Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ตัวชี้วัดสาระวิทยาศาสตร์ สสวท

ตัวชี้วัดสาระวิทยาศาสตร์ สสวท

Published by numzonemk, 2022-01-26 03:40:32

Description: ตัวชี้วัดสาระวิทยาศาสตร์ สสวท

Search

Read the Text Version

๔๙ ช้ัน ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๑๐๐ กรมั จนไดส้ ำรละลำยอิ่มตวั ณ อณุ หภมู ิและ ควำมดนั หน่งึ ๆ สภำพละลำยไดข้ องสำรบง่ บอก ควำมสำมำรถในกำรละลำยไดข้ องตัวละลำย ในตัวทำละลำย ซึ่งควำมสำมำรถในกำรละลำยของ สำรขึ้นอยกู่ บั ชนิดของตวั ทำละลำยและตัวละลำย อณุ หภูมิ และควำมดนั  สำรชนดิ หนึ่ง ๆ มสี ภำพละลำยไดแ้ ตกตำ่ งกนั ในตวั ทำละลำยท่ีแตกต่ำงกนั และสำรต่ำงชนดิ กนั มสี ภำพละลำยไดใ้ นตวั ทำละลำยหน่ึง ๆ ไมเ่ ทำ่ กนั  เมอ่ื อณุ หภูมิสูงข้ึน สำรส่วนมำก สภำพละลำยได้ ของสำรจะเพิ่มขึ้น ยกเว้นแก๊สเมอ่ื อุณหภมู สิ ูงขึน้ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ สภำพกำรละลำยได้จะลดลง ส่วนควำมดันมผี ลต่อ แกส๊ โดยเมอื่ ควำมดันเพิ่มขนึ้ สภำพละลำยได้จะสูงขึ้น  ควำมรู้เก่ียวกบั สภำพละลำยได้ของสำรเม่ือ เปล่ียนแปลงชนิดตัวละลำย ตัวทำละลำย และ อณุ หภมู ิ สำมำรถนำไปใช้ประโยชน์ในชวี ติ ประจำวนั เชน่ กำรทำนำ้ เชอ่ื มเขม้ ข้น กำรสกดั สำรออกจำก สมุนไพรให้ไดป้ ริมำณมำกท่ีสุด ๕. ระบปุ รมิ ำณตวั ละลำยในสำรละลำย  ควำมเขม้ ขน้ ของสำรละลำย เป็นกำรระบปุ ริมำณ ในหนว่ ยควำมเขม้ ขน้ เป็นร้อยละ ปรมิ ำตรตอ่ ตวั ละลำยในสำรละลำย หน่วยควำมเข้มขน้ มีหลำยหน่วย ปริมำตร มวลต่อมวล และมวลต่อปริมำตร ทีน่ ยิ มระบุเป็นหน่วยเปน็ ร้อยละ ปรมิ ำตรต่อปรมิ ำตร ๖. ตระหนักถึงควำมสำคัญของกำรนำควำมรู้ มวลตอ่ มวล และมวลตอ่ ปริมำตร เรือ่ งควำมเขม้ ข้นของสำรไปใช้ โดยยกตวั อย่ำง  ร้อยละโดยปรมิ ำตรตอ่ ปรมิ ำตร เปน็ กำรระบุ กำรใชส้ ำรละลำยในชวี ติ ประจำวนั ท่อี ย่ำงถูกต้อง ปรมิ ำตรตวั ละลำยในสำรละลำย ๑๐๐ หน่วยปรมิ ำตร และปลอดภยั เดียวกัน นยิ มใช้กับสำรละลำยทเ่ี ปน็ ของเหลว หรือแกส๊  รอ้ ยละโดยมวลตอ่ มวล เป็นกำรระบุมวลตัวละลำย ในสำรละลำย ๑๐๐ หนว่ ยมวลเดยี วกัน นิยมใช้กับ สำรละลำยทมี่ สี ถำนะเปน็ ของแข็ง  ร้อยละโดยมวลต่อปริมำตร เปน็ กำรระบุมวล ตวั ละลำยในสำรละลำย ๑๐๐ หนว่ ยปรมิ ำตร นิยมใช้กับสำรละลำยที่มตี ัวละลำยเป็นของแขง็ ในตวั ทำละลำยที่เปน็ ของเหลว กำรใชส้ ำรละลำย

ช้นั ตวั ชี้วดั อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๕๐ ม.๓ ๑. ระบสุ มบตั ิทำงกำยภำพและกำรใช้ สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ประโยชน์วสั ดุประเภทพอลิเมอร์ เซรำมิกส์ ในชวี ติ ประจำวนั ควรพิจำรณำจำกควำมเขม้ ข้นของ และวัสดุผสม โดยใช้หลกั ฐำนเชงิ ประจักษ์ สำรละลำย ขน้ึ อยูก่ บั จุดประสงค์ของกำรใช้งำน และ และสำรสนเทศ ผลกระทบต่อสิง่ ชวี ติ และส่ิงแวดล้อม ๒. ตระหนกั ถงึ คุณค่ำของกำรใช้วัสดปุ ระเภท พอลเิ มอร์ เซรำมิกส์ และวัสดุผสม โดย  พอลิเมอร์ เซรำมิกส์ และวัสดุผสม เปน็ วสั ดุทใ่ี ช้ เสนอ แนะแนวทำงกำรใชว้ ัสดอุ ยำ่ งประหยดั มำกในชวี ติ ประจำวนั และคุ้มค่ำ  พอลิเมอร์เป็นสำรประกอบโมเลกลุ ใหญท่ เ่ี กิดจำก ๓. อธบิ ำยกำรเกิดปฏิกิริยำเคมี รวมถงึ โมเลกุลจำนวนมำกรวมตัวกันทำงเคมี เช่น พลำสติก กำรจดั เรียงตวั ใหม่ของอะตอมเมอ่ื กำรเกิด ยำง เส้นใย ซ่ึงเปน็ พอลเิ มอร์ทีม่ สี มบัตแิ ตกต่ำงกัน ปฏิกิริยำเคมี โดยใช้แบบจำลองและสมกำร โดยพลำสติกเปน็ พอลเิ มอรท์ ี่ขึ้นรปู เป็นรูปทรงต่ำง ๆ ขอ้ ควำม ได้ ยำงยดื หยนุ่ ได้ ส่วนเส้นใยเป็นพอลิเมอร์ที่ สำมำรถดงึ เปน็ เสน้ ยำวได้ พอลเิ มอร์จงึ ใชป้ ระโยชน์ได้ แตกต่ำงกัน  เซรำมิกส์เปน็ วสั ดทุ ่ผี ลติ จำก ดิน หนิ ทรำย และ แรธ่ ำตตุ ่ำง ๆ จำกธรรมชำติ และสว่ นมำกจะผ่ำน กำรเผำท่อี ุณหภมู ิสูงเพื่อให้ได้เนื้อสำรท่แี ข็งแรง เซรำมกิ สส์ ำมำรถทำเป็นรูปทรงตำ่ ง ๆ ได้ สมบตั ิ ท่วั ไปของเซรำมิกส์จะ แขง็ ทนต่อกำรสึกกร่อน และ เปรำะ สำมำรถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เชน่ ภำชนะ ทเ่ี ปน็ เครื่องป้ันดินเผำ ชิ้นสว่ นอเิ ล็กทรอนกิ ส์  วสั ดผุ สมเปน็ วสั ดทุ ี่เกิดจำกวัสดุต้งั แต่ ๒ ประเภท ท่ีมีสมบตั ิแตกตำ่ งกนั มำรวมตัวกนั เพ่อื นำไปใช้ ประโยชน์ได้มำกข้นึ เช่น เสือ้ กนั ฝนบำงชนิด เปน็ วสั ดุผสมระหวำ่ งผ้ำกบั ยำง คอนกรีตเสรมิ เหล็ก เป็นวสั ดผุ สมระหวำ่ งคอนกรีตกับเหลก็ - วสั ดบุ ำงชนดิ สลำยตัวยำก เชน่ พลำสตกิ กำรใช้ วัสดอุ ย่ำงฟ่มุ เฟือย และไม่ระมัดระวังอำจก่อปญั หำ ตอ่ สิง่ แวดลอ้ ม  กำรเกดิ ปฏิกริ ยิ ำเคมีหรือกำรเปล่ยี นแปลงทำงเคมี ของสำร เป็นกำรเปลี่ยนแปลงทีท่ ำให้เกิดสำรใหม่ โดยสำรทีเ่ ขำ้ ทำปฏกิ ิรยิ ำ เรียกวำ่ สำรต้งั ตน้ สำรใหม่ ทเี่ กิดข้ึนจำกปฏิกริ ิยำ เรียกวำ่ ผลิตภณั ฑ์ กำรเกิด ปฏกิ ิริยำเคมสี ำมำรถเขียนแทนได้ดว้ ยสมกำรขอ้ ควำม

๕๑ ช้ัน ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง  กำรเกดิ ปฏิกิริยำเคมี อะตอมของสำรตั้งต้นจะมี กำรจดั เรยี งตัวใหม่ ไดเ้ ป็นผลติ ภณั ฑ์ซึง่ มีสมบตั ิ แตกตำ่ งจำกสำรต้งั ต้น โดยอะตอมแต่ละชนิดก่อน และหลงั เกดิ ปฏกิ ิรยิ ำเคมีมจี ำนวนเทำ่ กนั ๔. อธิบำยกฎทรงมวล โดยใช้หลกั ฐำนเชงิ ประจักษ์  เมื่อเกิดปฏิกิริยำเคมี มวลรวมของสำรตง้ั ต้นเท่ำกับ มวลรวมของผลิตภณั ฑ์ ซึง่ เป็นไปตำมกฎทรงมวล ๕. วเิ ครำะห์ปฏกิ ริ ยิ ำดดู ควำมร้อน และ  เมือ่ เกดิ ปฏิกิรยิ ำเคมี มีกำรถ่ำยโอนควำมร้อน ปฏิกริ ิยำคำยควำมร้อน จำกกำรเปลี่ยนแปลง ควบคู่ไปกบั กำรจดั เรยี งตัวใหมข่ องอะตอมของสำร พลังงำนควำมร้อนของปฏิกิริยำ ปฏิกิรยิ ำทมี่ ีกำรถ่ำยโอนควำมรอ้ นจำกสิ่งแวดล้อม อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พเข้ำสูร่ ะบบเป็นปฏกิ ิรยิ ำดูดควำมรอ้ น ปฏิกริ ยิ ำท่ีมี กำรถำ่ ยโอนควำมร้อนจำกระบบออกสูส่ งิ่ แวดลอ้ ม เป็นปฏกิ ริ ยิ ำคำยควำมร้อน โดยใช้เครอ่ื งมือท่ี เหมำะสมในกำรวดั อุณหภูมิ เชน่ เทอร์มอมิเตอร์ หัววัดที่สำมำรถตรวจสอบกำรเปล่ยี นแปลงของ อุณหภูมไิ ดอ้ ย่ำงตอ่ เน่ือง ๖. อธิบำยปฏกิ ิรยิ ำกำรเกิดสนมิ ของเหล็ก  ปฏิกริ ิยำเคมีท่พี บในชีวิตประจำวันมี หลำยชนิด ปฏิกิรยิ ำของกรดกับโลหะ ปฏิกิริยำของกรด เช่น ปฏิกิรยิ ำกำรเผำไหม้ กำรเกดิ สนิมของเหลก็ กบั เบส และปฏิกิริยำของเบสกบั โลหะ โดยใช้ ปฏิกริ ยิ ำของกรดกบั โลหะ ปฏกิ ิริยำของกรดกับเบส หลักฐำนเชงิ ประจกั ษ์ และอธบิ ำย ปฏกิ ิรยิ ำ ปฏกิ ริ ิยำของเบสกบั โลหะ กำรเกดิ ฝนกรด กำรเผำไหม้ กำรเกิดฝนกรด กำรสังเครำะห์ กำรสังเครำะหด์ ้วยแสง ปฏิกริ ิยำเคมสี ำมำรถเขยี น ด้วยแสง โดยใชส้ ำรสนเทศ รวมทัง้ เขยี น แทนได้ดว้ ยสมกำรข้อควำม ซึ่งแสดงชอ่ื ของสำรตั้งตน้ สมกำรข้อควำมแสดงปฏิกิริยำดงั กลำ่ ว และผลติ ภณั ฑ์ เชน่ เชือ้ เพลิง + ออกซิเจน → คำร์บอนไดออกไซด์ + น้ำ ปฏิกิรยิ ำกำรเผำไหม้เป็นปฏิกิรยิ ำระหว่ำงสำรกับ ออกซิเจน สำรท่เี กิดปฏกิ ิรยิ ำกำรเผำไหม้สว่ นใหญ่ เปน็ สำรประกอบท่ีมีคำร์บอนและไฮโดรเจนเป็น องคป์ ระกอบ ซงึ่ ถ้ำเกดิ กำรเผำไหม้อย่ำงสมบูรณ์ จะได้ผลิตภัณฑ์เปน็ คำร์บอนไดออกไซด์และน้ำ  กำรเกดิ สนมิ ของเหล็ก เกิดจำกปฏกิ ิรยิ ำเคมี ระหวำ่ งเหล็ก น้ำ และออกซิเจน ไดผ้ ลติ ภัณฑ์ เปน็ สนิมของเหล็ก

๕๒ ช้ัน ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง  ปฏกิ ิรยิ ำกำรเผำไหม้และกำรเกดิ สนิมของเหลก็ เปน็ ปฏิกริ ิยำระหว่ำงสำรตำ่ ง ๆ กับออกซเิ จน  ปฏิกิรยิ ำของกรดกบั โลหะ hกรดทำปฏิกริ ยิ ำกับ โลหะไดห้ ลำยชนิด ไดผ้ ลติ ภณั ฑ์เปน็ เกลือของโลหะ และแก๊สไฮโดรเจน  ปฏิกริ ยิ ำของกรดกับสำรประกอบคำรบ์ อเนต ได้ผลิตภัณฑเ์ ป็นแกส๊ คำรบ์ อนไดออกไซด์ เกลือของ โลหะ และนำ้  ปฏกิ ิรยิ ำของกรดกับเบส ได้ผลติ ภัณฑเ์ ปน็ เกลือ ของโลหะและนำ้ หรอื อำจไดเ้ พยี งเกลือของโลหะ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ  ปฏิกิรยิ ำของเบสกบั โลหะบำงชนดิ ไดผ้ ลิตภัณฑ์ เปน็ เกลือของเบสและแก๊สไฮโดรเจน  กำรเกดิ ฝนกรด เปน็ ผลจำกปฏกิ ิริยำระหวำ่ งนำ้ ฝน กับออกไซดข์ องไนโตรเจน หรือออกไซด์ของซัลเฟอร์ ทำใหน้ ำ้ ฝนมีสมบตั ิเป็นกรด  กำรสงั เครำะห์ดว้ ยแสงของพชื เปน็ ปฏิกริ ิยำ ระหว่ำงแกส๊ คำรบ์ อนไดออกไซดก์ ับน้ำ โดยมแี สงชว่ ย ในกำรเกดิ ปฏิกิริยำ ได้ผลิตภัณฑเ์ ปน็ น้ำตำลกลโู คส และออกซเิ จน ๗. ระบุประโยชนแ์ ละโทษของปฏิกิรยิ ำเคมีที่มี  ปฏกิ ิรยิ ำเคมีที่พบในชวี ติ ประจำวนั มีทง้ั ประโยชน์ ต่อสงิ่ มชี ีวติ และสง่ิ แวดล้อม และยกตวั อยำ่ ง และโทษต่อสง่ิ มชี ีวิตและส่ิงแวดล้อม จงึ ต้อง วิธีกำรป้องกันและแกป้ ัญหำที่เกดิ จำกปฏกิ ิริยำ ระมัดระวังผลจำกปฏกิ ิริยำเคมี ตลอดจนรู้จักวธิ ี เคมีที่พบในชีวิตประจำวัน จำกกำรสบื คน้ ป้องกันและแกป้ ญั หำที่เกดิ จำกปฏกิ ิรยิ ำเคมที พ่ี บ ข้อมลู ในชีวิตประจำวัน ๘. ออกแบบวธิ แี ก้ปัญหำในชีวิตประจำวนั  ควำมรู้เกย่ี วกับปฏิกิรยิ ำเคมี สำมำรถนำไปใช้ โดยใช้ควำมรเู้ กยี่ วกบั ปฏิกิรยิ ำเคมี โดย ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจำวนั และสำมำรถบูรณำกำร บูรณำกำรวิทยำศำสตร์ คณิตศำสตร์ กบั คณติ ศำสตร์ เทคโนโลยี และวศิ วกรรมศำสตร์ เทคโนโลยี และวศิ วกรรมศำสตร์ เพ่อื ใชป้ รับปรงุ ผลิตภณั ฑใ์ ห้มีคณุ ภำพตำมต้องกำร หรอื อำจสรำ้ งนวตั กรรมเพ่ือป้องกนั และแกป้ ัญหำ ที่เกิดขึน้ จำกปฏิกิรยิ ำเคมี โดยใชค้ วำมรเู้ กย่ี วกับ ปฏิกริ ยิ ำเคมี เชน่ กำรเปล่ียนแปลงพลงั งำน

๕๓ ชนั้ ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ควำมรอ้ นอนั เน่อื งมำจำกปฏกิ ิริยำเคมี กำรเพ่ิม ปรมิ ำณผลผลติ ม.๔ - - ม.๕ ๑. ระบุว่ำสำรเปน็ ธำตหุ รอื สำรประกอบ และ  สำรเคมีทุกชนดิ สำมำรถระบไุ ดว้ ำ่ เปน็ ธำตุ หรือ อย่ใู นรูปอะตอม โมเลกลุ หรอื ไอออน จำกสตู ร สำรประกอบ และอยู่ในรูปของอะตอม โมเลกุล หรือ เคมี ไอออนได้ โดยพิจำรณำจำกสูตรเคมี ๒. เปรียบเทียบควำมเหมือนและควำมแตกต่ำง  แบบจำลองอะตอมใช้อธิบำยตำแหนง่ ของโปรตอน ของแบบจำลองอะตอมของโบรก์ บั แบบจำลอง นิวตรอน และอิเลก็ ตรอนในอะตอม โดยโปรตอนและ อะตอมแบบกลมุ่ หมอก นวิ ตรอนอยรู่ วมกนั ในนวิ เคลียส ส่วนอิเล็กตรอน เคล่ือนที่รอบนิวเคลียส ซึ่งในแบบจำลองอะตอมของ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ โบรอ์ ิเล็กตรอนเคลื่อนที่เป็นวง โดยแต่ละวงมีระยะห่ำง จำกนิวเคลยี สและมีพลงั งำนต่ำงกัน และอิเล็กตรอน วงนอกสุด เรียกว่ำ เวเลนซอ์ เิ ล็กตรอน  แบบจำลองอะตอมแบบกลุ่มหมอก แสดงโอกำสที่ จะพบอเิ ลก็ ตรอนรอบนิวเคลียสในลักษณะกลมุ่ หมอก เน่ืองจำกอเิ ล็กตรอนมีขนำดเล็กและเคลื่อนที่อย่ำง รวดเรว็ ตลอดเวลำ จึงไม่สำมำรถระบุตำแหน่ง ทแ่ี นน่ อนได้ ๓. ระบจุ ำนวนโปรตอน นวิ ตรอน และ  อะตอมของธำตเุ ปน็ กลำงทำงไฟฟ้ำ มีจำนวน อเิ ลก็ ตรอนของอะตอม และไอออนท่ีเกิดจำก โปรตอนเทำ่ กับจำนวนอิเลก็ ตรอน กำรระบชุ นิดของ อะตอมเดียว ธำตุพิจำรณำจำกจำนวนโปรตอน  เมอื่ อะตอมของธำตมุ กี ำรใหห้ รือรับอิเลก็ ตรอน ทำใหจ้ ำนวนโปรตอนและอเิ ล็กตรอนไมเ่ ท่ำกนั เกดิ เป็นไอออน โดยไอออนท่ีมจี ำนวนอิเลก็ ตรอน น้อยกว่ำจำนวนโปรตอน เรยี กวำ่ ไอออนบวก ส่วนไอออนทม่ี จี ำนวนอเิ ลก็ ตรอนมำกกว่ำโปรตอน เรียกวำ่ ไอออนลบ ๔. เขียนสญั ลกั ษณน์ วิ เคลียรข์ องธำตุและระบุ  สญั ลักษณน์ ิวเคลียร์ประกอบดว้ ยสัญลกั ษณ์ธำตุ กำรเป็นไอโซโทป เลขอะตอมและเลขมวล โดยเลขอะตอมเป็นตัวเลขท่ี แสดงจำนวนโปรตอนในอะตอม เลขมวลเปน็ ตัวเลขที่ แสดงผลรวมของจำนวนโปรตอนกับนวิ ตรอนในอะตอม ธำตุชนดิ เดียวกันแต่มีเลขมวลตำ่ งกัน เรยี กวำ่ ไอโซโทป

๕๔ ช้ัน ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๕. ระบุหมู่และคำบของธำตุ และระบวุ ำ่ ธำตุ  ธำตุจดั เปน็ หมวดหม่ไู ด้อยำ่ งเป็นระบบโดยอำศัย เปน็ โลหะ อโลหะ ก่งึ โลหะ กลมุ่ ธำตุ ตำรำงธำตุ ซงึ่ ในปัจจบุ ันจดั เรียงตำมเลขอะตอมและ เรพรเี ซนเททีฟ หรือกล่มุ ธำตุแทรนซิชนั จำก ควำมคลำ้ ยคลึงของสมบัติ แบ่งออกเป็นหมู่ซ่ึงเป็น ตำรำงธำตุ แถวในแนวตงั้ และคำบซ่ึงเปน็ แถวในแนวนอน ทำให้ ธำตุทมี่ สี มบัติเป็นโลหะ อโลหะและกงึ่ โลหะ อยูเ่ ป็น กลุ่มบริเวณใกล้ ๆ กัน และแบ่งธำตุออกเปน็ กลุ่ม ธำตเุ รพรเี ซนเททีฟและกลมุ่ ธำตแุ ทรนซิชนั ๖. เปรียบเทยี บสมบัตกิ ำรนำไฟฟำ้ กำรใหแ้ ละ  ธำตใุ นกลมุ่ โลหะ จะนำไฟฟำ้ ได้ดี และมีแนวโนม้ ให้ รับอเิ ลก็ ตรอนระหวำ่ งธำตใุ นกลุ่มโลหะกับ อิเล็กตรอน ส่วนธำตุในกลมุ่ อโลหะ จะไมน่ ำไฟฟ้ำ อโลหะ และมแี นวโน้มรับอิเล็กตรอน โดยธำตเุ รพรเี ซนเททีฟ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ในหมู่ IA-IIA และธำตุแทรนซิชันทกุ ธำตุ จัดเป็นธำตุ ในกลุม่ โลหะ ส่วนธำตเุ รพรเี ซนเททฟี ในหมู่ IIIA-VIIA มที ั้งธำตุในกลุ่มโลหะและอโลหะสว่ นธำตุเรพรีเซนเททีฟ ในหมู่ VIIIA จดั เป็นธำตอุ โลหะท้ังหมด ๗. สบื คน้ ขอ้ มลู และนำเสนอตัวอยำ่ งประโยชน์  ธำตุเรพรีเซนเททฟี และธำตแุ ทรนซิชนั นำมำใช้ และอันตรำยท่ีเกิดจำกธำตุเรพรเี ซนเททฟี และ ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้หลำกหลำย ซงึ่ ธำตุ ธำตุแทรนซชิ ัน บำงชนดิ มีสมบตั ิทเี่ ป็นอนั ตรำย จงึ ต้องคำนึงถึง กำรปอ้ งกนั อันตรำยเพ่ือควำมปลอดภยั ในกำรใช้ ประโยชน์ ๘. ระบวุ ่ำพนั ธะโคเวเลนต์เป็นพนั ธะเดยี่ ว  พนั ธะโคเวเลนต์ เป็นกำรยึดเหน่ียวระหว่ำงอะตอม พนั ธะคู่ หรือพนั ธะสำม และระบุจำนวนคู่ ดว้ ยกำรใช้เวเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนร่วมกัน เกิดเปน็ โมเลกุล อเิ ล็กตรอนระหวำ่ งอะตอมครู่ ่วมพนั ธะ โดยกำรใช้เวเลนซ์อิเลก็ ตรอนร่วมกนั ๑ คู่ เรยี กวำ่ จำกสูตรโครงสร้ำง พนั ธะเดยี่ ว เขยี นแทนดว้ ยเส้นพนั ธะ ๑ เส้น ในโครงสร้ำงโมเลกุล ส่วนกำรใชเ้ วเลนซอ์ เิ ล็กตรอน รว่ มกัน ๒ คู่ และ ๓ คู่ เรียกว่ำ พันธะคู่ และ พันธะสำม เขยี นแทนดว้ ยเส้นพันธะ ๒ เส้น และ ๓ เส้น ตำมลำดับ ๙. ระบุสภำพขว้ั ของสำรทีโ่ มเลกุล  สำรท่ีมีพันธะภำยในโมเลกุลเปน็ พันธะโคเวเลนต์ ประกอบดว้ ย 2 อะตอม ทั้งหมดเรียกวำ่ สำรโคเวเลนต์ โดยสำรโคเวเลนต์ ๑๐. ระบสุ ำรทเ่ี กิดพันธะไฮโดรเจนได้จำกสตู ร ท่ปี ระกอบด้วย ๒ อะตอมของธำตุชนิดเดยี วกนั เปน็ โครงสรำ้ ง สำรไม่มขี ้ัว ส่วนสำรโคเวเลนตท์ ่ีประกอบดว้ ย ๒ อะตอมของธำตุต่ำงชนดิ กัน เปน็ สำรมขี ัว้ สำหรบั

๕๕ ช้ัน ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๑๑. อธบิ ำยควำมสมั พนั ธร์ ะหวำ่ งจดุ เดือดของ สำรโคเวเลนตท์ ่ปี ระกอบด้วยอะตอมมำกกวำ่ สำรโคเวเลนต์กับแรงดึงดูดระหว่ำงโมเลกุลตำม ๒ อะตอม อำจเป็นสำรมีขวั้ หรือไม่มขี ้ัว ขน้ึ อยกู่ บั สภำพขั้วหรือกำรเกดิ พนั ธะไฮโดรเจน รูปรำ่ งของโมเลกุล ซ่ึงสภำพข้ัวของสำรโคเวเลนต์ ส่งผลตอ่ แรงดึงดูดระหว่ำงโมเลกุลท่ีทำให้ จดุ หลอมเหลวและจุดเดือดของสำรโคเวเลนต์ แตกต่ำงกนั นอกจำกนส้ี ำรบำงชนิดมจี ุดเดือดสูงกวำ่ ปกติ เนื่องจำกมีแรงดงึ ดดู ระหวำ่ งโมเลกุลสูงที่ เรยี กวำ่ พันธะไฮโดรเจน ซง่ึ สำรเหลำ่ นม้ี พี นั ธะ N–H O–H หรอื F–H ภำยในโครงสรำ้ งโมเลกลุ ๑๒. เขียนสูตรเคมีของไอออนและสำรประกอบ  สำรประกอบไอออนิกสว่ นใหญเ่ กิดจำกกำรรวมตัวกัน อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ไอออนิก ของไอออนบวกของธำตุโลหะและไอออนลบของธำตุ อโลหะ ในบำงกรณีไอออนอำจประกอบดว้ ย กลมุ่ ของ อะตอม โดยเม่ือไอออนรวมตัวกันเกิดเปน็ สำรประกอบ ไอออนิกจะมสี ดั สว่ นกำรรวมตัวเพอื่ ทำใหป้ ระจุของ สำรประกอบเปน็ กลำงทำงไฟฟำ้ โดยไอออนบวกและ ไอออนลบจะจัดเรียงตัวสลับต่อเนอื่ งกนั ไปใน ๓ มติ ิ เกดิ เปน็ ผลึกของสำร ซึ่งสตู รเคมขี องสำรประกอบ ไอออนิกประกอบดว้ ยสญั ลกั ษณธ์ ำตทุ เี่ ปน็ ไอออนบวก ตำมดว้ ยสัญลกั ษณธ์ ำตทุ ี่เป็นไอออนลบ โดยมตี วั เลขที่ แสดงจำนวนไอออนแตล่ ะชนิดเปน็ อัตรำสว่ นอยำ่ งต่ำ ๑๓. ระบวุ ำ่ สำรเกิดกำรละลำยแบบแตกตวั  สำรจะละลำยนำ้ ได้เม่ือองค์ประกอบของสำร หรอื ไม่แตกตวั พร้อมให้เหตุผล และระบวุ ำ่ สำมำรถเกิดแรงดึงดดู กบั โมเลกลุ ของน้ำได้ โดย สำรละลำยท่ไี ด้เปน็ สำรละลำยอิเลก็ โทรไลต์ กำรละลำยของสำรในนำ้ เกดิ ได้ ๒ ลกั ษณะ คือ หรือนอนอเิ ล็กโทรไลต์ กำรละลำยแบบแตกตวั และกำรละลำยแบบไมแ่ ตกตวั กำรละลำยแบบแตกตวั เกดิ ขึ้นกบั สำรประกอบ ไอออนิก และสำรโคเวเลนตบ์ ำงชนดิ ท่มี สี มบัตเิ ป็น กรดหรือเบส โดยเม่ือสำรเกดิ กำรละลำยแบบแตกตัว จะได้ไอออนทีส่ ำมำรถเคลื่อนท่ีไดท้ ำใหไ้ ดส้ ำรละลำย ทีน่ ำไฟฟ้ำ ซึ่งเรียกวำ่ สำรละลำยอเิ ล็กโทรไลต์ กำรละลำยแบบไมแ่ ตกตัวเกิดขึ้นกับสำรโคเวเลนต์ท่มี ี ขวั้ สูง สำมำรถดึงดดู กับโมเลกุลของน้ำได้ดี โดยเม่ือ เกิดกำรละลำยโมเลกลุ ของสำรจะไม่แตกตวั เป็น

๕๖ ช้ัน ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ไอออน และสำรละลำยท่ีไดจ้ ะไมน่ ำไฟฟำ้ ซึ่งเรยี กว่ำ สำรละลำยนอนอิเล็กโทรไลต์ ๑๔. ระบุสำรประกอบอินทรียป์ ระเภท  สำรประกอบอินทรีย์เปน็ สำรประกอบของคำรบ์ อน ไฮโดรคำร์บอนวำ่ อิ่มตวั หรือไม่อิม่ ตัวจำกสตู ร สว่ นใหญ่พบในสิ่งมชี วี ติ มโี ครงสร้ำงหลำกหลำยและ โครงสรำ้ ง แบ่งไดห้ ลำยประเภท เน่ืองจำกธำตุคำรบ์ อน สำมำรถ เกิดพันธะกบั คำรบ์ อนดว้ ยกนั เองและธำตุอืน่ ๆ นอกจำกน้พี ันธะระหวำ่ งคำรบ์ อนยังมหี ลำยรูปแบบ ได้แก่ พนั ธะเดยี่ ว พนั ธะคู่ พันธะสำม  สำรประกอบอนิ ทรยี ท์ ่มี เี ฉพำะธำตุคำร์บอนและ ไฮโดรเจนเปน็ องค์ประกอบ เรียกว่ำ สำรประกอบ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ไฮโดรคำร์บอน โดยสำรประกอบไฮโดรคำร์บอนอ่ิมตัว มพี นั ธะระหว่ำงคำรบ์ อนเป็นพันธะเด่ียวทุกพนั ธะ ในโครงสร้ำง สว่ นสำรประกอบไฮโดรคำร์บอนไม่อ่มิ ตวั มพี นั ธะระหวำ่ งคำร์บอนเปน็ พันธะคู่ หรือพันธะสำม อย่ำงน้อย ๑ พนั ธะในโครงสร้ำง ๑๕. สบื คน้ ขอ้ มลู และเปรยี บเทียบสมบตั ิ  สำรทพี่ บในชวี ติ ประจำวันมที งั้ โมเลกุลขนำดเลก็ ทำงกำยภำพระหวำ่ งพอลิเมอรแ์ ละมอนอเมอร์ และขนำดใหญ่ พอลิเมอรเ์ ป็นสำรทีม่ ีโมเลกุล ของพอลิเมอร์ชนิดนนั้ ขนำดใหญท่ ีเ่ กิดจำกมอนอเมอรห์ ลำยโมเลกลุ เช่ือมตอ่ กันด้วยพนั ธะเคมี ทำใหส้ มบตั ิทำงกำยภำพ ของพอลเิ มอร์แตกต่ำงจำกมอนอเมอร์ทเี่ ป็นสำรต้งั ต้น เชน่ สถำนะ จดุ หลอมเหลว กำรละลำย ๑๖. ระบสุ มบัติควำมเปน็ กรด-เบส จำก  สำรประกอบอนิ ทรยี ท์ ี่มหี มู่ -COOH สำมำรถแสดง โครงสรำ้ งของสำรประกอบอินทรยี ์ สมบัติควำมเป็นกรด สว่ นสำรประกอบอนิ ทรยี ท์ ่มี หี มู่ ๑๗. อธบิ ำยสมบัติกำรละลำยในตัวทำละลำย -NH2 สำมำรถแสดงสมบัติควำมเป็นเบส ชนิดตำ่ ง ๆ ของสำร  กำรละลำยของสำรพจิ ำรณำได้จำกควำมมีขวั้ ของ ตวั ละลำยและตวั ทำละลำย โดยสำรสำมำรถละลำย ได้ในตัวทำละลำยท่ีมีขัว้ ใกล้เคยี งกัน โดยสำรมีขัว้ ละลำยในตวั ทำละลำยทม่ี ขี ว้ั ส่วนสำรไม่มขี ั้วละลำย ในตวั ทำละลำยท่ีไม่มีขั้ว และสำรมขี ว้ั ไม่ละลำย ในตัวทำละลำยท่ีไม่มีขั้ว ๑๘. วิเครำะห์และอธิบำยควำมสัมพนั ธร์ ะหวำ่ ง  โครงสร้ำงของพอลิเมอรอ์ ำจเป็นแบบเสน้ แบบกง่ิ โครงสร้ำงกับสมบัตเิ ทอร์มอพลำสติกและ หรือแบบรำ่ งแห โดยพอลิเมอรแ์ บบเส้นและแบบก่ิง

๕๗ ช้ัน ตวั ช้ีวดั อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ สาระการเรยี นรู้แกนกลาง เทอร์มอเซตของพอลเิ มอร์ และกำรนำ มสี มบัติเทอรม์ อพลำสติก ส่วนพอลเิ มอร์แบบร่ำงแห พอลเิ มอรไ์ ปใช้ประโยชน์ มสี มบตั ิเทอร์มอเซต จึงมีกำรใช้ประโยชนไ์ ด้แตกตำ่ งกนั ๑๙. สบื คน้ ข้อมลู และนำเสนอผลกระทบของ กำรใชผ้ ลติ ภัณฑพ์ อลิเมอร์ทม่ี ีตอ่ ส่งิ มชี วี ติ และ  กำรใช้ผลติ ภณั ฑ์พอลเิ มอรใ์ นปริมำณมำกก่อให้เกดิ ส่งิ แวดลอ้ ม พร้อมแนวทำงป้องกันหรือแก้ไข ปัญหำท่ีส่งผลกระทบต่อสิง่ มีชีวิตและส่ิงแวดล้อม ดังน้นั จงึ ควรตระหนักถึงกำรลดปรมิ ำณกำรใช้ ๒๐. ระบสุ ูตรเคมีของสำรตงั้ ต้น ผลติ ภณั ฑ์ กำรใช้ซ้ำ และกำรนำกลบั มำใชใ้ หม่ และแปลควำมหมำยของสัญลักษณ์ในสมกำร เคมขี องปฏิกิริยำเคมี  ปฏิกิรยิ ำเคมีทำใหเ้ กิดกำรเปลี่ยนแปลงของสำร โดยปฏกิ ิรยิ ำเคมีอำจให้พลังงำนควำมร้อน พลงั งำน ๒๑. ทดลองและอธิบำยผลของควำมเข้มข้น แสง หรือพลงั งำนไฟฟ้ำ ทีส่ ำมำรถนำไปใช้ประโยชน์ พน้ื ทผ่ี วิ อุณหภมู ิ และตัวเรง่ ปฏิกริ ยิ ำ ทีม่ ีผล ในดำ้ นตำ่ ง ๆ ได้ ตอ่ อัตรำกำรเกดิ ปฏิกิรยิ ำเคมี ๒๒. สืบค้นขอ้ มูลและอธิบำยปัจจยั ท่มี ผี ลตอ่  ปฏกิ ิริยำเคมีแสดงได้ด้วยสมกำรเคมี ซง่ึ มสี ตู รเคมี อตั รำกำรเกิดปฏกิ ริ ยิ ำเคมีท่ีใชป้ ระโยชน์ ของสำรต้ังต้นอยู่ทำงดำ้ นซ้ำยของลูกศร และสูตรเคมี ในชีวติ ประจำวนั หรอื ในอุตสำหกรรม ของผลิตภณั ฑ์อยทู่ ำงด้ำนขวำ โดยจำนวนอะตอม ๒๓. อธิบำยควำมหมำยของปฏกิ ิรยิ ำรีดอกซ์ รวมของแต่ละธำตทุ ำงดำ้ นซำ้ ยและขวำเท่ำกัน นอกจำกนสี้ มกำรเคมียงั อำจแสดงปจั จัยอืน่ เช่น ๒๔. อธิบำยสมบตั ขิ องสำรกัมมนั ตรงั สี และ สถำนะ พลงั งำนทเี่ ก่ียวขอ้ ง ตัวเรง่ ปฏิกริ ยิ ำเคมที ี่ใช้ คำนวณคร่ึงชีวิตและปริมำณของสำร กมั มันตรงั สี  อตั รำกำรเกิดปฏิกิรยิ ำเคมีขน้ึ อย่กู ับควำมเข้มขน้ อุณหภูมิ พน้ื ทผ่ี ิว หรือตวั เร่งปฏกิ ริ ยิ ำ  ควำมรูเ้ กี่ยวกบั ปจั จัยที่มผี ลตอ่ อัตรำกำรเกิด ปฏกิ ิริยำเคมีสำมำรถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิต ประจำวันและในอุตสำหกรรม  ปฏิกิรยิ ำเคมบี ำงประเภทเกิดจำกกำรถำ่ ยโอน อเิ ล็กตรอนของสำรในปฏิกริ ยิ ำเคมี ซงึ่ เรียกว่ำ ปฏิกิริยำรดี อกซ์  สำรที่สำมำรถแผ่รังสีได้เรียกว่ำ สำรกัมมันตรงั สี ซงึ่ มีนิวเคลยี สทส่ี ลำยตัวอย่ำงตอ่ เน่อื ง ระยะเวลำที่ สำรกมั มันตรงั สสี ลำยตวั จนเหลอื ครึง่ หน่ึงของปริมำณ เดิม เรียกว่ำ คร่ึงชวี ิต โดยสำรกมั มันตรังสแี ต่ละชนิด มีค่ำคร่งึ ชวี ติ แตกตำ่ งกนั

๕๘ ช้นั ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๒๕. สบื ค้นข้อมูลและนำเสนอตัวอย่ำง ประโยชน์ของสำรกัมมนั ตรงั สีและกำรป้องกัน  รงั สีทีแ่ ผ่จำกสำรกัมมนั ตรงั สีมีหลำยชนิดเชน่ อันตรำยท่ีเกดิ จำกกมั มันตภำพรังสี แอลฟำ บตี ำ แกมมำ ซงึ่ สำมำรถนำมำใชป้ ระโยชน์ ได้แตกต่ำงกนั กำรนำสำรกัมมันตรงั สีแต่ละชนิดมำใช้ ม.๖ - ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิง่ มีชีวิตและส่งิ แวดลอ้ ม รวมท้ังมกี ำรจัดกำรอย่ำงเหมำะสม - อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ

๕๙ สาระที่ ๒ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๒ เขา้ ใจธรรมชาตขิ องแรงในชวี ติ ประจาวัน ผลของแรงทีก่ ระทาต่อวัตถุ ลกั ษณะ การเคลือ่ นทแี่ บบต่าง ๆ ของวตั ถุ รวมทงั้ นาความร้ไู ปใช้ประโยชน์ ช้ัน ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๑ - - ป.๒ - - ป.๓ ๑. ระบุผลของแรงท่ีมตี ่อกำรเปล่ยี นแปลง  กำรดึง หรือกำรผลัก เป็นกำรออกแรงกระทำตอ่ กำรเคลอ่ื นท่ขี องวัตถจุ ำกหลักฐำนเชิงประจกั ษ์ วตั ถุ แรงมีผลต่อกำรเคล่ือนที่ของวตั ถุ แรงอำจทำให้ วตั ถุเกิดกำรเคล่อื นท่ีโดยเปลยี่ นตำแหนง่ จำกที่หน่งึ ไปยงั อีกที่หนึ่ง อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ  กำรเปล่ยี นแปลงกำรเคลื่อนที่ของวตั ถุ ได้แก่ วตั ถุ ที่อยูน่ ่ิงเปลยี่ นเป็นเคลอื่ นที่ วัตถุทกี่ ำลงั เคลอ่ื นที่ เปลี่ยนเป็นเคลื่อนท่เี ร็วข้ึนหรือชำ้ ลงหรือหยุดน่งิ หรือ เปลีย่ นทศิ ทำงกำรเคล่ือนท่ี ๒. เปรียบเทียบและยกตัวอย่ำงแรงสัมผสั และ  กำรดงึ หรอื กำรผลักเปน็ กำรออกแรงที่เกดิ จำกวตั ถุ แรงไมส่ ัมผสั ท่ีมีผลต่อกำรเคล่ือนท่ขี องวัตถุ หนงึ่ กระทำกับอีกวัตถหุ นึ่ง โดยวตั ถทุ ้ังสองอำจสมั ผสั โดยใชห้ ลกั ฐำนเชิงประจักษ์ หรอื ไม่ต้องสัมผสั กัน เชน่ กำรออกแรงโดยใชม้ ือดึง หรอื กำรผลกั โตะ๊ ให้เคลื่อนที่เป็นกำรออกแรงทวี่ ตั ถุ ต้องสมั ผัสกนั แรงน้จี ึงเป็นแรงสัมผัส ส่วนกำรท่ี แมเ่ หล็กดงึ ดดู หรือผลักระหว่ำงแมเ่ หล็กเป็นแรงท่ี เกดิ ขนึ้ โดยแมเ่ หล็กไม่จำเป็นต้องสัมผัสกัน แรง แมเ่ หล็กนี้จงึ เปน็ แรงไมส่ ัมผัส ๓. จำแนกวัตถโุ ดยใช้กำรดงึ ดูดกับแมเ่ หล็ก  แมเ่ หลก็ สำมำรถดงึ ดูดสำรแม่เหล็กได้ เป็นเกณฑจ์ ำกหลกั ฐำนเชิงประจักษ์ ๔. ระบุข้วั แม่เหล็กและพยำกรณ์ผลทเ่ี กิดขึ้น  แรงแมเ่ หลก็ เป็นแรงทเี่ กดิ ขึ้นระหวำ่ งแม่เหล็ก ระหวำ่ งขัว้ แม่เหลก็ เมือ่ นำมำเขำ้ ใกล้กันจำก กบั สำรแมเ่ หล็ก หรือแมเ่ หล็กกบั แม่เหล็ก แม่เหล็ก หลักฐำนเชงิ ประจกั ษ์ มี ๒ ขวั้ คอื ข้ัวเหนือและข้ัวใต้ ขว้ั แมเ่ หล็กชนดิ เดียวกนั จะผลักกนั ตำ่ งชนดิ กนั จะดึงดดู กัน ป.๔ ๑. ระบุผลของแรงโนม้ ถ่วงทมี่ ีต่อวัตถุจำก  แรงโนม้ ถว่ งของโลกเป็นแรงดงึ ดูดท่ีโลกกระทำต่อ หลักฐำนเชงิ ประจักษ์ วตั ถุ มีทิศทำงเขำ้ สู่ศนู ย์กลำงโลก และเป็นแรงไม่สัมผัส ๒. ใชเ้ คร่อื งช่ังสปริงในกำรวัดน้ำหนกั ของวัตถุ แรงดึงดูดทโี่ ลกกระทำกับวัตถุหน่งึ ๆ ทำใหว้ ัตถตุ กลง สู่พน้ื โลก และทำให้วัตถุมนี ้ำหนัก วดั น้ำหนกั ของวตั ถุ ไดจ้ ำกเครื่องช่งั สปรงิ นำ้ หนักของวัตถุข้นึ กบั มวลของ

๖๐ ชน้ั ตัวช้วี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง วัตถุ โดยวัตถทุ ี่มมี วลมำกจะมีน้ำหนักมำก วตั ถุท่มี ี มวลนอ้ ยจะมีนำ้ หนักนอ้ ย ๓. บรรยำยมวลของวัตถทุ ม่ี ีผลต่อกำร  มวล คอื ปรมิ ำณเน้อื ของสำรทั้งหมดที่ประกอบกัน เปล่ียนแปลงกำรเคล่ือนทข่ี องวัตถุจำกหลักฐำน เป็นวัตถุ ซ่งึ มีผลต่อควำมยำกง่ำยในกำรเปลี่ยนแปลง เชิงประจกั ษ์ กำรเคล่ือนที่ของวัตถุ วัตถุที่มีมวลมำกจะเปล่ยี นแปลง กำรเคลอ่ื นท่ไี ด้ยำกกว่ำวัตถุท่ีมมี วลน้อย ดงั น้นั มวลของวตั ถุนอกจำกจะหมำยถงึ เนื้อทัง้ หมดของวตั ถุ น้นั แลว้ ยังหมำยถงึ กำรต้ำนกำรเปลีย่ นแปลง กำรเคล่ือนทข่ี องวตั ถนุ น้ั ด้วย ป.๕ ๑. อธบิ ำยวธิ กี ำรหำแรงลัพธข์ องแรงหลำยแรง  แรงลัพธ์เป็นผลรวมของแรงทก่ี ระทำต่อวตั ถุ โดย อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ในแนวเดยี วกันที่กระทำต่อวตั ถใุ นกรณีที่วัตถุ แรงลัพธข์ องแรง ๒ แรงที่กระทำตอ่ วตั ถเุ ดียวกนั จะมี อยู่นิ่งจำกหลักฐำนเชิงประจกั ษ์ ขนำดเทำ่ กบั ผลรวมของแรงทั้งสองเมื่อแรงท้ังสอง ๒. เขียนแผนภำพแสดงแรงที่กระทำต่อวัตถุท่ี อยใู่ นแนวเดยี วกนั และมีทิศทำงเดียวกนั แต่จะมี อยใู่ นแนวเดยี วกนั และแรงลัพธท์ ีก่ ระทำตอ่ วตั ถุ ขนำดเทำ่ กบั ผลต่ำงของแรงทั้งสองเมื่อแรงทง้ั สอง ๓. ใช้เครอื่ งชัง่ สปรงิ ในกำรวัดแรงทกี่ ระทำต่อ อยใู่ นแนวเดียวกันแตม่ ีทิศทำงตรงขำ้ มกนั สำหรับ วตั ถุ วตั ถทุ อี่ ยนู่ ิง่ แรงลพั ธท์ ก่ี ระทำต่อวตั ถุมีคำ่ เปน็ ศูนย์  กำรเขียนแผนภำพของแรงท่กี ระทำต่อวัตถุ สำมำรถเขยี นไดโ้ ดยใชล้ กู ศร โดยหวั ลกู ศรแสดง ทศิ ทำงของแรง และควำมยำวของลูกศรแสดงขนำด ของแรงทกี่ ระทำต่อวัตถุ ๔. ระบผุ ลของแรงเสยี ดทำนที่มตี ่อ  แรงเสียดทำนเป็นแรงทเี่ กิดข้ึนระหว่ำงผิวสัมผัสของ กำรเปลย่ี นแปลงกำรเคลื่อนท่ีของวัตถจุ ำก วตั ถุ เพอ่ื ต้ำนกำรเคล่อื นท่ีของวตั ถนุ นั้ โดยถ้ำออกแรง หลักฐำนเชงิ ประจักษ์ กระทำตอ่ วตั ถุทอ่ี ยนู่ ่ิงบนพื้นผวิ หน่ึงใหเ้ คลือ่ นท่ี ๕. เขียนแผนภำพแสดงแรงเสียดทำนและแรง แรงเสยี ดทำนจำกพืน้ ผวิ นั้นก็จะตำ้ นกำรเคลอื่ นทีข่ อง ทอ่ี ยใู่ นแนวเดียวกนั ทก่ี ระทำต่อวัตถุ วตั ถุ แต่ถำ้ วัตถุกำลงั เคล่ือนท่ี แรงเสยี ดทำนก็จะทำให้ วตั ถนุ นั้ เคล่ือนท่ีช้ำลง หรือหยุดนิ่ง ป.๖ ๑. อธิบำยกำรเกดิ และผลของแรงไฟฟำ้ ซึ่งเกดิ  วัตถุ ๒ ชนดิ ทีผ่ ่ำนกำรขดั ถูแลว้ เมื่อนำเข้ำใกล้กนั จำกวัตถทุ ่ผี ำ่ นกำรขดั ถูโดยใช้หลกั ฐำนเชิง อำจดงึ ดดู หรือผลกั กัน แรงท่เี กิดขึน้ นเี้ ป็นแรงไฟฟ้ำ ประจกั ษ์ ซงึ่ เปน็ แรงไมส่ ัมผัส เกดิ ขน้ึ ระหว่ำงวัตถุท่ีมปี ระจุไฟฟำ้ ซ่ึงประจุไฟฟ้ำมี ๒ ชนิด คอื ประจุไฟฟ้ำบวกและประจุ ไฟฟ้ำลบ วตั ถุท่ีมีประจุไฟฟำ้ ชนิดเดียวกนั ผลักกัน ชนดิ ตรงขำ้ มกนั ดงึ ดดู กนั

๖๑ ชั้น ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.๑ ๑. สรำ้ งแบบจำลองทอี่ ธิบำยควำมสัมพันธ์  เมอื่ วัตถุอยูใ่ นอำกำศจะมีแรงทอี่ ำกำศกระทำต่อ ระหวำ่ งควำมดนั อำกำศกบั ควำมสงู จำกพ้ืนโลก วัตถใุ นทุกทศิ ทำง แรงที่อำกำศกระทำต่อวัตถขุ ้นึ อยู่ กบั ขนำดพื้นท่ีของวตั ถนุ น้ั แรงทอ่ี ำกำศกระทำตง้ั ฉำก กับผิววตั ถุต่อหน่งึ หน่วยพ้ืนท่เี รียกวำ่ ควำมดนั อำกำศ -ควำมดันอำกำศมีควำมสมั พันธก์ ับควำมสูงจำกพืน้ โลก โดยบรเิ วณที่สูงจำกพ้ืนโลกข้นึ ไป อำกำศเบำบำง ลง มวลอำกำศน้อยลง ควำมดนั อำกำศกจ็ ะลดลง ม.๒ ๑. พยำกรณ์กำรเคล่ือนท่ขี องวตั ถุที่เป็นผลของ  แรงเปน็ ปรมิ ำณเวกเตอร์ เม่ือมีแรง หลำย ๆ แรง แรงลัพธท์ เ่ี กดิ จำกแรงหลำยแรงทก่ี ระทำต่อ กระทำตอ่ วัตถุ แลว้ แรงลัพธ์ท่ีกระทำตอ่ วัตถุมีคำ่ วัตถุในแนวเดียวกันจำกหลักฐำนเชงิ ประจกั ษ์ เปน็ ศูนย์ วตั ถุจะไม่เปล่ียนแปลงกำรเคลือ่ นที่ แต่ถ้ำ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๒. เขียนแผนภำพแสดงแรงและแรงลพั ธท์ เ่ี กิด แรงลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุมีคำ่ ไม่เป็นศูนย์ วัตถจุ ะ จำกแรงหลำยแรงทกี่ ระทำต่อวัตถุในแนว เปลี่ยนแปลงกำรเคล่ือนที่ เดยี วกัน ๓. ออกแบบกำรทดลองและทดลองด้วยวธิ ี  เม่ือวตั ถุอยู่ในของเหลวจะมแี รงท่ีของเหลวกระทำ ที่เหมำะสมในกำรอธิบำยปจั จัยทม่ี ีผลต่อ ต่อวัตถุในทุกทิศทำง โดยแรงทข่ี องเหลวกระทำ ควำมดนั ของของเหลว ตง้ั ฉำกกับผิววัตถตุ อ่ หน่ึงหน่วยพ้ืนที่ เรียกวำ่ ควำมดัน ของของเหลว  ควำมดนั ของของเหลวมคี วำมสัมพันธ์กบั ควำมลกึ จำกระดบั ผวิ หน้ำของของเหลว โดยบริเวณทลี่ กึ ลงไป จำกระดบั ผวิ หน้ำของของเหลวมำกขนึ้ ควำมดันของ ของเหลวจะเพม่ิ ขน้ึ เนื่องจำกของเหลวท่ีอยูล่ ึกกวำ่ จะมีน้ำหนักของของเหลวดำ้ นบนกระทำมำกกวำ่ ๔. วิเครำะหแ์ รงพยุงและกำรจม กำรลอยของ  เมื่อวตั ถุอย่ใู นของเหลว จะมแี รงพยุงเนื่องจำก วตั ถใุ นของเหลวจำกหลักฐำนเชิงประจักษ์ ของเหลวกระทำต่อวัตถุโดยมีทศิ ข้ึนในแนวดง่ิ กำรจม ๕. เขยี นแผนภำพแสดงแรงท่ีกระทำต่อวตั ถุ หรอื กำรลอยของวัตถุข้นึ กบั น้ำหนักของวัตถแุ ละ ในของเหลว แรงพยุง ถ้ำน้ำหนักของวตั ถุและแรงพยุงของ ของเหลวมีค่ำเทำ่ กัน วัตถุจะลอยน่ิงอยใู่ นของเหลว แต่ถ้ำนำ้ หนกั ของวัตถุมีค่ำมำกกวำ่ แรงพยุงของ ของเหลว วัตถุจะจม ๖. อธบิ ำยแรงเสียดทำนสถิตและแรงเสยี ดทำน  แรงเสียดทำนเปน็ แรงทีเ่ กิดขนึ้ ระหว่ำงผิวสมั ผสั จลน์จำกหลักฐำนเชิงประจกั ษ์ ของวัตถุ เพือ่ ต้ำนกำรเคล่อื นทีข่ องวัตถุน้ัน โดยถำ้ ออกแรงกระทำตอ่ วตั ถทุ ่ีอยู่นิ่งบนพนื้ ผิวใหเ้ คล่อื นท่ี

๖๒ ช้ัน ตัวช้ีวดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง แรงเสียดทำนกจ็ ะต้ำนกำรเคลื่อนท่ีของวตั ถุ แรงเสยี ดทำนท่เี กิดขน้ึ ในขณะทีว่ ตั ถุยังไม่เคล่ือนท่ี เรียก แรงเสียดทำนสถิต แตถ่ ้ำวัตถุกำลังเคลื่อนท่ี แรงเสียดทำนก็จะทำใหว้ ตั ถุนั้นเคล่ือนที่ชำ้ ลง หรือ หยดุ นง่ิ เรียก แรงเสียดทำนจลน์ ๗. ออกแบบกำรทดลองและทดลองด้วยวิธีท่ี  ขนำดของแรงเสยี ดทำนระหว่ำงผิวสัมผัสของวตั ถุ เหมำะสมในกำรอธิบำยปจั จยั ท่ีมีผลตอ่ ขนำด ข้นึ กับลกั ษณะผวิ สัมผสั และขนำดของแรงปฏิกิริยำ ของแรงเสียดทำน ต้ังฉำกระหวำ่ งผิวสมั ผสั ๘. เขียนแผนภำพแสดงแรงเสียดทำนและแรง อ่นื ๆ ท่กี ระทำต่อวตั ถุ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๙. ตระหนกั ถงึ ประโยชนข์ องควำมรู้เร่อื ง  กจิ กรรมในชีวติ ประจำวันบำงกจิ กรรมตอ้ งกำร แรงเสียดทำนโดยวิเครำะห์สถำนกำรณ์ปัญหำ แรงเสยี ดทำน เชน่ กำรเปดิ ฝำเกลยี วขวดนำ้ กำรใช้ และเสนอแนะวธิ กี ำรลด หรอื เพม่ิ แรงเสยี ดทำน แผ่นกนั ลื่นในหอ้ งน้ำ บำงกจิ กรรมไม่ตอ้ งกำร ท่เี ป็นประโยชน์ตอ่ กำรทำกิจกรรมในชวี ติ ประจำวนั แรงเสียดทำน เช่น กำรลำกวัตถุบนพ้นื กำรใช้ นำ้ มนั หล่อลน่ื ในเครื่องยนต์  ควำมรเู้ ร่อื งแรงเสียดทำนสำมำรถนำไปใช้ ประโยชน์ในชีวิตประจำวนั ได้ ๑๐. ออกแบบกำรทดลองและทดลองดว้ ยวิธี  เม่อื มีแรงที่กระทำตอ่ วัตถโุ ดยไม่ผำ่ นศูนย์กลำงมวล ทเ่ี หมำะสมในกำรอธบิ ำยโมเมนต์ของแรง ของวตั ถุ จะเกิดโมเมนตข์ องแรง ทำใหว้ ตั ถุหมุนรอบ เมอื่ วตั ถุอยใู่ นสภำพสมดุลต่อกำรหมนุ ศนู ย์กลำงมวลของวัตถุนั้น และคำนวณโดยใชส้ มกำร M = Fl  โมเมนตข์ องแรงเป็นผลคูณของแรงที่กระทำต่อ วัตถกุ บั ระยะทำงจำกจุดหมุนไปตงั้ ฉำกกบั แนวแรง เม่ือผลรวมของโมเมนต์ของแรงมีค่ำเป็นศูนย์ วัตถจุ ะ อยู่ในสภำพสมดุลต่อกำรหมุน โดยโมเมนตข์ องแรง ในทศิ ทวนเข็มนำฬิกำจะมขี นำดเท่ำกบั โมเมนตข์ อง แรงในทิศตำมเข็มนำฬกิ ำ  ของเลน่ หลำยชนิดประกอบดว้ ยอปุ กรณ์หลำยสว่ น ท่ใี ชห้ ลักกำรโมเมนตข์ องแรง ควำมร้เู ร่อื งโมเมนต์ของ แรงสำมำรถนำไปใช้ออกแบบและประดิษฐข์ องเลน่ ได้ ๑๑. เปรยี บเทยี บแหล่งของสนำมแม่เหลก็  วตั ถุทม่ี มี วลจะมีสนำมโน้มถ่วงอยู่โดยรอบ แรง สนำมไฟฟ้ำ และสนำมโน้มถ่วง และทิศทำง โน้มถ่วงท่ีกระทำต่อวตั ถทุ ่ีอยู่ในสนำมโน้มถว่ งจะมีทศิ พุ่งเข้ำหำวตั ถุท่เี ป็นแหล่งของสนำมโน้มถ่วง

๖๓ ช้ัน ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ของแรงท่ีกระทำตอ่ วัตถุทอ่ี ยู่ในแต่ละสนำม  วตั ถทุ ่ีมีประจไุ ฟฟ้ำจะมสี นำมไฟฟำ้ อยู่โดยรอบ จำกข้อมลู ท่ีรวบรวมได้ แรงไฟฟ้ำท่ีกระทำต่อวัตถุท่ีมีประจจุ ะมีทศิ พุ่งเข้ำหำ ๑๒. เขยี นแผนภำพแสดงแรงแม่เหลก็ หรอื ออกจำกวตั ถุท่ีมีประจทุ ี่เป็นแหลง่ ของ แรงไฟฟำ้ และแรงโนม้ ถว่ งที่กระทำต่อวตั ถุ สนำมไฟฟำ้  วตั ถุท่เี ป็นแมเ่ หล็กจะมสี นำมแม่เหล็กอย่โู ดยรอบ แรงแมเ่ หล็กทก่ี ระทำต่อขวั้ แม่เหล็กจะมีทศิ พุง่ เขำ้ หำ หรือออกจำกข้ัวแมเ่ หล็กท่เี ป็นแหลง่ ของ สนำมแมเ่ หลก็ ๑๓. วิเครำะหค์ วำมสัมพันธ์ระหวำ่ งขนำดของ  ขนำดของแรงโน้มถว่ ง แรงไฟฟ้ำ และแรงแม่เหล็ก แรงแมเ่ หลก็ แรงไฟฟ้ำและแรงโนม้ ถ่วงท่ีกระทำ ทีก่ ระทำต่อวัตถุที่อยใู่ นสนำมน้ัน ๆ จะมีคำ่ ลดลง ตอ่ วัตถุที่อยใู่ นสนำมนน้ั ๆ กับระยะหำ่ งจำก เมื่อวัตถุอยหู่ ำ่ งจำกแหลง่ ของสนำมน้นั ๆ มำกขนึ้ แหล่งของสนำมถงึ วตั ถุจำกข้อมูลทร่ี วบรวมได้ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๑๔. อธบิ ำยและคำนวณอตั รำเร็วและควำมเร็ว  กำรเคล่ือนท่ขี องวตั ถเุ ป็นกำรเปลี่ยนตำแหนง่ ของ ของกำรเคลื่อนท่ีของวัตถโุ ดยใช้สมกำร วัตถุเทียบกับตำแหน่งอำ้ งอิง โดยมีปรมิ ำณที่เก่ยี วข้อง s กบั กำรเคล่ือนที่ ซง่ึ มีท้งั ปริมำณสเกลำร์และปรมิ ำณ v s และ v  t เวกเตอร์ เช่น ระยะทำง อัตรำเร็ว กำรกระจัด t ควำมเร็ว ปริมำณสเกลำร์เปน็ ปรมิ ำณที่มีขนำด เช่น จำกหลักฐำนเชิงประจักษ์ ระยะทำง อตั รำเรว็ ปริมำณเวกเตอร์เป็นปรมิ ำณท่ีมี ทงั้ ขนำดและทิศทำง เชน่ กำรกระจัด ควำมเร็ว ๑๕. เขียนแผนภำพแสดงกำรกระจัดและควำมเร็ว  เขยี นแผนภำพแทนปรมิ ำณเวกเตอร์ได้ดว้ ยลูกศร โดยควำมยำวของลูกศรแสดงขนำดและหัวลูกศร แสดงทศิ ทำงของเวกเตอรน์ ั้น ๆ  ระยะทำงเปน็ ปรมิ ำณสเกลำร์ โดยระยะทำง เป็นควำมยำวของเส้นทำงทีเ่ คล่อื นทไ่ี ด้  กำรกระจัดเป็นปริมำณเวกเตอร์ โดยกำรกระจดั มที ศิ ช้จี ำกตำแหน่งเริ่มต้นไปยังตำแหน่งสุดทำ้ ย และ มขี นำดเท่ำกับระยะทีส่ ้ันที่สุดระหว่ำงสองตำแหน่งนั้น  อัตรำเร็วเป็นปริมำณสเกลำร์ โดยอัตรำเร็ว เป็นอตั รำสว่ นของระยะทำงต่อเวลำ  ควำมเรว็ ปริมำณเวกเตอร์มีทิศเดยี วกบั ทิศของ กำรกระจัด โดยควำมเรว็ เปน็ อัตรำส่วนของ กำรกระจัดตอ่ เวลำ

๖๔ ชั้น ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.๓ - - ม.๔ - - ม.๕ ๑. วิเครำะห์และแปลควำมหมำยข้อมูล  กำรเคล่ือนท่ขี องวัตถุที่มีกำรเปลี่ยนควำมเร็ว ควำมเรว็ กบั เวลำของกำรเคลือ่ นท่ขี องวัตถุ เป็นกำรเคล่ือนท่ีด้วยควำมเร่ง ควำมเร่งเปน็ อตั รำสว่ น เพ่ืออธบิ ำยควำมเร่งของวตั ถุ ของควำมเรว็ ท่ีเปลีย่ นไปต่อเวลำและเปน็ ปรมิ ำณ เวกเตอร์ ในกรณีทว่ี ัตถุที่อยนู่ ง่ิ หรอื เคล่ือนทใ่ี นแนวตรง ดว้ ยควำมเร็วคงตวั วัตถุนนั้ มีควำมเรง่ เปน็ ศูนย์ - วัตถุมคี วำมเรว็ เพม่ิ ขึ้น ถ้ำควำมเร็วและควำมเรง่ มีทิศเดียวกัน และมีควำมเรว็ ลดลง ถำ้ ควำมเรว็ และ ควำมเร่งมที ิศตรงกันขำ้ ม อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๒. สงั เกตและอธบิ ำยกำรหำแรงลัพธท์ เ่ี กิดจำก  เม่ือมีแรงหลำยแรงกระทำต่อวตั ถุหน่งึ โดยแรง แรงหลำยแรงที่อยูใ่ นระนำบเดียวกนั ท่ีกระทำ ทกุ แรงอยูใ่ นระนำบเดียวกนั สำมำรถหำแรงลัพธ์ ต่อวตั ถโุ ดยกำรเขยี นแผนภำพกำรรวมแบบ ท่ีกระต่อวตั ถุน้ันไดโ้ ดยรวมแบบเวกเตอร์ เวกเตอร์ ๓. สังเกต วเิ ครำะห์ และอธิบำยควำมสัมพันธ์  เมอ่ื แรงลัพธม์ ีคำ่ ไมเ่ ทำ่ กับศนู ยก์ ระทำต่อวัตถุ ระหวำ่ งควำมเร่งของวัตถกุ บั แรงลพั ธ์ท่ีกระทำ จะทำใหว้ ตั ถเุ คล่ือนท่ดี ้วยควำมเรง่ มีทิศทำงเดียวกบั ต่อวตั ถแุ ละมวลของวตั ถุ แรงลพั ธโ์ ดยขนำดของควำมเรง่ ข้นึ กบั ขนำดของ แรงลัพธก์ ระทำต่อวตั ถุและมวลของวตั ถุ ๔. สังเกตและอธบิ ำยแรงกิรยิ ำและแรง  แรงกระทำระหวำ่ งวัตถุค่หู น่ึง ๆ เปน็ แรงกิรยิ ำและ ปฏกิ ริ ิยำระหวำ่ งวตั ถุคู่หนึ่ง ๆ แรงปฏกิ ิรยิ ำ แรงทั้งสองมีขนำดเทำ่ กนั เกิดขึน้ พร้อม กนั กระทำกบั วัตถคุ นละกอ้ น แต่มีทศิ ทำงตรงข้ำม ๕. สังเกตและอธิบำยผลของควำมเรง่ ทม่ี ีต่อ  วัตถุทีเ่ คลื่อนท่ีดว้ ยควำมเร่งคงตัว หรือควำมเร่ง กำรเคลอื่ นทแ่ี บบต่ำง ๆ ของวัตถไุ ดแ้ ก่ กำร ไม่คงตวั อำจเปน็ กำรเคลอ่ื นท่ีแนวตรง กำรเคลือ่ นท่ี เคลื่อนทีแ่ นวตรง กำรเคลื่อนทแ่ี บบโพรเจกไทล์ แนวโคง้ หรือกำรเคล่ือนทแี่ บบส่นั กำรเคล่อื นท่ี กำรเคล่ือนทีแ่ บบวงกลม และ กำรเคลอ่ื นที่ แนวตรงดว้ ยควำมเร่งคงตวั นำไปใชอ้ ธิบำยกำรตก แบบสั่น แบบเสรีกำรเคลื่อนทแ่ี นวโค้งด้วยควำมเรง่ คงตัว นำไปใช้อธิบำยกำรเคลื่อนทแี่ บบโพรเจกไทล์ กำรเคล่อื นท่แี นวโคง้ ดว้ ยควำมเรง่ มีทิศทำงต้ังฉำกกบั ควำมเร็วตลอดเวลำ นำไปใช้อธิบำยกำรเคลื่อนที่ แบบวงกลมกำรเคล่ือนท่กี ลบั ไปกลับมำด้วยควำมเร่ง มที ศิ ทำงเขำ้ สจู่ ดุ ที่แรงลัพธ์เป็นศูนย์ เรียกจดุ นี้ว่ำ ตำแหนง่ สมดุล ซึง่ นำไปใช้อธิบำยกำรเคลื่อนท่แี บบส่นั

๖๕ ช้นั ตวั ชีว้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๖. สืบค้นข้อมูลและอธบิ ำยแรงโนม้ ถว่ งท่ี  ในบรเิ วณทม่ี ีสนำมโนม้ ถ่วง เมอื่ มวี ตั ถุท่มี ีมวล จะมี เกยี่ วกบั กำรเคล่ือนทขี่ องวัตถุต่ำง ๆ รอบโลก แรงโนม้ ถว่ งซึง่ เป็นแรงดงึ ดดู ของโลกกระทำต่อวัตถุ แรงน้นี ำไปใช้อธบิ ำยกำรเคลือ่ นทีข่ องวัตถตุ ำ่ ง ๆ เชน่ ดำวเทียม และดวงจันทรร์ อบโลก ๗. สงั เกตและอธิบำยกำรเกิดสนำมแม่เหล็ก  กระแสไฟฟำ้ ทำให้เกดิ สนำมแมเ่ หลก็ ในบรเิ วณรอบ เนอื่ งจำกกระแสไฟฟ้ำ แนวกำรเคล่อื นท่ีของกระแสไฟฟ้ำ หำทศิ ทำงของ สนำมแมเ่ หลก็ เนื่องจำกกระแสไฟฟำ้ ได้จำกกฎมือขวำ ๘. สงั เกตและอธิบำยแรงแม่เหลก็ ทกี่ ระทำต่อ  ในบริเวณท่ีมสี นำมแม่เหล็ก เมอื่ มอี นภุ ำคทมี่ ีประจุ อนภุ ำคทมี่ ีประจุไฟฟำ้ ที่เคล่อื นทีใ่ นสนำม ไฟฟำ้ เคล่ือนท่โี ดยไม่อยู่ในแนวเดียวกับสนำมแมเ่ หล็ก แม่เหลก็ และแรงแม่เหล็กท่กี ระทำต่อลวด หรือมีกระแสไฟฟ้ำผ่ำนลวดตัวนำโดยกระแสไฟฟ้ำ ตัวนำที่มกี ระแสไฟฟ้ำผำ่ นในสนำมแม่เหล็ก ไม่อยู่ในแนวเดยี วกบั สนำมแม่เหล็ก จะมแี รงแม่เหลก็ รวมทั้งอธิบำยหลักกำรทำงำนของมอเตอร์ กระทำ ซ่ึงเป็นพ้ืนฐำนในกำรสร้ำงมอเตอร์ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๙. สงั เกตและอธิบำยกำรเกดิ อเี อ็มเอฟ รวมทงั้  เมอ่ื มสี นำมแมเ่ หล็กเปลีย่ นแปลงตัดขดลวดตัวนำ ยกตัวอยำ่ งกำรนำควำมรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ทำให้เกดิ อีเอม็ เอฟ ซง่ึ เปน็ พ้ืนฐำนในกำรสร้ำง เคร่ืองกำเนิดไฟฟำ้ ๑๐. สืบค้นข้อมลู และอธบิ ำยแรงเข้มและแรงอ่อน  ภำยในนิวเคลียสมแี รงเข้มทีเ่ ปน็ แรงยดึ เหนย่ี วของ อนภุ ำคในนิวเคลยี ส และเป็นแรงหลกั ทใี่ ช้อธิบำย เสถียรภำพของนิวเคลยี ส นอกจำกนีย้ งั มแี รงออ่ น ซงึ่ เปน็ แรงทใี่ ชอ้ ธบิ ำยกำรสลำยใหอ้ นุภำคบีตำของธำตุ กมั มันตรงั สี ม.๖ - -

๖๖ สาระที่ ๒ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลย่ี นแปลงและการถา่ ยโอนพลังงาน ปฏสิ มั พนั ธ์ ระหวา่ งสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาตขิ องคลนื่ ปรากฏการณ์ ท่ีเกย่ี วขอ้ งกับเสยี ง แสง และคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า รวมทัง้ นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ชน้ั ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.๑ ๑. บรรยำยกำรเกิดเสยี งและทศิ ทำง  เสยี งเกดิ จำกกำรสั่นของวตั ถุ วตั ถทุ ที่ ำให้เกิดเสยี ง กำรเคล่อื นทข่ี องเสยี งจำกหลกั ฐำนเชงิ ประจักษ์ เปน็ แหลง่ กำเนดิ เสียงซึ่งมีทั้งแหลง่ กำเนดิ เสยี งตำม ธรรมชำติและแหลง่ กำเนิดเสียงทมี่ นษุ ย์สร้ำงขนึ้ เสียงเคลือ่ นท่ีออกจำกแหล่งกำเนิดเสยี งทกุ ทศิ ทำง ป.๒ ๑. บรรยำยแนวกำรเคลอื่ นท่ีของแสงจำก  แสงเคล่อื นทจ่ี ำกแหล่งกำเนิดแสงทกุ ทศิ ทำงเปน็ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ แหลง่ กำเนิดแสง และอธิบำยกำรมองเห็นวตั ถุ แนวตรง เม่ือมีแสงจำกวัตถุมำเข้ำตำจะทำให้มองเห็น จำกหลักฐำนเชิงประจักษ์ วัตถนุ น้ั กำรมองเห็นวตั ถุท่ีเป็นแหล่งกำเนดิ แสง แสง ๒. ตระหนักในคุณคำ่ ของควำมรู้ของกำรมองเหน็ จำกวตั ถนุ ้ันจะเขำ้ สตู่ ำโดยตรง สว่ นกำรมองเห็นวตั ถุ โดยเสนอแนะแนวทำงกำรป้องกันอนั ตรำย ทไ่ี ม่ใชแ่ หลง่ กำเนิดแสง ต้องมีแสงจำกแหล่งกำเนิด จำกกำรมองวัตถุที่อยู่ในบริเวณท่ีมีแสงสว่ำง แสงไปกระทบวตั ถุแล้วสะท้อนเขำ้ ตำ ถ้ำมีแสงท่ีสวำ่ ง ไมเ่ หมำะสม มำก ๆ เขำ้ ส่ตู ำอำจเกิดอันตรำยต่อตำได้ จงึ ต้อง หลีกเลย่ี งกำรมองหรือใช้แผ่นกรองแสงที่มีคณุ ภำพ เม่อื จำเปน็ และตอ้ งจดั ควำมสว่ำงใหเ้ หมำะสมกับ กำรทำกิจกรรมต่ำง ๆ เช่น กำรอำ่ นหนังสือ กำรดู จอโทรทัศน์ กำรใช้โทรศัพทเ์ คลื่อนทีแ่ ละแท็บเล็ต ป.๓ ๑. ยกตัวอย่ำงกำรเปลี่ยนพลงั งำนหน่งึ ไปเป็น  พลังงำนเปน็ ปริมำณท่ีแสดงถงึ ควำมสำมำรถ อกี พลงั งำนหน่งึ จำกหลักฐำนเชงิ ประจกั ษ์ ในกำรทำงำน พลงั งำนมีหลำยแบบ เช่น พลงั งำนกล พลังงำนไฟฟ้ำ พลงั งำนแสง พลงั งำนเสยี ง และ พลงั งำนควำมร้อน โดยพลงั งำนสำมำรถเปลย่ี นจำก พลงั งำนหนึ่งไปเป็นอีกพลังงำนหน่ึงได้ เชน่ กำรถูมือ จนรสู้ กึ รอ้ น เปน็ กำรเปลยี่ นพลังงำนกลเปน็ พลงั งำน ควำมร้อน แผงเซลลส์ รุ ิยะเปล่ียนพลังงำนแสง เป็นพลังงำนไฟฟำ้ หรอื เครอื่ งใชไ้ ฟฟ้ำเปล่ยี นพลังงำน ไฟฟ้ำเป็นพลงั งำนอ่ืน ๒. บรรยำยกำรทำงำนของเครอ่ื งกำเนิดไฟฟ้ำ  ไฟฟ้ำผลติ จำกเครอื่ งกำเนิดไฟฟ้ำซึ่งใช้พลังงำนจำก และระบุแหล่งพลงั งำนในกำรผลติ ไฟฟ้ำ แหล่งพลังงำนธรรมชำติหลำยแหลง่ เชน่ พลงั งำน จำกข้อมลู ทีร่ วบรวมได้ จำกลม พลงั งำนจำกน้ำ พลังงำนจำกแกส๊ ธรรมชำติ

๖๗ ชน้ั ตัวช้วี ดั อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๓. ตระหนักในประโยชน์และโทษของไฟฟำ้ โดยนำเสนอวธิ ีกำรใชไ้ ฟฟ้ำอย่ำงประหยดั  พลงั งำนไฟฟำ้ มีควำมสำคัญตอ่ ชวี ติ ประจำวัน และปลอดภยั กำรใชไ้ ฟฟำ้ นอกจำกต้องใช้อย่ำงถูกวิธี ประหยดั และคมุ้ คำ่ แลว้ ยงั ต้องคำนึงถึงควำมปลอดภยั ด้วย ป.๔ ๑. จำแนกวัตถุเป็นตวั กลำงโปรง่ ใส ตวั กลำง โปรง่ แสง และวัตถทุ บึ แสง จำกลกั ษณะ  เมอ่ื มองส่งิ ต่ำง ๆ โดยมวี ัตถตุ ำ่ งชนดิ กันมำกนั้ แสง กำรมองเหน็ สงิ่ ตำ่ ง ๆ ผ่ำนวตั ถนุ ้ันเป็นเกณฑ์ จะทำให้ลักษณะกำรมองเหน็ สิง่ นัน้ ๆ ชดั เจนตำ่ งกนั โดยใช้หลกั ฐำนเชงิ ประจักษ์ จึงจำแนกวัตถทุ ่ีมำกน้ั ออกเป็นตัวกลำงโปร่งใส ซึ่งทำให้มองเห็นสิง่ ต่ำง ๆ ได้ชดั เจน ตวั กลำงโปรง่ ป.๕ ๑. อธบิ ำยกำรได้ยนิ เสียงผ่ำนตวั กลำง แสงทำใหม้ องเหน็ สงิ่ ตำ่ ง ๆ ได้ไม่ชัดเจน และ จำกหลกั ฐำนเชงิ ประจักษ์ วัตถทุ ึบแสงทำใหม้ องไมเ่ ห็นสง่ิ ตำ่ ง ๆ นนั้ ๒. ระบตุ ัวแปร ทดลองและอธบิ ำย ลักษณะ  กำรได้ยินเสียงนนั้ ต้องอำศัยตัวกลำงโดยอำจเปน็ และกำรเกดิ เสยี งสงู เสยี งตำ่ ของแข็ง ของเหลว หรืออำกำศ เสยี งจะส่งผำ่ น ๓. ออกแบบกำรทดลองและอธิบำย ลักษณะ ตัวกลำงมำยังหู และกำรเกิดเสยี งดัง เสียงค่อย ๔. วัดระดับเสียงโดยใชเ้ ครื่องมอื วัดระดับเสยี ง  เสยี งท่ีได้ยนิ มีระดบั สงู ต่ำของเสียงตำ่ งกันข้ึนกับ ๕. ตระหนักในคุณคำ่ ของควำมรู้เรื่องระดบั ควำมถขี่ องกำรส่ันของแหลง่ กำเนิดเสียง โดยเม่ือ เสียงโดยเสนอแนะแนวทำงในกำรหลีกเล่ยี ง แหลง่ กำเนดิ เสยี งส่นั ดว้ ยควำมถต่ี ำ่ จะเกดิ เสียงต่ำ และลดมลพิษทำงเสียง แต่ถำ้ สัน่ ดว้ ยควำมถ่สี ูงจะเกิดเสยี งสงู สว่ นเสยี งดงั ค่อยที่ได้ยินขนึ้ กับพลงั งำนกำรสั่นของแหล่งกำเนดิ ป.๖ ๑. ระบสุ ่วนประกอบและบรรยำยหนำ้ ท่ี เสียง โดยเมอ่ื แหลง่ กำเนดิ เสียงส่นั พลังงำนมำกจะเกดิ ของแต่ละส่วนประกอบของวงจรไฟฟ้ำ เสียงดัง แตถ่ ้ำแหลง่ กำเนิดเสียงสัน่ ด้วยพลงั งำนน้อย อย่ำงง่ำยจำกหลกั ฐำนเชงิ ประจักษ์ จะเกิดเสยี งค่อย ๒. เขยี นแผนภำพและต่อวงจรไฟฟ้ำอย่ำงง่ำย  เสียงดงั มำก ๆ เป็นอันตรำยตอ่ กำรไดย้ ินและเสยี ง ท่ีกอ่ ใหเ้ กิดควำมรำคำญเปน็ มลพิษทำงเสยี ง เดซเิ บล เปน็ หน่วยที่บอกถึงควำมดงั ของเสยี ง  วงจรไฟฟ้ำอยำ่ งง่ำยประกอบด้วยแหลง่ กำเนิดไฟฟ้ำ สำยไฟฟ้ำ และเคร่ืองใชไ้ ฟฟำ้ หรอื อปุ กรณไ์ ฟฟำ้ แหล่งกำเนิดไฟฟ้ำ เช่น ถำ่ นไฟฉำย หรอื แบตเตอร่ี ทำหน้ำที่ให้พลงั งำนไฟฟ้ำ สำยไฟฟ้ำเปน็ ตัวนำไฟฟำ้ ทำหนำ้ ทเี่ ชื่อมต่อระหว่ำงแหลง่ กำเนดิ ไฟฟ้ำ และเครื่องใชไ้ ฟฟำ้ เขำ้ ดว้ ยกัน เคร่อื งใช้ไฟฟำ้ มหี น้ำท่ี เปลี่ยนพลงั งำนไฟฟ้ำเปน็ พลังงำนอ่ืน

๖๘ ช้นั ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๓. ออกแบบกำรทดลองและทดลองดว้ ยวิธี  เม่ือนำเซลลไ์ ฟฟำ้ หลำยเซลลม์ ำตอ่ เรยี งกนั โดยให้ ที่เหมำะสมในกำรอธิบำยวธิ ีกำรและผลของ ขว้ั บวกของเซลลไ์ ฟฟำ้ เซลล์หนึ่งตอ่ กับข้วั ลบของ กำรต่อเซลลไ์ ฟฟำ้ แบบอนุกรม อีกเซลล์หนึ่งเปน็ กำรต่อแบบอนุกรม ทำใหม้ ีพลงั งำน ๔. ตระหนกั ถึงประโยชน์ของควำมรู้ของกำรต่อ ไฟฟ้ำเหมำะสมกับเครื่องใช้ไฟฟ้ำ ซึ่งกำรตอ่ เซลล์ไฟฟำ้ เซลล์ไฟฟำ้ แบบอนกุ รมโดยบอกประโยชน์และ แบบอนกุ รมสำมำรถนำไปใชป้ ระโยชน์ใน กำรประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวนั ชวี ิตประจำวนั เชน่ กำรตอ่ เซลลไ์ ฟฟ้ำในไฟฉำย ๕. ออกแบบกำรทดลองและทดลองด้วยวธิ ี  กำรตอ่ หลอดไฟฟ้ำแบบอนุกรมเม่ือถอดหลอดไฟฟ้ำ ท่ีเหมำะสมในกำรอธบิ ำยกำรต่อหลอดไฟฟำ้ ดวงใดดวงหนึง่ ออกทำใหห้ ลอดไฟฟำ้ ท่เี หลือดบั แบบอนุกรมและแบบขนำน ทั้งหมด ส่วนกำรตอ่ หลอดไฟฟำ้ แบบขนำน เมื่อถอด ๖. ตระหนักถึงประโยชนข์ องควำมรขู้ องกำรต่อ หลอดไฟฟำ้ ดวงใดดวงหน่งึ ออก หลอดไฟฟ้ำทเ่ี หลอื อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ หลอดไฟฟ้ำแบบอนุกรมและแบบขนำน โดย ก็ยังสวำ่ งได้ กำรต่อหลอดไฟฟำ้ แต่ละแบบสำมำรถ บอกประโยชน์ ขอ้ จำกัด และกำรประยุกต์ใช้ นำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ เชน่ กำรตอ่ หลอดไฟฟำ้ ในชวี ิตประจำวัน หลำยดวงในบำ้ นจงึ ตอ้ งตอ่ หลอดไฟฟ้ำแบบขนำน เพอื่ เลือกใชห้ ลอดไฟฟ้ำดวงใดดวงหนง่ึ ไดต้ ำมต้องกำร ๗. อธิบำยกำรเกดิ เงำมดื เงำมัวจำกหลกั ฐำน  เม่อื นำวตั ถุทบึ แสงมำกัน้ แสงจะเกดิ เงำบนฉำก เชิงประจักษ์ รับแสงท่อี ยู่ดำ้ นหลงั วตั ถุ โดยเงำมีรปู ร่ำงคลำ้ ยวตั ถุ ๘. เขยี นแผนภำพรังสีของแสงแสดงกำรเกดิ เงำ ท่ที ำใหเ้ กิดเงำ เงำมัวเป็นบรเิ วณทีม่ ีแสงบำงสว่ น มดื เงำมัว ตกลงบนฉำก ส่วนเงำมืดเป็นบรเิ วณท่ไี ม่มีแสงตกลง บนฉำกเลย ม.๑ ๑. วิเครำะห์ แปลควำมหมำยข้อมลู และ  เม่อื สสำรไดร้ บั หรือสูญเสยี ควำมรอ้ นอำจทำให้ คำนวณปรมิ ำณควำมร้อนท่ที ำให้สสำรเปล่ียน สสำรเปลยี่ นอุณหภูมิ เปลย่ี นสถำนะ หรือเปล่ยี น อุณหภูมแิ ละเปลย่ี นสถำนะ โดยใช้สมกำร รปู รำ่ ง โดยใชส้ มกำร Q  mct และ Q  mL  ปรมิ ำณควำมรอ้ นที่ทำใหส้ สำรเปลี่ยนอุณหภมู ิ ๒. ใชเ้ ทอรม์ อมเิ ตอร์ในกำรวัดอณุ หภมู ขิ อง ขนึ้ กบั มวล ควำมร้อนจำเพำะ และอุณหภูมิ สสำร ท่ีเปลีย่ นไป  ปรมิ ำณควำมรอ้ นที่ทำให้สสำรเปล่ียนสถำนะ ขน้ึ กบั มวลและควำมร้อนแฝงจำเพำะ โดยขณะที่ สสำรเปล่ยี นสถำนะ อุณหภูมิจะไม่เปลีย่ นแปลง ๓. สร้ำงแบบจำลองทีอ่ ธบิ ำยกำรขยำยตวั หรอื  ควำมรอ้ นทำให้สสำรขยำยตัวหรือหดตวั ได้ หดตัวของสสำรเนื่องจำกได้รับหรอื สญู เสีย เน่อื งจำกเมอ่ื สสำรได้รบั ควำมร้อนจะทำให้อนุภำค ควำมรอ้ น เคลอ่ื นท่เี ร็วข้ึน ทำใหเ้ กดิ กำรขยำยตัว แตเ่ มื่อสสำร

๖๙ ช้นั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๔. ตระหนักถงึ ประโยชนข์ องควำมรูข้ องกำรหด คำยควำมร้อนจะทำให้อนุภำคเคลือ่ นท่ีชำ้ ลง ทำให้ และขยำยตัวของสสำรเน่ืองจำกควำมร้อน เกิดกำรหดตวั โดยวเิ ครำะห์สถำนกำรณป์ ญั หำ และเสนอแนะ  ควำมรเู้ ร่ืองกำรหดและขยำยตวั ของสสำรเนอ่ื งจำก วิธีกำรนำควำมรมู้ ำแกป้ ัญหำในชีวิตประจำวนั ควำมรอ้ นนำไปใชป้ ระโยชน์ไดด้ ำ้ นตำ่ ง ๆ เช่น กำรสรำ้ งถนน กำรสรำ้ งรำงรถไฟ กำรทำเทอร์มอมิเตอร์ ๕. วเิ ครำะห์สถำนกำรณ์กำรถ่ำยโอนควำมร้อน  ควำมร้อนถ่ำยโอนจำกสสำรทีม่ อี ุณหภูมสิ ูงกวำ่ และคำนวณปริมำณควำมรอ้ นทถี่ ำ่ ยโอน ไปยงั สสำรทมี่ ีอณุ หภูมติ ำ่ กวำ่ จนกระทง่ั อุณหภูมิของ ระหวำ่ งสสำรจนเกดิ สมดลุ ควำมรอ้ นโดยใช้ สสำรท้งั สองเท่ำกัน สภำพทส่ี สำรทง้ั สองมีอณุ หภมู ิ สมกำร Qสูญเสยี = Q ได้รับ เทำ่ กนั เรยี กวำ่ สมดุลควำมร้อน  เมื่อมีกำรถ่ำยโอนควำมร้อนจำกสสำรทม่ี ีอุณหภมู ิ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ตำ่ งกันจนเกิดสมดุลควำมร้อน ควำมร้อนท่ีเพิม่ ขึ้น ของสสำรหน่งึ จะเท่ำกบั ควำมร้อนที่ลดลงของ อีกสสำรหนึ่ง ซง่ึ เปน็ ไปตำมกฎกำรอนุรักษ์พลงั งำน ๖. สรำ้ งแบบจำลองท่อี ธบิ ำยกำรถ่ำยโอน  กำรถำ่ ยโอนควำมร้อนมี ๓ แบบ คือ กำรนำ ควำมร้อนโดยกำรนำควำมร้อน กำรพำควำม ควำมร้อน กำรพำควำมร้อนและกำรแผร่ งั สี รอ้ น กำรแผร่ งั สีควำมร้อน ควำมร้อน กำรนำควำมร้อนเปน็ กำรถำ่ ยโอนควำม รอ้ นทีอ่ ำศยั ตัวกลำง โดยท่ีตัวกลำงไม่เคลอ่ื นที่ กำรพำควำมรอ้ นเป็นกำรถ่ำยโอนควำมรอ้ นท่ีอำศยั ตัวกลำง โดยท่ีตัวกลำงเคลื่อนทไ่ี ปดว้ ย สว่ นกำรแผ่ รังสคี วำมร้อนเปน็ กำรถำ่ ยโอนควำมร้อนท่ีไม่ต้อง อำศัยตวั กลำง ๗. ออกแบบ เลือกใชแ้ ละสร้ำงอุปกรณ์  ควำมรเู้ กยี่ วกับกำรถำ่ ยโอนควำมรอ้ นสำมำรถ เพื่อแกป้ ัญหำในชีวิตประจำวนั โดยใชค้ วำมรู้ นำไปใชป้ ระโยชน์ในชีวิตประจำวนั ได้ เช่น เกย่ี วกับกำรถำ่ ยโอนควำมรอ้ น กำรเลือกใชว้ ัสดเุ พ่ือนำมำทำภำชนะบรรจุอำหำร เพอ่ื เก็บควำมร้อน หรอื กำรออกแบบระบบระบำย ควำมร้อนในอำคำร ม.๒ ๑. วเิ ครำะห์สถำนกำรณ์และคำนวณเกย่ี วกับ  เมื่อออกแรงกระทำตอ่ วัตถุ แล้วทำให้วัตถเุ คลอ่ื นที่ งำนและกำลังท่ีเกดิ จำกแรงท่ีกระทำตอ่ วัตถุ โดยแรงอยู่ในแนวเดยี วกบั กำรเคลือ่ นท่ีจะเกดิ งำน โดยใช้สมกำร W  Fs และ P  W จำก งำนจะมีคำ่ มำก หรือน้อยข้ึนกบั ขนำดของแรงและ ระยะทำงในแนวเดียวกบั แรง t  งำนที่ทำในหนง่ึ หนว่ ยเวลำเรยี กว่ำกำลัง หลักกำร ขอ้ มลู ที่รวบรวมได้ ของงำนนำไปอธบิ ำยกำรทำงำนของเครอ่ื งกล

๗๐ ช้ัน ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๒. วเิ ครำะหห์ ลักกำรทำงำนของเคร่ืองกล อยำ่ งงำ่ ย ไดแ้ ก่ คำน พื้นเอียง รอกเดยี่ ว ล่ิม สกรู อยำ่ งง่ำยจำกข้อมูลท่รี วบรวมได้ ลอ้ และเพลำ ซง่ี นำไปใชป้ ระโยชนด์ ำ้ นตำ่ ง ๆ ในชีวิต ๓. ตระหนกั ถึงประโยชน์ของควำมรขู้ อง ประจำวนั เคร่ืองกลอยำ่ งงำ่ ยโดยบอกประโยชน์และ กำรประยุกตใ์ ช้ในชวี ติ ประจำวนั ๔. ออกแบบและทดลองดว้ ยวิธที เ่ี หมำะสม  พลังงำนจลน์เปน็ พลังงำนของวตั ถทุ ี่เคลือ่ นที่ ในกำรอธิบำยปจั จัยท่มี ีผลต่อพลงั งำนจลน์ พลังงำนจลนจ์ ะมีคำ่ มำก หรอื น้อยขึน้ กับมวลและ และพลังงำนศักย์โน้มถ่วง อตั รำเรว็ ส่วนพลงั งำนศักย์โน้มถว่ งเกีย่ วข้องกับ ตำแหน่งของวัตถุ จะมคี ำ่ มำก หรอื นอ้ ยขน้ึ กบั มวล และตำแหนง่ ของวัตถุ เมื่อวตั ถอุ ยใู่ นสนำมโน้มถ่วง อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ วัตถุจะมีพลังงำนศักยโ์ น้มถว่ ง พลังงำนจลนแ์ ละ พลงั งำนศักยโ์ นม้ ถว่ งเปน็ พลงั งำนกล ๕. แปลควำมหมำยขอ้ มูลและอธิบำยกำรเปลีย่ น  ผลรวมของพลังงำนศักย์โนม้ ถ่วงและพลังงำนจลน์ พลังงำนระหว่ำงพลงั งำนศักย์โนม้ ถว่ งและ เปน็ พลังงำนกล พลังงำนศกั ย์โนม้ ถ่วงและพลังงำน พลังงำนจลนข์ องวตั ถุโดยพลงั งำนกลของวัตถุ จลนข์ องวัตถหุ นงึ่ ๆ สำมำรถเปล่ียนกลบั ไปมำได้ มคี ำ่ คงตัวจำกข้อมูลทร่ี วบรวมได้ โดยผลรวมของพลงั งำนศักย์โน้มถ่วงและพลังงำนจลน์ มีคำ่ คงตวั นนั่ คือพลังงำนกลของวตั ถมุ ีค่ำคงตวั ๖. วเิ ครำะห์สถำนกำรณ์และอธิบำยกำรเปลย่ี น  พลงั งำนรวมของระบบมีค่ำคงตวั ซง่ึ อำจเปล่ียนจำก และกำรถำ่ ยโอนพลงั งำนโดยใชก้ ฎกำรอนรุ กั ษ์ พลังงำนหนง่ึ เป็นอกี พลงั งำนหนึง่ เช่น พลังงำนกล พลงั งำน เปลย่ี นเป็นพลงั งำนไฟฟ้ำ พลังงำนจลน์เปลยี่ นเป็น พลงั งำนควำมร้อน พลงั งำนเสยี ง พลังงำนแสง เนื่องมำจำกแรงเสียดทำน พลังงำนเคมีในอำหำร เปล่ยี นเป็นพลังงำนที่ไปใชใ้ นกำรทำงำนของสง่ิ มชี วี ิต  นอกจำกนพี้ ลังงำนยังสำมำรถถ่ำยโอนไปยงั อกี ระบบหนง่ึ หรอื ไดร้ บั พลังงำนจำกระบบอน่ื ได้ เชน่ กำรถำ่ ยโอนควำมร้อนระหว่ำงสสำร กำรถ่ำยโอน พลังงำนของกำรสัน่ ของแหลง่ กำเนดิ เสียงไปยังผฟู้ งั ทั้งกำรเปลีย่ นพลงั งำนและกำรถำ่ ยโอนพลังงำน พลงั งำนรวมทัง้ หมดมีค่ำเท่ำเดมิ ตำมกฎกำรอนุรักษ์ พลังงำน

๗๑ ช้นั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.๓ ๑. วเิ ครำะห์ควำมสมั พันธ์ระหว่ำงควำมตำ่ ง  เม่อื ต่อวงจรไฟฟำ้ ครบวงจรจะมกี ระแสไฟฟำ้ ศักย์ กระแสไฟฟ้ำ และควำมต้ำนทำน และ ออกจำกขว้ั บวกผ่ำนวงจรไฟฟ้ำไปยังข้วั ลบของ คำนวณปริมำณท่เี ก่ียวข้องโดยใช้สมกำร แหล่งกำเนดิ ไฟฟ้ำ ซ่ึงวัดค่ำได้จำกแอมมเิ ตอร์ ������ = ������������ จำกหลกั ฐำนเชิงประจักษ์  ค่ำท่บี อกควำมแตกตำ่ งของพลงั งำนไฟฟำ้ ต่อหน่วย ๒. เขียนกรำฟควำมสัมพนั ธร์ ะหว่ำง ประจุระหวำ่ งจดุ ๒ จดุ เรียกว่ำ ควำมต่ำงศกั ย์ กระแสไฟฟ้ำและควำมต่ำงศักย์ไฟฟำ้ ซึง่ วัดคำ่ ได้จำกโวลต์มเิ ตอร์ ๓. ใช้โวลตม์ ิเตอร์ แอมมเิ ตอร์ ในกำรวัด ปริมำณทำงไฟฟ้ำ  ขนำดของกระแสไฟฟำ้ มีค่ำแปรผนั ตรงกับ ควำมตำ่ งศักย์ระหว่ำงปลำยท้ังสองของตัวนำ โดย อัตรำส่วนระหว่ำงควำมต่ำงศักยแ์ ละกระแสไฟฟ้ำ มคี ำ่ คงที่ เรียกค่ำคงทน่ี ีว้ ่ำ ควำมต้ำนทำน อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๔. วิเครำะห์ควำมตำ่ งศักย์ไฟฟำ้ และ  ในวงจรไฟฟำ้ ประกอบด้วยแหล่งกำเนดิ ไฟฟำ้ กระแสไฟฟำ้ ในวงจรไฟฟ้ำเม่ือตอ่ ตัวตำ้ นทำน สำยไฟฟำ้ และอปุ กรณไ์ ฟฟำ้ โดยอุปกรณ์ไฟฟำ้ หลำยตัว แบบอนกุ รมและแบบขนำน แตล่ ะช้นิ มคี วำมตำ้ นทำน ในกำรต่อตวั ตำ้ นทำน จำกหลักฐำนเชงิ ประจักษ์ หลำยตวั มที ้งั ต่อแบบอนุกรมและแบบขนำน ๕. เขียนแผนภำพวงจรไฟฟ้ำแสดงกำรต่อตัว ต้ำนทำนแบบอนกุ รมและขนำน  กำรต่อตัวต้ำนทำนหลำยตัว แบบอนกุ รมในวงจร ไฟฟำ้ ควำมต่ำงศักยท์ ค่ี ร่อมตัวตำ้ นทำนแต่ละตัวมีคำ่ เท่ำกบั ผลรวมของควำมต่ำงศักย์ทีค่ ร่อมตวั ตำ้ นทำน แตล่ ะตวั โดยกระแสไฟฟ้ำทผี่ ่ำนตวั ตำ้ นทำนแต่ละตวั มีคำ่ เทำ่ กัน ๖. บรรยำยกำรทำงำนของชิ้นสว่ น  กำรต่อตัวตำ้ นทำนหลำยตัวแบบขนำนในวงจรไฟฟ้ำ อเิ ล็กทรอนิกส์อยำ่ งง่ำยในวงจรจำกข้อมูล กระแสไฟฟำ้ ท่ผี ำ่ นวงจรมีคำ่ เทำ่ กับผลรวมของกระแส ที่รวบรวมได้ ไฟฟ้ำทผี่ ่ำนตัวต้ำนทำนแต่ละตัวโดยควำมต่ำงศักย์ ๗. เขยี นแผนภำพและต่อช้นิ ส่วนอเิ ลก็ ทรอนิกส์ ที่คร่อมตวั ต้ำนทำนแตล่ ะตัวมีค่ำเท่ำกัน อย่ำงงำ่ ยในวงจรไฟฟ้ำ  ช้ินส่วนอเิ ล็กทรอนิกสม์ หี ลำยชนิด เช่น ตัวต้ำนทำน ไดโอด ทรำนซิสเตอร์ ตัวเก็บประจุ โดยชน้ิ ส่วนแตล่ ะ ชนิดทำหนำ้ ท่แี ตกตำ่ งกนั เพ่ือใหว้ งจรทำงำนได้ตำม ต้องกำร  ตัวต้ำนทำนทำหนำ้ ที่ควบคุมปรมิ ำณกระแสไฟฟ้ำ ในวงจรไฟฟำ้ ไดโอดทำหน้ำท่ีใหก้ ระแสไฟฟำ้ ผ่ำน ทำงเดียว ทรำนซสิ เตอร์ทำหนำ้ ท่ีเปน็ สวติ ช์ปดิ หรอื เปิดวงจรไฟฟ้ำและควบคุมปริมำณกระแสไฟฟ้ำ ตวั เกบ็ ประจุทำหน้ำที่เกบ็ และคำยประจุไฟฟ้ำ

๗๒ ช้ัน ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๘. อธบิ ำยและคำนวณพลังงำนไฟฟำ้ โดยใช้  เครือ่ งใชไ้ ฟฟ้ำอย่ำงง่ำยประกอบดว้ ยชน้ิ ส่วน สมกำร ������ = ������������ รวมทั้งคำนวณค่ำไฟฟ้ำ อเิ ล็กทรอนกิ ส์หลำยชนดิ ที่ทำงำนร่วมกัน กำรต่อ ของเครอื่ งใช้ไฟฟำ้ ในบ้ำน วงจรอิเลก็ ทรอนิกส์โดยเลือกใช้ช้ินส่วนอเิ ล็กทรอนิกส์ ๙. ตระหนักในคณุ คำ่ ของกำรเลือกใช้ ที่เหมำะสมตำมหน้ำทขี่ องช้ินสว่ นน้นั ๆ จะสำมำรถ เคร่อื งใช้ไฟฟ้ำโดยนำเสนอแนะวิธีกำรใช้ ทำให้วงจรไฟฟ้ำทำงำนไดต้ ำมตอ้ งกำร เครอื่ งใช้ไฟฟำ้ อย่ำงประหยดั และปลอดภยั  เครอื่ งใช้ไฟฟ้ำจะมคี ำ่ กำลังไฟฟ้ำและควำมต่ำงศักย์ กำกับไว้ กำลังไฟฟ้ำมีหนว่ ยเป็นวตั ต์ ควำมต่ำงศักย์ มีหนว่ ยเปน็ โวลต์ ค่ำไฟฟ้ำส่วนใหญ่คดิ จำกพลงั งำน ไฟฟ้ำที่ใชท้ ั้งหมด ซงึ่ หำได้จำกผลคูณของกำลังไฟฟ้ำ ในหน่วย กิโลวัตต์ กบั เวลำในหนว่ ยชั่วโมง พลังงำน ไฟฟำ้ มีหน่วยเป็น กโิ ลวัตต์ ชว่ั โมง หรือหน่วย อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ  วงจรไฟฟ้ำในบ้ำนมีกำรต่อเครอ่ื งใช้ไฟฟำ้ แบบขนำน เพ่อื ให้ควำมตำ่ งศักยเ์ ทำ่ กัน กำรใช้เครอื่ งใช้ไฟฟำ้ ในชีวติ ประจำวนั ตอ้ งเลือกใชเ้ ครอื่ งใช้ไฟฟ้ำท่ีมี ควำมตำ่ งศักยแ์ ละกำลังไฟฟ้ำให้เหมำะกับกำรใช้งำน และกำรใช้เครือ่ งใชไ้ ฟฟำ้ และอปุ กรณ์ไฟฟ้ำต้องใช้ อยำ่ งถูกต้อง ปลอดภยั และประหยดั ๑๐. สรำ้ งแบบจำลองท่ีอธบิ ำยกำรเกิดคลื่น  คล่นื เกิดจำกกำรส่งผำ่ นพลังงำนโดยอำศัยตัวกลำง และบรรยำยสว่ นประกอบของคลนื่ และไมอ่ ำศัยตวั กลำง ในคลน่ื กลพลงั งำนจะถูกถ่ำย โอนผำ่ นตัวกลำงโดยอนภุ ำคของตวั กลำงไม่เคลอ่ื นท่ี ไปกับคลน่ื คลน่ื ท่ีแผ่ออกมำจำกแหล่งกำเนิดคลน่ื อย่ำงต่อเนือ่ ง และมีรปู แบบที่ซ้ำกนั บรรยำยได้ดว้ ย ควำมยำวคลื่น ควำมถ่ี แอมพลิจดู ๑๑.อธบิ ำยคลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟ้ำและสเปกตรัม  คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟำ้ เปน็ คลืน่ ทไ่ี ม่อำศยั ตวั กลำง คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้ำจำกข้อมลู ทร่ี วบรวมได้ ในกำรเคล่ือนที่ มีควำมถีต่ ่อเน่ืองเปน็ ช่วงกวำ้ งมำก ๑๒. ตระหนักถงึ ประโยชน์และอนั ตรำยจำก เคล่ือนที่ในสุญญำกำศด้วยอตั รำเร็วเท่ำกนั แต่จะ คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟำ้ โดยนำเสนอกำรใช้ เคล่อื นท่ดี ้วยอตั รำเรว็ ต่ำงกนั ในตัวกลำงอน่ื ประโยชนใ์ นดำ้ น ตำ่ ง ๆ และอนั ตรำยจำกคลื่น คล่นื แม่เหล็กไฟฟ้ำแบ่งออกเป็นชว่ งควำมถีต่ ำ่ ง ๆ แม่เหล็กไฟฟ้ำในชวี ติ ประจำวัน เรียกวำ่ สเปกตรมั ของคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้ำ แต่ละช่วง ควำมถมี่ ีชื่อเรยี กต่ำงกนั ได้แก่ คล่นื วิทยุ ไมโครเวฟ อนิ ฟรำเรด แสงท่ีมองเห็น อัลตรำไวโอเลต รงั สเี อกซ์ และรงั สีแกมมำ ซง่ึ สำมำรถนำไปใชป้ ระโยชน์ได้

๗๓ ช้ัน ตวั ชวี้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง  เลเซอรเ์ ปน็ คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้ำท่ีมีควำมยำวคล่ืน เดยี วเปน็ ลำแสงขนำนและมีควำมเขม้ สงู นำไปใช้ ประโยชนใ์ นดำ้ นต่ำง ๆ เชน่ ดำ้ นกำรสื่อสำรมีกำรใช้ เลเซอรส์ ำหรบั ส่งสำรสนเทศผ่ำนเส้นใยนำแสง โดยอำศัยหลกั กำรกำรสะท้อนกลบั หมดของแสง ดำ้ นกำรแพทยใ์ ช้ในกำรผำ่ ตดั  คล่นื แม่เหล็กไฟฟ้ำนอกจำกจะสำมำรถนำไปใช้ ประโยชน์แลว้ ยังมีโทษตอ่ มนุษย์ด้วย เช่น ถ้ำมนุษย์ ไดร้ บั รังสีอลั ตรำ้ ไวโอเลตมำกเกินไป อำจจะทำใหเ้ กิด มะเร็งผวิ หนงั หรอื ถ้ำไดร้ งั สแี กมมำซึ่งเปน็ คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้ำทมี่ ีพลงั งำนสงู และสำมำรถทะลุผ่ำน เซลลแ์ ละอวยั วะได้ อำจทำลำยเนื้อเย่ือ หรืออำจ ทำใหเ้ สียชวี ิตไดเ้ มื่อไดร้ ับรังสีแกมมำในปริมำณสูง อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๑๓. ออกแบบกำรทดลอง และดำเนินกำร  เมื่อแสงตกกระทบวตั ถจุ ะเกิดกำรสะท้อนซึง่ เปน็ ไป ทดลองด้วยวิธีท่ีเหมำะสมในกำรอธบิ ำย ตำมกฎกำรสะท้อนของแสง โดยรงั สตี กกระทบ กฎกำรสะท้อนของแสง เสน้ แนวฉำก รงั สีสะท้อนอยู่ในระนำบเดียวกนั และ ๑๔. เขยี นแผนภำพกำรเคล่ือนท่ีของแสง มมุ ตกกระทบเทำ่ กบั มมุ สะท้อน ภำพจำกกระจกเงำ แสดงกำรเกิดภำพจำกกระจกเงำ เกิดจำกรังสีสะท้อนตดั กัน หรือตอ่ แนวรังสสี ะท้อนให้ ตัดกนั โดยถ้ำรงั สีสะท้อนตัดกันจริง จะเกดิ ภำพจริง แต่ถำ้ ต่อแนวรงั สีสะท้อนให้ไปตัดกนั จะเกิด ภำพเสมือน ๑๕. อธบิ ำยกำรหักเหของแสงเม่อื ผ่ำนตัวกลำง  เมอื่ แสงเดินทำงผ่ำนตวั กลำงโปร่งใสทแี่ ตกต่ำงกัน โปร่งใสท่แี ตกตำ่ งกนั และอธิบำยกำรกระจำย เช่น อำกำศและนำ้ อำกำศและแกว้ จะเกดิ กำรหกั เห แสงของแสงขำวเม่ือผ่ำนปรซิ ึมจำกหลกั ฐำน หรอื อำจเกิดกำรสะท้อนกลับหมดในตวั กลำงท่ีแสงตก เชงิ ประจักษ์ กระทบ กำรหักเหของแสงผ่ำนเลนส์ทำให้เกดิ ภำพทมี่ ี ๑๖. เขียนแผนภำพกำรเคล่ือนท่ีของแสงแสดง ชนิดและขนำดตำ่ ง ๆ กำรเกิดภำพจำกเลนส์บำง  แสงขำวประกอบด้วยแสงสตี ่ำง ๆ เม่ือแสงขำวผ่ำน ปริซึมจะเกิดกำรกระจำยแสงเปน็ แสงสีตำ่ ง ๆ เรียกวำ่ สเปกตรัมของแสงขำว เมือ่ เคลอื่ นทใี่ นตัวกลำงใด ๆ ท่ีไม่ใช่อำกำศ จะมอี ตั รำเร็วต่ำงกนั จงึ มีกำรหักเห ต่ำงกนั

๗๔ ชัน้ ตวั ชีว้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๑๗. อธิบำยปรำกฏกำรณท์ เี่ กี่ยวกบั แสง  กำรสะท้อนและกำรหักเหของแสงนำไปใช้อธิบำย และกำรทำงำนของทัศนอปุ กรณ์จำกข้อมลู ปรำกฏกำรณ์ที่เกย่ี วกบั แสง เชน่ รงุ้ มิรำจ และ ทร่ี วบรวมได้ อธิบำยกำรทำงำนของทัศนอุปกรณ์ เชน่ แวน่ ขยำย ๑๘. เขยี นแผนภำพกำรเคล่ือนที่ของแสง กระจกโค้งจรำจร กล้องโทรทรรศน์ กล้องจลุ ทรรศน์ แสดงกำรเกิดภำพของทศั นอุปกรณ์และเลนสต์ ำ และแว่นสำยตำ  ในกำรมองวตั ถุ เลนสต์ ำจะถกู ปรับโฟกสั เพื่อให้ เกิดภำพชดั ทีจ่ อตำ ควำมบกพร่องทำงสำยตำ เชน่ สำยตำสัน้ และสำยตำยำว เป็นเพรำะตำแหน่งที่เกิด ภำพไม่ได้อยทู่ ี่จอตำพอดี จงึ ต้องใช้เลนสใ์ นกำรแก้ไข เพ่อื ช่วยให้มองเห็นเหมือนคนสำยตำปกตโิ ดยคน อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ สำยตำส้นั ใชเ้ ลนส์เวำ้ สว่ นคนสำยตำยำวใชเ้ ลนสน์ ูน ๑๙. อธบิ ำยผลของควำมสว่ำงทมี่ ีต่อดวงตำ  ควำมสวำ่ งของแสงมีผลต่อดวงตำมนษุ ย์ กำรใช้ จำกข้อมลู ท่ีได้จำกกำรสืบค้น สำยตำในสภำพแวดล้อมท่ีมีควำมสวำ่ งไม่เหมำะสม ๒๐. วัดควำมสว่ำงของแสงโดยใชอ้ ปุ กรณว์ ดั จะเป็นอนั ตรำยต่อดวงตำ เช่น กำรดวู ัตถใุ นที่มี ควำมสว่ำงของแสง ควำมสวำ่ งมำกหรือน้อยเกนิ ไป กำรจ้องดูหนำ้ จอภำพ ๒๑. ตระหนกั ในคุณค่ำของควำมร้เู ร่อื ง เปน็ เวลำนำน ควำมสว่ำงบนพน้ื ทรี่ บั แสงมีหน่วยเป็น ควำมสวำ่ งของแสงท่ีมีตอ่ ดวงตำโดยวเิ ครำะห์ ลกั ซ์ ควำมรูเ้ ก่ียวกับควำมสว่ำงสำมำรถนำมำใชจ้ ดั สถำนกำรณ์ปัญหำและเสนอแนะกำรจดั ควำมสว่ำงให้เหมำะสมกบั กำรทำกิจกรรมตำ่ ง ๆ เช่น ควำมสวำ่ งใหเ้ หมำะสมในกำรทำกิจกรรมตำ่ ง ๆ กำรจัดควำมสวำ่ งที่เหมำะสมสำหรับกำรอ่ำนหนังสือ ม.๔ - - ม.๕ ๑. สืบค้นข้อมลู และอธบิ ำยพลงั งำนนิวเคลียร์  พลังงำนทป่ี ลดปล่อยออกมำจำกฟิชชัน หรือฟวิ ชนั ฟิชชันและฟวิ ชนั และควำมสมั พันธร์ ะหว่ำงมวล เรียกว่ำพลังงำนนวิ เคลียร์ โดยฟชิ ชันเป็นปฏกิ ิริยำ กับพลงั งำนท่ปี ลดปลอ่ ยออกมำจำกฟชิ ชนั ท่นี วิ เคลียสทม่ี มี วลมำกแตกออกเป็นนวิ เคลยี สที่มี และฟวิ ชนั มวลน้อยกว่ำ สว่ นฟิวชันเปน็ ปฏกิ ริ ยิ ำทีน่ วิ เคลียสทมี่ ี มวลนอ้ ยรวมตัวกันเกดิ เป็นนวิ เคลียสท่ีมีมวลมำกข้นึ พลังงำนนิวเคลียรท์ ปี่ ลดปล่อยออกมำจำกฟิชชนั และฟิวชนั มีคำ่ เปน็ ไปตำมควำมสัมพนั ธ์ระหวำ่ งมวล กับพลังงำน ๒. สบื ค้นขอ้ มูลและอธิบำยกำรเปล่ียนพลงั งำน  กำรนำพลงั งำนทดแทนมำใชเ้ ปน็ กำรแก้ปัญหำ ทดแทนเปน็ พลงั งำนไฟฟ้ำ รวมทัง้ สืบคน้ และ หรือตอบสนองควำมตอ้ งกำรดำ้ นพลังงำน เชน่ อภปิ รำยเก่ียวกบั เทคโนโลยี ทนี่ ำมำแก้ปัญหำ กำรเปลย่ี นพลงั งำนนวิ เคลยี รเ์ ป็นพลังงำนไฟฟ้ำ หรอื ตอบสนองควำมต้องกำรทำงด้ำนพลังงำน

๗๕ ช้ัน ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง โดยเน้นดำ้ นประสทิ ธภิ ำพและควำมคมุ้ ค่ำดำ้ น ในโรงไฟฟำ้ นวิ เคลยี ร์ และกำรเปลีย่ นพลังงำน คำ่ ใชจ้ ำ่ ย แสงอำทิตย์เป็นพลงั งำนไฟฟ้ำโดยเซลล์สรุ ิยะ  เทคโนโลยีต่ำง ๆ ทนี่ ำมำแกป้ ัญหำ หรอื ตอบสนอง ควำมตอ้ งกำรทำงดำ้ นพลังงำนเปน็ กำรนำควำมรู้ ทกั ษะและกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์มำสรำ้ ง อุปกรณ์ หรือผลติ ภัณฑ์ต่ำง ๆ ท่ชี ่วยให้กำรใช้ พลังงำนมีประสิทธิภำพย่งิ ขึน้ ๓. สงั เกตและอธบิ ำยกำรสะท้อน กำรหกั เห  เมื่อคล่ืนเคล่ือนท่ีไปพบส่ิงกดี ขวำง จะเกิด กำรเลยี้ วเบน และกำรรวมคลนื่ กำรสะท้อน เม่ือคลน่ื เคลื่อนที่ผ่ำนรอยตอ่ ระหวำ่ ง ตัวกลำงที่ต่ำงกนั จะเกิดกำรหักเห เมื่อคลน่ื เคลือ่ นที่ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ไปพบขอบส่ิงกดี ขวำงจะเกิดกำรเลี้ยวเบน เมอ่ื คลื่น สองขบวนมำพบกนั จะเกิดกำรรวมคล่ืนเกดิ รปู ร่ำง ของคล่ืนรวม หลังจำกคลน่ื ท้ังสองเคลอ่ื นทผี่ ่ำนพน้ กัน แล้วจะแยกกนั โดยแตล่ ะคล่ืนยงั คงมีรปู ร่ำงและ ทศิ ทำงเดมิ ๔. สงั เกตและอธิบำย ควำมถ่ีธรรมชำติ  เม่ือกระตุ้นใหว้ ัตถสุ นั่ แลว้ หยุดกระตนุ้ วตั ถจุ ะสนั่ กำรส่ันพ้อง และผลทีเ่ กิดขึน้ จำกกำรสนั่ พอ้ ง ดว้ ยควำมถที่ เ่ี รยี กวำ่ ควำมถ่ีธรรมชำติ ถ้ำมีแรง กระตนุ้ วัตถุท่ีกำลังส่ันด้วยควำมถ่ีของกำรออกแรง ตรงกบั ควำมถี่ธรรมชำติของวตั ถุน้นั จะทำใหว้ ตั ถสุ ่นั ดว้ ยแอมพลจิ ดู มำกข้นึ เรยี กว่ำ กำรสน่ั พ้อง เชน่ กำรสั่นพ้องของอำคำรสงู กำรสัน่ พอ้ งของสะพำน กำรส่นั พ้องของเสยี งในเคร่อื งดนตรปี ระเภทเปำ่ ๕. สงั เกตและอธบิ ำยกำรสะท้อน กำรหักเห  เสียงมกี ำรสะทอ้ น กำรหกั เห กำรเลี้ยวเบนและ กำรเลีย้ วเบน และกำรรวมคล่นื ของคลนื่ เสยี ง กำรรวมคลื่นเชน่ เดยี วกบั คล่ืนอืน่ ๆ ๖. สืบคน้ ขอ้ มลู และอธิบำยควำมสัมพนั ธ์  ควำมถีข่ องคลนื่ เสียงเปน็ ปรมิ ำณที่ใชบ้ อกเสยี งสงู ระหวำ่ งควำมเข้มเสยี งกับระดับเสยี งและผล เสยี งต่ำโดยควำมถท่ี ี่คนไดย้ นิ มคี ำ่ อยรู่ ะหวำ่ ง ของควำมถี่กับระดบั เสยี งทมี่ ตี ่อกำรไดย้ ินเสยี ง ๒๐-๒๐,๐๐๐ เฮิรตซ์ ระดับเสยี งเปน็ ปริมำณท่ีใชบ้ อก ควำมดังของเสียงซ่ึงข้นึ กับควำมเข้มเสยี ง โดย ควำมเขม้ เสยี งเปน็ พลงั งำนเสยี งทตี่ กตงั้ ฉำกบนพน้ื ที่ หน่ึงหน่วยในหนึ่งหนว่ ยเวลำเสียงท่ีมคี วำมดัง มำกเกินไปเปน็ อนั ตรำยต่อหู

๗๖ ช้ัน ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๗. สงั เกตและอธบิ ำยกำรเกดิ เสียงสะทอ้ นกลบั  เมอื่ เสยี งจำกแหล่งกำเนดิ เดินทำงไปกระทบวัตถุ บีต ดอปเพลอร์ และกำรสน่ั พ้องของเสียง แล้วสะท้อนกลับมำยงั ผู้ฟงั ถ้ำผฟู้ งั ไดย้ นิ เสยี ง ทอ่ี อกจำกแหลง่ กำเนิดและเสียงทีส่ ะท้อนกลบั มำ แยกจำกกนั เสียงที่ไดย้ นิ นเ้ี ป็นเสียงสะท้อนกลับ  เมอ่ื คล่ืนเสยี งสองขบวนทม่ี ีควำมถใี่ กลเ้ คียงกนั มำรวมกันจะเกิดบตี  เมอ่ื แหลง่ กำเนดิ เสียงเคลื่อนท่ี ผฟู้ งั เคลื่อนที่ หรอื ทั้งแหล่งกำเนิดและผู้ฟงั เคล่ือนที่ ผฟู้ ังจะได้ยนิ เสียงที่ มคี วำมถ่ีเปล่ียนไป เรยี กว่ำ ปรำกฎกำรณ์ดอปเพลอร์ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ถำ้ อำกำศในท่อถูกกระตุ้นด้วยคล่นื เสยี งทมี่ ีควำมถี่ เทำ่ กบั ควำมถธี่ รรมชำติของอำกำศในทอ่ นัน้ จะเกิด กำรสัน่ พ้องของเสยี ง ๘. สืบค้นข้อมูลและยกตัวอย่ำงกำรนำควำมรู้  ควำมรู้เกยี่ วกับเสียงนำไปใชป้ ระโยชนใ์ นด้ำนตำ่ ง ๆ เก่ียวกับเสียงไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เชน่ คลน่ื เหนือเสยี งหรืออลั ตรำซำวนด์ ใช้ในทำง กำรแพทย์ บีตของเสยี งในกำรปรับเทียบเสียงของ เคร่ืองดนตรี กำรสั่นพ้องของเสียงใชใ้ นกำรออกแบบ เครื่องดนตรีและอธิบำยกำรเปล่งเสียงของมนุษย์ ๙. สงั เกตและอธิบำยกำรมองเหน็ สีของวตั ถุ  เม่ือแสงตกกระทบวัตถุ วตั ถุจะดูดกลนื แสงสีบำงสี และควำมผดิ ปกตใิ นกำรมองเหน็ สี โดยขน้ึ กับสำรสบี นผิววัตถุ และสะท้อนแสงสีทเี่ หลือ ออกมำ ทำใหม้ องเหน็ วัตถเุ ป็นสีต่ำง ๆ ขึ้นกบั แสงสีท่ี สะทอ้ นออกมำ ควำมผดิ ปกติในกำรมองเห็นสี หรอื กำรบอดสีเกดิ จำกควำมบกพร่องของเซลล์รปู กรวยบนจอตำ ๑๐. สังเกตและอธบิ ำยกำรทำงำนของแผน่  แผ่นกรองแสงสยี อมใหแ้ สงสบี ำงสผี ่ำนออกไปได้ กรองแสงสี กำรผสมแสงสี กำรผสมสำรสี และก้นั บำงแสงสี และกำรนำไปใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ติ ประจำวนั  กำรผสมแสงสที ำให้ได้แสงสีทีห่ ลำกหลำย เปลยี่ นไปจำกเดิม ถ้ำนำแสงสีปฐมภมู ิในสดั สว่ น ทเี่ หมำะสมมำผสมกันจะไดแ้ สงขำว  กำรผสมสำรสที ำให้ไดส้ ำรสที ห่ี ลำกหลำย เปลี่ยนไปจำกเดิม ถ้ำนำสำรสีปฐมภูมใิ นปรมิ ำณ ที่เทำ่ กันมำผสมกันจะไดส้ ำรสีผสมเป็นสีดำ

๗๗ ชั้น ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง  กำรผสมแสงสีและกำรผสมสำรสีสำมำรถนำไปใช้ ประโยชน์ในดำ้ นต่ำง ๆ เช่น ด้ำนศลิ ปะ ด้ำนกำรแสดง ๑๑. สบื คน้ ขอ้ มลู และอธบิ ำยคล่นื แม่เหล็กไฟฟำ้  คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟำ้ ประกอบด้วยสนำมแม่เหล็ก สว่ นประกอบคลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้ำ และหลักกำร และสนำมไฟฟำ้ ท่ีเปลย่ี นแปลงตลอดเวลำ โดยสนำม ทำงำนของอปุ กรณบ์ ำงชนิดท่ีอำศัย ทั้งสองมีทิศทำงตัง้ ฉำกกนั และตงั้ ฉำกกับทิศทำง คล่ืนแม่เหล็กไฟฟำ้ กำรเคล่ือนทข่ี องคลื่น  อปุ กรณ์บำงชนิดทำงำนโดยอำศัยคลื่นแมเ่ หล็ก ไฟฟ้ำ เช่น เครือ่ งควบคมุ ระยะไกล เคร่อื งถำ่ ยภำพ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และเครือ่ งถ่ำยภำพกำรส่นั พอ้ ง แม่เหล็ก อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๑๒. สบื ค้นข้อมูลและอธิบำยกำรส่ือสำร  ในกำรสอื่ สำรโดยอำศยั คล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟำ้ โดยอำศยั คลนื่ แมเ่ หล็กไฟฟำ้ ในกำรส่งผำ่ น เพ่อื ส่งผ่ำนสำรสนเทศจำกที่หนงึ่ ไปอีกท่ีหนึ่ง สำรสนเทศและเปรียบเทียบกำรสอื่ สำร สำรสนเทศจะถูกแปลงใหอ้ ย่ใู นรูปสญั ญำณ ด้วยสญั ญำณแอนะล็อกกับสัญญำณดิจทิ ลั สำหรับส่งไปยงั ปลำยทำงซึ่งจะมกี ำรแปลงสัญญำณ กลบั มำเป็นสำรสนเทศทเ่ี หมือนเดิม  สญั ญำณที่ใช้ในกำรสื่อสำรมีสองชนิดคือ แอนะล็อกและดจิ ทิ ลั กำรส่งผำ่ นสำรสนเทศ ด้วยสญั ญำณดิจทิ ลั สำมำรถสง่ ผ่ำนได้ โดยมคี วำมผดิ พลำดน้อยกว่ำสญั ญำณแอนะล็อก ม.๖ - - หมายเหตุ: มำตรฐำน ว ๒.๑ – ว ๒.๓ สำหรับผู้เรียนในระดับชั้นประถมศึกษำปที ่ี ๑ ถึงระดับช้ันมธั ยมศกึ ษำปีที่ ๓ และผเู้ รยี นในระดับชน้ั มธั ยมศึกษำปีที่ ๔ – ๖ ทไ่ี ม่เนน้ วิทยำศำสตร์

๗๘ สาระที่ ๓ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกดิ และวิวฒั นาการของเอกภพ กาแลก็ ซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมท้ังปฏสิ มั พนั ธ์ภายในระบบสรุ ิยะทสี่ ่งผลตอ่ สิ่งมีชวี ิต และการประยกุ ต์ใชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ ชั้น ตัวช้วี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๑ ๑. ระบุดำวทปี่ รำกฏบนท้องฟำ้ ในเวลำกลำงวนั  บนท้องฟำ้ มีดวงอำทติ ย์ ดวงจนั ทร์ และดำว และกลำงคนื จำกข้อมลู ท่ีรวบรวมได้ ซงึ่ ในเวลำกลำงวันจะมองเห็นดวงอำทิตย์และอำจ ๒. อธบิ ำยสำเหตุท่ีมองไมเ่ หน็ ดำวส่วนใหญ่ มองเห็นดวงจนั ทรบ์ ำงเวลำในบำงวัน แต่ไมส่ ำมำรถ ในเวลำกลำงวันจำกหลักฐำนเชิงประจกั ษ์ มองเหน็ ดำว  ในเวลำกลำงวนั มองไมเ่ ห็นดำวส่วนใหญ่เน่อื งจำก แสงอำทติ ยส์ ว่ำงกว่ำจึงกลบแสงของดำว สว่ นในเวลำ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ กลำงคืนจะมองเหน็ ดำวและมองเหน็ ดวงจนั ทร์ เกอื บทุกคืน ป.๒ - - ป.๓ ๑. อธบิ ำยแบบรปู เส้นทำงกำรขนึ้ และตก  คนบนโลกมองเห็นดวงอำทิตยป์ รำกฏขึน้ ทำงดำ้ น ของดวงอำทติ ยโ์ ดยใช้หลักฐำนเชงิ ประจักษ์ หนึ่งและตกทำงอกี ด้ำนหนึ่งทุกวัน หมุนเวยี นเปน็ ๒. อธิบำยสำเหตกุ ำรเกดิ ปรำกฏกำรณ์กำรขน้ึ แบบรูปซำ้ ๆ และตกของดวงอำทติ ย์ กำรเกดิ กลำงวัน  โลกกลมและหมนุ รอบตวั เองขณะโคจรรอบดวง กลำงคืน และกำรกำหนดทศิ โดยใช้ อำทติ ย์ ทำให้บริเวณของโลกไดร้ บั แสงอำทิตยไ์ ม่ แบบจำลอง พร้อมกนั โลกด้ำนที่ไดร้ บั แสงจำกดวงอำทติ ยจ์ ะเปน็ ๓. ตระหนักถึงควำมสำคญั ของดวงอำทิตย์ โดย กลำงวัน ส่วนด้ำนตรงขำ้ มที่ไมไ่ ดร้ ับแสงจะเปน็ บรรยำยประโยชน์ของดวงอำทติ ยต์ ่อส่ิงมชี ีวติ กลำงคืน นอกจำกน้ีคนบนโลกจะมองเห็นดวงอำทติ ย์ ปรำกฏขึ้นทำงด้ำนหนงึ่ ซง่ึ กำหนดให้เปน็ ทิศ ตะวนั ออก และมองเหน็ ดวงอำทติ ยต์ กทำงอีกด้ำน หนึ่ง ซ่งึ กำหนดให้เปน็ ทศิ ตะวันตก และเมื่อให้ด้ำน ขวำมอื อยู่ทำงทิศตะวันออก ด้ำนซ้ำยมืออยู่ทำงทิศ ตะวันตก ดำ้ นหนำ้ จะเป็นทิศเหนอื และด้ำนหลงั จะ เปน็ ทิศใต้  ในเวลำกลำงวนั โลกจะได้รับพลังงำนแสงและ พลงั งำนควำมร้อนจำกดวงอำทติ ย์ ทำให้สงิ่ มชี วี ิต ดำรงชีวิตอยไู่ ด้

๗๙ ชน้ั ตัวชว้ี ดั อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๔ ๑. อธิบำยแบบรูปเสน้ ทำงกำรข้ึนและตก  ดวงจันทรเ์ ป็นบรวิ ำรของโลก โดยดวงจนั ทร์ ของดวงจันทร์ โดยใชห้ ลักฐำนเชงิ ประจักษ์ หมุนรอบตวั เองขณะโคจรรอบโลก ขณะทีโ่ ลกกห็ มนุ รอบตัวเองดว้ ยเช่นกนั กำรหมุนรอบตัวเองของโลก ๒. สรำ้ งแบบจำลองทอี่ ธบิ ำยแบบรูป จำกทิศตะวนั ตกไปทิศตะวนั ออกในทิศทำงทวนเข็ม กำรเปล่ยี นแปลงรูปร่ำงปรำกฏของดวงจนั ทร์ นำฬกิ ำเมื่อมองจำกขัว้ โลกเหนือ ทำใหม้ องเห็น และพยำกรณร์ ูปรำ่ งปรำกฏของดวงจันทร์ ดวงจนั ทร์ปรำกฏขึน้ ทำงด้ำนทศิ ตะวนั ออกและตก ทำงดำ้ นทิศตะวันตกหมนุ เวียนเปน็ แบบรูปซำ้ ๆ ๓. สร้ำงแบบจำลองแสดงองค์ประกอบของ ระบบสุรยิ ะ และอธิบำยเปรยี บเทยี บคำบ  ดวงจันทร์เป็นวัตถุท่เี ป็นทรงกลม แตร่ ูปรำ่ งของ กำรโคจรของดำวเครำะห์ต่ำง ๆ จำก ดวงจันทร์ที่มองเห็นหรือรปู ร่ำงปรำกฏของดวงจนั ทร์ แบบจำลอง บนทอ้ งฟำ้ แตกตำ่ งกนั ไปในแต่ละวัน โดยในแตล่ ะวนั ดวงจันทรจ์ ะมรี ูปร่ำงปรำกฏเป็นเสี้ยวที่มีขนำด ป.๕ ๑. เปรยี บเทียบควำมแตกต่ำงของดำวเครำะห์ เพิม่ ข้นึ อย่ำงต่อเนื่องจนเต็มดวง จำกนั้นรปู ร่ำง และดำวฤกษ์จำกแบบจำลอง ปรำกฏของดวงจันทรจ์ ะแหว่งและมขี นำดลดลง อย่ำงต่อเน่อื งจนมองไม่เหน็ ดวงจนั ทร์ จำกน้ันรปู รำ่ ง ปรำกฏของดวงจนั ทร์จะเปน็ เส้ียวใหญ่ข้ึนจนเตม็ ดวง อีกคร้ัง กำรเปลยี่ นแปลงเชน่ น้เี ปน็ แบบรปู ซำ้ กนั ทกุ เดือน  ระบบสรุ ยิ ะเป็นระบบท่ีมีดวงอำทติ ยเ์ ป็นศูนยก์ ลำง และมีบรวิ ำรประกอบดว้ ย ดำวเครำะหแ์ ปดดวงและ บรวิ ำร ซง่ึ ดำวเครำะห์แตล่ ะดวงมขี นำดและระยะห่ำง จำกดวงอำทติ ย์แตกต่ำงกัน และยงั ประกอบด้วย ดำวเครำะหแ์ คระ ดำวเครำะหน์ อ้ ย ดำวหำง และ วตั ถุขนำดเล็กอ่ืน ๆ โคจรอยูร่ อบดวงอำทิตย์ วตั ถุ ขนำดเลก็ อนื่ ๆ เม่ือเขำ้ มำในชัน้ บรรยำกำศเน่อื งจำก แรงโนม้ ถ่วงของโลก ทำใหเ้ กิดเป็นดำวตกหรือผีพุ่งไต้ และอุกกำบำต  ดำวทมี่ องเหน็ บนท้องฟ้ำอยใู่ นอวกำศซง่ึ เปน็ บริเวณทอี่ ยนู่ อกบรรยำกำศของโลกมที ั้งดำวฤกษ์และ ดำวเครำะห์ ดำวฤกษเ์ ป็นแหลง่ กำเนดิ แสงจงึ สำมำรถ มองเหน็ ได้ สว่ นดำวเครำะห์ ไม่ใชแ่ หล่งกำเนิดแสง แตส่ ำมำรถมองเห็นไดเ้ น่ืองจำกแสงจำกดวงอำทิตย์ ตกกระทบดำวเครำะห์แล้วสะทอ้ นเข้ำสู่ตำ

๘๐ ช้นั ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๒. ใชแ้ ผนท่ดี ำวระบุตำแหน่งและเสน้ ทำง  กำรมองเหน็ กลมุ่ ดำวฤกษม์ ีรปู ร่ำงต่ำง ๆ เกดิ จำก กำรขนึ้ และตกของกลุ่มดำวฤกษ์บนท้องฟ้ำ จนิ ตนำกำรของผู้สังเกต กลมุ่ ดำวฤกษต์ ่ำง ๆ ที่ปรำกฏ และอธิบำยแบบรปู เสน้ ทำงกำรขึน้ และตก ในทอ้ งฟำ้ แตล่ ะกลุ่มมีดำวฤกษ์แต่ละดวงเรยี งกนั ท่ี ของกลมุ่ ดำวฤกษ์บนท้องฟำ้ ในรอบปี ตำแหน่งคงท่ี และมีเส้นทำงกำรขึ้นและตกตำม เสน้ ทำงเดมิ ทุกคืน ซ่ึงจะปรำกฏตำแหนง่ เดิมกำร สงั เกตตำแหน่งและกำรขึน้ และตกของดำวฤกษแ์ ละ กลุ่มดำวฤกษ์สำมำรถทำได้โดยใช้แผนทดี่ ำว ซงึ่ ระบมุ ุมทิศและมุมเงยท่ีกลุ่มดำวนั้นปรำกฏ ผู้สงั เกต สำมำรถใชม้ ือในกำรประมำณค่ำของมุมเงยเม่ือสงั เกต ดำวในทอ้ งฟำ้ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ป.๖ ๑. สร้ำงแบบจำลองท่ีอธบิ ำยกำรเกิด  เมอื่ โลกและดวงจันทร์ โคจรมำอยู่ในแนวเส้นตรง และเปรียบเทยี บปรำกฏกำรณส์ รุ ยิ ุปรำคำ เดยี วกันกับดวงอำทติ ยใ์ นระยะทำงท่ีเหมำะสม ทำให้ และจันทรุปรำคำ ดวงจันทรบ์ งั ดวงอำทติ ย์ เงำของดวงจันทร์ทอดมำยงั โลก ผสู้ งั เกตทอ่ี ยู่บรเิ วณเงำจะมองเหน็ ดวงอำทิตย์ มดื ไป เกิดปรำกฏกำรณ์สุริยุปรำคำ ซึ่งมที ้ัง สุริยุปรำคำเต็มดวง สรุ ิยุปรำคำบำงส่วน และ สุริยปุ รำคำวงแหวน  หำกดวงจันทร์และโลกโคจรมำอยใู่ นแนวเส้นตรง เดียวกนั กบั ดวงอำทิตย์ แล้วดวงจนั ทรเ์ คลอ่ื นทผ่ี ำ่ นเงำ ของโลก จะมองเห็นดวงจนั ทรม์ ดื ไป เกิดปรำกฏกำรณ์ จันทรุปรำคำ ซึ่งมีท้ังจันทรุปรำคำเตม็ ดวง และ จันทรปุ รำคำบำงสว่ น ๒. อธบิ ำยพฒั นำกำรของเทคโนโลยีอวกำศ และ  เทคโนโลยอี วกำศเริ่มจำกควำมตอ้ งกำรของมนุษย์ ยกตวั อยำ่ งกำรนำเทคโนโลยีอวกำศมำใช้ ในกำรสำรวจวตั ถทุ อ้ งฟำ้ โดยใชต้ ำเปลำ่ กลอ้ ง- ประโยชนใ์ นชีวติ ประจำวนั จำกข้อมูลทร่ี วบรวม โทรทรรศน์ และได้พัฒนำไปสู่กำรขนส่งเพือ่ สำรวจ ได้ อวกำศด้วยจรวดและยำนขนส่งอวกำศ และยงั คง พัฒนำอย่ำงต่อเน่ือง ปจั จบุ นั มีกำรนำเทคโนโลยี อวกำศบำงประเภทมำประยุกต์ใชใ้ นชีวิตประจำวนั เช่น กำรใช้ดำวเทยี มเพ่ือกำรสอ่ื สำร กำรพยำกรณ์ อำกำศ หรอื กำรสำรวจทรัพยำกรธรรมชำติ กำรใช้ อุปกรณว์ ดั ชีพจรและกำรเตน้ ของหวั ใจ หมวกนริ ภัย ชดุ กีฬำ

๘๑ ช้นั ตัวชี้วัด อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.๑ - - ม.๒ - - ม.๓ ๑. อธิบำยกำรโคจรของดำวเครำะห์รอบดวง  ในระบบสุรยิ ะมดี วงอำทิตย์เป็นศนู ย์กลำงโดยมี อำทติ ยด์ ้วยแรงโน้มถว่ งจำกสมกำร ดำวเครำะห์และบริวำร ดำวเครำะห์แคระ F=(Gm1m2) / r2 ดำวเครำะห์น้อย ดำวหำง และอ่ืน ๆ เช่น วัตถคุ อยเปอร์ โคจรอยูโ่ ดยรอบ ซงึ่ ดำวเครำะห์ ๒. สรำ้ งแบบจำลองทีอ่ ธิบำยกำรเกดิ ฤดู และวัตถเุ หลำ่ นโี้ คจรรอบดวงอำทติ ยด์ ้วยแรงโน้มถว่ ง และกำรเคลอื่ นที่ปรำกฏของดวงอำทติ ย์ แรงโน้มถ่วงเป็นแรงดึงดูดระหวำ่ งวัตถุสองวัตถุ โดยเปน็ สัดสว่ นกับผลคณู ของมวลท้ังสอง และเป็น ๓. สร้ำงแบบจำลองทอี่ ธิบำยกำรเกิดข้ำงขนึ้ สดั สว่ นผกผันกับกำลังสองของระยะทำงระหวำ่ งวัตถุ ข้ำงแรม กำรเปลี่ยนแปลงเวลำกำรขนึ้ และตก ทง้ั สอง แสดงได้โดยสมกำร F=(Gm1m2) / r2 เม่อื F ของดวงจันทร์ และกำรเกดิ น้ำขึน้ น้ำลง แทนควำมโนม้ ถ่วงระหวำ่ งมวลท้ังสอง G แทนคำ่ นจิ โนม้ ถว่ งสำกล m1 แทนมวลของวัตถุแรก m2 แทน มวลของวัตถุทส่ี อง และ r แทนระยะห่ำงระหวำ่ ง วัตถุทั้งสอง  กำรทีโ่ ลกโคจรรอบดวงอำทิตยใ์ นลักษณะทแ่ี กนโลก เอียงกบั แนวตัง้ ฉำกของระนำบทำงโคจร ทำให้ ส่วนต่ำง ๆ บนโลกไดร้ บั ปรมิ ำณแสงจำกดวงอำทิตย์ แตกตำ่ งกันในรอบปี เกิดเป็นฤดู กลำงวนั กลำงคนื ยำว ไมเ่ ท่ำกัน และตำแหนง่ กำรขึ้นและตกของดวงอำทติ ย์ ทข่ี อบฟำ้ และเสน้ ทำงกำรขนึ้ และตกของดวงอำทติ ย์ เปล่ียนไปในรอบปี ซง่ึ ส่งผลตอ่ กำรดำรงชวี ิต  ดวงจนั ทรโ์ คจรรอบโลก โลกและดวงจันทรโ์ คจร รอบดวงอำทติ ย์ ดวงจนั ทรร์ ับแสงจำกดวงอำทติ ย์ ครง่ึ ดวงตลอดเวลำ เม่ือดวงจันทร์โคจรรอบโลกไดห้ นั ส่วนสวำ่ งมำยงั โลกแตกต่ำงกัน จึงทำให้คนบนโลก สังเกตสว่ นสว่ำงของดวงจนั ทร์แตกต่ำงไปในแต่ละวัน เกดิ เป็นข้ำงขึน้ ขำ้ งแรม  ดวงจันทร์โคจรรอบโลกในทิศทำงเดยี วกันกับทโ่ี ลก หมุนรอบตัวเอง จึงทำใหเ้ หน็ ดวงจนั ทร์ขนึ้ ช้ำไป ประมำณวนั ละ ๕๐ นำที

๘๒ ชนั้ ตัวช้วี ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง  แรงโน้มถ่วงทด่ี วงจันทร์ ดวงอำทิตย์กระทำต่อโลก ทำใหเ้ กิดปรำกฏกำรณ์น้ำขึน้ น้ำลง ซึง่ สง่ ผลตอ่ สิ่งแวดล้อมและสิ่งมชี วี ิตบนโลก วันทน่ี ้ำมีระดบั กำรข้นึ สูงสุดและลงต่ำสดุ เรยี กวันน้ำเกดิ ส่วนวันที่ ระดับนำ้ มีกำรข้ึนและลงนอ้ ยเรยี ก วันนำ้ ตำย โดย วนั น้ำเกดิ น้ำตำยมีควำมสัมพันธก์ ับขำ้ งขึน้ ขำ้ งแรม ๔. อธิบำยกำรใช้ประโยชนข์ องเทคโนโลยี  เทคโนโลยีอวกำศได้มีบทบำทตอ่ กำรดำรงชวี ิตของ อวกำศ และยกตวั อย่ำงควำมกำ้ วหน้ำของ มนษุ ย์ในปจั จบุ นั มำกมำย มนุษย์ไดใ้ ชป้ ระโยชนจ์ ำก โครงกำรสำรวจอวกำศ จำกข้อมูลทีร่ วบรวมได้ เทคโนโลยีอวกำศ เชน่ ระบบนำทำงด้วยดำวเทียม (GNSS) กำรติดตำมพำยุ สถำนกำรณไ์ ฟปำ่ ดำวเทยี ม ช่วยภัยแล้ง กำรตรวจครำบนำ้ มนั ในทะเล อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ  โครงกำรสำรวจอวกำศต่ำง ๆ ไดพ้ ฒั นำเพ่มิ พนู ควำมรู้ควำมเข้ำใจต่อโลก ระบบสุริยะและเอกภพ มำกขึน้ เป็นลำดับ ตัวอย่ำงโครงกำรสำรวจอวกำศ เชน่ กำรสำรวจสงิ่ มชี ีวติ นอกโลก กำรสำรวจดำว เครำะหน์ อกระบบสรุ ิยะ กำรสำรวจดำวองั คำร และ บรวิ ำรอนื่ ของดวงอำทิตย์ ม.๔ - - ม.๕ - - ม.๖ ๑. อธิบำยกำรกำเนิดและกำรเปลย่ี นแปลง  ทฤษฎีกำเนดิ เอกภพที่ยอมรับในปจั จบุ ัน คือ พลังงำน สสำร ขนำด อุณหภมู ขิ องเอกภพ ทฤษฎบี กิ แบง ระบวุ ่ำเอกภพเร่ิมต้นจำก บิกแบง หลังเกดิ บิกแบงในชว่ งเวลำต่ำง ๆ ตำม ที่เอกภพมีขนำดเลก็ มำก และมีอณุ หภูมิสูงมำก ววิ ัฒนำกำรของเอกภพ ซ่งึ เป็นจดุ เร่มิ ตน้ ของเวลำและววิ ฒั นำกำรของเอกภพ โดยหลงั เกิดบิกแบงเอกภพเกิดกำรขยำยตัวอย่ำง รวดเร็ว มีอุณหภมู ิลดลง มีสสำรคงอยู่ในรูปอนุภำค และปฏิยำนภุ ำคหลำยชนดิ และมีววิ ัฒนำกำรต่อเนื่อง จนถึงปัจจบุ ัน ซ่ึงมีเนบวิ ลำ กำแลก็ ซี ดำวฤกษ์ และ ระบบสรุ ิยะเป็นสมำชิกบำงส่วนของเอกภพ ๒. อธบิ ำยหลักฐำนที่สนบั สนนุ ทฤษฎีบกิ แบง  หลกั ฐำนสำคัญทสี่ นับสนุนทฤษฎบี กิ แบง คือ จำกควำมสมั พนั ธ์ระหว่ำงควำมเรว็ กับระยะทำง กำรขยำยตวั ของเอกภพ ซึ่งอธบิ ำยดว้ ย กฎฮับเบิล ของกำแล็กซี รวมท้ังข้อมูลกำรค้นพบไมโครเวฟ โดยใช้ควำมสัมพนั ธ์ระหว่ำงควำมเรว็ และระยะทำง พ้ืนหลงั จำกอวกำศ ของกำแล็กซีท่ีเคลื่อนทหี่ ่ำงออกจำกโลก และ

๘๓ ช้ัน ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง หลกั ฐำนอีกประกำร คือ กำรค้นพบไมโครเวฟ พนื้ หลังทีก่ ระจำยตวั อย่ำงสม่ำเสมอทุกทิศทำงและ สอดคล้องกับอณุ หภมู ิเฉล่ยี ของอวกำศ มีคำ่ ประมำณ ๒.๗๓ เคลวนิ ๓. อธบิ ำยโครงสรำ้ งและองค์ประกอบของ  กำแลก็ ซี ประกอบด้วย ดำวฤกษจ์ ำนวนหลำยแสน กำแลก็ ซีทำงช้ำงเผือก และระบตุ ำแหน่ง ล้ำนดวง ซึ่งอยกู่ ันเป็นระบบของดำวฤกษ์ นอกจำกน้ี ของระบบสุรยิ ะพรอ้ มอธบิ ำยเช่อื มโยงกบั ยงั ประกอบด้วยเทห์ฟ้ำอืน่ เช่น เนบิวลำ และสสำร กำรสงั เกตเห็นทำงช้ำงเผอื กของคนบนโลก ระหวำ่ งดำว โดยองคป์ ระกอบตำ่ ง ๆ ภำยในของ กำแลก็ ซีอยรู่ วมกนั ดว้ ยแรงโนม้ ถว่ ง  กำแล็กซีมีรปู รำ่ งแตกต่ำงกัน โดยระบบสุรยิ ะ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ อย่ใู นกำแลก็ ซีทำงช้ำงเผือกซึ่งเปน็ กำแลก็ ซกี งั หัน แบบมคี ำน มีโครงสร้ำง คือ นิวเคลยี ส จำน และฮำโล ดำวฤกษจ์ ำนวนมำกอยู่ในบรเิ วณนวิ เคลียสและจำน โดยมีระบบสุรยิ ะอยู่ห่ำงจำกจุดศูนยก์ ลำงของ กำแลก็ ซีทำงชำ้ งเผือก ประมำณ ๓๐,๐๐๐ ปแี สง ซ่งึ ทำงชำ้ งเผอื กท่สี ังเกตเหน็ ในท้องฟ้ำเป็นบรเิ วณหนึง่ ของกำแล็กซีทำงช้ำงเผือกในมุมมองของคนบนโลก แถบฝ้ำสขี ำวจำง ๆ ของทำงช้ำงเผือกคือดำวฤกษ์ ท่อี ยู่อยำ่ งหนำแน่นในกำแล็กซีทำงชำ้ งเผือก ๔. อธบิ ำยกระบวนกำรเกิดดำวฤกษ์ โดยแสดง  ดำวฤกษ์ส่วนใหญ่อยรู่ วมกันเปน็ ระบบดำวฤกษ์ คือ กำรเปล่ยี นแปลงควำมดัน อุณหภูมิ ขนำด จำก ดำวฤกษ์ท่อี ยูร่ วมกันต้ังแต่ ๒ ดวงขนึ้ ไป ดำวฤกษ์ ดำวฤกษ์กอ่ นเกดิ จนเปน็ ดำวฤกษ์ เป็นก้อนแก๊สร้อนขนำดใหญ่ เกิดจำกกำรยุบตัวของ กลุม่ สสำรในเนบิวลำภำยใต้แรงโน้มถว่ ง ทำให้บำงสว่ น ของเนบวิ ลำมีขนำดเลก็ ลง ควำมดันและอุณหภูมิ เพิ่มข้ึน เกดิ เป็นดำวฤกษ์กอ่ นเกดิ เมอื่ อณุ หภมู ิทีแ่ กน่ สูงขึ้นจนเกดิ ปฏิกริ ยิ ำเทอร์โมนวิ เคลียร์ ดำวฤกษ์ ก่อนเกิดจะกลำยเป็นดำวฤกษ์ ดำวฤกษอ์ ยู่ในสภำพ สมดุลระหว่ำงแรงดนั กบั แรงโน้มถ่วงซึ่งเรยี กวำ่ สมดุล อุทกสถิต จงึ ทำให้ดำวฤกษ์มีเสถียรภำพและ ปลดปล่อยพลงั งำนเป็นเวลำนำน ตลอดชว่ งชวี ิตของ ดำวฤกษ์

๘๔ ช้ัน ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๕. ระบุปัจจยั ท่สี ่งผลตอ่ ควำมส่องสว่ำงของ  ปฏิกิรยิ ำเทอรโ์ มนิวเคลียร์ เป็นปฏิกริ ยิ ำหลักของ ดำวฤกษ์ และอธบิ ำยควำมสัมพันธ์ระหว่ำง กระบวนกำรสรำ้ งพลังงำนของดำวฤกษ์ทีแ่ กน่ ของ ควำมสอ่ งสว่ำงกับโชตมิ ำตรของดำวฤกษ์ ดำวฤกษ์ ทำให้เกิดกำรหลอมนิวเคลียสของไฮโดรเจน เป็นนิวเคลยี สฮเี ลียมแล้วก่อให้เกดิ พลังงำนอย่ำง ๖. อธบิ ำยควำมสัมพนั ธร์ ะหว่ำงสี อณุ หภูมผิ วิ ตอ่ เนอื่ ง และสเปกตรมั ของดำวฤกษ์  ควำมสอ่ งสวำ่ งของดำวฤกษ์เปน็ พลงั งำนจำก ดำวฤกษ์ท่ปี ลดปล่อยออกมำในเวลำ ๑ วนิ ำทตี ่อ หน่วยพน้ื ท่ี ณ ตำแหน่งของผู้สังเกต แตเ่ น่ืองจำกตำ ของมนษุ ย์ไมต่ อบสนองต่อกำรเปลยี่ นแปลง ควำมสอ่ งสว่ำงท่ีมีค่ำน้อย ๆ จงึ กำหนดคำ่ กำรเปรยี บเทียบควำมส่องสว่ำงของดำวฤกษ์ด้วยค่ำ โชติมำตร ซึง่ เปน็ กำรแสดงระดับควำมสอ่ งสว่ำงของ ดำวฤกษ์ ณ ตำแหน่งของผสู้ ังเกต  สขี องดำวฤกษส์ ัมพันธก์ ับอุณหภมู ิผวิ และ สเปกตรมั ของดำวฤกษ์ ซงึ่ นักดำรำศำสตร์ใช้ สเปกตรัมในกำรจำแนกชนิดของดำวฤกษ์ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๗. อธบิ ำยลำดบั วิวฒั นำกำรท่ีสัมพันธก์ บั มวล  มวลของดำวฤกษ์ข้ึนอยู่กบั มวลของดำวฤกษ์ ต้ังต้น และวเิ ครำะหก์ ำรเปลี่ยนแปลงสมบตั ิ กอ่ นเกิด ดำวฤกษท์ ม่ี ีมวลมำกจะผลติ และใช้พลังงำน บำงประกำรของดำวฤกษ์ มำก จึงมีอำยสุ ัน้ กว่ำดำวฤกษ์ท่ีมมี วลนอ้ ย - ดำวฤกษ์มีกำรวิวัฒนำกำรท่ีแตกต่ำงกนั กำรวิวฒั นำกำรและจุดจบของดำวฤกษ์ขน้ึ อยู่กับมวล ตัง้ ต้นของดำวฤกษ์ ส่วนใหญ่เทยี บกับจำนวนเท่ำของ มวลดวงอำทติ ย์ ๘. อธบิ ำยกระบวนกำรเกดิ ระบบสรุ ิยะ และ  ระบบสุรยิ ะเกิดจำกกำรรวมตัวกนั ของกลุม่ ฝนุ่ และ กำรแบง่ เขตบรวิ ำรของดวงอำทิตย์ และ แกส๊ ท่ีเรียกวำ่ เนบิวลำสรุ ิยะ โดยฝนุ่ และแกส๊ ลักษณะของดำวเครำะหท์ ่เี อ้ือต่อกำรดำรงชวี ิต ประมำณร้อยละ ๙๙.๘ ของมวล ไดร้ วมตวั เปน็ ดวง อำทติ ย์ซ่ึงเป็นก้อนแกส๊ รอ้ น หรอื พลำสมำ สสำร สว่ นทเ่ี หลอื รวมตวั เปน็ ดำวเครำะห์และบรวิ ำรอนื่ ๆ ของดวงอำทติ ย์ ดังนัน้ จงึ แบ่งเขตบริวำรของ ดวงอำทิตย์ตำมลกั ษณะกำรเกดิ และองค์ประกอบ ได้แก่ ดำวเครำะห์ชนั้ ใน ดำวเครำะห์น้อย ดำวเครำะหช์ น้ั นอก และดงดำวหำง

๘๕ ช้ัน ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง  โลกเป็นดำวเครำะหใ์ นระบบสุริยะทีม่ สี ง่ิ มีชวี ิต เพรำะโคจรรอบดวงอำทิตย์ในระยะทำงทเี่ หมำะสม อยใู่ นเขตท่ีเอื้อต่อกำรมสี ง่ิ มชี ีวิต มีอุณหภมู ิเหมำะสม และสำมำรถเกดิ นำ้ ทั้ง ๓ สถำนะ ปัจจุบนั มีกำรค้นพบ ดำวเครำะหท์ ี่อยนู่ อกระบบสุริยะจำนวนมำก และมี ดำวเครำะหบ์ ำงดวงท่อี ยู่ในเขตทเี่ อื้อตอ่ กำรมสี ง่ิ มชี ีวติ คล้ำยโลก ๙. อธบิ ำยโครงสร้ำงของดวงอำทติ ย์ กำรเกิด  ดวงอำทิตย์มโี ครงสรำ้ งภำยในแบง่ เปน็ แก่น เขต ลมสรุ ิยะ พำยุสุริยะ และสบื ค้นข้อมูล กำรแผ่รังสี และเขตกำรพำควำมรอ้ น และมีช้ัน วเิ ครำะห์ นำเสนอปรำกฏกำรณ์หรือเหตุกำรณ์ บรรยำกำศอยเู่ หนือ เขตพำควำมร้อน ซ่ึงแบ่งเปน็ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ทเี่ กยี่ วข้องกบั ผลของลมสรุ ยิ ะ และพำยุสรุ ิยะที่ ๓ ช้นั คอื ช้ันโฟโตสเฟยี ร์ ชั้นโครโมสเฟยี ร์ และ มีตอ่ โลกรวมท้ังประเทศไทย คอโรนำ ในช้ันบรรยำกำศของดวงอำทิตย์มี ปรำกฏกำรณ์สำคัญ เชน่ จุดมืดดวงอำทติ ย์ กำรลุกจำ้ ที่ทำใหเ้ กดิ ลมสรุ ิยะ และพำยุสรุ ิยะ ซง่ึ สง่ ผลต่อโลก  ลมสุริยะ เกิดจำกกำรแพร่กระจำยของอนุภำคจำก ชนั้ คอโรนำออกส่อู วกำศตลอดเวลำ อนภุ ำคท่หี ลุด ออกสอู่ วกำศเป็นอนุภำคท่ีมปี ระจุ ลมสุริยะส่งผล ทำให้เกดิ หำงของดำวหำงทเี่ รืองแสงและชี้ไปทำง ทิศตรงกนั ขำ้ มกบั ดวงอำทติ ย์ และเกดิ ปรำกฏกำรณ์ แสงเหนือ แสงใต้  พำยสุ รุ ยิ ะ เกิดจำกกำรปลดปลอ่ ยอนภุ ำคมปี ระจุ พลงั งำนสงู จำนวนมหำศำล มักเกิดบ่อยคร้ังในชว่ งท่ีมี กำรลุกจำ้ และในช่วงที่มีจดุ มืดดวงอำทติ ยจ์ ำนวนมำก และในบำงคร้งั มีกำรพ่นกอ้ นมวลคอโรนำ พำยุสรุ ยิ ะ อำจส่งผลต่อสนำมแมเ่ หลก็ โลก จึงอำจรบกวนระบบ กำรสง่ กระแสไฟฟ้ำและกำรส่ือสำร รวมทง้ั อำจส่งผล ต่อวงจรอิเลก็ ทรอนิกส์ของดำวเทียม นอกจำกนน้ั มกั ทำให้เกดิ ปรำกฏกำรณ์แสงเหนอื แสงใตท้ ่สี งั เกต ได้ชดั เจน ๑๐. สบื ค้นข้อมลู อธบิ ำยกำรสำรวจอวกำศ  มนษุ ย์ใช้เทคโนโลยอี วกำศในกำรศึกษำเพ่อื ขยำย โดยใช้กลอ้ งโทรทรรศน์ในชว่ งควำมยำวคลน่ื ขอบเขตควำมรู้ดำ้ นวิทยำศำสตร์ และในขณะเดยี วกนั ต่ำง ๆ ดำวเทยี ม ยำนอวกำศ สถำนอี วกำศ

ช้ัน ตัวชี้วดั ๘๖ และนำเสนอแนวคิดกำรนำควำมรูท้ ำงด้ำน เทคโนโลยีอวกำศมำประยุกต์ใช้ สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ในชีวิตประจำวนั หรือในอนำคต มนษุ ยไ์ ด้นำเทคโนโลยอี วกำศมำใชป้ ระโยชน์ในด้ำน ตำ่ ง ๆ เชน่ วสั ดศุ ำสตร์ อำหำร กำรแพทย์  นกั วทิ ยำศำสตร์ไดส้ รำ้ งกล้องโทรทรรศน์เพ่ือศึกษำ แหลง่ กำเนดิ ของรังสีหรืออนภุ ำคในอวกำศ ในชว่ ง ควำมยำวคล่ืนต่ำง ๆ ไดแ้ ก่ คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ อินฟรำเรด แสง อัลตรำไวโอเลต และรังสเี อ็กซ์  ยำนอวกำศ คือ ยำนพำหนะที่นำมนุษย์ หรือ อปุ กรณ์ทำงดำรำศำสตรข์ ึ้นไปสูอ่ วกำศ เพือ่ สำรวจ หรือเดินทำงไปยังดำวดวงอืน่ สว่ นสถำนีอวกำศ คือ ห้องปฏิบตั ิกำรลอยฟ้ำ ท่ีโคจรรอบโลก ใชใ้ นกำรศึกษำ วจิ ยั ทำงวทิ ยำศำสตร์ในสำขำต่ำง ๆ ในสภำพไร้น้ำหนัก  ดำวเทียม คืออุปกรณท์ ่ีใชใ้ นกำรสำรวจวัตถทุ อ้ งฟ้ำ และนำมำประยกุ ตใ์ ช้ในดำ้ นต่ำง ๆ เชน่ กำรส่อื สำร โทรคมนำคม กำรระบุตำแหน่งบนโลก กำรสำรวจ ทรัพยำกรธรรมชำติ อุตนุ ิยมวิทยำ โดยดำวเทยี มมี หลำยประเภทสำมำรถแบง่ ได้ตำมเกณฑว์ งโคจรและ กำรใช้งำน อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ

๘๗ สาระที่ ๓ วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๒ เขา้ ใจองคป์ ระกอบ และความสัมพนั ธข์ องระบบโลก กระบวนการเปล่ียนแปลงภายในโลก และบนผวิ โลก ธรณีพบิ ัติภัย กระบวนการเปลยี่ นแปลงลมฟา้ อากาศและภูมิอากาศโลก รวมท้งั ผลต่อสงิ่ มชี ีวิตและสิ่งแวดล้อม ช้ัน ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๑ ๑. อธบิ ำยลกั ษณะภำยนอกของหนิ  หินทีอ่ ยู่ในธรรมชำตมิ ลี ักษณะภำยนอกเฉพำะตวั จำกลักษณะเฉพำะตัวที่สงั เกตได้ ทสี่ ังเกตได้ เช่น สี ลวดลำย นำ้ หนัก ควำมแข็ง และ เนือ้ หิน ป.๒ ๑. ระบสุ ่วนประกอบของดนิ และจำแนกชนิด  ดินประกอบด้วยเศษหิน ซำกพชื ซำกสัตวผ์ สมอยู่ ของดนิ โดยใชล้ กั ษณะเนอ้ื ดนิ และกำรจับตวั ในเนอื้ ดิน มีอำกำศและนำ้ แทรกอยู่ตำมชอ่ งวำ่ ง เปน็ เกณฑ์ ในเนือ้ ดิน ดินจำแนกเปน็ ดินรว่ น ดนิ เหนียว และ ๒. อธบิ ำยกำรใช้ประโยชน์จำกดิน จำกข้อมลู ดนิ ทรำย ตำมลกั ษณะเนื้อดนิ และกำรจบั ตัวของดิน ทีร่ วบรวมได้ ซง่ึ มผี ลต่อกำรอุ้มน้ำท่ีแตกตำ่ งกนั อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ  ดินแตล่ ะชนดิ นำไปใชป้ ระโยชน์ได้แตกตำ่ งกนั ตำมลักษณะและสมบัติของดิน ป.๓ ๑. ระบุส่วนประกอบของอำกำศ บรรยำย  อำกำศโดยท่ัวไปไม่มีสี ไมม่ ีกล่นิ ประกอบด้วย ควำมสำคญั ของอำกำศ และผลกระทบของ แก๊สไนโตรเจน แกส๊ ออกซิเจน แก๊ส มลพิษทำงอำกำศต่อส่ิงมชี วี ติ จำกขอ้ มลู คำรบ์ อนไดออกไซด์ แก๊สอ่นื ๆ รวมท้งั ไอนำ้ และ ทรี่ วบรวมได้ ฝุ่นละออง อำกำศมีควำมสำคัญตอ่ สิ่งมีชวี ิต หำก ๒. ตระหนกั ถงึ ควำมสำคัญของอำกำศ โดย ส่วนประกอบของอำกำศไม่เหมำะสม เนื่องจำกมแี กส๊ นำเสนอแนวทำงกำรปฏบิ ัติตนในกำรลด บำงชนดิ หรอื ฝุน่ ละอองในปริมำณมำก อำจเป็น กำรเกิดมลพิษทำงอำกำศ อันตรำยต่อส่งิ มีชีวติ ชนดิ ตำ่ ง ๆ จัดเปน็ มลพิษ ทำงอำกำศ  แนวทำงกำรปฏิบัตติ นเพื่อลดกำรปลอ่ ยมลพษิ ทำง อำกำศ เชน่ ใชพ้ ำหนะรว่ มกัน หรอื เลอื กใช้ เทคโนโลยีทีล่ ดมลพิษทำงอำกำศ ๓. อธบิ ำยกำรเกิดลมจำกหลักฐำนเชิงประจกั ษ์  ลม คืออำกำศทีเ่ คลือ่ นท่ี เกิดจำกควำมแตกต่ำงกนั ของอุณหภมู ิอำกำศบริเวณที่อยู่ใกล้กัน โดยอำกำศ บรเิ วณทมี่ ีอุณหภูมสิ งู จะลอยตัวสูงขึน้ และอำกำศ บริเวณที่มีอุณหภมู ิต่ำกวำ่ จะเคล่ือนเขำ้ ไปแทนท่ี ๔. บรรยำยประโยชนแ์ ละโทษของลม  ลมสำมำรถนำมำใชเ้ ปน็ แหล่งพลงั งำนทดแทน จำกข้อมลู ท่รี วบรวมได้ ในกำรผลิตไฟฟำ้ และนำไปใช้ประโยชน์

๘๘ ชน้ั ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ในกำรทำกิจกรรมต่ำง ๆ ของมนษุ ย์ หำกลมเคล่ือนทีด่ ว้ ยควำมเรว็ สงู อำจทำใหเ้ กดิ อันตรำยและควำมเสียหำยต่อชวี ติ และทรัพยส์ ินได้ ป.๔ - - ป.๕ ๑. เปรยี บเทยี บปรมิ ำณนำ้ ในแตล่ ะแหล่ง  โลกมีท้งั นำ้ จืดและน้ำเค็มซึ่งอยู่ในแหลง่ น้ำต่ำง ๆ และระบปุ ริมำณน้ำทมี่ นุษยส์ ำมำรถนำมำใช้ ทมี่ ที ั้งแหล่งน้ำผิวดนิ เชน่ ทะเล มหำสมทุ ร บึง ประโยชนไ์ ด้ จำกข้อมลู ทรี่ วบรวมได้ แม่น้ำ และแหล่งน้ำใตด้ ิน เช่น น้ำในดิน และน้ำ บำดำล น้ำท้งั หมดของโลกแบ่งเปน็ นำ้ เคม็ ประมำณ ร้อยละ ๙๗.๕ ซ่ึงอยใู่ นมหำสมทุ รและแหลง่ นำ้ อื่น ๆ และที่เหลอื อีกประมำณร้อยละ ๒.๕ เปน็ นำ้ จืด อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ถ้ำเรียงลำดบั ปริมำณน้ำจืดจำกมำกไปน้อยจะอยทู่ ่ี ธำรนำ้ แข็งและพดื น้ำแขง็ นำ้ ใตด้ นิ ชั้นดินเยอื กแข็ง คงตัวและนำ้ แขง็ ใต้ดิน ทะเลสำบ ควำมช้ืนในดิน ควำมช้ืนในบรรยำกำศ บึง แม่น้ำ และน้ำในส่งิ มชี ีวิต ๒. ตระหนักถึงคุณคำ่ ของน้ำโดยนำเสนอแนวทำง  น้ำจืดทีม่ นษุ ย์นำมำใช้ได้มีปรมิ ำณน้อยมำก กำรใช้นำ้ อยำ่ งประหยัดและกำรอนุรักษน์ ้ำ จงึ ควรใชน้ ้ำอย่ำงประหยดั และรว่ มกันอนรุ ักษน์ ้ำ ๓. สร้ำงแบบจำลองทอี่ ธบิ ำยกำรหมุนเวียน  วฏั จกั รน้ำ เป็นกำรหมุนเวยี นของนำ้ ทม่ี แี บบรูป ของน้ำในวฏั จักรน้ำ ซำ้ เดิม และต่อเน่ืองระหวำ่ งน้ำในบรรยำกำศ น้ำผิวดิน และน้ำใตด้ ิน โดยพฤติกรรมกำรดำรงชีวิต ของพืชและสตั ว์ส่งผลตอ่ วัฏจกั รนำ้ ๔. เปรียบเทียบกระบวนกำรเกิดเมฆ หมอก  ไอนำ้ ในอำกำศจะควบแน่นเป็นละอองน้ำเลก็ ๆ น้ำค้ำง และนำ้ ค้ำงแข็ง จำกแบบจำลอง โดยมีละอองลอย เชน่ เกลือ ฝนุ่ ละออง เกสรดอกไม้ เปน็ อนุภำคแกนกลำง เม่ือละอองน้ำจำนวนมำกเกำะ กลุ่มรวมกนั ลอยอยู่สูงจำกพนื้ ดินมำก เรยี กวำ่ เมฆ แต่ละอองน้ำท่ีเกำะกลุ่มรวมกันอยู่ใกล้พืน้ ดนิ เรียกว่ำ หมอก ส่วนไอนำ้ ที่ควบแน่นเป็นละอองน้ำเกำะอยบู่ น พ้ืนผิววตั ถุใกล้พนื้ ดนิ เรียกวำ่ น้ำคำ้ ง ถำ้ อุณหภมู ิ ใกลพ้ ้นื ดนิ ต่ำกว่ำจุดเยือกแข็ง นำ้ คำ้ งก็จะกลำยเป็น นำ้ คำ้ งแข็ง ๕. เปรียบเทยี บกระบวนกำรเกดิ ฝน หมิ ะ และ  ฝน หิมะ ลกู เหบ็ เปน็ หยำดนำ้ ฟ้ำซึ่งเป็นน้ำทม่ี ี ลกู เห็บ จำกข้อมลู ท่รี วบรวมได้ สถำนะต่ำง ๆ ที่ตกจำกฟ้ำถึงพน้ื ดนิ ฝน เกดิ จำก ละอองน้ำในเมฆทรี่ วมตัวกันจนอำกำศไม่สำมำรถ

๘๙ ช้นั ตวั ชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง พยุงไว้ได้จึงตกลงมำ หิมะเกดิ จำกไอน้ำในอำกำศ ป.๖ ๑. เปรยี บเทียบกระบวนกำรเกิดหนิ อัคนี ระเหิดกลับเปน็ ผลึกน้ำแข็ง รวมตวั กันจนมีนำ้ หนัก หนิ ตะกอน และหินแปรและอธบิ ำยวัฏจักรหนิ มำกขน้ึ จนเกนิ กว่ำอำกำศจะพยงุ ไว้ จงึ ตกลงมำ จำกแบบจำลอง ลกู เห็บเกดิ จำกหยดนำ้ ทเี่ ปลย่ี นสถำนะเปน็ นำ้ แข็ง อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พแล้วถกู พำยุพัดวนซ้ำไปซ้ำมำในเมฆฝนฟำ้ คะนองท่ีมี ขนำดใหญ่และอยู่ในระดับสงู จนเป็นกอ้ นน้ำแขง็ ขนำดใหญข่ ้ึน แลว้ ตกลงมำ  หนิ เป็นวัสดแุ ขง็ เกดิ ขึ้นเองตำมธรรมชำติ ประกอบ ด้วยแร่ตั้งแตห่ น่ึงชนิดข้ึนไป สำมำรถ จำแนกหินตำมกระบวนกำรเกดิ ไดเ้ ป็น ๓ ประเภท ได้แก่ หนิ อัคนี หนิ ตะกอน และหินแปร  หินอคั นเี กดิ จำกกำรเย็นตัวของแมกมำ เนือ้ หิน มลี กั ษณะเป็นผลกึ ท้ังผลึกขนำดใหญ่และขนำดเลก็ บำงชนิดอำจเปน็ เน้ือแกว้ หรือมีรูพรุน  หนิ ตะกอน เกดิ จำกกำรทบั ถมของตะกอนเม่ือถูก แรงกดทับและมีสำรเช่ือมประสำนจึงเกดิ เป็นหนิ เนือ้ หนิ กลมุ่ น้ีสว่ นใหญ่มลี ักษณะเปน็ เม็ดตะกอน มที งั้ เนื้อหยำบและเนื้อละเอียด บำงชนดิ เป็นเนอ้ื ผลกึ ทีย่ ดึ เกำะกนั เกดิ จำกกำรตกผลึกหรอื ตกตะกอนจำก น้ำโดยเฉพำะน้ำทะเล บำงชนิดมีลกั ษณะเปน็ ชนั้ ๆ จงึ เรยี กอีกช่ือวำ่ หินชั้น  หินแปร เกิดจำกกำรแปรสภำพของหนิ เดมิ ซ่ึงอำจ เป็นหนิ อคั นี หนิ ตะกอน หรอื หินแปร โดยกำรกระทำ ของควำมรอ้ น ควำมดนั และปฏิกริ ยิ ำเคมี เนื้อหิน ของหนิ แปรบำงชนดิ ผลกึ ของแรเ่ รียงตัวขนำนกนั เป็นแถบ บำงชนิดแซะออกเป็นแผน่ ได้ บำงชนิด เป็นเนื้อผลึกที่มคี วำมแข็งมำก  หินในธรรมชำตทิ ง้ั ๓ ประเภท มีกำรเปลย่ี นแปลง จำกประเภทหนงึ่ ไปเป็นอกี ประเภทหนึ่ง หรอื ประเภทเดิมได้ โดยมแี บบรปู กำรเปลี่ยนแปลงคงท่ี และตอ่ เนื่องเป็นวฏั จักร

๙๐ ช้ัน ตวั ชีว้ ดั อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๒. บรรยำยและยกตวั อย่ำงกำรใช้ประโยชน์ ของหินและแร่ในชีวิตประจำวันจำกข้อมูล  หนิ และแร่แต่ละชนิดมลี กั ษณะและสมบัติแตกตำ่ ง ทีร่ วบรวมได้ กัน มนุษย์ใชป้ ระโยชนจ์ ำกแร่ในชวี ติ ประจำวนั ๓. สร้ำงแบบจำลองท่อี ธิบำยกำรเกิด ในลักษณะตำ่ ง ๆ เชน่ นำแรม่ ำทำเคร่ืองสำอำง ซำกดกึ ดำบรรพ์และคำดคะเนสภำพแวดล้อม ยำสฟี ัน เครอื่ งประดบั อุปกรณท์ ำงกำรแพทย์ และ ในอดตี ของซำกดึกดำบรรพ์ นำหินมำใชใ้ นงำนกอ่ สรำ้ งต่ำง ๆ เป็นต้น ๔. เปรยี บเทียบกำรเกิดลมบก ลมทะเล และ  ซำกดึกดำบรรพเ์ กดิ จำกกำรทับถม หรือกำร มรสมุ รวมท้ังอธบิ ำยผลที่มีต่อสิง่ มชี ีวติ และ ประทับรอยของส่งิ มชี วี ติ ในอดตี จนเกิดเป็น สิ่งแวดลอ้ ม จำกแบบจำลอง โครงสรำ้ งของซำกหรือรอ่ งรอยของส่งิ มีชีวติ ทีป่ รำกฏ อย่ใู นหิน ในประเทศไทยพบซำกดกึ ดำบรรพ์ ๕. อธิบำยผลของมรสมุ ต่อกำรเกดิ ฤดูของ ทหี่ ลำกหลำย เชน่ พืช ปะกำรัง หอย ปลำ เต่ำ ประเทศไทย จำกข้อมลู ที่รวบรวมได้ ไดโนเสำร์ และรอยตีนสตั ว์  ซำกดึกดำบรรพ์สำมำรถใช้เป็นหลักฐำนหนง่ึ ทช่ี ่วย อธบิ ำยสภำพแวดล้อมของพน้ื ทีใ่ นอดตี ขณะเกิด สิ่งมีชวี ติ นัน้ เชน่ หำกพบซำกดึกดำบรรพ์ของ หอยนำ้ จืด สภำพแวดล้อมบริเวณน้นั อำจเคยเปน็ แหล่งน้ำจืดมำก่อน และหำกพบซำกดกึ ดำบรรพข์ อง พืช สภำพแวดล้อมบริเวณน้ันอำจเคยเปน็ ปำ่ มำก่อน นอกจำกนี้ซำกดึกดำบรรพย์ งั สำมำรถใช้ระบุอำยุของ หิน และเปน็ ข้อมูลในกำรศึกษำวิวัฒนำกำรของ สิ่งมชี ีวิต  ลมบก ลมทะเล และมรสุม เกดิ จำกพ้นื ดนิ และ พ้นื น้ำร้อนและเย็นไม่เท่ำกันทำให้อณุ หภมู ิอำกำศ เหนือพ้นื ดนิ และพืน้ นำ้ แตกต่ำงกัน จงึ เกิด กำรเคลอ่ื นท่ีของอำกำศจำกบรเิ วณทม่ี ีอุณหภมู ิต่ำ ไปยังบริเวณท่ีมอี ุณหภมู ิสูง  ลมบกและลมทะเลเปน็ ลมประจำถน่ิ ท่ีพบบริเวณ ชำยฝง่ั โดยลมบกเกิดในเวลำกลำงคนื ทำใหม้ ีลมพดั จำกชำยฝงั่ ไปสู่ทะเล ส่วนลมทะเลเกิดในเวลำกลำงวนั ทำใหม้ ลี มพดั จำกทะเลเขำ้ สูช่ ำยฝง่ั  มรสมุ เปน็ ลมประจำฤดูเกดิ บริเวณเขตรอ้ นของโลก ซ่ึงเปน็ บริเวณกว้ำงระดับภูมภิ ำค ประเทศไทยไดร้ ับผล จำกมรสุมตะวนั ออกเฉยี งเหนือในชว่ งประมำณ

๙๑ ช้นั ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลำงเดือนตลุ ำคมจนถึงเดือนกุมภำพันธ์ทำให้เกดิ ฤดหู นำว และไดร้ บั ผลจำกมรสุมตะวันตกเฉยี งใต้ ในช่วงประมำณกลำงเดือนพฤษภำคมจนถึงกลำงเดือน ตุลำคมทำให้เกดิ ฤดูฝน สว่ นชว่ งประมำณกลำงเดือน กมุ ภำพนั ธจ์ นถึงกลำงเดือนพฤษภำคมเปน็ ชว่ งเปลย่ี น มรสมุ และประเทศไทยอยใู่ กล้เสน้ ศูนยส์ ตู ร แสงอำทิตย์เกือบต้ังตรงและต้ังตรงประเทศไทย ในเวลำเทย่ี งวนั ทำให้ไดร้ ับควำมรอ้ นจำกดวงอำทิตย์ อยำ่ งเตม็ ทอี่ ำกำศจงึ รอ้ นอบอ้ำวทำให้เกดิ ฤดรู ้อน ๖. บรรยำยลักษณะและผลกระทบของ น้ำทว่ ม  นำ้ ทว่ ม กำรกัดเซำะชำยฝง่ั ดนิ ถลม่ แผ่นดนิ ไหว อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ กำรกดั เซำะชำยฝั่ง ดนิ ถลม่ แผ่นดินไหว สึนำมิ และสนึ ำมิ มผี ลกระทบต่อชีวติ และส่งิ แวดล้อม ๗. ตระหนักถึงผลกระทบของภัยธรรมชำตแิ ละ แตกตำ่ งกนั ธรณพี ิบัตภิ ยั โดยนำเสนอแนวทำงในกำรเฝำ้  มนษุ ยค์ วรเรียนรู้วิธีปฏบิ ตั ิตนใหป้ ลอดภัย เช่น ระวังและปฏบิ ตั ติ นใหป้ ลอดภัยจำกภัย ติดตำมขำ่ วสำรอย่ำงสมำ่ เสมอ เตรียมถงุ ยังชีพ ธรรมชำตแิ ละธรณพี ิบตั ิภยั ท่ีอำจเกิดในท้องถิ่น ใหพ้ รอ้ มใชต้ ลอดเวลำ และปฏิบตั ิตำมคำสัง่ ของ ผู้ปกครองและเจำ้ หนำ้ ทอ่ี ยำ่ งเคร่งครดั เมื่อเกดิ ภัย ทำงธรรมชำติและธรณีพบิ ตั ิภัย ๘. สรำ้ งแบบจำลองทอ่ี ธบิ ำยกำรเกดิ  ปรำกฏกำรณ์เรือนกระจกเกดิ จำกแกส๊ เรือนกระจก ปรำกฏกำรณเ์ รือนกระจกและผลของ ในช้ันบรรยำกำศของโลก กักเก็บควำมร้อนแลว้ ปรำกฏกำรณ์เรือนกระจกต่อส่ิงมีชวี ติ คำยควำมร้อนบำงส่วนกลับสู่ผวิ โลก ทำใหอ้ ำกำศ ๙. ตระหนกั ถงึ ผลกระทบของปรำกฏกำรณ์ บนโลกมอี ณุ หภูมเิ หมำะสมต่อกำรดำรงชีวิต เรอื นกระจกโดยนำเสนอแนวทำงกำรปฏิบตั ิตน  หำกปรำกฏกำรณ์เรือนกระจกรุนแรงมำกข้นึ เพอื่ ลดกิจกรรมท่กี ่อให้เกิดแก๊สเรอื นกระจก จะมีผลต่อกำรเปลย่ี นแปลงภูมิอำกำศโลก มนุษย์ จงึ ควรร่วมกันลดกิจกรรมท่กี ่อให้เกิดแกส๊ เรือนกระจก ม.๑ ๑. สรำ้ งแบบจำลองท่ีอธบิ ำยกำรแบ่งช้ัน  โลกมบี รรยำกำศห่อหมุ้ นักวิทยำศำสตรใ์ ชส้ มบตั ิ บรรยำกำศ และเปรยี บเทยี บประโยชน์ และองคป์ ระกอบของบรรยำกำศในแบง่ บรรยำกำศ ของบรรยำกำศแต่ละชัน้ ของโลกออกเป็นชน้ั ซึง่ แบง่ ไดห้ ลำยรปู แบบตำมเกณฑ์ ทแ่ี ตกต่ำงกัน โดยท่ัวไปนักวิทยำศำสตรใ์ ช้เกณฑ์ กำรเปลย่ี นแปลงอุณหภมู ิตำมควำมสงู แบ่งบรรยำกำศ ไดเ้ ปน็ ๕ ช้นั ไดแ้ ก่ ช้นั โทรโพสเฟียร์, ชั้นสตรำโตสเฟยี ร์, ชั้นมีโซสเฟยี ร์, ชน้ั เทอรโ์ มสเฟียร์ และชัน้ เอกโซสเฟยี ร์

๙๒ ช้ัน ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง  บรรยำกำศแตล่ ะชน้ั มีประโยชนต์ ่อสิง่ มีชีวติ แตกต่ำงกนั โดยช้ันโทรโพสเฟียรม์ ีปรำกฏกำรณ์ ลมฟำ้ อำกำศทีส่ ำคัญตอ่ กำรดำรงชีวิตของส่ิงมีชีวิต ช้ันสตรำโตสเฟยี รช์ ว่ ยดูดกลืนรงั สอี ัลตรำไวโอเลตจำก ดวงอำทติ ย์ ไมใ่ หม้ ำยังโลกมำกเกินไป ช้นั มีโซสเฟยี ร์ ชว่ ยชะลอวัตถนุ อกโลกทผี่ ่ำนเข้ำมำ ให้เกิดกำรเผำไหม้ กลำยเป็นวตั ถุขนำดเลก็ ลดโอกำสทีจ่ ะทำควำมเสียหำย แก่สิง่ มชี วิ ตบนโลก ช้ันเทอร์โมสเฟยี รส์ ำมำรถสะท้อน คลนื่ วิทยุ และช้นั เอกโซสเฟียรเ์ หมำะสำหรับกำรโคจร ของดำวเทียมรอบโลกในระดับตำ่ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ๒. อธิบำยปจั จัยทมี่ ผี ลต่อกำรเปล่ียนแปลง  ลมฟำ้ อำกำศ เป็นสภำวะของอำกำศในเวลำหนงึ่ องคป์ ระกอบของลมฟ้ำอำกำศ จำกข้อมูล ของพื้นที่หนง่ึ ทม่ี ีกำรเปลี่ยนแปลงตลอดเวลำขนึ้ อยู่กบั ท่ีรวบรวมได้ องค์ประกอบลมฟำ้ อำกำศ ได้แก่ อุณหภูมิอำกำศ ควำมกดอำกำศ ลม ควำมชืน้ เมฆ และหยำดน้ำฟ้ำ ๓. เปรียบเทียบกระบวนกำรเกิดพำยุ โดยหยำดนำ้ ฟ้ำที่พบบ่อยในประเทศไทยได้แก่ ฝน ฝนฟ้ำคะนองและพำยหุ มนุ เขตรอ้ น และผลท่ีมี องค์ประกอบลมฟ้ำอำกำศเปลีย่ นแปลงตลอดเวลำ ต่อสง่ิ มีชีวิตและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งนำเสนอ ขนึ้ อย่กู ับปจั จัยต่ำง ๆ เช่น ปรมิ ำณรังสีจำก แนวทำงกำรปฏิบตั ิตนใหเ้ หมำะสมและ ดวงอำทิตยแ์ ละลกั ษณะพ้นื ผิวโลกส่งผลตอ่ อุณหภมู ิ ปลอดภยั อำกำศ อุณหภูมอิ ำกำศและปริมำณไอนำ้ ส่งผลตอ่ ควำมชนื้ ควำมกดอำกำศส่งผลต่อลม ควำมชื้นและลม ส่งผลตอ่ เมฆ  พำยุฝนฟำ้ คะนอง เกิดจำกกำรทอ่ี ำกำศที่มี อุณหภมู ิและควำมช้นื สงู เคล่ือนทขี่ นึ้ สูร่ ะดบั ควำมสูง ทม่ี ีอุณหภูมติ ำ่ ลง จนกระทง่ั ไอน้ำในอำกำศเกิด กำรควบแนน่ เป็นละอองนำ้ และเกดิ ต่อเน่ืองเปน็ เมฆ ขนำดใหญ่ พำยฝุ นฟ้ำคะนองทำใหเ้ กดิ ฝนตกหนัก ลม กรรโชกแรง ฟำ้ แลบฟ้ำผำ่ ซ่งึ อำจก่อใหเ้ กิดอันตรำย ตอ่ ชีวติ และทรัพย์สนิ  พำยหุ มุนเขตร้อนเกดิ เหนือมหำสมุทร หรอื ทะเล ท่นี ำ้ มอี ุณหภูมสิ ูงตัง้ แต่ ๒๖-๒๗ องศำเซลเซียส ขน้ึ ไป ทำใหอ้ ำกำศทม่ี ีอุณหภมู ิและควำมชื้นสงู บรเิ วณนนั้ เคล่อื นท่สี ูงข้นึ อย่ำงรวดเร็วเป็นบรเิ วณกวำ้ ง อำกำศ

๙๓ ช้ัน ตัวช้วี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง จำกบริเวณอน่ื เคลื่อนเขำ้ มำแทนที่และพดั เวียนเขำ้ หำ ศูนย์กลำงของพำยุ ยิง่ ใกล้ศนู ยก์ ลำง อำกำศจะ เคล่อื นท่ีพัดเวียนเกือบเปน็ วงกลมและมอี ัตรำเร็วสงู ทส่ี ดุ พำยุหมุนเขตร้อนทำใหเ้ กดิ คล่ืนพำยุซดั ฝัง่ ฝนตก หนัก ซึ่งอำจก่อให้เกิดอนั ตรำยตอ่ ชีวติ และทรัพย์สนิ จงึ ควรปฏติ นใหป้ ลอดภัยโดยตดิ ตำมข่ำวสำร กำรพยำกรณ์อำกำศ และไม่เข้ำไปอยใู่ นพ้ืนท่ีทเี่ สยี่ งภัย ๔. อธิบำยกำรพยำกรณ์อำกำศ และพยำกรณ์  กำรพยำกรณ์อำกำศเปน็ กำรคำดกำรณล์ มฟำ้ อำกำศอยำ่ งง่ำยจำกข้อมูลที่รวบรวมได้ อำกำศท่ีจะเกดิ ขนึ้ ในอนำคตโดยมีกำรตรวจวัด องค์ประกอบลมฟ้ำอำกำศ กำรส่ือสำรแลกเปลี่ยน อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ขอ้ มลู องค์ประกอบลมฟำ้ อำกำศระหวำ่ งพืน้ ที่ กำรวเิ ครำะห์ข้อมูลและสรำ้ งคำพยำกรณ์อำกำศ ๕. ตระหนักถึงคุณคำ่ ของกำรพยำกรณ์อำกำศ  กำรพยำกรณ์อำกำศสำมำรถนำมำใชป้ ระโยชน์ โดยนำเสนอแนวทำงกำรปฏิบตั ิตนและกำรใช้ ด้ำนต่ำง ๆ เช่น กำรใช้ชวี ติ ประจำวัน กำรคมนำคม ประโยชนจ์ ำกคำพยำกรณอ์ ำกำศ กำรเกษตร กำรป้องกนั และเฝำ้ ระวงั ภัยพบิ ตั ิ ทำงธรรมชำติ ๖. อธบิ ำยสถำนกำรณ์และผลกระทบ  ภมู อิ ำกำศโลกเกดิ กำรเปลี่ยนแปลงอยำ่ งต่อเน่ือง กำรเปล่ียนแปลงภมู อิ ำกำศโลกจำกข้อมลู โดยปัจจัยทำงธรรมชำติ แตป่ ัจจุบนั กำรเปลย่ี นแปลง ทีร่ วบรวมได้ ภมู ิอำกำศเกิดขึน้ อย่ำงรวดเร็วเนื่องจำกกจิ กรรมของ มนุษย์ในกำรปลดปลอ่ ยแก๊สเรือนกระจกสูบ่ รรยำกำศ แกส๊ เรือนกระจกที่ถูกปลดปล่อยมำกท่สี ุด ได้แก่ แก๊ส คำรบ์ อนไดออกไซด์ซ่ึงหมนุ เวียนอยูใ่ นวฏั จกั ร คำร์บอน ๗. ตระหนักถงึ ผลกระทบของกำรเปล่ยี นแปลง  กำรเปล่ยี นแปลงภมู ิอำกำศโลกกอ่ ให้เกดิ ผลกระทบ ภมู ิอำกำศโลกโดยนำเสนอแนวทำงกำรปฏบิ ตั ิ ตอ่ สง่ิ มีชวี ิตและส่งิ แวดล้อม เชน่ ตนภำยใต้กำรเปลี่ยนแปลงภูมิอำกำศโลก กำรหลอมเหลวของน้ำแข็งขัว้ โลก กำรเพ่ิมขน้ึ ของ ระดบั ทะเล กำรเปลยี่ นแปลงวัฏจักรน้ำ กำรเกิดโรค อุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ และกำรเกดิ ภยั พิบตั ิ ทำงธรรมชำตทิ ่ีรนุ แรงข้นึ มนุษยจ์ งึ ควรเรยี นรแู้ นวทำง กำรปฏิบตั ติ นภำยใตส้ ถำนกำรณ์ดังกลำ่ ว ทั้งแนวทำง กำรปฏบิ ัติตนใหเ้ หมำะสมและแนวทำงกำรลดกิจกรรม ท่สี ง่ ผลตอ่ กำรเปลี่ยนแปลงภมู อิ ำกำศโลก

๙๔ ชั้น ตวั ชวี้ ัด อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.๒ ๑. เปรียบเทยี บกระบวนกำรเกิด สมบตั ิ และ  เช้ือเพลิงซำกดึกดำบรรพ์ เกดิ จำกกำรเปล่ียนแปลง กำรใชป้ ระโยชน์ รวมท้งั อธบิ ำยผลกระทบจำก สภำพของซำกส่ิงมีชวี ติ ในอดีตโดยกระบวนกำร กำรใชเ้ ช้อื เพลิงซำกดึกดำบรรพ์ จำกข้อมูล ทำงเคมีและธรณีวทิ ยำ เชือ้ เพลิงซำกดกึ ดำบรรพ์ ไดแ้ ก่ ทร่ี วบรวมได้ ถ่ำนหนิ หนิ นำ้ มนั และปิโตรเลยี ม ซึ่งเกิดจำก วตั ถตุ น้ กำเนิด และสภำพแวดล้อมกำรเกิดทแี่ ตกต่ำงกนั ๒. แสดงควำมตระหนกั ถงึ ผลจำกกำรใช้ ทำใหไ้ ดช้ นดิ ของเช้ือเพลงิ ซำกดึกดำบรรพ์ที่มลี กั ษณะ เชอ้ื เพลิงซำกดึกดำบรรพ์โดยนำเสนอแนวทำง สมบัติ และกำรนำไปใช้ประโยชน์แตกตำ่ งกัน สำหรบั กำรใชเ้ ชอ้ื เพลงิ ซำกดึกดำบรรพ์ ปโิ ตรเลยี มจะตอ้ งมีกำรผำ่ นกำรกลั่นลำดับสว่ น กอ่ นกำรใชง้ ำนเพือ่ ให้ได้ผลิตภณั ฑท์ ่ีเหมำะสมต่อ ๓. เปรยี บเทยี บข้อดแี ละข้อจำกดั ของพลงั งำน กำรใช้ประโยชน์ เชอื้ เพลงิ ซำกดกึ ดำบรรพ์ ทดแทนแตล่ ะประเภทจำกกำรรวบรวมขอ้ มลู เป็นทรัพยำกรทใ่ี ชแ้ ล้วหมดไป เนอ่ื งจำกต้องใช้ และนำเสนอแนวทำงกำรใช้พลงั งำนทดแทน เวลำนำนหลำยล้ำนปีจงึ จะเกิดข้ึนใหม่ได้ ทเี่ หมำะสมในท้องถนิ่  กำรเผำไหม้เชอ้ื เพลิงซำกดึกดำบรรพ์ในกจิ กรรม ต่ำง ๆ ของมนษุ ย์จะทำใหเ้ กดิ มลพิษทำงอำกำศ ซ่งึ ส่งผลกระทบต่อส่งิ มีชีวิตและส่งิ แวดล้อม นอกจำกนแ้ี กส๊ บำงชนดิ ทีเ่ กดิ จำกกำรเผำไหมเ้ ชื้อเพลิง ซำกดกึ ดำบรรพ์ เช่น แก๊สคำรบ์ อนไดออกไซด์ และ ไนตรัสออกไซด์ ยงั เป็นแกส๊ เรือนกระจกซ่ึงส่งผลให้เกดิ กำรเปล่ยี นแปลงภมู ิอำกำศของโลกรุนแรงขึ้น ดังนัน้ จึงควรใช้เชอื้ เพลงิ ซำกดึกดำบรรพ์ โดยคำนึงถึงผล ทีเ่ กิดข้ึนตอ่ สิ่งมชี วี ติ และสิง่ แวดลอ้ ม เช่น เลือกใช้ พลงั งำนทดแทน หรือเลือกใชเ้ ทคโนโลยีท่ลี ดกำรใช้ เชอ้ื เพลงิ ซำกดึกดำบรรพ์  เช้ือเพลงิ ซำกดึกดำบรรพเ์ ป็นแหลง่ พลังงำนทีส่ ำคัญ ในกจิ กรรมต่ำง ๆ ของมนุษย์ เนอื่ งจำกเชื้อเพลงิ ซำกดกึ ดำบรรพ์มปี ริมำณจำกัดและมักเพ่ิมมลภำวะ ในบรรยำกำศมำกขึ้น จึงมกี ำรใช้พลังงำนทดแทน มำกข้นึ เช่น พลังงำนแสงอำทิตย์ พลังงำนลม พลงั งำนนำ้ พลังงำนชีวมวล พลงั งำนคลน่ื พลงั งำน ควำมร้อนใต้พิภพ พลงั งำนไฮโดรเจน ซ่งึ พลังงำน ทดแทนแตล่ ะชนดิ จะมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่ำงกัน

๙๕ ช้ัน ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๔. สร้ำงแบบจำลองที่อธิบำยโครงสร้ำงภำยใน  โครงสรำ้ งภำยในโลกแบ่งออกเป็นช้นั ตำม โลกตำมองค์ประกอบทำงเคมี จำกขอ้ มลู องค์ประกอบทำงเคมี ไดแ้ ก่ เปลือกโลก ซง่ึ อยนู่ อกสดุ ท่ีรวบรวมได้ ประกอบดว้ ยสำรประกอบของซลิ กิ อน และ อะลมู ิเนยี มเปน็ หลัก เนื้อโลกคือส่วนที่อยู่ใต้เปลอื กโลก ลงไปจนถึงแก่นโลก มีองค์ประกอบหลกั เป็น สำรประกอบของซิลกิ อน แมกนเี ซียม และเหลก็ และ แกน่ โลกคือสว่ นท่อี ยูใ่ จกลำงของโลก มอี งค์ประกอบ หลักเป็นเหล็กและนิกเกลิ ซงึ่ แตล่ ะชั้นมลี กั ษณะ แตกต่ำงกัน ๕. อธิบำยกระบวนกำรผพุ ังอย่กู บั ท่ี กำรกรอ่ น  กำรผุพังอยูก่ บั ที่ กำรกร่อน และกำรสะสมตวั ของ และกำรสะสมตวั ของตะกอนจำกแบบจำลอง ตะกอน เปน็ กระบวนกำรเปลี่ยนแปลงทำงธรณวี ทิ ยำ รวมทั้งยกตัวอย่ำงผลของกระบวนกำรดงั กล่ำว ทท่ี ำใหผ้ ิวโลกเกดิ กำรเปล่ียนแปลงเปน็ ภูมิลกั ษณ์ ทีท่ ำให้ผวิ โลกเกิดกำรเปลีย่ นแปลง แบบต่ำง ๆ โดยมีปัจจยั สำคัญคือน้ำ ลม ธำรน้ำแข็ง อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ แรงโนม้ ถ่วงของโลก สิ่งมชี วี ติ สภำพอำกำศ และ ปฏิกิรยิ ำเคมี  กำรผพุ งั อยู่กบั ที่ คือ กำรที่หินผพุ งั ทำลำยลงด้วย กระบวนกำรต่ำง ๆ ได้แก่ ลมฟ้ำอำกำศกบั น้ำฝน และรวมท้ังกำรกระทำของต้นไมก้ ับแบคทีเรยี ตลอดจนกำรแตกตัวทำงกลศำสตรซ์ ่ึงมีกำรเพิม่ และ ลดอณุ หภมู ิสลับกนั เป็นตน้  กำรกร่อน คอื กระบวนกำรหน่งึ หรอื หลำย กระบวนกำรที่ทำใหส้ ำรเปลือกโลกหลุดไป ละลำยไป หรือกรอ่ นไปโดยมีตวั นำพำธรรมชำติ คือ ลม น้ำ และธำรน้ำแข็ง ร่วมกับปัจจัยอน่ื ๆ ได้แก่ ลมฟ้ำ อำกำศ สำรละลำย กำรครูดถู กำรนำพำ ทั้งนี้ ไม่รวมถึงกำรพงั ทลำยเป็นกลมุ่ ก้อน เช่น แผ่นดนิ ถล่ม ภเู ขำไฟระเบิด  กำรสะสมตวั ของตะกอน คือ กำรสะสมตวั ของวตั ถุ จำกกำรนำพำของน้ำ ลม หรือธำรนำ้ แขง็ ๖. อธิบำยลกั ษณะของชน้ั หนำ้ ตัดดนิ และ  ดินเกิดจำกหินทีผ่ ุพงั ตำมธรรมชำตผิ สมคลกุ เคลำ้ กบั กระบวนกำรเกิดดิน จำกแบบจำลอง รวมท้งั อนิ ทรียวตั ถุท่ีได้จำกกำรเนำ่ เปือ่ ยของซำกพชื ซำกสตั ว์ ทับถมเปน็ ชน้ั ๆ บนผวิ โลก ช้ันดินแบง่

๙๖ ช้ัน ตวั ชวี้ ดั อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ระบุปัจจัยท่ีทำให้ดินมลี กั ษณะและสมบัติ ออกเป็นหลำยช้ัน ขนำนหรือเกือบขนำนไปกบั แตกตำ่ งกัน ผวิ หน้ำดนิ แต่ละชน้ั มลี กั ษณะแตกตำ่ งกนั เนื่องจำก สมบตั ิทำงกำยภำพ เคมี ชวี ภำพ และลักษณะอนื่ ๆ ๗. ตรวจวัดสมบตั บิ ำงประกำรของดิน โดยใช้ เชน่ สี โครงสร้ำง เน้ือดนิ กำรยึดตัว ควำมเปน็ กรด- เครือ่ งมือท่ีเหมำะสมและนำเสนอแนวทำง เบส สำมำรถสงั เกตไดจ้ ำกกำรสำรวจภำคสนำม กำรใช้ประโยชนด์ นิ จำกข้อมูลสมบตั ิของดิน กำรเรยี กช่อื ช้ันดินหลกั จะใชอ้ ักษรภำษำองั กฤษ ตวั ใหญ่ ได้แก่ O, A, E, B, C, R ๘. อธิบำยปัจจัยและกระบวนกำรเกดิ แหล่งน้ำ ผิวดินและแหล่งน้ำใตด้ นิ จำกแบบจำลอง  ช้ันหนำ้ ตดั ดนิ เป็นช้นั ดินท่มี ลี กั ษณะปรำกฏให้เหน็ เรียงลำดับเป็นชั้นจำกชัน้ บนสดุ ถึงชน้ั ลำ่ งสดุ  ปจั จยั ทที่ ำใหด้ ินแต่ละท้องถิ่นมีลักษณะและสมบตั ิ แตกตำ่ งกัน ได้แก่ วตั ถุต้นกำเนดิ ดนิ ภมู ิอำกำศ ส่ิงมชี ีวติ ในดิน สภำพภูมปิ ระเทศ และระยะเวลำ ในกำรเกิดดนิ  สมบัติบำงประกำรของดนิ เช่น เนอ้ื ดิน ควำมช้นื ดิน คำ่ ควำมเป็นกรดเบส ธำตุอำหำรในดิน สำมำรถ นำไปใชใ้ นกำรตัดสินใจถึงแนวทำงกำรใชป้ ระโยชน์ ท่ดี นิ โดยอำจนำไปใชป้ ระโยชน์ ทำงกำรเกษตร หรอื อ่ืน ๆ ซ่งึ ดนิ ที่ไม่เหมำะสมตอ่ กำรทำกำรเกษตร เช่น ดนิ จดื ดนิ เปรี้ยว ดินเค็ม และดนิ ดำน อำจเกิดจำก สภำพดินตำมธรรมชำตหิ รือกำรใชป้ ระโยชน์จะต้อง ปรับปรงุ ให้มีสภำพเหมำะสมเพ่อื นำไปใช้ประโยชน์  แหลง่ น้ำผวิ ดนิ เกิดจำกนำ้ ฝนทต่ี กลงบนพนื้ โลก ไหลจำกทสี่ งู ลงสู่ทีต่ ่ำดว้ ยแรงโนม้ ถ่วง กำรไหลของน้ำ ทำให้พน้ื โลกเกิดกำรกดั เซำะเปน็ ร่องนำ้ เชน่ ลำธำร คลอง และแม่น้ำ ซึ่งร่องนำ้ จะมขี นำดและรปู ร่ำง แตกต่ำงกัน ข้นึ อย่กู ับปริมำณนำ้ ฝน ระยะเวลำในกำร กดั เซำะ ชนิดดนิ และหิน และลกั ษณะภูมิประเทศ เชน่ ควำมลำดชนั ควำมสงู ต่ำของพ้ืนที่ เม่ือน้ำไหลไป ยังบริเวณที่เปน็ แอง่ จะเกดิ กำรสะสมตัวเปน็ แหลง่ น้ำ เช่น บึง ทะเลสำบ ทะเล และมหำสมทุ ร  แหลง่ น้ำใตด้ นิ เกดิ จำกกำรซึมของน้ำผวิ ดินลงไป สะสมตวั ใตพ้ ืน้ โลก ซง่ึ แบง่ เป็นน้ำในดนิ และน้ำ

๙๗ ช้ัน ตวั ชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง บำดำล นำ้ ในดินเป็นน้ำที่อยรู่ ่วมกบั อำกำศตำม ชอ่ งวำ่ งระหวำ่ งเม็ดดนิ สว่ นน้ำบำดำลเปน็ นำ้ ที่ไหล ซมึ ลกึ ลงไปและถกู กักเก็บไว้ในชัน้ หินหรอื ชน้ั ดิน จนอม่ิ ตัวไปด้วยน้ำ ๙. สรำ้ งแบบจำลองท่ีอธิบำยกำรใช้นำ้ และ  แหล่งนำ้ ผวิ ดนิ และแหลง่ น้ำใต้ดินถูกนำมำใช้ใน นำเสนอแนวทำงกำรใช้น้ำอย่ำงยง่ั ยนื ใน กิจกรรมต่ำง ๆ ของมนษุ ย์ สง่ ผลต่อกำรจัดกำรกำรใช้ ทอ้ งถน่ิ ของตนเอง ประโยชนน์ ้ำและคุณภำพของแหลง่ นำ้ เนอ่ื งจำก กำรเพิ่มขนึ้ ของจำนวนประชำกร กำรใช้ประโยชน์ พนื้ ทใี่ นด้ำนต่ำง ๆ เช่น ภำคเกษตรกรรม ภำคอตุ สำหกรรม และกำรเปลีย่ นแปลงภูมิอำกำศ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ ทำให้เกิดกำรเปลีย่ นแปลงปริมำณนำ้ ฝนในพ้ืนท่ีลุ่มนำ้ และแหล่งนำ้ ผิวดินไมเ่ พยี งพอสำหรบั กิจกรรมของ มนุษย์ นำ้ จำกแหล่งน้ำใต้ดินจงึ ถูกนำมำใช้มำกข้นึ สง่ ผลใหป้ ริมำณนำ้ ใตด้ นิ ลดลงมำก จึงต้องมี กำรจดั กำรใชน้ ้ำอย่ำงเหมำะสมและย่งั ยืน ซ่งึ อำจทำ ไดโ้ ดยกำรจดั หำแหลง่ น้ำเพ่ือใหม้ แี หลง่ น้ำเพยี งพอ สำหรับกำรดำรงชวี ติ กำรจดั สรรและกำรใชน้ ้ำอย่ำงมี ประสทิ ธิภำพ กำรอนรุ ักษ์และฟืน้ ฟูแหลง่ น้ำ กำรป้องกนั และแก้ไขปัญหำคุณภำพนำ้ ๑๐. สร้ำงแบบจำลองทอ่ี ธบิ ำยกระบวนกำรเกิด  นำ้ ท่วม กำรกัดเซำะชำยฝง่ั ดนิ ถลม่ หลุมยบุ และผลกระทบของนำ้ ทว่ ม กำรกดั เซำะชำยฝ่ัง แผ่นดินทรดุ มีกระบวนกำรเกิดและผลกระทบ ดินถลม่ หลมุ ยุบ แผน่ ดินทรุด ที่แตกตำ่ งกัน ซึ่งอำจสรำ้ งควำมเสยี หำยร้ำยแรง แก่ชีวิต และทรัพย์สิน  นำ้ ทว่ ม เกดิ จำกพ้ืนทีห่ น่ึงได้รบั ปรมิ ำณนำ้ เกินกว่ำ ทจี่ ะกักเกบ็ ได้ ทำให้แผน่ ดนิ จมอย่ใู ตน้ ้ำ โดยขึน้ อยู่กบั ปรมิ ำณนำ้ และสภำพทำงธรณีวิทยำของพ้นื ท่ี  กำรกดั เซำะชำยฝ่งั เป็นกระบวนกำรเปลีย่ นแปลง ของชำยฝัง่ ทะเลท่เี กดิ ขึน้ ตลอดเวลำจำกกำรกดั เซำะ ของคลืน่ หรือลม ทำให้ตะกอนจำกท่หี นึ่งไปตกทับถม ในอกี บรเิ วณหนึ่ง แนวของชำยฝงั่ เดิมจงึ เปลยี่ นแปลง ไป บริเวณที่มีตะกอนเคลื่อนเข้ำมำน้อยกว่ำปรมิ ำณ

๙๘ ช้ัน ตัวชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ทตี่ ะกอนเคลอ่ื นออกไป ถือว่ำเปน็ บรเิ วณทม่ี ี กำรกดั เซำะชำยฝั่ง  ดินถลม่ เปน็ กำรเคลือ่ นท่ีของมวลดิน หรอื หิน จำนวนมำกลงตำมลำดเขำ เน่ืองจำกแรงโนม้ ถว่ งของ โลกเปน็ หลกั ซ่ึงเกดิ จำกปัจจัยสำคญั ไดแ้ ก่ ควำมลำดชันของพ้นื ท่ี สภำพธรณีวิทยำ ปรมิ ำณ นำ้ ฝน พชื ปกคลมุ ดิน และกำรใช้ประโยชน์พนื้ ที่  หลุมยบุ คอื แอ่งหรือหลมุ บนแผ่นดินขนำดต่ำง ๆ ทอ่ี ำจเกดิ จำกกำรถลม่ ของโพรงถ้ำหนิ ปูน เกลอื หิน ใตด้ ิน หรือเกดิ จำกนำ้ พัดพำตะกอนลงไปในโพรงถำ้ หรอื ธำรน้ำใตด้ นิ อ ู่ยระห ่วาง ํดเาอเกนิสนากรา ้ตรนจัฉด ับพิบม ์พ  แผน่ ดนิ ทรดุ เกดิ จำกกำรยุบตัวของช้ันดนิ หรือ หนิ รว่ น เม่ือมวลของแข็งหรือของเหลวปรมิ ำณมำก ที่รองรับอยใู่ ต้ช้ันดนิ บรเิ วณน้ันถูกเคล่ือนย้ำยออกไป โดยธรรมชำติหรือโดยกำรกระทำของมนุษย์ ม.๓ - - ม.๔ - - ม.๕ - - ม.๖ ๑. อธิบำยกำรแบง่ ช้ันและสมบัติของโครงสรำ้ ง  กำรศึกษำโครงสรำ้ งโลกใช้ข้อมลู หลำยดำ้ น เช่น โลก พร้อมยกตัวอยำ่ งขอ้ มูลที่สนบั สนนุ องคป์ ระกอบทำงเคมีของหินและแร่ องคป์ ระกอบ ทำงเคมีของอุกกำบำต ข้อมูลคล่ืนไหวสะเทือน ทเ่ี คลือ่ นทผี่ ่ำนโลก จงึ สำมำรถแบ่งชนั้ โครงสร้ำงโลก ได้ ๒ แบบ คอื โครงสรำ้ งโลกตำมองคป์ ระกอบ ทำงเคมี แบ่งได้เปน็ ๓ ชน้ั ได้แก่ เปลือกโลก เนื้อโลก และแกน่ โลก และโครงสร้ำงโลกตำมสมบัตเิ ชิงกล แบง่ ได้เปน็ ๕ ชั้น ไดแ้ ก่ ธรณีภำค ฐำนธรณีภำค มัชฌมิ ภำค แก่นโลกชั้นนอก และแกน่ โลกช้ันใน ๒. อธบิ ำยหลกั ฐำนทำงธรณีวิทยำทส่ี นบั สนุน  แผ่นธรณีต่ำง ๆ เป็นสว่ นประกอบของธรณภี ำค กำรเคลอ่ื นท่ีของแผ่นธรณี ซึง่ เปน็ ชัน้ นอกสุดของโครงสรำ้ งโลก โดยมี กำรเปล่ยี นแปลงขนำดและตำแหนง่ ตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจบุ ัน กำรเคลอ่ื นท่ขี องแผ่นธรณดี ังกล่ำวอธิบำยได้ ตำมทฤษฎธี รณีแปรสัณฐำน ซึ่งมีรำกฐำนมำจำก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook