41บทที่ 5 สะนัดและมะตนั 3. ชัยคฺซะกะริยา กลาววา สะนัดหรืออิสนาดมักจะถูกใชในความหมาย เดียวกัน ในกลุมของนักหะดีษ(5) ท้ังสองคํานี้จะใชเปนคําตัดสินช้ีขาดตอระดับ ของหะดีษ เพอื่ แยกระหวางหะดษี ทถี่ ูกตองและหะดษี ท่ีไมถ ูกตอง จากทัศนะของอุละมาอฺขางตนพอสรุปไดวา สะนัดหรืออิสนาด หมายถึง สายรายงานเพ่อื นําสตู ัวบทหะดษี ที่สามารถจะพิสจู นเ ปนหะดีษทแ่ี ทจ รงิ หรือไม 2. ความประเสรฐิ ของสะนดั สะนัดหรืออิสนาดมีความประเสริฐท่ีเดนชัด เน่ืองจากดวยสะนัดสามารถ ปกปองบทบัญญัติจากการปะปน เบี่ยงเบน อุตริกรรม และการโกหกของผูหนึ่ง ผูใดที่ไมประสงคดีตออัลอิสลาม การพูดถึงเร่ืองสะนัดไมเคยปรากฏมากอนใน ศาสนาอ่ืนๆ เวนแตในอิสลามเทาน้ัน บรรดาอุละมาอฺไดสาธยายถึงความ ประเสริฐของสะนัดไวมากมายและ ยังไดใหความสําคัญตอสะนัดมาก ซึ่งจะขอ กลาวในทนี่ ้ีเพยี งบางสว นเทานัน้ 1. อิมามอับดุลเลาะ เบ็ญ อัลมุบารอก กลาววา “อิสนาดเปนสวนหน่ึง ของศาสนา หากไมมีอิสนาดแลว ผูใดกส็ ามารถจะกลา วถึงเรื่องศาสนาตามความ ตองการของตนเอง”(1) แมการกลาวเท็จตอรสูลุลลอฮฺ ดวยวิธีการพาดพิง หะดีษถงึ ทานก็ตาม 2. อิมามอัลฮากิมไดอธิบายวา “หากไมมีกลุมหน่ึงในจํานวนอุละมาอฺหะ ดีษท่ีปกปองอิสนาด แนนอนความเขมแข็งของอิสลามจะไมย่ังยืนจนถึงทุกวันนี้ ทั้งยังเปนการเปดชองทางใหแกกลุมมุลฮิด (พวกปฏิเสธศรัทธา) และ (5) ดู หนงั สอื เดิม (1) อกั รอม ฎยิ าอฺ อลั อุมะรยี หนา 27
42บทท่ี 5 สะนดั และมะตนั นักอุปโลกนในเรื่องศาสนาไดทําการกุหะดีษขึ้นมาอยางสะดวกสบาย และ สับเปลย่ี นอสิ นาดหะดษี ไดสะดวกขน้ึ ”(2) 3. อมิ ามอชั ชาฟอีย กลา ววา “เปรียบเทียบผูเรียนหะดีษโดยไมมีสะนัดนั้น เสมอื นกบั ผูท่ีตัดไมใ นเวลากลางคนื บางทีเขาจะตดั แคยอดไมอยา งเดียวกไ็ ด”(3) 4. อิมามอะฮฺมัด เบ็ญฮันบัลกลาววา “อิสนาดเปนแนวทางของบรรดา อุละมาอฺสะลัฟ”(4) เพราะพวกเขายอมรับหะดีษดวยวิธีการพิจารณาสะนัดและ องคประกอบของ สะนัดเปนหลัก หากไมสามารถยืนยันในความถูกตองของ สะนดั กจ็ ะไมม กี ารรับฟงหะดีษตลอดจนใหก ารยอมรบั หะดษี โดยเดด็ ขาด ดังน้ัน อิสนาดท่ีมาจากการรายงานของคนซีเกาะห (เช่ือถือได) จนถึง ทานนบีน้ันเปนจุดเดนของประชาชาติอิสลามและความแตกตางจากบรรดา ประชาชาติทั้งหมดอีกดวย การรายงานดวยวิธีการสะนัดและการรับคําบอกเลา ของคนในแตละชวงโดยการถายทอดจากคนแรกจนถึงคนสุดทายยังไมมีใน ประชาชาติกอน ๆ แตเน่ืองดวยวิธีการอยางนี้ทําใหการรับขาวหรือเร่ืองเลาขาน ถกู ตอ งและชัดเจนยิ่งขึ้นอีกดวย 3. รนุ ของผรู ายงาน สะนดั หรืออิสนาดของหะดีษประกอบดวยผรู ายงานจากหลายรุนในทุกยุค ทุกสมัยต้ังแตสมัยเศาะหาบะฮฺจนถึงสมัยของการบันทึกหะดีษ แตท่ีมีชื่อเสียง มากที่สุดและเปนท่ีรูจักกันอยางแพรหลายมีส่ีรุน(1) ดวยกัน คือ รุนเศาะหาบะฮฺ รุนตาบอิ ีน รุนตาบิอฺ ตาบอิ นี และรนุ อัตบาอฺ ตาบอิ ฺ ตาบิอีน (2) อสั สุยูฏีย : 1/101 (3) อลั ดบุ วะฮาบ อบั ดุลละตฟี หนา 18 (4) ดู หนังสือเดิม (1) อัลอสั กอลานียไดแบง รุนของศอหาบะฮฺออกเปน 12 รุน (ดู : 1/22)
43บทที่ 5 สะนัดและมะตนั รุนที่หนงึ่ รุน เศาะหาบะฮฺ (เร่มิ ตัง้ แตป 10 ถึงป 110 แหง ฮจิ เราะฮศฺ ักราช) 1. ความหมายของเศาะหาบะฮฺ เศาะหาบะฮฺตามหลักภาษาศาสตร เปนอาการนามมาจากคําวา “ َﺻ ِﺤ َﺐ ” เหมือนกับคําวา “ ” َﺳ ِﻤ َﻊอาจเปนคําพหูพจนและคําเอกพจนก็ได ซึ่งแปลวา เพอ่ื น สหาย อคั รสาวก ผูติดตามหรอื ผูที่เขาใจคนอน่ื ความหมายตามหลักภาษาศาสตรสามารถใชท้ังในลักษณะทั่วไป เชน ใชกับคนท่ีไมใชเปนนบี และยังสามารถใชในลักษณะเฉพาะเจาะจง เชน ใชกับคนที่เปน ทานนบี สวนความหมายตามหลักวิชาการนั้นอัลอัสเกาะลานียใหความหมายวา “ผูที่พบเห็นทานนบีมุฮัมมัด ศรัทธาตอทาน และเสียชีวิตในขณะที่เปน มุสลิม”(2) ในทางตรงกันขามผูใดที่ไมไดพบเห็นและไมไดศรัทธาตอทานนบี ไมเรียกวา เศาะหาบะฮฺ เชนเดียวกันกับบุคคลที่เห็นทานนบีหลังจากทาน เสยี ชวี ติ ไปแลว 2. คณุ ลกั ษณะของเศาะหาบะฮฺ บรรดาเศาะหาบะฮฺเปนคนที่มีคุณธรรม ไมวาพวกเขาไดสัมผัสกับฟตนะฮฺ หรือไมก็ตาม(3) เปนทัศนะของอุละมาอฺสวนใหญ มีหลักฐานชัดเจนมากมาย สามารถยนื ยัน ในความอะดาละฮฺของบรรดาเศาะหาบะฮฺ ก. อลั ลอฮทฺ รงตรสั ไวว า ﻭﺍﻟﺴـﺎﺑﻘﻮﻥ ﺍﻷﻭﻟﻮﻥ ﻣﻦ ﺍﳌﻬـﺎﺟﺮﻳﻦ ﻭﺍﻷﻧﺼـﺎﺭ ﻭﺍﻟﺬﻳﻦ ﺍﺑﺘﻌﻮﻫﻢ (2) อัลอัสกอลานีย : 1/4 (3) ดู อัลคอฏีบ อลั บัฆดาดีย หนา 38-39
44บทที่ 5 สะนัดและมะตัน ﺑﺈﺣﺴﺎﻥ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻢ ﻭﺭﺿﻮﺍ ﻋﻨﻪ ﻭﺃﻋﺪ ﳍﻢ ﺟﻨﺎﺕ ﲡﺮﻱ ﻣﻦ ﲢﺘﻬﺎ ﺍﻷﻧﻬﺎﺭ ﺧﺎﻟﺪﻳﻦ ﻓﻴﻬﺎ ﺃﺑﺪﹰﺍ ﺫﻟﻚ ﺍﻟﻔﻮﺯ ﺍﻟﻌﻈﻴﻢ ความวา : “และบรรดาชนรุนแรกจากกลุมมุฮาญิรีนและกลุมอันศอร และผูที่ติดตามพวกเขาดวยความออนโยน ไดรับความชอบ ธรรมจากอัลลอฮฺและพวกเขานอมรับดังกลาว และพระองคทรง เตรียมสวรรคสําหรับพวกเขา ซึ่งใตมันมีลําธารไหลเช่ียว พวกเขาจะอยูในสวรรคอยางถาวร นั่นคือความสําเร็จท่ีย่ิงใหญ ของพวกเขา”(1) การบงบอกของอายะฮฺถึงคุณธรรมของบรรดาเศาะหาบะฮฺ คือ การที่ บรรพชน รุนกอนไดปฏิบัติในศีลธรรมและจริยธรรมในทุกๆ อิริยาบถทั้งการ กลา วและการปฏบิ ตั ิตามคําส่ังของอัลลอฮฺและรสูลุลลอฮฺ จนในที่สุดพวกเขา ไดร ับความชอบธรรมจากอัลลอฮฺ ข. อะบูสะอีด อัลคุดรียไดรายงานวา ทานนบี ไดกลาวในลักษณะ หา มปฏิบัติหรือกลาวสิง่ ไมสมควรทุกประการตอ บรรดาเศาะหาบะฮฺ ﻗﺎﻝ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ: ﻋﻦ ﺃﰊ ﺳﻌﻴﺪ ﺍﳋﺪﺭ ّﻱ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﻗﺎﻝ ﻓﺈﻥ، )) ﻻ ﺗﺴﺒﻮﺍ ﺃﺣﺪﹰﺍ ﻣﻦ ﺃﺻﺤﺎﰊ: ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﺃﺣﺪﻛﻢ ﻟﻮ ﺃﻧﻔﻖ ﻣﺜﻞ ﺃﹸﺣُ ٍﺪ ﺫﻫﺒﹰﺎ ﻣﺎ ﺃﺩﺭﻙ ﻣﺪ ﺃﺣﺪﻫﻢ ﻭﻻ (( ﻧﺼﻴﻔﻪ (1) ซูเราะฮอฺ ลั เตาบะฮฺ อายะฮทฺ ี่ 100, อายะฮทฺ ี่เกย่ี วของมีกลาวไวในซูเราะฮฺตาง ๆ ตอ ไปน้ี คอื อลั ฟตฮฺ อายะฮฺท่ี 18 และ29, ซูเราะฮฺอลั อันฟาล อายะฮฺท่ี 73 และซุเราะฮฺอัลหัชรฺ อายะฮฺที่ 8-10
45บทที่ 5 สะนดั และมะตัน ความวา : จากอะบูสะอีด อัลคุดรีย กลาววา รสูลุลลอฮฺ กลาววา “พวกเจาอยาสาปแชงเศาะหาบะฮฺของฉันแมแตคนเดียว เน่ืองจากคนหน่ึงคนใดในหมูพวกเจาหากบริจาคทองหนักเทา ภูเขาอุฮูด แนนอนพวกเจาไมสามารถเทียบเทากับพวกเขาได หรอกและแมแตบ างสวนเทานัน้ ก็ตาม”(2) ค. บรรดาอุละมาอฺมีความเห็นพองกันวา บรรดาเศาะหาบะฮฺน้ันเปนผูที่มี คุณธรรมและซือ่ สตั ยโดยไดรับการรับรองจากอัลลอฮฺและทานนบีเอง เวนแตคน บางกลุมเทานั้น ที่ไมย อมรบั ในความอะดาละฮฺของเศาะหาบะฮฺ เชน กลุมชีอะฮฺ และกลุม รอฟเฏาะฮฺ 3. รุนตาง ๆ ของเศาะหาบะฮฺ โดยทั่วไปแลว บรรดาเศาะหาบะฮฺนั้นแบงออกเปนสองรุนดวยกันคือ เศาะหาบะฮรฺ ุนอาวุโสและเศาะหาบะฮรฺ ุน เล็ก เศาะหาบะฮฺรุนอาวุโสประกอบดวย เศาะหาบะฮฺสิบทาน ที่ทานนบีให การรับรองจะไดเ ขาสวรรคอยา งแนน อน ผศู รัทธาในสมยั มักกะฮฺ ผูที่อพยพไป ยังเมืองหาบะชะฮฺ ผูที่เขารวมในคราวทําสนธิสัญญาอัลอะเกาะเบาะฮฺครั้งแรก และครั้งที่สอง ผูที่อพยพระหวางสงครามบัดรฺและสงครามฮุดัยบิยะฮฺ บรรดา ผูเขารว มในสงครามทุกประเภท และอื่น ๆ เศาะหาบะฮฺรุนเลก็ คอื บรรดาเศาะหาบะฮทฺ ไ่ี ดเ ห็นทานนบีในวันสงคราม ฟตหฺและวันทําฮัจญวะดาอฺ เชน อัสสาอิบ เบ็ญยะซีด อัลกัลบีย อัลหะซัน และอัลฮุซัยน เบ็ญอาลี เบ็ญอะบีฏอลิบ อัลดุลเลาะ เบ็ญอัซซุบัยรฺ อับดุลเลาะ เบ็ญอบั บาส เปน ตน (2) บันทกึ โดยอัลบคุ อรยี : 11/256 และมุสลมิ : 10/123
46บทท่ี 5 สะนดั และมะตัน 4. เศาะหาบะฮฺผทู ี่รายงานหะดษี เปนจาํ นวนมาก บรรดาเศาะหาบะฮฺเปนผูรายงานหะดีษรุนแรก แตก็มีความแตกตางอยู บางข้ึนอยูกับความจําและความสามารถของแตละทาน เศาะหาบะฮฺบางทานได รายงานหะดีษเปนจํานวนมากและบางทานรายงานหะดีษไดนอยกวา แตท่ีจะ กลาวในท่ีน้ีเฉพาะบรรดา เศาะหาบะฮฺท่ีรายงานหะดีษเปนจํานวนมากเทานั้น มีรายนามดังน้ี 1. อะบูฮุรอยเราะฮฺ (59 ฮ.ศ.) รายงานหะดษี 5,735 หะดีษ 2. อบั ดุลเลาะ เบ็ญ อุมัร (73 ฮ.ศ.)รายงานหะดีษ 2,630 หะดีษ 3. อะนสั เบญ็ มาลกิ (93 ฮ.ศ.) รายงานหะดษี 2,286 หะดษี 4. อาอชิ ะฮฺ อุมมุลมุมนิ นี (58 ฮ.ศ.) รายงานหะดษี 2,210 หะดีษ 5. อบั ดลุ เลาะ เบ็ญอับบาส (68ฮ.ศ.) รายงานหะดีษ 1,660 หะดษี 6. ญาบริ เบ็ญอบั ดุลเลาะ (78 ฮ.ศ.) รายงานหะดีษ 1,540 หะดษี 7. อะบูสะอดี อลั คดุ รีย (74 ฮ.ศ.) รายงานหะดีษ 1,170 หะดีษ และอ่นื ๆ ตามลาํ ดับ พึงรูไววา ในบรรดาศอหาบะฮฺที่เปนนักรายงานหะดีษที่ช่ือ อับดุลเลาะ มี ประมาณ 300 ทาน แตท่ีมีช่ือเสียงมากที่สุดเพียง 4 ทานเทานั้น ซึ่งทั้งสี่ทานน้ีมี ฉายานามวา ( ﺍﻟُﻌَﺒـﺎ ِﺩﹶﻟﺔอัลอุบาดลิ ะฮ)ฺ คอื 1. อับดุลเลาะ เบ็ญ อับบาส (68 ฮ.ศ.) 2. อบั ดุลเลาะ เบ็ญ อุมรั เบ็ญ อัลคอฏฏอบ (73 ฮ.ศ.) 3. อบั ดลุ เลาะ เบญ็ อซั ซุบัยรฺ (73ฮ.ศ.) 4. อบั ดลุ เลาะ เบ็ญ อัมรฺ เบ็ญ อัลเอาศฺ (65ฮ.ศ.) อุละมาอฺบางทานมีความเห็นวา อับดุลเลาะ เบ็ญ มัสอูด นับเปน อบุ าดิละฮฺแทน อบั ดุลเลาะ เบญ็ อัมรฺ เบญ็ เอาศฺ
