก่เขา สทิ ธิท่ีทหารได้รบั มอบหมายจากรัฐบาลอสิ ลามนนั้ เรียกวา่ “สิทธิของการเป็ นนายทาส” (Right of Ownership) ตอ่ สตรีท่ีตนได้รับมอบหมายมา และเม่ือสิทธิดงั กล่าวได้ถูกมอบหมายจากรัฐบาล อิสลามแกเ่ ขาไปแล้วสทิ ธิประการนีจ้ ะเป็นผลให้เขาสามารถท่ีจะมีสมั พนั ธ์ทางเพศกบั นางได้อย่าง ถกู ต้องตามกฎหมาย กลา่ วถงึ ตรงนีห้ ลายคนอาจจะรู้สกึ รังเกียจและอยากจะประณามอิสลามวา่ เหตใุ ดจงึ อนมุ ตั ใิ ห้บรุ ุษสามารถมีสมั พนั ธ์ทางเพศกบั สตรีซงึ่ ไมใ่ ชภ่ รรยาตามความเข้าใจของมนษุ ย์ ยคุ ปัจจบุ นั ได้ ส่ิงที่จําต้องยํา้ เตือนแก่มวลมสุ ลมิ กนั เองอย่เู สมอก่อนก็คือว่าเมื่อกฎหมายชะรีอะฮฺ ของอิสลามได้ทําให้ส่งิ ใดเป็นที่อนมุ ตั แิ ก่เขาแล้วมนั เป็นส่ิงจําเป็นที่มวลมสุ ลิมจะต้องยอมรับวา่ มนั คอื สงิ่ ที่ถกู ต้องตามกรอบกฎหมายของอิสลาม ไมว่ า่ มนั จะสวนทางกบั อตั ตาความรู้สกึ ของค่านิยม มนุษย์หรือไม่และไม่วา่ เราจะทราบถึงวิทยปัญญาที่ซ่อนเร้ นอย่เู บือ้ งหลงั ข้อกฎหมายดงั กล่าว 62 เมาลานา ซยั ยิดอบลุ อะลาเมาดดู .ี ตฟั ฮีมลุ กุรอาน ความหมายคัมภีร์อลั -กรุ อาน เลม่ 1. หน้า 335. แปลโดย บรรจง บนิ กาซนั
~ 81 ~ หรือไมก่ ต็ าม เพราะมนั เป็นหน้าที่บงั คบั แก่มสุ ลิมที่จะต้องเชื่อมน่ั ในข้อกฎหมายเหลา่ นนั้ แตไ่ มเ่ ป็น ที่บงั คบั แก่มสุ ลมิ ท่ีจะต้องดิน้ รนแสวงหาเหตผุ ลอนั แท้จริงที่ซ่อนอย่เู บือ้ งหลงั ข้อกฎหมายตา่ งๆใน อิสลาม อนั เน่ืองมาจากบางครงั้ ข้อจํากดั ด้านองค์ความรู้และข้อจํากดั ด้านกาลเวลาของเราอาจจะ ไมส่ ง่ ผลให้การแสวงหาวทิ ยปัญญาในข้อกฎหมายตา่ งๆของอสิ ลามสําเร็จสมบรู ณ์ขนึ ้ ได้ พระองค์อลั ลอฮฺตะอาลาได้ตรัสไว้ในอลั กรุ อานไว้วา่ قُ ْل أَأَعْـاُ ْم أَ ْلتَ ُم أَِم ٱلَتُّ َأَم ْن أَظْتَ ُم ِمَمّ ْن َتاَ َم َشَهاَدةً ِلك َدهُ ِم َن ٱلَتِّ َأَما ٱلَتُّ بِغَافٍِل َل َّما تَـْم َمتُمَن ‚จงกลา่ วเถิด(มฮุ มั มดั ) วา่ พวกท่านรู้ดีย่ิงกวา่ อลั ลอฮ์กระนนั้ หรือ? แล้วผ้ใู ดจะอธรรมย่ิงไป กวา่ ผ้ทู ่ีปิ ดบงั หลักฐานจากอลั ลอฮ์ ซึ่งมีอย่ทู ี่เขา และอัลลอฮ์นนั้ จะไม่ทรงเผลอในสิ่งท่ีพวกเจ้า กระทํากนั อย่‛ู (2:140) ดงั นนั้ เม่อื คนหนงึ่ คนใดไมส่ ามารถท่ีจะแสวงหาวิทยปัญญาซง่ึ ถกู ซอ่ นเร้นอย่เู บือ้ งหลงั ข้อ กฎหมายอสิ ลามแตล่ ะประการได้เพราะความอบั จนทางวชิ าการของเขา ตวั เขาเองก็ไม่มีสิทธิที่จะ ประณามกฎหมายอิสลามด้วยความไม่รู้ของเขาเองได้ เพราะในทางตรงกันข้ามแล้วไม่มีข้อ กฎหมายชะรีอัตข้อใดในอสิ ลามท่ีจะสวนทางหรือไม่กินกับสติปัญญาและวิทยญานของ มวลมนุษย์ได้ ดงั เชน่ ข้อกฎหมายเรื่องของการหลบั นอนกับทาสหญิงของพวกเขาโดยไมต่ ้องทํา การแตง่ งานซึง่ พอจะประมวลวิทยปัญญาของมนั ได้ดงั นี ้ การเป็ นนายทาสเหนือทาสหญิงอย่างถกู ต้องตามกฎหมายซึ่งมสุ ลิมคนหน่ึงได้รับสิทธิ ดงั กลา่ วจากรฐั บาลอิสลามนนั้ ในทางเดยี วกนั มนั ก็ได้มอบการกระทําที่ถกู ต้องตามกฎหมายแก่ทงั้ สองในการท่ีจะสามารถมเี พศสมั พนั ธ์ตอ่ กนั ได้ เพราะในขณะท่ี “พิธีการแตง่ งาน” ได้มอบสิทธิทาง กฎหมายแก่ผ้ชู ายในการมีสมั พนั ธ์ทางเพศตอ่ สตรีที่เขาแต่งงานด้วย การครอบครองทาสหญิง อย่างถกู ต้องตามกฎหมายก็คือกระบวนการท่ีได้เข้าไป “แทนที่” พิธีการแต่งงานท่ีผ้ชู ายจะต้อง กระทําตอ่ สตรีท่ีเขาพึงใจ เพราะสถานภาพของหญิงทาสนนั้ อิสลามมิได้พินิจนางอย่างต่ําๆว่า “ทาสสวาท” (Sex Slave) ดงั ท่ีพวกอนารยะชนคนเถื่อนกําลงั เข้าใจไปก็หาไม่ ในทางกลบั กันนาง จะถกู เรียกวา่ “ศรั รียะฮฺ” ( ) سرنةซ่งึ เป็นคําท่ีมาจากรากศพั ท์ในภาษาอาหรบั วา่ “อลั -ศริ ” ( ) ال ِّسِّرอนั หมายถึงการแตง่ งานนัน่ เอง ดงั นนั้ ฐานะของทาสหญิงในอิสลามจึงมิใช่นางบําเรอ หากแต่นางเพียงดํารงอยู่ในสถานภาพทางสงั คมที่มีความแตกต่างกันเพียงแคใ่ นกระบวนการ เร่ิมต้นที่จะทําให้ทงั้ สองได้รับอนมุ ตั ิให้มีสมั พันธ์ทางเพศได้เท่านนั้ กล่าวคือสตรีที่เป็ นเสรีชนนนั้ โดยทว่ั ไปแล้วพวกเขาไมส่ ามารถท่ีจะถกู ครอบครอง.ซือ้ ขายเช่นหญิงทาสได้ ด้วยเหตนุ ีก้ ารที่ชาย หญิงจะสามารถร่วมประเวณีกนั ได้นนั้ จึงจะต้องผ่านขนั้ ตอนทางกฎหมายอิสลามเสียก่อนน่ันคือ การแตง่ งานซ่งึ เม่อื พิธีการสมรสได้เกิดขนึ ้ แก่ชายหญิงคหู่ น่ึงคใู่ ดแล้ว พิธีสมรสจะมอบสิทธิทางเพศ แก่ผ้ชู ายในการท่ีเขาจะร่วมหลบั นอนกบั ภรรยาของตน ในทางตรงกนั ข้ามทาสหญิงนนั้ สามารถท่ี จะครอบครองหรือซือ้ มาได้ดงั นนั้ เมื่อชายใดได้สิทธิทางกฎหมายในการเป็ นนายทาสต่อทาสหญิง
~ 82 ~ คนหนึ่งคนใดแล้ว สิทธิในการเป็นนายทาสนีจ้ ะเป็ นกระบวนการทางกฎหมายใหมท่ ่ีเข้าไปแทนที่ กา ร แ ต่ง ง า น ร ะ ห ว่า ง น า ย ท า ส กับ ท าส ห ญิ ง ข อ ง ต น แ ล ะนํ า ม า ซ่ึ ง สิ ท ธิ ข อ งน า ย ท า ส ใ น ก า ร มี เพศสมั พนั ธ์กบั ทาสหญิงด้วยเชน่ กนั ลกั ษณะของกฎหมายชะรีอตั ประเภทนีจ้ ะมีพบคล้ายๆกันใน เรื่องของการรับประทานเนือ้ สตั ว์เป็ นอาหาร กลา่ วคือในกรณีของประเภทสตั ว์บกแล้ว การเชือด สตั วพ์ ร้อมกบั การกลา่ ววา่ “บิสมิลละฮอิ ัลลอฮุอักบัร” จะเป็ นกระบวนการทางกฎหมายท่ีมอบ สิทธิการรบั ประทาน(หะล้าล)แก่มนุษย์ แต่ในกรณีของสตั ว์นํา้ เช่น ปลา, การซือ้ ปลา(ในตลาด), การจบั มนั มาจากหนองบึง,หรือการได้มนั มาอย่างถูกกฎหมาย(ไม่ได้ขโมย)จะมอบสิทธิของการ เป็นเจ้าของแก่มนษุ ย์ผ้นู นั้ และนําไปสกู่ ารอนมุ ตั (ิ หะล้าล)ที่จะกินมนั ได้โดยไมต่ ้องทําการเชือดอีก ตวั อย่างกฎหมายดงั กลา่ วนีเ้ ราจะพบวา่ ในกรณีของการรับประทานปลานนั้ การได้มนั มาอย่าง ถกู ต้องตามกฎหมายจะมอบสิทธิการรับประทาน(หะล้าล)แก่มนษุ ย์ซึ่งเป็ นกระบวนการที่เข้าไป แทนท่ีการเชือดสตั ว์ซ่ึงมอบสิทธิแก่มนุษย์ในการรับประทานสตั ว์บกได้ ข้อกฎหมายเหล่านี ้ สามารถท่ีจะเปรียบได้กับกรณีของสมั พนั ธ์ทางเพศวา่ การเป็ นเจ้าของตอ่ ทาสหญิงอย่างถกู ต้อง ตามกฎหมายนนั้ ได้ทําให้นางเป็นท่ีอนมุ ตั ิแก่นายของนางท่ีจะมีสมั พันธ์ทางเพศกบั นางได้โดยไม่ ต้องผา่ นพิธีการแตง่ งานอีก พิจารณาจากข้อเทจ็ จริงทงั้ หมดนีเ้ ราจงึ พบวา่ การอนุมตั ิการหลบั นอน กบั ทาสหญิงโดยมิต้องผา่ นการแตง่ งานจึงเป็นข้อกฎหมายของอสิ ลามท่ีมิใชก่ ารกระทําทางเพศอนั ป่ าเถื่อนหรือไร้อารยธรรมแตอ่ ย่างใดเลย ในทางตรงกนั ข้ามข้อกฎหมายดงั กลา่ วคือความสมั พันธ์ ระหวา่ งปัจเจกชนที่วางรากฐานอยบู่ นศลี ธรรมจรรยาเทียบเทา่ กบั สมั พนั ธ์ทางเพศท่ีสามี-ภรรยามี ตอ่ กนั ด้วยซํา้ ไป โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงทางกฎหมายที่ว่าความสมั พนั ธ์ท่ีนายทาสมีตอ่ ทาส หญิงกับความสมั พันธ์ท่ีนายทาสมีต่อภรรยานัน้ คือความสมั พันธ์ทางเพศท่ีตา่ งก็มีจุดร่วมและ ขอบขา่ ยของกฎหมายท่ีคล้ายคลงึ กนั กล่าวคือ ในกรณีของภรรยานนั้ ตามกฎหมายของอิสลาม ภรรยาไมส่ ามารถท่ีจะมี 2 สามีหรือร่วมประเวณีกับชายอื่นได้ กรณีของทาสหญิงก็เช่นเดียวกนั ที่ นางจะไมอ่ าจมีนายทาส 2 คนเพ่ือการร่วมประเวณีกับนางได้ ทงั้ สตรีไทและทาสหญิงตา่ งก็มีจุด ร่วมเหมอื นกนั ท่ีวา่ บคุ คลที่มสี ทิ ธิร่วมเพศกบั นางได้นนั้ มีเพียงแคค่ นเดยี ว คือสามีและนายทาสของ นางตามลําดับ ความเหมือนในลําดบั ต่อมาก็คือ สตรีไทนนั้ การแต่งงานของนางได้วางอยู่บน ขอบขา่ ยทางกฎหมายที่มีบรู ณภาพ หมายถึง นางไมส่ ามารถที่จะทําการแตง่ งานพรํ่าเพร่ือกบั ชาย คนใดท่ีพงึ ใจได้จนกวา่ การแตง่ งานเดิมของนางจะสนิ ้ สดุ ลงผา่ นกระบวนวธิ ีท่ีเราเรียกวา่ “การหยา่ ” ทาสหญิงเชลยกเ็ ช่นเดียวกนั หากวา่ นางได้ผา่ นการแตง่ งานมาก่อนแล้วในดินแดนอื่นๆและได้ถูก จบั มาเป็นเชลยเข้ามาสดู่ นิ แดนมสุ ลมิ เพียงนางผ้เู ดยี วเดียวโดยปราศจากสามีของนาง ดงั นนั้ ก็ยงั ไมเ่ ป็ นอนุญาตแก่ใครทัง้ สิน้ ที่จะแตะต้องตัวนางจนกวา่ สถานภาพการแต่งงานเดิมของนางจะ สิน้ สดุ ลงซ่ึงกระบวนการดงั กล่าวจะกระทําได้เมื่อรัฐบาลอิสลามประกาศมอบหมายให้เขาอยู่ ภายใต้การดแู ลของมสุ ลิมในฐานะทาสหญิงเพราะการนํานางเข้าสรู่ ัฐอิสลามในฐานะเชลยนนั้ จะ
~ 83 ~ เป็นผลให้การแตง่ งานของเชลยหญิงสนิ ้ สดุ ลง จากสาเหตทุ ่ีวา่ มนั ย่อมเป็ นไปไม่ได้ที่สามีของนาง ซึ่งอยู่ในเขตรัฐที่เป็ นศตั รูกับอิสลามจะยังคงสถานะของการเป็ นสามีทัง้ ท่ีภรรยาของเขาเป็ น ประชากรของรัฐอิสลามไปแล้ว เพราะมนั ยอ่ มเป็นไปไมไ่ ด้ที่ทงั้ สองจะเดินเหินฝ่ าวงล้อมแห่งความ ขดั แย้งระหวา่ งรัฐอิสลามกบั รฐั ศตั รูเพ่ือมาพบปะอย่รู ่วมกนั ฉนั ท์สาม-ี ภรรยา และนี่กย็ งั เป็นเหตผุ ล ที่วา่ เหตไุ ฉนเลยในกรณีที่คสู่ ามี-ภรรยาได้ถกู จบั มาเป็นเชลยของรฐั อสิ ลามด้วยกนั นนั้ ชาวมสุ ลิมจงึ ไม่ได้รับอนุมตั ิให้มีสัมพันธ์ทางเพศกับนางตามกฎหมายนีไ้ ด้เพราะการแต่งงานของนางยงั ไม่ สนิ ้ สดุ ลงจากข้อเทจ็ จริงท่ีวา่ สามขี องนางก็ได้ถกู จบั มาเป็ นทาสด้วย! ดงั กลา่ วนีบ้ ่งชีว้ า่ อิสลามได้ เคารพในบรู ณภาพของครอบครัวและฐานะของการเป็ นสามี-ภรรยาที่มิอาจจะทําการขม่ เหงสตรี แต่อย่างใดได้ เพราะหากอิสลามมีข้ออนมุ ตั ิให้ ‚ขม่ ขืน‛ แล้วไซร้อิสลามไม่จําเป็ นต้องเคารพใน บรู ณภาพแห่งครอบครัวของเชลยหญิงเลยเพราะการขม่ ขืนนนั้ ไม่อย่ใู ต้อํานาจของศีลธรรมใดๆ นอกจากอาํ นาจแห่งความเป็นสตั ว์เทา่ นนั้ ความเหมือนประการตอ่ มากค็ ือในกรณีของหญิงไทนนั้ หากนางได้หยา่ ร้างจากสามเี ดมิ แล้ว กวา่ นางจะแตง่ งานใหมไ่ ด้นางจะต้องผา่ นช่วงเวลาที่เรียกว่า “อดิ ดะฮฺ” ไปก่อนนางจึงจะแตง่ งานใหมไ่ ด้ซ่งึ อดิ ดะฮฺตรงนีห้ มายถงึ ช่วงเวลาที่รอให้มดลกู ของสตรี สะอาดจากเชือ้ สจุ ิเดมิ ของสามีนาง ทงั้ นีก้ ็เพ่ือป้ องกนั ความสบั สนในบตุ รท่ีจะเกิดขนึ ้ มาวา่ เป็นของ สามเี ก่าหรือสามีใหม่ ทาสหญิงก็เชน่ เดยี วกนั ท่วี า่ หากนางได้ถกู ตดั สนิ เป็นทาสไปแล้วกวา่ นายของ นางจะสามารถร่วมหลับนอนกับนางได้ นางจะต้องพ้ นช่วงเวลาของความสะอาดในมดลูก เช่นเดียวกนั เรียกวา่ “อิสตบิ รออ์” ซ่งึ แล้วแตก่ รณีไปบางรายก็จะต้องรอให้นางหมดรอบเดือนหรือ 30 วนั บางรายกจ็ ะต้องรอถึง 2 รอบเดือนหรือ 60 วนั เราได้หลกั ฐานจากหะดษี ที่วา่ ، ألا يحل لامرئ نؤمن بالله أاليمم الآخر أن نقع لتى امرأة من السبي حْى نساِبئها ‚และไมเ่ ป็นท่ีอนมุ ตั แิ ก่บรุ ุษซึง่ ศรทั ธาในอลั ลอฮฺและวนั สดุ ท้ายจะทําการร่วมประเวณีกบั สตรีที่ตกเป็นเชลยจนกวา่ เขาจะได้พิสจู น์จนประจกั ษ์แจ้งแล้ววา่ นางมิได้ตงั้ ครรภ(์ กบั สามเี ดมิ )63 ความเหมอื นประการตอ่ มาก็คอื กรณีของหญิงไทนนั้ การแตง่ งานจะกลายมาเป็ นข้อบงั คบั ให้สามีของนางต้องเลยี ้ งดนู างด้วยการมอบอาหาร,เสอื ้ ผ้า,ท่ีอยอู่ าศยั ให้ ส่ิงดงั กลา่ วทงั้ หมดก็เป็ น สิทธิของทาสหญิงเชน่ เดียวกนั ท่ีนางจะต้องได้รบั จากนาย ความเหมอื นประการตอ่ มาคือ ในกรณี ของหญิงไทนนั้ การแตง่ งานจะยงั ผลให้ญาติสนิทของนางเชน่ แม,่ น้องสาว,พี่สาว เป็นที่ต้องห้ามใน การมีสมั พนั ธ์ทางเพศกบั สามขี องนาง ทาสหญิงก็เช่นเดียวกนั ที่วา่ หากนายทาสได้มีสมั พันธ์ทาง เพศกบั นางแล้วญาติสนิทของนางจะเป็ นท่ีต้องห้ามสําหรับนายทาสของนางด้วย ความเหมือน ประการตอ่ มาคือในกรณีของหญิงไทนนั้ บตุ รที่เกิดมาจะต้องเป็นบตุ รตามกฎหมายและรบั มรดกได้ และกรณีของทาสหญิงกเ็ ช่นเดยี วกนั ทีว่ า่ บตุ รที่เกิดจากนางจะเป็ นบตุ รตามกฎหมายเสมอภาคกบั 63 อสั สนุ นั อลั -กบุ รอ. หมายเลขหะดีษ : 15111
~ 84 ~ บตุ รของภรรยาและสามารถรับมรดกของบิดาได้เท่าเทียมกนั ด้วย มิหนําซํา้ ยงั ทําให้มารดาของนาง พ้นสภาพของการเป็นทาสสคู่ วามเป็นไทด้วย!! ท่านเมาดดู ีได้อธิบายข้อกฎหมายนีไ้ ว้วา่ “ไมม่ ีใครอื่นนอกไปจากผูท้ ี่ไดร้ ับทาสหญิงเท่านน้ั ที่มีสิทธิจะ “สมั ผสั เธอ” ลูกหลานของ ทาสหญิงที่เกิดกบั เขาจะเป็นเดก็ ทีถ่ กู ตอ้ งตามกฎหมาย และจะมีสิทธิทางกฎหมายเหมือนกบั สิทธิ ที่กฎหมายของพระเจ้ามอบให้กับลูกๆที่มาจากท้องของเขา หลงั จากที่ใหก้ าเนิดลูกแล้วนางไม่ อาจจะถกู ไปขายเยี่ยงทาสอีกต่อไป และนางจะเป็นอิสระทนั ทีโดยปริยายหลงั จากนายของนาง เสียชีวิต”64 ข้อกฎหมายของอสิ ลามได้ทําการปฏวิ ตั ิความต่ําช้าของสิทธิมนษุ ยชนท่ีมีอย่ใู นสงั คมโลก ทงั้ หมดขณะนนั้ เพราะนอกจากบตุ รของทาสหญิงจะได้รับเกียรติเสมอภาคเช่นเดียวกับบุตรของ ภรรยาแล้ว การตัง้ ครรภ์ของนางจะเป็ นเหตใุ ห้การเป็ นทาสสิน้ สุดลง เรียกได้ว่าเป็ นการทําลาย โครงสร้างที่ชัว่ ร้ายของสังคมโดยยึดเอาจุดอ่อนของมนุษย์(เรื่องความต้องการทางเพศ)มาเป็ น ใบเบิกทางไปสอู่ ิสรภาพของมนษุ ย์กนั เอง ดงั นนั้ จดุ ร่วมที่เหมือนกนั ทงั้ หลายทงั้ ปวงนีร้ ะหว่างสตรี ไทกบั ทาสหญิงย่อมเป็นสิ่งท่ีไมก่ ินกบั สตปิ ัญญามากหากใครบางคนจะมองวา่ สมั พนั ธ์ทางเพศกับ ทาสหญิงเป็ นเรื่องที่น่าประณามเพราะน่ันหมายความว่าเขาจะต้ องทาการประณาม ความสัมพนั ธ์ทางเพศของสามี-ภรรยาไปในตัวด้วยเช่นกัน ข้อครหาและคาํ วจิ ารณ์ตอ่ กฎหมายอสิ ลามในเร่ืองความสมั พนั ธ์ทางเพศกบั ทาสนีเ้ กิดขนึ ้ จากการมุ่งแต่จะพิจารณาว่า “แต่งงานหรือไม่แต่งงาน” กันเพียงจุดเดียวโดยไม่พิจารณา องคป์ ระกอบแหง่ ความสมบรู ณ์และมดี ลุ ยภาพใดๆทงั้ สนิ ้ ในข้อกฎหมายนีเ้ ลย ทงั้ ที่การขาดหายไป ของพิธีการแต่งงานของทาสหญิงนัน้ ก็ล้วนแล้วแต่มีเหตผุ ลทางกฎหมายในการรองรับทัง้ สิน้ กลา่ วคอื หากเรามงุ่ ท่ีจะให้การมสี มั พนั ธ์ทางเพศกบั ทาสหญิงต้องเกิดขนึ ้ ผา่ นกระบวนการแตง่ งาน เพียงอย่างเดียวแล้ว น่ันจะรังแต่เป็ นการสร้ างข้อกฎหมายท่ีสับสนและขบขนั แก่ศาสนาของ อลั ลอฮฺอย่างแนน่ อน นน่ั ก็เพราะวา่ การแตง่ งานคือการมอบ “มะฮรั ” (สินนํา้ ใจแกเ่ จ้าสาว) ดงั ที่อลั กรุ อานได้บัญชาไว้ (อัลกุรอาน 2:24) มะฮรั จึงเป็ นเง่ือนไขสําคญั ของการแต่งงานในกฎหมาย อิสลาม อย่างไรกต็ ามหากผ้ชู ายจําต้องมอบมะฮรั แก่ทาสหญิงเพื่อการแต่งงานแล้วมนั ก็ย่อมเป็ น ส่ิงท่ีเป็ นไปไม่ได้ท่ีเขาจะกระทําเช่นนัน้ เพราะว่าโดยความเป็ นทาสแล้วนางไม่มีกรรมสิทธ์ิ ครอบครองในทรพั ย์สนิ ใดๆ เสอื ้ ผ้าท่ีอย่อู าศยั ท่ีนางมีอยกู่ ็ล้วนแล้วแตเ่ ป็ นทรัพย์สินของนายทาสที่ อสิ ลามบญั ชาให้มอบแก่นางไว้ใช้สอย หากการแตง่ งานคอื การให้มะฮรั นนั่ ก็หมายความวา่ นางจะ ไมม่ สี ทิ ธิในการครอบครองมะฮรั เพราะนางเป็นทาส มะฮรั ท่ีนายทาสมอบให้เพ่ือการแต่งงานก็จะ ย้ อนกลับไปหานายทาสเสียเองการแต่งงานก็จะกลายเป็ นว่านายทาสต้ องมอบมะฮัรแก่ 64 เมาลานา เมาดดู .ี อ้างแล้ว.
