Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore มุศเฏาะละหฺอัลหะดีษ โดย ผศ. ดร. อับดุลเลาะ การีนา

มุศเฏาะละหฺอัลหะดีษ โดย ผศ. ดร. อับดุลเลาะ การีนา

Published by Ismail Rao, 2021-01-22 16:17:09

Description: มุศเฏาะละหฺอัลหะดีษ
โดย ผศ. ดร. อับดุลเลาะ การีนา

https://drive.google.com/file/d/1d2cezUFpkyssBWiJx43KgylE1IwQSjdk/view?usp=sharing

Search

Read the Text Version

191บทที่ 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน สอง ผูกุหะดีษลอกคําพูดของเศาะหาบะฮฺบางทาน ตาบิอีนบางทาน คําพูดของนักแตงเรื่อง (หุกะมาอฺ) นักซูฟย หรือจากเรื่องราวของชาวอิสรออีล แลว พาดพงิ ไปยงั ทานนบี  โดยหวังไดรบั การยอมรับจากบุคคลทั่วไป(1) 3. ตัวอยา งหะดษี เมาฎอฺ หะดีษเมาฎอฺ หะดีษบาติล และหะดีษลาอัศลาละฮฺ สวนมากแลวการกุหะ ดษี นนั้ จะพาดพงิ ไปยงั บคุ คลตา ง ๆ 4 รนุ ดวยกัน (1) คําพูดท่ีพาดพิงไปยงั ทา นนบี  ตวั อยาง หะดษี ท่ี 1 มีการรายงานวา ทานนบี  กลาววา ‫ ))ﻣﻦ ﺗﻜﻠﻢ ﰲ ﺍﳌﺴﺠﺪ ﻣﻦ ﻛﻼﻡ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ ﻓﻘﺪ ﺃﺣﺒﻂ‬: ‫ﺣﺪﻳﺚ‬ .(( ‫ﺍﷲ ﺃﻋﻤﺎﻟﻪ ﺃﺭﺑﻌﲔ ﺳﻨﺔ‬ ความวา : “ผูใดท่ีพูดในมัสยิดเกี่ยวกับเรื่องทางโลก อัลลอฮฺทรงทําใหอะ มาลของเขาเสยี ในระยะเวลา 40 ป”(2) หะดษี ท่ี 2 จากอิบนุอมุ ัร  เลาวา รสลู ุลลอฮฺ  กลาววา ‫ ﻗﺎﻝ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ‬: ‫ ))ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﻤﺮ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﺎ ﻗﺎﻝ‬: ‫ﺣﺪﻳﺚ‬ ‫ ﻭﻣﻔﺘﺎﺡ ﺍﳉﻨﺔ ﺣﺐ‬،‫ ))ﻟﻜﻞ ﺃﻣﺮ ﻣﻔﺘﺎﺡ‬: ‫ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ‬ ((‫ ﻭﻫﻢ ﺟﻠﺴﺎﺀ ﺍﷲ ﻳﻮﻡ ﺍﻟﻘﻴﺎﻣﺔ‬،‫ﺍﳌﺴﺎﻛﲔ ﻭﺍﻟﻔﻘﺮﺍﺀ‬ (1) อะบชู ุฮฺบะฮฺ หนา 14 (2) อัชเชากานยี  หนา 62

192บทที่ 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ความวา : “ทุก ๆ การงานมีกุญแจของมัน กุญแจของสวนสวรรคคือ รัก และเอ็นดูคนยากจน ซึ่งพวกเขาเหลาน้ีเปนคนที่สวามิภักด์ิ ตออัลลอฮฺในวันกิยามตั ” (3) หะดีษบทนี้มีการวิพากษวิจารษมากมาย แตขอยกเปนตัวอยางเพียงสอง ทัศนะเทานั้น(1) คือ อิมามอิบนุอัลเญาซีย กลาววา : อัดดารอกุฏนียกลาววา: หะดีษบทน้ีมาจากการกุขึ้นมาโดยอุมัร เบ็ญ รอชิด อัลญารีย จากมาลิก เบ็ญ อะนัสแลวพาดพิงไปยังอะบูมัศอับ(2) และอิบนุหิบบาน กลาววา : เปนหะดีษ เมาฎอฺ มาจากการกุของอะหฺมัด เบ็ญ ดาวุด เขาเปนนักกุหะดีษ ไมอนุญาตให นําหะดีษน้ีบอกกลาวใหคนอื่นฟง เวนแตเพ่ือเปดเผยใหคนท่ัวไปไดทราบฐานะ ของหะดีษเพ่ือจะไดห ลีกเลยี่ งการนําหะดษี มาใชจากการรายงานของเขา(3) (2) คําพูดของเศาะหาบะฮฺบางคนซ่ึงถูกนํามาพาดพิงไปยังทานนบี  ตัวอยาง หะดีษที่ 3 มีการรายงานมาจากทานนบี  ซ่ึง ทา นกลา ววา ‫ ))ﺃﺣﺒﺐ ﺣﺒﻴﺒﻚ ﻫﻮﻧﺎ ﻣﺎ ﻋﺴﻰ ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻥ ﺑﻐﻴﻀﻚ ﻳﻮﻣﺎ‬: ‫ﺣﺪﻳﺚ‬ ((‫ ﻭﺃﺑﻐﺾ ﺑﻐﻴﻀﻚ ﻫﻮﻧﺎ ﻣﺎ ﻋﺴﻰ ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻥ ﺣﺒﻴﺒﻚ ﻳﻮﻣﺎ ﻣﺎ‬،‫ﻣﺎ‬ (3) บนั ทกึ โดยอิบนอุ ะดีย : 6/2375, อิบนุอลั เญาซีย : 3/141 จากสายรายงานของอะหมฺ ัด เบ็ญดาวูด เบญ็ อับ ดลุ กอเดร จากอะบมู ัศอับ จากมาลดิ เบญ็ อะนัส จากนาฟอ ฺ จากอบิ นอุ มุ รั (1) ดู อลั อัลบานีย : 3/582-584 (2) บันทกึ โดยอิบนุหบิ บาน : 1/146-147 (3) อบิ นอุ ัลเญาซีย : 3/141

193บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ความวา : “จงรักคนท่ีเขารักทาน (พอประมาณ) เผ่ือวาสักวันหนึ่งทานจะ เกลียดเขา และจงเกลียดคนท่ีเขาเกลียดทาน(พอประมาณ) เผ่ือ วา สกั วนั หนง่ึ เขาจะรักทาน”(4) สํานวนหะดีษขางตนไมใชคําพูดของทานนบี  แตอยางใด แตเปนคําพูด ของทาน อะลี เบญ็ อะบีฏอลิบ (3) คําพูดมาจากตาบิอีนบางทานแลวพาดพิงไปยังทานนบี  ตวั อยาง หะดษี ที่ 4 มกี ารรายงานมาจากทานนบี  ซ่งึ ทา นกลาววา .((‫ ﻭﺑﺎﻵﺧﺮﺓ ﱂ ﺗﺰﻝ‬،‫ ))ﻛﺄﻧﻚ ﰲ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ ﱂ ﺗﻜﻦ‬: ‫ﺣﺪﻳﺚ‬ ความวา : “เสมือนกับวาคุณไมไดอยูในโลกน้ี และชีวิต (ของคุณ) ในวัน อาคิเราะฮฺนน้ั ตลอดไป”(5) สํานวนหะดีษขางตนเปนคํากลาวของอุมัร เบ็ญ อับดุลอะซีซ(6) แตถูก พาดพิงไปยังทาน นบี  (4) คําพดู ของฮกุ ะมาอฺ(1)บางคนแลวพาดพงิ ไปยงั ทา นนบี  ตวั อยา ง หะดีษที่ 5 มีการรายงานวา ทานนบี  กลาววา (4) อะบชู ุฮบฺ ะฮฺ หนา 14-15 (5) หนงั สอื เดิม (6) อมุ รั เบญ็ อับดุลอะซซี ไมไดพบเจอและฟงหะดษี โดยตรงจากรสูลลุ ลอฮฺ  เนื่องจากทานเกิดหลังจากทีท่ าน เสยี ชีวิตไปแลว (1) หุกะมาอฺ หมายถึง นักพดู หรือนักอรรถาธบิ ายเรอ่ื งราวตา ง ๆ

194บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ‫ ﻭﻋﻮﺩﻭﺍ ﻛﻞ‬،‫ ﻭﺍﳊﻤﻴﺔ ﺃﺻﻞ ﺍﻟﺪﻭﺍﺀ‬،‫ ))ﺍﻟﺒﻄﻨﺔ ﺃﺻﻞ ﺍﻟﺪﺍﺀ‬: ‫ﺣﺪﻳﺚ‬ ((‫ﺟﺴﻢ ﻣﺎ ﺍﻋﺘﺎﺩ‬ ความวา : “ทองเปนแหลงแหงโรคทั้งหลาย การลดกินในบางสิ่งเปนเจา แหงยาทั้งหลาย และจงสรางความเคยชินใหทุกๆสวนของ รา งกาย ดวยกินสง่ิ ท่มี นั เคยไดร บั ความเคยชิน”(2) หะดีษบทน้ีเปนหะดีษลาอัศลาละฮฺ มาจากการรายงานของอัลุวัยบะรีย อิมาม อัลซฮุ รฺ ยี  กลา ววา อลั บุ ะรียเปนนักกุหะดีษแลวพาดพิงไปยังทานนบี  (3) หะดีษบทน้ีเปนหะดีษลาอัศลาละฮฺ (‫ )ﻻ ﺃﺻﻞ ﻟﻪ‬ทานอัลฮาฟซอัลอิรอกีย กลาววา “ฉันไมเคยพบท่ีมาของหะดีษบทน้ี” ความเห็นของอัลอิรอกียนี้ไดรับการ สนับสนุนจาก อัลหาฟศ อัลซะคอวีย อิมามอิบนุ อัลกัยยิมกลาวในหนังสือซาด อัลมะอาดวา “ท่ีจริงแลวหะดีษบทนี้เปนคําพูดของอัลฮาริษ เบ็ญกิลดะฮฺ ซ่ึงเปน หมอชาวอาหรับ การแอบอา งเปน คําพูดของทานนบี  เปน ส่งิ ทไี่ มถ กู ตอ ง”(4) นอกจากหะดีษท่ีไดกลาวขางตนแลวยังมีหะดีษเมาฎอฺอีกมากมายที่ แพรหลายในสังคมมุสลิมโดยเฉพาะหะดีษเมาฎอฺท่ีเก่ียวกับอิบาดาต คุณคา ของอะมาล การสนับสนุนใหทําความดีและหามปรามทําความช่ัว และท่ีสําคัญ มากท่ีสุดจะเปนหะดีษเมาฎอฺที่พูดถึง เศาะหาบะฮฺ เชน การเปนเคาะลีฟะฮฺไมวา (2) บันทกึ โดยอิบนุอะดีย : 2/207 (3) อัลอัลบานีย : 1/415 (4) ดู หนังสือเดิม : 3/582-584

195บทที่ 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน จะยกยองหรือตําหนิ การส่ังเสีย การสนับสนุนทานหนึ่งทานใดและปฏิเสธพวก เขา เปนตน 4. ฐานะของหะดีษเมาฎอ ฺ หะดีษเมาฎอ ฺ คอื หะดีษท่มี ีฐานะตํา่ ทีส่ ุดในบรรดาหะดีษเฎาะอีฟเน่ืองจาก เปนการกลาวเท็จตอหะดีษนบี  และเปนเพียงคําพูดของสามัญชนเทานั้นแลว พาดพิงไปยังทา นนบี  5. การรายงานหะดษี เมาฎอฺ บรรดาอุละมาอฺมีความเห็นพองกันวา ไมอนุญาต (หะรอม) แกผูที่ ทราบวาเปนหะดีษเมาฎอฺนํามารายงานใหแกสาธารณชนท้ังหลายท่ีเก่ียวกับเรื่อง ตาง ๆ ของศาสนา เชน อะกีดะฮฺ อิบาดะฮฺ คุณคาของอะมาล และอ่ืน ๆ เวน แตมีการระบุระดับของหะดีษดวย(1) เน่ืองจากมีหะดีษบทหน่ึง ซ่ึงทานนบี  กลาววา ((‫))ﻣﻦ ﺣﺪﺙ ﻋﲏ ﲝﺪﻳﺚ ﻳﺮﻯ ﺃﻧﻪ ﻛﺬﺏ ﻓﻬﻮ ﺃﺣﺪ ﺍﻟﻜﺎﺫﺑﲔ‬ ความวา : “ผูใดรายงานหะดีษหน่ึงบทจากฉัน ทั้ง ๆ เห็นวามันโกหก แนนอนเขาเปน คนหนึง่ ในบรรดาผูโกหกท้ังหลาย”(2) 6. การนํามาใชเ ปนหลกั ฐาน บรรดาอุละมาอฺมีความเห็นพองกันวา ไมอนุญาต (หะรอม) ใหนําหะดีษ เมาฎอฺ มาใชเปนหลักฐานและนํามาปฏิบัติตามที่เก่ียวกับเร่ืองศาสนา เชน อะกีดะฮฺ อิบาดาต หุกมหะกัม การนิกาหฺ ญะนาซะฮฺ มุอามะลาต คุณคา (1) อบิ นุ อัศเศาะลาหฺ หนา 109 (2) บันทึกโดยมุสลิม : 2/231

196บทที่ 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ของอะมาล ชวี ประวัติของทา น นบแี ละเศาะหาบะฮฺ การสนับสนุนใหทําความดี และหามปรามทาํ ความช่ัว เปน ตน (3) 7. การรจู ักหะดษี เมาฎอฺ การรูจกั หะดีษเมาฎอ สฺ ามารถพจิ ารณาจากหลาย ๆ อยา งตอ ไปน้ี 1. ผูกุหะดีษยอมรับสารภาพวาเขากุขึ้นมาเอง เชน การสารภาพของนักกุ หะดีษวา เขาได กุหะดีษเกี่ยวกับเรื่องหน่ึงเร่ืองใดของศาสนาและเรื่องอ่ืนๆ เชน การสารภาพของอะบอู ศั มะฮฺ นหู ฺ เบ็ญ อะบมี ัรยมั 2. คําหรือสํานวนท่ีมีความหมายเหมือนกับการสารภาพ หรือการยอมรับ ของการกุหะดษี เชน มีการรายงานหะดษี จากอาจารยทา นหนง่ึ ซงึ่ เขาไมเคยรับหะ ดีษมากอ นและหะดีษนนั้ ไมมีใครคนอนื่ ท่ีรายงานนอกจากเขาเพยี งผเู ดียวเทานัน้ 3. มีกรณีแวดลอมในตัวผูรายงาน เชน ผูรายงานเปนพวกรอฟเฎาะฮฺหรือ ชีอะฮฺ(1) โดยสว นใหญแลว มกั จะกุหะดษี เก่ยี วกับครอบครวั ของทานนบี  (2) 4. ตัวบทของหะดีษขัดแยงอยางชัดเจนกับอัลกุรอาน หะดีษเศาะหีหฺและ ความคิดทถ่ี ูกตอ ง(3) 8. ประวตั คิ วามเปน มาของหะดษี เมาฎอ ฺ ดังท่ีกลาวมาแลวในเร่ืองของสะนัดวา บรรดาเศาะหาบะฮฺเปนคนที่มี คุณธรรม ซ่ึงไดรับการยอมรับจากอัลลอฮฺ  วาเปนกัลยาณชนท่ีชอบปฏิบัติ ตามและเลียนแบบทานนบี  ดวยจิตวิญญาณและการกระทําตลอดชีวิตของ พวกเขา อะนสั เบญ็ มาลกิ ไดร ายงาน หะดษี บทหน่ึงเลา วา มผี ชู ายคนหน่ึงถาม (3) อุมรั หะสนั ฟลุ ลาตะฮฺ : 1/135 (1) กลมุ รอฟเ ฎาะฮแฺ ละกลุม ชีอะฮฺกน็ บั ถือศาสนาอสิ ลามเชนกนั แตไมใ ชอ ะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ (2) มะหมฺ ดู อลั เฏาะหฺหาน หนา 176 (3) อมุ รั หะสัน ฟุลลาตะฮฺ : 1/334

197บทท่ี 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ทานวา “ทานไดฟงหะดีษจากรสูลุลลอฮฺ  ใชหรือไม?” ทานตอบวา “ใช หรือ ทานกลาววา ฉันไดยินมาจากบุคคลไมเคยพูดโกหก ขาขอสาบานดวยพระนาม ของอลั ลอฮวฺ า พวกเราไมเคยโกหกและพวกเราไมทราบดวยซ้ําไปวาวิธีการโกหก นั้นเปนอยางไร”(4) การกุหะดีษไมใชเปนฝมือของผูที่ศรัทธาตออัลลอฮฺ  อยางแทจริง โดยเฉพาะมุสลิมที่อยูในชวงตนๆ ของอิสลาม แตมาจากฝมือของพวกมุนาฟกีนท่ี ตอ งการทําลายอสิ ลามและใสรา ยมุสลิม ซึ่งเร่ิมตนต้ังแตสมัยเคาะลีฟะฮฺอุษมาน หลักฐานบางอยางบงบอกถึงเร่ืองน้ีอยางชัดเจน ซึ่งไดติดตามผูท่ีมีสวนเก่ียวของ ในการรายงานหะดษี ของทา น นบี  มฮุ มั มดั เบ็ญ สรี ีน (110ฮ.ศ.) ไดก ลา วไววา “พวกเขา(บรรดาเศาะหาบะฮฺ) ไมเ คยถามเลยเกย่ี วกบั อสิ นาดหะดีษ เมื่อฟตนะฮฺ ไดเกิดข้ึนพวกเขาก็เริ่มมีการตรวจสอบสถานะของนักรายงานโดยใหบอกชื่อของ เขา ดังน้ัน เม่ือหะดีษมาจากกลุม อะฮลฺ อัลซุนนะฮฺพวกเขาจะยอมรับหะดีษ และเม่อื พบวา หะดีษมาจากกลมุ บดิ อะฮพฺ วกเขาจะไมรับหะดีษ”(5) จากขอ เท็จจริงนี้ สามารถยืนยันตอประวัติการเริ่มตนของการโกหกตอรสู ลลุ ลอฮฺ  และหะดษี ของทา น ซ่ึงเปนจุดเรมิ่ ตนของการแพรห ลายหะดีษเมาฎอฺ ในสังคมอิสลามอยางกวางขวางและเปนสาเหตุหน่ึงทําใหสังคมอิสลามเกิดความ แตกแยกเปน กลุม ๆ สวนหะดีษเมาฎอฺที่ถูกกุขึ้นมาเปนครั้งแรก คือ หะดีษท่ีเก่ียวกับความ ประเสริฐของบุคคลซ่ึงมีอับดุลเลาะ เบ็ญ อุบัย เบ็ญ สะลูลเปนหัวหนากลุมนี้ได ทําการกุหะดีษเมาฎอฺอยางมากมายโดยเริ่มจากหะดีษที่เก่ียวกับความประเสริฐ ของผูนํา มีการบอกเลาวากลุมแรกที่ไดริเร่ิมกุหะดีษ คือ กลุมของชีอะฮฺ อิบนุ อะบีอัลหะดีดไดกลาววา “พึงรูไววา เดิมทีน้ันการโกหกมดเท็จที่เก่ียวกับความ (4) บนั ทกึ โดยอิบนอุ ะดยี  : 1/51 (5) บันทึกโดยมุสลิม : 1/15

198บทที่ 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ประเสริฐมาจากกลุมชีอะฮฺ ซึ่งไดรับการตอบรับเชนกันจากกลุมอะฮฺลุซซุนนะฮฺ บางคนทไ่ี มมคี วามรใู นเร่ืองน”้ี (1) ที่จริงแลวพวกชีอะฮฺมีหลายกลุมดวยกัน แตที่เปนกลุมแรกที่ทํา การกุหะดีษเมาฎอฺน้ันคือ กลุมรอฟเฎาะฮฺ มีคนถามอิมามมาลิกเกี่ยวกับเร่ือง ดังกลาว ทานตอบวา “อยาไปพูดกับพวกเขาและอยารายงานหะดีษจากพวกเขา เพราะพวกเขาเปนคนโกหก”(2) อิมามอัชชาฟอีย กลาววา “ฉันไมเคยเห็นกลุมท่ีปฏิบัติตามอารมณของ ตนเอง แมแตกลุมเดยี วเทา นน้ั ทโ่ี กหกตน้ื ๆ มากกวา กลมุ รอฟเฎาะฮ”ฺ (3) สวนเมืองท่ีเปนสถานที่ในการเผยแพรหะดีษเมาฎอฺท่ีโดงดังมากที่สุดใน สมัยน้ันคือ เมืองอิรอก (อิรัก) อิมามอัซซุฮฺรีย กลาววา “ตัวบทหะดีษที่มาจาก การรายงานของพวกเราแคคืบเดียวเทานั้น แตหะดีษน้ันกลับมายังพวกเราอีก ครัง้ จากการรายงานของชาวอิรอกยาวเปนศอก”(4) การกุหะดีษเมาฎอฺของกลุมรอฟเฎาะฮฺ คือ พยายามกุหะดีษใหสอดคลอง กับความตองการและอารมณของพวกเขาใหมากท่ีสุด อิมามอัลเคาะลีลกลาววา “กลุมรอฟเฎาะฮฺไดทํากุหะดีษที่เก่ียวกับความประเสริฐของอะลี เบ็ญอะบีฏอลิบ และครอบครัวของทานหรือ อะฮฺลฺ อัลบัยตฺ มีจํานวนประมาณ 3,000 หะดีษ”(5) อาทิเชน .((‫))ﻫﺬﺍ ﻭﺻﻴﻲ ﻭﺃﺧﻲ ﻭﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﻣﻦ ﺑﻌﺪﻱ ﻓﺎﲰﻌﻮﺍ ﻭﺃﻃﻴﻌﻮﺍ‬ (1) มุศเฏาะฟา อัสสบิ าอยี  หนา 75-76 (2) ชัยคอฺ สิ ลามอิบนตุ ัยมิยะฮฺ : 1/13 (3) หนงั สือเดมิ (4) มศุ เฏาะฟา อัสสบิ าอยี  หนา 79 (5) หนงั สอื เดมิ หนา 80-81

199บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ความวา “น้ีคือผูที่ฉันไดสั่งเสีย และเปนสหายของฉัน และผูจะเปนเคาะ ลีฟะฮตฺ อ จากฉนั ดงั นั้น จงภกั ดแี ละเชอื่ ฟงเขา”(6) ‫))ﻣﻦ ﺃﺭﺍﺩ ﺃﻥ ﻳﻨﻈﺮ ﺇﱃ ﺁﺩﻡ ﰲ ﻋﻠﻤﻪ ﻭﺇﱃ ﻧﻮﺡ ﰲ ﺗﻘﻮﺍﻩ ﻭﺇﱃ‬ ‫ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﰲ ﺣﻠﻤﻪ ﻭﺇﱃ ﻣﻮﺳﻰ ﰲ ﻫﻴﺒﺘﻪ ﻭﺇﱃ ﻋﻴﺴﻰ ﰲ ﻋﺒﺎﺩﺗﻪ‬ ((‫ﻓﻠﻴﻨﻈﺮ ﺇﱃ ﻋﻠﻲ‬ ความวา : “ผูใดตองการพิจารณาความรูของนบีอาดัม และความยําเกรง ของนะบีนูฮฺ และความออนโยนของนบีอิบรอฮีม และความนา เกรงขามของนบีมูซา และความขยันในการทําอิบาดะฮฺของนบีอี ซา กจ็ งพิจารณาทานอะลี”(1) 9. สาเหตุของการแพรหลายของหะดีษเมาฎอฺ การแพรหลายของหะดีษเมาฎอฺในสังคมอิสลามนั้นมีสาเหตุมาจากหลาย ประการดวยกนั แตที่สาํ คญั ดงั นี้ 1. การทําอิบาดะฮฺตออัลลอฮฺ  จุดประสงคบางประการของ การกุหะดีษเมาฎอฺเพ่ือสนับสนุนใหผูคนขยันทําอิบาดะฮฺ แสดงพิธีการปฏิบัติ ศาสนกิจ และประกอบการที่ดี ๆ โดยแอบอางหะดีษเมาฎอฺเปนหลักฐานเพ่ือ แสดงใหเห็นวาอิบาดะฮฺน้ันเปนเรื่องจริงและทําใหหลงเช่ือในพิธีการนั้น การ ปฏิบัติเชนนี้เปนการปฏิบัติที่ไรสาระ เน่ืองจากคนอื่นใหการยอมรับและปฏิบัติ (6) หะดษี บทนม้ี ีการเลาวาเปน สวนหนึง่ ในจํานวนการส่งั เสยี ของทานนบี  ซ่ึงทานไดกลาวหะดีษนี้ ณ ตําบลเฆาะ ดีรคอม (ดู มุศเฏาะฟา อัสสิบาอีย หนา 79-80) (1) มุศเฏาะฟา อัสสิบาอีย หนา 80

200บทท่ี 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ตามวิธีการท่ีผิด ๆ ซึ่งตั้งอยูบนพ้ืนฐานของหะดีษเมาฎอฺที่ไมสามารถจะอางอิงได เด็ดขาด ตัวอยาง เชน อิบนุมะฮฺดีย กลาววา “ฉันกลาวแกมัยซะเราะฮฺ เบ็ญ อับดุลรอบบิฮฺ วา คุณไดรับหะดีษน้ีมาจากใคร คือ หะดีษที่วาใครอานสูเราะฮฺน้ี จะไดรับผลบุญเทานี้? เขาตอบวา ฉันเองกุมันขึ้นมาเพ่ือสนับสนุนใหคนอ่ืนทํา อบิ าดะฮฺ (ตออัลลอฮฺ )”(2) 2. ใหการสนับสนุนมัซฮับของตนเองหรือนิกายของกลุมพวกพอง วิธีหนึ่งที่ สามารถดึงดูดคนอื่นหันมาใหการสนับสนุนมัซฮับ หรือพรรคการเมืองของตนเอง โดยอางหลักฐานจากหะดีษเมาฎอฺดังท่ีไดปรากฏจากการกระทําของพวกชีอะฮฺ และเคาะวาริจญ ซึ่งกลุมเหลาน้ีไดกุหะดีษเมาฎอฺแลวกลาววาเปนหะดีษของ ทานนบี  เพราะมุสลิมคลั่งไคลในหะดีษและปฏิบัติตามซุนนะฮฺของทานในทุก ๆ เร่อื ง ตวั อยาง เชน .\"‫ ﻣﻦ ﺷﻚ ﻓﻴﻪ ﻛﻔﺮ‬، ‫\"ﻋﻠﻰ ﺧﲑ ﺍﻟﻨﺎﺱ‬ ความวา : “ทานอะลีเปนเลิศท่ีสุดในบรรดามวลชน ดังน้ันผูใดสงสัยใน ตัวอะลี เขาเปนคนกะฟร”(1) 3. ดูหมิ่นศาสนาอิสลาม ในการน้ีไดกุหะดีษเมาฎอฺท่ีเก่ียวของกับความ บกพรองของศาสนาอิสลามในดานตาง ๆ และความไมเฉลียวฉลาดของมุสลิม ตลอดจนสรางความวุนวายใหแกสังคมอิสลาม วิธีการเชนนี้สวนมากมาจากฝมือ ของกลุมซะนาดิเกาะฮฺ เชน มุฮัมหมัด เบ็ญ สะอีด อัชชามีย อัลมัศลูบ เปนตน ตัวอยา ง (2) อสั สยุ ูฏยี  : 1/273 (1) อัสสยุ ูฏยี  : 1/273

201บทที่ 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน \" ‫\"ﺃﻧﺎ ﺧﺎﰎ ﺍﻟﻨﺒﻴﲔ ﻻ ﻧﱯ ﺑﻌﺪﻱ ﺇﻻ ﺃﻥ ﻳﺸﺎﺀ ﺍﷲ‬ ความวา : “ฉันเปนนบีคนสุดทายในบรรดานบี ไมมีนบีอีกแลวหลังจากฉัน เวน แตอ ลั ลอฮทฺ รงประสงค”(2) 4. สรางความใกลชดิ กับผนู ํา เพื่อใหเปนท่ีรักใครของผูนํา บุคคลประเภทนี้ จะเปนคนที่มีลักษณะชอบเอาใจคนอื่น ยกยองคนอื่นนานาประการแมท่ีไมใชเปน ของเขาก็ตาม หรือกลุมคนที่ตองการแสวงหาผลประโยชนใสตัวเอง พวกเขาจะ ใ ช ห ลั ก ฐ า น เ ท็ จ จ า ก ห ะ ดี ษ เ ม า ฎ อฺ ห รื อ ห ะ ดี ษ ที่ ไ ม มี มู ล ค ว า ม จ ริ ง ม า จ า ก ทา นนบี  ตวั อยา ง เร่ืองราวของฆิยาบ เบ็ญ อิบรอฮีม อันนะเคาะอีย อัลกูฟยกับอะมีร อัลมุมินีน อัลมะฮฺดีย ตอนท่ีเขาเขาพบทานอัลมะฮฺดีย ซ่ึงในขณะน้ันอะมีร อัลมุมินีนกําลังเลนกับนกพิราบ เขากลาววา “ไมมีอื่นใดนอกจากนุศล หรือคอฟ หรือหาฟร หรือญะนาหฺ” เขาเพิ่มคําวา “ญะนาหฺ” เพ่ือเอาใจอะมีรอัลมุมินีน เนื่องจากเปนท่ีรูกันวา อะมีรอัลมุมินีน ชอบนกพิราบ แตคําพูดเชนน้ีไมสามารถ ดึงดูดความสนใจอะมีรอัลมุมินีนได เพราะอะมีร อัลมุมินีนรูทันวาคําพูดของน้ัน หมายความถึงอะไร ดังน้ัน ทานก็ไดส่ังใหฆานกพิราบ นั้นเสีย และทานกลาววา “ฉันไดข จดั มนั แลว ”(3) สาเหตุตาง ๆ ที่กลาวมานั้นไมใชเปนไปตามเชนน้ันเสมอไป แตมันเปน เพียงเฉพาะสถานท่ีหรือชวงเวลาเทาน้ัน บางครั้งอาจเปลี่ยนแปลงเปนปจจัยอ่ืน ๆ ซึ่งขึ้นอยูกับเหตุการณหรือสภาพแวดลอมของแตละสังคม สถานที่ การ สอื่ สาร และวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีของแตล ะสมัย เปน ตน (2) หนงั สือเดิม : 1/283 (3) อุมัร หะสนั ฟลุ ลาตะฮฺ : 1/270

202บทที่ 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 10. ความผิดพลาดของนกั อรรถาธิบายหะดีษ มีอีกเร่ืองที่สําคัญมากสมควรแกการพูดถึงเมื่อกลาวถึงหะดีษเมาฎอฺ นั่นคือ ความ ผิดพลาดของนักอรรถาธิบายหะดีษบางทานท่ีไดหยิบยกหะดีษ เมาฎอฺมาอางเปนหลักฐานในการอรรถาธิบายอัลกุรอานบางอายะฮฺโดยไมได ระบุระดับของหะดีษอยางชัดเจนวาเปนหะดีษเมาฎอฺ เชน อิมามอัลษะอฺละบีย อิมามอัลวาหดิ ยี  อิมามอัชเชากานยี  อิมาม อัลบยั ฎอวยี  และอมิ ามอลั ซะมคั ชะรีย อยางไรก็ตาม สําหรับผูที่คนควาความรูจากหนังสือตัฟซีรขางตนควร ตระหนักในเร่ืองน้ีดวยโดยการสืบคนหะดีษกอนนํามาใชเปนหลักฐาน อยางนอย ๆ ใหคนหาระดับของหะดีษจากหนังสือตัครีจหะดีษเพ่ือสามารถยืนยันความ ถกู ตองของหะดษี 11. ตําราทเ่ี กย่ี วของ ‫ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﻮﺿﻮﻋﺎﺕ ﻟﻺﻣﺎﻡ ﺍﺑﻦ ﺍﳉﻮﺯﻱ‬.1 ‫ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﻼﱄﺀ ﺍﳌﺼﻨﻮﻋﺔ ﰲ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﳌﻮﺿﻮﻋﺔ ﻟﻺﻣﺎﻡ ﺍﻟﺴﻴﻮﻃﻲ‬.2 ‫ ﻛﺘﺎﺏ ﺗﱰﻳﻪ ﺍﻟﺸﺮﻳﻌﺔ ﺍﳌﺮﻓﻮﻋﺔ ﻋﻦ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﺸﻨﻴﻌﺔ ﺍﳌﻮﺿﻮﻋﺔ ﻻﺑﻦ‬.3 ‫ﻋﺮﺍﻕ ﺍﻟﻜﺘﺎﱐ‬ ‫ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﻔﻮﺍﺋﺪ ﺍﻟﻤﺠﻤﻮﻋﺔ ﻟﻺﻣﺎﻡ ﺍﻟﺸﻮﻛﺎﱐ‬.4

203บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน หวั ขอ ยอย อลั อิสรออีลิยาต 1. นิยาม คําวา “อิสรออีลิยาต” เปนคําพหูพจนของคําวา “อิสรออีลิยะฮฺ” คือ เรื่องราวของ บะนีอิสรออีล (เผาอิสรออีล) หมายถึง เผานบียะอฺกูบ และบะนี อิสรออีลในท่ีนี้ก็คือครอบครัวของนบียะอฺกูบและรุนตอ ๆ มาจากวงศตระกูลของ ทาน(1) อิสรออีล คือ ยะฮูด(2) กลุมนี้เปนกลุมท่ีมีความรูและวัฒนธรรมของตัวเอง มาจากคัมภีรเตารอฮฺและหนังสืออธิบายของเตารอฮฺ อัลอัสฟารและเนื้อหาของ มัน คัมภีรตัลมูดและหนังสืออธิบาย เร่ืองเลาตาง ๆ และเร่ืองงมงาย ขอกลา วหาทเี่ ปน เทจ็ หรือเรอื่ งราวตางๆ ทเี่ ลา สูกนั ฟงจากกลุมอืน่ ๆ เร่ืองตาง ๆ ขางตนเปนแหลงท่ีมาท่ีแทจริงของอิสรออีลิยาต ซึ่งมักจะ บรรจุไวในหนังสือตัฟซีร หนังสือประวัติศาสตร และหนังสือที่มีการอธิบาย เก่ียวกับเร่ืองราวตาง ๆ ของศาสนา ส่ิงเหลานี้มีท้ังท่ีเปนจริงและบางสวนเปน เท็จ แตส วนมากจะเปนเท็จท่ีไมสามารถอา งไดมาจากคัมภีรเ ตารอฮฺ(1) ท่ีเรียกวา อิสรออีลิยาต เพราะสวนใหญแลวมาจากวัฒนธรรมของบะนี อิสรออีล หรือมาจากหนังสือตาง ๆ ที่พวกเขาแตงข้ึนมาเอง หรือมาจากการเลา สูกนั ฟงในหมพู วกเขาโดยไมม กี ารอางองิ ทีส่ ามารถเช่อื ถือได(2) 2. ประเภทของอิสรออลี ิยะฮฺ อมิ ามอิบนุกะษีรกลาวในหนงั สอื ตฟั ซีรวา อสิ รออีลิยาตมี 3 ประเภทคอื 1. อิสรออลี ยิ าตทส่ี ามารถพิสูจนไดวาถกู ตองหรือเศาะหหี ฺ (1) อะบูชุฮบฺ ะฮฺ หนา 12 (2) เมอ่ื กลาวถงึ ยะฮดู จะหมายถึงพวกยะฮูดยี  (ยวิ ) (1) อะบูชุฮบฺ ะฮฺ หนา 13 (2) อะบูซะฮฺเราะฮฺ : 1/165

204บทที่ 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 2. อิสรออลี ยิ าตทีพ่ ิสูจนแลวเปน ของปลอมหรอื เฎาะอีฟ 3. อิสรออีลิยาตที่ไมสามารถพิสูจนไดระหวางอันไหนเปนเศาะหีหฺและอัน ไหนเปนเฎาะอีฟ ไมสามารถเชื่อไดและไมสามารถท่ีจะปฏิเสธไดเหมือนกัน เชน อสิ รออลี ยิ ะฮฺท่ีกลาวถึงชาวอัลกะฮฺฟย สีสุนัขของพวกเขา จํานวนของชาวอัลกะฮฺ ฟย (ที่อยูในถํ้า) ไมเทาของนบีมูซาทํามาจากอะไร ชื่อนกท่ีอัลลอฮฺ  ไดใหมี ชีวิตใหมส าํ หรับนบีอิบรอฮีม และอน่ื ๆ(3) 3. ตวั อยา งอสิ รออีลิยะฮฺ เรอื่ งอสิ รออีลิยะฮฺมีมากมาย แตขอยกตัวอยา งเพยี งบางสว นเทา นน้ั เชน ‫)) ﻣﺎ ﻭﺳﻌﲏ ﲰﺎﺋﻲ ﻭﻻ ﺃﺭﺿﻲ ﻭﻟﻜﻦ ﻭﺳﻌﲏ ﻗﻠﺐ ﻋﺒﺪﻱ‬ .(( ‫ﺍﳌﺆﻣﻦ‬ แปลวา : “ฉันไมมีความสามารถเหนือช้ันฟาและพ้ืนแผนดิน แตหัวใจของ บา วท่เี ปน มุมนิ คือ เต็มเปย มดว ยความสามารถ”(1) อิบนุตัยมิยะฮฺ กลาววา นี้คือ อิสรออีลิยะฮฺที่ไมสามารถอางอิงถึงทานนบี มุฮัมมดั  ไดโดยเดด็ ขาด(2) . \"‫ \"ﻣﻦ ﺃﻥ ﻋﻤﺮ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ ﺳﺒﻊ ﺃﻻﻑ‬: ‫ﻣﺎ ﺭﻭﻯ ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ‬ แปลวา : มีการรายงานจากอิบนุอับบาส กลาววา “สวนหน่ึงที่มีการพูดถึง อายขุ องโลกคอื 7,000 ป”(3) (3) อิบนุกะษรี : 1/4 (1) อะบูชุฮบฺ ะฮฺ หนา 15 (2) หนังสือเดมิ (3) หนังสือเดิม

205บทท่ี 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน และอ่นื ๆ อีกมากมาย 4. ฐานะของอิสรออีลยิ ะฮฺ อิสรออีลิยาตมี 3 ระดับดวยกันคือ อิสรออีลิยะฮฺท่ีเปนเศาะหีหฺ อิสรออีลิยะฮฺ ท่ีเปนเฎาะอฟี และอสิ รออลี ยิ ะฮทฺ ่เี ปนเมาฎอฺ 5. การรายงานอิสรออีลยิ ะฮฺ ไมอนุญาตใหรายงานอิสรออีลิยะฮฺที่เปนเฎาะอีฟและท่ีเปนเท็จ (เมาฎอฺ) เกี่ยวกับเรื่องตางๆ ท่ีมีความเกี่ยวของกับศาสนาอยางเด็ดขาด เวนแตจะระบุ สถานภาพอยางชัดเจน ผูใดตั้งใจรายงาน อิสรออีลิยะฮฺโดยไมระบุระดับดวย จะถือวาเปนการกระทําท่ีเปนบาปใหญและนับเปนผูมุสาในจํานวนบรรดานัก มุสาทัง้ หลาย 6. การนํามาใชเ ปน หลกั ฐาน อิสรออีลิยะฮฺท่ีเปนเศาะหีหฺอนุญาตใหนํามาใชเปนหลักฐานได สวนอิสรอ อีลิยะฮฺท่ีเปนเฎาะอีฟหรือเมาฎอฺไมอนุญาตใหนํามาใชเปนหลักฐานและหาม ปฏบิ ัติตามโดยเด็ดขาด

บทท่ี 8 บทสง ทาย 206 บทที่ 8 บทสง ทาย หะดีษนบีเปนสวนหนึ่งของวะฮฺยูอัลลอฮฺ  ซึ่งเปนแหลงท่ีมาของ บัญญัติอิสลามรองจากอัลกุรอาน มุสลิมทุกคนวาญิบตองนอมรับและนํามาใช เปนหลักฐานตลอดจนนํามาปฏิบัติในทุกๆ เร่ืองท่ีเกี่ยวกับศาสนาอิสลามและ เร่ืองทางโลกเมื่อสามารถยืนยัน หะดีษน้ันๆวามาจากทานนบีมุฮัมมัด  จริง โดยใชหลักการและกฎเกณฑของวิชามุศเฎาะละหฺ อัลหะดีษและวิชาอื่น ๆ ที่ เกยี่ วของ การนําหะดีษมาใชเปนหลักฐาน และปฏิบัติตามนั้นเปนการแสดงถึงการ จงรักภักดีตอคําส่ังของอัลลอฮฺ  ท่ีใหมุสลิมทุกคนนอมรับในหะดีษของทาน นบี  ดงั ท่ีปรากฏใน อัลกรุ อาน  ‫ ﻭﻣﺎ ﺁﺗﺎﻛﻢ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ ﻓﺨﺬﻭﻩ ﻭﻣﺎ ﻧﻬﺎﻛﻢ ﻋﻨﻪ ﻓﺎﻧﺘﻬﻮﺍ‬ ความวา “และส่ิงท่ีทานรสลู ของพวกเจา ไดน ํามาจงรบั มันไว และสงิ่ ท่ี ทา นรสลู ของพวกเจาหา มจงละท้ิงมนั เสีย”(1) (1) สเู ราะฮฺอลั หชั รฺ อายะฮฺที่7

บทที่ 8 บทสง ทา ย 207 อิมามอัชชาฟอียอธิบายวา “ทุกสิ่งทุกอยางท่ีทานนบี  ไดปฏิบัติหรือ แสดงออก เปนแบบฉบับนั้น อัลลอฮฺ  บังคับใหปฏิบัติตามซึ่งเปนการแสดง ถึงการเคารพภักดี ตอพระองคอัลลอฮฺ  และรสูลุลลอฮฺ  สวนการ หลีกเล่ียงไมยอมปฏิบัติตามหะดีษถือเปนมุอฺศิยะฮฺและไมแสดงตนเปนคนนอม รบั คาํ สั่งของอัลลอฮฺ  เพราะการปฏิบัตติ าม หะดษี เปน ทางเลือกทีด่ ที ีส่ ดุ ” ตามความเปนจริงแลวการปฏิบัติตามหะดีษ หรืออัสสุนนะฮฺนั้นเปน ส่ิงจําเปน อยางมากสาํ หรับมุสลิมเพราะเปนการเลือกวิถีทางดําเนินชีวิตท่ีถูกตอง และเปนการปฏิบัติตามผูท ไ่ี ดรบั คัดเลือกจากอัลลอฮฺ  มาเปนแบบอยางอันดี งามในทกุ ๆ ดานสาํ หรับมนุษยชาติ โดยเฉพาะมุสลิมท่ีศรัทธายิ่งในอัลลอฮฺ  และรสูลุลลอฮฺ  และหามปฏิบัติขัดแยงกับคําพูดและการปฏิบัติของทานนบี  อลั ลอฮฺ  ทรงตรัสไวว า ‫ ﻓﻠﻴﺤﺬﺭ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﳜﺎﻟﻔـﻮﻥ ﻋﻦ ﺃﻣـﺮﻩ ﺃﻥ ﺗﺼﻴﺒﻬﻢ ﻓﺘﻨـﺔ‬  ‫ﺃﻭ ﻳﺼﻴﺒﻬﻢ ﻋﺬﺍﺏ ﺃﻟﻴﻢ‬ ความวา : “ดงั น้ันกจ็ งระวงั พวกท่ีปฏิบตั ขิ ัดแยงกับการปฏิบัตขิ องทา น (นบี) พวกเขาจะประสบกับฟต นะฮฺหรือพวกเขาจะพบกับความ หายนะที่แสนสาหัส”(1) อัลหะซัน อัลบัศรีย กลาววา “การศรัทธาน้ันไมใชเปนความฝนและไมใช เปน การแสดงออกท่ีลอย ๆ เทา นน้ั แตการศรัทธานั้นเปนการปฏิบัติอยางจริงจัง และนอ มรับดว ยการกระทาํ ตามขอบัญญัติตาง ๆ ที่ไดกําหนดไวในอัลกุรอาน” ก็ เชนเดียวกันกับการศรัทธาตอรสูลุลลอฮฺ  ดวยการปฏิบัติตามหะดีษหรือ (1) สูเราะฮฺอนั นรู อายะฮทฺ ี่ 63

บทที่ 8 บทสงทาย 208 อัสสุนนะฮฺ ซ่ึงแสดงถึงการรักรสูลุลลอฮฺ และยกยองทาน อัลลอฮฺ ทรง ตรสั ไววา ‫ ﻗﻞ ﺇﻥ ﻛﻨﺘﻢ ﲢﺒﻮﻥ ﺍﷲ ﻓﺎﺗﺒﻌﻮﱐ ﳛﺒﺒﻜﻢ ﺍﷲ ﻭﻳﻐﻔﺮ‬  ‫ﻟﻜﻢ ﺫﻧﻮﺑﻜﻢ‬ ความวา : “จงกลาวเถิด (มฮุ ัมมดั ) วา หากพวกเจา รักในอัลลอฮฺ ก็ จงปฏบิ ตั ิตามฉัน (ทา นนบี ) แนนอนอลั ลอฮจฺ ะทรงรัก พวกเจา และพระองคพรอมใหอภัยพวกเจา เสมอ”(2) อิมามอิบนุ อัลกอยยิม กลาววา “เราไดยินหลายตอหลายคนเมื่อคนท่ีตน ใหความเคารพปฏิบัติสอดคลองกับหะดีษของทานนบี  มักจะอางวาเปนการ ปฏบิ ตั ทิ ่ถี กู ตอ งแลว แตเม่ือการปฏิบัติของคนน้ันขัดแยงกับหะดีษซ่ึงมาจากการ รายงานของคนอื่น มักจะกลาววา การปฏิบัติตามหะดีษนั้นสําหรับผูรายงาน ไมใชผูท่ีฟงหรือผูท่ีเห็น” การอางในลักษณะเชนน้ันเปนการอางอยางไรเหตุผล และไมมีความรับผิดชอบตอหะดีษของทานนบี เพราะหะดีษไมไดกําหนดมา เฉพาะตัวบุคคลที่มีลักษณะหนึ่งลักษณะใดเทาน้ัน แตเปนบทบัญญัติสําหรับทุก คนทศี่ รทั ธาตอ ทา นนบี  ไมว า จะสอดคลอ งกับการปฏบิ ัตขิ องเขาหรือไมกต็ าม ในทางมารยาทแลว ส่ิงเดยี วเทา น้นั ท่อี นุญาตใหกลาวเชน น้ันได คือ ในสิ่ง ท่ีมีสวนเกี่ยวของกับหะดีษท่ีไมถูกตองหรือหะดีษที่ไมสามารถนํามาใชเปน หลักฐานไดเทาน้ันเชน หะดีษเฎาะอีฟญิดดัน หะดีษเมาฎอฺ หรือเร่ืองราวตาง ๆ ท่ีมาจากอิสรออีลิยะฮฺ เนื่องจากการนําหะดีษเหลานั้นมารายงานหรือใชเปน หลักฐานเปนการเลือกสิ่งที่ผิด และจะนํามา ซ่ึงความเสียหายตอหลายเร่ืองท่ี เกี่ยวของกับศาสนาโดยเฉพาะเรื่องอะกีดะฮฺ อิบาดะฮฺ หุกมหะกัม หะลาลและ (2) สูเราะฮอฺ ัลอะหฺซาบ อายะฮทฺ ี่ 21

บทที่ 8 บทสง ทาย 209 หะรอม มุนากะฮาต เปนตน และอีกประการหน่ึงท่ีสําคัญ คือ การนําหะดีษ เหลานั้นเปนหลักฐานเปนการปฏิบัติในส่ิงท่ีเปนบิดอะฮฺ (อุตริกรรมในเร่ือง ศาสนา) ซึ่งส่งิ ทเี่ ปนบิดอะฮทฺ ้ังหลายควรแกก ารหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด แมแตนํา หะดีษดังกลาวมารายงานเปนท่ีตองหามเหมือนกันเพราะแสดงถึงการช้ีนําใหคน อื่นหลงผิดจากหลักคําสอนที่ถูกตอง อะบูฮุรอยเราะฮฺ  เลาวา รสูลุลลอฮฺ  กลา ววา ‫)) ﻣﻦ ﺩﻋﺎ ﺇﱃ ﻫﺪﻯ ﻓﻠﻪ ﺃﺟﺮ ﻣﺜﻞ ﺍﻷﺟﻮﺭ ﻣﻦ ﺗﺒﻌﻪ ﻻ ﻳﻨﻘﺺ‬ ‫ ﻭﻣﻦ ﺩﻋﺎ ﺇﱃ ﺿﻼﻟﺔ ﻓﻠﻪ ﺃﺟﺮ ﻣﺜﻞ ﺍﻷﺟﻮﺭ ﻣﻦ‬،‫ﺫﻟﻚ ﺷﻴﺌﹰﺎ‬ (( ‫ﺗﺒﻌﻪ ﻻ ﻳﻨﻘﺺ ﺫﻟﻚ ﺷﻴﺌﹰﺎ‬ ความวา : “ผใู ดเชิญชวน (แนะนําคนอื่น) ที่เปนทางนํา เขาจะไดรับผลบุญ เหมือนกับผลบุญของผูปฏิบัติจริงโดยผลบุญน้ันไมลดแมแตนิด เดียว และผูใดเชิญชวน (ชี้แนะคนอ่ืน) ในทางท่ีหลงผิด เขาจะได บาปเหมือนกับบาปของผูปฏิบัติจริงโดยบาปนั้นไมลดแมแตนิด เดียว”(1) ดังน้ัน มุสลิมทุกคนควรปฏิบัติตามหะดีษที่ถูกตองสามารถยืนยันวาเปน หะดีษ นบีจริงพรอมกับแนะนําใหคนอื่นปฏิบัติดวย ในทางตรงกันขาม มุสลิมไม สมควรเปนอยางยิ่งที่จะนําหะดีษผิดๆ มาปฏิบัติแลวอางวาเปนหะดีษของทาน นบี  ยิ่งกวาน้ี ยังแนะนําใหคนอื่นปฏิบัติอีกดวย ลักษณะเชนน้ีเปนการโกหก ตอรสูลลุ ลอฮฺ  (1) บันทึกโดยอตั ติรมิซีย : 4/149 ทานกลาววา: หะดษี น้เี ปนหะดีษหะสนั เศาะหีหฺ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook