Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการเรียนรู้ออนไลน์ วิชาประวัต้ิศาสตร์ไทย

แผนการเรียนรู้ออนไลน์ วิชาประวัต้ิศาสตร์ไทย

Published by Sorraphak Oumket, 2021-04-18 08:44:12

Description: แผนการเรียนรู้ออนไลน์ วิชาประวัต้ิศาสตร์ไทย

Search

Read the Text Version

1 แผนการจดั การรยี นรู้ออนไลน์รายวิชา สค 32034 ประวัตศิ าสตรช์ าตไิ ทย ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย ตามหลักสตู รการศึกษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 ศนู ยก์ ารศกึ ษานอระบบและการศึกษามอัธยาศัยอาเภอเมืองสมุทรสาคร สานกั งาน กศน.จังหวัดสมุทรสาคร

2 คานา แผนการจัดการเรียนรู้เล่มนี้ จัดทาขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน กลุ่มสาระ การเรียนรู้ สาระพัฒนาสังคมและชุมชน รายวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย รหัสวิชา สค 32034 ระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ มีการจัดกิจกรรมและการวัดผลประเมินผลที่หลากหลาย สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้และตัวช้ีวัดตามหลักสูตรแกนกลาง พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ สาระพฒั นาสงั คมและชมุ ชนซงึ่ ประกอบด้วยหน่วยการเรียนรู้ จานวน 5 หน่วย ดังนี้ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เรื่อง ความภูมิใจในความเป็นชาตไิ ทย หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 2 เรอ่ื ง การประยุกต์ใช้วธิ กี ารทางประวตั ิศาสตร์ หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 3 เรอื่ ง พระราชกรณยี กิจของพระมหากษัตริย์ไทย สมัยรัตนโกสนิ ทร์ หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 4 เร่อื ง มรดกไทยสมัยรตั นโกสินทร์ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 5 เรื่อง การเปลย่ี นแปลงของชาติไทยสมยั รตั นโกสินทร์ หวังว่าแผนการจัดการเรยี นรู้เล่มน้ี คงจะมีประโยชน์ต่อครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้ความรู้พ้ืนฐาน บ้างไม่มากก็น้อย ในการใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและการจัดทาแผนการเรียนรู้ นอกจากน้อี าจจะทาใหก้ ารศกึ ษาของชาตมิ กี ารพัฒนามากข้ึน ขอขอบพระคุณผทู้ เ่ี กี่ยวขอ้ งทุกท่านท่ีมสี ่วนทาให้แผนการจดั การเรยี นรนู้ ีส้ าเร็จลงด้วยดี ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย อาเภอเมอื งสมุทรสาคร พฤษภาคม 2562

3 สารบญั หนา้ คาอธิบายรายวิชา และรายละเอียดคาอธิบายรายวิชา ผลการวเิ คราะห์รายละเอยี ดคาอธิบายรายวชิ า แผนการจัดการเรียนรู้แบบพบกลมุ่ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 1 เรอ่ื ง ความภมู ิใจในความเป็นชาติไทย แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 2 เรอื่ ง การประยกุ ต์ใช้วธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์ แผนการจัดการเรียนร้แู บบเรียนรู้ดว้ ยตนเอง แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 1 เร่อื ง พระราชกรณยี กจิ ของพระมหากษัตริย์ไทย สมัยรัตนโกสินทร์ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 2 เรอ่ื ง มรดกไทยสมัยรัตนโกสินทร์ แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 3 เรือ่ ง การเปล่ยี นแปลงของชาติไทยสมัยรตั นโกสนิ ทร์ บรรณานุกรม คณะผจู้ ัดทา

4 คาอธบิ ายรายวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย (สค 32034) สาระการพัฒนาสังคมและชุมชน ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย จานวน 3 หนว่ ยกิต (120 ชั่วโมง) มาตรฐานการเรยี นรูร้ ะดบั มีความรคู้ วามเข้าใจ ตระหนักเกย่ี วกับ ภูมศิ าสตรป์ ระวตั ศิ าสตรเ์ ศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครองในโลก และนามาปรับใช้ในการดาเนินชีวติ เพื่อความม่ันคงของชาติ ศกึ ษาและฝึกทกั ษะเกย่ี วกบั ความภมู ิใจในความเปน็ ไทย การประยุกตใ์ ชว้ ธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์ บุญคุณของแผ่นดิน มรดกไทยสมยั รัตนโกสนิ ทร์ และการเปลี่ยนแปลงของชาติไทยสมยั รตั นโกสินทร์ การจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ การจดั กระบวนการการเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตร์ชาติไทย ม่งุ เน้นใหผ้ ู้เรียนสร้างองค์ความรู้ เกิดจิตสานึก รัก และ ภาคภูมิใจในความเป็นไทยทเี่ กดิ จากการแลกเปลี่ยนเรยี นรู้จากการอภิปรายกลุ่ม การสอบถาม การสัมภาษณ์ และการสืบค้นข้อมลู โดยใชว้ ิธีการทางประวัติศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การคน้ คว้าอิสระ การใชป้ ัญหา เป็นฐาน โครงงาน โครงการจากเอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ผูเ้ ช่ียวชาญ สอื่ เทคโนโลยี และการเรียนรู้ จากประสบการณ์ตรงโดยใช้สถานการณ์หรือเหตุการณจ์ ริง และ จากแหล่งเรยี นรจู้ ากทางประวตั ศิ าสตร์ท่ี เก่ียวข้องกับชาตไิ ทย การวดั และประเมนิ ผล การสอบถาม การสัมภาษณ์ การประเมินชนิ้ งาน การสงั เกตพฤติกรรมการเรยี นรู้ การนาเสนอผลงาน การ รายงาน การอภิปราย แบบบันทึกการเรียนรู้ แบบรายงานตนเอง และแบบทดสอบ

5 รายละเอียดคาอธิบายรายวิชา สค32034 ประวตั ศิ าสตร์ชาตไิ ทย จานวน 3 หนว่ ยกิต ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย มาตรฐานการเรยี นรู้ระดบั - มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ตระหนกั เกีย่ วกบั ภูมิศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การ ปกครองใน โลก และนามาปรบั ใชใ้ นการดาเนินชีวิต เพ่อื ความม่นั คงของชาติ ที่ หัวเรอ่ื ง ตัวชวี้ ัด เนือ้ หา จานวน ชัว่ โมง 5. อธบิ ายความสาคญั ของ 5. บุญคณุ ของพระมหากษัตรยิ ์ไทย ต้ังแต่ สถาบันพระมหากษัตริย์ สมยั สโุ ขทยั อยธุ ยา ธนบรุ ี และ 6. อธบิ ายและยกตัวอยา่ งที่ รัตนโกสินทร์ แสดงถงึ ความภาคภมู ใิ จ 5.1 สมัยสโุ ขทัย 7. บอกบญุ คุณของ 5.2 สมัยอยุธยา พระมหากษตั ริยไ์ ทยตงั้ แต่ 5.3 สมยั ธนบุรี สมยั สโุ ขทยั อยธุ ยาและ 5.4 สมัยรตั นโกสนิ ทร์ รัตนโกสนิ ทร์ 2. การประยกุ ต์ใชว้ ิธีการทาง 1.อธบิ ายความหมาย 1. ความหมาย ความสาคญั และประโยชน์ 36 ประวัติศาสตร์ ความสาคญั และประโยชน์ ของวธิ ีการทางประวัตศิ าสตร์ ของวธิ ีการทาประวัติศาสตร์ 2. อธิบายวธิ กี ารทาง 2. วธิ กี ารทางประวัตศิ าสตร์ ประวตั ิศาสตร์ 2.1 การกาหนดหวั เร่อื งทีจ่ ะศกึ ษา/การ 3. ประยุกต์ใชว้ ิธีการทาง ตั้งประเด็นท่ีจะศกึ ษา ประวัตศิ าสตร์ในการศึกษา 2.2 การรวบรวมหลกั ฐาน/สืบค้นและ ประวตั ศิ าสตรท์ ่ีสนใจ รวบรวมขอ้ มลู 2.3 การประเมินค่าของหลกั ฐาน/การ วิเคราะหแ์ ละตีความข้อมลู ทาง ประวตั ิศาสตร์ 2.4 การวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และจดั หมวดหมขู่ ้อมลู 2.5 การเรียบเรยี งและนาเสนอข้อมลู 2.6 ตัวอยา่ งการนาวิธกี ารทาง ประวตั ศิ าสตร์มาใช้ศกึ ษา เรอื่ งราวทาง ประวตั ิศาสตรไ์ ทย

6 3. อธบิ ายพระราชกรณียกิจ 1.พระราชกรณยี กจิ ของ 1. พระราชกรณียกจิ ของพระมหากษตั รยิ ์ 27 24 ของพระมหากษตั รยิ ไ์ ทย พระมหากษตั ริยไ์ ทยสมยั ไทยสมยั รตั นโกสนิ ทร์ สมยั สมัยรตั นโกสินทร์ รัตนโกสนิ ทร์ 2.อธิบายคณุ ประโยชน์ ของ 2. คุณประโยชน์ของบคุ คลสาคัญ บุคคลสาคญั ที่มตี อ่ การ 2.1 กรมพระราชวังบวร พฒั นาชาติไทย มหาสรุ สิงหนาท 3. วเิ คราะหค์ ณุ ประโยชน์ 2.2 ทา้ วสรุ นารี ของบคุ คลสาคญั ทม่ี ีผลต่อ 2.3 สมเด็จเจา้ พระยามหาศรสี รุ ยิ วงศ์ การพฒั นาชาติไทย (ชว่ ง บุนนาค) 2.4 กรมพระยาดารงราชานภุ าพ 4. เขียนบรรยายคุณค่าที่ 2.5 กรมหลวงชมุ พรเขตอดุ มศักด์ิ ได้รับจากการศกึ ษา 2.6 พระยาอนุมานราชธน ประวัติศาสตรช์ าตไิ ทย 4. มรดกไทยสมยั 1. อธบิ ายความหมายและ 1. ความหมายและความสาคญั ของมรดก รัตนโกสินทร์ ความสาคญั ของมรดกไทย ไทย 2. ยกตวั อย่างมรดกไทย 2. มรดกไทยสมยั รตั นโกสินทร์ สมยั รัตนโกสนิ ทรไ์ ด้อย่าง 2.1 ด้านสถาปตั ยกรรม นอ้ ย 3 เรอ่ื ง 2.2 ด้านประตมิ ากรรม 2.3 ดา้ นจติ รกรรม 2.4 ด้านวรรณกรรม 2.5 ดา้ นดนตรี และนาฏศิลป์ 2.6 คา้ นประเพณี 2.7 ด้านการแตง่ กายและอาหาร 2.8 ตวั อย่างการมีสว่ นรว่ มการอนรุ ักษ์ มรดกไทยสมัยรตั นโกสนิ ทร์ 3. วเิ คราะหม์ รดกไทยสมัย 3. มรดกไทยทม่ี ีผลต่อการพฒั นา การ รตั นโกสินทรท์ ่ีมผี ลตอ่ ชาติ พัฒนาชาตไิ ทย ไทย 4. อธบิ ายความหมาย 4. การอนุรักษม์ รดกไทย ความสาคญั ของการอนุรกั ษ์ มรดกไทย 5. ยกตัวอย่างการมสี ่วนรว่ ม 5. การมีสว่ นรว่ มในการอนรุ กั ษม์ รดกไทย ในการอนรุ ักษ์มรดกไทย

7 5. การเปลยี่ นแปลงของชาติ 1. วิเคราะหเ์ หตกุ ารณ์ 1. เหตกุ ารณส์ าคัญทางประวตั ศิ าสตร์ทม่ี ี 18 ไทยสมยั รตั นโกสนิ ทร์ สาคัญทางประวตั ิศาสตร์ ผลต่อการพัฒนาชาตไิ ทย ท่มี ีผลตอ่ การพฒั นาชาติ 1.1 การสถาปนาอาณาจักร ไทย รตั นโกสินทร์ 1.2 สนธสิ ญั ญาเบาวร์ งิ่ 1.3 การปฏริ ูปการปกครองในสมัย รชั กาลท่ี 5 1.4 การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 1.5 ความเป็นชาติไทยสมยั จอมพล ป. พบิ ลู สงคราม 2. อภิปรายและนาเสนอ 2. ตัวอย่างการวเิ คราะห์และอภิปราย เหตุการณส์ าคัญทาง เหตกุ ารณส์ าคัญทางประวตั ศิ าสตร์ทม่ี ผี ล ประวัตศิ าสตรท์ ม่ี ผี ลต่อการ ตอ่ การพัฒนาชาติไทย พัฒนาชาติไทย

8 การวเิ คราะหร์ ายละเอียดคาอธบิ ายรายวิชาประวตั ิศาสตรช์ าติไทย สค32034 จานวน 3 หนว่ ยกติ (120 ชั่วโมง) ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย หวั เร่อื ง ตวั ช้วี ัด เนอ้ื หา จานวน กระบวนการเรยี นรู้ 1. อธบิ ายความหมาย และ (ชว่ั โมง) พบกลุ่ม เรียนรดู้ ว้ ย 1.ความภมู ิใจ ความสาคญั ของสถาบนั หลัก 1. สถาบนั หลักของชาติ ในความเป็น ของชาติ 1. ชาติ 15 ตนเอง ชาติไทย 1.1 ความหมาย 69 2. อธบิ ายความเป็น มาของ ชนชาตไิ ทย ความสาคญั ของชาติ 3. บอกพระปรชี าสามารถของ 1.2 ความเปน็ มาของชนชาติ พระมหากษัตริย์ไทยกบั การ รวมชาติ ไทย 1.3 การรวมไทยเป็นปึกแผ่น 1.4 พระมหากษัตรยิ ์กบั การ รวมชาติ 2. ศาสนา 2.1 ศาสนาพทุ ธ 2.2 ศาสนาคริสต 2.3 ศาสนาอสลิ าม 2.4 ศาสนาซิกข 2.5 ศาสนาฮนิ ดู 3. พระมหากษัตริย์ 3.1 องค์อุปถัมภ์ของศาสนา 3.2 การปกครอง 3.3 การเสียสละ 3.4 พระปรชี าสามารถ 2. บทสรปุ สถาบนั พระมหา กษัตรยิ ์ เป็นศูนยร์ วมใจของคนใน ชาติ

9 3. บุญคุณของพระมหากษัตริย์ ไทยตั้งแต่สมัยสุโขทยั อยธุ ยา ธนบรุ ี และรัตนโกสินทร์ 3.1 สมยั สุโขทยั 3.2 สมัยอยธุ ยา 3.3 สมัยธนบุรี 3.4 สมัยรตั นโกสินทร์ 4. อธบิ ายความสาคญั ของ สถาบันศาสนา 5. อธิบายความสาคัญ ของ สถาบนั พระมหากษตั ริย์ 6. อธบิ ายและยกตวั อย่างที่ แสดงถงึ ความภาคภูมิใจใน ความเปน็ ไทย 7. บอกบญุ คุณของ พระมหากษัตรยิ ์ไทยต้งั แต่ สมัยสโุ ขทยั อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ 2. การ 1. อธิบายความหมาย 1. ความหมาย ความสาคัญ และ 36 6 30 ประโยชนของวธิ ีการทาง ประยุกต์ใช้ ความสาคญั และประโยชน ประวตั ิศาสตร์ 2. วิธีการทางประวตั ศิ าสตร์ วธิ กี ารทาง ของวิธกี ารทางประวัติศาสตร์ 2.1 การกาหนดหวั เรื่องท่ีจะ 2. อธิบายวธิ ีการทาง ศึกษา/การตั้งประเดน็ ทจ่ี ะศึกษา ประวตั ศิ าสตร์ ประวตั ศิ าสตร์ 2.2 การรวบรวมหลกั ฐาน/สบื คน้ และรวบรวมขอ้ มูล 3. ประยุกต์ใช้วิธกี ารทาง 2.3 การประเมินคา่ ของหลกั ฐาน/ การวิเคราะห์และตีความข้อมูล ประวตั ศิ าสตร์ ในการศกึ ษา ทางประวตั ศิ าสตร์ 2.4 กาวเิ คราะห์ สงั เคราะห และ เรื่องราวทางประวตั ิศาสตร์ท่ี จดั หมวดหมู่ สนใจ

10 2.5 การเรยี บเรียงและนาเสนอ ข้อมลู 3. ตัวอย่างการนาวธิ ีการทาง ประวัติศาสตร์ มาใช้ศึกษา ประวัตศิ าสตรไ์ ทย 3.พระราช 1. อธิบายพระราชกรณียกจิ 1. พระราชกรณียกจิของ 27 6 21 กรณยี กิจของ ของพระมหากษตั รยิ ไ์ ทยสมยั พระมหากษัตริย์ไทยสมยั พระมหากษตั รตั นโกสินทร์ รตั นโกสนิ ทร์ รยิ ์ไทย สมยั 2. อธบิ ายคุณประโยชนข์ อง 2. คุณประโยชนของบุคคลสาคัญ รัตนโกสนิ ทร์ บคุ คลสาคญั ท่มี ตี ่อการพฒั นา ชาตไิ ทย 2.1 กรมพระราชวงั บวรมหา 3. วเิ คราะห์พระมหา สุรสงิ หนาท กรุณาธคิ ณุ ของ พระมหากษัตรยิ ไ์ ทยทม่ี ีผลตอ่ 2.2 ท้าวสุรนารี การพัฒนาชาติไทย 2.3 สมเด็จเจาพระยามหาศรสี ุ 4. เขยี นบรรยายคุณค่า ริยวงศ (ชวง บนุ นาค) ที่ได้รับจากการศึกษา 2.4 กรมพระยาดารงราชานุ ประวัตศิ าสตรช์ าติไทย ภาพ 2.5 กรมหลวงชมุ พรเขตอุดม ศักด์ิ 2.6 พระยาอนุมานราชธน

4.มรดกไทย 1. อธิบายความหมายและ 1. ความหมายและความสาคัญ 24 11 สมยั ความสาคญั ของมรดกไทย ของมรดกไทย 6 18 รัตนโกสินทร์ 2. ยกตวั อย่างมรดกไทยสมัย 2. มรดกไทยสมัยรตั นโกสนิ ทร์ รัตนโกสนิ ทร์ได้อยา่ งนอ้ ย 3 2.1 ดา้ นสถาปัตยกรรม เร่อื ง 2.2 ด้านประตมิ ากรรม 2.3 ดา้ นจติ รกรรม 3. วิเคราะห์ มรดกไทยสมยั 2.4 ด้านวรรณกรรม รตั นโกสนิ ทร์ทมี่ ีผลตอ่ การ 2.5 ดา้ นดนตรี และนาฏศิลป พัฒนาชาตไิ ทย 2.6 ด้านประเพณี 4. อธบิ ายความหมาย 2.7 ด้านการแต่งกายและอาหาร ความสาคญั ของการอนุรักษ์ มรดกไทย 2.8 ตัวอย่างการมสี ว่ นรว่ ม 5. ยกตัวอย่างการมีสว่ นร่วม การอนรุ ักษ์มรดกไทย สมยั ในการอนุรักษ์มรดกไทย รัตนโกสินทร์ 3. มรดกไทยทม่ี ีผลต่อการพัฒนา ชาตไิ ทย 4. การอนุรกั ษ์มรดกไทย 5. การมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ มรดกไทย 5.การ 1. วิเคราะห์เหตุการณสาคัญ 1. เหตุการณสาคัญทาง 18 6 12 เปลยี่ นแปลง ทางประวัติศาสตร์ท่มี ีผลต่อ ของชาติไทย การพฒั นาชาติไทย ประวตั ศิ าสตร์ ทีม่ ีผล สมัย รัตนโกสินทร์ ต่อการพฒั นาชาติไทย 1.1 การสถาปนาอาณาจกั ร รตั นโกสนิ ทร์ 1.2 สนธสิ ญั ญาเบาวริง 1.3 การปฏิรปู การปกครองใน สมัยรัชกาลที่ 5 1.4 การเปลี่ยนแปลงการ ปกครอง 2475

12 2. อภิปรายและนาเสนอ 1.5 ความเปน็ ชาตไิ ทยสมัย เหตกุ ารณสาคัญทาง จอมพล ป.พิบลู สงคราม ประวัติศาสตร์ ที่มผี ลต่อการ 2. ตวั อยา่ งกาวเิ คราะห์และ พฒั นาชาติไทย อภิปรายเหตกุ ารณสาคัญทาง ประวตั ศิ าสตร์ท่ีมีผลตอ่ การ พฒั นาชาติไทย

13 แผนการจัดการเรียนรู้ออนไลน์ รายวิชา ประวัติศาสตร์ชาติไทย (สค32034) ระดบั มัธยมตอนปลาย จานวน 3 หนว่ ยกติ จานวน 120 ชั่วโมง บทที่ 1 เรอ่ื ง ความภูมิใจในความเปน็ ชาติไทย จานวน 15 ช.ม. 1. ตัวชว้ี ดั 1.อธบิ ายความหมายความสาคญั ของสถาบันหลักของชาติ 2.อธิบายความเป็นมาของชนชาติไทย 3. บอกพระปรีชาสามารถของพระมหากษตั ริยไ์ ทยกบั การรวมชาติ 4. อธบิ ายความสาคญั ของสถาบนั ศาสนา 5. อธิบายความสาคัญของสถาบันพระมหากษตั ริย์ 6. อธิบายและยกตวั อย่างที่แสดงถงึ ความภาคภูมใิ จในความเป็นไทย 7. บอกบุญคุณของพระมหากษตั รยิ ์ไทยต้ังแต่สมัยสุโขทยั อยุธยา ธนบรุ ี และรตั นโกสินทร์ 2.เนือ้ หา “ความภมู ใิ จในความเปนไทย” วลนี เ้ี ปนส่งิ ท่ีรัฐบาล องคกรปกครอง พยายามใหเกดิ ขนึ้ กบั ประชาชน ภายในประเทศมาตลอดในหลายยุคหลายสมัย เพราะความภูมใิ จในความเปนคนไทยในความเปนชาตไิ ทยน้ัน จะเปนการสรางแรงผลักดันท่ีสาคัญตอการดาเนินชีวิตของผูคนและการพัฒนาชาติใหมีความเจริญรุงเรือง ม่ันคง และเขมแข็ง ประเทศไทยมีประวัติความเปนมาทยี่ าวนาน ผานการเปนที่ต้ังของมนษุ ยและการรวมตวั ของชุมชนมาตั้งแตยุคกอนประวัติศาสตร กอกาเนิดเปนความเชื่อ วิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรมที่สืบตอมา อยางยาวนาน มีหลายเหตุการณ หลายอุปสรรคที่ผูคนและเหลาบรรพบุรุษไดรวมกัน “สรางบานแปงเมือง” จนกระท่ังมีชนชาติไทยและประเทศไทยอันนาภาคภูมิใจปรากฏอยูในทุกวันนี้ และการท่ีจะเขาใจ ถึงความ เปนชาติไทยน้ัน จะเกิดขึ้นไมไดถาผูเรียนไมไดเร่ิมตนจากการศึกษาประวัติความเปนมาของความ เปนชาติ ไทยเสยี กอน วัตถุประสงค์ 1. เพอ่ื ให้ผู้เรยี นอธิบายความหมาย และความสาคญั ของสถาบันหลักของชาติ 2. เพื่อให้ผเู้ รียนอธบิ ายความเป็น มาของชนชาติไทย 3. เพอ่ื ให้ผเู้ รยี นบอกพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ไทยกับการรวมชาติ 4. เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนอธบิ ายความสาคัญของสถาบนั ศาสนา 5. เพื่อใหผ้ เู้ รียนอธบิ ายความสาคญั ของสถาบันพระมหากษตั ริย์ 6. เพอ่ื ให้ผู้เรียนอธบิ ายและยกตวั อยา่ งที่แสดงถงึ ความภาคภูมิใจในความเปน็ ไทย 7. เพื่อให้ผเู้ รยี นบอกบญุ คุณของพระมหากษัตริย์ไทยต้ังแต่สมัยสุโขทยั อยธุ ยา ธนบรุ ี และ

14 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ ซ่อื สตั ยส์ จุ รติ มีวินัย ใฝเ่ รียนรู้ มุง่ มัน่ ในการทางาน รกั ความเป็นไทย และมจี ิต สาธารณะ 3.ข้ันตอนการจัดกระบวนการเรียนรู้ ข้นั ตอนที่ 1 การกาหนดสภาพปัญหา ความต้องการในการเรียนรู้ จดั กิจกรรมการเรยี นรู้ (จานวน 6 ช่วั โมง) ขน้ั การสร้างความสนใจ (Engage) 1. ครูผู้สอนสนทนาแลกเปลย่ี นเรยี นรู้กับผเู้ รยี นเรอ่ื งสถาบันหลกั ของชาติ ผ่าน google classroom 2. ครูผสู้ อนใหผ้ ้เู รียนฟงั เพลงปลกุ ใจ ครูผสู้ อนตั้งคาถาม วา่ ผู้เรยี นคิดอย่างไรกับเพลงลกั ษณะนี้ ผ่าน google classroom 3. ครูตรวจสอบผ้เู รียนทเ่ี ข้าร่วมการเรียนออนไลน์ 4. ครูใหผ้ ูเ้ รยี นทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น เรื่อง การรจู้ กั ตนเอง ผ่าน Google form ขั้นตอนที่ 2 การแสวงหาข้อมลู และ กจิ กรรมการเรียนรู้ ครใู ห้ผเู้ รยี นศึกษาหาความรู้ หนว่ ยที่ 1 ความภูมใิ จในความเป็นชาตไิ ทย ผ่าน google classroom ใหผ้ ู้เรียน ดูคลปิ วดี ที ัศนก์ ารเสยี ดนิ แดน 14 ครงั้ หรือผูเ้ รยี นดูจากโทรศัพทม์ ือถือของตนเอง และใหต้ อบคาถามเก่ยี วกบั การเสยี ดนิ แดนในแต่ละคร้ังวา่ เกิดขน้ึ ในรชั กาลใดแลว้ เขยี นคาตอบในกระดาษ ครูผสู้ อนและผเู้ รียนรว่ มกันอภปิ รายสรปุ หาคาตอบและเชือ่ มโยงการนาเขา้ สคู่ วามเปนมาของชนชาตไิ ทย เวบ็ ไซด์http://gg.gg/nhtxl

15 ขน้ั ตอนท่ี 3 การปฏิบัติและการนาไปประยุกต์ใช้ - ครแู ละผู้เรยี นศึกษาใบความรู้ท่ไี ด้รบั - ครใู ห้ผูเ้ รียนทาใบงานเรื่อง การรู้จกั ตนเอง และนัดสง่ งานใน Google classroom เรื่องท่ี 1 ความหมาย ความสาคญั ของชาติ เรื่องท่ี 2 ความเปนมาของชนชาติไทย เร่อื งท่ี 3 การรวมไทยเปนปกแผน เรอื่ งที่ 4 พระมหากษัตรยิ ไทยกบั การรวมชาติ เรอ่ื งท่ี 5 ศาสนา ในสมยั สุโขทยั อยธุ ยา ธนบุรี และรัตนโกสนิ ทร์ - ครูตอบข้อซักถามหากผูเ้ รียนมขี อ้ สงสัย ผา่ น Application Line - ครแู ละผูเ้ รยี นร่วมกนั สรปุ - ครนู ดั หมายการเข้าเรยี นออนไลนค์ ร้ังต่อไป - ครใู ห้ผ้เู รยี นจัดทาแบบทดสอบหลงั เรียน ผ่าน Google form 4. สื่อ อุปกรณ์ และแหล่งเรียนรู้ 4.1 ใบความรู้ เร่อื ง การรจู้ ักตนเอง 4.2 ใบงาน 4.3 สือ่ ทางอินเทอร์เน็ต 5. การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ 5.1 ใบงาน 5.2 แบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรยี น ออนไลน์ รูปแบบ Google form ผ้เู รยี นสง่ งานผ่าน Google classroom ในชั้นเรียนของครผู สู้ อน

16 ใบความรทู้ ่ี 1 เรอื่ งท่ี 1 สถาบนั หลักของชาติ สถาบนั หลกั ของชาติ ประกอบด้วย ชาติ ศาสนา และพระมหากษตั ริย์ ซ่ึงเป็นสถาบันที่อยู่กับ สงั คมไทยมาชา้ นาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบนั พระมหากษัตริย์ซง่ึ เปน็ เสาหลกั ในการสรา้ งชาติใหเ้ ปน็ ปกึ แผน่ เปน็ ศูนย์รวมจิตใจของปวงชน เป็นบ่อเกิดของความรัก ความสามัคคี นาพาประเทศชาติให้ผา่ นพน้ ภยั นานาประการ ไมว่ ่าจะเปน็ ภัยรกุ รานของประเทศอื่น ภยั จากการลา่ อาณานิคมและการแผข่ ยายลทั ธกิ าร ปกครอง อีกท้งั สถาบนั พระมหากษัตรยิ ์มีบทบาทสาคญั ในการพัฒนาความเปน็ อยูข่ องประชาชนในทั่วทุก ภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างย่ิงในท้องถ่นิ ทีห่ ่างไกลสง่ ผลใหม้ ีการยกระดับคณุ ภาพชีวติ ของประชาชนในทุกมิติ และเป็นรากฐานให้ประเทศชาตมิ คี วามม่ันคงสืบมาจนถงึ ปัจจบุ นั ชนชาติไทยในอดีต จงึ ถือวา่ สถาบันพระมหากษตั รยิ ์ เปน็ สถาบนั สูงสุดของชาตทิ ่ีมบี ทบาทสาคัญใน การเปน็ ผู้นา รวมประเทศชาตใิ หเ้ ป็นปกึ แผน่ และพระมหากษตั ริย์ทุกพระองคป์ กครอง ดูแลและบรหิ าร ประเทศชาตโิ ดยใชห้ ลกั ธรรม ท่ีเป็นคาสอนของศาสนา ดว้ ยความเข้มแขง็ ของสถาบันพระมหากษัตรยิ ์ ท่ีมี ความศรทั ธาเลอื่ มใสในสถาบันศาสนา ท่ีเป็นเสมือนเครื่องยึดเหน่ียวทางจติ ใจใหค้ นในชาติประพฤตปิ ฏบิ ัติ ในทางทีด่ ีงาม เพราะทกุ ศาสนาล้วนแตส่ อนให้คนประพฤติ และคอยประคับประคองจติ ใจให้ดงี าม มีความ ศรทั ธาในการบาเพ็ญตนตามรอยพระศาสดาของแต่ละศาสนา และเม่ือพระมหากษัตริยเ์ ปน็ ผทู้ ่ีประพฤติตน อยู่ในธรรม และปกครองแผน่ ดนิ โดยธรรมแล้ว ไพรฟ่ า้ ประชาราษฎร์ต่างอยูด่ ้วยความร่มเยน็ เป็นสขุ จึงทาให้ สถาบันชาติ ท่เี ป็นสญั ลกั ษณเ์ ปรียบเสมือนอาณาเขตผนื แผ่นดนิ ทเี่ ราอยู่อาศัย มคี วามม่ันคง พัฒนาและยืน หยดั ไดอ้ ยา่ งเท่าเทยี มอารยประเทศ ดงั นน้ั สถาบนั ชาติ สถาบันศาสนา และสถาบนั พระมหากษัตริย์ จึงเปน็ สถาบนั หลกั ของชาติไทย ท่ไี ม่สามารถแยกจากกันได้ สามารถยึดเหน่ยี วจติ ใจของปวงชนชาวไทยและคนใน ชาติมาจวบจนทุกวันน้ี “ชนชาตไิ ทย” เป็นชนชาติทม่ี ีรากเหง้าทางประวตั ศิ าสตร์และความเปน็ มาทยี่ าวนานไมแ่ พช้ าตใิ ดใน โลก เรามีแผน่ ดินไทยท่อี ุดมสมบรู ณ์ ในนา้ มีปลา ในนามขี ้าว มพี ชื พนั ธุธ์ ัญญาหารที่อุดมสมบรู ณ์ มภี มู ิอากาศ และภมู ิประเทศที่เปน็ ชยั ภมู ิ อากาศไม่ร้อนมาก ไมห่ นาวมากมีความหลากหลายของแหลง่ ทรพั ยากรธรรมชาติทีส่ มบูรณ์ มที ีร่ าบลมุ่ แม่น้าทอ่ี ุดมสมบูรณเ์ หมาะแก่การเพาะปลูก มีภูเขา มที ะเลทีม่ ี ความสมดุลและสมบรู ณ์เพียบพร้อมเปน็ ท่หี มายปองของนานาประเทศ นอกจากน้ี ชนชาตไิ ทยยังมขี นมธรรม เนียม ประเพณีและวัฒนธรรมท่ีดงี ามหลากหลาย งดงาม เปน็ เอกลักษณ์ของชาติท่ีโดดเด่น ซึง่ สิง่ เหลา่ นี้

17 ลูกหลานไทยทุกคนควรมคี วามภาคภูมิใจท่ีได้เกิดมาเป็นคนไทย ในแผ่นดนิ ไทย แต่ก่อนที่จะสามารถรวมชน ชาติไทยให้เป็นปึกแผน่ ทาให้ลูกหลานไทยไดม้ ีแผน่ ดินอาศัยอยอู่ ย่างรม่ เย็นเปน็ สุขหลายช่วั อายคุ นมาจวบจน ทุกวันน้ี บรรพบุรุษของชนชาติไทยในอดตี ท่านไดส้ ละชีพเพอ่ื ชาติ ใช้เลอื ดทาแผน่ ดนิ ต่อส้เู พ่ือปกป้อง ดนิ แดนไทย กอบก้เู อกราชด้วยหวังไวว้ า่ ลกู หลานไทยตอ้ งมีแผ่นดินอยู่ ไมต่ ้องไปเป็นทาสของชนชาติอื่น ซงึ่ การรวมตวั มาเปน็ ชนชาตไิ ทยทม่ี ีท้งั คนไทยและแผน่ ดนิ ไทยของบรรพบรุ ุษไทยในอดตี ก็ไมใ่ ช่เรื่องที่สามารถ ทาได้โดยง่าย ต้องอาศยั ความรัก ความสามัคคี ความกล้าหาญ ความเสยี สละอดทน และสง่ิ ท่ีสาคัญ คือ ตอ้ ง มีศนู ย์รวมใจทเ่ี ป็นเสมอื นพลงั ในการต่อสู้และผ้นู าที่มีความชาญฉลาดด้านการปกครองและการรบ คือ สถาบันพระมหากษตั ริย์ท่ีอยู่คคู่ นไทยมาช้านาน และหากลูกหลานไทยและคนไทยทกุ คนไดศ้ ึกษาพงศาวดาร และประวตั ิศาสตร์ชาติไทย ก็จะเห็นว่า ดว้ ยเดชะพระบารมีและพระปรชี าสามารถของบูรพมหากษัตริย์ของ ไทยในอดีตทเ่ี ป็นผนู้ าสามารถรวบรวมชนชาติไทยให้เป็นปกึ แผน่ แมว้ า่ เราจะเคยเสยี เอกราชและดินแดนมา มากหมายหลายครง้ั บรู พมหากษัตรยิ ์ไทยกส็ ามารถกอบกเู้ อกราชและรวบรวมชนชาวไทยใหเ้ ป็นปกึ แผน่ ได้ เสมอมา และเหนือส่ิงอน่ื ใดพระมหากษตั ริยไ์ ทยทุกพระองค์ เปน็ พระมหากษัตริย์ทีป่ กครองประเทศชาตดิ ว้ ย พระบารมีและทศพิธราชธรรม ใช้ธรรมะและคาสง่ั สอนของพระพุทธองค์มาเป็นแนวในการปกครอง ทาให้คน ในชาติอยู่รว่ มกนั อยา่ งรม่ เยน็ เป็นสุข สมกบั คาท่วี า่ “ประเทศไทย เป็นประเทศแผน่ ดินธรรมแผน่ ดินทอง” แผ่นดินธรรม หมายถงึ แผน่ ดินทีม่ ีผปู้ ฏบิ ัตธิ รรม และการปฏบิ ัตธิ รรมน้นั หมายถึงการปฏิบัติหน้าท่ี อย่างถูกต้องแผน่ ดนิ ทอง หมายถงึ แผ่นดินทปี่ ระชาชนได้รบั ประโยชน์ และความสขุ อยา่ งทว่ั ถงึ ตามควรแก่ อตั ภาพ ชาติ การจะรบั รู้ความเข้าใจในความเป็นชาติหรอื ความรสู้ ึกทหี่ วงแหนความเปน็ ชาติไดน้ น้ั ผู้เรียนมีความจาเป็นที่ จะตอ้ งเขา้ ใจบริบทของความเปน็ ชาตเิ สยี กอ่ น ดงั นี้ ความหมาย ความสาคญั ของชาติ ชาติ หมายถงึ กลุ่มคนท่มี ีภาษา วฒั นธรรม และเชอื้ ชาติ ประวตั ศิ าสตรเ์ ดยี วกนั หรือใกล้เคยี งกนั มีแผ่นดิน อาณาเขตการปกครอง ที่เปน็ ระบบ เปน็ สัดส่วน มีผ้นู าหรอื รฐั บาลท่ใี ช้อานาจ หรอื มีอานาจอธิปไตยท่ี นามาใช้ในการปกครองประชาชนตามพจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน กลา่ ววา่ ชาติ หมายถงึ ประเทศ ประชาชนท่เี ปน็ พลเมืองของประเทศ กลุ่มชนทีม่ ีความรู้สกึ ในเรอ่ื งเชอ้ื ชาติ ศาสนา ภาษา ประวัติความ เป็นมา ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมอยา่ งเดยี วกนั หรอื อยใู่ นปกครองรัฐบาลเดยี วกนั “ความจงรักภักดตี ่อชาตินั้น คือ ความสานึกตระหนักในคุณของแผน่ ดิน อันเป็นท่ีเกิดที่อาศยั ซึ่งทาให้บุคคลเกดิ ความภูมใิ จในชาติกาเนดิ และมุง่ มน่ั ทีจ่ ะธารงรักษาประเทศชาตไิ ว้ ให้เปน็ อสิ ระมัน่ คงตลอดไป”

18 พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัว (รชั กาลท่ี 9) ในพิธถี วายสัตย์ปฏญิ าณและสวนสนาม ของทหารรักษาพระองค์ ณ ลานพระราชวงั ดุสิต 3 ธนั วาคม พ.ศ. 2529 เมื่อพจิ ารณาคาที่มีความหมายใกล้เคียงกันน้ันกจ็ ะพบว่าคาวา่ “ชาติ” น้นั ใกล้เคยี งกบั คาวา่ “ประเทศ” หรือคาวา่ “รัฐ” อยู่ไม่น้อย คือ หมายถึง ชมุ นุมแห่งมนุษย์ซ่งึ ตั้งอย่ใู นดนิ แดนท่ีมอี าณาเขต แน่นอน มีอานาจอธปิ ไตยท่จี ะใชไ้ ด้อยา่ งอิสระ และมกี ารปกครองอยา่ งเปน็ ระเบยี บเพื่อประโยชนข์ องบรรดา มนุษยท์ ่ีอยู่ร่วมกัน ความเป็นมาของชนชาตไิ ทย เปน็ สงิ่ ทต่ี อ้ งทาความเข้าใจก่อนทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกับความเปน็ มาของชนชาตไิ ทยนัน้ ยงั ไม่มีการสรุปเปน็ ประเด็นท่ี สามารถยืนยันไดช้ ดั เจน เพราะการพจิ ารณาความเป็นมาของชนชาติไทยนั้น ตอ้ งพจิ ารณาจากหลกั ฐานหรือ งานวจิ ยั การคน้ ควา้ ทางวชิ าการท่ีหลากหลายจากนักวิชาการไทยและต่างประเทศ อีกทัง้ ยงั ต้องพิจารณามิติ ทางเอกสาร โบราณคดี เชื้อชาติหรอื ชาติพนั ธุ์ ภาษา และวฒั นธรรม ดังนี้ 1) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพ ข้อมลู ที่ปรากฏในพระนิพนธ์เร่อื ง “แสดง บรรยายพงศาวดารสยาม และลักษณะการปกครองสยามแตโ่ บราณ”เปน็ การนาขอ้ มลู ของนกั วิชาการ ตะวันตกมาประกอบ สรปุ ว่าถิน่ ดั้งเดิมของชนชาติไทยอยูท่ างตอนใต้ของจีน แถบมณฑลยูนนาน กวา่ งโจว กวางสี จนกระท่ังจนี แผ่อิทธิพลทางการปกครองลงมา จนทาให้ผู้คนในบริเวณน้ันต้องอพยพลงมาถึงบริเวณ ลมุ่ แมน่ า้ เจา้ พระยาตอนบน 2) หลวงวจิ ติ รวาทการ ข้อมูลท่เี สนอผ่านผลงานเร่ือง “งานค้นควา้ เรื่องชนชาติไทย” ได้อธบิ ายวา่ ถนิ่ เดมิ ของ ชนชาตไิ ทยอยบู่ รเิ วณตอนกลางของจีนแถบมณฑลเสฉวนต้ังถ่ินฐานกระจัดกระจายตงั้ แต่แนวแม่น้า พรหมบุตรไปจนถึงทะเลจีนใต้แถบอา่ วตังเกย๋ี 3) ข้อมลู ของจติ ร ภมู ศิ ักดิ์ ผ่านผลงานเร่อื ง “ความเป็นมาของคาสยามไทยลาว และขอม และลักษณะทาง สังคมของช่ือชนชาติ” ได้ศึกษาผา่ นการวิเคราะหภ์ าษา และตานานทอ้ งถน่ิ ของภาคเหนือ ได้สรุปว่า ถนิ่ กาเนดิ ของคนไทยนน้ั ครอบคลุมบริเวณกวา้ งใหญ่ทางตอนใตข้ องจีน เวยี ดนาม ลาว เขมร ภาคเหนือของไทย พมา่ ไปจนถงึ รฐั อัสสัมของอินเดีย เนอื่ งจากมพี ้ืนฐานทางนิรุกติศาสตร์ที่คล้ายคลึงกัน 4) ข้อมูลของศาสตราจารย์ ดร.ประเสรฐิ ณ นคร นกั วิชาการคนสาคัญของประเทศไทย ทา่ นได้ศึกษา วิเคราะหจ์ ากหลักฐานของชาวตะวันตกทง้ั ทางด้านภาษาศาสตรป์ ระวัติศาสตร์ โบราณคดี และมานุษยวิทยา รวมไปถงึ การลงพ้นื ท่ีด้วยตนเอง ได้สรุปไว้ว่า ถ่ินเดิมของคนไทยนา่ จะอยูบ่ รเิ วณมณฑลกวางสี ทางใต้ของจนี เนือ่ งจากในเขตดังกลา่ วเป็นพ้ืนที่กลุ่มชนท่มี ีความหลากหลายท้ังทางวฒั นธรรมและประเพณี ข้อมูลประวัติความเป็นมาส่วนใหญจ่ ะอธบิ ายใกลเ้ คียงกนั ในลกั ษณะของการอพยพลงใต้จากจีน แลว้ แผ่ขยายลงหลกั ปักฐานอยใู่ นบรเิ วณกวา้ งทางภาคเหนือของไทยเกิดเปน็ เมืองและเมืองขนาดใหญ่ที่

19 ขยายตัวเปน็ อาณาจักรตามมา กล่าวอกี นยั หนงึ่ ตง้ั แตท่ สี่ มัยไทยอพยพลงมานนั้ ดนิ แดนแหลมทองเป็นท่ีอยู่ ของชนชาตมิ อญ ละวา้ ของขอม พวกมอญอยู่ทางตะวนั ตกของล่มุ แมน่ ้าเจา้ พระยาไปจรดมหาสมุทรอินเดยี พวกละวา้ มีอาณาเขตอยใู่ นบริเวณภาคกลาง มีเมอื งนครปฐมเป็นเมอื งสาคญั พอถงึ พุทธศตวรรษที่ 14 ขอมซึ่ง อย่ทู างตะวันออกมีอานาจมากข้ึนเขา้ ยึดเอาดินแดนพวกละวา้ ไปไวใ้ นอานาจ แล้วแบง่ การปกครองเป็น 2 สว่ น คอื สว่ นภาคเหนือ และส่วนภาคใต้ ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 16 สมดุลอานาจในการแยง่ ชิงพนื้ ท่ีได้ เปลีย่ นแปลงไป มอญกับขอมสูร้ บกันจนเส่อื มอานาจลง และในชว่ งเวลาน้ันสุโขทยั ไดป้ รากฏขนึ้ มาอย่าง ชดั เจนในหนา้ ประวัตศิ าสตร์ไทย จากรอ่ งรอยหลักฐานทางเอกสารทางประวตั ิศาสตร์ตา่ ง ๆ มีการยนื ยันและเชอ่ื ว่าประวัติศาสตรข์ อง ชนชาตไิ ทยในแหลมทอง (Golden Khersonese) เริ่มตน้ เมอื่ ประมาณ พ.ศ. 800(พทุ ธศตวรรษท่ี 8 - 12) เป็นตน้ มา โดยมดี ินแดนของอาณาจกั รและแคว้นต่าง ๆ เช่น อาณาจกั รฟูนัน ต้ังอยูบ่ ริเวณทางทิศตะวนั ตก และชายทะเลของอ่าวไทย และมอี าณาจักรหริภุญชยั ทางเหนืออาณาจักรศรีวชิ ยั ทางใต้ และมีอาณาจักร ทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12) บรเิ วณลมุ่ แมน่ ้าเจา้ พระยาตอนล่าง เป็นตน้ และไดร้ วมตวั เปน็ ปึกแผ่น มี พระมหากษัตรยิ ไ์ ดส้ ถาปนาอาณาจักรสโุ ขทัยเป็นราชธานแี หง่ แรกของชนชาติไทย ราวปี พ.ศ. 1762 โดยพ่อ ขุนศรีนาวนาถม พระราชบิดาของพ่อขนุ ผาเมืองเป็นผูป้ กครองอาณาจกั รจากหลกั ฐานและข้อมูลข้างต้นนี้ รวมถึงสมมตฐิ านของแหล่งอารยธรรมตา่ ง ๆของโลก ซง่ึ สว่ นใหญแ่ หลง่ กาเนิดของชนชาตกิ ลุ่มในอดตี จะอยู่ บริเวณลุ่มแมน่ า้ อาทิ แหลง่ อารยธรรมเมโสโปเตเมีย ตง้ั อยู่บรเิ วณที่ราบลมุ่ ระหวา่ งแม่นา้ ไทกรสิ (Tigris) ทาง ตะวันออก และแม่น้ายูเฟรติส (Euphrates) ทางตะวันตกหรืออารยธรรมอนิ เดียโบราณหรืออารยธรรมลมุ่ แมน่ า้ สนิ ธุ ต้งั อยบู่ ริเวณลุ่มแม่น้า เป็นตน้ ดงั น้นั จงึ มคี วามเป็นไปไดท้ ่ีชนกลุ่มตา่ ง ๆ ทเี่ คยอาศัยในล่มุ แม่น้า เจา้ พระยาหรือบริเวณรอบอ่าวไทย มีการรวมตวั กันเปน็ ปึกแผน่ มกี ารพัฒนาเปน็ ชมุ ชน สังคม และเมอื งจน กลายมาเปน็ อาณาจักรต่าง ๆ ของชนชาติไทยตามพงศาวดาร การรวมไทยเปน็ ปึกแผน่ ภายหลังการล่มสลายของอาณาจกั รอยธุ ยา ใน พ.ศ. 2310 สมเด็จพระเจา้ กรุงธนบรุ ีได้พยายามกอบกูเ้ อกราช และศักด์ศิ รขี องอาณาจกั รกลับคืนมา หลังจากการสถาปนาอาณาจักรธนบุรีขึ้น ต้องเผชญิ กับสงคราม ภายนอกจากกองทัพพม่า และสงครามภายใน คอื การปราบชมุ นมุ ทีแ่ ย่งชงิ ความเปน็ ใหญ่แตกกนั เปน็ ก๊กเปน็ เหล่า ช่วงเวลาผา่ นไปจนถงึ พ.ศ. 2325อาณาจักรรัตนโกสินทร์เปน็ แผ่นดินไทยทพ่ี อจะเรยี กได้วา่ “เป็น ปกึ แผน่ ” ขนึ้ มาบ้าง ถึงแมว้ ่าในเวลาตอ่ มาจะเกิดสงครามเกา้ ทัพท่เี ปน็ ศึกใหญ่ในสมยั รัตนโกสนิ ทร์ แตก่ ็ถือว่า เป็นช่วงแห่งสนั ติสุขมาไดย้ าวนาน ความเปน็ ปกึ แผ่นของความมั่นคงของสยามเด่นชัดมากขนึ้ ในสมยั จอมพล ป.พบิ ูลสงคราม เปน็ นายกรฐั มนตรี มกี ารเปลี่ยนชอ่ื ประเทศจากสยาม เปน็ “ไทย” กล่าวอีกนัยหน่ึง“การสร้างชาติ” ได้เกิดข้นึ

20 อยา่ งสมบรู ณ์ในยคุ สมัยนี้ คือ มีครบทั้งอาณาเขต ดนิ แดน ประชากร อานาจอธปิ ไตย รฐั บาล ไปจนถึง สัญลกั ษณข์ องชาติท่แี สดงถึงเอกลักษณว์ ฒั นธรรมไทย เช่น ภาษาไทย และธงชาติไทย เป็นสิ่งสาคัญท่ีผคู้ นใน ยุคปจั จุบนั จะต้องอนรุ กั ษ์หวงแหนใหส้ ามารถดารงสืบไปในอนาคตแหล่งกาเนดิ ของชนชาตไิ ทย จะอพยพมา จากทีใ่ ด จะมกี ารพิสจู น์หรอื ได้รับการยอมรับหรอื ไม่ คงไม่ใชป่ ระเด็นสาคญั ท่ีจะต้องพสิ ูจนห์ าความจริง คง ปลอ่ ยให้เป็นเรื่องของนักประวตั ิศาสตร์หรือนกั วชิ าการ แต่ความสาคญั อย่ทู ล่ี ูกหลานคนไทยทุกคนทีอ่ าศัยอยู่ บนพ้ืนแผน่ ดนิ ไทย ตอ้ งได้เรยี นรู้และตอ้ งยอมรบั ว่า การรวมชนชาตไิ ทยใหเ้ ป็นปึกแผ่น และอยูส่ ุขสบายจนถึง ปจั จุบันนี้ คนไทยและลูกหลานไทยทุกคนต้องตระหนักถึงบุญคุณของบรรพบุรุษไทยและพระปรีชาสามารถ ของบรู พมหากษตั ริย์ไทยในอดีตทสี ามารถรวบรวมชนชาวไทย ปกป้องรกั ษาเอกราชและรวบรวมชาติไทยให้ เป็นปึกแผ่น จงึ เป็นพระราชกรณียกิจที่สาคัญของพระมหากษตั รยิ ์ไทยในอดีต ซ่ึงหากจะยอ้ นรอยไปศึกษา พงศาวดารฉบบั ตา่ ง ๆ รวมถึงประวตั ิศาสตรช์ าตไิ ทย ตง้ั แต่ยุคก่อนการสถาปนากรงุ สุโขทัย ให้เป็นราชธานี แหง่ แรกของชนชาวไทยแล้ว การสถาปนาราชธานที กุ ยุคทุกสมยั ไม่ว่าจะเป็นการสถาปนากรงุ ศรีอยธุ ยา กรงุ ธนบุรี กรงุ รัตนโกสินทร์ รวมไปถึงการกอบกเู้ อกราชหลงั จากการเสียกรงุ ศรีอยุธยาทั้ง 2 ครั้ง ล้วนเปน็ วรี กรรมและบทบาทอันสาคญั ของพระมหากษตั รยิ ์ไทยท้งั สิ้น พระมหากษตั รยิ ไ์ ทยกับการรวมชาติ การรวมชาติไทยให้เปน็ ปึกแผ่น เป็นบทบาททสี่ าคัญของพระมหากษัตริย์ไทยในอดตี หากรฐั ใดแควน้ ใด ไม่มี ผนู้ าหรอื พระมหากษตั ริย์ท่ีเข้มแขง็ มีพระปรีชาสามารถทั้งด้านการรบการปกครองรวมถึงด้านการค้า เศรษฐกจิ การคลัง รัฐนน้ั หรอื แควน้ น้ัน ยอ่ มมีการเสอื่ มอานาจลงและถูกยึดครองไปเป็นเมอื งขึ้นหรือประเทศ ราชภายใต้การปกครองของชนชาตอิ ่ืน การถูกยดึ ครองหรือไปเปน็ เมืองขน้ึ ภายใตก้ ารปกครองของอาณาจกั ร อืน่ ในอดีต สามารถทาได้หลายกรณี อาทิ การยอมสิโรราบโดยดี โดยการเจริญไมตรีและส่งบรรณาการถวาย โดยไม่มศี ึกสงครามและการเสียเลือดเนื้อ สถาบันพระมหากษัตริย์ ได้มบี ทบาทสาคัญในการรวมชาติให้เป็น ปกึ แผ่น รวมถึงการปกป้องประเทศชาติและมาตุภูมิสืบไว้ให้ลูกหลานไทยได้มีแผ่นดนิ อยู่ ซ่งึ หากชนชาตไิ ทย ในอดีต ไม่มีผูน้ าหรือกษัตรยิ ์ท่มี ีพระปรชี าสามารถ ในวันน้ีอาจไมม่ ชี าตไิ ทยหลงเหลอื อยู่ในแผนท่ีโลก หรอื ชน ชาตไิ ทยอาจตอ้ งตกไปอย่ภู ายใต้การปกครองของชาตใิ ดชาตหิ น่งึ บทบาทของพระมหากษัตริย์ไทยในการรวมชาติ บทบาทของพระมหากษตั รยิ ์ไทยในการรวมชาติ ในสมยั รัชกาลที่ 1 ถงึ รัชกาลที่ 3หรือในสมัยรัตนโกสนิ ทร์ ตอนตน้ นน้ั ความเป็นปึกแผน่ มั่นคงของอาณาจักรเกดิ ขนึ้ จากการปรบั ปรุงการปกครอง ประมวลกฎหมาย การบรู ณปฏิสงั ขรณ์วัดวาอาราม ทานบุ ารงุ พระพุทธศาสนา เกดิ เปน็ ยคุ ทองของการฟน้ื ฟูวรรณคดี นาฏศลิ ป์

21 ดนตรไี ทย การคา้ และความสัมพันธ์ระหวา่ งประเทศมีความเจริญรงุ่ เรอื งโดยเฉพาะกบั จีน เกดิ เปน็ “เงินถุง แดง” ทีน่ ามาใช้ในชว่ งวกิ ฤตของประเทศ ภายหลังความพ่ายแพ้ของอาณาจักรพมา่ และราชวงศ์ชิงของจีนในการทาศึกกับอังกฤษ พระมหากษัตรยิ ไ์ ทย ในช่วงเวลานั้นไดต้ ระหนกั ถึงภัยของ “ลทั ธิล่าอาณานคิ ม” เป็นอย่างดแี ละทรงตระหนักว่าสยามน้ตี อ้ งมกี าร ปรับตัวและพัฒนาตนเองให้รอดพ้นจากภัยรา้ ยจากการคุกคามของชาติตะวันตกทเ่ี ด่นชัดเริ่มตน้ เม่ืออังกฤษ เขา้ มาขอทาสนธิสัญญาเบาวร์ งิ กบั สยาม ในสมัยรัชกาลท่ี 4 ตอ่ มาเกดิ วกิ ฤต ร.ศ. 112 ในสมยั รชั กาลท่ี 5 พระเจ้านโปเลียนท่ี 3 แห่ง ฝรง่ั เศสนาเรือปนื เข้ามาถงึ แม่น้าเจ้าพระยาใกล้พระบรมมหาราชวงั บบี บงั คับให้ สยามยกดินแดนฝง่ั ซา้ ยของแม่นา้ โขงให้อยู่ใต้อาณตั ิของฝรั่งเศส พร้อมทัง้ เรยี กรอ้ งคา่ เสียหายดว้ ยจานวน เงนิ กวา่ 2 ลา้ นฟรงั ก์ เป็นอีกครง้ั ท่อี สิ รภาพของสยามอย่ใู นจุดทอี่ าจตกเป็นเมืองขนึ้ หรืออาณานิคมของ มหาอานาจตะวันตก ในช่วงเวลาดังกล่าวแม้วา่ จะมีภัยรอบดา้ น อรริ าชศตั รูเกา่ อย่างพม่า หรือญวนพา่ ยแพแ้ ก่ชาติ ตะวนั ตกไปแลว้ ถงึ กระน้นั สยามกลับมีความเป็น “ปึกแผ่น” อยา่ งที่ไมเ่ คยมีมาก่อนผ่านการเป็น “สมบรู ณาญาสิทธิราชย์” ของพระมหากษตั ริย์โดยเฉพาะในสมัยรชั กาลที่ 5 ทอ่ี านาจของกษัตรยิ ช์ ว่ ยดล บันดาลใหเ้ กิดความผาสกุ ของราษฎร เกิดเปน็ การ “เลิกระบบไพร่ทาส” ในสมัยรัชกาลท่ี 6 ความเป็นชาตไิ ดเ้ ดน่ ชัดขึน้ ชื่อของประเทศสยามได้รบั การยอมรบั วา่ ทดั เทียมกบั หลายชาติตะวนั ตก เม่ือทรงส่งทหารอาสาชาวสยามเข้าร่วมสงครามโลก ครัง้ ที่ 1ในภาคพ้ืนยโุ รป สถาบนั หลักของประเทศ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ ์ ก็เกดิ ขึ้นในสมัยนส้ี ญั ลกั ษณ์ของชาติ เช่น ธงไตรรงคก์ ็ เกิดขึ้นเพอ่ื เป็นตัวแทนของชาตสิ ยามในโอกาสต่าง ๆ ศาสนา ศาสนา เป็นลทั ธิความเชื่อของมนษุ ย์ เกี่ยวกับการกาเนดิ และส้นิ สุดของโลก หลักศีลธรรมตลอดจนลทั ธพิ ิธีท่ี กระทาตามความเชือ่ นั้น ๆ จะเหน็ ไดว้ ่าแตล่ ะประเทศนน้ั จะยึดคาส่งั สอนของศาสนาเป็นหลักในการปกครอง ประเทศ และมีการกาหนดศาสนาเป็นศาสนาประจาชาติ นอกจากศาสนาจะมีอทิ ธพิ ลต่อการปกครองของ ประเทศแล้วยงั มอี ิทธพิ ลตอ่ วัฒนธรรมของแต่ละประเทศเช่น ประเทศไทยมีการหลอ่ พระพทุ ธรปู เปน็ งาน ศลิ ปะ วัฒนธรรมการไหว้ การเผาศพ วัฒนธรรมเหลา่ นไ้ี ด้รับอทิ ธิพลมาจากศาสนาเหมือนกัน ดังนั้น ศาสนา จงึ เป็นสถาบนั ท่สี าคัญต่อประเทศมาก ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธ ได้เผยแผ่เข้ามาในดนิ แดนประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยพระเถระชาวอนิ เดีย เม่ือประมาณ พ.ศ. 236 โดยการอุปถมั ภข์ องพระเจา้ อโศกมหาราช แห่งอนิ เดียซงึ่ ในขณะนั้นประเทศไทยรวมอยู่ในดนิ แดนท่ี

22 เรียกวา่ สุวรรณภูมิ มอี าณาเขตกวา้ งขวาง มีหลายประเทศรวมกันในดนิ แดนสว่ นน้ี มจี านวน 7 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย พมา่ ศรีลงั กา ญวน กัมพชู าลาว และมาเลเซยี ซงึ่ พระพุทธศาสนาท่เี ข้ามาในครัง้ นั้น เป็น นิกายหินยานหรอื เถรวาทแบบดั้งเดมิ มีพทุ ธศาสนิกชนเลอื่ มใสศรัทธาได้บวชเป็นพระภิกษุเปน็ จานวนมาก และได้สรา้ งวดั สถปู เจดยี ์ไว้สักการะบูชา ต่อมาภายหลงั กษตั รยิ ์ในสมัยศรวี ิชัยทรงนบั ถือพระพุทธศาสนา แบบมหายาน จงึ ทาให้ศาสนาพทุ ธนิกายมหายานเผยแผ่เขา้ มาสดู่ ินแดนประเทศไทยทางตอนใต้ ซ่ึงไดม้ ีการ รบั พระพทุ ธศาสนาทง้ั แบบเถระวาท แบบมหายาน และศาสนาพราหมณ์ท่ีเขา้ มาใหม่ จึงทาใหป้ ระเทศไทยมี ผ้นู บั ถอื พระพทุ ธศาสนาท้ัง 2 แบบ มีพระสงฆ์ทั้ง 2 ฝา่ ย ไดแ้ ก่ นกิ ายเถรวาท และมหายาน จากพงศาวดารและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาท่ีสังคมไทยส่วนใหญ่นบั ถอื มาต้ังแต่ในอดีต และสบื ทอดกันมาเปน็ ช้านาน ดังน้ัน พระพทุ ธศาสนาจงึ มบี ทบาทสาคญั ของวิถชี วี ิตคน ไทย รวมถึงวฒั นธรรมและประเพณี จนประเทศไทยไดช้ ่ือวา่ เป็นศนู ยก์ ลางของพระพุทธศาสนาของโลกโดยมี “พุทธมณฑล” เปน็ ศนู ยก์ ลางแหง่ พทุ ธศาสนาโลกตามมติของการประชมุ องค์การสหประชาชาติ เม่อื วันที่ 20 พ.ค. 2548 ในสมยั รตั นโกสินทร์ พระมหากษัตรยิ ท์ กุ พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธคิ ุณตอ่ สถาบันศาสนา มาเป็นลาดับ อาทิ เมื่อวนั ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2489 รชั กาลที่ 9 เสดจ็ ขน้ึ ครองราชย์ พระองค์ได้ทรงแสดงพระองค์เปน็ พทุ ธมามกะต่อหน้าสงั ฆมณฑล ณ พระอุโบสถวัดพระศรรี ัตนศาสดาราม โดยมีสมเดจ็ พระสังฆราชเป็นประธา เม่อื วนั ที่ 22 ตลุ าคม พ.ศ. 2494 รัชกาลที่ 9 ทรงปฏิบตั ติ ามโบราณราชประเพณีด้วยการเสด็จทรงออก ผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรตั นศาสดาราม พระองค์ทรงรบั การบรรพชาเปน็ พระภิกษุในพุทธศาสนา ได้รบั สมณนามจากพระอุปัชฌาย์จารวา่ “ภูมพิ โลภิกขุ” จากน้ันเสด็จประทับ ณ พระตาหนักป้ันหยา วดั บวร นิเวศ โดยพระองค์ทรงปฏิบตั พิ ระธรรมวินัย ตามแบบอย่างพระภิกษุโดยเคร่งครัดรัชกาลท่ี 9 ทรงอุปสมบท นาคหลวงมาตลอด โดยเรม่ิ ปีแรกเม่ือวนั ที่ 6 กรกฎาคมพ.ศ. 2489 ได้เสด็จฯ พระราชดาเนนิ ไปในพระราช พธิ ที รงบาเพญ็ พระราชกุศล ณ พระอุโบสถวัดพระศรรี ตั นศาสดาราม มหี ม่อมเจ้าสุนทรากร วรวรรณ หมอ่ ม เจ้าอาชวดิศดศิ กลุ หมอ่ มราชวงศย์ นั ตเทพ เทวกุล และ นายเสมอ จิตรพันธ์ เปน็ นาคหลวง นอกจากนน้ั รชั กาลที่ 9 ยงั เสดจ็ ฯ พระราชดาเนินไปในงานพธิ ีทางศาสนา ที่ประชาชนและทาง ราชการจัดข้นึ ในที่ตา่ ง ๆ มิได้ขาด อีกทัง้ ยงั ทรงสรา้ งพระพุทธรปู ขึน้ ในโอกาสสาคัญเป็นจานวนมาก ทีร่ ชั กาลที่ 10 ได้ทรงขน้ึ ครองราชย์เปน็ พระมหากษตั รยิ ล์ าดบั ท่ี 10 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ทรง เสด็จพระราชดาเนินไปปฏิบัติพระราชกิจทางพระพุทธศาสนาอยา่ งสม่าเสมอ เช่น เสด็จพระราชดาเนนิ เปล่ียนเครือ่ งทรงพระพุทธมหามณรี ตั นปฏิมากร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตามฤดูกาล เสด็จพระราช ดาเนนิ ไปทรงบาเพ็ญพระราชกศุ ลในวันสาคัญทางพระพทุ ธศาสนา เช่น วันวสิ าขบูชา วนั อาสาฬหบชู า วัน เข้าพรรษา และการถวายผา้ พระกฐนิ หลวงตามวดั ต่าง ๆ เป็นตน้

23 ศาสนาครสิ ต์ ศาสนาครสิ ตเ์ ป็นศาสนาทีพ่ ัฒนาหรอื ปฏิรปู มาจากศาสนายูดาห์ ซงึ่ มปี ระวัติศาสตรม์ าตั้งแตป่ ระมาณ 2,000 ปี ก่อนครสิ ตกาล ชนเผา่ หนึ่งเปน็ บรรพบรุ ุษของชาวยิว ต้งั ถิ่นฐานอยู่ณ ดินแดนเมโสโปเตเมยี มีหวั หน้าเผ่า ชอื่ “อบั ราฮมั ” (อบั ราฮมั เป็นศาสดาของศาสนายูดาห์)ได้อ้างตนวา่ ไดร้ บั โองการจากพระเจ้าใหอ้ พยพชน เผา่ ไปอยูใ่ นดนิ แดนท่เี รยี กวา่ แผน่ ดินคานาอัน(บริเวณประเทศอิสราเอลในปจั จบุ ัน) โดยอับราฮมั กลา่ วว่า พระเจ้ากาหนดและสญั ญาให้ชนเผ่านีเ้ ป็นชนชาตทิ ยี่ ่ิงใหญต่ อ่ ไป การท่ีพระเจา้ สัญญาจึงก่อใหเ้ กิดพันธสัญญา ระหวา่ งพระเจา้ กบั ชนชาวยวิ ดังนน้ั ในเวลาต่อมาจึงเรยี กคัมภรี ์ของศาสนายดู าห์และศาสนาครสิ ตว์ า่ “พนั ธ สัญญา” ศาสนาคริสต์เข้ามาในประเทศไทยยุคเดียวกบั การลา่ อาณานิคมของลัทธจิ กั รวรรดินิยมโดยเฉพาะ อย่างยงิ่ ชาวโปรตุเกส ชาวสเปน และชาวดตั ช์ ทกี่ าลงั บกุ เบกิ เอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ซ่งึ นอกจากกลมุ่ ทม่ี ี จุดประสงค์ คือ ลา่ เมืองข้นึ และเผยแพรศ่ าสนาพร้อมกนั เชน่ จกั รวรรดอิ าณานิคมฝร่งั เศส มาไดเ้ มอื งข้ึนใน อินโดจนี เชน่ ประเทศเวยี ดนาม กมั พูชา ลาว โดยลกั ษณะเดียวกบั โปรตเุ กสและสเปน ในขณะท่ีประเทศไทย รอดพน้ จากการเปน็ เมืองข้ึน สว่ นหน่งึ อาจเพราะการเปดิ เสรีในการเผยแพร่ศาสนา ทาให้ลดความรนุ แรงทาง การเมืองลง ศาสนาครสิ ต์ที่เผยแพร่ในไทยเป็นคร้งั แรกเป็นนกิ ายโรมนั คาทอลิก ปรากฏหลกั ฐานว่าในปี พ.ศ. 2110 (ค.ศ. 1567) มมี ชิ ชนั นารี คณะดอมินิกนั 2 คน เข้าสอนศาสนาใหช้ าวโปรตเุ กส รวมถงึ ชาวพนื้ เมืองท่ี เปน็ ภรรยา ศาสนาคริสต์ได้รับพระราชทานพระบรมราชปู ถัมภเ์ ช่นเดียวกับศาสนาอ่ืน โดยรัชกาลท่ี 9 ทรงอดุ หนนุ กิจการ ของศาสนาคริสต์ตามวาระโอกาสต่าง ๆ อยเู่ สมอ สามารถสร้างโรงเรยี นโรงพยาบาล โบสถแ์ ละประกอบ ศาสนกิจได้ท่วั ทุกภาคของประเทศ ได้เสด็จพระราชดาเนินไปในงานพิธีสาคญั ๆ ของศาสนาคริสตเ์ ป็นประจา ทส่ี าคญั ทสี่ ดุ คือ เสดจ็ พระราชดาเนนิ เยอื นนครรฐั วาติกัน เมอื่ ครง้ั เสดจ็ พระราชดาเนินเยือนทวีปยุโรปเม่ือ 1 ตลุ าคม พ.ศ. 2503 เพ่ือกระชับพระราชไมตรีระหวา่ งประเทศไทยกบั คริสตจักร ณ กรุงวาตกิ ัน เมือ่ พระสันตะปาปา จอห์น ปอล ท่ี 2 ประมุขแหง่ คริสตจักรโรมันคาธอลกิ เสดจ็ เยือนประเทศไทย อยา่ งเป็นทางการในฐานะพระราชอาคันตุกะ เม่ือวันที่ 10 - 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2527ครง้ั นั้นนบั ว่าเป็นกรณี พเิ ศษอยา่ งยิ่ง เพราะไม่เคยปรากฏมาก่อนวา่ ประมุขคริสตจักรโรมนั คาทอลิกจะเสดจ็ มาเยือนประเทศไทย เชน่ น้ี ไดเ้ สด็จออกทรงรบั ณ พระที่น่ังจักรมี หาปราสาทอย่างสมพระเกียรติ สาหรบั รัชกาลที่ 10 พระองคเ์ สดจ็ พระราชดาเนนิ แทนพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู พิ ลอ ดุลยเดช ไปเปน็ องค์ประธานในพธิ ีเปดิ อาคารคริสตจักร ใจสมาน เมอ่ื วันท่ี 30 เมษายน พ.ศ. 2522 เสดจ็ พระราชดาเนินแทนพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดลุ ยเดช ไปรบั เสดจ็ พระสันตะปาปา จอหน์ ปอล ที่ 2 ในโอกาสเสดจ็ เยือนประเทศไทยอยา่ งเป็นทางการ ณ ท่าอากาศยานกองบัญชาการกองทัพอากาศ

24 ศาสนาอสิ ลาม ศาสนาอสิ ลาม เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยตงั้ แต่ยุคสมยั สุโขทัย และชว่ งกรุงศรีอยธุ ยาเร่ือยมา โดยกลมุ่ พ่อค้าชาวมุสลิมในคาบสมทุ รเปอร์เซียท่เี ขา้ มาค้าขายในแหลมมลายู (อินโดนเี ซยี และมาเลเซยี ) ไดน้ าศาสนา อิสลามเขา้ มา ภายหลงั คนพืน้ เมอื งจงึ ไดเ้ ปลีย่ นมานับถือศาสนาอสิ ลาม และบางคนเปน็ ถึงขุนนางในราช สานกั ในช่วงตน้ กรงุ รตั นโกสินทร์มีชาวมสุ ลมิ อพยพมาจากมลายแู ละเปลี่ยนสัญชาติเปน็ ไทย นอกจากนยี้ ังมี ชาวมุสลิมอินเดียท่เี ข้ามาตั้งรกรากรวมถึงชาวมุสลิมยูนนานท่หี นีภยั การเบยี ดเบยี นศาสนาหลังการปฏิวตั ิ คอมมวิ นิสต์ในประเทศจนี ศาสนาอิสลามในประเทศไทย จึงเตบิ โตอย่างรวดเรว็ โดยสถิติระบวุ ่าประชากร มสุ ลมิ มจี านวนประมาณ 2.2 ล้านคน ถึง 7.4 ล้านคน กอ่ นปี พ.ศ. 2505 กงศุลแห่งประเทศซาอุดิอาระเบีย ได้เข้าเฝ้ารัชกาลท่ี 9 เพื่อถวายคัมภรี อ์ ัลกุ รอาน ฉบบั ที่มคี วามหมายเป็นภาษาอังกฤษ โดยรัชกาลท่ี 9 ทรงมพี ระราชดารวิ ่า ควรจะมีคัมภรี ์อลั กรุ อาน ฉบับความหมายภาษาไทย ให้ปรากฏเป็นศรีสง่าแก่ประเทศชาติ เมื่อนายตว่ น สวุ รรณศาสน์ จุฬาราชมนตรี ในสมยั นนั้ เปน็ ผู้นาผูแ้ ทนองคก์ ารสมาคม และกรรมการอิสลามเข้าเฝ้าถวายพระพรในนามของชาวไทย มุสลมิ ในวนั เฉลมิ พระชนมพรรษาปีนนั้ รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระกระแสรบั ส่ังใหจ้ ุฬาราชมนตรี แปลความหมาย ของพระมหาคมั ภีร์อัลกรุ อานจากคัมภีร์ฉบบั ภาษาอาหรับโดยตรง สง่ิ น้ีเป็นพระมหากรุณาธิคุณท่ที รงมตี ่อ ศาสนาอสิ ลาม และทรงเป็นองค์อัครศาสนปู ถัมภกอย่างแท้จริ ในชว่ งเวลาที่จฬุ าราชมนตรแี ปลพระมหาคัมภรี ์ถวาย ทุกคร้งั ท่ีเข้าเฝา้ รัชกาลท่ี 9 จะทรงแสดงความ หว่ งใยตรสั ถามถงึ ความคืบหน้า อุปสรรค ปัญหาท่เี กิดขึน้ และทรงมีพระราชประสงค์ท่จี ะใหพ้ ิมพเ์ ผยแพร่ ใน ปี พ.ศ. 2511 อันเปน็ ปีครบ 14 ศตวรรษแหง่ อลั กุรอาน ประเทศมุสลมิ ทุกประเทศต่างก็จัดงานเฉลิมฉลองกัน อยา่ งสมเกียรติ ประเทศไทยแม้จะไมใ่ ช่ประเทศมุสลมิ แต่ไดม้ ีการจัดงานเฉลิมฉลอง 14 ศตวรรษแหง่ อัลกุ รอานข้นึ ณ สนามกีฬากิตติขจร เม่อื วันที่ 16 มนี าคม พ.ศ. 2511 เปน็ วันเดยี วกนั กบั การจัดงานเมาลดิ กลาง ในปีน้ันพระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภมู ิพล อดุลยเดช พร้อมด้วยสมเดจ็ พระนางเจา้ สิรกิ ติ ิ์ พระบรมราชนิ นี าถเสด็จเป็นองค์ประธานในพธิ ี และในวนั น้ันเป็นวันเรมิ่ แรกท่ีพระมหาคัมภีร์อลั กุรอาน ฉบบั ความหมายภาษาไทย ไดพ้ ิมพ์ถวายตามพระราชดาริและได้พระราชทานแกม่ สั ยิดตา่ ง ๆ ทว่ั ประเทศ โดนเน้น ยา้ ดงั น้ี 1. การแปลพระคมั ภีรอ์ ลั กรุอานเป็นภาษาไทย ขอใหแ้ ปลอยา่ งถูกต้อง 2. ขอให้ใช้สานวนเป็นภาษาไทยทีส่ ามญั ชนท่วั ไปอ่านเข้าใจได้ นอกจากนใี้ นงานได้มีการพระราชทานรางวลั โลเ่ กยี รตคิ ุณ และเงินรางวลั แก่ผูน้ าศาสนาอิสลามประจามสั ยดิ ตา่ ง ๆ และทรงมพี ระราชดาริใหม้ กี ารสนับสนุนการจดั สร้างมัสยดิ กลางประจาจังหวดั ขน้ึ โดยให้รฐั บาล

25 จัดสรรงบประมาณแผ่นดนิ สาหรับจัดสรา้ ง ขณะน้ีได้สร้างเสร็จเรยี บรอ้ ยแล้วใน 4 จังหวัดภาคใต้ ซึง่ รชั กาลท่ี 9 ทรงเสด็จพระราชดาเนนิ ไปเปน็ องคป์ ระธานในพิธีด้วยพระองค์เองรัชกาลท่ี 10 หรือ “สมเด็จพระบรม โอรสาธริ าช เจา้ ฟา้ มหาวชิราลงกรณ สยามมกฎุ ราชกุมาร”ในขณะนนั้ ได้ทรงเคยปฏิบัติพระราชกรณยี กิจ ทงั้ เสดจ็ พระราชดาเนินในฐานะผแู้ ทนพระองค์ และในฐานะของพระองค์เอง ได้แก่ ทรงเป็นผแู้ ทนพระองค์เปดิ งานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทย เสดจ็ พระราชดาเนินเยือนมัสยดิ กลางจังหวดั ปตั ตานี เพื่อพระราชทานถว้ ย รางวลั การทดสอบการอัญเชิญพระมหาคัมภรี ์อัลกรุ อาน และโดยเสด็จรชั กาลท่ี 9 ไปจงั หวัดนราธิวาส และ พระราชทานพระคมั ภีร์อัลกุรอาน และคาแปลเป็นภาษาไทยแกค่ ณะกรรมการอิสลาม ศาสนาซกิ ข์ ชาวซกิ ขส์ ่วนมากยดึ อาชพี ค้าขายอิสระ บา้ งก็แยกย้ายถนิ่ ฐานทามาหากินไปอยูต่ า่ งประเทศบ้าง และเดนิ ทาง ไปมาระหวา่ งประเทศ ในบรรดาชาวซกิ ข์ดังกลา่ ว มพี ่อคา้ ชาวซกิ ขผ์ ้หู นงึ่ ชือ่ นายกริ ปาราม มาคาน ได้ เดินทางไปประเทศอฟั กานสิ ถาน เพอ่ื หาซ้ือสินค้าแล้วนาไปจาหน่ายยังบ้านเกิด สนิ คา้ ที่ซื้อคร้ังหน่งึ มีมา้ พันธ์ุ ดรี วมอยู่ดว้ ยหน่งึ ตวั เมอ่ื ขายสินค้าหมดแลว้ ไดเ้ ดนิ ทางมาแวะท่ปี ระเทศสยาม โดยนาม้าตวั ดงั กลา่ วมาด้วย และมาอาศยั อย่ใู นพระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริยส์ ยาม ไดร้ ับความอบอุน่ ใจเปน็ อย่างย่ิง ดงั นน้ั เมื่อเขามีโอกาสเขา้ เฝ้าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั (รชั กาลที่ 5) เขาจงึ ได้กราบบังคมทลู นอ้ ม เกล้าฯถวายม้าตัวโปรดของเขาแด่พระองค์ ดว้ ยความสานกึ ในพระมหากรุณาธิคณุ พระบาทสมเดจ็ พระ จุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั จงึ เห็นในความจงรักภกั ดีของเขา พระองค์จึงได้พระราชทานชา้ งใหเ้ ขาหนึง่ เชือก ตลอดจนขา้ วของเคร่อื งใช้ทจ่ี าเปน็ ในระหว่างเดนิ ทางกลบั อนิ เดยี เม่อื เขาเดนิ ทางกลบั มาถงึ อินเดียแลว้ เห็นวา่ ของทเ่ี ขาได้รบั พระราชทานมาน้นั สงู ค่าอยา่ งย่ิงควรทีจ่ ะ เกบ็ รกั ษาใหส้ มพระเกียรตยิ ศแหง่ พระเจา้ กรุงสยาม จึงไดน้ าชา้ งเชือกนน้ั ไปถวายพระราชาแห่งแคว้นแคช เมยี ร์ พรอ้ มทง้ั เล่าเร่ืองท่ตี นไดเ้ ดินทางไปประเทศสยาม ได้รบั ความสขุ ความสบายจากพ่ีนอ้ งประชาชนชาว สยาม ซึง่ มีพระเจา้ แผ่นดนิ ปกครองด้วยทศพิธราชธรรมเป็นท่ยี กยอ่ งสรรเสริญของประชาชน ถวายการขนาน นามของพระองค์วา่ พระปิยมหาราช พระราชาแหง่ แคว้นแคชเมียรไ์ ดฟ้ ังเรื่องราวแล้วมีความพอพระทยั อย่างยิ่งทรงรับช้างเชือกดงั กลา่ ว เอาไวแ้ ลว้ ข้ึนระวางเปน็ ราชพาหนะ พร้อมกบั มอบแกว้ แหวนเงนิ ทองใหน้ ายกริ ปารามมาดาม เป็นรางวัล จากน้นั ไดเ้ ดินทางกลบั บา้ นเกิด ณ แคว้นปัญจาป แต่ครัง้ นเ้ี ขาได้รวบรวมเงนิ ทอง พรอ้ มทงั้ ชักชวนเพื่อน ให้ ไปตง้ั ถน่ิ ฐานอาศัยอยู่ใตร้ ่มพระบรมโพธิสมภารพระเจา้ กรุงสยามตลอดไป รัชกาลที่ 9 เสดจ็ พระราชดาเนนิ ทรงเปน็ องค์ประธานในงานฉลองครบรอบ 500 ปี แห่งศาสนาซิกข์ ตามคาอัญเชิญของสมาคมศรีครุ ุสงิ หส์ ภา โดยในปี พ.ศ. 2550 มศี าสนิกชน ชาวซกิ ขอ์ ยูใ่ นประเทศไทย

26 ประมาณสามหม่ืนคน ทุกคนต่างมุ่งประกอบสมั มาอาชพี ภายใต้พระบรมโพธสิ มภารแหง่ พระมหากษัตรยิ ์ไทย ดว้ ยความมั่งค่งั สุขสงบทงั้ กายและใจ โดยทัว่ หนา้ ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู ถือเป็นอกี ศาสนาหน่ึงท่ีมีความเก่าแก่ และอย่คู ู่ประเทศไทยมาเป็นระยะเวลา ยาวนาน เข้าไปมสี ่วนในพิธีสาคญั ๆ โดยเฉพาะพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น พระราชพธิ บี รมราชาภิเษก ทเ่ี ปน็ พระ ราชพธิ ีสถาปนาพระมหากษัตรยิ ์ขนึ้ เป็นสมมตเิ ทพปกครองแผ่นดินเปน็ ใหญ่ในทิศทั้งแปด และเป็นการ ประกาศใหป้ ระชาชนทราบโดยทวั่ กัน ตามคติพราหมณจ์ ะประกอบพิธีอัญเชิญพระเป็นเจ้า เพ่อื ทาการ สถาปนาให้พระมหากษัตรยิ ์เปน็ สมมติเทพ ดารงธรรมสิบประการ ปกครองประเทศด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ด้วยเหตุน้พี ระมหากษัตรยิ ท์ กุ พระองคจ์ งึ ทรงมีพระมหากรุณาธิคณุ ในการส่งเสริม และอุปถมั ภก์ จิ การของ ศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดูในประเทศไทยด้วยดีเสมอมา ในสมัยรัชกาลท่ี 9 ทรงให้การสนบั สนนุ กิจการต่าง ๆ ของศาสนิกชนในศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู ท่ี เข้ามาอยู่ใต้เบ้ืองพระบรมโพธิสมภารในประเทศไทยอีกดว้ ย ดังเหน็ ไดจ้ ากการเสดจ็ พระราชดาเนินไปทรง ร่วมกจิ กรรมทจ่ี ัดขน้ึ โดยศาสนิกชนชาวอินเดียท่นี บั ถือศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู รวมทงั้ การเสดจ็ พระราช ดาเนนิ ไปทรงวางศลิ าฤกษแ์ ละเปดิ ศาสนสถานในศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ท่สี าคัญ เชน่ เม่อื วนั ที่ 11 มถิ ุนายน พ.ศ. 2512 พระองค์และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์พิ ระบรมราชนิ ีนาถ เสด็จพระราชดาเนนิ จากพระ ทน่ี ่งั อมั พรสถาน พระราชวังดุสิต ไปทรงเปน็ ประธานในการเปดิ อาคาร “เทพมณเฑยี ร” ณ สมาคมฮินดสู มาช ถนนศิรพิ งษ์ แขวงเสาชิงช้า กรงุ เทพมหานคร รชั กาลที่ 10 หรอื “สมเด็จพระบรมโอรสาธริ าช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร” ในขณะนัน้ ไดเ้ คยเสด็จฯ แทนรชั กาลที่ 9 ไปทรงเจิมเทวรูปพระอศิ วร พระอุมา พระคเณศร์ พระนารายณ์ พระพรหม และพระราชทานเงนิ ให้แก่หัวหน้าคณะพราหมณ์ ผเู้ ป็นประธานในการประกอบพระราชพิธี ตรยี มั ปวาย - ตรปี วาย ณ พระทนี่ ัง่ อัมพรสถาน พระราชวังดุสิต

27 พระมหากษัตริย์ ประเทศไทยมพี ระมหากษัตริยป์ กครองประเทศสืบเนื่องมากว่า 700 ปี ตง้ั แตส่ มยั สุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และ รตั นโกสินทร์ การปกครองโดยระบบกษตั ริย์เป็นวฒั นธรรมท่ีไทยรบั มาจากอินเดยี พร้อมกบั การรับวฒั นธรรม ความเชื่อทางศาสนา โดยไดผ้ สมผสานแนวคิดหลกั 3 ประการเขา้ ดว้ ยกนั คอื แนวคิดในศาสนาพราหมณ์ - ฮนิ ดู ทเ่ี ชอื่ วา่ กษตั ริย์ทรงเปน็ สมมตุ เิ ทพ แนวคิดในพุทธศาสนาทว่ี า่ พระมหากษัตริย์ทรงมสี ถานะเปรียบ ประดจุ พระพุทธเจ้า ทรงเปน็ จกั รพรรดิราช หรอื ธรรมราชา ท่กี อปรดว้ ยราชธรรมหลายประการ อาทิ ทศพธิ ราชธรรม และจักรวรรดิวตั ร 12 ประการ แนวคิดท้งั สองประการดงั กลา่ วน้ี อยู่บนพน้ื ฐานของแนวคิด ประการทีส่ าม คือ การปกครองแบบพอ่ ปกครองลูก ดังปรากฏมาตั้งแต่สมัยสุโขทยั ดว้ ยเหตุน้ีจงึ ทาให้การ ปกครองโดยระบบกษตั ริย์ของไทย มีความเปน็ เอกลกั ษณ์เฉพาะตัวแตกต่างจากประเทศอ่ืน (มลู นิธสิ มเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี, 2554 : พระราชนพิ นธ์คานา) ตามอนสุ ญั ญามอนเตวเิ ดโอว่าดว้ ยสทิ ธิและหนา้ ที่ของรัฐ (The Montevideo Convention on the Rights and Duties of State) ค.ศ. 1393 มาตรา 1 ได้กลา่ วถึงองคป์ ระกอบของรัฐเพ่อื วตั ถุประสงคใ์ นกฎหมาย ระหว่างประเทศวา่ รฐั ประกอบด้วย ประชากรทอี่ ยู่รวมกันอย่างถาวรดินแดนท่ีกาหนดไดอ้ ยา่ งแน่ชัด ความสามารถทีส่ ถาปนาความสมั พันธ์กบั ตา่ งรฐั ได้ (อานาจอธปิ ไตย) และมีรฐั บาล ซ่ึงในการปกครองประเทศ ไมว่ า่ จะเป็นระบอบใดก็ตาม เพื่อให้การปกครองเป็นไปดว้ ยความสงบเรียบร้อย จะต้องมีผู้นาเป็นผู้บรหิ าร ปกครองประเทศ โดยที่ผนู้ าหรือประมุขสูงสดุ ในการปกครองประเทศของนานาอารยประเทศน้ัน จะมีความ แตกตา่ งกนั ไป ท้ังนีอ้ าจขึน้ อยู่กับระบบการปกครอง ประเพณนี ยิ มและธรรมเนียมปฏบิ ตั ิท่สี ืบทอดกนั มา หรือ บางประเทศเกิดการเปลยี่ นแปลงจากรูปแบบการปกครองของประเทศนัน้ ๆ เชน่ มีพระมหากษตั ริยเ์ ป็น ประมุขสงู สดุ หรือมีประธานาธิบดีเปน็ ผู้ปกครองประเทศหรอื รัฐ สาหรับประเทศไทยเรานั้นมี พระมหากษัตรยิ เ์ ปน็ ประมุขสูงสุดในการปกครองประเทศมาตง้ั แต่อดีตกาล

28 ความหมายของคาว่า พระมหากษตั รยิ ์ พระมหากษัตริย์ คอื ประมุขหรือผู้ปกครองสงู สุดของประเทศ จะเห็นได้วา่ ประเทศไทยตั้งแตอ่ ดตี จนถึง ปัจจบุ ันมีพระมหากษตั รยิ ์เป็นประมขุ ปกครองประเทศ อนั เกดิ จากแนวความคิดท่ีว่า แตเ่ ดิมมนุษย์ยงั มีน้อย ดารงชพี แบบเรยี บง่ายอยู่กบั ธรรมชาติ และเม่ือมนุษย์ขยายพนั ธ์ุมากขน้ึ ธรรมชาตติ ่าง ๆ เร่มิ หมดไป เกดิ การ แกง่ แย่งกันทามาหากนิ เกิดปัญหาสงั คมขน้ึ จึงตอ้ งหาทางแก้ไขคนในสงั คมจึงคิดว่าต้องพิจารณาคัดเลือกให้ บุคคลท่ีเหมาะสมและมีความเฉลยี วฉลาด ไดร้ บั การแต่งตัง้ ให้เป็นผู้พจิ ารณาตัดสิน เม่ือเกิดกรณปี ญั หาต่าง ๆ ซงึ่ ต้องปฏิบัตหิ นา้ ท่ีดว้ ยความบรสิ ุทธยิ์ ตุ ิธรรม ทาใหค้ นในสังคมพอใจ และยนิ ดี ประชาชนทงั้ หลายจงึ เปล่ง อทุ านว่า “ระชะ” หรือ “รัชชะ” หรือราชา แปลว่า ผเู้ ป็นที่พอใจประชาชนยนิ ดี ต่อมาเลยเรียกว่า พระราชา ด้วยเหตุทวี่ า่ การกระทา หนา้ ทด่ี ังกล่าวไม่มีเวลาไปประกอบอาชีพ ประชาชนทง้ั หลายพากนั บรจิ าคยกที่ดินให้ จึงเปน็ ผ้มู ที ่ดี ิน มากขนึ้ ตามลาดับ คนทั้งหลายจึงเรียกวา่ เขตตะ แปลวา่ ผู้มที ดี่ ินมาก และเขียนในรูปภาษาสันสกฤษว่า เกษตตะ หรอื เกษตร ในทส่ี ดุ เขียนเปน็ พระมหากษัตรยิ ์ แปลว่า ผ้ทู ี่มที ่ดี ินมาก ดงั นั้นคาว่า พระมหากษตั รยิ ์ ความหมายโดยรวม กค็ ือ ผทู้ ่ียึดครอง หวงแหนและขยายผืนแผ่นดนิ ไว้ใหแ้ ก่ประชาชนหรอื อาณา ประชาราษฎร์ ทีพ่ ระองค์ทรงเสียสละเลอื ดเนอื้ และชวี ิตกอบก้เู อกราชบา้ นเมืองไวใ้ ห้ชนรุ่นหลัง อยา่ งเช่น ประเทศไทยของเรานี้ ถ้าไม่มีพระมหากษัตริยท์ รงยดึ ถอื ครอบครองผนื แผ่นดินไทยไว้ คนไทยทุกคนจะมผี นื แผ่นดินไทยอย่ทู ุกวนั นี้ไดอ้ ย่างไร อนึ่งพระมหากษตั รยิ ใ์ นนานาอารยประเทศทเ่ี ป็นประมุขของรฐั ทไี่ ดร้ ับ ตาแหนง่ โดยการสืบสันตติวงศ์น้นั อาจจาแนกประเภทโดยอาศยั พระราชอานาจ และพระราชสถานะเปน็ 3 ประการ คือ 1. พระมหากษตั ริยใ์ นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) พระมหากษัตริย์ทรงเปน็ ประมุขของรฐั มีพระราชอานาจและพระบรมเดชานภุ าพเด็ดขาด และลน้ พ้นแต่ พระองคเ์ ดยี ว และในอดีตประเทศไทยเคยใช้อยู่กอ่ นการเปลย่ี นแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 2. พระมหากษตั ริยใ์ นระบอบปรมติ าญาสทิ ธริ าชย์ (Limited Monarchy) คอื พระมหากษัตริยท์ รงมีพระราชอานาจทุกประการ เวน้ แต่จะถกู จากัดโดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนญู เช่น ประเทศซาอุดิอาระเบยี เป็นต้น

29 3. พระมหากษัตริยภ์ ายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) คอื ในระบอบน้ีมีพระมหากษัตริย์เปน็ ประมขุ แต่ในการใชพ้ ระราชอานาจดา้ นการปกครองน้ัน ถกู โอนมาเป็นของ รฐั บาล พลเรือน และทหาร พระมหากษัตริยจ์ ึงทรงใช้พระราชอานาจผ่านฝา่ ยนิตบิ ัญญตั ิ ฝ่ายบรหิ าร และ ฝา่ ยตุลาการ พระองค์มิไดใ้ ช้พระราชอานาจ แตม่ ีองค์กรหรอื หน่วยงานรับผิดชอบต่าง ๆกันไป เช่น ประเทศ ไทย อังกฤษ และญี่ปุ่นในปจั จุบัน เปน็ ต้น พระมหากษตั รยิ ์ของไทย หากนับยอ้ นอดตี ประวัติศาสตรไ์ ทยตั้งแตส่ มยั โบราณ คาว่า ”กษตั รยิ ์” หรือนักรบผยู้ ิง่ ใหญ่ ศึกษาได้จากใน สมยั กรงุ สุโขทัยมีการปกครองแบบพ่อปกครองลูก จะมีความใกล้ชดิ กบั ประชาชนมาก เช่น ในสมัยราชวงศ์ พระร่วง กษตั รยิ จ์ ะมีพระนามขึ้นต้นว่า “พ่อขุน” เรียกว่าพ่อขุนศรีอินทราทติ ย์ พ่อขนุ รามคาแหง ในสมัยกรงุ ศรอี ยุธยาได้รับคติพราหมณ์มาจากขอมเรียกว่า เทวราชา หรือ สมมติเทพ หมายถงึ พระมหากษัตริย์ทรงเป็น เทพมาอวตารเพอื่ ปกครองมวลมนุษย์ ทาให้ชนชนั้ กษัตรยิ ์มีสทิ ธอิ านาจมากที่สุดในอาณาจักร และห่างเหิน จากชนชั้นประชาชนมาก ในสมัยราชวงศอ์ ู่ทอง จงึ มีพระนามขึน้ ตน้ วา่ “สมเด็จ” เรียกวา่ สมเดจ็ พระ รามาธบิ ดีที่ 1(พระเจา้ อ่ทู อง) สมเด็จพระราเมศวร หรือในสมัยรัตนโกสนิ ทร์ แหง่ มหาจักรีบรมราชวงศ์ เริ่ม ด้วยรชั กาลท่ี 1 ถงึ รชั กาลปัจจบุ นั คอื รัชกาลท่ี 10 ซ่ึงเปน็ การยกย่องเทิดทลู สถาบนั องค์พระมหากษัตริย์ จึงมี พระนามข้นึ ต้นว่า พระบาทสมเดจ็ เช่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว (รัชกาลที่ 5) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9)ดังน้ันคาว่า “พระมหากษตั รยิ ข์ องไทย” อาจ มคี าเรียกทแี่ ตกต่างกันตามประเพณนี ยิ มหรือธรรมเนยี มที่เคยปฏิบตั ิสืบต่อกันมา เชน่ เรยี กวา่ พระราชา เจ้า มหาชีวิต เจา้ ฟ้า เจา้ แผ่นดินพ่อเมือง พระเจ้าแผน่ ดนิ พระเจ้าอยู่หัว หรอื ในหลวง ฯลฯ และพระมหากษตั รยิ ์ เป็นได้ดว้ ยการสบื สันตตวิ งศ์ หรือโดยการยดึ อานาจจากพระมหากษัตรยิ ์พระองค์เดมิ แล้วปราบดาภิเษก ตนเองข้ึนเป็นพระมหากษตั ริย์ ท้ังนี้ ในการสบื สนั ตตวิ งศ์ต่อกันมาโดยเชอื้ พระวงศ์ เรยี กวา่ พระราชวงศ์ เมื่อ สิ้นสดุ การสืบทอดโดยเชอ้ื พระวงศ์ ดว้ ยเหตอุ น่ื ใดก็ตาม พระมหากษตั รยิ ์พระองค์ใหม่ จะเปน็ ต้นพระราชวงศ์ ใหม่หรือเป็นผ้สู ถาปนาพระราชวงศ์

30 พระมหากษตั รยิ ไ์ ทยกับรัฐธรรมนญู ในอดีตพระมหากษัตรยิ ท์ รงเปน็ เจ้าของชีวิตและเจ้าแผน่ ดิน กลา่ วคอื ทรงพระบรมเดชานุภาพเป็นล้นพ้น โดยหลกั แล้วจะโปรดเกล้าฯ ให้ผู้ใดส้นิ ชวี ิตกย็ อ่ มกระทาได้ และทรงเป็นเจ้าชวี ติ ของที่ดนิ ตลอดทั่ว ราชอาณาจักร แต่เม่ือภายหลังมีการเปล่ียนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ระบบการ ปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธริ าชยเ์ ป็นระบอบประชาธิปไตยซ่ึงมีพระมหากษัตริยท์ รงเปน็ ประมขุ ทา ใหพ้ ระราชสถานะของพระมหากษตั ริย์ได้เปล่ียนแปลงไปด้วยคือ ทรงเปลีย่ นฐานะเปน็ พระมหากษตั รยิ ์ใน ระบอบประชาธิปไตยที่มรี ัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายแมบ่ ทในการใช้พระราชอานาจทัง้ ปวง พระราชสถานะและพระราชอานาจของพระมหากษตั รยิ ์ รปู แบบของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ได้กาหนดไว้ในรัฐธรรมนญู ไทยทุกฉบับอนั เป็นกฎหมาย แมบ่ ทสงู สุดในการปกครองประเทศ จะตอ้ งกลา่ วถงึ สถาบันพระมหากษัตรยิ ์ไวใ้ นรัฐธรรมนญู เพราะรปู แบบ ประมุขของประเทศไทย คือ พระมหากษัตริยท์ ่สี บื เนอื่ งกันมาอย่างยาวนาน ตามประเพณีการปกครองไทยใน ระบอบประชาธปิ ไตยอนั มีพระมหากษตั รยิ เ์ ปน็ ประมขุ และตามรัฐธรรมนญู พระมหากษตั ริย์จะมพี ระราช สถานะและตาแหนง่ หน้าทีต่ า่ ง ๆ มี 2 ประการ คือ 1) พระราชสถานะและพระราชอานาจของพระมหากษตั รยิ ์ทบ่ี ัญญตั ิไว้ในรัฐธรรมนญู เป็นการกล่าวถงึ พระมหากษัตริยต์ ามบทบัญญัติของรัฐธรรมนญู แต่ละฉบับ เชน่ พระมหากษัตรยิ เ์ ปน็ องค์พระประมุข หรือ พระมหากษัตรยิ ์เปน็ อัครศาสนปู ถัมภก รวมท้ังทรงดารงตาแหน่งจอมทัพไทยดงั ปรากฎในพระราชบญั ญัติ ธรรมนูญการปกครองแผน่ ดนิ สยามชว่ั คราว พทุ ธศกั ราช 2475 (พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาประชาธิ ปก พระปกเกล้าเจา้ อยู่หวั ) หมวด 2 กษัตรยิ ์ มาตรา 3 กลา่ ววา่ “กษัตริยเ์ ป็นประมุขสูงสุดของประเทศ พระราชบัญญตั ิก็ดี คาวนิ จิ ฉัยของศาลก็ดี การอ่ืน ๆซึ่งจะมีบางกฎหมายระบไุ วโ้ ดยเฉพาะกด็ ี จะตอ้ งกระทา ในนามของกษัตริย์” และรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2540 (สมเด็จพระปรมินทรมหาภมู ิ พลอดลุ ยเดช สยามินทราธริ าชบรมนาถบพติ ร) หมวดที่ 2 พระมหากษัตรยิ ์ มาตรา 8 กลา่ วว่า “องค์ พระมหากษัตริยท์ รงดารงอยู่ในฐานะอันเป็นท่เี คารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรอื ฟ้องรอ้ ง พระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้” ซึ่งบทบัญญัติเรอ่ื งน้ีได้รับอทิ ธพิ ลมาจากรฐั ธรรมนูญของญป่ี ุ่น ทสี่ อดคล้อง กบั ความคิดความเช่ือของคนไทย ท้งั นี้ด้วยมคี วามประสงค์ทจ่ี ะสาแดงพระราชสถานะอันสงู สุดของ พระมหากษัตรยิ ์ให้ประจักษ์ คติการปกครองประชาธปิ ไตยพระมหากษัตริย์ทรงอยูเ่ หนอื ความรับผิดชอบ ทางการเมอื ง จนเป็นเหตุใหเ้ กดิ หลกั กฎหมายรฐั ธรรมนญู ท่ีว่า “พระมหากษัตริย์ไม่ทรงกระทาผิด” (The King can do no wrong) ซึ่งหมายถึงผู้ใดจะฟ้องร้องหรอื กลา่ วหาพระมหากษตั ริย์ในทางใด ๆ ไม่ได้ ไมว่ า่ จะเปน็ ในทางคดีแพ่งหรือคดีอาญาก็ตาม

31 2) พระราชสถานะและพระราชอานาจของพระมหากษัตริย์ตามประเพณีการปกครอง ตามหลักท่วั ไป พระมหากษัตริยม์ ีพระราชอานาจนอกเหนือจากที่กลา่ วข้างตน้ คอื แต่เดิมพระมหากษตั ริย์มอี านาจสิทธขิ าด ในทกุ ๆ เรื่อง และทุก ๆ กรณแี ต่ผู้เดยี ว ตอ่ มาเมื่อมีรฐั ธรรมนูญเป็นลายลกั ษณ์อักษรจากัดพระราชอานาจ ของพระมหากษตั ริย์ ถ้ากรณีใดไม่มีบทบัญญตั ิไว้ในรฐั ธรรมนญู หรือกฎหมายกา หนดขอบเขตหรอื เง่ือนไข ของการใช้พระราชอา นาจของพระมหากษัตริยไ์ ว้พระมหากษตั รยิ ก์ ็จะยงั คงมีพระราชอานาจเชน่ นั้นอยูโ่ ดย ผลของธรรมเนยี มปฏิบตั ิ (Convention) ซ่งึ มีค่าบังคับเป็นรฐั ธรรมนญู เชน่ เดียวกัน เช่น พระราชอานาจใน ภาวะวกิ ฤต กล่าวคือ เมอ่ื เกิดวกิ ฤตร้ายแรงทางการเมอื งถึงการเผชญิ หนา้ ระหวา่ งฝ่ายตา่ ง ๆ ไม่วา่ จะเปน็ เหตุการณ์ 14 ตลุ าคม 2516 หรอื 17 - 20 พฤษภาคม 2535 ก็ดี จะเห็นวา่ พระมหากษัตริย์ทรงเข้ามาระงับ เหตุรอ้ นใหส้ งบเย็นลงไดอ้ ย่างอศั จรรย์ เป็นตน้ หรอื กรณีพระราชอานาจในการยับยง้ั รา่ งกฎหมาย กรณีของ รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช 2540 โดยหลักแล้ว รา่ งกฎหมายไม่ว่าจะร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพ่ิมเติม รา่ งพระราชบัญญตั ิหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรฐั ธรรมนูญ เม่ือได้รับความเหน็ ชอบจาก รัฐสภาแล้ว นายกรฐั มนตรีตอ้ งนาทลู เกลา้ ทลู กระหม่อม ภายใน 20 วันเพือ่ พระมหากษัตริย์ทรงลงพระ ปรมาภไิ ธย และเมื่อประกาศในราชกิจจานเุ บกษาแล้วบงั คับใชเ้ ป็นกฎหมายได้ และในกรณีท่ีพระมหากษัตรยิ ์ ไม่ทรงเห็นชอบด้วยและพระราชทานคืนมายงั รัฐสภาหรือเมื่อพ้น 90 วนั แลว้ มไิ ด้พระราชทานคืนมา รัฐสภา จะต้องปรึกษาร่างรัฐธรรมนญู แกไ้ ขเพิ่มเตมิ ถ้ารฐั สภามีมตยิ ืนยนั ตามเดมิ ดว้ ยคะแนนเสียงไมน่ ้อยกวา่ 2 ใน 3 ของจานวนสมาชกิ ทงั้ หมดเทา่ ท่มี อี ยู่ของทงั้ สองสภาแลว้ นายกรัฐมนตรีต้องนารา่ งกฎหมายนน้ั ขึ้นทลู เกล้า ถวายอกี คร้ังหน่ึง เมื่อพระมหากษตั รยิ ม์ ิได้ทรงลงพระปรมาภไิ ธยพระราชทานคืนมาภายใน 30 วนั นายกรัฐมนตรีตอ้ งนารัฐธรรมนูญแก้ไขเพิม่ เติม หรือพระราชบญั ญัติ หรือพระราชบญั ญัติประกอบ รัฐธรรมนูญนนั้ ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาใชบ้ ังคับเปน็ กฎหมายได้ เสมอื นหน่ึงวา่ พระมหากษัตรยิ ์ได้ทรง ลงพระปรมาภิไธยแลว้ (มาตรา 94) เปน็ ตน้ สถาบนั พระมหากษตั รยิ ์ก่อให้เกิดคุณประโยชนอ์ ย่างมากมายมหาศาลต่อประเทศชาตมิ าตั้งแตโ่ บราณจวบจน ปัจจบุ ันน้ี ทั้งในฐานะท่ีก่อใหเ้ กดิ การสร้างชาติ การกู้เอกราชของชาติการรักษาและพฒั นาชาติ มีสาระสาคัญ ท่ีควรแก่การนามาศึกษา คือ

32 1) พระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน พระมหากษัตรยิ ์ทรงทาให้เกิดความสานึกเปน็ อันหนง่ึ อันเดยี วกัน แม้วา่ สถาบันการเมืองการปกครองจะแยกสถาบันนติ บิ ัญญัติ บรหิ าร ตลุ าการ แตต่ ้องให้ อานาจของตนภายใต้พระปรมาภไิ ธย ทาให้ทุกสถาบนั มจี ดุ รวมกัน อานาจที่ได้มาจากแหลง่ เดยี วกนั คอื พระมหากษัตริย์ นอกจากนี้พระมหากษัตริยย์ ังทาให้เกดิ ความสานกึ เปน็ อันหนงึ่ อนั เดียวกัน ระหว่างหมชู่ น ภายในชาติ โดยทต่ี ่างเคารพสกั การะและจงรักภักดีต่อพระมหากษัตรยิ ร์ ว่ มกัน แม้จะมคี วามแตกตา่ งกันใน ดา้ นเช้ือชาติ เผา่ พันธ์ุ ศาสนาก็มคี วามสมานสามคั คีกลมเกลยี วกนั ในปวงชนท้งั หลาย ทาให้เกดิ ความเป็น ปึกแผน่ และเปน็ พลังทส่ี าคัญยิง่ ของชาติ กล่าวได้ว่า พระมหากษัตรยิ เ์ ปน็ ศนู ย์รวมของชาตเิ ป็นศนู ย์รวมจติ ใจ ก่อให้เกิดความสมานสามคั คี และเป็นอนั หนึ่งอนั เดยี วกันของคนในชาติ เกิดเอกภาพทั้งในทางการเมืองการ ปกครองในหมปู่ ระชาชนอยา่ งดยี ิ่ง พระมหากษัตรยิ ท์ รงรักใครห่ ว่ งใยประชาชนอย่างย่ิงทรงโปรดประชาชน และทรงใหเ้ ข้าเฝา้ ฯ อยา่ งใกลช้ ดิ ทาให้เกดิ ความจงรักภักดีแน่นแฟ้นมากขึน้ ไม่เส่ือมคลายพระองค์เสด็จพระ ราชดาเนินไปทุกแหง่ ไม่วา่ จะเป็นถนิ่ ทุรกนั ดารหรือมีอันตรายเพียงไรเพื่อทรงทราบถึงทุกข์สขุ ของประชาชน และพระราชทานพระบรมราชานเุ คราะห์อย่างกวา้ งขวางโดยไมจ่ ากดั ฐานะ เพศ วัย ประชาชนก็มคี วาม ผูกพันกับพระมหากษตั รยิ ์อย่างลกึ ซ้ึงกว้างขวางแน่นแฟ้นม่ันคง จนยากทจ่ี ะมีอานาจใดมาทาใหส้ ั่นคลอนได้ 2) พระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ สัญลักษณ์แห่งความต่อเนื่องของชาติ สถาบนั พระมหากษตั ริยเ์ ป็นสถาบนั ประมขุ ของชาตสิ ืบต่อกนั มาโดยไม่ขาดสายขาดตอนตลอดเวลา ไม่วา่ รฐั บาลจะเปล่ยี นแปลงไปกี่ชุดก่สี มยั ก็ตาม แต่ สถาบันพระมหากษัตริยย์ งั คงอยเู่ ป็นความต่อเน่ืองของประเทศชาติ ชว่ ยให้การปกครองไม่มีชอ่ งว่างแตม่ ี ความต่อเนื่องตลอดเวลา เพราะสาเหตุที่มีพระมหากษัตริยเ์ ป็นประมขุ อยูม่ ิได้เปลี่ยนแปลงไปตามรัฐบาลดว้ ย 3) พระมหากษตั ริยไ์ ทยทรงเป็นพทุ ธมามกะและอคั รศาสนปู ถมั ภก ทาให้เกดิ ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหวา่ ง คนในชาตแิ ม้จะมีศาสนาต่างกัน เพราะพระมหากษตั รยิ ท์ รงอปุ ถัมภท์ กุ ศาสนาแมว้ ่าพระองคจ์ ะทรงเปน็ พุทธ มามกะ จึงก่อใหเ้ กดิ พลังความสามัคคีในชาติ ไมบ่ าดหมางกันดว้ ยการมีศาสนาตา่ งกนั 4) พระมหากษตั ริยท์ รงเป็นพลังในการสรา้ งขวัญและกาลงั ใจของประชาชน พระมหากษัตรยิ ์ทรงเป็นที่มา แหง่ เกยี รติยศทง้ั ปวง ก่อให้เกิดความภาคภูมิ ปีตยิ ินดี และเกิดกาลังใจในหมู่ประชาชนท่ัวไปทจี่ ะรักษาคุณ งามความดี มานะพยายามกระทาความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมอ่ื พระองคท์ รงไว้ซึ่งความดีงามตลอดเวลา ทา ให้ประชาชนผปู้ ฏบิ ัติดปี ฏิบัติชอบมกี าลงั ใจทจ่ี ะทางานเสยี สละต่อไป จึงเสมือนแรงดลใจผลักดันใหผ้ ู้มีเจตนา ดี ประกอบคณุ งามความดมี ุง่ มั่นในการปฏิบตั ิอย่างเข้มแข็ง ทัง้ ในส่วนประชาชน สว่ นราชการหรือรัฐบาล

33 5) พระมหากษตั ริยท์ รงมสี ว่ นสาคญั ในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชน และทาให้การบริหารงาน ประเทศเปน็ ไปด้วยดี พระมหากษตั รยิ ท์ รงขึ้นครองราชย์ดว้ ยความเหน็ ชอบยอมรับของประชาชน โดยมี รฐั สภาทาหน้าท่ีแทนพระองค์จึงไดร้ ับการเทดิ ทนู ยกยอ่ งเสมอื นผูแ้ ทนอนั อยใู่ นฐานะเป็นที่เคารพสักการะของ ประชาชนด้วย การทพ่ี ระมหากษตั รยิ ท์ รงมพี ระราชอานาจที่จะยับยง้ั พระราชบัญญตั ิ หรือพระราชทาน คาแนะนาตักเตือน คาปรึกษา และการสนบั สนนุ ในกจิ การต่าง ๆ ทง้ั ของรัฐบาล รฐั สภา และศาล ตาม รัฐธรรมนญู จัดไดว้ ่าพระองคท์ รงมีส่วนรว่ มอันสาคญั ในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและก่อให้เกิด ผลดีในการบรหิ ารการปกครองประเทศอยา่ งนอ้ ยกช็ ่วยให้ฝ่ายปฏบิ ตั ิหนา้ ทท่ี ้ังหลายเกิดความสานึก เกดิ ความระมัดระวงั รอบคอบมิใหเ้ กิดความเสียหายต่อส่วนรวมมากพอสมควร พระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมขุ และทรงเปน็ กลางทางการเมืองการกาหนดหลักการสืบสนั ตตวิ งศ์ไว้อย่างชดั เจนโดยกฎมณเฑยี รบาลและ รฐั ธรรมนญู เป็นเครอื่ งประกนั วา่ จะทรงเป็นกลางทางการเมืองได้อย่างแท้จรงิ และทาใหส้ ามารถยบั ยงั้ ทว้ งติง ให้การปกครองประเทศเป็นไปโดยสจุ รติ ยตุ ิธรรมเพ่ือประชาชนโดยสว่ นรวม ซึง่ ต่างจากประมขุ ของประเทศ ทม่ี าจากการเลือกตั้งท่ีจะต้องยึดนโยบายของกล่มุ หรือพรรคการเมืองเปน็ หลัก 6) พระมหากษตั รยิ ท์ รงแก้ไขวิกฤตการณ์ สถาบันพระมหากษัตรยิ ์เป็นกลไกสาคัญในการยบั ย้ังแก้ไข วิกฤตการณ์ทีร่ า้ ยแรงในประเทศได้ ไม่ทาใหเ้ กดิ ความแตกแยกภายในชาตอิ ย่างรุนแรงจนถึงตอ้ งต่อสู้กนั เป็น สงครามกลางเมือง หรอื แบง่ แยกกนั เปน็ ประเทศเลก็ ประเทศน้อยขจดั ปดั เปา่ มิให้เหตกุ ารณล์ กุ ลามและทาให้ ประเทศเข้าสู่ภาวะปกตไิ ด้ เพราะพระมหากษัตรยิ ์เป็นท่ียอมรับของทุกฝา่ ยไม่ว่าจะเป็นด้านประชาชน รัฐบาล หน่วยราชการ กองทัพ นิสติ - นักศึกษาปญั ญาชนท้งั หลาย หรอื กลุ่มต่าง ๆ แม้กระท่ังชนกลุ่มนอ้ ยใน ประเทศ อนั ได้แก่ ชาวไทยภูเขาชาวไทยมสุ ลมิ เปน็ ต้น 7) พระมหากษตั รยิ ท์ รงสง่ เสริมความม่ันคงของประเทศ โดยการยึดเหนี่ยวจติ ใจของประชาชนและกองทัพ พระมหากษัตรยิ ์ทรงดารงตาแหนง่ จอมทัพไทยจึงทรงใสพ่ ระทยั ในการพัฒนากองทัพท้ังทางวตั ถุและจติ ใจ ทรงเยยี่ มเยียนปลอบขวญั ทหาร พระราชทานของใช้ท่ีจาเป็นทรงช่วยเหลืออนเุ คราะห์ ผู้เสยี สละเพื่อชาติ ทา ให้เกดิ ขวญั และกาลงั ใจแก่ทหาร ขา้ ราชการอยา่ งดียิ่งพรอ้ มที่จะรักษาความมั่นคงและเอกราชของชาติอย่าง แนน่ แฟ้น 8) พระมหากษัตริยท์ รงมสี ว่ นเสรมิ สร้างสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ พระมหากษตั รยิ ใ์ นอดตี ไดท้ รงดาเนนิ วิเทโศบายได้อยา่ งดีจนสามารถรักษาเอกราชไว้ได้ โดยเฉพาะสมัยการล่าเมืองขน้ึ ในรัชกาลท่ี 4 และรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรตั นโกสนิ ทร์ สาหรับพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัวรชั กาลปจั จบุ ันก็ทรงดาเนินการให้เกดิ ความ เขา้ ใจอันดี ความสมั พันธอ์ ันดีระหว่างประเทศตา่ ง ๆ กับประเทศไทย โดยเสดจ็ พระราชดาเนินเป็นทูต

34 สนั ถวไมตรกี บั ประเทศต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า 31 ประเทศ ทาให้นโยบายต่างประเทศดาเนินไปอย่างสะดวกและ ราบรนื่ นอกจากนั้นยังทรงเป็นผู้แทนประเทศไทยต้อนรับประมุขประเทศ ผ้นู าประเทศ เอกอัครราชทูต และ ทูตสนั ถวไมตรจี ากต่างประเทศอกี ดว้ ย 9) พระมหากษตั รยิ ์ทรงเปน็ ผู้นาในการพัฒนาและปฏิรูปเพ่ือประโยชน์ของประเทศชาติ การพัฒนาและการ ปฏริ ปู ทีส่ าคญั ๆ ของชาตสิ ่วนใหญ่พระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นผนู้ าพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว ทรงปพู ื้นฐานประชาธปิ ไตย โดยการจดั ตั้งกระทรวงต่าง ๆทรงส่งเสรมิ การศกึ ษาและเลิกทาส ปัจจบุ นั พระมหากษัตริยท์ รงเกอ้ื หนุนวิทยาการสาขาต่าง ๆทรงสนับสนนุ การศกึ ษาและศลิ ปวัฒนาธรรม ทรงรเิ รมิ่ กจิ การอันเปน็ การแกป้ ัญหาหลักทางเศรษฐกจิ และสงั คมของประเทศ โดยจะเหน็ ว่าโครงการตามพระราชดาริ สว่ นใหญม่ งุ่ แกป้ ญั หาหลัก ทางเกษตรกรรมเพ่ือชาวนา ชาวไร่ และประชาชนผยู้ ากไร้และดอ้ ยโอกาสอนั เป็น ชนส่วนใหญข่ องประเทศ เชน่ โครงการฝนหลวง ชลประทาน พัฒนาท่ดี ิน พัฒนาชาวเขา เป็นต้น 10) พระมหากษัตรยิ ์ทรงมีส่วนเก้อื หนนุ ระบอบประชาธปิ ไตย บทบาทของพระมหากษัตรยิ ม์ ีสว่ นชว่ ยเป็น อยา่ งมากที่ทา ให้ประชาชนบังเกดิ ความเชื่อม่นั ในระบอบประชาธปิ ไตย เพราะการทป่ี ระชาชนเกดิ ความ จงรักภกั ดแี ละเชือ่ มั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์จึงมีผลสง่ ใหป้ ระชาชนเกดิ ความศรัทธาในระบอบ ประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษตั ริย์เป็นประมุขดว้ ย เน่ืองจากเหน็ วา่ เปน็ ระบอบทเ่ี ชดิ ชูสถาบนั พระมหากษัตริยอ์ ันเปน็ ทีเ่ คารพสักการะของประชาชนนน่ั เอง

35 เรอ่ื งท่ี 2 บทสรปุ สถาบันพระมหากษตั ริยเ์ ปน็ ศนู ยร์ วมใจของคนในชาติ สถาบนั พระมหากษัตริย์มคี วามสาคญั และผกู พนั กับสงั คมไทย และคนไทยมาตลอดประวตั ิศาสตรข์ อง ประเทศ ในฐานะท่ีเปน็ ปัจจัยแห่งความม่ันคงท่ีทรงนาพาประเทศชาติให้อยูร่ อดปลอดภัยตลอดมา เป็นศูนย์ รวมความรัก ความสามคั คีของคนในชาติมาจนถงึ ปจั จบุ ัน โดยประเทศไทยมีสถาบันพระมหากษัตรยิ เ์ ปน็ สัญลกั ษณ์ของการดารงอยู่ของชาตไิ ทยมาตอ่ เนื่อง สงั คมไทยให้ความสาคัญกบั สถาบันพระมหากษัตริย์ ต้ังแตส่ มยั สโุ ขทยั จนถึงสมัยรัตนโกสนิ ทร์ เปน็ สถาบนั ทางสังคม ที่เขม้ แขง็ ยืนยง ทาให้ประเทศไทยสามารถ รกั ษาความเปน็ ไทยภายใต้พระบรมโพธสิ มภารมาจนถึงปจั จบุ นั สถาบันพระมหากษตั ริย์เปน็ เสาหลักทส่ี าคัญ ของสงั คมไทย ในทุก ๆ ดา้ น เปน็ สมบัติลา้ คา่ ที่ชาวไทยทุกคนจะต้องรว่ มกนั ปกป้องให้สถาบนั พระมหากษัตรยิ ์คงอยตู่ ลอดไปพระมหากษัตริยไ์ ทยทรงครองราชยป์ ้องเมือง ทานุบารงุ บ้านเมือง ทานบุ ารงุ สขุ ศาสนา และสังคมมาจนถึงทุกวนั น้ี แม้วา่ ประเทศไทยจะมรี ูปแบบการปกครองระบอบประชาธปิ ไตย แต่ สถาบนั พระมหากษตั ริยก์ ลบั เป็นที่เคารพสักการะจากประชาชนมากเช่นเดิม ไมม่ ีเปลย่ี นแปลงจนถงึ ปัจจบุ นั จนถงึ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชริ าลงกรณ บดนิ ทรเทพยวรางกูร รชั กาลท่ี 10 กย็ ังคงมีความเปน็ ห่วง ราษฎรในทุกเรื่อง โดยเฉพาะด้านการศึกษา ทรงมีพระราชกระแสรับสง่ั ในดา้ นการศึกษาโดยเน้นให้ การศกึ ษา ตอ้ งมงุ่ สร้างพืน้ ฐานใหแ้ กผ่ ูเ้ รยี น การสร้างทศั นคติทีถ่ ูกตอ้ ง(อปุ นสิ ัย) ท่มี ัน่ คงเข้มแข็ง การสอนให้มี อาชีพ มงี านทา รวมถึงการทาให้เยาวชนมีความสนใจ และเข้าใจในเร่ืองของสถาบันพระมหากษัตรยิ ์และ ประวตั ิศาสตรช์ าติไทยได้อยา่ งถูกต้อง สถาบันพระมหากษตั รยิ ใ์ นประเทศไทยเปน็ ศนู ย์รวมใจชาวไทยท่สี บื ทอดมายาวนานหลายศตวรรษ เป็นวฒั นธรรมการปกครองท่ีมคี วามสาคัญ บ่งบอกถงึ แนวคดิ ความเช่ือและความหมายของสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่หลอมรวมจิตใจชาวไทยให้เปน็ อนั หน่งึ อนั เดยี วกนั และสร้างสรรคใ์ หเ้ กดิ ความผาสุกของสงั คมโดยรวมได้ วัฒนธรรมการปกครองระบบกษตั รยิ ข์ องประเทศไทยจึงมีความผกู พันอย่างแนบแน่นต่อสังคมไทยมาแต่อดีต จนปัจจุบัน แนวคิดทว่ี า่ พระมหากษัตรยิ ์ทรงเป็นผู้ปกครองทมี่ ีคุณลักษณะพเิ ศษนั้นสบื เน่ืองมาจากวัฒนธรรม ความเชอ่ื ทางศาสนา ซงึ่ พัฒนาและผสมผสานมาจากแนวคิดหลักต่าง ๆ 3 ประการ คือ ประการแรก เปน็ แนวคดิ พราหมณ์ฮนิ ดูซึ่งถือว่าผทู้ ่ดี ารงตาแหนง่ กษตั ริย์คอื องคอ์ วตารของพระผ้เู ป็นเจ้าในศาสนาพราหมณ์ ฮนิ ดูซึ่งมีหน้าทหี่ ลกั ในการธารงไวซ้ ่ึงความผาสุกของโลกมนุษย์ เป็นแนวคิดเบื้องต้นเม่ือชาวไทยรบั คติความ เชื่อพราหมณ์ฮนิ ดูเข้ามา ประการที่สอง เป็นแนวคดิ ของพระพุทธศาสนา ซ่งึ นอกจากความเชือ่ เรื่องบุญกรรม ทส่ี ่งให้เปน็ ผมู้ ีบารมีแล้ว ยังมีความเชือ่ วา่ องคพ์ ระมหากษตั รยิ ท์ รงมีสถานะเปน็ พระพุทธเจ้าและเปน็ เทพ

36 แนวคิดเรอ่ื งเทพทางพระพุทธศาสนานีแ้ ตกต่างจากศาสนาพราหมณ์ฮนิ ดูในคัมภรี ์จักรวาฬทปี นซี ึง่ เขียนขน้ึ เมอ่ื พ.ศ. 2063 อธิบายว่า “พระราชา พระเทวี พระกุมาร ชอ่ื วา่ สมมติเทพ, เทพท่ีอยู่ ณ ภาคพืน้ ดนิ และท่ีสูงกวา่ นัน้ ชอ่ื วา่ อปุ บตั เิ ทพ, พระพทุ ธเจา้ พระปจั เจกพุทธเจ้าและพระขีณาสพช่ือวา่ “พระวิสทุ ธเิ ทพ” พระมหากษัตริย์ในสังคมไทยทรงมี ลักษณะของเทพ 3 ประเภทน้ี คอื สมมตเิ ทพ อปุ บัติเทพ และวสิ ทุ ธเิ ทพอยู่ในองคเ์ ดยี ว ทงั้ น้ไี ด้รวมเอาเทพ ช้ันสูงในศาสนาพราหมณ์ฮนิ ดูเขา้ ไวด้ ้วย ดังท่ีสะท้อนใหเ้ ห็นจากแนวคิดเรื่องสมมติเทพหรือสมมตเิ ทวดา และ ในบริบทแวดลอ้ มอ่ืน ๆ นอกจากนัน้ พระมหากษตั ริยไ์ ทยยงั ทรงเปน็ มหาสมมติราชขัตติยะ และราชา ดงั ปรากฏคาอธบิ ายในหนังสือไตรภูมพิ ระรว่ งของพระเจ้าลิไทซง่ึ แตง่ ขึน้ ในสมยั สโุ ขทยั ว่า “อันเรียกชื่อมหา สมมติราชน้นั ไซร้ เพราะว่าคนท้ังหลายย่อมต้งั ท่านเปน็ ใหญแ่ ลอันเรยี กชื่อขัตตยิ ะน้นั ไซร้ เพราะว่าคน ท้ังหลายใหแ้ บง่ ปันไร่นาเขา้ น้าแกค่ นทั้งหลายแลอันเรยี กชื่อวา่ ราชานนั้ เพราะทา่ นนนั้ ถูกเน้อื พึงใจคน ทงั้ หลายแล” ส่วนในโลกทปี สารแต่งโดยพระสังฆราชเมธงั กร ซงึ่ เปน็ ครูของพระเจ้าลไิ ทยกลา่ ววา่ “นามราชา เพราะปกครองบุคคลอ่ืน ๆโดยธรรม โดยเที่ยงธรรม” ประการที่สาม แนวคิดความสมั พันธ์ระหว่างบิดา - บตุ ร อันเป็นแนวคิดพนื้ เมืองด้ังเดิมท่ีเน้นความสมั พันธ์ใกล้ชิดระหว่างผปู้ กครองกับผู้ใตป้ กครอง ซึ่งต่างไป จากสังคมทมี่ วี รรณะ นับไดว้ า่ เปน็ ความเขม้ แขง็ ของวฒั นธรรมการปกครองในระบบกษตั ริยข์ องไทยที่ สามารถดารงสืบต่อมาได้จนปัจจุบนั แนวคิดทัง้ 3 ประการนี้แสดงคตคิ วามเชือ่ เรื่องสถานะขององค์ พระมหากษัตริยท์ ่ผี สมผสานกัน พระมหากษตั รยิ ์ไทยนบั แต่อดีตมิไดท้ รงดารงพระองคเ์ ป็นเฉพาะองคอ์ วตาร แหง่ พระผู้เป็นเจา้ ของศาสนาพราหมณ์ฮินดูหรือเป็นผ้บู าเพ็ญบญุ บารมีเฉพาะพระองคแ์ ต่ยังทรงปฏิบตั ิพระ ราชกรณียกิจ เชน่ เดยี วกบั บดิ าผ้ดู ูแลบตุ รด้วย พระราชภาระหลกั ของพระมหากษัตริย์อันเปน็ พนื้ ฐานตามคติพราหมณฮ์ ินดมู ี 4 ประการ คอื 1) พระราชทานความยตุ ธิ รรมอนั เปน็ ระเบยี บสากลของผู้ปกครองหรือผ้นู าท่ีจะต้องสร้างหรือออกกฎหมาย เพอ่ื ให้เกิดความยตุ ธิ รรม 2) ทรงรกั ษาความยุตธิ รรมนัน้ ๆ อย่างเครง่ ครดั 3) ทรงรักษาพระศาสนาและประชาชน

37 4) ทรงสร้างความผาสุกแก่ประชาชน นอกจากนัน้ พระมหากษัตริยย์ งั ทรงดารงหลักราชธรรมใน พระพุทธศาสนา ไดแ้ ก่ ทศพิธราชธรรม 10 ประการ สงั คหวตั ถุ 4 ประการ และจักรวรรดิวัตร 12 ประการ เมอ่ื ประสานกบั ลักษณะวฒั นธรรมการปกครองแบบบดิ า - บุตรแลว้ จงึ เป็นเหตใุ หพ้ ระมหากษัตริย์ ในประเทศไทยมีพระราชสถานะอนั สูงส่งควรแกก่ ารยกย่องสรรเสริญยิง่ ในสมัยกรุงสุโขทัย ความสัมพนั ธ์ ระหว่างพระมหากษตั รยิ ์กับประชาชนมคี วามใกลช้ ิดกันมากพระมหากษตั ริยท์ รงดแู ลทุกข์สขุ ของประชาชน ดังบดิ าดแู ลบุตร ดงั ปรากฏบันทกึ ในศลิ าจารึกหลักที่ 1 ของพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช ทีส่ าคัญมากก็คือ วฒั นธรรมการปกครองในระบบกษตั รยิ น์ ั้นเป็นการปกครองโดยมีมนษุ ยธรรม จารกึ สุโขทัยหลกั ท่ี 38 วดั พระ มหาธาตุ - วดั สระศรีพทุ ธศักราช1940 วา่ พระมหากษัตรยิ ์แห่งกรุงสโุ ขทัย “จักใคร่ขัดพระราชสีมานีด้ งั มนษุ ยธรรม (อย่าง) พระยารามราช” คือ กษตั ริยใ์ นกรงุ สุโขทัยไดป้ กครองประชาชนอย่างมีมนุษยธรรม เชน่ เดยี วกับพ่อขุนรามคาแหง กษัตริย์แห่งกรุงสโุ ขทัยเอาพระราชหฤทยั ใส่ไพร่ฟ้าขา้ แผน่ ดนิ ของพระองคด์ งั ปรากฏหลกั มนุษยธรรมในไตรภมู ิ พระร่วงว่า “รู้จักผดิ แลชอบ แลรูจ้ กั ที่อันเป็นบาปแลบุญ แลรู้จกั ประโยชน์ ในชวั่ นีช้ ว่ั หน้า แลรจู้ ักกลัว แกบ่ าปแลละอายแกบ่ าป รจู้ กั ว่ายากวา่ ง่าย แลรู้รกั พรี่ ักนอ้ งแลรู้เอ็นดกู รุณาต่อผู้ เขญ็ ใจ แลรูย้ าเกรง พ่อแม่ ผู้เถ้าผ้แู ก่ สมณพราหมณาจารย์อันอยู่ในสิกขาบทของพระพทุ ธเจ้าทุกเมื่อ และ รจู้ ักคณุ แก้ว 3 ประการ” อนั แสดงใหเ้ ห็นความผกู พันระหวา่ งกษัตริยใ์ นฐานะของบดิ า - บุตร ในการสอนให้ทาความดี ให้รูจ้ กั บาปบุญและหลกั ธรรมต่าง ๆ ในสมยั อยธุ ยาพระราชสถานะของพระมหากษัตริย์เปล่ยี นแปลงไปบ้าง เม่ือมี คตคิ วามคิดเกีย่ วกับสมมติเทวราชมาผสมผสาน พระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ เสมือนเทพเจา้ ดงั ปรากฏพระนาม ของ พระมหากษัตริย์สมยั อยุธยา เชน่ สมเดจ็ พระรามาธบิ ดี สมเดจ็ พระรามราชา สมเด็จพระอินทรราชา สมเดจ็ พระเอกาทศรถ สมเด็จพระนารายณม์ หาราช เป็นต้น ซ่ึงลว้ นแต่เป็นทงั้ พระนามของเทพเจา้ ของ พราหมณ์ฮนิ ดแู ละเทพเจา้ ในความเชอื่ พ้ืนถนิ่ ทั้งส้นิ นอกจากน้ันพระราชกรณยี กิจทงั้ ปวงของพระเจ้าแผ่นดิน ดังท่ปี รากฏในพระราชพิธี 12 เดอื น หรือทต่ี ราไว้ในกฎมณเฑยี รบาลก็ดีล้วนเปน็ ไปเพื่อประโยชนส์ ขุ ของ ประชาชน อาจกล่าวได้วา่ วฒั นธรรมการปกครองในระบบกษัตรยิ ์ของอยธุ ยาน้ันยังคงสบื ทอดมาจากแบบ ฉบบั ของกรุงสุโขทัยที่เนน้ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างบิดา - บตุ รแมบ้ นั ทึกของชาวต่างชาติ เช่น ลาลแู บร์หรือแชร์ แวสกย็ งั ระบุว่า การลงโทษขุนนางในราชสานักนน้ั “เสมอด้วยบิดากระทาแกบ่ ุตร และมิได้ทรงลงอาญาอย่าง ตระลาการท่ีใจเหย้ี มหรือเจา้ ขุนมูลนายทีเ่ อาแตโ่ ทสจรติ ได้กระทาแกท่ าส” ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรแี ละกรุง รตั นโกสนิ ทรว์ ัฒนธรรมการปกครองในระบบเดมิ ยังสบื ทอด และธารงไว้ได้เป็นอยา่ งดใี นการสรา้ งความเปน็

38 ปึกแผ่นของบา้ นเมืองและการสร้างขวญั กาลงั ใจให้เกดิ ข้ึนในหมูป่ ระชาชน ดงั แนวพระราชดารใิ น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชวา่ “ตง้ั ใจจะอปุ ถัมภก ยอยกวรพุทธศาสนา ปอ้ งกนั ขอบขัณฑเสมา รกั ษาประชาชนแลมนตรี” หรือคติ “พระมหาสมมตุ ิราช” ซ่งึ รวมความเปน็ พระราชามหากษัตรยิ ์ก็ได้ปรากฏชดั เจนในประกาศพระราชพธิ บี รมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชใน พ.ศ. 2328 ว่า “พรรณพฤกษาชลธี แลสิ่งของในแผ่นดิน ทั่วเขตพระนคร ซึ่งหาผหู้ วงแหนมไิ ด้นน้ั ตามแต่สมณชีพราหมณาจารยร์ าษฎร์ ปรารถนาเถิด” แนวคิด ดังกลา่ วยงั ไดส้ บื ต่อมาจนถึงรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัว ส่วนทไ่ี ด้ปรับเปลี่ยนเป็นสากล กค็ อื พระมหากษตั รยิ ์ทรงสังเกตเหน็ ความเปลยี่ นแปลงของสังคมโลก ทรงเรยี นรู้ ศลิ ปวิทยาตา่ งๆ และทรง เขา้ ถึงประชาชนมากขึ้น อนง่ึ ตง้ั แต่ในรชั กาลท่ี 4 เร่ิมมีแนวคดิ ในการเปลยี่ นแปลงและยอมรับฐานะแหง่ “มหาชนนกิ รสโมสรสมมติ”มากขึ้น และพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัวทรงเหน็ วา่ ความสัมพนั ธ์ ระหว่างประชาชนกับพระมหากษตั ริย์เปน็ ส่ิงจาเป็น ดังเชน่ ความตอนหนึ่งในประกาศเร่ืองดาวหางปีระกาตรี ศกวา่ “พระเจ้าแผน่ ดินคนท้ังปวงยกย่องไว้เปน็ ท่ีพงึ่ ใครมีทกุ ขร์ ้อนถ้อยความประการใดกย็ ่อมมารอ้ งให้ชว่ ย ดังหนงึ่ ทารกเมอื่ มเี หตแุ ลว้ ก็มาร้องหาบดิ ามารดาเพราะฉะนั้นพระเจ้าแผน่ ดินชอ่ื ว่าคนท้งั ปวงยกย่องใหเ้ ป็น บดิ ามารดาของตวั แล้วก็มคี วามกรุณาแก่คนทัง้ ปวง ดงั หนงึ่ บิดามารดากรุณาแก่บุตรจรงิ ๆ โดยสุจริต” นอกจากน้ันการทพ่ี ระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั ทรงพระผนวช ได้เสด็จธุดงค์ตามหวั เมือง ต่าง ๆ กย็ ง่ิ เปน็ การสรา้ งความผูกพันระหวา่ งพระมหากษตั รยิ ก์ ับประชาชนอีกดว้ ยเพราะได้ทรงรจู้ กั วิถชี วี ิต ของราษฎรอย่างแทจ้ ริง ในรัชกาลตอ่ มาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ก็ทรงได้รับการยอมรับ จากขุนนางท้งั ปวงอย่าง “อเนกนกิ รสโมสรสมมติ” ที่ทง้ั พระสงฆพ์ ระราชวงศ์ และขนุ นางเหน็ พ้องกนั ให้ พระองค์เสด็จข้ึนครองราชย์ ตลอดเวลาท่ีผ่านมานบั แตส่ มัยสโุ ขทัยแมจ้ ะมีการเปลี่ยนแผ่นดนิ หรอื มกี าร เปล่ียนราชวงศ์แต่แนวคิดระบบการปกครองแบบกษตั รยิ ์ทีเ่ คยมมี านั้นหาได้เปล่ยี นไปดว้ ยไม่ ในระบอบ ประชาธปิ ไตยพระมหากษตั ริย์ทรงใชพ้ ระราชอานาจผา่ นกระบวนการ 3 องคก์ ร คือ อานาจนติ บิ ัญญตั ิ บริหาร และตุลาการ เสมือนผู้แบ่งเบาพระราชภาระของพระองค์ แต่พระมหากษัตริยก์ ็ยงั ทรงมพี ระมหา กรุณา พระราชทานพระบรมราโชวาทส่ังสอน ชี้นาแนวทางการดาเนินชีวิตทีถ่ ูกที่ควร มีศลี ธรรมกากับ ทั้ง ทรงปฏบิ ัตพิ ระองคเ์ ป็นแบบอย่าง ดว้ ยพระมหากรณุ าธิคณุ น้ีคนไทยจึงยังคงมีความผูกพันกบั องค์ พระมหากษัตริย์มากเชน่ เดมิ คนไทยมคี าเอย่ พระนามพระมหากษตั รยิ ์อย่หู ลายคาท่ีบง่ บอกความรสู้ ึก ยกย่อง เทิดทูนและผูกพันตอ่ พระองค์เช่นคาวา่ พระเจ้าแผน่ ดิน พระเจ้าอยู่หัว เจ้าชีวิต ท้งั 3 คาน้ีมีนัยสาคัญดังนี้

39 พระเจ้าแผน่ ดิน ตามรูปศัพท์ หมายถงึ ผูป้ กครองที่เปน็ เจ้าของแผ่นดิน คือ ผู้นาทม่ี ีสิทธ์ขิ าดในกจิ การของแผ่นดิน และ สามารถพระราชทานที่ดนิ ให้แก่ผ้ใู ดผหู้ น่งึ ไดแ้ ตใ่ นสงั คมไทย พระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงเป็นเจ้าของแผ่นดินผู้ทรง บารุงรกั ษาแผน่ ดนิ ใหม้ ีความอุดมสมบูรณ์ เพื่อให้ประชาชนสามารถใชท้ ด่ี นิ ในพระราชอาณาเขตของพระองค์ ให้เกิดประโยชน์ เช่น ทาการเพาะปลูกใหไ้ ด้ผลตลอดจนเอาพระราชหฤทยั ใส่ในการบารงุ แผน่ ดนิ ใหม้ คี วาม อดุ มสมบูรณ์อยูเ่ ป็นนิจ ดังทป่ี รากฏเป็นโครงการพระราชดาริต่าง ๆ ในปจั จุบันนี้ และเป็นที่ประจกั ษ์ในสากล ว่าพระเจา้ แผน่ ดนิ ไทยทรงงานหนกั ทส่ี ดุ ในโลก และทรงรักประชาชนของพระองค์อยา่ งแท้จรงิ พระเจ้าอยหู่ ัว เป็นคาเรียกพระเจา้ แผน่ ดนิ ท่ีแสดงความเคารพเทดิ ทูนอย่างสงู สุดและเป็นยอดของมงคลทัง้ ปวง พระ เจ้าอยหู่ วั หรือพระพุทธเจา้ อยู่หวั หมายถงึ การยอมรับพระราชสถานะของพระเจ้าแผ่นดินวา่ ทรงเป็นองค์ พระพุทธเจ้า ดงั นนั้ จึงทรงเป็นที่รวมของความเปน็ มงคล สิ่งของต่าง ๆ ท่ีพระราชทานเครือ่ งราชอิสรยิ าภรณ์ พิธีกรรมตา่ ง ๆ ที่จดั ข้นึ โดยพระบรมราชโองการ และการไดเ้ ขา้ เฝ้าทลู ละอองธลุ พี ระบาท หรอื ได้เหน็ พระ เจ้าอยูห่ วั จึงลว้ นแต่เปน็ มงคลทงั้ ส้ิน เจา้ ชวี ติ เปน็ คาเรียกพระเจา้ แผน่ ดินที่แสดงพระราชอานาจเหนือชีวติ คนทง้ั ปวงท่ีอยู่ในพระราชอาณาเขต คาคานี้อาจ หมายถึงพระเจา้ แผ่นดนิ ทท่ี รงสิทธิใ์ นการปกป้องคุ้มครองชวี ติ ประชาชนใหพ้ น้ ภยั วิบตั ทิ ้ังปวงหรือลงทัณฑ์ ผู้กระทาผดิ ต่อพระราชกาหนดกฎหมาย ตลอดจนทรงชุบชวี ติ ขา้ แผ่นดนิ ให้มคี วามสุขลว่ งความทุกข์ ท้ังนี้ สุดแตพ่ ระเมตตาพระกรณุ าธิคณุ อนั เป็นลน้ พ้นของพระองค์ แต่ในสังคมไทยปจั จุบันนั้น คาว่า เจ้าชวี ติ หมายถึงพระเจา้ แผน่ ดนิ ผพู้ ระราชทานกาเนิดแนวคดิ โครงการต่าง ๆแกป่ ระชาชน โดยมิไดท้ รงใช้พระราช อานาจล่วงไปเกนิ ขอบเขตแห่งราชนตี ธิ รรมแต่ทรงดารงธรรมะ เป็นองคป์ ระกอบในการตัดสินวินจิ ฉัยเร่ือง ทง้ั หลายทง้ั ปวงดว้ ย นอกจากน้ันยังปรากฏในคาที่ประชาชนเรียกแทนตนเองวา่ ขา้ พระพุทธเจา้ ซึ่งมคี วามหมายลึกซงึ้ ว่า พระมหากษัตริย์ หรอื พระเจ้าแผน่ ดนิ หรอื พระเจา้ อยู่หวั หรอื เจ้าชวี ิตนน้ั เปน็ เสมอื นหน่ึงพระพุทธเจา้ ผู้ทรง พระคุณอันประเสริฐ ประชาชนทุกคนต่างได้พึ่งพระบารมอี ยู่เป็นนจิ เหมือนอยใู่ ต้พระบรมโพธิสมภารกล่าวได้ วา่ วัฒนธรรมการปกครองของสงั คมไทยแม้จะมีความเปล่ียนแปลงผา่ นยุคสมยั ต่าง ๆกย็ งั คงรกั ษาแนวคิดเดมิ คือความสมั พันธ์อนั ใกลช้ ิดเป็นหนง่ึ เดยี วกันระหวา่ งพระมหากษัตริย์กบั ประชาชน และศาสนาไวไ้ ด้เปน็ อยา่ ง

40 ดี เพราะไม่ว่าเวลาจะผา่ นไปนานเทา่ ใด “พระราชากย็ งั เป็นกาลงั ของคนทุกขย์ าก” ซึ่งไดท้ รงสงเคราะห์โดย ทั่วทุกชนชั้นวรรณะให้เกิดความผาสกุ อยู่เปน็ นิจ ตรงตามหลกั มนุษยธรรมในไตรภมู พิ ระร่วงดังได้กล่าวมาแลว้ ข้างต้นอย่างไม่เส่อื มคลาย และทรงเป็นศูนย์รวมความจงรักภกั ดขี องคนไทยตลอดไป (มูลนธิ ิสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี, 2554 : พระราชนิพนธ์คานา) เรื่องที่ 3 บุญคณุ ของพระมหากษัตรยิ ไ์ ทยตงั้ แตส่ มัยสโุ ขทัย อยธุ ยา ธนบรุ ี และรตั นโกสนิ ทร์ สมัยสโุ ขทัย อาณาจักรสโุ ขทัย เป็นสมยั ที่เจรญิ รุง่ เรอื งสูงสดุ ในรัชสมยั ของพ่อขนุ รามคาแหงมหาราชอานาจของ อาณาจักรสโุ ขทัยในชว่ งรชั สมัยของพระองค์มั่นคงมาก ได้ทรงแผอ่ าณาเขตออกไปโดยรอบ วัฒนธรรมไทยได้ เจริญขึ้นทุกสาขา ดังปรากฏในศลิ าจารกึ หลักท่ี 1 ซ่ึงเจริญท้ังด้านประวัติศาสตร์ การสงคราม ภมู ิศาสตร์ กฎหมาย ประเพณี การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ปรัชญาพระพทุ ธศาสนา การประดษิ ฐอ์ ักษรไทย และอ่ืน ๆ สมยั พ่อขนุ รามคาแหงมหาราช ดา้ นการเมืองการปกครอง พระองค์ทรงใชร้ ปู แบบการปกครองแบบพ่อปกครองลกู คือ พระองคท์ รงดูแลเอาใจใสใ่ นทกุ ขส์ ุขของราษฎร เหมอื นพระองค์เปน็ พ่อ สว่ นราษฎรหรือไพร่ฟ้า คอื ลกู เมอื่ ราษฎรมเี ร่อื งเดือดร้อนก็ทรงใหส้ น่ั กระด่ิงท่หี น้า ประตวู ัง แล้วพระองคก์ จ็ ะเสด็จออกมารบั ฟังเร่ืองราวและทรงตดั สนิ ปญั หาดว้ ยพระองค์เอง นอกจากน้ี พระองค์ทรงทาสงครามขยายอาณาเขตออกไปอยา่ งกวา้ งขวางมากกวา่ พระมหากษัตรยิ ์พระองค์ใดในสมยั สโุ ขทยั ด้านเศรษฐกิจ พระองค์ทรงโปรดใหส้ ร้างทานบกักเกบ็ น้าท่เี รียกว่า ทานบพระร่วง หรอื สรีดภงส์เพื่อใช้กกั เก็บน้าไว้ใชใ้ นฤดู แล้ง และพระองคท์ รงให้เสรีภาพแก่ประชาชนในการค้าขายได้อยา่ งมีอิสระเสรี ไม่มกี ารเก็บภาษผี ่านดา่ นจาก ราษฎร ท่ีเรียกวา่ จังกอบ ทาใหก้ ารคา้ ขายขยายออกไปอย่างกวา้ งขวาง และทรงโปรดใหส้ รา้ งเตาเผาเครือ่ ง สงั คโลกเปน็ จานวนมาก เพอ่ื ผลิตสินคา้ ออกไปขายยงั ดินแดนใกล้เคยี ง

41 ด้านศิลปวัฒนธรรม พระองค์ทรงประดษิ ฐต์ ัวอักษรไทยทเี่ รียกวา่ ลายสอื ไทย และไดม้ ีการพัฒนามาเป็นลาดับจนถึงอักษรไทยใน ปัจจบุ ัน ทาใหค้ นไทยมีอกั ษรไทยใช้มาจนถึงปจั จบุ นั โดยโปรดใหจ้ ารึกเรอ่ื งราวเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสมัย สโุ ขทยั ลงบนศิลา เมอื่ พ.ศ. 1826 เรยี กวา่ ศิลาจารึกหลกั ที่ 1 สมัยพระมหาธรรมราชาท่ี 1 (พระยาลิไท) ในสมยั พระมหาธรรมราชาท่ี 1 (พระยาลิไท) ทรงรวบรวมราชอาณาจกั รสโุ ขทัยเป็นอนั หนึง่ อนั เดยี วกัน และ ขยายพระราชอานาจออกไประหว่างแควจาปาสักกบั แม่น้าปงิ จนจรดแมน่ า้ น่านทางทิศเหนอื มาไว้ใน ราชอาณาจักรสโุ ขทัย ด้านศาสนา ทรงมีบทบาทสาคญั ในการทานบุ ารงุ และเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา คือ ไดส้ ง่ พระสงฆอ์ อกไปเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนายงั ท่ตี ่าง ๆ เช่น เมอื งเชยี งใหม่ พิษณโุ ลก อยุธยา และหลวงพระบางทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหซ้ อ่ ม พระเจดีย์เมืองนครชุม (กาแพงเพชร) ทรงประดิษฐานรอยพระพทุ ธบาทที่เขาสมุ นกฏุ ซ่ึงอยู่นอกเมืองสุโขทยั โปรดให้สร้างวดั ป่ามะมว่ ง (สุโขทยั ) ทรงโปรดใหห้ ล่อพระพุทธรูปปางมารวิชยั มีขนาดเท่ากบั องค์ พระพุทธเจ้า ถวายพระนามว่า พระศรีศากยมุนีประดิษฐานที่พระวหิ ารวัดพระศรรี ตั นมหาธาตุ สโุ ขทัย ด้านภาษาและวรรณคดี ทรงมีความเช่ยี วชาญในด้านภาษาและวรรณคดีเป็นพเิ ศษ ดังมีหลักฐานปรากฏในหนงั สือไตรภูมิพระรว่ ง ว่า พระมหาธรรมราชาท่ี 1 (พระยาลิไท) ทรงนิพนธ์ขึ้นเม่ือคร้งั ยังดารงพระยศพระมหาอปุ ราช ครองเมืองศรสี ัช นาลยั หนงั สือไตรภูมิพระรว่ งเป็นวรรณคดีที่เก่ียวข้องกบั พระพุทธศาสนา สมยั อยธุ ยา สมเดจ็ พระรามาธิบดที ่ี 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงเปน็ ปฐมกษตั ริยข์ องกรงุ ศรีอยธุ ยาทรงต้ังกรงุ ศรีอยธุ ยา ณ ชัยภมู ทิ ี่เอ้อื อานวยทง้ั ในด้านความปลอดภัยจากข้าศึกและความอยู่ดีกินดขี องชาวอยุธยา พนื้ ท่เี หมาะแก่การ ทาเกษตรกรรมบญุ คณุ ของพระมหากษตั ริยส์ มยั อยธุ ยาท่มี ตี ่อประเทศในสมยั อยุธยา ดังนี้

42 1. ทรงปฏิรปู การปกครอง โดยทรงรวมอานาจการปกครองเข้าสศู่ นู ย์กลาง คือ ราชธานแี ละแยกฝา่ ยทหารกบั ฝา่ ยพลเรอื นออกจากกนั การแตง่ ต้ังตาแหน่งข้าราชการให้มบี รรดาศกั ดติ์ ามลาดบั จากต่าสดุ ไปสงู สุด คอื ทนาย พนั หม่นื ขนุ หลวง พระ พระยา และเจา้ พระยา มีกาหนดศักดนิ าเพื่อเปน็ คา่ ตอบแทนการรบั ราชการ ทรงตง้ั กฎมณเฑียรบาลข้นึ เป็นกฎหมายสาหรับการปกครอง 2. ทรงประกาศใช้กฎหมายลักษณะสาคญั คือ กฎหมายศักดนิ า เป็นการกาหนดสิทธหิ นา้ ท่มี ูลนายและไพร่ 3. โปรดเกลา้ ฯ ให้ประชุมนักปราชญร์ าชบณั ฑิตแตง่ หนังสือมหาชาตคิ าหลวง นบั ว่าเปน็ วรรณกรรมทาง พระพุทธศาสนาเรื่องแรกของกรุงศรีอยุธยา และเป็นวรรณคดีทใ่ี ชเ้ ป็นแนวทางในการศึกษาภาษาและ วรรณคดีของไทย พร้อมทงั้ สร้างวัดจฬุ ามณี 4. ทรงรวมอาณาจักรสโุ ขทัยเป็นสว่ นหนงึ่ ของอยธุ ยาโดยสมบูรณ์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตลอดรชั สมัยของพระองคท์ รงกอบก้กู รุงศรอี ยุธยาจากพมา่ และได้ทาสงครามกบั อรริ าชศตั รูทัง้ พมา่ และเขมร จนราชอาณาจักรไทยเปน็ ปึกแผน่ มน่ั คง ขยายดนิ แดนได้อยา่ งกว้างขวางบุญคุณของพระองคท์ มี่ ีต่อ ประเทศชาติในด้านต่าง ๆ ดังนี้ ด้านการเมืองการปกครอง พระองคโ์ ปรดใหป้ รับปรุงการปกครองหวั เมืองใหญเ่ ปน็ การรวมอานาจเข้าสู่ศนู ย์กลางยกเลิกระบบเมืองพระ ยามหานคร ยกเลิกใหเ้ จ้านายไปปกครองเมอื งเหล่าน้ี แล้วให้ขุนนางไปปกครองแทน จัดหวั เมอื งตาม ความสาคญั และขนาดเป็น เอก โท ตรี จตั วา ดา้ นการคา้ ขาย ทรงสง่ ทตู ไปประเทศจนี เพื่อรับรองฐานะกษัตรยิ ์ของพระองคแ์ ละติดตอ่ ค้าขายกับประเทศจนี ขยายการคา้ ไปประเทศสเปน

43 สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริยท์ ่ที รงพระปรชี าสามารถมาก ทาให้กรงุ ศรีอยธุ ยาในรชั สมยั ของพระองค์ มี ความเจริญร่งุ เรืองก้าวหน้าในทกุ ดา้ น ท้ังในด้านเศรษฐกิจ การต่างประเทศการศึกษา ศิลปวฒั นธรรม และ วรรณคดีทสี่ าคญั หลายเร่ืองเกิดข้ึน ในรัชสมัยของพระองค์ จนได้ช่อื วา่ เป็นยคุ ทองของวรรณคดีในสมัยกรุงศรอี ยธุ ยาในรชั สมยั ของพระองค์ ได้มี ชาวตะวนั ตกเดนิ ทางเข้ามาติดตอ่ คา้ ขาย เผยแผ่ศาสนาตลอดจนเข้ารบั ราชการ ทาใหช้ าวตะวันตกยอมรับนับ ถือกรุงศรีอยุธยาเปน็ อย่างมาก ในด้านการค้าขาย ไดม้ ีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศมากย่งิ กว่าในรชั สมยั อนื่ ๆท้ังฮอลันดา ฝรั่งเศส และ องั กฤษ ทรงโปรดเกล้าฯ ใหต้ ่อเรอื กาปนั่ หลวง เพ่ือทาการค้าขายกบั ตา่ งประเทศ จงึ ทาใหอ้ ยธุ ยาเป็น ศนู ย์กลางการค้ากับตา่ งประเทศ มเี ศรษฐกิจร่งุ เรือง มรี ายได้จากการจดั เกบ็ ภาษีอากรเป็นจานวนมาก สมัยธนบรุ ี สมเดจ็ พระเจ้าตากสินมหาราช พระองค์มีพระราชกรณียกิจที่สาคัญ คือ การรวบรวมกาลังไว้ตอ่ สกู้ บั พม่า สรา้ งความเป็นปกึ แผน่ ของพระราชอาณาจักรบญุ คุณของพระองคท์ ี่มีตอ่ ประเทศชาติในด้านตา่ ง ๆ ดา้ นเศรษฐกิจ เม่ือเศรษฐกิจของบา้ นเมอื งอย่ใู นภาวะตกต่า ทรงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอยา่ งดี โดยสละพระราช ทรัพย์ซื้อขา้ วสารจากพ่อคา้ ต่างเมอื ง ด้านวรรณกรรม ทรงสนพระทยั ดา้ นวรรณกรรม ทรงนพิ นธ์บทละครเร่ืองรามเกยี รติ์ ทานบุ ารุงพระพุทธศาสนาให้รงุ่ เรอื งดังแต่ กอ่ นนอกจากนี้พระองคย์ ังทรงเป็นนักรบและนกั ปกครองช้ันดีเย่ยี ม มีคณุ ลักษณะผูน้ าอยเู่ ต็มตวั ทัง้ ในยาม คบั ขันและยามปกติ

44 สมัยรตั นโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช (รชั กาลที่ 1) โปรดให้ยา้ ยราชธานีจากกรุงธนบุรีไปยังท่ี แห่งใหมซ่ ่งึ อยูค่ นละฝง่ั ของแม่น้าเจ้าพระยา เม่อื พ.ศ. 2325 ตอ่ มาได้พระราชทานนามว่า กรุงรัตนโกสินทร์ หรือกรงุ เทพฯ ในปัจจบุ นั การสรา้ งพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช พระองคโ์ ปรดใหส้ รา้ งวดั ขึ้น ในพระบรมมหาราชวงั คือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรอื วัดพระแกว้ แลว้ อญั เชญิ พระแก้วมรกตมา ประดิษฐาน ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยูห่ ัวทรงเปลย่ี นนโยบายตา่ งประเทศ มาเปน็ การคา้ กบั ชาวตะวนั ตก เพ่ือความอยูร่ อดของชาติ เนื่องจากทรงตระหนกั ถึงภยั จากลัทธิจักรวรรดินิยม ซง่ึ กาลงั คุกคาม ประเทศตา่ ง ๆ อยู่ในขณะน้ัน จดุ เรม่ิ ของการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศ คือ การทาสนธสิ ัญญาเบาวร์ งิ กบั องั กฤษ ใน พ.ศ. 2398 โดยพระนางเจา้ วิกตอเรียได้แต่งต้ังให้ เซอร์ จอห์น เบาวร์ ิง เปน็ ราชทตู เขา้ มาเจรจา ของสนธิสัญญาเบาวร์ ิง มดี ังน้ี 1. องั กฤษขอต้ังสถานกงสลุ ในประเทศไทย 2. คนอังกฤษมีสิทธเิ ช่าท่ดี ินในประเทศไทยได้ 3. คนอังกฤษสามารถสรา้ งโบสถ์ และสามารถเผยแพร่ศาสนาครสิ ตไ์ ด้ 4. เกบ็ ภาษีขาเข้าได้ไมเ่ กนิ ร้อยละ 3 5. พ่อค้าองั กฤษและพ่อค้าไทยมีสิทธคิ า้ ขายกนั ได้โดยเสรี 6. สินคา้ ต้องหา้ ม ไดแ้ ก่ ขา้ ว ปลา เกลอื 7. ถ้าไทยทาสนธิสัญญากับประเทศอื่น ๆ ทม่ี ผี ลประโยชน์เหนือประเทศอังกฤษจะตอ้ งทาให้องั กฤษดว้ ย 8. สนธิสญั ญานจ้ี ะแก้ไขเปลีย่ นแปลงได้ จนกว่าจะใช้แล้ว 10 ปี และในการแก้ไขต้องยินยอมด้วยกันท้งั สอง ฝา่ ยและตอ้ งบอกลว่ งหนา้ 1 ปี การเปลย่ี นแปลงจากการทาสนธสิ ัญญาเบาว์ริงในสมัยรัชกาลท่ี 4 มีดังน้ี

45 1. ดา้ นการปกครอง รัชกาลท่ี 4 ทรงแก้ไขเปลีย่ นแปลงประเพณี คือ เปิดโอกาสให้ราษฎรเขา้ เฝ้าได้โดยสะดวกใหร้ าษฎรเข้าเฝา้ ถวายฎีการ้องทกุ ข์ได้ในขณะท่ีทรงเสด็จพระราชดาเนนิ รัชกาลท่ี 5 ทรงเปลี่ยนแปลงสถานะของไพรใ่ หเ้ ป็น พลเมอื งปลดปล่อยทาสซึ่งนาไปสู่การเลกิ ทาส และปฏิรูปการศกึ ษาโดยการจดั ตัง้ โรงเรยี นขึ้นในวัดสาหรับ ราษฎรรัชกาลที่ 6 ทรงประกาศใชพ้ ระราชบัญญัติ โปรดให้ใช้พุทธศักราช (พ.ศ.) เป็นศักราชทางราชการ แทนรัตนโกสนิ ทรศ์ ก (ร.ศ.) เปลีย่ นแปลงการนบั เวลาทางราชการ ใหส้ อดคล้องกบั สากลนยิ ม โปรดให้กาหนด คานาหน้าช่ือเด็กหญิง เด็กชาย นางสาว และ นาง เปล่ยี นแปลงธงประจาชาติ จากธงรูปช้างเผือก มาเป็นธง ไตรรงค์ตรากฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสบื สันตติวงศ์ตามแบบประเทศยโุ รป การปฏริ ปู กฎหมายและการศาล รชั กาลที่ 4 ทรงตรากฎหมายขึน้ หลายฉบับ เพื่อให้ทนั สมัยและเหมาะสมกับสภาพบา้ นเมอื ง เชน่ กฎหมาย เก่ียวกบั มรดก สินสมรส ฯลฯรัชกาลที่ 5 การปฏิรูปกฎหมายและการศาลครงั้ สาคัญ โดยมกี รมหลวงราชบุรี ดิเรกฤทธ์ิ (พระบดิ าแหง่ กฎหมาย) เปน็ กาลงั สาคญั ผลการปฏริ ปู กฎหมายและการศาล มดี ังน้ี 1. โรงเรยี นสอนวิชากฎหมาย 2. ตรากฎหมายฉบบั ใหม่และทนั สมัยทสี่ ดุ คือ กฎหมายลกั ษณะอาญา 3. จดั ตั้งกระทรวงยุติธรรมขึ้นรัชกาลท่ี 6 โปรดใหป้ ฏริ ูป กรมรา่ งกฎหมายเพมิ่ เติม เป็นต้น 2.ด้านเศรษฐกิจ ภายหลังการทาสนธิสญั ญาเบาว์รงิ แล้ว การคา้ ของไทยเจริญก้าวหน้าขึ้นมากทาใหม้ ีการปรับปรุงดา้ น เศรษฐกิจ ดงั น้ี รัชกาลที่ 4 ทรงเปล่ียนการใช้เงนิ พดด้วงมาเป็นเงนิ เหรียญ และขดุ คลอง ตดั ถนนเพ่ิมข้ึนหลายสาย รชั กาลท่ี 5 โปรดเกล้าฯ ใหเ้ ปลย่ี นมาตราเงินไทยมาใช้ระบบทศนยิ มกาหนดให้1 บาท มี 100 สตางค์ สรา้ ง เหรยี ญสตางคท์ าด้วยทองขาว และเหรยี ญทองแดง และไดโ้ ปรดเกล้าฯได้พมิ พธ์ นบัตรขึน้ ใช้ โดยตรา พระราชบัญญตั ิธนบัตร ร.ศ. 121 (พ.ศ. 2445) และตงั้ กรมธนบตั รข้ึนสงั กัดกระทรวงพระคลงั มหาสมบตั ิ นอกจากนีย้ ังประกาศใช้พระราชบัญญตั ิมาตราทองคา ร.ศ. 127 (พ.ศ. 2451) โดยใชท้ องคาเป็นมาตรฐาน เงนิ ตราแทนเงนิ และได้ประกาศยกเลิกการใชเ้ งินพดด้วงเหรยี ญ เฟือ้ ง เบยี้ ทองแดงต่าง ๆ เบี้ยสตางค์ ทองขาว โดยให้ใชเ้ หรียญบาท สลงึ และเหรียญสตางค์อย่างใหมแ่ ทน และขดุ คลอง ตดั ถนนเพมิ่ ขึ้นหลายสาย

46 รัชกาลที่ 6 โปรดต้ังคลงั ออมสินขึน้ (ปัจจุบนั คือ ธนาคารออมสิน) 3. ดา้ นการศกึ ษา รชั กาลท่ี 4 ตั้งโรงเรยี นชายข้ึนทตี่ าบลสาเหร่ และโรงเรยี นกลุ สตรีวังหลัง รชั กาลที่ 5 ได้มีการปฏิรูปการศึกษาขึน้ คือ โรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก โรงเรยี นพระตาหนักสวนกหุ ลาบ และโรงเรียนวดั มหรรณพาราม (แหง่ แรก) ได้โปรดให้จดั ต้ังกระทรวงธรรมการขน้ึ เพื่อรับผดิ ชอบในดา้ น การศึกษา และยังได้พระราชทานทุนเลา่ เรียนหลวงอีกด้วย รัชกาลที่ 6 มีดงั นี้ 1. ตราพระราชบญั ญัติประถมศกึ ษาขนึ้ ใชใ้ นปี พ.ศ. 2464 2. ใหเ้ รยี กเกบ็ เงนิ “ศึกษาพลี” จากราษฎรเพ่ือบารงุ การศึกษาท้องถ่นิ 3. ตั้งมหาวทิ ยาลยั ขน้ึ เปน็ แห่งแรก คือ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั 4. ด้านศาสนา รชั กาลท่ี 4 ทรงประกาศใชพ้ ระราชบัญญตั ิ ลกั ษณะการปกครองสงฆ์เปน็ ฉบับแรก โดยมีสมเด็จพระสังฆราช เป็นผู้ปกครองสูงสุด มีมหาเถรสมาคมให้คาปรกึ ษา และโปรดใหส้ รา้ งวดั ข้ึนหลายแหง่ เชน่ วดั โสมนัสวหิ าร วัดราชประดิษฐ์ วดั ปทุมวนาราม รชั กาลท่ี 5 ทรงมีพระราชกรณียกิจท่สี าคัญ คือ โปรดให้จัดต้งั สถานศึกษาสาหรับพระสงฆ์ขนึ้ 2 แห่ง ซึง่ ต่อมาเปน็ มหาวิทยาลัยของสงฆ์ หรอื มหาวทิ ยาลัยพระพุทธศาสนามีการศกึ ษาถึงระดบั ปริญญาเอก คือ 1. มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย อยู่ทวี่ ดั มหาธาตฯุ เปน็ สถานศกึ ษาของพระสงฆ์ฝา่ ยมหานิกาย (ปจั จบุ นั คือ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั การให้บริการดา้ นการศกึ ษาเชน่ เดยี วมหาวทิ ยาลัยมหามงกฎุ ราช วทิ ยาลยั ) 2. มหามงกุฎราชวทิ ยาลยั อยู่ทว่ี ัดบวรนเิ วศวิหาร เปน็ สถานศกึ ษาของพระสงฆฝ์ ่ายธรรมยุตินิกาย (ปัจจุบนั คือ มหาวทิ ยาลยั มหามงกฎุ ราชวทิ ยาลัย การใหบ้ ริการดา้ นการศกึ ษาเชน่ เดียวกบั มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลง กรณราชวทิ ยาลยั ) 5. ด้านขนบธรรมเนยี มประเพณี รชั กาลท่ี 4 ทรงประกาศใหข้ า้ ราชการสวมเสื้อเวลาเขา้ เฝา้ ทรงให้เสรีภาพประชาชน ในการนบั ถือศาสนา การประกอบอาชีพ โปรดให้สตรไี ดย้ กฐานะใหส้ งู ขนึ้ รัชกาลท่ี 5 โปรดเกล้าฯ ให้ขา้ ราชการสวมเสื้อราชปะแตน และสวมหมวกอยา่ งยโุ รป ใหข้ ้าราชการทหารแต่ง เครอื่ งแบบตามแบบตะวนั ตก โปรดให้ผู้ชายในราชสานัก ไวผ้ มทรงมหาดไทย เปลยี่ นมาไวผ้ มตัดยาวทัง้ ศีรษะ แบบฝรั่ง โปรดให้ผหู้ ญงิ เลิกไว้ผมปกี ใหไ้ วผ้ มตัดยาวท่ีเรียกว่า “ทรงดอกกระทุ่ม”

47 6. ด้านศลิ ปกรรม รชั กาลที่ 4 เร่ิมมกี ารก่อสร้างแบบตะวนั ตก เชน่ พระราชวังสราญรมย์ พระนครคีรีทเี่ พชรบรุ ี ด้านจติ รกรรม ไดแ้ ก่ ภาพเขยี นฝาผนังในพระอโุ บสถ และวิหารวดั บวรนิเวศวหิ าร จติ รกรเอกในสมยั น้ี ไดแ้ ก่ ขรัวอินโข่ง ซง่ึ เรม่ิ เขียนภาพแบบสามมติ ิ ตามแบบตะวันตก เป็นบุคคลแรก รชั กาลท่ี 5 สถาปัตยกรรมได้รับอทิ ธพิ ลแบบตะวนั ตกมากข้ึน ประตมิ ากรรม ไดแ้ ก่พระพุทธชินราชจาลอง พระบรมรูปหล่อพระมหากษัตริย์ 4 รัชกาล พระราชนพิ นธ์ท่ีสาคญั ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยหู่ วั ได้แก่ พระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนพิ นธ์ไกลบา้ น รชั กาลที่ 6 มีการก่อสรา้ งตามแบบไทย ไดแ้ ก่ หอประชมุ โรงเรียนวชริ าวธุ วทิ ยาลัยการกอ่ สร้างแบบตะวนั ตก เชน่ พระราชวงั สนามจันทร์ ดา้ นจติ รกรรม ได้แก่ ภาพเขยี นทฝ่ี าผนังวิหารทศิ ทีจ่ งั หวัดนครปฐม การก่อสรา้ งพระพทุ ธรูป เชน่ พระแก้ว มรกตนอ้ ย ด้านดนตรี และการแสดงละคร มีความรุง่ เรืองมาก มกี ารแสดงละครเพม่ิ ขึน้ หลายประเภท เชน่ ละครร้อง ละครพดู ด้านวรรณคดี ได้มพี ระราชนิพนธห์ ลายเรอ่ื ง เชน่ เวนสิ วาณชิ ฯลฯ ไดม้ ีการกอ่ ตง้ั วรรณคดสี โมสรข้นึ ด้วย นอกจากนย้ี งั มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งสาคัญทส่ี ดุ ของไทย คือการเปล่ียนแปลงการปกครอง จาก ระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธปิ ไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมขุ ในปี พ.ศ. 2475 ซ่งึ ตรงกับรชั สมัยพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอยู่หวั รชั กาลท่ี 7 ซงึ่ ถือว่าเปน็ บญุ คุณอันใหญ่ หลวงท่ีพระมหากษัตรยิ ์ได้ทาเพ่อื ประชาชนของพระองค์ ในรัชสมยั ของพระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) พระองค์มพี ระราชกรณยี กิจด้านการพฒั นาท่ีสาคัญ คือ การบรหิ ารจัดการทรพั ยากรธรรมชาติและ สง่ิ แวดล้อม เปน็ สงิ่ ท่ีทรงสนพระราชหฤทยั อย่างยิง่ ทรงตระหนักว่าปัญหาเกษตรกรมาจาก ทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมท่ีเส่ือมโทรม ถูกทาลายจานวนมาก ทรงคิดค้น ดดั แปลงปรับปรงุ และ แกไ้ ขด้วยการพัฒนาทดี่ าเนนิ การไดง้ ่าย ไมย่ ุ่งยากซบั ซอ้ น สอดคลอ้ งกับสภาพความเปน็ จรงิ ของความเป็นอยู่ และระบบนเิ วศในแตล่ ะภูมิภาค พระราชกรณียกิจที่ทรงปฏบิ ัตมิ าตลอดรัชสมยั เป็นทยี่ อมรบั ทรงสร้าง รปู แบบท่ีเปน็ ตัวอย่างของการพฒั นาแบบยั่งยนื ผสมผสานความต้องการของราษฎรให้เข้ากบั การประกอบ อาชพี โดยทรงนาพระราชดารมิ าปฏบิ ัติจรงิ และสามารถพัฒนาให้เปน็ ทฤษฎีใหม่ ซ่งึ เปน็ ระบบการจัดการ

48 ทีด่ นิ และแหล่งน้าเพื่อการเกษตรท่ยี ่ังยืนทาใหเ้ กษตรกรสามารถดาเนนิ ชีวิตได้อยา่ งมีความสขุ ตามหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดช (รชั กาลท่ี 9) ทรงปฏิบตั ิพระราชกรณียกจิ เพ่ือการพฒั นา ประเทศ โดยทรงเนน้ คนเปน็ ศนู ย์กลางตลอดมา พระองคเ์ ปน็ ต้นแบบการบรหิ ารจัดการทด่ี ีในทุกพระราช ภารกิจ ในฐานะพระมหากษัตริยภ์ ายใตร้ ัฐธรรมนญู ทรงเกื้อหนุนการบริหารราชการทุกรัฐบาล แนว พระราชดาริจานวนมากที่พระราชทานใหร้ ฐั บาลนาไปปฏิบตั ิล้วนมีจดุ มงุ่ หมายให้ประชาชนชาวไทยมี ความสุข ไดร้ บั บริการจากรฐั อย่างทัว่ ถึง เขา้ ถึงทรัพยากรของชาติอยา่ งเท่าเทียมกนั แนวพระราชดาริด้าน การเกษตรทส่ี าคญั คือ “ทฤษฎใี หม่” เปน็ การใชป้ ระโยชน์จากพน้ื ทที่ ีม่ ีอย่จู ากัดให้เกิดประโยชนส์ งู สุด พ.ศ. 2540 ประเทศไทยประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดลุ ย เดช (รัชกาลท่ี 9) พระราชทานหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงทรงชี้แนะแนวทางการดาเนนิ ชวี ิตใหแ้ ก่ ราษฎร เป็นผลให้เกดิ การพัฒนาสังคมและทรัพยากรบุคคลอย่างม่ันคง ยั่งยนื และสงบสุข ซง่ึ โครงการอัน เนอ่ื งมาจากพระราชดารใิ นรชั สมยั ของพระองค์มที ั้งส้นิ มากกว่า 4,000 โครงการ อย่ใู นความรับผดิ ชอบของ สานกั งานคณะกรรมการพเิ ศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนอ่ื งมาจากพระราชดาริ (สานักงาน กปร.) นอกจากนพ้ี ระองคย์ ังทรงมีพระปรีชาสามารถในศาสตร์สาขาตา่ ง ๆ ซง่ึ ส่งผลต่อการพัฒนาท้งั ส้ิน ทง้ั ในด้าน การประดิษฐ์ ไดแ้ ก่ การประดิษฐ์ “กงั หันชยั พัฒนา” ซึง่ เป็นเครือ่ งกลเติมอากาศแบบทุ่นลอย ดา้ นวรรณศิลป์ พระองค์ทรงเชยี่ วชาญในภาษาหลายภาษา ทรงพระราชนพิ นธ์บทความ แปลหนังสอื เช่น นายอินทร์ผ้ปู ดิ ทองหลงั พระ ติโต พระมหาชนก และพระมหาชนกฉบบั การต์ นู เปน็ ต้น งานทางด้านดนตรี พระองค์ทรงพระปรชี าสามารถเปน็ อย่างมากและรอบรใู้ นเรื่องการดนตรเี ป็นอย่างดี พระองค์ทรงดนตรีได้ หลายชนิด เช่น แซก็ โซโฟน คลาริเนต็ ทรมั เป็ต กตี าร์ และเปยี โน พระองคย์ งั ได้ประพันธ์เพลงที่มีความหมาย และไพเราะหลายเพลงด้วยกัน เชน่ เพลงพระราชนิพนธ์แสงเทยี น เป็นเพลงแรก นอกจากน้ยี ังมเี พลงสายฝน ยามเยน็ ใกลร้ งุ่ ลมหนาว ยิ้มสู้สายลม คา่ แล้ว ไกลกังวล ความฝนั อันสูงสุด เราสู้ และเพลงพรปใี หม่ เปน็ ต้น ในรัชสมัยสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวมหาวชริ าลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (รัชกาลท่ี 10) พระราชกรณยี กจิ ของพระองคท์ ่ีสาคัญ เชน่ พระองคท์ รงใสพ่ ระราชหฤทยั ในการสง่ เสริมการศึกษาของ เยาวชนไทย โดยทรงรับโรงเรียนหลายแห่งไวใ้ นพระราชปู ถัมภ์ เน่ืองจากทรงตระหนักวา่ การศกึ ษาจะ สามารถพัฒนาเยาวชน ซึง่ เป็นกาลงั หลกั ในการพัฒนาประเทศชาติในอนาคต ทรงมีพระราชดาริด้านการ ส่งเสริมการศึกษา ได้แก่ “โครงการทุนการศึกษาสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั มหาวชริ าลงกรณ บดินทรเทพยวราง กูร” เพ่ือสนับสนุนและส่งเสริมการศึกษาแก่เด็กและเยาวชน

49 นอกจากน้ี พระองคย์ ังทรงห่วงใยและทรงคานึงถึงความอยู่ดีมีสุขของประชาชนเป็นสาคัญ และ พระองค์มีพระราชปณิธานแน่วแน่ ทจ่ี ะทาให้ประเทศชาตมิ ่ันคงและประชาชนมีชวี ิตความเป็นอยทู่ ่ีดีข้ึน ด้วย มพี ระราชประสงค์ทีจ่ ะสบื สาน รักษา และต่อยอดโครงการอันเน่ืองมาจากพระราชดาริและแนวพระราชดาริ ต่าง ๆ ในการบาบัดทุกขแ์ ละบารงุ สุขให้ประชาชนและพฒั นาประเทศใหเ้ จรญิ ก้าวหนา้ ทรงพระกรณุ าโปรด เกลา้ ฯ ใหห้ น่วยราชการในพระองค์ ร่วมกับหน่วยราชการต่าง ๆ และประชาชนทุกหมเู่ หลา่ ทีม่ จี ติ อาสา บาเพญ็ สาธารณประโยชนใ์ นพ้ืนที่ต่าง ๆเพ่ือบรรเทาความเดอื ดรอ้ น และแก้ไขปัญหาให้แกป่ ระชาชน ไมว่ ่า จะเปน็ ปัญหานา้ ท่วมในเขตชุมชน ปัญหาการจราจร และอ่ืน ๆ เพ่ือสืบสานพระราชปณธิ านพระบาทสมเด็จ พระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดุลยเดช (รชั กาลท่ี 9) ที่ทรงหว่ งใยปัญหาน้าทว่ มและปญั หาการจราจรในเขตพ้นื ที่ กรงุ เทพมหานครและจงั หวัดตา่ ง ๆ ซึ่งพระองคท์ รงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดโครงการจิตอาสา“เราทา ความดี ดว้ ยหัวใจ” ระหวา่ งวนั ที่ 28 กรกฎาคม - 3 สิงหาคม พ.ศ. 2560 ในพนื้ ท่ีกรุงเทพมหานครเพื่อเป็น แบบอย่างในการพัฒนาสภาพแวดล้อม และความเป็นอยใู่ นชมุ ชนให้มสี ภาพท่ีดีขน้ึ ดงั นน้ั โครงการจิตอาสา “เราทาความดี ดว้ ยหัวใจ” โครงการในพระราชดารสิ มเด็จพระเจา้ อยหู่ ัว ได้ปลุก จิตสานึกในการทาความดี ปลูกฝงั ให้คนทุกเพศทุกวัย ได้ตน่ื ตัวในการบาเพ็ญตนให้เป็นประโยชนแ์ ก่สงั คม ชมุ ชน และประเทศชาติ

50 ใบงาน เรือ่ ง ความภูมิใจในความเป็นชาตไิ ทย คาช้แี จง จงตอบคาถามต่อไปนี้ 1. จงอธิบาย ความหมาย และความสาคัญของชาติ ………………………………………………………………………………………......................................................……………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ….………………………………..………………………………………………………………………………………………………… 2. รายละเอยี ดความเปน็ มาของชนชาติไทยมีอะไรบ้าง ………………………………………………………………………………………......................................................……………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …..…………………………………………………………………………………………………………………………………..……………… 3. การรวมไทยเป็นปึกแผ่นประกอบไปดว้ ย ………………………………………………………………………………………......................................................……………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …..……………………………………………………………………………………………………………………………..…………………… 4. จงยกตัวอยา่ งเรื่องพระมหากษัตรยิ ไทยกับการรวมชาติ ..................………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………..………………………………………………………………………………….……………....................... .............................................................................................................................................................………… 5.อธบิ ายศาสนา ในสมัย สโุ ขทยั อยธุ ยา ธนบรุ ี และรัตนโกสินทร์ มาพอสังเขป


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook