Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มุศเฏาะละหฺอัลหะดีษ โดย ผศ. ดร. อับดุลเลาะ การีนา

มุศเฏาะละหฺอัลหะดีษ โดย ผศ. ดร. อับดุลเลาะ การีนา

Published by Ismail Rao, 2021-01-22 16:17:09

Description: มุศเฏาะละหฺอัลหะดีษ
โดย ผศ. ดร. อับดุลเลาะ การีนา

https://drive.google.com/file/d/1d2cezUFpkyssBWiJx43KgylE1IwQSjdk/view?usp=sharing

Search

Read the Text Version

91บทที่ 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน 3. ระดับของหะดษี มัชฮูร หะดีษมชั ฮูรมีทงั้ หะดษี เศาะหหี ฺ หะดษี หะซัน หะดษี เฎาะอีฟ หะดษี ฎอ อฟี ญดิ ดัน และ หะดีษเมาฎอฺ 4. การนาํ มาใชเ ปน หลกั ฐาน หะดีษมัชฮูรอนุญาตใชเปนหลักฐานได หากเปน หะดษี เศาะหีหฺหรือหะดีษ หะซันและไมอนญุ าตใหน าํ หะดษี มชั ฮรู ที่เฏาะอีฟและเมาฎอ มฺ าใชเ ปนหลักฐาน 5. ตําราทเี่ ก่ยี วขอ ง ‫ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺴﺨﺎﻭ ّﻱ‬،‫ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﻘﺎﺻﺪ ﺍﳊﺴﻨﺔ ﻓﻴﻤﺎ ﺍﺷﺘﻬﺮ ﻋﻠﻰ ﺍﻷﻟﺴﻨﺔ‬.1 ‫ ﻛﺘﺎﺏ ﻛﺸﻒ ﺍﳋﻔﺎﺀ ﻭﻣﺰﻳﻞ ﺍﻹﻟﺒﺎﺱ ﻓﻴﻤﺎ ﺍﺷﺘﻬﺮ ﻣﻦ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻋﻠﻰ ﺃﻟﺴﻨﺔ‬.2 ‫ ﺍﻟﻌﺠﻠﻮ ﹼﱐ‬،‫ﺍﻟﻨﺎﺱ‬ ،‫ ﻛﺘﺎﺏ ﲤﻴﻴﺰ ﺍﻟﻄﻴﺐ ﻣﻦ ﺍﳋﺒﻴﺚ ﻓﻴﻤﺎ ﻳﺪﻭﺭ ﻋﻠﻰ ﺃﻟﺴﻨﺔ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﻣﻦ ﺍﳊﺪﻳﺚ‬.3 ‫ﺍﺑﻦ ﺍﻟﺪﻳﺒﻊ ﺍﻟﺸﻴﺒﺎ ﹼﱐ‬

92บทท่ี 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ชนิดที่ 2 หะดษี อะซซี 1. นิยาม ตามหลกั ภาษาศาสตร หะดษี อะซีซ คือ หะดษี ท่เี กดิ ข้ึนเปนบางครัง้ บางคราว ตามหลกั วชิ าการ หมายถึง หะดีษที่มีการรายงานโดยผูรายงานสองคนในทุก ๆ รุนตลอด ทัง้ สายรายงาน(1) ตง้ั แตชว งตน จนถึงชว งสดุ ทายของสะนัด 2. ตัวอยา งหะดีษอะซซี ‫ ﻋﻦ‬،‫ ﻗﺎﻝ ﺣﺪﺛﻨﺎ ﺷﻌﺒﺔ‬،‫ ﺣﺪﺛﻨﺎ ﺁﺩﻡ‬: ‫ﻓﺎﻝ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭ ّﻱ‬ )) : ‫ ﻗﺎﻝ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ‬: ‫ ﻋﻦ ﺃﻧﺲ ﻗﺎﻝ‬،‫ﻗﺘﺎﺩﺓ‬ ‫ﻻ ﻳﺆﻣﻦ ﺃﺣﺪﻛﻢ ﺣﱴ ﺃﻛﻮﻥ ﺃﺣﺐ ﺇﱃ ﺍﷲ ﻣﻦ ﻭﺍﻟﺪﻩ ﻭﻭﻟﺪﻩ‬ (( ‫ﻭﺍﻟﻨﺎﺱ ﺃﲨﻌﲔ‬ ความวา : จากอะนัสกลาววา รสูลุลลอฮฺ  กลาววา “ไมถือเปนการ อีมานของใครคนหนึ่งคนใดในหมูพวกเจาจนกวาฉันจะเปนที่รักย่ิง ของเขาเพ่ืออัลลอฮฺยิ่งกวาบิดามารดา ลูก และบุคคลทั่วไป ทั้งหมด”(1) (1) อลั ญะซาอริ ยี  หนา 36 (1) บนั ทกึ โดยอัลบุคอรยี  : 2/15

93บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน แผนภมู สิ ะนดั หะดษี อะซซี ‫ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ‬ ‫ﺃﺑﻮ ﻫﺮﻳﺮﺓ‬ ‫ﺃﻧﺲ ﺑﻦ ﻣﺎﻟﻚ‬ ‫ﻋﺒﺪﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺍﻷﻋﺮﺝ‬ ‫ﻗﺘﺎﺩﺓ‬ ‫ﻋﺒﺪﺍﻟﻮﺍﺭﺙ ﺃﺑﻮ ﺍﻟﺰﻧﺎﺩ‬ ‫ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ‬ ‫ﺷﻌﺒﺔ‬ ‫ﺳﻌﻴﺪ‬ ‫ﺷﻴﺒﺎﻥ ﺷﻌﻴﺐ‬ ‫ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺁﺩﻡ ﻋﻤﺮﺍﻥ‬ ‫ﺁﺩﻡ‬ ‫ﻣﺴﻠﻢ ﺃﺑﻮ ﺍﻟﻴﻤﺎﻥ‬ ‫ﺍﻟﻨﺴﺎﺋ ّﻲ‬ ‫ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻣﺜﲎ‬ ‫ﺍﻟﺒﺨﺎﺭ ّﻱ‬ (2/15) (4/452) (1/58) ‫ﻣﺴﻠﻢ‬ ‫ﺍﻟﺒﺨﺎﺭ ّﻱ‬ (2/15) (2/58) 3. ระดับของหะดีษอะซีซ หะดษี อะซซี บางหะดีษอยใู นระดบั หะดีษเศาะหีหฺ หะดีษหะซัน และบางหะ ดษี อยูในระดบั หะดีษเฎาะอฟี 4. การนํามาใชเปนหลักฐาน อนุญาตใหนําหะดีษอะซีซมาใชเปนหลักฐานไดหากเปนหะดีษเศาะหีหฺและ หะดีษหะซนั และไมอ นุญาตใหนาํ มาใชเปนหลกั ฐาน ในกรณที ่เี ปน หะดษี เฎาะอฟี 5. ตําราท่เี กย่ี วของ ยังไมมีหนังสือเฉพาะท่ีรวบรวมหะดีษอะซีซ

94บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ชนิดท่ี 3 หะดษี เฆาะรีบ 1. นิยาม ตามหลกั ภาษาศาสตร คาํ วา “‫ ”ﻏﺮﻳﺐ‬แปลวา ไมเ หมือนกับคนอนื่ หรือหะดีษท่มี กี ารรายงาน แปลกกวาการรายงานของคนอน่ื หรือหะดีษที่แปลกกวาหะดษี อน่ื (1) ตามหลกั วชิ าการ หะดีษเฆาะรีบ หมายถงึ หะดษี ทม่ี ีการรายงานโดยผรู ายงานเพยี งคน เดยี วเทา น้ันตลอดท้ังสายรายงาน(2) 2. ตัวอยา งหะดีษเฆาะรีบ ‫ ﻗﺎﻝ‬،‫ ﺣﺪﺛﻨﺎ ﺍﳊﻤﻴﺪ ّﻱ ﻋﺒﺪﺍﷲ ﺑﻦ ﺍﻟﺰﺑﲑ‬: ‫ﻗﺎﻝ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭ ّﻱ‬ ‫ ﻗﺎﻝ‬،‫ ﻗﺎﻝ ﺣﺪﺛﻨﺎ ﳛﻲ ﺑﻦ ﺳﻌﻴﺪ ﺍﻷﻧﺼﺎﺭ ّﻱ‬،‫ﺣﺪﺛﻨﺎ ﺳﻔﻴﺎﻥ‬ ‫ﺃﺧﱪﻧﺎ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﺍﻟﺘﻴﻤ ّﻲ ﺃﻧﻪ ﲰﻊ ﻋﻠﻘﻤﺔ ﺑﻦ ﻭﻗﺎﺹ‬ ‫ ﲰﻌ ُﺖ‬: ‫ ﲰﻌ ُﺖ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﺍﳋﻄﺎﺏ ﻋﻠﻰ ﺍﳌﻨﱪ ﻗﺎﻝ‬: ‫ﺍﻟﻠﻴﺜ ّﻲ ﻳﻘﻮﻝ‬ ،‫ )) ﺇﳕﺎ ﺍﻷﻋﻤﺎﻝ ﺑﺎﻟﻨﻴﺎﺕ‬: ‫ﺭﺳـﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ‬ (1) คาํ วาแปลกกวา หะดษี อื่นในท่ีน้ีหมายถงึ ดานสายรายงาน คอื หะดษี ท่ีมกี ารรายงานเพียงสายรายงานเดยี วเทาน้ัน ทั้ง ๆ สายรายงานของหะดีษนน้ั มสี องสะนดั หรือมากกวา ที่มีผูรายงานทัง้ ท่ีเปนคนษเิ กาะฮฺหรือไมกต็ าม หรือ ผรู ายงานทั้งหมดเปน คนษเิ กาะฮฺ (2) มะหมฺ ดู อัตเฏาะหฺหาน หนา 123

95บทที่ 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ‫ ﻓﻤﻦ ﻛﺎﻧﺖ ﻫﺠﺮﺗﻪ ﺇﱃ ﺍﷲ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ‬،‫ﻭﺇﳕﺎ ﻟﻜﻞ ﺍﻣﺮﺉ ﻣﺎ ﻧﻮﻯ‬ ‫ ﻭﻣﻦ ﻛﺎﻧﺖ ﻫﺠﺮﺗﻪ ﻟﺪﻧﻴﺎ ﻳﺼﻴﺒﻬﺎ ﺃﻭ‬،‫ﻓﻬﺠﺮﺗﻪ ﺇﱃ ﺍﷲ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ‬ (( ‫ﺍﻣﺮﺃﺓ ﻳﻨﻜﺤﻬﺎ ﻓﻬﺠﺮﺗﻪ ﺇﱃ ﻣﺎ ﻫﺎﺟﺮ ﺇﻟﻴﻪ‬ ความวา : จากอุมัร เบ็ญ อัลคอฏฏอบขณะท่ีทานอยูบนมินบัรกลาววา ฉันไดยินรสูลุลลอฮฺ  กลาววา “แทจริงการงานท้ังหลายดวย การเน้ียต และแทจริงสําหรับแตละคนนั้นดวยการเน้ียตของเขา ดงั นน้ั ผูใดอพยพเพ่ืออัลลอฮแฺ ละรสูลของพระองค การอพยพของ เขาเพ่ืออัลลอฮฺและรสูลเชนเดียวกัน และผูใดอพยพเพ่ือดุนยาท่ี เขาแสวงหาหรือเพ่ือผหู ญงิ ทีเ่ ขาจะแตงงานดวย การอพยพของเขา กเ็ พ่อื ส่ิงนน้ั ”(1) หะดีษบทนี้ถูกบันทึกไวโดยผูบันทึกหลายคนดวยกันแตมาจากสาย รายงานเดียว กนั ตั้งแตชว งตน ถึงชว งทายของสะนัด (ดู แผนภูมสิ ะนัดหนา 72) 3. ระดับของหะดษี เฆาะรบี หะดีษเฆาะรีบมีหลายระดับเหมือนกับหะดีษมัชฮูรและหะดีษอะซีซ มีทั้ง หะดีษเศาะหหี ฺ หะดีษหะซนั และหะดีษเฎาะอฟี (2) (1) มตุ ตะฟค อะลัยฮฺ บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 1/9 และมสุ ลมิ : 13/53 (2) การพจิ ารณาในการตดั สินระดบั ของหะดษี จะพจิ ารณาจากสถานะของผูร ายงานหะดษี แตล ะคน และรวบ รวม สายรายงานของหะดษี ทง้ั หมด แตหากไมม ีสายรายงานอน่ื รวมรายงานดวยนอกจากหน่ึงสายเทา นนั้ หะดษี ดังกลาวจะถอื เปนหะดีษเฆาะรีบ

96บทที่ 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน แผนภมู สิ ะนดั หะดษี เฆาะรบี ‫ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ‬ ‫ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﺍﳋﻄﺎﺏ‬ ‫ﻋﻠﻘﻤﺔ ﺑﻦ ﻭﻗﺎﺹ‬ ‫ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﺍﻟﻠﻴﺜ ّﻲ‬ ‫ﳛﻲ ﺑﻦ ﺳﻌﻴﺪ ﺍﻷﻧﺼﺎﺭ ّﻱ‬ ‫ﻋﺒﺪﺍﷲ ﺑﻦ ﻳﻮﺳﻒ‬ ‫ﺍﻟﺪﺍﺭﻗﻄ ّﲏ‬ ‫ﺍﻟﺒﺨﺎﺭ ّﻱ ﺃﺑﻮ ﺩﺍﻭﺩ ﺍﻟﻨﺴﺎﺋ ّﻲ ﺃﲪﺪ‬ (1/50) ‫ﺍﻟﺒﻴﻬﻘ ّﻲ‬ (1/25) (1/58) (2/651) (1/9) (1/41) ‫ﺍﻟﺘﺮﻣﺬ ّﻱ ﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﻪ‬ ‫ﻣﺴﻠﻢ‬ (1/1412) (3/125) (13/53) 4. การใชเ ปนหลักฐาน อนุญาตใหนําหะดีษเฆาะรีบมาใชเปนหลักฐานไดเฉพาะที่เปน หะดีษเศาะ หฮี ฺและหะดีษหะซันเทา นน้ั และไมอ นุญาตนําหะดษี เฆาะรบี ที่เฏาะอีฟและเมาฎอฺ มาใชเ ปนหลกั ฐาน 5. ตาํ ราท่ีเกี่ยวของ ‫ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺪﺍﺭﻗﻄ ّﲏ‬،‫ ﻛﺘﺎﺏ ﻏﺮﺍﺋﺐ ﻣﺎﻟﻚ‬.1 ‫ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺪﺍﺭﻗﻄ ّﲏ‬،‫ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻹﻓﺮﺍﺩ‬.2

97บทท่ี 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ‫ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺒﺰﺍﺭ‬،‫ ﻛﺘﺎﺏ ﻣﺴﻨﺪ ﺍﻟﺒ ّﺰﺍﺭ‬.3 ‫ ﺍﻟﻄﱪﺍ ﹼﱐ‬،‫ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﻌﺠﻢ ﺍﻷﻭﺳﻂ‬.4 ถึงอยางไรก็ตามการรูจักหะดีษอาหาดทั้งสามชนิดน้ีโดยวิธีการศึกษา สะนดั ของแตล ะ หะดษี คอื 1. ศึกษาจํานวนสายรายงานของแตละหะดีษและจํานวนผูรายงานของแต ละรนุ 2. ศึกษาสถานภาพของผรู ายงานหะดีษดา นคุณธรรมและขอ บกพรอ ง การจําแนกหะดีษอาหาดโดยพจิ ารณาสถานภาพของผรู ายงาน การจําแนกหะดีษอาหาดท้ังสามชนิดที่ไดอธิบายแลวนั้น – หะดีษมัชฮูร หะดีษอะซีซ และหะดีษเฆาะรีบ – โดยพิจารณาสถานภาพของผูรายงานแตละคน ตงั้ แตช วงตน จนถงึ ชว งสุดทา ยของสะนดั แบง ออกเปน 2 ชนิด คือ ชนดิ ท่ี 1 หะดีษมกั บลู มี 2 ระดบั ระดับท่ี 1 หะดษี เศาะหหี ฺ - หะดษี เศาะหีหลฺ ิซาติฮฺ - หะดีษเศาะหหี ลฺ ฆิ อั ยริฮฺ ระดบั ที่ 2 หะดษี หะสนั - หะดีษหะสนั ลซิ าตฮิ ฺ - หะดีษหะสนั ลฆิ อั ยริฮฺ ชนิดท่ี 2 หะดีษมรั ดูดมี 3 ระดบั ระดับท่ี 1 หะดษี เฎาะอฟี ระดบั ที่ 2 หะดีษเฎาะอีฟญดิ ดนั ระดับที่ 3 หะดษี เมาฎอ ฺ

98บทท่ี 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน การจําแนกหะดษี อาหา ด หะดษี อาหา ด หะดษี มชั ฮูร หะดีษอะซซี หะดษี เฆาะรบี หะดีษมกั บลู หะดีษมัรดดู หะดษี เศาะหหี ฺ หะดีษหะสนั หะดษี เฎาะอีฟ หะดษี เฎาะอฟี ญดิ ดัน หะดีษเมาฎอ ฺ ลซิ าตฮิ ฺ ลซิ าติฮ มอุ ัลลก้ั มอุ ัลลัล้ มุนกัร ลาอศั ลาละฮฺ ลฆิ อั ยรฮิ ฺ ลิฆอั ยรฮิ ฺ มุรสัล มักลูบ มตั รูก บาตลิ มุนเกาะฏอี ฺ มุตฏอรอ บ มุดลั ลส้ั มุดรอ จญ มอุ ฎฺ อ ล มุหรั รอ ฟ มุเศาะหหฺ ฟั

99บทที่ 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน หะดษี อาหาดชนิดท่หี นึง่ หะดีษมกั บูล 1. นิยาม หะดษี มักบูล คือ หะดีษทไ่ี มค รบเงื่อนไขตาง ๆ ทส่ี ามารถใหก ารยอมรบั และนํามาใชเปน หลักฐานได 2. เงือ่ นไขของหะดีษมกั บลู การที่จะเรียกวาเปน หะดีษมักบลู จะตอ งประกอบดว ยเงื่อนไขดงั น้ี 1. สายรายงานตดิ ตอ กัน 2. ผูรายงานมคี ุณธรรม 3. ผูรายงานมีความจําทดี่ หี รอื ดเี ยี่ยม 4. ผรู ายงานไมม ีความบกพรอง 5. ผูรายงานไมมกี ารปกปด ท่ีซอนเรน 6. การรายงานไมข ดั แยงกบั การรายงานของคนอ่ืน 7. ไดรบั การสนบั สนุนจากสายรายงานอื่น 3. ระดับของหะดษี มักบูล หะดีษมักบลู พิจารณาเงอ่ื นไขตา ง ๆ น้ัน แบง ออกเปน 2 ระดับ ระดบั ท่ี 1 หะดีษเศาะหีหฺ - หะดษี เศาะหหี ลฺ ิซาติฮฺ - หะดีษเศาะหหี ฺลิฆอั ยรฮิ ฺ

100บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ระดับที่ 2 หะดีษหะสัน - หะดีษหะสนั ลซิ าตฮิ ฺ - หะดีษหะสันลฆิ ัอยริฮฺ ระดบั ท่ี 1 หะดษี เศาะหีหฺ บรรดาอุละมาอฺไดแบงหะดษี เศาะหหี ฺออกเปน 2 ชนดิ คือ หะดษี เศาะหีหฺ ลิซาตฮิ ฺและหะดีษเศาะหีหลฺ ิฆอั ยริฮฺ ชนดิ ท่ี 1 หะดีษเศาะหีหลฺ ซิ าตฮิ ฺ 1. นิยาม ตามหลักภาษาศาสตร คําวา “‫ ”ﺻﺤﻴﺢ‬แปลวา ถูกตอง ตรงกันขามกับวา “‫ ”ﺳﻘﻴﻢ‬แปลวา ผิด หรือออน หมายถึง หะดีษทีม่ กี ารรายงานอยา งถูกตอง ตามหลกั วิชาการ หะดีษเศาะหีหฺลิซาติฮฺ คือ หะดีษท่ีมีการรายงานอยางติดตอกันโดย ผูรายงานท่ีมีคุณธรรมและมีความจําดีเยี่ยมจากบุคคลท่ีมีสถานภาพเดียวกัน ไม ขัดแยง และไมมคี วามบกพรองทีซ่ อนเรน (1) 2. เงื่อนไขของหะดษี เศาะหหี ลฺ ิซาติฮฺ ก า ร ท่ี จ ะ ตั ด สิ น หุ ก ม เ ป น ห ะ ดี ษ เ ศ า ะ หี หฺ ลิ ซ า ติ ฮฺ ท่ี ส ม บู ร ณ นั้ น ต อ ง ประกอบดวยเงอื่ นไขทง้ั 5 ประการ คอื (1) อบิ นุ อัลเศาะลาหฺ หนา 10

101บทที่ 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน 1. สายรายงานติดตอ กัน หมายถึง ผูรายงานทุกคนรับหะดีษดวยตัวเองจากอาจารยของแตละคน โดยไมขาดตอนแมแตคนเดียวตั้งแตผูรายงานคนแรกจนถึงทานนบี  การ รายงานนน้ั ใชส ํานวนทีช่ ดั เจน(2) ตรงกนั ขาม คอื การรายงานที่ขาดตอนชวงหนึ่ง ชวงใดของสายรายงาน(3) 2. ผรู ายงานทีม่ ีคุณธรรม หมายถึง ผูรายงานเปนผูยําเกรงตออัลลอฮฺ  พยายามรักษาตัวเอง เปนผูมีวินัยและหลักจริยธรรมอันดีงามสม่ําเสมอ ตรงกันขาม คือ คนฟาสิก(1) คนมุบตะดอิ (ฺ 2) และคนมรุ ตดั (3) 3. ผรู ายงานทีม่ คี วามจาํ ดีเยีย่ ม หมายถึง ผูรายงานที่มีความจําเปนเลิศสามารถเรียกความรูจากความจํา ของเขาเมื่อตองการ ซึ่งนักหะดีษไดแบงความจําออกเปน 2 ประเภท คือ จําแบบ ถงึ ใจและจําแบบบันทึก ตรงกนั ขาม คอื คนหลงลืม ผิดพลาด สบั สน 4. ผูรายงานไมข ดั แยงกันกับคนอน่ื (2) สํานวนการรายงานหะดีษมี 2 สาํ นวน คือ สํานวนที่ชดั เจน เชน ‫ ﻗﺎﻝ ﺃﺧﱪﻧﺎ ﺣﺪﺛﻨﺎ ﲰﻊ‬และสํานวนท่ี คลมุ เครอื เชน ‫ ﺭُ ِﻭ َﻱ ﺣُ ِﻜ َﻲ‬،‫ﻗﻴﻞ‬ (3) สายรายงานท่ีขาดตอนเรียกวา มุนเกาะฏอิ ฺ (ดู รายละเอยี ดเกี่ยวกบั หะดษี มุนเกาะฏิอฺ หนา 103) (1) คนฟาสิก คือ ผูท ่ีกระทําบาปใหญแมเ พียวครั้งเดยี วหรือบาปเลก็ เปน เนืองนิจโดยไมมกี ารเตาบะฮแฺ ตอ ยางใดจาก สง่ิ เหลานั้น ผรู ายงานที่เปน คนฟาสิกไมสามารถยอมรับได เน่อื งจากอะดาละฮเฺ ปนเงือ่ นไขหลกั ของการรายงาน หะดีษ (2) คนมบุ ตะดอิ ฺ คอื ผูทท่ี าํ อตุ ริในเรือ่ งตาง ๆ ของศาสนาที่ไมใ ชมาจากทานนบีหรอื เศาะหาบะฮฺ (3) คนมรุ ตัด คอื ผูท พ่ี นสภาพจากการเปนมุสลิมอนั เนอ่ื งมาจากไดกระทําในสิง่ ท่ขี ดั แยงกบั หลกั การศรัทธาของ อสิ ลามดวยการศรัทธา คําพูด หรอื การกระทํา

102บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน หมายถงึ ผูรายงานท่ีมีการรายงานไมขัดแยงกับคนอ่ืนท่ีมีสถานภาพท่ีแข็ง กวาหรือท่มี คี วามจําดีกวา ตรงกันขาม คือ ผูรายงานที่รายงานขัดแยงกันไมวาจะ ขดั แยง ในสะนดั หรอื ขดั แยงในมะตันหะดีษ 5. ผรู ายงานไมม ีความบกพรอ ง หมายถึง ผูรายงานท่ีมีการรายงานเปดเผยหรือความบกพรองท่ีซอนเรน ทาํ ใหฐ านะของการรายงานมีผลตอ ฐานะของหะดีษ ความบกพรองมี 2 ประเภท คือ บกพรองที่เปดเผยหรือบกพรองใน กระบวนการรายงาน เชน การรายงานทข่ี าดตอน เปนตน และบกพรองที่ซอนเรน หรอื บกพรองทไี่ มสามารถพิสจู นไดน อกจากผเู ชี่ยวชาญในดานหะดษี เทา น้นั 3. ตัวอยางหะดษี เศาะหีหฺลิซาตฮิ ฺ หะดีษเศาะหีหฺลิซาติฮฺมีมากมาย เชน หะดีษเศาะหีหฺอัลบุคอรียและเศาะ หีหฺมุสลิม และหะดีษบางสวนในหนังสืออัซซุนันและหนังสือหะดีษอ่ืน ๆ ท่ีมี สถานภาพเดียวกันกับหะดีษในหนังสือดังกลาว แตขอยกตัวอยางเพียงหะดีษ เดียวเทานัน้ ،(1)‫ ﺣﺪﺛﻨﺎ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﻳﻮﺳﻒ‬: ‫ﻗﺎﻝ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭ ّﻱ ﺭﲪﻪ ﺍﷲ‬ ‫ ﻋﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺟﺒﲑ ﺑﻦ‬،(3)‫ ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﺷـﻬﺎﺏ‬،(2)‫ﺃﺧﱪﻧﺎ ﻣﺎﻟﻚ‬ ‫ ﲰﻌ ُﺖ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ‬: ‫( ﻗﺎﻝ‬5)‫ ﻋﻦ ﺃﺑﻴﻪ‬،(4)‫ﻣﻄﻌـﻢ‬ .‫ﻭﺳﻠﻢ ﻗﺮﺃ ﰲ ﺍﳌﻐﺮﺏ ﺑﺎﻟﻄﻮﺭ‬ (1) อบั ดลุ เลาะ เบ็ญ ยซู ฟุ ‫( ﺛﻘﺔ ﻣﺘﻘﻦ‬อัลอัสเกาะลานีย : 1/463) (2) มาลกิ เบ็ญ อะนสั ‫ ﺭﺃﺱ ﺍﳌﺘﻘﻨﲔ‬،‫ ﺇﻣﺎﻡ ﺩﺍﺭ ﺍﳍﺠﺮﺓ‬،‫( ﺍﻟﻔﻘﻴﻪ‬อัลอัสเกาะลานีย : 2/223) (3) อิบนุชฮิ าบ, มุฮมั มัด เบญ็ มสุ ลิม อซั ซุฮฺรยี  ‫ ﻣﺘﻘﻦ ﻋﻠﻰ ﺟﻼﻟﺘﻪ ﻭﺇﺗﻘﺎﻧﻪ‬،‫( ﺍﻟﻔﻘﻴﻪ ﺍﳊﺎﻓﻆ‬อลั อัสเกาะลานีย : 2/223) (4) มฮุ ัมมัด เบ็ญ ุบยั รฺ เบญ็ มฏุ อิม ‫( ﺛﻘﺔ ﻋﺎﺭﻑ ﺑﺎﻟﻨﺴﺐ‬อลั อสั เกาะลานีย : 2/150)

103บทที่ 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ความวา : จากบุ ัยรฺ เบ็ญ มฏุ อิมเลา จากบิดาของเขากลาววา ฉนั ได ยินรสูลุลลอฮฺ  อา นสเู ราะฮฺอัตฏร ในการละหมาดมฆั รบิ (6) หะดีษบทน้ีเปนหะดีษเศาะหีหฺลิซาติฮฺ เน่ืองจากผูรายงานท้ังหมดมี คณุ สมบัตขิ องหะดีษเศาะหหี ฺท้ังหา ประการ สายรายงานหะดษี บุ ยั ร เบญ็ มฏุ อมิ ‫ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ‬ (‫ﺃﺑﻴﻪ )ﺟﺒﲑ ﺑﻦ ﻣﻄﻌﻢ‬ ‫ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺟﺒﲑ ﺑﻦ ﻣﻄﻌﻢ‬ ‫ﺍﺑﻦ ﺷﻬﺎﺏ‬ ‫ﻣﺎﻟﻚ‬ ‫ﺍﻟﻘﻌﻨ ّﱯ ﻗﺘﻴﺒﺔ‬ ‫ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﻳﻮﺳﻒ ﳛﻲ ﺑﻦ ﳛﻲ‬ (2/131) ‫( ﺍﻟﻨﺴﺎﺋﻲ‬2/508) ‫ﺃﺑﻮ ﺩﺍﻭﺩ‬ (4/180) ‫( ﻣﺴﻠﻢ‬2/248) ‫ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ‬ (5) อะบูฮุ คอื ุบยั ร เบญ็ มุฏอมิ เศาะหาบะฮทฺ ป่ี ระเสรฐิ (6) บนั ทกึ โดยอัลบุคอรยี  : 2/247

104บทที่ 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 4. ฐานะของหะดีษเศาะหีหลฺ ซิ าตฮิ ฺ หะดีษเศาะหีหฺลิซาติฮฺเปนแหลงท่ีมาของบทบัญญัติอิสลามในทุกๆ ดาน รองจากอัลกุรอาน เนื่องจากเปนสวนหน่ึงของวะหฺยูที่ถูกประทานลงมาแกทานน บมี ุฮัมมัด  5. การนาํ มาใชเ ปน หลักฐาน บรรดาอุละมาอฺในทุกมัซฮับมีความเห็นพองกันวาวาญิบท่ีจะตองนําหะดีษ เศาะหีหฺลิซาติฮฺมาเปนหลักฐานในทุก ๆ เร่ืองที่เก่ียวกับศาสนาและดุนยา อิ มามอัชชาฟอียกลาววา “การยอมรับเคาะบัรและนํามาปฏิบัติไดนั้นก็ตอเม่ือ สามารถยืนยันในความถูกตองของมัน แมนวาจะมีนักวิชาการคนหนึ่งคนใดไมได ปฏิบัติตามหรือไดนําหะดีษมาเปนหลักฐานก็ตาม แตหลังจากน้ันพบวาการ กระทําของเขาขัดแยงกับหะดีษของรสูลุลลอฮฺ  แนนอนเขาจะตองยุติการ กระทํานั้นและหันมาปฏิบัติตามหะดีษเศาะหีหฺ เน่ืองจากการยืนยันของการ ปฏิบัติในแตละเร่ืองนั้นมาจากหะดีษเศาะหีหฺ มิใชมาจากการปฏิบัติของใครคน หนึง่ คนใดที่มิใชทานนบี  ”(1) 6. ศัพทตา ง ๆ ที่ใชกบั หะดีษเศาะหีหฺ - “หะดีษเศาะหีหฺ” หรือ “นี่คือหะดีษเศาะหีหฺ” หมายถึง หะดีษท่ีมี คุณสมบัติของหะดีษเศาะหีหขฺ างตน ครบทุกประการ - บันทกึ โดยอลั บคุ อรยี  หรอื บันทึกโดยมุสลมิ (1) ดู อัลกอสมิ ยี  หนา 94

105บทที่ 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน - “หะดีษน้ีไมเศาะหีหฺ” หมายถึง หะดีษที่ประกอบดวยคุณสมบัติเพียงสาม ประการเทานั้น หรือสวนหนึ่งจากคุณสมบตั ทิ ั้งหาประการ(2) - “หะดษี น้ีคือหะดษี เศาะหีหฺอิสนาด” หมายถึง หะดีษเศาะหีหฺเฉพาะสะนัด หรือจากหลายๆ สะนัดมารวมกัน แตไมใชเปนหะดีษเศาะหีหฺเสมอไป ศัพทเชนนี้ เปนศัพทเฉพาะในหนังสือมุสตัดรอก อะลา อัศเศาะหีหัยนฺของอิมามอัลหากิม เทานั้น - “สะนะดุฮูศอหีฮฺ” หรือ “อิสนาดุฮูเศาะหีหฺ” หมายถึง หะดีษเศาะหีหฺ พิจารณาเพียงสะนัดของหะดีษนั้น ๆ เทานั้น ไมรวมถึงสะนัดอ่ืนที่รายงานตัวบท เดียวกัน 7. ตําราทีเ่ กีย่ วของ ‫ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭ ّﻱ‬،‫ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳉﺎﻣﻊ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ‬.1 ‫ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﻣﺴﻠﻢ ﺍﻟﻨﻴﺴﺎﺑﻮﺭ ّﻱ‬،‫ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳉﺎﻣﻊ ﺍﻟﺼﺤﻴﺢ‬.2 ‫ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﺴﻨﻦ‬.3 ‫ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﺴﺎﻧﻴﺪ‬.4 ‫ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﺼﻨﻔﺎﺕ‬.5 ‫ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﳊﺎﻛﻢ‬،‫ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﺴﺘﺪﺭﻙ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﲔ‬.6 (2) มะหมฺ ูด อลั เฏาะหฺหาน หนา 123

106บทท่ี 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ชนิดที่ 2 หะดษี เศาะหีหฺลิฆอั ยรฮิ ฺ 1. นยิ าม หะดีษเศาะหีหฺลิฆัอยริฮฺ คือ หะดีษหะสันลิซาติฮฺที่ไดรับการสนับสนุนจาก สะนัดอน่ื ท่มี ฐี านะเดียวกนั หรอื มีฐานะสงู กวา การท่ีเรียกวา “หะดีษเศาะหีหฺลิฆัอยริฮฺ” น้ันเนื่องจากความเศาะหีหฺของ หะดีษไมใชมาจากคุณสมบัติอันพึงประกอบภายในตัวของมันเอง แตไดรับการ สนับสนุนจาก สะนัดอ่ืนหนึ่งหรือมากกวา ซ่ึงสะนัดอื่นน้ันมีฐานะเดียวกันหรือสูง กวา 2. การเลื่อนฐานะเปนหะดีษเศาะหหี ลฺ ิฆอั ยรฮิ ฺ การเล่ือนฐานะของหะดีษหะสันลิซาติฮฺเปนหะดีษเศาะหีหฺลิฆัอยริฮฺตอง ประกอบดวยเง่ือนไข 2 ประการดังน้ี 1. ไดรับการสนับสนุนจากสะนัดอื่นหนึ่งสะนัดหรือมากกวา จะเปน ประเภทหะดีษมัรฟอู ฺ(1) หรอื หะดษี เมากูฟ(2) กต็ าม 2. สะนัดอนื่ นนั้ ตอ งมีฐานะเดยี วกันหรอื มฐี านะสงู กวา(3) 3. ตวั อยา งหะดษี เศาะหหี ลฺ ิฆัอยริฮฺ (1) ดู หนา 46-49 หนงสอื เลมนี้ (2) ดู หนา49-54 หนังสือเลม น้ี (3) หากสะนัดอื่นนน้ั มีฐานะต่ํากวา เชน สะนัดเฎาะอีฟ เฎาะอีฟญดิ ดนั หรอื เมาฎอฺ ไมสามารถใหการสนบั สนนุ ได และไมส ามารถเลือ่ นฐานะไดเ ชนเดียวกนั

107บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ‫ ﺣﺪﺛﻨﺎ‬،(1)‫ ﺣﺪﺛﻨﺎ ﺃﺑﻮ ﻛﺮﻳﺐ‬: ‫ﻗﺎﻝ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬ ّﻱ ﺭﲪﻪ ﺍﷲ ﺗﻌﺎﱃ‬ ،(4)‫ ﻋﻦ ﺃﰊ ﺳﻠﻤﺔ‬،(3)‫ ﻋﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻋﻤﺮﻭ‬،(2)‫ﻋﺒﺪﺓ ﺑﻦ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ‬ ‫ﻋﻦ ﺃﰊ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﺃﻥ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ‬ ‫ )) ﻟﻮ ﻻ ﺃﻥ ﺃﺷﻖ ﻋﻠﻰ ﺃﻣﱵ ﻷﻣﺮُﺗﻬﻢ ﺑﺎﻟﺴﻮﺍﻙ ﻋﻨﺪ‬: ‫ﻭﺳﻠﻢ ﻗﺎﻝ‬ .(( ‫ﻛﻞ ﺻﻼﺓ‬ ความวา : จากอะบีฮุรอยเราะฮฺ  (5) แทจริงรสูลุลลอฮฺ  ได กลาววา “หากไมทําใหยากลําบากสําหรับประชาชาติของฉัน แนน อนฉันจะสั่งพวกเขาใหแ ปรงฟน เม่อื ตองการทําละหมาดทุก ครัง้ ”(6) หะดีษดวยสายรายงานนี้ คือ หะดีษหะสันลิซาติฮฺ เนื่องจากมีผูรายงาน คนหน่ึงชื่อ อะบูสะละมะฮฺ (‫ )ﺃﺑﻮ ﺳﻠﻤ ﹾﺔ‬ซึ่งมีสถานภาพเปนผูเศาะดูก (สัจจะ) แต หะดีษน้ีมีสะนัดอ่ืนไดรายงานในตัวบทเดียวกันที่มีฐานะสูงกวาสะนัดหะดีษ ดังกลาวมาสนับสนุนทําใหเล่ือนฐานะเปนหะดีษเศาะหีหฺลิฆัอยริฮฺ (ดู แผนภูมิสะ นัดหนา 82) (1) อะบกู รุ ัอยบฺ : ‫( ﺛﻘﺔ‬อัลอัสเกาะลานีย : 2/197) (2) อับดะฮฺ เบญ็ สลุ ยั มาน : ‫( ﺛﻘﺔ‬อัลอัสเกาะลานยี  : 1/530) (3) มฮุ มั มดั เบญ็ อัมรฺ : ‫( ﺛﻘﺔ‬อัลอัสเกาะลานยี  : 2/196) (4) อะบสู ะละมะฮฺ : ‫( ﺻﺪﻭﻕ‬อัลอัสเกาะลานยี  : 2/270) (5) อะบฮู ุรอยเราะฮฺ : ‫( ﺻﺤﺎﰊ ﺟﻠﻴﻞ‬อัลอัสเกาะลานีย : 2/484) (6) บันทึกโดยอัตตริ มิซยี  : 1/34, หะดีษน้ีบนั ทกึ โดยอะบดู าวดู : 1/40 จากซัยดฺ เบญ็ คอลดิ อัลุฮะนีย

108บทที่ 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 4. ฐานะของหะดษี เศาะหหี ฺลฆิ อั ยรฮิ ฺ หะดีษเศาะหีหฺลิฆัอยรฮิ ฺมฐี านะต่าํ กวา หะดีษเศาะหีหฺลิซาติฮฺ และมีฐานะสูง กวา หะดีษหะสันลิซาตฮิ ฺ 5. การนํามาใชเปน หลกั ฐาน บรรดาอุละมาอฺมีความเห็นพองกันวา หะดีษเศาะหีหฺลิฆัอยริฮฺเหมือนกับ หะดีษเศาะหีหลฺ ิซาติฮใฺ นดานการนาํ มาใชเ ปน หลักฐานและการปฏิบตั ติ าม แผนภมู สิ ายรายงานของหะดษี เศาะหีหลฺ ฆิ อั ยรฮิ ฺ สายรายงานทมี่ ฐี านะสงู กวา สายรายงานทีม่ ฐี านะเดยี วกนั ‫ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ‬ ‫ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ‬ ‫ﺃﺑﻮ ﻫﺮﻳﺮﺓ‬ ‫ﺃﺑﻮ ﻫﺮﻳﺮﺓ‬ ‫ﺍﻷﻋﺮﺝ‬ ‫ﺳﻌﻴﺪ ﺍﳌﻘﱪ ّﻱ‬ ‫ﺃﺑﻮ ﺳﻠﻤﺔ‬ ‫ﺃﺑﻮ ﺍﻟﺰﻧﺎﺩ‬ ‫ﻋﺒﻴﺪﺍﷲ ﺑﻦ ﻋﻤﺮ‬ ‫ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻋﻤﺮ‬ ‫ﻋﺒﺪﺓ ﺑﻦ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ﻋﺒﺪﺍﷲ ﺑﻦ ﳕﲑ ﻣﺎﻟﻚ ﺳﻔﻴﺎﻥ‬ ‫ﻗﺘﻴﺒﺔ ﺑﻦ ﺳﻌﻴﺪ‬ ‫ﻋﺒﺪﺍﷲ ﺑﻦ ﻳﻮﺳﻒ‬ ‫ﺃﺑﻮ ﺳﻠﻤﺔ‬ ‫ﺃﺑﻮ ﻛﺮﻳﺐ‬ ‫ﻣﺴﻠﻢ‬ ‫ﺍﻟﺒﺨﺎﺭ ّﻱ‬ ‫ﺃﺑﻮ ﺑﻜﺮ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺷﻴﺒﺔ‬ ‫ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ‬ (3/56) (1/34) (1/354) (1/275)

109บทที่ 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ระดับที่ 2 หะดีษหะสัน อลุ ะมาอไฺ ดแ บงหะดษี หะสันออกเปน 2 ชนดิ คอื หะดีษหะสนั ลซิ าตฮิ แฺ ละ หะดีษหะสนั ลฆิ อั ยริฮฺ รายละเอยี ดของแตละชนิดมีดงั นี้ ชนิดท่ี 1 หะดษี หะสันลซิ าตฮิ ฺ 1. นยิ าม ตามหลกั ภาษาศาสตร คาํ วา “‫ ”ﺣﺴﻦ‬แปลวา ดี หรอื สวย หมายถงึ หะดีษที่ดี แตไมถึงขั้นดีมาก เพราะหะดีษทมี่ ลี กั ษณะดีมากกอ็ ยูในระดบั หะดีษเศาะหีหฺ ตามหลกั วชิ าการ หะดีษหะสันลิซาติฮฺ คือ หะดีษที่มีสายรายงานติดตอกัน จากการรายงาน ของผู รายงานท่ีมีคณุ ธรรมและมีความจาํ ดจี ากบุคคลที่มสี ถานภาพเดียวกันจนถึง ปลายสะนัดการรายงานนั้นไมขัดแยงกับการรายงานของคนอื่นและไมมีความ บกพรองดวย(1) ขอแตกตางระหวางหะดีษเศาะหีหฺลิซาติฮฺกับหะดีษหะสันลิซาติฮฺ คือ ดาน ความจาํ ของผรู ายงานหะดีษระหวางความจําดีเยยี่ มกบั ความจาํ ดี 2. เงื่อนไขของหะดีษหะสนั ลิซาตฮิ ฺ สาํ หรบั หะดษี หะสันลซิ าติฮมฺ เี งื่อนไข 5 ประการดวยกนั คอื 1. สายรายงานตดิ ตอ กัน 2. ผูรายงานท่ีมคี ณุ ธรรม (1) อลั อัสเกาะลานีย หนา 29