~ 85 ~ ตวั เอง!!???! นายทาสจึงกลายมาเป็ นทงั้ ผ้ใู ห้มะฮัรและผ้รู ับมะฮัรในเวลาเดียวกนั !? การกระทํา ทงั้ หมดนีจ้ ะกลบั กลายมาเป็นเร่ืองตลกขบขนั ของพิธีการแตง่ งานอนั สําคญั ย่ิงในหลกั การอิสลาม และนี่แหละคือเหตผุ ลอนั สําคญั ท่ีอิสลามไม่อนมุ ตั ิให้นายทาสทําการแต่งงานกับทาสหญิงใน สภาพที่นางยงั คงเป็นทาสอย่เู ว้นแตจ่ ะเขาจะปลอ่ ยนางให้เป็นไทเสยี กอ่ น ทา่ นเชคซอและฮฺ อฃั เฟาซาน ได้กลา่ ววา่ ألأع ناكاَب تمنها سيدت مع تمع زأجها ؛ لأن لمل مكهما، يحرم لتى المبد أن نازأج سيدت للإجماع ألا يجامع لق ٌد مع ما، أيحرم لتى السيد أن نازأج ممتمتا ؛ لأن لقد المتك أقمى من لقد الكماح.ًأحماما هم أيم ُف مك “และเป็นท่ีต้องห้ามสาํ หรบั ทาสชายท่ีจะแตง่ งานกบั นายหญิงของเขาตามมตเิ อกฉนั ท์ของ ปวงปราชญ์ เพราะว่ามันมีความแตกต่างระหว่างสถานภาพของนาง ในการเป็ นภรรยากับ สถานภาพของทาสในการเป็นสามี กลา่ วคือระหวา่ งทาสชายกบั นายหญิงนนั้ อยใู่ ต้ข้อกฎหมายแต่ ละข้อท่ีแตกตา่ งกนั ไป และมนั คอื สง่ิ ที่ต้องห้ามสําหรับนายทาสท่ีจะแต่งงานกับทาสหญิงของเขา เพราะวา่ สถานภาพของการเป็นนายทาสคอื สิง่ ที่หนกั กวา่ นิติกรรมสญั ญาทางการแต่งงานและนิติ กรรมสญั ญาจะไมถ่ กู รวมเข้ากบั สง่ิ อื่นที่มีสภาพเบากวา่ ”65 คาํ พดู ของท่านเชคนนั้ โดยสรุปแล้วหมายความว่าการแต่งงานข้ามสถานภาพกนั ระหวา่ ง นายทาสกบั ทาสหญิงหรือระหวา่ งทาสชายกบั นายหญิงคอื สงิ่ ท่ีไมเ่ ป็นท่ีอนญุ าต เพราะระหวา่ งเสรี ชนกบั ทาสนนั้ ยงั มขี ้อกฎหมายที่แตกตา่ งกนั อยเู่ ช่น บทลงโทษการผิดประเวณีท่ีทาสจะได้รับโทษ เบากวา่ เสรีชน ในขณะเดียวกนั หากนายทาสจะทําการแตง่ งานกบั ทาสหญิงนนั้ เขาจําต้องปลอ่ ย นางให้เป็นไทกอ่ นแล้วจงึ แตง่ งานได้อนั เป็นข้อสง่ เสริมสาํ คญั ที่ท่านนบีได้สง่ั ใช้ไว้ แตไ่ มอ่ นญุ าตให้ นายแตง่ งานกบั นางในสภาพที่นางยงั เป็นทาสอยู่ อยา่ งไรก็ตามแตก่ รณีของการที่นางทาสจะแต่ง กับชายอ่ืนที่เป็ นเสรีชนนนั้ เป็ นส่ิงท่ีกระทําได้ภายใต้การอนญุ าตของนายเสมือนบิดาอนุญาต บตุ รสาว เมอื่ ความสมั พนั ธ์ทางเพศระหวา่ งนายทาสกบั ทาสหญิงของเขาตามข้อกฎหมายอิสลาม แทบจะเป็นเนือ้ เดียวกนั กบั ความสมั พนั ธ์ทางเพศระหวา่ งสามี-ภรรยาแล้ว ข้อวิภาษประการต่อมา ท่ีควรพิจารณาก็คือความสมั พนั ธ์ทางเพศในรูปแบบนีแ้ ตกตา่ งอย่างไรกบั โลกทัศน์ในเรื่องเมียลบั (Mistress) ,โสเภณี (Prostitution) ของสงั คมในยคุ ปัจจุบนั น่ีคือตวั แปรชีว้ ดั สําคญั ที่ผ้ตู อ่ ต้าน กฎหมายประการนีข้ องอิสลามจะต้องยึดถือเป็นสรณะในหวั ขมองของพวกเขา เพราะย่อมไมเ่ ป็ น การประเทืองปัญญานักหากเขาจะต่อต้านกฎหมายข้อนีข้ องอิสลามอย่างปราศจากการยึดถือ 65 อลั มุลคั คอศ อลั ฟิ กฮยี ์. เลม่ 1 หน้า 196.
~ 86 ~ สมมตุ ฐิ านสนบั สนนุ รูปแบบทางเพศอนั นา่ รงั เกียจท่ีพวกเขาเข้าใจวา่ เป็นรูปแบบความสมั พนั ธ์ทาง เพศในกฎหมายทาสของอิสลาม ในกรณีของทาสสวาทหรือทาสหญิงโสเภณีนนั้ สตรีเปรียบดงั ผ้ขู ายเรือนร่างตวั เองแลกกบั คา่ ธรรมเนียมการบริการแกช่ ายใดกต็ ามท่ีพงึ ใจหมายใคร่และพร้อมจ่ายเพื่อเสพสขุ กับตวั นางซ่ึง แตกตา่ งกบั ทาสหญิงในอสิ ลามที่พวกนางเป็นสมาชิกหน่งึ ในครอบครวั ! ในขณะท่ีการค้าประเวณี ด้วยหญิงทาสทําให้นางต้องตกเป็นเครื่องระบายกามคณุ ของบุรุษมากหน้าหลายตาแต่ทาสหญิง ในอิสลามสามารถมีสัมพันธ์ทางเพศได้เพียงกับชายผ้เู ดียวน่ันคือนายของนางบนฐานของ ความสมั พนั ธ์ดจุ ดงั สามี-ภรรยา ต่างกันเพียงแค่ว่าภรรยาเข้าสู่การเป็ นสมาชกิ ของครอบครัว ผ่านการมอบหมายของผู้ปกครองสตรี(วะลี) ในขณะท่ีทาสหญิงเข้าสู่การเป็ นสมาชิกใน ครอบครัวผู้ชายผ่านการมอบหมายของผ้ปู กครองรัฐ! ในขณะท่ีหญิงทาสโสเภณีหรือระบอบ เมียลบั ของคนในยุคปัจจุบนั วางฐานความสัมพันธ์บนความไร้ รับผิดชอบแต่สตรีทาสในสงั คม อสิ ลามพวกนางล้วนได้รบั เกียรติและการดแู ลรบั ผิดชอบจากนายของนาง บุตรของนางก็มีเกียรติ เฉกเช่นเดียวกบั บตุ รสตรีไททกุ ประการ ในสงั คมมสุ ลิมพวกนางจะไมถ่ กู มองวา่ เป็นนางบําเรอหรือ เมยี ลบั แตอ่ ย่างใด เพราะเป็นท่ีต้องห้ามที่ผ้ชู ายซึง่ มีสมั พนั ธ์ทางเพศกบั ทาสหญิงจะทําการปกปิ ด ความสมั พนั ธ์ดงั กลา่ วตอ่ สงั คมภายนอกประหน่งึ ราวนางเป็นเมียน้อยก็มิปาน กลบั กันเขาจะต้อง เปิ ดเผยความสมั พนั ธ์ดงั กลา่ วแก่สงั คมภายนอกรับรู้เสมือนกับท่ีสงั คมรับทราบวา่ ใครคือภรรยา ของเขา กฎหมายอิสลามจึงพิจารณาวา่ สตรีไทและทาสหญิงนัน้ ต่างก็มีสถานะภาพเหมือนกัน กลา่ วคือนางเป็ นชนชนั้ ท่ีมีเกียรติด้วยกันทงั้ ค่มู ิใช่ถือว่าภรรยาเป็ นเมียหลวงและทาสคือเมียลบั นางบําเรออย่างท่ีบางสงั คมได้กระทํา เพราะทงั้ นีพ้ วกนางเป็ นหนึ่งในองค์ประกอบสําคญั ในการ สืบเผ่าพันธ์ุและสรรสร้างครอบครัวแก่มวลมนุษย์ เราจะพบว่าอลั กุรอานนนั้ ได้ยอมรับต่อสภาพ ธรรมชาตขิ องมนษุ ย์วา่ มคี วามหิวกระหายตอ่ การร่วมเพศกนั ทกุ คน ดงั นนั้ กฎหมายของพระเจ้าจึง บญั ญตั ขิ อบเขตของการร่วมเพศอยา่ งถกู ต้องวา่ ชายหญิงท่ีผา่ นการร่วมเพศอย่างถูกต้องนนั้ จะไม่ เป็นบาป ภรรยาและทาสหญิงต่างก็อย่ใู นฐานะอนั มีเกียรติเช่นเดียวกนั จากข้อเท็จจริงท่ีว่าพวก นางได้ปกป้ องธรรมชาติทางเพศอันดิบสากของบุรุษจากความบาปและความโสมมให้อยู่ใน ครรลองคลองธรรมอนั ถกู ต้อง อลั กรุ อานกลา่ ววา่ إِلَاّ َلتَ َٰى أَْزَأا ِجَِأهٱَلّْمِذأنَْأَن َمُها ْمَمتَلُِفَمُرأِْجِأهَيْدَْماعـُُهَحاْمفِ فَظُِإَعـمَُّنه ْم َيْيـُر َمتُمِمٌَن “และบรรดาผ้ทู ี่ระวงั รักษาทวารของพวกเขา(จากการผิดประเวณี) นอกจากแก่คคู่ รองของ พวกเขาหรือท่ีมอื ขวาของพวกเขาครอบครองในลกั ษณะเช่นนนั้ พวกเขาจะไมเ่ ป็นที่ถกู ตําหนิ” (อัล กุรอาน 70:29-30)
~ 87 ~ จากโองการนีเ้ ราจะพบวา่ โดยพืน้ ฐานทางธรรมชาตแิ ล้วอิสลามมองเรื่องของกามารมณ์วา่ เป็นส่ิงโสมมสาํ หรบั มนษุ ย์ ด้วยเหตนุ ีอ้ ิสลามจึงเรียกร้องให้มนษุ ย์ทัง้ ชายและหญิงปกป้ องรักษา อวยั วะเพศตวั เองจากการร่วมประเวณีท่ีไร้ขอบเขตและผดิ บาป ขณะเดยี วกนั อสิ ลามกพ็ ิจารณาว่า มนษุ ย์ไมส่ ามารถหนีออกจากความต้องการทางเพศได้อสิ ลามจึงเปิ ดทางให้แก่สมั พนั ธ์ทางเพศที่ ถกู ต้องเพียงแค่ 2 ทางเท่านนั้ คือ การร่วมเพศกับภรรยา และการร่วมเพศกับทาสหญิงของนาง ด้วยเหตนุ ีท้ งั้ ทาสหญิงและภรรยาจึงตา่ งก็เป็นองคป์ ระกอบสาํ คญั ที่จรรโลงสงั คมอิสลามให้อย่ใู น กรอบของทางเพศท่ีถกู ต้อง พวกนางจึงถูกมองว่าเป็ นหนทางแห่งการปกป้ องการผิดประเวณีแก่ มนษุ ย์ ดงั ท่ีอมิ ามชาฟิ อีย์ (ขออลั ลอฮฺทรงเมตตาทา่ น) ปราชญ์ผ้ยู ่ิงใหญ่ของโลกอสิ ลามได้กลา่ ววา่ فدل تااب الله لز أجل لتى أن ما أباح من الفرأج فإنما أباح من أحد المجهٌن الكماح أأ ما متم اليمٌن “คมั ภีร์ของอลั ลอฮฺไดบ้ ง่ ชี้ว่าความสมั พนั ธ์ทางเพศในอิสลามนนั้ เป็นทีอ่ นมุ ตั ิเพียงแค่ใน 2 กรณีเทา่ นน้ั คือภรรยาและสิ่งที่อยใู่ นมือขวาของพวกเขา”66 ท่านอบิ นิญะรีร อฏั ฏอ็ บะรีย์ (ขออลั ลอฮฺทรงเมตตาท่าน) ได้กลา่ ววา่ إلا، حافظمن لنتل ما حرم الله لتيهم أيمها في، أالذنن هم لفرأجهم حافظمن: نقمل تمالى ذتره .أنهم يًن متممٌن ُب ترك حفظها لتى أزأاجهم أأ ما متم أيدانهم من إمائهم “อลั ลอฮฺทรงดาํ รัสไว้วา่ และบรรดาผ้ทู ี่ระวงั รักษาทวารของพวกเขา(จากการผิดประเวณี) หมายถงึ ปกป้ องอวยั วะเพศของพวกเขาจากการกระทําทุกสงิ่ ท่ีอลั ลอฮฺได้ทรงห้ามไว้ และพวกเขา จะไมถ่ กู ตาํ หนิหากพวกเขามิได้ปกป้ องตนเองจากภรรยาหรือจากทาสหญิงที่อย่ใู นมอื ขวาของพวก เขา”67 ท่านอิบนกุ ดุ ามะฮฺ กลา่ ววา่ أالذنن هم لفرأجهم حافظمن إلا: ألا خلاف ُب إباحة الاسري أأطء الإماء ; لقمل الله تمالى لتى أزأاجهم أأ ما متم أيدانهم فإنهم يًن متممٌن “และไมเ่ ป็นที่ขดั แย้ง(ในหมนู่ กั วชิ าการ)ว่ามนั เป็ นส่ิงท่ีถกู อนุมตั ิในการท่ีจะมีภรรยาทาส และมสี มั พนั ธ์ทางเพศกบั ทาสหญิงเพราะว่าพระองค์อลั ลอฮฺตะอาลาได้ตรัสไว้ว่า“และบรรดาผ้ทู ่ี ระวงั รักษาทวารของพวกเขา(จากการผิดประเวณี) นอกจากแก่คคู่ รองของพวกเขาหรือท่ีมือขวา ของพวกเขาครอบครองในลกั ษณะเชน่ นนั้ พวกเขาจะไมเ่ ป็นท่ีถกู ตาํ หนิ” (อลั กุรอาน 70:29-30)”68 66 อลั อมุ เลม่ 5 หน้า 46 67 ญามอิ ิลบะยาน ฟี ตะวีลิลกุรฺอาน. เลม่ 23 หน้า 617. 68 อลั มฆุ นี. เลม่ 10 หน้า 411.
