141บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ความวา : จากอะบูฮุรอยเราะฮฺ กลาววา รสูลุลลอฮฺ ได กลาววา “สําหรับบาวนั้นตองมีอาหารและเคร่ืองนุงหมใช เหมือนกับคนอ่ืน และไมควรมอบงานแกเขา เวนแตงานท่ี เขาสามารถทําได(1) ในสะนัดหะดีษบทนี้มีผูรายงานตกหลนสองคนติดตอกันระหวางอิมามมา ลิกกับอะบูฮุรอยเราะฮฺ คือ มุฮํามัด เบ็ญ อิจญลานและบิดาของเขา การรูวา เปนการตกหลนใน สะนัดสองคน เนื่องจากสายรายงานอื่นที่ไดระบุอยางชัดเจน ถงึ ผรู ายงานที่ตกหลน 3. ฐานะของหะดีษมอุ ฺฎอ ล อุละมาอฺหะดีษมีความเห็นพองกันวา หะดีษมุอฺฎอลเปนสวนหนึ่งของหะ ดีษเฎาะอฟี เน่ืองจากมคี วามบกพรองในสะนัดจากการตกหลนผูรายงานหลายคน ติดตอกนั (2) 4. การนาํ มาใชเปน หลกั ฐาน หะดีษมุอฺฎอลไมอนุญาตใหนํามาใชเปนหลักฐาน เวนแตเม่ือมีสะนัดอื่น หน่งึ สะนัดระบุผูร ายงานที่ตกหลน อยา งชดั เจน(3) (1) บนั ทกึ โดยอัลหากมิ ทา นกลา ววา “หะดีษบทนเ้ี ปน หะดีษมอุ ฺฎอ ลจากมาลกิ (อา งในหนังสืออลุ ูม อัลหะดีษ ของอิบนุ อศั เศาะลาหฺ หนา 46) (2) การตกหลน ติดตอกันหลายคนน้ันในชวงตน หรอื ชวงกลางของสะนดั เทานั้น แตห ากตกหลนทั้งชวงตนและชวง กลางไมเ รยี กวา หะดีษมุอฺฎอ ล อาจจะเปนหะดีษมรุ ซลั เศาะหาบีย หรอื หะดษี มรุ ซัลเคาะฟย หรือหะดษี มอุ ลั ลกั้ (3) สะนดั อื่นนัน้ ตอ งเปนสะนัดท่ีตดิ ตอ กนั หนึ่งสะนัดหรือมากกวา ซ่ึงมฐี านะเดยี วกันหรอื เหนือกวา
142บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 5. ตาํ ราทเี่ กยี่ วของ ﻛﺘﺎﺏ ﺳﻨﻦ ﺳﻌﻴﺪ ﺑﻦ ﻣﻨﺼﻮﺭ.1 ﻛﺘﺎﺏ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ.2 ชนดิ ที่ 5 หะดีษมนุ เกาะฏิอฺ หะดีษเฎาะอีฟท่ีมีสาเหตุมาจากความบกพรอง อันเน่ืองมาจากการตก หลนในสะนดั หนง่ึ คนหรือสองคนไมต ิดตอ กันเรียกวา หะดีษมนุ เกาะฏอิ ฺ 1. นิยาม ตามหลกั ภาษาศาสตร คาํ วา “ ”ﻣﻨﻘﻄﻊมาจากรากศัพทข องคาํ “ ”ﺍﻧﻘﻄﻊ ﻳﻨﻘﻄﻊ ﺍﻧﻘﻄﺎﻋﹰﺎแปลวา ทํา ใหข าดตอน หรอื ไมต ิดตอกนั ตามหลกั วิชาการ หะดีษมุนเกาะฏิอฺ คือ หะดีษท่ีมีผูรายงานตกหลนในสะนัดหน่ึงคน หรือ มากกวาแตไมติดตอ กนั (1) จากนิยามขางตนพอสรุปไดวา หากมีการตกหลนผูรายงานในหลายที่ของ สะนดั เรียกวา หะดษี มุนเกาะฏอิ ฺเหมือนกนั (1) อัสสยุ ูฏีย : 2/349
143บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 2. ตัวอยา งหะดษี มนุ เกาะฏิอฺ ﻋﻦ ﺯﻳﺪ ﺑﻦ، ﻋﻦ ﺇﺳﺤﺎﻕ، ﻋﻦ ﺍﻟﺜﻮﺭ ّﻱ،ﻣﺎ ﺭﻭﺍﻩ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﺯﺍﻕ (( )) ﺇﻥ ﻭﻟﻴﺘﻤﻮﻫﺎ ﺃﺑﺎ ﺑﻜﺮ ﻓﻘﻮ ّﻱ ﺃﻣﲔ: ﻋﻦ ﺣﺬﻳﻔﺔ ﻣﺮﻓﻮﻋﹰﺎ،ﻳﺸﻴﻊ ความวา : จากหุซัยฟะฮฺ -มัรฟูอฺ เลาวา “หากพวกเจามอบสิ่งน้ันแกอะ บบู ักร แนน อนทา นเปน คนที่แข็งเเกรงและปลอดภยั ”(2) หะดีษบทนี้เปนหะดีษมุนเกาะฏิอฺ เนื่องจากมีผูรายงานหนึ่งคนตกหลนใน สะนัดระหวางอัษเษารียกับอะบูอิสหาก ผูรายงานคนนั่น คือ ชะรีก เพราะอัษเษา รียไมไดยินหะดีษโดยตรงจากอะบูอิสหาก แตเขาไดยินมาจากชะรีก จากอะบู อิสหาก 3. ฐานะของหะดีษมนุ เกาะฏอิ ฺ อุละมาอฺหะดีษมีความเห็นตรงกันวา หะดีษมุนเกาะฏิอฺเปนสวนหนึ่ง ของหะดีษ เฎาะอีฟ เนื่องจากการตกหลนของผูรายงานในสะนัดนั้นไมทราบวา เปน ใคร 4. การนาํ มาใชเปน หลกั ฐาน หะดีษมุนเกาะฏิอฺไมอนุญาตใหนํามาใชเปนหลักฐานและปฏิบัติตาม เวน แตเมอื่ มี สะนัดอนื่ ท่ีตดิ ตอ กันมายนื ยันผูรายงานท่ีตกหลน สะนัดอ่ืนนั้นมีหน่ึง สะนัดหรือมากกวา (2) บนั ทึกโดยอะหมฺ ดั อัลบัซซารและอตั ฏอบะรอนีย (อลั ฮยั ตะมีย : 5/176)
144บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 5. ตําราทีเ่ กีย่ วของ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﺴﻨﻦ ﻭﻏﲑﻫﺎ.1 ชนดิ ที่ 6 หะดษี มุดัลลสั้ หะดีษเฎาะอีฟท่ีมีสาเหตมุ าจากการตกหลน ผรู ายงานในสะนดั เนอ่ื งจาก การปกปดท่ีซอ นเรนเรยี กวา หะดษี มดุ ัลลั้ส 1. นิยาม ตามหลกั ภาษาศาสตร คาํ วา “ ”ﻣﺪﻟﺲมาจากคาํ วา “ ”ﺩﹼﻟﺲ ﻳﺪﻟﺲ ﺗﺪﻟﻴﺴﹰﺎแปลวา ปกปด ซอ นเรน หมายถึง การปกปด ผรู ายงาน ตามหลกั วชิ าการ หะดษี มดุ ลั ลสั้ คือ หะดษี ท่มี กี ารรายงานในลักษณะปกปดผูรายงานโดย เจตนาเพื่อใหเ หน็ ภายนอกวา เปนหะดษี ทไ่ี มมคี วามบกพรอ งแตอ ยา งใด(1) 2. ประเภทของหะดีษมุดลั ลสั หะดีษมดุ ลั ลส้ั แบงออกเปน 2 ประเภทใหญ ๆ คือ ตัดลีสอสิ นาดและ ตัดลิสสยุ คู แตละประเภทมีรายละเอียดดังนี้ ประเภทท่ี 1 ตดั ลสิ อิสนาด ()ﺗﺪﻟﻴﺲ ﺍﻹﺳﻨﺎﺩ 1. ความหมาย (1) อสั สุยฏู ยี : 2/234
145บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน หะดีษตัดลีสอิสนาด หมายถึง หะดีษที่ผูรายงานไดรายงานหะดีษท่ีเขา ไมไ ดย นิ จากบคุ คล (อาจารย) ท่เี ขาเคยไดยินหะดีษโดยไดระบวุ ารบั หะดีษมาจาก อาจารยทา นนน้ั (1) 2. ตวั อยา ง ﻗﺎﻝ ﻟﻨﺎ ﺍﺑﻦ: ﻣﺎ ﺃﺧﺮﺟﻪ ﺍﳊﺎﻛﻢ ﺑﺴﻨﺪﻩ ﺇﱃ ﻋﻠ ّﻲ ﺑﻦ ﺧﺸﺮﻡ ﻗﺎﻝ ﻭﻻ،ﻻ: ﲰﻌَﺘﻪ ﻣﻦ ﺍﻟﺰﻫﺮ ّﻱ؟ ﻓﻘﺎﻝ: ﻗﻴﻞ ﻟﻪ، ﻋﻦ ﺍﻟﺰﻫﺮ ّﻱ: ﻋﻴﻴﻨﺔ . ﺣﺪﺛﲏ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﺯﺍﻕ ﻋﻦ ﻣﻌﻤﺮ ﻋﻦ ﺍﻟﺰﻫﺮ ّﻱ.ﳑﻦ ﲰﻌﻪ ﻣﻦ ﺍﻟﺰﻫﺮ ّﻱ แปลวา : หะดีษรายงานโดยอัลหากิมดวยสะนัดถึงอะลี เบ็ญ คอชรอมเลา วา อิบนุอุยัยนะฮฺไดเลาใหแกพวกเราวารับหะดีษจากอัซซุฮฺรีย บางคนถามทานวา คุณไดยินหะดีษจากอัซซุฮฺรียจริงหรือ? ทาน ตอบวาไมแ ละไมไ ดยนิ จากคนทไ่ี ดฟ งหะดษี จากอซั ซุฮรฺ ียเ หมือนกัน แตฉ ันรบั หะดีษจากอับดลุ รอซาค จากมะอมฺ ัร จากอัซ ซฮุ รฺ ยี (2) หะดีษบทน้ี คือ หะดีษตัดลีสอิสนาด เน่ืองจากอิบนุอุยัยนะฮฺไดทําการ ปกปด ผูรายงานสองคนระหวางเขากับอัซซุฮฺรีย ทั้งสองทานนั้น คือ อับดุลรอ- ซาคและมะอมฺ รั 3. หกุ มการตัดลสี อิสนาด อุละมาอฺสวนใหญไดตําหนิการกระทําตัดลีสอิสนาด และอิมามชุอฺบะฮฺผู หน่ึงที่เปนผูที่ตําหนิอยางหนักตอการกระทําตัดลีสอิสนาด ทานกลาววา “ตัดลีสน้นั เสมือนเปน เพอื่ นของการโกหก”(3) (1) อตั ตะฮานะวีย หนา 41 (2) อัลหากมิ หนา 130 (3) อัศศอนอานีย หนา 131
146บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 4. เปาหมายของตัดลีสอสิ นาด การทําตัดลีสอสิ นาดมเี ปา หมายหลายประการดว ยกนั ทส่ี าํ คัญ คือ 1. เพอื่ ตองการใหเห็นวา หะดษี นนั้ ๆ มอี ิสนาดอาลีย (อิสนาดท่ีสูง) 2. เพอื่ ตอ งการลดการรบั หะดษี จากอาจารยบอ ยคร้ัง 3. เพือ่ ลบภาพพจนข องอาจารยท ี่เปนคนเฎาะอีฟหรอื ไมษิเกาะฮฺ 4. เพือ่ ปกปดคนอ่นื ท่ีไดยนิ หะดีษรวมกบั เขาจากอาจารยคนเดยี วกนั 5. เพอื่ ปกปดอาจารยท ่มี อี ายุนอยกวาเขา ประเภทท่ี 2 ตดั ลีสสยุ คู ()ﺗﺪﻟﻴﺲ ﺍﻟﺸﻴﻮﺥ 1. ความหมาย หะดีษตัดลีสสุยูค หมายถึง ผูรายงานไดรายงานหะดีษโดยตรงจาก อาจารยที่เขาเคยไดยิน โดยท่ีเขาไมไดระบุชื่ออาจารยอยางชัดเจน แตกลาวเปน ช่อื อ่ืนทีไ่ มเปน ทร่ี ูจกั กันมากอน(1) หรือกลาวอีกนัยหนึ่ง คือ ผูรายงานไดรายงานหะดีษท่ีเขารับโดยตรงจาก อาจารยทานหน่ึง ซึ่งเปนที่รูจักกันอยางแพรหลายในสังคม เมื่อกลาวรายงาน หะดีษ ผูรายงานไมไดเอยชื่อของอาจารยทานน้ันอยางชัดเจน แตกลับใชชื่ออ่ืน หรือใชสรอย หรือบอกลักษณะที่เปนท่ีรูจักกัน การกระทําเชนน้ีเพ่ือปกปด อาจารยน้ันเอง 2. ตวั อยาง ﺣﺪﺛﻨﺎ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ: ﻗﻮﻝ ﺃﰊ ﺑﻜﺮ ﺑﻦ ﳎﺎﻫﺪ ﺃﺣﺪ ﺃﺋﻤﺔ ﺍﻟﻘ ّﺮﺍﺀ . ﻳﺮﻳﺪ ﺃﺑﺎ ﺑﻜﺮ ﺑﻦ ﺃﰊ ﺩﺍﻭﺩ ﺍﻟﺴﺠﺴﺘﺎ ﹼﱐ،ﺃﰊ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ (1) อิบนอุ ัศเศาะลาหฺ หนา66
147บทที่ 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน แปลวา : คาํ พดู ของอะบบู กั ร เบ็ญ มุญาฮดิ (หนงึ่ ในบรรดานักอา น) กลาว วา อบั ดลุ เลาะ เบ็ญ อะบีอับดลุ เลาะไดรายงานแกพวกเรา หมายถึง อะบบู ักร เบ็ญ อะบดู าวูด อซั ซญิ สิ ตานยี ( 1) 3. หุกมของการตัดลีสสุยูค การตัดลสี สยุ ูคนน้ั เปนท่นี า รังเกียจของบรรดาอลุ ะมาอฺ 4. เปา หมายของการตัดลสี สุยคู การตัดลสิ สยุ ูคมีเปา หมายท่ีสาํ คัญดงั นี้ 1. เพือ่ ปกปดอาจารยท มี่ สี ถานภาพเฎาะอีฟ 2. เพื่อปกปดผูรายงานคนอ่ืนที่รวมรับหะดีษกับเขาอันเนื่องมาจาก อาจารยมีอายุยืน 3. เพอ่ื ปกปดตวั เองทีม่ ีอายมุ ากกวาอาจารย 4. เพ่อื ปกปดการรายงานของเขาจากอาจารยบอ ยคร้ัง 3. รายช่ือผรู ายงานท่ีมสี ถานภาพเปนตดั ลสี ผูรายงานท่ีมีสถานภาพเปนนักตัดลีสอิสนาดตอหะดีษนะบะวียน้ันแบง ออกเปน 5 รนุ ดวยกนั (1) กลุมท่ี 1 ผูท่ีไดทําการตัดลีสเปนบางครั้งบางคราวเทานั้น เชน ยะหฺยา เบ็ญ สะอีด อัลอนั ศอรีย กลุมที่ 2 ผูท่ีอุลามาอฺนับเปนนักตัดลีสแตมีการรายงานในหนังสือเศาะหีหฺ เนื่อจากความเปนอิมามของเขาและการทําตัดลีสนอยมากเม่ือมีการรายงาน (2) อัสสุยูฏยี : 2/234 (1) อัลอัสเกาะลานยี หนา 23-24
148บทที่ 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน หะดีษหรือการทําตัดลีสของเขานั้นมาจากผูรายงานที่มีสถานภาพษิเกาะฮฺ เชน สุฟยาน เบ็ญ อุยัยนะฮฺ กลุมท่ี 3 ผูท่ีบรรดาอุลามาอฺมีความเห็นท่ีแตกตางกันในความเปนนักตัด ลีสของเขา ซ่ึงอุละมาอฺบางทานใหการยอมรับการรายงานของเขาและอุละมาอฺ อีกกลุมหนึ่งไมยอมรับการรายงานของเขาในการนํามาใชเปนหลักฐาน เวนแตใน กรณีที่เขารายงานหะดีษโดยใชส ํานวนที่ชดั เจน เชน อะบอู ัซซบุ ยั ร อลั มกั กีย กลุมท่ี 4 ผูที่อุละมาอฺมีความเห็นตรงกันวาไมสามารถนําหะดีษจากการ รายงานของเขามาเปนหลักฐาน เวนแตในกรณีที่เขารายงานหะดีษโดยใชสํานวน ที่ชัดเจน เน่ืองจากการตัดลีสของเขาจากผูรายงานที่มีสถานภาพเฎาะอีฟ บอยคร้ัง หรือผูที่ไมรูจักกันอยางแพรหลายในสังคมวาเปนนักหะดีษ เชน บะกิยะฮฺ เบ็ญ อลั วะลดี กลุมที่ 5 ผูรายงานที่เฎาะอีฟเน่ืองมาจากสาเหตุอื่นท่ีไมไดมาจากการ ตัดลีส การรายงานหะดีษของเขาตองปฏิเสธ แมนวาการรายงานของเขาน้ันโดย ใชส าํ นวนชดั เจนก็ตาม เวน แตไดรบั การยอมรับจากผูท่ีษิเกาะฮฺวาเปนคนเฎาะอีฟ เล็กนอย เชน อับดุลเลาะ เบ็ญ ละฮีอะฮฺ แตหากการรายงานของเขาใชสํานวน คลุมเครอื หะดีษนัน้ ยอ มเปน หะดษี เฏาะอีฟท่ีใชไ มไ ด 4. ฐานะของหะดษี มุดลั ลั้ส หะดีษมุดัลล้ัสเปนสวนหน่ึงของหะดีษเฎาะอีฟ เนื่องจากขาดคุณสมบัติของ หะดีษมักบลู คือ ความบกพรอ งในการรายงาน(2) (2) การตดั ลีสเปนการปกปดผูรายงานโดยเจตนา ซง่ึ ถอื วา เปนการกระทําที่ไมเหมาะสม นักหะดีษถือวา เปนความ บกพรอ งชนดิ หน่ึงในบรรดาความบกพรองท้ังหลาย
149บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน 5. การนาํ มาใชเปน หลักฐาน การนําหะดีษมุดัลลั้สมาใชเปนหลักฐานและปฏิบัติตามในเรื่องบทบัญญัติ ตางๆ ที่เก่ียวของกับเรื่องศาสนามีการขัดแยงในกลุมอุละมาอฺออกเปนหลาย ทัศนะ แตท่แี พรห ลายมากท่ีสุดมี 2 ทัศนะเทาน้นั คือ ทัศนะท่ี 1 ไมอนุญาตนําหะดีษมุดัลล้ัสมาใชเปนหลักฐานไมวาในกรณี ใดๆ ก็ตาม เนอ่ื งจากการตดั ลสี เปนเสมือนกบั การโกหกตอ ทานนบี ทัศนะท่ี 2 พจิ ารณาจากลักษณะการรายงานของนักตดั ลีส คอื 1. หากการรายงานน้ันใชสํานวนชัดเจน เชน กลาววา “ُ ” َﺳ ِﻤ ْﻌﺖหรือ อ่นื ๆ สามารถนําหะดีษมาใชเ ปน หลักฐานได 2. ถาการรายงานนั้นใชสํานวนคลุมเครือ เชน กลาววา “ ”ﻋﻦหรือที่ เรียกวา “ ”ﻫﻮ ﻣﺪﻟﺲ ﻭﻗﺪ ﻋﻨﻌﻨﺔแปลวา เขาเปนนักตัดลีสโดยใชสํานวน “”ﻋﻦ ไมสามารถนาํ หะดษี มาเปนหลกั ฐานได จากสองทัศนะที่ไดกลาวขางตน ทัศนะท่ีถูกตอง คือ ทัศนะที่สอง เน่ืองจากการรายงานนั้นโดยใชสํานวนท่ีชัดเจนซึ่งแสดงถึงการมีผูรายงานไดยิน หะดษี จรงิ จากอาจารยไมใชเ ปน การตดั ลสี แตอยางใด 6. ตาํ ราทเ่ี กีย่ วขอ ง ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﳋﻄﻴﺐ ﺍﻟﺒﻐﺪﺍﺩ ّﻱ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﺘﺒﻴﲔ ﻷﲰﺎﺀ ﺍﳌﺪﻟﺴﲔ.1 ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺑﺮﻫﺎﻥ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺑﻦ ﺍﳊﻠ ّﱯ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﺘﺒﻴﲔ ﻷﲰﺎﺀ ﺍﳌﺪﻟﺴﲔ.2 ، ﻛﺘﺎﺏ ﺗﻌﺮﻳﻒ ﺃﻫﻞ ﺍﻟﺘﻘﺪﻳﺲ ﲟﺮﺍﺗﺐ ﺍﳌﻮﺻﻮﻓﲔ ﺑﺎﻟﺘﺪﻟﻴﺲ.3 ﺍﳊﺎﻓﻆ ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼﱐ
150บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน หะดษี เฎาะอฟี อันเนอ่ื งมาจากความบกพรองในแงความจําของผรู ายงาน ชนิดท่ี 1 หะดีษมุอัลลั้ล หะดีษที่มีสาเหตุมาจากความบกพรองของผูรายงานในแงความจํา เน่ืองมาจากการสบั สนในการรายงาน หะดีษในลกั ษณะนเ้ี รียกวา หะดษี มอุ ัลล้ลั 1. นยิ าม ตามหลกั ภาษาศาสตร คําวา “(”ﻣﻌﻠﻞ1) มาจากรากศัพทของคํา “ ” َﻋ ٌﹶﻞ ﹶﻝ ُﻳٌَﻌِﻠﻞﹸ ُﺗﻌﻠﻴ ﹰﻼแปลวา มี ความบกพรอ ง หรือขอ เสยี และคําวา “มุอัลลลั้ ” สง่ิ ท่ีมคี วามบกพรองทซี่ อ นเรน ตามหลกั วชิ าการ หะดีษมุอัลลั้ล คือ หะดีษที่ผูเช่ียวชาญพิจารณาแลวพบวามีความบกพรอง ตอการเปน หะดีษเศาะหีหฺ ซ่ึงดูภายนอกมสี ถานภาพเปนหะดษี เศาะหหี ฺ(2) จากนยิ ามขางตนจะเห็นไดชัดวา การท่ีจะเรียกหะดีษเปนหะดีษมุอัลล้ัลนั้น ตองประกอบดว ยเง่ือนไข 2 ประการ หนึ่ง เปน การรายงานทีค่ ลุมเครอื และซอนเรน สอง มผี ลเสยี ตอ การเปนหะดษี เศาะหหี ฺ หากขาดเงื่อนไขหนึ่งเงื่อนไขใดแลวไมเรียกวาหะดีษมุอัลลั้ลตาม ความหมายของหะดีษมอุ ัลลล้ั ทแ่ี ทจริง(3) (1) อุละมาอฺหะดีษมุตะกอดดิมูน เรียกวา หะดีษมะอฺลูล และอุละมาอฺหะดีษมุตะอัคคิรูน เรียกวา หะดีษมุอัล สวนอุ ละมาอภฺ าษาศาสตรส วนใหญเรียกวา มุอลั ลั้ล (2) อัสสุยฏู ีย : 2/245 (3) ดู มะหฺมูด อัตเฏาะหหฺ าน หนา 98-99
151บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 2. ชนดิ และตัวอยางหะดษี มุอลั ลัล้ หะดษี มอุ ลั ล้ัลแบงออกเปน 2 ชนดิ คอื มอุ ัลลัล้ อิสนาดและมอุ ัลล้ัลมะตนั ชนิดที่ 1 มอุ ลั ลั้ลอสิ นาด ตัวอยา ง ، ﻋﻦ ﻋﻤﺮﻭ ﺑﻦ ﺩﻳﻨﺎﺭ، ﻋﻦ ﺍﻟﺜﻮﺭ ّﻱ،ﺣﺪﻳﺚ ﻋﻦ ﻳﻌﻠﻰ ﺑﻦ ﻋﺒﻴﺪ .(( )) ﺍﻟﺒﻴﻌﺎﻥ ﺑﺎﳋﻴﺎﺭ: ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﻤﺮ ﻣﺮﻓﻮﻋﹰﺎ ความวา : จากอิบนุอุมัร -มัรฟูอฺ- ทานนบี กลาววา “การซ้ือขายน้ัน ทัง้ ผซู อ้ื และผูขาย- โดยมกี ารเลอื ก”(4) หะดีษบทน้ีเปนหะดีษมุอัลลั้ล เน่ืองจากผูรายงานท่ีชื่ออัษเษารียสับสนใน การรายงานหะดษี ที่กลา ววา จากอมั รฺ เบ็ญ ดนี าร แตผูรายงานหะดีษที่ถูกตองก็ คอื มาจาก อับดุลเลาะ เบญ็ ดนี าร ชนิดท่ี 2 มุอลั ลล้ั มะตนั ตวั อยาง ﺻﻠﻴ ُﺖ ﺧﻠﻒ ﺍﻟﻨ ّﱯ: ﺣﺪﻳﺚ ﻋﻦ ﺃﻧﺲ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﻗﺎﻝ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻭﺃﰊ ﺑﻜﺮ ﻭﻋﻤﺮ ﻓﻜﺎﻧﻮﺍ ﻳﺴﺘﻔﺘﺤﻮﻥ .ﺑﺎﳊﻤﺪ ﷲ ﻻ ﻳﻘﺮﺃ ﺑﺴﻢ ﺍﷲ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺍﻟﺮﺣﻴﻢ (4) บนั ทึกโดยอัลบุคอรยี : 7/125
152บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ความวา : จากอะนัส เบ็ญ มาลิก เลาวา ฉันเคยละหมาดอยู ดานหลัง (เปนมะมูม) ของ นบี และหลัง อะบูบักร และหลัง อุมัร เขาเหลา นน้ั เริ่มการละหมาดดวยการอาน ﺍﳊﻤﺪﷲโดยมิได อา น บสิ มลิ ลาฮฮฺ ริ เราะฮฺมานริ ริหีม(1) หะดีษบทน้ีดวยสายรายงานของอัลวะลีด คือ หะดีษมุอัลล้ัล เน่ืองจาก การรายงานที่ขัดแยงกับการรายงานที่มีฐานะเศาะหีหฺท้ังในดานสถานภาพของ ผูรายงานและมะตัน(2)เชน หะดีษจากอะนัสเลาวา (( ﻛﺎﻥ ﺭﺳـﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ )) ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻳﺴ ﱡﺮ ﺍﻟﺒﺴﻤﻠﺔความวา “รสูลุลลอฮฺ ไดอานบิสมิลาฮฺดวยเสียง เบา” และหะดีษอื่น ๆ อีกหลายบทที่กลาวในเร่ืองเดียวกัน การกลาวถึงการอาน บิสมิลลาฮฺน้ัน หากพิจารณาตัวบทหะดีษหรือความเขาใจจากเจตนารมณของ หะดีษซึ่งแสดงใหเห็นวาเปนการอานเสียงเบามากกวาปฏิเสธ ทั้งหะดีษที่ได บันทึกโดยอลั บคุ อรีย มสุ ลิม หรืออิมามทา นอ่นื ๆ 3. ฐานะของหะดีษมอุ ัลล้ลั หะดีษมุอลั ลั้ลเปน หะดษี เฎาะอีฟ เนอื่ งจากขาดคุณสมบัติของหะดีษมักบูล คือ บกพรองในแงความจําของผูรายงานท่ีมาจากสาเหตุความสับสนในการ รายงานหะดษี (3) (1) อิบนุ อศั เศาะลาหฺ หนา 83 (2) การรายงานที่เศาะหีหฺหมายถึง หะดีษจากอะบูฮรุ ยั เราะฮฺ อะนสั เบ็ญ มาลิก อับดุลเลาะ อิบนุ อับบาส อุษมาน เบญ็ อฟั ฟาน อะลี เบ็ญ อะบีฏอลบิ อมั มาร เบ็ญ ยาซริ และอันนุมาน (3) ลกั ษณะของหะดีษ เชน ผูรายงานกลาวรายงานหะดษี ดวยความสับสนของเขา กลาวคอื รายงานหะดีษที่มี ลักษณะมรุ ซัลเปนหะดษี เมาศลู หรอื มีการรายงานหะดีษหนึ่งเปนหะดษี อ่นื หะดษี เศาะหีหฺเปน หะดษี เฎาะอฟี หรือไมก ลา ตดั สินหะดษี (ดู อุมัร ฟลุ ลาตะฮฺ : 2/79)
153บทที่ 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน 4. การนํามาใชเ ปน หลักฐาน หะดษี มอุ ลั ล้ลั ไมอ นุญาตใหน ํามาใชเ ปน หลักฐานและนํามาปฏิบัติตาม เวน แตเมื่อมีการรายงานจากสะนัดอื่นหน่ึงสะนัดหรือหลายสะนัด ซ่ึงมีฐานะเดียวกัน หรือเหนอื กวา มาสนับสนุนสายรายงานดังกลา ว(1) 5. ตําราที่เกีย่ วขอ ง ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﺑﻦ ﺍﳌﺪﻳ ّﲏ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﻌﻠﻞ.1 ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺣﺎﰎ، ﻛﺘﺎﺏ ﻋﻠﻞ ﺍﳊﺪﻳﺚ.2 ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﺟﻨﺒﻞ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﻌﻠﻞ ﻭﻣﻌﺮﻓﺔ ﺍﻟﺮﺟﺎﻝ.3 ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺘﺮﻣﺬ ّﻱ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﻌﻠﻞ ﺍﻟﻜﺒﲑ ﻭﺍﻟﻌﻠﻞ ﺍﻟﺼﻐﲑ.4 ชนดิ ที่ 2 หะดษี มุดรอ จญ หะดษี เฎาะอีฟท่ีมีสาเหตุมาจากความบกพรองในแงความจําของผูรายงาน เน่ืองจากการขัดแยงของผูรายงานจนทําใหมีสํานวนหะดีษเพ้ียนไปเรียกวา หะดีษมุดรอจญ 1. นิยาม ตามหลักภาษาศาสตร คําวา “ ”ﻣﺪﺭﺝมาจากรากศัพทของคําวา “ ”ﺃﺩﺭﺝ ﻳﺪﺭﺝ ﺇﺩﺭﺍﺟﹰﺎแปลวา มี การแทรกเขา ไป หรือมีการเพ่มิ เตมิ (1) สะนดั อื่นนั้นตอ งเปน สะนัดที่ติดตอ กันและไมใชเ ปนการบกพรองในแงค ุณธรรมของผรู ายงาน
154บทท่ี 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ตามหลักวชิ าการ หะดีษมุดรอจญ คือ หะดีษที่มีการเปล่ียนแปลงสะนัด หรือมีการแทรกใน มะตัน ท่ไี มใชตวั บทหะดีษ(2) จากนยิ ามขา งตน การอดิ รอจญเกดิ ขนึ้ ทัง้ ในสะนดั และในมะตนั 1. การอิดรอจญในสะนัด หมายถึง เปล่ียนผูรายงานจากคนเดิมกลายเปน คนอื่น 2. การอิดรอจญในมะตัน หมายถึง ผูรายงานนําคําพูดของตนเองหรือ สํานวนคนอนื่ แทรกในตวั บทหะดษี 2. ชนดิ และตวั อยางหะดษี มุดรอ จญ ชนิดที่ 1 การอิดรอจญในสะนดั ตัวอยาง \" ﻣﻦ ﻛﺜﺮ ْﺕ ﺻﻼﺗﻪ: ﻗﺼﺔ ﺛﺎﺑﺖ ﺑﻦ ﻣﻮﺳﻰ ﺍﻟﺰﺍﻫﺪ ﰲ ﺭﻭﺍﻳﺘﻪ .\" ﺑﺎﻟﻠﻴﻞ ﺣﺴﻦ ﻭﺟﻬﻪ ﺑﺎﻟﻨﻬﺎﺭ แปลวา : เร่ืองราวของษาบิต เบ็ญ มูซา อัลซาฮิดในบางรายงานของทาน เลาวา “ผูใดขยันละหมาดในเวลากลางคืน (ละหมาดตะฮัจุด) ใบหนาของเขาจะแจม ใสในเวลากลางวนั ”(1) (2) อัสสุยูฏยี : 2/245 (1) บนั ทกึ โดยอิบนุมาญะฮฺ : 1/422
155บทที่ 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน หะดีษบทนี้เปนหะดีษมุดรอจญ ผูทําการอิดรอจญ คือ ษาบิต เบ็ญ มูซา ซึง่ เขาใจวา สํานวนนีเ้ ปนหะดีษของสายรายงานดังกลาว(2) ชนิดท่ี 2 การอิดรอ จญในมะตัน การอิดรอจญในมะตนั มี 3 ลกั ษณะดวยกัน ลักษณะท่ี 1 การอิดรอ จญในชวงตน ของมะตัน ตัวอยาง ﻋﻦ،ﻣﺎ ﺭﻭﺍﻩ ﺍﳋﻄﻴﺐ ﺍﻟﺒﻐﺪﺍﺩ ّﻱ ﻣﻦ ﺭﻭﺍﻳﺔ ﺃﰊ ﻗﻄﻦ ﻭﺷﺒﺎﺑﺔ ﻗﺎﻝ ﺭﺳﻮﻝ: ﻋﻦ ﺃﰊ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﻗﺎﻝ، ﻋﻦ ﳏﻤﺪ ﺍﺑﻦ ﺯﻳﺎﺩ،ﺷﻌﺒﺔ ﻭﻳﻞ ﻟﻸﻋﻘﺎﺏ، )) ﺃﺳﺒﻐﻮﺍ ﺍﻟﻮﺿﻮﺀ: ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ .(( ﻣﻦ ﺍﻟﻨﺎﺭ ความวา : จากอะบูฮุรอยเราะฮฺเลาวา รสูลุลลอฮฺ กลาววา “พวกเจาจง อาบน้ําละหมาดใหสมบูรณ นรกเวลสําหรับผูท่ีลางเทา (เวลา อาบนา้ํ ละหมาด) ไมครอบคลุม (ตาตมุ )”(1) (2) ทีม่ าของเรอ่ื งราวขางตน คือ แทจ ริงษาบิต เบ็ญ มูซา เขา มาในมจั ญลสิ ของชะริก เบญ็ อบั ดลุ เลาะ อัลกอฎีย ในขณะทก่ี ําลังกลาวหะดีษ ทา นกลา ววา “อลั อะอฺมชั ไดร ายงานแกพ วกเรา จากอะบสี ะอีด จากญาบริ ซงึ่ ทา น กลาววา รสลู ุลลอฮฺ ไดกลาววา “.......” ทานก็หยดุ พักครูหน่ึงเพอื่ ใหผูฟงทําการบันทึกหะดษี ในขณะนั้นทาน (อะลี บนิ อบั ดุลเลาะ) ก็เห็นษาบิต (ซง่ึ เปน คนขยันละหมาดตะฮัจดุ ) เขา มา ทาน (อะลี) กลาววา (( ﻣﻦ ﻛﺜﺮﺕ ))ﺻﻼﺗﻪ ﺑﺎﻟﻠﻴﻞ ﺣﺴﻦ ﻭﺟﻬﻪ ﺑﺎﻟﻨﻬﺎﺭเมอื่ ษาบิตไดยนิ ประโยคน้ันเขาใจวาเปนตัวบทหะดีษของ สะนดั ดังกลาว ทาน (ษาบิต) ก็รายงานตามท่ีไดฟงจากอะลีจนกลายเปน ตวั บทหะดษี ไป ดว ยเหตุดงั กลาว อลุ ะมาอฺหะดีษมี ความเหน็ วา หะดีษนเ้ี ปน หะดีษเมาฎอฺ (1) อัสสุยฏู ยี : 1/270
156บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ประโยคที่นํามาแทรกในหะดีษ คือ (( )) ﺃﺳﺒﻐﻮﺍ ﺍﻟﻮﺿﻮﺀซ่ึงเปนคําพูด ของอะบฮู ุรอยเราะฮทฺ ่ีถูกนาํ มาแทรกในชวงตน ของหะดีษ อัลเคาะฏีบ อัลบัฆดาดีย กลาววา อะบูกุฏนฺและชะบาบะฮฺเขาใจผิดวาเปนคําพูดของทานนบี ซ่ึงสังเกต ไดจากการรายงานของอัลบุคอรีย จากอาดัม จากชุอฺบะฮฺ จากมุฮัมมัด เบ็ญ ซิยาด จากอะบฮู ุรอยเราะฮกฺ ลาววา )) ﻭﻳﻞ: ﻓﺈﻥ ﺃﺑﺎ ﺍﻟﻘﺎﺳﻢ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻗﺎﻝ،ﺃﺳﺒﻐﻮﺍ ﺍﻟﻮﺿﻮﺀ (( ﻟﻸﻋﻘﺎﺏ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﺎﺭ ความวา : จงอาบน้ําละหมาดใหสมบูรณ เนื่องจากอะบูอัลกอซิม ได กลา ววา “นรกเวลนนั้ สาํ หรับผทู ล่ี า งเทาไมครอบคลมุ (ตาตมุ )”(2) ลกั ษณะที่ 2 การอดิ รอจญใ นชวงกลางของมะตัน ตวั อยาง )) ﺃﻭﻝ ﻣﺎ ﺑﺪﺉ ﺑﻪ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ: ﺣﺪﻳﺚ ﻋﺎﺋﺸﺔ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﺎ ،ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻣﻦ ﺍﻟﻮﺣﻲ ﺍﻟﺮﺅﻳﺎ ﺍﻟﺼﺎﳊﺔ ﰲ ﺍﳌﻨﺎﻡ ﰒ ﺣُﱢﺒ َﺐ ﺇﻟﻴﻪ،ﻓﻜﺎﻥ ﻻ ﻳﺮﻯ ﺭﺅﻳﺎ ﺇ ﹼﻻ ﺟﺎﺀﺕ ﻣﺜﻞ ﻓﻠﻖ ﺍﻟﺼﺒﺢ – ﻭﻛﺎﻥ ﳜﻠﻮ ﺑﻐﺎﺭ ﺣﺮﺍﺀ ﻓﻴﺘﺤﻨﺚ ﻓﻴﻪ – ﻭﻫﻮ ﺍﻟﺘﻌﺒﺪ،ﺍﳋﻼﺀ .(( ﺍﻟﻠﻴﺎﱄ ﺫﻭﺍﺕ ﺍﻟﻌﺪﺩ ความวา : จากอาอิชะฮฺ กลาววา ส่ิงแรกที่รสูลุลลอฮฺ เริ่มรับวะหฺ ยู คือ การฝนที่เปนจริงในขณะนอนหลับ ซึ่งทาน(นบี) ไมเคยฝน นอกจากมันมาเสมือนแสงกระพริบในรุงอรุณ หลังจากนั้น ทาน (2) บันทึกโดยอัลบุคอรยี : 1/267
157บทท่ี 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน (นบี) ชอบน่ังเงียบ ๆ โดยท่ีทาน (นบี) ออกไปยังถ้ําฮิรออฺ ทําการ สกั การะ – ทําอบิ าดะฮฺ- เปน เวลาหลายคนื (3) คําวา “ ” ﻭﻫﻮ ﺍﻟﺘﻌﺒﺪแปลวา ทําการสักการะ เปนคําพูดของอัซซุฮฺรียซ่ึง ถูกนํามาแทรกในชวงกลางของหะดีษ เพื่ออธิบายความหมายของคําวา “ ”ﻓﻴﺘﺤﻨﺚคือ ทําอิบาดะฮฺ มิใชเปนคําพูดของทานหญิงอาอิชะฮฺ คําอธิบาย น้ีมาจากการรายงานของยูนุส เบ็ญยะซีด จากอิบนุชิฮาบ จากอุรวะฮฺ เบ็ญ อัซซุบัยร จากทานหญิงอาอิชะฮฺ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﺎไมเหมือนกับตัวบทหะดีษท่ีมา จากการรายงานตอไปนี้ )) ﻛﺎﻥ ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ: ﺣﺪﻳﺚ ﻋﺎﺋﺸﺔ ﰲ ﺑﺪﺀ ﺍﻟﻮﺣﻲ .(( ﻭﺳﻠﻢ ﻳﺘﺤﻨﺚ ﰲ ﻏﺎﺭ ﺣﺮﺍﺀ ﻭﻫﻮ ﺍﻟﺘﻌﺒﺪ ﺍﻟﻠﻴﺎﱄ ﺫﻭﺍﺕ ﺍﻟﻌﺪﺩ ความวา : ทานนบี ทําการสักการะในถ้ําหิรออฺ ทานทําอิบาดะฮฺเปน เวลาหลายคืน(1) ลกั ษณะท่ี 3 การอิดรอ จญในชวงทา ยของมะตัน ตวั อยา ง ، )) ﻟﻠﻌﺒﺪ ﺍﳌﻤﻠﻮﻙ ﺍﻟﺼﺎﱀ ﺃﺟﺮﺍﻥ: ﺣﺪﻳﺚ ﺃﰊ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﻣﺮﻓﻮﻋﹰﺎ ﻭﺍﻟﺬﻱ ﻧﻔﺴﻲ ﺑﻴﺪﻩ ﻟﻮ ﻻ ﺍﳉﻬﺎﺩ ﰲ ﺳﺒﻴﻞ ﺍﷲ ﻭﺍﳊﺞ ﻭﺑﺮ ﺃﻡ (( ﻷﺣﺒﺒ ُﺖ ﺃﻥ ﺃﻣﻮﺕ ﻭﺃﻧﺎ ﳑﻠﻮﻙ (3) บันทกึ โดยอัลบคุ อรีย : 1/23 (1) บันทึกโดยอัลบคุ อรยี : 10/ 715
158บทที่ 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ความวา : จากอะบูฮุรอยเราะฮฺกลาววา รสูลุลลอฮฺ กลาววา “สําหรับผูเปนทาสที่ดีไดรับผลบุญสองเทา ฉันขอสาบานตอผูท่ี ชีวิตของฉันอยูในพระหัตถของพระองค หากไมมีการญิฮาดใน หนทางของอัลลอฮฺ การทําฮัจญ และการทําความดีตอมารดาแลว ไซร แนนอนฉันพรอ มที่จะตายในขณะที่ฉันเปน ทาส”(2) ประโยค “ ”ﻭﺍﻟﺬﻱ ﻧﻔﺴﻲ ﺑﻴﺪﻩคือ คํามุดรอจญเปนคําพูดของอะบูฮุรอย- เราะฮฺที่ถูกนํามาแทรกในชวงทายของหะดีษ ซ่ึงสังเกตไดจากการรายงานของ อสิ มะอลี ีย จากอิบนุ อลั มุบารอ ก จากอะบูฮุรอยเราะฮฺกลาววา )) ﻭﺍﻟﺬﻱ ﻧﻔﺲ ﺃﰊ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﺑﻴﺪﻩ ﻟﻮ ﻻ ﺍﳉﻬﺎﺩ ﰲ ﺳﺒﻴﻞ ﺍﷲ ... ﻭﺍﳊﺞ ความวา “แทจริงชีวิตของอะบูฮุรอยเราะฮฺอยูในพระหัตถของพระองค หากไมมกี ารญิฮาด การทําฮจั ญ และการทาํ ความดีตอมารดาแลว ไซร แนนอนฉนั พรอมท่ีจะตายในขณะที่ฉันเปน ทาส(3) จากตวั อยา งขางตน เปน ทีน่ าสังเกตเกีย่ วกบั หะดีษมดุ รอจญ 2 ประการ ประการท่ี 1 สาเหตุทีท่ ําใหเ กิดการอิดรอ จญในหะดีษ พอสรุปดังน้ี 1. เพอื่ การอธิบายบทบัญญัตขิ องศาสนา 2. เพอ่ื การอธิบายหุกมจากหะดีษในขณะรายงานหะดีษ (2) บันทกึ โดยอัลบคุ อรีย : 5/175 (3) บันทกึ โดยอัลบุคอรยี : 5/176
159บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 3. เพ่อื ขยายความศัพทท ่มี กี ารกลาวในหะดษี ประการที่ 2 วิธีการรูจักหะดีษมุดรอจญ ซ่ึงสามารถทราบไดจากหลาย ประการ 1. มีการรายงานจากกระแสรายงานอ่ืนระบุอยางชัดเจนของการ อิดรอจญ 2. อุละมาอฺผูเชี่ยวชาญบางทานระบุวา เปนคําพูดของผูรายงานท่ี ถูกนํามาแทรกในมะตัน หรือแทรกผูรายงานคนอ่ืนในสะนัด หะดีษ 3. ผรู ายงานกลาวยอมรับวา เขาเองไดแทรกในสะนัดหรอื ในมะตนั 4. สํานวนหรือประโยคเหลานน้ั เปนไปไมไ ดว า มาจากทานนบี จรงิ 3. ฐานะของหะดษี มดุ รอ จญ หะดษี มดุ รอจญเปนสวนหน่ึงของหะดีษเฎาะอีฟเน่ืองจากขาดคุณสมบัติของ หะดษี มักบลู คอื การขดั แยง กับการรายงานของคนอ่ืนทีม่ ฐี านะเปนคนษิเกาะฮฺ(1) 4. การนาํ มาใชเ ปนหลักฐาน หะดษี มุดรอจญน ํามาใชเปนหลกั ฐานไมไ ดหากมใิ ชมาจากสาเหตุทไ่ี ดก ลาว มาขางตน เชน เพิ่มสํานวน แตถาการอิดรอจญน้ันมีการแยกสํานวนระหวางตัว บทหะดีษกับคําพูดของผูรายงานและมีฐานะเปนหะดีษเศาะหีหฺหรือไดรับการ สนับสนุนจากสายรายงานอ่ืนที่มีฐานะเดียวกันหรือเหนือกวาก็สามารถนํามาใช เปนหลกั ฐานได (1) การแทรกจะเปนในสะนัดโดยนาํ ผรู ายงานทีไ่ มใชผ รู ายงานคนเดิมหรอื แทรกในมะตันหะดีษไมไ ดแ ยกใหอยาง ชัดเจนระหวางสํานวนตัวบทกบั ประโยคที่นาํ มาแทรกนนั้ อาจจะมาจากสาเหตุตาง ๆ เชน ผูรายงานท่ีมีความจาํ ไมด ี หลงลมื หรือสบั สนในขณะที่รายงานหะดีษ
160บทที่ 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน 5. ตาํ ราท่เี กยี่ วขอ ง ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﳋﻄﻴﺐ ﺍﻟﺒﻐﺪﺍﺩﻱ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﻔﺼﻞ ﻟﻠﻮﺻﻞ ﺍﳌﺪﺭﺝ ﰲ ﺍﻟﻨﻘﻞ.1 ﺍﳊﺎﻓﻆ ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼ ﹼﱐ، ﻛﺘﺎﺏ ﺗﻘﺮﻳﺐ ﺍﻟﻨﻬﺞ ﺑﺘﺮﺗﻴﺐ ﺍﳌﺪﺭﺝ.2 ชนดิ ที่ 3 หะดษี มกั ลูบ หะดีษเฎาะอีฟท่ีมีสาเหตุมาจากความบกพรองในแงความจําของผูรายงาน คือ การขัดแยงโดยการสับเปลี่ยนจากกอนเปนหลังหรือสลับกัน หะดีษลักษณะนี้ เรียกวา หะดษี มกั ลูบ 1. นยิ าม ตามหลักภาษาศาสตร คําวา “ ”ﻣﻘﻠﻮﺏมาจากรากศัพทของคํา “ ”ﻗﻠﺐ ﻳﻘﻠﺐ ﻗﻠﺒﹰﺎแปลวา สับเปลยี่ น หมายถงึ การสับเปล่ียนจากกอนเปนหลงั หรอื จากหลังเปน กอน ตามหลกั วิชาการ หะดีษมักลูบ คือ หะดีษที่มีการสับเปล่ียนในสะนัดหรือในมะตันจากกอน เปน หลงั หรอื จากหลงั เปนกอ น(1) จากนิยามพบวา การสับเปล่ียนน้ันสามารถเกิดข้ึนทั้งในสะนัดและในมะ ตันของหะดษี ไมว าในชวงตน ชว งกลาง และชวงทา ยของทัง้ สอง (1) อสั สุยฏู ยี : 2/234
161บทท่ี 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน มักลูบในสะนัดหมายถึง การสับเปล่ียนชื่อของผูรายงานเปนชื่อพอ เชน ผูรายงานชื่อวา กะอฺบ เบ็ญ มุรเราะฮฺ เปนมุรเราะฮฺ เบ็ญ กะอฺบ การสับเปลี่ยน ในประเภทนี้อุละมาอฺหะดีษเรยี กวา “การโจรกรรมหะดีษ”(2) มักลูบในมะตันหมายถึง การสับเปล่ียนคําบางคําจากกอนเปนหลังหรือ สับเปลย่ี น ตวั บทของสะนดั หนงึ่ เปน ตวั บทของอีกสะนดั หนึง่ ที่มิใชตวั บทหะดษี นัน้ ๆ(3) 2. ชนิดและตัวอยา งหะดีษมักลูบ หะดษี มักลูบแบง ออกเปน 2 ชนิด ชนิดที่ 1 มักลบู ในสะนดั การสับเปลี่ยนชนิดนีม้ ี 2 รปู แบบ รูปแบบท่ีหน่ึง การสับเปลี่ยนชื่อของผูรายงานเปนชื่อพอดังตัวอยางที่ได กลาวมาแลว รูปแบบทส่ี อง การสบั เปลย่ี นตัวผูรายงานที่รูจักกันวาเปนผูรายงานหะดีษ นน้ั ๆ เปนอกี คนหนง่ึ ที่ไมเปน ที่รูจกั ซ่งึ ท้งั สองรว มสมยั เดยี วกนั ตวั อยาง ﻋﻦ، ﻋﻦ ﺃﰊ ﺻﺎﱀ، ﻋﻦ ﺍﻷﻋﻤﺶ،ﺣﺪﻳﺚ ﺭﻭﺍﻩ ﲪﺎﺩ ﺍﻟﻨﺼﻴ ّﱯ )) ﺇﺫﺍ ﻟﻘﻴﺘﻢ ﺍﳌﺸﺮﻛﲔ ﰲ: ﺃﰊ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﻣﺮﻓﻮﻋﹰﺎ (( ﻃﺮﻳﻖ ﻓﻼ ﺗﺒﺪﺅﻫﻢ ﺑﺎﻟﺴﻼﻡ ความวา : จากอะบูฮุรอยเราะฮฺ -มัรฟูอฺ- กลาววา “เมื่อพวกเจาเจอกับ คนมชุ รกิ นี พวกเจา อยา เรม่ิ กลาวสะลามตอพวกเขา”(1) (2) อุมัร หะสัน ฟลุ ลาตะฮฺ : 2/234 (3) หนงั สือเดมิ (1) อบิ นุ อศั เศาะลาหฺ หนา 134
162บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน สะนัดหะดีษน้ีมีการสับเปล่ียนกันโดยหัมมาด อันนะศีบีย ซึ่งไดรายงาน กลาววาไดยินมาจากอัลอะอฺมัช แตท่ีถูกตองจากสุฮัยลฺ ดังการรายงานของอิ มามมสุ ลิม คอื ﻋﻦ ﺃﰊ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ، ﻋﻦ ﺃﰊ ﺻﺎﱀ، ﻋﻦ ﺳﻬﻴﻞ،ﻋﻦ ﲪﺎﺩ ﺍﻟﻨﺼﻴﱯ ﻣﺮﻓﻮﻋﹰﺎ ชนิดท่ี 2 มกั ลูบในมะตนั การสับเปลยี่ นชนิดนมี้ ี 2 รปู แบบ รูปแบบท่หี น่งึ การสับเปลย่ี นตวั บทหะดษี จากกอนเปน หลัง ตัวอยาง )) ﻭﺭﺟﻞ ﺗﺼﺪﻕ ﺑﺼﺪﻗﺔ: ﻋﻦ ﺃﰊ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ (( ﻓﺄﺧﻔﺎﻫﺎ ﺣﱴ ﻻ ﺗﻌﻠﻢ ﳝﻴﻨﻪ ﻣﺎ ﺗﻨﻔﻖ ﴰﺎﻟﻪ ความวา : จากอะบูฮุรอยเราะฮฺ “และผูที่ใหบริจาคส่ิงหนึ่ง เขาก็ได ปกปดมันไวจนมือขวาของเขาไมทราบในสิ่งที่มือซายของเขาได บริจาคไว”(2) หะดีษบทนี้ คือ หะดีษมักลูบเนื่องจากผูรายงานไดสับเปลี่ยนคําบางคําที่ เปน ตัวบทหะดีษจากหลังเปน กอ น แตต วั บทท่ถี กู ตองดงั นี้ (2) ดู อัสสยุ ฏู ีย : 2/345
163บทที่ 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน )) ﻭﺭﺟﻞ ﺗﺼﺪﻕ ﺑﺼﺪﻗﺔ ﻓﺄﺧﻔﺎﻫﺎ ﺣﱴ ﻻ ﺗﻌﻠﻢ ﴰﺎﻟﻪ ﻣﺎ ﺗﻨﻔﻖ (( ﳝﻴﻨﻪ ความวา “และผูท่ีใหบริจาคสิ่งหน่ึง เขาก็ปกปดมันไวจนมือซายของเขาไม ทราบในส่งิ ทีม่ อื ขวาของเขาไดบ ริจาคไว” รูปแบบท่ีสอง การสับเปล่ียนท้ังตัวบทและสะนัด การสับเปลี่ยนในแบบที่ สองนี้เพื่อทดสอบความจําของผูรายงานหะดีษดังเชน การทดสอบความจําของอิ มามอัลบคุ อรยี การทดสอบความจําของอิมามอัลบุคอรียมีท้ังหมด 3 ครั้ง คือ คร้ังท่ี 1 ที่ เมืองบัฆดาด ผูทดสอบมีประมาณ 100 ทาน ครั้งที่ 2 ท่ีเมืองซะมัรกอน ผทู ดสอบมีท้ังหมดประมาณ 400 ทา น และคร้ังท่ี 3 ที่เมืองบัศเราะฮฺ ผูทดสอบมี ท้ังหมดประมาณ 1,000 ทาน ผูทําหนาท่ีทดสอบมาจากหลายสาขาวิชามีทั้งอุ ละมาอฺหะดีษ อุละมาอฺฟกฮฺ และนักวิชาการแขนงอื่น ๆ วิธีการทดสอบ คือ ทํา การสับเปลี่ยนระหวางตัวบทกับสะนัดอ่ืน ท้ังหมดไดรับการยืนยันจากอิมาม- อัลบุคอรียโดยไดทําการแกไขระหวางตัวบทกับสะนัด ที่ถูกสับเปลี่ยนให เหมือนเดิมของมันอยางถูกตองไมมีการผิดพลาดแมแตนิดเดียว(1) ตัวอยาง บางสวนเชน อิมามอัลบุคอรียตอบวา สะนัดหะดีษน้ีไมใชทานมันศูรเปน ผูรายงาน แตเปนการรายงานของยูซุฟ เบ็ญ มูซา พรอมกับอานสะนัดของ มะตันหะดีษทถ่ี ูกตอง จากรูปตาง ๆ ของการสับเปลี่ยนขางตนพอสรุปไดวา หุกมของการ สับเปล่ียนน้ันมีท้งั ทเ่ี ปนหุกม หะรอมและหุกมญาอิซ (อนญุ าต) ดังน้ี (1) ดู อลั อัสเกาะลานีย หนา 486-487
164บทที่ 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน 1. ถาการสับเปลี่ยนนั้น (การอิกลาบ) เพ่ือดึงดูดความสนใจผูอื่นใหการ ยอมรับการรายงานและยอมรับหะดีษของเขา การสับเปลี่ยนในลักษณะน้ีเปน หกุ มุ หะรอม 2. ถาการสับเปลี่ยนน้ัน (การอิกลาบ) เพ่ือทดสอบความจําของผูรายงาน ดังที่ไดเกิดขึ้นกับอิมามอัลบุคอรีย การสับเปล่ียนในลักษณะเชนน้ีเปน หกุ ม ญาอซิ (ฮารุส) 3. ถาการสับเปล่ียนนั้นมาจากความผิดพลาดของผูรายงานเองโดยไมได ตงั้ ใจ การสบั เปลย่ี นในลกั ษณะน้เี ปนหุกมญาอิซ (ฮารุส)(2) 4. ถาการสับเปล่ียนน้ันเนื่องมาจากความต้ังใจของผูรายงานเปน หุกมหะรอม(3) 3. ฐานะของหะดีษมักลูบ หะดีษมักลูบเปนหะดีษเฎาะอีฟ เนื่องจากผูรายงานขาดความอะมานะฮฺ และไมมีความรับผิดชอบในการรายงานหะดีษโดยตั้งใจทําการสับเปลี่ยนเพื่อ ดึงดูดความสนใจหรือทําใหระดับของหะดีษจากหะดีษเศาะหีหฺหรือหะดีษหะซัน เปนหะดีษเฎาะอฟี 4. การนํามาใชเ ปนหลกั ฐาน ตามทัศนะของอุละมาอฺหะดีษ การนําหะดีษมักลูบมาใชเปนหลักฐานมี ความเหน็ ดัง ตอ ไปน้ี (2) มะหฺมดู อัลเฏาะหฺหาน หนา 89 (3) อุมรั หะสนั ฟลุ ลาตะฮฺ : 1/83
165บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน 1. หะดีษมักลูบอันเนื่องมาจากจุดประสงคเพ่ือดึงดูดความสนใจผูอ่ืน นํามาใชเปนหลักฐานไมได การกระทําในลักษณะเชนน้ีเปนการกระทําของ ผูอ ปุ โลกนหะดีษ 2. หะดีษมักลูบอันเน่ืองมาจากเพื่อการทดสอบความจําของนักรายงาน นํามาใชเปนหลักฐานไดแตมีเง่ือนไขวา(1) จะตองบอกใหชัดเจนถึงตัวบทหะดีษที่ ถูกตองกอนท่ีจะเสร็จสิ้นจากการทดสอบ ถาไมเชนน้ันแลวไมอนุญาตใหนํามา ปฏิบตั โิ ดยเด็ดขาด 3. หะดีษมักลูบอันเน่ืองมาจากความผิดพลาด(2) ของนักรายงานหะดีษ หรือไม ระมัดระวังในการรายงานหะดีษ กรณีเชนน้ีไมอนุญาตใหนํามาเปน หลักฐานเวนแตมีกระแสรายงานอื่นที่มีฐานะเดียวกันหรือเหนือกวาระบุ สถานภาพของหะดีษที่ถูกตอ งมาสนบั สนนุ 5. ตําราท่ีเก่ียวของ ﺍﻹﻣﺎﻡ، ﻛﺘﺎﺏ ﺭﺍﻓﻊ ﺍﻹﺭﺗﻴﺎﺏ ﰲ ﺍﳌﻘﻠﻮﺏ ﻣﻦ ﺍﻷﲰﺎﺀ ﻭﺍﻷﻟﻘﺎﺏ.1 ﺍﳋﻄﻴﺐ ﺍﻟﺒﻐﺪﺍﺩﻱ ชนดิ ที่ 4 หะดีษมุตเฏาะร็อบ หะดีษเฎาะอีฟท่ีมีสาเหตุมาจากความบกพรองในแงความจําของผูรายงาน เนื่องมาจากการขัดแยงกับสายรายงานอื่นท่ีมีจํานวนมากกวา หะดีษในลักษณะน้ี เรยี กวา หะดษี มตุ เฏาะรอ็ บ (1) การวางเงือ่ นไขเชน น้ีเพ่ือปองกนั ไมใหเกิดการเขาใจผดิ ตอหะดษี (2) ความผิดพลาดในท่ีนี้ คือ ความผดิ พลาดบางคร้งั บางคราวเทานน้ั ไมใชบอยครงั้
166บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน 1. นิยาม ตามหลักภาษาศาสตร คําวา “ ”ﻣﻀﻄﺮﺏมาจากรากศัพท “ ”ﺍﺿﻄﺮﺏ ﻳﻀﻄﺮﺏ ﺍﺿﻄﺮﺍﺑﹰﺎแปลวา เพ้ียน หรอื ซบั ซอนกนั ตามหลักวชิ าการ หะดีษมุตเฏาะร็อบ คือ หะดีษท่ีมีการรายงานที่หลากหลาย ซึ่งทุกสาย รายงาน มสี ถานภาพเทา เทียมกัน(3) จากนิยาม การท่ีจะเรียกหะดีษเปนหะดีษมุตเฏาะร็อบไดนั้นตอง ประกอบดวยเงอื่ นไข 2 ประการ 1. กระแสรายงานท่ขี ดั แยงกนั ไมอ าจประสานเขากันได 2. กระแสรายงานมีสถานภาพเทาเทียมกันไมสามารถตัดสินเปนอยางอ่ืน ไดเชน กระแสรายงานใดเปน เศาะหีหฺและกระแสรายงานใดเปนเฎาะอีฟ หากสามารถตัดสินหรือประสานเขากันไดระหวางกระแสรายงานของหะ ดีษ ไมเ รยี กวา หะดีษมุตเฏาะรอบ แตเรียกกระแสรายงานที่ถูกตองเปนหะดีษ มักบลู และ กระแสรายงานที่ผิดเปน หะดีษมัรดดู (1) 2. ชนิดและตวั อยางหะดษี มุตเฏาะร็อบ หะดีษมุตเฏาะรอบสามารถเกิดข้ึนไดท้ังในสะนัดและในมะตันหะดีษ และ บาง ครง้ั อาจเกิดข้นึ ท้ังสองดานทม่ี าจากผูร ายงานคนเดยี วกนั หรอื หลาย ๆ คน(2) (3) อัตเฏาะหานะวีย หนา 44 (1) หะดีษมตุ เฏาะร็อบอาจจะเปนหะดีษมักบลู และหะดีษมรั ดูด หากขาดเงื่อนไขดังกลาว (2) ดู อิบนุ อัศเศาะลาหฺ หนา 84-85
167บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ชนิดท่ี 1 หะดีษมุตเฏาะร็อบในสะนัด หมายถึง หะดีษที่รายงานจาก บุคคลคนเดียวกันท่ีมีฐานะเทากันหรือมากกวา แตเกิดการขัดแยงกัน หะดีษชนิด นี้เกิดข้นึ เปนสวนใหญ ตัวอยาง ﻳﺎ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺃﺭﺍﻙ: ﺣﺪﻳﺚ ﺃﰊ ﺑﻜﺮ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﺃﻧﻪ ﻗﺎﻝ (( ﺷﻴﺒﺘﲏ ﻫﻮﺩ ﻭﺃﺧﻮﺍﺗﻬﺎ: ﻗﺎﻝ،ﺷْﺒ َﺖ ความวา : หะดีษอะบูบักร อัศศิดดีก กลาววา โอรสูลุลลอฮฺ ฉันเห็น ทานผมขาว ทานกลาววา“ส่ิงที่ทําใหผมของฉันเปนสีขาว คือ ซู เราะฮฺฮดู และซูเราะฮทฺ เ่ี หมือนกนั ”(3) อิมามอัดดารอกุฏนีย กลาววา หะดีษบทนี้เปนหะดีษมุตเฏาะร็อบ เน่ืองจากไมมีการรายงานนอกจากอะบูอิสหากคนเดียวซ่ึงไดรายงานขัดแยงกับ คนอื่นถึง 10 สาย บางกระแสเปน สะนัดมุรซัล บางสะนัดเปนสะนัดเมาศูล บางกระแสเปนมุสนัด เชน มุสนัด อะบูบักรฺ มุสนัดสะอฺดและมุสนัดอาอิชะฮฺ ผูรายงานต้ังแตคนแรกจนถึงอะบูอิสหากมีสถานภาพษิเกาะฮฺไมมีใครเหนือกวา กนั และไมสามารถประสานกันไดด ว ย(4) ชนิดท่ี 2 หะดีษมุตเฏาะรอบในมะตัน หมายถึงหะดีษท่ีมีการรายงานดวย กระแสรายงานเดียวกันแตสํานวนตัวบทขัดแยงกัน หะดีษชนิดน้ีมีนอยกวาชนิดท่ี หนง่ึ ตวั อยาง (3) บนั ทกึ โดยอตั ตริ มิซยี : 5/402 คําวา “ซูเราะฮฺท่ีเหมือนกัน” ในหะดีษนหี้ มายความถึง ซเู ราะฮอฺ ัลวากอิ ะฮฺ และ ซู เราะฮอฺ ัลมรุ ซะลาต (4) อสั สยุ ูฏีย : 1/266
168บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ﻋﻦ ﻓﺎﻃﻤﺔ ﺑﻨﺖ، ﻋﻦ ﺍﻟﺸﻌ ّﱯ، ﻋﻦ ﺃﰊ ﲪﺰﺓ،ﺣﺪﻳﺚ ﻋﻦ ﺷﺮﻳﻚ ﺳﺌﻞ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ: ﻗﻴﺲ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﺎ ﻗﺎﻟﺖ (( )) ﺇﻥ ﰲ ﺍﳌﺎﻝ ﳊﻘﺎ ﺳﻮﻯ ﺍﻟﺰﻛﺎﺓ: ﻭﺳﻠﻢ ﻋﻦ ﺍﻟﺰﻛﺎﺓ ﻓﻘﺎﻝ ความวา : จากฟาตมิ ะฮฺ เบ็ญตุ กอยสฺ กลาววา รสลู ุลลอฮฺ ถูก ถามเก่ียวกับซะกาต ทานตอบวา “แทจริงยอมถือเปนสิทธิ์ใน ทรพั ยส นิ นอกจากซะกาต”(1) ในเรือ่ งเดียวกันมีการรายงานอีกสะนัดหนึ่งที่แตกตางในดานตัวบทของหะ ดีษ คือ (( )) ﻟﻴﺲ ﰲ ﺍﳌﺎﻝ ﺣﻖ ﺳﻮﻯ ﺍﻟﺰﻛﺎﺓ ความวา : จากฟาติมะฮฺ เบ็ญตุกอยสฺซึ่งนางไดยินจากทานนบี กลาววา “ไมถ อื เปน สทิ ธิใ์ นทรัพยสินนอกจากซะกาต”(2) อิมามอัลอิรอกีย กลาววา หะดีษบทน้ีเปนหะดีษมุตเฏาะร็อบโดยไมตอง สงสยั และไมจ ําเปน ตองตคี วามเปนอยางอน่ื แตอ ยางใด(3) 3. ฐานะของหะดษี มตุ เฏาะร็อบ หะดีษมุตเฏาะร็อบเปนหะดีษเฎาะอีฟ เนื่องจากผูรายงานหะดีษได รายงานขดั แยงกบั ผูรายงานมสี ถานภาพเดยี วกัน(4) (1) บันทกึ โดยอัตตัรมซิ ยี : 3/39 (2) บันทกึ โดยอิบนุมาญะฮฺ : 1/582 (3) อลั อิรอกยี : 1/244
169บทที่ 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 4. การนาํ มาใชเปนหลักฐาน ไมอนุญาตใหนําหะดีษมุตเฏาะรอบมาใชเปนหลักฐานดวยสายรายงาน ของมันเอง เวนแตมีกระแสรายงานอ่ืนท่ีไมใชหะดีษมุตเฏาะรอบซ่ึงมีฐานะ เดียวกนั หรือเหนอื กวามาสนับสนุน ไมวา จะเปน ประเภทหะดีษมัรฟูอฺหรือประเภท หะดีษเมากูฟ หากไมมีสายรายงานอ่ืนมาสนับสนุน หรือสายรายงานอื่นมีฐานะตํ่ากวา ฐานะของหะดีษมุตเฏาะร็อบ เชน หะดีษเฎาะอีฟญิดดันและหะดีษเมาฎอฺ สาย รายงานลักษณะเชนนี้ไมสามารถใหการสนับสนุนได และหะดีษมุตเฏาะร็อบไม สามารถนาํ มาใชเ ปนหลกั ฐานไดแมว า สะนัดนั้นมกี ารรายงานหลายกระแสกต็ าม 5. ตําราที่เกี่ยวขอ ง ﺍﳊﺎﻓﻆ ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼ ﹼﱐ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﻘﺘﺮﺏ ﰲ ﺑﻴﺎﻥ ﺍﳌﻀﻄﺮﺏ.1 ชนิดท่ี 5 หะดษี ชา ซ หะดีษเฎาะอีฟที่มีสาเหตุมาจากความบกพรองในแงความจําเนื่องจากการ ขัดแยงกันกับคนอน่ื ที่เหนือกวา หะดษี ในลักษณะนเี้ รียกวา หะดษี ชาซ 1. นิยาม ตามหลกั ภาษาศาสตร คําวา “ ”ﺷﺎﺫมาจากรากคํา “ ”ﺷﺬ ﻳﺸﺬ ﺷﺬﻭﺫﺍ ﻭﺷﺎﺫﹰﺍแปลวา แปลกกวา สิ่งอ่นื หมายถงึ การรายงานทขี่ ัดแยง กบั การรายงานของคนอน่ื (4) เน่อื งจาก การผิดพลาดโดยไมไ ดต ้ังใจ หากตั้งใจทาํ การอิดติร็อบหะดษี ๆ ชนดิ นี้เรียกวา หะดษี มนุ กรั หรอื หะ ดีษเมาฎอฺ (ดู รายละเอยี ดในเรื่องหะดีษเมาฎอ ฺ)
170บทท่ี 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ตามหลักวชิ าการ หะดีษชาซ คือ หะดีษท่ีรายงานโดยผูรายงานษิเกาะฮฺขัดแยงกับการ รายงานของผูท ม่ี ีสถานะษิเกาะฮฺกวา (1) การขัดแยงในที่นี้หมายถึง การขัดแยงระหวางผูรายงานท่ีษิเกาะฮฺกับการ รายงานของผูรายงานที่ษิเกาะฮฺกวา(2) โดยการสังเกตจากสํานวนท่ีบอก สถานภาพของผูรายงานจะใชสํานวนระหวางอิสิมมัศดัร (อาการนาม) กับ อิสมิ ตฟั ฎลี (นามตฟั ฎีล) ตวั อยาง นามมศั ดรั นามตฟั ฎีล ษิเกาะ เอาษัก เศาะดกู อัศดัก ษับตนุ อษั บัต การขัดแยงหรอื ชา ซเกดิ ข้นึ ไดทง้ั ในสะนดั และในมะตนั หะดษี การขัดแยงในสะนัด หมายถึง การขัดแยงในตัวบุคคลของนักรายงานหะ ดษี ทีม่ ฐี านะเหนือกวา การขัดแยงในมะตัน หมายถึง การขัดแยงในตัวบทอันเน่ืองมาจากการ รายงานของนักรายงานทมี่ ีฐานะตํา่ กวา 2. ชนดิ และตวั อยางหะดีษชา ซ หะดษี ชาซแบง ออกเปน 2 ชนิด คือ ชา ซในสะนดั และชา ซในมะตัน (1) อลั อัสเกาะลานีย หนา 37 (2) อลั ตะฮานะวีย หนา 42
171บทท่ี 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ชนิดที่ 1 ชา ซในสะนัด ตัวอยาง ﻋﻦ، ﻋﻦ ﻋﻮﺳﺠﺔ، ﻋﻦ ﻋﻤﺮﻭ ﺑﻦ ﺩﻳﻨﺎﺭ،ﺣﺪﻳﺚ ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﻴﻴﻨﺔ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﺃﻥ ﺭﺟ ﹰﻼ ﺗﻮﰲ ﻋﻠﻰ ﻋﻬﺪ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ .ﻭﺳﻠﻢ ﻭﱂ ﻳﺪﻉ ﻭﺍﺭﺛﹰﺎ ﺇ ﹼﻻ ﻣﻮﱃ ﻫﻮ ﺃﻋﺘﻘﻪ ความวา : จากอิบนุอับบาส เลาวา แทจริงมีผูชายคนหนึ่งเสียชีวิตในสมัย ของทานนบี ไมมีใครเลยที่เปนทายาทของเขา เวนแตบาวคน หน่งึ ที่เขาไดป ลอ ยใหเ ปนไท(1) หะดษี บทน้ีเปนหะดษี ชา ซ เนื่องจากอิบนอุ ยุ ัยนะฮฺไดร ายงานจากอัมรฺ เบ็ญ ดนิ าร (ษิเกาะฮฺ) จากเอาซะญะฮฺ จากอิบนุอับบาส ซ่ึงขัดแยงกับการรายงานของ ผูรายงานท่ีมฐี านะเหนือกวา (ษิเกาะฮฺกวา) คือ หัมมาด เบ็ญ ซัยดฺ จากอัมรฺ เบ็ญ ดินาร จากเอาซะญะฮฺ จากอิบนอุ บั บาส ดวยสาํ นวนดงั นี้ ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ ﺃﻥ ﺭﺟ ﹰﻼ ﺗﻮﰲ ﻋﻠﻰ ﻋﻬﺪ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻫﻞ ﻏﲑﻩ ﻣﻦ: ﻗﺎﻝ.ﻭﺳﻠﻢ ﻭﱂ ﻳﺪﻉ ﻭﺍﺭﺛﹰﺎ ﺇ ﹼﻻ ﻣﻮﱃ ﻫﻮ ﺃﻋﺘﻘﻪ ﻓﺄﻋﻄﺎﻩ ﺇﻳﺎﻩ ﺃﻭ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝ، ﺇ ﹼﻻ ﻣﻮﱃ ﻫﻮ ﺃﻋﺘﻘﻪ، ﻻ: ﻭﺭﺛﺘﻪ؟ ﻗﺎﻟﻮﺍ ความวา : จากอิบนุอับบาส แทจริงมีผูชายคนหนึ่งเสียชีวิตในสมัย รสูลุลลอฮฺ และเขาไมมีญาติ เวนแตคนรับใชที่เขาไดไถใหเปน อิสระ ทานนบีถามบรรดาเศาะหาบะฮฺวา “นอกจากคนรับใชแลว ยังมีใครอีกบาง? เศาะหาบะฮตอบวา ไมมีใครเลย นอกจากคน (1) บนั ทึกโดยอัลตรั มิซยี : 4/423 และอิบนมุ าญะฮฺ : 2/915
172บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน รับใชคนนี้ที่เขาไดใหความเปนอิสระแกเขา (ทานนบี ) ก็ยก มรดกใหเ ขา (คนรับใชคนนั้น)”(1) หรอื เสมือนกับคาํ กลาวคาํ นนั้ ชนิดที่ 2 ชา ซในมะตนั ตวั อยาง ، ﻋﻦ ﺃﰊ ﺻﺎﱀ، ﻋﻦ ﺍﻷﻋﻤﺶ،ﺣﺪﻳﺚ ﻋﺒﺪﺍﻟﻮﺍﺣﺪ ﺑﻦ ﺯﻳﺎﺩ )) ﺇﺫﺍ ﺻﻠﻰ ﺃﺣﺪﻛﻢ ﺍﻟﻔﺠﺮ ﻓﻠﻴﻀﻄﺠﻊ: ﻋﻦ ﺃﰊ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﻣﺮﻓﻮﻋﹰﺎ (( ﻋﻦ ﳝﻴﻨﻪ ความวา : จากอะบูฮุรอยเราะฮฺ -มัรฟูอฺ- ทานนบีกลาววา “เมื่อคนหนึ่ง คนใดในหมูพวกเจาละหมาดซุบฮฺ (ละหมาดสุนัตกอนซุบฮฺ) ก็จง นอนตะแคงดานขวามือ”(2) หะดีษบทนี้คือ หะดีษชาซ เนื่องจากอับดุลวะฮีด เบ็ญ ซิยาฎ (ษิเกาะฮฺ) ได รายงานในลักษณะหะดีษเกาลีย (หะดีษท่ีเปนคําพูดของทานนบี) ขัดแยงกับการ รายงานของสะอีด เบ็ญ อะบีอัยยูบ(3) และการรายงานของอิบนุอัลวาริษ(4) ซ่ึงทั้ง สองมีฐานะษิเกาะฮฺกวาไดรายงานในลักษณะหะดีษฟอฺลีย (หะดีษท่ีเปนการ ปฏบิ ตั ิของทานนบี) มสี าํ นวนดงั นี้ (1) บันทึกโดยอะบดู าวดู : 3/324 (2) บันทกึ โดยอัลติรมซิ ยี : 2/281 อะบูอีซา กลาววา หะดษี น้ีเปนหะดีษหะซนั เศาะหีหเฺ ฆาะรีบ หมายถึง กระแส รายงานของอัตติรมซิ ยี (3) บนั ทึกโดยอัลบุคอรยี : 3/43 (4) บนั ทึกโดยมุสลิม : 6/16 และอบิ นมุ าญะฮฺ : 1/378
173บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ﻛﺎﻥ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ: ﻋﻦ ﻋﺎﺋﺸﺔ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﺎ ﻗﺎﻟﺖ .ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﺇﺫﺍ ﺻﻠﻰ ﺭﻛﻌﱵ ﺍﻟﺼﺒﺢ ﺍﺿﻄﺠﻊ ﻋﻠﻰ ﳝﻴﻨﻪ ความวา : จากทานหญิงอาอิชะฮฺ ไดกลาววา เมื่อรสูลุลลอฮฺ ละหมาดสองรอกะอัตซุบฮฺ (ละหมาดสุนัตกอนซุบฮฺ) ทานก็นอน ตะแคงดานขวามือ(5) จากการอธิบายขางตนจะเห็นไดวา หะดีษชาซท่ีมีเพียงสะนัดเดียวของมัน เอง จะเปนหะดีษเศาะหีหฺเพราะผูรายงานแตละคนมีสถานะเปนคนษิเกาะฮฺ แตหากหะดีษน้ันมีหลายสะนัดก็ตองพิจารณาวา การรายงานนั้นขัดแยงหรือไม ในกรณีไมข ัดแยงกต็ องใชห ลักการการประสานระหวางหะดีษ(1) แตเมื่อขัดแยงกัน สะนัดที่เหนือกวาจะเปนสะนัด ที่เศาะหีหฺและอีกสะนัดหนึ่งจะเปนหะดีษชาซ ดังนั้น การที่จะตัดสินวาเปนหะดีษชาซน้ันก็ตอเม่ือมีการขัดแยงกันกับสะนัดอ่ืน ที่มาจากการรายงานของผูรายงานที่มีสถานภาพ ท่ีษิเกาะฮฺกวา และหะดีษท้ัง สองบทไมสามารถจะประสานกนั ได (5) บันทึกโดยมุสลิม : 6/16 และอบิ นมุ าญะฮฺ : 1/378 (1) หลักการ “ประสานระหวา งหะดีษ” หรือท่เี รยี กวา “ ”ﺍﳉﻤﻊ ﺑﲔ ﺍﳊﺪﻳﺜﲔ ﺍﻟﺼﺤﻴﺤﲔเปนหลักการที่ใชในกรณีที่มี การขัดแยง กันระหวางหะดีษเศาะหหี ดฺ ว ยกนั ตามหลกั มศุ เฏาะละหฺ อลั หะดษี เมอ่ื หะดษี เศาะหีหฺดวยกันขัดแยง ในดานตัวบทหะดษี จะตอ งพิจารณาหลกั การประสานกัน หากสามารถประสานกันได แตในกรณกี ารขัดแยง ท่ี ไมสามารถจะประสานเขา กันไดแลว ตามหลกั วิชาการหะดีษจะตองพจิ ารณาสถาน ภาพของสายรายงานของแต ละหะดษี สายรายงานที่เหนือกวาเนอ่ื งจากสถานภาพของผรู ายงานดกี วา หะดษี นเี้ รียกวา หะดีษเศาะหีหฺและ อีกหะดีษหนึ่งเรียกวา หะดษี ชาซ แตห ากการขดั แยง กันระหวางหะดษี เศาะหีหกฺ บั หะดีษเฎาะอฟี จะไมเ ขาขาย เรอื่ งหะดษี ชาซเลยแมแตนิดเดียว
174บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน 3. ฐานะของหะดีษชา ซ หะดีษชาซเปนสวนหน่ึงของหะดีษเฎาะอีฟ เน่ืองจากขาดคุณสมบัติของ หะดษี มักบูล คอื ขัดแยงกบั การรายงานของคนอน่ื ท่มี ฐี านะเหนอื กวา 4. การนํามาใชเปน หลักฐาน หะดีษชาซดวยสะนัดที่ขัดแยงกันไมสามารถนํามาใชเปนหลักฐานได เวนแตเมื่อไดรับการสนับสนุนจากกระแสรายงานอื่นที่ติดตอกันซึ่งมีฐานะ เดยี วกนั หรือเหนือกวา (2) 5. ตําราทเี่ ก่ยี วของ ยงั ไมม หี นงั สือเฉพาะท่ีเขียนเกีย่ วกับหะดษี ชาซ ชนดิ ที่ 6 หะดษี มุเศาะหฺหฟั หะดษี เฎาะอีฟที่มีสาเหตุมาจากความบกพรองในแงความจําของผูรายงาน หะดีษ คือ การผิดพลาดท่ีทําใหเปลี่ยนแปลงตัวอักษร หะดีษในลักษณะนี้ เรยี กวา หะดีษมุเศาะหฺหฟั 1. นยิ าม ตามหลกั ภาษาศาสตร คําวา “ ”ﻣﺼﺤﻒมาจากรากศัพทของ “ ”ﺻ ّﺤﻒ ﻳﺼ ّﺤﻒ ﺗﺼﺤﻴﻔﹰﺎแปลวา เปล่ียนไป หรอื แทนที่ (2) สะนัดอ่ืนน้ันมหี น่งึ สะนัดหรือมากกวา
175บทที่ 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ตามหลักวชิ าการ หะดีษมุเศาะหฺหัฟ คือ หะดีษท่ีมีการเปล่ียนตัวอักษรในสะนัดหรือใน มะตัน ซ่งึ เปน การรายงานทีไ่ มเหมือนกับการรายงานของผษู ิเกาะฮฺ(1) หะดีษในลักษณะน้ีมิใชเปนการขัดแยงกันเหมือนกับหะดีษชาซซ่ึงมี ผูรายงานสองคนไดรายงานขัดแยงกัน แตเปนการเปล่ียนตัวอักษรเพียงหนึ่งตัว เทา น้นั สวนคําของมนั ยงั เหมอื นเดมิ ไมเ ปลีย่ นเปน คําอ่ืน การตัศหฟี สามารถเกดิ ขึ้นไดท้งั ในสะนดั และในมะตนั การตัศหีฟในสะนัด หมายถึง การเปลี่ยนตัวอักษรของชื่อผูรายงาน หะดีษ สวนการตัศหีฟในมะตันก็ หมายถงึ การเปล่ยี นตวั อกั ษรของตัวบทหะดษี (2) 2. ชนดิ และตัวอยางหะดษี มเุ ศาะหฺหฟั หะดีษมุเศาะหฺหัฟมี 2 ชนิด คือ มุเศาะหฺหัฟในสะนัดและมุเศาะหฺหัฟใน มะตัน ชนิดที่ 1 มุเศาะหฺหฟั ในสะนดั ตวั อยา ง ﻋﻦ ﺃﰊ، ﻋﻦ ﺍﻟﻌ ّﻮﺍﻡ ﺑﻦ ﻣﺮﺍﺟﻢ،ﺣﺪﻳﺚ ﺭﻭﺍﻩ ﻋﻦ ﺷﻌﺒﺔ . ﻋﻦ ﻋﺜﻤﺎﻥ ﺍﺑﻦ ﻋﻔﺎﻥ،ﻋﺜﻤﺎﻥ แปลวา : หะดีษจากชุอฺบะฮฺ จากอัลอัววาม เบ็ญ มุรอญิม จากอะบู อุษมาน จากอษุ มาน เบ็ญ อัฟฟาน(1) (1) อลั เฏาะหานะวีย หนา 40 (2) การพิจารณาถงึ การตศั หีฟหะดีษน้นั ตอ งพิจารณาจากการรายงานของผรู ายงานมใิ ชมาจากการตีพิมพ
176บทท่ี 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน สวนยะหฺยา เบ็ญ มะอีนคราวรายงานหะดีษขางตนกลาววา “หะดีษจาก ชุอฺบะฮฺ จากอัลอัววาม เบ็ญ มุซาญิม จากอะบูอุษมาน จากอุษมาน เบ็ญ อฟั ฟาน” ชนดิ ที่ 2 มุเศาะหฺหัฟในมะตันหะดีษ ตัวอยา ง อะบูบกั ร อัศศูลียค ราวรายงานหะดษี ขางตนกลาววา (( ... )) ﻣﻦ ﺻﺎﻡ ﺭﻣﻀﺎﻥ ﻭﺃﺗﺒﻌﻪ ﺷﻴﺌﹰﺎ ﻣﻦ ﺷﻮﺍﻝ ความวา “ผูใดถือศีลอดในเดือนรอมะฎอนและถือศีลอดอีกบางวันของ เดอื นเชาวลั ” ตวั บทหะดีษที่ถกู ตอ งคอื (( .... ﺘﺎ ﻣﻦ ﺷﻮﺍﻝ )) ﻣﻦ ﺻﺎﻡ ﺭﻣﻀﺎﻥ ﻭﺃﺗﺒﻌﻪ ﺳ: ﻋﻦ ﺃﰊ ﺃﻳﻮﺏ ความวา : จากอะบูอัยยูบ เลาวา รสูลุลลอฮฺ กลาววา “ผูใดถือศีลอด ในเดือน เราะมะฎอนและไดถือศีลอดอีกหกวันของเดือนเชาวัล …”(2) สวนสาเหตุที่ทําใหเกิดการตัศฮีฟนั้น คือ มาจากการคัดลอกหะดีษจาก ตําราและการบันทึกโดยไมไดฟง ( )ﺗﹶﻠﱢﻘﻲโดยตรงจากอาจารยดวยวิธีการอาน เพราะเหตุนี้ บรรดา อุละมาอฺ หะดีษไดมีการเตือนใหระมัดระวังการปฏิบัติ (1) บนั ทึกโดยมุสลิม : 8/18 (2) บนั ทกึ โดยมุสลมิ : 3/196
177บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน เชนน้ัน โดยกลาววา หามรับหะดีษโดยยึดจากการบันทึก หรือรับหะดีษจาก บุคคลอื่นทรี่ บั หะดษี ดว ยวธิ กี ารคัดลอกจากหนงั สือ 3. ฐานะของหะดษี มุเศาะหฺหัฟ หะดษี มเุ ศาะหหฺ ฟั เปนสวนหนึ่งของหะดษี เฎาะอีฟ เน่ืองจากขาดคุณสมบัติ ของหะดีษมักบูล คอื ความจาํ ไมด ี 4. การนํามาใชเปน หลักฐาน การตัศหีฟท่ีเกิดจากการรายงานท่ีผิดพลาดเปนบางครั้งบางคราวไมมีผล ตอการนําหะดีษมาใชเปนหลักฐานแตอยางใด แตหากการตัศหีฟน้ันเกิดจาก การผิดพลาดบอยคร้ังไมอนุญาตนํามาใชเปนหลักฐาน เวนแตมีหะดีษอื่นระบุ อยางชัดเจนของการตัศหีฟไมวาในสะนัดหรือในมะตัน หะดีษอ่ืนนั้นมีฐานะ เดียวกนั หรอื เหนอื กวา หนงึ่ สะนัดหรือมากกวา 5. ตาํ ราทเ่ี ก่ียวของ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﺪﺍﺭﻗﻄ ّﲏ، ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﺘﺼﺤﻴﻒ.1 ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﳋ ﹼﻄﺎ ّﰊ، ﻛﺘﺎﺏ ﺇﺻﻼﺡ ﺧﻄﺄ ﺍﶈﺪﺛﲔ.2 ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﰊ ﺃﲪﺪ ﺍﻟﻌﺴﻜﺮ ّﻱ، ﻛﺘﺎﺏ ﺗﺼﺤﻴﻔﺎﺕ ﺍﶈﺪﺛﲔ.3 ชนิดที่ 7 หะดษี มุหรั รอฟ หะดีษเฎาะอีฟท่ีมีสาเหตุมาจากความบกพรองในแงความจําเนื่องจาก ค ว า ม ผิ ด พ ล า ด ใ น ก า ร ร า ย ง า น ห ะ ดี ษ ทํ า ใ ห เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง ส ร ะ เ รี ย ก ว า หะดีษมุหรั รอ ฟ
178บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 1. นิยาม ตามหลกั ภาษาศาสตร คําวา “ ”ﳏﺮﻑมาจากรากคํา “ ”ﺣ ﱠﺮﻑ ﱢﳛﺮﻑ ﲢﺮﻳﻔﹰﺎแปลวา เปล่ียนแปลง หมายถึง เปลีย่ นแปลงสระ ตามหลักวชิ าการ หะดีษมหุ ัรรอ ฟ คอื หะดีษที่มีการเปลยี่ นแปลงสระไมเปลยี่ นตวั อกั ษร(1) การตะหรฺ ีฟมที ง้ั ในสะนัดและในมะตัน 1. การตะหรฺ ฟี ในสะนดั หมายถึง เปลีย่ นสระของชอื่ ผูรายงานหะดษี 2. การตะหรฺ ีฟในมะตัน หมายถงึ เปล่ียนสระของตัวบทหะดษี (2) 2. ชนิดและตัวอยา งหะดีษมุหัรรอฟ หะดษี มุหัรรอฟมี 2 ชนดิ ชนิดที่ 1 การตะหฺรีฟในสะนัด เชน ผูรายงานชื่อ َﻋِﻘْﻴﻞเปลี่ยนเปน ُﻋﹶﻘْﻴﻞ จาก َﺣ ْﻤٌﺮเปลยี่ นเปน َﺣ ْﻤ ٌﺪเปนตน ชนดิ ที่ 2 การตะหรฺ ีฟในมะตนั ตัวอยา ง (( )) ﺭﻣﻲ ﹸﺃَﺑﻲّ ﻳﻮﻡ ﺍﻷﺣﺰﺍﺏ: ﻋﻦ ﺟﺎﺑﺮ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ แปลวา : จากญาบิร กลาววา “อุบยั ยิงธนูในสงครามอัลอะฮฺซาบ”(1) (1) ดู อัตตะหานะวีย หนา 41 (2) เปล่ยี นในท่ีน่ีหมายถงึ เปลี่ยนจากสระขา งบนเปน สระขางลาง หรือจากสระขางลางเปนสระขางหนา (1) บนั ทึกโดยมุสลิม : 7/22
179บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน หะดษี ท่ถี กู ตองไดร ายงานตวั บทหะดษี กลาววา (( )) ﺭﻣﻲ ﺃ ْﰊ ﻳﻮﻡ ﺍﻷﺣﺰﺍﺏ ความวา : “พอของญาบริ ยิงธนใู นสงครามอลั อะฮฺซาบ” การเปล่ียนแปลงในลกั ษณะเชน น้เี ปน การเปล่ยี นเฉพาะสระเทานั้น สวนคํา ยังเขียนในรูปเดิมของมันครบทุกตัวอักษร ไมขาดตกบกพรองแมแตตัวอักษร เดยี ว 3. ฐานะของหะดษี มุหรั รอ ฟ หะดีษมุหัรรอฟเปนสวนหน่ึงของหะดีษเฎาะอีฟ เน่ืองจากขาดคุณสมบัติ ของหะดษี เศาะหีหฺ คือ ความสบั สน 4. การนาํ มาใชเปนหลักฐาน หะดีษมหุ ัรรอ ฟเหมอื นกับหะดีษมเุ ศาะหฺหัฟทุกประการ 5. ตําราทเ่ี กี่ยวขอ ง ไมม หี นงั สอื ท่ีแตงข้ึนเฉพาะหะดีษมุหรั รอ ฟ ระดบั ท่สี ่ี หะดษี เฎาะอฟี ญดิ ดัน หะดีษระดับน้ีมีสาเหตุมาจากความบกพรองในแงคุณธรรมของนักรายงาน ซ่ึงมีลักษณะเปนคนฟาสิก ถูกกลาวหาวาเปนคนโกหก มัตรูก มุนกัร เฎาะอีฟญิดดนั
180บทที่ 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 1. นิยาม หะดีษเฎาะอีฟญิดดัน คือ หะดีษท่ีรายงานโดยผูรายงานที่มีลักษณะตาง ๆ ดังที่กลาวมาขางตน เชน มัตรูก มุนกัร ถูกกลาวหาวาเปนคนโกหก ฟาสิก และเฎาะอีฟญิดดัน 2. ตวั อยางหะดษี เฎาะอฟี ญดิ ดนั หะดีษเฎาะอีฟญิดดันมีมากมาย แตท่ีจะยกตัวอยางเพียงบางหะดีษ เทานั้น เชน ﻋﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﷲ ﺑﻦ ﻋﻤﺮ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻤﺎ ﻋﻦ ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ )) ﻣﺎ ﳝﻨﻊ ﺃﺣﺪﻛﻢ ﺇﺫﺍ ﻋﺴﺮ ﻋﻠﻴﻪ ﺃﻣﺮ ﻣﻌﻴﺸﺘﻪ ﺃﻥ: ﻭﺳﻠﻢ ﻗﺎﻝ ، ﺑﺴﻢ ﺍﷲ ﻋﻠﻰ ﻧﻔﺴﻲ ﻭﻣﺎﱄ ﻭﺩﻳﲏ: ﻳﻘﻮﻝ ﺇﺫﺍ ﺧﺮﺝ ﻣﻦ ﺑﻴﺘﻪ ﻭﺑﺎﺭﻙ ﱄ ﻓﻴﻤﺎ ﻗﺪﺭ ﱄ ﺣﱴ ﻻ ﺃﺣﺐ،ﺍﻟﻠﻬﻢ ﺭﺿﲏ ﺑﻘﻀﺎﺋﻚ (( ﺗﻌﺠﻴﻞ ﻣﺎ ﺃﺧﺮ ُﺕ ﻭﻻ ﺗﺄﺧﲑ ﻣﺎ ﻋﺠﻠ ُﺖ ความวา : จากอับดุลเลาะ เบ็ญอุมัร เลาจากทานนบี ซ่ึงทานกลาว วา “ไมมีสิ่งใดกีดกั้นคนใดในหมูพวกเจา เมื่อรูสึกยุงยากตอการ งานใหเขาอานดุอาอฺในขณะท่ีจะกาวเทาออกจากบาน “ ﺑﺴﻢ ﺍﷲ ﻭﺑﺎﺭﻙ ﱄ ﻓﻴﻤﺎ، ﺍﻟﻠﻬﻢ ﺭﺿﲏ ﺑﻘﻀﺎﺋﻚ،ﻋﻠﻰ ﻧﻔﺴﻲ ﻭﻣﺎﱄ ﻭﺩﻳﲏ (” ﻗﺪﺭ ﱄ ﺣﱴ ﻻ ﺃﺣﺐ ﺗﻌﺠﻴﻞ ﻣﺎ ﺃﺧﺮﺕ ﻭﻻ ﺗﺄﺧﲑ ﻣﺎ ﻋﺠﻠﺖ1) (1) บันทึกโดยอิบนุอซั ซนุ นีย หนา 321 หมายเลขหะดีษ 352
181บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีย กลาววา หะดีษน้ีเปนหะดีษเฆาะรีบ บันทึก โดย อิบนุ อัสสุนนีย ซึ่งในสะนัดของหะดีษมีผูรายงานทานหน่ึงช่ือวา อีซา เบ็ญ มยั มนู มีสถานะเปนคนเฎาะอีฟญดิ ดัน (ออนมาก) 3. ฐานะของหะดษี เฎาะอีฟญดิ ดัน หะดษี เฎาะอีฟญดิ ดันมีฐานะสงู กวาหะดีษเมาฎอฺและตํ่ากวาหะดีษเฎาะอีฟ (หะดษี เฎาะอฟี ธรรมดา) เนือ่ งจากผูรายงานในสะนัดมสี ถานภาพทตี่ ่ํากวา 4. สถานะของหะดีษเฎาะอีฟญิดดัน หะดีษเฎาะอีฟญิดดันไมสามารถใหการสนับสนุนหะดีษเฎาะอีฟท่ีมาจาก สาเหตุความบกพรองในกระบวนการรายงานและความบกพรองในแงความจํา ของผูรายงาน และยังไมสามารถรับการสนับสนุนจากสายรายงานอ่ืนอีกดวย แมวามีกระแสรายงานมากมายก็ตาม เนื่องจากความบกพรองของผูรายงาน หะดษี นี้เก่ยี วของกบั คณุ ธรรม(1) 5. การรายงานหะดษี เฎาะอีฟญดิ ดนั ตามทศั นะของอลุ ะมาอหฺ ะดีษไมอ นุญาตใหรายงานหะดีษเฎาะอีฟญิดดันที่ เก่ียวของกับเร่ืองศาสนา เวนแตจะระบุระดับของหะดีษอยางชัดเจนหลังจาก กลาวหะดีษ 6. การนาํ มาใชเปนหลักฐาน ตามทัศนะของบรรดาอุละมาอฺไมอนุญาต (หะรอม) นําหะดีษเฎาะอีฟญิด ดันมาใชเปนหลักฐานและนํามาปฏิบัติตามในเรื่องตาง ๆ ของศาสนาอิสลาม (1) คุณธรรมเปนเงอ่ื นไขทสี่ ําคญั มากสําหรับวิชาการอิสลามในทกุ ๆ สาขาวิชา โดยเฉพาะอยางย่ิงวิชาการหะดษี และตฟั ซรี ซ่ึงมีความเก่ยี วขอ งกับคาํ ดาํ รสั ของอัลลอฮฺและคํากลาวของรสลู ลุ ลอฮฺ
182บทที่ 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน เชน เรื่องอะกีดะฮฺ เรื่องอิบาดะฮฺ เร่ืองอะฮฺกาม เร่ืองอีมาน เร่ืองคุณคาของ อะมา ล เรือ่ งการสนบั สนนุ ใหท ําความดแี ละหามปรามการทําความช่ัว เปน ตน อยางไรก็ตาม เม่ือมีการขัดแยงกันระหวางหะดีษเฎาะอีฟญิดดันกับหะดีษ เศาะหีหฺหรือหะดีษหะซัน จะตองปฏิบัติตามหะดีษศอหีหฺและหะดีษหะซัน เชน หะดีษของอิบนอุ ุมัร และหะดษี อืน่ ๆ ท่มี ีฐานะเดียวกัน ตัวอยา ง ﻗﺎﻝ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ: ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﻤﺮ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻤﺎ ﻗﺎﻝ (( )) ﺍﺫﻛﺮﻭﺍ ﳏﺎﺳﻦ ﻣﻮﺗﺎﻛﻢ ﻭﻛﻔﻮﺍ ﻋﻦ ﻣﺴﺎﻭﻳﻬﻢ: ﻭﺳﻠﻢ ความวา : จากอิบนุอุมัร ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﻢﺍเลาวา รสูลุลลอฮฺ กลาววา “พวกเจาจงกลาวสิ่งท่ีดี ๆ ตอคนตายในหมูพวกเจา และ จงปกปด สิ่งช่วั รายทพี่ วกเขาไดกระทําไว”(1) หะดีษบทนี้เปนหะดีษเฎาะอีฟญิดดัน เนื่องจากมีผูรายงานคนหนึ่งช่ือ อิ มรอน เบ็ญ อัลหุศ็อยนฺ อัลมักกีย อิมามอัลบุคอรียกลาววา “มีสถานภาพเปน คนมุนกัรหะดีษ” และหะดีษบทน้ีขัดแยงกับหะดีษจากอาอิชะฮฺ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﺎ และจากอานสั เบญ็ มาลกิ 1) หะดษี จากอาอชิ ะฮฺ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﺎกลา ววา รสูลลุ ลอฮฺ กลาววา (( )) ﻻ ﺗﺴﺒﻮﺍ ﺍﻷﻣﻮﺍﺕ ﻓﺈﻧﻬﻢ ﻗﺪ ﺃﻓﻀﻮﺍ ﺇﱃ ﻣﺎ ﻗﺪﻣﻮﺍ (1) บันทึกโดยอัตตริ มซิ ีย : 3/330
183บทที่ 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ความวา : “พวกเจาอยาสาปแชงคนที่เสียชีวิตไปแลว เพราะพวกเขาได จากในสง่ิ ท่ีพวกเขาไดก อไว”(2) 2) หะดีษจากอะนัส เบญ็ มาลกิ กลา ววา ﻓﻘﺎﻝ ﺍﻟﻨﱯ ﺻـﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ،ﻣﺮﻭﺍ ﲜﻨـﺎﺯﺓ ﻓﺄﺛﻨﻮﺍ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺧﲑﹰﺍ ﻓﻘﺎﻝ، ﰒ ﻣﺮﻭﺍ ﺑﺄﺧﺮﻯ ﻓﺄﺛﻨﻮﺍ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺷﺮﹰﺍ. )) ﻭﺟﺒ ْﺖ: ﻭﺳﻠﻢ ﻭﺟﺒ ْﺖ ﻓﻘﺎﻝ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﺍﳋﻄﺎﺏ: ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ ﻫﺬﺍ ﺃﺛﻨﻴﺘﻢ ﻋﻠﻴﻪ ﺧﲑﹰﺍ: ﻣﺎ ﻭﺟﺒﺖ؟ ﻗﺎﻝ: ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﺃﻧﺘﻢ، ﻭﻫﺬﺍ ﺃﺛﻨﻴﺘﻢ ﻋﻠﻴﻪ ﺷﺮﹰﺍ ﻓﻮﺟﺒ ْﺖ ﻟﻪ ﺍﻟﻨﺎﺭ،ﻓﻮﺟﺒ ْﺖ ﻟﻪ ﺍﳉﻨﺔ .(( ﺷﻬﺪﺍﺀ ﺍﷲ ﰲ ﺍﻷﺭﺽ ความวา : พวกเขา (บรรดาเศาะหาบะฮฺ) ไดเดินผานมายัต มีบางทานได กลาวสรรเสริญตอมายัต ดังน้ัน รสูลุลลอฮฺ กลาววา “แนแท เปนเชนนั้นจริง” และพวกเขาเดินผานมายัตอื่นอีก มี (เศาะ หาบะฮฺ)บางทาน กลาวตําหนิตอมายัตท่ีอยูในสุสานนั้น ทานนบี กลาววา “แนแทเปนเชนนั้นจริง” อุมัร เบ็ญ อัลคอฏฏอบถาม วา ท่ีเปนเชนนั้นจริงคืออะไร? ทานนบีตอบวา “คนที่พวกเจากลาว สรรเสริญ เขามีสิทธิ์ท่ีจะเขาสวรรค และคนท่ีพวกเจากลาวตําหนิ พวกเขานั้นก็มีสิทธตกนรก พวกเจาก็เปนพยานของอัลลอฮฺใน พ้ืน แผนดนิ นี้”(3) (2) บนั ทึกโดยอัลบคุ อรีย : 3/258, อนั นะสาอีย : 4/53 และอลั บยั ฮะกีย : 4/126 (3) บนั ทึกโดยอัลบคุ อรีย : 3/228, มุสลิม : 2/655 และอลั บัยฮะกยี : 4/126
184บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 7. ชนดิ ของหะดษี เฎาะอีฟญดิ ดัน หะดษี เฎาะอฟี ญิดดันแบง ออกเปน 2 ชนดิ ชนดิ ท่ี 1 หะดษี มนุ กัร ชนิดที่ 2 หะดษี มตั รูก ชนดิ ท่ี 1 หะดีษมนุ กัร หะดีษท่ีมีสาเหตุมาจากความบกพรองของผูรายงานในแงคุณธรรมที่มี ลักษณะคือเฎาะอีฟญิดดัน มุนกัรหะดีษ ฟสกฺ ฟุฮฺชู เฆาะลัฏ กัษเราะฮฺฆอฟ ละฮฺ และกัษเราะฮฺเอาฮามเรยี กวา หะดษี มนุ กัร 1. นิยาม หะดีษมุนกัร คือ หะดีษที่รายงานโดยผูรายงานที่เฎาะอีฟขัดแยงกับการ รายงานของผูรายงานที่ษิเกาะฮฺ(1) หรือ หะดีษที่รายงานโดยผูรายงานเปนคนฟา สกิ และอ่นื ๆ 2. ตวั อยางหะดีษมุนกัร 1) หะดษี จากอะบสู ะอดี อัลคุดรยี กลาววา รสูลลุ ลอฮฺ กลา ววา ﻓﺈﻥ ﺫﻟﻚ ﻻ ﻳﺮ ّﺩ،)) ﺇﺫﺍ ﺩﺧﻠﺘﻢ ﻋﻠﻰ ﻣﺮﻳﺾ ﻓﻨﻔﺴﻮﺍ ﻟﻪ ﰲ ﺃﺟﻠﻪ .(( ﺷﻴﺌﹰﺎ ﻭﻳﻄﻴﺐ ﻧﻔﺴﻪ (1) อัลเฏาะหานะวยี หนา 42
185บทท่ี 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ความวา : “เม่ือพวกเจาเขาเย่ียมผูปวย ก็จงทําใหเขามีความสบายใจ ในอะญัลของเขา เน่อื งจากส่งิ น้ันไมสามารถปฏเิ สธไดแมแตนิด เดียว และจงปะน้าํ หอมบนตวั ของเขา”(2) หะดษี บทน้ีเปนหะดีษมุนกัร เนื่องจากมีผูรายงานทานหนึ่งชื่อวา มูซา เบ็ญ มุฮมั มัด เบ็ญ อิบรอฮมี อตั ตยั มีย มีสถานภาพเปน คนมุนกรั หะดีษ 2) จากอิบนอุ ุมรั กลา ววา รสูลลุ ลอฮฺ กลา ววา (( ))ﺍﺫﻛﺮﻭﺍ ﳏﺎﺳﻦ ﻣﻮﺗﺎﻛﻢ ﻭﻛﻔﻮﺍ ﻋﻦ ﻣﺴﺎﻭﻳﻬﻢ ความวา : “พวกเจาจงพูดถึงส่ิงดี ๆ ในตัวผูตาย และจงปกปดสิ่งชั่วรายที่ เขาไดกอ ไว”(1) หะดีษบทน้ีเปนหะดีษมุนกัร (เฎาะอีฟญิดดัน) เนื่องจากในสะนัดมี ผูรายงานทานหนึ่งชื่อ อิมรอน เบ็ญ หุศัยนฺ อัลมักกีย ซ่ึงอัลบุคอรีย กลาววา : มุนกัรหะดีษ 3. ฐานะของหะดีษมุนกรั หะดีษมุนกัรเปนสวนหน่ึงของหะดีษเฎาะอีฟยิดดัน(2) และหะดีษชนิดนี้มี ฐานะ ตํา่ กวา หะดีษมัตรกู (2) บนั ทึกโดยอัตตรั มซิ ยี : 4/412 อะบอู ีซากลาววา หะดษี นี้เปนหะดีษเฆาะรบี (1) บนั ทึกโดยอัตตริ มซิ ีย : 3/330 (2) อลุ ะมาอฺบางทา นมคี วามเหน็ วา หะดษี มุนกรั เปนสว นหนึ่งของหะดษี เฎาะอีฟโดยไมไดแยกระหวางหะดษี เฎาะ อฟี ธรรมดากับหะดีษเฎาะอีฟญิดดัน ซ่งึ เปนการพิจารณาทร่ี ะดับของหะดีษเทาน้นั โดยไมไดพจิ ารณาท่ี สถานภาพของผูรายงานหะดีษแตอ ยางใด
186บทท่ี 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน 4. การนํามาใชเปนหลักฐาน อุละมาอฺหะดีษมีความเห็นวา ไมอนุญาตใหรายงานหะดีษมุนกัรใหสังคม ฟงนอกจากจะระบุสถานภาพของหะดีษอยางชัดเจน และไมอนุญาตใหนํามาใช เปน หลกั ฐานในเรอื่ งตา ง ๆ ทเ่ี กี่ยวของกบั ศาสนา มีการเขาใจผิดเก่ียวกับระดับของหะดีษมุนกัรวา เปนหะดีษเฎาะอีฟที่ สามารถนํามาใชเปนหลักฐานในสวนที่เปนหุกมสุนัต เชน การละหมาดสุนัต การถือศีลอดสุนัต การทําความดี และการหามปรามทําความชั่ว เปนตน จาก นิยามขางตนพอสรุปไดวา หากพิจารณาลักษณะเดิมของสายรายงานท่ีเปน เฎาะอีฟ หรือการรายงานของคนเฎาะอีฟท่ีไมขัดแยงกับการรายงานของคน ษิเกาะฮฺ หะดีษในลักษณะนี้จะถือเปนหะดีษเฎาะอีฟ แตการพิจารณาของการ เปนหะดีษมุนกัรน้ันก็ตองพิจารณาระหวางการรายงานของคนเฎาะอีฟท่ีขัดแยง กับการรายงานของคนษิเกาะฮฺ ดังน้ัน การตัดสินหะดีษเปนหะดีษมุนกัรจะตอง พิจารณาจํานวนสายรายงานที่มีมากกวาหน่ึงสายหรือสายรายงานท่ีมาจากการ รายงานของคนฟาสกิ เปนตน ชนิดท่ี 2 หะดีษมตั รูก หะดีษที่มีสาเหตุมาจากความบกพรองของผูรายงานในแงคุณธรรมคือ ถูก กลาวหาวาเปนคนโกหก มัตรูกหะดีษ และซาฮิบหะดีษ หะดีษในลักษณะน้ี เรยี กวา หะดษี มตั รูก 1. นยิ าม หะดีษมัตรูก คือ หะดีษที่รายงานโดยผูรายงานที่มีสถานภาพเปนคนถูก กลาววา เปน คนโกหก หรือซาฮบิ หะดีษ หรอื มตั รกู หะดีษ(1) (1) อัลศอนอานีย หนา 252
187บทท่ี 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน จากนยิ ามขางตน พอสรุปสาระสาํ คญั เกย่ี วกับหะดีษมัตรูก 2 ประการ หนึ่ง ลกั ษณะของผูร ายงานหะดีษมตั รกู 1. ผูที่ทราบกันอยางแพรหลายวาเปนคนที่ชอบพูดโกหก(2) แตไมเคย ปรากฏการโกหกตอหะดษี นะบะวยี แ มแ ตนดิ เดียว 2. ผทู ี่ถกู กลา ววาเปน คนโกหกตอหะดีษนะบะวยี สอง การเรยี กชอื่ หะดษี เปน หะดษี มัตรกู การเรยี กหะดีษมตั รกู น้ันตอ งประกอบดวยเงื่อนไข 2 ประการคอื 1. มีการรายงานหะดษี จากผรู ายงานเพยี งคนเดียวเทาน้นั 2. หะดีษที่ถูกรายงานน้ันมีเน้ือหาที่ขัดแยงกับหลักการท่ัวไปของ บทบญั ญัติ(3) อลุ ะมาอบฺ างทา นเรยี กหะดีษมตั รกู วา “หะดษี มตั รหู ฺ”(4) 2. ตัวอยา งหะดษี มัตรกู 1. หะดีษจากอัมรฺ เบ็ญ ชัมมัร อัลุอฺฟย อัลกูฟย อัลชีอีย จากญาบิร จาก อะบอู ัลฏฟ ย ลฺ จากอะลีและอมั รฺ ทง้ั สองทา นน้กี ลา ววา ﻋﻦ، ﻋﻦ ﺟﺎﺑﺮ،ﺣﺪﻳﺚ ﻋﻤﺮﻭ ﺑﻦ ﴰﺮ ﺍﳉﻌﻔﻲ ﺍﻟﻜﻮﰲ ﺍﻟﺸﻴﻌﻲ ﻛﺎﻥ ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ: ﻋﻦ ﻋﻠﻲ ﻭﻋﻤﺮﻭ ﻗﺎﻻ،ﺃﰊ ﺍﻟﻄﻔﻴﻞ ،ﻭﺳﻠﻢ ﻳﻘﻨﺖ ﰲ ﺍﻟﻔﺠﺮ ﻭﻳﻜﱪ ﻳﻮﻡ ﻋﺮﻓﺔ ﻣﻦ ﺻﻼﺓ ﺍﻟﻐﺪﺍﺓ .ﻭﻳﻘﻄﻊ ﺻﻼﺓ ﺍﻟﻌﺼﺮ ﺃﺧﺮ ﺃﻳﺎﻡ ﺍﻟﺘﺸﺮﻳﻖ (2) เปน ท่ีรกู นั ในสงั คมวา เขาเปน ทช่ี อบพดู โกหก (3) อิบนุ อลั เศาะลาหฺ หนา 43 (4) อัลศอนอานีย หนา 253
188บทท่ี 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ความวา : “ทานนบี อานกุนูตในละหมาดซุบฮฺ และทานกลาวตักบีรใน วันอะรอฟาตต้ังแตละหมาดซุฮรฺและสิ้นสุดเวลาละหมาดอัศรฺ วนั สดุ ทายของวันตัชรกี ”(1) อิมามอันนะสาอียและอิมามอัดดารอกุฏนียกลาววา จากอัมรฺ เบ็ญ ชัมมัร ทานเปนผรู ายงานมัตรกู (2) 2. จากอับดุลเลาะ เบ็ญ มสั อูด เลาจากทานนบี กลาววา ﻋﻦ ﻋﺒﺪﺍﷲ ﺑﻦ ﻣﺴﻌﻮﺩ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﻋﻦ ﺍﻟﻨﱯ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ .(( ))ﻣﻦ ﻋﺰﻯ ﻣﺼﺎﺑﺎ ﻓﻠﻪ ﻣﺜﻞ ﺃﺟﺮﻩ: ﻭﺳﻠﻢ ﻗﺎﻝ ความวา : “ผูใดท่ียกยองในความถูกตองแลว เขาจะไดรับผลบุญเทากับ ผลบญุ ของเขา”(3) หะดีษบทน้ีเปนหะดีษมัตรูก เน่ืองจากในสายรายงานของหะดีษมี ผูรายงานทานหนึ่งมีสถานภาพเปนคนที่ถูกกลาวหาวาเปนโกหกคือ อะลี เบ็ญ อาเศม็ (4) (1) อซั ซะฮะบยี : 2/268 (2) หนังสอื เดิม (3) บันทกึ โดยอัลตริ มิซยี : 3/376 และอัลบยั ฮะกีย : 4/49 (4) ดู มุฮัมมดั เบ็ญ อลั ลาน : 4/137
189บทที่ 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 3. ฐานะของหะดีษมัตรกู หะดีษมัตรูกเปนสวนหนึ่งของหะดีษเฎาะอีฟญิดดันมีฐานะต่ํากวาหะดีษ มุนกรั และสงู กวา หะดษี เมาฎอ ฺ 4. การนาํ มาใชเ ปนหลกั ฐาน การนําหะดีษมัตรูกมาใชเปนหลักฐานเหมือนกับการนําหะดีษมุนกัรเปน หลักฐาน ระดบั ทหี่ า หะดีษเมาฎอ ฺ หะดีษท่ีมีสาเหตุมาจากความบกพรองของผูรายงานในแงคุณธรรม คือ กลาวเท็จตอทานนบีและหะดีษของทาน หะดีษในลักษณะนี้เรียกวา หะดษี เมาฎอ ฺ 1. นยิ าม ตามหลักภาษาศาสตร คําวา “ ”ﻣﻮﺿﻮﻉเปนคํานามในรูปมัฟอูล มาจากรากศัพทของคํา ﻭﺿﻊ ﻳﻀﻊ ﻭﺿﻌﹰﺎแปลวา กุ หรือประดิษฐ หรือแตงข้ึนมา ดังน้ัน คําวา “เมาฎอฺ” หมายถึง สิ่งทีถ่ ูกกขุ น้ึ มา ตามหลกั วิชาการ หะดีษเมาฎอฺ คือ หะดีษทีอุปโลกนขึ้นมาแลวพาดพิงไปยังทานนบี ไม วา ดวยความต้งั ใจหรือเกิดจากการผิดพลาด(1) อุลามาอฺบางทาน กลาววา ควรแยกระหวางการโกหกโดยต้ังใจกับการ ผิดพลาด กลาวคือ ส่ิงที่กุข้ึนมาโดยเจตนาโกหกแลวพาดพิงไปยังทานนบี (1) อสั สุยฏู ยี : 1/273
190บทท่ี 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน เรียกวา หะดีษเมาฎอฺสวนส่ิงพาดพิงไปยังทานนบี เน่ืองจากไมไดตั้งใจหรือ เกิดจากการผิดพลาดเรียกวา หะดีษบาติล(2) และสิ่งท่ีพาดพิงไปยังทานนบี จากคําพูดหรือการกระทําของใครคนหน่ึงคนใดนั้นนาจะเรียกวา ลาอัศลาละฮฺ (ไมร ูทมี่ าท่ไี ป) อุละมาอฺบางทานไดอธิบายเพ่ิมเติมกลาววา ทุกอยางท่ีพาดพิงไปยัง เศาะหาบะฮฺและตาบิอีน แตมีขอสังเกตวา เม่ือมีการพูดน้ันถูกกลาวไวในลักษณะ อิสระแลวความหมายของมันจะเจาะจงเฉพาะการโกหกตอทานนบี เทานั้น สวนคําพูดที่ถูกกลาวในลักษณะเงื่อนไข คํานี้มักจะใชกับเศาะหาบะฮฺเทานั้น เชน เมาฎอ ฺตอ อบิ นอุ ับบาสและตอ ตาบิอีน เชน เมาฎอ ตฺ อ มญุ าฮดิ (3) เปนตน โดยทัว่ ไปแลวหะดีษในระดับนี้จะมีชือ่ เรยี กทห่ี ลากหลาย เชน หนงึ่ หะดษี เมาฎอฺ ()ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﳌﻮﺿﻮﻉ สอง หะดษี บาติล ()ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺍﻟﺒﺎﻃﻞ สาม หะดีษลาอัศลาละฮฺ ()ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻻ ﺃﺻﻞ ﻟﻪ 2. ทม่ี าของหะดีษเมาฎอฺ จากนิยามขา งตนสามารถทราบไดวา ทมี่ าของหะดษี เมาฎอฺมี 2 แหลง หนงึ่ ผูกุหะดีษไดแตงสํานวนข้ึนมาจากตัวเขาเอง แลวพาดพิงไปยัง ทานนบี หรือพาดพิงไปยงั เศาะหาบะฮฺ หรอื พาดพงิ ไปยงั ตาบอิ ีน (2) อุมรั หะสัน ฟุลลาตะฮฺ : 1/100 (3) อะบชู ุฮบฺ ะฮฺ หนา 14
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220