110บทที่ 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 3. ผรู ายงานมีความจาํ ดี (ไมถงึ ขั้นดีเย่ยี มหรือดมี าก) 4. การรายงานไมขดั แยงกับการรายงานของคนอืน่ 5. ไมม คี วามบกพรองในการรายงานหะดีษ 3. ตวั อยางหะดีษหะสนั ลิซาตฮิ ฺ ‫ ﻋﻦ ﺃﰊ‬،(1)‫ ﺣﺪﺛﻨﺎ ﺟﻌﻔﺮ ﺑﻦ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ﺍﻟﻀﺒﻌ ّﻲ‬: ‫ﻗﺎﻝ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬ ّﻱ‬ ‫( ﻗﺎﻝ‬4)‫( ﺑﻦ ﺃﰊ ﻣﻮﺳﻰ ﺍﻷﺷﻌﺮ ّﻱ‬3)‫ ﻋﻦ ﺃﰊ ﺑﻜﺮ‬،(2)‫ﻋﻤﺮﺍﻥ ﺍﳉﻮ ﹼﱐ‬ ‫ ﻗﺎﻝ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ‬: ‫ ﲰﻌ ُﺖ ﺃﰊ ﲝﻀﺮﺓ ﺍﻟﻌﺪﻭ ﻳﻘﻮﻝ‬: .(( ‫ )) ﺇﻥ ﺃﺑﻮﺍﺏ ﺍﳉﻨﺔ ﲢﺖ ﻇﻼﻝ ﺍﻟﺴﻴﻮﻑ‬: ‫ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ‬ ความวา : จากอะบูมูซา อัลอัชอะรียกลาววา ฉันไดยินบิดาของฉันเม่ือ เผชิญกับศัตรูกลาววา รสูลุลลอฮฺ  ไดกลาววา “แทจริง ประตู สวรรคน ัน้ อยใู ตเ งาของดาบ”(5) หะดีษดวยสะนัดนี้เปนหะดีษหะสันลิซาติฮฺ เนื่องจากผูรายงานในสะนัด ทานหนึ่งเปนผูท่ีมีสถานภาพเปนคนเศาะดูก คือ ญะอฺฟร เบ็ญ สุลัยมาน อัฎฎบะอีย สวนผรู ายงานทา นอ่นื ๆ ทงั้ หมดเปนคนษิเกาะฮฺ (เชอื่ ถือได) (1) ญะอฺฟร เบญ็ สลุ ัยมาน อัดฎบะอยั  : ‫( ﺻﺪﻭﻕ‬อัลอสั เกาะลานีย : 1/131) (2) อะบอู ิมรอน อัลเญานีย : ‫( ﺛﻘﺔ‬อัลอสั เกาะลานีย : 2/456) (3) อะบบู ักรฺ เบ็ญ อะบมู ูซา อลั อัชอะรยี  : ‫( ﺛﻘﺔ‬อัลอสั เกาะลานีย : 2/400) (4) อะบูมูซา อลั อชั อะรยี  : ‫( ﺻﺤﺎﰊ ﺟﻠﻴﻞ‬อลั อัสเกาะลานีย : 2/478) (5) บนั ทึกโดยอัตติรมซิ ีย : 5/300 อะบูอีซากลาววา “หะดีษนเี้ ปนหะดีษหะสนั ”

111บทที่ 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน สายรายงานของหะดษี อะบมู ซู า อลั อชั อะรยี  ‫ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ‬ ‫ﺃﺑﻮ ﻣﻮﺳﻰ ﺍﻷﺷﻌﺮ ّﻱ‬ ‫ﺃﺑﻮ ﺑﻜﺮ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻣﻮﺳﻰ ﺍﻷﺷﻌﺮ ّﻱ‬ ‫ﺃﺑﻮ ﻋﻤﺮﺍﻥ ﺍﳉﻮ ﹼﱐ‬ ‫ﺟﻌﻔﺮ ﺑﻦ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ‬ ‫ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱ‬ (5/300) 4. ฐานะของหะดีษหะสันลซิ าติฮฺ หะดีษหะสันลิซาติฮฺมีฐานะสูงกวาหะดีษหะสันลิฆัอยริฮฺ และมีฐานะต่ํากวา หะดีษเศาะหีหฺลิฆัอยริฮฺ เน่ืองจากผูรายงานในสะนัดมีสถานะเหมือนกับสถานะ ของผูรายงาน หะดีษเศาะหีหฺ เชน ษิเกาะฮฺ มีคุณธรรมและจริยธรรม เปนตน เวนแตดา นความจําเทา นนั้ ดังทไี่ ดอ ธบิ ายไปแลว

112บทท่ี 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน 5. การนาํ มาใชเ ปนหลกั ฐาน ตามทัศนะของอุละมาอฺหะดีษ ฟกฮฺและอุศูล อัลฟกฮฺมีความเห็นวา หะดีษหะสัน ลิซาติฮฺเหมือนกับหะดีษเศาะหีหฺในดานการนํามาเปนหลักฐาน คือ วาญิบใหนํามาใชเปนหลักฐานในทุกๆ เร่ืองที่เก่ียวกับเร่ืองดุนยาและเรื่องตาง ๆ ของศาสนา 6. ตาํ ราทเ่ี กี่ยวขอ ง ‫ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬ ّﻱ‬،‫ ﻛﺘﺎﺏ ﺳﻨﻦ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬ ّﻱ‬.1 ‫ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﺑﻮ ﺩﺍﻭﺩ‬،‫ ﻛﺘﺎﺏ ﺳﻨﻦ ﺃﰊ ﺩﺍﻭﺩ‬.2 ‫ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺳﻌﻴﺪ ﺑﻦ ﻣﻨﺼﻮﺭ‬،‫ ﻛﺘﺎﺏ ﺳﻨﻦ ﺳﻌﻴﺪ ﺑﻦ ﻣﻨﺼﻮﺭ‬.3 ชนดิ ที่ 2 หะดีษหะสันลิฆัอยริฮฺ 1. นิยาม หะดีษหะสันลิฆัอยริฮฺ คือ หะดีษเฎาะอีฟท่ีไดรับการสนับสนุนจากสะนัด อื่น(1) ตามทัศนะของอิมามอันนะวะวีย คือ หะดีษท่ีรายงานโดยผูรายงานมัจฮูล (2)แตไมป รากฏวา เคยกระทําบาป(3) 2. ตวั อยา งของหะดีษหะสันลิฆอั ยริฮฺ (1) อลั อสั เกาะลานยี  หนา 29 (2) มจั ญฮ ูล หมายถึง ผูร ายงานไมเ ปนท่รี ูจ กั กันของการเปนนกั รายงานท่ีดี 3) อันนะวะวีย : 1/58

113บทท่ี 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ،(1)‫ ﺣﺪﺛﻨﺎ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﺍﻷﺳﺒﺎﻃ ّﻲ‬: ‫ﻗﺎﻝ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﺑﻮ ﺩﺍﻭﺩ‬ ‫ ﻋﻦ‬،(3)‫ ﻋﻦ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺇﺳﺤﺎﻕ‬،(2)‫ﺣﺪﺛﻨﺎ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﺣﻴﻢ ﺍﺑﻦ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ‬ ‫ ﻋﻦ ﺭﺍﻓﻊ ﺑﻦ‬،(5)‫ ﻋﻦ ﳏﻤﻮﺩ ﺑﻦ ﻟﺒﻴﺪ‬،(4)‫ﻋﺎﺻﻢ ﺑﻦ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻗﺘﺎﺩﺓ‬ ‫ ﲰﻌ ُﺖ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ‬: ‫( ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﻗﺎﻝ‬6)‫ﺧﺪﻳﺞ‬ ‫ )) ﺍﻟﻌﺎﻣﻞ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺼﺪﻗﺔ ﺑﺎﳊﻖ ﻛﺎﻟﻐﺎﺯﻱ ﰲ ﺳﺒﻴﻞ ﺍﷲ‬: ‫ﻭﺳﻠﻢ‬ .(( ‫ﺣﱴ ﻳﺮﺟﻊ ﺇﱃ ﺑﻴﺘﻪ‬ ความวา : จากรอฟอฺ เบ็ญ เคาะดีจญ  กลาววา ฉันไดยินรสูลุลลอฮฺ  กลาววา “ผูท่ีทําหนาที่รวบรวมเศาะดะเกาะฮฺ (ซะกาต) โดย ปฏิบัติดวยความถูกตองเสมือนกับผูท่ีทําสงครามในหนทาง ของอลั ลอฮจฺ น กระทง่ั เขากลับถงึ บา นของเขา” (7) หะดีษดวยสะนัดขางตนเปนหะดีษเฎาะอีฟเนื่องจากเปนการรายงานของ มุฮัมมัด เบ็ญ อิสหาก ซึ่งเปนคนเฎาะอีฟ แตหะดีษบทน้ีมีการรายงานจากสะนัด อ่นื ทม่ี ฐี านะเหนือกวา จึงสามารถเลื่อนฐานะเปน หะดีษหะสันลิฆัอยริฮฺ (ดู แผนภูมิ หนา 87) (1) มฮุ มั มัด เบญ็ อิบรอฮีม อลั อสั บาฏีย : ‫( ﺻﺪﻭﻕ‬อัลอัสเกาะลานีย : 2/140 และ : 9/11) (2) อับดุลรอฮมี เบ็ญ สุลยั มาน : ‫( ﺛﻘﺔ‬อัลอัสเกาะลานยี  : 1./504 และ : 2/185) (3) มฮุ ัมมัด เบ็ญ อิสหากฺ : ‫ ﻭﺭﻣﻲ ﺑﺎﻟﺘﺸﻴﻊ ﻭﺍﻟﻘﺪﺭ‬،‫( ﺻﺪﻭﻕ ﻳﺪﻟﺲ‬อลั อสั เกาะลานยี  : 2/144 และ : 9/38) (4) อาศมิ เบ็ญ อุมัร เบ็ญ เกาะตาดะฮฺ : ‫( ﺛﻘﺔ‬อัลอัสเกาะลานยี  : 1/185 และ : 5/53) (5) มะหมฺ ดู เบ็ญ ละบบี : ‫( ﺻﺤﺎﰊ ﺟﻠﻴﻞ‬อลั อสั เกาะลานยี  : 2/233 และ 10/65) (6) รอฟอ ฺ เบญ็ เคาะดจี ญ : ‫( ﺻﺤﺎﰊ ﺟﻠﻴﻞ‬อลั อัสเกาะลานยี  : 2/241 และ 3/229) (7) บันทึกโดยอะบูดาวดู : 3/348-349

114บทที่ 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน 3. การเลอ่ื นฐานะของหะดษี เฎาะอฟี หะดีษเฎาะอีฟสามารถเลื่อนฐานะเปนหะดีษหะสันลิฆัอยริฮฺไดจะตอง ประกอบดว ยเงอ่ื นไข 3 ประการ คือ 1. ความเฎาะอีฟของหะดีษมาจากความบกพรองในสะนัด หรือความ บกพรองอันเน่ืองมาจากความจําของผรู ายงาน 2. มกี ารรายงานหะดษี ดว ยบทเดียวกนั หรือมีความหมายเหมือนกัน 3. มีการรายงานจากสะนัดอื่นที่มีฐานะเหมือนกันหรือเหนือกวา และสาย รายงานอื่นนน้ั มหี นง่ึ สะนัดหรอื มากกวา สายรายงานของหะดษี รอฟอ ฺ เบญ็ เคาะดีจญ…

115บทท่ี 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน สายรายงานของหะดษี รอฟอ ฺ เบญ็ เคาะดจี ญ ‫ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ‬ (‫ﺃﺑﻴﻪ )ﺑﺮﻳﺪﺓ‬ ‫ﺭﺍﻓﻊ ﺑﻦ ﺧﺪﻳﺞ‬ ‫ﻋﺒﺪﺍﷲ ﺑﻦ ﺑﺮﻳﺪﺓ‬ ‫ﳏﻤﻮﺩ ﺑﻦ ﻟﺒﻴﺪ‬ ‫ﺣﺴﲔ ﺍﳌﻌﻠﻢ‬ ‫ﻋﺒﺪﺍﻟﻮﺍﺭﺙ ﺑﻦ ﺳﻌﻴﺪ‬ ‫ﻋﺎﺻﻢ ﺑﻦ ﻋﻤﺮ‬ ‫ﺃﺑﻮ ﻋﺎﺻﻢ‬ ‫ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺇﺳﺤﺎﻕ‬ ‫ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﺣﻴﺎﻥ‬ ‫ﺃﺑﻮ ﳏﻤﺪ‬ ‫ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﺧﺎﻟﺪ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﺣﻴﻢ ﺑﻦ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ‬ ‫ﺍﳊﺎﻛﻢ‬ ‫ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ‬ (1/563) ‫ﺃﺑﻮ ﺩﺍﻭﺩ‬ ‫ﺍﻟﺘﺮﻣﺬ ّﻱ‬ (3/348-349) (3/28) 4. ฐานะของหะดษี หะสนั ลฆิ อั ยรฮิ ฺ หะดีษหะสันลิฆัอยริฮฺมีฐานะต่ํากวาหะดีษหะสันลิซาติฮฺและมีฐานะสูงกวา หะดีษเฎาะอฟี หะดีษเฎาะอฟี ญิดดัน และหะดีษเมาฎอฺ ถึงแมวาเดิมน้ันเปนหะดีษ เฎาะอีฟก็ตาม

116บทท่ี 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน 5. การนาํ มาใชเ ปน หลักฐาน หะดีษหะสันลิฆัอยริฮฺเปนสวนหนึ่งของหะดีษมักบูล ดังน้ัน การนํามาใช เปนหลักฐานก็เหมือนกับหะดีษเศาะหีหฺและหะดีษหะสัน คือ วาญิบใหนํามาใช เปนหลักฐานและสามารถปฏิบัติตามในทุก ๆ เรื่องเชน อะกีดะฮฺ อิบาดะฮฺ หะลาลและหะรอม เปนตน ชนดิ อืน่ ของหะดษี มกั บูล 1. หะดษี มะอฺรฟู 1. นิยาม หะดีษมะอฺรูฟ คือ หะดีษท่ีรายงานโดยผูรายงานที่ษิเกาะฮฺขัดแยงกับหะ ดีษที่รายงานโดยผูรายงานที่เฎาะอีฟ(1) ตรงกันขามกับหะดีษมะอฺรูฟ คือ หะดีษ มุนกรั (2) 2. ตวั อยา งหะดษี มะอรฺ ฟู ‫ )) ﻣﻦ ﺃﻗﺎﻡ ﺍﻟﺼﻼﺓ ﻭﺁﺗﻰ ﺍﻟﺰﻛﺎﺓ ﻭﺣﺞ ﺍﻟﺒﻴﺖ ﻭﺻﺎﻡ‬: ‫ﺣﺪﻳﺚ‬ (( ‫ﺭﻣﻀﺎﻥ ﻭﻗﺮﻯ ﺍﻟﻀﻴﻒ ﺩﺧﻞ ﺍﳉﻨﺔ‬ (1) อัลอสั เกาะลานยี  หนา 33 (2) ดู รายละเอยี ดในเร่ืองหะดษี มุนกัร หนา 137 -138 หนังสือเลมน้ี

117บทที่ 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ความวา : ทานนบี  กลาววา “ผูใดดํารงการละหมาด (หาเวลา) และจายซะกาต และประกอบพิธีฮัจญและถือศีลอดในเดือนรอ มะฎอน และใหเกียรตแิ ขกเรือน เขาจะไดเ ขาสวรรค”(3) หะดีษบทน้ี คือ หะดีษมะอฺรูฟจากการรายงานของอิบนุอับบาส หะดีษ บทน้ีจัดอยูในประเภทหะดีษเมากูฟจากการรายงานของผูรายงานท่ีษิเกาะฮฺ ขดั แยง กบั การรายงานของหุมัยยับ เบ็ญ หะบีบซึ่งมีสถานภาพเปนคนเฎาะอีฟ ซึ่ง ไดย ินหะดษี จากอะบอู สิ หากจากอลั อยั ซาร เบ็ญ หุรัยษฺ จากอิบนอุ บั บาส(1) 3. ฐานะของหะดษี มะอฺรูฟ หะดีษมะอฺรูฟเปนสวนหนึ่งของหะดีษมักบูลที่มีฐานะเหมือนกับหะดีษ เศาะหหี แฺ ละหะดีษหะสัน เนอื่ งจากมคี ุณสมบตั ขิ องหะดีษมกั บลู ครบทุกประการ 4. การนาํ มาใชเ ปน หลักฐาน หะดีษมะอฺรูฟวาญิบใหนํามาใชเปนหลักฐานและปฏิบัติตามในทุก ๆ เรื่อง ทเ่ี กีย่ วกับศาสนาดังการปฏิบัตขิ องอุละมาอหฺ ะดษี และอลุ ะมาอใฺ นสาขาอ่นื ๆ(2) (3) ดู อบิ นุ อศั เศาะลาหฺ หนา 73 (1) ดู อบิ นุ อัศเศาะลาหฺ หนา 73 (2) เปนทน่ี าสงั เกตเรื่องหน่งึ คือ หะดษี มะอรฺ ูฟมกั จะไมมีการกลา วถงึ และเรยี กหะดษี น้ีอยางอิสระเหมอื นกับการ เรยี กหะดีษอื่น ๆ แตอุละมาอสฺ ว นใหญแ ลวมกั จะเรียกแตห ะดีษเศาะหหี ฺหรอื หะดษี หะสันเทานน้ั ไมไ ดแ ยก ระหวางหะดษี เศาะหหี ฺมะอรฺ ูฟกับหะดษี หะสนั มะอฺรฟู

118บทท่ี 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ชนดิ อนื่ ของหะดีษมกั บลู 2. หะดีษมะหฟฺ ูศ 1. นิยาม หะดีษมะหฺฟูศคือ หะดีษที่รายงานโดยผูรายงานท่ีษิเกาะฮฺกวาขัดแยงกับ การรายงานของผู ษเิ กาะฮ(ฺ 3) ตรงกนั ขามกบั หะดษี มะฮฟฺ ูศ คือ หะดีษชา ซ(4) 2. ตัวอยางหะดษี มะหฟฺ ูศ ‫ )) ﺍﻟﻄﺎﻋﻮﻥ‬: ‫ﺣﺪﻳﺚ ﻋﻦ ﺃﰊ ﻣﻮﺳﻰ ﺍﻷﺷﻌﺮ ّﻱ ﻣﺮﻓﻮﻋﹰﺎ ﺑﻠﻔﻆ‬ (( ‫ﻭﺧﺰ ﺃﻋﺪﺍﺋﻜﻢ ﻣﻦ ﺍﳉﻦ‬ ความวา : จากอะบูมูซา อัลอัชอะอรีย กลาวดวยสํานวนมัรฟูอฺ เลาวา โรค อหวิ าตกโรคนั้นเปนศัตรูของพวกเจา ทม่ี าจากญิน(1) หะดีษบทนี้รายงานโดยผูรายงานทษ่ี เิ กาะฮกฺ วา ผรู ายงานหะดษี (( ‫ﺍﻟﻄﺎﻋﻮﻥ‬ ‫ )) ﻭﺧﺰﺇﺧﻮﺍﻧﻜﻢ ﻣﻦ ﺍﳉ ّﻦ‬แปลวา “โรคอหิวาตกโรคน้ันเปนเพื่อนของพวกเจาท่ีมา จากญิน ดงั นัน้ หะดีษบทนี้เปนหะดษี ชาซ (3) อบั นุ อัศเศาะลาหฺ หนา 150 (4) ดูรายละเอียดหะดีษชาซ หนา126-129 (1) บนั ทึกโดยอะหมฺ ดั : 4/395 และอลั หากิม : 1/50

119บทที่ 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 3. ฐานะของหะดษี มะหฺฟูศ หะดีษมะหฺฟูศเปนสวนหน่ึงของหะดีษมักบูลเหมือนกับหะดีษมะอฺรูฟ เหมือนกัน และมฐี านะเทากับหะดษี เศาะหหี แฺ ละหะดีษหะสัน(2) 4. การนํามาใชเ ปน หลักฐาน อลุ ะมาอหฺ ะดษี อลุ ะมาอฟฺ กฮฺ และอุละมาอฺอ่ืน ๆ มีความเห็นวา วาญิบให นําหะดีษมะหฺฟูศมาใชเปนหลักฐานและปฏิบัติตามในทุก ๆ เรื่องที่เกี่ยวของกับ ศาสนา หะดีษอาหาดชนิดท่ีสอง หะดีษมัรดูด 1. นยิ าม หะดีษมรั ดดู คือ หะดีษทข่ี าดคุณสมบตั ิของหะดีษมักบูล หมายความวา หะดีษท่ีขาดองคประกอบที่เปนเงื่อนไขของหะดีษท่ีถูกตอง ทัง้ เจ็ดประการดงั ท่กี ลาวมาแลว ในเรอ่ื งของหะดษี มักบลู 2. สาเหตขุ องหะดีษมัรดูด สาเหตทุ ่ีทาํ ใหห ะดีษเปน มรั ดูดน้นั มี 3 ประการ หนึ่ง สาเหตุมาจากความบกพรองในกระบวนการรายงาน สอง สาเหตมุ าจากความบกพรองในแงค วามจาํ ของผูรายงาน สาม สาเหตมุ าจากความบกพรองในแงคุณธรรมของผรู ายงาน (2) การเรยี กช่อื หะดษี มะหฟฺ ศู ก็เหมือนกับการเรียกชอื่ หะดีษมะอฺรูฟ (ดู รายละเอียดหนา 79 เชิงอรรถที่ 4)

120บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน หะดีษมัรดูดท่ีมีสาเหตุมาจากความบกพรองในกระบวนการรายงานและ ความบกพรองในแงความจําของผูรายงาน สามารถเล่ือนฐานะได เมื่อไดรับการ สนับสนุนจากสายรายงานอ่ืนที่มีฐานะเดียวกันหรือเหนือกวา สะนัดอ่ืนนั้นมีหน่ึง สะนัดหรือมากกวา สวนหะดีษมัรดูดท่ีมีสาเหตุมาจากความบกพรองในแง คุณธรรมของผูรายงาน ไมสามารถเล่ือนฐานะได เน่ืองจากคุณธรรมน้ันเปน เงอ่ื นไขสําคัญในการยอมรับหะดีษ 3. ระดบั ของหะดีษมรั ดดู เมื่อพิจารณาสาเหตุของหะดีษมัรดูดท้ังสามประการขางตนแลว หะดีษมัร ดดู สามารถแบงออกเปน 3 ระดบั ดงั น้ี ระดับที่ 1 หะดีษเฎาะอฟี คือ ระดบั ทสี่ ามของจาํ นวนหะดีษอาหา ด ระดับที่ 2 หะดษี เฎาะอีฟญดิ ดนั คือ ระดับทสี่ ่ขี องจํานวนหะดษี อาหาด ระดบั ที่ 3 หะดษี เมาฎอ ฺ คอื ระดับท่หี า ของจาํ นวนหะดษี อาหาด การอธิบายจะเรียงลําดับตามจํานวนระดับหะดีษดังน้ี ระดับท่ี 3 หะดีษ เฎาะอีฟ ระดับท่ี 4 หะดษี เฎาะอีฟญิดดัน และระดบั ที่ 5 หะดีษเมาฎอฺ

121บทท่ี 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ระดับที่ 3 หะดษี เฎาะอีฟ 1. นิยาม ตามหลกั ภาษาศาสตร คําวา “‫ ”ﺿﻌﻴﻒ‬แปลวา ออน ตรงกันขามกับแข็ง ดังนั้นหะดีษเฎาะอีฟ คือ หะดษี ออน หมายถงึ เฎาะอีฟในกระบวนการรายงาน ตามหลักวิชาการ หะดีษเฎาะอีฟ คือ หะดีษที่ขาดคุณสมบัติของหะดีษเศาะหีหฺและ คุณสมบตั ขิ องหะดษี หะซนั (1) ตามทัศนะของอุละมาอฺบางทาน ระหวางหะดีษเฎาะอีฟและหะดีษมัรดูด เปน หะดีษชนิดเดียวกัน ดังน้ัน บางครั้งเรียกวาหะดีษมัรดูดและบางครั้ง เรยี กวา หะดษี เฎาะอฟี 2. ตวั อยา งหะดษี เฎาะอฟี ‫ ﺣﺪﺛﻨﺎ ﳏﻤﺪ‬،(2)‫ ﺣﺪﺛﻨﺎ ﻋﻤﺮﻭ ﺑﻦ ﻋﺜﻤﺎﻥ‬: ‫ﻗﺎﻝ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﺑﻮ ﺩﺍﻭﺩ‬ ‫ ﻋﻦ ﳛﻲ ﺑﻦ‬،(4)‫ ﻋﻦ ﺃﰊ ﺳﻠﻤﺔ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ﺑﻦ ﺳﻠﻴﻢ‬،(3)‫ﺑﻦ ﺣﺮﺏ‬ ‫ ﻋﻦ ﺟﺪﻩ ﺍﳌﻘﺪﺍﻡ ﺑﻦ‬،(6)‫ ﻋﻦ ﺻﺎﱀ ﺑﻦ ﳛﻲ ﺑﻦ ﺍﳌﻘﺪﺍﻡ‬،(5)‫ﺟﺎﺑﺮ‬ (1) อะหมฺ ัด ชากิร หนา 38 (2) อัมรฺ เบญ็ อุษมาน : ‫( ﺛﻘﺔ‬อัลอัสเกาะลานยี  : 2/153) (3) มฮุ มั มัด เบ็ญ หัรบฺ : ‫( ﺛﻘﺔ‬อลั อัสเกาะลานยี  : 2/153) (4) อะบู สะละมะฮฺ สุลยั มาน เบ็ญ สุลัยมฺ : ‫( ﺛﻘﺔ ﺛﺒﺖ‬อลั อัสเกาะลานยี  : 1/325) (5) ยะหยฺ า เบญ็ ญาบิร : ‫( ﻣﻘﺒﻮﻝ‬อัลอสั เกาะลานีย : 2/360) (6) ศอลิหฺ เบญ็ ยะหยฺ า เบญ็ อลั มิกดาม : ‫( ﹶﻟﱢﻴﻦ‬อลั อัสเกาะลานยี  : 1/364)

122บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ‫ ﺃﻥ ﺭﺳـﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳـﻠﻢ ﺿﺮﺏ‬،(7)‫ﻣﻌﺪﻳﻜﺮﺏ‬ ‫ ﺇﻥ ﻣ ﱡﺖ ﻭﱂ‬،‫ )) ﺃﻓﻠﺤ َﺖ ﻳﺎ ﻗﺪﱘ‬: ‫ ﰒ ﻗﺎﻝ ﻟﻪ‬،‫ﻋﻠﻰ ﻣﻨﻜﺒﻴﻪ‬ (( ‫ ﻭﻻ ﻋﺮﻳﻔﹰﺎ‬،‫ ﻭﻻ ﻛﺎﺗﺒﹰﺎ‬،‫ﺗﻜﻦ ﺃﻣﲑﹰﺍ‬ ความวา : จากอัลมิกดาม เบ็ญมะอฺดีกะริบ แทจริงรสูลุลลอฮฺ ไดตบ ไหลของเขา หลังจากน้ันทานรสูลกลาวแกเขาวา “เจาจะประสบ ความสําเร็จกระน้ันหรือ โอกุดัยมฺ หากเจาเสียชีวิตขณะท่ีเจา ไมไดเปนผูนํา ไมไดเปนผูบันทึก และไมไดเปนหมอดู (ทําตัว เปน ผูรทู ุกส่ิงทกุ อยาง)”(1) หะดีษบทนี้เปนหะดีษเฎาะอีฟเน่ืองจากมีผูรายงานคนหนึ่งช่ือ ศอลิหฺ เบ็ญ ยะหฺยา เบ็ญ อัลมิกดาม ซึ่งมีสถานภาพเปนคนลัยยิน(2) คือ ผูรายงานท่ีมี ลกั ษณะความจําไมดี และชัยคฺอัลอัลบานียกลาววา “หะดีษบทนี้เปนหะดีษเฎาะ อีฟ”(3) 3. การรายงานหะดีษเฎาะอีฟ การรายงานหะดีษเฎาะอีฟตามวิธีการปฏิบัติของบรรดาอุละมาอฺนั้นพอ สรปุ สาระสาํ คัญ 2 ประการดว ยกัน 1) หุกมการรายงานหะดษี เฎาะอฟี สําหรับผูที่มีความรูในดานหะดีษหรือทราบวาเปนหะดีษเฎาะอีฟ ตาม ทัศนะของอุละมาอฺหะดีษ อุละมาอฺฟกฮฺและอุละมาอฺอุศูล อัลฟกฮฺมีความเห็นวา (7) อลั มกิ ดาม เบ็ญ มะอดฺ ิกะริบ : ‫( ﺻﺤﺎﰊ ﺟﻠﻴﻞ‬อลั อสั เกาะลานีย : 2/272) (1) บันทึกโดยอะบดู าวูด : 3/346 และอะหมฺ ดั : 4/123 (2) อลั อัสเกาะลานยี  : 4/407, 1/364 (3) อัลอัลบานีย : 2/268