~ 88 ~ โลกทัศน์ของอิสลามท่ีพิจารณาว่า ทงั้ ภรรยาและทาสหญิงจะเป็ นตวั ป้ องกนั ความบาป จากสมั พนั ธ์ทางเพศท่ีชวั่ ร้ายของการผดิ ประเวณีได้กลบั กลายมาเป็ นการย้อนศรและทําลายโลก ทัศน์อนั โง่งมของทุกๆศาสนาทีมีมาก่อนอิสลาม เพราะหากเราพิจารณาศาสนาในโลกนีท้ งั้ ปวง ที่มาก่อนอิสลามนนั้ เราจะพบว่าพวกเขาพิจารณาสตรีในทางที่เป็ นลบและมองพวกนางว่าเป็ น ต้นเหตแุ ห่งความบาป จากโลกทัศน์เพ้อฝันของพวกเขาเช่นนีจ้ ึงทําให้เกิดระบอบของการถือ สนั โดษขนึ ้ ในหมนู่ กั พรตนกั บวชในศาสนาของพวกเขาเพื่อหลีกห่างจากกิจกรรมทางเพศที่พวกเขา มองวา่ เป็นบาปกรรมนน่ั เอง ในความเช่ือของพวกกรีกโบราณสตรีเกิดขนึ ้ จากความประสงค์ของ เทพซุส กษัตริย์ของทวยเทพทงั้ หลาย เพราะซสุ ได้สง่ กลอ่ งแห่งความอบั โชคบนโลกนีม้ าพร้อมกบั สตรีท่ีถกู บรรจุไว้ภายในกลอ่ ง ดงั นนั้ สตรีจึงได้ถูกเรียกในภาษากรีกวา่ แพนโดรา (Pandora) ซ่ึง หมายถึงการประทานทุกอย่าง ตรงนีห้ มายถึงการท่ีสตรีเป็ นผ้มู อบความช่ัวร้ายแก่โลก คริสต์ ศาสนาเองกม็ คี วามเช่ือในเชิงไสยศาสตร์ตอ่ สตรีคล้ายคลงึ กันเพราะพวกเขาพิจารณาสตรีว่าเป็ น ต้นเหตุแห่งความบาปและยากลําบากของมนุษย์ กลา่ วคืออีฟได้ถูกเชื่อกนั มาตลอดวา่ เป็ นตัว ลอ่ ลวงอาดมั ให้กินแอปเปิ ล้ ของพระเจ้าเพราะฉะนนั้ อีฟจึงเป็ นต้นเหตใุ ห้อาดมั ฝ่ าฝื นพระเจ้าและ ต้องมาทนทกุ ขใ์ ช้ชีวติ อนั ยากลาํ บากบนโลกนี ้ความเช่ือไสยศาสตร์ตอ่ สตรีทงั้ หมดดงั ที่ได้กลา่ วไป จึงเป็นเหตผุ ลท่ีวา่ เหตใุ ดศาสนาท่ีมอี ยใู่ นอารยธรรมของมนษุ ย์สว่ นมากจึงมงุ่ เน้นการพร่ําสอนให้ บรุ ุษหนีหา่ งจากการครองคเู่ พราะพวกเขาพิจารณาวา่ สตรีคือความบาปและการมีกิจกรรมทางเพศ ร่วมกบั พวกนางคอื ปราการสําคญั ท่ีขวางกนั้ การเข้าถึงพระธรรมได้ ในศาสนาของพวกเชน กล่มุ นกั บวชหรือพระได้ถกู สงั่ ห้ามยงุ่ เก่ียวกบั สตรีแม้กระทงั่ การมอง ซง่ึ ไมต่ า่ งอะไรกบั โลกทศั น์ของพวก พทุ ธเลย พวกยิวและคริสต์ก็มีโลกทศั น์คล้ายคลงึ กนั ท่ีพวกเขาพิจารณาว่ากล่มุ ชนชนั้ ทางศาสนา เช่นพวกพระจะต้องไมม่ ภี รรยา การปรากฏขนึ ้ ของอิสลามจงึ เปรียบเสมือนการปฏิวตั ิทางสงั คมใน อดีตท่ีมนุษย์ต่างก็งมงายอย่กู ับโลกทศั น์ไสยศาสตร์ท่ีมองสตรีว่าขวางกนั้ พระธรรมแก่ใจคน69 ในขณะที่โลกยโุ รปหลงั การก้าวเข้าสยู่ คุ สมัยแห่งความรู้แจ้งแล้ว พวกนกั ปรัชญาและศิลปิ นชาว ฝรง่ั เศสผ้วู างรากฐานคดิ ของระบอบประชาธิปไตยตา่ งกแ็ สดงความสดุ โตง่ ออกมาในเรื่องของทาง เพศไปอีกลกั ษณะหนึง่ สําหรบั พวกเขาแล้วการหกั ห้ามเสรีภาพทางเพศคือความเลวร้ายที่ระบอบ สังคมในยุคอดีตสร้ างขึน้ มา ดังนัน้ พวกนักคิดศิลปิ นชาวฝร่ังเศสอย่าง อเล็กซานเดร ดูมัส และอลั เฟรด นาเกส์จึงได้พิจารณาวา่ การแสวงหาความพงึ พอใจทางเพศจากเรือนร่างนนั้ เป็ นสิทธิ ทางธรรมชาติโดยกําเนิดของมนษุ ย์อย่แู ล้ว การกีดกนั เสรีทางเพศเหลา่ นีโ้ ดยใช้กรอบทางศีลธรรม ของสงั คมจึงเป็นความโหดร้ายท่ีพวกเขาอยากจะทําลายเสียให้สนิ ้ ซาก ปิ แอร์ ลอยนกั ปรัชญาชาว 69 โปรดดูคําวิพากษ์เหล่านีไ้ ด้ใน Mawlana Wahiduddin Khan. Woman Between Islam And Western Society. P. 21-26
~ 89 ~ ฝรงั่ เศสได้เสนอความคิดเกี่ยวกบั เสรีภาพทางเพศจนถึงขนาดปากกล้ากลา่ วว่าความเป็ นแมค่ น แม้นจะต้องอยภู่ ายใต้การผดิ กฎหมายและอปั ยศนนั้ ก็สามารถยอมรบั ได้70 และด้วยกับหลกั คิดใน ศีลธรรมปรัชญาทางเพศเพ้ อฝันของพวกเขาเช่นนีเ้ องที่ระบอบกฎหมายทางเพศของลัทธิ ประชาธิปไตยจึงได้ให้เสรีภาพทางเพศแก่หนุ่มสาวอย่างไร้ขอบเขต ในระบอบของพวกเขาแล้วการ มเี ซก็ ส์ผดิ ผวั ผิดเมยี ผดิ ลกู ชาวบ้านตามคติ “ร้อยผวั พนั เมยี ” มใิ ชค่ วามบาปและความผิดในทศั นะ ของพวกเขา ดงั ท่ีเราจะพบวา่ ในปี 2553 เมื่อดาราหญิงคนหนึง่ ของประเทศไทยได้ออกมาประกาศ วา่ ตนเองตงั้ ครรภ์กับดาราชายคนหน่ึงอย่างไม่กระดากอายแล้ว ดาราชายผ้นู นั้ กลบั ปฏิเสธไม่ ยอมรบั ในขณะท่ีดาราชายอกี คนหน่ึงก็ออกมาประกาศวา่ เขาเคยมคี วามสมั พนั ธ์ทางเพศกับดารา หญิงคนนีอ้ ย่างมว่ั ซ่ัวอิรุงตงุ นังไปหมด ความว่นุ วายวิตถารเหล่านีก้ ลบั เป็ นเรื่องตลกร้ ายของ สงั คมไทยและท้ายที่สดุ ระบอบประชาธิปไตยนีก้ ็เอาผิดอะไรไมไ่ ด้ทงั้ สนิ ้ การกบั ผดิ ประเวณีหมขู่ อง ชนชนั้ นําทางสงั คมของพวกเขา เพราะในกฎหมายของพวกเขาแล้วพฤติกรรมทงั้ ปวงนีค้ ือเร่ืองไม่ ผิดแผกแหวกคอกแตอ่ ยา่ งใดเลยตามกรอบโลกทศั น์เรื่องเสรีภาพของประชาธิปไตย เชน่ เดยี วกบั ที่ อีกกรณีหนึ่ง ดาราสาวคนหนึ่งได้แอบมีช้กู ับสามีผ้อู ่ืนจนต้องเผ่นไปดินแดนภารตะหนีอายแต่ กระนนั้ การผดิ ลกู ผิดเมียเหลา่ นีก้ ็ถือโทษเอาความไมไ่ ด้ตามลทั ธิของพวกเขา สว่ นศาสนาพุทธก็ หมดความสามารถที่จะจดั ระเบียบสิ่งเหลา่ นีแ้ ล้ว เพศสมั พนั ธ์จึงถือเป็ นวิกฤติหนึ่งของมนุษย์โลก ในยคุ อดตี และปัจจบุ นั ท่ีพวกเขาตา่ งหาจุดสมดลุ ไม่พบเลย พวกหนึ่งหักห้ามสตรีโดยสิน้ เชิงจาก เหตผุ ลของธรรมะ อีกพวกหน่ึงส่งเสริมเสรีภาพทางเพศโดยสิน้ เชิงจากเหตผุ ลของเสรีภาพและ อิสรภาพ พวกแรกได้ทําให้สง่ิ ที่พระเจ้าทรงอนมุ ตั เิ ป็นต้องห้ามและพวกท่ีสองได้ทําให้สิ่งท่ีพระเจ้า ต้องห้ามเป็นอนมุ ตั ิแทน พวกเขาจงึ ไมต่ า่ งอะไรกบั โองการที่อลั ลอฮฺได้ทรงตรัสวา่ ِّٱَّتَُذۤأاْ أَ ْحبَاَرُه ْم َأُرْهبَاعَـ ُه ْم أَْربَاباً ِّمن ُدأِن ٱلَت ‚พวกเขาได้ยึดเอา บรรดานกั ปราชญ์ของพวกเขา และบรรดาบาดหลวงของพวกเขาเป็น พระเจ้าอื่นจากอลั ลอฮ์‛ (9:31) นนั่ ก็เพราะวา่ พวกเขาได้ยึดเอานักบวชและนักปรัชญามาเป็ นผู้ตรากฎหมายอนั อวิชชา เหลา่ นีข้ นึ ้ เทียบเทา่ กบั อลั ลอฮฺตะอาลา แตใ่ นทางกลบั กนั กฎหมายใดท่ีพระองค์ทรงบญั ญัติขนึ ้ มา เพื่อมวลมสุ ลมิ เป็นการเฉพาะพวกเขาก็มกั แสร้งทําไมถ่ กู จริตและกระเหีย้ นกระหือรือที่จะทําการ ตอ่ ต้านอย่างมดื บอด บทเรียนจากความกลบั กลอกของพวกเขาจึงควรนํามาเป็นข้อตระหนกั ในการ รับฟังการชีน้ ําทางความคิดของพวกเขา ข้าฯเห็นว่าเป็ นหน้าท่ีของมวลมุสลิมท่ีพวกจะต้อง ภาคภมู ใิ จและเชื่อมนั่ ในความสตั ย์จริงของกฎหมายแห่งพระองค์อลั ลอฮฺตะอาลา กรณีของเร่ือง ทาสก็เฉกเชน่ เดียวกนั ที่ไมม่ คี วามจําเป็นและเหตผุ ลใดๆสนบั สนนุ ความอบั อายของมวลมสุ ลิมใน 70 ซยั ยดิ อบลุ อะอลฺ าเมาดดู ี. การคลมุ หน้ากบั สถานภาพสตรีในอิสลาม. หน้า 54-55. แปลโดยกหุ ลาบเขียว.
