สว่ นประกอบของเซลลพ์ ืชและเซลล์สัตว์ 1. ส่วนประกอบของเซลลส์ ัตว์มดี งั นี้ เซนทริโอล ร่างแหเอนโดพลาซึม ไมโทคอนเดรยี ไซโทพลาซึม นิวเคลยี ส กอลจบิ อดี เยื่อหุ้มเซลล์ และแวคิวโอล 2. เซนทริโอล (centriole) เป็นส่วนที่อยู่ใกล้นิวเคลียส พบในเซลล์สัตว์และโพรทิสต์บางชนิด มี ขนาดเลก็ ใส มีรัศมแี ผ่ออกมาโดยรอบมีรปู รา่ งคลา้ ยท่อทรงกระบอก ในแตล่ ะเซลล์จะมีเซนทริโอล 2 อัน เรยี ง ในลักษณะตั้งฉากกัน หน้าที่ของเซนทริโอล คือ ช่วยในการเคลื่อนที่ของโครโมโซมในขณะที่มีการ แบง่ เซลล์ ชว่ ยในการเคลื่อนทขี่ องเซลลบ์ างชนิด 3. ร่างแหเอนโดพลาซึม (Endoplasmic Reticulum, ER) แบ่งออกเป็นชนิดผิวเรียบและผิว ขรุขระ ชนดิ ผิวเรยี บ (Smooth Endoplasmic Recticulum, SER) จะไม่มีไรโบโซมเกาะ ทำหนา้ ที่สร้างไขมัน กำจดั สารพิษ ส่วนชนิดผิวขรุขระ (Rough endoplasmic recticulum, RER) จะมไี รโบโซมเกาะอยู่ ทำหน้าท่ี สรา้ งโปรตนี และส่งโปรตนี ออกนอกเซลล์ 4. ไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) เป็นแหล่งผลิตสารพลังงานสูง คือ ATP เกี่ยวข้องกับการสลาย อาหารหรือการหายใจระดับเซลล์แบบใช้ออกซิเจน เป็นออร์แกเนลล์ที่ประกอบด้วยเย่ือหุ้ม 2 ชั้น มีของเหลว ภายในเรยี กว่า matrix ภายในมี DNA และไรโบโซมเปน็ ของตัวเอง 5. ไซโทพลาซึม (cytoplasm) มีลักษณะเป็นของเหลวคล้ายเจลลี่ซึ่งมีน้ำ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต และเกลือแรต่ า่ งๆ เปน็ องค์ประกอบ ไซโทพลาซมึ เปน็ ศูนย์กลางการทำงานของเซลล์ท่ีทำหน้าที่ เกยี่ วกับเมแทบอลิซมึ (metabolism) ท้ังกระบวนการสร้างและการสลายอินทรียสาร เปน็ แหลง่ ท่เี กิดปฏกิ ิริยา เคมตี ่างๆ ท่ีจะช่วยให้เซลลด์ ำรงชวี ิตอยไู่ ด้ 6. นิวเคลียส (nucleus) อยู่ในไซโทพลาซึม เป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของเซลล์ นิวเคลียสทำ หน้าที่ควบคุมเมแทบอลิซึมของเซลล์ ควบคุมการสังเคราะห์โปรตนี และเอนไซม์ ควบคุมการถ่ายทอดลักษณะ ทางพันธุกรรมจากพ่อแม่ไปสู่รุ่นลูกหลาน ควบคุมกิจกรรมต่างๆ ภายในเซลล์ ควบคุมการเจริญเติบโต และ ควบคมุ ลกั ษณะตา่ งๆ ของส่ิงมชี ีวิต
7. กอลจิบอดี (Golgi Body) หรือกอลจิคอมเพล็กซ์ (Golgi Complex) มีลักษณะเป็นถุงแบน ๆ วางซอ้ นกนั ทำหน้าที่รบั สาร เก็บสารต่าง ๆ ภายใน ตดั แต่งหรือต่อเติมโปรตีนให้สมบูรณ์ แล้วเคลื่อนย้ายไปสู่ จุดหมายปลายทางตา่ ง ๆ ทัง้ ภายในเซลล์และภายนอกเซลล์ 8. เยื่อหุ้มเซลล์ (cell membrane) มีลักษณะเป็นเยื่อบางๆ อยู่ล้อมรอบเซลล์ ประกอบด้วยสาร ประเภทโปรตีนและไขมัน มีหน้าที่ช่วยให้เซลล์คงรูปและควบคุมการแลกเปลี่ยนสารระหว่างภายในและ ภายนอกเซลล์ เยอื่ หุม้ เซลลพ์ บไดท้ ั้งในเซลลพ์ ืชและเซลลส์ ตั วเ์ ป็นสว่ นท่มี ชี ีวิต มคี วามยดื หย่นุ สามารถยืดหดได้ มีลกั ษณะเปน็ เยือ่ บางๆ มีรพู รนุ สำหรบั ใหส้ ารละลายผ่านเข้าออกได้ 9. แวควิ โอล (vacuole) มีขนาดเล็กกวา่ ในเซลล์พชื เป็นออร์แกเนลล์ ทมี่ ีเยอื่ หุ้มชนั้ เดียว มีลักษณะ เปน็ ถงุ มเี มมเบรน ซงึ่ เรียกว่า โทโนพลาสต์ ( tonoplast) หอ่ หุ้ม ภายในมสี ารต่างๆ บรรจุอย่โู ดยทั่วไป แวคิว โอลในสัตว์เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการเอกโซไซโตซสิ และ เอนโดไซโตซิส 8. กระบวนการจดั การเรียนรู้ (ใชร้ ปู แบบการสอนสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry cycle) (5Es) 8.1 ขัน้ สรา้ งความสนใจ (Engagement) (10 นาที) (1) กระตุ้นความสนใจของนักเรียนโดยเปิดวีดีโอ เรื่องเซลล์และออร์แกเนลล์ จาก https://www.youtube.com/watch?v=zcz_jsr8jD4 ใหนักเรียนดู (2) ครูชี้แจงให้นักเรียนว่า วันนี้ครูจะให้นักเรียนทำใบงานเกี่ยวกับเรื่องเซลล์เพื่อทดสอบ ความรูข้ องนกั เรยี น ก่อนทจี่ ะขน้ึ เรอื่ งใหม่ 8.2 ข้ันสำรวจและค้นหา (Exploration) (5 นาที) (1) นักเรียนรับใบงาน เรอ่ื งเซลลน์ า่ รู้จากครู และลงมือทำใบงาน (2) นกั เรียนและครูร่วมกนั เฉลยแตล่ ะข้อ โดยครสู มุ่ และให้นกั เรียนลุกขึน้ ตอบคำถาม ถ้าตอบ ผดิ ครชู ว่ ยแกไ้ ขใหถ้ ูกตอ้ ง แตถ่ า้ นักเรียนคนไหนตอบถูกกเ็ พ่ิมคะแนนให้ 8.3 ขนั้ อภิปรายและลงข้อสรปุ (Explain) (5 นาท)ี (1) นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายและสรุปความรู้ดังนี้ (กำเนิดเซลล์ เกิดจากการทำ ปฏิกิริยากันของสารเคมีในทะเล เกิดเป็นสารประกอบพวกโปรตีน กรดอะมิโน และเอนไซม์ สะสมอยู่ในทะเล ต่อมาสารประกอบอินทรยี ์รวมตัวกันเป็นโมเลกลุ อนิ ทรียสารขนาดใหญ่ และวิวัฒนาการต่อไปจนเกิดเปน็ โปรโต เซลล์ ซ่งึ เป็นจดุ เร่มิ ต้นของเซลล์ เซลล์สตั ว์ มรี ปู รา่ งหลายลักษณะ เซลล์บางชนดิ อาจมรี ูปร่างกลมรี บางชนิดมี รปู รา่ งยาวเป็นเส้นหรือรปู รา่ งอื่นๆ และเซลลพ์ ืช มลี กั ษณะเป็นเหลีย่ ม มสี ่วนประกอบสำคญั คือผนังเซลล์(Cell Wall)ที่แข็งแรงที่ห่อหุ้มชั้นนอกสุดของเซลล์(Cell) มีรูปร่างเซลล์(Cell)เป็นเหลี่ยม และเซลล์มีคลอโรพลาสต์ (Chloroplast) เป็นออร์แกแนลล์(Organelle)ทีเ่ ปน็ องค์ประกอบสำคัญของพชื ส่งิ มีชีวติ ทุกชนิดประกอบด้วย เซลล์สิ่งมีชีวิตบางชนิดที่มีกระบวนการต่างๆ ของการดำรงชีวิตเกิดขึ้นภายในเซลล์เพียงเซลล์เดียว เรียกว่า สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว เช่น แบคทีเรีย ยีสต์พารามีเซียม ส่วนสิ่งมีชีวิตที่มีกระบวนการดำรงชีวิตที่ซับซ้อน ประกอบด้วยเซลลห์ ลายเซลล์ทท่ี ำงานรว่ มกนั เพอ่ื การดำรงชวี ิตเรียกว่าสิ่งมีชวี ติ หลายเซลลเ์ ชน่ พืชสตั วเ์ หด็ ) 8.4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) (10 นาที) (1) ครเู พิม่ เตมิ ความรู้ให้นักเรียนดงั น้ี เซลล์ประสาทมีรูปร่างเป็นก้อนกลม และมีแขนงเป็นเส้นยาวเพื่อทำให้สามารถรับส่งกระแสประสาท ไดด้ มี ากขึ้น ไกลมากขึ้น เซลลเ์ ม็ดเลอื ดมีลักษณะกลมแบน เพอ่ื ใหเ้ คลื่อนท่ใี นหลอดเลือดได้ง่ายและการท่ีเซลล์ มีการ เว้ากลางทั้งสองด้านเพื่อเพิม่ พื้นที่ในการลำเลียงออกซิเจน เซลล์สเปิร์มมีหาง เพื่อช่วยให้เคลือ่ นทีไ่ ปหา ไขไ่ ด้
8.5 ขั้นประเมิน (Evaluation) (10 นาที) (1) ครตู งั้ คำถามเพื่อตรวจสอบความเขา้ ใจของนักเรียน (2) นกั เรยี นถามในสงิ่ ท่สี งสยั และยังไมร่ ูแ้ ละครูอธิบายเพ่ิมเติม (3) สังเกตความสนใจและความกระตอื รอื รน้ ของนักเรยี น 9. ส่อื การเรียนรู้ (1) ใบงาน เรือ่ งเซลลน์ า่ รู้ (2) วีดีโอ เรอื่ งเซลลแ์ ละออร์แกเนลล์
10. การวดั ผลและประเมินผล จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ วธิ กี ารวัดผล เครื่องมือ เกณฑ์การประเมนิ ผปู้ ระเมิน ครผู ู้สอน 1.ด้านความรู้ (K) ค ว า ม ถ ู ก ต ้ อ ง ข อ ง ใบงาน ผเู้ รยี นผ่านเกณฑ์ ครูผสู้ อน ระดบั พอใช้ขนึ้ ไป นักเรียนสามารถสรุป คำตอบในใบงาน ครผู ู้สอน ผ้เู รียนผ่านเกณฑ์ ความรู้เกี่ยวกับเซลล์ของ ระดับพอใชข้ น้ึ ไป สง่ิ มชี ีวิตได้ 2.ด ้ า น ท ั ก ษ ะ / ดูทักษะการเขียนสรุป แบบประเมินทักษะ กระบวนการ (P) ความรู้เกี่ยวกับเซลล์ การเขียนสรุปความรู้ นักเรียนมีทักษะการ ของส่ิงมชี วี ิตในใบงาน เกี่ยวกับเซลล์ของ เขยี นสรปุ ความร้เู ก่ียวกับ สิง่ มชี วี ติ ในใบงาน เซลล์ของสง่ิ มชี วี ิตได้ 3.ดา้ นคุณลกั ษณะ(A) ประเมินความตั้งใจ แ บ บ ป ร ะ เ มิ น ผูเ้ รียนผา่ นเกณฑ์ ระดับพอใชข้ ึน้ ไป นักเรียนใฝ่เรียนรู้ มุ่งม่ัน เรียน ตั้งใจ ในการ พ ฤ ต ิ ก ร ร ม บ ่ ง ชี้ ในการทำงาน และมีวินัย ทำงาน และความตรง คุณลักษณะอัน พึ ง ในการเรียน ตอ่ เวลาในการส่งงาน ประสงค์
เกณฑ์การประเมิน เกณฑป์ ระเมินด้าน K รายการประเมนิ ดี (3) ระดบั คุณภาพ ปรับปรงุ (1) พอใช้ (2) นักเรียนสามารถสรุป น ั ก เ ร ี ย น ส า ม า ร ถ ส รุ ป นักเรียนสรุปความรู้เกี่ยวกับ น ั ก เ ร ี ย น ส ร ุ ป ค ว า ม รู้ ความรู้เกี่ยวกับเซลล์ ความรู้เกี่ยวกับเซลล์ของ เซลล์ของสิ่งมีชีวิตได้ถูกต้อง เกี่ยวกับเซลล์ของสิ่งมีชีวิต ของส่ิงมชี วี ติ ได้ สิ่งมีชีวิตได้อย่างถูกต้อง เป็นส่วนใหญ(่ 5-7คะแนน) ได้เพียงส่วนน้อย(ต่ำกว่า5 แ ล ะ ค ร บ ถ ้ ว น ( 8- คะแนน) 10คะแนน) *หมายเหตุ นกั เรยี นต้องผ่านเกณฑ์การประเมนิ ระดับ 2 ข้นึ ไป เกณฑก์ ารตดั สนิ ระดบั คณุ ภาพดา้ นคุณลักษณะ (K) 8-10 คะแนน อยู่ในระดับ 3 หมายถงึ ดี 5-7 คะแนน อยู่ในระดบั 2 หมายถึง พอใช้ ต่ำกวา่ 5 คะแนน อยู่ในระดับ 1 หมายถงึ ปรับปรุง เกณฑป์ ระเมินดา้ น P รายการประเมิน ดี (3) ระดบั คุณภาพ ปรบั ปรงุ (1) พอใช้ (2) นักเรียนมีทักษะการ นักเรียนมีทักษะการเขียน นักเรียนมีทักษะการเขียน นักเรียนมีทักษะการเขียน เ ข ี ย น ส ร ุ ป ค ว า ม รู้ สรุปความรู้เกี่ยวกับเซลล์ สรปุ ความรเู้ ก่ยี วกับเซลล์ของ สรุปความรู้เกี่ยวกับเซลล์ เกี่ยวกับเซลล์ของ ของสิ่งมีชีวิตได้ อย่าง สิ่งมีชีวิตได้ถูกต้องเป็นส่วน ของสิ่งมีชีวิตได้เพียงส่วน สงิ่ มีชวี ิตได้ ถูกต้องและครบถ้วน ( 8- ใหญ่ ( 5-7 คะแนน) น้อย (ตำ่ กว่า 5 คะแนน) 10 คะแนน) *หมายเหตุ นกั เรียนตอ้ งผา่ นเกณฑ์การประเมินระดับ 2 ขน้ึ ไป เกณฑ์การตัดสนิ ระดับคณุ ภาพดา้ นคุณลักษณะ (P) 8-10 คะแนน อยู่ในระดับ 3 หมายถงึ ดี 5-7 คะแนน อยูใ่ นระดับ 2 หมายถงึ พอใช้ ตำ่ กว่า 5 คะแนน อยู่ในระดับ 1 หมายถงึ ปรับปรุง
เกณฑ์ประเมนิ ดา้ น A รายการประเมิน ดี (3) ระดับคุณภาพ ปรับปรงุ (1) พอใช้ (2) นกั เรียนใฝ่เรยี นรู้ มีความต้ังใจเรียน ต้ังใจใน มีความตง้ั ใจเรียน ต้ังใจใน ไมม่ ีความตงั้ ใจเรยี น ไม่ ม่งุ ม่ันในการทำงาน การทำงาน และส่งงานตรง การทำงาน และสง่ งานตรง ต้งั ใจในการทำงาน และสง่ และมวี ินัยในการเรยี น เวลาทุกคร้งั (4คะแนน) เวลาบางครั้ง (2-3 คะแนน) งานไม่ตรงเวลา(ต่ำกวา่ 2 คะแนน) *หมายเหตุ นักเรียนต้องผา่ นเกณฑ์การประเมินระดับ 2 ขนึ้ ไป เกณฑ์การตัดสินระดับคณุ ภาพด้านคณุ ลกั ษณะ (A) 4 คะแนน อย่ใู นระดบั 3 หมายถงึ ดี 2-3 คะแนน อยู่ในระดบั 2 หมายถึง พอใช้ ตำ่ กว่า 2 คะแนน อยใู่ นระดับ 1 หมายถึง ปรับปรงุ
วช-ร 06 แบบบนั ทึกหลงั การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ช่อื หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ……………… เรื่อง ……………………………………………………………….. แผนการเรียนรทู้ ี่ ………………… เรือ่ ง ……………………………………………………………….. รายวิชา……………………………….. ช้นั …………………………. รหัสวชิ า ……………………………………. ครูผสู้ อน …………………………………………….. ตำแหนง่ …………………………………… เวลาที่ใช้ ……… ชวั่ โมง ************************* ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ข้อค้นพบระหว่าง ปญั หาที่พบ แนวทางแก้ไข ทีม่ กี ารจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ เน้ือหา กจิ กรรมการเรยี นรู้ สอ่ื ประกอบการเรยี นรู้ พฤติกรรม/การมีส่วนร่วมของ ผเู้ รยี น ลงชอื่ …..........………….......................…….. ครผู จู้ ัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (นางสาวจันจิรา ธนนั ชยั ) ตำแหนง่ ครผู ้ชู ่วย
11. ผลการประเมิน นกั เรยี นทงั้ หมด………………คน ดา้ น (K) นักเรยี นสามารถสรุปความรเู้ กย่ี วกับเซลล์ของสิ่งมีชีวติ ได้ ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ มคี ณุ ภาพอย่ใู นระดับดี จำนวน……………….คน คิดเป็นร้อยละ……………. ผ่านเกณฑก์ ารประเมินมคี ุณภาพอยใู่ นระดบั พอใช้ จำนวน……………….คน คิดเป็นร้อยละ…………….. ไม่ผา่ นเกณฑก์ ารประเมิน จำนวน………...........คน คิดเปน็ ร้อยละ……………. ด้าน (P) นักเรียนมที กั ษะการเขยี นสรปุ ความร้เู ก่ยี วกบั เซลล์ของส่งิ มชี ีวิตได้ ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ มคี ณุ ภาพอยู่ในระดบั ดี จำนวน……………….คน คิดเป็นรอ้ ยละ……………. ผ่านเกณฑก์ ารประเมินมคี ุณภาพอยู่ในระดับพอใช้ จำนวน……………….คน คดิ เป็นร้อยละ…………….. ไมผ่ ่านเกณฑก์ ารประเมิน จำนวน………...........คน คดิ เปน็ ร้อยละ……………. ดา้ น (A) นกั เรยี นใฝเ่ รยี นรู้ มุ่งมน่ั ในการทำงาน และมีวนิ ยั ในการเรียน ผา่ นเกณฑก์ ารประเมินมคี ณุ ภาพอยใู่ นระดบั ดี จำนวน……………….คน คิดเป็นรอ้ ยละ…………… ผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ มคี ณุ ภาพอยูใ่ นระดับพอใช้ จำนวน……………….คน คดิ เป็นร้อยละ…………….. ไมผ่ ่านเกณฑก์ ารประเมนิ จำนวน………...........คน คดิ เป็นร้อยละ……………. รายชือ่ นักเรียนท่ีไม่ผ่านเกณฑ์การประเมนิ สาเหตุ-ปัญหา แนวทางแก้ไข ลำดบั ชื่อ-สกลุ ลงชื่อ...............................................(ผสู้ อน) (..............................................)
ใบงาน เร่อื งเซลล์น่ารู้
เฉลยใบกจิ กรรม
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 21 ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 หน่วยพน้ื ฐานของสง่ิ มชี ีวิต เวลา 1 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนร้เู รือ่ ง การแพร่ โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 ผสู้ อนนางสาวจันจริ า ธนนั ชัย 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้า และออกจาก เซลล์ ความสมั พนั ธข์ องโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่างๆ ของสตั วแ์ ละมนุษย์ท่ีทำงาน สัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ทำงาน สัมพนั ธ์กนั รวมท้ังนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ 2. ตัวชี้วัด อธบิ ายกระบวนการแพร่และออสโมซสิ จากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ และยกตวั อยา่ งการแพร่ ว 1.2 ม.1/5 และออสโมซสิ ในชวี ติ ประจำวัน 3. สาระสำคญั เซลล์มีการนำสารเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้ในการกระบวนการต่างๆของเซลล์และมีการขจัดสารบางอย่างท่ี เซลล์ไม่ต้องการออกนอกเซลล์ การนำสารเข้าและออกจากเซลล์มีหลายวิธีเช่น การแพร่เป็นการเคลื่อนที่ของ สารจากบรเิ วณที่มีความเขม้ ข้นสูงไปสู่บริเวณที่มีความเข้มข้นตำ่ สว่ นออสโมซิสเปน็ การแพร่ของน้ำผ่านเยื่อหุ้ม เซลล์จากด้านที่มคี วามเขม้ ข้นของสารละลายตำ่ ไปยังด้านทีม่ ีความสงู เข้มขน้ ของสารละลายสงู กว่า 4. จุดประสงค์การเรยี นรู้ (1) นกั เรียนสามารถอธบิ ายความหมายและกระบวนการแพร่ได้ (K) (2) นักเรยี นสามารถทดลองและสรุปผลเรอื่ งการแพรไ่ ด้ (P) (3) นกั เรยี นใฝ่เรยี นรู้ มงุ่ มน่ั ในการทำงาน และมวี ินยั ในการเรยี น (A) 5. สมรรถนะสำคัญของผ้เู รยี น (1) ความสามารถในการส่อื สาร - การอธิบาย การเขยี น การตอบคำถาม (2) ความสามารถในการคดิ - การสังเกต การสำรวจ การคิดวเิ คราะห์ การสรา้ งคำอธิบาย การอภปิ ราย การสอื่ ความหมาย การทำกิจกรรมโดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสบื ค้นโดยใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (3) ความสามารถในการแกไ้ ขปญั หา - สามารถแก้ปัญหาท่เี กิดขนึ้ ได้อย่างเหมาะสม
6. คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ - มวี ินยั - ม่งุ มน่ั ในการทำงาน - ใฝเ่ รยี นรู้ 7. สาระการเรียนรู้ การแพร่ของสาร (DIFFUSION) หมายถึง การเคลื่อนที่หรือการกระจายของโมเลกุลของสารจาก บริเวณที่มีความเข้มข้นมาก(มีจำนวนโมเลกุลของสารมาก) ไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นของสารน้อย (มี จำนวนโมเลกุลของสารน้อย) โดยอาจผ่านเยื่อเลือกผ่าน หรือไม่ผ่านเยื่อเลือกผ่านก็ได้จนกระทั่งสอง บริเวณมีความเข้มข้นเท่ากัน ปัจจัยควบคุมอัตราการแพร่ของสาร 1. ความเข้มข้นของสาร ถ้าความเข้มข้นของสาร 2 บริเวณมีค่าต่างกันมากการแพร่จะเกิดขึ้นเร็ว โดยสารจากบริเวณที่มีความเข้มข้นสูงจะแพร่ไปสู่บริเวณที่มีความเข้มข้นต่ำ 2. อุณหภูมิ ถ้าอุณหภูมิสูงการแพร่ของสารจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพราะอนุภาคสารมีพลังงาน จลน์สูง 3. ขนาดอนุภาคสาร สารที่มีขนาดอนุภาคเล็กและมีน้ำหนักเบาจะแพร่ได้เร็วกว่าสารที่มีขนาด ใหญ่และมีน้ำหนักมาก 4. ความสามารถในการละลายของสาร ถ้าสารท่ีแพร่สามารถละลายได้ดีจะมีอัตราการแพร่สูง 8. กระบวนการจดั การเรยี นรู้ (ใชร้ ปู แบบการสอนสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry cycle) (5Es) 8.1 ขนั้ สรา้ งความสนใจ (Engagement) (5 นาที) (1) กระตุ้นความสนใจของนักเรียนโดยให้นักเรียนดูภาพการชงน้ำกระเจี๊ยบ อ่าน เนื้อหานำ บท จากนน้ั อภปิ รายโดยอาจใช้ คำถามนำ ดงั น้ี - สแี ดงมาจากไหน (สารสแี ดงมาจาก กลบี เลีย้ งกระเจย๊ี บ) - ทำไมน้ำในแก้วจึงมีสีแดง (เพราะสาร สีแดงจากกลีบเลีย้ งกระเจ๊ียบละลาย ออกมาผสมกับ น้ำในแกว้ ) - น้ำกระเจี๊ยบเมื่อตั้งทิ้งไว้สักพักทำไม น้ำทั้งแก้วจึงมีสีแดง (นักเรียนสามารถ ตอบได้ตาม ความเขา้ ใจของตนเอง) (2) ครชู แ้ี จงใหน้ ักเรยี นวา่ วันน้คี รจู ะสอนเก่ยี วกับการแพร่
8.2 ขน้ั สำรวจและคน้ หา (Exploration) (35 นาท)ี (1) ครูอธิบายความรู้เรื่องการแพร่ให้นักเรียนฟัง โดยใช้สื่อการสอน PowerPoint และให้ ศึกษาเนอ้ื หาความรู้เพ่มิ เตมิ ในหนงั สือเรียนหน้า 111-114 (2) นกั เรยี นรับใบกจิ กรรม เรอื่ ง การแพร่ จากครู และทำการทดลองตามข้ันตอนในหนังสอื (3) สุ่มตัวแทนกลุ่มที่ 6 ออกมาสรุปผลการทำกิจกรรมหน้าชั้นเรียน พร้อมเฉลยคำถามท้าย กิจกรรม 8.3 ขัน้ อภิปรายและลงข้อสรุป (Explain) (5 นาท)ี (1) นักเรียนและครูร่วมกนั อภิปรายและสรุปความรู้ดังนี้ (เซลล์มีการนำสารเข้าสูเ่ ซลล์เพื่อใช้ ในการกระบวนการต่างๆของเซลล์และมีการขจดั สารบางอยา่ งท่เี ซลล์ไม่ต้องการออกนอกเซลล์ การนำสารเข้า และออกจากเซลล์มหี ลายวิธเี ช่น การแพร่เป็นการเคล่ือนที่ของสารจากบริเวณท่ีมีความเข้มข้นสูงไปสู่บริเวณที่ มีความเข้มข้นต่ำ ส่วนออสโมซิสเป็นการแพร่ของน้ำผา่ นเยื่อหุ้มเซลล์จากด้านที่มีความเข้มข้นของสารละลาย ต่ำไปยังด้านที่มคี วามสูงเข้มข้นของสารละลายสูงกวา่ ) 8.4 ข้ันขยายความรู้ (Elaboration) (10 นาที) (1) ครูเพม่ิ เตมิ ความรู้ใหน้ ักเรยี นดังนี้ จากภาพนำบท คอื ภาพการชงนำ้ กระเจีย๊ บซึ่งสามารถทำได้โดยนำกลีบเลีย้ งของผลกระเจย๊ี บตากแห้ง แช่ในน้ำร้อน สารที่อยู่ในกลีบเลี้ยงผลกระเจี๊ยบ จะละลายออกมาผสมกับน้ำร้อน ทำให้ได้น้ำ กระเจี๊ยบที่มีสี แดงและรสเปร้ยี ว ถา้ ตอ้ งการให้ รสชาติหวานข้ึน อาจเติมน้ำผ้ึงหรอื น้ำตาลตาม ความชอบ กเ็ ปน็ หน่ึงตัวอย่าง ของการแพร่ 8.5 ขนั้ ประเมนิ (Evaluation) (5 นาที) (1) ครูตง้ั คำถามเพ่ือตรวจสอบความเขา้ ใจของนักเรยี น (2) นักเรียนถามในส่งิ ทสี่ งสัยและยงั ไมร่ ู้และครอู ธิบายเพิ่มเตมิ (3) สงั เกตความสนใจและความกระตอื รอื รน้ ของนักเรียน 9. สอื่ การเรยี นรู้ (1) ใบกิจกรรม เรื่องการแพร่ (2) วดี ีโอ เรอื่ งเซลล์และออรแ์ กเนลล์
10. การวดั ผลและประเมนิ ผล จดุ ประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวดั ผล เครื่องมอื เกณฑก์ ารประเมิน ผู้ประเมนิ ครผู สู้ อน 1.ด้านความรู้ (K) ค ว า ม ถ ู ก ต ้ อ ง ข อ ง ใบกจิ กรรม ผเู้ รียนผา่ นเกณฑ์ ครผู ู้สอน ระดับพอใช้ข้นึ ไป นักเรียนสามารถอธิบาย คำตอบในใบกิจกรรม ครผู ูส้ อน ผู้เรียนผ่านเกณฑ์ ความหมายและ ระดบั พอใช้ขึ้นไป กระบวนการแพร่ได้ 2.ด ้ า น ท ั ก ษ ะ / ดูทกั ษะการทดลองและ แบบประเมินทักษะ กระบวนการ (P) สรปุ ผลเรือ่ งการแพร่ ก า ร ท ด ล อ ง แ ล ะ นักเรียนสามารถทดลอง สรุปผลเรอ่ื งการแพร่ และสรปุ ผลเรอ่ื งการแพร่ ได้ 3.ด้านคุณลักษณะ(A) ประเมินความตั้งใจ แ บ บ ป ร ะ เ มิ น ผู้เรยี นผ่านเกณฑ์ ระดบั พอใช้ขนึ้ ไป นักเรียนใฝ่เรียนรู้ มุ่งม่ัน เรียน ตั้งใจ ในการ พ ฤ ต ิ ก ร ร ม บ ่ ง ชี้ ในการทำงาน และมีวินยั ทำงาน และความตรง คุณลักษณะอัน พึ ง ในการเรียน ต่อเวลาในการส่งงาน ประสงค์
เกณฑ์การประเมนิ เกณฑ์ประเมนิ ด้าน K รายการประเมนิ ดี (3) ระดับคุณภาพ ปรบั ปรงุ (1) พอใช้ (2) นักเรียนสามา ร ถ นักเรียนสามารถอธิบาย นักเรียนอธิบายความหมาย น ั ก เ ร ี ย น อ ธ ิ บ า ย อธิบายความหมาย ค ว า ม ห ม า ย แ ล ะ และกระบวนการแพร่ได้ ค ว า ม ห ม า ย แ ล ะ และกระบวนการแพร่ กระบวนการแพร่ได้ อย่าง ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่(5- กระบวนการแพร่ได้ เพียง ได้ ถูกต้องและครบถ้วน(8- 7คะแนน) ส่วนนอ้ ย(ต่ำกวา่ 5คะแนน) 10คะแนน) *หมายเหตุ นกั เรียนต้องผา่ นเกณฑ์การประเมินระดับ 2 ข้ึนไป เกณฑ์การตดั สินระดับคุณภาพดา้ นคณุ ลักษณะ (K) 8-10 คะแนน อยูใ่ นระดับ 3 หมายถงึ ดี 5-7 คะแนน อยู่ในระดบั 2 หมายถึง พอใช้ ต่ำกวา่ 5 คะแนน อยใู่ นระดับ 1 หมายถงึ ปรบั ปรงุ เกณฑ์ประเมนิ ดา้ น P รายการประเมิน ดี (3) ระดับคุณภาพ ปรบั ปรุง (1) พอใช้ (2) นักเรียนสา ม า ร ถ นักเรียนสามารถทดลอง นักเรียนทดลองและสรุปผล น ั กเ ร ี ย น ท ด ล อง แ ล ะ ทดลองและสรุปผล และสรุปผลเรอื่ งการแพร่ได้ เรื่องการแพร่ได้ถูกต้องเป็น สรุปผลเรื่องการแพร่ได้ เรื่องการแพร่ได้ ถูกต้องและครบถ้วน ( 8- สว่ นใหญ่ ( 5-7 คะแนน) เพียงส่วนน้อย (ต่ำกว่า 5 10 คะแนน) คะแนน) *หมายเหตุ นักเรียนต้องผ่านเกณฑ์การประเมนิ ระดับ 2 ข้ึนไป เกณฑ์การตัดสนิ ระดับคุณภาพดา้ นคณุ ลักษณะ (P) 8-10 คะแนน อยใู่ นระดับ 3 หมายถึง ดี 5-7 คะแนน อยู่ในระดับ 2 หมายถงึ พอใช้ ต่ำกวา่ 5 คะแนน อยใู่ นระดบั 1 หมายถึง ปรับปรงุ
เกณฑ์ประเมนิ ด้าน A รายการประเมิน ดี (3) ระดบั คุณภาพ ปรบั ปรงุ (1) พอใช้ (2) นักเรียนใฝ่เรียนรู้ มีความตั้งใจเรียน ตั้งใจใน มีความตั้งใจเรียน ตั้งใจใน ไม่มีความตั้งใจเรียน ไม่ มุ่งมั่นในการทำงาน การทำงาน และส่งงานตรง การทำงาน และส่งงานตรง ตั้งใจในการทำงาน และส่ง และมีวินยั ในการเรยี น เวลาทกุ ครงั้ (4คะแนน) เวลาบางครง้ั (2-3 คะแนน) งานไม่ตรงเวลา(ต่ำกว่า2 คะแนน) *หมายเหตุ นักเรียนต้องผ่านเกณฑ์การประเมินระดบั 2 ขึ้นไป เกณฑก์ ารตัดสนิ ระดับคณุ ภาพดา้ นคุณลักษณะ (A) 4 คะแนน อยใู่ นระดับ 3 หมายถงึ ดี 2-3 คะแนน อยูใ่ นระดับ 2 หมายถึง พอใช้ ตำ่ กว่า2 คะแนน อยู่ในระดับ 1 หมายถึง ปรับปรงุ
วช-ร 06 แบบบนั ทึกหลงั การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ช่อื หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ……………… เรื่อง ……………………………………………………………….. แผนการเรียนรทู้ ี่ ………………… เรือ่ ง ……………………………………………………………….. รายวิชา……………………………….. ช้นั …………………………. รหัสวชิ า ……………………………………. ครูผสู้ อน …………………………………………….. ตำแหนง่ …………………………………… เวลาที่ใช้ ……… ชวั่ โมง ************************* ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ข้อค้นพบระหว่าง ปญั หาที่พบ แนวทางแก้ไข ทีม่ กี ารจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ เน้ือหา กจิ กรรมการเรยี นรู้ สอ่ื ประกอบการเรยี นรู้ พฤติกรรม/การมีส่วนร่วมของ ผเู้ รยี น ลงชอื่ …..........………….......................…….. ครผู จู้ ัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (นางสาวจันจิรา ธนนั ชยั ) ตำแหนง่ ครผู ้ชู ่วย
11. ผลการประเมนิ นกั เรยี นทง้ั หมด………………คน ด้าน (K) นกั เรียนสามารถอธิบายความหมายและกระบวนการแพร่ได้ ผา่ นเกณฑก์ ารประเมินมคี ณุ ภาพอย่ใู นระดบั ดี จำนวน……………….คน คิดเป็นรอ้ ยละ……………. ผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ มคี ณุ ภาพอยู่ในระดบั พอใช้ จำนวน……………….คน คดิ เป็นร้อยละ…………….. ไมผ่ า่ นเกณฑก์ ารประเมนิ จำนวน………...........คน คิดเป็นร้อยละ……………. ด้าน (P) นกั เรียนสามารถทดลองและสรุปผลเรอื่ งการแพรไ่ ด้ ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ มคี ุณภาพอยใู่ นระดบั ดี จำนวน……………….คน คิดเปน็ ร้อยละ……………. ผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ มคี ุณภาพอยู่ในระดับพอใช้ จำนวน……………….คน คิดเป็นร้อยละ…………….. ไม่ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ จำนวน………...........คน คิดเปน็ ร้อยละ……………. ด้าน (A) นักเรยี นใฝ่เรยี นรู้ ม่งุ มัน่ ในการทำงาน และมีวินยั ในการเรียน ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ มคี ณุ ภาพอยใู่ นระดบั ดี จำนวน……………….คน คิดเป็นร้อยละ…………… ผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ มคี ณุ ภาพอย่ใู นระดบั พอใช้ จำนวน……………….คน คดิ เป็นร้อยละ…………….. ไม่ผา่ นเกณฑก์ ารประเมิน จำนวน………...........คน คิดเปน็ ร้อยละ……………. รายชือ่ นกั เรียนท่ีไม่ผา่ นเกณฑก์ ารประเมิน สาเหตุ-ปัญหา แนวทางแก้ไข ลำดบั ชอื่ -สกลุ ลงช่อื ...............................................(ผ้สู อน) (..............................................)
ใบกิจกรรม เร่อื งการแพร่ จดุ ประสงคก์ ารทดลอง สงั เกตและอธบิ ายการเคลอื่ นทีข่ องอนุภาคด่างทบั ทิมในนำ้ วัสดอุ ุปกรณ์ 1. แกว้ ใส 1 ใบ 2. เกรด็ ดา่ งทบั ทิม 3. นำ้ ร้อน 4. น้ำเย็น วธิ ีดำเนนิ การทดลอง 1. นำนำ้ เย็นใสแ่ กว้ ทเี่ ตรยี มไว้ 2. ใสเ่ กร็ดด่างทับทมิ จำนวน 2-3 เกลด็ ลงไปในแกว้ 3. ตง้ั ทง้ิ ไว้ 5 นาที สังเกตการณ์เปลย่ี นแปลง จดบันทึกผล 4. เตรยี มน้ำร้อนและนำ้ เยน็ ใสเ่ กรด็ ด่างทับทิม จำนวน 2-3 เกล็ด ลงไปในแก้วน้ำแตล่ ะชนิด เปรียบเทียบผลการเคล่ือนทีข่ องสารแลว้ บันทึกผล ตารางบนั ทึกผล การทดลอง การณเ์ ปล่ยี นแปลงที่เกิดขน้ึ หย่อนเกรด็ ดา่ งทบั ทิมลงในน้ำเยน็ เมอ่ื ตง้ั ทง้ิ ไว้ 5 นาที หย่อนเกร็ดด่างทับทิมลงในนำ้ ร้อน สรุปผลการทดลอง ……….....……………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………..……………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คำถามทา้ ยกิจกรรม 1. เมือ่ หย่อนดา่ งทบั ทมิ ลงไปในนำ้ เย็น สขี องน้ำจะเร่ิมเปล่ียนแปลงอยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. หลงั จากหย่อนเกล็ดด่างทับทิมลงในน้ำเยน็ แลว้ 5 นาที การเปลี่ยนแปลงทสี่ งั เกตเหน็ คือ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. เมอ่ื หย่อนด่างทบั ทิมลงในน้ำรอ้ นและนำ้ เยน็ มกี ารเปลี่ยนแปลงแตกต่างกนั หรอื ไม่ อยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 4. การเคลอื่ นทีข่ องเกลด็ ด่างทับทิมจากบริเวณท่ีมคี วามเขม้ ข้นสงู ไปหาบรเิ วณท่ีมคี วามเขม้ ข้นต่ำเรียกว่า ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. การแพร่ของสารจะเกดิ ขน้ึ เรว็ หรอื ชา้ ข้นึ อยู่กับปัจจัยใดบ้าง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 6. ยกตัวอย่างการแพรใ่ นชวี ติ ประจำวัน ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………
เฉลยใบกิจกรรม จุดประสงค์การทดลอง นกั เรียนสามารถอธบิ ายกระบวนการแพร่ของสารได้ วัสดุอุปกรณ์ 1. แก้วใส 1 ใบ 2. เกรด็ ดา่ งทบั ทิม 3. นำ้ รอ้ น 4. น้ำเย็น วิธดี ำเนินการทดลอง 1. นำน้ำเยน็ ใสแ่ ก้วทเี่ ตรียมไว้ 2. ใส่เกร็ดดา่ งทับทมิ จำนวน 2-3 เกล็ด ลงไปในแก้ว 3. ตั้งทงิ้ ไว้ 5 นาที สังเกตการณเ์ ปลี่ยนแปลง จดบนั ทึกผล 4. เตรียมนำ้ รอ้ นและนำ้ เย็น ใส่เกรด็ ดา่ งทับทิม จำนวน 2-3 เกลด็ ลงไปในแกว้ นำ้ แต่ละชนิด เปรยี บเทยี บผลการเคลื่อนที่ของสารแล้วบันทึกผล ตารางบันทกึ ผล การทดลอง การณเ์ ปลี่ยนแปลงท่เี กดิ ข้นึ หย่อนเกรด็ ด่างทบั ทิมลงในน้ำเย็น เกร็ดด่างทบั ทมิ จะมีการเคลื่อนที่ช้าๆจากบรเิ วณที่มคี วามเข้มขน้ สูง ไปยงั บรเิ วณที่มคี วามเข้มข้นต่ำ เม่อื ต้งั ท้ิงไว้ 5 นาที สารละลายจะเป็นสีมว่ งท้งั หมด หย่อนเกรด็ ด่างทับทิมลงในนำ้ ร้อน เกล็ดดา่ งทบั ทิมจะมกี ารเคลอื่ นที่อย่างรวดเร็วจากบรเิ วณที่มีความ เขม้ ข้นสงู ไปยงั บรเิ วณทม่ี คี วามเขม้ ข้นต่ำ สรุปผลการทดลอง ……….....……………………………………………………………………………………………………………………………………… ………ก…า…รแ…พ…ร…เ่ ป…็น…กา…ร…เค…ล…่อื น…ท…่ีข…อ…งส…า…รจ…า…กบ…ร…เิ ว…ณ…ท…่ีม…ีคว…า…ม…เข…้มข…้น…ส…ูงไ…ป…ยงั…บ…ร…ิเว…ณ…ท…่ีมคี…ว…าม…เ…ข้ม…ข…้น…ต…ำ่ ………… ………ซ…งึ่ …กา…ร…ท…ี่พืช…ส…า…มา…ร…ุรบั …ธ…าต…ุอ…า…หา…ร…ท…าง…รา…ก…ได…้น…้ัน…เก…ดิ …จา…ก…ก…ระ…บ…วน..…กา…ร…แพ…ร…่ ก…า…รแ…พ…ร…จ่ ะ…เก…ดิ …ข…้ึน…ช้า……………… ………ห…ร…ือ…เร…็วข…้ึน…อ…ยู่ก…ับ…อ…ุณ…ห…ภ…ูมขิ…อ…งส…า…ร…ข…นา…ด…อ…นภุ…า…ค…ขอ…ง…ส…าร…ค…ว…าม…เ…ขม้ …ข…น้ …ขอ…ง…ส…าร…แ…ล…ะ………………………… ………………ค……ว……าม……ส……า……มา……ร……ถใ……น……กา……ร……ละ……ล……า……ยข……อ……งส……า……ร……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คำถามทา้ ยกิจกรรม 1. เมอ่ื หย่อนดา่ งทับทิมลงไปในน้ำเยน็ สีของน้ำจะเร่ิมเปล่ยี นแปลงอย่างไร เกรด็ ด่างทบั ทิมจะมีการเคลื่อนทช่ี ้าๆจากบรเิ วณท่ีมีความเข้มขน้ สูงไปยงั บริเวณที่มีความเขม้ ข้นตำ่ 2. หลังจากหย่อนเกล็ดด่างทบั ทิมลงในนำ้ เยน็ แล้ว 5 นาที การเปลย่ี นแปลงทีส่ งั เกตเหน็ คือ สารละลายจะเป็นสีม่วงท้งั หมด 3. เมื่อหย่อนด่างทับทิมลงในน้ำร้อนและนำ้ เย็นมกี ารเปลี่ยนแปลงแตกต่างกนั หรือไม่ อย่างไร ในน้ำร้อนเกล็ดดา่ งทบั ทิมจะมีการเคล่ือนท่ีได้เรว็ สารละลายจะเปน็ สีม่วงได้เร็วกวา่ นำ้ เย็น 4. การเคลื่อนท่ขี องเกลด็ ด่างทบั ทมิ จากบริเวณทมี่ ีความเขม้ ข้นสูงไปหาบรเิ วณที่มคี วามเขม้ ขน้ ตำ่ เรยี กวา่ การแพร่ 5. การแพร่ของสารจะเกดิ ข้ึนเรว็ หรอื ช้า ขึ้นอยู่กบั ปัจจยั ใดบา้ ง อุณหภมู ิของสาร ขนาดของอนุภาคของสาร ความเข้มขน้ ของสาร ความสามารถในการละลายของสาร 6. ยกตวั อยา่ งการแพร่ในชวี ิตประจำวัน การฟงุ้ กระจายของน้ำหอม
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 22 ระดับชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 2 หนว่ ยพื้นฐานของสง่ิ มีชีวิต เวลา 1 ช่ัวโมง แผนการจดั การเรยี นรู้เร่ือง การออสโมซสิ 1 โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 ผู้สอนนางสาวจันจริ า ธนันชัย 1. มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้า และออกจาก เซลล์ ความสมั พันธ์ของโครงสร้างและหนา้ ท่ีของระบบต่างๆ ของสตั ว์และมนุษย์ท่ีทำงาน สัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ทำงาน สัมพันธก์ นั รวมทั้งนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ 2. ตัวช้ีวดั อธบิ ายกระบวนการแพรแ่ ละออสโมซสิ จากหลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ และยกตวั อย่างการแพร่ ว 1.2 ม.1/5 และออสโมซสิ ในชีวิตประจำวัน 3. สาระสำคัญ ออสโมซิส (OSMOSIS) หมายถึง การเคลื่อนที่ของโมเลกุลของน้ำจากบริเวณที่มีความเข้มข้นของน้ำ มาก (มีจำนวนโมเลกุลของน้ำมาก) ไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นของน้ำน้อย (มีจำนวนโมเลกุลของน้ำน้อย) โดยผ่านเยื่อกั้นบางๆ ซ่ึงจะทำหน้าที่เป็นเยื่อเลือกผ่าน การออสโมซิสของน้ำในสภาพความเข้มข้นของ สารละลายต่างๆ แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ ไฮโพทอนิก โซลูชัน ไฮเพอร์ทอนิก โซลูชัน และไฮเพอร์ทอนิก โซลูชัน และปจั จยั ทคี่ วบคุมการออสโมซิส ไดแ้ ก่ ความเขม้ ขน้ ของสารและอณุ หภูมิ 4. จุดประสงค์การเรยี นรู้ (1) นักเรียนสามารถอธบิ ายความหมายและกระบวนการออสโมซิสได้ (K) (2) นักเรยี นสามารถปฏิบตั ิงานไดต้ ามข้นั ตอนทีก่ ำหนดไว้ได้ (P) (3) นกั เรยี นใฝเ่ รียนรู้ มุ่งมั่นในการทำงาน และมวี ินยั ในการเรียน (A) 5. สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น (1) ความสามารถในการส่ือสาร - การอธิบาย การเขยี น การตอบคำถาม (2) ความสามารถในการคิด - การสังเกต การสำรวจ การคิดวิเคราะห์ การสรา้ งคำอธบิ าย การอภปิ ราย การส่ือความหมาย การทำกจิ กรรมโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบค้นโดยใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ (3) ความสามารถในการแก้ไขปัญหา - สามารถแกป้ ญั หาที่เกิดข้นึ ได้อย่างเหมาะสม
6. คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ - มวี ินยั - มงุ่ มั่นในการทำงาน - ใฝ่เรยี นรู้ 7. สาระการเรยี นรู้ ออสโมซิส (OSMOSIS) หมายถึง การเคลื่อนที่ของโมเลกุลของน้ำจากบริเวณที่มีความเข้มข้นของ น้ำมาก (มีจำนวนโมเลกุลของน้ำมาก) ไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นของน้ำน้อย (มีจำนวนโมเลกุลของน้ำ น้อย) โดยผ่านเย่ือกั้นบางๆ ซ่ึงจะทำหน้าที่เป็นเยื่อเลือกผ่าน (SEMI - PERMEABLE MEMBRANE) เยื่อเลือกผ่าน คือ เยื่อบาง ๆ เช่น เยื่อหุ้มเซลล์ ซึ่งจะยอมให้สารที่มโี มเลกุลขนาดเล็กผ่านไปได้ เช่น ออกซิเจน น้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ แอมโนเนยี กลูโคส กรดอะมโิ น เป็นตน้ แตจ่ ะไม่ยอมใหส้ ารทีม่ โี มเลกุลใหญ่ ผ่านไปได้ เช่น ซูโครส แป้ง โปรตีน จะยอมให้สารบางอย่างผ่านได้แต่สารบางอย่างผ่านไม่ได้ ตัวอย่างเช่น เยื่อหุ้มเซลล์ที่ทำหน้าที่เป็นเยื่อเลือกผ่านโดยเยื่อเลือกผ่านจะมีลักษณะที่บางมาก เมื่อเรานำเซลล์พืชหรือ เซลลส์ ัตว์วางลงในสารละลาย จะเกดิ ผลดังน้ี 1.ถ้าภายในเซลล์มีความเข้มข้นของน้ำมากกว่าภายนอกเซลล์ จะทำให้โมเลกุลของน้ำเคลื่อนที่ ผ่าน เยอื่ หุม้ เซลล์เขา้ มาในเซลล์มากกว่าทจ่ี ะเคล่อื นที่ออกไปจากเซลล์ ทำใหเ้ ซลล์มลี ักษณะบวมเต่ง 2.ถ้าภายในเซลล์มีความเข้มข้นของน้ำน้อยกว่าภายนอกเซลล์ จะทำให้โมเลกุลของน้ำเคลื่อนที่ผ่าน เยอ่ื หุ้มเซลล์ออกนอกเซลล์มากกวา่ จะเคล่อื นท่เี ข้ามาในเซลล์ ทำให้เซลลม์ ลี กั ษณะเห่ียว 3.ถ้าภายในเซลล์มีความเข้มขน้ ของน้ำเท่ากับภายนอกเซลล์ จะทำให้โมเลกุลของนำ้ เคลื่อนทีผ่ ่านเย่ือ หมุ้ เซลลอ์ อกนอกเซลลเ์ ทา่ กบั ทีเ่ ขา้ มาในเซลล์ ทำใหล้ ักษณะของเซลลม์ ีลกั ษณะเหมอื นเดมิ การออสโมซิสของนำ้ ในสภาพความเข้มขน้ ของสารละลายต่างๆ จากการศกึ ษาการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเซลลเ์ ม็ดเลือดแดงโดยกระบวนการออสโมซิสพบวา่ เมื่อนำ เซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดงไปใสใ่ นสารละลายทม่ี ีความเขม้ ข้นต่างๆ แบ่งออกเป็น 3 รปู แบบ คือ 1) ไฮโพทอนิก โซลูชัน (hypotonic solution) หมายถึง สารละลายนอกเซลล์ที่มีความเข้มข้นน้อย กว่าเซลล์ ดังนั้นเมื่อใส่เซลล์ลงในสารละลายชนิดนี้ จะทำให้เซลล์ขยายขนาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากน้ำภายใน สารละลายแพร่เข้าสู่เซลลม์ ากกว่าน้ำภายในเซลล์แพร่ออกนอกเซลล์
2) ไอโซทอนิก โซลูชัน (isotonic solution) หมายถึง สารละลายนอกเซลล์ที่มีความเข้มข้นเท่ากับ เซลล์ ดงั น้นั เมอื่ ใสเ่ ซลล์ลงในสารละลายชนิดนข้ี นาดของเซลล์จะไมเ่ ปลย่ี นแปลง 3) ไฮเพอร์ทอนิก โซลูชัน (hypertonic solution) หมายถึง สารละลายนอกเซลล์ที่มีความเข้มข้น มากกว่าเซลล์ ดงั นัน้ เม่ือใส่เซลลล์ งในสารละลายชนดิ น้จี ะทำใหเ้ ซลล์เห่ียวลดขนาดลง ออสโมซิสทีเ่ กิดจากสารละลายไฮโพทอนิกนอกเซลล์ ทำใหน้ ้ำผา่ นเข้าไปในเซลลแ์ ละเซลล์เต่งข้ึนหรือ เซลล์แตก เรียกว่า เอนโดสโมซิส (endosmosis) หรือพลาสมอพทิซิส (plasmoptysis) สำหรับออสโมซิสท่ี เกิดจากสารละลายไฮเพอร์ทอนกิ นอกเซลล์แลว้ ทำใหน้ ้ำผา่ นออกนอกเซลล์ทำให้เซลลเ์ หยี่ วเรยี กวา่ เอกโซสโม ซิส (exosmosis) หรอื พลาสโมไลซสิ ปจั จัยทคี่ วบคุมการออสโมซสิ 1) ความเขม้ ข้นของสารท่เี กิดการออสโมซสิ ถ้าความเข้มขน้ ของสารละลายระหว่างสอง บริเวนต่างกัน มาก การออสโมซสิ จะเกิดขน้ึ ได้รวดเรว็ แต่ถ้าความเข้มขน้ ของสารละลายใกล้เคียงกัน การออสโมซิสจะเกิดข้ึน ช้า ตัวอย่างการออสโมซสิ เช่น การที่รากของพืชดดู น้ำจากดินได้ เนื่องจากปริมาณน้ำในดินมีมากกวา่ ปริมาณ นำ้ ในเซลลข์ องรากพืช 2.) อุณหภูมิ การเพิ่มอุณหภูมิ เป็นการเพิ่มพลังงานจลน์ใหแ้ ก่อนุภาคของสาร ทำให้อนุภาคเคลื่อนที่ เรว็ ขึน้ กระบวนการออสโมซสิ จงึ เกิดข้ึนเรว็ กระบวนการแพร่ของน้ำผ่านเยื่อเลือกผ่านหรือออสโมซิส หมายถึง กระบวนการแพร่ของน้ำจาก บริเวณที่มีความเข้มข้นของสารละลายต่ำไปสู่บริเวณที่มีความเข้มข้นของสารละลายสูงโดยผ่านเยื่อเลือก ผ่าน (SEMIPERMEABLE MEMBRANE) เช่น กระดาษเซลโลเฟน เย่ือหุ้มเซลล์ เป็นต้น การออสโมซิสมีแรงดันท่ีเกี่ยวข้องอยู่ 2 ชนิดคือ 1. แรงดันออสโมติก (OSMOTIC PRESSURE) คือ แรงที่ใช้เคล่ือนที่ของน้ำ 2. แรงดันเต่ง (TURGOR PRESSURE) คือ แรงดันท่ีเกิดข้ึนภายในเซลล์
8. กระบวนการจดั การเรียนรู้ (ใชร้ ูปแบบการสอนสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry cycle) (5Es) 8.1 ขน้ั สร้างความสนใจ (Engagement) (5 นาที) (1) กระตุ้นความสนใจของนักเรียนโดยให้นักเรียนดูภาพด้านล่างนี้ แล้วถามนักเรียนว่าจาก ภาพนกั เรียนสังเกตเหน็ อะไรบา้ ง(ใหน้ กั เรยี นตอบตามความคดิ ของตัวเอง) (2) ครชู ้แี จงใหน้ กั เรียนวา่ วนั น้คี รจู ะสอนเกี่ยวกับการออสโมซิส 8.2 ขัน้ สำรวจและคน้ หา (Exploration) (35 นาที) (1) ครูอธิบายความรู้เรื่องออสโมซิสให้นักเรียนฟัง โดยใช้สื่อการสอน PowerPoint และให้ ศึกษาเนอ้ื หาความรู้เพม่ิ เตมิ ในหนงั สอื เรียนหน้า 117-122 (2) นักเรยี นรบั ใบงาน เรื่องการออสโมซิสจากครู และลงมือทำใบงาน 8.3 ข้นั อภปิ รายและลงขอ้ สรุป (Explain) (5 นาท)ี (1) นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายและสรุปความรู้ดังนี้ (ออสโมซิส หมายถึง การเคลื่อนที่ ของโมเลกลุ ของนำ้ จากบริเวณท่ีมีความเขม้ ข้นของนำ้ มาก (มีจำนวนโมเลกุลของน้ำมาก) ไปยงั บริเวณท่ีมีความ เข้มข้นของน้ำน้อย (มีจำนวนโมเลกุลของน้ำนอ้ ย) โดยผ่านเยื่อกั้นบางๆ ซ่ึงจะทำหน้าที่เปน็ เยื่อเลือกผ่าน การ ออสโมซิสของน้ำในสภาพความเข้มข้นของสารละลายต่างๆ แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ ไฮโพทอนิก โซลูชนั ไฮเพอร์ทอนิก โซลูชัน และไฮเพอร์ทอนิก โซลูชัน และปัจจัยที่ควบคุมการออสโมซิส ได้แก่ ความเข้มข้นของ สารและอุณหภูมิ สรุป ออสโมซิส เป็นการเคลื่อนที่สุทธิของโมเลกุลน้ำจากบริเวณที่มีความเข้มข้นของ สารละลายต่ำ (มีโมเลกุล ของน้ำมาก) ผ่านเยื่อเลือกผ่านไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นของสารละลายสูง (มี โมเลกลุ ของน้ำนอ้ ย)) 8.4 ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration) (5 นาที) (1) ครูเพิ่มเตมิ ความรู้ให้นักเรียนดงั น้ี การใส่ปุ๋ยมากเกินไปทำให้เกิดกระบวนการรีเวอร์สออสโมซิส ปกตติ น้ ไม้จะดูดแรธ่ าตุจากดินเข้าไปใน ลำต้นโดยการออสโมซิส แต่น่ีกลบั กนั เพราะในดนิ มคี วามเข้มขน้ มากกว่าในลำต้น น้ำจากในลำต้นจงึ ถกู ดูดกลับ ลงดิน ทำให้ต้นไม้เหย่ี วเฉา ถ้าสงั เกตเห็นกอ่ นทต่ี ้นไม้จะแห้งกรอบ ก็ใช้วธิ รี ดนำ้ ลงไปมาก ๆ เพ่อื ชำระล้างหรือ เจอื จางปุย๋ ในดนิ ถ้าเป็นไมก้ ระถางกเ็ ปล่ยี นดนิ
8.5 ขน้ั ประเมนิ (Evaluation) (10 นาท)ี (1) นักเรียนและครูรว่ มกนั เฉลยใบงาน (2)ครตู ั้งคำถามเพอ่ื ตรวจสอบความเขา้ ใจของนกั เรียน (3) นกั เรยี นถามในส่ิงท่สี งสัยและยงั ไมร่ แู้ ละครอู ธบิ ายเพ่ิมเตมิ 9. ส่อื การเรียนรู้ (1) สอื่ การสอน PowerPoint (2) หนังสือวิทยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน ม.1 เลม่ 1 (สสวท) (3) ใบงาน เรือ่ ง ออสโมซิส
10. การวัดผลและประเมนิ ผล จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ วธิ ีการวัดผล เครอื่ งมือ เกณฑก์ ารประเมนิ ผ้ปู ระเมิน ครูผสู้ อน 1.ด้านความรู้ (K) ค ว า ม ถ ู ก ต ้ อ ง ข อ ง ใบงาน ผ้เู รียนผา่ นเกณฑ์ ระดบั พอใชข้ ึ้นไป ครูผสู้ อน นักเรียนสามารถอธิบาย คำตอบในใบงาน ผ้เู รียนผา่ นเกณฑ์ ครูผ้สู อน ความหมายและ ระดบั พอใช้ขน้ึ ไป กระบวนการออสโมซิส ได้ 2.ด ้ า น ท ั ก ษ ะ / ดูทักษะการปฏิบัติงาน แบบประเมินทักษะ กระบวนการ (P) ไ ด ้ ต า ม ข ั ้ น ต อ น ที่ การปฏิบัติงานได้ตาม น ั ก เ ร ี ย น ส า ม า ร ถ กำหนดไว้ ขน้ั ตอนทก่ี ำหนดไว้ ปฏิบัติงานได้ตาม ข้ันตอนที่กำหนดไวไ้ ด้ 3.ด้านคุณลักษณะ(A) ประเมินความตั้งใจ แ บ บ ป ร ะ เ มิ น ผู้เรยี นผ่านเกณฑ์ ระดบั พอใชข้ ึ้นไป นักเรียนใฝ่เรียนรู้ มุ่งม่ัน เรียน ตั้งใจ ในการ พ ฤ ต ิ ก ร ร ม บ ่ ง ชี้ ในการทำงาน และมีวินัย ทำงาน และความตรง คุณลักษณะอัน พึ ง ในการเรียน ต่อเวลาในการส่งงาน ประสงค์
เกณฑก์ ารประเมิน เกณฑป์ ระเมินดา้ น K รายการประเมิน ดี (3) ระดบั คุณภาพ ปรบั ปรุง (1) พอใช้ (2) นักเรียนสามา ร ถ นักเรียนสามารถอธิบาย นักเรียนอธิบายความหมาย น ั ก เ ร ี ย น อ ธ ิ บ า ย อธิบายความหมาย ค ว า ม ห ม า ย แ ล ะ และกระบวนการออสโมซิส ค ว า ม ห ม า ย แ ล ะ แ ล ะ ก ร ะ บ ว น ก า ร กระบวนการออสโมซิสได้ ได้ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่(5- กระบวนการออสโมซิสได้ ออสโมซิสได้ อย่างถูกต้องและครบถ้วน 7คะแนน) เพียงส่วนน้อย(ต่ำกว่า5 (8-10คะแนน) คะแนน) *หมายเหตุ นักเรยี นต้องผา่ นเกณฑ์การประเมินระดับ 2 ขึ้นไป เกณฑ์การตัดสนิ ระดับคณุ ภาพด้านคุณลักษณะ (K) 8-10 คะแนน อยู่ในระดบั 3 หมายถงึ ดี 5-7 คะแนน อยูใ่ นระดับ 2 หมายถึง พอใช้ ตำ่ กว่า 5 คะแนน อยู่ในระดบั 1 หมายถงึ ปรับปรุง เกณฑป์ ระเมนิ ด้าน P รายการประเมนิ ดี (3) ระดบั คุณภาพ ปรบั ปรงุ (1) พอใช้ (2) น ั ก เ ร ี ย น ส า ม า ร ถ นักเรียนสามารถปฏิบัติงาน นักเรียนปฏิบัติงานได้ตาม นักเรียนปฏิบัติงานได้ตาม ปฏิบัติงานได้ตาม ได้ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ ข้นั ตอนท่ีกำหนดไว้ได้ถูกต้อง ขั้นตอนท่กี ำหนดไว้ได้เพียง ขั้นตอนท่กี ำหนดไวไ้ ด้ ไดถ้ กู ตอ้ งและครบถ้วน ( 8- เปน็ ส่วนใหญ่ ( 5-7 คะแนน) ส ่ ว น น ้ อ ย ( ต ่ ำ ก ว ่ า 5 10 คะแนน) คะแนน) *หมายเหตุ นกั เรียนต้องผา่ นเกณฑ์การประเมินระดับ 2 ข้นึ ไป เกณฑก์ ารตดั สนิ ระดับคุณภาพด้านคณุ ลักษณะ (P) 8-10 คะแนน อยู่ในระดบั 3 หมายถึง ดี 5-7 คะแนน อยใู่ นระดับ 2 หมายถงึ พอใช้ ต่ำกว่า 5 คะแนน อยใู่ นระดับ 1 หมายถงึ ปรบั ปรงุ
เกณฑ์ประเมนิ ด้าน A รายการประเมิน ดี (3) ระดบั คุณภาพ ปรบั ปรงุ (1) พอใช้ (2) นักเรียนใฝ่เรียนรู้ มีความตั้งใจเรียน ตั้งใจใน มีความตั้งใจเรียน ตั้งใจใน ไม่มีความตั้งใจเรียน ไม่ มุ่งมั่นในการทำงาน การทำงาน และส่งงานตรง การทำงาน และส่งงานตรง ตั้งใจในการทำงาน และส่ง และมีวินยั ในการเรยี น เวลาทกุ ครงั้ (4คะแนน) เวลาบางครง้ั (2-3 คะแนน) งานไม่ตรงเวลา(ต่ำกว่า2 คะแนน) *หมายเหตุ นักเรียนต้องผ่านเกณฑ์การประเมินระดบั 2 ขึ้นไป เกณฑก์ ารตัดสนิ ระดับคณุ ภาพดา้ นคุณลักษณะ (A) 4 คะแนน อยใู่ นระดับ 3 หมายถงึ ดี 2-3 คะแนน อยูใ่ นระดับ 2 หมายถึง พอใช้ ตำ่ กว่า2 คะแนน อยู่ในระดับ 1 หมายถึง ปรับปรงุ
วช-ร 06 แบบบนั ทึกหลงั การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ช่อื หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ……………… เรื่อง ……………………………………………………………….. แผนการเรียนรทู้ ี่ ………………… เรือ่ ง ……………………………………………………………….. รายวิชา……………………………….. ช้นั …………………………. รหัสวชิ า ……………………………………. ครูผสู้ อน …………………………………………….. ตำแหนง่ …………………………………… เวลาที่ใช้ ……… ชวั่ โมง ************************* ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ข้อค้นพบระหว่าง ปญั หาที่พบ แนวทางแก้ไข ทีม่ กี ารจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ เน้ือหา กจิ กรรมการเรยี นรู้ สอ่ื ประกอบการเรยี นรู้ พฤติกรรม/การมีส่วนร่วมของ ผเู้ รยี น ลงชอื่ …..........………….......................…….. ครผู จู้ ัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (นางสาวจันจิรา ธนนั ชยั ) ตำแหนง่ ครผู ้ชู ่วย
11. ผลการประเมนิ นักเรยี นทงั้ หมด………………คน ดา้ น (K) นกั เรียนสามารถอธิบายความหมายและกระบวนการออสโมซสิ ได้ ผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ มคี ุณภาพอยู่ในระดับดี จำนวน……………….คน คดิ เปน็ ร้อยละ……………. ผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ มคี ุณภาพอยใู่ นระดับพอใช้ จำนวน……………….คน คิดเป็นร้อยละ…………….. ไมผ่ ่านเกณฑก์ ารประเมิน จำนวน………...........คน คดิ เป็นร้อยละ……………. ด้าน (P) นักเรียนสามารถปฏิบตั งิ านไดต้ ามข้นั ตอนทก่ี ำหนดไว้ได้ ผ่านเกณฑก์ ารประเมินมคี ณุ ภาพอยูใ่ นระดับดี จำนวน……………….คน คิดเปน็ ร้อยละ……………. ผ่านเกณฑก์ ารประเมินมคี ณุ ภาพอยใู่ นระดับพอใช้ จำนวน……………….คน คดิ เป็นร้อยละ…………….. ไมผ่ า่ นเกณฑก์ ารประเมิน จำนวน………...........คน คดิ เป็นร้อยละ……………. ด้าน (A) นกั เรียนใฝเ่ รียนรู้ ม่งุ มน่ั ในการทำงาน และมวี นิ ยั ในการเรียน ผา่ นเกณฑก์ ารประเมินมคี ุณภาพอยู่ในระดบั ดี จำนวน……………….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ…………… ผ่านเกณฑก์ ารประเมินมคี ุณภาพอยู่ในระดับพอใช้ จำนวน……………….คน คิดเปน็ ร้อยละ…………….. ไม่ผา่ นเกณฑก์ ารประเมิน จำนวน………...........คน คดิ เป็นร้อยละ……………. รายชอ่ื นกั เรยี นท่ีไมผ่ า่ นเกณฑก์ ารประเมนิ สาเหตุ-ปญั หา แนวทางแก้ไข ลำดบั ชื่อ-สกลุ ลงชอ่ื ...............................................(ผ้สู อน) (..............................................)
ใบงาน เร่อื งการออสโมซิส 1. การออสโมซสิ เกิดขึน้ ได้อยา่ งไร …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ยกตัวอย่างการออสโมซสิ ในชีวติ ประจำวัน ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ปัจจัยทเี่ ก่ยี วข้องกับการออสโมซิส ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………..…………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 4. จงเขียนลูกศรแสดงทศิ ทางการเคลื่อนท่ีของน้ำลงบนภาพ และวาดภาพแสดงรปู ร่างลักษณะของเซลล์ 4.1 เมือ่ แชเ่ ซลล์ในสารละลายท่มี ีความเข้มขน้ น้อยกวา่ สารละลายภายในเซลล์ เขียนลกู ศรแสดงทศิ ทางการเคลอ่ื นที่ของนำ้ รูปรา่ งลกั ษณะของเซลล์
4.2 เม่อื แชเ่ ซลล์ในสารละลายที่มีความเขม้ ขน้ เท่ากบั สารละลายภายในเซลล์ เขียนลูกศรแสดงทศิ ทางการเคลื่อนท่ีของน้ำ รูปรา่ งลักษณะของเซลล์ 4.3 เม่อื แช่เซลลใ์ นสารละลายทีม่ ีความเขม้ ข้นมากกวา่ สารละลายภายในเซลล์ เขยี นลูกศรแสดงทิศทางการเคลอื่ นท่ขี องน้ำ รูปร่างลกั ษณะของเซลล์
เฉลยใบงาน ใบงาน เร่ืองการออสโมซสิ ช่ือ-นามสกลุ ……………………………………………………………………..ชนั้ ………………..เลขท…่ี ……… 1. การออสโมซิสเกดิ ข้ึนได้อยา่ งไร การออสโมซสิ คือ การแพร่ของน้ำจากบรเิ วณที่มีอนภุ าคของน้ำมากไปสู่บรเิ วณท่มี ีอนุภาค ของนำ้ น้อยกวา่ โดยผ่านเยื่อเลอื กผ่าน (semipermeable membrane) หรือเยื่อก้นั บางๆ 2. ยกตัวอย่างการออสโมซสิ ในชีวติ ประจำวัน พืชจะดดู นำ้ เขา้ สู่เซลล์ขนราก ด้วยกระบวนการออสโมซสิ โดยผา่ นเยื่อหมุ้ เซลล์ ซงึ่ ทำหน้าที่ เป็นเย่อื เลือกผา่ น เพราะบริเวณรอบๆ รากจะมีปรมิ าณนำ้ มากกวา่ ในเซลลข์ นราก และจะออสโมซสิ ไปยังเซลล์ขา้ งเคียงต่อๆไปจนถึงเนือ้ เย่ือลำเลียงน้ำ 3. ปจั จยั ท่เี กย่ี วขอ้ งกบั การออสโมซิส 1. ความเข้มขน้ ของสาร ถ้าความเข้มข้นของสารแตกต่างกันมาก การอออสโมซิสจะเกิดไดด้ ี 2. อุณหภูมิ ถ้าอุณหภมู ิสงู กระบวนการออสโมซสิ จะเกดิ ได้ดี 3. ขนาดของอนภุ าค อนุภาคท่มี ขี นาดเล็กจะเกดิ การออสโมซสิ ได้ดี 4. สมบตั ขิ องเย่ือกั้น เย่ือก้นั บางชนิดจะยอมใหส้ ารผ่านได้ การอออสโมซิสจงึ เกดิ ข้ึนไดด้ ี 4. จงเขยี นลกู ศรแสดงทิศทางการเคลอ่ื นท่ีของน้ำลงบนภาพ และวาดภาพแสดงรูปรา่ งลักษณะของเซลล์ 4.1 เมื่อแชเ่ ซลล์ในสารละลายที่มีความเข้มข้นนอ้ ยกวา่ สารละลายภายในเซลล์ เขยี นลกู ศรแสดงทศิ ทางการเคล่อื นที่ของนำ้ รปู รา่ งลกั ษณะของเซลล์ 4.2 เม่ือแช่เซลล์ในสารละลายทมี่ ีความเข้มข้นเท่ากบั สารละลายภายในเซลล์ เขียน ลกู ศรแสดงทิศทางการ เคล่ือนที่ของน้ำ รปู รา่ งลักษณะของเซลล์
4.3 เม่อื แชเ่ ซลลใ์ นสารละลายทม่ี ีความเข้มขน้ มากกว่าสารละลายภายในเซลล์ เขยี นลกู ศรแสดงทิศทางการเคล่ือนท่ีของนำ้ รปู ร่างลกั ษณะของเซลล์
แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 23 ระดับช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 หนว่ ยพ้นื ฐานของสิง่ มชี วี ิต เวลา 2 ช่ัวโมง แผนการจัดการเรียนรูเ้ ร่อื ง การออสโมซสิ 2 โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 ผสู้ อนนางสาวจันจิรา ธนนั ชัย 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้า และออกจาก เซลล์ ความสัมพันธข์ องโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่างๆ ของสัตวแ์ ละมนุษย์ท่ีทำงาน สัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชที่ทำงาน สมั พันธก์ นั รวมท้งั นำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ 2. ตัวช้ีวัด อธิบายกระบวนการแพรแ่ ละออสโมซิสจากหลักฐานเชิงประจักษ์ และยกตวั อยา่ งการแพร่ ว 1.2 ม.1/5 และออสโมซสิ ในชีวติ ประจำวนั 3. สาระสำคัญ ออสโมซิส (OSMOSIS) หมายถึง การเคลื่อนที่ของโมเลกุลของน้ำจากบริเวณที่มีความเข้มข้นของน้ำ มาก (มีจำนวนโมเลกุลของน้ำมาก) ไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นของน้ำน้อย (มีจำนวนโมเลกุลของน้ำน้อย) โดยผ่านเยื่อกั้นบางๆ ซ่ึงจะทำหน้าที่เป็นเยื่อเลือกผ่าน การออสโมซิสของน้ำในสภาพความเข้มข้นของ สารละลายต่างๆ แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ ไฮโพทอนิก โซลูชัน ไฮเพอร์ทอนิก โซลูชัน และไฮเพอร์ทอนิก โซลูชัน และปจั จัยท่ีควบคุมการออสโมซิส ได้แก่ ความเข้มข้นของสารและอุณหภมู ิ 4. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ (1) นกั เรยี นสามารถอธิบายกระบวนการออสโมซสิ ได้ (K) (2) นักเรียนสามารถทำการทดลองเก่ียวกับการออสโมซสิ ได้ (P) (3) นักเรียนใฝ่เรยี นรู้ มงุ่ ม่ันในการทำงาน และมวี ินัยในการเรียน (A) 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น (1) ความสามารถในการสอ่ื สาร - การอธิบาย การเขยี น การตอบคำถาม (2) ความสามารถในการคิด - การสังเกต การสำรวจ การคดิ วิเคราะห์ การสร้างคำอธบิ าย การอภิปราย การสือ่ ความหมาย การทำกิจกรรมโดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสบื คน้ โดยใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (3) ความสามารถในการแก้ไขปญั หา - สามารถแก้ปญั หาทเี่ กิดขนึ้ ได้อยา่ งเหมาะสม
6. คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ - มวี ินยั - มงุ่ มั่นในการทำงาน - ใฝ่เรยี นรู้ 7. สาระการเรยี นรู้ ออสโมซิส (OSMOSIS) หมายถึง การเคลื่อนที่ของโมเลกุลของน้ำจากบริเวณที่มีความเข้มข้นของ น้ำมาก (มีจำนวนโมเลกุลของน้ำมาก) ไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นของน้ำน้อย (มีจำนวนโมเลกุลของน้ำ น้อย) โดยผ่านเย่ือกั้นบางๆ ซึ่งจะทำหน้าท่ีเป็นเยื่อเลือกผ่าน (SEMI - PERMEABLE MEMBRANE) เยื่อเลือกผ่าน คือ เยื่อบาง ๆ เช่น เยื่อหุ้มเซลล์ ซึ่งจะยอมให้สารที่มโี มเลกุลขนาดเล็กผ่านไปได้ เช่น ออกซิเจน น้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ แอมโนเนยี กลูโคส กรดอะมโิ น เป็นต้น แตจ่ ะไม่ยอมใหส้ ารทม่ี โี มเลกลุ ใหญ่ ผ่านไปได้ เช่น ซูโครส แป้ง โปรตีน จะยอมให้สารบางอย่างผ่านได้แต่สารบางอย่างผ่านไม่ได้ ตัวอย่างเช่น เยื่อหุ้มเซลล์ที่ทำหน้าที่เป็นเยื่อเลือกผ่านโดยเยื่อเลือกผ่านจะมีลักษณะที่บางมาก เมื่อเรานำเซลล์พืชหรือ เซลลส์ ัตว์วางลงในสารละลาย จะเกดิ ผลดงั นี้ 1.ถ้าภายในเซลล์มีความเข้มข้นของน้ำมากกว่าภายนอกเซลล์ จะทำให้โมเลกุลของน้ำเคลื่อนที่ผ่าน เยอื่ หุม้ เซลล์เขา้ มาในเซลลม์ ากกว่าทจ่ี ะเคลื่อนที่ออกไปจากเซลล์ ทำให้เซลลม์ ลี ักษณะบวมเตง่ 2.ถ้าภายในเซลล์มีความเข้มข้นของน้ำน้อยกว่าภายนอกเซลล์ จะทำให้โมเลกุลของน้ำเคลื่อนที่ผ่าน เยอ่ื หุ้มเซลล์ออกนอกเซลล์มากกวา่ จะเคลื่อนท่ีเข้ามาในเซลล์ ทำให้เซลลม์ ีลกั ษณะเห่ียว 3.ถ้าภายในเซลล์มีความเข้มขน้ ของน้ำเท่ากับภายนอกเซลล์ จะทำให้โมเลกลุ ของน้ำเคล่ือนทีผ่ ่านเยื่อ หมุ้ เซลลอ์ อกนอกเซลลเ์ ทา่ กับที่เขา้ มาในเซลล์ ทำใหล้ ักษณะของเซลล์มีลักษณะเหมอื นเดมิ การออสโมซิสของนำ้ ในสภาพความเข้มข้นของสารละลายตา่ งๆ จากการศกึ ษาการเปล่ียนแปลงรูปร่างของเซลลเ์ ม็ดเลือดแดงโดยกระบวนการออสโมซสิ พบวา่ เมื่อนำ เซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดงไปใสใ่ นสารละลายทม่ี คี วามเขม้ ข้นต่างๆ แบ่งออกเป็น 3 รปู แบบ คือ 1) ไฮโพทอนิก โซลูชัน (hypotonic solution) หมายถึง สารละลายนอกเซลล์ที่มีความเข้มข้นน้อย กว่าเซลล์ ดังนั้นเมื่อใส่เซลล์ลงในสารละลายชนิดนี้ จะทำให้เซลล์ขยายขนาดเพิ่มขึ้น เนื่องจากน้ ำภายใน สารละลายแพร่เข้าสู่เซลล์มากกว่าน้ำภายในเซลล์แพร่ออกนอกเซลล์
2) ไอโซทอนิก โซลูชัน (isotonic solution) หมายถึง สารละลายนอกเซลล์ที่มีความเข้มข้นเท่ากับ เซลล์ ดงั น้นั เมอื่ ใสเ่ ซลล์ลงในสารละลายชนิดนข้ี นาดของเซลลจ์ ะไม่เปลย่ี นแปลง 3) ไฮเพอร์ทอนิก โซลูชัน (hypertonic solution) หมายถึง สารละลายนอกเซลล์ที่มีความเข้มข้น มากกว่าเซลล์ ดงั นัน้ เม่ือใส่เซลลล์ งในสารละลายชนิดน้จี ะทำใหเ้ ซลลเ์ ห่ยี วลดขนาดลง ออสโมซิสทีเ่ กิดจากสารละลายไฮโพทอนิกนอกเซลล์ ทำใหน้ ้ำผ่านเข้าไปในเซลลแ์ ละเซลล์เต่งขึ้นหรือ เซลล์แตก เรียกว่า เอนโดสโมซิส (endosmosis) หรือพลาสมอพทิซิส (plasmoptysis) สำหรับออสโมซิสท่ี เกิดจากสารละลายไฮเพอร์ทอนกิ นอกเซลลแ์ ลว้ ทำใหน้ ำ้ ผ่านออกนอกเซลลท์ ำให้เซลลเ์ หย่ี วเรยี กวา่ เอกโซสโม ซิส (exosmosis) หรอื พลาสโมไลซสิ ปจั จัยทคี่ วบคุมการออสโมซสิ 1) ความเขม้ ข้นของสารท่เี กดิ การออสโมซสิ ถ้าความเขม้ ข้นของสารละลายระหว่างสอง บริเวนต่างกัน มาก การออสโมซสิ จะเกิดขน้ึ ได้รวดเร็วแต่ถ้าความเข้มข้นของสารละลายใกล้เคียงกัน การออสโมซิสจะเกิดขึ้น ช้า ตัวอย่างการออสโมซิส เช่น การที่รากของพืชดูดนำ้ จากดินได้ เนื่องจากปรมิ าณนำ้ ในดินมีมากกว่าปริมาณ นำ้ ในเซลลข์ องรากพืช 2.) อุณหภูมิ การเพิ่มอุณหภูมิ เป็นการเพิ่มพลังงานจลน์ใหแ้ ก่อนุภาคของสาร ทำให้อนุภาคเคลื่อนที่ เรว็ ขึน้ กระบวนการออสโมซสิ จงึ เกดิ ข้นึ เร็ว กระบวนการแพร่ของน้ำผ่านเยื่อเลือกผ่านหรือออสโมซิส หมายถึง กระบวนการแพร่ของน้ำจาก บริเวณที่มีความเข้มข้นของสารละลายต่ำไปสู่บริเวณที่มีความเข้มข้นของสารละลายสูงโดยผ่านเยื่อเลือก ผ่าน (SEMIPERMEABLE MEMBRANE) เช่น กระดาษเซลโลเฟน เยื่อหุ้มเซลล์ เป็นต้น การออสโมซิสมีแรงดันท่ีเกี่ยวข้องอยู่ 2 ชนิดคือ 1. แรงดันออสโมติก (OSMOTIC PRESSURE) คือ แรงท่ีใช้เคลื่อนที่ของน้ำ 2. แรงดันเต่ง (TURGOR PRESSURE) คือ แรงดันท่ีเกิดขึ้นภายในเซลล์
8. กระบวนการจัดการเรียนรู้ (ใชร้ ูปแบบการสอนสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry cycle) (5Es) 8.1 ขน้ั สร้างความสนใจ (Engagement) (5 นาที) (1) กระตุ้นความสนใจของนกั เรยี นโดยใช้คำถามดังต่อไปนี้ (ให้นักเรียนตอบตามความคิดของ ตัวเอง) - ถา้ นกั เรียนนำนำ้ ใส่ผา้ ขาวบางแลว้ ห่อ ผลจะเป็นอยา่ งไร (แนวคำตอบ นำ้ ไหลทะลุผ้าไปจน หมด ) - ถ้าเปลี่ยนจากผ้าขาวเป็นผ้าดิบ ผลจะเป็นอย่างไร (แนวคำตอบ น้ำไม่ไหลผ่านผ้าในตอน แรก) - การท่ีน้ำผ่านผ้าไดเ้ ปรยี บเสมอื นปรากฏการณ์ใด (แนวคำตอบ ออสโมซสิ ) (2) ครชู แ้ี จงใหน้ ักเรียนว่า วันนี้ครจู ะสอนเก่ียวกับการออสโมซิสตอ่ จากช่ัวโมงท่ีแลว้ 8.2 ขน้ั สำรวจและคน้ หา (Exploration) (85 นาที) (1) นักเรียนแบ่งกลุ่มเป็น 6 กลุ่ม แล้วรับใบกิจกรรม เรื่องการออสโมซิสจากครู แล้วศึกษา ขนั้ ตอนในใบกิจกรรม เรอ่ื งการออสโมซิส และครูใช้คำถามก่อนการทำกจิ กรรมดังนี้ - ปญั หาการทดลองนคี้ อื อะไร (แนวคำตอบ น้ำเคลอื่ นท่ีผ่านเยือ่ เลอื กผ่านไดอ้ ยา่ งไร) - นักเรียนคิดว่าระดับน้ำตาลในหลอดจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร (แนวคำตอบ นักเรียน ตอบตามความเข้าใจ) (2) นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ลงมือทำกิจกรรมตามขัน้ ตอน และบันทกึ ผลลงในใบกิจกรรม 8.3 ขั้นอภปิ รายและลงขอ้ สรุป (Explain) (5 นาท)ี (1) นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายและสรุปความรู้ดงั นี้ (นำ้ มกี ารเคลอื่ นทีจ่ ากภายนอกเข้าสู่ ภายในถุงผา่ นเซลโลเฟน จึงทำใหป้ รมิ าณน้ำในสารละลายน้ำตาลในหลอดแกว้ เพิ่มขึน้ น้ำในหลอดแก้วจึงสูงข้ึน เนื่องจากในถุงเซลโลเฟน สารละลายมีความเข้มข้นสูงมีโมเลกุลของน้ำน้อยกว่าภายนอกน้ำตาลนอกถึงจึง ออสโมซิสเข้าไปในถุง) 8.4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) (10 นาที) (1) ครูเพิ่มเติมความรู้ให้นักเรียนโดยเปิดวีดีโอ เรื่องออสโมซิสกับไข่พิศวง จาก https:// www.youtube.com/watch?v=x_Vtl6XVG0M ให้นักเรียนฟงั 8.5 ขนั้ ประเมนิ (Evaluation) (15 นาท)ี (1) นักเรยี นและครรู ว่ มกันเฉลยใบกจิ กรรม (2) ครตู ้ังคำถามเพื่อตรวจสอบความเขา้ ใจของนักเรียน (3) นักเรยี นถามในสง่ิ ทส่ี งสยั และยงั ไม่รแู้ ละครูอธบิ ายเพิ่มเตมิ 9. สื่อการเรียนรู้ (1) หนังสอื วทิ ยาศาสตรพ์ ื้นฐาน ม.1 เลม่ 1 (สสวท) (2) ใบกจิ กรรม เร่อื งการออสโมซสิ (3) วีดีโอ เรื่องออสโมซิสกับไขพ่ ศิ วง
10. การวดั ผลและประเมินผล จุดประสงค์การเรยี นรู้ วธิ กี ารวัดผล เคร่อื งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ ผ้ปู ระเมิน ครูผ้สู อน 1.ดา้ นความรู้ (K) ค ว า ม ถ ู ก ต ้ อ ง ข อ ง ใบกจิ กรรม ผู้เรยี นผา่ นเกณฑ์ ครูผสู้ อน ระดบั พอใชข้ น้ึ ไป นักเรียนสามารถอธิบาย คำตอบในใบกิจกรรม ครผู สู้ อน ผเู้ รียนผ่านเกณฑ์ กระบวนการออสโมซิส ระดับพอใชข้ ้ึนไป ได้ 2.ด ้ า น ท ั ก ษ ะ / ดูทักษะการ ท ำ ก า ร แบบประเมินทักษะ กระบวนการ (P) ทดลองเกี่ยวกับการ การทำการทดลอง นักเรียนสามารถทำการ ออสโมซสิ เกี่ยวกบั การออสโมซสิ ทดลองเกี่ยวกับการ ออสโมซสิ ได้ 3.ดา้ นคณุ ลักษณะ(A) ประเมินความตั้งใจ แ บ บ ป ร ะ เ มิ น ผ้เู รียนผา่ นเกณฑ์ ระดบั พอใช้ขึน้ ไป นักเรียนใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่น เรียน ตั้งใจ ในการ พ ฤ ต ิ ก ร ร ม บ ่ ง ช้ี ในการทำงาน และมีวินยั ทำงาน และความตรง คุณลักษณะอัน พึ ง ในการเรยี น ตอ่ เวลาในการส่งงาน ประสงค์
เกณฑก์ ารประเมิน เกณฑป์ ระเมนิ ด้าน K รายการประเมิน ดี (3) ระดบั คุณภาพ ปรับปรุง (1) พอใช้ (2) น ั ก เ ร ี ย น ส า ม า ร ถ นักเรียนสามารถอธิบาย นักเรียนอธิบายกระบวนการ น ั ก เ ร ี ย น อ ธ ิ บ า ย อธิบายกระบวนการ กระบวนการออสโมซิสได้ ออสโมซสิ ได้ ถูกตอ้ งเป็นส่วน กระบวนการออสโมซิสได้ ออสโมซิสได้ อย่างถูกต้องและครบถ้วน ใหญ่(5-7คะแนน) เพียงส่วนน้อย(ต่ำกว่า5 (8-10คะแนน) คะแนน) *หมายเหตุ นกั เรยี นต้องผ่านเกณฑ์การประเมินระดับ 2 ขึน้ ไป เกณฑ์การตดั สินระดบั คณุ ภาพด้านคณุ ลกั ษณะ (K) 8-10 คะแนน อยู่ในระดบั 3 หมายถงึ ดี 5-7 คะแนน อย่ใู นระดับ 2 หมายถงึ พอใช้ ตำ่ กวา่ 5 คะแนน อยใู่ นระดับ 1 หมายถงึ ปรบั ปรงุ เกณฑป์ ระเมินดา้ น P รายการประเมนิ ดี (3) ระดับคุณภาพ ปรับปรงุ (1) พอใช้ (2) นักเรียนสามารถทำ นักเรียนสามารถทำการ นักเรียนทำการทดลอง นักเรียนทำการทดลอง การทดลองเกี่ยวกับ ทดลองเกี่ยวกับการออสโม เกี่ยวกับการออสโมซิสได้ เกี่ยวกับการออสโมซิสได้ การออสโมซสิ ได้ ซสิ ได้ถูกต้องและครบถ้วน ( ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ( 5-7 เพียงส่วนน้อย (ต่ำกว่า 5 8-10 คะแนน) คะแนน) คะแนน) *หมายเหตุ นกั เรยี นตอ้ งผ่านเกณฑ์การประเมินระดับ 2 ข้นึ ไป เกณฑ์การตดั สนิ ระดบั คุณภาพดา้ นคณุ ลักษณะ (P) 8-10 คะแนน อยู่ในระดับ 3 หมายถงึ ดี 5-7 คะแนน อยูใ่ นระดบั 2 หมายถึง พอใช้ ตำ่ กว่า 5 คะแนน อยู่ในระดับ 1 หมายถึง ปรบั ปรุง
เกณฑป์ ระเมินด้าน A รายการประเมิน ดี (3) ระดบั คุณภาพ ปรบั ปรุง (1) พอใช้ (2) นักเรียนใฝ่เรียนรู้ มีความตั้งใจเรียน ตั้งใจใน มีความตั้งใจเรียน ตั้งใจใน ไม่มีความตั้งใจเรียน ไม่ มุ่งมั่นในการทำงาน การทำงาน และส่งงานตรง การทำงาน และส่งงานตรง ตั้งใจในการทำงาน และส่ง และมีวนิ ัยในการเรียน เวลาทุกครงั้ (4คะแนน) เวลาบางครั้ง (2-3 คะแนน) งานไม่ตรงเวลา(ต่ำกว่า2 คะแนน) *หมายเหตุ นักเรียนต้องผ่านเกณฑ์การประเมนิ ระดับ 2 ข้นึ ไป เกณฑ์การตดั สนิ ระดับคณุ ภาพดา้ นคณุ ลกั ษณะ (A) 4 คะแนน อยู่ในระดับ 3 หมายถึง ดี 2-3 คะแนน อย่ใู นระดับ 2 หมายถงึ พอใช้ ต่ำกวา่ 2 คะแนน อยู่ในระดบั 1 หมายถึง ปรบั ปรุง
วช-ร 06 แบบบนั ทึกหลงั การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ช่อื หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ……………… เรื่อง ……………………………………………………………….. แผนการเรียนรทู้ ี่ ………………… เรือ่ ง ……………………………………………………………….. รายวิชา……………………………….. ช้นั …………………………. รหัสวชิ า ……………………………………. ครูผสู้ อน …………………………………………….. ตำแหนง่ …………………………………… เวลาที่ใช้ ……… ชวั่ โมง ************************* ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ข้อค้นพบระหว่าง ปญั หาที่พบ แนวทางแก้ไข ทีม่ กี ารจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ เน้ือหา กจิ กรรมการเรยี นรู้ สอ่ื ประกอบการเรยี นรู้ พฤติกรรม/การมีส่วนร่วมของ ผเู้ รยี น ลงชอื่ …..........………….......................…….. ครผู จู้ ัดกจิ กรรมการเรียนรู้ (นางสาวจันจิรา ธนนั ชยั ) ตำแหนง่ ครผู ้ชู ่วย
11. ผลการประเมิน นักเรยี นทั้งหมด………………คน ดา้ น (K) นกั เรียนสามารถอธิบายกระบวนการออสโมซิสได้ ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ มคี ุณภาพอยู่ในระดบั ดี จำนวน……………….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ……………. ผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ มคี ุณภาพอย่ใู นระดับพอใช้ จำนวน……………….คน คดิ เป็นร้อยละ…………….. ไมผ่ า่ นเกณฑก์ ารประเมนิ จำนวน………...........คน คดิ เปน็ ร้อยละ……………. ด้าน (P) นกั เรยี นสามารถทำการทดลองเกย่ี วกับการออสโมซสิ ได้ ผ่านเกณฑก์ ารประเมินมคี ุณภาพอยใู่ นระดบั ดี จำนวน……………….คน คิดเปน็ ร้อยละ……………. ผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ มคี ณุ ภาพอยู่ในระดับพอใช้ จำนวน……………….คน คิดเป็นร้อยละ…………….. ไม่ผ่านเกณฑก์ ารประเมิน จำนวน………...........คน คดิ เปน็ ร้อยละ……………. ด้าน (A) นักเรยี นใฝ่เรยี นรู้ มงุ่ มนั่ ในการทำงาน และมีวินยั ในการเรยี น ผา่ นเกณฑก์ ารประเมินมคี ณุ ภาพอยู่ในระดับดี จำนวน……………….คน คิดเป็นรอ้ ยละ…………… ผ่านเกณฑก์ ารประเมินมคี ุณภาพอยใู่ นระดบั พอใช้ จำนวน……………….คน คดิ เปน็ ร้อยละ…………….. ไม่ผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ จำนวน………...........คน คดิ เปน็ ร้อยละ……………. รายชอื่ นกั เรยี นที่ไม่ผา่ นเกณฑ์การประเมิน สาเหตุ-ปญั หา แนวทางแก้ไข ลำดบั ช่อื -สกุล ลงชอื่ ...............................................(ผสู้ อน) (..............................................)
ใบกิจกรรม เรอ่ื งการออสโมซสิ จดุ ประสงคก์ ารทดลอง เพ่อื อธิบายกระบวนการออสโมซสิ ของสาร วสั ดุอุปกรณ์ 1. น้ำปรมิ าตร 100 ลกู บาศก์เซนตเิ มตรต่อกลุม่ 2. น้ำตาลทรายความเข้มขน้ 40% โดยมวลต่อปริมาตร 30 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร (เตรยี มโดยช่งั นำ้ ตาล 40 กรมั ละลายนำ้ 100 ลูกบาศก์เซนติเมตร) 3. บีกเกอร์ จำนวน 2 ใบต่อกลมุ่ 4. หลอดแก้วปลายเปดิ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5 เซนตเิ มตร จำนวน 1 อันตอ่ กลุ่ม 5.กระดาษเซลโลเฟน ขนาด 15X15 เซนติเมตร จำนวน 1 แผ่นตอ่ กลมุ่ 6.ขาต้งั พร้อมทีห่ นบี จำนวน 1 ชุด ต่อกลุ่ม 7.ยางรัด จำนวน 1 เส้น วธิ ดี ำเนินการทดลอง 1. นำแผ่นกระดาษเซลโลเฟนชบุ น้ำให้เปยี ก ทำเปน็ ถุงแล้วใสล่ งในบกี เกอร์ รินสารละลายน้ำตาลทราย ลงไป 2. จมุ่ หลอดแก้วใส่ลงในถุงกระดาษเซลโลเฟนลึก 3 เซนตเิ มตร ใช้ยางยืดมัดให้แนน่ ระวงั อยา่ ให้มี ฟองอากาศในถงุ 3. นำถุงทม่ี ัดแลว้ ในข้อ 2 จุ่มลงในบีกเกอร์ที่มีน้ำบรรจุอยู่ โดยให้รอยยางรัดอยู่สูงกว่าระดับนำ้ ในบกี เกอร์ ดงั รูป ทำเครื่องหมายแสดงระดับนำ้ ตั้งทง้ิ ไว้ 5 นาที สังเกตระดับของเหลวในหลอดแก้ว แลว้ บันทึกผล 4. รินน้ำหมกึ สแี ดงลงไปในบีกเกอรอ์ ีกใบหนงึ่ นำถุงกระดาษเซลโลเฟนในขอ้ 3 จุ่มลงไป ต้ังทงิ้ ไว้อีก 5 นาที สงั เกตสขี องสารละลายแลว้ บันทึกผล ตารางบนั ทกึ ผล ของเหลวท่แี ช่ถงุ สารละลายน้ำตาล การณ์เปลยี่ นแปลงที่เกดิ ขึ้น ทราย 1.แชใ่ นน้ำ 2.แช่ในนำ้ หมึกสีแดง สรปุ ผลการทดลอง ……….....……………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………..…………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คำถามทา้ ยกจิ กรรม 1.เมื่อแช่ถุงกระดาษเซลโลเฟนที่มีสารละลายเข้มข้นลงในน้ำและในน้ำหมึกสีแดงระดับน้ำในหลอดแก้วมีการ เปลย่ี นแปลงอย่างไร .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. 2.การที่ระดบั น้ำในหลอดแกว้ มกี ารเปลี่ยนแปลงเน่อื งจาก ............................................................................................................................................................................ 3.เมอื่ เปรียบเทียบความเข้มข้นของน้ำระหว่างภายในถุงกับภายนอกถงุ กระดาษเซลโลเฟนบรเิ วณใดจะมีความ เขม้ ข้นของนำ้ มากกวา่ ........................................................................................................................................................................... 4.น้ำและหมึกสีแดงมกี ารเคล่อื นทเ่ี ขา้ หรือออกจากถุงกระดาษเซลโลเฟน ........................................................................................................................................................................... 5.การเคลื่อนที่ของน้ำผ่านเยื่อกระดาษเซลโลเฟนจากบริเวณที่มีความเข้มข้นของน้ำมากไปสู่บริเวณที่มีความ เข้มข้นของนำ้ น้อย เรยี กวา่ ............................................... 6.ถ้าตอ้ งการใหร้ ะดับนำ้ ในหลอดแกว้ สงู ขึ้นอยา่ งรวดเรว็ นกั เรยี นคดิ ว่าควรทำอย่างไร ........................................................................................................................................................................... 7.ถ้าเปลี่ยนน้ำสแี ดงให้อยู่ในถุงกระดาษเวลโลเฟนแทน โดยให้สารละลายน้ำตาลเข้มข้นอยู่ข้างนอกถุง ระดับ น้ำในหลอดแก้วจะเปน้ อย่างไร เหตุใดจงึ เป็นเชน่ นนั้ .............................................................................................................................................................................. ......................................................................................................................................... .................................... 8.ถ้าแช่ถุงสารละลายน้ำในสารละลายน้ำตาลเหมือนกัน นักเรียนคิดว่าระดับน้ำในหลอดแก้วจะเป็นอย่างไร เหตใุ ดจึงเป็นเชน่ นน้ั .............................................................................................................................................................................. 9.ปัจจยั ใดบา้ งทมี่ ีผลตอ่ การดดู น้ำของพืช .............................................................................................................................................. ................................ ................................................................................................... ........................................................................... 10.จงยกตวั อยา่ งการออสโมซิสในชีวิตประจำวัน ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. .................................................
เฉลยใบกิจกรรม จุดประสงคก์ ารทดลอง เพ่ืออธิบายกระบวนการออสโมซสิ ของสาร วัสดอุ ุปกรณ์ 1. น้ำปริมาตร 100 ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตรต่อกลมุ่ 2. นำ้ ตาลทรายความเข้มข้น 40% โดยมวลต่อปริมาตร 30 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร (เตรยี มโดยช่ังนำ้ ตาล 40 กรมั ละลายน้ำ 100 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร) 3. บีกเกอร์ จำนวน 2 ใบต่อกลุ่ม 4. หลอดแก้วปลายเปดิ ขนาดเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง 0.5 เซนติเมตร จำนวน 1 อนั ต่อกลมุ่ 5.กระดาษเซลโลเฟน ขนาด 15X15 เซนติเมตร จำนวน 1 แผ่นตอ่ กลมุ่ 6.ขาตัง้ พร้อมทห่ี นีบ จำนวน 1 ชดุ ต่อกลมุ่ 7.ยางรัด จำนวน 1 เสน้ วธิ ดี ำเนินการทดลอง 1. นำแผ่นกระดาษเซลโลเฟนชุบน้ำใหเ้ ปยี ก ทำเปน็ ถงุ แลว้ ใสล่ งในบีกเกอร์ รินสารละลายน้ำตาลทราย ลงไป 2. จมุ่ หลอดแกว้ ใส่ลงในถุงกระดาษเซลโลเฟนลกึ 3 เซนตเิ มตร ใชย้ างยืดมดั ให้แนน่ ระวงั อย่าใหม้ ี ฟองอากาศในถงุ 3. นำถุงทม่ี ัดแล้วในข้อ 2 จมุ่ ลงในบกี เกอรท์ ่ีมนี ้ำบรรจอุ ยู่ โดยให้รอยยางรดั อยู่สูงกว่าระดับนำ้ ในบีก เกอร์ ดงั รูป ทำเครื่องหมายแสดงระดับน้ำ ตง้ั ท้งิ ไว้ 5 นาที สงั เกตระดับของเหลวในหลอดแกว้ แล้ว บนั ทึกผล 4. รินน้ำหมึกสีแดงลงไปในบีกเกอร์อีกใบหนึง่ นำถุงกระดาษเซลโลเฟนในขอ้ 4 จุ่มลงไป ต้ังทิ้งไว้อกี 5 นาที สงั เกตสขี องสารละลายแล้วบนั ทึกผล ตารางบนั ทึกผล ของเหลวทแี่ ช่ถงุ สารละลายนำ้ ตาล การณ์เปลย่ี นแปลงทเ่ี กิดข้นึ ทราย 1.แช่ในนำ้ ของเหลวท่ีอยู่ในหลอดแก้วสูงขึ้นจากเดมิ 2.แช่ในนำ้ หมึกสีแดง ของเหลวที่อยู่ในหลอดแกว้ สูงขึ้นและมีสีแดง สรุปผลการทดลอง จากการทดลอง พบว่า เมื่อนำถุงไปแช่ในน้ำ ของเหลวที่อยูใ่ นหลอดแกว้ สูงขึ้นจากเดิม และเมื่อแช่ใน นำ้ หมึกสีแดง ของเหลวท่อี ยใู่ นหลอดแกว้ สงู ขึ้นและมีสแี ดง เพราะ สารมีการออสโมซิสจากสารที่มคี วามเข้มข้น สงู ไปหาสารทม่ี ีความเขม้ ข้นตำ่ โดยผา่ นเยอื่ เลือกผ่าน คอื กระดาษเซลโลเฟน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177