123บทที่ 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน อนุญาตใหรายงานหะดีษเฎาะอีฟโดยไมตองระบุระดับของหะดีษแตอยางใด คือ หะดีษเฎาะอีฟที่เก่ียวกับคุณคาของอะมาล การสนับสนุนใหทําความดีและการ ตักเตือนไมใหทําความช่ัวเทาน้ัน และไมอนุญาตใหรายงาน หะดีษฎออีฟท่ี เก่ียวกับอะกีดะฮฺ หะลาลและหะรอม อิบาดะฮฺ การแตงงาน ญะนาอิซ ประวัติศาสตร และอ่ืน ๆ นอกจากจะระบุระดับของหะดีษอยางชัดเจนวาเปนหะ ดษี เฎาะอฟี เมอื่ จบการรายงาน(4) สวนผูท่ีไมมีความรูหรือคนเอาวาม (คนทั่วไป) หากรายงานหะดีษโดยไม เจตนาก็ถือวาอนุโลม เนื่องจากความญะฮีลของเขานั่นเอง แตทางท่ีดีท่ีสุดก็คือ ควรหลีกเลี่ยงจากการรายงานหะดีษเฎาะอีฟ เพราะคนที่ไมมีความรูเรื่องหะดีษ เปนท่ตี อ งหามพดู ถงึ หะดษี โดยเด็ดขาด 2) วธิ ีการรายงานหะดีษเฎาะอฟี การรายงานหะดีษเฎาะอีฟสามารถทําไดดวย 2 วิธี คือ รายงานท้ังตัวบท และสะนัดหะดษี หรือรายงานเฉพาะตัวบทเพียงอยางเดียว วิธีท่ี 1 รายงานท้ังตัวบทและสะนัดหะดีษ อุละมาอฺมีความเห็นพองกัน วา การรายงานโดยวิธีนี้เปนท่ีอนุญาตโดยไมจําเปนตองระบุระดับของหะดีษแต อยา งใด(1) วิธีที่ 2 รายงานตัวบทเพียงอยางเดียวโดยไมอางสะนัดของหะดีษ การรายงานดวยวิธีนี้ผรู ายงานเลือกปฏิบตั อิ ยางใดอยา งหนึ่งตอไปนี้ 1. เม่ือมีการรายงานหะดีษเฎาะอีฟ ผูรายงานจะตองระบุระดับของ หะดีษวาเปนหะดษี เฎาะอีฟทนั ทีเมอื่ จบการรายงานตวั บทหะดษี (4) มะหมฺ ดู อฏั เฏาะหฺหาน หนา 134 (1) มะหมฺ ดู อตั เฏาะหหฺ าน หนา 134

124บทท่ี 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 2. เมื่อตองการรายงานหะดีษเฎาะอีฟ ผูรายงานจะตองกลาวดวยสํานวน ไมชัดเจนไดหรือสํานวนคลุมเครือ เชน กลาววา “ ‫ﺭُ ِﻭ َﻯ ﻋﻦ ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ‬ ‫ ”ﻭﺳﻠﻢ‬แปลวา มีการรายงานจากทานรสูลุลลอฮฺ (2) หากผูรายงานไมปฏิบัติ ตามจะถือวาเปนการปฏิบัติท่ีผิดตอหลักการรายงานหะดีษตามหลักวิชาการ มุศเฺ ฏาะละหฺ อัลหะดษี 4. การปฏิบตั ิตามหะดีษเฎาะอีฟ การนําหะดีษเฎาะอีฟมาใชเปนหลักฐานและปฏิบัติตามเทาที่ปรากฏในหมู บรรดาอลุ ะมาอนฺ นั้ อาจจาํ แนกออกเปน 3 กลมุ คอื กลุมท่ีหนึ่ง อนุญาตใหนําหะดีษเฎาะอีฟมาใชเปนหลักฐานไดในทุก ๆ เรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องศาสนา เชน อะกีดะฮฺ อิบาดะฮฺ หุกมหะกัม เรื่องราวตาง ๆ คณุ คา ของอะมาล การสนับสนุนใหทําความดีและหามปรามทําความชั่ว เปน ตน อุละมาอฺกลุมนี้ไดแก อิมามอะบูหะนีฟะฮ, อิมามอะหฺมัด เบ็ญ หันบัล, อิมาม อับดลุ เราะหมฺ าน เบญ็ มะฮฺดีย และทา นอื่น ๆ ทม่ี ีความเห็นเหมอื นกนั เหตุผลของอุละมาอฺกลุมนี้ไดแก หะดีษเฎาะอีฟมีฐานะดีกวาการใช หลักการกิยาส (อนมุ าน) และความคิดของคนใดคนหนึ่ง(3) (2) อัตตะฮานะวีย หนา 156 (3) อัลกอสมิ ีย หนา 93

125บทที่ 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน กลุมที่สอง ไมอนุญาตนําหะดีษเฎาะอีฟมาใชเปนหลักฐานท่ีเกี่ยวกับทุก ๆ เร่ืองของศาสนาโดยเด็ดขาด(1) การปฏิบัติของอุละมาอฺกลุมนี้ตรงกันขามกับ อลุ ะมาอฺกลุม แรกโดยสน้ิ เชงิ อลุ ะมาอฺกลุมน้ี ไดแก อมิ ามอัลบุคอรีย อมิ ามมุสลิม ยะหฺยา เบ็ญ มะอีน อะบูบักรฺ อิบนุอัลอะรอบีย(2) อิบนุหัซมฺ อะบูชาเมาะฮฺ และอัชเชาวกานีย (3) เหตุผลของอุละมาอฺกลุมน้ี คือ หะดีษเศาะหีหฺและหะดีษหะซันที่กลาวถึง เร่ืองที่เก่ียวกับศาสนามีมากมายเพียงพอตอการนํามาใชเปนหลักฐานได โดยไม จําเปนตองพึ่งพาอาศัยหะดีษเฎาะอีฟ และที่สําคัญ คือ การยืนยันหุกมของแต ละเรื่องท่ีเกี่ยวกับเร่ืองศาสนาก็ตองมาจากหะดีษเศาะหีหฺและหะดีษหะซัน ไมใช มาจากหะดีษเฎาะอีฟ(4) เพราะหะดษี เฎาะอฟี ไมสามารถจะยืนยันหุกมที่แนนอน ได กลุมท่ีสาม อนุญาตใหนําหะดีษเฎาะอีฟมาเปนหลักฐานและปฏิบัติตามได เฉพาะหะดษี เฎาะอีฟท่เี กยี่ วของกบั คุณคา ของอะมาล การสนับสนุนใหทําความดี และหามปรามทําความช่ัว และเกี่ยวกับเรื่องที่เปนหุกมสุนัต กลุมน้ีแบง ออกเปน 2 ทัศนะ ทัศนะท่ี 1 มีความเห็นวาอนุญาตใหนําหะดีษเฎาะอีฟมาใชเปนหลักฐาน และปฏบิ ตั ิตามไดเฉพาะที่เกย่ี วกับเรอ่ื งดังกลาวเทา นนั้ โดยไมมีเง่อื นไขใด ๆ ทัศนะนี้เปนทัศนะของอิบนุ อัลมุบารอก สุฟยาน อัษเษารีย ซุฟยาน เบญ็ อยุ ัยนะฮฺ และอัลหาฟศ อัซซะคอวีย(5) (1) ดู อัสสุยูฏยี  : 1/196 (2) หนังสอื เดมิ (3) อัลกอสิมยี  หนา 94 (4) หนงั สือเดิม (5) หนงั สือเดมิ

126บทท่ี 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน อิมามอันนะวะวียใหการสนับสนุนทัศนะน้ีโดยอธิบายวา “อุละมาอฺหะดีษ ฟกฮฺและอุละมาอฺอ่ืน ๆ มีความเห็นวา เปนหุกมญาอิซและหุกมสุนัตในการนํา หะดีษเฎาะอีฟมาเปนหลักฐานและปฏิบัติตามท่ีเกี่ยวของกับคุณคาของอะมาล การสนับสนุนใหทําความดีและหามปรามการทําความชั่ว ตราบใดท่ีหะดีษเฎาะ อีฟนั้นไมถึงระดับหะดีษเมาฎอฺ สวนเรื่องขอบัญญัติตาง ๆ เชน หะลาลและ หะรอม การคาขาย การแตงงาน การหยาและอื่นๆ ใหใชเฉพาะหะดีษเศาะหีหฺ และหะดีษหะซันเทาน้ัน เวนแตในกรณีที่มีเพียงแตหะดีษเฎาะอีฟเทานั้นที่ระบุ เกี่ยวกับหกุ มหา มซื้อขาย ส่ิงของบางประเภท การแตงงาน เปนตน อยางไรก็ ตาม ทางที่ดีท่ีสุดควรหลีกเลี่ยงจากการปฏิบัติตามหะดีษเฎาะอีฟ แตไมใชเปน การบังคับหรือวาญบิ ใหหลกี เลี่ยงแตอยางใด”(1) ทัศนะที่ 2 อนุญาตนําหะดีษเฎาะอีฟมาใชเปนหลักฐานและปฏิบัติตามท่ี เก่ียวกับคุณคาของอะมาล การสนับสนุนใหทําความดีและหามปรามการทํา ความชว่ั และสงิ่ ทเี่ ปน หกุ ม สนุ ัตเทา น้นั แตตอ งมเี งอ่ื นไข 3 ประการดงั น้ี ประการแรก หะดีษนน้ั ตอ งไมใชเปน หะดีษเฎาะอฟี ญิดดนั (ออ นมาก) ประการทีส่ อง เนื้อหาของหะดีษเฎาะอีฟที่กลาวถึงเร่ืองท่ีเก่ียวของ นนั้ ตอ งสอด คลอ งกับหลักการทว่ั ไปของศาสนา (อลั กรุ อานและอลั หะดษี ) ประการทส่ี าม ไมยึดม่ันวาเปนหะดีษท่ีมาจากทานนบี  จริง แต เปนการปฏบิ ตั ิในลักษณะเผ่อื ไวเทา นัน้ (2) ทศั นะน้เี ปน ทัศนะของอบิ นุหะญัร อัลอสั เกาะลานีย มอี ลุ ะมาอบฺ างทานไดเพิม่ เงอ่ื นไขอีกประการหน่ึง คือ หะดีษเฎาะอีฟนั้น ตอ งไมข ัดแยง กบั หะดษี เศาะหหี ฺ(3) หรอื หะดษี หะซัน (1) อันนะวะวีย หนา 84-85 (2) อัลอสั เกาะลานยี  หนา 24 (3) อบิ นุ อลั ลาน : 1/258

127บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน จากหลาย ๆ ทัศนะขางตน ทัศนะที่สมควรนํามาปฏิบัติมากที่สุด คือ ทัศนะของอิบนุหะญัรอัลอัสเกาะลานีย เน่ืองจากเปนการปฏิบัติอยางระมัดระวัง ที่สดุ โดยเฉพาะเร่ืองทเ่ี กยี่ วกบั หกุ ม หะกมั และสิ่งทเ่ี ปนสุนตั ‫ﻭﺍﷲ ﺃﻋﻠﻢ‬ 5. ชนดิ ของหะดษี เฎาะอีฟ เมอื่ พจิ ารณาสาเหตุของหะดีษเฎาะอีฟสามารถแบงออกเปน 2 สาเหตุ 1. สาเหตุที่มาจากความบกพรองในกระบวนการสายรายงาน มี 6 ชนิด หะดีษ ชนดิ ที่ 1 หะดีษมอุ ลั ลก้ั ชนดิ ที่ 2 หะดษี มุรซลั ตาบอิ นี ชนิดท่ี 3 หะดษี มรุ ซลั เคาะฟย ชนดิ ที่ 4 หะดษี มุอฎฺ ็อล ชนิดท่ี 5 หะดษี มนุ เกาะฏิอฺ ชนิดท่ี 6 หะดษี มุดัลลั้ส 2. สาเหตุที่มีมาจากความบกพรองในแงความจําของผูรายงาน มี 7 ชนิด หะดษี ชนดิ ท่ี 1 หะดีษมุอลั ล้ัล ชนิดที่ 2 หะดษี มดุ รอ จญ ชนิดที่ 3 หะดีษมกั ลูบ ชนิดท่ี 4 หะดีษมุฏอรอ บ ชนดิ ท่ี 5 หะดษี ชาซ ชนดิ ที่ 6 หะดษี มเุ ศาะหหฺ ัฟ ชนิดที่ 7 หะดีษมุหรั รอ ฟ

128บทท่ี 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน หะดีษเฎาะอฟี มาจากความบกพรอ งในกระบวนการสะนดั ชนดิ ที่ 1 หะดษี มอุ ัลลก้ั หะดีษเฎาะอีฟท่มี สี าเหตมุ าจากความบกพรองในกระบวนการรายงานหรอื สะนดั คอื ผรู ายงานตกหลน ตลอดท้งั สาย เวนแตเศาะหาบะฮหฺ รอื ตาบิอีน หะดีษ ลกั ษณะเชนนเี้ รียกวา หะดีษมอุ ัลลกั้ 1. นยิ าม ตามหลกั ภาษาศาสตร คําวา “‫ ”ﻣﻌﻠﻖ‬มาจากรากศพั ท “‫ ”ﺗﻌﻠﻴﻘﹰﺎ‬แปลวา คา งอยู หรอื ตดิ ไว ตามหลกั วชิ าการ หะดษี มอุ ลั ลัก้ คือ หะดษี ท่มี กี ารตัดผรู ายงานออกหนง่ึ คนหรอื มากกวา ติดตอ กนั ตงั้ แตตน สะนดั จนถึงเศาะหาบะฮหฺ รอื ตาบอิ นี (1) การสงั เกตหะดษี มุอัลล้กั เชน ผกู ลาวตอ งเปนนกั บันทกึ หะดษี (2) การตก หลน ในสายรายงานตอ งติดตอกนั และผูกลาวรายงานหะดษี เปน เศาะหาบะฮฺ หรอื ตาบิอีน 2. ลกั ษณะและตวั อยา งหะดษี มุอลั ลั้ก โดยท่วั ไปแลวการรายงานหะดีษมอุ ลั ล้ักมี 3 ลกั ษณะดว ยกนั ลกั ษณะทห่ี นง่ึ หะดีษที่มีการตัดสายรายงานออกท้งั หมด ตัวอยา ง (1) อตั ตะฮานะวีย หนา 39 (2) ผูบนั ทกึ หะดีษ เชน อัลบุคอรีย (‫ )ﺥ‬มุสลิม (‫ )ﻡ‬อะบูดาวดู (‫ )ﺩ‬อัตตัรมิซยี  (‫ )ﺕ‬อนั นะสาอีย (‫ )ﻥ‬อิบนุมาญะฮฺ (‫)ﺟﻪ‬ อะหมฺ ดั (‫ )ﺣﻢ‬มาลกิ (‫ )ﻁ‬อดั ดาริมยี  (‫ )ﺩﻱ‬อัลฮากิม (‫ )ﻙ‬อตั ฏอบะรอนยี  (‫ )ﻃﺐ‬อดั ดารอกฏุ นีย (‫ )ﻗﻂ‬อบิ นุคซุ ยั มะฮฺ (‫ )ﻣﻪ‬อบิ นหุ ิบบาน (‫ )ﺣﺐ‬อิบนุอะบชี ัยบะฮฺ (‫ )ﺑﻪ‬อับดุรรอซาค (‫ )ﻋﺐ‬อิบนุอะดีย (‫)ﻋﺪ‬