~ 90 ~ ข้อกฎหมายนี ้กลบั กนั พวกเขาควรจะยืนขนึ ้ ท้าทายตอ่ พวกเสรีนิยมในฐานะท่ีศาสนาของพวกเขา ได้เป็นศาสนาแรกของโลกที่คิดจะจดั ระเบียบการละเมิดทางเพศและการกดขี่ท่ีมนุษย์มีต่อทาสใน ตลอดประวตั ศิ าสตร์มา และทาสในกรอบของกฎหมายอิสลามนนั้ พวกเขามิใช่ชนชนั้ ทางสงั คมท่ี ต่ําต้อยหากแตพ่ วกเขาเป็นทางเลือกหนงึ่ ในการครองคกู่ นั ของมวลมนษุ ย์อนั มิได้ดํารงอย่ใู นฐานะ เมียลบั ท่ีอลั กรุ อานได้ประณามไว้ ท่านอิบนิกะษีร (รอฮิมาฮลุ ลอฮฺ) กลา่ ววา่ أتان الاسري لتى الزأجة مباحاً ُب شرنمة إبراهيم لتي السلام أقد فمت إبراهيم لتي السلام ُب هاجر لما تسرى بها لتى سارة “การนําเอาทาสหญิงมาเป็น “ภรรยา” คอื สิง่ ท่ีได้ถกู อนมุ ตั ติ ามข้อกฎหมายของท่านนบีอบิ รอฮีม(อบั ราฮมั ) ทา่ นนบีอิบรอฮีมได้กระทําสงิ่ ดงั กลา่ วกบั นางฮะญรั เม่ือตอนที่ท่านได้รับเอานาง หะญัรมาอย่ใู นฐานะภรรยาทาสซ่งึ เป็นช่วงเวลาเดยี วกนั กบั ตอนท่ีท่านแตง่ งานกบั นางซาเราะฮฺ”71 คาํ อธิบายของท่านอบิ นิกะษีรข้างต้นบง่ ชีแ้ ก่เราว่านกั กฎหมายอิสลามผ้ปู ราดเปรื่องมิได้ เข้าใจไขว้เขวอยา่ งที่พวกแอนตอี ้ สิ ลามได้เข้าใจไปเลย กลา่ วคือท่านได้พิจารณาวา่ ทาสหญิงเองแม้ จะไมผ่ า่ นพิธีการสมรสแตพ่ วกนางกม็ ิได้อยใู่ นฐานะตํา่ ต้อยเช่นเมียน้อยหรือนางบําเรอแตอ่ ย่างใด ในทางกลบั กนั ฐานะของพวกท่านก็เช่นเดียวกบั ฐานะของภรรยา คําถามท่ียังคงปรากฏขนึ ้ ตอ่ จากนีก้ ็คือเหตอุ นั ใดในกฎหมายอิสลามจึงไม่จํากัดจํานวน การมีภรรยาทาสไว้ กล่าวคือในกฎหมายอิสลามนัน้ ผ้ชู ายสามารถมีทาสหญิงก่ีคนก็ได้ตาม ความสามารถของตัวเอง การไม่จํากัดข้อกฎหมายเหล่านีท้ ําให้พวกผ้นู ิยมตะวนั ตกบางคนได้ วจิ ารณ์วา่ กฎหมายอิสลามมีช่องโหว่เพราะจะเป็ นการเปิ ดโอกาสให้คนท่ีมีฐานะทางเศรษฐกิจดี สามารถซือ้ หาทาสหญิงสวยงามเพ่ือการเป็นนางบําเรอแก่เขาอย่างไมม่ ขี อบเขตและจํานวนได้ ตอ่ คําถามดงั กลา่ วนนั้ เราสามารถวพิ ากษ์พวกเกลบั ไปได้วา่ พวกเขาพดู ประหนง่ึ ราวกบั วา่ หากกฎหมายอิสลามจํากดั จํานวนภรรยาทาสไว้แล้วการแสวงหาทาสหญิงมาเป็นนางบําเรออย่าง ไม่จบสิน้ ของคนมงั่ มีบางคนนัน้ จะหมดไปด้วยกระนัน้ หรือ ? คําตอบก็คือ ไม่ เพราะขนาดว่า กฎหมายอสิ ลามจํากดั จํานวนภรรยาไว้เพียงแค่ 4 คนแล้วก็ตามเราก็พบเจอบคุ คลชนั้ สงู ของโลก มสุ ลมิ ในหมกู่ ษัตริย์ยงั คงมภี รรยาเป็นร้อยๆคน บางรายกม็ ภี รรยาเกือบครึ่งร้อย ดงั นนั้ การแสวงหา นางบําเรอของบุคคลผู้ไร้ จิตสํานึกนัน้ การกําหนดข้อกฎหมายจึงมิใช่ประเด็นสําคัญในการ แก้ปัญหาแตอ่ ย่างใดเลย ประการตอ่ มาการท่ีบคุ คลผ้หู นงึ่ สามารถแสวงหาทาสหญิงมาเป็นภรรยา ของเขาในจํานวนมากได้นนั้ มใิ ชก่ ารกระทําท่ีเกิดขนึ ้ ได้ง่ายทวั่ ไปในสงั คมเพราะทาสหญิงเป็นสง่ิ ที่มี ราคาแพง กลุ่มคนท่ีสามารถกระทําเช่นนัน้ ได้ก็จะเป็ นเพียงกลุ่มคนท่ีมีกําลังทรัพย์และ 71 ตฟั ซีรอบิ นกิ ะษีร. เลม่ 2 หน้า 76
~ 91 ~ ความสามารถในการเลยี ้ งดพู วกนาง ดงั เช่นในสงั คมโรมนั ของยุคอดีตเองการนําทาสหญิงมาเป็ น เคร่ืองบําเรอทางเพศได้ถกู กระทําไปโดยพวกชนชนั้ สงู ของสงั คมสว่ นน้อยเท่านนั้ 72ประการถดั มา ดงั ที่ได้กล่าวไปแล้ววา่ เป้ าหมายของทาสหญิงในข้อกฎหมายอิสลามนัน้ พวกนางมิใช่ถกู สร้ าง ขนึ ้ มาเพื่อการเป็นนางบําเรอของใคร จากแบบอย่างของท่านรอซูล ศ็อลฯ แล้วพวกนางได้รับการ ยกเกียรติเชน่ เดียวกบั ภรรยาทวั่ ไป และย่ิงไปกวา่ นนั้ กฎหมายอสิ ลามยงั จดั ให้ลกู นางทาสเป็ นเดก็ ไทในกฎหมายเช่นเดียวกับบตุ รของภรรยาและมารดาของนางเองก็จะเป็ นไทจากการตงั้ ครรภ์ ดงั นนั้ การเปิ ดประตขู องการมที าสหญิงอยา่ งไมม่ ขี อบเขตในแง่หนงึ่ แล้วก็จะเป็นการเปิ ดประตไู ปสู่ การเลิกทาสอย่างไมม่ ีขอบเขตเชน่ เดยี วกนั ! กฎหมายอิสลามจึงพิจารณาถึงเป้ าหมายสดุ ท้ายของ มนั วา่ ทาสหญิงท่ีตงั้ ครรภ์เหลา่ นีจ้ ะได้อสิ รภาพตดิ ตามมา ผ้ใู ดมที าสหญิงในครอบครองเยอะผ้นู นั้ ก็จะปลดปลอ่ ยทาสหญิงในครอบครองเยอะเป็นเงาตามตวั จึงไมม่ ีเหตผุ ลใดๆที่กฎหมายอิสลาม จะพิจารณาอย่างฉาบฉวยเพ่ือให้มีการจํากดั จํานวนการครอบครองทาสไว้ทัง้ ท่ีมนั เป็ นโอกาส สําคัญ ท่ี ท าสห ญิ งจํ าน วน มาก จ ะได้ รับ อิสร ภาพจ าก น าย ท าสท่ี ร่ํ ารวย ของพวก น างซึ่งต้ อ ง รบั ผิดชอบพวกนางอยา่ งยตุ ธิ รรมตามที่กฎหมายอสิ ลามได้กําหนดไว้ สรุป (Summary) ระบอบทาสมิได้ถือกําเนิดขนึ ้ โดยศาสนาอิสลามหากแตเ่ ป็ นความป่ วยไข้ในสงั คมซึ่งฝัง รากลกึ ก่อนการมาของอิสลามอย่างยาวนาน กฎหมายอิสลามได้พยายามอย่างยิ่งที่จะล้มเลิกทาส ท่ีมอี ย่ใู นสงั คมอิสลามด้วยการยกเกียรตแิ ละสทิ ธิของพวกเขาขนึ ้ เสมอภาคเหมือนกับสมาชิกอื่นๆ ในสังคม โดยทัง้ นีป้ ระตูและหนทางท่ีจะนําไปสู่การมีทาสใหม่ๆในสังคมได้ ถูกปิ ดล งใน ขณะเดียวกนั ที่ประตแู ห่งการปลดปล่อยทาสให้เป็ นอิสระได้รับการเปิ ดขนึ ้ อย่างมากมายโดยข้อ กฎหมายอิสลาม การปลดปลอ่ ยทาสได้ถกู พิจารณาวา่ เป็นคณุ ธรรมความดีอนั ยิ่งใหญ่ในสายพระ เนตรของพระองคอ์ ลั ลอฮฺตะอาลา ผ้ทู ี่ทําการศึกษาข้อกฎหมายทาสในอิสลามจําต้องระมดั ระวงั อยา่ งมากในการพิจารณาการมีอย่ขู องทาสหญิงในสงั คมมสุ ลิม กลา่ วคือเราไมค่ วรที่จะพ่งุ เป้ าการ มองทาสในสงั คมมสุ ลิมไปที่ทาสหญิงและเป้ าหมายทางเพศเท่านนั้ เพราะนั่นจะนําไปสกู่ ารบิด เบีย้ วในความเข้าใจอิสลามอย่างร้ายกาจ หากแตค่ วรจะมองไปยงั ภาพทงั้ หมดทกุ มิติของสงั คม อสิ ลามอนั บริสทุ ธิ์ที่มอี ยใู่ นสมยั ของทา่ นรอซูล ศอ็ ลฯ ไมว่ า่ จะเป็นในมิตดิ ้านคณุ ธรรม,การบําเพ็ญ ตนเพื่อศาสนา,ความเสียสละ,ความเมตตา,ความกล้าหาญและบคุ ลกิ อนั สงู สง่ ในหมอู่ คั รสาวกของ ทา่ นศาสนทตู ศอ็ ลฯ ซง่ึ ได้รบั การขดั เกลาอบรมจากตวั ของท่านศาสนทูตเอง ระดบั ขนั้ ของความ ศรทั ธาและยําเกรงตอ่ พระเจ้าของพวกเขาตลอดจนการแสวงหาคําสญั ญาแห่งสวงสวรรค์นนั้ ได้ 72 Keith Bradley. Resisting Slavery in Ancient Rome. : http://www.bbc.co.uk/history/ancient/romans/slavery_01.shtml
~ 92 ~ หลอ่ หลอมความดีงามในตวั บคุ คลขนึ ้ มาและนนั่ ย่อมเป็นเร่ืองโงง่ มและขลาดเขลาอยา่ งมากท่ีหาก ใครบางคนจะนําเอาสงั คมอดุ มคติท่ีเป็นจริงของอสิ ลามในยคุ สมยั นนั้ มาเปรียบเทียบกบั สงั คมเน่า เฟะของยคุ สมยั หลงั มาหรือแม้กระทง่ั ปัจจบุ นั ก็ตาม! การเปรียบเทียบระบอบทาสในสงั คมอิสลาม ยคุ ทา่ นนบีกบั ทาสในอาณานิคมของพวกฝร่ังหรือทาสหญิงในสงั คมไทยก็ดีล้วนแล้วแต่เป็ นมโน ธรรมที่หยาบกร้านทงั้ สิน้ เพราะพวกทาสเหลา่ นนั้ ล้วนแล้วเป็ นทาสขนึ ้ มาได้จากการปล้นสะดม ของพวกยโุ รปและการจบั เสรีชนผ้บู ริสทุ ธ์ิมาเป็นทาสจากแดนดงตา่ งๆเชน่ ทวีปแอฟริกาจากนนั้ จึง นําพวกเขาไปยงั อาณานิคมและปฏิบตั ิตอ่ พวกเขาประหนึ่งสตั ว์ ในทางกลบั กนั ในหมทู่ าสที่ปรากฏ ขนึ ้ ในสงั คมอิสลามยคุ ทา่ นศาสนทตู อนั เป็นยคุ แหง่ การบญั ญตั กิ ฎหมายอิสลามขนึ ้ มา บรรดาทาส กลบั กลายมาเป็ นกล่มุ ชนที่โดดเด่นในแวดวงสงั คมอิสลาม ในหมพู่ วกทาสที่เป็ นสาวกชนั้ นําก็มี ท่านบิลาล,ท่านอมั มารบินยาซีร ท่านซลั มานอลั ฟาริซีย์และท่านเซดบินฮะรีษะฮฺ (รอฏิยลั ลอฮุ อนั ฮมุ ) แม้แต่ในสงั คมมสุ ลิมรุ่นหลงั ซึ่งได้ดํารงอย่ใู นคณุ ความดีกลมุ่ ชนท่ีมีพืน้ เพจากความเป็ น ทาสก็ยังคงโดดเด่นขึน้ มาอย่างน่าจับใจ ท่านอิมามอบูหะนีฟะฮฺนักปราชญ์ด้านนิติศาสตร์ผู้ ยิ่งใหญ่ของโลกมสุ ลมิ กเ็ ป็นหลานป่ ขู องทาสชาวเปอร์เซีย73ขณะที่ท่านอิบนอุ สิ หาก นกั วิชาการคน แรกของโลกมสุ ลมิ ท่ีเขียนหนงั สอื ประวตั ชิ ีวิตของทา่ นนบี(ศิเราะฮฺรอซูลลลุ ลอฮฺ)ก็เป็ นหลานป่ ขู อง ทาสเชลยชาวคริสต์เตียนชื่อยะซาร74นอกเหนือจากทงั้ สองท่านนีแ้ ล้วนักวิชาการท่ีมีพืน้ เพมาจาก ครอบครวั ทาสยงั ปรากฎ ท่านวะฮฺบ์ อบิ นมุ นุ บั บิฮฺ (เสยี ชีวติ ปี ฮิจเราะฮฺ110) ทา่ นผ้นู ีเ้ ป็นบตุ รของมุ นบั บิฮฺซง่ึ ได้ตกเป็นเชลยและกลายเป็นทาสในครงั้ ร่วมรบเคยี งข้างกองทพั เปอร์เซียบริเวณตอนใต้ ของอารเบีย ท่านวะฮฺบ์ ได้กลายมาเป็นนกั วชิ าการอิสลามซึง่ ผลติ ตําราประวตั ศิ าสตร์มากมายเช่น “อลั -มบุ ตะดาอ์”,กิศอศลุ อมั บิยาอ,์ ฮิกมะตลุ ลกุ มาน, เป็ นต้น ท่านมซู า บิน อกุ บะฮฺ (เสีย ปี 141) ทา่ นเป็นทาสของวงศต์ ระกลู ท่านซุเบรอิบนเุ อาวาม แต่ท่านก็เป็ นนักหะดีษผ้ปู ราดเปรื่องและเจน จดั ในเรื่องราวของประวตั ิศาสตร์การทําสงครามของท่านรอซลู ศอ็ ลฯ ความปราดเปร่ืองของท่านมี ตวั แปรชีว้ ดั ที่สําคญั วา่ ทา่ นคืออาจารย์ของท่านอมิ ามมาลิก!, อลั วากิดีย์ (เสียปี 207) เป็ นหนึ่งใน อดีตทาสของอบั ดลุ ลอฮฺบินบรุ ็อยดะฮฺแห่งตระกลู อสั ลาม วากิดีย์เป็ นหน่ึงในนกั ประวตั ิศาสตร์คน สาํ คญั ของมสุ ลิมเป็นหน่ึงในศิษย์ของทา่ นอมิ ามมาลกิ และซุฟยานอษั เษารีย์ ตําราท่ีเขาเขียนมีช่ือ วา่ กิตาบอัลริดดะฮฺ ซึ่งอธิบายถึงเหตกุ ารณ์การตกศาสนาของชาวอาหรับในยคุ สมยั ของท่าน อบูบักร วากิดีย์ยังมีเลขานุการคนสําคัญท่ีสดุ คือท่านอิบนุสะอฺด์เจ้าของตํารา อัล-เตาะบะ 73 ฟิ ลลพิ เค. ฮติ ตี. ประวตั ิศาสตร์อาหรับและกําเนิดอสิ ลาม(History of the Arabs). แปลโดย ทรงยศ แววหงษ์. หน้า 142. 74 เลม่ เดียวกนั . หน้า 129
~ 93 ~ กอตอลั -กุบรอ อย่างไรกต็ ามแม้นตวั วากิดยี จะถกู มองวา่ เป็นนกั ประวตั ิศาสตร์คนสําคญั แตค่ วาม เสอื่ มเสยี ในพฤติกรรมของเขากค็ ือการชอบกเุ รื่องเทจ็ ใสไ่ คล้ทา่ นรอซูล ศอ็ ลฯ75 เราจะพบวา่ เพียงแค่เพียงไม่ก่ีช่วงอายุคนจากรุ่นป่ มู าส่รู ุ่นหลาน สงั คมอิสลามสามารถ แปรสภาพความเป็นทาสของตระกลู หน่งึ มาเป็นนกั วชิ าการผ้มู ีเกียรติของโลกมสุ ลิมได้อย่างทนั ตา เหน็ ดงั ที่ทา่ นเมาดดู ีได้กลา่ ววา่ “ผลสะทอ้ นจากนโยบายดา้ นมนษุ ยธรรมของอิสลามไดป้ รากฏใหเ้ หน็ ว่าจานวนมากของ ผคู้ นทีไ่ ดถ้ กู จบั มาเป็นเชลยจากสงครามระหวา่ งประเทศและไดถ้ ูกนามาสปู่ ระเทศมสุ ลิมในฐานะ ทาสนนั้ คนเหล่านี้ไดห้ นั มานอ้ มรบั อิสลามและบตุ รหลานของพวกเขาก็ไดผ้ ลิตบรรดานกั วิชาการ ,บรรดาอิมาม,บรรดานกั กฎหมาย,บรรดานกั ตฟั ซีร.บรรดารฐั บรุ ุษและนายพลทวั่ ไปของกองทพั และในทา้ ยที่สดุ พวกเขาเหล่านี้ก็ไดก้ ลายมาเป็นผปู้ กครองของโลกมสุ ลิม”76 75 รอฟลี แวหะมะ. เอกสารประกอบ รายวิชาประวัติศาสตร์อิสลาม 1 (761-208 Islamic History 1). หน้า 21- 29. 76 Abul A’la Mawdudi. Human Right in Islam. P.19 .
~ 94 ~ บทท่ี 3 ทาสในกฎหมายอิสลาม เนือ้ หาในภาคสว่ นนีข้ ้าฯจะได้ทําการนําเสนอถงึ ข้อกฎหมายของอสิ ลามในเรื่องที่เกี่ยวกับ การประพฤติปฏิบตั ิตอ่ ทาสในครอบครองของพวกเขา และเพื่อที่เราจะได้เห็นถึงความเปลีย่ นแปลง ท่ีศาสนาอสิ ลามได้ให้ไว้แกร่ ะบอบทาสที่มีอย่ใู นสงั คมโลกขณะนนั้ ก็ย่อมถือวา่ เป็ นความจําเป็ นที่ ท่านผ้อู า่ นพึงรบั ทราบถึงสภาพของทาสในภาพรวมท่ีมีอยใู่ นโลกขณะนนั้ เสยี กอ่ น ทาสในอารยธรรมโลกก่อนสมัยอสิ ลาม มนษุ ย์ท่ีขาดซงึ่ ศรทั ธาในพระเจ้ามกั จะถกู ธรรมชาตแิ หง่ ความเย่อหยิ่งจองหองเข้าครอบงํา จนคิดอยู่เสมอว่าตนเองมีความเหนือและโดดเด่นกว่ามนษุ ย์ผ้อู ื่น ความโน้มเอียงในจิตใจของ มนษุ ย์ท่ีอยากจะมีอาํ นาจเหนือมนษุ ย์ผ้อู ่ืนได้ผลกั ดนั ให้มวลมนษุ ย์ต้องทําการเขน่ ฆ่ากัน สงคราม และความพา่ ยแพ้ตลอดจนชยั ชนะได้ทําให้มนษุ ย์สมั ผสั ถึงกลิ่นคาวเลือดของศตั รูผ้พู ่ายแพ้ท่ีพวก เขาได้ประหัตประหารไปอย่างทารุณกรรม อย่างไรก็ตามวิวฒั นาการทางสงั คมและศิลปะการ สงครามของมนุษย์ได้นําไปส่กู ารเกิดขนึ ้ ของระบอบสงั คมทาส นบั ตงั้ แตท่ ่ีมนุษย์รู้จักปักหลกั ตงั้ แหลง่ อาศยั แทนท่ีการอพยพเร่ร่อนเพื่อหาอาหารและความอบอ่นุ ของอากาศ การสงครามของ มนษุ ย์ในยคุ สมยั นีจ้ ากการประหารศตั รูจึงถกู แทนท่ีด้วยการจบั คนมาเป็ นทาสเพื่อใช้เป็ นแรงงาน ในการเกษตรกรรมและปศสุ ตั ว์ของพวกเขา และท้ายที่สดุ เมือ่ เรื่องของการค้าได้ปรากฏขนึ ้ ในจิตใจ ของมนษุ ย์ ทาสก็ได้กลบั กลายมาเป็นสินค้าในตลาดชนิดหนึ่งของสงั คมยุคโบราณ ระบอบสงั คม ทงั้ หมดดงั กลา่ วนีค้ อื สงิ่ ท่ีดาํ เนินอยใู่ นอารยธรรมเก่าแก่ของมนษุ ย์ยคุ อดีตไมว่ า่ จะเป็ นอซั ซีเรีย,บา บิโลนและอียิปต์ แต่ทว่าหากพิจารณากันถึงความเฟ่ื องฟูในธุรกิจการค้าทาสอย่างเดียวแล้ว อาณาจกั รโรมนั ดเู หมือนจะโดดเดน่ เป็ นพิเศษในเร่ืองของธุรกิจการค้าทาส กล่าวกนั ว่าตลาดค้า ทาสของโรมนั ได้บรรจทุ าสไว้ในปริมาณที่มากมาย ทาสเหลา่ นีม้ ิได้ถูกพิจารณาวา่ เป็ นมนุษย์เลย ด้วยซํา้ กลบั กันพวกเขาได้ถูกขายในตลาดเช่นเดียวกบั แพะแกะ ในด้านการปฏิบัติพวกเขาก็ถูก กระทําประหนึง่ ราวกบั เป็นสตั ว์ส่เี ท้า การละเมดิ ทางเพศตอ่ ทาสและการตบตหี รือแม้กระทง่ั การฆ่า ทาสเพื่อความสะใจเป็นวตั รปฏิบตั อิ ย่ใู นสงั คมของพวกโรมนั โดยทว่ั ไปแล้วทาสในสงั คมโรมนั มกั มอี ยแู่ ทบทกุ ครวั เรือน สว่ นมากของพวกทาสก็มาจาก เชลยสงครามหรือไมก่ เ็ ชือ้ สายของทาสเชลยทงั้ สิน้ ทาสเหล่านีม้ กั จะมีหน้าท่ีเรื่องการรับผิดชอบ ครัวเรือนหากดีหนอ่ ยก็จะถกู สอนให้ทํามาค้าขายเพ่ือผลประโยชน์แก่นาย ในสงั คมอ่ืนๆอย่างเช่น พวกเปอร์เซีย ทาสก็ปรากฏอย่อู ย่างดาษดื่นไมแ่ พ้โรมนั แต่อย่างใดเลย กลา่ วกนั ว่าพวกเปอร์เซีย นิยมที่จะจบั ทาสเชลยศกึ มาจากเผา่ เตอร์กแล้วก็นํามาขายแก่ผ้อู ่นื ในราคางาม ไมเ่ พียงแตเ่ ท่านนั้
~ 95 ~ บางครัง้ สงครามระหว่างพวกเปอร์เซียกับกรีกก็นําพามาซึ่งสินค้าทาสชัน้ เยี่ยมราคาแพง ประวตั ศิ าสตร์ได้บนั ทึกไว้ว่าจักรพรรดิปารวิซ (Parwiz) แห่งเปอร์เซียได้จบั กษัตริย์ มาวไรซ์ แห่ง กรีกมาทอดขายเป็นทาสในตลาดพร้อมกบั ทาสอีก 100 คนในสภาพท่ีแตง่ กายเยยี่ งท่ีชนชนั้ กษัตริย์ มกั สวมใสก่ นั ทาสในสังคมอาหรับก่อนสมัยอสิ ลาม พวกอาหรบั ก็เฉกเช่นเดยี วกนั กบั ชนชาติอ่นื ๆ พวกเขานําเอาเชลยสงครามมาทําเป็ นทาส หรือบอ่ ยครงั้ พวกอาหรับกม็ กั นําเข้าทาสมาจากดนิ แดนรอบนอกของอารเบีย เช่น พวกอบิสสเิ นียน และและบรั บารูส ซึง่ อาศยั อย่ใู นอาณาบริเวณของประเทศเอธิโอเปี ยในปัจจุบนั ธุรกิจการค้าทาส ในสงั คมของพวกอาหรับมกั กระทําขนึ ้ ในช่วงที่มีเทศกาลสําคญั ๆของพวกเขา โดยมีพวกอาหรับ กเุ รชเป็นกลมุ่ นายทนุ สําคญั ในการค้าทาส และในหมกู่ เุ รชก็จะมีชายช่ืออบั ดลุ ลอฮฺบินํดุ อานเป็น พ่อค้าทาสที่มีชื่อเสยี งมากท่ีสดุ ทงั้ ยังมีบทบาทสําคญั ตอ่ พวกกเุ รชมากเพราะเขาได้เป็ นผ้นู ําของ พวกกเุ รชในการทําสงครามอลั -ฟิ ญารอนั ลือลนั่ ธรรมเนียมการซือ้ ทาสของพวกอาหรับก็สดุ แสนจะป่ าเถื่อน กล่าวกนั วา่ เม่ือผ้ใู ดซือ้ ทาส จากตลาดผ้ซู ือ้ กม็ กั นําเชือกมาคล้องคอทาสและลากถูไถไปตามท้องถนนในขณะท่ีผ้ซู ื่อนงั่ อย่บู น หลงั ม้า! นอกจากนีบ้ อ่ ยครงั้ ทาสกไ็ ด้ถกู ปฏบิ ตั ริ าวกบั เป็นเพียงสินค้าชิน้ หนงึ่ เท่านนั้ กลา่ วคือพวก อาหรับมกั มอบทาสให้เป็ นของขวญั แก่เจ้าสาวในวนั แต่งงาน ดงั กรณีของบัชชารอิบนบุ ุรดฺและ มารดาของเขาท่ีได้ถกู มอบเป็นของขวญั แก่สตรีเผา่ อกุ อ็ ยลีย์ในวนั แตง่ งาน สว่ นพวกชนชนั้ นําทางสงั คมเช่นเจ้าชายและกษัตริย์ก็มกั สะสมทาสเพื่อแสดงบารมีทาง สงั คมของพวกตน ดังเช่นเมื่อคราวที่เจ้าชายแห่งฮิมยัรนามว่าซุลคุละอ์ได้มาเยี่ยมเยียนท่าน อบบู กั รนนั้ เขามที าสซ่ึงตดิ ตามมาด้วยถึงพันคน และพวกอาหรับท่ีมีเกียรติทางสงั คมก็มกั มีทาส กนั แทบทกุ รายเพื่อไว้ใช้งานในครัวเรือน นอกจากนีก้ ารมีทาสไว้เพ่ือเป้ าหมายทางการทหารและ สงครามกม็ กั นิยมกระทําอย่เู ช่นเดียวกัน กล่าวกันวา่ อบั ดลุ ลอฮฺอิบนิอะบีรอบิอะฮฺ มีทาสจํานวน มากไว้ใช้ในการทหาร แตก่ ระนนั้ ก็ตามการบีบคนั้ ทาสอย่างไร้มนุษยธรรมเหล่านีก้ ็มกั ปรากฏผล สะท้อนออกมาวา่ ทาสเหล่านีไ้ มม่ ีความซื่อสตั ย์ตอ่ หน้าท่ีของตนเอง การนําทาสมาเป็ นทหารใน สงครามยงั คงมีอย่จู นกระทงั่ การมาของศาสนาอิสลาม พวกกเุ รชท่ีตอ่ ต้านอิสลามก็ยังคงนําทาส มาตอ่ ส้กู บั อสิ ลามเหมือนเดิม อยา่ งไรก็ตามความโหดร้ายที่พวกอาหรับกระทําต่อทาสปรากฏใน รูปลกั ษณ์ท่ีแม้นว่าทาสจะออกไปร่วมรบกับนายของตนจนล้มตายมากน้อยเพียงใด ในยามที่ สงครามจบลงพวกทาสเหลา่ นีก้ ลบั ไมม่ ีสว่ นได้ใดๆกบั ทรพั ย์สงครามท่ีพวกเขาได้ต่อส้จู นเลือกโชก มิหนําซํา้ ทรัพย์สงครามทัง้ หมดได้ ถูกครอบครองโดยเจ้ านายของพวกเขาเพียงผู้เดียว นอกเหนือไปจากนีก้ ารนําทาสมาเป็ นเครื่องบําเรอทางเพศแก่ผ้ชู ายก็เป็ นธรรมเนียมของพวก
~ 96 ~ อาหรบั เชน่ เดียวกนั ทงั้ นางทาสเหลา่ นีไ้ มว่ า่ นางจะตงั้ ครรภห์ รือไมก่ ็ตามบตุ รของนางท่ีเกิดมาและ ตวั นางเองกจ็ ะถกู พิจารณาว่าเป็ นทาสต่อไป ความสมั พันธ์ทางเพศระหว่างทาสหญิงกับนายจึง มไิ ด้ยกสถานะภาพทางสงั คมใดๆตามมาเลย การเรียกร้องอิสรภาพของพวกทาสก็ทําได้เพียงแค่ การร้องขอให้นายของตนขายตนเองแก่ผ้อู น่ื ตอ่ เทา่ นนั้ 77 สถานภาพของฐานนั ดรทาสในอิสลาม ในเบือ้ งต้นหากข้าฯจะพิสจู น์ถึงการ ‚ห้าม‛ ของกฎหมายอิสลามในการ ‚ข่มขืน‛ ทาส หญิงเพ่ือหกั ล้างข้อใสไ่ คล้ที่พวกคริสต์เตียนได้กระทําไป เราสามารถที่จะทําการพิสจู น์ข้อหักล้าง เหลา่ นีไ้ ด้ด้วยการจําแนกหลกั ฐานกว้างๆจากหะดษี ที่ถกู ต้องและจากหลกั ฐานจําเพาะวา่ ด้วยเร่ือง ทาสโดยตรง หลกั ฐานกว้างๆท่ีส่ือความหมายไปยังการ ‚ห้าม‛ การกดข่ีข่มเหงและข่มขืนทาส พิจารณาได้จากหะดษี ท่ีถกู ต้องบทหนึ่งความวา่ لا يرر ألا يرار ‚ท่านศาสนทตู กลา่ ววา่ :‛ความชว่ั ร้ายจะไมถ่ กู กระทําหรือกอ่ ให้เกิดขนึ ้ (ตอ่ ผ้อู น่ื )ในอสิ ลาม‛78 จากหะดษี บทนีร้ ูปคําที่วา่ ‚ผ้อู น่ื ‛ หมายความถึงมวลมนุษย์ทกุ คน และแน่นอนย่อมต้อง กินความรวมถึงทาสหญิงด้วยเชน่ กนั เพราะการขม่ ขืนทาสหญิงคือการกระทําอนั ชวั่ ร้ายซึ่งเป็นการ ละเมดิ ทงั้ ทางอารมณ์และร่างกายตอ่ สตรีเพศ ทงั้ ยงั เป็นบาปใหญ่แก่ชายมสุ ลิมด้วยหากเขาคิดที่ จะละเลยหรือเพิกเฉยกรอบกฎเกณฑ์กว้างๆท่ีหะดษี ข้างต้นได้กลา่ วไว้เพียงเพ่ือสนองตอบตอ่ กาม คณุ ของตนเอง เน่ืองเพราะวา่ ทา่ นศาสนทตู ได้บญั ชาแก่เราให้ทําการดแู ลทาสหญิงของเขาอย่างดี และเคารพในเกียรติของนางซง่ึ เป็นข้อพิสจู น์วา่ การขม่ ขืนทาสหญิงคอื สง่ิ ต้องห้ามในอิสลาม!! ท่านศาสนทตู ยงั ได้สง่ั สอนให้พงึ ตระหนกั ตอ่ สทิ ธิแห่งความ ‚เทา่ เทียม‛ กันของผ้เู ป็ นทาส ดงั วจนะอีกบทหน่ึงของทา่ นดงั นี ้ لن الممرأر بن سمند قال لقي أبا ذر بالربذة ألتي حتة ألتى يلام حتة فسألا لن ذلك فقال إِن سابب رجلا فمًنت بأم فقال لي الكبي صتى الله لتي أستم نا أبا ذر ألًنت بأم إعك امرؤ فيك جاهتية إخماعمم خملمم جمتهم الله تح أندنمم فمنتان أخمه تح نده فتيطمم مما نأتل أليتبس مما نتبس ألا تمتفمهم ما نغتبهم فإنتتفاممهم فأليكمهم 77 Jurji Zaydan’s. 1978. History of Islamic Civilization. Translated by D.S. Margoliouth. P. 13-15 78 อสั อลั กบุ รอ. หมายเลขที่ 11546 .
~ 97 ~ “จากอลั มะอฺรูรกล่าวว่า ณ ทีอ่ รั รอบะสะฮฺ ฉนั ไดพ้ บอบูซรั ซึ่งได้สวมเสื้อคลมุ เช่นเดียวกับทาสของ เขาฉนั จึงถามเขาไปถึงสาเหตทุ ีเ่ ขาไดใ้ หท้ าสสวมเสื้อคลุมแบบเดียวกบั เขา อบซู รั ตอบว่า ฉนั ไดพ้ ูด สบประมาทชายคนหน่ึงดว้ ยการเรียกชื่อมารดาของเขาดว้ ยนามที่ไม่ดี ทา่ นรอซูลจึงกลา่ วแก่ฉนั ว่า โออ้ บซู รั เอ๋ยเจา้ ยงั คงมีบคุ ลิกภาพเยีย่ งคนยคุ สมยั แห่งความอวิชชาอยู่ ทาสของท่านแทจ้ ริงแลว้ ก็ คือพี่นอ้ งของพวกท่านที่อลั ลอฮฺไดม้ อบใหเ้ ขาอยู่ภายใตก้ ารคุ้มครองของท่าน บุคคลใดที่มีพี่นอ้ ง (ทาส)ใตก้ ารคมุ้ ครองของเขาไวก้ ็จักควรตอ้ งมอบแก่พวกเขาจากส่ิงที่ท่านกินและสวมใส่ เขาจัก ต้องไม่มอบภาระแก่ทาสด้วยกับการงานที่เกินความสามารถของทาส หากแม้นว่าท่านจาต้อง มอบหมายแก่พวกเขาใหท้ างานหนกั ในกรณีใดก็ตามแต่ ฉนั ขอชี้แนะแก่ท่านให้ช่วยเหลือพวกเขา ในการทางาน79‛ วจนะข้างต้นคอื คาํ สง่ั ใช้ของท่านศาสนทตู แห่งอิสลามตอ่ ปวงประชาราษฎรทงั้ หลายจาก ประชาชาติของท่านให้พึงทําลายและยกเลิกคา่ นิยม ‚เดียรถีย์‛ ที่บนั่ ทอนคณุ คา่ และความเท่า เทียมของผองมนษุ ย์จากการอบุ ตั ขิ นึ ้ ของระบบทาส ใจความของหะดีษข้างต้นได้ทําลายกรอบทาง วฒั นธรรมในสงั คมเดิมของมนษุ ย์ยคุ อดีตท่ีแบง่ แยกเขตแดนของความเป็ นคนออกจากความเป็ น ‚ทาส‛ อย่างชดั เจนกลา่ วอกี นยั หน่ึงก็คือความเป็ นทาสในยคุ อดีตคือฐานันดรทางสงั คมท่ีอย่นู อก กรอบของคาํ วา่ ‚คน‛ ไปแล้วการกดขีบ่ ีฑาขม่ เหงตอ่ ทาสด้วยมมุ มองว่าทาสคือส่ิงมีชีวิตที่ประดจุ สตั วก์ อ่ ผลให้เกิดการขาดสะบนั้ ของจิตสํานึกในเมตตาธรรมท่ีนายทาสพึงมีตอ่ แรงงานทาส ในช่วง เวลาแหง่ ความป่ าเถื่อนในโลกยคุ อารยธรรมแบบดงั กลา่ วอิสลามจึงปรากฏตนขนึ ้ บนหน้าแผ่นดิน ด้วยการยกระดบั ชนั้ ของทาสท่ีเหนือกวา่ สภาวะของความเป็น ‚คน‛ เพราะหากแม้นวา่ ทาสถกู มอง จากสงั คมในระดบั ดขี นึ ้ มาหนอ่ ยวา่ เป็น ‚คน‛ ก็มิอาจบง่ บอกได้อย่างเตม็ ตวั ถึงสภาวะของการกดข่ี ที่จะลดน้อยถอยลงได้ เพราะการเป็นคนท่ีดํารงสถานภาพของความไร้เกียรตใิ นหมชู่ นชนั้ ทาสก็ยงั เป็นปราการสาํ คญั ที่เออื ้ อาํ นวยให้นายทาสทําการกดข่ีต่อไปทงั้ มนุษย์ยังมีนิสยั อนั ธพาลในกมล สนั ดานในการกดข่ีผ้คู นกันเองอยู่แล้ว อิสลามจึงประกันสิทธิทาสได้ลํา้ ยุคท่ีสดุ ด้วยการมอบ สถานภาพท่ีผกู พนั กบั ความเป็นสายเลอื ดของนายทาสด้วยตําแหน่ง ‚พี่น้อง‛ อนั เป็ นการเสริมใส่ ความรักต่อชนชัน้ ทาสเข้ าไปในตัวซ่ึงผลของการยกระดับทาสสู่ความเป็ น ‚พ่ีน้ อง‛ ที่กิน ความหมายกว้างกวา่ ‚ความเทา่ เทียม‛ ดงั กลา่ วนีจ้ ะผกู พนั สถานภาพของพี่น้องอย่างเป็นรูปธรรม เข้ากบั ลกั ษณะของการทํางานนน่ั กค็ อื การที่ฐานนั ดรทาสซ่งึ ถกู ยกระดบั สกู่ ารเป็น ‚พ่ีน้อง‛ จกั ต้อง ได้รับการเลีย้ งดูอย่างดีเช่นเดียวกับท่ีนายทาสมีทุกประการ ระบบการประกันสิทธิของทาสใน อิสลามจึงไปไกลถึงขนาดทําลายสญั ลกั ษณ์ของความเป็นทาสที่ผกู พนั กบั คํานิยามในการทํางาน อยา่ งหนกั ถวายตนแดน่ ายแทบชีวาวายกลายเป็ นการทํางาน ‚ร่วมกนั ‛ ระหวา่ งนายทาสกบั ทาส 79 ศอฮฮี อฺ ัล-บคุ อรีย์. กติ าบุลอีมาน. หมายเลขหะดษี : 30
~ 98 ~ และยังเป็ นการทํางานตามความสามารถซ่ึงถือเป็ นการทําลายหวั ใจสําคญั ของระบอบทาสให้ พังทลายลงอย่างตรงจุดท่ีสุด มโนธรรมอนั ละเอียดอ่อนของท่านนบี ศ็อลฯ จึงฉายภาพของ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งทาสกบั นายทาสในทิศทางที่ไมใ่ ชค่ วามสมั พันธ์เชิงอํานาจ หากแตเ่ ป็ นเรื่อง ของการมอบความไว้วางใจดงั ใจความหะดษี ที่ระบวุ า่ ทาสคือฐานนั ดรที่พระเจ้ามอบให้อย่ใู ต้การ ดแู ลของเสรีชนจากความไว้วางใจของพระองค์ด้วยระบบกฎหมาย การครอบครองทาสจึงสร้าง ความรู้สกึ ประหน่งึ ราวกบั การดแู ลทรพั ย์สินท่ีผ้มู ีอํานาจได้มอบหมายแก่คนท่ีด้อยอํานาจกว่าตน ในการดแู ล การแนะนําของท่านนบีในสิทธิของทาสดงั กล่าวจึงหาใช่การแนะนําท่ีสกั แตว่ ่าพดู เป็ น ทฤษฎโี ก้ๆอย่างกบั พวกนกั ปฏิวตั ิจอมปลอมก็หาไม่ ในทางกลบั กนั ทา่ นศาสนทูตยังได้วางกลยทุ ธ์ อนั แยบยลในการนําไปสกู่ ารปฏิบตั ิจากทฤษฎีดงั กลา่ ว ด้วยการวางหมากกลความสมั พนั ธ์ในชีวิต ของมนษุ ย์ระหวา่ งนายทาสและทาสจากการร่วมกินร่วมใช้และร่วมทํางานด้วยกัน อนั จะเป็ นผล นําไปสคู่ วามรู้สกึ ที่ ‚เท่าเทียม‛ กนั ของความเป็นมนษุ ย์อยา่ งแท้จริง คําถามที่ ติดตามมาจากการใคร่ ครวญถึงวจ นะอันยิ่ งใ หญ่ ข้ างต้ น ก็คือว่าเ หตุอันใ ด ปรารถนาอนั แรงกล้าของท่านนบีในการทําลายชนชัน้ ทาสจึงปรากฏออกมาในรูปแบบของการ ทําลายคํานิยามของการเป็ น ‚ทาส‛ ที่หมายถึงการขดู รีดทางการผลิตระหว่างนายกบั ทาสกลบั กลายมาเป็นการให้คํานิยามใหม่ของคําวา่ ทาสอนั หมายถึง ‚การทํางานร่วมกนั กบั นายทาส‛ ไป เสียได้ แรงปรารถนาอนั ย่ิงใหญ่ดงั กล่าวของบรมศาสนทูตแห่งอิสลามสะท้อนผ่านความห่วงใย ชนิดสดุ หวั ใจของท่านศาสนทูตในการวางหมากกลล้มล้างระบอบทาสจากการเอือ้ นเอย่ อํามตะ วาจากอ่ นการวายชนม์ของท่านความวา่ تان آخرتلام الكبي صتى الله لتي أ ستم الصلاة الصلاة:لن لتى صتمات الله لتي قال صحيح-اتقما الله فيما متم أيداعمم ทา่ นอะลี อิบนอุ บีตอลบิ รายงานวา่ ‚คําสง่ั เสยี สดุ ท้ายกอ่ นการสนิ ้ ชีวติ ของท่านศาสนทตู ก็คือ (จง ดาํ รงไว้ซง่ึ ) ละหมาด ! ละหมาด ! จงยําเกรงต่ออลั ลอฮฺเกี่ยวกับมวลทาสหญิงในมือขวาของพวก ท่าน-หะดีษศอฮีฮฺ80‛ อิสลามคือศาสนาท่ีเน้นหนักในการปฏิบัติศาสนกิจพืน้ ฐานอย่างละหมาดด้วยการ พิจารณาศาสนกิจดงั กลา่ วประหนึ่งสายใยความสมั พนั ธ์และความจงรกั ภกั ดที ี่มนษุ ย์มีตอ่ พระเจ้า แตก่ ระนนั้ กต็ ามการดแู ลทกุ ขส์ ขุ ของทาสกลบั ถกู ยกมาเป็นคาํ สงั่ เสียเคยี งข้างควบคไู่ ปกบั ศาสนกิจ ดงั กลา่ วไว้อย่างย่ิงใหญ่ราวกบั จะตอกยํา้ มิตกิ ารปฏบิ ตั ศิ าสนกจิ ท่ผี องมสุ ลิมมตี อ่ พระเจ้าซ่งึ ไมอ่ าจ แยกขาดมิติความสมั พันธ์ทางความประพฤติของมนษุ ย์ออกจากการให้เกียรติทาสที่ถกู กดข่ีมา 80 อลั อะดบั อลั มฟุ ร็อด. หน้า 67 หมายเลข ที่ 158
~ 99 ~ ตลอดหน้าประวตั ศิ าสตร์ได้ ตราบใดท่ีมวลมสุ ลิมกระทํากิจทางศาสนาเช่นการละหมาดอนั เป็ น คําสง่ั เสยี ก่อนสนิ ้ ชีพของทา่ นศาสนทตู ฉนั ท์ใด การพึงระวงั ในเร่ืองการกดข่ีบีทาทาสกจ็ ําต้องควบคู่ ไปกบั การปฏิบตั ฉิ นั ท์นนั้ การละหมาดวนั ละ 5 เวลาตอ่ วนั ในฐานะสํานึกของปวงชนตอ่ คําสง่ั เสีย ของท่านนบีจึงตอกยํา้ การประกนั สิทธิของทาสไปในตวั เชน่ กนั คาํ สง่ั เสยี ในเรื่องทาสของท่านศาสน ทตู กอ่ นการสนิ ้ ใจสะท้อนภาพของการเป็ น ‚นกั สิทธิมนษุ ยชนท่ีแท้จริง‛ ของท่านศาสนทตู ท่ีหวน่ั วติ กถึงวิกฤตกิ ารณ์ของโลกมนษุ ย์ท่ีเกิดขนึ ้ จากการนําคนเป็ นทาส สิ่งสําคญั มากมายสดุ คนานับ ซึง่ มิได้ถกู สงั่ เสยี กอ่ นการสนิ ้ ใจแตท่ ว่าได้ถกู แทนท่ีด้วยคาํ สงั่ เสียในความเป็นห่วงของท่านศาสนทตู ที่มีตอ่ ทาสคอื ภาพสะท้อนการเป็น ‚นกั ปฏวิ ตั ิ‛ และ ‚ปฏิรูป‛ ตอ่ ระบอบสงั คมโลกอนั ชวั่ ช้าท่ีฝังราก ลกึ อย่ใู นจิตใจอนั เป่ี ยมด้วยเมตตาธรรมของท่านศาสนทตู (ศ็อลฯ) จะมีนกั ปฏิวตั ิคนใดบนหน้า แผน่ ดินนีอ้ ีกเล่าที่การสิน้ ชีพของเขาจกั ควบค่มู าพร้อมกบั ความรักท่ีมีต่อปวงทาสในบรรณพิภพ เชน่ ที่ทา่ นศาสนทตู เป็นอยู่ جابر بن لبد الله نقملتان الكبي صتى الله لتي أ ستم نمصى بالممتمتٌن خًنا أنقمل أطمممهم مما تأتتمن أألبسمهم من لبمسمم ألا تمذبما ختق الله لز أ جل ท่านญาบิร อิบนอุ บั ดิลละฮฺ กล่าววา่ ‚ทา่ นศาสนทูต (ศ็อลลลั ลอฮฺฮุอะลยั ฮิวสั สลาม) ได้ สง่ั เสียวา่ บรรดาทาสนนั้ ควรจกั ตอ้ งไดร้ ับการดแู ลอยา่ งดี ท่านยงั ไดก้ ล่าวว่า จงใหอ้ าหารแก่พวก ทาสจากส่ิงที่ทา่ นกิน และจงแต่งตวั แก่พวกเขาจากสิ่งเดียวกนั กับที่พวกท่านสวมใส่ และจงอย่า ลงโทษแก่สิ่งทีอ่ ลั ลอฮฺไดส้ รรค์สร้างขึ้นมา(ทาส)-หะดีษศอฮีฮฺ81 เป็นอกี ครัง้ หนึ่งที่วจนะในเรื่องความเท่าเทียมของทาสกับเสรีชนได้ถูกท่านรอซูล ศอ็ ลฯ เน้นยํา้ อกี ครงั้ เราควรจะเข้ามาพิจารณาในทางปรัชญาวา่ เหตอุ นั ใดทา่ นรอซลู จงึ ได้สงั่ เสียดงั กลา่ ว นีม้ าตลอด ใจความหะดีษเร่ิมต้นขนึ ้ ด้วยการพูดอย่างกว้างๆวา่ ทาสจะต้องได้รับการปฏิบัติใน ขอบข่ายที่พอจะเรียกว่า “ดี” ได้ กระนนั้ ก็ตามแบบอย่างของท่านศาสนทูต ศ็อลฯ ก็ชีย้ ํา้ เราอยู่ เสมอวา่ ลกั ษณะสภาพของทาสท่ีจะถูกเรียกวา่ ดีได้นนั้ จําต้องมีองค์ประกอบ 3 สว่ นคือ รูปแบบ ของการบริโภคต้องเป็นรูปแบบเดียวกนั พิจารณาองค์ประกอบแรกนีค้ ําสง่ั เสียได้ท้าทายยคุ สมยั และกาลเวลาอยา่ งน่าตืน่ ตาตน่ื ใจ ในอดีตบคุ คลท่ีครอบครองทาสจะต้องเป็ นผ้มู งั่ คง่ั อย่างปฏิเสธ ไมไ่ ด้และความแตกตา่ งทางด้านชนชนั้ อนั เกิดจากการครอบครองทรพั ยากรทางเศรษฐกิจระหวา่ ง มนษุ ย์ที่สะท้อนออกผลมาอยา่ งรูปธรรมท่ีสดุ ล้วนมพี ืน้ ฐานสําคญั มาจากความต่างในการบริโภค ด้วยเชน่ กนั ลทั ธิบริโภคนิยมและความฟ่ มุ เฟื อยของผ้มู งั่ มีคอื ปราการสําคญั ที่คํา้ ชคู อหอยพวกเขา อย่บู นความโอหงั ท่ีเยอ่ หย่ิง แม้กระทง่ั ในกาลปัจจบุ นั ที่เราอาศยั อย่กู ต็ าม ลทั ธิทนุ นิยมและบริโภค นิยมได้สร้างความเหล่อื มลาํ ้ ทางสงั คมมาจากการบริโภคเป็ นสําคญั ในขณะที่คนรวยได้สวาปาม 81 อลั อะดบั อลั มฟุ ร็อด. หน้า 76 หมายเลข ที่ 188
~ 100 ~ อาหารราคาแพงอยา่ งมมู มามจนต้องทิง้ อาหารเพราะปริมาณอนั มากมายซ่ึงทําให้บริโภคไมห่ มด แต่คนอีกนับล้านในสังคมนีจ้ ะแทบจะยังต้องขายลกู กินเพื่อประทังชีวิต ในขณะที่ มีการกักตนุ อาหารเพื่อลกู เลน่ ของกลไกตลาดทุนนิยมแต่ทวา่ คนในทวีปแอฟริกากลบั ต้องทนทกุ ข์ทรมานจน ต้องดมื่ ปัสวะววั กินแก้กระหาย นบั เป็นความนา่ สมเพทเวทนามากที่ระบอบประชาธิปไตยซึ่งหลง ระเริงไปกบั ความเสมอภาคและเสรีภาพจอมปลอมของพวกเขาไมอ่ าจทําลายปราการของความ เหล่ือมลาํ ้ ทางการบริโภคได้ และก็น่าสมเพทเวทนาประชาชาติอิสลามในยุคปัจจุบนั อีกเช่นกนั ท่ี พวกเขาต่างก็กุมคําสอนอนั มีมนษุ ย์ธรรมและจิตสาธารณะอย่ใู นอก กระนนั้ ก็ตามพวกมสุ ลิมก็ กลบั ถกู มองว่าเป็ นชนชาติที่เห็นแก่ตวั และพวกพ้องในขณะท่ีทาสยังถกู สง่ั ห้ามจากสภาพแห่ง ความอดอยากแตช่ าวแอฟริกานบั แสนที่เป็นเสรีชนและอดอยากกลบั ถกู เมนิ เฉยจากรัฐบาลนํา้ มนั ของมสุ ลิมจนพวกฝรง่ั ต้องดาํ เนินการเคลื่อนไหวด้วยการจัดคอนเสิร์ตเพื่อส่งอาหารไปช่วยเหลือ ประชากรในแอฟริกา องต์ประกอบท่ี 2 จากหะดีษต้นนีไ้ ด้ทําลายปราการของความแตกตา่ งจาก ภายนอกหรือในด้านเคร่ืองแต่งกาย และองค์ประกอบที่ 3 คือการสกัดกนั้ การลงโทษทาสท่ีลํา้ หน้าที่สดุ ในยคุ สมยั นนั้ سلام بن لمرأ يحدث لن رجل من أصحاب الكبي صتى الله لتي أ ستم قال الكبي صتى الله لتي أ ستم فأحسكما إليهم اساميكمهم لتى ما يتبمم أأليكمهم لتى ما يتبما:أرقاؤتم إخماعمم ซลั ลามอิบนอุ มั รฺ รายงานจากซอฮาบะฮฺผหู้ นึ่งของทา่ นศาสนทูต ศ็อลฯ ซ่ึงทา่ นศาสนทตู กล่าวว่า ‚ทาสของทา่ นก็คือพีน่ อ้ งของท่าน ดงั นนั้ จงปฏิบตั ิตอ่ พวกเขาอยา่ งดี จงขอความช่วยเหลือ(ให้ ทางาน)จากพวกเขาในสิ่งทีส่ าคญั แก่ทา่ น และจงช่วยเหลือพวกเขาในส่ิงที่สาคญั ของพวกเขา82 لن أبى هرنرة لن الكبي صتى الله لتي أ ستم قال لتممتمك طمام أتسمت ألا نمتف من الممل ما لا نطيق ทา่ นอบฮู รุ ็อยเราะฮฺ รายงานวา่ ท่านศาสนทตู ศอ็ ลฯ กลา่ ววา่ ‚ทาสนนั้ (ต่างก็)มี(สิทธิใน) อาหารและเสอื ้ ผ้าของเขา จงอยา่ ระวางแก่ทาสด้วยกบั การงานท่ีพวกเขาไม่สามารถจะกระทําได้- หะดีษศอฮีฮฺ‛83 82 อลั อะดบั อลั มฟุ ร็อด. หน้า 76 หมายเลข ท่ี 190 หะดีษต้นนีม้ ีสายรายงานที่ฎออีฟ(อ่อน)เพราะซัลลามอิบนุ อมั รฺมิได้ทําการระบุชดั เจนว่าเขารับรายงานนีจ้ ากซอฮาบะฮฺท่านใด อย่างไรก็ตามเนือ้ หาของหะดีษนีม้ ีความ สอดคล้องกบั หะดษี ศอฮีฮอฺ น่ื ๆท่ขี ้าฯได้นาํ เสนอไปแล้ว 83 อลั อะดบั อลั มฟุ ร็อด. หน้า 76 หมายเลข ที่ 192
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214