191บทที่ 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน สอง ผูกุหะดีษลอกคําพูดของเศาะหาบะฮฺบางทาน ตาบิอีนบางทาน คําพูดของนักแตงเรื่อง (หุกะมาอฺ) นักซูฟย หรือจากเรื่องราวของชาวอิสรออีล แลว พาดพงิ ไปยงั ทานนบี โดยหวังไดรบั การยอมรับจากบุคคลทั่วไป(1) 3. ตัวอยา งหะดษี เมาฎอฺ หะดีษเมาฎอฺ หะดีษบาติล และหะดีษลาอัศลาละฮฺ สวนมากแลวการกุหะ ดษี นนั้ จะพาดพงิ ไปยงั บคุ คลตา ง ๆ 4 รนุ ดวยกัน (1) คําพูดท่ีพาดพิงไปยงั ทา นนบี ตวั อยาง หะดษี ท่ี 1 มีการรายงานวา ทานนบี กลาววา ))ﻣﻦ ﺗﻜﻠﻢ ﰲ ﺍﳌﺴﺠﺪ ﻣﻦ ﻛﻼﻡ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ ﻓﻘﺪ ﺃﺣﺒﻂ: ﺣﺪﻳﺚ .(( ﺍﷲ ﺃﻋﻤﺎﻟﻪ ﺃﺭﺑﻌﲔ ﺳﻨﺔ ความวา : “ผูใดท่ีพูดในมัสยิดเกี่ยวกับเรื่องทางโลก อัลลอฮฺทรงทําใหอะ มาลของเขาเสยี ในระยะเวลา 40 ป”(2) หะดษี ท่ี 2 จากอิบนุอมุ ัร เลาวา รสลู ุลลอฮฺ กลาววา ﻗﺎﻝ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ: ))ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﻤﺮ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻬﺎ ﻗﺎﻝ: ﺣﺪﻳﺚ ﻭﻣﻔﺘﺎﺡ ﺍﳉﻨﺔ ﺣﺐ، ))ﻟﻜﻞ ﺃﻣﺮ ﻣﻔﺘﺎﺡ: ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ (( ﻭﻫﻢ ﺟﻠﺴﺎﺀ ﺍﷲ ﻳﻮﻡ ﺍﻟﻘﻴﺎﻣﺔ،ﺍﳌﺴﺎﻛﲔ ﻭﺍﻟﻔﻘﺮﺍﺀ (1) อะบชู ุฮฺบะฮฺ หนา 14 (2) อัชเชากานยี หนา 62
192บทที่ 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ความวา : “ทุก ๆ การงานมีกุญแจของมัน กุญแจของสวนสวรรคคือ รัก และเอ็นดูคนยากจน ซึ่งพวกเขาเหลาน้ีเปนคนที่สวามิภักด์ิ ตออัลลอฮฺในวันกิยามตั ” (3) หะดีษบทนี้มีการวิพากษวิจารษมากมาย แตขอยกเปนตัวอยางเพียงสอง ทัศนะเทานั้น(1) คือ อิมามอิบนุอัลเญาซีย กลาววา : อัดดารอกุฏนียกลาววา: หะดีษบทน้ีมาจากการกุขึ้นมาโดยอุมัร เบ็ญ รอชิด อัลญารีย จากมาลิก เบ็ญ อะนัสแลวพาดพิงไปยังอะบูมัศอับ(2) และอิบนุหิบบาน กลาววา : เปนหะดีษ เมาฎอฺ มาจากการกุของอะหฺมัด เบ็ญ ดาวุด เขาเปนนักกุหะดีษ ไมอนุญาตให นําหะดีษน้ีบอกกลาวใหคนอื่นฟง เวนแตเพ่ือเปดเผยใหคนท่ัวไปไดทราบฐานะ ของหะดีษเพ่ือจะไดห ลีกเลยี่ งการนําหะดษี มาใชจากการรายงานของเขา(3) (2) คําพูดของเศาะหาบะฮฺบางคนซ่ึงถูกนํามาพาดพิงไปยังทานนบี ตัวอยาง หะดีษที่ 3 มีการรายงานมาจากทานนบี ซ่ึง ทา นกลา ววา ))ﺃﺣﺒﺐ ﺣﺒﻴﺒﻚ ﻫﻮﻧﺎ ﻣﺎ ﻋﺴﻰ ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻥ ﺑﻐﻴﻀﻚ ﻳﻮﻣﺎ: ﺣﺪﻳﺚ (( ﻭﺃﺑﻐﺾ ﺑﻐﻴﻀﻚ ﻫﻮﻧﺎ ﻣﺎ ﻋﺴﻰ ﺃﻥ ﻳﻜﻮﻥ ﺣﺒﻴﺒﻚ ﻳﻮﻣﺎ ﻣﺎ،ﻣﺎ (3) บนั ทกึ โดยอิบนอุ ะดีย : 6/2375, อิบนุอลั เญาซีย : 3/141 จากสายรายงานของอะหมฺ ัด เบ็ญดาวูด เบญ็ อับ ดลุ กอเดร จากอะบมู ัศอับ จากมาลดิ เบญ็ อะนัส จากนาฟอ ฺ จากอบิ นอุ มุ รั (1) ดู อลั อัลบานีย : 3/582-584 (2) บันทกึ โดยอิบนุหบิ บาน : 1/146-147 (3) อบิ นอุ ัลเญาซีย : 3/141
193บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ความวา : “จงรักคนท่ีเขารักทาน (พอประมาณ) เผ่ือวาสักวันหนึ่งทานจะ เกลียดเขา และจงเกลียดคนท่ีเขาเกลียดทาน(พอประมาณ) เผ่ือ วา สกั วนั หนง่ึ เขาจะรักทาน”(4) สํานวนหะดีษขางตนไมใชคําพูดของทานนบี แตอยางใด แตเปนคําพูด ของทาน อะลี เบญ็ อะบีฏอลิบ (3) คําพูดมาจากตาบิอีนบางทานแลวพาดพิงไปยังทานนบี ตวั อยาง หะดษี ที่ 4 มกี ารรายงานมาจากทานนบี ซ่งึ ทา นกลาววา .(( ﻭﺑﺎﻵﺧﺮﺓ ﱂ ﺗﺰﻝ، ))ﻛﺄﻧﻚ ﰲ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ ﱂ ﺗﻜﻦ: ﺣﺪﻳﺚ ความวา : “เสมือนกับวาคุณไมไดอยูในโลกน้ี และชีวิต (ของคุณ) ในวัน อาคิเราะฮฺนน้ั ตลอดไป”(5) สํานวนหะดีษขางตนเปนคํากลาวของอุมัร เบ็ญ อับดุลอะซีซ(6) แตถูก พาดพิงไปยังทาน นบี (4) คําพดู ของฮกุ ะมาอฺ(1)บางคนแลวพาดพงิ ไปยงั ทา นนบี ตวั อยา ง หะดีษที่ 5 มีการรายงานวา ทานนบี กลาววา (4) อะบชู ุฮบฺ ะฮฺ หนา 14-15 (5) หนงั สอื เดิม (6) อมุ รั เบญ็ อับดุลอะซซี ไมไดพบเจอและฟงหะดษี โดยตรงจากรสูลลุ ลอฮฺ เนื่องจากทานเกิดหลังจากทีท่ าน เสยี ชีวิตไปแลว (1) หุกะมาอฺ หมายถึง นักพดู หรือนักอรรถาธบิ ายเรอ่ื งราวตา ง ๆ
194บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ﻭﻋﻮﺩﻭﺍ ﻛﻞ، ﻭﺍﳊﻤﻴﺔ ﺃﺻﻞ ﺍﻟﺪﻭﺍﺀ، ))ﺍﻟﺒﻄﻨﺔ ﺃﺻﻞ ﺍﻟﺪﺍﺀ: ﺣﺪﻳﺚ ((ﺟﺴﻢ ﻣﺎ ﺍﻋﺘﺎﺩ ความวา : “ทองเปนแหลงแหงโรคทั้งหลาย การลดกินในบางสิ่งเปนเจา แหงยาทั้งหลาย และจงสรางความเคยชินใหทุกๆสวนของ รา งกาย ดวยกินสง่ิ ท่มี นั เคยไดร บั ความเคยชิน”(2) หะดีษบทน้ีเปนหะดีษลาอัศลาละฮฺ มาจากการรายงานของอัลุวัยบะรีย อิมาม อัลซฮุ รฺ ยี กลา ววา อลั บุ ะรียเปนนักกุหะดีษแลวพาดพิงไปยังทานนบี (3) หะดีษบทน้ีเปนหะดีษลาอัศลาละฮฺ ( )ﻻ ﺃﺻﻞ ﻟﻪทานอัลฮาฟซอัลอิรอกีย กลาววา “ฉันไมเคยพบท่ีมาของหะดีษบทน้ี” ความเห็นของอัลอิรอกียนี้ไดรับการ สนับสนุนจาก อัลหาฟศ อัลซะคอวีย อิมามอิบนุ อัลกัยยิมกลาวในหนังสือซาด อัลมะอาดวา “ท่ีจริงแลวหะดีษบทนี้เปนคําพูดของอัลฮาริษ เบ็ญกิลดะฮฺ ซ่ึงเปน หมอชาวอาหรับ การแอบอา งเปน คําพูดของทานนบี เปน ส่งิ ทไี่ มถ กู ตอ ง”(4) นอกจากหะดีษท่ีไดกลาวขางตนแลวยังมีหะดีษเมาฎอฺอีกมากมายที่ แพรหลายในสังคมมุสลิมโดยเฉพาะหะดีษเมาฎอฺท่ีเก่ียวกับอิบาดาต คุณคา ของอะมาล การสนับสนุนใหทําความดีและหามปรามทําความช่ัว และท่ีสําคัญ มากท่ีสุดจะเปนหะดีษเมาฎอฺที่พูดถึง เศาะหาบะฮฺ เชน การเปนเคาะลีฟะฮฺไมวา (2) บันทกึ โดยอิบนุอะดีย : 2/207 (3) อัลอัลบานีย : 1/415 (4) ดู หนังสือเดิม : 3/582-584
195บทที่ 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน จะยกยองหรือตําหนิ การส่ังเสีย การสนับสนุนทานหนึ่งทานใดและปฏิเสธพวก เขา เปนตน 4. ฐานะของหะดีษเมาฎอ ฺ หะดีษเมาฎอ ฺ คอื หะดีษท่มี ีฐานะตํา่ ทีส่ ุดในบรรดาหะดีษเฎาะอีฟเน่ืองจาก เปนการกลาวเท็จตอหะดีษนบี และเปนเพียงคําพูดของสามัญชนเทานั้นแลว พาดพิงไปยังทา นนบี 5. การรายงานหะดษี เมาฎอฺ บรรดาอุละมาอฺมีความเห็นพองกันวา ไมอนุญาต (หะรอม) แกผูที่ ทราบวาเปนหะดีษเมาฎอฺนํามารายงานใหแกสาธารณชนท้ังหลายท่ีเก่ียวกับเรื่อง ตาง ๆ ของศาสนา เชน อะกีดะฮฺ อิบาดะฮฺ คุณคาของอะมาล และอ่ืน ๆ เวน แตมีการระบุระดับของหะดีษดวย(1) เน่ืองจากมีหะดีษบทหน่ึง ซ่ึงทานนบี กลาววา (())ﻣﻦ ﺣﺪﺙ ﻋﲏ ﲝﺪﻳﺚ ﻳﺮﻯ ﺃﻧﻪ ﻛﺬﺏ ﻓﻬﻮ ﺃﺣﺪ ﺍﻟﻜﺎﺫﺑﲔ ความวา : “ผูใดรายงานหะดีษหน่ึงบทจากฉัน ทั้ง ๆ เห็นวามันโกหก แนนอนเขาเปน คนหนึง่ ในบรรดาผูโกหกท้ังหลาย”(2) 6. การนํามาใชเ ปนหลกั ฐาน บรรดาอุละมาอฺมีความเห็นพองกันวา ไมอนุญาต (หะรอม) ใหนําหะดีษ เมาฎอฺ มาใชเปนหลักฐานและนํามาปฏิบัติตามที่เก่ียวกับเร่ืองศาสนา เชน อะกีดะฮฺ อิบาดาต หุกมหะกัม การนิกาหฺ ญะนาซะฮฺ มุอามะลาต คุณคา (1) อบิ นุ อัศเศาะลาหฺ หนา 109 (2) บันทึกโดยมุสลิม : 2/231
196บทที่ 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ของอะมาล ชวี ประวัติของทา น นบแี ละเศาะหาบะฮฺ การสนับสนุนใหทําความดี และหามปรามทาํ ความช่ัว เปน ตน (3) 7. การรจู ักหะดษี เมาฎอฺ การรูจกั หะดีษเมาฎอ สฺ ามารถพจิ ารณาจากหลาย ๆ อยา งตอ ไปน้ี 1. ผูกุหะดีษยอมรับสารภาพวาเขากุขึ้นมาเอง เชน การสารภาพของนักกุ หะดีษวา เขาได กุหะดีษเกี่ยวกับเรื่องหน่ึงเร่ืองใดของศาสนาและเรื่องอ่ืนๆ เชน การสารภาพของอะบอู ศั มะฮฺ นหู ฺ เบ็ญ อะบมี ัรยมั 2. คําหรือสํานวนท่ีมีความหมายเหมือนกับการสารภาพ หรือการยอมรับ ของการกุหะดษี เชน มีการรายงานหะดษี จากอาจารยทา นหนง่ึ ซงึ่ เขาไมเคยรับหะ ดีษมากอ นและหะดีษนนั้ ไมมีใครคนอนื่ ท่ีรายงานนอกจากเขาเพยี งผเู ดียวเทานัน้ 3. มีกรณีแวดลอมในตัวผูรายงาน เชน ผูรายงานเปนพวกรอฟเฎาะฮฺหรือ ชีอะฮฺ(1) โดยสว นใหญแลว มกั จะกุหะดษี เก่ยี วกับครอบครวั ของทานนบี (2) 4. ตัวบทของหะดีษขัดแยงอยางชัดเจนกับอัลกุรอาน หะดีษเศาะหีหฺและ ความคิดทถ่ี ูกตอ ง(3) 8. ประวตั คิ วามเปน มาของหะดษี เมาฎอ ฺ ดังท่ีกลาวมาแลวในเร่ืองของสะนัดวา บรรดาเศาะหาบะฮฺเปนคนที่มี คุณธรรม ซ่ึงไดรับการยอมรับจากอัลลอฮฺ วาเปนกัลยาณชนท่ีชอบปฏิบัติ ตามและเลียนแบบทานนบี ดวยจิตวิญญาณและการกระทําตลอดชีวิตของ พวกเขา อะนสั เบญ็ มาลกิ ไดร ายงาน หะดษี บทหน่ึงเลา วา มผี ชู ายคนหน่ึงถาม (3) อุมรั หะสนั ฟลุ ลาตะฮฺ : 1/135 (1) กลมุ รอฟเ ฎาะฮแฺ ละกลุม ชีอะฮฺกน็ บั ถือศาสนาอสิ ลามเชนกนั แตไมใ ชอ ะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ (2) มะหมฺ ดู อลั เฏาะหฺหาน หนา 176 (3) อมุ รั หะสัน ฟุลลาตะฮฺ : 1/334
197บทท่ี 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ทานวา “ทานไดฟงหะดีษจากรสูลุลลอฮฺ ใชหรือไม?” ทานตอบวา “ใช หรือ ทานกลาววา ฉันไดยินมาจากบุคคลไมเคยพูดโกหก ขาขอสาบานดวยพระนาม ของอลั ลอฮวฺ า พวกเราไมเคยโกหกและพวกเราไมทราบดวยซ้ําไปวาวิธีการโกหก นั้นเปนอยางไร”(4) การกุหะดีษไมใชเปนฝมือของผูที่ศรัทธาตออัลลอฮฺ อยางแทจริง โดยเฉพาะมุสลิมที่อยูในชวงตนๆ ของอิสลาม แตมาจากฝมือของพวกมุนาฟกีนท่ี ตอ งการทําลายอสิ ลามและใสรา ยมุสลิม ซึ่งเร่ิมตนต้ังแตสมัยเคาะลีฟะฮฺอุษมาน หลักฐานบางอยางบงบอกถึงเร่ืองน้ีอยางชัดเจน ซึ่งไดติดตามผูท่ีมีสวนเก่ียวของ ในการรายงานหะดษี ของทา น นบี มฮุ มั มดั เบ็ญ สรี ีน (110ฮ.ศ.) ไดก ลา วไววา “พวกเขา(บรรดาเศาะหาบะฮฺ) ไมเ คยถามเลยเกย่ี วกบั อสิ นาดหะดีษ เมื่อฟตนะฮฺ ไดเกิดข้ึนพวกเขาก็เริ่มมีการตรวจสอบสถานะของนักรายงานโดยใหบอกชื่อของ เขา ดังน้ัน เม่ือหะดีษมาจากกลุม อะฮลฺ อัลซุนนะฮฺพวกเขาจะยอมรับหะดีษ และเม่อื พบวา หะดีษมาจากกลมุ บดิ อะฮพฺ วกเขาจะไมรับหะดีษ”(5) จากขอ เท็จจริงนี้ สามารถยืนยันตอประวัติการเริ่มตนของการโกหกตอรสู ลลุ ลอฮฺ และหะดษี ของทา น ซ่ึงเปนจุดเรมิ่ ตนของการแพรห ลายหะดีษเมาฎอฺ ในสังคมอิสลามอยางกวางขวางและเปนสาเหตุหน่ึงทําใหสังคมอิสลามเกิดความ แตกแยกเปน กลุม ๆ สวนหะดีษเมาฎอฺที่ถูกกุขึ้นมาเปนครั้งแรก คือ หะดีษท่ีเก่ียวกับความ ประเสริฐของบุคคลซ่ึงมีอับดุลเลาะ เบ็ญ อุบัย เบ็ญ สะลูลเปนหัวหนากลุมนี้ได ทําการกุหะดีษเมาฎอฺอยางมากมายโดยเริ่มจากหะดีษที่เก่ียวกับความประเสริฐ ของผูนํา มีการบอกเลาวากลุมแรกที่ไดริเร่ิมกุหะดีษ คือ กลุมของชีอะฮฺ อิบนุ อะบีอัลหะดีดไดกลาววา “พึงรูไววา เดิมทีน้ันการโกหกมดเท็จที่เก่ียวกับความ (4) บนั ทกึ โดยอิบนอุ ะดยี : 1/51 (5) บันทึกโดยมุสลิม : 1/15
198บทที่ 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน ประเสริฐมาจากกลุมชีอะฮฺ ซึ่งไดรับการตอบรับเชนกันจากกลุมอะฮฺลุซซุนนะฮฺ บางคนทไ่ี มมคี วามรใู นเร่ืองน”้ี (1) ที่จริงแลวพวกชีอะฮฺมีหลายกลุมดวยกัน แตที่เปนกลุมแรกที่ทํา การกุหะดีษเมาฎอฺน้ันคือ กลุมรอฟเฎาะฮฺ มีคนถามอิมามมาลิกเกี่ยวกับเร่ือง ดังกลาว ทานตอบวา “อยาไปพูดกับพวกเขาและอยารายงานหะดีษจากพวกเขา เพราะพวกเขาเปนคนโกหก”(2) อิมามอัชชาฟอีย กลาววา “ฉันไมเคยเห็นกลุมท่ีปฏิบัติตามอารมณของ ตนเอง แมแตกลุมเดยี วเทา นน้ั ทโ่ี กหกตน้ื ๆ มากกวา กลมุ รอฟเฎาะฮ”ฺ (3) สวนเมืองท่ีเปนสถานที่ในการเผยแพรหะดีษเมาฎอฺท่ีโดงดังมากที่สุดใน สมัยน้ันคือ เมืองอิรอก (อิรัก) อิมามอัซซุฮฺรีย กลาววา “ตัวบทหะดีษที่มาจาก การรายงานของพวกเราแคคืบเดียวเทานั้น แตหะดีษน้ันกลับมายังพวกเราอีก ครัง้ จากการรายงานของชาวอิรอกยาวเปนศอก”(4) การกุหะดีษเมาฎอฺของกลุมรอฟเฎาะฮฺ คือ พยายามกุหะดีษใหสอดคลอง กับความตองการและอารมณของพวกเขาใหมากท่ีสุด อิมามอัลเคาะลีลกลาววา “กลุมรอฟเฎาะฮฺไดทํากุหะดีษที่เก่ียวกับความประเสริฐของอะลี เบ็ญอะบีฏอลิบ และครอบครัวของทานหรือ อะฮฺลฺ อัลบัยตฺ มีจํานวนประมาณ 3,000 หะดีษ”(5) อาทิเชน .(())ﻫﺬﺍ ﻭﺻﻴﻲ ﻭﺃﺧﻲ ﻭﺍﳋﻠﻴﻔﺔ ﻣﻦ ﺑﻌﺪﻱ ﻓﺎﲰﻌﻮﺍ ﻭﺃﻃﻴﻌﻮﺍ (1) มุศเฏาะฟา อัสสบิ าอยี หนา 75-76 (2) ชัยคอฺ สิ ลามอิบนตุ ัยมิยะฮฺ : 1/13 (3) หนงั สือเดมิ (4) มศุ เฏาะฟา อัสสบิ าอยี หนา 79 (5) หนงั สอื เดมิ หนา 80-81
199บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ความวา “น้ีคือผูที่ฉันไดสั่งเสีย และเปนสหายของฉัน และผูจะเปนเคาะ ลีฟะฮตฺ อ จากฉนั ดงั นั้น จงภกั ดแี ละเชอื่ ฟงเขา”(6) ))ﻣﻦ ﺃﺭﺍﺩ ﺃﻥ ﻳﻨﻈﺮ ﺇﱃ ﺁﺩﻡ ﰲ ﻋﻠﻤﻪ ﻭﺇﱃ ﻧﻮﺡ ﰲ ﺗﻘﻮﺍﻩ ﻭﺇﱃ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﰲ ﺣﻠﻤﻪ ﻭﺇﱃ ﻣﻮﺳﻰ ﰲ ﻫﻴﺒﺘﻪ ﻭﺇﱃ ﻋﻴﺴﻰ ﰲ ﻋﺒﺎﺩﺗﻪ ((ﻓﻠﻴﻨﻈﺮ ﺇﱃ ﻋﻠﻲ ความวา : “ผูใดตองการพิจารณาความรูของนบีอาดัม และความยําเกรง ของนะบีนูฮฺ และความออนโยนของนบีอิบรอฮีม และความนา เกรงขามของนบีมูซา และความขยันในการทําอิบาดะฮฺของนบีอี ซา กจ็ งพิจารณาทานอะลี”(1) 9. สาเหตุของการแพรหลายของหะดีษเมาฎอฺ การแพรหลายของหะดีษเมาฎอฺในสังคมอิสลามนั้นมีสาเหตุมาจากหลาย ประการดวยกนั แตที่สาํ คญั ดงั นี้ 1. การทําอิบาดะฮฺตออัลลอฮฺ จุดประสงคบางประการของ การกุหะดีษเมาฎอฺเพ่ือสนับสนุนใหผูคนขยันทําอิบาดะฮฺ แสดงพิธีการปฏิบัติ ศาสนกิจ และประกอบการที่ดี ๆ โดยแอบอางหะดีษเมาฎอฺเปนหลักฐานเพ่ือ แสดงใหเห็นวาอิบาดะฮฺน้ันเปนเรื่องจริงและทําใหหลงเช่ือในพิธีการนั้น การ ปฏิบัติเชนนี้เปนการปฏิบัติที่ไรสาระ เน่ืองจากคนอื่นใหการยอมรับและปฏิบัติ (6) หะดษี บทนม้ี ีการเลาวาเปน สวนหนึง่ ในจํานวนการส่งั เสยี ของทานนบี ซ่ึงทานไดกลาวหะดีษนี้ ณ ตําบลเฆาะ ดีรคอม (ดู มุศเฏาะฟา อัสสิบาอีย หนา 79-80) (1) มุศเฏาะฟา อัสสิบาอีย หนา 80
200บทท่ี 7 การจําแนกหะดีษโดยพิจารณาจาํ นวนของผูรายงาน ตามวิธีการท่ีผิด ๆ ซึ่งตั้งอยูบนพ้ืนฐานของหะดีษเมาฎอฺที่ไมสามารถจะอางอิงได เด็ดขาด ตัวอยาง เชน อิบนุมะฮฺดีย กลาววา “ฉันกลาวแกมัยซะเราะฮฺ เบ็ญ อับดุลรอบบิฮฺ วา คุณไดรับหะดีษน้ีมาจากใคร คือ หะดีษที่วาใครอานสูเราะฮฺน้ี จะไดรับผลบุญเทานี้? เขาตอบวา ฉันเองกุมันขึ้นมาเพ่ือสนับสนุนใหคนอ่ืนทํา อบิ าดะฮฺ (ตออัลลอฮฺ )”(2) 2. ใหการสนับสนุนมัซฮับของตนเองหรือนิกายของกลุมพวกพอง วิธีหนึ่งที่ สามารถดึงดูดคนอื่นหันมาใหการสนับสนุนมัซฮับ หรือพรรคการเมืองของตนเอง โดยอางหลักฐานจากหะดีษเมาฎอฺดังท่ีไดปรากฏจากการกระทําของพวกชีอะฮฺ และเคาะวาริจญ ซึ่งกลุมเหลาน้ีไดกุหะดีษเมาฎอฺแลวกลาววาเปนหะดีษของ ทานนบี เพราะมุสลิมคลั่งไคลในหะดีษและปฏิบัติตามซุนนะฮฺของทานในทุก ๆ เร่อื ง ตวั อยาง เชน .\" ﻣﻦ ﺷﻚ ﻓﻴﻪ ﻛﻔﺮ، \"ﻋﻠﻰ ﺧﲑ ﺍﻟﻨﺎﺱ ความวา : “ทานอะลีเปนเลิศท่ีสุดในบรรดามวลชน ดังน้ันผูใดสงสัยใน ตัวอะลี เขาเปนคนกะฟร”(1) 3. ดูหมิ่นศาสนาอิสลาม ในการน้ีไดกุหะดีษเมาฎอฺท่ีเก่ียวของกับความ บกพรองของศาสนาอิสลามในดานตาง ๆ และความไมเฉลียวฉลาดของมุสลิม ตลอดจนสรางความวุนวายใหแกสังคมอิสลาม วิธีการเชนนี้สวนมากมาจากฝมือ ของกลุมซะนาดิเกาะฮฺ เชน มุฮัมหมัด เบ็ญ สะอีด อัชชามีย อัลมัศลูบ เปนตน ตัวอยา ง (2) อสั สยุ ูฏยี : 1/273 (1) อัสสยุ ูฏยี : 1/273
201บทที่ 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน \" \"ﺃﻧﺎ ﺧﺎﰎ ﺍﻟﻨﺒﻴﲔ ﻻ ﻧﱯ ﺑﻌﺪﻱ ﺇﻻ ﺃﻥ ﻳﺸﺎﺀ ﺍﷲ ความวา : “ฉันเปนนบีคนสุดทายในบรรดานบี ไมมีนบีอีกแลวหลังจากฉัน เวน แตอ ลั ลอฮทฺ รงประสงค”(2) 4. สรางความใกลชดิ กับผนู ํา เพื่อใหเปนท่ีรักใครของผูนํา บุคคลประเภทนี้ จะเปนคนที่มีลักษณะชอบเอาใจคนอื่น ยกยองคนอื่นนานาประการแมท่ีไมใชเปน ของเขาก็ตาม หรือกลุมคนที่ตองการแสวงหาผลประโยชนใสตัวเอง พวกเขาจะ ใ ช ห ลั ก ฐ า น เ ท็ จ จ า ก ห ะ ดี ษ เ ม า ฎ อฺ ห รื อ ห ะ ดี ษ ที่ ไ ม มี มู ล ค ว า ม จ ริ ง ม า จ า ก ทา นนบี ตวั อยา ง เร่ืองราวของฆิยาบ เบ็ญ อิบรอฮีม อันนะเคาะอีย อัลกูฟยกับอะมีร อัลมุมินีน อัลมะฮฺดีย ตอนท่ีเขาเขาพบทานอัลมะฮฺดีย ซ่ึงในขณะน้ันอะมีร อัลมุมินีนกําลังเลนกับนกพิราบ เขากลาววา “ไมมีอื่นใดนอกจากนุศล หรือคอฟ หรือหาฟร หรือญะนาหฺ” เขาเพิ่มคําวา “ญะนาหฺ” เพ่ือเอาใจอะมีรอัลมุมินีน เนื่องจากเปนท่ีรูกันวา อะมีรอัลมุมินีน ชอบนกพิราบ แตคําพูดเชนน้ีไมสามารถ ดึงดูดความสนใจอะมีรอัลมุมินีนได เพราะอะมีร อัลมุมินีนรูทันวาคําพูดของน้ัน หมายความถึงอะไร ดังน้ัน ทานก็ไดส่ังใหฆานกพิราบ นั้นเสีย และทานกลาววา “ฉันไดข จดั มนั แลว ”(3) สาเหตุตาง ๆ ที่กลาวมานั้นไมใชเปนไปตามเชนน้ันเสมอไป แตมันเปน เพียงเฉพาะสถานท่ีหรือชวงเวลาเทาน้ัน บางครั้งอาจเปลี่ยนแปลงเปนปจจัยอ่ืน ๆ ซึ่งขึ้นอยูกับเหตุการณหรือสภาพแวดลอมของแตละสังคม สถานที่ การ สอื่ สาร และวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีของแตล ะสมัย เปน ตน (2) หนงั สือเดิม : 1/283 (3) อุมัร หะสนั ฟลุ ลาตะฮฺ : 1/270
202บทที่ 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 10. ความผิดพลาดของนกั อรรถาธิบายหะดีษ มีอีกเร่ืองที่สําคัญมากสมควรแกการพูดถึงเมื่อกลาวถึงหะดีษเมาฎอฺ นั่นคือ ความ ผิดพลาดของนักอรรถาธิบายหะดีษบางทานท่ีไดหยิบยกหะดีษ เมาฎอฺมาอางเปนหลักฐานในการอรรถาธิบายอัลกุรอานบางอายะฮฺโดยไมได ระบุระดับของหะดีษอยางชัดเจนวาเปนหะดีษเมาฎอฺ เชน อิมามอัลษะอฺละบีย อิมามอัลวาหดิ ยี อิมามอัชเชากานยี อิมาม อัลบยั ฎอวยี และอมิ ามอลั ซะมคั ชะรีย อยางไรก็ตาม สําหรับผูที่คนควาความรูจากหนังสือตัฟซีรขางตนควร ตระหนักในเร่ืองน้ีดวยโดยการสืบคนหะดีษกอนนํามาใชเปนหลักฐาน อยางนอย ๆ ใหคนหาระดับของหะดีษจากหนังสือตัครีจหะดีษเพ่ือสามารถยืนยันความ ถกู ตองของหะดษี 11. ตําราทเ่ี กย่ี วของ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﻮﺿﻮﻋﺎﺕ ﻟﻺﻣﺎﻡ ﺍﺑﻦ ﺍﳉﻮﺯﻱ.1 ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﻼﱄﺀ ﺍﳌﺼﻨﻮﻋﺔ ﰲ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﳌﻮﺿﻮﻋﺔ ﻟﻺﻣﺎﻡ ﺍﻟﺴﻴﻮﻃﻲ.2 ﻛﺘﺎﺏ ﺗﱰﻳﻪ ﺍﻟﺸﺮﻳﻌﺔ ﺍﳌﺮﻓﻮﻋﺔ ﻋﻦ ﺍﻷﺣﺎﺩﻳﺚ ﺍﻟﺸﻨﻴﻌﺔ ﺍﳌﻮﺿﻮﻋﺔ ﻻﺑﻦ.3 ﻋﺮﺍﻕ ﺍﻟﻜﺘﺎﱐ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﻔﻮﺍﺋﺪ ﺍﻟﻤﺠﻤﻮﻋﺔ ﻟﻺﻣﺎﻡ ﺍﻟﺸﻮﻛﺎﱐ.4
203บทท่ี 7 การจาํ แนกหะดีษโดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน หวั ขอ ยอย อลั อิสรออีลิยาต 1. นิยาม คําวา “อิสรออีลิยาต” เปนคําพหูพจนของคําวา “อิสรออีลิยะฮฺ” คือ เรื่องราวของ บะนีอิสรออีล (เผาอิสรออีล) หมายถึง เผานบียะอฺกูบ และบะนี อิสรออีลในท่ีนี้ก็คือครอบครัวของนบียะอฺกูบและรุนตอ ๆ มาจากวงศตระกูลของ ทาน(1) อิสรออีล คือ ยะฮูด(2) กลุมนี้เปนกลุมท่ีมีความรูและวัฒนธรรมของตัวเอง มาจากคัมภีรเตารอฮฺและหนังสืออธิบายของเตารอฮฺ อัลอัสฟารและเนื้อหาของ มัน คัมภีรตัลมูดและหนังสืออธิบาย เร่ืองเลาตาง ๆ และเร่ืองงมงาย ขอกลา วหาทเี่ ปน เทจ็ หรือเรอื่ งราวตางๆ ทเี่ ลา สูกนั ฟงจากกลุมอืน่ ๆ เร่ืองตาง ๆ ขางตนเปนแหลงท่ีมาท่ีแทจริงของอิสรออีลิยาต ซึ่งมักจะ บรรจุไวในหนังสือตัฟซีร หนังสือประวัติศาสตร และหนังสือที่มีการอธิบาย เก่ียวกับเร่ืองราวตาง ๆ ของศาสนา ส่ิงเหลานี้มีท้ังท่ีเปนจริงและบางสวนเปน เท็จ แตส วนมากจะเปนเท็จท่ีไมสามารถอา งไดมาจากคัมภีรเ ตารอฮฺ(1) ท่ีเรียกวา อิสรออีลิยาต เพราะสวนใหญแลวมาจากวัฒนธรรมของบะนี อิสรออีล หรือมาจากหนังสือตาง ๆ ที่พวกเขาแตงข้ึนมาเอง หรือมาจากการเลา สูกนั ฟงในหมพู วกเขาโดยไมม กี ารอางองิ ทีส่ ามารถเช่อื ถือได(2) 2. ประเภทของอิสรออลี ิยะฮฺ อมิ ามอิบนุกะษีรกลาวในหนงั สอื ตฟั ซีรวา อสิ รออีลิยาตมี 3 ประเภทคอื 1. อิสรออลี ยิ าตทส่ี ามารถพิสูจนไดวาถกู ตองหรือเศาะหหี ฺ (1) อะบูชุฮบฺ ะฮฺ หนา 12 (2) เมอ่ื กลาวถงึ ยะฮดู จะหมายถึงพวกยะฮูดยี (ยวิ ) (1) อะบูชุฮบฺ ะฮฺ หนา 13 (2) อะบูซะฮฺเราะฮฺ : 1/165
204บทที่ 7 การจาํ แนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน 2. อิสรออลี ยิ าตทีพ่ ิสูจนแลวเปน ของปลอมหรอื เฎาะอีฟ 3. อิสรออีลิยาตที่ไมสามารถพิสูจนไดระหวางอันไหนเปนเศาะหีหฺและอัน ไหนเปนเฎาะอีฟ ไมสามารถเชื่อไดและไมสามารถท่ีจะปฏิเสธไดเหมือนกัน เชน อสิ รออลี ยิ ะฮฺท่ีกลาวถึงชาวอัลกะฮฺฟย สีสุนัขของพวกเขา จํานวนของชาวอัลกะฮฺ ฟย (ที่อยูในถํ้า) ไมเทาของนบีมูซาทํามาจากอะไร ชื่อนกท่ีอัลลอฮฺ ไดใหมี ชีวิตใหมส าํ หรับนบีอิบรอฮีม และอน่ื ๆ(3) 3. ตวั อยา งอสิ รออีลิยะฮฺ เรอื่ งอสิ รออีลิยะฮฺมีมากมาย แตขอยกตัวอยา งเพยี งบางสว นเทา นน้ั เชน )) ﻣﺎ ﻭﺳﻌﲏ ﲰﺎﺋﻲ ﻭﻻ ﺃﺭﺿﻲ ﻭﻟﻜﻦ ﻭﺳﻌﲏ ﻗﻠﺐ ﻋﺒﺪﻱ .(( ﺍﳌﺆﻣﻦ แปลวา : “ฉันไมมีความสามารถเหนือช้ันฟาและพ้ืนแผนดิน แตหัวใจของ บา วท่เี ปน มุมนิ คือ เต็มเปย มดว ยความสามารถ”(1) อิบนุตัยมิยะฮฺ กลาววา นี้คือ อิสรออีลิยะฮฺที่ไมสามารถอางอิงถึงทานนบี มุฮัมมดั ไดโดยเดด็ ขาด(2) . \" \"ﻣﻦ ﺃﻥ ﻋﻤﺮ ﺍﻟﺪﻧﻴﺎ ﺳﺒﻊ ﺃﻻﻑ: ﻣﺎ ﺭﻭﻯ ﻋﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺎﺱ แปลวา : มีการรายงานจากอิบนุอับบาส กลาววา “สวนหน่ึงที่มีการพูดถึง อายขุ องโลกคอื 7,000 ป”(3) (3) อิบนุกะษรี : 1/4 (1) อะบูชุฮบฺ ะฮฺ หนา 15 (2) หนังสือเดมิ (3) หนังสือเดิม
205บทท่ี 7 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาจํานวนของผูรายงาน และอ่นื ๆ อีกมากมาย 4. ฐานะของอิสรออีลยิ ะฮฺ อิสรออีลิยาตมี 3 ระดับดวยกันคือ อิสรออีลิยะฮฺท่ีเปนเศาะหีหฺ อิสรออีลิยะฮฺ ท่ีเปนเฎาะอฟี และอสิ รออลี ยิ ะฮทฺ ่เี ปนเมาฎอฺ 5. การรายงานอิสรออีลยิ ะฮฺ ไมอนุญาตใหรายงานอิสรออีลิยะฮฺที่เปนเฎาะอีฟและท่ีเปนเท็จ (เมาฎอฺ) เกี่ยวกับเรื่องตางๆ ท่ีมีความเกี่ยวของกับศาสนาอยางเด็ดขาด เวนแตจะระบุ สถานภาพอยางชัดเจน ผูใดตั้งใจรายงาน อิสรออีลิยะฮฺโดยไมระบุระดับดวย จะถือวาเปนการกระทําท่ีเปนบาปใหญและนับเปนผูมุสาในจํานวนบรรดานัก มุสาทัง้ หลาย 6. การนํามาใชเ ปน หลกั ฐาน อิสรออีลิยะฮฺท่ีเปนเศาะหีหฺอนุญาตใหนํามาใชเปนหลักฐานได สวนอิสรอ อีลิยะฮฺท่ีเปนเฎาะอีฟหรือเมาฎอฺไมอนุญาตใหนํามาใชเปนหลักฐานและหาม ปฏบิ ัติตามโดยเด็ดขาด
บทท่ี 8 บทสง ทาย 206 บทที่ 8 บทสง ทาย หะดีษนบีเปนสวนหนึ่งของวะฮฺยูอัลลอฮฺ ซึ่งเปนแหลงท่ีมาของ บัญญัติอิสลามรองจากอัลกุรอาน มุสลิมทุกคนวาญิบตองนอมรับและนํามาใช เปนหลักฐานตลอดจนนํามาปฏิบัติในทุกๆ เร่ืองท่ีเกี่ยวกับศาสนาอิสลามและ เร่ืองทางโลกเมื่อสามารถยืนยัน หะดีษน้ันๆวามาจากทานนบีมุฮัมมัด จริง โดยใชหลักการและกฎเกณฑของวิชามุศเฎาะละหฺ อัลหะดีษและวิชาอื่น ๆ ที่ เกยี่ วของ การนําหะดีษมาใชเปนหลักฐาน และปฏิบัติตามนั้นเปนการแสดงถึงการ จงรักภักดีตอคําส่ังของอัลลอฮฺ ท่ีใหมุสลิมทุกคนนอมรับในหะดีษของทาน นบี ดงั ท่ีปรากฏใน อัลกรุ อาน ﻭﻣﺎ ﺁﺗﺎﻛﻢ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ ﻓﺨﺬﻭﻩ ﻭﻣﺎ ﻧﻬﺎﻛﻢ ﻋﻨﻪ ﻓﺎﻧﺘﻬﻮﺍ ความวา “และส่ิงท่ีทานรสลู ของพวกเจา ไดน ํามาจงรบั มันไว และสงิ่ ท่ี ทา นรสลู ของพวกเจาหา มจงละท้ิงมนั เสีย”(1) (1) สเู ราะฮฺอลั หชั รฺ อายะฮฺที่7
บทที่ 8 บทสง ทา ย 207 อิมามอัชชาฟอียอธิบายวา “ทุกสิ่งทุกอยางท่ีทานนบี ไดปฏิบัติหรือ แสดงออก เปนแบบฉบับนั้น อัลลอฮฺ บังคับใหปฏิบัติตามซึ่งเปนการแสดง ถึงการเคารพภักดี ตอพระองคอัลลอฮฺ และรสูลุลลอฮฺ สวนการ หลีกเล่ียงไมยอมปฏิบัติตามหะดีษถือเปนมุอฺศิยะฮฺและไมแสดงตนเปนคนนอม รบั คาํ สั่งของอัลลอฮฺ เพราะการปฏิบัตติ าม หะดษี เปน ทางเลือกทีด่ ที ีส่ ดุ ” ตามความเปนจริงแลวการปฏิบัติตามหะดีษ หรืออัสสุนนะฮฺนั้นเปน ส่ิงจําเปน อยางมากสาํ หรับมุสลิมเพราะเปนการเลือกวิถีทางดําเนินชีวิตท่ีถูกตอง และเปนการปฏิบัติตามผูท ไ่ี ดรบั คัดเลือกจากอัลลอฮฺ มาเปนแบบอยางอันดี งามในทกุ ๆ ดานสาํ หรับมนุษยชาติ โดยเฉพาะมุสลิมท่ีศรัทธายิ่งในอัลลอฮฺ และรสูลุลลอฮฺ และหามปฏิบัติขัดแยงกับคําพูดและการปฏิบัติของทานนบี อลั ลอฮฺ ทรงตรัสไวว า ﻓﻠﻴﺤﺬﺭ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﳜﺎﻟﻔـﻮﻥ ﻋﻦ ﺃﻣـﺮﻩ ﺃﻥ ﺗﺼﻴﺒﻬﻢ ﻓﺘﻨـﺔ ﺃﻭ ﻳﺼﻴﺒﻬﻢ ﻋﺬﺍﺏ ﺃﻟﻴﻢ ความวา : “ดงั น้ันกจ็ งระวงั พวกท่ีปฏิบตั ขิ ัดแยงกับการปฏิบัตขิ องทา น (นบี) พวกเขาจะประสบกับฟต นะฮฺหรือพวกเขาจะพบกับความ หายนะที่แสนสาหัส”(1) อัลหะซัน อัลบัศรีย กลาววา “การศรัทธาน้ันไมใชเปนความฝนและไมใช เปน การแสดงออกท่ีลอย ๆ เทา นน้ั แตการศรัทธานั้นเปนการปฏิบัติอยางจริงจัง และนอ มรับดว ยการกระทาํ ตามขอบัญญัติตาง ๆ ที่ไดกําหนดไวในอัลกุรอาน” ก็ เชนเดียวกันกับการศรัทธาตอรสูลุลลอฮฺ ดวยการปฏิบัติตามหะดีษหรือ (1) สูเราะฮฺอนั นรู อายะฮทฺ ี่ 63
บทที่ 8 บทสงทาย 208 อัสสุนนะฮฺ ซ่ึงแสดงถึงการรักรสูลุลลอฮฺ และยกยองทาน อัลลอฮฺ ทรง ตรสั ไววา ﻗﻞ ﺇﻥ ﻛﻨﺘﻢ ﲢﺒﻮﻥ ﺍﷲ ﻓﺎﺗﺒﻌﻮﱐ ﳛﺒﺒﻜﻢ ﺍﷲ ﻭﻳﻐﻔﺮ ﻟﻜﻢ ﺫﻧﻮﺑﻜﻢ ความวา : “จงกลาวเถิด (มฮุ ัมมดั ) วา หากพวกเจา รักในอัลลอฮฺ ก็ จงปฏบิ ตั ิตามฉัน (ทา นนบี ) แนนอนอลั ลอฮจฺ ะทรงรัก พวกเจา และพระองคพรอมใหอภัยพวกเจา เสมอ”(2) อิมามอิบนุ อัลกอยยิม กลาววา “เราไดยินหลายตอหลายคนเมื่อคนท่ีตน ใหความเคารพปฏิบัติสอดคลองกับหะดีษของทานนบี มักจะอางวาเปนการ ปฏบิ ตั ทิ ่ถี กู ตอ งแลว แตเม่ือการปฏิบัติของคนน้ันขัดแยงกับหะดีษซ่ึงมาจากการ รายงานของคนอื่น มักจะกลาววา การปฏิบัติตามหะดีษนั้นสําหรับผูรายงาน ไมใชผูท่ีฟงหรือผูท่ีเห็น” การอางในลักษณะเชนน้ันเปนการอางอยางไรเหตุผล และไมมีความรับผิดชอบตอหะดีษของทานนบี เพราะหะดีษไมไดกําหนดมา เฉพาะตัวบุคคลที่มีลักษณะหนึ่งลักษณะใดเทาน้ัน แตเปนบทบัญญัติสําหรับทุก คนทศี่ รทั ธาตอ ทา นนบี ไมว า จะสอดคลอ งกับการปฏบิ ัตขิ องเขาหรือไมกต็ าม ในทางมารยาทแลว ส่ิงเดยี วเทา น้นั ท่อี นุญาตใหกลาวเชน น้ันได คือ ในสิ่ง ท่ีมีสวนเกี่ยวของกับหะดีษท่ีไมถูกตองหรือหะดีษที่ไมสามารถนํามาใชเปน หลักฐานไดเทาน้ันเชน หะดีษเฎาะอีฟญิดดัน หะดีษเมาฎอฺ หรือเร่ืองราวตาง ๆ ท่ีมาจากอิสรออีลิยะฮฺ เนื่องจากการนําหะดีษเหลานั้นมารายงานหรือใชเปน หลักฐานเปนการเลือกสิ่งที่ผิด และจะนํามา ซ่ึงความเสียหายตอหลายเร่ืองท่ี เกี่ยวของกับศาสนาโดยเฉพาะเรื่องอะกีดะฮฺ อิบาดะฮฺ หุกมหะกัม หะลาลและ (2) สูเราะฮอฺ ัลอะหฺซาบ อายะฮทฺ ี่ 21
บทที่ 8 บทสง ทาย 209 หะรอม มุนากะฮาต เปนตน และอีกประการหน่ึงท่ีสําคัญ คือ การนําหะดีษ เหลานั้นเปนหลักฐานเปนการปฏิบัติในส่ิงท่ีเปนบิดอะฮฺ (อุตริกรรมในเร่ือง ศาสนา) ซึ่งส่งิ ทเี่ ปนบิดอะฮทฺ ้ังหลายควรแกก ารหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด แมแตนํา หะดีษดังกลาวมารายงานเปนท่ีตองหามเหมือนกันเพราะแสดงถึงการช้ีนําใหคน อื่นหลงผิดจากหลักคําสอนที่ถูกตอง อะบูฮุรอยเราะฮฺ เลาวา รสูลุลลอฮฺ กลา ววา )) ﻣﻦ ﺩﻋﺎ ﺇﱃ ﻫﺪﻯ ﻓﻠﻪ ﺃﺟﺮ ﻣﺜﻞ ﺍﻷﺟﻮﺭ ﻣﻦ ﺗﺒﻌﻪ ﻻ ﻳﻨﻘﺺ ﻭﻣﻦ ﺩﻋﺎ ﺇﱃ ﺿﻼﻟﺔ ﻓﻠﻪ ﺃﺟﺮ ﻣﺜﻞ ﺍﻷﺟﻮﺭ ﻣﻦ،ﺫﻟﻚ ﺷﻴﺌﹰﺎ (( ﺗﺒﻌﻪ ﻻ ﻳﻨﻘﺺ ﺫﻟﻚ ﺷﻴﺌﹰﺎ ความวา : “ผใู ดเชิญชวน (แนะนําคนอื่น) ที่เปนทางนํา เขาจะไดรับผลบุญ เหมือนกับผลบุญของผูปฏิบัติจริงโดยผลบุญน้ันไมลดแมแตนิด เดียว และผูใดเชิญชวน (ชี้แนะคนอ่ืน) ในทางท่ีหลงผิด เขาจะได บาปเหมือนกับบาปของผูปฏิบัติจริงโดยบาปนั้นไมลดแมแตนิด เดียว”(1) ดังน้ัน มุสลิมทุกคนควรปฏิบัติตามหะดีษที่ถูกตองสามารถยืนยันวาเปน หะดีษ นบีจริงพรอมกับแนะนําใหคนอื่นปฏิบัติดวย ในทางตรงกันขาม มุสลิมไม สมควรเปนอยางยิ่งที่จะนําหะดีษผิดๆ มาปฏิบัติแลวอางวาเปนหะดีษของทาน นบี ยิ่งกวาน้ี ยังแนะนําใหคนอื่นปฏิบัติอีกดวย ลักษณะเชนน้ีเปนการโกหก ตอรสูลลุ ลอฮฺ (1) บันทึกโดยอตั ติรมิซีย : 4/149 ทานกลาววา: หะดษี น้เี ปนหะดีษหะสนั เศาะหีหฺ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220