129บทท่ี 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ‫ )) ﻫﺬﺍ ﻣﺎ‬: ‫ ﻗﺎﻝ ﺍﻟﻨ ّﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ‬: ‫ﻗﺎﻝ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭ ّﻱ‬ (( ‫ﻛﺘﺒﻪ ﺍﷲ ﻋﻠﻰ ﺑﻨﺎﺕ ﺁﺩﻡ‬ ความวา : อมิ ามอัลบุคอรียกลา ววา ทานนบี  กลาววา “น่คี อื เปน การ กําหนดของอลั ลอฮฺแกบรรดาลูกผูหญิงของทานนบอี าดมั ”(1) การรายงานหะดีษบทนผี้ ูบันทกึ กลาวเพียงทานรสูลุลลอฮฺและตัวบทหะดีษ มิไดกลาวสายรายงานของหะดีษแตอยา งใด ลักษณะท่ีสอง หะดีษท่ีมีการตัดสะนัดออก เวนแตเศาะหาบะฮฺ ตวั อยา ง ‫ ” ﻏﻄﻰ ﺭﺳﻮﻝ‬: ‫ ﻭﻗﺎﻝ ﺃﺑﻮ ﻣﻮﺳﻰ ﺍﻷﺷﻌﺮ ّﻱ‬: ‫ﻗﺎﻝ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭ ّﻱ‬ “ ‫ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﺭﻛﺒﺘﻴﻪ ﺣﲔ ﺩﺧﻞ ﻋﺜﻤﺎﻥ‬ ความวา : อิมามอัลบุคอรียรายงานวา อะบูมุซา อัลอัชอะรียกลาววา รสูลุลลอฮฺ  ไดป ดหัวเขาของทาน เมอ่ื ทานเหน็ อุษมานเขา มา(2) การรายงานหะดีษบทนี้ผูบันทึกไดกลาวรายงานเริ่มต้ังแตเศาะหาบะฮฺ รสูลุลลอฮฺ  และตัวบทหะดีษ ไมไดกลาวสายรายงานของหะดีษกอนอะบูมูซา อัลอัชอะรยี  (1) บันทึกโดยอัลบุคอรีย : 1/401 (2) บนั ทกึ โดยอัลบคุ อรีย : 1/90

130บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ลักษณะที่สาม หะดีษที่มีการตัดสะนัดออกทั้งหมดเวนแตเศาะหาบะฮฺและ ตาบิอนี ตัวอยาง ‫ ﻭﻗﺎﻝ ﺑﻬﺰ ﻋﻦ ﺃﺑﻴﻪ ﻋﻦ ﺟﺪﻩ ﻋﻦ ﺍﻟﻨ ّﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ‬: ‫ﻗﺎﻝ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭ ّﻱ‬ (( ‫ )) ﺍﷲ ﺃﺣﻖ ﺃﻥ ﻳﺴﺘﺤﻲ ﻣﻨﻪ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﺎﺱ‬: ‫ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ‬ ความวา : อิมามอัลบุคอรียรายงานวา บะฮซฺเลาจากบิดาของเขาจากปู ของเขา จากทาน นบี  “อัลลอฮฺเทาน้ันท่ีมนุษยสมควรละอาย มากกวา มนษุ ยด ว ยกัน(3) การรายงานหะดีษบทนี้ ผูบันทึกไดกลาวรายงานโดยเร่ิมตั้งแตตาบิอีน เศาะหาบะฮฺ รสูลุล ลอฮฺ  และตัวบทหะดีษ ไมไดกลาวสายรายงานของ หะดษี ระหวา งเขากบั ตาบอิ ีน อยางไรก็ตาม การรายงานหะดีษมุอัลลั้กสามารถเลือกวิธีการรายงาน อยางหน่งึ อยา งใดจากทั้งสามวิธที ่ีไดก ลา วมาแลว 3. ฐานะของหะดีษมอุ ัลล้ัก ท่จี ริงแลว หะดษี มอุ ัลลกั้ ทีม่ อี ยูในหนงั สือหะดีษทง้ั หลายพอสรปุ ไดด ังน้ี 1. หะดีษมุอัลลั้กในหนังสืออัลญามิอฺ อัศเศาะหีหฺของอัลบุคอรียและของ มุสลมิ บรรดาอุละมาอยฺ อมรับวาทงั้ หมดเปนหะดษี เศาะหีหฺ ทั้งนี้เน่ืองจากนักการ หะดีษไดทําการ ศึกษาวิเคราะหพบวาหะดีษมุอัลลั้กในหนังสือท้ังสองมีการ (3) บนั ทกึ โดยอัลบคุ อรีย : 1/300

131บทที่ 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน รายงานดวยสายรายงานที่ติดตอกันโดยทราบจากสะนัดอื่นต้ังแตสองสะนัดหรือ มากกวา และสะนดั อนื่ นัน้ อยูในระดบั เศาะหหี ฺหรืออยา งตา่ํ อยูในระดับหะซัน 2. หะดีษมุอัลลั้กในหนังสืออัซซุนัน อัลมะสานีด อัลมุศอนนะฟาต และ หนังสอื อน่ื ๆ จะตอ งพจิ ารณาสาํ นวนการรายงานเปน หลกั ดังน้ี ก. หากการรายงานหะดีษมุอัลล้ักน้ันใชสํานวน ‫( ﺟﺰﻡ‬สํานวนชัดเจนชี้ชัด) เชน กลาววา “‫ ”ﻗﺎﻝ‬หรือ “‫ ” ﹶﺫ ﹶﻛ َﺮ‬หรือ “‫ ” َﺣ ﹶﻜﻲ‬หะดีษมุอัลล้ักอยูในระดับหะดีษ เศาะหีหฺ ข. หากการรายงานหะดีษมุอัลล้ักนั้นโดยใชสํานวน ‫( ﲤﺮﻳﺾ‬สํานวน คลุมเครือ) เชน กลาววา “‫ ”ﻗﻴﻞ‬หรือ “‫ ” ﹸﺫ َِﻛﺮ‬หรือ “‫ ”ﺣُ ِﻜ َﻲ‬หะดีษมุอัลล้ักใน ลักษณะเชนน้ีไมสามารถจะตัดสินเปนหะดีษเศาะหีหฺได บางหะดีษเปนหะดีษ เศาะหีหฺ หะดีษหะซัน และหะดีษเฎาะอีฟ หรือแมแตหะดีษเมาฎอฺ ขึ้นอยูกับ สถานภาพของสายรายงานทไี่ ดรายงานหะดษี ทีเ่ กย่ี วของ(1) 4. การนาํ มาใชเ ปน หลกั ฐาน หะดีษมุอลั ลก้ั สามารถนาํ มาใชเปนหลักฐานได หากเปน หะดีษเศาะหีหหฺ รือ หะดีษหะซัน โดยเฉพาะอยางย่ิงหะดีษในเศาะหีหฺอัลบุคอรียและเศาะหีหฺมุสลิม สวนหะดษี มอุ ัลลัก้ ทเ่ี ปน หะดีษเฎาะอีฟจะมีหุกม เหมอื นกับหุกมของหะดีษเฎาะอีฟ ท่ัวไป 5. ตําราท่เี กยี่ วขอ ง ‫ ﻛﺘﺎﺏ ﺻﺤﻴﺢ ﻣﺴﻠﻢ‬،‫ ﻛﺘﺎﺏ ﺻﺤﻴﺢ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱ‬.1 ‫ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﺴﻨﻦ ﺍﻷﺭﺑﻌﺔ‬.2 (1) ดู มะหฺมดู อัตเฏาะหฺหาน หนา 134

132บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ชนิดที่ 2 หะดษี มุรซัลตาบิอีน หะดีษเฎาะอีฟท่ีมีสาเหตุมาจากความบกพรองในสายรายงาน เนื่องจาก ตกหลนผูรายงานหน่ึงคนหรือสองคนในชวงทายของสะนัดเรียกวา หะดีษมุรซัล ตาบอิ นี 1. นิยาม ตามหลักภาษาศาสตร คําวา “‫ ”ﻣﺮﺳﻞ‬มาจากรากศัพทของคํา “‫ ”ﺃﺭﺳﻞ ﻳﺮﺳﻞ ﺇﺭﺳﺎ ﹰﻻ‬แปลวา ขาม ไปปลอยไป หมายถงึ ผรู ายงานขา มผูรายงานอกี ทา นหน่ึง (1) ตามหลกั วชิ าการ หะดีษมุรซัลตาบิอีน คือ หะดีษท่ีตกหลนผูรายงานหน่ึงคนหรือสองคน ในชว งทา ยของ สะนดั หลงั จากรนุ ตาบอิ นี (2) หะดีษมุรซัลตาบิอีนเปนการตกหลนเศาะหาบะฮฺหรือตาบิอีน ซึ่งเปนการ รายงานของตาบอิ นี ทกี่ ลา ววา จากรสูลลุ ลอฮฺ  2. ตัวอยา งหะดษี มุรซัลตาบอิ ีน ‫ ﺛﻨﺎ‬،‫ ﺛﻨﺎ ﺣﺠﲔ‬،‫ ﺣﺪﺛﲏ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺭﺍﻓﻊ‬: ‫ﻗﺎﻝ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﻣﺴﻠﻢ‬ ‫ ﻋﻦ ﺳﻌﻴﺪ ﺑﻦ ﺍﳌﺴﻴﺐ ﺃﻥ‬،‫ ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﺷﻬﺎﺏ‬،‫ ﻋﻦ ﻋﻘﻴﻞ‬،‫ﺍﻟﻠﻴﺚ‬ .‫ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻧﻬﻰ ﻋﻦ ﺍﳌﺰﺍﺑﻨﺔ‬ (1) ผูรายงานในชวงตน และชวงกลางของสะนัดมีการกลาวอยางชัดเจน มิไดตัดออกหรือตกหลนแตอ ยา งใด แตห าก การตกหลนนั้นในสองชวง คือ ชว งตนหรอื ชว งกลางและชวงทา ยของสะนัด หะดีษในลักษณะนี้จะมีสองชือ่ คือ หะดีษมุรซลั และหะดษี มุนเกาะฏอิ ฺ (2) อลั อสั เกาะลานยี  หนา 23

133บทที่ 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ความวา : จากสะอีด เบ็ญ อัลมุสัยยิบ แทจริงรสูลุลลอฮฺ  ไดหามการคา ขายชนิดอัลมุซาบะนะฮ(1) หะดีษบทน้ีมีผูรายงานทานหนึ่งตกหลนในสะนัด เน่ืองจากสะอีด เบ็ญ อัลมุสยั ยิบซ่งึ อยูใ นรนุ ตาบิอนี ไดก ลาวรายงานจากทานนบซี ่ึงเปนทร่ี ูกันวาตาบิอีน น้ันไมไดยินหะดีษโดยตรงจากทานนบี  แตการรายงานของทานพาดพิงไปยัง ทานนบี ดังนั้น การรายงานนี้เปนการรายงานที่ขาดตอนระหวางสะอีด เบ็ญ อลั มสุ ัยยิบกับทานนบี  คอื เศาะหาบะฮฺ 3. ฐานะของหะดีษมุรซลั ตาบอิ ีน หะดีษมุรซัลตาบิอีนเปนหะดีษเฎาะอีฟเน่ืองจากขาดคุณสมบัติของหะดีษ เศาะหีหฺ คือ สะนัดที่ขาดตอน เพราะตกหลนผูรายงานระหวางตาบิอีนกับ ทานนบี  จะเปน ตาบิอีนหรือเศาะหาบะฮฺ อยางไรก็ตาม บรรดาอุละมาอฺหะดีษมีความเห็นวาหะดีษมุรซัลตาบิอีนใน หนังสือเศาะหีหฺอัลบุคอรียและเศาะหีหฺมุสลิมเปนหะดีษมุรซัลท่ีเศาะหีหฺ เพราะมี กระแสรายงานอื่นที่ติดตอกันมายืนยนั และเปน การรายงานของคนษเิ กาะฮฺ(2) 4. การนาํ มาใชเ ปน หลกั ฐาน การนําหะดีษมุรซัลตาบิอีนมาใชเปนหลักฐานและปฏิบัติตามน้ันมีทัศนะ อุละมาอทฺ หี่ ลากหลายพอสรปุ ไดด ังน้ี (1) บนั ทึกโดยมุสลมิ : 15/198 (2) หะดีษมรุ ซลั ตาบิอีนจะมสี ายรายงานสองลกั ษณะดวยกัน คือ ลักษณะทขี่ าดตอนสาํ หรับสายรายงานหนึ่งและ ลักษณะท่ตี ิดตอกันอีกสายรายงานหนึง่

134บทที่ 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ทัศนะที่ 1 ไมอนุญาตใหใชหะดีษมุรซัลตาบิอีนเปนหลักฐาน ทัศนะนี้เปน ทัศนะของอุละมาอฺสวนใหญ เชน อุละมาอฺหะดีษ อุละมาอฺฟกฮ และอุละมาอฺ อุศลู อลั ฟกฮฺ ทัศนะท่ี 2 อนุญาตใหนําหะดีษมุรซัลตาบิอีนมาใชเปนหลักฐาน ทัศนะนี้ เปนทัศนะของ อิมาม อะบูหะนีฟะฮฺ อิมามมาลิก และอิมามอะหฺมัด เบ็ญ หนั บัล ทัศนะท่ี 3 อนุญาตใหนําหะดีษมุรซัลตาบิอีนเปนหลักฐานขึ้นอยูกับ เงือ่ นไขเปนทศั นะของอมิ ามอชั ชาฟอียและอลุ ะมาอฺบางทา น เงื่อนไขทว่ี า นี้คือ 1. ผูรายงานที่ขามน้ันตองเปนตาบิอีนรุนอาวุโสเทาน้ัน เชน สะอีด เบ็ญ อัลมสุ ยั ยิบ และทา นอน่ื ๆ 2. ผรู ายงานท่ีกลา วอา งตองเปน ผูร ายงานที่ษิเกาะฮฺ 3. หากมีผูอื่นรวมรายงานหะดีษดวยผูรายงานคนนี้ก็ตองเปนคนท่ีมี ความจําดีเย่ียมและมีคุณธรรม และไมขัดแยงกับการรายงานของคนอื่นท่ี เหนอื กวา 4. ตองมีการรายงานหะดีษจากสายรายงานอื่นที่มีสะนัดติดตอกัน(1) ตัวอยา ง ‫ )) ﺍﻃﻠﺒﻮﺍ‬: ‫ ﻋﻦ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ‬،‫ﻋﻦ ﻣﻜﺤﻮﻝ‬ (( ‫ ﻭﻧﺰﻭﻝ ﺍﻟﻐﻴﺚ‬،‫ ﻭﺇﻗﺎﻣﺔ ﺍﻟﺼﻼﺓ‬،‫ﺍﺳﺘﺠﺎﺑﺔ ﺍﻟﺪﻋﺎﺀ ﻋﻨﺪ ﺍﻟﺘﻘﺎﺀ ﺍﳉﻴﻮﺵ‬ (1) เงือ่ นไขที่ 4 โดยเลอื กเงอื่ นไขหนง่ึ เงอ่ื นใดตอไปน้ี คือ 1) ผรู ายงานที่ขามน้นั ตองไมใ ชเปนผูท ่ีโกหกหรือถกู กลา วหาวาเปนคนโกหก 2) ผรู ายงานทขี่ ามน้นั ไมใ ชตาบอิ ีนรุน เลก็

