คูม่ อื การพฒั นาหลกั สูตร สาหรับครู กศน. สว่ นวจิ ัยและพัฒนา สถาบนั กศน.ภาคเหนอื สานกั งานส่งเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั สานกั งานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ
คู่มือการพฒั นาหลกั สตู ร สาหรับครู กศน. เอกสารวิชาการลาดบั ที่ 01/2560 พิมพค์ รัง้ ท่ี 2 ปีที่พิมพ์ พ.ศ. 2560 จานวนพิมพ์ 500 เลม่ จดั ทาต้นฉบับและเผยแพร่ ส่วนวจิ ัยและพัฒนา สถาบนั พฒั นาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั ภาคเหนือ ถนนจามเทวี ตาบลบ่อแฮ้ว อาเภอเมืองลาปาง จังหวดั ลาปาง 52100 โทรศพั ท์ 0-5422-4862 โทรสาร 0-5422-1127 พมิ พท์ ่ี : บอยการพมิ พ์ 80 หมู่ 2 ตาบลสบปราบ อาเภอสบปราบ จงั หวดั ลาปาง 52170 โทร. 08-1026-1140, 08-3209-7302, 0-5429-6289 E-mail : [email protected]
คำนำในกำรพิมพ์ครงั้ ที่ 2 สถาบัน กศน.ภาคเหนือ ได้จัดทาคู่มือการพัฒนาหลักสูตร สาหรับครูกศน. เล่มน้ีขึ้น เพ่ือเป็นประโยชน์ต่อครู กศน. ได้ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา ท่ีสอดคล้องกับสภาพบริบทของพื้นที่ และความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและชุมชน ทั้งหลักสูตรรายวิชาเลือก ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 และหลักสูตรการศึกษาต่อเน่ือง ซ่ึงในการพิมพ์คู่มือการพัฒนาหลักสูตร สาหรับครู กศน.คร้ังท่ี 2 นี้ สถาบัน กศน.ภาคเหนือยังคงเน้ือหาสาระเช่นเดิม ได้แก่ ความรู้ พ้ืนฐานเก่ียวกับการพัฒนาหลักสูตร การรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลพ้ืนฐาน การร่าง หลักสูตร และการตรวจคุณภาพหลักสูตรก่อนนาไปใช้ นอกจากน้ีได้ปรับปรุงแก้ไขข้อความให้ ถกู ตอ้ ง สมบรู ณม์ ากย่ิงข้ึน ในการพมิ พ์ครั้งท่ีผ่านมา สถาบนั กศน.ภาคเหนือไดใ้ ช้คู่มือการพัฒนาหลักสูตรฯ เลม่ นี้ เป็นเอกสารประกอบการอบรมครู กศน.ของสถานศึกษา กศน. ในเขตภาคเหนือ ตลอดจน สถานศึกษาในสังกัด สานักงาน กศน. และยังได้เผยแพร่เอกสารคู่มือการพัฒนาหลักสูตรฯ ให้ สถานศึกษาและครู กศน. ได้ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรของสถานศกึ ษา ซ่ึงจากการ ติดตามประเมินผลการใช้คู่มือการพัฒนาหลักสูตรฯ พบว่า ยังมีสถานศึกษาและครู กศน. อีกจานวนมากมีความต้องการเอกสารคู่มือการพัฒนาหลักสูตรฯ เล่มน้ี เพื่อใช้เป็นแนวทาง ในการพัฒนาหลักสูตรรายวิชาเลือกและหลักสูตรต่อเน่ือง กอปรกับสถาบัน กศน.ภาคเหนือ จะดาเนนิ การจดั งานสัมมนาวชิ าการ ตามโครงการสัมมนาวชิ าการเพื่อพฒั นางานการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยในเขตภาคเหนือ ประจาปีงบประมาณ 2560 จึงได้ดาเนินการ จัดพิมพค์ มู่ อื การพฒั นาหลักสูตรฯ ครง้ั ท่ี 2 น้ีข้ึน โดยมวี ตั ถุประสงค์เพ่ือเผยแพร่เอกสารวิชาการ ในงานสัมมนาวิชาการ ตามโครงการสัมมนาวิชาการเพ่ือพัฒนางานการศึกษานอกระบบและ การศึกษาตามอัธยาศัยในเขตภาคเหนือ ประจาปีงบประมาณ 2560 ใหก้ ับผู้บริหารสถานศึกษา และครู กศน. ท้ังน้ี สถาบัน กศน.ภาคเหนือ หวังว่าคู่มือการพัฒนาหลักสูตรฯ เล่มน้ี จะเป็น ประโยชนต์ อ่ การพฒั นาหลกั สตู รสถานศกึ ษาตอ่ ไป (นายจาเริญ มลู ฟอง) ผู้อานวยการสถาบนั กศน.ภาคเหนอื มถิ ุนายน 2560 ก
คำนำ หลักสูตรเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวท่ีใช้ในการจัดการศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุ จุดมุ่งหมายตามแผนการศึกษาแห่งชาติท่ีต้องการพัฒนาบุคคลต่าง ๆ ให้เป็นคนท่ีมีความรู้ ความสามารถและพัฒนาการในทุก ๆ ด้าน และยังสามารถกาหนดแนวทางในการประกอบอาชีพ ตามความสามารถ ความถนัดและความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย หลักสูตรมีความสาคัญเป็น อย่างมากในกระบวนการจัดการเรียนการสอน เพราะหลักสูตรจะบอกให้ทราบว่าผู้เรียนบรรลุ จุดมุ่งหมายอย่างไร และจะต้องจัดเนื้อหาสาระอย่างไร ใช้เครื่องมือวัดผลประเมินผล อย่างไร ดังน้ันหลักสตู รจึงเป็นหัวใจของการจัดการเรียนการสอน และเป็นตัวกาหนดแนวทาง ในการจัดการศึกษาเพ่ือนาไปสู่ความเป้าหมาย ตามแผนการศึกษาแห่งชาติ และเป็นไปตามที่ กล่มุ เปา้ หมาย ชมุ ชนและสงั คมต้องการ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ ได้จัดทาคู่มือการพัฒนาหลักสูตร สาหรับครูกศน. เล่มน้ีข้ึน เพ่ือเป็นประโยชน์ต่อครู กศน. ได้ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา ที่สอดคล้องกับสภาพบริบทของพ้ืนท่ี และความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและชุมชน ทั้งหลักสูตรรายวิชาเลือก ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และหลักสูตรการศึกษาต่อเน่ือง คู่มือการพัฒนาหลักสูตรฯ เล่มน้ี ประกอบด้วยเนื้อหาที่จาเป็นในการพัฒนาหลักสูตรพร้อมยกตัวอย่าง เพื่อให้ครูได้มองเห็น ภาพรวมของการจัดทาและพัฒนาหลักสูตร ได้แก่ ความรู้พ้ืนฐานเก่ียวกับการพัฒนาหลักสูตร การรวบรวมขอ้ มลู และวเิ คราะห์ขอ้ มูลพ้นื ฐาน การร่างหลกั สตู ร และการตรวจคุณภาพหลกั สูตร กอ่ นนาไปใช้ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ ขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการให้ ข้อคิดเห็นและร่วมจัดทาคู่มือการพัฒนาหลักสูตร สาหรับครู กศน. เล่มน้ี ซึ่งครู กศน.สามารถ นาไปปรับใช้ให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพการดาเนินงาน กศน. สภาพของบริบทพ้ืนท่ีและ นโยบายของสถานศกึ ษาตอ่ ไป (นายจาเริญ มูลฟอง) ผอู้ านวยการสถาบนั กศน.ภาคเหนอื กุมภาพนั ธ์ 2560 ข
สำรบัญ หน้ำ คำนำในกำรพมิ พค์ ร้ังท่ี 2 ก คำนำ ข สำรบัญ ค คำช้ีแจงกำรใช้คู่มือ จ ตอนท่ี 1 ควำมรู้พนื้ ฐำนเกีย่ วกบั กำรพัฒนำหลกั สตู ร 1 1 ควำมหมำยของหลักสตู ร 4 ส่วนประกอบของหลักสตู ร 4 กระบวนกำรพัฒนำหลกั สตู ร กำรเปรียบเทียบกระบวนกำรพัฒนำหลกั สูตร 7 กับวงจรคณุ ภำพของเดมม่งิ (Deming Cycle – PDCA) 9 กำรจัดทำหลกั สตู รรำยวิชำเลือก 14 23 หลกั สูตรกำรศกึ ษำนอกระบบระดบั กำรศกึ ษำขน้ั พื้นฐำน 23 พุทธศกั รำช 2551 36 กำรจัดทำและกำรพฒั นำหลกั สูตรกำรศึกษำต่อเนอ่ื ง 62 ตอนที่ 2 กำรรวบรวมและวเิ ครำะห์ข้อมลู พ้ืนฐำน ขอ้ มลู พื้นฐำนในกำรพัฒนำหลกั สูตร กำรเก็บรวบรวมข้อมลู กำรวเิ ครำะหข์ อ้ มลู ค
สำรบัญ (ตอ่ ) หน้ำ ตอนที่ 3 กำรรำ่ งหลกั สตู ร 83 กำรกำหนดหลกั กำรและจดุ มงุ่ หมำยของหลกั สูตร 84 กำรเลือกและจดั เนอ้ื หำประสบกำรณใ์ นหลักสตู ร 86 กำรกำหนดแนวทำงกำรประเมนิ ผลสมั ฤทธิท์ ำงกำรเรยี น และแนวทำงกำรประเมินหลกั สตู ร 123 กำรเขยี นหลกั สูตร 136 159 ตอนท่ี 4 กำรตรวจคุณภำพหลักสตู รกอ่ นนำไปใช้ กำรตรวจคุณภำพหลักสตู ร 159 โดยผู้เชยี่ วชำญหรอื คณะกรรมกำร 167 กำรปรับปรงุ แกไ้ ขหลกั สูตร กอ่ นนำหลกั สูตรไปใช้ 168 169 บรรณำนุกรม 171 ภำคผนวก 183 (ร่ำง) ยทุ ธศำสตรแ์ ละจดุ เนน้ กำรดำเนนิ งำน กศน. 186 ประจำปงี บประมำณ 2560 187 คำสง่ั คณะทำงำน รำยช่อื ผเู้ ขำ้ ร่วมประชมุ ปฏิบัติกำรยกร่ำง คูม่ ือกำรพัฒนำหลักสตู ร สำหรบั ครู กศน. คณะผูจ้ ดั ทำ ง
คำช้แี จงกำรใช้คู่มอื คู่มือการพัฒนาหลักสูตร สาหรับครู กศน.ตาบล เล่มนี้ ได้เรียบเรียงเนื้อหาเป็น ลาดับข้ันตอน ด้วยความรู้เชิงวิชาการเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตร เพ่ือให้ ครู กศน. ได้ เรยี นรู้ โดยแบ่งเน้ือหาสาระเปน็ 4 ตอน ประกอบด้วย ตอนที่ 1 ความร้พู ้นื ฐานเก่ยี วกับการพัฒนาหลักสูตร ตอนที่ 2 การรวบรวมและวิเคราะห์ขอ้ มลู พ้ืนฐาน ตอนที่ 3 การร่างหลกั สตู ร ตอนท่ี 4 การตรวจคุณภาพหลักสูตรก่อนนาไปใช้ การนาเสนอเน้ือหาในคู่มือการพัฒนาหลักสูตรฯ เล่มนี้ จะใช้ตัวอย่างของชุดข้อมูล ในการอธบิ ายถงึ กระบวนการพัฒนาหลกั สูตรอย่างละเอียด ท้ังการพัฒนาหลักสูตรรายวชิ า เลือก และหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง ท่ีใช้ตัวอย่างของชุดข้อมูลเดียวกัน เพื่อการพัฒนา หลักสูตรรายวิชาเลือก รายวิชา อช33...... การจักสานผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ จานวน 2 หน่วยกิต ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 และ หลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง หลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น หลักสูตรการจักสานผลิตภัณฑ์จาก ไมไ้ ผ่ จานวน 60 ชวั่ โมง ดงั น้นั ครู กศน. จงึ ตอ้ งศึกษาเนอื้ หาอย่างละเอียด และตามลาดับ ขั้นตอน เพ่ือจะนาความรู้จากคู่มือการพัฒนาหลักสูตรฯ เล่มนี้ ไปใช้เป็นแนวทางในการ พฒั นาหลักสูตรของสถานศึกษา โดยมรี ายละเอยี ดของการศกึ ษา ดังน้ี 1. ศึกษาและทาความเข้าใจเนื้อหาในตอนท่ี 1 ความรู้พ้ืนฐานเกี่ยวกับการพัฒนา หลกั สูตร เพอื่ ให้เกิดความรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกบั การพฒั นาหลักสูตร 2. ศึกษาและทาความเข้าใจเนื้อหาในตอนที่ 2 การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล พ้ืนฐาน เป็นขั้นที่ 1 ของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร เน้ือหานี้เป็นการอธิบายถึงการเก็บ รวบรวมข้อมูล (เทคนิควิธีและเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล) พร้อมทั้งยกตัวอย่าง เครื่องมือการเก็บข้อมูล โดยมีกรณีตัวอย่างของการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน ของ กศน.ตาบลบา้ นแลง เพ่อื ให้เขา้ ใจมากขึ้น จ
3. ศกึ ษาและทาความเข้าใจเนื้อหาในตอนท่ี 3 การร่างหลักสูตร ซึง่ ดาเนินการตาม ข้ันที่ 2 - 4 ของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร เน้ือหาน้ีเป็นการอธิบายถึงการกาหนด หลักการ/จุดมุ่งหมายของหลักสูตร เลือกและจัดเนื้อหาประสบการณ์ในหลักสูตร กาหนด แนวทางการประเมินผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นและแนวทางการประเมนิ หลกั สูตร โดยมีกรณี ตัวอย่างของการวิเคราะห์เน้ือหาหลักสูตรจากข้อมูลพื้นฐานของกศน.ตาบลบ้านแลง เพ่ือ นามาจัดทาหลักสูตรและพัฒนาหลักสูตรรายวิชาเลือก ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และ หลกั สูตรการศึกษาตอ่ เนอื่ ง หลกั สตู รวิชาชีพระยะส้นั สาหรบั กลมุ่ เปา้ หมายผู้สงู อายุ 4. ศึกษาและทาความเข้าใจเน้ือหาในตอนท่ี 4 การตรวจคุณภาพหลักสูตรก่อน นาไปใช้ ซึ่งเป็นขั้นท่ี 5 ของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร เน้ือหาน้ีเป็นการตรวจคุณภาพ ของหลักสูตรโดยผู้เช่ียวชาญหรือคณะกรรมการ โดยใช้แบบประเมินความสอดคล้องของ องค์ประกอบของหลักสูตร ท้ังหลักสูตรรายวิชาเลือกและหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง เป็น เคร่ืองมือเก็บรวบรวมข้อมูล พร้อมตัวอย่างการวิเคราะห์ค่า IOC เพื่อนาผลมาปรับปรุง แกไ้ ขหลักสตู รกอ่ นนาไปใช้ 5. หากท่านศึกษาครบทุกเน้ือหาแล้วยังไม่เข้าใจในการพัฒนาหลักสูตร ขอให้ท่าน กลับไปทบทวนเนื้อหาในตอนที่ 1 2 และ 3 อย่างละเอียดอีกคร้งั ไม่ควรข้ามตอนใดตอนหนึ่ง หรือทบทวนเน้ือหาในส่วนที่ยังไม่เข้าใจอีกคร้ัง รวมท้ังการศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมจากแหล่ง เรยี นรู้ตา่ ง ๆ เช่น ผู้รู้ สบื ค้นความร้ผู า่ นระบบออนไลน์ เอกสารที่เก่ยี วข้อง เปน็ ต้น สถาบัน กศน.ภาคเหนือ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คู่มือการพัฒนาหลักสูตร สาหรับครู กศน. เล่มนี้ จะเป็นอีกช่องทางหน่ึงให้ครู กศน. ได้ใช้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ในเรื่องการ พัฒนาหลักสูตร เพ่ือนาไปปรับใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาท่ี สอดคลอ้ งกับสภาพบรบิ ทของพ้นื ที่ และความตอ้ งการของกล่มุ เปา้ หมายและชุมชนตอ่ ไป ฉ
ตอนท่ี 1 ความรพู้ ื้นฐานเกีย่ วกบั การพฒั นาหลกั สูตร คมู่ ือการพัฒนาหลักสูตร สาหรับครู กศน. เล่มนี้ จัดทาขึ้นเพือ่ ให้ครู กศน. ได้ใช้เป็นแนวทาง ในการพัฒนาหลักสูตรท้องถ่ินท่ีสอดคล้องกับสภาพบริบทของพื้นท่ี และความต้องการของ กลุ่มเป้าหมายและชุมชน เช่น หลักสูตรรายวิชาเลือก หลักสูตรการศึกษาต่อเน่ือง เป็นต้น ก่อนท่ีจะ เร่ิมดาเนินการพัฒนาหลักสูตร ครูจาเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการ พัฒนาหลักสูตร ซ่ึงจะได้นาเสนอไว้ในตอนท่ี 1 ของคู่มือการพัฒนาหลกั สูตร สาหรับครู กศน. โดยจะ เป็นการท าความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของห ลักสูตร ส่วนประกอบ ของหลักสูตร กระบวนการพัฒนาหลักสูตร การจัดทาหลักสูตรรายวิชาเลือก และหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง เพ่ือ เป็นการปูพื้นฐานในเร่ืองการพัฒนาหลักสูตร ก่อนจะเริ่มรายละเอียดของการดาเนินการจัดทาและ พัฒนาหลักสตู รในตอนอน่ื ๆ ของคมู่ ือการพัฒนาหลกั สตู รฯ ต่อไป ความหมายของหลกั สตู ร คาว่า “หลักสูตร” มาจากคาภาษาอังกฤษว่า “curriculum” มีผู้ให้ความหมายท่ีแตกต่างกัน ออกไปบ้าง (นิรมล ศตวุฒิ 2543, 1-3) เช่น แฟรงกลิน บอบบิท (Frankin Bobbit) 1924 ให้ ความหมายหลักสูตรประกอบด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่เด็กและเยาวชนต้องทาและได้รับประสบการณ์โดยใช้ วิธีการพัฒนาความสามารถในการทาสิ่งต่าง ๆ ให้ได้ดี เพ่ือเป็นประโยชน์กับชีวิตในวัยผู้ใหญ่และมี คุณลักษณะท่ีผู้ใหญ่ควรจะมี และโทมัส ฮอปกินส์ (Thomas Hopkins) 1941 ได้ให้ความหมายของ หลักสูตร คืองานออกแบบโดยคนที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับกิจกรรมและชีวิตของเด็กในโรงเรียน มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับชีวิตและการดารงชีวิต ประกอบด้วยการเรียนรู้ท่ีเด็กแต่ละคนเลือก รบั ไว้ และสะสมเปน็ ประสบการณ์
โดยสรปุ หลักสูตร หมายถึง กรอบของกิจกรรม เน้ือหา สือ่ และวธิ ีการวัดและประเมินผล ที่ ผู้จัดกิจกรรมการเรียนมุ่งให้เกิดกับผู้เรียนอาจเป็นความรู้ ความสามารถ ทักษะ เจตคติ คุณลักษณะ อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ตามชว่ งเวลาทก่ี าหนด ในการศึกษาเรื่องเก่ียวกับหลักสูตร มีคาศัพท์ที่เก่ียวกับหลักสูตรท่ีผู้ศึกษาควรทาความเข้าใจให้ ความเข้าใจได้ตรงกัน ดงั น้ี 1. การพัฒนาหลักสูตร (curriculum development) หมายถึง การจัดทาหลักสูตรขึ้นมา ใหม่ โดยท่ียังไม่เคยมีหลักสูตรน้ันมาก่อน หรือการจัดทาหลักสูตรท่ีมีอยู่แล้วให้ดีข้ึนกว่าเดิมซ่ึงต้อง ดาเนินการอยา่ งเปน็ กระบวนการและเปน็ ขัน้ ตอน 2. การสร้างหลักสูตร (curriculum construction) หมายถึง การจัดหลักสูตรข้ึนมาใหม่ โดยท่ียังไม่เคยมีหลักสูตรนั้นมาก่อน หรือไม่เคยมีหลักสูตรเดิมเป็นรากฐานมาก่อน และต้อง ดาเนนิ การอย่างเป็นกระบวนการและเปน็ ขัน้ ตอน 3. การวางแผนหลักสูตร (curriculum planning) หมายถึง การร่างแผนงานการจัดทา หลักสูตรโดยกาหนดเป้าหมายว่าหลักสูตรท่ีจะจัดทาน้ันทาเพ่ือใคร จะพัฒนาบุคลากรเหล่าน้ันไปใน ทิศทางใด ใช้ระยะเวลาการดาเนินการตามหลักสูตรเท่าไร จะมีกระบวนการในการพัฒนาบุคคล เหลา่ นนั้ อย่างไร 4. การออกแบบหลกั สูตร (curriculum design) หมายถึง การกาหนดลักษณะและรูปแบบ ของหลักสูตรให้สอดคล้องกับแผนงานการจัดทาหลักสูตรเพ่ือให้หลักสูตรเป็นไปตามเป้าหมาย ท่ี วางแผนไว้ รวบรวมข้อมูลท่ีมีผลต่อการจัดหลักสูตร จัดหารูปแบบการจัดหลักสูตรหลาย ๆ รูปแบบ ทดสอบว่ารูปแบบใดเป็นรูปแบบท่ีดีที่สุดที่จะทาให้บรรลุเป้าหมายที่วางแผนไว้ในการออกแบบ หลักสตู ร ผู้พฒั นาหลกั สูตรจะต้องตอบคาถามต่อไปน้ี - จะเลอื กเนือ้ หาอะไร และอยา่ งไร - จะจดั เนื้อหาและเรียงลาดบั เนื้อหาอย่างไร - จะถ่ายทอดเนอื้ หาอย่างไร - จะประเมินผลการเรียนร้อู ยา่ งไร - จะจดั ทาเอกสารหลักสตู รอย่างไร อย่างไรก็ตามคาว่า การวางแผนหลักสูตร และการออกแบบหลักสูตร ได้มี การใช้กันในความหมายเดียวกับ การพัฒนาหลักสูตร และการสร้างหลักสูตรในบางแห่ง กล่าวคือ หมายถงึ การดาเนนิ การจัดทาหลกั สูตรอย่างเปน็ กระบวนการและเป็นข้ันตอน 5. การจัดหลักสูตร (curriculum organization) หมายถึง การลงมือจัดหลักสูตรตาม รูปแบบที่ตัดสินใจเลือกไว้แล้ว โดยดาเนินการตามข้ันตอนของการพัฒนาหลักสูตร ซึ่งรูปแบบของ 2
หลักสตู รเป็นอย่างไรน้ันจะแสดงออกให้เห็นชัดเจนในขน้ั ตอนของการจัดเนอ้ื หาวิชาและประสบการณ์ สาหรบั ผเู้ รียน 6. การวิเคราะห์หลักสูตร (curriculum analysis) หมายถึง การตรวจสอบหลักสูตรแยกที ละส่วนในแต่ละองค์ประกอบของหลักสูตร เพื่อดูให้แน่ใจว่าแต่ละส่วนของหลักสูตรครบถ้วน เหมาะสม หรือยังมีส่วนใดบกพร่องอยู่ เพ่ือจะแก้ไขให้ครบถ้วน เหมาะสม และสอดคล้องกันยิ่งขึ้น เป็นการ ตรวจสอบคุณภาพของหลกั สตู ร นอกจากนก้ี ารวิเคราะห์หลักสูตร อาจเป็นการตรวจสอบหลักสูตรแยก ทีละส่วนเพ่ือการเตรยี มการสอน และการประเมินผลการเรยี นก็ได้ 7. การใช้หลักสูตรหรือการนาหลักสูตรไปใช้ (curriculum implementation) หมายถึง การนาหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติ กล่าวคือ นาหลกั สตู รไปใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน ใน สถาบนั การศึกษา หรอื ในสภาพจรงิ 8. การจัดการและการบริหารหลักสูตร (curriculum management and administration) หมายถึง กระบวนการสนับสนุนและเอ้ืออานวยให้การใช้หลักสูตรบรรลุเป้าหมาย เช่น การ ประชาสัมพันธ์ทาความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตร การเตรียมบุคลากร อาคารสถานที่ งบประมาณ การ จดั บรกิ ารห้องสมุด หนว่ ยแนะแนว แหลง่ การเรยี นรู้ เปน็ ตน้ 9. การปรับหลักสูตร (curriculum adaptation) หมายถึง การนาหลักสูตรไปปรับใช้ให้ สอดคล้องเหมาะสมกบั สภาพทอ้ งถ่นิ ชมุ ชน ผู้เรียน รวมถึงการนาหลกั สูตรไปจดั การเรยี นการสอน 10. การประเมินหลักสูตร (curriculum evaluation) หมายถึง การตัดสินคุณ ภาพ ประสิทธิภาพ หรือคุณค่าของหลักสูตร ซ่ึงต้องมีการกาหนดมาตรฐานสาหรับการตัดสินคุณภาพ รวบรวมข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องแล้วนามาตรฐานท่ีกาหนดมาตัดสินคุณภาพข้อมูลเหล่านั้น การประเมิน หลักสตู รจะตอบคาถามตอ่ ไปนี้ - หลกั สูตรช่วยให้ผู้เรยี นบรรลุจุดมุง่ หมายทางการศึกษาได้ดเี พยี งไร - การใช้หลักสูตรดาเนนิ การได้ดีเพียงไร 11. การปรับปรุงหลักสูตร (curriculum improvement) หมายถึง การแก้ไขหลักสูตรให้ดี ขึ้นเหมาะสมขึ้นหลังจากท่ีประเมินหลักสูตรแล้วพบข้อบกพร่องเป็นการแก้ไขเฉพาะประเด็ นท่ีพบ ข้อบกพร่อง โดยไม่ไดก้ ระทบกบั โครงสรา้ งของหลักสตู ร 12. การเปล่ียนแปลงหลักสูตร (curriculum change) หมายถึง การนาหลักสูตรใหม่มาใช้ แทนหลักสูตรเดิม เนื่องจากหลักสูตรเดิมมีข้อบกพร่องมาก หรือล้าสมัยไปแล้ว จึงต้องยกเลิกแล้ว จดั ทาหลักสตู รใหม่มาทดแทนหลักสูตรเดิม 3
ส่วนประกอบของหลกั สูตร ในการจัดทาหลักสูตร ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรระดับใดก็ตาม จะต้องกาหนดรายละเอียดของ หลกั สตู รตามสว่ นประกอบ นิรมล ศตวฒุ ิ (2543, 10-11) ไดก้ าหนดไว้ ดังน้ี 1. หลักการ เป็นเป้าหมายปลายทางของหลักสูตรนั้น จะบอกให้รู้ว่าหลักสูตรน้ัน ๆ จัดขึ้น เพื่ออะไร ซ่ึงจะกาหนดไวใ้ นลักษณะเชิงปรัชญาของหลักสูตร 2. จุดมุ่งหมาย แสดงความคาดหวังของหลักสูตรว่าผู้ที่เรียนจบหลักสูตรน้ีแล้วจะมี คณุ ลกั ษณะอยา่ งไร 3. จุดมุ่งหมายเฉพาะ หรือจุดประสงค์ของกลุ่มวิชาและรายวิชา ระบุเฉพาะเจาะจงถึง คณุ ลกั ษณะของผู้เรียนเมื่อผู้เรียนจบแต่ละกลุม่ วชิ า และแต่ละรายวิชา 4. โครงสร้างของหลักสูตร แสดงภาพรวมของทั้งหลักสูตรว่าได้จัดเน้ือหาและประสบการณ์ ของหลักสูตรในลักษณะใด สัดส่วนของเน้ือหาและประสบการณ์ที่จะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เป็นอย่างไร ระยะเวลาการจัดการเรียนการสอนแสดงการแบ่งเวลาท่ีใช้ในการจัดการเรียนการสอนแต่ละเนื้อหา ความรู้และประสบการณก์ ารเรียนรู้ และเวลาโดยรวมทใ่ี ชใ้ นการจัดการเรียนการสอนตลอดหลกั สูตร 5. เน้ือหาหลักสูตร ประกอบด้วย ขอบเขตเนื้อหาความรู้ท่ีจะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีผู้เรียนจะได้รับจากการได้ลงมือทาหรือปฏิบัติ และกิจกรรมการเรียนการ สอนทเ่ี ป็นแนวทางหรอื วิธีการทีจ่ ะช่วยใหผ้ ู้เรยี น เรยี นร้เู นื้อหาและประสบการณ์ตา่ ง ๆ 6. การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประกอบด้วยแนวทางหรือวิธีการวัดผลและ ประเมินผลว่าผู้เรียนได้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ จุดประสงค์รายวิชา จุดประสงค์กลุ่มวิชา และ จุดม่งุ หมายของหลักสตู รแล้วหรอื ยัง รวมถงึ ระยะเวลาการประเมนิ ผล 7. แนวทางการใช้หลกั สูตร ใหค้ าแนะนาแก่บคุ คลท่ีเกี่ยวข้องกับการใช้หลกั สูตร ให้ใช้หลักสตู ร ได้อย่างถูกตอ้ ง เหมาะสม และเปน็ ไปตามเจตนารมณ์ของหลกั สูตร กระบวนการพัฒนาหลักสตู ร ในการสร้างหรือพัฒนาหลักสูตร เริ่มต้นมาจากความต้องการของสังคมและชุมชน โดยมี จุดมุ่งหมายที่จะให้หลักสูตรเป็นส่ือในการพัฒนาคน ดังนั้นการสร้างหลักสูตรจึงต้องมีการดาเนินการ เป็นกระบวนการ (นิรมล ศตวุฒิ และคณะ 2546, 11) กระบวนการพัฒนาหลักสูตรประกอบด้วยข้นั ตอน ซ่ึงต้องทาให้สาเร็จตามลาดับ เพื่อให้ โครงการพัฒนาหลักสูตรมีความสมบูรณ์ งานท่ีต้องทาในแต่ละขนั้ ตอนมีความหลากหลาย แต่มีกาหนด 4
ผลที่แน่นอนเอาไว้ กระบวนการพัฒนาหลักสูตรเป็นกิจกรรมที่ต่อเน่ืองและเป็นวัฏจักรมากกว่าจะเป็น กิจกรรมที่ทาต่อกันเป็นเส้นตรง เป็นกิจกรรมท่ีเป็นพลวัตรมากกว่าจะเป็นกิจกรรมที่คงที่ ซึ่งหลักสูตร นิรมล ศตวฒุ ิ (2543, 20 - 23) สรปุ กระบวนการพัฒนาหลกั สูตร ไวด้ งั น้ี กระบวนการพัฒนาหลกั สตู ร ขั้นตอนการรา่ งหลกั สตู ร (ขัน้ ที่ 1 – 4) ขัน้ ที่ 1 การรวบรวมและวเิ คราะห์ขอ้ มลู พื้นฐาน เป็นการวิเคราะห์ปรัชญาการศึกษา จิตวิทยาการเรียนรู้ ผู้เรียน สังคม และเนื้อหา ความรู้ - การวิเคราะห์ปรัชญาการศึกษา และจิตวิทยาการเรียนรู้ มีจุดประสงค์เพ่ือศึกษา แนวคิดของนกั ปรชั ญาและนักจติ วทิ ยา แล้วนาแนวคดิ เหลา่ น้นั มาประยกุ ต์ใชใ้ นการพฒั นาหลกั สูตร - การวิเคราะห์และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียน มีจุดประสงค์เพ่ือพิจารณาความ ต้องการของผู้เรียนและพฒั นาหลักสตู รให้สนองตอบความต้องการเหล่าน้ัน 5
- การวิเคราะห์ข้อมูลทางสังคม เพ่ือศึกษาสภาพสังคมในปัจจุบันและอนาคตทั้งด้าน เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง วัฒนธรรม ระบบครอบครัว ค่านิยมของสังคม รวมถึงความ เปลี่ยนแปลงทางสังคมแล้วนามาพัฒนาหลักสูตรท่ีเตรียมผู้เรียนให้พร้อมที่จะไปดารงชีวิตและปฏิบัติ ในสังคมนั้น - การวิเคราะห์เน้ือหาความรู้ เพ่ือศึกษาลักษณะธรรมชาติของเนื้อหาความรู้ในศาสตร์ ตา่ ง ๆ ตลอดจนความเปล่ียนแปลงและความก้าวหน้าทางวิทยาการเพ่ือนามาเป็นข้อมูลในการพัฒนา หลักสตู รทป่ี ระกอบดว้ ยเน้อื หาความรูท้ ่ที นั สมยั ขัน้ ท่ี 2 กาหนดหลักการและจดุ มงุ่ หมายของหลักสตู ร เป็นการนาขอ้ มลู พนื้ ฐานท่ีวเิ คราะห์และรวบรวมได้ในขั้นที่ 1 มาเป็นแนวคิดและตัวชนี้ า ในการกาหนดเป้าหมายของหลักสูตรในหลักการ และกาหนดคุณลักษณะของผู้เรียนจบหลักสูตรใน จดุ ม่งุ หมายใหช้ ัดเจนวา่ จะมีความรู้ ทักษะ แนวคิดอะไร มีเจตคติอย่างไร สามารถทาอะไรได้ และเป็น ประโยชนต์ อ่ สงั คมได้อย่างไร ข้นั ที่ 3 เลอื กและจัดเนอ้ื หาและประสบการณใ์ นหลกั สูตร - เลือกและจดั เน้ือหาและประสบการณ์ท่ีช่วยเอ้ือให้ผู้เรียนมคี ุณลักษณะตามท่ีคาดหวังไว้ ในจุดม่งุ หมายของหลกั สตู ร หรือบรรลจุ ุดม่งุ หมายของหลกั สูตร - จัดทาโครงสร้างหลกั สตู ร ประกอบด้วยรายวิชา หรอื หัวเรื่องของเนอ้ื หา และเวลาเรียน - จัดทาคาอธิบายของเน้ือหาของแต่ละรายวชิ า หรือแต่ละหวั เรอ่ื ง ขั้นท่ี 4 กาหนดแนวทางการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแนวทางการประเมิน หลกั สูตร - การกาหนดแนวทางการประเมินผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เป็นการกาหนดวิธีการ ประเมินผลพร้อมทั้งเคร่ืองมือที่ใช้ในการวัดและประเมินได้ว่าผู้เรียนมีคุณลักษณะตามท่ีคาดไว้ใน จุดมุ่งหมายของหลักสตู ร - การกาหนดแนวทางการประเมินหลักสูตร เป็นการกาหนดรูปแบบท่ีจะใช้ในการ ประเมินหลกั สูตร หรอื วิธีการที่จะใช้ในการประเมนิ หลักสูตร ข้ันตอนหลงั จากการร่างหลักสตู ร (ขัน้ ท่ี 5 – 8) ขน้ั ท่ี 5 ตรวจสอบคณุ ภาพหลักสูตรและปรบั แก้ก่อนนาไปใช้ เป็นข้ันท่ีนาหลักสูตรท่ีร่างเสร็จแล้วไปตรวจสอบ ซึ่งมีวิธีการตรวจสอบได้หลายวิธี เช่น การใช้รูปแบบการตรวจสอบคุณภาพหลักสูตร การตรวจสอบกับลักษณะของหลักสูตรที่ดี การ ตรวจสอบโดยผู้เช่ียวชาญหรือคณะกรรมการ หรือวิเคราะห์แต่ละองค์ประกอบของหลักสูตรเพ่ือพิจารณา 6
ความเหมาะสม เป็นต้น แล้วนาผลการตรวจสอบมาปรับปรุงแก้ไขร่างหลักสูตรให้ดีขึ้น เตรียมพร้อมที่ จะนาไปใช้ ข้นั ท่ี 6 นาหลกั สตู รไปใช้ เป็นขั้นท่ีนาหลักสูตรท่ีตรวจสอบคุณภาพและแก้ไขให้สมบูรณ์แล้วไปใช้เป็นแนวทางใน การจัดการเรียนการสอน โดยใช้วิธีการต่าง ๆ ท่ีม่ันใจว่าได้มีการใช้หลักสูตรอย่างเหมาะสม เช่น วาง แผนการสอน ทดสอบก่อนเรียน จัดการเรียนการสอนและบริหารหลักสูตร ประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการ เรยี นหลงั เรยี นเปน็ ต้น ขนั้ ท่ี 7 ประเมินหลักสูตร เป็นการประเมินหลักสูตรท้ังระบบ ทุกขั้นตอน แล้วนาผลจากการประเมินมาพิจารณา ร่วมกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน เพ่ือตดั สินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตร และนาผลการประเมิน มาปรบั ปรุงประสทิ ธภิ าพของหลกั สูตร ขนั้ ท่ี 8 ปรับปรุงแก้ไขหลกั สตู ร เป็นการนาผลการประเมินหลักสูตรมาปฏิบัติอย่างต่อเน่ือง ในกรณีผลการประเมินพบ ข้อบกพร่องหรือปัญหาอุปสรรคในส่วนปลีกย่อย ผู้พัฒนาหลักสูตรจะดาเนินการปรับปรุงหลักสูตร หากพบข้อบกพร่องหรือปัญหาอุปสรรคในประเด็นใหญ่ ซ่ึงจะต้องเปลี่ยนโครงสร้างของหลักสูตรก็จะ ดาเนนิ การเปลี่ยนแปลงหลักสตู ร การเปรยี บเทยี บกระบวนการพฒั นาหลักสตู รกบั วงจรคณุ ภาพของเดมม่งิ (Deming Cycle – PDCA) วงจรคุณภาพของเดมม่ิง (Deming Cycle - PDCA) เป็นวงจรท่ีพัฒนามาจากวงจรท่ี คิดค้นโดยวอล์ทเตอร์ ซิวฮาร์ท (Walter Shewhart) ผู้บุกเบิกการใช้สถิติสาหรับวงการอุตสาหกรรม และต่อมาวงจรน้ีเร่ิมรู้จักกันมากข้ึนเม่ือ เอดวาร์ด เดมมิ่ง (W.Edwards Deming) ปรมาจารย์ด้าน การบริหารคุณภาพ ได้เผยแพร่ให้เป็นเครื่องมือสาหรับการปรับปรงุ กระบวนการทางานของพนักงาน ภายในโรงงานให้ดยี ิ่งขึน้ และช่วยคน้ หาอุปสรรคในแตล่ ะขัน้ ตอนการผลิตโดยพนักงานเอง จนวงจรนี้ เป็นที่รู้จักกันในอีกช่ือว่า “วงจรเดมมิ่ง” ต่อมาพบว่า แนวคิดในการใช้วงจร PDCA น้ัน สามารถ นามาใช้ได้กับทุกกิจกรรม จึงทาให้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมากข้ึนท่ัวโลก โดยใช้อักษรนาของ ศพั ทภ์ าษาองั กฤษ มาเป็นตวั ยอ่ คอื PDCA ดังนี้ P : Plan หมายถงึ วางแผน D : Do หมายถึง ปฏบิ ัติตามแผน C : Check หมายถงึ ตรวจสอบ/ประเมนิ ผลและนาผลประเมินมาวิเคราะห์ A : Action หมายถึง ปรบั ปรงุ แก้ไขดาเนินการให้เหมาะสมตามผลการประเมนิ 7
จากกระบวนการพัฒนาหลักสูตร 8 ขั้นตอน ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น เมื่อนามาเปรยี บเทียบ กับวงจรคุณภาพของเดมมิ่ง (Deming Cycle - PDCA) จะเห็นได้ว่า การดาเนินการจัดทาและพัฒนา หลักสูตรตามกระบวนการพัฒนาหลักสูตร มีลักษณะการดาเนินงานใกล้เคียงกับการดาเนินงานตาม วงจรคณุ ภาพของเดมมง่ิ ดงั แผนภาพ แผนภาพแสดงการเปรยี บเทยี บ กระบวนการพัฒนาหลกั สตู ร กบั วงจรคณุ ภาพของเดมมิ่ง (Deming Cycle - PDCA) ตารางการเปรยี บเทียบ กระบวนการพัฒนาหลักสตู ร กบั วงจรคณุ ภาพของเดมม่ิง (Deming Cycle - PDCA) กระบวนการพัฒนาหลกั สูตร วงจรคณุ ภาพ (Deming Cycle - PDCA) ขัน้ ตอนการร่างหลักสูตร (ขนั้ ที่ 1 – 4) P : Plan = วางแผน ขั้นท่ี 1 รวบรวม/วเิ คราะหข์ ้อมูลพืน้ ฐาน ขั้นท่ี 2 กาหนดหลักการและจุดม่งุ หมายของหลักสตู ร ข้นั ที่ 3 เลอื กและจดั เน้ือหาและประสบการณ์ใน หลักสตู ร 8
กระบวนการพัฒนาหลกั สตู ร วงจรคุณภาพ (Deming Cycle - PDCA) ขน้ั ท่ี 4 กาหนดแนวทางการประเมนิ ผลสมั ฤทธิ์ D : Do = ปฏบิ ัติตามแผน ทางการเรียนและแนวทางการประเมนิ หลกั สตู ร ขัน้ ตอนหลงั จากการรา่ งหลักสตู ร C : Check = ตรวจสอบ / ขน้ั ที่ 5 ตรวจสอบคุณภาพหลักสตู รและปรบั แก้ก่อน ประเมนิ ผลและนาผลประเมินมาวเิ คราะห์ นาไปใช้ A : Action = ปรบั ปรงุ แกไ้ ข ขั้นตอนหลังจากการรา่ งหลักสูตร ดาเนนิ การให้เหมาะสมตามผลการประเมนิ ขั้นที่ 6 นาหลักสูตรไปใช้ ขน้ั ตอนหลังจากการรา่ งหลักสูตร ขัน้ ที่ 7 ประเมนิ หลกั สตู ร ขัน้ ตอนหลังจากการร่างหลักสตู ร ขน้ั ที่ 8 ปรับปรงุ แก้ไขหลกั สูตร จากการเปรียบเทียบการดาเนินการจัดทาและพัฒนาหลักสูตรตามกระบวนการพัฒนา หลักสูตรกับการดาเนินงานตามวงจรคุณภาพของเดมมิ่ง แสดงให้เห็นว่า หลักสูตรจะมีคุณภาพ มี ประสิทธิภาพ สามารถพัฒนาผู้เรียนให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายทางการศึกษาได้ จะต้องมีการ ดาเนินการอย่างเป็นขั้นตอนกระบวนการ ซึ่งต้องทาให้สาเร็จตามลาดับ และสามารถตรวจสอบได้ใน ทุกข้ันตอนกระบวนการ หากพบข้อบกพร่อง ก็จะนาไปสกู่ ารปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องเหมาะสมกับ สภาพบริบทและความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โดยการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานอีกครั้ง เช่นเดียวกับการดาเนินงานตามวงจรคุณภาพของเดมมิ่ง เช่น การประกันคุณภาพ การดาเนินงาน ประจาปขี องหน่วยงานและสถานศกึ ษา เปน็ ตน้ การจดั ทาหลักสูตรรายวชิ าเลอื ก หลักสูตรการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 1. การได้มาของหลกั สตู รรายวิชาเลอื ก หลกั สตู รรายวชิ าเลือก ได้มาจาก 1) สานกั งาน กศน. (ส่วนกลาง) พัฒนาขนึ้ 2) สถานศึกษาพัฒนาข้ึนจากความต้องการของผู้เรียน ชุมชน สังคม กลุ่มเป้าหมาย เฉพาะที่ตอ้ งการเทียบโอน และจากความรแู้ ละประสบการณ์ของผู้เรยี น 9
2. หลักการพฒั นาหลกั สตู รรายวิชาเลอื ก ในการพฒั นาหลักสูตรรายวชิ าเลือก มหี ลกั การดังนี้ 1) สอดคลอ้ งเช่ือมโยงกับมาตรฐานการเรียนรู้และมาตรฐานการเรียนรรู้ ะดบั 2) เปน็ เนอ้ื หาทจี่ บในตวั เอง 3) เป็นเน้ือหาที่มปี ระโยชน์ 4) มจี านวนเน้ือหามากเพียงพอท่ีจะนามากาหนดเปน็ คาอธิบายรายวิชาได้อย่างน้อย 1 หนว่ ยกติ 3. ผู้ที่เกยี่ วข้องในการพฒั นาหลักสูตร ในการดาเนินการสร้างหรือพัฒนาหลักสูตรรายวิชาเลือก ผู้ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนา หลักสูตร นอกเหนือจากผู้บริหารสถานศึกษา ครู ผู้เรียน และผู้แทนชุมชนแล้ว ยังต้องมีผู้ท่ีมีส่วน สาคัญในการพัฒนาหลกั สูตร ดงั นี้ 1) ผูเ้ ช่ยี วชาญเนือ้ หา 2) ผู้ทมี่ ีความรเู้ ก่ียวกับการพฒั นาหลักสตู ร 3) ผูท้ ่มี คี วามรเู้ กี่ยวกับการวัดผลและประเมินผล 4. องค์ประกอบของเอกสารหลักสูตรรายวิชาเลือก หลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 สานกั งาน กศน. ไดก้ าหนดองคป์ ระกอบของเอกสารหลักสตู รรายวิชาเลือกไว้ดังนี้ 1. คาอธิบายรายวิชา ประกอบด้วย รหัสรายวิชา ช่ือรายวิชา จานวนหน่วยกิต ระดับ การศึกษา มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ เนื้อหาการเรียนรู้ (ศึกษาและฝึกทักษะ เก่ยี วกบั ...) การจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ และการวดั และประเมนิ ผล 2. รายละเอยี ดคาอธิบายรายวิชา ประกอบดว้ ย รหัสรายวิชาและช่อื รายวิชา มาตรฐาน การเรียนรูร้ ะดับ หัวเรอ่ื ง ตัวช้ีวัด เนอ้ื หา(ยอ่ ย) และจานวนชว่ั โมง สาหรับคู่มือการพัฒนาหลักสูตรฯ เล่มน้ี สถาบัน กศน.ภาคเหนือ ได้ปรับองค์ประกอบ ของเอกสารหลักสูตรรายวิชาเลือก โดยเพิ่มองค์ประกอบในส่วนของความเป็นมา ผลการเรียนรู้ท่ี คาดหวัง และขอบข่ายเนื้อหา เพื่อให้มองเห็นความจาเป็นและความสาคัญของการพัฒนาหลักสูตร ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง และภาพรวมของขอบข่ายเน้ือหาของรายวิชานั้น ๆ โดยมีรายละเอียดของ องคป์ ระกอบของเอกสารหลักสตู รรายวิชาเลอื ก ดังแบบฟอรม์ การเขยี นหลักสูตรรายวิชาเลือก 10
แบบฟอร์มการเขียนหลักสูตรรายวิชาเลือก หลกั สตู รรายวชิ าเลือกเสรี รายวชิ า ....................................... จานวน ............... หน่วยกติ (.............. ช่วั โมง) สาระการเรยี นรู้......................................................... ระดับ ....................................................... ความเปน็ มา ............................................................................................................................. ...... ผลการเรียนรทู้ ีค่ าดหวัง 1. ............................................................................. 2. ............................................................................. 3. ............................................................................. 4. ............................................................................. 5. ............................................................................. 6. ............................................................................. 7. ............................................................................. 8. ............................................................................. 9. ............................................................................. 10. ............................................................................. ขอบข่ายเนอ้ื หา จานวน ............. ชวั่ โมง 1. (ระบุชอ่ื หวั เรอ่ื ง) จานวน ............. ชว่ั โมง 2. (ระบุชื่อหัวเรอ่ื ง) จานวน ............. ชวั่ โมง 3. (ระบุชอ่ื หัวเรอื่ ง) จานวน ............. ชว่ั โมง 4. (ระบชุ ือ่ หวั เรอ่ื ง) จานวน ............. ชว่ั โมง 5. (ระบุชอ่ื หัวเร่อื ง) 11
คาอธบิ ายรายวิชา .................................................. จานวน ............. หนว่ ยกติ (................... ชั่วโมง) ระดับ ................................................ มาตรฐานการเรยี นรู้ ................................................................................................................................... มาตรฐานการเรยี นรูร้ ะดับ ............................................................................................................................. ....... ศกึ ษาและฝึกทักษะดังน้ี ............................................................................................................................. ....... การจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้ ............................................................................................................................. ....... การวัดและการประเมินผล ................................................................................................... ................................. 12
รายละเอยี ดคาอธบิ ายรายวชิ า ............................................................. จานวน ............. หนว่ ยกติ (................... ชั่วโมง) ระดบั ................................................ มาตรฐานการเรยี นรรู้ ะดบั ............................................................................................................................. ................. ที่ หัวเรื่อง ตวั ชวี้ ดั เนอื้ หา จานวนชัว่ โมง 13
การจดั ทาและพัฒนาหลกั สตู รการศกึ ษาตอ่ เนอื่ ง 1. ความหมายและความสาคญั ของหลกั สตู รการศึกษาต่อเนอื่ ง ความหมายของหลักสูตรการศกึ ษาต่อเนอ่ื ง หลักสูตรการศึกษาต่อเน่ือง หมายถึง หลักสูตรท่ีสร้างข้ึนจากสภาพและความต้องการ ของผู้เรียน สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมของหลักสูตรนั้น ๆ อาจเป็นการเรียนรู้ จากภูมิปัญญาท่ีมีอยู่ในท้องถิ่น หรือสถานประกอบการ แหล่งเรียนรู้ ฯลฯ ซึ่งผู้เรียนแสวงหาองค์ ความรู้ที่ตอบสนองกับวิถีชีวติ ของตนเอง ปรับตนเองให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคโลกาภิวัตน์ ผู้เรยี นจะเรียนรู้ตามสภาพจรงิ ของตนเอง สามารถนาความรไู้ ปใช้ในการพัฒนาตนเอง ครอบครวั และ ชุมชนได้ จึงอาจจะสรุปได้ว่า หลักสตู รการศึกษาต่อเนื่อง หมายถึง ประสบการณ์การเรยี นรู้ท่ีจัดให้แก่ กลุ่มผู้เรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ท่ีจัดตามสภาพปัญหาและความต้องการของผู้เรียนในการศึกษา ตอ่ เนอื่ งน้ัน ๆ เปา้ หมายหลัก คือ ต้องการให้ผเู้ รียนได้นาไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้เรยี นให้ ดีข้ึน หรอื เป็นการประกอบอาชีพและเพ่มิ พนู รายได้ให้แก่ผเู้ รียน ความสาคัญของหลักสตู รการศึกษาตอ่ เนื่อง หลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง เป็นหลักสูตรบูรณาการที่ผู้เรียน ชุมชนและครูรว่ มกันสร้าง ขน้ึ เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้เรียน เรยี นจากชีวิต เรยี นแล้วเกิดการเรียนรู้สามารถนาความรู้ไปใช้ในชีวิตอย่างมี คุณภาพ และเป็นสมาชิกท่ีดีของสังคมอย่างมีความสุข การเรียนการสอนจะสอนตามความต้องการ ของผู้เรียน โดยครูเป็นผู้คอยแนะนา ผู้เรียนเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง ดังนั้นหลักสูตร การศึกษาตอ่ เนอื่ งจงึ มีความสาคญั ดงั นี้ 1) เป็นหลักสูตรที่ตอบสนองการเรียนรู้ของผู้เรียนเฉพาะเนื้อหาสาระของหลักสูตร สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนตามสภาพปัญหาท่ีเปน็ จรงิ 2) ทาให้กิจกรรมการเรียนรู้มีความหมายต่อผู้เรียน เพราะผู้เรียนสามารถนาความรู้ไป ประยกุ ต์ใช้ในชวี ติ จรงิ ได้ 3) ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการแสวงหาความรู้ เพ่ือที่จะมาใช้เป็นข้อมูลในการแก้ปัญหาใน ชีวิตจริงของตนเองในวันข้างหน้า รวมทั้งวิธีวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล เพ่ือการตัดสินใจที่เหมาะสม กับการดาเนนิ ชวี ติ ของตนเอง 4) ชุมชนและภูมิปัญญาในชมุ ชน มีโอกาสมสี ่วนรว่ มในการจัดการศกึ ษาใหแ้ กผ่ ู้เรยี น ซ่ึง เป็นสมาชกิ ของชุมชน 14
2. หลักการพัฒนาหลกั สูตรการศึกษาต่อเนอ่ื ง หลักสูตรการศึกษาต่อเน่ือง มีหลักการในการพัฒนาท่ีส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายได้เกิด ปญั ญา หรอื เกิดการเรียนรู้ ดังนี้ 1) การเรียนรู้เพ่ือสร้างองค์ความรู้ มีเป้าหมายมุ่งที่การเรียนรู้สภาพปัญหา วิธีการ แก้ปัญหาและการปรับปรุงอย่างลึกซึ้ง คือ ให้รู้และเข้าใจอย่างกระจ่างถึงส่ิงท่ีเป็นอยู่ในปัจจุบัน จน สามารถวิเคราะหแ์ ละสังเคราะหเ์ ปน็ องค์ความรูข้ องตนเองได้ 2) การเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถในการปฏิบัติจริง มีเป้าหมายมุ่งท่ีการเรียนรู้ใน การวิเคราะหส์ ถานการณ์เพือ่ การปฏบิ ตั จิ รงิ จนเกิดความชานาญและสามารถปฏบิ ตั ิไดท้ กุ สถานการณ์ 3) การเรียนรู้เพื่อการอยู่ร่วมกัน มีเป้าหมายมุ่งท่ีการเรียนรู้ เพื่อเป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม ด้วยการมีความเชื่อ และตระหนักว่ามนุษย์ทุกคนต้องร่วมมือกัน พึ่งพาอาศัยกันและอยู่ ดว้ ยกนั อยา่ งมีความสุข 4) การเรียนรู้เพ่ือการพัฒนาศักยภาพ เป้าหมายมุ่งที่การเรียนรู้ เพ่ือพัฒนาตนเองให้มี ชวี ิตท่ีงอกงาม ปรับปรุงบคุ ลิกภาพอย่างมั่นใจ เนน้ การมีเหตผุ ลและมวี ิสัยทศั น์ 3. ลกั ษณะของหลักสูตรการศึกษาต่อเน่ือง ลกั ษณะของหลักสตู รการศึกษาต่อเน่อื ง มีลกั ษณะดังต่อไปนี้ 1) เป็นหลักสูตรท่ีตอบสนองความหลากหลายของปัญหา มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ เหมาะสมกับเพศ วัย มีความสมดุลท้ังด้านความรู้ ความคิด และทักษะ เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ให้ ผเู้ รยี นฝึกปฏิบัติจรงิ จนเกดิ ทกั ษะและสามารถนาไปใช้กบั สถานการณ์อนื่ ไดอ้ ย่างเหมาะสม 2) เป็นหลักสูตรท่ีส่งเสริมให้การศึกษาต่อเน่ือง มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรของ ตนเอง เพื่อให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้การศึกษาต่อเนื่องของตนเอง เป็นการเช่ือมโยง ระหว่างการเรียนกับชีวิตจริงและการทางาน รวมทั้งปลูกฝังให้ผู้เรียนมีความรักและความผูกพันกับ การศกึ ษาต่อเนอื่ งของตน มีการส่งเสรมิ ใหใ้ ชภ้ ูมปิ ญั ญาการศกึ ษาตอ่ เนื่องในการจัดการศึกษา 3) เปน็ หลักสตู รทส่ี อดคล้องกับการดาเนินชวี ิต และมงุ่ เน้นการเรยี นรู้อย่างบูรณาการไม่ แยกส่วนของกระบวนการเรียนรู้ โดยผู้เรียนเป็นผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง ครูจะเป็นผู้คอย ให้คาแนะนา ให้คาปรึกษา และช่วยเหลืออานวยความสะดวกในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนอันจะนาไปสู่ การคดิ เป็น ทาเป็น และสามารถแก้ไขปญั หาตา่ ง ๆ ได้ 4) เป็นหลักสูตรที่สามารถพัฒนาได้ตลอดเวลา เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ท่ี เปลีย่ นแปลงไป 15
5) เป็นหลักสูตรท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นคนที่มีคุณภาพของสังคมในด้านศีลธรรม จริยธรรมและการธารงไวซ้ ง่ึ สงั คมประชาธิปไตย การรักษาสิ่งแวดล้อม เกิดศรัทธาเชือ่ มั่นในภมู ิปัญญา และวัฒนธรรมการศึกษาตอ่ เนื่องของชมุ ชนและของประเทศชาติ 4. กระบวนการพัฒนาหลักสูตรการศกึ ษาตอ่ เนอื่ ง กระบวนการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาต่อเน่ืองของสานักงาน กศน. ประกอบด้วย ขั้นตอนหลกั 4 ขน้ั ตอน ดังน้ี ข้ันที่ 1 การสารวจสภาพปญั หาของชุมชน ขั้นท่ี 2 การวเิ คราะห์สภาพปญั หาชมุ ชนและความตอ้ งการของผ้เู รยี น ขัน้ ที่ 3 เขียนผังหลักสตู ร ขัน้ ท่ี 4 เขียนหลักสตู ร 1) การสารวจสภาพปัญหาของชุมชน คือ การศึกษาข้อมูลชุมชน เพ่ือให้ได้ซึ่งข้อมูลท่ี เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง ผู้สารวจ ได้แก่ ครู กศน. ผู้เรียน และ ผู้เกี่ยวข้อง โดยสารวจข้อมูลจากเอกสารซ่ึงเป็นข้อมูลทุติยภูมิ เช่น ข้อมูลจากการวางแผนของ กศน. ตาบล/แขวง และจากหน่วยงานอื่น ๆ ท่ีได้รวบรวมไว้แล้ว และสารวจข้อมูลปฐมภูมิท่ีผู้สารวจไป รวบรวมข้อมูลจากชุมชน เป็นข้อมูลสาคัญและเป็นประโยชน์อย่างย่ิง ซึ่งเป็นข้อมูลท่ีแท้จรงิ และเป็น ปัจจุบันของผู้เรยี นและชุมชน ประเด็นในการสารวจข้อมูล เช่น โครงสร้างด้านกายภาพ และประวัติชุมชน ข้อมูล ประชากร เศรษฐกิจ การศกึ ษา สังคมและวัฒนธรรม การเมือง การปกครอง และข้อมูลเกี่ยวกับความ ตอ้ งการของชมุ ชน วิธีการสารวจสภาพปัญหาของชุมชน อาจใชห้ ลาย ๆ วธิ ีการผสมผสานกัน เพื่อให้ได้ ขอ้ มูลท่ีถูกตอ้ งสมบูรณ์และเป็นรูปธรรม เชน่ การสัมภาษณ์ การใช้แบบสอบถาม การสังเกต หรอื การ จดั เวทีประชาคม เป็นตน้ 2) การวิเคราะห์สภาพปัญหาชุมชนและความต้องการของผู้เรียน เมื่อทาการสารวจ ชุมชนเสร็จแล้ว ข้อมูลที่ได้จะมีสภาพของชุมชนที่หลากหลาย มีทั้งปัญหาที่เป็นระดับความต้องการ (Want) และปัญหาความจาเป็น (Need) ดังนั้น จะต้องนาปัญหาน้ันมาวิเคราะห์ จัดหมวดหมู่ของ ปัญหา ความเร่งด่วนของปัญหา และข้อมูลเก่ียวกับทรัพยากรท่ีมีอยู่ในชุมชน และนาทรัพยากรใช้ให้ เกดิ ประโยชน์ *สาหรับการสารวจสภาพของชุมชนและการวิเคราะห์สภาพและความต้องการของ ชุมชน จะได้กล่าวโดยละเอียดในตอนท่ี 2 การรวบรวบและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของคู่มือการ พัฒนาหลกั สตู รฯ เล่มน้ี 16
3) เขียนผังหลักสูตร การจัดทาผังหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง ผังหลักสูตร หมายถึง กรอบความคิด หัวข้อของหลกั สตู ร ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ประกอบด้วยหัวข้อเรื่องหรือ หัวข้อเน้ือหาหลักและหัวข้อย่อยท่ีได้จากความต้องการ (เป็นผลจากการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา จากการสารวจมาจากชุมชน) ให้นาหัวข้อความต้องการมาจัดทาผังหลักสูตรการศึกษาต่อเน่ือง โดย โครงสรา้ งของผังหลักสูตร ประกอบด้วย หัวเร่ืองหลัก (Theme) หรือหัวข้อเน้ือหาหลัก เป็นหัวข้อท่ีบอกถึงช่ือเรื่องใหญ่ ได้ จากกลุ่มความต้องการ (ผลจากการวิเคราะห์สภาพปัญหา) ซ่ึงจะคลุมความต้องการย่อย ๆ ใน ขอบข่ายเรื่องเดียวกัน หัวเรื่องย่อย (Title) เป็นหัวข้อเร่ืองที่ต้ังจากความต้องการย่อยที่อยู่ในกลุ่มความ ตอ้ งการใหญ่ ซ่ึงอาจมีหลายเรอ่ื ง ในการพิจารณาหัวข้อยอ่ ย ให้พจิ ารณาความตอ้ งการย่อยทวี่ เิ คราะห์ แล้วกอ่ น ถ้าเร่อื งใดเปน็ เรื่องกลมุ่ เดยี วกนั โดยรวมเป็นหวั ข้อเดยี วกนั การสร้างกรอบหัวเร่ืองย่อย จะต้องจัดลาดับเนื้อหาจากง่ายไปสู่เน้ือหาท่ียากข้ึน ตามลาดับ หรือจัดลาดับจากความเร่งด่วนมากไปเน้ือหาท่ีเร่งด่วนน้อยกว่า การสร้างกรอบหัวเรื่องย่อย สามารถสร้างเพิ่มเติม ดังน้ัน ในแต่ละหัวข้อหลักควรมีกรอบว่างไว้ด้วย เมื่อพบปัญหาใหม่ในเรื่อง เดียวกนั ก็สามารถมาใส่กรอบเพม่ิ เติมได้ ดังตวั อยา่ ง หัวเรอ่ื งหลกั ตวั อยา่ งผังหลกั สูตรอาชีพโฮมสเตย์ กรอบหวั เรื่องยอ่ ย กรอบหวั เรื่องยอ่ ย กรอบหัวเร่อื งยอ่ ย การบรกิ ารที่ การจดั การท่ีพัก คณุ ภาพและ การพฒั นา พักและส่ิง และส่งิ อานวย มาตรฐานด้านท่ี โฮมสเตย์ อานวยความ ความสะดวก สะดวก พกั อาหารและ การจดั เตรยี ม คุณภาพและ (กรอบว่าง) โภชนาการ อาหาร มาตรฐานอาหาร สาหรับเพ่ิมเติม เนือ้ หา *สาหรับการเขียนผังหลักสูตร จะได้กล่าวโดยละเอียดในหัวข้อการร่างหลักสูตรของ ค่มู อื การพฒั นาหลักสตู รฯ เลม่ นี้ 17
4) เขียนหลักสูตร เป็นการนาผลจากการวิเคราะห์สภาพปัญหาชุมชนและความ ตอ้ งการของผเู้ รยี น และการเขียนผงั หลกั สตู ร มาเขียนหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง โดยนาแนวคิดของ ทาบา ทีไ่ ด้กาหนดองคป์ ระกอบของหลกั สูตรไว้ 4 ประการ คือ 1) วตั ถุประสงคท์ ่ัวไปและวัตถุประสงค์ เฉพาะวิชา 2) เน้ือหาวิชาและจานวนช่ัวโมงสอนแต่ละวิชา 3) กระบวนการเรียนการสอน และ 4) การประเมนิ ผลหลักสูตร มากาหนดโครงสรา้ งการเขียนหลักสตู รของสานักงาน กศน. ดังนี้ (1) ชอื่ หลักสตู ร (2) ความสาคัญ (3) จดุ มุง่ หมาย (4) วตั ถุประสงค์ (5) เนื้อหาหลกั สูตร (6) เวลาเรียน (7) แหล่งเรยี นร้แู ละสื่อประกอบการเรียน (8) การวัดและประเมนิ ผลการเรียน (9) ประโยชนท์ ่คี าดวา่ จะได้รบั (10) โครงสรา้ งเนือ้ หาของหลกั สตู ร 5. องคป์ ระกอบของเอกสารหลักสตู รการศกึ ษาต่อเน่อื ง สานักงาน กศน. ได้กาหนดโครงสร้างการเขียนหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่องไว้ 10 ประการ ตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น สาหรับคู่มือการพัฒนาหลักสูตรฯ เล่มนี้ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ ได้ปรบั องค์ประกอบของเอกสารหลักสูตรการศึกษาต่อเน่ือง เพ่ือให้มองเห็นรายละเอียดของหลักสูตร ได้ชัดเจนย่ิงขึ้น รวมถึงการนากรอบการประเมินหลักสูตรไปใช้ประเมินผลหลักสูตร โดยได้กาหนด องค์ประกอบของเอกสารหลักสตู รการศึกษาต่อเนอื่ งไว้ 10 ประการ ดงั นี้ 1) ข้อมลู พนื้ ฐานและเหตผุ ลความจาเปน็ ในการจัดหลักสูตร (ความเปน็ มา) 2) หลักการของหลักสตู ร 3) จดุ มงุ่ หมายของหลักสตู ร 4) กลุม่ เป้าหมาย 5) ระยะเวลาเรียน (ทฤษฎ/ี ปฏิบตั ิ) 6) โครงสรา้ งหลักสูตร 7) รายละเอียดโครงสรา้ งหลักสูตร 8) แหล่งเรยี นร้แู ละสื่อประกอบการเรียน 9) แนวทางการประเมนิ ผลการเรียน (รวบยอด) 10) การประเมนิ หลกั สตู ร 18
แบบฟอร์มการเขยี นหลกั สูตรการศึกษาต่อเน่ือง ช่อื หลกั สตู ร ............................................... จานวน ............... ชัว่ โมง สถานศึกษา ......................................................... ขอ้ มูลพ้ืนฐานและเหตุผลความจาเป็นในการจัดหลกั สตู ร ............................................................................................................................. ..................... ............................................................................................................................. ................................... ....................................................................................... ......................................................................... หลกั การของหลักสตู ร 1. ........................................................................................................ 2. ........................................................................................................ 3. ........................................................................................................ จดุ มุง่ หมายของหลักสูตร 1. ........................................................................................................ 2. ........................................................................................................ 3. ........................................................................................................ กลุม่ เป้าหมาย ............................................................................................................................. ..................... ระยะเวลาเรียน ............................................................................................................................. ..................... 19
โครงสร้างหลักสตู ร เวลาเรยี น (ช่ัวโมง) ทฤษฎี ปฏบิ ัติ รวม เร่ืองท่ี หัวเรือ่ ง 1 หวั เรื่องหลัก 1) หัวเรอ่ื งยอ่ ย 2) หวั เร่อื งย่อย 2 หวั เรื่องหลกั 1) หัวเรอื่ งยอ่ ย 2) หวั เรื่องย่อย รวม รายละเอยี ดโครงสร้างหลักสูตร เรอ่ื งที่ 1 หัวเร่ืองหลกั จุดประสงค์การเรียนรู้ ผู้เขา้ อบรมสามารถ 1. .................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .................................................................................................................................... ขอบข่ายเนอื้ หา ศกึ ษาและฝกึ ทักษะเกีย่ วกบั ………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. การจัดกระบวนการเรยี นรู้ 1. ............................................................................................................................. ....... 2. .................................................................................................................................... 3. ............................................................................................................................. ....... สื่อวสั ดุ และอุปกรณก์ ารเรยี นการสอน 1. ............................................................................................................................. ....... 2. ......................................................................................................................... ........... 3. ............................................................................................................................. ....... 20
เวลาเรยี น จานวน ......... ช่ัวโมง เคร่อื งมอื การประเมินผล .................................................. .................................................. วธิ กี าร 1. ............................................................................... 2. ............................................................................... เรอ่ื งท่ี 2 หวั เร่อื งหลกั จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ผูเ้ ขา้ อบรมสามารถ 1. .................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .................................................................................................................................... ขอบขา่ ยเน้อื หา ศึกษาและฝึกทักษะเก่ียวกับ ………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. การจดั กระบวนการเรยี นรู้ 1. ............................................................................................................................. ....... 2. .................................................................................................................................... 3. ............................................................................................................................. ....... สือ่ วสั ดุ และอุปกรณ์การเรียนการสอน 1. ............................................................................................................................. ....... 2. ......................................................................................................................... ........... 3. ............................................................................................................................. ....... เวลาเรยี น จานวน ......... ชั่วโมง การประเมนิ ผล วิธีการ เคร่ืองมอื 1. ............................................................................... .................................................. 2. ............................................................................... .................................................. 21
แหล่งเรียนรแู้ ละส่อื ประกอบการเรียน 1. .................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .................................................................................................................................... 4. .................................................................................................................................... แนวทางการประเมินผลการเรียน (รวบยอด) เกณฑ์การจบหลกั สตู ร วธิ ีการ เครื่องมือ 1. ..................................... 2. ..................................... 1. .................................................. 1. …………………………………… 2. .................................................. 2. ………………………………….. การประเมินหลักสตู ร ประเมินหลักสูตรโดยประเมินครบทั้งระบบของหลักสูตร ประกอบด้วย การประเมินเอกสาร หลักสตู ร การประเมินผลระบบของหลกั สูตร และการประเมินผลผลติ องคป์ ระกอบ รายการประเมนิ วธิ กี าร เครื่องมือ ระยะเวลา การประเมิน 1. การประเมนิ เอกสาร หลักสตู ร 2. การประเมินผล ระบบของหลกั สูตร 3. การประเมนิ ผลผลติ เกณฑก์ ารประเมนิ หลักสูตร 1. .............................................................................................................................................. 2. .............................................................................................................................................. 3. .............................................................................................................................................. 4. .............................................................................................................................................. *สาหรับขั้นตอนต่าง ๆ ในการดาเนินการจัดทาและพัฒนาหลักสูตรรายวิชาเลือก และหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง ตามกระบวนการพัฒนาหลักสูตร จะขอกล่าวรายละเอียดใน เนอ้ื หาตอนต่อไปของคมู่ ือการพฒั นาหลกั สตู รฯ เลม่ นี้ 22
ตอนที่ 2 การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมลู พนื้ ฐาน กระบวนการพัฒนาหลักสูตรท่ีได้กล่าวไปในตอนที่ 1 หน้าท่ี 5 เป็นการนาเสนอ กระบวนการพัฒนาหลักสูตร 8 ขั้นตอน ซ่ึงในตอนที่ 2 การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานน้ี จะ เป็นการเริ่มดาเนินการจัดทาและพัฒนาหลักสูตร ตามกระบวนการพัฒนาหลักสูตรข้ันที่ 1 รวบรวม/ วิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน เพื่อนาผลการวิเคราะห์ข้อมูลมาร่างหลักสูตร สาหรับตอนท่ี 2 นี้ จะเป็นการ ให้ความรู้ในเร่ืองความรู้ท่ัวไปเก่ียวกับข้อมูลพ้ืนฐาน การเก็บรวบรวมข้อมูล (เทคนิควิธีและเคร่ืองมือ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล) การวิเคราะห์ข้อมูล พร้อมตัวอย่างการวิเคราะห์ข้อมูล เพ่ือนาผลไปใช้ใน การร่างหลกั สูตรตอ่ ไป ข้อมลู พน้ื ฐานในการพฒั นาหลักสูตร มโนทศั นส์ าคัญ ข้อมูลพ้ืนฐานเป็นข้อมูลในด้านต่าง ๆ ท่ีจาเป็นซึ่งนักพัฒนาหลักสูตรจะต้องศึกษาวิเคราะห์ และใช้ประกอบการพิจารณาในการสร้างหรอื จัดทาหลักสูตรในทุกองค์ประกอบของหลกั สูตร อันไดแ้ ก่ ข้อมูลทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง การพัฒนาการทางเทคโนโลยี ประวัติศาสตร์การศึกษา หลักสูตรเดิม ข้อมูลจากบุคลากร ได้แก่ บุคคลภายนอก นักวิชาการแต่ละ สาขา ข้อมลู ทางธรรมชาติของความรู้ทางปรชั ญาและจิตวิทยาการศกึ ษา การศึกษาข้อมูลพื้นฐานเป็นขั้นตอนแรกสุดของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ผลจาก การศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว จะนาไปใช้ในกระบวนการพัฒนาหลักสูตรในข้ันตอนต่าง ๆ ต้ังแต่ กระบวนการกาหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร กระบวนการกาหนดเนื้อหาและประสบการณ์การ เรยี นรู้ กระบวนการจัดการกิจกรรมการเรียนการสอนและกระบวนการประเมินผล เพ่ือให้ได้หลักสูตร ที่สอดคล้องกบั ความตอ้ งการของผ้เู รียนและสังคม เพราะฉะน้ันในการพฒั นาหลักสตู รระดบั ต่าง ๆ ใน
อนาคตจะต้องศึกษาข้อมูลพื้นฐานในเรื่องต่าง ๆ จากหลาย ๆ แหล่ง และจากบุคคลหลาย ๆ ฝ่าย เพื่อให้ได้ข้อมูลท่ีแท้จริงมาพัฒนาหลักสูตร สามารถพัฒนาผู้เรียนให้เจริญเติบโตท้ังทางด้าน ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และอารมณ์ เป็นพลเมืองท่ีมีความรับผิดชอบต่อตนเองและประเทศชาติ หรือกลา่ วโดยสรปุ คอื สามารถใชห้ ลักสูตรเปน็ เคร่ืองมือในการสร้างสังคมใหม่ในทศิ ทางที่ถกู ต้องได้ การพัฒนาหลักสูตรจาเป็นต้องศึกษา วิเคราะห์ สารวจ วิจัย สภาพพ้ืนฐานด้านต่าง ๆ เพ่ือให้ ได้ข้อมูลอย่างเพียงพอท่ีจะใช้สนับสนุน อ้างอิงในการตัดสินใจดาเนินการต่าง ๆ เพื่อให้ได้หลักสูตร ท่ีดี สามารถพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถ และทัศนคติท่ีจะนาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อ ตนเองและสังคมได้ การพัฒนาหลักสูตรเป็นงานท่ีมีขอบเขตกว้างมาก การท่ีจะจัดหลักสูตรให้มีคุณภาพน้ัน ผู้พัฒนาหลักสูตรต้องศึกษาข้อมูลหลาย ๆ ด้านเพ่ือท่ีจะได้ข้อมูลที่สมจริงไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเก่ียวกับ ตัวผู้เรียน สังคมหรือการเปล่ียนแปลงในด้านต่าง ๆ เพราะข้อมูลเหล่านี้จะช่วยนักพัฒนาหลักสูตรใน เรอ่ื งต่าง ๆ คือ 1. ช่วยให้มองเห็นภาพรวมว่า ในการจัดทาหลักสูตรนั้นจาเป็นต้องคานึงถึงส่ิงใดบ้างและส่ิง ตา่ ง ๆ เหลา่ น้นั มอี ทิ ธิพลต่อหลกั สูตรอย่างไร 2. ช่วยให้สามารถกาหนดองค์ประกอบของหลักสูตรได้อย่างเหมาะสม เช่น การกาหนด จดุ มงุ่ หมายของหลักสูตร และการกาหนดเนอ้ื หาวชิ า ฯลฯ 3. ชว่ ยใหส้ ามารถกาหนดยทุ ธศาสตร์การเรียนการสอนไดอ้ ย่างเหมาะสมและมปี ระสทิ ธิภาพ 4. ช่วยเพ่ิมพูนความรู้และทักษะในการออกแบบและพัฒนาหลักสูตรอันจะส่งผลให้การ ดาเนนิ การในอนาคตประสบผลดยี ิ่งขนึ้ ข้อมูลต่าง ๆ ท่ีนามาเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรน้ัน นักการศึกษาท้ัง ตา่ งประเทศและนักการศกึ ษาไทย ไดแ้ สดงแนวทางไวด้ ังน้ี 1. เซเลอร์ และอเล็กซานเดอร์ กล่าวถงึ ขอ้ มูลพน้ื ฐานในการพฒั นาหลกั สตู รไว้ว่า 1) ข้อมูลเกีย่ วกับตวั ผูเ้ รียน 2) ข้อมลู เกี่ยวกบั สงั คมซง่ึ สนบั สนนุ โรงเรยี น 3) ข้อมลู เกี่ยวกับธรรมชาติและลักษณะของกระบวนการเรียนรู้ 4) ความรู้ทไ่ี ด้สะสมไวแ้ ละความรูท้ ีจ่ าเปน็ อย่างย่ิงทต่ี ้องให้แก่นักเรียน 2. ทาบา กล่าวว่าการพัฒนาหลักสูตรโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์จะต้องคานึงถึงสิ่ง ตอ่ ไปนี้ 1) สังคมและวฒั นธรรม 2) ผเู้ รียนและกระบวนการเรียน 3) ธรรมชาติของความรู้ 24
3. ไทเลอร์ กลา่ วถึงส่ิงที่ควรพจิ ารณาในการสร้างจุดมุง่ หมายของการศึกษาคอื 1) ข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้เรียน ซ่ึงได้แก่ความต้องการของผู้เรียนและความสนใจของ ผเู้ รยี น 2) ขอ้ มลู จากการศึกษาชีวติ ภายนอกโรงเรยี น 3) ขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากขอ้ เสนอแนะของผูเ้ ชย่ี วชาญในสาขาต่าง ๆ 4) ขอ้ มลู ทางดา้ นปรัชญา 5) ขอ้ มลู ทางด้านจิตวทิ ยาการเรียนรู้ 4. จากการรายงานของคณะกรรมการวางพื้นฐานการปฏิรูปการศึกษา ได้กาหนดข้อมูล ตา่ ง ๆ ในการกาหนดจุดมง่ หมายทางการศึกษาและในการจัดการศึกษาของประเทศดังน้ี 1) สภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาติ 2) สภาพแวดลอ้ มทางประชากร 3) สภาพแวดลอ้ มทางสงั คม 4) สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ 5) สภาพแวดล้อมทางการเมอื ง 6) การปกครองและการบริหาร 7) สภาพแวดล้อมทางศาสนาและวัฒนธรรม 8) สภาพของส่อื มวลชนเพ่ือการศกึ ษา 5. กาญจนา คุณารักษ์ กลา่ วถงึ ขอ้ มลู พ้นื ฐานในการพฒั นาหลักสูตรไว้ดงั น้ี 1) ตวั ผู้เรียน 2) สงั คมและวฒั นธรรม 3) ธรรมชาตแิ ละคณุ สมบตั ิของการเรยี นรู้ 4) การสะสมความรู้ที่เพยี งพอและเป็นไปได้เพื่อการให้การศกึ ษา 6. ธารง บวั ศรี กล่าวว่าข้อมูลพื้นฐานการพฒั นาหลักสตู รมีดงั นี้ 1) พ้ืนฐานทางปรชั ญา 2) พน้ื ฐานทางสังคม 3) พน้ื ฐานทางจิตวทิ ยา 4) พืน้ ฐานทางความร้แู ละวทิ ยาการ 5) พน้ื ฐานทางเทคโนโลยี 6) พน้ื ฐานทางประวัตศิ าสตร์ 25
7. สงัด อทุ รานนั ท์ กล่าวถึงขอ้ มูลพนื้ ฐานในการพฒั นาหลักสูตรไวด้ ังน้ี 1) พนื้ ฐานทางปรัชญาการศึกษา 2) ขอ้ มูลทางสังคมและวัฒนธรรม 3) พื้นฐานเกี่ยวกับพัฒนาการของผูเ้ รยี น 4) พื้นฐานเกีย่ วกับทฤษฎีการเรียนรู้ 5) ธรรมชาตขิ องความรู้ 8. สุมิตร คุณานากร กล่าวถึงข้อมูลต่าง ๆ ในการพัฒนาหลักสูตรจาแนกตามแหล่งที่มา ได้ 6 ประการ คือ 1) ขอ้ มูลทางปรชั ญา 2) ขอ้ มลู ที่ไดจ้ ากนักวชิ าการแต่ละสาขา 3) ข้อมูลทไ่ี ดจ้ ากจติ วทิ ยาการเรียนรู้ 4) ข้อมลู ทไ่ี ด้จากการศกึ ษาสงั คมของผเู้ รียน 5) ขอ้ มูลท่ไี ดจ้ ากการศกึ ษาความต้องการของผเู้ รียน 6) ข้อมลู เกยี่ วกับพฒั นาการทางเทคโนโลยี 9. สาโรช บัวศรี ได้กล่าวว่า ในการจัดการศึกษาหรือจัดหลักสูตรต้องอาศัยพ้ืนฐาน 5 ประการ คอื 1) พนื้ ฐานทางปรชั ญา 2) พื้นฐานทางจติ วทิ ยา 3) พืน้ ฐานทางสังคม 4) พนื้ ฐานทางประวัติศาสตร์ 5) พน้ื ฐานทางดา้ นเทคโนโลยี จะเห็นได้ว่า ข้อมูลพื้นฐานที่นามาศึกษาเพ่ือพัฒนาหลักสูตรมีมากมายหลายด้าน สาหรับ ประเทศไทยควรจัดลาดับขอ้ มูลพ้ืนฐานทสี่ าคญั ในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1. สงั คมและวัฒนธรรม 2. เศรษฐกิจ 3. การเมอื งการปกครอง 4. สภาพปญั หาและแนวทางการแก้ไขปญั หาสังคม 5. พฒั นาการทางเทคโนโลยี 6. สภาพสังคมในอนาคต 7. บุคคลภายนอกและนกั วิชาการแตล่ ะสาขา 26
8. โรงเรยี น ชุมชน หรือสังคมท่ีโรงเรียนต้งั อยู่ 9. ประวตั ศิ าสตรก์ ารศึกษาและหลักสตู รเดมิ 10. ธรรมชาติของความรู้ 11. ปรชั ญาการศึกษา 12. จติ วิทยา ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงรายละเอียดของข้อมลู พื้นฐานทีส่ าคญั ต่อการพัฒนาหลักสตู ร 5 ดา้ น ดงั น้ี 1. ข้อมลู พื้นฐานทางดา้ นสังคมและวฒั นธรรม การศึกษาทาหน้าท่ีสาคัญคือ อนุรักษ์และถ่ายทอดวัฒนธรรมของสังคมไปสู่คนรุ่นหลัง และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของสังคมให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางด้านวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีต่าง ๆ โดยหน้าท่ีดังกล่าวการศึกษาจะช่วยควบคุมการเปล่ียนแปลงสังคมให้เป็นไปใน ทิศทางที่พึงปรารถนา เพราะฉะน้ันหลักสูตรที่จะนาไปสอนอนุชนเหล่าน้ันจึงต้องมีความเกี่ยวข้อง สัมพันธ์กับสังคมอย่างแยกไมอ่ อกดังนน้ั การพัฒนาหลกั สูตรจงึ จาเป็นต้องคานึงถงึ ข้อมูลทางสังคมและ วฒั นธรรมทีเ่ ป็นปัจจุบันอยู่เสมอทั้งนี้ขึน้ อยกู่ ับความสามารถในการวเิ คราะห์ความต้องการใหม่ผลการ วิเคราะห์ออกมาอย่างไรหลักสูตรก็จะเปล่ียนจุดหมายไปในแนวน้ันสามารถจาแนกข้อมูลให้เห็น ชัดเจนได้ดังน้ี 1.1 โครงสร้างทางสังคม โครงสร้างสังคมไทยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ลักษณะ สังคมชนบทหรือสังคมเกษตรกรรมและสังคมเมืองหรือสังคมอุตสาหกรรม ในปัจจุบันความ เจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีมาก ดังน้ันการพัฒนาหลักสูตรจาเป็นจะต้องศึกษา โครงสร้างทางสังคมท่ีเป็นอยู่ในปัจจุบัน และแนวโน้มโครงสร้างสังคมในอนาคต เพ่ือท่ีจะได้ข้อมูลมา จัดการหลักสูตรว่า จะจัดหลักสูตรอย่างไรเพ่ือยกระดับการพัฒนาสังคมเกษตรกรรมและเตรียม พื้นฐานเพอ่ื การเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมสู่การพัฒนาอตุ สาหกรรมตามความจาเปน็ 1.2 คา่ นิยมในสงั คม ค่านิยม หมายถงึ ส่ิงท่ีคนในสงั คมเดียวกันมองเห็นว่ามีคุณค่าเป็น ที่ยอมรับหรือเป็นท่ีปรารถนาของคนทั่วไปในสังคมนั้น ๆ ดังนั้นการพัฒนาหลักสูตรจึงจาเป็นต้อง ศึกษาค่านิยมต่าง ๆ ในสังคมไทย เป็นหน้าที่ของนักพัฒนาหลักสูตรที่จะศึกษาและเลือกค่านิยมท่ีดี และสอดแทรกไว้ในหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนเพ่ือปลูกฝังและสร้างค่านิยมที่ดีใน สงั คมไทย 1.3 ธรรมชาติของคนในสังคม จากสภาพวัฒนธรรมและค่านิยมของสังคมไทย ทาให้ คนไทยสว่ นใหญ่มีลกั ษณะบุคลกิ ภาพ ดงั ตอ่ ไปน้ี ยดึ มน่ั ในตวั บคุ คลมากกวา่ หลกั การและเหตุผล ยกย่องบุคคลทม่ี ีความรู้หรือได้รับการศึกษาสูง 27
เคารพและคล้อยตามผมู้ ีวัยวุฒสิ ูง ยกยอ่ งผมู้ ีเงินและผูม้ ีอานาจ รกั ความอิสระและชอบทางานตามลาพัง เชอ่ื โชคลางทางไสยศาสตร์ นิยมการเล่นพรรคเล่นพวก มีลกั ษณะเฉือ่ ยชาไมก่ ระตือรือร้น ฯลฯ ในการพัฒนาหลักสูตรควรคานึงถึงลกั ษณะธรรมชาติ บุคลิกภาพของคนในสังคม โดย ศกึ ษาพิจารณาว่าลักษณะใดควรจะคงไว้ ลักษณะใดควรจะเปลยี่ นแปลงไปในทางที่ พึงประสงค์ของ สภาพสังคมปัจจุบัน เพ่ือที่จะจัดการศึกษาในอันที่จะสร้างบุคลกิ ลักษณะของคนในสังคมตามท่ีสังคม ต้องการ เพราะหลักสตู รเปน็ แนวทางในการสรา้ งลักษณะสังคมในอนาคต 1.4 การช้ีนาสังคมในอนาคต การศึกษาควรมีบทบาทในการชี้นาสังคมในอนาคตด้วย เพราะในอดีตท่ีผ่านมาระบบการศึกษาและระบบพัฒนาหลักสูตรของไทย เป็นลักษณะของการต้ัง รับมาโดยตลอด เช่นการต้ังรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เช่น กระแสความเจริญของประเทศทาง ตะวันตก กระแสวิชาการตะวันตก ความต้องการและปัญหาของสังคม จึงทาให้การศึกษาเป็นตัว ตาม เป็นเคร่ืองมือที่คอยพัฒนาตามกระแสของการเปล่ียนแปลงอยู่เสมอ ฉะนั้นการจัดการศึกษาที่ดี ควรใชก้ ารศึกษาเป็นเครอ่ื งมอื ในการพฒั นาประเทศในอนาคตให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 1.5 ลักษณะสังคมตามความคาดหวัง การเตรียมพัฒนาทรัพยากรให้มีคุณภาพ มี คุณลักษณะ หรือคุณลักษณะอย่างใดอย่างหน่ึงน้ันเป็นเร่ืองไม่คงท่ี การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มี คุณภาพในการดารงชวี ติ จรรโลงสภาพสังคมในอนาคตใหด้ ีขนึ้ ลกั ษณะประชากรท่ีมีคุณภาพดี มดี ังนี้ มสี ขุ ภาพกาย สขุ ภาพจติ ดี มีอาชพี เพ่ือเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ทาประโยชนแ์ กค่ รอบครวั เป็นสมาชิกทด่ี ีของสังคม เป็นพลเมืองทด่ี ขี องชาติ มีสตปิ ัญญา หมนั่ เสริมสร้างความรู้ความคดิ อยูเ่ สมอ มนี ิสัยรักการทางาน ขยนั อดทน ประหยัด ซ่ือสัตย์ภักดี มีมนุษยสัมพนั ธ์ และมมี นุษยธรรม 1.6 ศาสนาและวัฒนธรรมในสังคม ศาสนาเป็นเคร่ืองยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในสังคม เพราะฉะนั้นส่ิงที่บรรจุไว้ในหลักสูตรควรเป็นหลักธรรมในศาสนาต่าง ๆ และควรเปรียบเทียบ หลักธรรมของศาสนาเหล่านั้น เพื่อให้ผูเ้ รียนไดท้ ราบว่าทุกศาสนามีเป้าหมายสูงสุดร่วมกัน คอื สอนให้ คนเป็นคนดี เพื่อความสงบสุขในการอยู่ร่วมกันในสังคม ส่วนด้านวัฒนธรรมนั้นปัจจุบันมีการ 28
เปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วเพราะวิทยาการต่าง ๆ เจริญก้าวหน้ามาก ในการพัฒนาหลักสูตรจึงต้อง คานงึ ถึงการเปล่ียนแปลงทางวฒั นธรรม การศึกษาขอ้ มลู ขั้นพื้นฐานทางสังคมอยา่ งรอบคอบ จะทาให้ เราสามารถนาไปพัฒนาหลกั สูตรที่ดีตามลกั ษณะดังต่อไปนี้ สนองความตอ้ งการของสังคม สอดคล้องกับความเปน็ จรงิ ในสงั คม เน้นในเรอื่ งรักชาตริ กั ประชาชน แกป้ ัญหาให้สังคม มิใชส่ ร้างปัญหาให้สังคม ปรบั ปรงุ สังคมใหด้ ขี น้ึ สร้างความสานกึ ในเรอื่ งของความเปลยี่ นแปลงทางสงั คม ชี้นาในเร่อื งการเปล่ียนแปลงประเพณีและคา่ นยิ ม ต้องถา่ ยทอดวฒั นธรรมและจริยธรรม ปลกู ฝังในเร่อื งความซ่อื สตั ย์และความยุตธิ รรมในสังคม ใหค้ วามสาคญั ในเรื่องผลประโยชนใ์ นสังคม 2. ข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกจิ การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจ เพราะการศึกษาเป็นเคร่ืองมือสาคัญใน การพัฒนาคนซ่ึงเป็นส่วนประกอบที่สาคญั ทสี่ ุดในทกุ ระบบเศรษฐกิจ การพัฒนาหลักสูตรใหเ้ หมาะสม กบั พื้นฐานทางเศรษฐกิจ ควรพจิ ารณาประเดน็ ตอ่ ไปนี้ 2.1 การเตรียมกาลังคน การให้การศึกษาเป็นส่ิงสาคัญในการผลิตกาลังคนในด้านต่าง ๆ ให้เพียงพอและสอดคล้องกับความต้องการในแต่ละสาขาวิชาชีพเพ่ือป้องกันการสูญเปล่าทาง การศึกษาและเพอ่ื ลดปญั หาการวา่ งงานอนั เปน็ อปุ สรรคตอ่ การพฒั นาประเทศ 2.2 การพัฒนาอาชีพ ประเทศไทยพ้ืนท่ีส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทางเกษตร และประชากร ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรอาศัยอยู่ในชนบท ปัจจุบันมีการโยกย้ายถ่ินที่อยู่เข้ามาทางานในเมืองใหญ่ ซ่ึง ทาให้เกิดปัญหาอ่ืน ๆ เพราะฉะนั้นการพัฒนาหลักสูตรควรเน้นการส่งเสริมอาชีพส่วนใหญ่ของคนใน ประเทศเพ่ือลดปัญหาช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน สิ่งเหล่าน้ีเป็นหน้าท่ีที่นักพัฒนาหลักสูตร จะตอ้ งรว่ มมือรว่ มใจกนั จดั ทาหลกั สูตรเพือ่ พฒั นาอาชพี ให้บรรลผุ ล 2.3 การขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรม ปัจจุบันประเทศไทยกาลังพัฒนาจาก เกษตรกรรมสู่ภาคอุตสาหกรรม นักพัฒนาหลักสูตรควรศึกษาข้อมูลแนวโน้มและทิศทางการขยายตัว ทางอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมด้านไหนควรจะได้รับการพัฒนาหรือเป็นอุตสาหกรรมท่ีต้องการและ จาเป็นของสังคมหรือของโลก เพราะฉะน้ันการศึกษาแนวโน้มการขยายตัวทางภาคอุตสาหกรรมจึง เปน็ สิง่ สาคญั อีกประการหน่ึงที่นักพฒั นาหลกั สตู รจะละเลยเสยี มิได้ 29
2.4 การใช้ทรพั ยากร เศรษฐกิจเป็นเร่ืองของการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจากัดให้เกิด ประโยชน์สูงสุด เพื่อสนองความต้องการที่ไม่จากัดของมนุษย์ เพราะฉะน้ันนักพัฒนาหลักสูตรควรให้ ความสาคัญในเร่ืองของทรัพยากรโดยใช้หลักสูตรเป็นเครื่องปลูกฝังเกี่ยวกับความสาคัญของ ทรัพยากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้รู้จักและเข้าใจระบบเศรษฐกิจแบบพอเพียง ซึ่งในจุดนี้นักพัฒนา หลกั สูตรควรจะใหค้ วามสาคัญและคิดพัฒนาหลักสูตร 2.5 การพัฒนาคุณลักษณะของบุคคลในระบบเศรษฐกิจของคนไทย การพัฒนา คุณลักษณะของบุคคลในระบบเศรษฐกิจของคนไทยยังขัดแย้งกับความเป็นจริงในระบบเศรษฐกิจ เชน่ คนไทยมีรายได้ตา่ แตค่ วามตอ้ งการจบั จ่ายในระบบเศรษฐกิจสงู ตามความเจรญิ ทางด้านเศรษฐกิจ ทาให้ปัญหาหน้ีสินล้นพ้นตัว การใช้การศึกษาเข้าไปแก้ไขจะเป็นวิธีการท่ีสาคัญและให้ผลในระยะยาว เพราะฉะน้ันการพัฒนาหลักสูตรต้องคานึงถึงการพัฒนาคุณลักษณะของคนไทยในหลักสูตรจะต้อง บรรจุเนือ้ หาสาระ และประสบการณ์การเรียนรู้ทมี่ กี ารปลกู ฝงั จติ สานกึ ในความรบั ผดิ ชอบร่วมกนั 2.6 การลงทุนทางการศึกษา การจัดการศึกษาในทุกระดับต้องใช้งบประมาณของ รฐั โดยเฉพาะการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน การจัดการศึกษาควรคานึงถึงงบประมาณเพือ่ การศึกษา แหล่งเงิน ทชี่ ่วยเหลือรัฐในรปู งบประมาณ ในการจดั หลักสูตรควรจัดให้สอดคล้องกบั งบประมาณของรฐั ไม่ว่าใน ด้านการจัดการเรียนการส อน ด้านวัสดุอุปกรณ์ เพื่อให้การใช้หลักสูตรเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ และต้องคานึงถึงผลตอบแทนจากการลงทุนในด้านกาลังคน ปริมาณและคุณภาพ เช่น การพัฒนาหลักสูตรให้เยาวชนมีความสามารถทางด้านคอมพิวเตอร์ การลงทุนด้านอุปกรณ์ คือ คอมพิวเตอร์ การลงทุนในจุดดังกล่าวส่วนหนึ่งอาจเป็นการลงทุนที่สูญเปล่า เพราะฉะนั้นในการ พัฒนาหลักสูตรควรคานึงถึงการลงทุนทางการศึกษาด้วยว่าเป็นการลงทุนที่สูญเปล่าหรือไม่ ในอดีตมี ตวั อย่างของการพฒั นาหลกั สตู รทีท่ าใหเ้ กดิ การสญู เปลา่ ทางการศกึ ษาอย่เู สมอ 3. ขอ้ มูลพ้นื ฐานทางดา้ นการเมอื งการปกครอง การเมืองการปกครองเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการจัดระเบียบการอยู่ร่วมกัน จาเป็นต้องมี ระเบียบแบบแผนให้สังคมยึดถือเป็นแนวปฏิบัติต่อกัน เพ่ือความสงบเรียบร้อยและการอยู่ร่วมกัน อย่างสันติ ดังนั้นการเมืองการปกครองจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ สทิ ธิ และความรับผิดชอบ ทบ่ี คุ คลพึงมีต่อสังคมและประเทศชาติ การเมืองการปกครองมีความสัมพันธ์กับการศึกษา ในฐานะท่ีการศึกษามีหน้าที่ผลิต สมาชิกท่ีดีให้แก่สังคม หลักสูตรจึงควรบรรจุเน้ือหาวิชาและประสบการณ์ท่ีจะปลูกฝังให้ประชากรอยู่ ร่วมกันในสงั คมได้ดว้ ยความเปน็ ระเบยี บเรียบร้อยและสนั ติสขุ 30
ข้อมูลที่เก่ียวกับการเมืองการปกครองท่ีควรจะนามาเป็นพ้ืนฐานประกอบการพิจารณา ในการพัฒนาหลักสูตรก็คือ ระบบการเมือง และระบบการปกครอง นโยบายของรัฐ และรากฐานของ ประชาธปิ ไตย ฯลฯ เป็นตน้ 3.1 ระบบการเมืองการปกครอง เน่ืองจากการศึกษาเป็นเครื่องมืออันหน่ึงของสังคม ดงั น้ัน การศกึ ษากับระบบการเมืองการปกครองจึงแยกกันไมอ่ อก หลักสูตรจึงมักจะบรรจเุ นื้อหาสาระ ของระบบการเมืองการปกครองไว้ เพื่อสร้างความเข้าใจให้ประชาชนอยู่ร่วมกันในสังคมได้ด้วยความ เป็นระเบียบเรียบร้อย เพราะฉะนั้นในการพัฒนาหลักสูตรควรเลือกเนื้อหาวิชา ประสบการณ์การ เรยี นรู้ และการจดั ใหม้ ีการเรยี นการสอนเกี่ยวกบั ระบบการเมืองการปกครองทต่ี อ้ งการปลกู ฝงั 3.2 นโยบายของรัฐ เน่ืองจากการศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของระบบสังคม จึงมีความ จาเปน็ ตอ้ งสอดคล้องกบั ระบบอน่ื ๆ ในสงั คม การท่ีจะใหร้ ะบบต่าง ๆ สามารถเกื้อหนุนสง่ เสริมซ่ึงกัน และกัน จึงจาเป็นจะต้องมีการประสานสัมพันธร์ ะหว่างระบบ รฐั บาลจึงต้องมีนโยบายแห่งรัฐเพ่ือเป็น แนวทางในการดาเนินงานของระบบต่าง ๆ ให้มีความต่อเน่ืองและสอดคล้องซ่ึงกันและกัน นโยบาย ของรัฐที่เห็นได้ชัด คือ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนพัฒนาการศึกษาในการพัฒนา หลกั สตู รควรจะได้พิจารณานโยบายของรฐั ด้วย เพือ่ ท่ีจะได้จัดการศกึ ษาใหส้ อดคล้องกัน 3.3 รากฐานของประชาธิปไตย จากการที่ประเทศไทยได้เปล่ียนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยในปี พ.ศ.2475 น้ัน ความรคู้ วามเข้าใจ ตลอดจนความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ เก่ียวกบั ประชาธิปไตยในสังคมไทยยงั ไม่เพยี งพอ หลกั สูตรในฐานะที่ เป็นเครื่องมือสาหรับพัฒนาคนควรที่จะได้วางรากฐานท่ีเก่ียวกับประชาธิปไตยให้แก่สังคม เพ่ือให้มี ความรู้ความเข้าใจอันถูกต้องซึ่งจะสร้างสรรค์ให้ทุกคนอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติสุข นอกจากน้ี การจัดการเรียนการสอนก็ควรมุ่งเน้นพฤติกรรมประชาธิปไตยด้วย การศึกษาจึงควรมีบทบาทสาคัญ ในการปรับปรุงแก้ไข การจัดการเรียนการสอนควรเน้นเร่ืองความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ให้ ประชาชนรู้หน้าที่ของตนเองในระบอบประชาธิปไตย ท้ังที่ศึกษาอยู่ในระบบและนอกระบบหรือจบ การศึกษาแล้วได้ศึกษาและนาไปปฏิบัติจริง เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายที่ว่า การศึกษา คือ กระบวนการตอ่ เน่อื งตลอดชวี ติ เพื่อเป็นการวางรากฐานทางด้านประชาธิปไตย การจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับระบบ การเมืองการปกครองแบบประชาธปิ ไตย ควรจดั ตามลาดบั ดังนี้ 1) การจดั การศกึ ษาใหเ้ ทา่ เทียมท่ัวถึง 2) ให้อานาจการจัดการศกึ ษากระจายไปในทอ้ งถ่ิน 3) ให้เสรีภาพและเสถียรภาพแก่บุคคล ใหโ้ อกาสแสดงความคดิ เหน็ 4) การเรียนการสอนควรส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย ให้โอกาสผู้เรียนแสวงหา ความรู้ 31
5) ส่งเสริมการแกป้ ัญหาดว้ ยตนเอง 6) จดั หลกั สตู รใหย้ ืดหย่นุ ไดง้ า่ ย 7) เนน้ วิชามนุษยสัมพนั ธ์และจริยธรรมเปน็ พิเศษ นอกจากนั้นการปลูกฝังอบรมส่ังสอนนักเรียน ก็มีส่วนสาคัญท่ีจะช่วยให้ประชาธิปไตย ของไทยมีความเปน็ ประชาธิปไตยย่งิ ขน้ึ ด้วยวธิ กี ารดังตอ่ ไปน้ี ชใี้ หเ้ ห็นประโยชนข์ องประชาธิปไตยโดยการให้คาแนะนาและฝกึ ปฏบิ ัติ สร้างนสิ ัยใหม้ คี วามกระตือรอื รน้ สนใจเหตกุ ารณ์บา้ นเมอื ง ปลกู ฝงั การมีวินัยและเคารพสทิ ธเิ สรภี าพของผ้อู ื่น ฝกึ การเคารพกฎเกณฑ์ตา่ ง ๆ อยา่ งเขม้ งวด กระตุ้นและปลูกฝังให้มีความตั้งใจเรียน ซ่ือสัตย์ รับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ ฝึกให้สนใจและร่วมกนั พจิ ารณาปญั หาต่าง ๆ ของสงั คมและหาทางแก้ไข หาโอกาสใหค้ วามรว่ มมือประกอบกิจกรรมเพ่อื ประโยชน์ของส่วนรวม ช่วยแก้ไขค่านยิ มในสังคมและสร้างคา่ นิยมท่ีดแี ละเหมาะสม ปลูกฝังทศั นคติท่ีว่าการเมืองเป็นเรื่องการให้ความรว่ มมอื และการช่วยชาติเพื่อ บคุ คลรุ่นใหม่จะไดเ้ ป็นนักการเมอื งท่ีดี ให้ความรู้และกระตุ้นให้สนใจการเมืองโดยคานึงถึงหลักการ วิธีการ สิทธิหน้าที่ ในฐานะพลเมอื งของประเทศ ปลูกฝังให้มีความพร้อมท่ีจะมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมืองทั้งในระดับ โรงเรียน ทอ้ งถิ่น และประเทศชาติ ปลูกฝังให้ผู้เรียนมีแนวคิดว่าทุกคนควรมีบทบาททางการเมือง และการเมือง เปน็ เรือ่ งที่เกยี่ วข้องกบั ทุกคน เนน้ ใหเ้ ห็นความสาคญั ของการไปใชส้ ิทธเ์ิ ลือกตั้ง 4. ขอ้ มลู พ้ืนฐานทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทาให้สังคมเปล่ียนไป ผู้เรียน เกิดความจาเป็นต้องเพิ่มความรู้ ทักษะใหม่ และต้องเปลี่ยนแปลงเจตคติใหม่ ทาให้เกิดความ จาเป็นต้องสร้างคุณธรรมและความคิดใหม่เพ่ือให้คนในสังคมสามารถปรบั ตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลง ของสงั คมได้ โดยการใชก้ ารศกึ ษาทาหน้าท่สี รา้ งประชาชนทม่ี ีคณุ ภาพและมีความสามารถทจ่ี ะปรับตัว เข้ากบั สังคมท่ีมีความเจรญิ ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้อยา่ งเหมาะสม หลักสูตรท่ีนามาใช้ จงึ จาเปน็ ตอ้ งมคี วามสอดคล้อง 32
5. ข้อมูลพ้ืนฐานทางสภาพปญั หา และแนวทางการแก้ไขในสงั คม สภาพปัญหา และแนวทางหาการแก้ไขในสังคม เป็นข้อมูลพ้ืนฐานท่ีสาคัญที่ต้องศึกษา สงั คมไทยในปจั จบุ ันกาลังประสบปัญหายุ่งยากหลายประการ ซง่ึ ปัญหาตา่ ง ๆ น้ัน มที ั้งระยะส้ันระยะ ยาว และการแกป้ ัญหาก็อาจทาชวั่ คราวหรืออย่างถาวร การจัดการการศกึ ษาเพื่อแก้ปัญหาดงั กลา่ วจึง เป็นเรื่องสาคัญ ท่ีนักพัฒนาหลกั สูตรจะต้องศึกษา แล้วนามาสร้างเป็นหลกั สูตร ปญั หาสาคัญ ๆ ทคี่ วร ศึกษา คอื 5.1 ปญั หาทางดา้ นส่ิงแวดล้อม การขยายตัวของอุตสาหกรรม และการใช้เทคโนโลยี ทาให้เกิดปัญหาสภาวะทาง สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติในสังคมไทย เช่น ปัญหาการทาลายป่า ปัญหาความเสื่อมโทรมของดิน ปัญหาน้าเสีย และอากาศเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ปัญหาข้างต้นน้ันสมควรท่ีจะได้ศึกษา ถึงสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขเพ่ือนาไปเป็นข้อมูลในการจัดการศึกษาและพัฒนาหลักสูตร เช่น การกาหนดเนื้อหาในเรื่องสภาพแวดล้อม การอนุรักษ์สภาพแวดล้อม การใช้ทรัพยากรธรรมชาติท่ี ฉลาด ซึ่งส่งิ เหลา่ น้ีทจ่ี ะปลกู ฝงั ความรับผิดชอบให้เกดิ ข้นึ ตอ่ ผู้เรยี น 5.2 ปัญหาทางดา้ นสงั คม ในปัจจุบันในสังคมไทยมักจะเกิดขึ้นหลังจากการเปล่ียนแปลงของสังคม ซ่ึงมี สาเหตุมาจากความเจริญทางวัตถุและวัฒนธรรมตะวันตกที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็วด้ วยอิทธิพล ของการส่ือสาร เฉพาะในวัยหนุ่มสาว ซ่ึงจะก่อให้เกิดความขัดแย้งทางด้านความคิดระหว่างหนุ่มสาว กับผู้ใหญ่ที่ยึดมั่นวัฒนธรรมเดิม ทาให้เกิดปัญหาเก่ียวกับยาเสพติด ปัญหาทางเพศ ปัญหา อาชญากรรม ซ่ึงการศกึ ษาปัญหาเหล่าน้จี ะเปน็ ขอ้ มูลในการจัดหลักสตู รเพ่ือเตรียมเยาวชนให้สามารถ ดารงอย่ใู นสงั คมอยู่ในสังคมที่เปล่ียนแปลงได้อย่างมีความสุขและไม่เกดิ ปัญหา 5.3 ปัญหาดา้ นเศรษฐกิจ โดยพ้ืนฐานประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีฐานะ ยากจนและมีการศึกษาต่า ประชาชนเกิดการว่างงาน การย้ายถิ่นฐานทากินจากชนบทสู่เมือง ส่ิง เหล่านี้เป็นปัญหาทางเศรษฐกิจท่ียาวนานของประเทศ เพราะฉะน้ันในการพัฒนาหลักสูตรควรได้ ศึกษาปัญหาทางด้านเศรษฐกิจทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพื่อท่ีจะได้นาข้อมูลทางเศรษฐกิจท่ี ได้มาจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับทรัพยากรทางธรรมชาติ และแนวโน้มการพัฒนาเศรษฐกิจของ ประเทศ โดยกาหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร การสร้างหลักสูตรรายวิชา เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถและประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจทาให้ผู้ท่ีจบการศึกษาในระดับต่าง ๆ สามารถออกไป 33
ประกอบอาชีพ และสามารถดารงอยู่ได้ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ โดยไม่เป็นปัญหา หรอื ภาระของสังคม 5.4 ปัญหาด้านการเมืองการปกครอง สภาพปญั หาด้านการเมืองการปกครองของไทยเป็นมายาวนาน สมควรที่การศึกษา จะเข้าไปมีบทบาทในการพัฒนาทางด้านการเมือง คือ การให้ความรู้และปลูกฝังในเรื่องของ ประชาธิปไตย เพราะประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะอย่างย่ิงประชาชนในท้องถิ่นชนบทยังมีความรู้ความ เข้าใจเก่ียวกับประชาธิปไตยไม่ดีพอ นอกจากน้ันประชาชนส่วนใหญ่ยังขาดความสานึกและความ รับผิดชอบต่อวิถีทางแบบประชาธิปไตย ซงึ่ จะเห็นได้จากการเข้าไปมบี ทบาททางด้านการเมืองยังเป็น เรื่องของคนกลุ่มน้อย ในเมื่อผู้ได้รับการศึกษาที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องประชาธิปไตยเป็นอย่างดี ยังขาดความสานึกและความรับผิดชอบเช่นน้ี จึงควรท่ีนักพัฒนาหลักสูตรจะได้ตระหนักและพัฒนา หลักสูตร เน้ือหาวิชาหรือกิจกรรมการเรียนการสอนให้สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีจิตสานึกและความ รบั ผดิ ชอบต่อการเมืองการปกครองของประเทศ ซ่ึงเป็นหน้าทข่ี องนักพฒั นาหลักสูตรจะต้องพิจารณา ปัญหาเพื่อนาไปสู่การตัดสนิ ใจเลือกทิศทางในการพัฒนาหลักสูตรเพ่ือสรา้ งคนท่ีเป็นประโยชน์แก่สังคม หรอื คนทจ่ี ะไปพฒั นาหรือแก้ปัญหาสังคมต่อไป ข้นั ตอนในการพจิ ารณาปัญหาและแนวทางแก้ไข มดี งั นี้ 1) พิจารณาปญั หาที่ระบบการศกึ ษาอานวยในการปรับปรุงให้ดยี ง่ิ ขึ้น 2) พิจารณาสาเหตุ ข้อเทจ็ จรงิ สภาพปัญหา 3) พิจารณาวิชา เนอ้ื หาและประสบการณ์การเรยี นรูท้ ี่เหมาะสม 4) พจิ ารณากจิ กรรมการเรียนการสอนท่ีเหมาะสม ตวั อยา่ งการวิเคราะหข์ ้อมูลพ้ืนฐานสภาพปญั หา และแนวทางแก้ไขในสงั คม สภาพปัญหา สาเหตุ แนวทางแก้ไข 1. ดา้ นสงั คมวัฒนธรรม - การเปล่ยี นแปลงทางด้าน - การสรา้ งความสานกึ และเข้าใจ - การแพร่ระบาดของยา เทคโนโลยที าให้สงั คม/ ในเรื่องของความเปล่ยี นแปลงทาง เสพติด - การเกดิ อาชญากรรม วัฒนธรรมเปลีย่ นแปลงไป สังคม - ปญั หาทางเพศ ส่งผลกระทบให้เกิดปญั หาทาง - การส่งเสริมคา่ นิยมท่ียึดม่นั สงั คมขน้ึ อยา่ งมากมาย คณุ ธรรมจรยิ ธรรม วฒั นธรรมท่ีดี งาม ในการดารงชีวติ เพือ่ ให้ สามารถปรบั ตวั อยู่ในสงั คมที่มกี าร เปลย่ี นแปลงได้อย่างมีความสุข 34
สภาพปัญหา สาเหตุ แนวทางแกไ้ ข 2. ดา้ นการศกึ ษา - ผลสัมฤทธท์ างการ -การจัดการเรยี นการสอนยัง - การสง่ เสริมการจดั กระบวนการ เรยี นตา่ แสดงถึงคณุ ภาพ ไม่ให้ความสาคญั กับ เรียนร้ทู ี่เปิดโอกาสให้ผู้เรยี นคิดเปน็ การศึกษาพืน้ ฐานตกตา่ กระบวนการเรยี นรู้และการ รจู้ กั แสวงหาความรู้ แสวงหา - ผู้จบการศกึ ษาไม่ วดั ประเมินผลทีเ่ น้นผเู้ รยี น แนวทางแกป้ ัญหาดว้ ยตนเองได้ สามารถนาความรู้ไปปรับใช้ เป็นสาคัญ หรอื แก้ปญั หาทีต่ ้องเผชญิ ได้ ด้วยตนเอง 3. ด้านเศรษฐกิจ - ประชาชนสว่ นใหญม่ ี - คา่ ใช้จา่ ยในครวั เรอื นสูง ผัน - การส่งเสริมการเรยี นรแู้ ละความ ฐานะยากจน มผี ู้ว่างงาน ผวนไปตามความเจริญ ตระหนกั ในการใช้ทรัพยากรที่มอี ยู่ เกดิ ภาวะหนี้สนิ และมีการ ทางดา้ นเศรษฐกิจและการ ให้เกดิ ประโยชนส์ งู สดุ อย่างคุ้มคา่ ยา้ ยถ่ินไปทางานในเมือง ขยายตวั ทางด้านอตุ สาหกรรม ใหญเ่ พมิ่ ข้นึ ก่อใหเ้ กิด ปญั หาทางสังคมตา่ ง ๆ มากมาย 4. ด้านสง่ิ แวดลอ้ ม - การตดั ไม้ทาลายปา่ - การขยายตัวทางดา้ น - การส่งเสริมการเรยี นรู้ ความเสื่อมโทรมของดนิ น้า อตุ สาหกรรมและการใช้ คณุ ประโยชน์ดา้ นการอนุรักษ์ เสยี และอากาศเป็นพิษ เทคโนโลยี ทรัพยากร/ส่งิ แวดลอ้ มให้คงอยู่ ส่งผลกระทบต่อ อยา่ งย่ังยนื สภาพแวดล้อม และการ ดารงชวี ิตประชาชนอยา่ ง ตอ่ เน่ือง 5. ดา้ นการเมืองการ ปกครอง - ความรู้สึกนึกคดิ ต่าง ๆ - การปลูกฝังใหป้ ระชาชนอยู่ - ความขดั แย้งและการ เกี่ยวกับประชาธิปไตยใน ร่วมกันในสังคมดว้ ยความเปน็ แบง่ แยกของคนในสังคม สงั คมไทยยงั มีไม่เพยี งพอ ระเบยี บเรยี บรอ้ ยและสนั ตสิ ขุ - การสง่ เสรมิ การเรยี นรู้ระบบ 35
สภาพปัญหา สาเหตุ แนวทางแก้ไข การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล การเมืองการปกครองและรากฐาน ของประชาธิปไตย - การปลกู ฝงั ให้ประชาชนปฏิบตั ิ หน้าท่ีพลเมืองและการเปน็ สมาชิก ที่ดีของสังคม ข้อมลู (Data) ข้อมูล (Data) คือ ข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดของส่ิงต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นตัวเลขหรือข้อความ เกย่ี วกบั สิ่งใดสงิ่ หน่งึ ทจ่ี ะนามาเป็นหลักฐานในการหาขอ้ ยตุ ิเป็นคาตอบต่อสิ่งที่ต้องการศึกษา ประเภทของขอ้ มลู (Type of Data) ขอ้ มลู จาแนกตามลกั ษณะได้ดังนี้ 1. จาแนกตามวิธกี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเปน็ เกณฑ์ สามารถแบ่งข้อมลู ออกเปน็ 2 ชนดิ คือ 1.1 ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary data) เป็นรายละเอียดหรือข้อเท็จจริงท่ีเก็บรวบรวมมา จากแหล่งข้อมูลโดยตรง ข้อมูลประเภทนี้ โดยมากจะได้มาจากการจดบันทึกจากแหล่งโดยตรง เช่น การสัมภาษณ์ การสารวจ การทดลอง เปน็ ตน้ 1.2 ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary) เป็นรายละเอียดหรือข้อเท็จจริงที่ผู้หน่ึงผู้ใดหรือกลุ่ม หน่ึงกลุ่มใดได้ทาการรวบรวมหรือเรียบเรียงไว้แล้ว ผู้ใช้ข้อมูลก็นาข้อมูลเหล่านั้นมาเป็นหลักฐานใน การสรปุ ผลการศึกษา/วิจัย 2. จาแนกตามคณุ สมบัตขิ องขอ้ มลู เปน็ เกณฑ์ สามารณแบง่ ขอ้ มลู ออกเปน็ 2 ชนิด คือ 2.1 ข้อมูลปรนัย (Objective data) เป็นข้อมูลที่ได้มาจากความจริง โดยไม่ต้องผ่าน กระบวนการที่จะทาให้เปลี่ยนรูปหรือเปลี่ยนความหมาย เช่น ถ้าอยากทราบความสูงของโต๊ะ ก็ใช้ไม้ บรรทัดวัดได้โดยตรง ขอ้ มลู ประเภทน้มี ักเป็นข้อมลู ในระดบั อัตราส่วน 2.2 ขอ้ มูลอัตนัย (Subjective data) เป็นข้อมูลท่ีได้จากการแปลความ หรอื ตีความของ ผเู้ ก็บข้อมูลอีกทีหนึ่ง เนื่องจากเคร่ืองมือในการวัดไม่มีกระบวนการในการตัดสินใจในตัวเอง เช่น การ ตีความหมายจากการสังเกต การแสดงออกของนักเรียน เปน็ ต้น 36
3. จาแนกตามค่าการวดั ของขอ้ มูลเป็นเกณฑ์ สามารถแบง่ ข้อมลู ออกเปน็ 2 ชนดิ คือ 3.1 ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative data) เป็นข้อมูลท่ีสามารถวัดออกมาเป็นจานวน หรอื ตัวเลขได้โดยตรง เช่น จานวนนกั เรียนในแตล่ ะโรงเรียน คะแนนผลการสอบของนกั เรยี น เป็นตน้ 3.2 ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative data) เป็นข้อมูลท่ีแสดงถึงคุณลักษณะหรือคุณ ค่าทเี่ ป็นคุณภาพส่วนใหญ่ ได้แก่ ขอ้ มลู นามบัญญัติ เช่น เพศ อาชพี ศาสนา ฯลฯ 4. จาแนกตามแหลง่ ของขอ้ มูลเปน็ เกณฑ์ สามารถแบ่งข้อมลู ออกเป็น 3 ชนิด คือ 4.1 ข้อมูลส่วนบุคคล (Personal data) เป็นข้อมูลรายละเอียดส่วนตัวของบุคคลหรือ ของกลุ่มตัวอยา่ งทีจ่ ะศึกษา เช่น ชือ่ เพศ อายุ ระดับการศกึ ษา เป็นตน้ 4.2 ขอ้ มูลส่ิงแวดลอ้ ม (Environmental data) เป็นรายละเอียดส่วนประกอบภายนอก ของบุคคล ได้แก่ สภาพแวดล้อมของบุคคล หรือของกลุ่มตัวอย่าง เช่น สถานศึกษา ที่อยู่อาศัย การ ประกอบอาชีพ เป็นต้น 4.3 ข้อมูลพฤติกรรม (Behavioral data) เป็นข้อมูลที่เป็นคุณลักษณะต่าง ๆ ที่บุคคล แสดงออกมา ได้แก่ ความคิด ความร้สู ึก การกระทาต่าง ๆ เป็นตน้ ซึ่งไม่สามารถวัดไดโ้ ดยตรง เพราะ มีลักษณะเป็นนามธรรม ต้องใช้การวัดทางอ้อม โดยอาศัยเครื่องมือต่าง ๆ และต้องเป็นเคร่ืองมือท่ีมี ประสทิ ธิภาพสงู โดยทั่วไปในทางสังคมศาสตร์ แบง่ ข้อมลู ออกเปน็ 3 ประเภท คือ 1. ข้อมูลในด้านความรู้ ความคิด หรอื ด้านพุทธิปัญญา (Cognitive Domain) ได้แก่ ข้อมูล เกย่ี วกบั ความรู้ ความสามารถ สตปิ ัญญา และความถนดั ต่าง ๆ 2. ขอ้ มูลในด้านอารมณ์หรือจติ พิสยั (Affective Domain) ได้แก่ ความรู้สึกนกึ คิด ทัศนคติ เป็นตน้ 3. ขอ้ มูลในด้านทกั ษะหรือทักษะพิสยั (Psychomotor Domain) ได้แก่ ข้อมลู เกย่ี วกบั การ แสดงออก การปฏิบตั ิ และพฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงแต่ละประเภทที่ต้องการรวบรวม อาจจะมาจากแหล่งต่าง ๆ เช่น นกั เรยี น ครู อาจารย์ ผู้บรหิ าร ผู้ปกครอง ประชาชน ครอบครัว ชุมชน หลกั ฐานของพฤตกิ รรม 37
เทคนคิ วิธีและเครอื่ งมือในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล เทคนิควิธีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู การเก็บรวบรวมข้อมูล จัดเป็นขั้นตอนหนึ่งในการพัฒนาหลักสูตรที่มีความสาคัญ และ สามารถสะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของการพัฒนาหลักสูตร ดังน้ันนักพัฒนาหลักสูตรจึงต้องใส่ใจและ ให้ความสาคัญกับเทคนิควิธี และข้ันตอนต่าง ๆ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นอย่างมากเพื่อให้ได้ ขอ้ มูลทถ่ี กู ตอ้ งน่าเชอื่ ถือ เทคนิควิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ช่วยให้นักพัฒนาหลักสูตรสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลเพ่ือ นาไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาหลักสูตรได้อยา่ งเปน็ ระบบ การเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ ทา ให้เราสามารถได้ข้อมูลที่เก่ียวกับส่ิงท่ีเรากาลังศึกษา ซึ่งอาจจะเป็นคน วัตถุ ปรากฏการณ์ หรือสภาพ ที่เรากาลังศึกษา ในการพัฒนาหลักสูตร หากข้อมูลถูกเก็บรวบรวมมาได้ด้วยวิธีการท่ีไม่มีระบบ ระเบียบ หรือแบบแผนที่ดี ก็จะเป็นการยากที่นักพัฒนาหลักสูตรจะสามารถนาข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ ประโยชนเ์ พื่อการพฒั นาหลักสูตรท่ีตอบสนองต่อสภาพปญั หาและความต้องการ โดยท่ัวไป เทคนิควิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลท่ีนิยมใช้มีหลายวิธี ในคู่มือการพัฒนา หลักสูตรฯ เล่มนี้ จะกล่าวเฉพาะวิธีที่สาคัญ 6 วิธี ได้แก่ 1) การใช้ข้อมูลเดิมท่ีมีอยู่แล้ว 2) การ สังเกต 3) การสัมภาษณ์ 4) การสอบถาม 5) การสนทนากลมุ่ และ 6) การทดสอบ 1. การใช้ข้อมูลเดิมทีม่ อี ยแู่ ลว้ ในสถานการณ์ทางานท่ัวไป เราสามารถพบได้ว่า มีข้อมูลเดิมมากมายท่ีเราสามารถ นามาใช้ศกึ ษาวิเคราะห์ได้โดยไม่จาเป็นต้องออกสารวจหรือเก็บรวบรวมข้อมูลใหม่ หรือบอ่ ยคร้ังท่ีอาจ มผี ้ทู ่ีได้ทาการเก็บรวบรวมข้อมูลบางประการไว้แล้วภายใต้ภารกจิ หรือบทบาทหน้าท่ีของพวกเขา โดย ที่พวกเขาไม่ได้นาข้อมูลเหล่านั้นมาทาการศึกษาวิเคราะห์หรือเผยแพร่แต่อย่างใด ดังน้ัน นักวิจัยหรือ นักพัฒนาหลักสูตรมือใหม่ อาจเร่ิมต้นจากการมองหาข้อมูลในลักษณะดังกล่าวนี้ เพ่ือมาพัฒนาเป็น งานวิจัยหรือพัฒนาหลักสูตรของตนเอง เช่น การนาผลการประเมินสถานศึกษาของ สมศ. มาใช้เป็น ขอ้ มลู พ้ืนฐานการวิจัยหรือการพัฒนาหลกั สตู รของสถานศึกษา เปน็ ตน้ การใช้ “ผู้รู้” หรือ “ภูมิปัญญาท้องถ่ิน” เป็นอีกเทคนิควิธีหน่ึงของการเก็บรวบรวม ข้อมูลจากแหลง่ ขอ้ มูลทมี่ อี ยู่แลว้ สิ่งสาคัญสาหรับเทคนคิ วิธีการใช้ขอ้ มลู ทม่ี ีอยูแ่ ล้วนน้ั อยู่ทก่ี ารออกแบบเคร่อื งมือเพื่อการ เก็บรวบรวมข้อมูลอย่างเหมาะสม โดยนักวิจัยจาต้องดาเนินการอย่างเป็นระบบ และมีการวางแผน อย่างรอบคอบและชัดเจน ข้อดีของการเก็บรวบรวมข้อมูลเดิมท่ีมีอยู่แล้วคือเรื่องของความประหยัด ทั้งในรูปแบบ ของตัวเงินและเวลา อย่างไรก็ตามการใช้ข้อมูลเดิมที่มีอยู่แล้วซ่ึงเป็นข้อมูลขั้นรองหรือข้อมูลทุติยภูมิ 38
(Secondary data) อาจมีจุดอ่อนการเข้าถึงแหล่งข้อมูลอาจเป็นอุปสรรคสาหรับการเก็บรวบรวม ข้อมูลด้วยวิธีการแบบน้ี และในบางกรณีข้อมูลท่ีได้อาจมีปริมาณน้อย ไม่สมบูรณ์ หรือขาดการจัด หมวดหมู่ ทาให้มคี วามยุ่งยากตอ่ การใช้งาน 2. การสังเกต การสังเกต เป็นเทคนิควิธีหน่ึงของการเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งผู้ให้ข้อมูลโดยตรง นับวา่ เปน็ ขอ้ มลู ปฐมภูมทิ ม่ี ีความสาคัญต่อการวิจัยหรอื การพฒั นาหลกั สตู รอยา่ งมาก เพราะเป็นขอ้ มูล ท่ีเช่ือถือได้ ตรงตามความต้องการของผู้วิจัยหรือผู้พัฒนาหลักสูตร เป็นข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับการ คัดเลือก การเฝ้าดู และการจดบันทึกลักษณะพฤติกรรม หรือความเป็นไปของส่ิงหรือเร่ืองท่ีเราศึกษา อย่างเปน็ ระบบ การสังเกตพฤติกรรมของมนุษย์ จัดเป็นเทคนิควิธีหน่ึงของการเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น การสังเกตพฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ของครูผู้สอน หรือของผู้เรียนในสถานศึกษา ใน ประเดน็ ใดประเดน็ หน่ึง เป็นต้น โดยทัว่ ไปการสังเกตพฤตกิ รรมสามารถดาเนนิ การได้ดังน้ี การสังเกตแบบมีส่วนร่วม เป็นการสังเกตท่ีผู้วิจัยหรือผู้ท่ีทาหน้าที่เก็บรวบรวม ข้อมูลจะต้องเข้าไปเป็นส่วนหน่ึงของสถานการณ์ที่เราต้องการจะสังเกต เช่น ผู้บริหารสถานศึกษา เข้าไปสังเกตพฤติกรรมการสอนของครูในขณะปฏิบัติหน้าที่ภายใต้บทบาทหน้าท่ีการให้การนิเทศ ภายในสถานศกึ ษาของผู้บริหาร แล้วนาข้อมูลทไ่ี ด้ไปใชใ้ นงานวจิ ัยเพื่อการพัฒนาประสิทธภิ าพการสอน ของครใู นสถานศึกษา หรอื พฒั นาหลักสูตรเพื่อการพฒั นาประสทิ ธภิ าพการสอนของครูในสถานศึกษา ฯลฯ การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม เป็นการสังเกตท่ีผู้วิจัยหรือผู้ท่ีทาหน้าท่ีเก็บ รวบรวมข้อมูลเพ่ือเข้าไปเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ ในสภาพเปิดทั่ว ๆ ไป โดยไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับ เหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนแต่อย่างใด เช่น ผู้บริหารสถานศึกษาเฝ้าสังเกตพฤติกรรมแก้ไขความขัดแย้ง ระหว่างนักเรียนด้วยกันของครูฝ่ายปกครอง เพ่ือนามาเป็นข้อมูลการวิจัยเพ่ือพัฒนายุทธศาสตร์การ แก้ไขความขัดแย้งระหว่างนักเรียนด้วยกันของสถานศึกษา หรือพัฒนาหลักสูตรเพื่อสร้างความ ปรองดองของนกั เรียน ฯลฯ การสังเกตท้ังสองประเภทนี้ อาจใช้เคร่ืองมือที่เหมือนกันหรือแตกต่างกันได้ตามความ เหมาะสม โดยเครื่องมือที่ใช้เพื่อการสังเกต สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ แบบสังเกตแบบ ไร้โครงสรา้ ง และแบบสงั เกตแบบมโี ครงสรา้ ง การเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสังเกต อาจดาเนินการโดยเปิดเผย หรือซ่อนเร้นก็ได้ ขึน้ อยู่กับวตั ถุประสงค์และเรอื่ งทกี่ าลงั ศกึ ษา อย่างไรก็ตาม การเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสังเกตแบบ ซ่อนเร้น ในบางกรณีอาจมีปัญหาด้านจริยธรรมและข้อกฎหมายเกิดขึ้นได้ นอกจากน้ี การสังเกตอาจ ถกู ใช้เป็นวิธีเสริมสาหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยเทคนิคอื่น ๆ เชน่ นักวิจัยหรือนักพฒั นาหลกั สูตร 39
อาจใช้การสังเกตควบคู่ไปกับการสัมภาษณ์ หรือการสอบถามโดยใช้แบบสอบถาม เพ่ือเป็นดัชนีที่ ชี้ให้เห็นถึงคุณภาพของข้อมูลท่ีได้จากเคร่ืองมือเหล่าน้ัน ซึ่งผลท่ีได้จากการสังเกตน้ี สามารถนามาใช้ เปน็ ข้อมูลในการวจิ ารณ์ผลท่ไี ด้จากการศึกษาด้วยเชน่ กัน อย่างไรกต็ าม หากจาเป็นต้องเก็บข้อมูลเป็น จานวนมาก ก็อาจจะไม่สามารถใช้การสังเกตร่วมได้ในทุกกรณี จึงมีคาแนะนาว่า ผู้เก็บข้อมูลควรจัด สัดส่วนของการสงั เกตท่ีเปน็ สว่ นเสรมิ ของเก็บรวบรวมขอ้ มูลแบบอนื่ ๆ ใหเ้ หมาะสมกบั งาน 3. การสมั ภาษณ์ การสัมภาษณ์ เป็นเทคนิควิธีการรวบรวมข้อมูลวิธีหน่ึงซึ่งเป็นการเก็บข้อมูลจากแหล่ง ปฐมภูมิโดยอาศัยการเผชิญหน้า (face-to-face) โดยอาจเป็นการสัมภาษณ์แบบเด่ียวเป็นรายบุคคล หรืออาจสัมภาษณ์เป็นกลุ่มก็ได้ แต่ผู้ให้ข้อมูลจะให้ข้อมูลจากปากของตนเอง ในยุคปัจจุบัน การ สัมภาษณ์อาจดาเนินการโดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศช่วย เช่น การสัมภาษณ์ผ่านระบบการ ประชุมทางไกล (Video Conference) แต่สิ่งท่ีสาคัญคือ จะต้องมีการเผชิญหน้ากันเสมอ และผู้ถูก สมั ภาษณ์จะต้องทาหน้าทเ่ี ป็นผ้ใู หข้ ้อมูลด้วยตนเองเสมอ การเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ อาจทาการจดบันทึกคาตอบไว้บนกระดาษ หรืออาจใช้ การบันทึกเสียงของผู้ให้สัมภาษณ์โดยตรงเลยก็ได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยมารยาทและจรรยาบรรณของ นักวิจัย/นักพัฒนาหลักสูตร หากมีการบันทึกเสียงของผู้ให้สัมภาษณ์ นักวิจัย/นักพัฒนาหลักสูตรควร ต้องขออนญุ าตผถู้ ูกสัมภาษณ์ก่อนเสมอ ส่ิงที่นักวิจัย/นักพัฒนาหลักสูตรควรให้ความสาคัญเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลด้วยการ สมั ภาษณ์ คอื การเก็บข้อมลู อยา่ งเป็นระบบ เนอื่ งจากในการสัมภาษณแ์ ตล่ ะคร้งั ผู้ถกู สัมภาษณ์อาจมี การตอบนอกประเด็นไปบ้าง ด้วยเหตุนี้ การจัดเตรียมลาดับและการต้ังคาถามไว้ล่วงหน้าอย่างเป็น ระบบจึงเปน็ สงิ่ จาเปน็ โดยท่วั ไป การสมั ภาษณ์ สามารถแบง่ ออกได้เป็น 3 ประเภท คอื 1) การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured Interview) เป็นการสัมภาษณ์ท่ีมีการ ใช้แบบฟอร์มท่ีมีการเตรียมการ มีแผนการสัมภาษณ์ และการบริหารการสัมภาษณ์จัดเตรียมไว้อย่าง ค่อนข้างแน่นอนเป็นการล่วงหน้า การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างนี้มีลักษณะการดาเนินงานท่ีเป็น มาตรฐานหรือเป็นทางการมาก ผู้ให้สัมภาษณ์ทุกคนจะตอบคาถามเดยี วกัน และถามคาถามก่อนหลัง เรยี งตามลาดับเหมอื นกนั ผู้สัมภาษณ์จะต้องอา่ นคาถามตามลาดบั ในแบบสมั ภาษณ์ 2) การสัมภาษณ์แบบไร้โครงสรา้ ง (Unstructured Interview) เปน็ การสัมภาษณ์ที่มี ความยืดหยุ่นสงู เปน็ การเปิดกว้าง และไมเ่ ปน็ ทางการมากนกั ผู้สมั ภาษณจ์ ะถามเร่อื งใดก่อนหรอื หลัง กไ็ ด้ รวมท้ังไม่จาเป็นต้องถามคาถามเหมือนกันทุกคนก็ได้ ผู้สัมภาษณ์มีอิสระในการถามและสามารถ ปรับเปลยี่ นการซกั ถามให้เหมาะสมกบั ผใู้ หส้ ัมภาษณ์แตล่ ะคนได้ 40
3) การสัมภาษณแ์ บบกงึ่ โครงสรา้ ง (Semi-structured Interview) เปน็ การสัมภาษณ์ ทีม่ ีลกั ษณะก่งึ ๆ ระหวา่ งการสัมภาษณ์แบบที่ 1 และแบบท่ี 2 4. การสอบถาม การสอบถาม ในท่ีนี้หมายถึง การเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งปฐมภูมิ โดยการใช้ แบบสอบถามเปน็ เคร่ืองมือ การใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล นับเปน็ วิธกี ารเก็บรวบรวม ข้อมูลเพื่อการวิจัยหรือการพัฒนาหลักสูตรท่ีได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในสาขาวิชาต่าง ๆ ทั้ง สายสังคมศาสตร์ และวทิ ยาศาสตร์ แบบสอบถามจาแนกได้เป็น 2 ชนดิ ใหญ่ ๆ คอื 1) แบบสอบถามปลายเปิด (Open-ended questionnaires) เป็นคาถามที่ไม่ได้ กาหนดคาตอบไว้ให้เลือก แต่เปิดโอกาสให้ผู้ตอบตอบคาถามด้วยสานวนของตนเองอย่างเสรี ทาให้ สามารถแสดงความคดิ เห็นได้เตม็ ทีแ่ ละตรงไปตรงมา 2) แบบสอบถามปลายปิด (Close-ended questionnaires) เป็นคาถามที่มีคาตอบ ให้ผตู้ อบเลอื กคาตอบทีจ่ ัดเตรยี มไว้ให้แล้ว โดยอาจเป็นการทาเครอ่ื งหมายบางประการ เช่น () หรือ เครอ่ื งหมาย () เปน็ ต้น ลงหนา้ ข้อความหรือในชอ่ งทตี่ รงกับความเป็นจริง หรือความคิดเห็นของตน ซ่งึ แบบสอบถามแบบปลายปดิ มีหลายรูปแบบ เชน่ 2.1 แบบให้เลือกตอบตัวเลือกท่ตี รงกับความเป็นจริง หรอื ความคิดเห็นของตนเพยี ง คาตอบเดียวจาก 2 คาตอบ ลักษณะคาตอบ เช่น ใช่ ไม่ใช่ ชอบ ไม่ชอบ จริง ไม่จริง ทราบ ไม่ทราบ เคย ไมเ่ คย เป็นตน้ 2.2 แบบให้เลือกคาตอบท่ีตรงกับความเป็นจริง หรือความคิดเห็นของตนเพียง คาตอบเดยี วจากหลายคาตอบ (มากกวา่ 2 คาตอบ) 2.3 แบบให้เลือกคาตอบที่ตรงกับความเป็นจริง หรือความคิดเห็นของตนได้หลาย คาตอบ ดังตัวอย่าง ท่านเคยได้รับความรู้เก่ียวกับโรคเอดส์จากท่ีใดบ้าง (ตอบได้หลายคาตอบตาม ความเปน็ จริง) ข้อเด่นข้อด้อยของการสอบถามกับการสมั ภาษณ์ วิธีการ ขอ้ เด่น ขอ้ ดอ้ ย การสัมภาษณ์ สามารถใช้ได้กับกลุ่มผใู้ ห้ข้อมูลที่มี จานวนผถู้ กู สัมภาษณ์มีผลตอ่ คาตอบ ความรดู้ ี และไมม่ ีความรู้ ท่ีได้ เปิดโอกาสใหม้ ีการซักถามเพื่อปรับ ข้อมูลที่ได้อาจด้อยกวา่ ข้อมลู ท่ไี ดจ้ าก ความเขา้ ใจในประเด็นคาถามตา่ ง ๆ การสังเกต มอี ตั ราการตอบสูงกวา่ เมื่อเทียบกับ การเขยี นตอบ 41
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198