47บทท่ี 5 สะนัดและมะตนั บรรดาเศาะหาบะฮทฺ ่เี ปน นกั รายงานท่ถี ายทอดหะดษี ดว ยความบริสุทธ์ิใจ ซื่อสัตย และดวยความอะมานะฮฺ โดยการถายทอดตัวบทที่เปนคําพูด การ ปฏิบัติ การยอมรับคํากลาวทั้งซิกรฺและดุอาอฺในทุกอิริยาบถของทานนบี ตามความรูข องพวกเขา รุน ท่ีสอง รุนตาบอิ นี (ตั้งแตป 93 จนถึงป 124 แหงฮิจเราะฮฺศักราช)(1) 1. ความหมายของตาบอิ ีน ตามหลักภาษาศาสตรคือ ผทู ่เี ดินตามหลัง หรือผูท่เี จริญรอยตามคนอ่ืน ตามหลักวิชาการ คือ ผูทพี่ บเห็นเศาะหาบะฮฺ ศรทั ธาตอทานนบี และ เสียชีวิตในขณะที่นับถือศาสนาอิสลาม(2) เปนทัศนะของอุละมาอฺบางทาน ตาม ทศั นะของอลุ ะมาอฺสวนใหญมีความเห็นวา ตาบิอีน คือ ผูท่ีพบเห็นเศาะหาบะฮฺ หน่งึ คนหรือมากกวา ศรัทธาตอ ทานนบี และเสยี ชีวติ ในอิสลาม(3) ทั้งสองทัศนะน้ีไมมีความขัดแยงระหวางกัน แตเปนการอธิบายซึ่งกันและ กัน จะเห็นไดวา ทัศนะท่ีสองพูดในลักษณะของการพบเห็นของตาบิอีนกับ เศาะหาบะฮฺ ในขณะที่ทัศนะท่ีหน่ึงนั้นกลาวถึงการรับหะดีษระหวางตาบิอีน กับเศาะหาบะฮฺ 2. ผรู ายงานหะดษี ผูรายงานหะดีษในรนุ ตาบอิ นี ทม่ี ชี อื่ เสียงมากท่สี ดุ คือ 1. อิบรอเฮม็ เบญ็ ยะซดี อนั นะคออยี (96 ฮ.ศ.) 2. อามิร เบ็ญ ชะระฮบลิ อชั ชุอบฺ ยี (103 ฮ.ศ.) 3. สาลิม เบ็ญ อับดลุ เลาะ เบญ็ อุมัร (106 ฮ.ศ.) 4. มฮุ มั มัด เบ็ญ สรี นี (110 ฮ.ศ.) (1) อับดลุ วะฮาบ อบั ดุลละตีฟ หนา 46 (2) หนงั สือเดิม (3) อัสสุยูฏยี : 2/69
48บทที่ 5 สะนัดและมะตนั 5. นาฟอ ฺ เมาลาอบิ นอุ ุมรั (117ฮ.ศ.) 6. มุฮัมมัด เบ็ญ ชิฮาบ อซั ซุฮรีย (124 ฮ.ศ.) 7. อลั กอมะฮฺ เบ็ญ กอั ยสฺ อนั นะคออยี (162 ฮ.ศ.) 3. นักฟกฮทฺ ้งั เจด็ ทาน จากรุนตาบิอีนพบวามีกลุมหน่ึงที่เปนชาวมะดีนะฮฺที่มีชื่อเสียงมากเปนคน อาลิมท้ังในดานหะดีษและฟกฮฺอิสลามีย ซ่ึงเปนท่ีรูจักกันในนาม อัลฟุเกาะฮาอฺ อัซซบั อะฮฺ(4) 1. สะอดี เบ็ญ อัลมุสัยยบิ (94 ฮ.ศ.) 2. อรุ วะฮฺ เบ็ญ อซั ซุบัยร (94 ฮ.ศ.) 3. อะบูสะละมะฮฺ เบญ็ อับดุลเราะหม าน (94 ฮ.ศ.) 4. อุบัยดลุ เลาะ เบ็ญ อบั ดุลเลาะ เบ็ญอุตบะฮฺ (98 ฮ.ศ.) 5. คอริญะฮฺ เบญ็ ซยั ด (100 ฮ.ศ.) 6. อัลกอซมิ เบ็ญ มุฮมั มัด (106 ฮ.ศ.) 7. สุลัยมาน เบญ็ ยะซาร (110 ฮ.ศ.) 4. ชาวมคุ อ ดรอมนู (1) คําวา “( ”ﳐﻀﺮﻣﻮﻥมุคอดรอมูน) เปนคําพหูพจนของคําวา ﳐﻀﺮﻡซึ่งเปน เผาหนง่ึ ทีอ่ าศัยอยใู นประเทศเยเมน หรอื เรยี กอีกชื่อหนง่ึ วา หดั รอเมาตฺ อลั มคุ อดรอมนู หมายถึง ผทู มี่ ชี วี ติ อยูในสมยั ญะฮิลยิ ะฮฺและสมัยของทานน บี แตพวกเขาเหลานี้ไมไดพบเห็นทานนบี เขารับนันถือศาสนาอิสลาม อิมามมุสลิมระบุวา “ชาวมุคอดรอมูนมจี าํ นวนไมม ากประมาณ 20 ทา น”(2) (4) อลั อิรอกยี หนา 231 (1) มุคอดรอม คอื ชนเผากลมุ หนึง่ ของชาวเยเมน (2) มะหมฺ ูด อัตเฏาะหฺหาน หนา 231
49บทท่ี 5 สะนดั และมะตัน 5. จํานวนรนุ ของตาบอิ ีน อลุ ะมาอฺตาบิอีนโดยรวมแลว แบงออกเปน 3 รนุ ดวยกนั คอื รุนท่ี 1 ตาบิอีนรุนอาวโุ ส ตาบิอีนรุนอาวุโส คือ ผูที่พบเห็นเศาะหาบะฮฺ ไดเรียนรูเรื่องตางๆ ของ ศาสนาและ รับหะดีษโดยตรงจากเศาะหาบะฮฺ เชน สะอีด เบ็ญ อัลมุสัยยิบ- กอยสฺ เบ็ญซัยดฺ เปน ตน รนุ ที่ 2 ตาบอิ นี รนุ กลาง ตาบิอีนรุนกลางคือ ผูท่ีพบเห็นเศาะหาบะฮฺบางทานเทานั้นโดยเฉพาะ เศาะหาบะฮฺรุนเล็กและรวมสมัยกับตาบิอีนรุนอาวุโส เชน อัลหะซันอัลบัศรีย มุฮัมมัด เบ็ญสีรีน อิมาม อัซซุฮฺรีย และเกาะตาดะฮฺ เปนตน ตาบิอีนรุนนี้ เปนอลุ ะมาอทฺ ่มี ีชื่อเสียงในการรายงานและบนั ทกึ หะดษี รนุ ท่ี 3 ตาบิอีนรุนเลก็ ตาบิอีนรุนเล็ก คือ ผูที่พบเห็นตาบิอีนรุนกลางและรวมสมัยกับเศาะ- ฮาบะฮฺรุนเล็กบางทาน พวกเขาไมไดพบเห็นเศาะหาบะฮฺรุนอาวุโส เชน อัลอะอฺ มัช อบิ นุ ุรัอยจญ อมิ าม อะบูหะนฟี ะฮฺ เปนตน ผูรายงานหะดีษในรุนตาบิอีนท้ังหมดเปนผูรายงานซ่ึงอยูในชวงกลางของ สะนัด บางสะนัดจะพบวาในรุนน้ีจะมีผูรายงานหะดีษติดตอกันถึงสองหรือสาม ทาน คุณลักษณะของตาบิอีนผูเปนนักรายงานหะดีษมีท้ังท่ีเปนษิเกาะฮฺ เศาะดกู ฺ เฎาะอฟี มัจฮลู ฟาสกิ และโกหก เปนตน รุน ท่สี าม รนุ ตาบิอฺ ตาบิอีน (ตงั้ แตป 124 ฮ.ศ. ถึงป 224 ฮ.ศ.)(1) 1. ความหมายของตาบิอฺ ตาบอิ ีน ตามหลกั ภาษาศาสตร คือ ผูท่เี ดินตามหลังชนรนุ กอน (1) อบั ดลุ วะฮาบ อัลดลุ ละตีฟ หนา 21
50บทที่ 5 สะนดั และมะตัน ตามหลักวิชาการ คือ ผูที่พบเห็นตาบิอีน ศรัทธาตอทานนบี และเสียชีวิต ในอิสลาม พวกเขาไมไ ดพบเหน็ ทา นนบี และไมไ ดพบเหน็ เศาะหาบะฮฺ(2) 2. ผรู ายงานหะดีษ(3) ผูรายงานหะดีษจากรุนตาบิอฺตาบิอีนท่ีมีช่ือเสียง และเปนที่รูจักกันในหมู นกั วิชาการและสังคมมสุ ลมิ ก็คอื 1. ซฟุ ยาน เบญ็ สะอีด อัสเษารีย (161ฮ.ศ.) 2. อิมามมาลกิ เบญ็ อะนสั (179 ฮ.ศ.) 3. วะกอี ฺ เบญ็ อลั ญรั รอหฺ (190 ฮ.ศ.) 4. ซฟุ ยาน เบ็ญ อุยัยนะฮฺ (198 ฮ.ศ.) 5. ฎอมเิ ราะฮฺ เบญ็ เราะบีอะฮฺ (202 ฮ.ศ.) 6. อมิ ามมฮุ ัมมัด เบญ็ อดิ ริส อชั ชาฟอีย (204 ฮ.ศ.) 7. อลั ฟฎ ลฺ เบ็ญ ดกุ ัอยนฺ (218 ฮ.ศ.) 8. มุสดั ดัด เบญ็ มุซรั ฮัด (220 ฮ.ศ.) และทา นอน่ื ๆ อลุ ะมาอฺตาบิอฺ ตาบิอีน สวนมากเปนผูรายงานท่ีมีความจําในระดับดีหรือ ดีเยี่ยมและเปนผูรายงานที่มีความรูแมนยําทั้งในดานการรายงานและการ ทองจําหะดีษตลอดจนมีความสามารถในการวิเคราะหดานคุณธรรมและความ บกพรอ งของผรู ายงานหะดีษทกุ คนต้ังแตชว งตน จนถงึ ชว งสดุ ทา ยของสะนัด(4) 3. รนุ ตา ง ๆ ของตาบิอฺ ตาบอิ ีน (2) มะหมฺ ูด อัตเฏาะหหฺ าน หนา 231 (3) บางคนเปน ท้ังนักรายงานหะดีษและนักฟกฮฺ บางคนเปนผเู ช่ยี วชาญเฉพาะหะดษี อยางเดียว (4) รายงละเอียดตา งๆ ท่เี ก่ียวของกบั สถานภาพดานคณุ ธรรมและความบกพรอ งจะมีการอธิบายในบทตอ ไป
51บทท่ี 5 สะนัดและมะตนั อุลามาอฺตาบิอฺ ตาบิอีน ที่เปนผูรายงานหะดีษ ตั้งแตบุคคลแรกจนถึง บุคคลสุดทายทีเ่ สียชีวติ แบง ออกเปน 3 รนุ คือ รนุ ที่ 1 ตาบอิ ฺ ตาบอิ ีนรนุ อาวุโส ตาบิอฺ ตาบิอีนรุนอาวุโส คือ ผูที่พบเห็นตาบิอีน ไดเรียนรูเร่ืองตางๆ ของศาสนาและรับ หะดีษโดยตรงจากตาบิอีน เชน อิมามมาลิก เบ็ญอะนัส ซฟุ ยาน อัซเษารยี เปน ตน รนุ ท่ี 2 ตาบอิ ฺ ตาบอิ นี รนุ กลาง ตาบอิ ฺ ตาบอิ ีนรุนกลาง คอื ผูท่ีพบเห็นรุนตาบิอีนบางทานเทานั้นและรวม สมยั กับตาบอิ ีนรนุ อาวโุ ส เชน ซุฟยาน เบ็ญอุยยั นะฮฺ อิบนุ อุลัยยะฮฺ เปน ตน รุน ที่ 3 ตาบิอฺ ตาบอิ นี รนุ เลก็ ตาบิอฺ ตาบิอีนรุนเล็ก คือ ผูท่ีไดพบเห็นและรวมสมัยเดียวกันกับตาบิอฺ ตาบิอีน รุนกลาง แตพวกเขาไมไดพบเห็นเศาะหาบะฮฺ เชน อิมามอัชชาฟอีย อะบดู าวดู อตั ตอยาลิซีย เปนตน 4. สถานภาพของนักรายงาน สถานภาพโดยทั่วไปของรุนตาบิอฺ ตาบิอีน มีทั้งผูรายงานท่ีเชื่อถือไดใน การรายงานหะดีษและมีผูที่เชื่อถือไมได เนื่องจากหลายสาเหตุดวยกันเชน ความจําไมดี ปกปดอาจารย ไมเปนที่รูจักกันวาเปนผูรายงานหะดีษ เปนคน โกหก เปน ตน รนุ ทส่ี ่ี รุนอตั บาอฺ ตาบิอฺ ตาบิอีน (ต้ังแตป224 จนถึงป 303 แหงฮิจเราะฮฺ ศักราช)(1) 1. ความหมายของอัตบาอฺ ตาบอิ ฺ ตาบิอีน ตามหลักภาษา คือ ผูท เ่ี ดนิ ตามหลังชนรุน กอนพวกเขา (1) อลั ดุลวะฮาบ อัลดุลละตีฟ หนา 48
52บทที่ 5 สะนัดและมะตนั ตามหลักวิชาการ คือ ผูท่ีไดพบเห็นรุนตาบิอฺ ตาบิอีน ศรัทธาตอทาน นบี และเสยี ชวี ิตในขณะท่นี บั ถอื ศาสนาอิสลาม 2. ผรู ายงานหะดษี ผูที่มีชื่อเสียงในการรายงานหะดีษของอุละมาอฺรุนนี้มีมากมายแตท่ีจะ กลาวในที่นี้เปนตัวอยางเพียงบางทานเทานั้น ในจํานวนน้ีมีคณาจารยของอิมาม ทัง้ หกดว ย(2)เชน 1. หฟั ศ เบ็ญ อุมรั (225 ฮ.ศ.) 2. อับดุลเลาะ เบ็ญ มฮุ ัมมัด อันนฟุ ยลยี (234 ฮ.ศ.) 3. อะบบู ักร เบ็ญ อะบีชยั บะฮฺ (239 ฮ.ศ.) 4. มุฮมั มัด เบ็ญ อัลอะลาอฺ (247 ฮ.ศ.) 4. มุฮัมมัด เบญ็ ยะหยฺ า เบญ็ ฟาริส (255 ฮ.ศ.) 5. มฮุ มั มัด เบ็ญ บะซาร (250 ฮ.ศ.) และทานอนื่ ๆ อุละมาอฺรุนนี้สวนมากแลวจะอยูในชวงทายของสะนัดหะดีษ (สาย รายงาน) ในบรรดานักรายงานทัง้ สามชวงของสะนัด 3. รนุ ตาง ๆ ของอัตบาอฺ ตาบิอฺ ตาบิอนี ผรู ายงานหะดีษในรนุ อัตบาอฺ ตาบิอฺ ตาบอิ ีนแบง ออกเปน 3 รนุ ดงั นี้ รุนที่ 1 อัตบาอฺ ตาบิอฺ ตาบิอีนรุนอาวุโส คือ ผูที่พบเห็นตาบิอฺ ตาบิอีน เชน อิมาม อะหฺมัด เบ็ญ หันบลั อะบูบกั ร อบิ นุ อะบชี ัยบะฮฺ เปนตน (2) อมิ ามทัง้ หกหรืออัศหาบ อัลกุตุบ อซั ซิตตะฮคอื อัลบุคอรีย ( )ﺍﻟﺒﺨﺎﺭﻱมุสลิม ( )ﻣﺴﻠﻢอะบดู าวูด ()ﺃﺑﻮ ﺩﺍﻭﺩ อัตตัรมิซีย ( )ﺍﻟﺘﺮﻣﺬﻱอันนะสาอีย ( )ﺍﻟﻨﺴﺎﺋﻲและอบิ นุมาญะฮฺ ( )ﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﻪและอีกกลุมหน่ึงเรยี กวาอิมามท้ังเกา หรือทรี่ ูจ กั กนั ในนาม อัศหาบ อัลกุตบุ อัตตสิ อะฮ คอื อมิ ามอีก3ทาน อะหฺมัด เบ็ญฮนั บัล ( )ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﺟﻨﺒﻞอิ มามมาลิก ( )ﻣﺎﻟﻚและอัดดาริมยี ()ﺍﻟﺪﺍﺭﻣﻲ
53บทท่ี 5 สะนัดและมะตัน รุนท่ี 2 อัตบาอฺ ตาบิอฺ ตาบิอีนรุนกลาง คือ ผูท่ีพบเห็นตาบิอฺ ตาบิอีน และรว มสมัยกับตาบอิ ฺ ตาบิอนี รุนกลาง รุนท่ี 3 อัตบาอฺ ตาบิอฺ ตาบิอีนรุนเล็ก คือ ผูท่ีพบเห็นและรวมสมัยกับ ตาบิอฺตาบอิ นี รุนเล็ก แตพ วกเขาไมไดพ บเหน็ ตาบิอฺ ตาบิอนี รนุ อาวุโส 4. สถานภาพของนกั รายงานหะดีษ ผูรายงานหะดีษท้ังสามรุนหรือส่ีรุนดังที่กลาวขางตน คือ สุดยอดของนัก รายงานหะดีษโดยที่พวกเขาเหลานั้นไดทุมเทความพยายามอยางสูงในการ รวบรวมหะดีษ วิธีการที่ใชเปนวิธีการท่ียอดเยี่ยม ไดวางรากฐานท่ีเกี่ยวกับ หลักการและระเบียบตางๆ ในการรายงานหะดีษ ในชวงระยะดังกลาวบรรดา อุละมาอฺเหลาน้ีก็ไดสะสมผลงานที่นายกยองเปนอยางมากโดยเฉพาะใน สาขาวชิ าหะดษี ดงั นี้ หน่งึ ตดิ ตามสายรายงานหะดษี (1) สอง ใหก ารยอมรับตวั บทหะดีษ(2) สาม วิเคราะหสถานภาพของผูรายงานแตละคนจนสามารถแยกระหวาง ผรู ายงานท่มี คี ณุ ธรรมกับผรู ายงานทฟี่ าสิก(3) ถึงอยางไรก็ตามเรื่องสะนัดหรือสายรายงานหะดีษเปนเร่ืองท่ีสําคัญใน บรรดาเรือ่ งตา ง ๆ ทีเ่ ก่ียวของกับสาขาวิชาหะดีษ จากการศกึ ษาเรอื่ งสะนัดอยาง จริงจงั ทาํ ใหทราบวา บรรดาอุลามาอฺหะดีษสามารถจําแนกหะดีษออกเปนหลาย ระดับ เชน หะดีษเศาะหีหฺ หะดีษเฎาะอีฟ และหะดีษเมาฎอฺ หะดีษที่แข็งแรง และหะดีษออน หะดีษท่ีใชไดและหะดีษท่ีใชไมได ยะหฺยา เบ็ญ สะอีด อัลคอตฏอน กลาวตอบคําถามที่วา “คุณไมกลัวหรือที่คุณไดตําหนิและไม (1) มสุ ลมิ : 1/11 (2) อกั รอม ฎิยาอฺ อัลอุมะรีย หนา 24 (3) หนังสือเดมิ
54บทที่ 5 สะนัดและมะตนั ยอมรับหะดีษจากการรายงานของพวกเขา (ผูรายงานที่มีความบกพรอง) ซึ่งจะ เปนผูที่โตแยงทาน ณ อัลลอฮฺในวันกิยามะฮฺ? ทานยะหฺยาตอบวา ฉันคิดวาการ โตตอบของพวกเขาในเรื่องดังกลาวดีกวาที่ทานนบีจะตําหนิฉันดวยคํากลาวของ ทา นนบี ที่วา “ทําไมทานเปนผูโกหกตอ หะดีษของฉัน”(1) 4. ประเภทของสะนัด หะดีษทุกบทเม่ือพิจารณาสายรายงานต้ังแตตนสะนัดจนถึงปลายสะนัด อาจจะแบงออกเปน 2 ประเภท คือ ประเภทท่หี นง่ึ สะนดั อาลยี ()ﺍﻟﺴﻨﺪ ﺍﻟﻌﺎﱄ สะนัดอาลีย หมายถึง สายรายงานท่ีมีผูรายงานเปนจํานวนนอย หาก เปรียบเทียบกับสะนัดอื่น ซ่ึงบรรดาอุละมาอฺมีความเห็นที่แตกตางกันในเรื่อง จํานวนท่ีแนนอนของจํานวนนอย บางทัศนะกลาววา อยางนอยมีสามคนและ บางทศั นะระบุวาหาคน เชน สะนัดของหะดีษท่ีบันทกึ โดยอมิ ามมาลิก เบ็ญอะนัส ในหนังสือ อัลมวุ ตั เฏาะอฺ ประเภททส่ี อง สะนดั นาซิล ()ﺍﻟﺴﻨﺪ ﺍﻟﻨﺎﺯﻝ สะนัดนาซิล หมายถึง สายรายงานท่ีมีผูรายงานเปนจํานวนมาก หาก เปรียบเทียบกับสะนัดอื่นท่ีมีผูรายงานนอย(2) หมายความถึง ผูรายงานท่ีมี จํานวนระหวางสามทานหรือหาทานขึ้นไป เชน สะนัดของหนังสือหะดีษทั้งหก และหนังสืออน่ื ๆ(3) ระหวางสองประเภทสะนัดน้ี สะนัดอาลียจะมีฐานะสูงกวาสะนัดนาซิล เพราะการท่ีหะดีษบทใดมีผูรายงานจํานวนนอยก็แสดงใหเห็นวา หะดีษน้ัน (1) มศุ ฏอฟา อสั สบิ าอยี หนา 98 (2) มะหฺมูด อัตเฏาะหฺหาน หนา 180 (3) หนงั สอื อืน่ ๆ เชน หนังสืออัลมะสานีด หนังสืออัลมะอาญิม และหนงั สอื อซั ซนุ นั
55บทท่ี 5 สะนดั และมะตัน ภายในตัวมีความแข็งแรงกวาและมีนํ้าหนักมากกวาสายรายงานท่ีมีผูรายงาน เปนจาํ นวนมาก ตวั อยางลกั ษณะของสะนัด สะนดั สะนัดอาลยี สะนัดนาซิล ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﺍﺑﻦ ﻋﻤﺮ ﻃﺎﻭﺱ ﻧﺎﻓﻊ ﺃﺑﻮ ﺍﻟﺰﺑﲑ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﲪﻴﺪ ﻣﺎﻟﻚ ﳛﻲ ﺑﻦ ﺁﺩﻡ (1/82) ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﺳﻠﻴﻤﺎﻥ ﺍﻟﻨﺴﺎﺋﻲ (3/35
56บทท่ี 5 สะนดั และมะตนั สว นท่ี 2 มะตนั หะดีษ ตามท่ีไดกลาวมาแลววา หะดีษแตละบทท่ีมาจากทานนบีโดยผาน กระบวนการรายงานนั้นมีสวนประกอบ 2 สวน คือ สะนัดหะดีษและมะตันหะดีษ สวนท่ีหน่ึงก็ไดอธิบายไปแลวกอนหนาน้ีและสวนท่ีสอง คือ มะตันหะดีษ ซ่ึง ประกอบดว ยรายละเอยี ด ดงั ตอไปนี้ 1. นิยาม ตามหลกั ภาษาศาสตร คาํ วา ﻣﱳแปลวา สง่ิ ที่ยกมาจากพืน้ ดนิ ตามหลักวิชาการ แปลวา สิ่งที่สิ้นสุดของสะนัดจากคําพูดหรือการ กระทาํ มะตันหะดีษโดยสังเกตจากความหมายแลวสามารถพาดพิงถึงใครก็ได เชน มะตันหะดีษ กุดสีย มะตันหะดีษมัรฟูอฺ มะตันหะดีษเมากูฟ และมะตัน หะดีษมักฏอ ฺ 2. ลักษณะของมะตันหะดีษ เม่ือพิจารณามะตันหะดีษหรือตัวบทหะดีษโดยรวม จะเห็นไดวามะตัน หะดษี นน้ั ประกอบ ดว ยคาํ พดู หลายลักษณะหรือหลายทาํ นองพอสรปุ ไดด งั นี้ 1. คําพดู ทีม่ าจากอัลลอฮฺ และทานนบี 2. คาํ พูดท่มี าจากทา นนบีเพยี งคําเดยี ว 3. คาํ พดู ของทานนบีผสมผสานกบั คําพดู ของเศาะหาบะฮฺ 4. คําพูดของทานนบีผสมผสานกบั คาํ พูดของตาบิอีน 5. คาํ พดู ของคนหนงึ่ คนใดแลวพาดพงิ ไปยงั ทา นนบี 6. คําพูดของชาวยะฮดู ียแ ละนะศอรอ หรือทเ่ี รียกวา อสิ รออลี ิยะฮฺ
57บทที่ 5 สะนดั และมะตนั ท้ังน้ี คําพูดเหลาน้ีจําเปนตองทําการศึกษาอยางถี่ถวนและทําการ วิเคราะหอยางละเอียดโดยยึดหลักทางวิชาการ เพื่อแยกแยะระหวางคําพูดของ ทา นนบี กับคาํ พูดของคนอนื่ ๆ การจาํ แนกหะดษี การจําแนกประเภทของหะดีษจะพจิ ารณาจาก 2 ดา น พิจารณาผทู ี่ถูกพาดพงิ มี 4 ประเภท ประเภทท่ี 1 หะดีษกุดสีย ประเภทที่ 2 หะดีษมัรฟอู ฺ ประเภทที่ 3 หะดษี เมากูฟ ประเภทที่ 4 หะดีษมกั ฏอ ฺ พจิ ารณาทม่ี าถงึ มือพวกเรา มี 2 ประเภท ประเภทที่ 1 หะดีษมุตะวาติร ประเภทท่ี 2 หะดษี อาหา ด
58บทที่ 6 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาผทู ่ถี ูกพาดพงิ บทท่ี 6 การจําแนกหะดีษ โดยพิจารณาผูทถ่ี ูกพาดพงิ ประเภทที่ 1 หะดษี กดุ สยี 1. นยิ าม ตามหลักภาษาศาสตร คําวา “ ”ﻗﺪﺳ ّﻲแปลวา สะอาด บริสุทธ์ิ เชน น้ําท่ีสะอาดหรือน้ําท่ีบริสุทธ์ิ ดังนั้น หะดีษ กดุ สีย คอื หะดีษท่บี รสิ ทุ ธิ์ ตามหลักวชิ าการ หะดษี กดุ สยี หมายถงึ หะดษี ท่รี ายงานโดยทานนบี ดวยสายรายงาน ของทา นเองพาดพิงถึงอัลลอฮฺ (1) สาเหตุท่ีเรียกหะดีษเปนหะดีษกุดสียเพราะคําพูดนั้นพาดพิงไปยัง อลั ลอฮฺ ซ่งึ เปน คําพูดท่สี ะอาดบรสิ ทุ ธ์ิ 2. การรายงานหะดีษกดุ สีย สําหรับการรายงานหะดีษกุดสียนั้นสามารถรายงานโดยใชสํานวนหน่ึง สาํ นวนใดจาก 2 สาํ นวนดวยกนั (1) มะหฺมดู อัตเฏาะหฺหาน หนา 120
59บทที่ 6 การจาํ แนกหะดีษโดยพจิ ารณาผูท่ถี ูกพาดพิง สํานวนท่ี 1 ผูรายงานกลาววา จากทานนบี ตามท่ีทานไดรายงาน จากอลั ลอฮฺ หรือ พระเจา พระองคทรงตรัสวา “…………….” ตวั อยา งเชน ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻤﺎ ﻋﻦ ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ )) ﺇﻥ ﺍﷲ ﻛﺘﺐ ﺍﳊﺴﻨﺎﺕ: ﻓﻴﻤﺎ ﻳﺮﻭﻱ ﻋﻦ ﺭﺑﻪ ﻋﺰﻭﺟ ﹼﻞ ﻗﺎﻝ ﻓﻤﻦ ﻫ ّﻢ ﲝﺴﻨﺔ ﻓﻠﻢ ﻳﻌﻤﻠﻬﺎ ﻛﺘﺒﻬﺎ ﺍﷲ ﻟﻪ، ﰒ ﺑّﻴﻦ ﺫﻟﻚ،ﻭﺍﻟﺴﻴﺌﺎﺕ ﻛﺘﺒﻬﺎ ﺍﷲ ﻟﻪ ﻋﻨﺪﻩ ﻋﺸﺮ، ﻓﺈﻥ ﻫ ّﻢ ﻓﻌﻤﻠﻬﺎ،ﻋﻨﺪﻩ ﺣﺴﻨﺔ ﻛﺎﻣﻠﺔ ﻭﻣﻦ ﻫ ّﻢ ﺑﺴﻴﺌﺔ.ﺣﺴﻨﺎﺕ ﺇﱃ ﺳﺒﻌﻤﺎﺋﺔ ﺿﻌﻒ ﺇﱃ ﺃﺿﻌﺎﻑ ﻛﺜﲑﺓ ﻓﺈﻥ ﻫﻮ ﻫ ّﻢ ﺑﻬﺎ، ﻛﺘﺒﻬﺎ ﺍﷲ ﻋﻨﺪﻩ ﺣﺴـﻨﺔ ﻛﺎﻣﻠﺔ،ﻓﻠﻢ ﻳﻌﻤﻠﻬﺎ (( ﻛﺘﺒﻬﺎ ﺍﷲ ﺳﻴﺌﺔ ﻭﺍﺣﺪﺓ،ﻓﻌﻤﻠﻬﺎ ความวา : จากอิบนุอับบาส เลาจาก รสูลุลลอฮฺ ตามที่ทานได กลาวรายงานจากพระเจาของทานทรงดํารัสวา “แทจริงอัลลอฮฺไดบันทึก ไวซ่ึงความดีและความช่ัว และพระองคไดอธิบายเรื่องดังกลาว ดังนั้น ผูใดมีความประสงคจะทําในสิ่งที่ดีแตเขาไมไดทํา อัลลอฮฺจะบันทึกไว สาํ หรับเขาหนง่ึ ความดี เมื่อเขาไดปฏิบัติความดีน้ันอัลลอฮฺจะบันทึกใหแก เขาสิบเทาตัวจนถึงเจ็ดรอยเทาหรือมากกวา และผูใดต้ังใจจะทําในส่ิงชั่ว แตเขาไมไดทํา อัลลอฮฺจะบันทึกใหเขาหน่ึงความดี แตเม่ือเขาลงมือทํา ส่งิ ชั่วนั้น อลั ลอฮจฺ ะบันทกึ แกเขาหนึ่งเทาเทา นัน้ ”(1) (1) บนั ทกึ โดยอัลบคุ อรยี เลมท่ี8 หนา 103
60บทท่ี 6 การจําแนกหะดษี โดยพจิ ารณาผูทถ่ี ูกพาดพงิ สํานวนท่ี 2 ผูรายงานกลาววา รสูลุลลอฮฺ กลาววา อัลลอฮฺ ทรงตรัสวา “………….” ตวั อยา งเชน ﻋﻦ ﺃﰊ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﻗﺎﻝ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ (( ﻴﺎ ﻓﻘﺪ ﺁﺫﻧُﺘﻪ ﺑﺎﳊﺮﺏ )) ﻣﻦ ﻋﺎﺩﻯ ﱄ ﻭﻟ: ﺇﻥ ﺍﷲ ﻋﺰﻭﺟ ﹼﻞ ﻗﺎﻝ: ความวา : จากอะบูฮุรอยเราะฮฺ กลาววารสูลุลลอฮฺ ไดกลาววา “แทจริง อัลลอฮฺทรงตรัสวา “ผูใ ดทําเปนศัตรูกับผูนําของฉัน ฉัน อนุญาตใหท ําสงครามกบั เขา”(2) จากสองสํานวนท่ีไดกลาวขางตน การรายงานหะดีษกุดสียจะใชสํานวน เฉพาะ เจาะจง คือ สํานวนหน่ึงสํานวนใดเทาน้ัน ไมสามารถท่ีจะเปล่ียนเปน สํานวนอื่นได ฉะนั้นการท่ีจะรูจักหะดีษกุดสียน้ันจะตองสังเกตสํานวนการ รายงาน เพราะทั้งสองสาํ นวนนนั้ จะใชสําหรบั รายงานหะดษี ประเภทอื่น ๆ มไิ ด 3. ขอ แตกตา งระหวา งหะดีษกุดสียก ับอัลกรุ อานและหะดษี นะบะวีย ระหวางหะดีษกุดสียกับอัลกุรอานและหะดีษนะบะวียมีความแตกตางท้ัง ทางดา นตวั บทและความหมาย คือ ก. อัลกรุ อาน 1. อลั กรุ อานเปน คําตรัสทเ่ี ตม็ ไปดว ยมอุ ฺญิซะฮฺ 2. อัลกุรอานมาจากอลั ลอฮฺ ทง้ั ตวั บทและความหมาย (2) บันทึกโดยอัลบคุ อรีย เลมที่ 11 หนา 340-341
61บทที่ 6 การจําแนกหะดษี โดยพจิ ารณาผูที่ถูกพาดพิง 3. อลั กุรอานใชประกอบอบิ าดะฮฺได 4. อลั กรุ อานถูกประทานลงมาโดยผา นมลาอกิ ะฮญฺ บิ รลี 5. อลั กุรอานไมอ นญุ าตใหจับหรือแตะตอ งถา ไมม ีวุฎอ ฺ (น้ําละหมาด) 6. อัลกุรอานตอ งมาจากการรายงานอยา งมุตะวาตริ (1) ข. หะดษี กุดสีย 1. หะดีษกุดสียไ มใ ชคําพูดท่ีเปน มอุ ญฺ ซิ ะฮฺ 2. หะดีษกุดสียมาจากอัลลอฮฺในแงความหมาย สวนถอยคําเปน ของทานนบี 3. หะดีษกดุ สียใ ชป ระกอบอิบาดะหไมไ ด 4. หะดีษกุดสยี ไมจาํ เปน ตอ งผานมลาอกิ ะฮญฺ บิ รีล 5. หะดษี กุดสียอนุญาตใหจ บั หรอื แตะตอ งโดยไมมีวฎุ อ ฺ 6. หะดษี กุดสียไ มจําเปนตอ งมาจากการรายงานอยา งมตุ ะวาตริ ค. หะดษี นะบะวีย 1. หะดษี นบไี มใชคาํ พดู ที่เปนมอุ ญิซะฮฺ 2. หะดีษนบีทัง้ ตวั บทและความหมายมาจากทานนบี 3. หะดษี นบใี ชป ระกอบอบิ าดะฮไฺ มไ ด 4. หะดษี นบไี มจําเปนตอ งผา นมลาอิกะฮญฺ บิ รลี 5. หะดษี นบีอนุญาตจับหรอื สมั ผัสโดยไมม วี ุฎอ ฺ 6. หะดษี นบี มที งั้ หะดีษมตุ ะวาตริ และหะดษี อาหาด ที่จริงแลวขอแตกตางระหวางหะดีษกุดสียกับอัลกุรอานและหะดีษนะบะ วีย(2)มีอีกมากมายที่ยังไมไดระบุไวในหนังสือเลมนี้ ไมวาจะพิจารณาดานใดก็ (1) มตุ ะวาติร หมายถงึ การรายงานของผคู นเปนจํานวนมาก (ดูรายละเอียดหนา 59-64 หนังสอื เลมน)้ี
62บทที่ 6 การจาํ แนกหะดษี โดยพจิ ารณาผทู ีถ่ ูกพาดพงิ ตาม เชน สํานวนโวหาร การนํามาใชเปนหลักฐาน การประกอบอิบาดะฮฺ หกุ ม หะกมั ความเปนมุอฺญซิ ะฮฺ ลักษณะคําพูด เปนตน 4. จํานวนหะดษี กุดสีย หะดีษกุดสียมีจํานวนไมมากเม่ือเทียบกับหะดีษนะบะวียโดยประมาณมี จํานวน 200 กวา หะดีษเทานน้ั 5. ระดับของหะดษี กดุ สีย หะดีษกุดสียมีหลายระดับดวยกันท้ังท่ีเปนหะดีษกุดสียเศาะหีหฺ หะดีษ กุดสียหะซัน หะดีษกุดสียฎออีฟ และหะดีษกุดสียเมาฎอฺ ซ่ึงข้ึนอยูกับ สถานภาพของผรู ายงานแตล ะทา นท้งั ทางดานคุณธรรมและความบกพรอง ท้ังน้ี เพราะหะดีษกุดสียมีสายรายงานเหมือนกับหะดีษนะบะวียที่ประกอบดวย ผรู ายงานทม่ี ีสถานภาพหลากหลาย 6. การนาํ มาใชเปน หลกั ฐาน หะดีษกุดสียท่ีอยูในระดับเศาะหีหฺหรือหะซันจําเปนจะตองนํามาใชเปน หลักฐาน สว น หะดีษกุดสยี ท ีม่ ีระดบั เฎาะอฟี หรือเมาฎอฺไมอนุญาตใหนํามาใช เปน หลักฐาน 7. ตําราที่เก่ยี วของ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﺅﻭﻑ ﺍﳌﻨﺎﻭﻱ،ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻻﲢﺎﻓﺎﺕ ﺍﻟﺴﻨﻴﺔ ﺑﺎﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﻘﺪﺳﻴﺔ หนงั สอื เลมนี้ไดร วบรวมหะดีษกุดสยี เ ปน การเฉพาะมจี ํานวน 272 หะดษี (2) อลั กุรอาน, ความหมายและตัวบทมาจากอัลลอฮฺ หะดษี กุดสยี , ความหมายมาจากอัลลอฮฺ สว นตัวบทมา จากรสูลุลลอฮฺ และหะดษี นะบะวีย, ความหมายและตัวบทมาจากรสูลุลลอฮฺ
63บทที่ 6 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาผทู ่ีถูกพาดพิง ประเภทท่ี 2 หะดษี มรั ฟูอฺ 1. นิยาม ตามหลักภาษาศาสตร คําวา “ ”ﻣﺮﻓﻮﻉแปลวา ยกขึ้นไปยัง หรือพาดพิงถึง เชน ยกส่ิงของไปยัง คนหนึ่งคนใด หรือพาดพิงถึงคน ๆ หน่ึง ในดานภาษาคําวา “ ”ﻣﺮﻓﻮﻉจะใชได กบั ทานนบี บุคคลทั่วไปหรือแมแ ตส ิ่งของก็ตาม ตามหลักวิชาการ หะดีษมัรฟูอฺ คือ ส่ิงที่ผูรายงานพาดพิงถงึ ทานนบี โดยระบุเปนคําพูด การกระทํา การยอมรบั หรอื คณุ ลักษณะตลอดจนชวี ประวัติของทา นนบี(1) ในทางปฏบิ ัตจิ รงิ หะดษี มรั ฟูอมฺ ักจะใชใ นลักษณะเฉพาะเจาะจงกับทานนบี เทานั้น การใชใ นลักษณะเชนนี้เปนที่รูกันอยางแพรหลายในหมูนักวิชาการทุก สาขา 2. ชนดิ และตวั อยา งของหะดีษมรั ฟอู ฺ จากนิยามขางตนพอสรุปไดวา หะดีษมัรฟูอฺมี 4 ชนิดดวยกัน คือ มัรฟูอฺ- เกาลีย (ที่เปนคําพูด) มัรฟูอฺฟอฺลีย (การกระทํา) มัรฟูอฺตักรีรีย (การยอมรับ) และมัรฟูอฺวศั ฟย (คุณลักษณะ) ชนดิ ท่ี 1 หะดีษมรั ฟูอฺเกาลยี ()ﺍﳌﺮﻓﻮﻉ ﺍﻟﻘﻮ ﹼﱄ หมายถึง คําพูดของทานนบี ท่ีไดกลาวในสถานการณตาง ๆ จะ เกี่ยวกับเร่ืองศาสนาหรือเร่ืองทางโลก เชน การดุอาอฺ การใหคําตักเตือน การ อาน เปนตน (1) ดู ความหมายของหะดีษ หนา 9
64บทท่ี 6 การจาํ แนกหะดีษโดยพจิ ารณาผทู ถ่ี ูกพาดพิง หะดีษมัรฟูอฺชนิดนี้ เรียกอีกชื่อวา หะดีษเกาลีย ตัวอยาง มีเศาะ หาบะฮฺทานหน่ึงไดรายงานวา ทานนบี ไดกลาวเกี่ยวกับเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงใน สถานการณ สถานที่ และเวลา เปนตน เชน กลาวถึงเร่ืองหะลาลและหะรอม การหา ม คาํ ตักเตอื น และอ่ืน ๆ หะดีษมัรฟูอฺเกาลียจะใหหุกมทั้งท่ีเปนวาญิบ สุนัต หะรอม และมักรูฮฺ ซึ่ง ขน้ึ อยกู ับสํานวนคาํ พดู ทก่ี ลา วออกมาหรือกรณแี วดลอมอืน่ ๆ ชนดิ ที่ 2 หะดีษมรั ฟูอฺฟอ ฺลีย ()ﺍﳌﺮﻓﻮﻉ ﺍﻟﻔﻌﻠ ّﻲ หมายถึง การกระทําของทานนบี ตอหนาศอหาบะฮฺหรือตอหนาทาน หญิงในกลุมภริยาของทาน การกระทําในทกุ ๆ อริ ยิ าบถของทานนบีไมวาจะเปน เรื่องสว นตัว อิบาดะฮฺ มอุ ามะลาต มุนากะฮาต เปนตน หะดีษมัรฟูอฺฟอฺลีย เรียกอีกชื่อหนึ่งวา หะดีษฟอฺลีย(2) ตัวอยางเชน เศาะหาบะฮฺ กลาววา การกระทําของทานนบี อยางน้ีหรือทานนบีไดปฏิบัติ ในลกั ษณะนี้ หะดีษมัรฟูอฺฟอฺลียจะใหหุกมทั้งท่ีเปนวาญิบ สุนัต หะรอม และมักรูฮฺ เหมือนกบั หกุ มของหะดีษมัรฟูอเฺ กาลีย ชนิดท่ี 3 หะดษี มัรฟูอฺตกั รีรีย ()ﺍﳌﺮﻓﻮﻉ ﺍﻟﺘﻘﺮﻳﺮ ّﻱ หมายถงึ การยอมรบั ของทานนบี ตอการกระทําของเศาะหาบะฮฺบาง คนที่ไดปฏิบัติตอหนาทานนบี หรือใหการยอมรับตอคําอานของเศาะหาบะฮฺ บางคนทไ่ี ดอา นตอ ทาน หะดีษมัรฟูอฺชนิดน้ีเรียกอีกช่ือหนึ่งวา หะดีษตักรีรีย ตัวอยางเชน เศาะหาบะฮฺทานหน่ึงกลาววา ไดมีการปฏิบัติตอหนาทานนบี อยางนี้ และ (2) มัรฟูอฺฟอฺลียไมวาการกระทํานั้นเปนเรื่องสวนตัวของทานนบี หรือไมก็ตาม หุกมของการกระทําสําหรับ ทา นนบี เพยี งผูเ ดยี วหรอื รวมถึงประชาชาตดิ วย
65บทท่ี 6 การจําแนกหะดีษโดยพจิ ารณาผูท่ถี ูกพาดพิง ไมมีการปฏิบัติจากทานในเร่ืองดังกลาว การใหการยอมรับของทานนบี มกั จะใชส ํานวนทหี่ ลากหลาย เชน 1. สํานวนท่ีชัดเจนตอขอซักถามของเศาะหาบะฮฺ เชน ทานนบี กลาว วา “คณุ ปฏบิ ัตถิ ูกตอ งแลว ” ()ﹶﺃ َﺻْﺒ َﺖ 2. สํานวนที่พูดในเชิงใหกําลังใจตอการกระทําของเศาะหาบะฮฺ หรือตอ คําพูดของพวกเขา เชน ทานนบี กลาววา “แทจริงอัลลอฮฺ ทรงรักเขา” ( )ﺇﻥ ﺍﷲ ﳛﺒﻪเปนตน 3. การเงียบตอการกระทําของเศาะหาบะฮฺบางคน กลาวคือ ทานนบี ไมไ ดปฏเิ สธ หรือไมไ ดใหการยอมรับ เชน ไมไ ดสัง่ และไมไดห า มเศาะหาบะฮฺ หะดีษมัรฟูอฺตักรีรียจะมีเพียงหุกมเดียวเทานั้น คือ หุกมมุบาหฺ (ฮารุส) อนุญาตใหปฏิบัติได กลาวคือ ผูใดตองการปฏิบัติก็สามารถทําไดและผูใดไม ประสงคจะปฏิบัติก็ไมผิดกับบทบัญญัติอิสลามแตอยางใด หะดีษมัรฟูอฺชนิดน้ี เปน การเปด โอกาสแกประชาชาติในเร่อื งตางๆ โดยเฉพาะเรื่องท่ีสามารถอํานวย ประโยชนใ นการดาํ รงชวี ติ ชนิดที่ 4 หะดีษมรั ฟอู วฺ ัศฟฺ ย ()ﺍﳌﺮﻓﻮﻉ ﺍﻟﻮﺻﻔ ّﻲ หมายถึง คุณลักษณะท่ีทานนบีไดปฏิบัติในทุกอิริยาบถและในทุก สถานการณ ตลอดชีวิต เชน เศาะหาบะฮฺกลาววา ทานนบี ปฏิบัติตัวอยาง นี้ หรือทานกลา วเชน น้ี เปนตน หะดษี มัรฟอู ฺตามลักษณะเชน นี้เรียกอีกช่ือวา หะดษี วศั ฺฟย หะดษี มรั ฟอู ฺวศั ฟยจ ะมีหกุ มทั้งท่ีเปนหุกมวาญิบ สุนัต และมุบาหฺ ซ่ึงเปน สง่ิ ทด่ี ีหากมีการปฏบิ ตั ติ ามดงั เชน การปฏิบัตขิ องทานนบี
66บทท่ี 6 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาผทู ่ถี ูกพาดพิง 3. ระดบั ของหะดีษมัรฟูอฺ หะดีษมัรฟูอฺมีหลายระดับทั้งที่เปนหะดีษเศาะหีหฺ หะดีษหะซัน หะดีษ เฎาะอีฟ หะดีษฎออีฟญิดดัน และเมาฎอฺ หะดีษท้ังหาระดับน้ีก็ข้ึนอยูกับ สถานภาพของผูรายงานหะดีษแตละคนต้ังแตชวงตน ชวงกลางหรือชวงสุดทาย ของสะนดั (รายละเอียดมีการอธบิ ายในบทท่ี 5 และบทท่ี 6) 4. การนํามาใชเปนหลักฐานและปฏิบตั ติ าม หะดษี มรั ฟูอฺนนั้ ใชว า สามารถใชเปน หลกั ฐานไดท ้ังหมด หากแตบางหะดีษ ใชเ ปน หลักฐานไดและบางหะดีษก็ใชเปนหลักฐานไมได ตามทัศนะของอุละมาอฺ หะดีษ หากหะดีษมัรฟูอฺสามารถพาดพิงไปยังทานนบี ดวยกระบวนการ รายงานท่ถี กู ตอ งแลว วาญิบ จะตองปฏบิ ัติตามและนํามาใชเ ปนหลกั ฐานได พึงทราบเปนการเบ้ืองตนวา หะดีษมัรฟูอฺบางครั้งจะขัดแยงกับหะดีษเมา กฟู และบางครั้งจะขัดแยงกับหะดีษมัรฟูอฺดวยกัน ในกรณีเชนน้ีจะตองยึดปฏิบัติ ตามหะดษี มัรฟูอทฺ ี่มีฐานะเหนือกวา ประเภทท่ี 3 หะดษี เมากูฟ 1. นิยาม ตามหลักภาษาศาสตร คําวา “ ”ﻣﻮﻗﻮﻑเปนอาการนามในรูปของมัฟอูล (กรรม) มาจากคําวา “ ”ﺍﻟﻮﹾﻗﻒซง่ึ แปลวา หยดุ หรือสุดท่ี
67บทท่ี 6 การจาํ แนกหะดษี โดยพจิ ารณาผูทถ่ี ูกพาดพิง ตามหลักวชิ าการ หมายถึง สิ่งที่พาดพิงถึงบรรดาศอหาบะฮฺจะเปนคําพูด การกระทํา และการยอมรับ ทไ่ี มใชพาดพงิ ถึงทา นนบี (1) การท่ีเรียกวา หะดีษเมากูฟน้ันก็เน่ืองจากสิ้นสุดคําพูด การกระทํา และ การยอมรับเพียงแคเ ศาะหาบะฮเฺ ทาน้นั 2. ชนิดและตวั อยา งของหะดษี เมากูฟ จากนยิ ามขางตน หะดีษเมากฟู สามารถจาํ แนกออกเปน 3 ชนดิ ดังนี้ ชนิดท่ี 1 หะดีษเมากฟู เกาลยี ()ﺍﳌﻮﻗﻮﻑ ﺍﻟﻘﻮ ﹼﱄ หมายถึง คําพูดของศอหาบะฮฺท่ีไดกลาวในเวลาและสถานท่ีตาง ๆ ที่ ไมม ีสว นเก่ยี วขอ งใด ๆ กับทานนบี คําพูดหรือคํากลาวของเศาะหาบะฮฺที่ผูรายงานแอบอางไดยินหรือเห็น โดยตรงจากเศาะหาบะฮฺซ่ึงไมมีกรณีแวดลอม(1) บงช้ีถึงการอางมาจากทานนบี แมแตคําเดียว แตหากมีกรณีแวดลอมแสดงถึงการพาดพิงถึงทานนบีจะไม เรียกวา หะดีษเมากูฟ เชน ผูรายงานกลาววา มีเศาะหาบะฮฺทานหนึ่งกลาววา “…………….” ตัวอยาง \" ﺣﺪﺛﻮﺍ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﲟﺎ: ﻗﺎﻝ ﻋﻠ ّﻲ ﺑﻦ ﺃﰊ ﻃﺎﻟﺐ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ \" ﺃﺗﺮﻳﺪﻭﻥ ﺃﻥ ﻳﻜﺬﺏ ﺍﷲ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ،ﻳﻌﺮﻓﻮﻥ (1) อัลอริ อกีย หนา 51 (1) กรณแี วดลอ มเปน ทร่ี ูกนั ในหมอู ุละมาอฺวา “ ”ﻗﺮﻳﻨﺔหรือหลักฐานจากอัลกุรอานและอัสสุนนะฮฺ
68บทที่ 6 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาผทู ี่ถูกพาดพิง แปลวา : อาลี เบ็ญอะบีฏอเล็บ กลาววา “จงอธิบายใหคนอ่ืนฟงดวย ภาษาท่ีพวกเขาเขาใจ หรือวาพวกเจาตองการจะกลาวโกหก ตออัลลอฮแฺ ละรสลู ของพระองค”(2) ชนดิ ที่ 2 หะดีษเมากูฟฟอฺลยี ()ﺍﳌﻮﻗﻮﻑ ﺍﻟﻔﻌﻠ ّﻲ หมายถึง การกระทําของเศาะหาบะฮฺที่เกิดข้ึนในทุก ๆ สถานการณ ทุก ๆ อิริยาบถและลกั ษณะตา งๆ การกระทําของเศาะหาบะฮฺท่ีเปนเมากูฟนั้นตองมาจากการรายงานท่ีอาง ถึงพวกเขาโดยตรงและไมเกี่ยวของกับทานนบี แตอยางใด ตัวอยางเชน ผูรายงานกลาววา เปนการกระทําของเศาะหาบะฮฺทานน้ี หรือมีเศาะหาบะฮฺ ทานหนึ่งไดกระทําสง่ิ นี้ เปน ตน \" \" ﻭﺃّﻡ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﻭﻫﻮ ﻣﺘﻴﻤﻢ: ﻗﺎﻝ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭ ّﻱ _ ﺭﲪﻪ ﺍﷲ แปลวา : อิมามอัลบุคอรียกลาววา อิบนุอับบาสเปนอิมามนําละหมาดทั้ง ๆ ทท่ี า นตะยาํ มุม(3) ชนิดท่ี 3 หะดีษเมากฟู ตักรีรีย ()ﺍﳌﻮﻗﻮﻑ ﺍﻟﺘﻘﺮﻳﺮ ّﻱ หมายถึง เศาะหาบะฮฺใหการยอมรับตอคําพูดหรือการกระทําของคนหน่ึง คนใดทีป่ รากฏตอหนาพวกเขาหรอื จากการบอกเลา ใหแ กพวกเขา(4) (2) บันทกึ โดยอัลบคุ อรยี เลม ท่ี1 หนา 56 (3) บันทึกโดยอัลบคุ อรยี เลมท่ี1 หนา 82
69บทท่ี 6 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาผูท ถี่ ูกพาดพงิ ตัวอยางหะดีษเมากูฟตักรีรีย เชน ตาบิอีนทานหนึ่งไดรายงานวา เขาไดปฏิบัติอยางหน่ึงอยางใดตอหนาเศาะหาบะฮฺทานหน่ึง แตไมไดรับการ ปฏิเสธจากพวกเขาแมแตคนเดียว หรือตาบิอีนกลาววา เขาไดกระทําสิ่งหนึ่งตอ หนาเศาะหาบะฮฺทานหน่ึง เศาะหาบะฮฺทานนั้นใหการยอมรับตอการกระทํา หรือพวกเขาไมป ฏเิ สธ ดงั ท่ีปรากฏในคอบรั ตอไปน้ี ﺃﻥ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﺍﳋﻄﺎﺏ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﻧﻬﻰ ﻋﻦ ﺍﳌﻐﺎﻻﺕ ﰲ ﺃﻥ ﺍﷲ، ﻟﻴﺲ ﺫﻟﻚ ﺇﻟﻴﻚ ﻳﺎ ﻋﻤﺮ: ﻓﻘﺎﻟﺖ ﺍﻣﺮﺃﺓ،ﺍﳌﻬﻮﺭ . ﻭﺁﺗﻴﺘﻢ ﺇﺣﺪﺍﻫ ّﻦ ﻗﻨﻄﺎﺭﹰﺍ ﻣﻦ ﺫﻫﺐ : ﻋﺰﻭﺟ ﹼﻞ ﻳﻘﻮﻝ . ﻛﻠﻜﻢ ﺃﻓﻘﻪ ﻣﻦ ﻋﻤﺮ: ﻭﻗﺎﻝ แปลวา : “แทจริงอุมัร เบ็ญ อัลคอฏฏอบไดหามเรียกคามะฮัรแพง (เกิน กวาเหตุ) มีผูหญิงทานหน่ึงกลาววา เรื่องน้ีไมใชสําหรับตัวทาน แตอยางใด นางก็อานอายะฮฺ ﻭﺁﺗﻴﺘﻢ ﺇﺣﺪﺍﻫ ّﻦ ﻗﻨﻄـﺎﺭﹰﺍ ﻣﻦ ﺫﻫﺐ(1) ความวา “และเจาจงมอบแกพวกนางสิ่งมีคาจากทอง” และอุมรั กลา ววา ทุกคนในกลุม พวกเจาเขา ใจ (เรอ่ื งมะฮัร) ดีกวา อุมัรเสียอีก”(2) (4) คอื เศาะหาบะฮฺใหการยอมรบั ตอ คําพูดหรอื การกระทําของเศาะหาบะฮดฺ วยกัน หรอื ใหการยอมรับตอ คํา พูด หรือการกระทําของตาบิอีน และไมไดร บั การคัดคานจากเศาะหาบะฮฺทานอื่น (1) ซเู ราะฮอฺ ันนิสาอฺ อายะฮฺที่ 20 (2) บนั ทกึ โดยอับดุรรอซาคฺ (อางใน อศั ศอนอานยี เลมท่ี3 หนา 321)
70บทท่ี 6 การจาํ แนกหะดษี โดยพจิ ารณาผทู ถี่ ูกพาดพงิ สิ่งที่นาสังเกตประการหน่ึงคือ การท่ีผูรายงานกลาวพาดพิงถึง เศาะหาบะฮฺและเศาะหาบะฮฺกลาวพาดพิงไปยังทานนบี ในลักษณะใดก็ ตามที่สามารถเขาใจวามาจากทานนบี กรณีเชนน้ีไมใชเปนหะดีษเมากูฟ แต เปนหะดีษมรั ฟูอฺ(3) 3. ระดบั ของหะดษี เมากูฟ หะดีษเมากูฟไมไดอยูในระดับเดียวกัน แตบางหะดีษอยูในระดับหะดีษ ศอหีฮฺ บางหะดษี อยูใ นระดับหะซัน และบางหะดีษอยูในหะดษี ฎออฟี (4) 4. การนํามาใชเปนหลักฐานและปฏบิ ตั ติ าม การนําหะดีษเมากูฟมาเปน หลักฐานน้ันใหพิจารณาจาก 2 ประการ คือ ประการแรก หะดีษเมากูฟที่ไมใชหุกมมัรฟูอฺ หากอยูในระดับหะดีษเมากูฟที่ เศาะหีหฺหรือหะซันก็สามารถนํามาใชเปนหลักฐานได และยังสามารถใหการ สนับสนุนหะดีษมัรฟูอฺเฎาะอีฟอีกดวย เนื่องจากบรรดาเศาะหาบะฮฺจะปฏิบัติ ตามสุนนะห และประการที่สองคือ หะดีษเมากูฟท่ีมีหุกมเปนมัรฟูอฺก็มีฐานะ เหมอื นกับหะดษี มรั ฟูอฺทุกประการ ที่กลาวมาขางตนนั้น คือ ในกรณีที่หะดีษเมากูฟไมขัดแยงกับหะดีษมัรฟูอฺ ท่ีใชเ ปนหลักฐานได(1) สวนหะดษี เมากูฟที่ขัดแยงกับหะดีษมัรฟูอฺที่มีฐานะฎออีฟ อุละมาอฺมีความเห็นที่แตกตาง ซึ่งบางทัศนะระบุวา ใหนําหะดีษเมากูฟใชเปน หลักฐาน และบางทัศนะกลาววา ใหนําหะดีษมัรฟูอฺเฎาะอีฟเปนหลักฐานได แต (3) รายละเอียดจะอธิบายในเร่อื งหะดีษเมากฟู หุกมมัรฟอู ฺ (4) รายละเอียดมีการอธบิ ายในบทที่ 6 (1) หะดีษเมากูฟและหะดีษมรั ฟูอฺท่มี รี ะดับเศาะหหี ฺ หะซัน แมแ ตเ ฎาะอีฟ
71บทท่ี 6 การจาํ แนกหะดษี โดยพจิ ารณาผูท่ีถูกพาดพิง ในกรณีหะดีษเมากูฟขัดแยงกับหะดีษเมาฎอฺ จะตองใชหะดีษเมากูฟเปน หลกั ฐาน ถงึ แมว าจะอยูในระดบั หะดษี ฎออีฟก็ตาม แตในทางปฏิบัติจริง การนําหะดีษเมากูฟมาเปนหลักฐานน้ันมีอุลามาอฺ 2 กลุมดว ยกัน คอื กลุมที่หน่ึง เปนการปฏิบัติของอิมามอัชชาฟอีย อิมามอะหฺมัด เบ็ญ หัน บัล อิมาม อัลบัยฮะกียและอ่ืน ๆ ใชหะดีษเมากูฟเปนหลักฐาน ตามทัศนะของ อุละมาอฺบางกลุม หะดีษเมากูฟตองมากอนกิยาสเสมอ(2) ตัวอยาง การยกมือ ทัง้ สองขางในการละหมาด ญะนาซะฮฺ ซงึ่ อุละมาอกฺ ลมุ น้ใี หฟตวาวา สุนัตใหยก สองมือทุกคร้ังเมื่อกลาวตักบีร ท้ัง 4 ครั้งโดยยึดหะดีษเมากูฟของอิบนุ อุมัรที่มี ฐานะเปนหะดษี หะซนั (3) กลุมทีส่ อง เปนการปฏบิ ัติของอมิ ามอะบูหะนีฟะฮฺ ซึ่งมีความเห็นวาหะดีษ เมากูฟใชเปนหลักฐานไมได เน่ืองจากเปนเพียงคําพูดของคนบางคนเทาน้ัน คําพูดนั้นอาจจะถูกหรือผิดก็ได(4) ดวยเหตุดังกลาว อิมามอะบูหะนีฟะฮฺกลาววา ไมสุนัตในการยกมือทั้งสองขางขณะกลาวตักบีรในละหมาดญะนาซะฮฺทั้งสี่คร้ัง ทานใชหะดษี มรั ฟูอเฺ ฎาะอฟี ถือเปนหลกั ฐานเพ่ือยนื ยนั ตอ ฟตวาดงั กลา ว(5) หะดีษเมากูฟทม่ี ีหุกม เปน หะดีษมรั ฟูอฺ นอกจากหะดีษเมากูฟท่ีไดอธิบายไปแลวนั้น จะมีหะดีษเมากูฟอีกชนิด หน่ึง ซึ่งเปนท่ีรูจักกันอยางแพรหลายในนาม หะดีษเมากูฟท่ีมีฐานะเปนหุกมมัร ฟูอฺ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งวา หะดีษเมากูฟหุกมีย ท่ีเรียกหะดีษเชนน้ีก็เพราะเปน (2) ดู มดั กรู หนา 81 (3) บันทึกโดยอัลบยั ฮะกีย : 3/258 (4) ดู มัดกูร หนา 81 (5) บนั ทกึ โดยอะบดู าวูด : 2/169
72บทท่ี 6 การจําแนกหะดษี โดยพจิ ารณาผทู ี่ถูกพาดพงิ คาํ กลาวหรือการกระทําของเศาะหาบะฮฺแตมีการเก่ียวพันกันกับทานนบี ในเร่ืองน้ัน ๆ ในดานของหุกม กลาวคือ ตัวบทหะดีษเปนเมากูฟแตหุกมของหะ ดีษเปน มัรฟูอฺ โดยทว่ั ไปแลว หะดีษในลักษณะนีม้ ี 3 ลกั ษณะดว ยกนั คอื ลักษณะที่ 1 คําพูดของเศาะหาบะฮฺที่ไมอยูในกรอบของการอิจญติฮาด และไมไ ดอ ยูในฐานะของการอธิบายศัพทหรอื ขยายความเอง ตัวอยา งเชน 1. คําอธิบายเก่ียวกับเร่ืองราวตาง ๆ ที่ผานมาในอดีตเก่ียวกับการสราง มคั ลกู 2. คําพูดท่ีกลาวถึงเรื่องราวตาง ๆ ท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคตเชน มีการพูดถึง การฆา ฟนกัน ฟต นะฮฺตา ง ๆ และวนั กยิ ามะฮฺ เปนตน 3. คาํ พดู ที่กลาวถงึ ผลตอบแทนทีม่ ตี อ มนษุ ย ลักษณะท่ี 2 ผูรายงานกลาวรายงานหะดีษแตพาดพิงถึงเศาะหาบะฮฺโดย ใชคําหนึ่งคําใดตอไปน้ี “ ”ﻳﺮﻓﻌﻪหรือ “ ”ﻳﻨﻤﻴﻪหรือ “ ”ﻳﺒﻠﻎ ﺑﻪหรือ “”ﺭﻭﺍﻳﺔ ﻋﻨﻪ ตวั อยางเชน หะดษี จากการรายงานของอัลอะอรฺ อจญ กลาววา ﺗﻘﺎﺗﻠﻮﻥ ﻗﻮﻣﹰﺎ ﺻﻐﺎﺭ ﺍﻷﻋﲔ: ﻋﻦ ﺃﰊ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﺭﻭﺍﻳﺔ ความวา : จากอะบูฮุรอยเราะฮฺในบางสายรายงานกลาววา พวกเขาจะตอ สกู บั กลมุ หนง่ึ ทมี่ อี ายุนอ ย(1) (1) บันทึกโดยอัลบุคอรยี : 4/56
73บทท่ี 6 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาผูทีถ่ ูกพาดพงิ ลักษณะที่ 3 ผูรายงานกลา ววา มเี ศาะหาบะฮฺทานหน่ึงกลาวรายงาน หะดีษโดยสํานวนการรายงานตอไปนี้ “ ”ﺃﻣﺮﻧﺎ ﺑﻜﺬﺍหรือ “ ”ﻧﻬﻴﻨﺎ ﻋﻦ ﻛﺬﺍหรือ “ ”ﻣﻦ ﺍﻟﺴﻨﺔ ﻛﺬﺍและใชสํานวนอ่นื ๆ ในลักษณะเดยี วกัน(2) ตัวอยา งเชน 1. คาํ พูดของเศาะหาบะฮบฺ างทา นกลาววา ﻭﺃﻥ ﻳﻮﺗﺮ ﺍﻹﻗﺎﻣﺔ،ﺃﻣﺮﻧﺎ ﺑﻼﻝ ﺃﻥ ﻳﺸﻔﻊ ﺍﻷﺫﺍﻥ ความวา : “บิลาลไดส่ังพวกเราใหกลาวอะซานในสํานวนเปนคูและกลาว อกิ อมัตเปน คี่”(3) 2. คาํ พดู ของอุมมุอะฏยิ ะฮกฺ ลา ววา ﻭﱂ ﻳﻌﺰﻡ ﻋﻠﻴﻨﺎ،ﻧﻬﻴﻨﺎ ﻋﻦ ﺍﺗﺒﺎﻉ ﺍﳉﻨﺎﺋﺰ ความวา : “พวกเราเปนท่หี ามตดิ ตามญะนาซะฮฺ (ศพ) แตไ มใชเ ปนการสั่ง หามเดด็ ขาด”(4) 3. คาํ รายงานของอะบูกิลาบะฮจฺ ากญาบิร กลาววา ﻣﻦ ﺍﻟﺴﻨﺔ ﺇﺫﺍ ﺗﺰﻭ ّﺝ ﺍﻟﺒﻜﺮ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﺜﻴﺐ ﺃﻗﺎﻡ ﻋﻨﺪﻫﺎ ﺳﺒﻌﹰﺎ (2) สํานวนขางตนเปน สาํ นวนทีแ่ สดงถึงการพาดพงิ ถงึ ทานนบี (3) บนั ทึกโดยอัลบุคอรีย : 2/189 (4) บันทกึ โดยอัลบุคอรยี : 3/56
74บทท่ี 6 การจําแนกหะดษี โดยพจิ ารณาผูทถี่ ูกพาดพงิ ความวา : “บางสวนที่เปนสุนนะฮฺ คือ เมื่อมีการแตงงานกับหญิงสาวใน บรรดาหญงิ มา ยใหอ ยูก บั นางเปนเวลาเจด็ วัน”(1) นอกจากสํานวนท่ีกลาวมาแลวขางตน ยังมีอีกหลายสํานวนท่ีกลาวใน ทํานอง และมคี วามหมายเดียวกันซ่ึงไมจําเปนตอ งอธิบายซํ้าอกี อยางไรก็ตาม หะดีษเมากูฟท่ีมีหุกมเปนมัรฟูอฺก็สามารถใชเปนหลักฐาน ไดหากการรายงานของหะดีษนั้น ๆ มีฐานะเปนหะดีษเศาะหีหฺหรือหะดีษหะซัน แตหากการรายงานไมไดอยูในระดับเศาะหีหฺหรือหะซันไมอนุญาตนํามาใชเปน หลักฐานได โดยเฉพาะอยางย่ิงในเร่ืองท่ีเกี่ยวกับ อะกีดะฮฺ อิบาดะฮฺ การนิกาฮฺ เปนตน แตบางทัศนะมีความเห็นวา หะดีษเมากูฟหุกม มัรฟูอฺใช เปนหลักฐานไดโดยไมตองวิเคราะหสถานภาพของหะดีษแตอยางใด เนื่องจาก บรรดาเศาะหาบะฮฺไดป ฏิบัตติ ามทานนบีในทุกส่ิงทุกอยา งโดยไมตอ งสงสัยใด ๆ ท้งั สนิ้ ประเภทท่ี 4 หะดีษมักฏอฺ 1. นยิ าม ตามหลักภาษาศาสตร คําวา “ ”ﻣﻘﻄﻮﻉเปนอาการนามในรูปของกรรม (อิสมฺ มัฟอูล) จากคําวา “ ”ﹶﻗ ﹶﻄ َﻊแปลวา ขาด ตรงกันขามกับคําวา “ ”ﺍﻟﻮ ْﺻ ﹸﻞแปลวา ถึงหรือติอตอ ดังน้ัน (1) บนั ทกึ โดยอัลบุคอรยี : 8/68
75บทท่ี 6 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาผูท่ีถูกพาดพิง หะดีษมักฏอฺ หมายถึง หะดีษที่มีการรายงานไมถึงตนสาย คือ รสูลุลลอฮฺ และเศาะหาบะฮฺ ` ตามหลักวิชาการ หะดีษมักฏอฺ คือ ส่ิงที่พาดพิงไปยังตาบิอีนเทาน้ันทั้งที่เปนคําพูดและการ กระทํา(2) หะดีษประเภทนี้สามารถใชกับคําพูดหรือการกระทําของตาบิอฺ ตาบิอีน เชน คําพูดของอิมามมาลิก เบ็ญ อะนัส อิมามอัชชาฟอีย อิมามอัษเษารีย เปน ตน และยังสามารถใชกับคําพูดหรือการกระทําของอัตบาอฺ ตาบิอฺ ตาบิอีน เชนกัน เชน คําพูดหรือการกระทําของอิบนุอุยัยนะฮฺ อิบนุอุลัยยะฮฺ และทาน อ่นื ๆ 2. ชนดิ และตวั อยางของหะดษี มกั ฏอ ฺ จากนิยามขา งตน หะดีษมกั ฏอ ฺแบงออกเปน 2 ชนิด ชนิดที่ 1 หะดีษมกั ฏอฺเกาลยี ()ﺍﳌﻘﻄﻮﻉ ﺍﻟﻘﻮ ﹼﱄ หมายถึง คําพูดของตาบิอีน ตาบิอฺตาบิอีน และอัตบาอฺ ตาบิอฺ ตาบิอีน (1)ท่ีไดกลาวในเวลาและสถานการณตาง ๆ เชน คําพูดของอัลหะซัน อัลบัศรีย เกี่ยวกับละหมาดตาม หลังอิมามมุบตะดิอฺ (อุตริ) กลาววา “จงละหมาดเถิด ถงึ แมวา เขาจะทาํ ในเรอื่ งอุตรกิ ็ตาม”(2) ชนิดที่ 2 หะดษี มกั ฏอ ฺฟอ ลฺ ีย ()ﺍﳌﻘﻄﻮﻉ ﺍﻟﻔﻌﻠ ّﻲ (2) อัสสุยูฏีย : 2/ 96 (1) อุละมาอฺท้ังสามรุนนี้เปนทั้งนักรายงาน นักบันทึกและนกั ทองจาํ หะดีษ (2) บันทึกโดยอัลบคุ อรยี : 1/158
76บทที่ 6 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาผทู ถ่ี ูกพาดพิง หมายถึง การกระทําของตาบิอีน ตาบิอฺตาบิอีน หรืออัตบาอฺ ตา บิอฺ- ตาบิอีน เชน คํารายงานของอิบรอเฮ็ม เบ็ญ มุฮัมมัด เบ็ญ อัลมุนตะศิรท่ี กลาววา “อิมามมัสรูคไดก้ันมานระหวางเขากับครอบครัวของเขา ทานก็หันหนา ทางกิบลัตในเวลาละหมาด ประกอบ อิบาดะฮฺ และใชสําหรับพูดคุยเร่ืองดุนยา ณ สถานที่นั้น”(3) 3. ระดับของหะดีษมกั ฏอ ฺ หะดีษมักฏอฺมีท้ังที่เปนหะดีษมักฏอฺเศาะหีหฺ หะดีษมักฏอฺหะซัน และ หะดีษมกั ฏอฺ เฎาะอฟี และหะดษี มกั ฏอฺเมาฎอ ฺ 4. การนํามาใชเ ปนหลกั ฐาน หะดีษมักฏอฺไมอนุญาตใหนํามาใชเปนหลักฐานไดในเร่ืองเกี่ยวกับ บทบัญญตั ิอสิ ลามและเร่ืองอื่น ๆ เนื่องจากเปนคําพูดหรือการกระทําของบุคคล หนึง่ เทา นน้ั แตห ากมีกรณีแวดลอมบงชีอ้ ยางชัดเจนวามาจากเศาะหาบะฮฺโดยใช สํานวนรายงานท่ีชัดเจน เชน“ ”ﻗﺎﻝหะดีษมักฏอฺในลักษณะนี้ จะมีหุกมเปน หุกมมรั ฟูอมฺ ุรซลั (4) อีกประการหน่ึงที่สําคัญเก่ียวกับคําพูดของบรรดาอุละมาอฺตาบิอีน ตาบิอฺ ตาบอิ นี และอตั บาอฺ ตาบอิ ฺตาบิอนี ดงั น้ี เม่ือพวกเขากลาววา “ ”ﻛﺎﻧﻮﺍ ﻳﻔﻌﻠﻮﻥ ﻛﺬﺍแปลวา พวกเขาไดปฏิบัติอยาง นี้ หรือกลาววา “ ”ﻛﺎﻧﻮﺍ ﻳﻘﻮﻟﻮﻥ ﻛﺬﺍแปลวา พวกเขาไดกลาวเชนน้ี หรือกลาว วา “ ”ﻻ ﻳﺮﻭﻥ ﺑﺬﻟﻚ ﺑﺄﺳﹰﺎแปลวา พวกเขามีความเห็นวาน้ันไมเปนไร สํานวน (3) บนั ทกึ โดยอัดดยั ละมีย : 2/96 (4) รายละเอียดจะมีการอธบิ ายในเร่ืองหะดีษมุรซัล
77บทที่ 6 การจาํ แนกหะดษี โดยพจิ ารณาผทู ่ถี ูกพาดพิง เหลานี้มีความหมายแสดงการพาดพิงถึงเศาะหาบะฮฺท้ังที่เปนคําพูด การ กระทําหรือแมแตการยอมรับ เวนแตมีหลักฐานบงช้ีอยางชัดเจนวามาจากคน อื่น ในทํานองเดียวกัน เมื่อพวกเขากลาววา “ ”ﻛﺎﻥ ﺍﻟﺴﻠﻒ ﻳﻔﻌﻠﻮﻥ ﻛﺬﺍแปลวา ชาวสะลัฟไดปฏิบัติอยางนี้ หรือกลาววา “ ”ﻳﻘﻮﻟﻮﻥ ﻛﺬﺍแปลวา ชาวสะลัฟได กลาวเชน น้ี สํานวนตาง ๆ เหลานี้มีความหมายเจาะจงใชกับเศาะหาบะฮฺเทาน้ัน เพราะคําวา “สะลัฟ” ที่มาจากคําพูดของตาบิอีน คือ เศาะหาบะฮฺ แตหากเปน คํากลาวของคนอื่นจะมีความหมายดงั น้ี ตาบิอตฺ าบอิ นี กลาววา ชาวสะลัฟ หมายถงึ เศาะหาบะฮฺและตาบอิ ีน อัตบาอฺ ตาบิอฺตาบิอีน กลาววา ชาวสะลัฟ หมายความถึง เศาะหาบะฮฺ ตาบิอนี และตาบอิ ฺตาบิอีน หากกลา ววา ชาวสะลฟั ทมี่ าจากคําพูดของคนในสมัยตอ ๆ มาหรือคนใน สมัย มุตะอัคคิรูน หมายถึง เศาะหาบะฮฺ ตาบิอีน ตาบิอฺตาบิอีน และอัตบาอฺ ตาบิอตฺ าบอิ ีน หรือผูทมี่ ชี วี ิตอยใู นชวง 300 ปแรกแหงฮิจเราะฮฺศักราช
78บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน บทที่ 7 การจําแนกหะดีษ โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน การจําแนกหะดีษทีจ่ ะกลาวถึงในบทน้ี คือ การจําแนกหะดีษมัรฟูอฺ ไมใช หะดษี กดุ สีย หะดษี เมากฟู และหะดษี มกั ฏอ แฺ ตอยา งใด การจําแนกหะดีษมัรฟูอฺเปนการพิจารณาจากสายรายงานของแตละหะดีษ ท่ีมาถึงเราจากผูรายงานทั้งหลายตั้งแตชวงตนจนถึงทานนบี การรายงานนั้น ถูกตองหรือไมก็ตาม การจําแนก หะดีษในลักษณะนี้แบงออกเปน 2 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 หะดษี มุตะวาติร ประเภทท่ี 2 หะดษี อาหา ด แตล ะประเภทจะมกี ารอธบิ ายรายละเอียดตามลําดบั แผนภมู ิการจําแนกหะดีษ…
79บทท่ี 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน แผนภมู กิ ารจําแนกหะดษี หะดีษ หะดษี กดุ สีย หะดษี นบี หะดีษมุตะวาตริ หะดีษอาหาด หะดีษมกั บลู หะดีษมรั ดดู หะดีษเศาะหีฮฺ หะดษี เฎาะอีฟ หะดีษหะซนั หะดีษเฎาะอีฟญดิ ดัน หะดษี เมาฎอ ฺ ประเภทท่ี 1 หะดีษมุตะวาติร…
80บทท่ี 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ประเภทท่ี 1 หะดีษมุตะวาติร 1. นยิ าม ตามหลกั ภาษาศาสตร คําวา “ ”َﺗ َﻮﺍُﺗٌﺮมาจากรากศัพทของคําวา “”ﺗﻮﺍﺗﺮ ﻳﺘﻮﺍﺗﺮ ﺗﻮﺍﺗﺮﹰﺍแปลวา ติดๆ กัน หรือไมขาดสาย เชน ฝนตกอยางติดตอกัน หมายถึงฝนตกลงมาติดตอกันไม ขาดสาย สวนคําวา “ ”ﻣﺘﻮﺍﺗﺮเปนนามในรูปของประธานซ่ึงเปนช่ือเฉพาะของหะ ดษี มตุ ะวาตริ ตามหลกั วิชาการ หะดีษมุตะวาติร คือ หะดีษที่มีการรายงานโดยบุคคลเปนจํานวนมาก ซ่ึง เปน ไปไมไดท่ีบุคคลเหลานั้นจะสมรูรวมคิดโกหกตอทานนบี และหะดีษของ ทาน(1) 2. เงือ่ นไขของหะดีษมตุ ะวาตริ การทจ่ี ะเรียกหะดีษมุตะวาตริ ไดน ้นั จะตอ งประกอบดวยเงือ่ นไข 4 ประการ ประการท่ี 1 มีการรายงานโดยผูรายงานเปน จํานวนมาก(2) ประการท่ี 2 ผูรายงานจาํ นวนมากนัน้ ตองมใี นทกุ สายสะนดั (3) (1) ดู อตั ตะฮานะวยี หนา 31 (2) บรรดาอุละมาอมฺ คี วามเหน็ ที่ตางกันเกยี่ วกบั จํานวนผรู ายงานขัน้ ตํา่ ของจาํ นวนมาก บางทศั นะกลาววาต้ัง แต 8 คนขนึ้ ไปบางทัศนะกลาววาต้ังแต 9 คนขนึ้ ไป และมบี างทศั นะกลาววาต้ังแต 10 คนขนึ้ ไป แตท ศั นะที่ถูกตอง คอื ทัศนะสดุ ทาย (ดู อสั สุยฏู ยี : 2/188) (3) หมายความวา ในทกุ ๆ ชว งของสะนดั นัน้ ตอ งมผี ูรายงานอยางนอย 10 คนขึน้ ไป
81บทที่ 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ประการที่ 3 ผูรายงานจํานวนมากนั้นเปนไปไมไดที่จะสมรูรวมคิดโกหก ตอหะดีษ(4) ประการท่ี 4 การรายงานของพวกเขามีการสมั ผสั ดว ยตนเอง(5) หากขาดเงอื่ นไขใดเงื่อนไขหนึ่งในจํานวนส่ีประการนี้ ไมเรียกวาหะดีษมุตะ วาตริ แตจ ะเปน หะดีษอาหา ด 3. ชนิดและตวั อยา งหะดีษมตุ ะวาตริ หะดีษมตุ ะวาติรแบงออกเปน 2 ชนิด ชนิดที่หน่งึ หะดีษมุตะวาตริ ลฟั ซีย ()ﺍﳌﺘﻮﺍﺗﺮ ﺍﻟﻠﻔﻈ ّﻲ หมายถึง หะดีษที่เปนมุตะวาติรทั้งตัวบทและความหมายของหะดีษ ตวั อยา ง ، ﺣﺪﺛﻨﺎ ﺃﺑﻮ ﻋﻮﺍﻧﺔ، ﺣﺪﺛﻨﺎ ﻣﻮﺳﻰ ﺑﻦ ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ: ﻗﺎﻝ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭ ّﻱ ﻋﻦ ﺃﰊ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ، ﻋﻦ ﺃﰊ ﺻﺎﱀ،ﺣﺪﺛﻨﺎ ﺃﺑﻮ ﺣﻔﺺ )) ﻣﻦ ﻛﺬﺏ ﻋﻠ ّﻲ: ﻋﻨﻪ ﻋﻦ ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻗﺎﻝ (( ﻣﺘﻌﻤﺪﹰﺍ ﻓﻠﻴﺘﺒﻮﺃ ﻣﻘﻌﺪﻩ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﺎﺭ ความวา : จากอะบูฮุรอยเราะฮฺ จากทานนบี กลาววา “และผูใด เจตนาโกหกตอฉนั ก็จงเตรยี มทน่ี ่งั สําหรบั เขาไวใ นไฟนรก”(1) (4) คอื ผรู ายงานเปน จํานวนมากน้ันจะมาหลายเมอื ง หลายรุนและหลายมัซฮับ (5) คาํ วาสัมผสั ดวยเองคือการรบั หรอื ไดย ินหะดีษโดยตรงจากอาจารยตลอดทั้งสายรายงานโดยใชส าํ นวนการ รายงานหะดีษคําวา “ ”ﲰﻌﻨﺎ“ ” َﺳﻤ ْﻌ ُﺖหรือ “ ”ﹶﳌ ْﺴﻨﺎ“ ”ﳌ ْﺴ ُﺖเปน ตน
82บทที่ 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน หะดีษบทนี้เปนหะดีษมุตะวาติรท้ังตัวบทหะดีษและความหมาย อัลอัส เกาะลานียกลาววา “สายรายงานของหะดีษในรุนเศาะหาบะฮฺมีมากกวา 70 คน”(2) ดังนั้น สายรายงานของหะดีษมีท้ังหมด 70 สาย สวนตัวบทของหะดีษมี การรายงานดวยสํานวนท่ีหลากหลาย บางตอนของตัวบทหรือบางคําไมมีการ รายงานของสะนัดอ่ืน แตตัวบทหะดีษจะกลาวในเร่ืองเดียวกัน (ดูแผนภูมิสะนัด หนา 61) นอกจากสะนัดตาง ๆ ที่ไดยกมาจะมีสะนัดอ่ืนอีกหลายสะนัดที่รายงานหะ ดีษดังกลาวท้ังหมดอยูในระดับหะดีษเศาะหีหฺหรือหะดีษหะซัน บางสะนัดมี ลักษณะเปนสะนัดอาลยี และบางสะนดั มลี ักษณะเปนสะนัดนาซิล แผนภูมสิ ะนัดหะดษี มตุ ะวาตริ ลัฟซยี . .. (1) บนั ทึกโดยอัลบคุ อรียด วยสองสะนดั คือ 1/577 จากอะบฮู ุรัยเราะฮฺ และ จากอลั มุฆีเราะฮฺ : 3/160, มุสลมิ จากอะบสู ะอีด : 18/129, อะบูดาวูด : 4/63 และอัตตัรมิซีย จากอบั ดุลเลาะ : 4/524, อิบนุมาญะฮฺไดร ายงาน ดว ยสามสะนัด คือ จากอะนัส เบ็ญ มาลิกและ ญาบิร เบญ็ อับดุลเลาะ : 1/13 และจากอะบูสะอีด อลั คดุ รยี : 1/14 อะหฺมดั เบ็ญ หันบลั ไดรายงานดวยสองสะนดั คือ จากอะบสู ะอดี อัลคดุ รีย : 3/39 และจากอะนสั เบ็ญ มาลิก : 3/44, อดั ดาริมยี ไดรายงานดว ยสองสะนดั คือ จากอบิ นอุ ับบาสและจาก ยะอฺลา เบ็ญ มรุ เราะฮฺ : 1/88 (2) อลั อสั เกาะลานยี : 1/129
83บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน แผนภมู สิ ะนัดหะดษี มตุ ะวาติรลัฟซยี )) ﻣﻦ ﻛﺬﺏ ﻋﻠ ّﻲ ﻣﺘﻌﻤﺪﹰﺍ ﻓﻠﻴﺘﺒﻮﺃ ﻣﻘﻌﺪﻩ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﺎﺭ (( )(6 )(5) (4 )(3 )(2 )(1 ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺃﻧﺲ ﺑﻦ ﻣﺎﻟﻚ ﺃﺑﻴﻪ ﺃﺑﻴﻪ ﺃﺑﻮ ﺳﻌﻴﺪ ﺃﺑﻮ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﺍﳌﻐﲑﺓ ﺍﳋﺪﺭ ّﻱ ﺍﺑﻦ ﺷﻬﺎﺏ ﻋﺒﺪﺍﷲ ﺑﻦ ﻋﺎﻣﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪﺍﷲ ﺃﺑﻮ ﺻﺎﱀ ﻋﻠ ّﻲ ﺑﻦ ﺭﺑﻴﻌﺔ ﻋﺒﺪﺍﷲ ﺍﻟﻠﻴﺚ ﺑﻦ ﻭﺑﺮﺓ ﺑﻦ ﻋﻄﺎﺀ ﺑﻦ ﻳﺴﺎﺭ ﺳـﻌﺪ ﲰﺎﻙ ﺑﻦ ﺣﺮﺏ ﺃﺑﻮ ﺣﺼﲔ ﺳﻌﻴﺪ ﺑﻦ ﻋﺒﻴﺪ ﺯﻳﺪ ﺑﻦ ﺃﺳﻠﻢ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﲪﻦ ﺃﺑﻮ ﻋﻮﺍﻧﺔ ﺷـﻌﺒﺔ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺭﻣﺢ ﺃﺑﻮ ﻧﻌﻴﻢ ﹼﳘﺎﻡ ﺑﻴﺎﻥ ﺑﻦ ﺑﺸﺮ ﻣﻮﺳﻰ ﺑﻦ ﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﻪ ﺃﺑﻮ ﺩﺍﻭﺩ ﺧﺎﻟﺪ ﻫ ّﺪﺍﺏ ﺑﻦ ﺧﺎﻟﺪ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭ ّﻱ ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ )(1/13 ﳏﻤﻮﺩ ﺑﻦ ﻏﻴﻼﻥ ﻣﺴﺪﺩ )(3/160 ﻋﻤﺮﻭ ﺑﻦ ﻋﻮﻥ ﻣﺴﻠﻢ ﺍﻟﺒﺨﺎﺭ ّﻱ )(18/129 )(10/577 ﺍﻟﺘﺮﻣﺬ ّﻱ )(4/524 ﺃﺑﻮ ﺩﺍﻭﺩ )(4/63
84บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ) แผนภมู ิสะนัดหะดีษมุตะวาติรลฟั ซยี (ตอ )) ﻣﻦ ﻛﺬﺏ ﻋﻠ ّﻲ ﻣﺘﻌﻤﺪﹰﺍ ﻓﻠﻴﺘﺒﻮﺃ ﻣﻘﻌﺪﻩ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﺎﺭ (( )(12 )(11) (10 )(9 )(8 )(7 ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺟﺪﻩ )ﻳﻌﻠىﱭ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﺃﻧﺲ ﺑﻦ ﺃﺑﻮ ﺳﻌﻴﺪ ﺃﺑﻮ ﺳﻌﻴﺪ ﺟﺎﺑﺮ ﻣﺮﺓ( ﻣﺎﻟﻚ ﺍﳋﺪﺭ ّﻱ ﺍﳋﺪﺭ ّﻱ ﺳﻌﻴﺪ ﺑﻦ ﺃﺑﻮ ﺍﻟﺰﺑﲑ ﺃﺑﻴﻪ )ﻋﺒﺪﺍﷲ( ﺟﺒﲑ ﻋﻄﻴﺔ ﻋﻄﺎﺀ ﺑﻦ ﻳﺴﺎﺭ ﻋﺒﺪﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ﻫﺸﻴﻢ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﻋﺒﺪﺍﷲ ﻋﺒﺪﺍﻷﻋﻠﻰ ﻣﻄﺮﻑ ﺯﻳﺪ ﺑﻦ ﺃﺳﻠﻢ ﺇﲰﺎﻋﻴﻞ ﺯﻫﲑ ﺑﻦ ﺍﻟﺼﺎﱀ ﺑﻦ ﺃﺑﻮ ﻋﻮﺍﻧﺔ ﻋﻠ ّﻲ ﻳﻦ ﻣﺴﻬﺮ ﳘﺎﻡ ﺑﻦ ﳛﻲ ﺑﻴﺎﻥ ﺑﻦ ﺑﺸﺮ ﺣﺮﺏ ﳏﺎﺭﺏ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺳﻮﻳﺪ ﺑﻦ ﺳﻌﻴﺪ ﺃﺑﻮ ﻋﺒﻴﺪﺓ ﻫﺸﻴﻢ ﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﻪ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﲪﻴﺪ ﻋﻴﺴﻰ )(1/13 ﺍﻟﺪﺍﺭﻣ ّﻲ ﺍﻟﺪﺍﺭﻣ ّﻲ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺃﲪﺪ ﺍﺑﻦ ﻣﺎﺟﻪ )(1/88 )(1/88 ﺟﻌﻔﺮ )(3/39 )(1/14 ﺃﲪﺪ )(3/44 )ﺍﳌﺘﻮﺍﺗﺮ ﺍﳌﻌﻨﻮ ّﻱ( ชนดิ ทสี่ อง หะดษี มุตะวาติรมะอฺนะวีย หมายถงึ หะดีษมตุ ะวาติรในดา นของความหมายเทาน้นั ไมรวมถงึ ตวั บท หะดีษ
85บทท่ี 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ﻛﺎﻥ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ: ﻋﻦ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﺍﳋﻄﺎﺏ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﻗﺎﻝ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﺇﺫﺍ ﺭﻓﻊ ﻳﺪﻳﻪ ﰲ ﺍﻟﺪﻋﺎﺀ ﱂ ﳛﻄﻬﻤﺎ ﺣﱴ ﳝﺴﺢ ﺑﻬﻤﺎ ﻭﺟﻬﻪ ความวา : จากอมุ รั เบ็ญ อัลคอฏฏอบ กลา ววา “รสลู ุลลอฮฺ เมอ่ื ทา นยกสองมือในการดอุ าอฺ ทานไมไดเ อาสองมอื ลงจนกวาทา น ลูบใบหนาเสียกอน”(1) จากหะดษี บทนี้และหะดษี อื่น ๆ ไดพ ดู ถงึ เร่ืองการยกสองมอื ขณะขอดุอาอฺ ได การยกสองมือในเหตกุ ารณทแี่ ตกตางกนั ไมถ งึ ข้ันหะดษี มุตะวาติร อิมามอสั สุ ยฏู ยี กลาววา “เมือ่ รวบรวมสายรายงานของหะดีษทพ่ี ูดถงึ เฉพาะการยกสองมอื เทา น้ัน โดยมิไดพ ิจารณาเหตกุ ารณห ะดีษบทน้ีอยูในระดบั หะดษี มุตะวาติร”(2) (1) บันทึกโดยอะบูดาวูด : 5/234, อัตติรมิซีย : 5/45 จากอิบนุอับบาส สํานวนหะดีษเปนของอัตติรมิซีย หะดีษนี้ บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺจากสองกระแสรายงาน คือ จากอิบนุอับบาส : 1/1234 และจากอัสสาอิบ เบ็ญ ยะซีด : 2/1234 อัลอัสเกาะลานีย กลาววา สําหรับหะดีษบทนี้มีชะวาฮิดบันทึกโดยอะบูดาวูดและทาน อื่น ๆ เม่ือ รวบรวมกระแสรายงานของหะดษี ทั้งหมดสามารถสนับสนุนจึงเล่ือนฐานะเปนหะดีษหะซัน (ดูอิบนุ อัลลาน : 2/254) หมายถงึ หะดษี หะซนั ลฆิ ัยรฮิ ฺ (2) อัสสุยฏู ีย : 2/180
86บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 4. หกุ มของหะดีษมุตะวาติร อุละมาอฺสวนใหญม ีความเห็นวา หะดีษมุตะวาติรจะมีหกุ ม อิลมฎุ อรูรยี – ( ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺍﻟﻀﺮﻭﺭ ّﻱความรูท ีแ่ นนอน) หรอื บอกหุกม อยา งเดด็ ขาดท่ีวาญิบตอง ปฏิบตั แิ ละจาํ เปน ในการศรัทธาเสมือนเขาไดเ ห็นดวยตนเองในสง่ิ นัน้ ๆ 5. หุกมของการนาํ มาใชเปนหลักฐาน หะดีษมุตะวาติรวาญิบใหนํามาใชเปนหลักฐานและปฏิบัติตาม(3)ในทุกๆ เร่ืองที่เกี่ยวกับเรื่องศาสนา หะลาลและหะรอม อิบาดะฮฺ การแตงงาน และ อ่นื ๆ เปนตน 6. จํานวนหะดษี มุตะวาติร หะดีษมุตะวาติรมีจํานวนไมมากหากเทียบกับหะดีษอาหาด เพราะสาย รายงานท่ีมีลักษณะมากกวา 10 คนในทุกชวงและทุกรุนของสายรายงานไมใช เร่ืองท่ีงาย และการรายงานเพ่ือจะไดมาซ่ึงจํานวนดังกลาวเปนเร่ืองที่เหนือขีด ความสามารถของแตละคนโดยคนอะวาม เวนแตบุคคลท่ีมีความเชี่ยวชาญและ ทุมเทเพอื่ หะดีษของทา นนบี เทานน้ั ทสี่ ามารถทําได 7. ตาํ ราทเ่ี กย่ี วของ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺴﻴﻮﻃ ّﻲ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻷﺯﻫﺎﺭ ﺍﳌﺘﻨﺎﺛﺮﺓ ﰲ ﺍﻷﺧﺒﺎﺭ ﺍﳌﺘﻮﺍﺗﺮﺓ.1 ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺴﻴﻮﻃ ّﻲ، ﻛﺘﺎﺏ ﻗﻄﻒ ﺍﻷﺯﻫﺎﺭ.2 ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺟﻌﻔﺮ ﺍﻟﻜﺘﺎ ﹼﱐ، ﻛﺘﺎﺏ ﻧﻈﻢ ﺍﳌﺘﻨﺎﺛﺮﺓ ﻣﻦ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﳌﺘﻮﺍﺗﺮ.3 (3) วาญิบในท่ีนี้หมายถึงวาญิบอัยนีย (สําหรับบุคคล) คือ ผูใดปฏิเสธหะดีษหรือไมยอมปฏิบัติตามเน้ือหาสาระของ หะดีษมุตะวาติรทั้ง ๆ ที่เขามีความรูในเรื่องน้ัน เปนหุกมหะรอม สวนผูที่ไมมีความรูหรือปฏิเสธเน่ืองจาก ความญาฮลิ ของเขา อลุ ะมาอฺมคี วามเหน็ วา เปน ที่อนโุ ลมกนั
87บทท่ี 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ประเภทท่ี 2 หะดีษอาหาด 1. นยิ าม ตามหลกั ภาษาศาสตร คําวา “ ”ﺁﺣﺎﺩเปนคําพหูพจนของ ﺃﺣ ٌﺪแปลวา หนงึ่ เดยี ว หมายถงึ หะดษี ทีม่ ผี รู ายงานหนง่ึ เดยี วหรือสายรายงานเดียว จุดประสงคของการใชคาํ พหูพจน “ ”ﺁﺣﺎﺩเพอื่ แสดงถงึ สายรายงานนน้ั ไม ถงึ ขน้ั หะดษี มุตะวาติร คือ สะนดั แตละสะนดั ของหะดีษแตละบทไมถ ึง 10 สะนัดน่นั เอง ตามหลกั วชิ าการ หะดีษอาหา ด คือ หะดษี ทีม่ ีการรายงานที่ไมครบเง่ือนไขของหะดีษ มตุ ะ วาติร(1) 2. หกุ มของหะดษี อาหาด ตามทัศนะของอุละมาอสฺ ว นใหญระบวุ า หะดีษอาหาดใหห กุ ม อลิ มุศอนนยี –( ﺍﻟﻌﻠﻢ ﺍﻟﻈّﻨﻲคาดคะเน) ไมใชหกุ มทแี่ นนอน อบิ นุ ฮซั มฺ กลาววา “หะ ดษี อาหา ดท่รี ายงานโดยผทู ี่มคี ุณธรรมจากคนทม่ี ีลกั ษณะเดยี วกันจนถงึ ทา นนบี วาญบิ ปฏบิ ัตติ ามและตองมกี ารศรัทธาในหะดษี อกี ดวย”(2) 3. ชนิดของหะดษี อาหาด การจาํ แนกหะดีษอาหาดออกเปน ชนดิ ตา ง ๆ นน้ั มีวธิ ีการพจิ ารณา 2 ดาน (1) อลั อัสเกาะลานีย หนา 26 (2) อิบนฮุ ซั มฺ เลมที1่ หนา 165
88บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน 1. พิจารณาจํานวนผูรายงานในแตล ะสะนัดของแตละรุน ชนิดท่ี 1 หะดีษมัชฮูร ()ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﳌﺸﻬﻮﺭ ชนิดท่ี 2 หะดีษอะซีซ ()ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﻟﻌﺰﻳﺰ ชนิดที่ 3 หะดีษเฆาะรีบ ()ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﻟﻐﺮﻳﺐ 2. พจิ ารณาสถานภาพของผูร ายงานทั้งดานสถานภาพของแตละคน ชนดิ ท่ี 1 หะดีษมกั บลู ()ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﳌﻘﺒﻮﻝ ชนดิ ท่ี 2 หะดีษมัรดดู ()ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﳌﺮﺩﻭﺩ แตละชนิดของหะดีษอาหาดจะมกี ารอธบิ ายตามลาํ ดับหวั ขอ ดังน้ี การจําแนกหะดีษอาหาดโดยพิจารณาจาํ นวนผูรายงาน ชนิดท่ี 1 หะดีษมัชฮรู 1. นิยาม ตามหลกั ภาษาศาสตร หะดีษมัชฮูร “ ”ﻣﺸﻬﻮﺭคอื หะดีษทรี่ กู นั อยางแพรห ลายจากการบอกเลา หรือหะดีษทใ่ี ชกันอยางแพรห ลาย ตามหลกั วชิ าการ หมายถึง หะดีษท่ีรายงานโดยผูรายงานตั้งแตสามคนข้ึนไป แตไมถึงข้ัน หะดีษมุตะวาตริ (1) (1) ดู อลั ญะซาอิรีย หนา 35
89บทที่ 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน อุละมาอฺสวนใหญไดกําหนดจํานวนผูรายงานหะดีษมัชฮูรในข้ันต่ําคือ 3 คน ขึ้นไป(2) ทัศนะน้ีไมไดแยกระหวางหะดีษมัชฮูรกับหะดีษอิสติฟาเฎาะฮ(3) ดงั นั้น หะดีษมชั ฮรู มชี ่อื เรยี กอกี อยา งหนง่ึ คอื หะดีษมุสตะฟฎ 2. ตัวอยา งหะดษี มชั ฮูร ﻋﻦ، ﺣﺪﺛﻨﺎ ﺃﺑﻮ ﻣﻌﺎﻭﻳﺔ، ﺣﺪﺛﻨﺎ ﺃﺑﻮ ﻛﺮﻳﺐ: ﻗﺎﻝ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﻣﺴﻠﻢ ، ﻋﻦ ﺃﰊ ﻣﺴﻌﻮﺩ ﺍﻟﺒﺪﺭﻱ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ،ﺃﰊ ﻋﻤﺮﻭ ﺍﻟﺸﻴﺒﺎ ﹼﱐ )) ﻣﻦ ﺩ ﹼﻝ ﻋﻠﻰ ﺧﲑ ﻓﻠﻪ: ﻗﺎﻝ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ (( ﻣﺜﻞ ﺃﺟﺮ ﻓﺎﻋﻠﻪ ความวา : จากอะบูมสั อูด อลั บดั รีย กลาววา รสลู ุลลอฮฺ กลาวา “ผูใ ดชน้ี าํ (คนอ่ืน) ในทางที่ดี เขาจะไดรบั ผลบุญเหมือนกบั ผล บุญของผูปฏิบตั ิ”(1) วิธกี ารรูจกั หะดษี มัชฮรู ใหพ ิจารณาจาํ นวนสายรายงานของหะดีษทมี่ ีสาม สะนดั ขึ้นไปหรอื ไม (ดูสะนัดหะดษี ขา งลา งน)ี้ (2) หนงั สอื เดิม (3) มีบางทัศนะเหน็ วาระหวางหะดษี มัชฮรู กับหะดีษมสุ ตะฟฎ มีขอ แตกตาง คอื หะดษี มุสตะฟฎมีผรู ายงานสามคน สวนหะดษี มัชฮูรมีผรู ายงานตั้งแตส่ีคนถงึ เกาคน ทศั นะท่ีถูกตอง คือ ทศั นะของอุละมาอสฺ ว นใหญ (ดู อัลญะซาอิ รีย หนา 35) (1) บนั ทกึ โดยมุสลมิ : 13/ 38
90บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน แผนภมู สิ ะนดั หะดษี มชั ฮูร ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺃﺑﻮ ﻣﺴﻌﻮﺩ ﺍﻟﺒﺪﺭ ّﻱ ﺃﺑﻮ ﻋﻤﺮﻭ ﺍﻟﺸﻴﺒﺎ ﹼﱐ ﺍﻷﻋﻤﺶ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﺯﺍﻕ ﲪﺪ ﺑﻦ ﻋﺒﻴﺪ ﺃﺑﻮ ﻣﻌﺎﻭﻳﺔ ﺷﻌﺒﺔ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺭﺍﻓﻊ ﺍﺑﻦ ﳕﲑ ﺃﺑﻮ ﻛﺮﻳﺐ ﺃﺑﻮ ﺩﺍﻭﺩ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺟﻌﻔﺮ ﺃﲪﺪ ﳏﻤﻮﺩ ﺑﻦ ﻏﻴﻼﻥ ﺃﺑﻮ ﺑﻜﺮ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺷﻴﺒﺔ )(4/120 ﺑﺸﺮ ﺑﻦ ﺧﺎﻟﺪ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬ ّﻱ ﻣﺴﻠﻢ )(13/38) (5/41 ﻋﻴﺴﻰ ﺑﻦ ﻳﻮﻧﺲ ﺇﺳﺤﺎﻕ ﺑﻦ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﻣﺴﻠﻢ )(13/39
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220