135บทที่ 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ความวา : จากมักฮูล จากรสูลุลลอฮฺ  กลาววา “จงแสวงหาการตอบ รับการดุอาอฺ คือ เมื่อมีการเผชิญหนากับศัตรู และเวลายืนข้ึนจะ ละหมาด และเวลาฝนตกหนกั (วาตภัย)”(2) 5. ตาํ ราทเ่ี กีย่ วขอ ง ‫ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﺑﻮ ﺩﺍﻭﺩ‬،‫ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﺮﺍﺳﻴﻞ‬.1 ‫ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺣﺎﰎ‬،‫ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﺮﺍﺳﻴﻞ‬.2 ‫ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﻌﻼﺋ ّﻲ‬،‫ ﻛﺘﺎﺏ ﺟﺎﻣﻊ ﺍﻟﺘﺤﺼﻴﻞ ﻷﺣﻜﺎﻡ ﺍﳌﺮﺍﺳﻴﻞ‬.3 หัวขอ ยอย หะดษี มุรซัลเศาะหาบยี  1. นิยาม หะดษี มรุ ซัลเศาะหาบีย คือ หะดษี ทร่ี ายงานโดยเศาะหาบะฮทฺ า นหนง่ึ จาก ทานนบี ซึ่งไมไดยินโดยตรงจากทานนบี  ในสิ่งที่เขารายงานจะเปน คาํ พูดหรอื การกระทาํ (3) สาเหตุของการเปนหะดีษมุรซัลเศาะหาบียนั้น อันเน่ืองมาจากเศาะหาบะฮฺ ทานนั้นอายุยังนอย เขารับนับถือศาสนาอิสลามในชวงปลายของชีวิตหรือไมได อยูใ นเหตกุ ารณ เชน อิบนอุ ับบาส อิบนุอซั ซุบยั ร และทานอื่น ๆ (2) บนั ทึกโดยอัชชาฟอ ีย: 1/223-224 อิมามอนั นะวะวยี กลา ววา: หะดีษนีเ้ ปนหะดีษมุรซลั และอลั อัสเกาะลานยี ระบุ วา อิสนาดจยั ยิด (อิบนุ อลั ลาน : 1/451) (3) มะหมฺ ูด อัตเฏาะหหฺ าน หนา 73

136บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 2. ตัวอยางหะดีษมุรซลั เศฺาะหาบีย ‫ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻤﺎ ﺃﻥ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ‬ ‫ ﻭﻣﺎ‬،‫ ﻭﺍﻟﻨﺴﻴﺎﻥ‬،‫ )) ﺇﻥ ﺍﷲ ﲡﺎﻭﺯ ﱄ ﻋﻦ ﺃﻣﱵ ﺍﳋﻄﺄ‬: ‫ﻭﺳﻠﻢ ﻗﺎﻝ‬ (( ‫ﺍﺳﺘﻜﺮﻫﻮﺍ ﻋﻠﻴﻪ‬ ความวา : จากอิบนุอับบาส  แทจริงรสูลุลลอฮฺ  กลาววา “แทจริง อัลลอฮฺไดผอนผันแกฉันท่ีเกี่ยวของกับความผิดของประชาชาติ ของฉนั ทเี่ กดิ จากความผิดพลาด ลมื ตัว และการถูกบงั คบั ”(1) 3. ฐานะของหะดีษมรุ ซัลเศฺาะหาบีย อุละมาอฺหะดีษมีความเห็นแตกตางกันเกี่ยวกับฐานะของหะดีษมุรซัลเศาะ- หาบยี  สรุปไดอ อกเปน 2 ทัศนะ ทัศนะท่ี 1 หะดีษมุรซัลเศาะหาบียเปนสวนหน่ึงของหะดีษมักบูล เพราะ การตกหลนเศาะหาบะฮฺอันเน่ืองมาจากการรายงานของเศาะหาบะฮฺดวยกันไมมี ผลตอการใหการยอมรับหะดีษแตอยางใด ทัศนะนี้เปนทัศนะของอุละมาอฺหะดีษ สวนใหญ อลุ ะมาอฺฟกฮฺ และอลุ ะมาอฺอศุ ลู อัลฟกฮฺ ทัศนะท่ี 2 หะดีษมุรซัลเศาะหาบียมีฐานะเหมือนกับหะดีษมุรซัลอื่น ๆ เนื่องจากผูรายงานรับหะดีษจากตาบิอีนดวยกัน ซ่ึงการตกหลนในลักษณะนี้มีผล ตอการยอมรับหะดีษและความเศาะหีหฺของหะดีษ คือ สายรายงานขาดตอนเปน ทัศนะของอะบอู สิ หาก อัลอิสฟรอยีนยี  และอุละมาอฺบางทา น อยางไรก็ตาม จากสองทัศนะที่ไดกลาวขางตน ทัศนะที่ถูกตองควรแก การนํามาปฏิบัติและใชเปนหลักฐาน คือ ทัศนะที่หนึ่ง เพราะการตกหลนเศาะ (1) บนั ทกึ โดยอิบนุมาญะฮฺ : 1/659, อัดดารอกฏุ นีย : 4/170 และอัลบยั ฮะกีย : 7/356

137บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน หาบะฮฺไมม ผี ลตอการยอมรบั หะดษี แตอยางใด เน่ืองจากผูแอบอางรับหะดีษจาก ทานนบี  เปนคนษิเกาะฮฺ หรืออยางนอยเปนคนเศาะดูก โดยเฉพาะอยางยิ่ง เปนการรายงานของตาบิอนี รุนอาวุโส 4. การนาํ มาใชเ ปน หลักฐาน ตามทัศนะอุละมาอฺสวนใหญ (อุละมาอฺหะดีษ อุละมาอฺฟกฮฺ และอุละมาอฺ อุศูล อัลฟกฮฺ) มีความเห็นวา หะดีษมุรซัลเศาะหาบียสามารถนํามาใชเปน หลกั ฐานได ชนดิ ที่ 3 หะดษี มุรซลั เคาะฟย  หะดษี ทีม่ สี าเหตุมาจากความบกพรองในสายรายงานเนื่องจากมีผูรายงาน ตกหลนระหวางตาบิอีนกับเศาะหาบะฮฺ หะดีษในลักษณะเชนนี้เรียกวา หะดีษ มรุ ซัลเคาะฟย  1. นิยาม ตามหลักภาษาศาสตร คําวา “‫ ”ﺧﻔﻲ‬แปลวา ไมปรากฏ หรือซอนเรน หมายถึง ผูรายงานท่ีตก หลนไปจากสะนดั ซอนอยหู รอื ไมปรากฏใหเ ห็นอยางชัดเจน ตามหลกั วิชาการ หะดีษมุรซัลเคาะฟย คือ หะดีษที่รายงานโดยผูรายงานที่เคยพบเห็น หรือ รวมสมัย การรายงานนั้นโดยใชสํานวนไดชัดเจน แตท้ังสองไมเคยปรากฏรับหะ ดีษโดยตรง(1) (1) อิบนุ อัศเศาะลาหฺ หนา 145

138บทท่ี 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน จากนิยามขางตน สามารถรูจักหะดีษมุรซัลเคาะฟยดวยประการใด ประการหนง่ึ จาก 3 ประการตอไปน้ี 1. อุละมาอฺผูเชี่ยวชาญระบุวา ผูรายงานคนนั้นไมไดพบเห็น หรือไมไดฟง หะดษี จากผทู ่ีถูกแอบอาง(2) 2. ผูรายงานกลาวยอมรับเองวา เขาแอบอางจากบุคคลท่ีเขาไมไดยินและ ไมไดฟ ง 3. มกี ระแสรายงานอน่ื ระบถุ งึ ผูร ายงานท่ีตกหลน ระหวางผรู ายงานทั้งสอง(3) 2. ตัวอยางหะดีษมรุ ซลั เคาะฟย  ‫ ﺃﻧﺒﺄﻧﺎ ﻋﺒﺪ‬،‫ ﺣﺪﺛﻨﺎ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺍﻟﺼّﺒﺎﺡ‬: ‫ﻗﺎﻝ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﻪ‬ ‫ ﻋﻦ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ‬،‫ ﻋﻦ ﺻﺎﱀ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺍﺑﻦ ﺯﺍﺋﺪﺓ‬،‫ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ‬ ‫ ﻗﺎﻝ ﺭﺳـﻮﻝ ﺍﷲ‬: ‫ ﻋﻦ ﻋﻘﺒﺔ ﺑﻦ ﻋﺎﻣﺮ ﺍﳉﻬ ّﲏ ﻗﺎﻝ‬،‫ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ‬ (( ‫ )) ﺭﺣﻢ ﺍﷲ ﺣﺎﺭﺱ ﺍﳊﺮﺙ‬: ‫ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ‬ ความวา : จากอุกบะฮฺ เบ็ญ อามิร อัลุฮะนียเลาวา รสูลุลลอฮฺ  กลาววา “อัลลอฮฺทรงเมตตาตอผูที่ทําหนาท่ีรักษาความ ปลอดภยั (ยาม)”(1) (2) ระหวา งตาบิอนี กบั เศาะหาบะฮจฺ ากการรายงานของตาบอิ ีนดวยกันหรอื ตาบอิ ตาบอิ ีน (3) มะหมฺ ูด อัตเฏาะหหฺ าน หนา 79 (1) บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ : 2/925

139บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน หะดีษบทนี้ คือ หะดีษมุรซัลเคาะฟย อัลหาฟศ อัลมิซซีย กลาววา เนอ่ื งจากอมุ ัร เบญ็ อับดุลอะซีซ ไมไ ดร ับหะดษี โดยตรงจากอุกบะฮฺ เบ็ญ อามิร 3. ฐานะของหะดษี มรุ ซัลเคาะฟย หะดษี มุรซลั เคาะฟย เ ปน หะดีษเฎาะอฟี เน่ืองจากขาดคุณสมบัติของหะดีษ มักบูล คือ สะนัดไมติดตอกัน เพราะมีผูรายงานตกหลนหนึ่งคนระหวางตาบิอีน กบั เศาะหาบะฮฺ อุละมาอฺบางทา นใหเหตุผลวา หะดษี ในลกั ษณะน้ีเปนท้ังหะดีษ มุรซลั เคาะฟย แ ละหะดษี มุนเกาะฏอิ ฺ(2) 4. การนํามาใชเปน หลกั ฐาน หะดีษมุรซัลเคาะฟยดวยสายรายงานท่ีตกหลนจัดอยูในระดับหะดีษ เฎาะอีฟ ไมอนุญาตใหนํามาใชเปนหลักฐาน เวนแตจะมีสะนัดอ่ืนที่เศาะหีหฺระบุ ถึงผูรายงานที่ตกหลนไปจึงสามารถนํามาใชเปนหลักฐานไดโดยไดรับการ สนบั สนนุ จากสะนัดอน่ื น้นั (3) 5. ตาํ ราทเี่ ก่ียวขอ ง ‫ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﳋﻄﻴﺐ ﺍﻟﺒﻐﺪﺍﺩ ّﻱ‬،‫ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﺘﻔﺼﻴﻞ ﳌﺒﻬﻢ ﺍﳌﺮﺍﺳﻴﻞ‬ (2) คอื พิจารณาดานตกหลนของผรู ายงานระหวางเขากบั อาจารยของเขา (3) สะนดั อื่นนน้ั ตอ งประกอบดวย 1) มหี น่งึ สะนัดหรอื มากกวา 2) สะนัดติดตอกัน 3) มฐี านะเดียวกันหรอื เหนือกวา

140บทที่ 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ชนิดท่ี 4 หะดีษมอุ ฺฎอล หะดีษท่ีมีสาเหตุมาจากความบกพรองในสะนัดเน่ืองจากมีการตกหลน ผูรายงานสองคนติดตอ กันเรยี กวา หะดีษมุอฺฎอ ล 1. นิยาม ตามหลกั ภาษาศาสตร คําวา “‫ ”ﻣﻌﻀﻞ‬มาจากรากศัพทของคําวา “‫”ﺃﻋﻀﻞ ﻳﻌﻀﻞ ﺇﻋﻀﺎ ﹰﻻ ﻭﻣﻌﻀ ﹰﻼ‬ แปลวา ตดิ ๆ กัน หรอื ติดตอกัน ตามหลกั วิชาการ หะดีษมุอฺฎอล คือ หะดีษท่ีมีผูรายงานตกหลนในสะนัดสองคนหรือ มากกวาติดตอกัน(1) การตกหลนสองคนหรือมากกวานั้นไดแกการตกหลนในชวงกลางของสะ นัดและ หากมีการตกหลนไมติดตอกัน หรือตกหลนหลายคนในหลายๆ ชวงของ สะนัด(2)ไมเรยี กวา หะดีษมุอฎฺ อล 2. ตวั อยา งหะดษี มอุ ฎฺ อ ล : ‫ﻣﺎ ﺭﻭﺍﻩ ﺍﳊﺎﻛﻢ ﻋﻦ ﻣﺎﻟﻚ ﺃﻧﻪ ﺑﹼﻠﻐﻪ ﺃﻥ ﺃﺑﺎ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﻗﺎﻝ‬ ‫ )) ﻟﻠﻤﻤﻠﻮﻙ ﻃﻌﺎﻣﻪ ﻭﻛﺴﻮﺗﻪ‬: ‫ﻗﺎﻝ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ‬ (( ‫ ﻭﻻ ﻳﻜﻠﻒ ﻣﻦ ﺍﻟﻌﻤﻞ ﺇ ﹼﻻ ﻣﺎ ﻳﻄﻴﻖ‬،‫ﺑﺎﳌﻌﺮﻭﻑ‬ (1) อสั สุยฏู ยี  : 2/ 234 (2) หมายความวา ตกหลนในชวงตน หรอื ชวงกลางของสะนัด ไมใชห ลาย ๆ ทข่ี องสะนดั สวนใหญแลวมักเกิดขึ้น ในชวงกลางของสะนัด คอื รนุ ตาบอิ ีนหรือตาบิอฺ ตาบอิ ีน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook