Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore VISUAL ARTS ANALYSIS

VISUAL ARTS ANALYSIS

Published by sriwarinmodel, 2021-12-12 16:03:46

Description: การวิเคราะห์ทัศนศิลป์

Keywords: VISUAL ARTS ANALYSIS

Search

Read the Text Version

การวิเคราะหท์ ัศนศิลป์ (Visual Arts Analysis) น อรเ์ บริ ต์ ครคิ กี้สรา้ งสรรคผ์ ลงานประตมิ ากรรมทอ่ี าศยั เรอื่ งราวจากธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มในการแสดง ออกรปู แบบแตศ่ ลิ ปนิ จะลดตดั ทอนรปู ทรงรายละเอยี ดจนอาจจะไมเ่ หลอื ตวั ตนสง่ิ เหลา่ นน้ั เลยเหลอื แตส่ าระส�ำ คญั ความรสู้ กึ จนิ ตนาการของศลิ ปนิ ซึ่งจะมคี วามเปน็ อิสระเหนอื กฎเกณฑ์ ผดู้ ูต้องพยายามอา่ นความรู้สกึ ของศลิ ปนิ ในผลงานนัน้ ๆ ซ่ึงมีการเคลอ่ื นไหวและแฝงนัยสำ�คญั ท่แี ฝงอยู่ในผลงานเหล่านั้น (ภาพที่ 7.54) ภาพที่ 7.55 สมพร ธุรี “บูชาข้าว” สอี ะคริลิค 100 x 100 ซม. ภาพท่ี 7.56 เฟอร์นนั ด์ เลเจอร์ (Fernand Lager) ค.ศ. 1912 “สตรใี นชดุ สีนำ�เ้ งิน” (The woman in Blue) สีนำ�ม้ นั บนผ้าใบ 76 x 51 นิ้ว ภาพท่ี 7.57 ด�ำ รง วงศอ์ ุปราช ค.ศ. 1959 “หมูบ่ ้านชาวประมง” เทคนคิ สฝี ุ่น 146

บทท่ี 7 : การจัดองค์ประกอบทศั นศลิ ป์ ภาพท่ี 7.58 เอ อาร์ เพน็ ค์ (A .R. Penck) ค.ศ. 1981 “สนามรบ” (The Battlefield) สอี ะครลิ ิคบนผา้ ใบ 11 x 33 ฟุต ภาพที่ 7.60 ภาพที่ 7.59 เฮนรี่ รุสโซ (Henri Rousseau) คีต ฮาร์ดิง (Keith Harding) ค.ศ. 1984 “ไม่มชี ่ือ” (Untitled) ค.ศ. 1897 “ความฝัน” สอี ะคริลคิ บนผ้าใบ 120 x 180 ซม. (The Dream) สีน�ำ ม้ นั บนผ้าใบ 147 80 x 117 น้วิ

การวิเคราะหท์ ศั นศิลป์ (Visual Arts Analysis) ทฤษฎีการรบั รูท้ างทัศนศลิ ป์ ก ารสรา้ งสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ เกดิ จากการแสดงออกซ่ึงอารมณ์หรือความรสู้ กึ ของมนุษย์ท่แี ตกต่างกัน ตามแต่เปา้ หมายท่ตี ้องการให้ผูช้ มหรอื ผ้บู ริโภคเกิดประโยชนใ์ ชส้ อยอย่างไร ได้แก่ ผลงานจิตรกรรม ประตมิ ากรรม ทม่ี ที ั้งความงามและประโยชนใ์ ชส้ อย เชน่ เพื่อตกแตง่ และใหส้ ารประโยชนก์ ับผู้ดู เพ่ือบอกย�ำ เ้ ตือนสตกิ ับคนดูหรือ เพือ่ ใหเ้ กดิ ความส�ำ นกึ และหวงแหนเปน็ ต้น นอกจากนีก้ ็จะได้รับความรูส้ กึ ถงึ ความงาม อารมณ์ เพลิดเพลินใจ ด้วย ซึง่ แต่ละคนก็มีวิธีการนำ�เสนอเทคนิคแตกตา่ งกันขึ้นอยกู่ บั รสนิยมของศลิ ปิน ทำ�ให้เกิดทฤษฎีศลิ ปะต่างๆ ดงั นี้ 1. ทฤษฎีการเลยี นแบบ (Imitation Theory) ถ ือวา่ เปน็ ทฤษฎที ่ีเกา่ แก่ พวกกรกี โบราณจะมีความเช่ือตามทฤษฎนี ีโ้ ดยไดก้ ลา่ วยนื ยนั วา่ การลอกเลยี น แบบวัตถธุ รรมชาติ ได้อยา่ งสมบรู ณค์ รบถ้วน จดั ว่าเปน็ สิง่ ท่ีสวยงามที่สุด ซง่ึ อาจจะแสดงออกด้วยรูปภาพธรรมชาติ หรือรูปภาพของมนษุ ย์ กไ็ ด้ถอื ว่าไดน้ ำ�ทฤษฎีการเลียนแบบมาใชใ้ นการสร้างงานและสามารถน�ำ ทฤษฎีน้ไี ปอธบิ าย กับผลงานนน้ั ๆ ได้ เพราะภาพผลงานเหล่าน้ันมเี น้ือหาสมจรงิ ตามธรรมชาติ เชน่ การวาดภาพคนเหมอื นจริง หรือ แมก้ ระทงั่ การเตน้ ร�ำ รวมทง้ั ประตมิ ากรรมคนเหมอื นบคุ คลส�ำ คญั ถ า้ การแสดงออกดว้ ยการเลยี นแบบการเคลอื่ นไหว ผคู้ นและธรรมชาติทม่ี จี รงิ เช่น การเลียนแบบนก ลิง คน เป็นตน้ กจ็ ดั ว่าเปน็ การใชท้ ฤษฎีการเลยี นแบบ ดงั ทอี่ รสิ โตเตลิ ( Aristotle) ไ ดก้ ลา่ วไวว้ า่ “มนษุ ยเ์ รานน้ั เปน็ นกั เลยี นแบบโดยสญั ชาตญาณและการเลยี นแบบ นนั่ เองทป่ี รากฏออกมาในศลิ ปวตั ถุดงั นนั้ เขาจงึ ไดช้ อื่ วา่ เปน็ ผแู้ สดงพนื้ ฐานทางจติ วทิ ยาของศลิ ปะประเภทศลิ ปะแสดง สัญลกั ษณ์ (Representational Art) โรดิน (Rodin) ศิลปนิ ยคุ ปัจจุบันกไ็ ด้กล่าวไวใ้ นทำ�นองเดยี วกนั ว่าธรรมชาตนิ ั้น เป็นส่ิงท่ีสวยงามทีส่ ดุ อย่แู ล้วสิ่งที่มนษุ ยจ์ ะทำ�ได้กค็ อื การลอกเลียนแบบธรรมชาติมาไว้ในศลิ ปะเท่านน้ั เอง(สเุ ชาวน์ พลอยชมุ , 2545: 51) ซ่ึงทฤษฎีนเ้ี นน้ กระบวนการทำ� ทักษะหรือปฏิบตั ิเปน็ ส�ำ คญั ศิลปนิ หลายกล่มุ กไ็ ดใ้ ห้แนวคิด หลากหลาย แตไ่ มว่ า่ การสรา้ งสรรคง์ านศิลปะจะใชท้ ฤษฎีอะไรก็ตาม ทกุ คนก็จะมีอารมณค์ วามร้สู กึ ประสบการณ์ ท่แี ฝงเรน้ อยูใ่ นผลงาน ซึง่ มีความเปน็ อตั ลักษณ์ของตนเอง อาจจะมีเทคนคิ วิธีการ เนอื้ หา ท่แี ตกต่างกนั ทำ�ให้ผล งานมีความหลากหลาย และมีการพัฒนาทกั ษะแนวความคดิ ให้เกดิ ขนึ้ ในวงการศิลปะตอ่ ไป เ วอร์เมียร์เปน็ ผซู้ ง่ึ ใช้ฝีแปรงในการสรา้ งงานที่หลากหลายเปน็ ผูส้ รา้ งงานเหมอื นจรงิ ถึงขีดสดุ ถือว่าเปน็ พ้ืน ฐานของลัทธกิ ่อนการถา่ ยภาพ โดยสร้างงานจิตรกรรมจากความเป็นจรงิ ในธรรมชาติ ซง่ึ เวอร์เมยี รม์ ีความเกย่ี วขอ้ ง กบั เหตกุ ารณ์เหลา่ น้ีจึงถ่ายทอดผลงานภาพผ้หู ญิงกบั เหยือกน�ำ ้เป็นงานจติ รกรรมที่แสดงออกถงึ ความส�ำ คัญในชว่ ง เวลาหนึ่ง เป็นการบันทกึ ความสวยงาม ณ ชว่ งเวลานนั้ ๆ ของท่าทางความร้สู กึ ชวี ติ ประจำ�วันของผ้หู ญิงทีท่ ำ�กิจกรรม ภายในห้อง ทมี่ แี สงเงาสาดส่อง ดูสงบเรยี บง่าย ซึง่ มีอทิ ธพิ ลของสีน�ำ เ้ งนิ และสีเหลืองมีความเป็นจริงตามธรรมชาติ เก็บรายละเอยี ดทกุ สว่ นของผลงานเนน้ อารมณ์ความรูส้ ึกต่อสิ่งนั้นเปน็ ส่งิ สำ�คญั เ วอรเ์ มยี รถ์ ือวา่ ธรรมชาตคิ วามเป็น จริงเป็นครใู นการวาดภาพเหมือนจรงิ และถ่ายทอดผลงานจติ รกรรม (ภาพท่ี 8.1) 148

บทที่ 8 : ทฤษฎกี ารรบั รทู้ างทัศนศิลป์ ภาพที่ 8.1 แจน เวอร์เมียร์ (Jan Vermeer) ค.ศ. 1632-1675 “ผหู้ ญงิ ถือเหยือก” (Woman Holding a Jug) สีน�ำ ้มนั บนผ้าใบ ภาพที่ 8.2 ศาสตราจารย์ศิลป์ พรี ะศรี พ.ศ. 2493 “มาลนิ ี พีระศร”ี ปนู ปลาสเตอร์ ประตมิ ากรรมลอยตัว ศ าสตราจารยศ์ ิลป์ พรี ะศรี จะสรา้ งผลงานทแี่ สดงออกถึงสดั ส่วนโครงสรา้ ง ปรมิ าตรมวลรวมท้ังความ เหมือนจริงตามทฤษฎีการลอกเลยี นแบบ ความเป็นจรงิ ตามธรรมชาตขิ องหนุ่ ทีน่ ำ�มาเป็นแบบในการปั้นแสดงออก ถงึ ทกั ษะฝมี ือเป็นหลกั แฝงอารมณ์ความรูส้ ึกออ่ นหวานนุ่มนวลสวยงามตามแบบจรงิ ถอื วา่ เปน็ พ้นื ฐานในการสร้าง สรรคผ์ ลงานทัศนศลิ ปใ์ นล�ำ ดบั ที่มกี ารคล่คี ลายตดั ทอนรูปทรงตอ่ ไป (ภาพที่ 8.2) ผลงานประตมิ ากรรมนนู สงู ใชท้ ฤษฎกี ารลอกเลยี นแบบจากความเปน็ จรงิ ของคนทม่ี กี จิ กรรมตา่ งๆตามเนอ้ื หา ของศลิ ปินทีน่ ำ�เสนอ เน้นสดั สว่ นของคนและสิ่งแวดล้อมของสิ่งกอ่ สร้าง ตน้ ไม้ สตั ว์ เป็นตน้ มีขนาดสดั สว่ นท่ี เปน็ จรงิ ตามธรรมชาติ การแสดงออกของรายละเอียดรูปรา่ งหนา้ ตาจะมคี วามเหมือนจรงิ ท�ำ ใหผ้ ู้ชมรบั รู้ถึงความ สวยงามของผลงานไดง้ า่ ยไม่ซบั ซอ้ น (ภาพที่ 8.3) ภาพท่ี 8.3 ศาสตราจารย์ศิลป์ พรี ะศรี พ.ศ. 2482-2483 “อนสุ าวรีย์ประชาธปิ ไตย” หลอ่ ด้วยซเี มนต์ทงั้ 8 ดา้ น 149

การวิเคราะห์ทัศนศิลป์ (Visual Arts Analysis) ภาพท่ี 8.4 ชยารฐั จลุ สุคนธ์ “บทบันทกึ เมืองโคราชหมายเลย 3” แมพ่ ิมพ์โลหะ 800 x 100 ซม. ผ ลงานภาพพิมพ์ จะมวี ธิ กี ารเลือกทฤษฎีการแสดงออกเหมอื นผลงานจติ รกรรมจะแตกตา่ งกันในสว่ นของ ขบวนการท่ีจะตอ้ งทำ�แม่พิมพ์ก่อนพมิ พ์ออกมาเป็นรูปภาพ โดยการสรา้ งผลงานจากความเปน็ จริงตามธรรมชาตแิ ต่ จะจัดองคป์ ระกอบมมุ มองใหม่ที่ทำ�ใหผ้ ลงานมีความนา่ สนใจ (ภาพท่ี 8.4) 2. ทฤษฎกี ารเลือก (Voluntary Theory) เปน็ ทฤษฎีทมี่ ีความสำ�คัญในการสร้างสรรคศ์ ิลปะเป็นแนวความคิดจนิ ตนาการไปจากความเป็นจรงิ ไมล่ อก เลยี นแบบความเหมอื นจริงท่ีเกิดข้ึนตามธรรมชาติ โดยการสรา้ งสรรค์ เทคนคิ วธิ กี าร ท�ำ ผิดแปลกไปจากความจรงิ จากแนวความคิดฟริดดชิ เนียชาเช (Friedich Nietzsche) พูดถงึ ความอยากทจี่ ะมอี ำ�นาจและความสามารถในการ ตัดสนิ ใจ(WillofPower)คือความรูท้ ง้ั หลายไม่เทา่ กับการตง้ั จดุ หมายของเรา(ArthurSchopenhauer)พูดถงึ ความ สามารถในการตดั สินใจ (Will) เปน็ ตัวส�ำ คญั ในการหาความรู้ ส่วนแนวความคิดของฮีเกิล (WG Hegel) เน้นความ งามเพราะวา่ มนษุ ย์น้นั ตอ้ งฝึกจิตใจของตนเองดคู วามฉลาดของผ้สู รา้ งงาน ซง่ึ ทฤษฎีนเี้ น้นกระบวนการคดิ เป็นหลัก สำ�คัญ ภาพท่ี 8.5 เทอร์เนอร์ (Turner) ค.ศ. 1845 “พายุ ไอน�ำ ้ ความเรว็ ” (Rain Steam and speed) สนี ำ�้มันบนผ้าใบ 35 x 68 นวิ้ 150

บทท่ี 8 : ทฤษฎีการรบั ร้ทู างทัศนศลิ ป์ ภาพท่ี 8.6 คอนสเตเบลิ (Constable) ค.ศ. 1776-1837 “รถบรรทกุ หญา้ แห้ง” (The Haywain) สีนำ�้มนั บนผ้าใบ 4 x 6 ฟุต ผลงานจติ รกรรมทีน่ ำ�เสนอในชว่ งเวลาหน่งึ ของเหตุการณห์ รอื ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ซง่ึ ผลงานในลกั ษณะ นสี้ ่งอิทธพิ ลตอ่ จิตรกรอิมเพรสช่ันนสิ ม์ซงึ่ สบื เนอ่ื งมาจากสมยั จกั รวรรดโิ รมันและคลาสสิค จะจ�ำ กดั การใช้สีเพยี ง สดี �ำ ขาว เทา การใช้สลี กั ษณะนี้ส่งผลมายังการสร้างงานลทั ธสิ ัจนยิ ม (Realism) และต่อมาในลทั ธิโรแมนตกิ (Romanticism)ซงึ่ จติ รกรทสี่ ำ�คญั ทส่ี ร้างความเคลอื่ นไหวไปสกู่ ารเขียนภาพแบบโรแมนตกิ คือเทอรเ์ นอร์(Turner) ค.ศ. 1775-1851 และคอนสเตเบิล (Constable) ค.ศ. 1776-1837ซึ่งเทอร์เนอร์เลือกการแสดงออกในการสรา้ ง งานแบบไมเ่ หมอื นจรงิ ไมล่ อกเลยี นแบบสงิ่ ทม่ี อี ยจู่ รงิ ตามธรรมชาติแสดงออกเปน็ ภาพทวิ ทศั นข์ องเขาเปน็ จติ รกรรม ทเ่ี ต็มไปด้วยอารมณ์ เปน็ การสรา้ งองคป์ ระกอบของสใี ห้มีลกั ษณะแบบนามธรรม ถือว่าเปน็ จิตรกรรมนามธรรมของ โลก สว่ นคอนสเตเบิลน�ำ เสนอรูปแบบในการสรา้ งงานรปู แบบลอกเลยี นแบบธรรมชาติ โดยสร้างงานตามความเป็น จรงิ ในธรรมชาติ คือ สี แสง บรรยากาศ มุมมองตามความเหน็ เก็บรายละเอียดทุกส่วนของผลงาน เปน็ การบันทกึ ความสวยงามของชว่ งเวลานน้ั ๆ ซึ่ง 2 จิตรกรใชท้ ฤษฎีในการเลอื กมาใชใ้ นการสรา้ งงานของแต่ละคนที่มคี วามงาม ทางสุนทรียภาพต่างกนั และมคี วามฉลาดและการฝกึ จติ ใจของตนสง่ ผลต่อการสร้างสรรค์ผลงานของแตล่ ะคน ที่มเี อกลกั ษณ์เฉพาะตน (ภาพที่ 8.5, 8.6) อ ลั เบอร์โต จีโคเมตตี้ ให้ความส�ำ คญั ในการสรา้ งสรรค์ผลงานแสดงออกในการเลือกลดตดั ทอนรปู ทรงจาก ธรรมชาตเิ ป็นแนวคิดจนิ ตนาการ ไม่ลอกเลียนแบบตามความเหมือนจริง สรา้ งสรรคเ์ ทคนคิ วิธีการ ท�ำ ผดิ แปลกไป จากความจริง ซึ่งเปน็ ไปตามความต้องการในทฤษฎีการเลอื ก ให้เกดิ การเปลย่ี นแปลงจนิ ตนาการจากความเป็น จรงิ โดยเป็นไปตามวัตถปุ ระสงค์ของศิลปิน เป็นวธิ ีการใช้ทฤษฎกี ารเลอื กในการแสดงออกโดยใช้กระบวนการคิด สรา้ งสรรค์ในการถา่ ยทอดผลงานเป็นสำ�คัญ (ภาพที่ 8.7) 151

การวิเคราะหท์ ัศนศลิ ป์ (Visual Arts Analysis) ภาพท่ี 8.7 อัลเบอร์โต จีโคเมตตี้ (Alberto Giacometti) ค.ศ. 1950“กลุ่มคน” (The Forest) บรอนซ์ 576 x 61 x 49.5 ซม. ภาพท่ี 8.8 เอกวัฒน์ เสน่ห์ผดุ “ประเทศไทย 2547” Lithograph and Silkscreen 80 x 142 ซม. ศ ิลปินใช้ทฤษฎีในการเลือกในการแสดงออกผลงานภาพพิมพ์ท่ีมีความแตกต่างไปจากความเป็นจริงตาม ธรรมชาตใิ นสว่ นของรูปทรงรายละเอียดสดั สว่ น ลักษณะท่าทางของแตล่ ะคนมกี ารลดตดั ทอนรปู ทรง สี จดั การ ให้ เกิดโครงสร้างใหม่ เทคนคิ วธิ ีการ ขนาดสดั สว่ นที่ผิดแปลกไปจากการเลียนแบบความเปน็ จรงิ ตามธรรมชาติ ใชร้ ปู ทรงเรขาคณติ รปู ทรงเดมิ แทนการใช้น�ำ ห้ นักสี ดเู รียบง่ายไม่ซบั ซอ้ น เนน้ กระบวนการคดิ แสดงออกเป็นส�ำ คญั (ภาพ ท่ี 8.8) 3. ทฤษฎปี ระสบการณ์ (Experience Theory) เ ปน็ ทฤษฎที ศ่ี ลิ ปนิ น�ำ มาสรา้ งงานไดต้ ลอดชวี ติ การสรา้ งสรรคผ์ ลงานเพราะประสบการณส์ ามารถรบั รสู้ มั ผสั เตมิ เตม็ ไดต้ ลอดเวลา ดังคำ�กล่าวของ จอห์น ดวิ อี้ (John Dewey)ทีว่ า่ ศิลปะ คือ ประสบการณ์ ศิลปะไมไ่ ดเ้ กดิ กบั คนมันต้องเรียนรู้ ตอ้ งมสี ัญชาตญาณ รู้จกั การดดั แปลงวสั ดุ เพราะเขาได้ศกึ ษางานศลิ ปะจากธรรมชาตจิ ึงถา่ ยทอด งานศลิ ปะเปน็ ภาพเหมอื นจรงิ ตามประสบการณท์ รี่ บั รมู้ าถอื วา่ เปน็ ศลิ ปะยคุ คลาสสคิ ซง่ึ ศลิ ปนิ ทกุ คนมปี ระสบการณ์ เป็นของตนเองในการถา่ ยทอดผลงานทีห่ ลากหลาย 152

บทที่ 8 : ทฤษฎีการรับรู้ทางทัศนศิลป์ ภาพที่ 8.9 โคลด์ โมเนต์ (Cloude Monet) ค.ศ. 1872 “ความประทับใจยามรุ่งอรุณ” (Impression Sunrise) สนี �ำ ม้ ันบนผา้ ใบ 19 x 23 นิว้ โ คลด์ โมเนต์ จิตรกรชาวฝรั่งเศส เป็นศลิ ปินท่มี ีผลงานจิตรกรรมทม่ี ีชื่อเสียงเสมือนเปน็ ต้นก�ำ เนิดของลัทธิ อมิ เพรสชน่ั นสิ ม์ เขามปี ระสบการณ์การเขยี นรูปมาตง้ั แตเ่ ด็ก เมอื่ มีโอกาสไดไ้ ปเสวนากับจิตรกรรุ่นใหมใ่ นยุคนัน้ ไม่ ว่าจะเปน็ ปซิ าโร เซซานน์ ทำ�ให้ประสบการณท์ เี่ ขาได้รับเหล่านี้ ทำ�ใหเ้ ขามีความคิดทัศนคตขิ องเขากา้ วไกลย่งิ ขึ้นใน การค้นหาแนวทางของตวั เอง โมเนตเ์ ป็นจติ รกรท่ีมีความขยนั ท�ำ งานหนกั ชา่ งสงั เกต เขาได้มีประสบการณใ์ นการ เขยี นภาพโบสถ์รอู นั (Reun Cathedral) เป็นมมุ ภาพเดยี วกันแต่เขาเขยี นตา่ งฤดู ต่างเวลาหลายภาพ เป็นภาพท่ี แสดงใหเ้ ห็นผลของสิ่งทม่ี ีต่อการรบั รู้ ซึ่งมีผลตอ่ บรรยากาศความรสู้ ึกของภาพแตกตา่ งโดยสนิ้ เชงิ ภ าพ “ความประทบั ใจยามรุง่ อรณุ ” (Impression Sunrise) เป็นภาพบ่อเกดิ ชอ่ื กลมุ่ เป็นภาพพระอาทติ ย์ กำ�ลังขึ้นยามเช้า การวาดใชเ้ ทคนิคการปา้ ยพู่กันอยา่ งรวดเรว็ สามารถจับแสงสีในอากาศได้อย่างฉับพลนั แตค่ นดู ทั่วไปมกั ดวู า่ หยาบ เพราะโมเนตไ์ มแ่ สดงสว่ นรายละเอยี ดใดๆ นอกจากสที ีเ่ กิดขึน้ ยามเชา้ เทา่ นน้ั หลงั จากการสร้าง งานทกุ ชน้ิ ของโมเนต์เน้นใหเ้ หน็ ถงึ ความสนใจในเรื่องแสงและสีโดยเพอ่ื ตอ้ งการให้ไดส้ ีท่มี ีความสว่างดงั แสงอาทิตย์ ยอ่ มไมไ่ ดม้ าจากการผสมสี แบบสำ�เรจ็ รปู หรือคอ่ ยๆ เกลีย่ เข้าหากนั แตจ่ ะใช้รอยแตม้ สีบรสิ ุทธ์ใิ ห้ความส�ำ คัญของสี คู่ปฏิปักษส์ ร้างสีใหม้ คี วามสำ�คัญกวา่ รปู ทรง คล้ายกบั แสงสี ทีห่ ่อหุม้ สร้างรปู สร้างวัตถุมากกวา่ จะเป็นรูปทรงเฉยๆ โมเนตช์ อบใช้สสี ด เหน็ รอยแปรงป้ายอย่างสนุกสนาน พอถอยไปจะเหน็ สีตา่ งๆ ผสมกลมกลนื อยา่ งนา่ พศิ วง เขา ตอ้ งการใหส้ มี กี ารผสมกลมกลืนกันในดวงตาผ้ชู มมากกวา่ ผสมกันเองบนผืนผา้ ใบโมเนต์เปน็ ผ้รู ิเร่มิ การวาดภาพเป็น จุดเพือ่ แสดงความผนั แปรของอารมณแ์ ละแสงสีในเวลาต่างๆ กัน (ภาพท่ี 8.9) ม าริโซล เอสคาบาร์ ถา่ ยทอดผลงานประตมิ ากรรมจากประสบการณ์ สภาพแวดล้อมทีไ่ ด้สมั ผสั กบั วถิ ชี วี ิต จริง เป็นแรงบันดาลใจในการแสดงออก เป็นภาพเน้ือหาครอบครวั เดียวกนั ทีไ่ ดร้ ับความยากจน ล�ำ ตัวเป็นไมแ้ กะ สลกั ใบหนา้ แขน หล่อปนู ปลาสเตอรจ์ ากใบหน้าและรา่ งกายของตนเอง ผลงานประติมากรรมของเธอดกู ลมกลืน กับผลงานศิลปินป๊อปอารต์ แตไ่ มเ่ หมือนคนอน่ื โดยผลงานจะแฝงนัยสังคม อารมณข์ นั และความรู้สกึ ของเพศหญงิ ตามประสบการณ์ของเธอ โดยการถ่ายทอดผลงาน 3 มติ ิ ท่มี สี ัญลักษณ์เรียบงา่ ยของรปู ทรงและเทคนิควธิ กี าร แต่ แสดงออกตามความรสู้ กึ ตามประสบการณข์ องเธอดงั ทป่ี รากฏในผลงานได้อย่างมเี อกภาพ (ภาพท่ี 8.10) 153

การวิเคราะหท์ ศั นศลิ ป์ (Visual Arts Analysis) ภาพท่ี 8.10 มาริโซล เอสคาบาร์ (Marisol Escabar) ค.ศ. 1986 “ครอบครวั ยากจน” (Poor Family) ไมห้ นิ ปูนปลาสเตอร์ สชี าร์โคล ภาพท่ี 8.11 ขจรพล เชิญขวัญศรี “3 กล่องรับบริจาค” แม่พิมพโ์ ลหะ 75 x 138 ซม. ศิลปนิ ถา่ ยทอดผลงานตามประสบการณ์ทีไ่ ดพ้ บเห็นตามสภาพแวดลอ้ ม เปน็ การน�ำ เสนอแงม่ ุมของสงั คม วิถีชีวิตของคนในสังคมท่ีต้องต่อสู้เพ่ือเอาชีวิตรอดและการอยู่ร่วมกับสังคมได้เป็นการแสดงออกของแง่มุมที่น่า สนใจ (ภาพท่ี 8.11) 4. ทฤษฎีการแสดงออก (Expression Theory) เ ป็นทฤษฎีท่ีต้องแสดงออกถึงอารมณ์ภายในของมนุษย์ออกมาให้ปรากฏในผลงานทัศนศิลป์ประกอบ ด้วย อารมณ์ ความรสู้ กึ จินตนาการ อยูใ่ นการแสดงออกของศิลปิน ดงั ทนี่ กั ปราชญช์ าวอิตาเลียน เบเนเดโต้ โคล เซ (Binedeto Croce) อธบิ ายถงึ การเหน็ แจ้ง (Intution) ศิลปะคอื การหยัง่ รู้ แต่อธบิ ายเหตุผลไม่ได้เปน็ การสรา้ ง ประสบการณ์ ท่แี ปลกใหม่ขนึ้ มาและนักปราชญ์ อาร์ จี คอลลง่ิ วดู (R.G. Collingwood) อธบิ ายถึงงานสร้างสรรค์ แบ่งเปน็ 2 ประเภท 154

บทที่ 8 : ทฤษฎีการรบั รทู้ างทัศนศลิ ป์ 1. Craft คือ งานฝีมอื ไม่มคี วามรสู้ ึกในการแสดงออก 2 .ArtProperคอื ผลงานจะแสดงออกทางความรู้สึกได้และนักปราชญ์ลีโอตอลสตอย ( LeoTolstoy)กล่าว ว่า การแสดงออกระหว่างคนสง่ และคนรับตอ้ งเปน็ ภาษาเดียวกัน ศิลปนิ ท่สี รา้ งงานต้องแสดงอารมณ์ภายในของ มนษุ ยอ์ อกมา ความซับซ้อนธรรมชาตอิ อกมาโดยการปรงุ แต่งหรือจดั สรรให้เกดิ ข้นึ ตามเจตจ�ำ นงของศิลปนิ ซง่ึ ถือ วา่ การแสดงออกของอารมณเ์ ปน็ สง่ิ ส�ำ คญั ในการสรา้ งงานและเปน็ วตั ถปุ ระสงคป์ ระการแรกของศลิ ปนิ การถา่ ยทอด คอ่ ยตามมาเพอ่ื ใหค้ นดู ไดเ้ ห็นถงึ เจตนาแนวคดิ ของศลิ ปิน เชน่ ความรู้สกึ เศรา้ ยอ่ มแสดงออกมาในลักษณะของการ เดนิ เชอื่ งช้า และพูดเสียงอ่อยๆ เปน็ ต้น ซงึ่ การแสดงออกดา้ นอารมณ์ความร้สู ึก จินตนาการจะสามารถสรุปได้ก็ต่อ เม่ือปรากฏออกมาเป็นรปู ทรงเกิดเอกภาพท้ัง 2 อยา่ งรวมกนั ไ อแวน อัลไบรท์ สร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมออกมาคลา้ ยซากศพ หรอื ความเจ็บปวดของชายแกท่ ่ีกำ�ลัง เผชญิ ชะตากรรม ซึ่งเปน็ ทม่ี าจากศลิ ปนิ ไปรบั ราชการในกองทัพบกสหรัฐ ระหว่างสงครามโลกครั้งท่ี 1 ถกู ส่งให้ ไปวาดภาพบนั ทึกรอ่ งรอยการบาดเจบ็ สญู เสียของการสรู้ บ และวาดภาพคนเจบ็ ปวดในโรงพยาบาล การศัลยกรรม ท�ำ ใหศ้ ลิ ปินได้รับประสบการณโ์ ดยตรงกับความเจบ็ ปวดความตาย จึงเปน็ แรงบันดาลใจท�ำ ใหก้ ารสรา้ งผลงานของ เขาเป็นความรู้สึกภายในที่ถ่ายทอดในการแสดงออกมาเป็นผลงานของชายชราที่มีใบหน้าอมทุกข์ผิวหยาบขรุขระ ภายใตเ้ ส้ือที่ทำ�จากขนสัตวเ์ ก่าแก่คร่ำ�ครา่ ถือว่าเป็นการแสดงออกด้วยอารมณข์ องภาพและส่วนตวั ได้สัมพนั ธ์กัน เปน็ การแสดงออกของสมอง ซ่ึงท้ังสองอย่างทค่ี อยชว่ ยเหลอื กนั คือ ตาจะตอ้ งมองเพง่ ไปยังสิง่ ท่ีเหน็ เพ่ือสำ�รวจสิ่ง นัน้ สมองต้องน�ำ มาพจิ ารณาอย่างมเี หตุผลและน�ำ ความช�ำ นาญทางศิลปะของศิลปินออกมาซึง่ เปน็ ความหมายของ การแสดงออกมาในงานศิลปะของศลิ ปิน ปรากฏออกมาในผลงานให้มพี ลังอำ�นาจทัง้ สอง ของตาและสมองทร่ี วมกนั น้ี ไมเ่ ฉพาะแต่การนำ�ไปส่กู ารเขา้ ถึงธรรมชาติของสงิ่ นนั้ เท่าน้ัน หากยงั ต้องดึงเอาความจริงอันซ่อนเร้นในความรู้สึก ออกมาปรากฏในภาพผลงานอีกด้วยให้เกิดการประสานกันของทักษะและเน้ือหาความรู้สึกภายในแสดงออกมา ตามเจตนาของศิลปนิ (ภาพที่ 8.12) ภาพท่ี 8.12 ไอแวน อัลไบรท์ (Ivan Albright) ค.ศ. 1897-1983 (Fleeting time Thou has Left me old) สนี ำ�้มนั บนผ้าใบ 30 x 20 น้วิ 155

การวิเคราะห์ทัศนศิลป์ (Visual Arts Analysis) ภาพท่ี 8.13 ธนสาร พัฒนสทุ ธิชลกุล “Square in Space” แม่พิมพต์ ะแกรงไหม 135 x 178 ซม. ศลิ ปนิ สรา้ งสรรคผ์ ลงานภาพพมิ พ์ดว้ ยการแสดงออกทผี่ ดิ แปลกไปจากความเปน็ จรงิ แสดงถงึ เนอ้ื หาสาระ ทอ่ี ยใู่ นสภาพแวดลอ้ มรอบตวั ตามหว้ งเวลาตา่ งๆ ท ไี่ มส่ ามารถมองเหน็ ไดใ้ นเชงิ กายภาพและความเปน็ จรงิ เกดิ จนิ ตนา การทน่ี �ำ เสนอสาระทม่ี กี ารเปลย่ี นแปลงเคลอ่ื นไหวในสภาพแวดลอ้ มเปน็ สง่ิ ทแ่ี ฝงเรน้ อยภู่ ายในศลิ ปนิ และสง่ิ แวดลอ้ ม เกดิ การประสานกนั ของเสน้ สี รูปทรง เน้ือหาภายในแสดงออกมาตามจนิ ตนาการของศิลปิน (ภาพท่ี 8.13) ภาพที่ 8.14 สหเทพ เทพบุรี “High Sprit” เทคนิคบรอนซ์ ส หเทพ เทพบุรี สรา้ งสรรคผ์ ลงานแสดงออกลกั ษณะความอดุ มสมบูรณ์ ปริมาตร มวล ทีอ่ ิ่มเอิบ โดยลดตัด ทอนจากรูปทรงของความเปน็ จรงิ ใหเ้ ปน็ รปู ทรง พืน้ ผวิ ปริมาตร รายละเอียดที่เรยี บงา่ ย มชี วี ติ ชีวา มีความสุขใน การโลดแลน่ อยา่ งม่ันใจ ซึง่ ผลงานแฝงนัยให้ผ้ชู มไดจ้ นิ ตนาการร่วมไปกบั แนวคดิ ของศิลปิน (ภาพท่ี 8.14) 5. ทฤษฎกี ารหนี (Escape Theory) เปน็ การรบั ไม่ได้ในโลกจรงิ แลว้ หนีไปสรา้ งโลกแห่งความฝัน จติ แพทย์ชาวยิวอยู่ในเวยี นนา ซกิ มนั ด์ ฟรอย ด์ (Sigmund Freud) อธบิ ายศิลปะ คือ การทจี่ ะทำ�ใหส้ ิง่ ที่อยากสนองตอบในโลกจรงิ ไม่ได้ ตอ้ งหนไี ปในโลกแห่ง ความฝนั คนทุกคนตอ้ งมีความปรารถนา (Wish) หรือ ต้องเตมิ ให้เต็มใหส้ มหวงั (Ful Full) เติมเตม็ เกดิ ผลงานของ ซลั วาดอร์ ดาลี ทมี่ ีรปู ทรงน่าเกลยี ดน่ากลวั ส่งิ ท่ีเจ็บปวด แสดงออกมาในผลงานจติ รกรรมจากความคดิ ของซกิ มนั ด์ ฟรอยด์ จะมี 2 ประเภท คอื คนช่างฝนั (Day Dreamer) กับศิลปินเป็นผนู้ �ำ เอาฝันนั้นๆ ไปสรา้ งสรรคผ์ ลงาน 156

บทที่ 8 : ทฤษฎีการรบั รทู้ างทศั นศิลป์ E go คอื จิตสำ�นึกหรอื Conscious แต่ Superego เป็นตวั สกดั กั้น ถ้ามากเกนิ ไปเป็นโรคจติ ศ ลิ ปะระหวา่ งสงครามโลกครัง้ ที่ 1 ลัทธดิ าดา เห็นดว้ ยกบั ทฤษฎีของซิกมนั ด์ ฟรอยด์แตด่ าดาเปน็ ลัทธิไร้ เหตุผล ทำ�ให้เซอเรียลลิสมเ์ กดิ ขนึ้ มาซ่งึ มที ี่มาจากแนวความคดิ ทฤษฎีท่ีใชใ้ นการสรา้ งงานของกลุ่มศลิ ปินแนวนี้ แผนภมู ทิ ฤษฎีการหนี ซ ลั วาดอร์ ดาลี สร้างสรรค์ผลงานจิตกรรม จากที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสงครามกลางเมอื งสเปนที่เกิดขนึ้ ในปี ค.ศ. 1936 ศลิ ปนิ สรา้ งงานท่เี ต็มไปดว้ ยความเจบ็ ปวดรนุ แรงแสดงออกมาในลกั ษณะของศิลปะเซอเรียลลิสม์ คือ การระงบั จติ ส�ำ นึก ปลดปล่อยจิตใตส้ ำ�นึกออกมาในระดับตา่ งๆ กัน รูปแบบของงานมักจะมีลักษณะแบบนาม ธรรม ดาลถี อื วา่ เปน็ จติ รกรคนส�ำ คัญในลัทธิเซอเรียลลิสม์ โดยเขาใชเ้ ทคนิคทเ่ี รยี กวา่ “ทฤษฎอี นั ฉับพลนั ของความ เขา้ ใจอันไร้เหตุผล (Paranoiac Critical Activity)” ผลงานจิตรกรรมของเขาที่สร้างจะมีระบบการใช้พลังของความ คิดฝนั ตามใจชอบและประสบการณส์ ่วนตวั ผสมเขา้ กบั การเนน้ เรอื่ งรปู ทรงที่มีทรวดทรงประหลาด มีการบดิ เบีย้ ว หยด หยาดเยิ้ม หนีไปจากความเปน็ จริงในโลก เป็นความคดิ ฝนั ส่วนตวั จากจิตใต้ส�ำ นึก ถา่ ยทอดผลงาน แต่เขายัง ใชว้ ธิ กี ารวาดภาพตามแบบโบราณหรอื วาดแบบปกติ เชน่ การไลน่ ำ�ห้ นกั แสงเงาตามความถูกต้องของระยะสี แสง เงา บรรยากาศตามช่างโบราณ แต่เพม่ิ เติมเน้อื หาการแสดงออกโดยรวมท่ีหนไี ปจากความเปน็ จรงิ ในโลกปัจจุบนั (ภาพที่ 8.15) ภาพที่ 8.15 ซัลวาดอร์ ดาลี (Salvador Dali) ค.ศ. 1936 “โครงสรา้ งออ่ นน่มุ ของถ่ัวตม้ ” (Soft Construction with Boiled Beam) สนี ำ�ม้ ันบนผ้าใบ 39 x 38 นว้ิ 157

การวิเคราะหท์ ัศนศลิ ป์ (Visual Arts Analysis) ภาพที่ 8.16 มารค์ ชากาล (Mark Chagall) ค.ศ. 1889-1985 “ภาพเหมอื นตัวเองมี 7 นวิ้ ” (Self-Portrait with seven) สนี �ำ ม้ นั บนผ้าใบ 13 x 39 นิ้ว ม ารค์ ชากาล เปน็ ศิลปนิ ทสี่ รา้ งงานทห่ี ยบิ ยมื วิธีการแบบเหมือนจรงิ ตามธรรมชาติแล้วนำ�มาผสมผสานกับ เร่ืองความฝันซงึ่ ชากาลเปน็ คนทมี่ ีความคิดฝนั อยูแ่ ลว้ เขาชอบสร้างงานจากนทิ านชวนฝนั ทีง่ ดงามของท้องถ่นิ โดยมี การแสดงออกอยา่ งพสิ ดาร นับวา่ มกี ารแสดงออกของส่วนตัวเดน่ ชดั มาก และเปน็ ตัวอย่างอนั ดขี องกลมุ่ เซอเรยี ลลิ สม์ ซง่ึ รูปร่างเต็มไปดว้ ยอารมณ์ จนิ ตนาการของความฝัน เป็นการเปลีย่ นแปลงความจริงของสรรพสิ่งตา่ งๆ ในโลก แสดงออกของความฝันด้วยเรือ่ งราวท่ถี ูกสรา้ งขึน้ จะมคี วามเป็นเอกลกั ษณ์ของศลิ ปินในกลุ่มน้ี แตม่ ีจดุ ม่งุ หมายท่ี วา่ จะไม่เชือ่ และชอบท�ำ ลายโลกแหง่ ความจริงที่ตามองเหน็ ในปจั จบุ นั (ภาพท่ี 8.16) ศ ิลปินสร้างสรรค์ผลงานประติมากรรมผสมผสานกบั จิตรกรรมที่แสดงออกดว้ ยรปู ทรง เนื้อหา การจดั วาง ภาพสัดส่วน ทไ่ี มม่ ีในโลกจริง หนไี ปสรา้ งโลกแหง่ ความฝนั ถ้าแยกรายละเอยี ดของรปู ทรงส่วนประกอบโดยรวม ของภาพจะมคี วามเป็นจริง แตเ่ มือ่ นำ�มารวมกันท้ังหมดจะไมม่ จี ริงในโลก เปน็ โลกแหง่ ความฝัน ทศี่ ิลปินมีเจตนาท่ี จะสร้างผลงานให้มีความแปลกใหม่นา่ สนใจในกระบวนการคิด และน�ำ เสนอผลงาน (ภาพที่ 8.17) ผ ลงานภาพพมิ พ์จะมกี ารใชท้ ฤษฎีการหนีถ่ายทอดผลงานออกมาในลกั ษณะ 2 มติ ิ คลา้ ยกันกบั ผลงาน จติ รกรรม จะมคี วามแตกต่างกันท่ขี บวนการสรา้ งงาน (ภาพท่ี 8.18) ภาพท่ี 8.17 แดง บวั แสน “ความปรารถนาแห่งฉันและความทรงจำ�ทีจ่ ากไป” สอ่ื ผสม 122 x 183 x 95 ซม. 158

บทท่ี 8 : ทฤษฎกี ารรับรู้ทางทัศนศิลป์ ภาพท่ี 8.18 ทสั นะ กอ้ นดี “Human 2002 No.1” แม่พมิ พโ์ ลหะ 120 x 80 ซม. 6. ทฤษฎกี ารสร้างรูปทรงที่สือ่ ความรู้สกึ (Formalist Theory) เ ป็นทฤษฎีท่ีให้ความสวยงามของศิลปะเกิดจากรูปทรงอย่างเดียวเท่าน้ันและการที่เราสนใจในศิลปวัตถุก็ เพราะมันมรี ปู ทรงสวยงามนั่นเอง ถือวา่ รูปทรงเทา่ นน้ั ที่เป็นสง่ิ ทสี่ �ำ คัญในเรือ่ งคุณค่าทางสนุ ทรียะ (สเุ ชาวน์ พลอย ชมุ ,2545:63) แตจ่ ะตอ้ งมีความสัมพนั ธก์ ลมกลนื กนั อย่างมเี อกภาพ ดังนน้ั ทฤษฎขี องการสรา้ งรปู ทรงท่ีสอ่ื ความ รสู้ ึก จงึ เชื่อว่า ส่งิ ทจ่ี ติ รกรตอ้ งการให้พจิ ารณาตัดสนิ ในภาพเขยี นของเขานั้นคอื สแี ละการใช้สอี ยา่ งสนิทแนบเนียน หรอื ไม่ เทา่ นั้น ดวู า่ เหมือนอะไรหรอื ไมเ่ หมือนอะไร หรือมที ่มี าอย่างไร และเพื่อให้เกดิ อะไรโดยศลิ ปินเป็นผู้เลือก รปู ทรงเหล่านน้ั มาสร้างงานเพื่อใหเ้ กิดความนา่ สนใจกบั ผู้ดูให้มาสนใจรูปน้นั ๆ ซ่ึงจะตอ้ งพอเหมาะลงตวั ระหวา่ ง ผู้สร้างงานกับผู้ดูเพ่ือจะได้เกิดความรู้สึกประทับใจและความรู้สึกในความงามของรูปทรงในวัตถุนั้นได้อย่างเต็มท่ี ซึง่ ในผลงานจะต้องเกดิ จากรปู ทรง (Form) และการเขา้ ใจความหมาย (Content) ของผลงานร่วมกนั ภาพท่ี 8.19 พอล เซซานน์ (Paul Cezanne) ค.ศ. 1898-1905“กล่มุ คนเล่นน�ำ ้” (The Great Bathers) สนี ำ�้มนั บนผ้าใบ 159

การวิเคราะหท์ ศั นศลิ ป์ (Visual Arts Analysis) ก ารสรา้ งรปู ทรงท่สี อ่ื ความรูส้ ึก(Formalist)ผลงานจติ รกรรมของเซซานน์เปน็ ความงามท่เี กดิ ข้นึ จากรูป ทรงที่ถกู ตัดทอนจากรูปทรงธรรมชาติเหมือนจริงใหเ้ ปน็ รปู ทรงกรวย ทรงกระบอก เปน็ ความพยายามในการสรา้ ง รปู ทรงขึ้นใหมท่ �ำ ใหด้ งู ่ายข้ึนซ่ึงละท้ิงรายละเอยี ดเพอ่ื ให้เกดิ อารมณ์ความรูส้ กึ ของภาพโดยรวมโดยจะเพง่ มองในสงิ่ ทีส่ �ำ คัญ คอื ความส�ำ คัญของรปู ทรง แต่ยงั คงไว้ซง่ึ พ้ืนผวิ ของภาพให้กลมกลนื กนั ทั่วภาพ เพื่อกระตุ้นใหค้ นดรู ู้สึกตาม ผลงานการลดตดั ทอนรปู ทรงทว่ั ทง้ั ภาพ ทำ�ใหเ้ กดิ เอกภาพ (Unity) ความเป็นอนั หน่ึงอันเดียวกัน เน้นความสำ�คัญ ของรปู ทรงภายนอกและปริมาตรของรูปทรงในการแสดงออกของการสร้างสรรคผ์ ลงาน (ภาพที่ 8.19) ก ารสร้างรูปทรงทสี่ อ่ื ความรสู้ ึก (Formalist) ผลงานประตมิ ากรรมของเรยม์ อนด์ ดัช เป็นความงดงาม ของรปู ทรงทเี่ กดิ ข้นึ จากพื้นผิว มวล ปรมิ าตร ท่สี วยงาม เกดิ จากการสร้างรูปทรงใหม่ของศลิ ปนิ ให้ดเู รยี บง่าย ลด ตดั ทอนรูปทรงโดยการละท้งิ รายละเอยี ด เพอ่ื ใหผ้ ลงานเกิดผลทางความรู้สึกท่ดี ูคลอ่ งตัว สมยั ใหม่ การสร้างผลงาน โดยการเน้นรูปทรงโดยรวมของผลงานเปน็ ส่ิงสำ�คญั เปน็ การประสานความกลมกลนื กันของรปู ทรงโดยรวม ใหเ้ กิด ความเป็นเอกภาพของรปู ทรง ทมี่ ีจงั หวะลีลาสวยงาม (ภาพท่ี 8.20) ภาพท่ี 8.20 เรยม์ อนด์ ดชั (Raymond Duch) ค.ศ. 1914-1915 “ทา่ นงั่ ผู้หญิงเต็มตวั ” (Seated Female Pigure) โลหะ Glides 73 x 22 x 29 ซม. ภาพที่ 8.21 เขยี น ยิ้มสริ ิ “ขลยุ่ ทิพย์” เทคนิคบรอนซ์ 160

บทท่ี 8 : ทฤษฎีการรับร้ทู างทศั นศลิ ป์ เ ขยี น ย้มิ สิริ การสรา้ งรูปทรงทส่ี ่ือความรู้สกึ (Formalist) ดว้ ยการลดตดั ทอนรูปทรงจากความเป็นจริงให้ เหลอื รปู ทรงทดี่ เู รียบง่าย จดั องค์ประกอบท่าทางของรปู ทรง ทแ่ี สดงออกเกิดความสวยงามของปรมิ าตร มวลของ รูปทรงเปน็ ส�ำ คัญ ผสมกบั อุดมคติความงามทศี่ ลิ ปนิ ต้องการถา่ ยทอดออกมา เปน็ ผลงานการสรา้ งสรรค์ทส่ี มบูรณ์ (ภาพที่ 8.21) ทนิ กร กาษรสวุ รรณ การสรา้ งรปู ทรงท่สี อื่ ความรสู้ กึ ด้วยการลดตัดทอนรูปทรงตา่ งๆ เชน่ คน ทีอ่ ยู่อาศยั ธรรมชาติ ส่งิ แวดล้อมต่างๆ ที่เป็นจริงตามธรรมชาตใิ ห้เกิดรปู ทรงท่ดี เู รยี บง่าย เปน็ รปู ทรงตามความรู้สกึ ทม่ี อี ดุ มคติ ไมซ่ บั ซอ้ นซึ่งสอดคล้องกบั วถิ ีชีวติ ของคนในชนบทท่มี ีวถิ ชี วี ติ พ่ึงพาอาศยั ซึง่ กนั และกนั อบอนุ่ เรียบง่าย การจดั วาง รปู ทรง ใหม้ ีความรสู้ ึกเพลิดเพลนิ มีความสขุ ตามแนวความคดิ ของศิลปนิ (ภาพที่ 8.22) ภาพที่ 8.22 ทนิ กร กาษรสุวรรณ “ครอบครวั ใหญ”่ Intaglio, 113 x 130 ซม. ภาพที่ 8.23 พอล เซซานน์ (Paul Cezanne) ค.ศ. 1895-1900 “หุน่ นง่ิ กับถว้ ยแอบเป้ิลและสม้ ” (Still Life with Apples and Orange) สีน�ำ ้มนั บนผ้าใบ 161

การวิเคราะห์ทัศนศลิ ป์ (Visual Arts Analysis) ว ิเคราะหก์ ารใช้ทฤษฎีการรบั รูใ้ นการสร้างผลงานจิตรกรรม ผ ลงานจิตรกรรมของพอล เซซานน์ เป็นภาพเขียนรูปทรงวิเคราะห์ ศลิ ปนิ จะวเิ คราะห์รูปรา่ งต่างๆ ท่ี เขาเห็นโดยการตดั ทอนรูปรา่ งรปู ทรงเหล่าน้ันใหเ้ ปน็ โครงสรา้ งมลู ฐานของรปู ทรงกลม รูปทรงลูกบาศก์และรูปทรง กระบอก แสดงออกดว้ ยรูปทรงที่ดูเรียบง่าย เป็นโครงสร้างเชงิ เรขาคณติ ท่สี มดุลอยา่ งสมบูรณแ์ บบ ดงั นนั้ จะท�ำ ให้ เขาสามารถเขียนภาพไปอย่างชา้ ๆ ด้วยการแตม้ สีทีละนอ้ ยๆ เริม่ จากสีกลางแลว้ คอ่ ยๆ เพิ่มสใี หส้ ดใส มกี �ำ ลังแขง็ แรงของสเี พ่ิมข้ึนเรือ่ ยๆ นับได้ว่าเขาเป็นนักใช้สีท่ียอดเยี่ยมคนหนึ่งเลยทีเดยี ว ขณะที่เขาเขียนภาพหุน่ น่งิ เซซานน์ จะใชเ้ วลาเป็นชงั่ โมงๆ กบั การจดั รอยยบั รอยจีบของผ้าและผลไม้ เพ่ือทำ�ให้เกิดองค์ประกอบทีส่ มบรู ณ์แบบน่ันเอง บางทเี ขาอาจจะมชี อ่ื เสยี งมากทีส่ ดุ จากการเขยี นภาพหุ่นนงิ่ ของเขาที่มีแอบเปลิ้ จัดวางอยหู่ ลายลกู ก็ได้ ซ่ึงเซซานน์ พยายามที่จะน�ำ เอาสาระสำ�คัญ (Essential Elements) จากโลกแห่งสามมติ ิมาประกอบกันข้นึ ใหมบ่ นผนื ผา้ ใบแบบ เรยี บ เป็นการก�ำ หนดโครงสรา้ งจากธรรมชาติ และแทนค่าของอากาศทมี่ ีอย่จู รงิ และสมั พนั ธก์ ับวตั ถุธาตตุ า่ งๆ โดย ไมท่ ำ�ลายความเปน็ จริงท่ีแบนเรยี บของผนื ผ้าใบ เซซานน์ได้ค้นพบวธิ กี ารทำ�งานของเขา ซง่ึ เรียกวา่ การใช้การสร้าง สรรคผ์ ลงาน (Flal Depth) นบั ว่าเปน็ สิ่งนา่ อศั จรรยใ์ จอย่างหนงึ่ ในงานศิลปะ นอกจากน้ยี งั มีเทคนคิ กรรมวิธีท่นี ่า สนใจในผลงานดงั ตอ่ ไปนี้ - การระบายสีเปน็ แถบซอ้ นทับกนั เพือ่ ให้สหี น่ึงดูเดน่ ขึ้นมาจากอกี สีหนึ่ง - การเลือกวาดภาพวัตถุตา่ งๆ จากหลาย ๆ มมุ ในเวลาเดียวกัน - การท�ำ ให้วตั ถุดลู อยขึ้นมาบนผวิ หนา้ ของผนื ผา้ ใบ - การกำ�หนดตำ�แหน่งหนา้ หลัง โดยใชส้ ีวรรณะร้อน (Warm color) และวรรณะเยน็ (cool color) - การใชส้ เี ปน็ ตวั สร้างรูปทรงใหก้ ับวัตถุ แทนทจ่ี ะใช้แสงและเงาตามวิธีการแบบกอิ าโรสคูโร จิตรกรรมของเซซานน์ ใหค้ วามส�ำ คัญในการจดั การโครงสร้างของผลงานกอ่ นสิ่งอน่ื การวเิ คราะหร์ ูปทรง จึงเปน็ สิง่ ทต่ี ามมา สง่ิ ทีเ่ หน็ ไดช้ ัดและเด่นออกมาในงานของเซซานน์ คอื การใชฝ้ แี ปรงซำ�้ๆ กันเปน็ กลมุ่ และการ รวมตัวของฝแี ปรงแต่ละกลุ่มกค็ ่อนข้างเหมือนหรือคลา้ ยกนั เชน่ มสี ี มีทิศทาง มคี วามชดั เจนใกลเ้ คยี งกนั จนกว่า จะไปเจอกับส่วนที่เขาต้องการให้ดูแตกต่างจะมีวิธีการใช้แถบสีหรือเส้นที่แสดงขอบเขตของส่ิงนั้นมาปะทะให้เห็น ความแตกตา่ ง และส่งิ เหล่าน้ีไดถ้ ูกใชเ้ พ่ือการกำ�หนดระนาบ (Plane) ต่างๆ ที่รวมกันแลว้ ท�ำ ใหเ้ กดิ ความม่ันคง หนกั แนน่ ของรปู ทรง วธิ กี ารเสริมมติ ิ (modeling) เช่นนแี้ สดงให้เห็นถึงความคดิ สร้างสรรคอ์ ันเฉยี บแหลมของเซซานน์ ในการนำ�กรรมวิธขี องอิมเพรสช่ันนิสม์มาใชใ้ นการสรา้ งสรรคผ์ ลงาน ภาพท่ี 8.24 พอล เซซานน์ (Paul Cezanne) ค.ศ. 1539-1906 “ทิวทศั น”์ (Mont Sainte-Victoire) สีนำ�ม้ นั บนผ้าใบ 162

บทท่ี 8 : ทฤษฎกี ารรับรทู้ างทัศนศลิ ป์ ว ิเคราะหผ์ ลงานจติ รกรรมของเซซานน์ “ทวิ ทัศน์” (Mont Sainte-Victoria) จ ินตนาการ (Image) เป็นการมุ่งม่นั เพอ่ื บรรลุถึงรูปทรงอนั บรสิ ทุ ธิ์ในแบบนามธรรม ไมใ่ ชเ่ ป็นแบบส่ิงต่าง ๆ อันปรากฏอยู่ในธรรมชาติเท่าท่ีตามองเหน็ เท่านน้ั ร ปู ทรง (Form)เป็นการลดตดั ทอนจากรปู ทรงจากธรรมชาติให้เปน็ ทรงกระบอกทรงกลมเป็นรูปทรงกรวย เป็นรปู ทรงทก่ี ล่นั มาจากธรรมชาติ ให้เหลือบรรยากาศของสีแทนโดยใช้มอดวิ เลชัน (Modulation) ซ่ึงหมายถึง การ ปรับการเปล่ยี นแปลงใหเ้ หมาะสมและเรยี ลิเซชนั (Realization) หมายถึง การส�ำ นกึ ในการท�ำ ใหเ้ ปน็ จริงข้ึนมา เ นื้อหา (Object) เปน็ การแสดงใหเ้ หน็ อุดมคติและทรรศนะต่อการมองโลกและธรรมชาติ ขณะทเ่ี ขาระบาย สีกไ็ ดว้ าดมนั ดว้ ย การประสานสัมพนั ธ์ของสมี มี ากเท่าไหร่ ความกลมกลืนกม็ ีมากเท่าน้นั ยิ่งสสี ดใสภาพนน้ั กด็ เู ดน่ มากเทา่ น้ัน สิ่งท่ีส�ำ คญั ในการวาดภาพของเซซานน์ คอื ตา และสมองต้องคอยชว่ ยเหลือซึง่ กันและกนั ภ าพลวงตา (Illusion) บ รรยากาศของภาพเปน็ บรรยากาศของการใชส้ ีซง่ึ ระนาบสที �ำ ใหเ้ กดิ ระยะใกลก้ ลาง ไกล ในภาพผลงาน ทำ�ให้เกดิ มิตินูนออกมาจากผืนผา้ ใบ ก ารใช้สีในการสร้างมติ ิ เป็นผทู้ ี่ได้ช่อื วา่ เป็นศลิ ปินทศ่ี ึกษาการสรา้ งมิติของสอี ยา่ งจรงิ จงั ในการเขยี นหนุ่ นงิ่ เขาได้แนะนำ�ให้ใช้สแี ท้ (Hue) ของวตั ถจุ ากแนวคดิ เขา ท�ำ ใหก้ ารพัฒนาในงานจติ รกรรมไดพ้ ฒั นาถึงปัจจบุ ัน ท ฤษฎที ี่ใช้ในผลงานจติ รกรรมของเซซานน์ ก ารเลยี นแบบ เปน็ การเลยี นแบบธรรมชาตจิ ากเรอ่ื งราวต่างๆ ทีเ่ กิดข้นึ ตามธรรมชาติ เช่น ภเู ขา ต้นไม้ หนุ่ นง่ิ แต่นำ�มาลดตดั ทอนใหเ้ ปน็ รปู ทรงกลมรปู กรวยรูปเหล่ยี มโดยแทนค่าด้วยระนาบของสใี หม้ มี ิตติ ื้นลกึ ดงั คำ�กล่าว ของอรสิ โตเตลิ ถอื วา่ มนุษยเ์ ปน็ นักเลยี นแบบโดยสญั ชาตญาณ จะปรากฏออกมาในศิลปวัตถุ มนษุ ย์เราน้นั ชอบท�ำ ส่ิงท่ยี าก มนุษย์จงึ มคี วามพอใจกบั ความพยายามลอกเลยี นแบบธรรมชาติ ก ารแสดงออก เป็นการแสดงออกด้วยตาและสมอง ซ่ึงทั้งสองอย่างตอ้ งคอยชว่ ยเหลอื กนั คือ ตาจะตอ้ ง เพง่ ไปยังสิ่งทีเ่ ห็นเพ่อื ส�ำ รวจส่งิ น้นั สมองตอ้ งนำ�มาพจิ ารณาอยา่ งมเี หตุผล และนำ�ความช�ำ นาญทางศิลปะของ ศิลปินออกมา ซึ่งเป็นความหมายของการแสดงออกมาในงาน พลังอำ�นาจทง้ั ของตาและสมองทีร่ ว่ มกันน้ี ไม่เฉพาะ แต่การน�ำ ไปสู่การเขา้ ถงึ ธรรมชาติเท่านั้น หากยงั ต้องดึงเอาความจรงิ อนั ซ่อนเร้นออกมาปรากฏในภาพผลงานด้วย การรบั รู้ของสีสัน มติ ิ ทรวดทรง การลดตัดทอนท่ีแสดงออก เราสามารถบอกไดว้ ่าเปน็ อะไรบา้ งตามศิลปนิ แสดงออก มาน้ัน เปน็ สิง่ ที่ดงึ ดูดความสนใจใหผ้ ู้ดูได้รับรูส้ ิ่งที่ปารกฏในผลงาน ซ่งึ จะแสดงบรรยากาศของสีที่เป็นระนาบ มีการ ใชส้ ีแทใ้ ห้เกิดมิตติ ื้นลกึ แสดงให้เหน็ ตวั วตั ถุตา่ งๆ ทีน่ ำ�เสนอ ทำ�ให้เกดิ พลงั จงู ใจและอเนกสัมพนั ธ ์ ก ารสร้างรปู ทรงท่สี ื่อความรู้สึก (Formalist) ความงามศิลปะเกดิ ขึ้นจากรปู ทรงท่ีถกู ตดั ทอนจากรูปทรง เหมอื นจริง ตามธรรมชาติ ให้เป็นรปู ทรงกรวย ทรงกระบอก เปน็ ความพยายามในการสร้างรูปทรงข้นึ มาใหม่ ท�ำ ให้ ดูง่ายซ่ึงละทิง้ รายละเอียด เพง่ เล็งในสง่ิ ทสี่ �ำ คญั คือ ความส�ำ คัญของรูปทรง แต่ยังคงไว้ซึ่งการจดั วางตามแบบ ธรรมชาติ รวมท้ังการจัดองค์ประกอบของภาพ แต่เพ่ิมลกั ษณะของพ้ืนผวิ ในรูปทรงภาพทุกภาพ แทนท่จี ะบอกให้ ผดู้ รู บั ร้วู ่าเป็นภาพอะไร อยทู่ ีไ่ หน กลบั คล้ายกระตนุ้ ผดู้ รู บั รวู้ า่ รสู้ ึกอย่างไร กับผลงานประดุจดงั เรามีความรสู้ ึกตาม เสยี งดนตรีมากกว่าจะมีความเขา้ ใจ เหมอื นดูรปู ถา่ ย จากการลดตัดรปู ทรงทัว่ ท้ังภาพ ทำ�ใหเ้ กิดเอกภาพ (Unity) มี ความเปน็ อันหน่งึ อันเดยี วกัน เนน้ ความสำ�คญั ของรปู ทรงภายนอกและปรมิ าตรของรปู ทรง ส ่วนท่ีอิงความเหมอื นจรงิ เนื้อหาทนี่ ำ�มาเสนอหรอื แสดงออกจะมีการจดั องคป์ ระกอบและจากที่ธรรมชาติ มปี รากฏใหเ้ ห็นอยูแ่ ล้ว คอื ใกล้กลางไกลลกึ ต้ืน จะองิ ความเปน็ จรงิ แตก่ ารจัดภาพจะค�ำ นึงถงึ โครงสร้างของกรอบ ส่ีเหลีย่ มของภาพ รวมทัง้ การคำ�นึงถงึ มิติภาพจะต้องมีความสัมพันธม์ เี อกภาพ กันอย่างดี สิ่งที่ส�ำ คญั ทส่ี ดุ คอื มกี าร แสดงออกที่เกีย่ วกับอารมณเ์ ฉพาะตน ศลิ ปินแตล่ ะคนจะพฒั นาเทคนิคสว่ นตัว ให้มีลักษณะพิเศษตามความชอบ ของตนอย่างแทจ้ รงิ 163

การวิเคราะหท์ ัศนศลิ ป์ (Visual Arts Analysis) ส ว่ นทเี่ ปน็ ประสบการณ ์จ ากประสบการณท์ เ่ี คยไดส้ รา้ งสรรคผ์ ลงานรปู แบบอมิ เพรสชนั่ นสิ มม์ าแลว้ ซง่ึ รจู้ กั วธิ กี ารน�ำ เสนอรหู้ ลกั การทส่ี �ำ คญั และจากความประทบั ใจธรรมชาติเหน็ ความงดงามของธรรมชาต ิก ารน�ำ เอาทฤษฎี แสงอาทติ ย์ การใชส้ สี ะอาด การแสดงออกอย่างฉับพลนั ไดน้ ำ�มาผสมผสานและพัฒนาให้ก้าวหนา้ ยิง่ ข้ึนกว่าเดิม ภาพที่ 8.25 เอด็ การ์ด เดอกาส์ (Edgard Dagas) ค.ศ. 1834-1917 “ฝกึ ซ้อมเต้นบัลเลย์” (The Ballet Rehearsal) เทคนิคสีชอล์ค ว เิ คราะห์ผลงานจิตรกรรมของเอ็ดการด์ เดอกาส์ “ฝกึ ซอ้ มเต้นบลั เลย”์ (The Ballet Rehearsal) เปน็ ผลงานท่แี สดงออกถงึ ชวี ิตในมมุ มองตา่ งๆ ท่ีเขาเฝ้าสงั เกตดูกิริยาอาการของหญิงในสมัยน้ัน เชน่ การ แต่งกายของผคู้ นในสถานเรงิ รมย์ ภาพทวิ ทศั น์ของเมอื ง และชวี ิตประจำ�วันของทกุ ชนชนั้ และได้ถ่ายทอดลักษณะ การวาดภาพสีชอลค์ (Pastel) ซึ่งเขามคี วามช�ำ นาญหาตวั จบั ยาก เขาจะบันทกึ การเคล่อื นไหวการเต้นระบ�ำ ที่มีการ เคลอ่ื นไหวอย่างฉบั พลันเป็นจุดเดน่ ของภาพ ตามสายตารบั รู้ ซงึ่ เขาถ่ายทอดเร่ืองราวได้เป็นอย่างดี แสดงออกของ เส้นที่มคี วามสมบรู ณ์ มีสสี ะอาดสดใส และพื้นผิวท่เี กดิ จากรอยสชี อล์คซง่ึ ปาดอย่างรวดเรว็ บังเกดิ บรรยากาศ และ อารมณข์ องภาพท่ีเคล่อื นไหวแบบไม่ปกติ ภาพผลงานจะมคี วามพิเศษ ทำ�ใหภ้ าพกลมกลนื ระหวา่ งรปู ทรงกับพน้ื ที่ มกี ารเคล่ือนไหวกลมกลืนกันทง้ั ภาพ จ ินตนาการ (Image) รูปทรงทเี่ กดิ ขน้ึ ในผลงานจิตรกรรมของเดอกาส์ มาจากการเฝ้าสงั เกตกริ ิยาและ พฤติกรรมของหญิงภายในสมยั นน้ั ด้วยการรับรอู้ ากัปกริ ยิ าตา่ งๆ มาสรา้ งงานดว้ ยเทคนคิ สชี อล์คแสดงออกอย่าง ฉับพลัน ดว้ ยการถ่ายทอดบรรยากาศ แสง สี ในอากาศ ไมเ่ น้นรายละเอยี ด เน้นอารมณ์ความรูส้ ึกสนกุ สนานและ การผันแปรของแสงสใี นชว่ งเวลานนั้ ๆ ร ปู ทรง (Form) รปู ทรงเป็นการลดตัดทอนรายละเอยี ดจากธรรมชาตแิ ละรูปทรงผู้หญิงผูช้ าย ให้เหลือ บรรยากาศของสีแทนและมีการเคลือ่ นไหวอย่างฉับพลัน เ น้ือหา (Object) เนือ้ หาเปน็ การบนั ทกึ เหตุการณช์ ว่ งระยะเวลาสั้นๆ จะเกิดขน้ึ คร้ังเดียว พอกลับมาดหู รอื วาดภาพน้นั อีกคร้ัง จะไม่เหมอื นเดมิ เปน็ การถา่ ยทอดรปู ร่าง รูปทรง การใช้สี ท่ีมีความกลมกลืน ผสมกบั การคน้ พบ สงิ่ ใหม่ในทฤษฎีสี การใช้สีและการมองธรรมชาติตามสายตาของพวกอิมเพรสชนั่ นิสมเ์ ปน็ การบนั ทึกภาพท่ีปรากฏ ตามทต่ี ามองเห็นและรับรไู้ ด้ซ่งึ มีการเคลอ่ื นไหวของนางระบ�ำ ถือวา่ เป็นผลงานจิตรกรรมทม่ี คี ุณค่ายอดเยี่ยม ภ าพลวงตา (Illusion) บรรยากาศของภาพเปน็ บรรยากาศของการใช้สีทีด่ เู คลื่อนไหวและจุดทน่ี ่าสนใจใน สว่ นของรปู ทรงของคนเตน้ ระบ�ำ มกี ารเคล่อื นไหวของบรรยากาศของสที ่ัวท้ังภาพ นำ�้หนกั ของสีดูนมุ่ นวลกลมกลืน บรรยากาศดา้ นหลังของภาพสเี ขม้ เพ่ือทำ�ให้ภาพเกดิ ระยะท่ีมมี ิติ ใกล้ กลาง ไกล และขนาดของรูปทรงท่ีมขี นาด 164

บทท่ี 8 : ทฤษฎกี ารรับร้ทู างทศั นศิลป์ ใหญ่ กลาง เลก็ ตามล�ำ ดับ ทำ�ใหภ้ าพเกดิ มิตแิ ละเกิดความเปน็ เอกภาพของผลงานจิตรกรรมและเกดิ พื้นผิวท่ีปาด ปา้ ยอยา่ งรวดเร็ว ท�ำ ใหเ้ กดิ การเคลอ่ื นไหวอยา่ งลงตัว ท ฤษฎที ใ่ี ช้ในผลงานจติ กรรม ท ฤษฎกี ารเลยี นแบบ เป็นการลอกเลยี นแบบธรรมชาติ เรอื่ งราวทเ่ี กดิ ข้ึนจรงิ ซง่ึ เขาได้ไปน่ังเฝ้ารบั รอู้ ากัป กริ ยิ าเหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ข้ึนจรงิ เชน่ นางระบำ� หรือชีวิตประจ�ำ วันของคนทกุ ชนชัน้ แล้วน�ำ มาวาดภาพดว้ ยสชี อล์คอยา่ ง ฉบั พลัน ถอื ว่ามนุษยเ์ ปน็ นกั เลียนแบบโดยสัญชาตญาณ จะปรากฏออกมาในศลิ ปวตั ถุ มนุษยเ์ รานั้นชอบทำ�สง่ิ ท่ี ยาก มนษุ ยจ์ งึ มคี วามพอใจกบั ความพยายามลอกเลยี นแบบธรรมชาติ ผลงานของเขาจึงมคี วามพิเศษกว่าคนอืน่ ท่ี ต้องมีความช�ำ นาญทางด้านทกั ษะการเขียนภาพคนเหมือน และเทคนิคการเขยี นสชี อลค์ ทหี่ าตัวจับยาก ท ฤษฎีการแสดงออก เป็นการแสดงออกของการรบั รทู้ างสายตาและสมอง ซึง่ ท้ังสองอย่างจะต้องสมั พันธ์ กนั ซึง่ ศลิ ปินใช้เวลาในการไปสงั เกตนง่ั เฝา้ อากัปกริ ิยาตา่ งๆ ของคน ทม่ี ที ่าทางการเคล่อื นไหวที่ต่างกัน สมองนำ�มา พิจารณาผสมผสานกันกบั ความชำ�นาญในทักษะการเขียนภาพและเทคนิคการวาดสชี อลค์ แสดงออกมาเปน็ ผลงาน จติ รกรรม ด้วยการปาดปา้ ยอย่างฉับพลันเปน็ ลักษณะของรูปแบบอมิ เพรสชั่นนิสม์ ท ฤษฎรี ูปทรงทแี่ สดงออกทางความรสู้ กึ ความสวยงามของรปู ทรงในผลงานจติ รกรรมของเดอกาส์ เป็นรูป ทรงทถ่ี กู ตดั ทอนมาจากรปู ทรงตามธรรมชาติเกดิ เอกภาพทค่ี วามสมั พนั ธก์ ลมกลนื ดว้ ยขนาดทแี่ ตกตา่ งกนั ท�ำ ใหเ้ กดิ ความงามและมีความเป็นอันหนง่ึ อันเดยี วกัน กลมุ่ ของรปู ทรงท่ีมีการทับซอ้ น บงั กนั และขนาดใหญ่ กลาง เล็ก มีการ เคลอ่ื นไหวทเี่ ปน็ จงั หวะเลอ่ื นไหลตอ่ เนอ่ื งทง้ั ภาพโดยเปน็ รปู ทรงของนางระบ�ำ คนสอนเตน้ และผชู้ มทม่ี กี ารเชอ่ื มโยง สัมพนั ธก์ นั ท้ังภาพดว้ ยลายเสน้ และจังหวะของการปาดปา้ ยสชี อลก์ ทีส่ วยงาม ฉบั พลนั สดใส ค วามสัมพันธ์ของรปู ทรงท่ีเกิดขึน้ มีความสมั พนั ธก์ ับพืน้ ท่ี มีพ้นื ผิวทำ�ใหภ้ าพเกิดการเคลื่อนไหว กลมกลืน ท้งั น�ำ ้หนกั สี และรปู ทรง ท�ำ ใหเ้ กิดความนา่ สนใจ และมีความหมายตามศิลปินตอ้ งการ และได้ลดรายละเอยี ดของรูป ทรงคนและสง่ิ กอ่ สร้าง เน้นแสงสใี นอากาศใหไ้ ด้สภาพกาลเวลา บรรยากาศ ใกล้เคยี งกับเหตุการณ์จริงให้มากที่สุด เพราะตอ้ งการถา่ ยทอดอย่างรวดเร็ว ส ่วนทีอ่ งิ ความเปน็ จริงต้องออกไปวาดจากสถานที่จรงิ โดยตรงยึดหลกั ทฤษฎสี อี ยา่ งเครง่ ครดั เคารพสีแสง ท่ีปรากฏตอ่ หน้าเนน้ ธรรมชาติเปน็ ส�ำ คัญ แสดงเจตนารมณ์อย่างชัดเจน แสดงความเป็นจริงตามธรรมชาติทีต่ าเห็น แสดงออกโดยวธิ กี ารระบายสอี ย่างฉบั พลนั ปล่อยใหเ้ หน็ รอยทีการปาดป้ายของสชี อลค์ ดังค�ำ กล่าวของโมเนต์ “มนั เปน็ ภาพทีเ่ กดิ ขึน้ อยา่ งปจั จุบนั ทันดว่ นมากกวา่ ทม่ี าใคร่ครวญคดิ เหน็ ” ซง่ึ ผลงานจติ รกรรมของเดอกาสถ์ ือว่าเป็นผู้ นำ�ทางลทั ธิอมิ เพรสช่นั นิสมอ์ กี คนหน่งึ ท่มี ีฝีมอื ยอดเย่ียม ก ารสร้างสรรค์ผลงานจติ รกรรมของเซซานน์และเดอกาส์เป็นศลิ ปินทสี่ ร้างงานในลัทธิอมิ เพรสชน่ั นิสม์ จะมี พนื้ ฐานมาจากลทั ธโิ รแมนตกิ คอื แนวเหมอื นจรงิ จะเหน็ ไดจ้ ากโครงสรา้ งผลงานจติ รกรรมของคอนสเตเบลิ และเทอรเ์ นอร์ เป็นผเู้ ขยี นภาพ เนน้ อารมณค์ วามรู้สึก แสดงใหเ้ หน็ อ�ำ นาจและความยิง่ ใหญข่ องธรรมชาติ ต่อมาไดร้ ับการพฒั นา ผลงานจิตรกรรมเปน็ ลัทธิอิมเพรสชั่นนสิ ม์ โดยมาเนต์ เดอกาส์ เรอนัวร์จะมีการถ่ายทอดบรรยากาศแสงสอี ย่างฉบั พลนั ณ ชว่ งเวลานนั้ ๆ ด้วยการปลอ่ ยใหเ้ ห็นรอยท่ีแปรง เคารพแสงสที ่ปี รากฏตอ่ หน้า แตเ่ รื่องราวไม่เปน็ จุดส�ำ คัญ จะแสดงเนือ้ หาอะไรกไ็ ด้ โดยเฉพาะผลงานจิตรกรรมของโมเนต์จะเด่นในดา้ นภาพทิวทศั น์ ปาดป้ายพู่กนั อยา่ ง รนุ แรงจะไม่เน้นรายละเอยี ดของภาพ ให้ความสำ�คัญกบั คู่สปี ฏิปกั ษ์ เน้นสสี ดป้ายอย่างสนกุ สนาน สร้างอารมณ์ ผันแปรดว้ ยแสงสใี นเวลาท่ตี ่างกนั จะมคี วามโดดเด่นการใชร้ ูปทรง รปู รา่ งการใช้สี มาจากธรรมชาติทเี่ ห็นและรับ รู้เหตกุ ารณท์ เ่ี กิดขน้ึ และถกู วาดขึน้ ในชว่ งเวลาส้นั ๆ จะเกิดครัง้ เดียวพอกลบั มาดอู กี ทจี ะไม่เหมอื นเดมิ จะใหค้ วาม รู้สกึ ถึงความฉับพลนั ท�ำ ให้เกดิ ความงามท่นี า่ สนใจ 165

การวิเคราะหท์ ัศนศลิ ป์ (Visual Arts Analysis) ส ว่ นท่อี ิงความเป็นจริง ต้องออกไปวาดภาพจากสถานทีจ่ ริง โดยยึดหลกั ทฤษฎสี อี ยา่ งเคร่งครดั เคารพ แสงสที ี่ปรากฏตอ่ หนา้ ถือธรรมชาติเปน็ สำ�คญั แสดงเจตนารมณอ์ ยา่ งชัดเจน แสดงความเปน็ จริงตามธรรมชาตทิ ี่ตา มองเหน็ สว่ นท่ีเปน็ ทฤษฎีรูปทรงที่แสดงออกทางความรู้สึก (Formalist) ลดรายละเอียดของรปู ทรง จะเน้นแสงสี อากาศในสภาพกาลเวลา บรรยากาศใกล้เคียงธรรมชาตมิ ากท่สี ุด เพราะแสงสีจะเปลยี่ นไปตลอดเวลาจะมคี วามนา่ สนใจ ส รปุ ไดด้ ังน้กี ารสร้างสรรค์ของ 2 ศิลปนิ เปน็ จุดเริ่มตน้ ของศิลปะสมยั ใหม่ คอื ศลิ ปนิ ทส่ี รา้ งงานในผลงาน จติ รกรรมกลมุ่ นเ้ี ปน็ ชว่ งสดุ ทา้ ยของการเปล่ยี นแปลงครง้ั ส�ำ คัญของศลิ ปกรรม ลักษณะการสรา้ งสรรคผ์ ลงานของ กลมุ่ นี้มรี ูปแบบกึง่ นามธรรม จะสร้างผลงานใหด้ งู ่ายด้วยการละทง้ิ รายละเอียดตา่ งๆ ใหค้ วามส�ำ คญั ของรปู ทรง (ท้ัง รูปทรงภายนอกและปริมาตรของรปู ทรง) สีจะมีคุณค่าในตัวของมนั เอง ศิลปนิ แต่ละคนมีแนวคิดที่สอดคลอ้ งกัน คือ ค้นหาและเนน้ ความสำ�คญั ของรูปทรง ในแต่ละคนเนน้ การแสดงออกทีเ่ กยี่ วกบั อารมณ์เฉพาะตัวของศลิ ปนิ แต่ละ คนจะพฒั นาเทคนคิ ใหม้ ลี กั ษณะพเิ ศษตามความชอบของตนเองแตย่ ดึ หลกั การและไดผ้ า่ นการท�ำ งานตามขบวนการ ของรูปแบบกง่ึ นามธรรมมาแลว้ แลว้ นำ�มาผสมผสานพฒั นาใหก้ ้าวหนา้ ขน้ึ กวา่ เดิมพัฒนาถงึ รปู แบบนามธรรม จะ เหน็ ชัดเจนจากผลงานจิตรกรรมของเซซานน์ คือ การใช้ฝีแปรงซ�ำ ๆ้ เป็นกล่มุ และการรวมตัวกนั ของฝแี ปรง แต่ละ กลุ่มคอ่ นข้างจะเหมือนกัน เช่น มีการใชส้ ใี นทิศทางความชดั เจนใกลเ้ คยี งกัน ใชเ้ ส้นและแถบสแี สดงขอบเขตของสิง่ นัน้ ท่ีมาบรรจบกัน โดยใชเ้ ป็นระนาบ (Plane) เมอ่ื รวมกันทำ�ใหเ้ กดิ ความมั่นคงหนกั แนน่ ของรูปทรง ซึง่ เป็นวธิ ีการ สรา้ งสรรคผ์ ลงานจติ รกรรมอนั เฉียบแหลม ภาพที่ 8.26 ฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon) ค.ศ. 1909-1992 “ภาพเหมอื นของโป้ป อนิ โนเซนต์ เอกซ”์ (Portrait of Pope innocent x) สนี �ำ ้มนั บนผ้าใบ ภาพท่ี 8.27 พณสิทธ ิ์ อเุ ทนพันธ ์ ค.ศ. 2009 “ทะเล” สีนำ�ม้ ันบนผ้าใบ 80 x 100 ซม. 166

บทที่ 8 : ทฤษฎกี ารรบั รูท้ างทศั นศลิ ป์ ภาพที่ 8.28 แมกซ์ เอริ ์นสท์ (Max Ernst) ค.ศ. 1940-1942 “ยโุ รปหลังฝน” (Europe after the Rain) สีนำ�้มันบนผ้าใบ 21 x 58 นิว้ ภาพที่ 8.29 สมพร ธุรี “ความอดุ มสมบูรณ์” สอี ะคริลคิ 90 x 150 ซม. ภาพท่ี 8.30 จอรเ์ จยี โอคฟี (Georgia O’Keeffe) ค.ศ. 1928 “ดอกป็อปปีแ้ หง่ บรู พา” (Oriental Poppies) สีน�ำ ้มันบนผา้ ใบ 76 x 102 ซม. 167

การวิเคราะห์ทัศนศิลป์ (Visual Arts Analysis) ภาพที่ 8.31 ฟาบรซิ โิ อ เคลอรซิ ี (Fabrizio Clerici) ค.ศ. 1913-1993 “ด�ำ รงอยู”่ (The Presences) สนี �ำ ้มันบนไม้ 120 x 120 ซม. ภาพท่ี 8.32 จาง เสย่ี ว กัง (Zhang Xiao gang) ค.ศ. 1958 “ภาพครอบครัวใหญ่ หมายเลย 1” (Big Family Picture No.1) สีน�ำ ม้ ันบนผา้ ใบ 200 x 300 ซม. 168

บทที่ 9 : การวเิ คราะหท์ ศั นศิลป์ การวเิ คราะห์ทัศนศลิ ป์ ก ารวเิ คราะหท์ ศั นศิลป์ หมายถงึ การพจิ ารณาแยกแยะศึกษาองค์รวมของงานทศั นศลิ ปอ์ อกเปน็ สว่ นๆ ที่ละประเด็น ในด้านทัศนธาตุ องค์ประกอบเน้อื หาสาระ ทฤษฎกี ารรบั รู้ ท่มี คี วามสมั พันธ์กนั ในดา้ นเทคนิค กรรมวิธี การแสดงออก เพ่อื น�ำ ข้อมูลเหล่าน้ี มาอธบิ าย ตีความ มาประเมนิ ผลงานทศั นศลิ ป์วา่ ผลงานเหลา่ นน้ั มคี ณุ คา่ ทาง ด้านความงาม ด้านเน้ือหาสาระ และอารมณ์ความรูส้ กึ อย่างไร ก ารวจิ ารณ์งานทศั นศลิ ป์ หมายถงึ การแสดงออกทางด้านความคดิ เหน็ ต่อผลงานทศั นศิลป์ ท่ีศลิ ปินสร้าง สรรคข์ นึ้ โดยการวจิ ารณจ์ ะใหค้ วามคดิ เหน็ ตามหลกั การศลิ ปะเชน่ ความงามดา้ นหลกั การจดั องคป์ ระกอบเนอื้ หาสาระ ประเภทของทัศนศลิ ป์ เทคนคิ กรรมวิธที ี่ตา่ งกนั เพอ่ื นำ�การติชม แง่คดิ ทถ่ี ูกประเมินตดั สินจากนกั วิจารณ์ ครูอาจารย์ นกั วิชาการ ไปปรบั ปรุงผลงานผลงานทัศนศลิ ป์ วเิ คราะห์ คดิ เปรียบเทียบให้เหน็ คุณค่าของผลงานเหล่าน้นั ก ารวิเคราะหก์ บั การวิจารณ์ มคี วามหมายใกลเ้ คยี งกนั ถือวา่ เปน็ สว่ นหนึง่ ของกนั และกนั บางคร้งั อาจ เรียกรวมกันวา่ การวิเคราะห์วิจารณ์ ซ่งึ เปน็ ขบวนการเกี่ยวกับการตัดสินเชิงคณุ ภาพของผลงาน และการสรา้ งสรรค์ ผลงานทัศนศลิ ป์ จะแสดงออกในการแสดงความคดิ เห็น ต่อผลงานทัศนศิลป์อย่างมีหลักการ โดยการใช้หลกั องค์ ประกอบเป็นฐาน เพือ่ ค้นหาคณุ คา่ ทางสนุ ทรียะในผลงานทัศนศิลปน์ น้ั ๆ ประโยชนข์ องการวิเคราะหว์ จิ ารณ์ 1. ท�ำ ให้เขา้ ใจแนวคิดและวธิ ีการสรา้ งสรรคผ์ ลงานทัศนศิลป์ 2. สามารถเขา้ ใจหลักเกณฑแ์ ละทฤษฎตี า่ งๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ผลงานทัศนศลิ ป์ 3. สามารถวจิ ารณ์ผลงานทัศนศลิ ป์ไดอ้ ยา่ งมเี หตุผลนา่ เชอื่ ถือ 4. สามารถน�ำ ขอ้ มลู ในการวเิ คราะหว์ จิ ารณไ์ ปพฒั นาผลงานการสรา้ งสรรคข์ องตนเองและเปน็ แนวทาง ในการพฒั นาผลงาน 5. ท�ำ ให้ผ้ดู แู ละศลิ ปนิ และนักวิเคราะหว์ จิ ารณเ์ ห็นคณุ คา่ ของผลงานแต่ละชิ้นงาน และเกิดการเคลือ่ น ไหวพัฒนาตอ่ วงการศิลปะในอนาคต ค วามรเู้ กยี่ วกบั การวิเคราะหท์ ัศนศิลป์ - ความรู้เก่ียวกบั องคป์ ระกอบศิลปะ - ความรูเ้ กี่ยวกบั ประวตั ศิ าสตรศ์ ิลปะ - ความรู้เกย่ี วกับสนุ ทรียะ (ความงาม) - ความเคลื่อนไหวของศิลปะในปจั จบุ ัน - ความรู้เกีย่ วกบั ทางดา้ นสงั คมและส่งิ แวดล้อม ความรูเ้ หล่านีส้ ามารถนำ�ไปใช้กบั การวิเคราะห์วิจารณแ์ ยกแยะทัศนศลิ ป์ เพื่อเปน็ การอธิบายและช้แี จงให้ เหน็ ถงึ ข้อดี ขอ้ บกพรอ่ งของผลงานทัศนศลิ ป์ และการวิเคราะหว์ ิจารณท์ ศั นศิลป์ ท่ีทำ�โดยปราศจากอคติ จะท�ำ ให้ เกดิ การมองผลงานการสรา้ งสรรค์ทีเ่ ปน็ กลาง จะเปน็ ประโยชนต์ ่อการพัฒนาทางดา้ นทศั นศลิ ป์ในระดบั สากล ซึง่ บทวิเคราะหว์ จิ ารณ์จะกลายเปน็ เครือ่ งชีแ้ นะถงึ ประเด็นส�ำ คัญ และจะเป็นประโยชน์ตอ่ ผทู้ สี่ นใจศลิ ปะ สำ�หรับตัว ศิลปินผ้สู รา้ งงานได้ตรวจสอบ พจิ ารณาพฒั นาการของการสรา้ งสรรค์ด้านทศั นศลิ ป์ 169

การวเิ คราะห์ทศั นศลิ ป์ (Visual Arts Analysis) หลกั การวิเคราะหค์ ุณค่าทศั นศิลป์ คณุ ค่าทางทัศนศิลปป์ ระกอบดว้ ยส่วนท่เี ปน็ เหตุผลและส่วนทเ่ี ปน็ ความรู้สึกผลงานศิลปะทุกช้นิ จะมคี ุณคา่ ทางศลิ ปะแฝงอยดู่ ว้ ยกนั ทง้ั สนิ้ และคณุ คา่ นจ้ี ะสง่ ผลกระทบตอ่ ความคดิ และอารมณข์ องผชู้ มเสมอไมม่ ากกน็ อ้ ยการ ประเมินคณุ ค่าทางทศั นศลิ ป์จะตอ้ งเปน็ ไปเพื่อหาค�ำ ตอบว่า คุณค่าของผลงานทศั นศิลปช์ นิ้ น้นั ๆ คืออะไร การ วเิ คราะหค์ ุณคา่ สามารถจ�ำ แนกออกเป็น 3 หลักใหญ่ แบ่งตามลักษณะของผลงาน โดยที่แต่ละประเภทมจี ุดเด่นใน ตวั เอง ดงั นี้ 1 .การวิเคราะหร์ ะเบียบแบบแผน (Formalism) เป็นการวเิ คราะห์คุณคา่ ของผลงานทกี่ ารจัดภาพ หรือ การจดั รูปแบบ (Formal organization) คำ�วา่ การจดั รปู แบบในที่นี้ หมายถงึ การประสานสัมพันธก์ นั ของสว่ น ประกอบพื้นฐานต่างๆ ที่ปรากฏในผลงาน ไมเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั ชอ่ื เรยี กหรอื ความหมายใดๆ ทั้งสิ้น เช่น การออกแบบ อาคารทางสถาปัตยกรรม มคี ุณค่าอยูท่ ก่ี ารประสานกนั ในสว่ นรวมท้ังหมด ไม่ใชอ่ ยู่ท่ีการดแู ลว้ ไปเหมอื นกบั อะไร เปน็ ตน้ ศลิ ปนิ ท่ที �ำ งานอย่างมีแบบแผน จะคำ�นึงถงึ ความสมั พนั ธ์ของส่วนต่างๆ โดยตวั เองเปน็ ผูก้ ะเกณฑ์ คิด คำ�นวณ และวางแผนเองมากกว่าจะคำ�นึงถึงการรับรู้ของผู้ดู มอนเดรียนเป็นศลิ ปินแนวแบบแผนนิยมผู้หน่งึ ที่ พยายามลดตัดทอนส่ิงที่ตนเองรบั รมู้ าแลว้ น�ำ มาจดั วางเขา้ ด้วยกัน ดแู ล้วเรียบงา่ ยนา่ สนใจ โดยที่เราไมส่ ามารถรู้ถึง กระบวนการ และวธิ ีการสรา้ งรูปแบบท่ีแน่นอนได้เลย ความเป็นศิลปะแนวแบบแผนนิยม ไม่ได้ข้นึ อยู่กบั รปู แบบ เรขาคณิตหรอื นามธรรมเทา่ นั้น งานทมี่ ีรปู แบบตามธรรมชาตกิ ็สามารถเป็นศิลปะแนวนไ้ี ด้เช่นกนั การคน้ หาคณุ คา่ จากการวเิ คราะห์แนวทางน้ี จะเน้นสง่ิ ต่อไปน้ี - ความสมั พนั ธร์ ะหว่างความหมายและวัสดุ กับรปู แบบการจดั องคป์ ระกอบ - ความกลมกลนื กนั ของวัสดุ ท่แี สดงถึงความมีเอกภาพทางรปู แบบ - สนใจคณุ คา่ ทางสุนทรียภาพ ไม่สนใจคุณค่าทางสังคม ทางประวัตศิ าสตร์ ทางจิตวทิ ยา และทางการ ลอกเลยี นแบบ - การส่ือความหมายหรือสัญลกั ษณ์ตา่ งๆ ทสี่ ร้างความพงึ พอใจหรอื กระตุน้ ความรู้สกึ 2 .การวิเคราะหอ์ ารมณแ์ ละความรสู้ ึก (Expressionism) คุณคา่ ทางทัศนศิลปข์ องการวิเคราะหป์ ระเภทน้ี เนน้ ทค่ี วามคดิ และความรสู้ กึ ทเ่ี ขม้ แขง็ ชดั เจนแตกตา่ งจากคณุ คา่ ทางแบบแผนนยิ มโดยสน้ิ เชงิ การวเิ คราะหป์ ระเภท น้จี ะไม่สนใจเรื่องการจดั องค์ประกอบและยอมรบั วา่ ผลงานศลิ ปะของเด็กมคี ณุ คา่ ทางความรู้สกึ และอารมณ์เพราะ เด็กจะท�ำ งานจากแรงกระตนุ้ ภายใน ไมม่ ีการประดิดประดอย ปรบั ปรุงเสรมิ แต่งเหมอื นผใู้ หญ่ เด็กจะสนกุ สนาน กับการใช้สี การออกแบบ และการใชจ้ นิ ตนาการอย่างไมม่ ขี อบเขต ผลงานจึงมีลกั ษณะเรียบงา่ ย ดังน้ัน สำ�หรบั การ วเิ คราะหป์ ระเภทนี้แลว้ การแสดงออกจงึ น่าสนใจกว่าเทคนิควิธี และการจัดภาพ เกณฑก์ ำ�หนดคุณคา่ ของการวเิ คราะหค์ ุณคา่ ทางสนุ ทรียภาพประเภทนี้ สามารถสรปุ ได้ดังตอ่ ไปน้ี - ใชว้ สั ดุไดอ้ ย่างมีความรู้สึก และส่ือความหมายไดล้ ึกซงึ้ - ผลงานตอ้ งมลี กั ษณะเป็นต้นแบบ - ผลงานมคี วามเหมาะสมกบั สมยั นน้ั ๆ - ผลงานแสดงความคดิ ออกมาอย่างชดั เจนตามทีต่ อ้ งการสือ่ ความหมาย - เทคนคิ วธิ ีทใ่ี ชม้ คี วามสัมพนั ธก์ บั ความคดิ - เทคนคิ วิธคี อื เนื้อหาส่วนหนึง่ ทีแ่ สดงคณุ ค่าของความเป็นศลิ ปะ 170

บทท่ี 9 : การวเิ คราะหท์ ศั นศลิ ป์ การวเิ คราะห์ประเภทนี้จะพยายามค้นหาส่งิ ทีศ่ ิลปินต้องการบอกใหเ้ รารู้ เพราะเช่อื ว่าศลิ ปะเปน็ แหลง่ เปดิ เผยเรื่องราวของชีวติ ดว้ ยความสามารถพิเศษและจนิ ตนาการของเขาเองดงั น้ันสัจจะของชีวติ ท่ีปรากฏในงานศิลปะ แนวนี้ จึงถือได้วา่ เป็นเกณฑ์อย่างหนง่ึ อีกด้วย 3 .การวิเคราะห์ประโยชน์ (Instrumentalism) การวเิ คราะหค์ ณุ คา่ ทศั นศิลป์ประเภทน้ี ต้งั อยู่บนรากฐาน ความคดิ วา่ ศลิ ปะคือเครือ่ งมือทีม่ ีประโยชน์ในการช่วยส่งเสริมจรยิ ธรรม ศาสนา การเมอื ง และวตั ถปุ ระสงคต์ า่ งๆ ทางจิตวทิ ยา เปน็ คณุ คา่ อันเปน็ ผลสืบเนือ่ งที่ได้จากความคิดและความรูส้ ึก แสดงออกในผลงานศิลปะ กล่าวคอื มิได้ เน้นคณุ คา่ ทางความรสู้ กึ ตามหลกั การวเิ คราะหค์ วามรู้สึกแสดงออก ซ่ึงมเี กณฑ์อยูท่ คี่ วามมีชีวติ ชวี าความนา่ เช่อื ถือ และความเข้มขน้ ในการส่ือความหมายทีไ่ ดจ้ ากความคิดและความรู้สึกโดยตรง การวิเคราะห์ประเภทนตี้ อ้ งการให้ ศิลปะสนองประโยชน์อยา่ งอน่ื มากกว่าสนองตวั ของมันเอง เช่น การใชด้ นตรีประกอบภาพยนตร์ ผู้ฟงั ไมค่ วรสนใจ ท่ีตัวดนตรโี ดยตรง ดนตรีเปน็ เพียงสง่ิ ทเี่ สริมลีลาและการแสดงออกของภาพยนตร์ ชว่ ยทำ�ใหค้ วามหมายต่างๆ ของ ภาพยนตรเ์ ดน่ ชดั ขนึ้ และชว่ ยเนน้ จดุ ส�ำ คญั ของเนอื้ เรอ่ื งดงั นนั้ ศลิ ปะจงึ ตอ้ งมเี ปา้ หมายหรอื ชว่ ยสงั คมการเมอื งและ จริยธรรมเหมือนกับท่ีดนตรีช่วยเสริมการแสดงออกของภาพยนตร์ในประวัติศาสตร์ศิลปะมีตัวอย่างการวิเคราะห์ ประเภทน้ี เกดิ ขึน้ ในวงการวิจารณ์อยไู่ มน่ ้อย เนือ่ งจากในอดตี ศลิ ปะจะม่งุ สนองความตอ้ งการของสถาบันและ ชนชั้นสูงในสงั คม เชน่ พระ ศาสนา ขนุ นาง คหบดี ราชวงศ์ รัฐ ผู้เผดจ็ การ และคนช้ันสงู ตา่ งๆ แตใ่ นปัจจุบนั ศิลปะ จะสนองตัวของมันเองไม่เกี่ยวข้องกบั ชนชั้นทางสังคมหรอื สถาบันใดอยา่ งเฉพาะเจาะจง และมพี ิพิธภัณฑ์ มหาวทิ ยาลัยและกองทุนต่างๆ คอยชว่ ยเหลอื ดแู ลศิลปิน ตลอดจนวงการศิลปะใหด้ �ำ เนินไปโดยอิสระ อย่างไรก็ตาม ในปจั จุบนั กย็ งั ปรากฏว่ามนี กั วิจารณท์ พี่ ยายามวิเคราะหค์ ุณค่าของศลิ ปะด้วยแนวความคดิ นอี้ ยู่ เกณฑก์ ารวเิ คราะหค์ ณุ คา่ ประเภทนี้จงึ ขน้ึ อยกู่ บั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการจดั องคป์ ระกอบและจดุ ประสงคข์ อง การทำ�งาน ศลิ ปนิ จะประสบความสำ�เร็จเพียงใดให้วเิ คราะหท์ จี่ ดุ ประสงคข์ องการทำ�งาน เกณฑก์ ารประเมนิ คณุ คา่ ทศั นศลิ ปข์ องการวเิ คราะหแ์ ตล่ ะประเภท มคี วามแตกตา่ งกนั และการวเิ คราะหแ์ ต่ ละประเภทกเ็ หมาะสมกบั ผลงานแตล่ ะแบบอยา่ งแตกตา่ งกนั ออกไปเชน่ กนั ไมม่ กี ารวเิ คราะหป์ ระเภทใดใชป้ ระเมนิ ผลงานศลิ ปะได้ทุกชน้ิ การที่มีคนกล่าวว่า “งานชนิ้ น้ันงานช้ินนไ้ี ม่เป็นศลิ ปะกเ็ พราะเขาไม่มีทฤษฎกี ารวิเคราะห์นนั่ เอง” ท ฤษฎีศิลปะวเิ คราะห์ ของเอด็ มนั ด์ เบิร์ก เฟลดแ์ มน (Edmund Burke Feldman) 1972 เ ฟลด์แมน แถลงว่า ทฤษฎีของเขามงุ่ ทีจ่ ะสร้างหลกั การในการตคี วามและประเมินผลงานศลิ ปะ จดุ มงุ่ หมายหลักของทฤษฎนี ี้ คือ ความเข้าใจ (Understanding) และความชื่นชม (delight) ในศลิ ปะ เฟลดแ์ มนอธบิ ายถงึ ความหมายของค�ำ วา่ ความเขา้ ใจวา่ บคุ คลทไี่ ดร้ บั การฝกึ ฝนใหม้ คี วามเขา้ ใจตอ่ งานศลิ ปะ จะสามารถ“อา่ นขอ้ มลู ”ตา่ งๆทางศลิ ปะออกและขอ้ มลู ตา่ งๆเหลา่ นเี้ ปน็ สง่ิ ทจ่ี ะน�ำ ไปสกู่ ารวเิ คราะหแ์ ละตดั สนิ งาน ศิลปะ เขากล่าวว่า ข้อมูลในทน่ี ี้เป็นข้อมลู ดา้ นคณุ ภาพของผลงานศิลปะ มิใชข่ ้อมูลทางประวตั ิศาสตรห์ รือโบราณคดี ไมเ่ กย่ี วข้องใดๆ กบั ความเก่าแก่ หรอื ความมคี า่ เชิงโบราณวตั ถุ ผูว้ เิ คราะหจ์ ะต้องหาทางท�ำ ความเขา้ ใจและเข้าถึง เหตผุ ลของผลงานทศั นศลิ ป์ชิ้นนั้นๆ ใหอ้ ะไรแก่ตนเอง ส่วนความช่ืนชมนัน้ เฟลดแ์ มนอธบิ ายวา่ เม่อื บคุ คลบงั เกิด ความเข้าใจในงานศิลปะช้ินน้นั ๆ ย่อมจะบังเกิด ความพึงพอใจ ชื่นชมในผลงานชน้ิ น้นั ตามมาด้วย เฟลด์แมน แบ่งขั้นตอนการวิเคราะหผ์ ลงานศิลปะเปน็ 4 ข้ัน คอื ขัน้ ที่ 1 การบรรยาย (Description) ข้นั ท่ี 2 การวิเคราะห์โครงสร้าง (Formal analysis) ขนั้ ท่ี 3 การตคี วาม (Interpretation) ขั้นที่ 4 การประเมนิ หรอื ตัดสนิ (Evaluation or Judgment) 171

การวเิ คราะห์ทศั นศิลป์ (Visual Arts Analysis) เฟลด์แมนออกตวั ว่า ขนั้ ตอนน้อี าจจะดูซำ�ซ้ ้อนกนั บา้ ง แต่เขาคดิ วา่ แต่ละหนว่ ยมีหนา้ ท่เี ฉพาะแตกต่างกนั ผวู้ ิเคราะห์งานศิลปะจะต้องปฏบิ ัติแตกต่างกนั ไปในแตล่ ะขนั้ ตอน ขัน้ ตอนทั้ง 4 จะต้องปฏิบัติเรียงกันไปตามล�ำ ดับ จากงา่ ยไปหายากตามทีร่ ะบอุ ยู่ในทฤษฎี ข้ันตอนที่ 1 การบรรยาย ผู้วิเคราะหง์ านศลิ ปะจะสำ�รวจดูสิง่ ต่างๆ ทีป่ รากฏแกส่ ายตาผดู้ ใู นทนั ทีทันใด ได้แก่ เส้น สี รปู ร่าง รูปทรง พ้ืนผิว แสง เงา และวเิ คราะห์ถงึ เทคนิควิธีการทผี่ ้ดู คู ดิ วา่ เป็นวิธกี ารหรอื เทคนคิ ท่ีใช้ใน การสร้างงานศลิ ปะช้นิ น้ัน ขั้นตอนที่ 2 การวเิ คราะหโ์ ครงสรา้ ง ผู้วิเคราะห์จะอธบิ ายการเชือ่ มโยงความสัมพนั ธใ์ นสง่ิ ทีผ่ วู้ ิเคราะหไ์ ด้ ส�ำ รวจไว้ในขนั้ แรก ได้แกค่ ณุ ภาพของเส้น สี รูปรา่ ง รปู ทรง และอืน่ ๆ เพ่ือใหเ้ กิดการรับรถู้ ึงองค์ประกอบทางศิลปะ ของผลงานน้นั ซ่งึ จะเปน็ “ขอ้ มูล” ใหก้ ับการตคี วามและตดั สนิ ผลงานตอ่ ไป ข้ันตอนที่ 3 การตคี วาม ผู้วิเคราะหจ์ ะกลา่ วหรือแถลงถึงความหมายของผลงานศลิ ปะที่มตี อ่ ตนเอง ความ หมายของศลิ ปะในท่นี ี้หมายถงึ ความหมายของศิลปะทม่ี ีต่อชีวติ ความเปน็ อยู่ของมนุษย์ โดยทั่วๆ ไป ในขัน้ ตอนนีผ้ ู้ วเิ คราะหอ์ าจหาข้อสันนิษฐานทเ่ี กี่ยวกบั ความคดิ หรอื หลกั การทสี่ ามารถช่วยยืนยันว่าทำ�ไมผลงานศิลปะน้ันมผี ล ตอ่ ความคิดเห็นของตนเชน่ นนั้ ข ้นั ตอนท่ี 4 การประเมินหรอื ตดั สินงานศลิ ปะ เปน็ ข้นั ตอนที่จำ�เป็นต้องมกี ารสบื สวน ตรวจสอบถงึ เจตนา และผลทเ่ี กดิ ของงานศลิ ปะชน้ิ นน้ั โดยการเปรยี บเทยี บกบั งานศลิ ปะชน้ิ อน่ื ทค่ี ลา้ ยคลงึ กนั พจิ ารณาวา่ มนั เหมอื นหรอื ตา่ งกบั งานศลิ ปะช้นิ อืน่ ในยุคสมัยเดยี วกนั เชน่ ไร เฟลด์แมนเนน้ วา่ การทีจ่ ะตดั สินงานทัศนศลิ ป์อย่างมีสนุ ทรียภาพ นั้นจะตอ้ งมีเหตุมีผลและใชห้ ลกั เกณฑ์อย่างมคี ณุ ธรรม เพราะการตดั สินน้นั เป็นปฏิบัติการท่ีสูงส่ง เฟลด์แมนระบุว่าทฤษฎีของเขาเป็นระบบของกระบวนการสร้างความเข้าใจในศิลปะให้แก่บุคคลที่ วเิ คราะห์งานศิลปะชิน้ นนั้ ความเขา้ ใจนี้เองจะน�ำ ไปสกู่ ารชน่ื ชมความซาบซ้ึงหรอื เห็นคุณคา่ ของงานศลิ ปะนัน้ เฟลดแ์ มนยอมรบั นบั ถอื การวิเคราะหใ์ นลกั ษณะท่เี รยี กว่า ไรม้ ายา (Naive) คอื วิเคราะหง์ านทศั นศิลป์ จาก ความคดิ เหน็ ความรูส้ กึ ทผ่ี วู้ ิเคราะหม์ ตี อ่ ผลงานนน้ั ตรงๆ อย่างจริงใจ โดยมิต้องค�ำ นึงถึงคณุ คา่ ทางประวตั ศิ าสตร์ ความเก่าแก่ของผลงาน ผู้สรา้ งงานคือใคร หรอื คำ�นึงถงึ หลกั เกณฑ์ทางศิลปะตา่ งๆ ดงั น้นั ไม่จ�ำ เปน็ ตอ้ งมคี วามรู้ก็ สามารถวิเคราะห์ได้ คือ วเิ คราะหไ์ ปตามความคิดเหน็ ขน้ั ตอนของการวิเคราะห์ผลงานศิลปะ 4 ข้ันตอน คอื ในขน้ั แรกนนั้ ผู้วเิ คราะห์จะแจกแจงหรอื บรรยายถึง ส่วนประกอบต่างๆ ในงานศลิ ปะชิน้ นัน้ วา่ เขาเห็นสิ่งใดบา้ ง เช่น เขาเห็นเสน้ ลักษณะใด สใี ด หรือรปู รา่ งแบบใด รปู ทรงใด ต่อจากนน้ั ขั้นที่สองจงึ วเิ คราะห์โครงสร้างของผลงานทศั นศิลป์ชิ้นน้นั การทบ่ี คุ คลจะพจิ ารณาเหน็ โครง สรา้ งของส่งิ หน่งึ สิง่ ใด บุคคลนน้ั จะตอ้ งสามารถผกู โยงส่วนประกอบยอ่ ยต่างๆ เข้าดว้ ยกัน เช่น รปู กลมท่มี สี ีเหลอื ง สด เป็นการระบสุ ่วนประกอบยอ่ ย 2 หนว่ ย คอื รูปทรง และสีเขา้ ด้วยกนั หรอื “รปู ทรงของกล่องสฟี ้าซ่งึ ดูวา่ อยู่ ขา้ งหนา้ ของสามเหลี่ยมทีด่ ขู รุขระ” ในกรณีนบ้ี ุคคลท่ีตคี วาม ระบุความสมั พันธ์ของสว่ นประกอบย่อย สี รปู รา่ งรปู ทรงพืน้ ผวิ และทิศทางเขา้ ดว้ ยกนั ในข้ันที่ 3 นน้ั ผูว้ เิ คราะห์จะเรมิ่ มองหาความหมายของข้อสนั นษิ ฐาน หรือต้งั ขอ้ สมมติฐานหรือออกความเห็นถงึ ความคิดเหน็ ความรสู้ ึกท่ีผลงานทศั นศิลปช์ ้ินนนั้ ให้แกต่ นซ่งึ อาจเป็นสมมติฐาน หรอื ความเหน็ มากกว่าหนง่ึ แง่ก็ได้ เพราะส่ิงต่างๆ น้ันเปล่ยี นแปลงพัฒนาแตกตา่ งออกไปอย่เู สมอ คณุ คา่ ของส่งิ ต่างๆ มมี าตรฐานต่างกันไปตามวนั เวลา และสภาวะของส่งิ แวดลอ้ มในขัน้ สดุ ท้าย เป็นขน้ั การตัดสินประเมินผล ซง่ึ เปน็ การกระท�ำ ที่ต้องอาศัยความรอบคอบระมัดระวงั ตอ้ งคำ�นงึ ถงึ สง่ิ ต่าง หลายแงม่ ุม ส�ำ หรับเฟลด์แมนแลว้ เขา คดิ ว่าคุณคา่ ของศลิ ปะจะตอ้ งแสดงใหเ้ หน็ วา่ ปัญหาท่ีสำ�คญั ก็คอื การท่ผี ลงานทศั นศิลปน์ ้ันสามารถสอื่ ความหมาย หรือใหค้ วามหมาย (ในเชิงศลิ ปะ) แกม่ นุษยส์ อดคลอ้ งกับทุกสง่ิ เก่ยี วกับมนษุ ย์ในช่วงเวลาหน่งึ ๆ ความแปลกใหม่ 172

บทที่ 9 : การวิเคราะห์ทัศนศลิ ป์ สะดดุ ตาในผลงานศิลปะ เปน็ คณุ สมบตั ิทเ่ี ยย่ี มยอดก็ตอ่ เม่อื มนั สามารถส่อื ความหมายกบั มนุษยไ์ ด้ลกึ ซ้งึ คอื การ สร้างความแปลกใหมส่ ะดุดตาในผลงานของศลิ ปนิ ก็จะไม่มีคณุ ค่า ถ้ามันไมส่ อื่ ความหมายกบั มนุษย์ ทีเ่ หน็ ผลงาน น้นั ๆ ขน้ั ตอนการวเิ คราะหผ์ ลงานทัศนศลิ ป์ 1 .ขัน้ ตอนการบรรยายผลงาน (Description) - หาจุดเดน่ หรอื รายละเอียดในผลงานโดยส�ำ รวจดูส่งิ ตา่ งๆ ที่ปรากฏแก่สายตา ไดแ้ ก่ เส้น สี รูปทรง ฯลฯ - พจิ ารณาดา้ นความช�ำ นาญ ฝมี ือ พัฒนาการ ความต่อเนื่องและเทคนิค กลวิธี หลกั ในการสร้างสรรค์ ผลงาน - ท�ำ ความเข้าใจในคณุ ค่าของภาพรวมโดยสรุป 2 .ขน้ั ตอนการวิเคราะห์โครงสร้างผลงาน (Formal analysis) - พจิ ารณาความสมั พนั ธข์ องสงิ่ ตา่ งๆ ท่ีมีในผลงาน ได้แก่ คุณภาพของทัศนธาตุ -วเิ คราะห์เพอ่ื บอกใหร้ ้วู า่ ภาพเหลา่ น้ันมีหลกั การจัดองคป์ ระกอบหรอื พน้ื ที่ตำ�แหนง่ ต่างๆอย่างไรอาจ จะมีตารางวิเคราะห์แสดงคา่ ความสัมพนั ธเ์ พือ่ ให้เกดิ การวเิ คราะหท์ ีม่ ีความน่าเช่อื ถอื - วิเคราะห์เพอ่ื หาความสมั พันธ์ของรูปแบบกบั ทฤษฎีการรับรทู้ ่ีใช้ในการสร้างสรรค์ผลงานทศั นศลิ ป์ 3 .ขนั้ ตอนการตีความผลงาน (Interpretation) - ตีความถึงความหมายผลงานทัศนศลิ ป์ จากผลงานการวเิ คราะห์ทเี่ ป็นระบบ - เป็นการตีความจากแนวความคดิ อารมณ์ ความรู้สึกท่ีปรากฏในผลงานทัศนศลิ ปท์ ่มี ีผลต่อชวี ิตความ เปน็ อยขู่ องมนษุ ย์ - ผลจากการตคี วามน�ำ ไปสู่การประเมนิ คุณค่าของผลงานศิลปะท่ีน่าเชื่อถือมากขึ้น 4 .ข้นั ตอนการประเมนิ หรือตัดสินผลงาน (Judgment) เป็นการประเมินคุณค่าทศั นศลิ ป์โดยเปรียบเทียบกับงานช้ินอ่ืนๆวา่ มคี ุณค่าสุนทรยี ศาสตร์มากนอ้ ยกวา่ กนั เพยี งใด เหมอื นหรือแตกตา่ งจากผลงานชน้ิ อนื่ ในยุคเดียวกนั อย่างไร นำ�เกณฑก์ ารตดั สนิ สูก่ ารวิจารณ์และน�ำ ชมผล งานทศั นศลิ ป์ เพ่ือสื่อให้คนทัว่ ไปได้เข้าใจและรบั ทราบถงึ ประโยชน์ในการสรา้ งสรรคง์ านศิลปะต่อไป การวเิ คราะห์ผลงานจิตรกรรมของปาโบล ปิกสั โซ (Pablo Picasso) 1 .ข้ันตอนการบรรยายผลงาน (Description) เปน็ ศลิ ปนิ ทส่ี รา้ งสรรคผ์ ลงานตามแนวคดิ ของลทั ธคิ วิ บสิ ม์(Cubism)ผลสบื เนอื่ งมาจากการเกดิ ลทั ธโิ ฟวสิ ม์ ข้ึนสูงสดุ และเสื่อมความนยิ มลง เม่อื สงครามโลกคร้งั ที่ 1 ราวปี ค.ศ. 1907-1908 คตนิ ยิ มทางศิลปะแบบหนง่ึ เกดิ ขึ้นมีชอื่ วา่ “คิวบสิ ม์” โดยมหี ลักส�ำ คัญทางสนุ ทรยี ศาสตร์ ที่ “กฎของการควบคุมความรสู้ ึก” เกดิ การพัฒนาและ ววิ ฒั นาการ ถือเปน็ จดุ เร่ิมต้นของศลิ ปะนามธรรมและศลิ ปะทีม่ วี ิธีการน�ำ เส้นเรขาคณิตมาใชส้ รา้ งสรรคง์ านอกี ด้วย ก ารสร้างสรรคผ์ ลงานของปาโบล ปิกสั โซเรือ่ งราวในการสรา้ งงาน จะไดร้ บั อทิ ธิพลจากพวกลัทธสิ ัจธรรม ทางสงั คมนยิ ม (Social Realism) ผลงานเกอื บทง้ั หมดมโี ครงร่างของสใี นวรรณะเย็น เศรา้ หมอง เชน่ พวกสนี �ำ ้เงนิ สีฟ้า เป็นผลงานในนามของ “ยุคเศรา้ ” หรือยุคสนี ำ�้เงิน (Blue Period) ซงึ่ สะท้อนชีวติ และความรสู้ กึ ท้ังมวลท่มี ี ตอ่ ความยากจนขน้ แคน้ แสนสาหสั ของเพ่อื นรว่ มโลกของตวั เอง ยุคน้ปี กิ สั โซ ดำ�รงชีวติ อยู่ด้วยความล�ำ บากใน ค.ศ. 1901-0904 และในปี ค.ศ. 1905 เรม่ิ ท�ำ งานแนวแปลกออกไป รวมท้ังการใช้เสน้ สี ภาพเรือ่ งราวของเหลา่ นักเลน่ 173

การวิเคราะห์ทศั นศลิ ป์ (Visual Arts Analysis) ละครสตั ว์ กลายเปน็ สิง่ โปรดปราน วรรณเย็นถูกเปลย่ี นไป เปน็ สีอุน่ มคี วามสดใสรุนแรง ใช้สชี มพเู ปน็ หลักใหญ่ เปน็ ยคุ แหง่ ความสขุ หรอื ยุคสชี มพู (Pink Period) เป็นช่วงทีช่ วี ติ เรมิ่ พน้ จากสภาพความยากจน มีชื่อเสียงเปน็ ท่ี รูจ้ กั และเป็นท่ีสนใจ ภาพท่ี 9.1 ปาโบล ปกิ ัสโซ (Pablo Picasso) ค.ศ. 1907 “สตรที ั้งห้าแหง่ เมืองอาวีญอง” (Les Demoisselles d’ Avigon) สนี ำ�ม้ นั บนผา้ ใบ 8 x 7.8 นว้ิ ว ิเคราะหผ์ ลงานจิตรกรรม “สตรที ัง้ ห้าแหง่ เมืองอาวีญอง” (Les Demoisselles d’ Avigon) หลักในการสร้างสรรคผ์ ลงานการสรา้ งสรรค์งานคำ�นงึ ถงึ เรอื่ งโครงสร้างของสรรพสิ่งทง้ั หลายก่อนอื่นส่วน อารมณ์ การแสดงออกตอ้ งกลน่ั กรองพจิ ารณาเสยี ก่อน เปน็ ศลิ ปะทม่ี ีวธิ ีการนำ�เส้นเรขาคณิตมาใช้ในการสรา้ งงาน ในลทั ธิน้มี คี วามเชอ่ื วา่ “สจั ธรรมของสรรพส่งิ นน้ั คอื โครงสรา้ งปริมาตรรูปทรงจะใช้สเี ทา ด�ำ น�ำ ต้ าลหรอื สอี มเขยี ว เป็นหลกั การพจิ ารณาอันดับแรกในการสร้างงานคือ รูปทรงแบนราบง่ายๆ ทถี่ กู สรา้ งข้ึนด้วยเส้นเรขาคณติ รปู ทรง ถูกท�ำ ใหแ้ ข็งแน่นเตม็ ไปดว้ ยปริมาตรมิตทิ ่ีสามคอื ความลกึ ถูกท�ำ ให้เกดิ ข้นึ ดว้ ยการเลน่ หักเหลยี่ มมมุ ดุจเพชรและ เงาเปน็ สว่ นย่อยให้ภาพบังเกิดความสงบแน่วแน่ ขอบเขตของรูปทรงจะถูกเน้นให้ชัดเจนไดร้ บั อทิ ธพิ ลแนวความคดิ ในการสร้างงานจากเซซานน์ในเรอ่ื งการศกึ ษาโครงสร้างรปู ทรงในธรรมชาติ โดยเฉพาะการใชร้ ูปทรงเรขาคณติ ผล งานการแสดงอารมณค์ วามรนุ แรง มีอำ�นาจ แขง็ กร้าว การสร้างภาพให้มีบรรยากาศในสภาพตา่ งๆ เชน่ มหี มอกจาง คลุมหรือมแี สงแดดกระจายระยิบระยบั หรอื การใช้เส้นโค้งงอจะถูกขจดั ทง้ิ ไป โครงสรา้ งทางเรขาคณิตเป็นรากฐาน ของรปู ทรงในธรรมชาตทิ ้งั มวล และถา้ เข้าใจรปู ทรงของโลกภายนอก และโครงสรา้ งตามความเปน็ จรงิ แลว้ จงมอง ดรู ปู ทรงเหล่านั้นให้เป็นเหล่ยี มเปน็ ลกู บาศก์งา่ ยๆ โดยการทำ�ลายรปู ทรงให้เปน็ ชน้ิ เล็กชิ้นนอ้ ย ไม่ปะตดิ ปะต่อกนั แล้วนำ�มาประกอบกันใหม่ ทบั ซอ้ นบังกนั หรอื เหล่อื มลำ�ซ้ ่ึงกันและกัน เน้นปริมาตรเป็นเป้าหมายสงู สุด 2 .ขั้นตอนการวิเคราะห์โครงสร้างผลงาน (Formal analysis) จัดภาพส่วนรวมเป็นภาพแนวตงั้ ของรูปผูห้ ญงิ ทง้ั 5 คน จดุ ที่นา่ สนใจ การตัดทอนรูปทรงจากธรรมชาติของ คนใหเ้ ปน็ เสน้ เหลย่ี มมมุ ทบั ซอ้ นกนั ดว้ ยเสน้ และรปู ทรงเรขาคณติ รปู ทรงของผหู้ ญงิ ภายในเปน็ เสน้ งา่ ยๆบรสิ ทุ ธิ์และ ใชส้ ีสะอาดระบายแบนเรียบ ท�ำ ให้เป็นมมุ เหลีย่ ม บนใบหนา้ ของคนคลา้ ยเป็นรูปหนา้ กากของพวกแอฟริกัน เนน้ 174

บทที่ 9 : การวิเคราะห์ทัศนศิลป์ ภาพด้วยสีขาว ฟ้า น�ำ ้เงิน ท�ำ ใหร้ ูปผ้หู ญงิ ทต่ี รงกลาง 2 คนมีความเด่นชดั ขึน้ สร้างมติ ขิ องภาพดว้ ยการเพ่มิ ค่าน�ำ ้ หนกั ของสีใหเ้ ข้มขน้ ท�ำ ให้ภาพดลู กึ สร้างเอกภาพสมั พันธก์ ลมกลืนด้วยเสน้ เป็นมมุ มองทดี่ เู รียบง่าย รูปคนใชส้ ี น�ำ ้ตาล ลดคา่ ของนำ�้หนกั ของสนี �ำ ้ตาล ให้ออ่ นแก่เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความน่าสนใจ และเกิดระยะของภาพ ขอบเขตของเส้น ถกู เน้นใหช้ ดั เจน การวางตำ�แหน่งรปู คนทถี่ ูกตดั ทอนในพ้นื ทว่ี ่าง ถูกจดั ไวอ้ ยา่ งกระจัดกระจาย วเิ คราะห์การใช้เส้น ปิกัสโซ สร้างเสน้ ใหม้ ีบทบาทสำ�คญั ในภาพท่มี ีความเรยี บง่าย ทีล่ ดตัดทอนจากราย ละเอียดของรปู ทรงตามความเปน็ จริง เส้นทำ�หนา้ ท่แี บ่งแยกนำ�้หนกั อ่อน กลาง เข้ม เนน้ ภาพใหเ้ กดิ เป็นเหล่ียมมุม เหมอื นหนา้ กากของศลิ ปะแอฟรกิ นั เส้นมีขนาด ออ่ น กลาง เขม้ ท�ำ ใหภ้ าพทปี่ รากฏเกิดความรสู้ กึ ท่ีแตกตา่ งกัน เสน้ ทำ�หนา้ ที่มกี ารเคลื่อนไหวในมติ ิของภาพโดยรวม (ภาพที่ 9.2) ภาพที่ 9.2 วิเคราะหก์ ารใช้เสน้ ภาพที่ 9.3 วเิ คราะหร์ ูปทรง วเิ คราะหร์ ปู ทรงเปน็ รปู ทรงทล่ี ดตดั ทอนจากธรรมชาตทิ เี่ ปน็ จรงิ ของภาพคนใหเ้ ปน็ เหลยี่ มมมุ ทมี่ ที ง้ั การทบั ซ้อนและวางเคียงกนั และเหลอื่ มล�ำ ก้ นั คาบเก่ียวกนั เป็นรปู ทรงทเี่ รยี บงา่ ย ท�ำ หนา้ ทีเ่ ปน็ ขอบเขตของสี น�ำ ้หนัก และภาพผู้หญิงใหม้ ีความแตกต่างกันมรี ูปทรงขนาดใหญ่ กลาง และเลก็ ๆ เป็นสว่ นมาก ท�ำ ใหเ้ กิดระยะของรูปทรง พน้ื หลงั ที่เปน็ บรรยากาศของภาพก็มกี ารตดั ทอนรูปทรง ให้เป็นช้นิ เล็กช้ินน้อยเพ่อื สรา้ งความกลมกลืนของรปู ทรง แตย่ งั แฝงดว้ ยความรู้สึกของเนื้อหาและจังหวะท่าทางของผูห้ ญงิ ในภาพไดอ้ ย่างสวยงาม (ภาพที่ 9.3) 175

การวิเคราะห์ทัศนศิลป์ (Visual Arts Analysis) ว ิเคราะห์การใชส้ ี ใชส้ ีท่สี ะอาด ระบายเป็นแบบแบนเรียบ สร้างคา่ นำ�ห้ นักดว้ ยการผสมสีขาว ให้มีนำ�้หนกั อ่อนและผสมสใี กลเ้ คียงท�ำ ให้มนี �ำ ้หนกั เข้ม ท�ำ ใหร้ ูปทรงเกิดมิตริ ะยะลึกต้นื ซง่ึ เป็นสว่ นจุดท่ีนา่ ใจของภาพ แสดง ออกดว้ ยสีน�ำ ้ตาล สคี รมี สีน�ำ ต้ าลแดง เนน้ ภาพดว้ ยสนี �ำ ต้ าลเขม้ และสีด�ำ สว่ นพนื้ หลังของภาพสรา้ งความแตกตา่ ง ของสดี ว้ ยการระบายสฟี ้า แตส่ ร้างความกลมกลืนของสฟี ้าด้วยการผสมสขี าวและสีใกลเ้ คยี ง ทำ�ใหภ้ าพดกู ลมกลนื เป็นเอกภาพท้งั ภาพ และเพือ่ เน้นใหร้ ปู ทรงผหู้ ญิงมีความเด่นชดั จากพน้ื ภาพ มกี ารวางสีที่มนี ำ�้หนักเขม้ และออ่ นตดั กนั เพอ่ื สร้างความแตกต่างและอารมณ์ของภาพทน่ี า่ สนใจ และวางสใี กล้เคยี งเพ่ือใหเ้ กดิ ความกลมกลนื กันเกดิ มติ ิ ของภาพ (ภาพที่ 9.4) ภาพท่ี 9.4 วิเคราะหก์ ารใชส้ ี ภาพท่ี 9.5 วเิ คราะหก์ ารจดั องค์ประกอบ วเิ คราะหก์ ารจดั องคป์ ระกอบการวางภาพใหม้ คี วามสมั พนั ธก์ ลมกลนื กนั ทงั้ ภาพของรปู ทรงทที่ �ำ หนา้ ทเี่ ปน็ จุดเดน่ ของภาพรว่ มกนั ของผู้หญงิ 5 คน เป็นกลุ่มของรูปทรงท่ีแสดงออกเปน็ จดุ เดน่ ของภาพ ภาพผู้หญิง 2 คน ท่ีอยู่ ตรงกลางภาพใหม้ นี �ำ ้หนักออ่ นทำ�ใหภ้ าพดเู ดน่ กวา่ ภาพผูห้ ญิงอีก3คนที่มีน�ำ ห้ นักเขม้ กว่าเพื่อให้เกิดระยะของภาพ ทศิ ทางการนำ�สายตาคนดูเปน็ เสน้ สามเหลยี่ ม เพอ่ื บังคบั สายตาคนดูให้มองทั่วทัง้ ภาพ และมคี วามมนั่ คง สงบนิง่ แตแ่ ฝงดว้ ยลกั ษณะทา่ ทางท่มี เี อกลักษณข์ องผู้หญงิ ท่มี คี วามแตกตา่ งกัน มีการเคลอ่ื นไหวอยภู่ ายในดว้ ยเสน้ และ น�ำ ห้ นักทำ�ให้ภาพดูนา่ สนใจ (ภาพท่ี 9.5) 176

บทท่ี 9 : การวิเคราะหท์ ศั นศลิ ป์ 3 .ข้นั ตอนการตีความผลงาน (Interpretation) วิเคราะหเ์ น้ือหาภาพ“สตรีท้ังห้าแหง่ เมืองอาวญี อง” ปกิ สั โซวาดภาพนขี้ ้นึ ในฤดหู นาว เปน็ ภาพขนาดใหญ่ ทส่ี ุดที่สรา้ งมา แสดงใหเ้ ห็นถึงความสนใจอย่างลกึ ซึ้งต่อศิลปะของพวกอนารยะ ซึง่ ท�ำ ใหป้ กิ ัสโซได้แนวคิดในเร่อื ง รูปทรงง่ายๆ บรสิ ุทธิ์ เพื่อบรรลุความสะเทอื นอารมณแ์ ละความคดิ มากกวา่ เปน็ ภาพธรรมดา ซง่ึ แสดงออกเป็นรปู รา่ งของผหู้ ญิงภายในภาพประกอบดว้ ยเสน้ งา่ ยๆ และใช้สีสะอาดระบายแบนๆ มกี ารท�ำ ให้เกดิ เปน็ มุมเป็นเหล่ียม ใบหน้าบางคนวาดคลา้ ยรูปหนา้ กากของศลิ ปะแอฟรกิ ัน เป็นผลงานเริ่มต้นกอ่ นพฒั นาไปสู่ลทั ธคิ ิวบสิ ม์ ว ิเคราะห์ผลงานจิตรกรรม “เกอร์นิก้า” 1 . ข้ันตอนการบรรยายผลงาน (Description) ภาพ “เกอรน์ ิก้า” ของปกิ ัสโซ แสดงออกด้วยภาพผลงานสนี �ำ ้มนั ซงึ่ ได้รับอิทธพิ ลจากแอฟริกา แสดงออก รปู รา่ ง และรูปทรงเหล่ยี มมมุ โดยถกู ตดั ทอนดเู รียบงา่ ยหลากหลายมิติในภาพเดยี ว เสน้ ขดั แยง้ วนุ่ วายสับสน ใช้สใี น การสื่อสัญลักษณ์ โดยใช้สขี าวตดั กับสดี �ำ สุดทา้ ยตดั เสน้ แสดงใหเ้ ห็นความขัดแยง้ ความซับซ้อนของดา้ นตา่ งๆ ด้วย เสน้ หนักเบา เพ่ือต้องการสอ่ื ถงึ ความสยดสยองของเหตุการณท์ ่ีเกิดข้นึ ในชุมชนเมอื ง ช่วงสงครามโลก ท่มี ีผลกระทบ กับชีวติ ความเปน็ อยู่ ประกอบดว้ ยภาพศพของนกั รบภาพมา้ กำ�ลังตาย วัวกำ�ลงั ร้อง จากสภาพบา้ นเมืองที่ถกู กระท�ำ สขี าวเทาดำ�ทำ�ให้เหตกุ ารณ์เกิดอารมณ์ความรสู้ กึ หดหู่ สิ้นหวงั ความเจบ็ ปวดสูญเสีย ซง่ึ ปิกัสโซได้บนั ทึกจากเหตุ การณ์ท่ีเกดิ ขึน้ ผา่ นผลงานจิตรกรรม ไดอ้ ย่างสวยงามและมีคณุ คา่ ยง่ิ นัก ภาพที่ 9.6 ปาโบล ปิกัสโซ (Pablo Picasso) ค.ศ. 1881-1973“เกอรน์ กิ ้า” (Guernica) สีน�ำ ม้ ันบนผา้ ใบ 11 x 25 ฟุต 2 .ขั้นตอนการวเิ คราะห์โครงสร้างผลงาน (Formal analysis) โครงสรา้ งส่วนรวมใช้รปู ทรงเรขาคณิตคือ สามเหลย่ี ม ส่เี หลย่ี มคางหมู ทบั ซ้อนบงั กัน และเกิดจากการตัด ทอนทบั ซอ้ นกันของรปู ทรงธรรมชาติ คือ คน สตั ว์ ความน่าสนใจเกิดจากการตดั กนั ของสขี าว กับสีด�ำ และภาพถูก ตัดทอนด้วยเสน้ นำ�้หนกั เบา ตอ้ งการสอื่ ถงึ ความสยดสยองของเหตุการณ์ รปู ทรงจากธรรมชาติเปน็ จดุ แหง่ ความ บนั ดาลใจจากน้ันจึงคอ่ ยๆ เพมิ่ เตมิ ตัดทอนรปู ทรงต่างๆ การใช้สอี ย่างระมัดระวัง เปน็ สีทึบๆ คลา้ ยสีเอกรงค์ มีความ สัมพันธม์ ีเอกภาพ ใชส้ ีขาว เทา ด�ำ และน�ำ ต้ าล โดยตดั ทอนรูปทรงให้เป็นชน้ิ เลก็ ชน้ิ นอ้ ย นำ�มาประกอบกันใหม่ ใหม้ กี ารทบั ซอ้ นบงั กนั และการสรา้ งมติ ใิ นภาพดว้ ยการทบั ซอ้ นกนั ของรปู ทรงและสที มี่ นี �ำ ห้ นกั แตกตา่ งกนั ท�ำ ใหเ้ กดิ ระยะมิตติ ื้นลึก ทนี่ ่าสนใจคอื การใช้เสน้ ทปี่ ระณตี ขน้ึ 177

การวิเคราะหท์ ัศนศลิ ป์ (Visual Arts Analysis) ว เิ คราะห์การใชเ้ สน้ เส้นโดยรวมในภาพ“เกอร์นกิ า้ ”มคี วามประณีตละเอยี ดมากกวา่ ภาพอื่นๆซง่ึ ประกอบ ดว้ ยเสน้ โคง้ เฉียง ต้ัง นอน ซง่ึ ไดต้ ดั ทอนมาจากความเป็นจรงิ ตามธรรมชาติ ลดรายละเอยี ดให้เหลือเส้นทด่ี เู รยี บงา่ ย แต่แฝงด้วยความร้สู ึกถงึ การสญู เสียเจบ็ ปวดการเกิดใหม่ให้ความรสู้ ึกถึงการเคล่อื นไหวขัดแย้งตอ่ ส้ดู ิน้ รนของเส้นท่ี มีน�ำ ห้ นกั เข้ม กลาง ออ่ น ซ่งึ เป็นส่งิ ที่ก�ำ หนดขอบเขตของรปู ทรง ขอบเขตสี การทับซอ้ นกนั ของเส้น ทำ�ให้ภาพผลงาน เกดิ มติ ิระยะของภาพโดยรวม (ภาพที่ 9.7) ภาพท่ี 9.7 วเิ คราะห์การใช้เส้น ภาพที่ 9.8 วเิ คราะห์ การใชร้ ปู ทรง วเิ คราะหก์ ารใช้รูปทรง เปน็ รูปทรงท่ีลดตัดทอนจากรูปทรงธรรมชาติ ความเป็นจริงตามเหตุการณ์ทเี่ กิด ขน้ึ จริง โดยตดั ทอนให้เปน็ รูปทรงเรขาคณติ คอื รูปทรงสามเหลย่ี ม สเ่ี หล่ยี มคางหมทู ับซอ้ นบงั กัน และรูปทรง คน สตั ว์ สิ่งของ ให้เปน็ รปู ทรงท่มี ขี นาดชนิ้ เลก็ ชิน้ นอ้ ย แล้วนำ�มาประกอบกันใหม่ ให้มีการทบั ซ้อนบงั กันมีมตลิ ึกต้นื มีการวางรปู ทรงเคียงกนั บังกนั ความเกี่ยวกนั ท�ำ ใหร้ ูปทรงเกดิ ความสัมพนั ธ์ท�ำ ใหเ้ กดิ ความนา่ สนใจของภาพ ซ่งึ แฝงด้วยจนิ ตนาการของรปู ทรง อากปั กริ ิยา ทมี่ คี วามต่ืนเตน้ ด้ินรน เจบ็ ปวด อนั เปน็ เจตนาของศิลปนิ ที่ต้องการ แสดงออก (ภาพที่ 9.8) 178

บทที่ 9 : การวิเคราะห์ทศั นศลิ ป์ ภาพที่ 9.9 วิเคราะห์ การใช้สี ว ิเคราะหก์ ารใช้สี มีการใชส้ ีอยา่ งระมดั ระวงั ในภาพผลงาน แสดงออกด้วยสที ึมๆ คล้ายสเี อกรงค์ ประกอบ ดว้ ย สขี าว สเี ทาออ่ น สเี ทาเขม้ สดี ำ� สีน�ำ ้ตาล ระบายสีแบนเรยี บ แตส่ ร้างโครงสใี ห้ประสานกลมกลืนกันดว้ ยการ วางน�ำ ห้ นกั ของสี ให้มีการตดั กันบ้างและกลมกลืนกนั บา้ ง เพอื่ ให้ภาพมคี วามต่ืนเต้น น่าสนใจ ของอารมณข์ องภาพ ท่ีแสดงออกถงึ ความตื่นเต้น เจ็บปวด สยดสยองของเหตุการณ์ บรเิ วณพ้ืนทขี่ องสสี ร้างพนื้ ผวิ และเส้นท่แี สดงราย ละเอียดทำ�ให้ภาพสมบรู ณแ์ ละเกดิ เน้ือหาท่เี ปน็ เอกภาพกลมกลนื กัน (ภาพที่ 9.9) ภาพท่ี 9.10 วเิ คราะหก์ ารจดั องค์ประกอบ ว เิ คราะหก์ ารจดั องค์ประกอบ วางกล่มุ รปู ทรงท่นี า่ สนใจและเปน็ กล่มุ บริเวณตรงกลางภาพทำ�ใหภ้ าพเกิด ความนา่ สนใจโดยวางเปน็ รูปสามเหลีย่ ม เพ่อื บังคับสายตาให้ผ้ชู มเพ่งมองบรเิ วณจดุ ที่น่าสนใจ เกิดโครงสร้างของ รูปทรงโดยรวมทีเ่ ปน็ รปู ทรงเรขาคณติ สว่ นพ้นื หลังของภาพลดจ�ำ นวนของรปู ทรงให้เหลือช่องว่างมากขึ้น เพอื่ เป็น สว่ นทแ่ี สดงมติ ิความลึกของภาพและเปน็ การพกั สายตา โดยพืน้ หลงั มีระยะมิติลกึ ลบั ซบั ซ้อน และเปน็ การเนน้ รูป ทรงด้านหนา้ ด้วย และพน้ื หลงั มกี ลมุ่ น�ำ ห้ นักใกลเ้ คยี งกัน โดยรวมของภาพจะแสดงออกดว้ ยการตัดกันของรูปทรง และนำ�้หนักของสี เพือ่ สอ่ื ถึงความตื่นเตน้ สยดสยองของเหตกุ ารณ์ โดยการปะปนกนั ของรปู ทรงเรขาคณิต สตั ว์ คน สงิ่ ของ ท่ีผสมผสานกนั ไดอ้ ย่างกลมกลืน (ภาพที่ 9.10) 3 . ขน้ั ตอนการตคี วามผลงาน (Interpretation) วเิ คราะหด์ ้านเนื้อหา ภาพ “เกอร์นิกา้ ” เปน็ ภาพทีม่ ีช่ือเสียงมาก เป็นผลงานท่ีสรา้ งขน้ึ เพือ่ สนับสนนุ รัฐบาล ฝ่ายนิยมระบบสาธารณรฐั ของสเปน เพอื่ เป็นการอนุสรณแ์ หง่ ความหฤโหดของพวกนาซเี ยอรมนั แสดงใหเ้ หน็ ถงึ พวกทรราชปา่ เถือ่ น และความทารณุ ของสงครามนำ�วัวมาเป็นสัญลักษณ์ของความป่าเถอื่ นและอวิชชาภาพมา้ คอื ประชาชนผู้ทุกข์ยาก ผหู้ ญิงกับตะเกยี งเป็นแสงสวา่ งแหง่ ความดแี ละสจั ธรรม ซากปรกั หักพังของอนุสาวรียแ์ สดง 179

การวเิ คราะห์ทัศนศลิ ป์ (Visual Arts Analysis) ถงึ ความเจบ็ ปวดโกรธแคน้ รา่ งคนทถ่ี กู ฉกี ขาดและวง่ิ หนกี นั อยา่ งตน่ื ตระหนกการตดั กนั อยา่ งรนุ แรงระหวา่ งแสงกบั ความมดื ทีโ่ ดดเดน่ ชดั เจนเทคนิควธิ ีการของปกิ สั โซ นำ�มาซ่งึ ความเจริญกา้ วหนา้ อยา่ งสงู ตอ่ วิชาการศิลปกรรมต่างๆ ก่อใหเ้ กดิ ลทั ธใิ หม่ ดาดา ปอ๊ บอารต์ “เปน็ ผชู้ ือ่ วา่ ไม่ยอมให้กาลเวลาขึน้ น�ำ หน้า” ทฤษฎที ีใ่ ชใ้ นงานของปิกสั โซ ท ฤษฎกี ารแสดงออก แสดงอารมณภ์ ายในของตัวศิลปินออกมาโดยความซับซอ้ นของรปู ทรงธรรมชาติและ คน ออกมาโดยปรุงแต่งหรอื จดั สรรให้เกดิ ขึ้นตามเจตจำ�นงของตวั ศลิ ปนิ เป็นการแสดงออกมาถึงความประทบั ใจ ผา่ นสญั ลกั ษณ์สอื่ ใหช้ าวเมอื งเขา้ ใจถงึ สภาพของบา้ นเมอื งวา่ ถกู กระทำ�อยา่ งหฤโหดและมดื ด�ำ ผลงานโดยรวมแสดง ออกถงึ อารมณ์รุนแรง มีอ�ำ นาจแข็งกรา้ ว และการแสดงออก จากการเร่มิ จากธรรมชาติ แตไ่ ม่เหมอื นธรรมชาติ จาก ความจรงิ ท่ีเหน็ ด้วยตาแตเ่ ลือกโดยศลิ ปินเอามาแสดงออกโดยใช้รปู ทรงมาเปน็ ส่อื ในการแสดงออก ท ฤษฎีรูปทรงทแี่ สดงออกทางความรู้สกึ (Formalist) มาจากการพฒั นารูปทรง เปน็ การสรา้ งรูปทรงโดย ดดั แปลงธรรมชาติรูปทรงและสี ความสวยงามของรูปทรงเกดิ จากการลดตดั ทอนใหเ้ ปน็ รปู ทรงแบนราบง่ายๆ ทีถ่ กู สร้างข้นึ ดว้ ยเส้นเรขาคณติ รปู ทรงถูกทำ�ใหแ้ ข็งแนน่ เต็มไปด้วยปริมาตร มติ ทิ ่สี ามคอื ความลึก ถูกท�ำ ใหเ้ กดิ ขึน้ ด้วย การเล่นหักเหล่ียมมุมดุจเพชร และเอาเปน็ สว่ นยอ่ ย ทำ�ให้เกดิ ความสงบนงิ่ แนว่ แน่ ขอบเขตของรปู ทรงถูกเน้นให้ ชดั เจน และจะท�ำ ลายรูปทรงใหเ้ ปน็ ชนิ้ เลก็ ชิน้ น้อย ไมป่ ะตดิ ปะต่อกนั แลว้ นำ�มาประกอบกันใหม่ ให้มีการทับซอ้ น หรอื เหลอ่ื มล�ำ ้กัน โดยการเนน้ ปริมาตรของรูปทรง เร่มิ ต้นจากเหมือนจรงิ แตไ่ ม่ถึงนามธรรม (Abstract) กห็ ยดุ เสยี กอ่ น ม ูลเหตุในการสร้างงานจิตรกรรมของปาโบล ปิกสั โซ เพ่อื เปน็ ภาพอนสุ รณ์แห่งการร�ำ ลกึ เชน่ ภาพผลงานเกอร์นิก้า เปน็ การบนั ทกึ ภาพเหตกุ ารณส์ งครามโลก ที่ผ้คู น สตั ว์ บา้ นเรือน ได้รับผลกระทบของความโหดร้ายเจ็บปวด สญู เสียของภยั สงคราม ศิลปินจงึ ได้สรา้ งผลงาน ทีม่ ีเนอื้ หา โครงสี รปู ทรง ทสี่ ะทอ้ นบันทึกเหตุการณส์ งครามไว้ เ พ่ือสนองความต้องการอารมณค์ วามรสู้ กึ ส่วนตวั เปน็ การถ่ายทอดความรูส้ ึกภายในของศิลปิน อึดอัดใจ ถงึ การสญู เสยี จงึ ถา่ ยทอดความรสู้ ึกภายใน ผสมผสานกบั รปู ทรงในความเป็นจริงโดยจดั องคป์ ระกอบ โครงสรา้ งขึ้น ใหมต่ ามความตอ้ งการสว่ นตวั ของศลิ ปนิ 4 .ข้ันตอนการประเมินหรอื ตดั สินผลงาน (Judgment) ค ณุ คา่ ในผลงานจิตรกรรมของปาโบล ปกิ สั โซ คณุ คา่ ทางความงามหรือสุนทรยี ะ ความงามที่เกิดขึ้นกับผลงานที่ศิลปนิ ได้ลดตดั ทอนเพ่ิมเตมิ รูปทรง จดั องค์ประกอบของเส้น สี น�ำ ้หนกั เกิดความงามเป็นเอกภาพทั้งความคดิ รปู ทรง การแสดงออกได้อยา่ งลงตัว เปน็ องค์ความรใู้ ห้กับวงการศิลปกรรมไดศ้ ึกษาค้นคว้าเพอ่ื เป็นแนวทางในการพัฒนาผลงานศิลปกรรมอย่างตอ่ เน่อื ง ค ุณค่าทางความรสู้ กึ ของศิลปินที่สร้างผลงาน ไดป้ ลดปล่อยความรู้สกึ จากจนิ ตนาการ และได้ให้ความ รู้สกึ กับคนดทู ี่ได้รับรถู้ งึ ความเจ็บปวด เดือดร้อนของผู้คน สัตว์ สิง่ กอ่ สรา้ ง ส รุปการสร้างงานของปิกัสโซ ปกิ สั โซนำ�เอาธรรมชาตเิ ปน็ จดุ เด่นแหง่ ความบันดาลใจ จากน้ันจงึ ค่อยๆ เพิม่ เติมตัดทอนรปู ทรงงา่ ย ๆ การ ใชส้ ีอย่างระมดั ระวงั จนดูเป็นสที ึมๆ คล้ายสเี อกรงค์ จะพัฒนาข้นึ เรือ่ ยๆ จะจัดภาพซบั ซอ้ นยุ่งยากมากข้ึน เพ่ิมแง่ มมุ ต่างๆ ให้ดลู ะเอียดเปน็ ชน้ิ เล็กชิ้นนอ้ ย มีความสมั พันธ์ มเี อกภาพ ดูพรา่ มวั ไมเ่ ด่นชดั ความงามเกดิ จากการบิด เบ้ียว ไม่ใชส้ สี ด ความงามจากการมองหลายมมุ ขบวนการท้ังหมด ธรรมชาติเปน็ ที่ตั้ง และมเี นือ้ หาเป็นหลัก โดยจะ ตัดทอนรูปทรงมคี วามรุนแรงกวา่ เซซานน์ ปิกัสโซเป็นศลิ ปินท่มี คี วามส�ำ คัญเปน็ ผปู้ ฏิบัติในการเขยี นภาพจติ รกรรม 180

บทที่ 9 : การวเิ คราะห์ทัศนศิลป์ ท่นี �ำ รปู ทรงทีม่ ีอยู่จรงิ แปรรูป ใหเ้ กดิ รูปทรงทางศิลปะกงึ่ นามธรรม (Semi- Abstract Art) จะไม่ยอมรับกฎระเบยี บ ข้อบังคบั ในการสรา้ งงานของ รปู แบบนามธรรม (Abstract) เวลาเขาพฒั นางานจึงหยุดแค่ รูปทรงกึง่ นามธรรม (Semi Abstract) กพ็ อ หลักวิธีการแสดงออกของปกิ สั โซ น�ำ มาซึง่ ความเจรญิ ร่งุ เรอื งกา้ วหนา้ ทางวชิ าการของ ศลิ ปกรรม โดยเฉพาะเร่ืองการน�ำ วัสดแุ ปลกๆ หลายๆ อยา่ งมารวมกันในผลงานชน้ิ เดยี วกนั และน�ำ วสั ดเุ หมอื นจริง มาผสมผสานกับภาพเขียน ในงานชน้ิ เดียวกัน เกิดเป็นลทั ธิแอซเซมบราซ ดาดา และปอ๊ ปอาร์ต ในปัจจบุ นั ศ ลิ ปินทส่ี รา้ งงานจิตรกรรมท่ีมแี นวคิดในการพฒั นาผลงานชว่ งเวลาเดยี วกนั กบั ปิกสั โซ เ ฮนรี่ มาตสี ส ์ (Henri Matisse) มีรูปแบบการแสดงออกในผลงานที่ใช้เสน้ คดโคง้ แนวทางการออกแบบ ตกแต่งลวดลายโดยใชส้ ีสดระบายภาพ ลกั ษณะแบนเรียบ ซึ่งเป็นการแสดงออกของการปลดปลอ่ ยรปู ทรงวิธกี าร วาดภาพคนเป็นอสิ ระจากกรอบประเพณอี นั จำ�กดั และทว่ งทำ�นองดนตรีมบี ทบาทสำ�คญั ในการสรา้ งสรรค์ผลงาน เปน็ ศลิ ปนิ ที่มีอทิ ธพิ ลในยคุ ตอ่ มา (ภาพท่ี 9.11) ภาพที่ 9.11 เฮนร่ี มาตีสส์ (Henri Matiss) ค.ศ. 1909 “เรงิ ระบำ�” (The Dance) สีนำ�้มนั บนผ้าใบ 10 x 15 ฟตุ ภาพที่ 9.12 จอรจ์ บราค (George Braque) ค.ศ. 1882-1963 “ห้องศลิ ป”์ (AtelierI) สนี �ำ ้มนั บนผา้ ใบ 131 x 163 ซม. จอรจ์ บราค (George Braque) วัตถุต่างๆ ถูกนำ�เสนอออกจากหลายมมุ มองรปู ทรงทบั ซอ้ น และถูกรวม เขา้ ดว้ ยกนั บนระนาบต่างๆ บางสว่ นโปรง่ ใส และแบนเรียบ ภาพดูตน้ื คลา้ ยประติมากรรมนนู ต่�ำ (ภาพท่ี 9.12) 181

การวเิ คราะหท์ ัศนศิลป์ (Visual Arts Analysis) ภาพท่ี 9.13 เพยี ท มอนเดรียน (Piet Mondrian) ค.ศ. 1872-1944 “เพลงแจส๊ บนถนนสายใหญ่” (Broadway Boogie Woogie) สนี �ำ ้มันบนผา้ ใบ 127 x 127 ซม. เ พยี ท มอนเดรียน (Piet Mondrian) การแสดงออกในผลงาน ใชร้ ปู ทรงเรขาคณิตสเี่ หล่ียม สแี บนเรยี บใน การสร้างงาน ใชร้ ูปทรงเรขาคณิตสีเ่ หลยี่ ม สแี บนเรยี บในการสร้างงาน มุ่งสู่การสรา้ งสรรคร์ ปู ทรงนามธรรมและสที ่ี ใชเ้ พียงเสน้ ตรง และสีขั้นท่ี 1 เหลอื ง นำ�เ้ งิน ขาว ดำ� บทบาทของเสน้ มีระเบยี บ ใชเ้ ส้นตรงและเส้นระดบั สายตามา จดั วางใหไ้ ดจ้ ังหวะตัดกนั รูปทรงเรขาคณิตทไ่ี ด้ขัดเกลา ปรับความแขง็ กรา้ วของเส้น ให้นมุ่ นวลเข้ากันโดยใช้สเี ทา และสตี ่างๆ อันสดใสเขา้ ช่วยในการสรา้ งงาน การจดั องค์ประกอบ คอื การให้คุณค่าสูงสดุ ท่ีคณุ ภาพอันบรสิ ุทธ์ิ ของรปู ทรงได้แก่ ความกลมกลนื ความ ละเอยี ดออ่ นและความเปน็ เอกลกั ษณข์ องรปู ทรงในงานศลิ ปกรรมนกั วจิ ารณใ์ ชภ้ าษาทางรปู ทรงบรสิ ทุ ธมิ์ าประเมนิ คา่ ภาพทิวทัศนม์ ากกว่าความถูกตอ้ งเหมือนจริง (ภาพท่ี 9.13) ภาพที่ 9.14 โรเบิร์ต เดลเู นย์ (Robert Delaunay) ค.ศ. 1930 “รูปทรงความประทับใจ” (Circular Forms) สีน�ำ ้มันบนผ้าใบ 128.9 x 194.9 ซม. โ รเบิร์ต เดลเู นย์ (Robert Delaunay) ใชส้ แี สงความประทับใจจากธรรมชาติ เช่นสี แสงพระอาทิตยข์ ้ึน และจากดวงจนั ทร์ น�ำ มาลดตัดทอนรปู ทรงใหเ้ ปน็ เหลย่ี มมมุ ของสีแสง ท�ำ ให้เกดิ ลทั ธิออบิสม์ (ภาพท่ี 9.14) 182

บทที่ 9 : การวเิ คราะห์ทัศนศิลป์ จ อรเ์ จยี โอคีฟ (Georgia O’Keeffe) การสรา้ งสรรคผ์ ลงานโดยการตดั ทอนขอบขา้ งของรปู ทรงออกไป เช่น การใชเ้ หลีย่ มมุมแทนรายละเอยี ดของรปู ทรง ผลงานแสดงอารมณข์ องสแี ละรปู ทรงท่แี ฝงไปด้วยจนิ ตนาการ (ภาพที่ 9.15) ภาพที่ 9.15 จอร์เจีย โอคีฟ (Georgia O’Keeffe) ค.ศ. 1924 “แดง, เหลอื ง และด�ำ ” (Red, Yellow and Black Streak) สนี �ำ ้มนั บนผ้าใบ การวิเคราะห์ผลงานประติมากรรมของเฮนรี่ มวั ร์ (Henry Moore) 1 .ขั้นตอนการบรรยายผลงาน (Description) เปน็ ศลิ ปินร่วมสมยั ทป่ี ระสบความส�ำ เรจ็ ในการสร้างสรรคผ์ ลงานประตมิ ากรรม ทม่ี ีการพัฒนาผลงานอยา่ ง ตอ่ เนอ่ื ง ทา่ มกลางกล่มุ ศิลปินในยุคเดยี วกันท่ีมีแนวความคดิ ในการสร้างผลงานตามแบบอุดมคตเิ ก่าๆ ของกรกี และ โรมนั ในรูปแบบเหมือนจรงิ ศลิ ปนิ ท่ีมีอทิ ธิพลต่อการพัฒนาผลงานประตมิ ากรรมของมวั ร์ เช่น เอพ็ สไตน์ (Epstein) กิล (Gill) และด็อบสนั (Dobson) รวมทั้งผลงานศิลปะของมนุษย์ก่อนประวตั ิศาสตร์และพวกอนารยะ ผลงานของ ไมเคิล แองเจโล (Michel Angelo) ศิลปนิ ทัง้ หลายเปน็ แรงบันดาลใจและเปน็ ตน้ แบบในการพัฒนาผลงานของมวั ร์ สว่ นปิกสั โซใหอ้ ิทธพิ ลด้านเนอ้ื หาและรปู แบบ และโครงสร้างศิลปะสมยั ใหม่ ห ลักในการสรา้ งงานของเฮนรี่ มัวร์ “ครอบครวั ” (Family Group) เฮนร่ี มัวร์ ต้องการแสดงออกของรูปทรงทดี่ ูเรยี บงา่ ยกระจา่ งชดั และมีสมั พันธภาพกับสง่ิ แวดล้อมท่ีผลงาน จะไปตง้ั อยู่ ณ สถานทีน่ ั้นๆ โดยมุ่งเน้นการศกึ ษารูปทรงของมนุษย์ ทา่ ทางอิริยาบถตา่ งๆ ตามธรรมชาติ ผสมผสาน กบั หลกั เกณฑ์ของรูปทรงก้อนหิน กระดูก ตน้ ไม้ กอ้ นกรวด พืชตา่ งๆ แลว้ น�ำ มาสรา้ งผลงานใหม้ ีความกลมกลืนกับ ธรรมชาติ เป็นสว่ นหนง่ึ ของทิวทัศน์ เช่น ขุนเขา ป่าเขาลำ�เนาไพร แมน่ �ำ ้ เป็นตน้ มัวร์เป็นศลิ ปินที่มีความเข้าใจใน การสรรหาวสั ดใุ หเ้ ข้ากบั ลักษณะงาน จงึ ท�ำ ให้ผลงานมคี วามหลากหลาย เกิดส่งิ ใหม่ทางความรู้สึกท่ีปรากฏในตัว ผลงานเขาลดตดั ทอนรปู ทรงรายละเอยี ดจากความเปน็ จรงิ ตามธรรมชาตใิ หเ้ หลอื รปู ทรงกงึ่ นามธรรมและแสดงออก ถงึ เรื่องราวของมนุษยชาตโิ ดยผ่านประตมิ ากรรมเปน็ ส่อื เช่น ความผูกพันแมแ่ ละลกู หรือเร่ืองครอบครวั การนำ� 183

การวเิ คราะหท์ ศั นศลิ ป์ (Visual Arts Analysis) ความรูส้ ึกของมนษุ ยก์ บั ธรรมชาติ ให้มาเป็นอนั หน่ึงอันเดียวกัน สรา้ งรูปทรงข้ึนใหม่ โดยใชห้ ลกั ความเปน็ จริงตาม ธรรมชาติผา่ นจนิ ตนาการของศลิ ปิน มกี ารพฒั นาแนวความคิดโดยมกี ารเจาะทะลุ และเปิดมวล ปริมาตรของ ประตมิ ากรรมโดยบรเิ วณทบึ ตนั และบรเิ วณชอ่ งวา่ งภายในรปู ใหเ้ กดิ คณุ คา่ เทา่ เทยี มกนั ซงึ่ เปน็ การหาโครงสรา้ งของ วสั ดทุ กี่ นิ เนอื้ ทใี่ นอากาศผสมผสานความรสู้ กึ ของคณุ คา่ ของวสั ดตุ า่ งชนดิ กนั น�ำ อดตี บางประการเชน่ ประตมิ ากรรม โบราณ พวกอินเดียนแดง เผ่าแอสเต็ค มาใชใ้ นการพัฒนาผลงานใหเ้ กิดสิ่งใหม่ทำ�ให้มรี ูปแบบผลงานทีผ่ สมผสาน กนั ระหว่างกงึ่ นามธรรมกบั เหมือนจริงอยูใ่ นผลงานเดียวกัน และบางครง้ั จะนำ�เสนอรูปแบบกง่ึ นามธรรมลว้ น โดย ลดตดั ทอนทกุ รายละเอยี ดของผลงานประติมากรรม (ภาพที่ 9.16, 9.17) ภาพที่ 9.16 เฮนร่ี มัวร์ (Henry Moore) ค.ศ. 1952-1953 “พระราชาและพระราชิน”ี (King and Queen) เทคนิคบรอนซ์ สงู 170 ซม. ภาพท่ี 9.17 เฮนร่ี มวั ร์ (Henry Moore) ค.ศ.1945-1949 “ครอบครัว” (Family Group) ทองส�ำ รดิ สงู 59 น้ิว 2 .ข้ันตอนการวเิ คราะห์โครงสรา้ งผลงาน (Formal analysis) ผลงานมีจดุ ทนี่ า่ สนใจ คอื รูปทรงโดยรวม เกดิ จากการตดั ทอนรปู ทรงจากธรรมชาติของคนให้เหลอื รปู ทรงที่ เรยี บงา่ ย ด้วยรูปแบบก่งึ นามธรรม และสรา้ งรปู ทรงโดยรวมให้ประสานกลมกลืนกบั สถานท่นี ้นั ๆ เปน็ ส่วนหนึง่ ของ ทิวทศั น์ เชน่ มีความกลมกลนื กับกอ้ นหนิ ต้นไม้ เปน็ ต้น รวมท้งั การสรา้ งความสัมพันธ์กลมกลนื ของรปู ทรงทง้ั หมด ที่มีความเช่ือมโยงผกู พัน อบอุน่ ถือวา่ เป็นการสรา้ งรปู ทรงจากความร้สู ึกของมนษุ ย์ ให้เป็นอนั หนง่ึ อันเดยี วกนั และ ผสมผสานกบั จนิ ตนาการของศลิ ปนิ เกดิ เปน็ รปู ทรงแบบใหม่การสรา้ งมติ ดิ ว้ ยการเจาะรรู ปู ทรงและมพี น้ื ผวิ ปรมิ าตร ของรปู ทรงท่มี กี ารลดตดั ทอน โดยมีความสัมพันธ์กลมกลนื กันทั้งหมด โดยกนิ เนื้อที่ในอากาศ (ภาพที่ 9.17) 184

บทท่ี 9 : การวเิ คราะหท์ ัศนศลิ ป์ ภาพที่ 9.18 วิเคราะหก์ ารใช้เสน้ วเิ คราะหก์ ารใชเ้ ส้น ในงานของมัวร์ ประกอบด้วยเสน้ โค้งเปน็ หลักที่แสดงถงึ ความนมุ่ นวล โอบอ้อมอารี อบอนุ่ แสดงออกท้งั สว่ นท่ีเป็นเส้นโครงสรา้ งและรายละเอยี ดของรปู ทรง ทมี่ ีการเชอ่ื มโยง เล่อื นไหลตอ่ เน่อื งกนั เป็น เอกภาพ โดยเสน้ โครงสรา้ งจะพงุ่ เขา้ หาจดุ ที่นา่ สนใจของภาพคือ รปู ลูกทแ่ี สดงออกถงึ ความผกู พัน เชอื่ มโยงของเส้น โคง้ ที่ประสานสัมพันธก์ ันตามรปู ทรงโดยรวม (ภาพท่ี 9.18) ว ิเคราะห์รูปทรง เปน็ รปู ทรงทล่ี ดตัดทอนจากรปู ทรงมนุษย์ พอ่ แม่ลกู ทีม่ ีอิรยิ าบถ ทา่ ทางตามความเป็น จรงิ ให้เกดิ เปน็ รูปทรงท่ีเรียบง่าย เด่นชดั เชือ่ มโยงสัมพนั ธ์กับสว่ นประกอบของทวิ ทัศน์ หรอื สถานทนี่ ั้นๆ เช่น กอ้ นหนิ กอ้ นกรวดตน้ ไม้ผสมผสานกบั จนิ ตนาการของศลิ ปนิ ทมี่ งุ่ เนน้ ใหเ้ กดิ ความเปน็ อนั หนงึ่ อนั เดยี วกนั ของผลงาน และธรรมชาติ จงึ เกิดรูปทรงขึน้ ใหม่ ในรูปแบบกง่ึ นามธรรม (ภาพท่ี 9.19) ว เิ คราะหป์ รมิ าตรและพน้ื ผวิ เปน็ ผลงานทสี่ รา้ งสรรคข์ น้ึ จากการลดตดั ทอนรปู ทรงจากธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ ผสมผสานกับจนิ ตนาการและสง่ิ แวดล้อมทีอ่ ยู่รอบๆ ผลงาน ทำ�ให้เกิดรปู ทรงที่ดเู รยี บง่าย ปริมาตรของรูปทรง จงึ เกิดจากพ้นื ผวิ ของธรรมชาติ เช่น ก้อนหิน กอ้ นกรวด ต้นไม้ เป็นต้น ซ่งึ ศลิ ปินตอ้ งการสรา้ งความกลมกลืนกบั ธรรมชาติ พ้นื ผิวของสำ�ริดท่ีหล่อขนึ้ จงึ มีลกั ษณะคล้ายกบั ผิวของธรรมชาตทิ ีถ่ กู ลดตัดทอนใหม้ ีปริมาตรและพ้นื ผิว ทีม่ ีความกลมกลืนกับธรรมชาติ ว เิ คราะหก์ ารจดั องคป์ ระกอบการจดั วางองคป์ ระกอบมคี วามเปน็ เอกภาพโดยการจดั วางใหเ้ ปน็ โครงสรา้ ง รปู สามเหลย่ี ม ทำ�ใหเ้ กดิ ความรูส้ ึกมั่นคง เปน็ อันหนงึ่ อนั เดยี วกนั ทิศทางของการจัดรูปทรงทพี่ ุ่งประสานเข้าหาจดุ สนใจของภาพ เพื่อเป็นเนอื้ หาท่มี ีความอบอ่นุ ผกู พันของครอบครวั โดยมลี ูกเป็นสายสมั พนั ธ์ของรูปทรง และเพ่ือ เปน็ การบังคบั สายตาของผชู้ มเขา้ หาจุดที่น่าสนใจ และจดั วางเปดิ ชอ่ งว่างของรปู ทรงภายในและรปู ทรงภายนอกให้ ประสานสมั พนั ธก์ ลมกลนื กบั ทวิ ทศั นท์ �ำ ใหเ้ กดิ เอกภาพทง้ั เนอ้ื หาและรปู ทรง ทม่ี ปี รมิ าตรลน่ื ไหลไปกบั ทวี่ า่ งของอากาศ (ภาพท่ี 9.20) 185

การวิเคราะห์ทศั นศิลป์ (Visual Arts Analysis) ภาพที่ 9.19 วิเคราะห์รูปทรง ภาพท่ี 9.20 วเิ คราะห์การจัดองค์ประกอบ เอกภาพของความคิด เปน็ ความคิดที่อิสระจากความคดิ เดมิ ท่ีทำ�ตามอุดมคตแิ บบเกา่ ของกรีกโรมนั มวั ร์ น�ำ ความคิดของปกิ ัสโซ ในการดัดแปลงรปู ทรง การเข้าใจในวสั ดุของเอพ็ สไตน์ (Epstein) และกิล (Gill) ในการ พัฒนารปู แบบผลงานในการสรา้ งความกลมกลนื เป็นอนั หนึ่งอนั เดยี วกนั ของมนุษยก์ บั ธรรมชาติ เอกภาพของการแสดงออก ในการตดั ทอนรูปทรงจากความเปน็ จริง ให้เกดิ รูปทรงกึง่ นามธรรม และเนน้ การแสดงออกเรือ่ งราวของมนุษยชาตใิ นดา้ นครอบครวั ความอบอุ่น ความสมั พันธภาพ ถือวา่ เปน็ ศลิ ปนิ ท่มี ชี ื่อเสียง และไดร้ ับการยอมรับในสมยั น้ัน เอกภาพของรปู ทรง รปู ทรงทไี่ ดร้ บั การตดั ทอนคลค่ี ลายทม่ี คี วามกลมกลนื ทงั้ หมดของภาพรวมและสมั พนั ธ์ เชื่อมโยงกับรูปทรง พ้นื ผิว ส่วนประกอบของทวิ ทศั น์ ให้เกิดความเป็นอนั หนึ่งอันเดยี วกนั มกี ารเจาะรู ชอ่ งว่างของ งานประตมิ ากรรม เพือ่ ใหเ้ กิดการล่ืนไหลของรปู ทรงกบั อากาศ และทวิ ทศั น์ภายนอก 186

บทที่ 9 : การวิเคราะหท์ ัศนศิลป์ ภาพที่ 9.21 เฮนร่ี มวั ร์ (Henry Moore) ค.ศ. 1963-1965 “ตดั ทอนคนเตม็ ตวั หมายเลข 5” (Reclining Figure No.5) เทคนคิ บรอนซ์ ท ฤษฎีทใ่ี ชใ้ นการสร้างงานของเฮนรี่ มวั ร์ ท ฤษฎกี ารแสดงออกแสดงอารมณค์ วามรสู้ กึ ภายในทจ่ี นิ ตนาการผสมผสานกบั รปู ทรงทลี่ ดตดั ทอนจากความ เป็นจรงิ และพฒั นาในการแสดงออกของผลงานทไ่ี ม่ทำ�ตามอุดมคตแิ บบเกา่ หนั มาแสดงออกของเรือ่ งราวมนุษย ชาติ ที่เป็นเน้อื หาของครอบครัว ความผูกพัน ผสมผสานกับธรรมชาติให้เปน็ อันหนึง่ อันเดียวกัน ท ฤษฎีการสร้างรปู ทรงที่ส่ือความรสู้ กึ ดัดแปลงพัฒนารูปทรงจากธรรมชาติ ให้เกิดรปู ทรงทมี่ คี วามเรียบ ง่ายแสดงความรสู้ ึกอบอ่นุ ผูกพนั อ่อนโยนของมนษุ ยชาตทิ ปี่ ระสานสมั พันธ์กับธรรมชาติ เชน่ รูปทรง พืน้ ผวิ ปริมาตรของก้อนกรวด หิน ต้นไม้ นำ�มาลดตัดทอนรายละเอยี ดรปู ทรง เพื่อให้เกิดความรู้สึกกบั รูปทรงท่ปี ระสาน สัมพนั ธก์ ันทง้ั หมดและปริมาตรทด่ี แู ข็งแนน่ ทึบตนั ท�ำ ให้เกิดเป็นรูช่องวา่ งเพื่อใหป้ ระสานสมั พนั ธ์ของอากาศและ ปรมิ าตรของงาน ท ฤษฎกี ารเลอื ก ศลิ ปนิ เลือกที่จะไมส่ ร้างสรรคผ์ ลงานตามแบบอดุ มคตแิ บบเกา่ ของกรีกโรมนั โดยเลอื กที่ จะสรา้ งสรรคพ์ ัฒนาใหเ้ กิดศิลปกรรมสมัยใหม่ ตามจินตนาการของศลิ ปิน 3 .ขั้นตอนการตีความผลงาน (Interpretation) วิเคราะหเ์ นื้อหา “ครอบครวั ”เป็นการแสดงออกของรูปทรงพ่อแม่ลกู ทีม่ ีความผกู พัน เช่อื มโยง อบอุ่น ดูมี ชวี ติ ชวี า ซง่ึ เป็นพลังทอ่ี ัดแน่นอยู่ภายในของศลิ ปนิ ถา่ ยทอดโดยลดตัดทอนรปู ทรงให้เปน็ รปู ทรงทเ่ี รียบงา่ ย เด่นชดั ในรปู แบบก่งึ นามธรรม อิริยาบถ ทา่ ทาง การเคลอ่ื นไหว ตามความเปน็ จริงของมนษุ ย์ เป็นการน�ำ รปู ทรงของมนษุ ย์ จากความรสู้ กึ ของศิลปนิ มาผสมผสานกับธรรมชาตใิ หเ้ ป็นอันหนง่ึ อนั เดียวกัน ผ่านการจนิ ตนาการรปู ทรง มูลเหตใุ นการสร้างงานของเฮนรี่ มวั ร์ สนองตอบดา้ นความเชอ่ื เช่อื วา่ ธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ มท่อี ย่รู อบๆ ตัว สามารถมองไดห้ ลายๆ ด้าน แตล่ ะดา้ นเมอ่ื มองผ่านรูปทรงของผลงานประติมากรรมจะเกิดเน้อื หา รปู ทรงทตี่ ่างกัน และสามารถเชอ่ื มโยงให้เกิด ความเป็นอันหนง่ึ อนั เดยี วกันไดด้ ว้ ยผลงานประตมิ ากรรมสมยั ใหม่ สนองตอบดา้ นจติ ใจและอารมณ์ เป็นผลงานทีป่ ระสานธรรมชาติของมนษุ ยชาติกบั สง่ิ แวดล้อม ไม่วา่ จะ เป็นรูปทรง พ้นื ผิว สี หล่อหลอมใหเ้ กิดรปู แบบใหม่ โดยใชจ้ ินตนาการทางด้านอารมณแ์ ละจติ ใจของศลิ ปนิ ทีไ่ ดจ้ าก การลดตดั ทอน คลค่ี ลายใหเ้ กดิ เปน็ รูปแบบประตมิ ากรรมกึง่ นามธรรม 187

การวเิ คราะหท์ ัศนศิลป์ (Visual Arts Analysis) 4 .ข้ันตอนการประมาณหรือตัดสนิ ผลงาน (Judgment) ค ณุ คา่ ในงานประตมิ ากรรมของเฮนร่ี มัวร์ ค ณุ ค่าทางความงาม ด้านการลดตัดทอนรูปทรงจากความเป็นจริง ธรรมชาติของคนใหเ้ กิดรูปทรงใหม่ ทมี่ ี ความกลมกลนื กับสภาพแวดลอ้ มของทวิ ทัศน์ ความงามของรปู ทรงท่มี ีการลน่ื ไหล เชอื่ มโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกนั และให้ความร้สู กึ ถึงความผูกพนั อบอุน่ ของครอบครวั และความงามของปรมิ าตรพ้ืนผิว นำ�้หนกั แสงเงาท่เี กิดข้ึน เม่ือแสงกระทบทำ�ใหเ้ กิดเรือ่ งราวท่ีต่างกันในแตล่ ะมมุ มองและเวลา ค ณุ คา่ ทางความรู้สึก เกดิ ข้นึ กบั ศลิ ปนิ ทไ่ี ดถ้ ่ายทอดความรสู้ กึ จินตนาการ ผสมผสานกับการสร้างสรรคผ์ ล งานทมี่ ีการเช่อื มโยงกันระหว่างมนษุ ยก์ บั ธรรมชาติ และให้ผลทางความร้สู กึ กับผ้ชู ม ให้เหน็ ถึงความอบอ่นุ ผกู พัน กนั ของครอบครัว พ่อแม่ลูก และความผกู พันของผู้ชายและผู้หญงิ ซงึ่ เป็นการให้ความส�ำ คัญกับวิธชี วี ติ ความเปน็ จรงิ ของมนุษยชาตทิ ีต่ อ้ งพึ่งพาอาศัยซงึ่ กนั และกนั ของมนุษยก์ บั ธรรมชาติ ใหม้ คี วามเปน็ อนั หน่ึงอนั เดียวกัน ค ุณค่าตอ่ วงการศลิ ปกรรม ผลงานของมัวร์ เปน็ ผลงานทมี่ ีคณุ ค่าตอ่ การสร้างสรรค์พัฒนาผลงานต่อวงการ ศลิ ปะ ท�ำ ใหเ้ กดิ การเคล่อื นไหวพฒั นาของศลิ ปกรรมเรอ่ื ยมา ศ ลิ ปินทีม่ แี นวความคดิ ในการสรา้ งสรรค์ผลงานประติมากรรมในรูปแบบใกลเ้ คียงกนั กับเฮนร่ี มวั ร์ บ าร์บารา เฮพเวริ ์ธ (Barbara Hepworth) สร้างสรรคผ์ ลงานประติมากรรม มคี วามสัมพันธก์ นั ด้านแนว ความคดิ กบั เฮนรี่ มวั ร์ ในการพัฒนาผลงานท่คี วบคูก่ ัน ในดา้ นการใช้เสน้ โลหะและการเจาะรรู ปู ประตมิ ากรรม เพอ่ื ใหอ้ ากาศ บรรยากาศภายนอกมผี ลเช่อื มโยงกับผลงาน จะแตกตา่ งกนั ท่บี าร์บาราใช้สรี ะบายผลงานด้วย แตม่ วั รใ์ ช้ สขี องวัสดุ (ภาพท่ี 9.22) ลักษณะพเิ ศษของผลงานบาร์บารา คือ ความเย็นชา ความลกึ ลบั มคี วามนงิ่ ไมเ่ คลือ่ นไหว มีความพิถีพถิ นั ด้านฝีมอื ในการแสดงออก ขดั เกลา ความคดิ ใหเ้ กิดความงามบนรปู ทรงของผลงาน และให้ความสำ�คัญของคุณคา่ ของวัสดแุ ต่ละชนิดในการสรา้ งงาน ศลิ ปินทเ่ี ป็นแรงบันดาลใจของเขา เช่น มอนเดรียน บรันคูสิ และฮารพ์ ภาพท่ี 9.22 บารบ์ ารา เฮพเวริ ธ์ (Barbara Hepworth) ค.ศ. 1961 “2 รูปทรง” (Two Forms) เทคนคิ บรอนซ์ สงู 117 ซม. ภาพท่ี 9.23 บาร์บารา เฮพเวริ ธ์ (Barbara Hepworth) ค.ศ. 1955 “คนสองคน” (Two Figures Menhirs) 188

บทที่ 9 : การวเิ คราะห์ทศั นศลิ ป์ ร ูปแบบการน�ำ เสนอผลงานของเฮพเวริ ธ์ จะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จะแสดงออกในรปู แบบนามธรรม โดยใช้ รปู ทรงเรขาคณติ เป็นหลกั ในการสร้างผลงาน และใช้ธรรมชาตทิ ิวทัศนเ์ ป็นแรงบันดาลใจในการพฒั นาผลงานรวม ท้ังวัสดุทห่ี ลากหลายทเ่ี ลอื กมาสร้างรปู ทรงใหม้ ีเอกลักษณ์และเรอื่ งราวที่มคี วามพิเศษของผลงาน เช่น การแกะสลกั หนิ และแกะสลักไม้ และมีการเจาะรรู ูปทรงประตมิ ากรรมให้เปน็ โพรง บางรูปกใ็ ชเ้ ส้นลวดร้อยยดึ ชอ่ งว่างของรโู พรง ตา่ งๆ ซึง่ บารบ์ าราเปรยี บเทยี บการทำ�งานศิลปะของเขาในแตล่ ะชนิ้ วา่ “ข้าพเจา้ คือ คนที่อย่ทู า่ มกลางทวิ ทศั น์สี ในส่วนเว้าที่ข้าพเจ้าสลักคล้ายกับขา้ พเจ้ากระโจนลงไปในแมน่ ำ�ล้ ึก เสน้ โลหะ คอื เครอื่ งดึงยึดระหว่างตัวข้าพเจา้ กบั ทะเล กระแสลม และขุนเขา” (กำ�จร สนุ พงษศ์ รี, 2523: 209) (ภาพท่ี 9.23) ผลงานของบาร์บาราเป็นการสร้างรปู ทรงทบี่ รสิ ุทธิ์เรียบงา่ ยทห่ี า่ งไกลจากความเป็นจริงลดตัดทอนใหเ้ หลอื เนอ้ื หาสาระสำ�คญั ด้วยรปู ทรงเรขาคณิตทีไ่ ด้รบั อทิ ธิพลจากมอนเดรียน โดยสรา้ งรูปทรงท่ีต้องการภายในซอ่ นอยู่ ในรูปทรงภายนอก ที่มคี วามแตกตา่ งกนั ของสแี ตเ่ ปน็ เอกภาพ เชื่อมโยงด้วยรปู ทรงทีถ่ ูกตดั ทอนใหเ้ ป็นรปู ทรงเรขา คณิต ภาพที่ 9.24 คอนสแตนติน บรนั คสู ิ (Konstantin Brancusi) ค.ศ.1908 “จมุ พติ ” (The Kiss) หนิ ปูน ค อนสแตนติน บรันคูสิ (Konstantin Brancusi) การสรา้ งสรรค์ผลงาน จะนำ�ความประทับใจในรูปทรง ลึกลับของพวกแอฟรกิ ันมาแสดงเสน้ รอบนอกของรปู ทรงจะแข็งทอ่ื คล้ายกบั แทง่ หนิ สี่เหลย่ี ม เหมือนกบั สญั ลกั ษณ์ ของพระเจา้ ในศาสนาของพวกอนิ เดยี นแดง แสดงออกเป็นรปู หนุ่มสาวจมุ พติ กัน เสน้ แขนทง้ั สองข้างโอบกอดกัน โดยใช้เสน้ ที่เรียบง่ายลดตดั ทอนจากรูปทรงของความเปน็ จรงิ ตามธรรมชาติ แตไ่ ด้อารมณค์ วามรู้สกึ ซง่ึ จะมวี สั ดใุ น การสรา้ งงานทห่ี ลากหลาย เชน่ โลหะไม้ปนู หนิ เปน็ ตน้ ซง่ึ รปู แบบการแสดงออกของบรนั คสู ิจะมาจากแรงบนั ดาลใจ ของวถิ ีชีวติ ของมนุษยชาติ ในดา้ นความผกู พัน อบอนุ่ ความรัก ซึ่งมแี นวคิดที่สง่ อิทธิพลต่อศิลปินในช่วงน้ี เช่น บาร์ บารา เฮนร่ี มวั ร์ (ภาพท่ี 9.24) 189

การวิเคราะหท์ ัศนศลิ ป์ (Visual Arts Analysis) ภาพท่ี 9.25 เขยี น ย้ิมศิริ “ตะกรอ้ ” เขยี น ยิม้ ศิริ การสร้างสรรคผ์ ลงานเกดิ จากการลดตัดทอนรูปทรงความเปน็ จรงิ ของรูปคนใหเ้ หลือรปู ทรงท่ี ดเู รียบง่าย แสดงอิริยาบถ ทา่ ทางของคนกำ�ลงั เลน่ ตะกร้อ ท่ีมีความรู้สึกทีพ่ วยพงุ่ โลดแล่น สนกุ สนาน มกี ารเคลือ่ น ไหวอย่างกลมกลืนอยา่ งมีท่วงท่าของนักกีฬาตะกรอ้ เส้นโค้งของรปู ทรงมีการต่อเนอ่ื งลน่ื ไหลท้ังภาพโดยรวมทมี่ ีรปู ทรงภายนอกด้วยเสน้ โค้งทเ่ี รยี บงา่ ยแบบศลิ ปะไทย ที่เปน็ รปู แบบกึ่งนามธรรม (ภาพท่ี 9.25) ส รุปการสร้างงานของเฮนรี่ มวั ร์ การพฒั นาผลงานของเฮนร่ี มวั ร์ จะแสดงออกท่ีนอกเหนอื จากอดุ มคติ แบบเกา่ ของกรีกโรมนั โดยการลดตัดทอนรปู ทรงจากความเปน็ จริงตามธรรมชาติ ให้เหลือรปู ทรงทด่ี เู รียบง่าย และ ใหม้ คี วามสมั พนั ธ์เช่อื มโยงกับทวิ ทศั น์และสภาพแวดลอ้ มทีม่ ีการปรับแต่งโครงสรา้ ง ปริมาตร พ้นื ผิวของรูปทรงให้ เปน็ อันหนึง่ อันเดยี วกนั ของธรรมชาติ และคนที่จะตอ้ งพ่ึงพาอาศยั กนั ผสมกบั จินตนาการส่วนตวั ของศิลปิน และ อิทธพิ ลของศลิ ปิน เชน่ ปิกสั โซ มอนเดรียน บรนั คสู ิ โดยใช้วัสดุที่หลากหลาย ทำ�ใหผ้ ลงานมกี ารเปลี่ยนแปลงและ เกดิ เอกลักษณ์ของวสั ดุ เนื้อหาท่ีนา่ สนใจ ซึ่งมีอิทธิพลตอ่ การสร้างผลงานประติมากรรมสมัยใหม่ทั้งในตะวันตกและ ตะวนั ออกอยา่ งต่อเนอ่ื ง ภาพท่ี 9.26 เขียน ย้มิ ศริ ิ “ดนิ แดนแหง่ ความยมิ้ แย้ม” ทองแดง สูง 45 ซม. ภาพที่ 9.27 ฮานส์ อาร์พ (Hans Arp) ค.ศ. 1953 “รปู ทรงผูห้ ญิง” (Female Torso) หินอ่อน 88 x 34 x 27 ซม. 190

บทที่ 10 : บทสรุป บทสรปุ ก ารสรา้ งสรรคผ์ ลงานทศั นศลิ ปเ์ ปน็ ผลรวมของการประกอบกนั ของทศั นธาตตุ า่ งๆ ใ หเ้ กดิ การประสานกลม กลนื กนั อย่างมเี อกภาพ เกดิ เปน็ รปู ทรงผสมผสานกับแนวความคดิ ไดอ้ ย่างลงตัว โดยมสี ่ือวสั ดุ กรรมวิธีในการแสดง ออกทต่ี า่ งกนั ในแตล่ ะประเภท ก ารใชท้ ฤษฎใี นการสรา้ งสรรคผ์ ลงานทศั นศลิ ปข์ น้ึ อยกู่ บั ขบวนการสรา้ งสรรคท์ ม่ี งุ่ เนน้ ใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ กบั ผดู้ อู ย่างไร และให้ประโยชน์กบั คนดแู ละสงั คมอยา่ งไร เช่น เนน้ การอนุรกั ษ์ การย�ำ ้เตือน การ ใหร้ ะลกึ ถงึ สิ่งเหลา่ นน้ั ซึ่งเป็นเหตผุ ลที่แสดงออกมาใหป้ รากฏในผลงานแตล่ ะประเภท การทจี่ ะศกึ ษาใหเ้ ข้าใจและ เข้าถงึ การสร้างสรรค์ผลงานทศั นศลิ ป์ ไม่ว่าจะเป็นจติ รกรรม ประติมากรรม สถาปตั ยกรรมและภาพพมิ พ์ จะต้อง ศกึ ษาและทำ�ความเขา้ ใจในรปู แบบ กระบวนการแสดงออก เนื้อหาสาระ ความคดิ รวบยอด สื่อวัสดใุ นการแสดงออก ทฤษฎีตา่ งๆ ทใี่ ชใ้ นการสร้างสรรค์ผลงานในแตล่ ะประเภท ซง่ึ จะต้องใช้หลักการวิเคราะหว์ ิจารณ์ผลงาน และอาศยั ข้อมลู หลกั การดังกล่าว เพอ่ื ทจ่ี ะท�ำ ให้สามารถแยกแยะ รับรูค้ ณุ ค่าทีป่ รากฏให้เห็นในงานทศั นศลิ ป์ ซง่ึ สามารถน�ำ ขอ้ มลู ท่ีวิเคราะห์วจิ ารณ ์ ไปประเมนิ คุณคา่ ของผลงานในแตล่ ะประเภทและเป็นการพฒั นาผลงานการสรา้ งสรรค์ ของตนเอง ซ่ึงเป็นบันไดในการน�ำ ไปสกู่ ารสร้างสรรค์ขน้ั สงู ตอ่ ไปได้ เนอ้ื หาในตำ�ราประกอบการสอนน้ี จะเนน้ รปู แบบ เนื้อหาสาระ ทฤษฎี การจดั องคป์ ระกอบ หลักการการวิเคราะหท์ ศั นศลิ ป์ ท่เี ปน็ ผลงาน 2 มติ ิ คอื จติ รกรรม และภาพพิมพ์ โดยจิตรกรรมจะมงุ่ เนน้ เทคนคิ วิธีการสรา้ งงาน การแสดงออกที่มีอารมณ์ความรูส้ กึ ท่ีปรากฏในผล งานน้นั ๆ จิตรกรรมจะมี 2 มิติ สรา้ งมติ ิความลกึ ตน้ื ใกล้ กลาง ไกลด้วยการจดั วางองค์ประกอบของทัศนธาตุ เช่น สี รปู ทรง พ้ืนผิว ฯลฯ โดยสรา้ งสรรค์ขนึ้ ใหป้ ระสานกนั กบั เนอ้ื หาทตี่ อ้ งการแสดงออกเพือ่ ให้เกดิ อารมณ์ความรู้สกึ ตามศลิ ปินตอ้ งการ เชน่ ความเหงา เศรา้ อุดมสมบรู ณ์ ความศรัทธา ฯลฯ สว่ นภาพพิมพจ์ ะเน้นไปท่ีกรรมวธิ ี เทคนคิ ตา่ งๆในการสรา้ งผลงานท่มี เี อกลกั ษณ์และลักษณะพิเศษเช่นภาพพมิ พ์หินภาพพิมพต์ ะแกรงไหมเปน็ ตน้ การสร้าง มิตคิ วามลึกต้นื ใกล้ กลาง ไกลจะคลา้ ยกบั จิตรกรรม รวมถงึ คุณคา่ ของผลงานภาพพมิ พใ์ นแต่ละชิ้นงาน ไม่วา่ ผลงาน น้ันจะมีขนาดแตกต่างกนั และในผลงานประตมิ ากรรมจะมีจุดทีน่ า่ สนใจ และความพิเศษจะอยู่ท่ปี รมิ าตร พ้นื ผวิ รูป ทรงมี 3 มติ ิ ที่กนิ เนอ้ื ที่ในอากาศ ซึ่งจะมกี ลวธิ ีท่สี ามารถสมั ผสั ไดร้ อบดา้ น จะมคี วามซับซอ้ น มากกว่า 2 มติ ิ รวม ท้งั งานสถาปตั ยกรรมดว้ ย ซงึ่ เน้นประโยชนใ์ ชส้ อยเป็นหลกั การสรา้ งงานในสมยั ใหม่จะมีท้ัง 2 อยา่ งควบคู่กันกับ ความงาม ผูว้ เิ คราะห์วิจารณ์กจ็ ะตอ้ งช้ใี หเ้ หน็ ถึงความพิเศษในแต่ละประเภทดว้ ยกรรมวธิ ี วัสดุ รปู แบบ ทฤษฎี ที่ น�ำ มาสร้างผลงานทัศนศลิ ป์เหลา่ นั้นตามทีศ่ ลิ ปินต้องการ ซงึ่ ผลงานทุกประเภทล้วนแลว้ ตอ้ งอาศัย การสัมผัสรับรู้ ทางการเห็นดว้ ยตา และการสัมผสั สะทอ้ นออกมาทางความรสู้ กึ ของผดู้ ู ใหเ้ หน็ ถึงความงามความมคี ุณค่าทางดา้ น ความคิด รปู ทรงวัสดุ กรรมวิธี ประโยชน์ใช้สอยตามความเหมาะสม ซ่ึงจะตอ้ งทำ�ความเข้าใจในข้อมูลดังกล่าว ข้ัน ตอนหลกั การวเิ คราะหว์ ิจารณ์ผลงานทศั นศลิ ปเ์ หล่านี้ สามารถนำ�ไปปรบั ใชห้ รอื ประยกุ ต์ใชก้ ับการวิเคราะห์ผลงาน 3 มติ ิ ได้แก่ สถาปตั ยกรรม และแขนงอน่ื ทเี่ กยี่ วขอ้ ง แตใ่ นการวเิ คราะหว์ ิจารณ์จะต้องมกี ารปรบั ใช้ให้เข้ากับหน้า ที่ เทคนคิ วธิ กี าร ประเภทวัสดใุ นการสร้างงาน ซ่งึ จะมคี ุณค่าทางความงามทีต่ ่างกนั ในแต่ละประเภท แต่ผลรวม ทั้งหมด คอื เปา้ หมายการแสดงออกของผลงานเหลา่ นล้ี ว้ นแลว้ เพ่อื การสร้างสรรคส์ ง่ิ ใหม่ ใหม้ คี วามงามควบคู่ ประโยชน์ใชส้ อยทั้งสนิ้ โดยในตำ�รานีม้ ีตัวอย่างหลกั การและข้นั ตอนการวิเคราะห์ผลงานจติ รกรรมประตมิ ากรรม และภาพพิมพ์ ซง่ึ เปน็ ส่วนหนงึ่ ที่จะชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจเขา้ ถงึ การสร้างสรรคผ์ ลงานทศั นศิลปม์ ากข้ึน ท�ำ ให้เห็นคณุ คา่ และ แนวความคิดของศิลปินท่ีมีเจตนาในการแสดงออกมาในผลงานของแต่ละแขนงเพื่อเป็นแนวทางในการวิเคราะห์ผล งานทัศนศิลปใ์ นแขนงอน่ื ๆตอ่ ไป 191

การวเิ คราะหท์ ัศนศิลป์ (Visual Arts Analysis) ภาคผนวก ศัพท์ศิลปะอังกฤษ ไทย A A erial Perspective มติ ิอากาศ Art Proper ศิลปะที่แสดงออกทางความร้สู ึก Aristotle ศลิ ปะ คอื การเลียนแบบความแท้จรงิ แสดงแกน่ สารท่ีมีอยูใ่ นสิ่งต่างๆ มากกวา่ การเลียนแบบเฉพาะกายภาพของส่ิงนนั้ มองทะลเุ ข้าไปในสิ่งนั้นเพอ่ื แสดงรปู ทรง ท่เี ป็นแกน่ แท้ออกมา Abstract นามธรรม คอื รปู แบบงานที่ถอยหา่ งจากความเป็นจริงความคดิ ท่ีแยกจากความ จรงิ ทางวัตถุ ส่งิ ที่ตรงขา้ มกบั รูปทรง Art Criticism ศลิ ปะวจิ ารณ์ คอื ความคิดเห็นหรอื การตดั สนิ ท่กี ล่าวหรือเขียนเกีย่ วกบั งานศลิ ปะ การช้ีใหเ้ ห็นขอ้ บกพร่องหรอื คณุ คา่ ของงานศลิ ปะ Aesthetic or Esthetic สุนทรยี ภาพคือภาวะท่ีเปน็ ศิลปะหรอื มคี วามงามความรูส้ กึ ถงึ คุณคา่ ของสงิ่ ท่งี าม ความเปน็ ระเบยี บของเสียงและถ้อยคำ�ทไี่ พเราะ Aesthetics or Esthetics สนุ ทรยี ศาสตร์ คือ วิชาทวี่ า่ ดว้ ยความนยิ ม ความงาม ปรัชญาของศลิ ปะ Africa Art ศลิ ปะแอฟรกิ า เปน็ กระบวนการแบบในผลงานศลิ ปกรรมของพวกแอฟรกิ าส่วน ใหญ่จะเป็นไปตามแนวสญั ลกั ษณ์นยิ ม ไม่เน้นให้เหมอื นจรงิ หรือมีเจตนาเพียงแค่ สิ่งประดบั สวยงาม จงึ ท�ำ ให้ศิลปะแอฟริกาดนู ่ากลัว ลึกลบั และมีรปู ทรงแปลก ประหลาด Art ศลิ ปะ ค อื ผลแหง่ พลงั ความคดิ สรา้ งสรรคข์ องมนษุ ยท์ แ่ี สดงออกในรปู ลกั ษณต์ า่ งๆ ใหป้ รากฏซ่งึ สุนทรยี ภาพความประทับใจ หรือความสะเทอื นอารมณ์ ตามอัจฉรยิ ภาพ พทุ ธปิ ญั ญา ประสบการณ์ รสนยิ ม และทกั ษะของแต่ละคน เพอื่ ความพงึ พอใจ ความร่นื รมยข์ นบธรรมเนยี ม จารีตประเพณี หรือความเชื่อในลัทธศิ าสนา แบง่ เป็น 2 ประเภท คือ วิจติ รศิลป์ และศลิ ปะประยุกต์ B Balance ดลุ ยภาพ คอื สภาพของการถว่ งดุลกนั ของน�ำ ห้ นัก อำ�นาจ ฯลฯ ความกลมกลืน ของทัศนธาตุทป่ี ระกอบกนั ในงานชน้ิ หน่ึง Beauty ความงาม คือ คณุ ลกั ษณะทีม่ ีอยใู่ นรปู ทรง ในสี ในเสียง ในพฤตกิ รรม ฯลฯ ที่ให้ ความพอใจในระดบั สงู แกผ่ ู้รับรู้ C Craf งานฝีมือ Cubism ลัทธิคิวบสิ ม์ เป็นศิลปะสมัยใหม่ สกุลหนึ่ง ใชร้ ปู ทรง ของลกู บาศก์และรูปทรงเรขา คณติ อื่นๆ เปน็ ลักษณะเดน่ ในงาน 192

บทท่ี 10 : บทสรปุ ศัพทศ์ ลิ ปะอังกฤษ ไทย Construction of Nature โครงสรา้ งจากธรรมชาติ Cool color สวี รรณะเยน็ Craftsman ชา่ งฝมี ือ City view, City scape ภาพทวิ ทัศนเ์ มอื ง ประกอบดว้ ย สง่ิ กอ่ สร้างทีเ่ จรญิ และทนั สมัย Creation การสร้างสรรค์ คอื การทำ�ให้เกดิ ส่งิ ใหมข่ ้นึ การสร้างส่งิ ที่เปน็ ต้นแบบขึ้น การ กระทำ�ทต่ี รงกันข้ามกบั การเลียนแบบ Content เนือ้ หา คือ สิ่งที่แสดงออกในงานศิลปะ ความหมาย สาระ Concept แนวความคิดมโนคติท่ีรวมส่ิงท่ีลักษณะเชื่อมโยงกันโดยจำ�พวกหรือชนิดเข้า ดว้ ยกนั Composition องค์ประกอบ เปน็ สว่ นประกอบของวัตถุ สิ่งของ ความคดิ ศลิ ปะ ฯลฯ ผลงาน ทศั นศิลป์ท่ีมลี ักษณะเป็นการประกอบกันของรปู ทรงหรอื ทศั นธาตุการสร้างสรรค์ ศลิ ปะ เชน่ ทศั นศลิ ป์ ดนตรี วรรณกรรม ดว้ ยการใชท้ ัศนธาตุ เสยี ง หรอื ถอ้ ยคำ� มาประกอบกัน Cultural Identity เอกลกั ษณะทางวฒั นธรรม ค อื ล กั ษณะเดน่ ชดั ทางวฒั นธรรมทป่ี รากฏในงานศลิ ปะ โดยทางความคิด เร่ืองราว รูปทรง หรือวิธีการทส่ี �ำ คญั ท่สี ุดคอื ลักษณะส่วนรวม ของงานท่มี ีลกั ษณะทางวัฒนธรรมแฝงอยู่ D Depth ความซบั ซ้อน ความคิดลึกซงึ้ Develop การคลี่คลาย เปน็ การท�ำ ใหเ้ จริญขึ้น ก้าวหนา้ พัฒนาข้ึนทลี ะข้นั E Essential Elements สาระสำ�คัญ Expression การแสดงออกทางความคดิ อารมณ์ความร้สู ึกความหมายฯลฯออกมาเปน็ รปู แบบ ด้วยถอ้ ยค�ำ หรือสญั ลักษณ์ Experience ประสบการณ์ เปน็ ส่งิ หรือเหตุการณ์ท่ีประสบมาดว้ ยตวั เอง การใชช้ ีวติ เข้าสมั ผสั เหตุการณ์นนั้ โดยตรง ความรู้ความช�ำ นาญ ที่ประสบมาดว้ ยตนเอง Emotion อารมณ ์ ค อื จติ ทถ่ี กู รบกวนหรอื กระตนุ้ ความรสู้ กึ ยนิ ดีเศรา้ โศกเกลยี ดกลวั ตน่ื เตน้ ฯลฯ ความรู้สึกทีถ่ ูกเรา้ ดว้ ยความพอใจ ความเจบ็ ปวด ฯลฯ ในระดบั ทีร่ นุ แรง สะเทือนใจ Etching ภาพพิมพ์กัดกรด เป็นวธิ ีการทำ�แมพ่ มิ พจ์ ากแผน่ โลหะประเภทตะก่ัวหรือทองแดง ท่เี คลือบหรอื ทาดว้ ยสารกนั กรดชนดิ ตา่ งๆ จากนัน้ จงึ ใชก้ รดกดั กรดจะกดั ส่วนท่ี ไม่ได้ทาสารเคลอื บไว้ จะเป็นจดุ เส้น พื้นผิว และเปน็ หลมุ ตามต้องการ ส่วนตา่ งๆ เหล่านนั้ จะเปน็ ส่วนอุ้มหมึกไว้ใหป้ รากฏในภาพพมิ พ์ 193

การวเิ คราะห์ทัศนศิลป์ (Visual Arts Analysis) ศพั ท์ศิลปะองั กฤษ ไทย F Form รูปทรง คอื สว่ นท่เี ปน็ รูปธรรมในงานศิลปะ ซึง่ ตรงขา้ มกับเน้ือหาซึง่ เปน็ นามธรรม ตรงกันขา้ มกับท่ีวา่ งเปน็ รปู ทรงย่อยๆ ในงาน Formalist รูปทรงทีม่ ีแบบแผน ที่แสดงออกทางความรู้สึก Fresco สปี ูนเปยี ก Feeling ความรสู้ ึก คือ ความรู้ตัว ท่เี กิดจากอินทรียส์ ัมผัส ความสะเทือนใจ ความหวัน่ ไหว ของอารมณท์ ี่เกดิ จากความเหน็ ใจ สงสาร ฯลฯ Figure รูป คอื รปู ร่าง รูปทรง รปู นอก สง่ิ ทมี่ ีรูปร่าง สิง่ ท่ตี รงกนั ข้ามกบั พ้ืนในภาพภาพหนง่ึ Form รูปแบบ คอื สว่ นท่ีเป็นรูปธรรมในงานศลิ ปะ ซง่ึ ใช้เปน็ สื่อแสดงเนอื้ หาหรือส่วนที ่ เปน็ นามธรรมของงาน เชน่ รูปแบบของงานจิตรกรรม จะหมายถึง ภาพทัง้ ภาพท่ี ปรากฏแกส่ ายตา ซ่ึงประกอบดว้ ยรปู ทรงต่างๆ น�ำ ้หนัก สี ทว่ี า่ ง ฯลฯ Fine Arts วิจิตรศลิ ป์ คอื ศลิ ปะที่สร้างข้ึนเพอื่ ช่นื ชมในคณุ ค่าของศิลปะโดยตรง มไิ ด้มงุ่ ประโยชน์อยา่ งอ่ืน Fauvism ลัทธโิ ฟวิสม์ คอื ขบวนการทางจติ รกรรม ซง่ึ มจี ดุ เดน่ ในการใช้สีทสี่ ว่างสดใส รุนแรง ให้ความส�ำ คัญของสีท้งั ในแง่การเรา้ อารมณส์ ร้างจินตนาการ เพอ่ื ความสวยงาม พร้อมกนั มกี ารเล่นฝแี ปรงอยา่ งรุนแรง ภาพจะมีรปู ทรงเรียบงา่ ย ไมค่ อ่ ยมรี ายละเอียด G Graphic Arts ศิลปะการพิมพ์ Ground พืน้ เปน็ บรเิ วณ 2 มติ ิ ทีล่ อ้ มรอบรูป (Figure) อยู่ H Harmony ความกลมกลนื เปน็ การประสานกนั อยา่ งลงตวั น่าพอใจรปู ทรง สี เสยี ง รปู ความ คิด เปน็ ตน้ I Impressionism ลทั ธอิ ิมเพรสช่นั นิสม์ Impression, Sunrise ความประทบั ใจยามรุ่งอรุณ Illusion ภาพลวงตา Intuition การเห็นแจ้ง เปน็ การเห็นความจรงิ ทเ่ี ปน็ ลักษณะเฉพาะ ซ่งึ เป็นความจรงิ ภายใน ของสิ่งต่างๆ คนทวั่ ไปมองไม่เหน็ Inspiration ความบันดาลใจ จะกระตนุ้ หรอื ผลักดนั ใหเ้ กดิ ขึ้นในใจท�ำ ใหเ้ กิดความคดิ หรอื การ กระท�ำ เชิงสร้างสรรค์ อาจเกดิ ขน้ึ จากแรงกระตุน้ ทง้ั ภายในและภายนอกกไ็ ด้ Imagination จนิ ตนาการเปน็ การกระท�ำ หรอื พลงั อ�ำ นาจของจติ ซงึ่ สรา้ งรปู ทม่ี ไิ ดม้ ปี รากฏใหเ้ หน็ คอื สรา้ งรปู ท่พี เิ ศษพสิ ดารกวา่ ส่งิ ท่ไี ดเ้ ห็นขึ้นในจติ เป็นพลงั ทีส่ ร้าง มโนคติใหม่ขนึ้ จากประสบการณต์ า่ งๆ ทีผ่ า่ นมา 194

บทที่ 10 : บทสรปุ ศัพท์ศิลปะองั กฤษ ไทย Image จนิ ตภาพ เป็นภาพทีเ่ กิดจากจนิ ตนาการ ซง่ึ อาจเปน็ ภาพท่ปี รากฏในจิต หรอื ภาพ ท่แี สดงออกแล้วเปน็ รูปทรงในงานศิลปะ J John Dewey ศิลปะคือประสบการณ์เปน็ การมชี วี ิตสัมพนั ธก์ ับสง่ิ แวดล้อมท�ำ ให้มีความคิดและ อารมณ์ต่อสงิ่ นนั้ เชน่ ความกลัว กดดนั เป็นต้น โดยนำ�มาถา่ ยทอดเปน็ ศลิ ปะใน รูปแบบต่างๆ L Leo Tolstoy ศลิ ปะ คือ การสอ่ื สารอาเวคท่ีเกดิ ขึน้ แก่ บคุ คลหนึ่งไป ยงั บุคคลอืน่ ๆ ทมี่ อี าเวค อย่างเดียวกัน อาเวคยิง่ รุนแรงเพยี งใด ศลิ ปะก็ยิง่ มคี วามเปน็ ศิลปะมากขึน้ เพยี ง นั้นศิลปะท่ีแท้จริงย่อมส่ือสารให้เกิดความรักพระเจ้ารักมนุษย์และภราดรภาพ ความก้าวหนา้ ของศิลปะ คอื ความก้าวหนา้ ของมนุษย์ชาตไิ ปสคู่ วามสมบูรณ์ Linear Perspective จิตทัศนยี ภาพด้วยเส้น Landscape ภาพทวิ ทัศน์ ประกอบด้วย สิ่งกอ่ สรา้ ง ส่งิ มีชีวติ ทป่ี รากฏบนพื้นดิน Lithograph ภาพพิมพห์ นิ M Modulation การปรับการเปล่ยี นแปลงให้เหมาะสม Meaning ความหมายของสงิ่ ทแี่ สดงออกในงานศิลปะ อาจเปน็ อารมณ์ ความรู้สึก ความคดิ ความงาม ฯลฯ Mass มวล คือ กลุ่มก้อน รูปทรงทีท่ ึบแนน่ Mezzotint เมสโซตินท์ เปน็ ภาพพิมพ์แบบอนิ ตากลโิ อ (Intaglio) ซ่ึง พิมพ์จากผิวแม่พิมพ์ โลหะที่เตรียมไว้เปน็ ร่องรอยเล็กๆ หยาบพรุนไปทั่วท้ังแผน่ เม่อื นำ�ไปพิมพจ์ ะได้ ภาพแผ่นสีด�ำ ศิลปินจะสรา้ งนำ�้หนักตา่ งๆ ขึน้ ดว้ ยการใช้เครอ่ื งมือขดู หรือฝนให้ ร่องรอยเหล่านลี้ ดความหยาบพรุนลงในบรเิ วณทต่ี ้องการ Mixed Art ศลิ ปะผสม เปน็ ศิลปะที่มิไดจ้ ำ�กดั วิธกี ารแสดงออกในสาขาใดสาขาหนึ่งโดยเฉพาะ แตใ่ ชห้ ลายสาขาผสมกนั เชน่ จิตรกรรม ประตมิ ากรรม ดนตรี Mixed media Art ศิลปะสอ่ื ผสม เ ป็นศลิ ปะที่ใชส้ อ่ื ในการแสดงออกหลายทางเช่นทางสีทางปรมิ าตร ทางเสยี ง ทางแสง ฯลฯ Modeling การปนั้ เ ปน็ วธิ กี ารสรา้ งงานประตมิ ากรรมวธิ กี ารหนง่ึ ซง่ึ จดั เปน็ วธิ กี ารบวกหรอื พอก พูน โดยใชว้ สั ดุค่อนขา้ งนิ่ม เชน่ ดินเหนยี ว ดินน�ำ ้มัน หรอื ขผ้ี ึง้ ในการสรา้ งงาน Monoprint ภาพพิมพแ์ ผ่นเดยี ว คือ ภาพที่พิมพ์ได้เพยี งแผ่นเดียวเทา่ นน้ั ไม่สามารถพิมพ์ซ�ำ ้ ให้เหมือนเดมิ ได้อีก O เนือ้ หา Object 195


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook