Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การพัฒนาสื่อการสอนพระพุทธศาสนา

การพัฒนาสื่อการสอนพระพุทธศาสนา

Description: ความหมาย ความสำคัญและประเภทของสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ การออกแบบนวัตกรรมการเรียนรู้ การเลือกใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อผลิตสื่อการเรียนรู้และการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

Keywords: การพัฒนาสื่อการสอนพระพุทธศาสนา

Search

Read the Text Version

การพฒั นาส่อื การสอนพระพุทธศาสนา ๗๗ และสงเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมายตรงกับความตองการ ของผู้สอน และ ผู้เรียน เช่ือมโยงระบบเป็นเครือขายที่สามารถเรียนรู้ไดทุกท่ี ทุกเวลา และทุกคน สามารถ ประเมิน ติดตามพฤติกรรมผู้เรียนได้ เสมือนการเรียนในห้องเรียนจริง โดยสา มารถ พจิ ารณาไดจากคุณลกั ษณะ ดังนี้ * เว็บไซตที่เก่ียวของกับการศึกษา เกี่ยวข้องกับเนื้อหารายวิชาใด วิชาหนึ่งเป็น อย่างน้อย หรือการศกึ ษาตามอธั ยาศยั *ผู้เรียนสามารถเรียนรไู้ ดด้ ้วยตนเอง จากทกุ ท่ีทุกเวลาโดยอิสระ *ผู้เรียนมีอิสระในการเรียน การบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้แต่ละเน้ือหาไม่จําเป็น ต้องเหมือนกัน หรือพร้อมกับผู้เรียนรายอื่นมีระบบปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน และสามารถ เรยี นรูร้ ่วมกันได้ *มีเครื่องมือทีว่ ัดผลการเรียนได้ *มกี ารออกแบบการเรยี นการสอนอย่างมีระบบ *ผสู้ อนมสี ภาพเปน็ ผู้ช่วยเหลือผูเ้ รยี นในการค้นหา การประเมิน การใชป้ ระโยชน์ จากเนอ้ื หา จากสอื่ รูปแบบต่างๆ ทม่ี ีให้บริการ *มีระบบบริหารจัดการการเรียนรู้ (Learning Management System/LMS) *มรี ะบบบรหิ ารจดั การเนื้อหา/หลักสูตร (Content Management System/CMS) 6.6.1 E-learning ในประเทศไทย การจัดระบบการเรียนการสอนทางไกลในประเทศไทยในปัจจุบัน ได้ก้าวเข้าสู่การ ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อในการนําเสนอ โดยมีรูปแบบการนําเสนอผลงานแบ่ง ได้ 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ * การนําเสนอในลักษณะ Web Based Learning * การนําเสนอในลกั ษณะ E-learning 6.6.2 รปู แบบการพฒั นา E-learning ในประเทศไทย ท้ัง WBI และ E-learning ที่มีอยู่ประเทศไทย พบว่าแต่ละหน่วยงานได้พัฒนา ระบบ LMS/CMS ของตนเอง อิงมาตรฐานของ AICC เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแต่ละหน่วยงานก็ ใช้ Web Programming แตกต่างกันออกไปท้ัง PHP, ASP, Flash Action Script, JavaScript ท้ังน้ีอาจจะจัดต้ังหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง หรืออาจจะพัฒนาโดยบุคคล หรือกลุ่มบุคคลเป็นการส่วนตัวก็ได้ เน่ืองจากปัญหาส่วนใหญ่จะมาจากการขาด งบประมาณและการสนบั สนุนทเี่ ปน็ รปู ธรรม จากผบู้ ริหาร นอกจากน้ีมีบริษัทภายในประเทศไทยท่ีพัฒนาซอฟต์แวร์บริหารจัดการการเรียน ชื่อ Education Sphere (http://www.educationsphere.com/) คือบริษัท Sum System จํากัด ท่ีพัฒนา LMS Software ออกมาให้จําหน่ายและพัฒนาให้กับ

การพฒั นาสื่อการสอนพระพุทธศาสนา ๗๘ มหาวิทยาลยั รามคําแหง เปน็ หน่วยงานแรก รวมท้ังศูนย์การศกึ ษาตอ่ เน่อื งแห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ก็พัฒนาโปรแกรมจัดการหลักสูตรเนื้อหาวิชา และการจัดการเรียนการสอน ชนิด Web Based Instruction โดยต้ังช่ือโปรแกรมว่า Chula E-learning System (Chula ELS) ออกมาให้บรกิ ารเชน่ กนั 6.6.3 ปญั หาการพฒั นา E-learning ในประเทศไทย การพัฒนา WBI และ E-learning ในประเทศไทย ต่างก็ประสบปัญหาต่างๆ ซึง่ สามารถสรปุ ไดด้ ังน้ี * ปัญหาการสนับสนุนดา้ นงบประมาณและบคุ ลากรและการสนบั สนุนจากผู้บริหาร * ปญั หาการขาดความร้ดู ้านเทคโนโลยี E-learning และเทคโนโลยีทเี่ กย่ี วขอ้ ง * ปญั หาเร่อื งราคาของซอฟต์แวร์ CMS/LMS และการลิขสทิ ธ์ิ * ปญั หาเร่อื งทีมงานดําเนินการ ท้ังดา้ นความรู้, การคดิ สร้างสรรค์ และเงิน สนับสนนุ * ปัญหาเกีย่ วกบั เนื้อหาที่จะนาํ เสนอ ทัง้ แหล่งทม่ี า, ผลตอบแทน และการละเมดิ เมอ่ื เผยแพร่ผ่านเวบ็ ไซต์ * ปญั หาเก่ยี วกบั Infrastructure ของประเทศ ทยี่ ังขาดความพร้อม * ปัญหาเกย่ี วกบั มาตรฐานการพฒั นาเว็บภาษาไทย ท้ังการเขา้ รหัส, การใชฟ้ อนต์ และรูปแบบ * ปัญหาเกย่ี วกบั มาตรฐานการจดั ทําระบบ CMS/LMS 6.6.4 ลกั ษณะสาํ คญั ของ E-learning E-learning นับเป็นคําใหม่พอสมควร ที่มีความหมายถึงการอบรมด้วยระบบ เครือข่าย หรือผ่านระบบเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือเครือข่าย อินทราเน็ตในองค์กร ดังนั้น E-learning จึงได้ผนวกเข้ากับโลกแห่งการศึกษา และวงจร ธรุ กจิ อยา่ งหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปัจจุบนั นบ้ี รษิ ทั หลายบรษิ ัทพัฒนาระบบ E-learning เพ่ืออบรม พนักงานขายของบริษัท ให้ทราบและรู้จักผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมเทคนิคการขาย มหาวิทยาลัยช้ันนําต่างๆ เช่น Stanford หรือ Harvard ก็นําระบบ E-learning มา ให้บริการนิสิต นักศึกษาจากท่ัวโลก เพื่อสมัครเรียนในหลักสูตรต่างๆ ท่ีเปิดให้บริการ ดังนน้ั จงึ พอจะสรปุ ลกั ษณะสําคัญของ E-learning ไดด้ งั นี้ * Anywhere, Anytime and Anybody คือ ผู้เรียนจะเป็นใครก็ได้ มาจากที่ใดก็ ได้ และเรียนเวลาใดก็ได้ตามความต้องการของผู้เรียน เพราะหน่วยงานได้เปิดเว็บไซต์ ให้บรกิ ารตลอด 24 ช่ัวโมง รวมท้ังบรกิ ารจดั ทาํ เปน็ ชดุ CD เพอื่ ใช้ในลกั ษณะ Offline ใหก้ ับโรงเรียนหรอื สถานศึกษาท่ีสนใจ แตย่ งั ไมพ่ ร้อมในระบบอินเทอร์เน็ต * Multimedia สือ่ ทน่ี าํ เสนอในเว็บ ประกอบด้วยข้อความ ภาพน่ิงภาพเคลื่อนไหว และเสียง ตลอดจนวีดทิ ศั น์ อันจะชว่ ยกระตุ้นการเรียนร้ขู องผเู้ รียนไดเ้ ป็นอย่างดี * Non-Linear ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนเน้อื หาทนี่ ําเสนอไดต้ ามความต้องการ

การพฒั นาส่อื การสอนพระพทุ ธศาสนา ๗๙ * Interactive ด้วยความสามารถของเอกสารเว็บที่มีจุดเช่ือม (Links) ย่อมทําให้ เน้ือหามีลักษณะโต้ตอบกับผู้ใช้โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว และผู้เรียนยังเพ่ิมส่วนติดต่อกับ วิทยากรผ่านระบบเมล์ ICQ, Microsoft Messenger และสมุดเยี่ยม ทําให้ผู้เรียนกับ วทิ ยากรสามารถตดิ ตอ่ กันได้อย่างรวดเรว็ ดังน้ันรูปแบบการเรียนการสอนผ่านเว็บ จึงมีความยึดหยุ่นสูง ผู้เรียนจะต้องมี ความรับผิดชอบ มีความกระตือรือร้นในการเรียนมากกว่าปกติ มีความต้ังใจใฝ่หาความรู้ ใหม่ๆ ตรงกับระบบการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยมีผู้สอนเป็นเพียงผู้แนะนํา ท่ีปรึกษา และแนะนําแหลง่ ความร้ใู หมๆ่ ท่เี กี่ยวข้องกับการเรียน ผู้เรียนสามารถทราบผลย้อนกลับของการเรียน รู้ความก้าวหน้าได้จาก E-Mail การประเมินผลควรแบ่งเป็น การประเมินย่อย โดยใช้เว็บไซต์เป็นท่ีสอบ และ การประเมินผลรวม ที่ใช้การสอบแบบปกติในห้องเรียน เพ่ือเป็นการยืนยันว่าผู้เรียนเรียน จรงิ และทาํ ข้อสอบจริงได้หรอื ไม่ อย่างไร 6.6.4 ขอ้ ดี – ขอ้ เสยี ของการเรยี นการสอนผา่ นเว็บ ขอ้ ดี * เอือ้ อํานวยให้กบั การตดิ ต่อสอ่ื สารท่ีรวดเรว็ ไม่จํากัดเวลาและสถานที่ รวมทงั้ บคุ คล * ผเู้ รยี นและผ้สู อนไม่ต้องการเรียนและสอนในเวลาเดียวกนั * ผเู้ รียนและผสู้ อนไม่ตอ้ งมาพบกนั ในห้องเรียน * ตอบสนองความตอ้ งการของผเู้ รียน และผู้สอนที่ไมพ่ รอ้ มดา้ นเวลา ระยะทางในการเรียนได้เป็นอย่างดี * ผู้เรียนที่ไม่มีความมั่นใจ กลัวการตอบคําถาม ตั้งคําถาม ต้ังประเด็นการ เรียนรู้ในห้องเรียน มีความกล้ามากกว่าเดิม เน่ืองจากไม่ต้องแสดงตนต่อหน้าผู้สอน และ เพื่อนร่วมช้ัน โดยอาศัยเคร่ืองมือ เช่น E-Mail, Webboard, Chat, Newsgroup แสดง ความคิดเหน็ ไดอ้ ย่างอสิ ระ ขอ้ เสยี * ไม่สามารถรบั รคู้ วามรู้สึก ปฏกิ ิริยาทแี่ ทจ้ ริงของผู้เรยี นและผู้สอน * ไมส่ ามารถสอ่ื ความรู้สกึ อารมณ์ในการเรยี นร้ไู ด้อย่างแท้จรงิ * ผู้เรียน และผสู้ อน จะตอ้ งมคี วามพร้อมในการใชค้ อมพวิ เตอรแ์ ละ อินเทอร์เน็ต ท้งั ด้านอุปกรณ์ ทักษะการใช้งาน * ผู้เรยี นบางคน ไมส่ ามารถศกึ ษาด้วยตนเองได้ 6.6.5 ขอ้ คํานงึ ในการจดั การเรยี นการสอนผา่ นเว็บ การจดั การเรียนการสอนผ่านเวบ็ ควรคํานึงถงึ ประเด็นต่างๆ ตอ่ ไปน้ี ความพร้อมของอุปกรณ์และระบบเครือข่าย เน่ืองด้วยการเรียนการสอน ผ่านเว็บ เป็นการปรับเน้ือหาเดิมสู่รูปแบบใหม่ จําเป็นต้องมีเครื่องมือ อุปกรณ์ และระบบ

การพฒั นาสอ่ื การสอนพระพุทธศาสนา ๘๐ เครือข่ายที่พร้อมและสมบูรณ์ เพื่อให้ได้บทเรียนดิจิตอลท่ีมีคุณภาพ และทันต่อความ ต้องการเรียน ผู้เรียนสามารถเลือกเวลาเรียนได้ทุกช่วงเวลาตามที่ต้องการ ซ่ึงในประเทศ ไทยพบวา่ มีปัญหาในด้านนีม้ าก โดยเฉพาะในเขตนอกเมอื งใหญ่ ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ผู้เรียนและผู้สอน ต้องมีความรู้ และทักษะท้ังด้านคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตพอสมควร โดยเฉพาะผู้สอน จาํ เปน็ ต้องมที กั ษะอืน่ ๆ ประกอบเพอื่ สร้างเว็บไซตก์ ารสอนที่นา่ สนใจใหก้ ับผเู้ รียน ความพร้อมของผู้เรียน ผู้เรียนจะต้องมีความพร้อมทั้งทางจิตใจ และความรู้ คือ จะต้องยอมรับในเทคโนโลยีรูปแบบน้ี ยอมรับการเรียนด้วยตนเอง มีความกระตือรือร้น ตืน่ ตัว ใฝ่รู้ มคี วามรบั ผดิ ชอบ กลา้ แสดงความคดิ เหน็ และศึกษาความรใู้ หมๆ่ ความพร้อมของผู้สอน ผู้สอนจะต้องเปล่ียนบทบาทจากผู้แนะนํา มาเป็นผู้อํานวย ความสะดวก ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น อยากเรียนรู้ กระตุ้นการทํากิจกรรม เตรียมเน้ือหาและแหล่งค้นคว้าที่มีคุณภาพ รวมท้ัง ความพร้อมด้านการใช้คอมพิวเตอร์ การผลิตบทเรียนออนไลน์ และการเผยแพร่บทเรียน ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เนต็ เนื้อหา บทเรียน เน้ือหาบทเรียนจะต้องเหมาะสมกับผู้เรียนให้มากกลุ่มท่ีสุด มีหลากหลายให้ผเู้ รียนแต่ละกลุ่มเลือกเรียนได้ด้วยตนเอง มีกิจกรรมวัตถุประสงค์ท่ีชัดเจน เลือกใช้ส่ือการสอนท่ีเหมาะสม และเหมาะสมกับความพร้อมของเทคโนโลยี การลําดับ เนื้อหาไมซ่ บั ซ้อน ไมก่ อ่ ให้เกิดความสับสน ระบุแหล่งค้นควา้ อื่นๆ ที่เหมาะสม สรปุ บทเรียนออนไลน์ก็มีประโยชน์อย่างมากมาย เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน สนับสนุนการเรียนการสอน เกิดเครือข่ายความรู้ เน้นการเรียนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ตรงตามหัวใจของการปฏิรูปการศึกษา ลดช่องว่างการเรียนรู้ระหว่างเมืองและท้องถ่ิน บทบาทของส่ือสังคมออนไลน์จะเข้าไปมีส่วนร่วมในชีวิตประจําวันของประชาชนเพิ่มขึ้น แต่อาจมีการเปล่ียนแปลงการใช้ชนิดของส่ือสังคมออนไลน์ประเภทต่าง ๆ ไปตามกระแส ความนิยมของกลุ่มผู้ใช้กลุ่มต่าง ๆ และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศและ การส่ือสาร ส่ือสังคมออนไลน์มีท้ังข้อดีและข้อด้อย รวมทั้งอาจส่งผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ อาญากรรมคอมพิวเตอร์ และความมั่นคง ท้ังในแง่บวกและแง่ลบ สาเหตุสําคัญ ที่ทําให้ส่ือสังคมออนไลน์ ได้รับความนิยม ขึ้นเรื่อย ๆ มาจาก การใช้งานที่ง่าย เข้าถึงกลุ่ม คนได้รวดเร็ว มี การแสดงความคดิ เห็นไปมา และสื่อท่ีนํามาแบ่งปันมีลักษณะ หลากหลาย รวมท้ังการพัฒนาตลอดเวลาของเทคโนโลยีการ ส่ือสารและอินเทอร์เน็ต ทําให้มีแนวโน้ม ค่อนขา้ งชัดเจนว่า สื่อสงั คมออนไลน์ จะเปน็ สอ่ื หลักของผู้คนในโลกอนาคตอยา่ งแท้จรงิ

บทที่ ๘ วิธีการสอนแบบตา่ งๆ วตั ถุประสงค์การเรียนร้ปู ระจาบท เมอ่ื ได้ศกึ ษาเน้ือหาในบทนีแ้ ล้ว ผ้เู รยี นสามารถ ๑. อธิบายรปู แบบการเรียนการสอนได้ ๒. อธิบายรูปแบบการบูรณาการได้ ๓. อธิบายการสอนแบบศูนย์การเรียนรู้ได้ ๔. อธิบายการสอนตามแนวพทุ ธวิธีได้ ขอบขา่ ยเนอื้ หา  รูปแบบการเรยี นการสอน  รปู แบบการบูรณาการ  การสอนแบบศูนยก์ ารเรียนรู้  การสอนตามแนวพุทธวธิ ี

การพัฒนาสือ่ การสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๐๐ ๘.๑ ความนา การปฏิรูปการศึกษาเป็นมาตรการสาคัญที่มีผลต่อการปฏิรูปสังคมวัฒนธรรม เศรษฐกิจและ การเมืองของประเทศ ให้สามารถทนต่อแรงเสียดทานที่เกิดจากวิกฤตด้านต่างๆ ที่เกิดข้ึนท่ัวโลก ประเทศไทยเรา มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๘๑ กาหนดให้รัฐ ต้องจัดให้มีกฎหมายการศึกษาแห่งชาติและปรับปรุงการศึกษา ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทาง เศรษฐกิจและสังคม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ซ่ึงเป็นกฎหมายการศึกษาฉบับ แรกของประเทศไทย มีกาหนดเก่ียวกับหลักสูตรไว้ในหมวด ๔ ว่าด้วย แนวการ จัดการศึกษา มาตรา ๒๗ วรรคหนึ่ง ให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐานจัดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานขึ้นเพ่ือ ความเปน็ ไทย ความเปน็ พลเมอื งดขี องชาติ การดารงชวี ิตและการประกอบอาชีพตลอดจนเพ่ือการศึกษา ต่อและวรรคสอง กาหนดให้สถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานมีหน้าท่ีจัดทาสาระของหลักสูตรตามวัตถุประสงค์ใน วรรคหน่ึงในส่วนที่เกี่ยวกับปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถ่ิน คุณลักษณะอันพึงประสงค์เพื่อ เป็นสมาชกิ ทีด่ ีของครอบครวั ชุมชน สังคมและประเทศชาติ๑ วิธีสอน หมายถึง แนวทางท่ีปฏิบัติ แบบอย่างท่ีทา ที่ผู้สอนดาเนินการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ตามวัตถุประสงค์ด้วยวิธีการต่าง ๆที่แตกต่างกันไปตามองค์ประกอบ และข้ันตอนสาคัญอันเป็นลักษณะ เด่นหรือลักษณะเฉพาะท่ีขาดไม่ได้ของวิธีน้ัน ๆ เช่น วิธีสอนโดยใช้การบรรยาย วิธีสอนแบบสาธิต แบบ โครงงาน แบบสืบสวนสอบสวน แบบอุปนัย แบบอภิปราย เป็นตน้ ๘.๒ รูปแบบการเรยี นการสอน รูปแบบก็คือการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการแบบต่างๆ ที่สร้างองค์ความรู้มีลักษณะเด่น การให้ ความสาคัญของกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนและความสาคัญของความรู้ ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียน เป็นผู้แสดงความรู้ สร้างความรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนสังเกตส่ิงท่ีตนอยากเรียนรู้ แล้วค้นคว้าแสวงหาความรู้ เพิม่ เช่อื มโยงกับความรู้เดมิ ประสบการณเ์ ดิม ผนวกกับความรู้ใหม่ จนสร้างสรรค์เกดิ เป็นองค์ความรู้ใหม่ กล่าวโดยสรุปเป็นการเรยี นร้โู ดยใหผ้ เู้ รียนลงมือปฏิบัติจริง ค้นหาความรู้ด้วยตัวเอง จนค้นพบความรู้และ รู้จักส่ิงที่ค้นพบ เรียนรู้วิเคราะห์ต่อจนรู้จริง รู้ลึกซึ่งว่าส่ิงน้ันคืออะไรมีความสาคัญมากน้อยเพียงไร การ เรียนรู้แบบน้ีส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถในการคิด พร้อมทั้งฝึกทักษะทางสังคมท่ีดี ได้ร่วม แลกเปลี่ยนเรยี นรรู้ ะหว่างผเู้ รียนกับผ้สู อน โดยแบ่งประเภทไว้ ๓ คอื ๑. การสอนโดยการอภิปรายกลุ่ม (Group Discussion) ๒. การสอนแบบโครงงาน (Project Design) ๓. การสอนแบบบรู ณาการ (Integrated Teaching) ๑ สานกั นเิ ทศและพัฒนามาตรฐานการศกึ ษา, สานกั งานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร,รายงานวิจัยปฏบิ ัตกิ ารเพ่อื พฒั นาระบบประกนั คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา.กรุงเทพฯ:องคก์ าร รบั สง่ สินคา้ และพสั ดภุ ัณฑ์ (ร.ส.พ.). ๒๕๔๖ หนา้ ๑.

การพัฒนาสื่อการสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๐๑ ๘.๒.๑ การสอนโดยการอภิปรายกลุม่ (Group Discussion) วิธีสอนที่มุ่งให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสนทนาแลกเปล่ียนความคิดเห็น หรือพิจารณาหัวข้อที่ กลุ่มมีความสนใจร่วมกัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือหาคาตอบ แนวทาง หรือเพื่อแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่ง ร่วมกัน เป็นวิธีสอนท่ีผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียน คือ ได้คิด ได้ทา ได้แก้ปัญหา และได้ฝึกการร่วมกัน ทางานแบบประชาธปิ ไตย มีลักษณะการเรียนรูแ้ บบกระตือรือร้น (Active Learnin) พัฒนาผู้เรียนท้ังด้าน ความรู้ ด้านเจตคติ ด้านทักษะการเรียนรู้ เช่น ทักษะการคิด การพูด การรับฟัง การแสดงความคิดเห็น การทางานร่วมกับกลมุ่ ๑. ข้นั เตรียมการอภิปราย ผสู้ อนต้องเตรยี มในสง่ิ ต่อไปน้ี ๑.๑ หัวข้อและรูปแบบการอภิปราย เตรียมให้สอดคล้องเหมาะสมกับ จุดประสงคข์ องบทเรียน เวลาเรียนจานวนผู้เรียนสถานที่ ฯลฯ เช่นถ้ามีเวลาจากัดควรใช้แบบซุบซิบหรือ ปรึกษา ถ้าต้องการรวบรวมความคิดอาจใช้แบบระดมพลังสมอง ( Brain storming) ถ้ามีเวลาให้ผู้เรียน ไดม้ เี วลาเตรยี มเน้อื หาสาระความรู้มาลว่ งหนา้ ควรใช้แบบ ซมิ โพเซยี ม (Symposim) ๑.๒ ห้องเรียน ผสู้ อนควรจดั โต๊ะเกา้ อี้ให้เหมาะสมกับรูปแบบการอภปิ ราย เชน่ ๑. จดั แบบวงกลม หรือครึ่งวงกลม เหมาะสาหรบั การอภิปรายแบบ ระดมสมอง ๒. จดั รปู แบบตวั ยูหรอื สเ่ี หลี่ยมผนื ผา้ เหมาะสาหรบั การอภิปรายกลุ่ม ใหญ่ ๓. จดั รูปแบบตวั ที (T) หรือแบบเรยี งแถวหนา้ กระดานเหมาะสาหรบั การอภิปรายแบบพาเนล ๑.๓ สื่อการเรยี น อาจตอ้ งใช้เอกสารไว้แจกประกอบการอภิปราย อาจมีการใช้ สไลด์ภาพแผนภูมิแผ่นใสฯลฯ เพ่ือสรุปผลการอภิปราย หรือประกอบการอภิปรายของแต่ละกลุ่มผู้สอน ต้องเตรียมใหพ้ รอ้ ม ๒. ข้ันดาเนินการอภิปราย ผู้สอนมีบทบาทสาคัญในการควบคุมการอภิปรายให้ดาเนินไป ไดด้ ้วยดี จึงต้องดาเนนิ การดังน้ี ๒.๑ บอกหวั ข้อหรือปัญหาที่อภิปรายใหช้ ดั เจน ๒.๒ ระบจุ ุดประสงคก์ ารอภปิ รายให้ชดั เจน ๒.๓ บอกเงื่อนไขหลักเกณฑ์การอภิปราย เช่นระยะเวลาท่ีใช้ รูปแบบวิธี การ อภปิ รายบทบาทหน้าท่ขี องผูอ้ ภปิ รายการรายงานผลตลอดจนมารยาทในการพูดการรับฟังผู้อื่นการเคารพ มตขิ องสว่ นรวม ๒.๔ ให้ดาเนนิ การอภิปราย โดยผู้สอนชว่ ยเหลอื ใหก้ ารอภปิ รายดาเนินไปด้วยดี ขณะทผ่ี ้เู รียนเข้ากล่มุ อภิปราย ผูส้ อนไม่ควรเขา้ ไปกากบั หรอื แทรกแซงผู้เรียนตลอดควรคอยดูแลอยู่ห่างๆ คอยกระตุน้ ให้กาลังใจให้คาแนะนา เม่อื ผเู้ รียนตอ้ งการเท่านนั้ ๓. ขน้ั สรุป ประกอบดว้ ย ๓.๑ สรุปผลการอภิปราย เป็นชว่ งท่ผี แู้ ทนกลุ่มสรุปผลการอภิปรายนาเสนอผล การอภิปรายต่อท่ีประชุมเพื่อแลกเปล่ียนความคิดเห็นเปิดโอกาสให้ผู้ฟังซักถามผู้อภิปรายตอบคาถาม ผู้สอนอาจถามคาถามผ้อู ภิปรายได้ในสาระสาคัญที่ต้องการให้ผู้เรียนได้รับขณะเดียวกันช่วยกลุ่มอภิปราย ให้เกิดความกระจ่างในเนอ้ื หาบางตอนได้ ๓.๒ สรุปบทเรยี นผู้สอนเป็นผู้สรุปเนื้อหาสาระสาคัญท่ีได้จากการอภิปรายควร ได้เสรมิ ข้อคดิ แทรกความรู้ ย้าประเด็นสาคญั สาหรับสรุปแนวความคิดหลักใหผ้ ้เู รยี นตลอดจนแนวทางการ

การพัฒนาส่อื การสอนพระพุทธศาสนา ๑๐๒ นาความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิต ในการสรุปนั้นควรสรุปเป็นหัวข้อบนกระดานดา เพ่ือผู้เรียนจะได้เข้าใจ ชัดเจนและบนั ทึกไว้ไดง้ ่าย ๓.๓ ประเมนิ ผลการเรยี น ผสู้ อนมีการประเมนิ ผลการอภิปรายภายหลังที่สิ้นสุด บทเรยี นเพ่ือดวู ่าการเรียนการสอนในคาบเรียนนั้นๆ ด้วยวิธีการอภิปรายมีคุณค่าหรือข้อบกพร่องอย่างไร โดยประเมินให้ครอบคลุมถึงเน้ือหาหัวข้อการอภิปราย จุดประสงค์รูปแบบพฤติกรรมของผู้เรี ยน บรรยากาศส่ิงแวดล้อมต่างๆ ในการอภิปรายฯลฯ ท้ังน้ีเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงการเรียนการสอน ดว้ ยวธิ ีอภิปรายในคร้ังต่อไป๒ ๘.๒.๒ การสอนแบบโครงงาน (Project Design) การเรียนรู้แบบโครงงาน (Project Based Learning) เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอด ชวี ิตสอดคล้องกบั หลกั ทฤษฎีการเรียนรู้ และการเรียนรู้แบบร่วมมือ ซ่ึงมีขั้นตอนการเรียนรู้ที่เร่ิมจากการ แสวงหาความรู้ กระบวนการคิด และทักษะในการแก้ปัญหาไว้ในรูปแบบการเรียนรู้ ซึ่งการจัดการเรียนรู้ แบบโครงงานน้ี ยึดหลักการ ซึ่งพัฒนาต่อยอดจากทฤษฎีการสร้างความรู้ ของ เพียเจต์ (Piaget) โดย ศาสตราจารย์ เซมัวร์ เพพเพิร์ต (Seymour Papert) เป็นผู้นาเสนอการใช้สื่อทางเทคโนโลยี ช่วยในการ สรา้ งความรทู้ เ่ี ป็นรูปธรรมแกผ่ เู้ รียนโดยอาศัยพลังความรูข้ องตัวผู้เรียนเอง และเมื่อผู้เรียนสร้างสิ่งหน่ึงสิ่ง ใดขน้ึ มาก็จะเสมือนเป็นการสร้างความรู้ขึ้นในตัวเองนั่นเอง ความรู้ท่ีสร้างข้ึนเองนี้มีความหมายต่อผู้เรียน มาก เพราะจะเป็นความรู้ที่อยู่คงทน ไม่ลืมง่าย ขณะเดียวกันสามารถถ่ายทอดให้ผู้อ่ืนเข้าใจความคิดของ ตัวเองไดด้ ี นอกจากนนั้ ความร้ทู ีส่ ร้างข้นึ เองน้ี ยงั จะเป็นฐานใหผ้ เู้ รียนสามารถสร้างความรู้ใหม่ต่อไปอย่าง ไม่มีที่ส้นิ สดุ ทฤษฎี constructionism มีสาระสาคัญท่ีกล่าวถึงว่า ความรู้ไม่ใช่เกิดจากผู้สอนเพียง อยา่ งเดยี ว แต่สามารถสร้างขึ้นโดยผเู้ รียนเองได้ และการเรยี นรู้จะเกิดข้ึนได้ดีก็ต่อเมื่อผู้เรียนลงมือกระทา ด้วยตนเอง (Learning by Doing) ซ่ึงการลงมือกระทานี้ ไม่เพียงแต่ได้รับความรู้ใหม่ด้วยตนเองแล้ว แต่ ยังจะสามารถเก็บข้อมูลของสิ่งแวดล้อมเข้าไปเป็นโครงสร้างของสมองตนเอง ขณะเดียวกันก็สามารถนา ความรู้เดิมที่มีอยู่ปรับให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมภายนอกได้ และจะเกิดเป็นวงจรเช่นนี้อย่างต่อเน่ือง ดังน้ัน การลงมือกระทาด้วยตนเองจะสามารถเชื่อมโยงความรู้ระหว่างความรู้เก่าและความรู้ใหม่ สร้างเป็นองค์ ความรใู้ หม่ขึน้ มา ซง่ึ ท้ังหมดจะอยู่ภายใต้ประสบการณ์และบรรยากาศท่ีเอื้ออานวยต่อการเรียนรู้ โดยยึด หลักคิดที่ว่า “การเรียนรู้ที่ดีไม่ได้มาจากการหาวิธีการสอนที่ดีแก่ผู้สอน แต่มาจากการให้โอกาสท่ีดีแก่ ผู้เรียนในการสร้าง” (Better learning will not come from finding better ways for the teacher to instruct, but from giving the learner better opportunities to construct)๓ ประกอบด้วย ขัน้ ตอน ข้ันท่ี ๑ การเตรียมความพร้อม ผู้สอนจัดเตรียมขอบเขตของโครงการ แหลง่ ข้อมลู และคาถาม นา โดยสามารถนาเสนอได้ในหลากหลายรปู แบบเช่น text, video clip, หรือ online news ขั้นท่ี ๒ ศึกษาความเป็นไปได้ ผู้เรียนศึกษาขอบเขตโครงการ แหล่งข้อมูล ตลอดจนค้นหา แหล่งข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ และแลกเปล่ียนข้อมูลกับสมาชิกในกลุ่มเพ่ือพยายามตอบคาถาม ตามท่ี ๒ โกศล มีคุณ, การวิจัยเชิงทดลองฝกึ อบรมการใชเ้ หตผุ ลเชิงจรยิ ธรรม และทกั ษะการสวมบทบาทของ นกั เรยี นประถมศกึ ษา, ปรญิ ญานพิ นธ์การศกึ ษาดุษฎบี ณั ฑิต, (กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมติ ร ,๒๕๒๔),หน้า ๒๒. ๓ ผศ.ดร.วัชรนิ ทร์ โพธเ์ิ งนิ ,และคณะ, การจัดการเรยี นการสอนแบบโครงงานเป็นฐาน, ภาควชิ าครศุ าสตร์ เคร่อื งกล คณะครศุ าสตรอ์ ุตสาหกรรม,(กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ พระนครเหนือ , ๒๕๕๔), หน้า ๑-๑๒.

การพัฒนาสือ่ การสอนพระพุทธศาสนา ๑๐๓ ผู้สอนได้ตั้งไว้ ผ่านเคร่ืองมือติดต่อส่ือสารแบบไม่ประสานเวลาต่างๆเช่น group discussion board, wiki หรือเครื่องมือติดต่อสื่อสารแบบประสานเวลาต่างๆ เช่น chat, web conference แล้วศึกษา โครงงานอยา่ งคร่าวๆ ถึงความเป็นไปได้ในการจัดทาโครงงาน ข้ันท่ี ๓ กาหนดหัวข้อ ปรึกษาภายในกลุ่ม กาหนดหัวข้อท่ีจะทาเป็นโครงงาน เมื่อผู้สอนได้ เห็นชอบกับหัวข้อที่กลุ่มของตนได้นาเสนอแล้ว ผู้เรียนในแต่ละกลุ่มวางแผนการจัดทาโครงการ โดยระบุ กิจกรรมในแต่ละข้ันตอนและตารางการดาเนินการ ตลอดจนกาหนดบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในกลุ่มให้ ชัดเจน ตามความสะดวกของสมาชิกในกลุ่ม จากนั้นนาเสนอขอ้ สรุปแกผ่ ู้สอนอกี คร้ัง ข้ันท่ี ๔ การดาเนินงานสร้างชิ้นงานและทดสอบ สมาชิกในกลุ่มแบ่งงานและภาระความ รับผิดชอบของแต่ละคนเพื่อสร้างชิ้นงาน โดยใช้ความรู้ในการจัดทาโครงการ จากน้ันจึงแลกเปล่ียน ประสบการณ์และความรู้ใหม่กับสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งสามารถทาได้ท้ังแบบประสานเวลาและไม่ประสาน เวลา ตามความสะดวกของสมาชิกในกลุ่ม โดยมีผู้สอนคอยให้คาปรึกษา หลังจากดาเนินการสร้างเสร็จ เรยี บรอ้ ยแลว้ ต้องมีการทดสอบ เพ่อื วัดประสิทธิภาพของงานท่ีสรา้ งข้ึนนน้ั ๘.๒.๓ การสอนแบบบูรณาการ (Integrated Teaching) คาวา่ บูรณาการ นัน้ อาจพจิ ารณาได้ ๒ ลักษณะ คือ ความหมายทั่วไป คือ การทาให้ สมบูรณ์ หรือการทาให้หน่วยย่อยๆ ท่ีสัมพันธ์ ซ่ึงอาศัยกันอยู่เข้ามาร่วมทาหน้าท่ีอย่างประสานกลมกลืน เป็นองค์รวมส่วนอีก ความหมายหน่ึงเป็นความหมายในสาขาวิชาทางศึกษาศาสตร์หรือคุรุศาสตร์บูรณา การหมายถึง การนาเอาศาสตร์สาขา วิชาต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์เก่ียวข้องกันมาผสมผสานเข้าด้วยกัน เพือ่ ประโยชนใ์ นการเรียนรขู้ องผ้เู รยี น การจัดการ เรียนการสอน จึงจาเป็นต้องใช้วิธีบูรณาการ คือ เน้นที่ องค์รวมของความรู้มากกว่าเน้ือหาย่อยของแต่ละวิชา และเน้นที่กระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนสาคัญยิ่ง กว่าการบอก เนื้อหาของครูการเรียนการสอนแบบบูรณาการจะประสบผลสาเร็จได้นั้น จาเป็นจะต้องได้ ผสู้ อนที่ดเี พ่ือทาหน้าที่ ใหผ้ ้เู รียน เกิด ความซาบซ้งึ และส่งเสริมการพฒั นาความสามารถเต็มตามศักยภาพ ของตนได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ ดังนั้นสรุปได้ว่าการเรียนการสอนบูรณาการ เป็นนวัตกรรมท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนมองเห็น ความสัมพันธ์ระหว่าง วิชาชีพท่ีเรียนกับวิชาอ่ืนที่เกี่ยวข้องความรู้กับกระบวนการเรียนรู้ พัฒนาการทาง ความรู้กับพัฒนาการทางจิตใจ ความรู้กับการกระทา ซ่ึงจะทาให้เกิดกิจกรรมการเรียนรู้ได้กว้างขวาง รวมท้ังทาให้เกิดทักษะความสามารถในการแก้ปัญหาทั้งผู้เรียนและผู้สอน จะเห็นได้ว่าการเรียนการสอน แบบบรู ณาการคงไมพ่ น้ ความสามารถ ทีผ่ ู้สอนจะทาได้หากใหค้ วามเอาใจใสอ่ ย่างต่อเน่ือง ๘.๓ รปู แบบการบรู ณาการ๔ ๘.๓.๑ รปู แบบการบรู ณาการ ๑.การบูรณาการภายในวิชา เป็นการเช่ือมโยงการสอนระหว่างเนื้อหาวิชาในกลุ่ม ประสบการณห์ รอื รายวชิ าเดียวกนั กนั เขา้ ด้วยกัน ๒.บูรณาการระหว่างวชิ า มี ๔ รปู แบบ คอื ๔ ปณัฏฐา ศรเดช, การศึกษาผลการสอนการแกโ้ จทย์ปญั หาคณิตศาสตร์โดยสอดแทรกคุณธรรม ดา้ นความ ชอื่ สัตย์ สาหรับนักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีที่ ๖,วิทยานิพนธป์ รญิ ญาการศึกษามหาบณั ฑติ ,สาขาวิชาหลักสตู รและการ สอน (บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั บรู พา, ๒๕๔๔), หน้า ๓๔.

การพฒั นาสอื่ การสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๐๔ ๒.๑ การบูรณาการแบบสอดแทรก เป็นการสอนในลักษณะท่ีครูผู้สอนในวิชา หน่ึงสอดแทรกเนอื้ หาวชิ าอนื่ ๆ ในการสอนของตน ๒.๒ การสอนบูรณาการแบบคู่ขนาน เป็นการสอนโดยครูตั้งแต่สองคนขึ้นไป วางแผนการสอนรว่ มกนั โดยมุง่ สอนหวั เร่ืองหรือความคิดรวบยอดหรือปัญหาเดียวกันแต่สอนต่างวิชาและ ต่างคนตา่ งสอน ๒.๓ การสอนแบบบูรณาการแบบสหวิทยาการ เป็นการสอนลักษณะเดียวกับ การสอนบูรณาการแบบคูข่ นาน แตม่ ีการมอบหมายงานหรอื โครงงานรว่ มกัน ๒.๔ การสอนบูรณาการแบบข้ามวิชา หรือสอนเป็นคณะ เป็นการสอนที่ ครูผู้สอนวิชาต่าง ๆ รว่ มกนั สอนเปน็ คณะหรือเปน็ ทีม มีการวางแผน ปรึกษาหารือร่วมกันโดยกาหนดหัว เร่อื ง ความคดิ รวบยอด หรอื ปัญหารว่ มกนั แลว้ รว่ มกนั สอนนกั เรียนกลมุ่ เดยี วกนั ๘.๓.๒ การแบ่งลกั ษณะการบรู ณาการในหลกั สูตร ๑. บูรณาการเชิงเน้ือหาวิชา คือ การผสมผสานเน้ือหาวิชาลักษณะของการหลอมรวม แบบแกนหรือแบบสหวิทยาการ จะเป็นหน่วยก็ได้หรือจะเป็นโปรแกรมก็ได้ นอกจากนี้อาจจะเป็นการ ผสมผสานของเนอื้ หาวิชาในแง่ของทฤษฎีกบั การปฏบิ ตั หิ รือเนอ้ื หาวิชาท่ีสอนกับชีวิตจริง ในการจัดบูรณา การเชิงเนอื้ หาวชิ า ไดแ้ บง่ วิธีการจดั บรู ณาการเชงิ เน้อื หาออกเป็น ๒ วิธี คอื ๑.๑ บูรณาการส่วนท้ังหมด (Total Integration) คือ การรวมเน้ือหา ประสบการณต์ า่ ง ๆ ที่ตอ้ งการจะให้เด็กเรยี นรูห้ ลกั สูตรหรอื โปรแกรม จัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ียึด ปัญหาหรือแนวเร่ือง (Theme) เป็นแกน ซ่ึงปัญหาหรือแนวเร่ืองที่จะเป็นตัวช้ีบ่งถึงความรู้มาจากวิชา ตา่ ง ๆ ในโปรแกรมซึ่งมเี น้ือหาเกย่ี วข้องกบั ชวี ิตประจาวนั และปญั หาสงั คมทั้งหมด ๑.๒ บูรณาการเป็นบางส่วน (Partial Integration) เป็นการรวมรวม ประสบการณ์ของบางสาขาวิชาเข้าด้วยกัน อาจจะเป็นลักษณะของหมวดวิชาหรือกลุ่มวิชาซ่ึงภายใน สมั พนั ธก์ ันเป็นอย่างดี ดังนัน้ การจดั บรู ณาการเป็นบางส่วนอาจจะจัดได้ท้ังภายในสาขาวิชาและระหว่าง สาขาวิชา หรือจัดเป็นบูรณาการแบบโครงการ ซึ่งการจัดแบบโครงการน้ีแต่ละรายวิชาก็จะเป็นรายวิชา เช่นปกติ แต่จะจัดประสบการณ์ให้เป็นบูรณาการในรูปของโครงการ อาจจะเป็นโครงการสาหรับ นักเรียนรายบคุ คล หรือรายกลุ่ม ๒. บรู ณาการเชิงวิธกี าร คือ การผสมผสานวิธีการเรียนการสอนแบบต่าง ๆ โดยใช้ส่ือ ประสมและใช้วธิ กี ารประสมให้มากทส่ี ดุ ๘.๓.๓ ลกั ษณะการสอนแบบบรู ณาการ การสอนแบบบูรณาการเป็นการสัมพันธค์ วามรู้ ซึ่งแยกออกเป็นวิธียอ่ ยได้ ๔ วิธี๕ ๑.นาเอาความรอู้ ่ืนท่ใี กลเ้ คยี งกบั เรอ่ื งที่กาลงั สอนมาสัมพันธ์กนั ๒.นาเอาความรู้เก่ียวกับเร่ืองอ่ืน ๆ ท่ีเป็นเหตุเป็นผลเก่ียวเน่ืองกับเร่ืองที่กาลัง สอนมาสมั พนั ธก์ นั ๓.รบั งานทีใ่ หเ้ ด็กทาให้มีลกั ษณะสอดคลอ้ งกบั สภาพความเป็นจรงิ ในสังคม ๔.พยายามนาสิ่งท่ีเป็นแกนเข้าไปผนวกกับส่ิงท่ีกาลังสอนทุกคร้ังที่มีโอกาสจะ สอดแทรกแกนดังกลา่ วน้อี าจเปน็ ความคิดรวบยอด ทกั ษะและคา่ นยิ ม ๕ สมุ ิตร คณุ านุกร, กระบวนการบริหารจัดการหลกั สตู ร, (กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๒), หนา้ ๓๓.

การพฒั นาสอ่ื การสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๐๕ ๘.๓.๔ ข้นั ตอนการจัดการเรียนการสอนแบบบรู ณาการ ๑. กาหนดเร่ืองท่จี ะสอน โดยการศึกษาหลักสตู รและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเนื้อหา ทม่ี ีความเกี่ยวข้องกัน เพ่ือนามากาหนดเปน็ เรื่องหรอื ปญั หาหรือความคิดรวบยอดในการสอน ๒. กาหนดจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ โดยการศึกษาจุดประสงค์ของวิชาหลักและวิชารองที่ จะนามาบูรณาการและกาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ในการสอน สาหรับหัวเรื่องน้ัน ๆ เพื่อการวัดและ ประเมนิ ผล ๓. กาหนดเนอ้ื หาย่อย เป็นการกาหนดเนื้อหาหรือหัวเรื่องย่อย ๆ สาหรับการเรียนการ สอนให้สนองจุดประสงค์การเรียนรทู้ กี่ าหนดไว้ ๔. วางแผนการสอน เป็นการกาหนดรายละเอยี ดของการสอนต้ังแต่ต้นจนจบ โดยการ เขียนแผนการสอน/แผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบสาคัญเช่นเดียวกับแผนการสอน ทว่ั ไป คือ สาระสาคญั จุดประสงค์ เน้ือหา กิจกรรมการเรยี นการสอน การวดั และประเมนิ ผล ๘.๓.๕ การสอนแบบ ๔ MAT๖ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ (๔ MAT) เป็นรูปแบบหนึ่งของการ จัดกระบวนการเรียนรู้ท่ีมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ เน่ืองจากเป็นการจัดกิจกรรมที่คานึงถึงลักษณะการ เรียนรู้ของผู้เรียน ๔ แบบ กับการพัฒนาสมองซีกซ้ายและซีกขวาอย่างสมดุล เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตาม ลักษณะและความต้องการของตนเองอย่างเหมาะสม กิจกรรมบางช่วงจะตอบสนองให้ผู้เรียนแต่ละแบบ มีความสุขในการเรียนในช่วงกิจกรรมที่ตนถนัดและรู้สึกท้าทายในช่วงท่ีผู้อ่ืนถนัด ดังน้ันผู้เรียนจะ สามารถพฒั นาตนเองได้เต็มศกั ยภาพ การจัดการเรียนรู้แบบ ๔ MAT เป็นการจัดการเรียนรู้ที่คานึงถึงรูปแบบการเรียนรู้ ของกลุ่มผู้เรยี น ๔ คุณลักษณะ กับพัฒนาการสมองซีกซ้ายและซกี ขวาอย่างสมดลุ เพอ่ื ให้ผู้เรียนเรียนรู้ ตามแบบและความต้องการของตนอย่างเหมาะสม และสามารถพัฒนาตนเองอย่างเต็มศักยภาพ ซ่ึง ไดแ้ ก่ ผู้เรยี นแบบท่ี ๑ ( Why ) ผเู้ รียนท่ีมีจนิ ตนาการเปน็ หลกั ผเู้ รียนแบบท่ี ๒ (What ) ผ้เู รยี นทเี่ รยี นร้ดู า้ นการวเิ คราะหแ์ ละการเก็บรายละเอียด เปน็ หลกั ผเู้ รยี นแบบที่ ๓ ( How ) ผ้เู รยี นทีเ่ รียนรดู้ ว้ ยสามญั สานกึ หรือประสาทสัมผสั ผเู้ รยี นแบบที่ ๔ ( If ) ผเู้ รียนทเี่ รียนรดู้ ว้ ยการรบั รจู้ ากประสบการณร์ ูปธรรม ไปสู่การลงมือปฏบิ ัติ การจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดเรื่อง การศึกษาแผนใหม่ ( Progressivism ) ซึ่งเป็นการจัด การศึกษาแบบก้าวหน้าท่ีให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการกระทาน้ัน เป็นแนวคิดท่ีคานึงถึงความแตกต่าง ระหว่างบคุ คล ซงึ่ สนับสนนุ ปรัชญากลุ่มพิพัฒนาการนิยมหรือปรชั ญากลมุ่ กา้ วหนา้ โดยคานึงถึงผู้เรียนมี วิธีการเรียนรู้ในลักษณะท่ีแตกต่างกัน ถ้าผู้สอนจัดกระบวนการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละ ประเภทผู้เรยี นกจ็ ะประสบความสาเร็จในการเรยี นไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ รูปแบบการเรียนรู้ ๔ MAT พัฒนาข้ึนจากการค้นคว้าวิจัยของ เบอร์นิส แมคคาร์ธี ( Bernie McCarthy ) นักการศึกษา นักแนะแนวทางการศึกษา ซ่ึงเช่ือในศักยภาพของผู้เรียนในเร่ืองความ แตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล โดยคานึงถึงรปู แบบหรือวธิ ีการเรียนรขู้ องผู้เรียนแต่ละประเภท กระบวนการรับรู้ ดังกล่าว เป็นกระบวนการที่เกิดจากการลงมือปฏิบัติจริง ( Active Experimentation ) และเฝ้า ๖ การจัดกจิ กรรมการเรยี นร้,ู ออนไลน์ เขา้ ถงึ ได้จาก www.scc.ac.th/etraining/sub/๔mat/ doc, สืบคน้ วนั ที่ ๑๐ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๕๙.

การพฒั นาส่อื การสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๐๖ สังเกตอย่างไตร่ตรอง ( Reflective observation ) ซ่ึงเดวิด คอล์ป ( David Kolb ) ได้แบ่งรูปแบบ การเรียนรู้ตามความแตกต่างของการเรียนรู้เป็น ๔ ส่วนตามจุดตัดของแกนการรับรู้ และแกนของ กระบวนการ โดยให้ส่วนที่เป็นวงล้อแห่งการเรียนรู้เป็นลักษณะของผู้เรียน ๔ แบบ ซ่ึงมีรูปแบบการ รับรู้และกระบวนการรับร้ทู ีแ่ ตกตา่ งกนั ดังนี้ ประสบการณ์ตรง (Concrete Experience ) การปฏบิ ัติ กระบวน การสงั เกต ( Active Experimentation ) การ ( Reflective Observation ) การรับรู้ ความคดิ รวบยอด ( Abstract Conceptualization ) เบอร์นิส แมคคาร์ธี ( Bernie McCarthy ) ได้ประยุกต์แนวคิดของเดวิด คอล์ป ( David Kolb ) โดยให้พ้ืนที่ทั้ง ๔ ส่วนที่เกิดจากการตัดกันของแกนการรับรู้ ( Perception ) และแกน กระบวนการ ( Processing ) แทนลักษณะการเรียนรู้ของผู้เรียน ๔ ประเภท ซึ่งคานึงถึงความคิด เกี่ยวกับระบบการทางานของสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวากับธรรมชาติของการเรียนรู้ซึ่งอธิบายโดยใช้ แผนภาพและคาอธิบายประกอบได้ ดงั น้ี If Why ๔ ๑ Dynamic Imaginative Learners Learners ๓๒ How Commonsense Analytic What Learners Learners

การพัฒนาสือ่ การสอนพระพุทธศาสนา ๑๐๗ ส่วนที่ ๑ ผู้เรียนท่ีถนัดจินตนาการ ( Imaginative Learners ) เป็นผู้เรียนที่เรียนรู้จาก ประสบการณ์และกระบวนการเฝ้าสังเกตผู้เรียนในกลุ่มน้ีจะสงสัยและต้ังคาถามตรงกันว่า “ ทาไม” ทาไมตอ้ งเรียนเร่อื งน้ี ส่วนท่ี ๒ ผู้เรยี นทีถ่ นัดการวิเคราะห์ ( Analytic Learners ) เป็นผูเ้ รยี นที่เรียนรู้ โดยรับรู้ จากการสังเกตอย่างไตรต่ รอง ไปสู่การสร้างประสบการณ์นามธรรมหรอื ความคิดรวบยอด ผู้เรียนในกลุ่ม นี้จะตั้งคาถามวา่ “อะไร” ( What ) เราจะเรียนอะไรกนั ส่วนที่ ๓ ผู้เรียนที่ถนัดการใช้สามัญสานึก ( Commonsense Learners ) เป็นผู้เรียนที่ เรยี นรจู้ ากการรับรู้ความคดิ รวบยอดไปสู่การลงมอื ปฏิบตั ทิ ี่สะทอ้ นระดับความเข้าใจของตนเอง ผู้เรียนใน กลมุ่ น้ีจะต้ังคาถามว่า “อยา่ งไร” ( How ) เราจะเรยี นเรือ่ งน้อี ย่างไร ส่วนที่ ๔ ผู้เรียนท่ีถนัดการรับรู้จากประสบการณ์รูปธรรมไปสู่การลงมือปฏิบัติ ( Dynamic Learners ) เป็นผู้เรียนที่เรียนรู้และสนุกกับการได้ค้นพบด้วยตนเอง โดยการลงมือปฏิบัติ ผูเ้ รยี นในกลมุ่ นจี้ ะตั้งคาถาม “ถา้ ” ( If … ) ถ้า … แล้วจะนาไปใชอ้ ยา่ งไร จากพ้นื ท่ภี ายใต้วงล้อมแหง่ การเรยี นรู่ ตามเสน้ แบ่งของการรับรู้และเส้นแบ่งกระบวนการรับรู้ที่ แบ่งผู้เรียนเป็น ๔ ประเภทนั้น ไดมีแนวคิดท่ีจะจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพ่ือตอบสนองการใช้สมองของ ผ้เู รียนตามบทบาทของสมองซีกซ้ายและซกี ขวา เพ่ือตอบสนองการพัฒนาศักยภาพทุกด้านของผู้เรียนใน ลักษณะต่างๆ ท่ีแตกต่างกัน จึงแบ่งวงล้อแห่งการเรียนรู้เป็น ๘ ส่วน ย่อยๆ เพื่อสะดวกในการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่ตอบสนองบทบาทและความต้องการของสมองท้ังสองซีกอย่างสมดุลโดยมีลักษณะ ข้ันตอนการเคล่ือนไหวอย่างเป็นลาดับตามศกั ยภาพทางสมองดังน้ี ประสบการณ์ตรง Why If  ผู้เรียนแบบท่ี ๔ ผเู้ รยี นแบบท่ี ๑  การปฏบิ ตั ิ LL LL การสงั เกต  ผเู้ รียนแบบท่ี ๓ ผู้เรยี นแบบท่ี ๒ How  What ความคิดรวบยอด

การพัฒนาส่อื การสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๐๘ หมายเหตุ : R = Right (กจิ กรรมทพ่ี ัฒนาสมองซีกขวา) L = Left (กจิ กรรมที่พัฒนาสมองซีกซา้ ย) จากการแบ่งวงล้อแห่งการเรียนรู้ ๘ ส่วน ตามบทบาทของสมองสองซีก ผู้สอนได้กาหนด ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จากพ้ืนที่ท้ัง ๘ ส่วน เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ ๘ ขั้นตอน โดย กาหนดขั้นตอนของการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ดงั นี้ ประสบการณ์ตรง การปฏิบตั ิ ๗. ข้ันวิเคราะห์ ๘. ขน้ั ๑. ขั้นสร้างคุณคา่ การสังเกต คุณค่าและการ และประสบการณ์ ประยุกตใ์ ช้ แลกเปลีย่ น ของสิ่งทีเ่ รียน ประสบการณ์ R ๒. ขน้ั วิเคราะห์ L ประสบการณ์ เรียนรู้ R กับผู้อนื่ L ๖. ข้นั สรา้ งชิ้นงานเพื่อ R R ๓. ขน้ั ปรบั ประสบการณ์ สะท้อนความเป็นตนเอง L L เปน็ ความคิดรวบยอด ๕. ขั้นลง ๔. ขน้ั พฒั นา มอื ปฏิบตั ิ ความคิดรวบ จากกรอบ ยอด ความคิดท่ี กาหนด ความคิดรวบยอด หมายเหตุ : R = Right (กจิ กรรมทพี่ ัฒนาสมองซีกขวา) L = Left (กจิ กรรมทีพ่ ัฒนาสมองซกี ซ้าย) ๘.๓.๕.๑ ข้นั ตอนการจัดการเรยี นรู้ การจดั การเรียนรู้ท่ีคานึงถึงรูปแบบการเรียนรู้ของกลุ่มผู้เรียน ๔ กลุ่ม กับพัฒนาการสมองซีก ซ้ายและสมองซีกขวาอย่างสมดุล ซ่ึงได้แก่ ผู้ท่ีเรียนแบบที่ ๑ (Why) มีการจินตนาการเป็นหลัก ผู้ท่ี เรียนแบบที่ ๒ (What) มีการเรียนรู้ด้วยการวิเคราะห์และการเก็บรายละเอียดเป็นหลัก ผู้เรียนแบบที่ ๓ (How) มีการเรียนรู้ด้วยสามัญสานึกหรือประสาทสัมผัส ผู้เรียนแบบท่ี ๔ (If) มีการเรียนรู้ด้วยการรับรู้

การพฒั นาส่อื การสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๐๙ จากประสบการณ์รูปธรรมไปสู่การลงมือปฏิบัติ ซ่ึงเบอร์นิส แมคคาร์ธี ( Bernice McCarthy ) ได้ กาหนดลาดับข้ันของการเรียนรู้ ๔ MAT โดยแบ่งวงล้อกระบวนการเรียนรู้ออกเป็น ๘ ขั้นตอน ดังมี รายละเอียดของการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ ๔ MAT ดังนี้ ส่วนที่ ๑ ผูเ้ รยี นแบบท่ี ๑ เรียนรู้จากประสบการณ์และการเฝ้าสงั เกตอยา่ งไตรต่ รอง (Imaginative Learners) ประสบการณ์ตรง เป็นชว่ งทผี่ ู้เรยี นไดเ้ รยี นรู้จากประสบการณ์และกระบวน ๑ การ เฝ้าสังเกตอยา่ งไตรต่ รอง มักใช้คาถามวา่ “ทาไม” ( Why ) ๑ บทบาทของผสู้ อน : ผ้คู อยกระต้นุ ให้ผเู้ รียนคิดวิ 1 เคราะห์ส่ิงที่สังเกตไดอ้ ย่าง  ไตร่ตรอง 2 วธิ กี ารจัดกิจกรรม : ใชค้ าถามข้อมลู เพ่ือให้ผู้เรยี น การสังเกต สงั เกตการร่วมอภิปรายการให้ ผเู้ รยี นทากจิ กรรม ในสว่ นที่ ๑ สามารถแบง่ ขัน้ ตอนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้เป็น ๒ ขั้นตอนทค่ี านึงถึงการ ทางานของสมองซีกขวา และซีกซ้ายของผู้เรียน ได้ดังน้ี ขั้นตอนท่ี ๑ ข้ันสร้างคุณคา่ และประสบการณข์ องส่ิงท่เี รียน (สมองซีกซ้าย) ประสบการณ์ตรง 1  ผสู้ อนควรกระตุ้นความสนใจและแรงจงู ใจใหผ้ เู้ รียนคิด โดยใชค้ าถามท่ี 2 กระต้นุ ใหผ้ ้เู รียนสงั เกต การออกไปปฎิสมั พนั ธ์กับสภาพแวดลอ้ มจริง ของสง่ิ เรียน เป็นข้นั ท่ีเน้นการจดั กิจกรรมท่ีพัฒนาสมองซีกขวา การสงั เกต ขัน้ ตอนท่ี ๒ ข้นั วิเคราะห์ประสบการณ์ (สมองซกี ซ้าย) ประสบการณ์ตรง จากขั้นตอนที่ ๑ ท่ีผสู้ อนกระตุ้นให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้และสนใจในสิง่ ท่ี เรียนต่อจากนนั้ ในข้ันที่ ๒ นผ้ี ู้สอนควรใหผ้ เู้ รยี นวเิ คราะห์หาเหตผุ ล ฝึก 1  ทากิจกรรมกลุ่มอย่างหลากหลาย เช่น ฝึกเขียนแผนผังมโนมติ 2 (Concept mapping) ช่วยกันระดมสมองอภิปรายร่วมกันเป็นขั้นท่ีเน้น การจดั กิจกรรมทพี่ ัฒนาสมองซกี ซ้าย การสงั เกต

การพฒั นาส่อื การสอนพระพุทธศาสนา ๑๑๐ สว่ นที่ ๒ ผู้เรยี นแบบที่ ๒ เรียนรจู้ ากการสังเกตอย่างไตร่ตรองไปสู่การสร้างความคดิ รวบยอด ( Analytic Learners ) การสงั เกต ๓ เป็นช่วงท่ผี ูเ้ รียนได้เรียนรจู้ ากการสังเกตอย่างไตรต่ รองไปสู่การ ๔ ๒ สรา้ งความคิดรวบยอด มกั ใช้คาถามวา่ “อะไร” (What) เชน่ เราจะเรยี นอะไรกันดี สร้างความคดิ รวบยอด บทบาทของผสู้ อน : เตรยี มข้อมูลท่ีผู้เรียนควรทราบ และสาธติ วธิ กี ารจัดกิจกรรม : ใหผ้ เู้ รียนไดค้ ้นควา้ เนื้อหาท่ีจะเรียนจากแหล่งต่าง ๆ เช่นใบ ความรู้ วดี ที ัศน์ เลน่ เกม ผสู้ อนเป็นผใู้ ห้ข้อมูล เล่นเกมเปน็ ต้น ในส่วนที่ ๒ สามารถแบง่ ขน้ั ตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เปน็ ๒ ข้ันตอนทค่ี านงึ ถงึ การ ทางานของสมองซีกขวา และซกี ซา้ ยของผู้เรียน ได้ดังนี้ ขน้ั ตอนที่ ๓ ขึ้นปรับประสบการณเ์ ปน็ ความคดิ รวบยอด (สมองซีกขวา) การสังเกต ผ้สู อนผู้สอนควรเน้นใหผ้ ้เู รยี นไดว้ ิเคราะห์อย่างไตรต่ รอง นา ความรู้ท่ีได้มาเช่ือมโยงกบั ข้อมูล ที่ได้ศึกษาคน้ คว้าโดยจดั ระบบ ๓ การวเิ คราะห์เปรยี บเทียบการจัดลาดับความสมั พนั ธข์ องส่ิงที่ เรียน เปน็ ขั้นทีเ่ น้นการจัดกจิ กรรมท่ีพฒั นาสมองซกี ขวา  สร้างความคดิ รวบยอด ข้ันตอนที่ ๔ ขนั้ พฒั นาความคดิ รวบยอด (สมองซกี ซ้าย) การสังเกต ผู้สอนผูส้ อนควรใหท้ ฤษฎี หลักการที่ลึกซึง้ โดยเฉพาะรายละ เอียดของขอ้ มลู ต่างๆ เพ่ือให้ผ้เู รยี นเข้าใจและพฒั นาความคิด ๔ รวบยอดของตนเองในเรือ่ งทเี่ รยี นกจิ กรรมควรเปน็ กิจกรรมทใี่ ห้ ผู้เรียนค้นคว้าจากใบความรู้ แหลง่ วิทยาการทอ้ งถ่ินการสาธิต สร้างความคดิ รวบยอด การทดลองการใช้ห้องสมดุ วดี ที ศั น์ สื่อประสมตา่ ง ๆ เป็นข้นั ท่ีเนน้ การจดั กิจกรรมที่พัฒนาสมองซีกซา้ ย

ส่วนที่ ๓ ผูเ้ รยี นแบบท่ี ๓ การพัฒนาสอื่ การสอนพระพุทธศาสนา ๑๑๑ ลงมอื ปฏบิ ัติ สร้างความคิดรวบยอดไปสู่การลงมือปฏิบัติ และสร้างช้ินงานใน ลกั ษณะเฉพาะตัว (Commonsense Learners) ๖ ๓๕ เป็นชว่ งท่ผี ู้เรยี นจะสร้างความคดิ รวบยอด (มโนมติ) ไปสู่การลง มือปฏบิ ัติกจิ กรรม การทดลอง ตามความคดิ ของตนเองและสร้าง ช้ินงานทเี่ ป็นลกั ษณะเฉพาะตัว สรา้ งความคดิ รวบยอด บทบาทของผู้สอน : ผ้คู อยแนะนาชีแ้ นะ (Coach) และผ้อู านวยความสะดวด (Facilitator) แก่ผเู้ รียน วิธีการจัดกจิ กรรม : ให้ผูเ้ รียนไดล้ งมือปฏิบัตกิ ารทดลอง สรปุ ผลการทดลองทา แบบฝกึ หดั ตามความเหมาะสมของเนือ้ เร่ืองทเี่ รียน ในส่วนท่ี ๓ สามารถแบง่ ชี้ข้ันตอนการจดั กจิ กรรมการเรียนร้เู ป็น ๒ ขนั้ ตอนทค่ี านงึ ถึงการ ทางานของสมองซีกขวาและซีกซ้ายของผเู้ รยี น ได้ดังนี้ ขั้นตอนที่ ๕ ขัน้ ลงมือปฏิบตั ิจากกรอบความคิดท่กี าหนด (สมองซีกซ้าย) ลงมอื ปฏบิ ตั ิ ผสู้ อนผ้สู อนควรให้ผ้เู รียนไดป้ ฏบิ ัตกิ จิ กรรมการทดลองจากใบงานการ ทดลอง ทาแบบฝึกหัด การสรุปผลการปฏิบัติกจิ กรรม สรุปผลการทด  ลองท่ีถูกต้องชดั เจน โดยเปดิ โอกาสให้ผูเ้ รียนซกั ถามขอ้ สงสยั ก่อน ปฏบิ ัตกิ จิ กรรม ฝึกเลือกใช้อุปกรณ์บนั ทึกผลการทดลอง โดยผสู้ อนจะ ๕ เปน็ พีเ่ ลยี้ งเป็นขั้นทีเ่ น้นการจัดกจิ กรรมทพี่ ฒั นาสมองซีกซ้าย สร้างความคดิ รวบยอด ขน้ั ตอนที่ ๖ ขั้นสร้างชิ้นงานเพอื่ สะท้อนความเป็นตนเอง(สมองซีกขวา) ลงมอื ปฏบิ ตั ิ ผู้สอนตอ้ งเปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ รียนไดแ้ สดงความสามารถของตนเองตาม ความถนดั ความสนใจเพื่อสรา้ งสรรค์ชนิ้ งานตามจนิ ตนาการของตนเอง  ท่แี สดงถงึ ความเข้าใจในเน้ือหาวชิ าท่ีเรียน ให้เหน็ เปน็ รูปธรรมในรปู แบบต่าง ๆ โดยเลือกวิธีการนาเสนอผลงานในลักษณะเฉพาะตัวชิ้นงาน ๖ ท่สี ร้างอาจเปน็ ภาพวาด นิทาน สมดุ รวบรวมสง่ิ ทเี่ รยี น สิ่งประดิษฐ์ แผ่นพับ เป็นต้น เปน็ ข้ันท่ีเนน้ การจัดกจิ กรรมท่ีพัฒนาสมองซีกขวา สรา้ งความคดิ รวบยอด

การพัฒนาสอื่ การสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๑๒ สว่ นที่ ๔ ผูเ้ รียนแบบท่ี ๔ เรียนรูจ้ ากประสบการณร์ ูปธรรมไปสู่การลงมอื ปฏบิ ตั ิในชีวิต จริง (Dynamic Learners) ประสบการณต์ รง เป็นช่วงท่ีผู้เรียนได้นาเสนอผลงานของตนเอง โดยสอดแทรก ๔ การอภปิ รายถึงปัญหา อุปสรรคในการปฏบิ ัติกจิ กรรม วิธีการ แก้ไขปญั หา เพื่อปรับปรงุ ชน้ิ งานจนสาเรจ็ และเปน็ ประโยชน์ 87 ตอ่ ตนเอง ซึ่งสามารถบูรณาการประยุกต์ใช้ เช่ือมโยงกับชีวิต จรงิ / อนาคต ลงมือปฏิบตั ิ บทบาทของผู้สอน : ใหค้ าแนะนา รว่ มประเมนิ ผลงานแนะนาวิธีการปรับปรุงผลงาน บทบาทของผู้เรยี น : และการรวบรวมผลงาน ผู้เรียนนาเสนอช้ินงานที่ปรบั ปรงุ อภปิ รายแลกเปลยี่ นความคิด เหน็ กับผู้อนื่ และนาผู้อืน่ ในส่วนท่ี ๔ สามารถแบ่งขั้นตอนการจดั กจิ กรรมการเรียนรูเ้ ป็น ๒ ขน้ั ตอนทีค่ านึงถงึ การ ทางานของสมองซีกขวา และซกี ซา้ ยของผเู้ รียน ได้ดังน้ี ข้นั ตอนที่ ๗ ขั้นวิเคราะหค์ ุณค่าและการประยกุ ตใ์ ช้ (สมองซีกซ้าย) ประสบการณ์ตรง ผู้สอนควรใหผ้ ู้เรยี นไดว้ ิเคราะห์ช้ินงานของตนเองโดยอธบิ ายขั้น ตอนการทางาน ปัญหาอุปสรรคในการทางาน ทางานและ 7 วธิ ีการแกไ้ ข โดยบรู ณาการ การประยุกตใ์ ช้เพ่ือเชอื่ มโยงกับ ชวี ิตจริง/อนาคต ซ่ึงอาจวิเคราะห์ชิน้ งานในรูปกลุ่มยอ่ ยหรือ ลงมอื ปฏิบัติ กลุ่มใหญก่ ็ไดต้ ามความเหมาะสมเปน็ ขัน้ ที่เนน้ การจัดกิจกรรมท่ี พัฒนาสมองซีกซา้ ย ขนั้ ตอนที่ ๘ ขน้ั แลกเปล่ียนประสบการณเ์ รยี นรกู้ บั ผู้อื่น (สมองซกี ซา้ ย) ประสบการณ์ตรง เป็นข้ันสดุ ท้ายซ่งึ ผู้สอนควรให้ผเู้ รยี นได้นาผลงานของตนเองมา 8 นาเสนอหรอื จดั แสดงในรปู แบบตา่ ง ๆ เช่น การจดั นทิ รรศการ ปา้ ยนิเทศ เพื่อให้เพ่อื น ๆ ได้ช่นื ชอบถือเป็นการแบ่งปันโอกาส  ทางดา้ นความรู้และประสบการณ์ให้ผู้อื่นได้ซาบซึ้ง ในขั้นนี้ ผูเ้ รียนควรรับฟังการวพิ ากษว์ ิจารณ์อยา่ งสร้างสรรค์ ยอมรับฟงั ลงมอื ปฏบิ ตั ิ ความคดิ เห็นของผู้อนื่ เปน็ ข้นั ทีเ่ น้นการจดั กิจกรรมที่พฒั นาสมอง ซกี ขวา

การพฒั นาสือ่ การสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๑๓ ๘.๔ การสอนแบบศูนย์การเรยี นรู้ (Teaching Learning Center) การเรยี นรโู้ ดยใช้ศนู ย์การเรียน เปน็ การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากกิจกรรมที่แบ่งให้ เป็นกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มจะมีเนื้อหาแตกต่างกัน กิจกรรมที่อยู่ในแต่ละกลุ่มหรือท่ีเรียกว่าศูนย์การเรียนรู้ จะมีวัสดุอุปกรณ์ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ซึ่งจะเป็นของจริงหรือเทคโนโลยีที่ทันสมัยก็ได้ประเภทศูนย์การ เรียนเปน็ รปู แบบทแ่ี ตกตา่ งกัน ๓ แบบ สรปุ ไดด้ ังน้ี ๑. ศูนย์การเรียนท่ีไม่แยกเป็นเอกเทศจากห้องเรียน ใช้ห้องเรียนเป็นบริเวณในการจัด ทาศนู ยก์ ารเรยี นและศูนย์การเรียนสารอง ซ่ึงมี ๒ ลกั ษณะดงั นี้ - ห้องเรยี นแบบศนู ยก์ ารเรียน เช่นการจัดปรับห้องบรรยายให้มีลักษณะเหมาะ แก่การทางานเปน็ กลุม่ ไม่ไดแ้ บง่ เปน็ ศนู ย์การเรียนอยา่ งชดั เจน - ศูนย์การเรียนในห้องเรียน เช่น การจัดมุมหรือข้างห้องเป็นศูนย์การเรียน อย่างเป็นสดั สว่ นชัดเจนภายในห้องเรียน แบบนี้แตล่ ะศนู ย์จะมเี นื้อหาวิชาเหมือนหรือต่างกนั ก็ได้ ๒. ศนู ยก์ ารเรยี นทแ่ี ยกเปน็ เอกเทศ เปน็ หอ้ งท่ีจดั ทาเป็นศูนย์การเรยี นรู้อย่างชัดเจนเป็น สดั สว่ น มีการจัดทาได้ ๒ ลักษณะ ดังนี้ - ศูนย์การเรียนที่ใช้เป็นห้องปฏิบัติการวิธีสอนหรือศูนย์การเรียนสาหรับครู (Teacher Learning Center) ใช้สาหรับสถานบนั ผลิตครู - ศูนย์การเรียนสาหรับค้นคว้าด้วยตนเอง (Resources Learning Center) เป็นศนู ยท์ ีม่ กี ารจดั เตรียมทุกสิง่ ไวใ้ ห้ผ้สู นใจเขา้ ไปศึกษาหาความรดู้ ้วยตนเองโดยไม่จากัดวยั และระดบั ชน้ั ๓. ศนู ย์การเรียนชุมชน ศูนย์น้ีอยู่ภายในสถานศึกษาแต่แยกจากห้องเรียนชัดเจนจัดข้ึน เพื่อให้ผู้ที่มีความสนใจใฝ่รู้เข้าไปศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง โดยไม่กาหนดเวลาและระดับชั้นที่จะเข้าใช้ ศูนย์การเรยี น เนื่องจากศูนย์การเรยี นเป็นการจัดกจิ กรรมให้ผู้เรียนเข้าไปศึกษาหาความรดู้ ้วยตนเอง ดังน้ันจึงมี อปุ กรณ์ และส่ือการเรยี นรู้ท่ีครบถว้ นเพียงพอสาหรบั ศูนย์แต่ละศูนย์ องค์ประกอบของศูนย์การเรียนเป็นส่ิงที่ต้องจัดเตรียมไว้สาหรับให้ผู้เรียนได้ศึกษาหาความรู้ด้วย ตนเอง จึงต้องมสี งิ่ ทจ่ี ะชว่ ยใหเ้ กดิ การเรียนรูท้ ค่ี รบถว้ น ได้มีผู้ระบุองค์ประกอบท่ีสาคัญของศูนย์การเรียน ไว้หลายคน ไดก้ ล่าวถึงองค์ประกอบของศูนย์การเรียนหรือศูนย์กจิ กรรมไว้ ๔ สว่ นสรุปได้ดงั นี้ ๑. เนอ้ื หาของบทเรียน เป็นส่วนทีบ่ ง่ บอกให้รู้ว่าผู้เรียนจะได้เรียนเรื่องอะไรเมื่อเข้าศูนย์ กจิ กรรมตา่ งๆ ๒. วสั ดอุ ปุ กรณ์/ส่อื การเรยี นรู้ เป็นส่วนท่ีถ่ายทอดความรู้ เช่นหนังสอื เอกสาร บทความ ตลอดจนส่ือท่ีจะช่วยใหผ้ ู้เรยี นหาความรู้ ๓. บัตรคาสั่ง เป็นส่วนที่ทาหน้าท่ีแทนผู้สอนโดยจะแนะให้ผู้เรียนรู้ว่าควรทาอะไร อยา่ งไรเพอ่ื ใหไ้ ดม้ าซ่งึ ความรปู้ ระกอบด้วย คeอธิบายสั้นๆในเรื่องท่ีจะศึกษา คาส่ังในการดาเนินกิจกรรม และหัวข้ออภิปรายหรือคาถาม ๔. เครอ่ื งเขียน เพ่ือให้ผเู้ รยี นจดบนั ทกึ สิง่ ท่ีเรยี นรสู้ ่งผสู้ อนโดยจะทาออกมาในรปู ของ รายงานแบบฝกึ หัด หรอื แบบทดสอบก็ไดแ้ ล้วแต่กจิ กรรมที่กาหนด

การพฒั นาสอื่ การสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๑๔ ๘.๕ การสอนตามแนวพุทธวธิ ี (Buddhist teaching method) พระพุทธเจ้าทรงไดพ้ ระนามว่า บรมครู ของโลก อันแสดงถึงพระอัจฉริยภาพในการสอนของพระ พทุ ธพระองค์ เป้าหมายการสอนของพระพุทธเจ้า คือ ความสะอาด สว่าง สงบ ที่เกิดข้ึนภายในจิตใจของ ผู้เรียน เกิดปัญญาคือแสงสว่างที่นาไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง พระพุทธองค์ทรงใช้ผืนโลก เป็นห้องเรียน สรรพสัตว์ทั้งมวลคือผู้เรียน ตลอดระยะเวลาในชีวิตของพระองค์ภายหลังจากการตรัสรู้ ทรงทาหน้าที่เป็นบรมครูสั่งสอนประชาชนให้เกิดความรู้ความเข้าใจในชีวิต เกิดปัญญาและดวงตาเห็น ธรรม ทรงชีท้ างบรรเทาทกุ ข์ ช้ีสุขเกษมศานต์ บอกทางแห่งพระนิพพานแก่เหลา่ เวไนยสตั ว์ หลักธรรมท่พี ระพทุ ธเจ้าทรงตรัสรู้มีอยู่เป็นจานวนมากและมีระดบั ยาก ง่าย ลึก ต้ืน แตกต่างกัน ออกไปตามสภาพธรรม ดังนั้น หลักธรรมที่นามาทรงสอนหรือถ่ายทอดจึงได้ผ่านการวิเคราะห์เน้ือหาให้ เข้ากับสภาพผู้เรียนและสภาพการเรียนการสอนในขณะนั้นเป็นเรื่อง ๆ ไป และน่ีคือเห็นผลว่าทุกครั้งที่ ทรงสอนพระองค์จึงประสบความสาเร็จในการสอน ศิษย์ท่ีพระองค์ทรงสอนจึงพัฒนาตนเองสู่ความเป็น พระอรยิ บคุ คล หลักการและวิธีการสอนหรือเทคนิคการสอนตามแนวพุทธจริยามีหลายประการ โดยยึดผู้เรียน และเนื้อหาเป็นสาคัญว่าจะใช้วิธีการสอนแบบใดให้เหมาะสมกับผู้เรียนและเนื้อหาที่จะสอน โลกการ เรยี นรู้ตามโลกทศั นพ์ ระพุทธศาสนาจึงเป็นการเรียนรู้ท่ีไม่มีขอบเขตจากัด ข้ึนอยู่กับความรู้ความสามารถ ของผเู้ รยี นและการพัฒนาตนเอง แตห่ ากให้กาหนดขอบเขตการเรียนรู้ตามแนวคิดพระพุทธศาสนา ก็อาจ กาหนดขอบเขตได้ว่าเป็นการเรียนรู้ภายในตัวเรา โดยเอาจิตมนุษย์เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ เมื่อใดเรา สามารถเข้าใจตนเองได้อยา่ งแจม่ แจ้ง เมือ่ น้นั เราก็จะเกิดความเขา้ ใจโลกอย่างทะลปุ รุโปร่งด้วยเช่นกนั งานการสอนธรรมหรือแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า เพ่ือประดิษฐานพระพุทธศาสนา เป็นงานท่ี ละเอียดประณีต เพราะทรงมุ่งให้เป็นธรรมท่ีเกื้อกูลแก่คนและอานวยผลเป็นความสุขสามประการดังท่ี กลา่ วแล้ว จึงทรงมีภารกิจหลักที่เรียกว่า พุทธกิจ ในแต่ละวัน เพ่ือบาเพ็ญจริยา ๓ ประการของพระองค์ ให้สมบูรณ์ คอื ๑. โลกัตถจริยา ทรงบาเพ็ญประโยชนแ์ กโ่ ลก ในฐานะที่พระองคเ์ ป็นสมาชกิ คนหนึง่ ของสงั คมโลก ความสาเร็จในจริยาขอ้ น้ที รงอาศัย พุทธกิจ ตามตารางพุทธภารกจิ ๕ ประการ คือ (๑) ปุเรภัตตกิจ พุทธกิจภาคเช้าหรือภาคก่อนอาหาร ทรงตื่นพระบรรทมแต่ เช้า เสด็จออกบิณฑบาต เพื่อเป็นการโปรดสัตว์โลกผู้ต้องการบุญ เสวยเสร็จแล้วทรงแสดงธรรมโปรด ประชาชนในท่ีนัน้ ๆ แลว้ เสดจ็ กลบั พระวหิ ารและรอให้พระสงฆฉ์ ันเสร็จแลว้ จึงเสด็จเข้าพระคันธกุฎี (๒) ปจั ฉาภัตตกจิ พทุ ธกจิ ภาคบา่ ยหรอื หลังอาหาร แบง่ เป็น ๓ ระยะ คอื ระยะท่ี ๑ เสดจ็ ออกจาพระคันธกุฎี ทรงใหโ้ อวาทพระภกิ ษุสงฆ์ เสรจ็ แลว้ พระสงฆ์แยกย้ายกนั ไปปฏบิ ตั ิธรรมในท่ตี ่าง ๆ พระองค์เสดจ็ เขา้ พระคนั ธกุฎี ระยะที่ ๒ ทรงพจิ ารณาตรวจดูความเป็นไปของชาวโลก ระยะที่ ๓ ทรงแสดงธรรมโปรดประชาชนในถ่นิ นั้นที่มาประชุมใน ธรรมสภาเพอื่ รอฟงั ธรรม (๓) ปรุ ิมยามกิจ พุทธกิจยามท่ี ๑ ของราตรี (ภาคกลางคนื ) ภายหลังจากภาค กลางวันแลว้ ทรงปลีกพระองคอ์ ยเู่ งียบ ๆ พักหนึง่ จากนนั้ พระสงฆ์มาเข้าเฝ้าเพ่ือทลู ถามปญั หา ทรง ประทานพระโอวาท ตอบปัญหา ใหก้ รรมฐานแก่พระสงฆ์

การพัฒนาส่อื การสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๑๕ (๔) มชั ฌิมยามกจิ พุทธกิจยามท่ี ๒ ภาคกลางคืน (เท่ียงคืน) เม่ือพระสงฆ์แยก ย้ายไปแล้ว ทรงใชเ้ วลาช่วงทสี่ องของคืนน้นั ๆ ตอบปัญหาเทวดาที่มาเขา้ เฝา้ (๕) ปัจฉิมยามกิจ พุทธกิจยามท่ี ๓ คือเวลาใกลร้ ุ่งของราตรี แบ่งเปน็ ๓ ระยะ คอื ระยะที่ ๑ เสดจ็ ดาเนนิ จงกรมเพื่อใหพ้ ระวรกายไดผ้ อ่ นคลาย ระยะที่ ๒ เสดจ็ เข้าพระคนั ธกุฎี ทรงบรรทมสีหไสยาสน์อย่างมีพระสติ สัมปชญั ญะ ระยะที่ ๓ เสด็จประทับน่ังพิจารณาสอดส่องเลือกสรรว่าในวันต่อไปมี บุคคลผู้ใดท่ีควรเสด็จไปโปรดโดยเฉพาะเป็นพิเศษ น่ันก็คือทรงตรวจดูสัตว์โลกท่ีอาจจะรู้ธรรม ซึ่ง พระองค์แสดงแล้วได้รับผลตามสมควรแก่อุปนิสัยบารมีของบุคคลน้ัน เมื่อทรงกาหนดพระทัยแล้วก็จะ เสด็จไปโปรดในภาคพุทธกจิ ท่ี ๑ คอื ปเุ รภัตตกจิ หลักพุทธกิจข้อที่ ๕ ถือว่าเป็นจุดเด่นในการทางานของพระพุทธเจ้าจนทาให้ผู้ศึกษา พระพุทธศาสนาบางคนมีความรู้สึกว่าทาไมคนแต่ก่อนบรรลุธรรมกันง่ายเหลือเกิน ถ้าศึกษารายละเอียด แล้วจะพบว่าไม่มีคาว่าง่ายเลย เพราะนอกจากจะอาศัยวาสนาบารมีของคนเหล่านั้นเป็นฐานอย่างสาคัญ แล้ว การแสดงธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเป็นการทางานภายใต้โครงสร้างระบบการทางาน ที่มีการศึกษา ขอ้ มลู การประเมนิ ผล การสรุปผลในการแสดงธรรมทกุ คร้งั แบบอยา่ งการทางานการสอนของพระพทุ ธเจ้าตรงน้ี น่าจะเปน็ แบบอยา่ งของ การทางานเปน็ ครไู ด้เป็นอย่างดียิ่ง เพราะในการสอนแตล่ ะครัง้ พระพทุ ธเจ้าจะเรมิ่ จากการวเิ คราะห์ ผเู้ รยี น กล่าวคือ กระบวนการสอนจะเร่ิมตามลาดบั ดงั น้ี (๑) หลงั จากที่บุคคลน้นั ๆ ปรากฏในขา่ ยพระญาณของพระองค์ คือ ทรงรูว้ ่า เขาเปน็ ใคร (จะสอนใคร) (๒) มอี ปุ นสิ ัยบารมีอย่างไร (วเิ คราะหป์ ระสบการณ์ผู้เรยี น/มปี ระสบการณ์ อะไรบ้าง) (๓) จะแสดงธรรมอะไรจึงจะไดผ้ ล (จะสอนอะไร) (๔) หลงั จากแสดงธรรมแลว้ ผลจะออกมาเป็นอย่างไร (กาหนดวัตถุประสงค์/จะ ได้อะไร) ด้วยแผนการสอนดังกล่าว การแสดงธรรมทุกคร้ังของพระพุทธเจ้าจึงบังเกิดผลเป็นอัศจรรย์ เพราะได้ทรงจาแนกแยกแยะผู้เรียน คือ ผู้ท่ีจะฟังธรรมด้วยกระบวนการที่กาหนดไว้เป็นระบบแล้ว นอกจากนั้นแล้วการทางานเผยแผ่ธรรมเพื่อประดิษฐานพระพุทธศาสนา และเพื่อสงเคราะห์แก่ชาวโลก ทรงจาแนกหลักและวธิ ีการสอนธรรมะแก่ประชาชนออกเปน็ ๓ ประการ คือ (๑) ทรงส่ังสอนเพ่ือให้ผู้ฟังรู้ เห็น ในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็น หมายความว่าคนเรานั้นมีพื้นเพ อัธยาศยั ระดับสติปัญญาแตกต่างกนั คนใดสามารถฟังเร่ืองอะไรรู้เรื่อง คิด เห็นประโยชน์จากส่ิงเหล่านั้น จนถงึ นอ้ มนามาประพฤติปฏิบตั ไิ ด้ พระองคจ์ ะทรงแสดงธรรมะแกเ่ ขาในชั้นนัน้ คนบางคนมีสติปัญญา มีความรอบรู้ดี สามารถฟังเรื่องที่ลึกซ้ึงวิจิตรพิสดาร แล้วเกิดความเข้าใจ ได้ พระพทุ ธเจ้าจะแสดงธรรมะระดับน้ันแก่เขา การสอนธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงเปรียบเหมือนกับการ สอนนักเรียนในชั้นต่างๆ กล่าวคือหากเป็นชั้นอนุบาลจะต้องสอนในสาระความรู้ระดับท่ีเด็กอนุบาลจะ สามารถเข้าใจได้ และในช้นั ประถมศึกษา มัธยมศกึ ษา หรืออุดมศกึ ษากใ็ นลักษณะเดียวกัน

การพัฒนาส่ือการสอนพระพุทธศาสนา ๑๑๖ ความรู้ทุกระดับท่ีนักเรียนได้รับจะเป็นประโยชน์เกื้อกูล อานวยความสุขให้แก่นักเรียนฉันใด ธรรมะท่ีพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนแก่บุคคลทั้งหลายก็ทรงมุ่งหมายท่ีจะให้เกิดประโยชน์ในการน้อมนามา ประพฤตปิ ฏิบัตแิ ล้วได้รับความสขุ ความเจริญ แกป่ ระชาชน (๒) ทรงส่ังสอนมีเหตุซึ่งผู้ฟังเมื่อพิจารณาตามแล้วจะพบความจริง กล่าวคือธรรมะที่นามาส่ัง สอนหากพจิ ารณาตามแล้วจะเห็นว่าเป็นเร่ืองจริง เป็นความถูกต้องดีงาม เช่น ทรงสอนว่าการท่ีบุคคลฆ่า กัน ลักขโมยกัน ประพฤติผิดในกามต่อกัน โกหกหลอกลวงกัน ดื่มสุราอาละวาด เป็นทางให้เกิดเวร เกิด ภยั เกิดความเส่ือม หากมนุษย์ในสังคมเว้นการฆ่าการเบียดเบียนกัน การอาฆาตพยาบาทจองเวรกันก็จะ ไม่เกดิ ขึ้น ทรงสอนว่า ผู้ท่ีหมั่นขยันย่อมหาทรัพย์ได้ ก็แสดงให้เห็นว่าใครก็ตามถ้าหากมีความขยันมีความ พยายามอย่างต่อเน่ืองไม่ย่อท้อ หากเป็นการศึกษาเล่าเรียนก็จะมีความรอบรู้ในวิชาการหากเป็นการ ทางานประกอบอาชีพก็จะประสบความสาเร็จ หรือแม้แต่ทรงสอนว่า อบายมุขเป็นทางแห่งความเส่ือ เชน่ การเลน่ การพนนั ทรงแสดงว่าเปน็ ทางแห่งความเสื่อม ใครก็ตามท่ีตกหลุมอบายมุขเข้าเม่ือใดก็ตาม ก็ จะประสบกับความเส่ือมเมื่อนั้น นี้คือความหมายที่ว่าหากผู้ฟังพิจารณาตามไปก็จะเห็นความจริงได้ กล่าวคือหากเป็นคนเกียจคร้านก็จะไม่เจริญก้าวหน้า อันแสดงว่าความเกียจคร้านเป็นเหตุ ความเจริญ หรือไม่เจริญเป็นผล ตราบใดท่ีบุคคลยังเกียจคร้านอยู่เขาจะมีความเจริญไม่ได้ ไม่ว่าในด้านใดก็ตาม คา สอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลักคาสอนท่ีมีเหตุผล ขอให้ผู้ฟังนาไปคิดพิจารณาเท่าน้ันก็จะเห็นตามความ เปน็ จรงิ อย่างทท่ี รงแสดงไว้ทกุ ประการ (๓) คาสอนของพระองค์เป็นอัศจรรย์ คือ เม่ือบุคคลนาไปประพฤติปฏิบัติแล้วจะได้รับ ประโยชน์ตามสมควรแก่การประพฤติปฏิบัติ เหมือนกับการอ่านหนังสือ อ่านหน้าเดียวก็รู้หน้าเดียว อา่ นทั้งเลม่ กร็ ู้เนือ้ หาทั้งเล่ม คอื มคี วามรู้ตามสมควรแก่ปรมิ าณของเนื้อหาทเี่ ราอ่าน การปฏิบัติธรรมะตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนก็ทานองเดียวกัน คือ คนที่ปฏิบัติได้มากก็ได้รับ ความสุขความเจริญมาก คนปฏิบัติน้อยผลก็น้อยตามการปฏิบัติ กล่าวคือใครที่ปฏิบัติตามท่ีทรงสอนไว้ แล้ว จะไดร้ บั ผล ไม่วา่ จะเป็นดา้ นบวก คือความเส่ือมหรือด้านลง คือความเจริญกต็ าม ในทางเสื่อมทรงแสดงว่าอย่าประพฤติปฏิบัติ ใครขืนประพฤติปฏิบัติ เช่น ที่ทรงแสดงว่าการด่ืม สุรา การเล่นการพนัน การคบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทาการงาน ฯลฯ เป็นทางแห่งความเสื่อมความ ฉบิ หาย ใครกต็ ามหากประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติน้อยเสื่อมน้อย ประพฤติปฏิบัติมากเสื่อมมาก ใคร ทล่ี มุ่ หลงมัวเมาในอบายมุขการที่จะไม่เสอื่ มเปน็ อันไม่มี ในทางเจริญทรงสอนไว้ว่าให้ประพฤติปฏิบัติ อย่างท่ีทรงสอนว่าความเพียรพยายามจะนาไปสู่ ความสาเร็จ พน้ จากความทุกขไ์ ด้ ใครก็ตามเมื่อมีความเพียรพยายาม ก็จะค่อย ๆ หลุดพ้นจากความทุกข์ ในเร่ืองนั้น ๆ เช่น มีความเพียรพยายามในการทางาน ก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์เพราะไม่มีเงินทอง จับจ่ายใช้สอย มีความขยันหม่ันเพียรในการปฏิบัติหน้าที่ราชการก็จะพ้นจากความทุกข์เพราะไม่ เจริญกา้ วหนา้ เพราะเงินเดอื นน้อย เปน็ ตน้ นี้คือลักษณะคาสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่าเป็นคาสอนท่ีอัศจรรย์จริง ๆ คือ ทรงสอนไว้อย่างไรก็ เปน็ อย่างนน้ั หากเราประพฤติปฏิบตั ติ ามก็จะเห็นจริงเป็นอัศจรรย์ตามนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม้เวลา จะล่วงเลยมาเป็นเวลากวา่ ๒๕๐๐ ปแี ลว้ กต็ าม ๒. ญาตัตถจริยา ทรงบาเพ็ญประโยชน์แก่พระญาติ ท้งั ฝา่ ยพระพุทธบิดา และพระพุทธ มารดา ในฐานะที่ทรงเป็นอภิชาตบุตรของราชกระกูล เป็นภารกิจท่ีวางอยู่บนพ้ืนฐานของพระมหากรุณา เช่นเดียวกัน พระพุทธองค์แม้จะอยู่ในฐานะท่ีเป็น คนของโลก หรือ คนของประชาชน แต่พระองค์ก็ไม่

การพฒั นาสือ่ การสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๑๗ ทรงละเลยภารกจิ ในฐานทม่ี ีพระญาตดิ ังเช่นคนทั่วไป การบาเพ็ญประโยชน์แก่พระญาติ เช่น การเสด็จไป โปรดพระญาติท่ีกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงแนะนาให้พระญาติซ่ึงกาลังจะทาสงครามกันได้เข้าใจเผตุผล สามารถ ปรองดองกนั ได้ เป็นตน้ ๓. พุทธตั ถจรยิ า ทรงบาเพ็ญประโยชนใ์ นฐานะพระพุทธเจ้า หมายถึงการทาหน้าที่ของ พระพุทธเจ้าทรงวางกฎระเบียบ พระวินัย สาหรับควบคุมความประพฤติของผู้เข้ามาบวชใน พระพุทธศาสนา ทรงแนะนาให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหน้าท่ีของตน ทรงวางพระองค์ ต่อผู้ที่เข้ามาบวชและแสดงตนเป็นอุบาสกอุบาสิกา ในฐานะของบิดากับบุตร ผู้ปกครอง กัลยาณมิตร ศาสดาผู้เอน็ ดู เป็นต้น ตามสมควรแก่บุคคลและโอกาสนั้นๆ จนสามารถประดิษฐานเปน็ รูปสถาบันศาสนา สืบตอ่ กนั มาได้ การทาหน้าท่ีในฐานะท่ีทรงเป็นพระพุทธเจ้า เป็นภารกิจในฐานะศาสดาของ พระพุทธศาสนาที่จะต้องทาต่อพระสาวก ผู้ประกาศตนถึงพระองค์ว่าเป็นสรณะ งานส่วนออกมาในรูป ขององค์กรพทุ ธศาสนาที่สามารถสืบสานงานพระพุทธศาสนา นาให้เป็นประโยชน์แก่พระประยูรญาติและ แก่ชาวโลก กล่าวโดยสรุปการดาเนินงานพัฒนาปัญญา ปลุกชาวประชาให้ต่ืนตัว ต่ืนตามนั้น ทรง ดาเนินไปตามหลกั ของพทุ ธจรยิ า ๓ ประการ คอื (๑) ในฐานะท่ีทรงเป็นประชากรคนหนึ่งของโลก พระองค์ได้เสด็จพุทธดาเนินไป ประกาศหลักคาสอนตามท่ีต่าง ๆ เท่าที่สามารถจะขยายออกไปได้ในขณะน้ัน ท้ังน้ีก็ด้วยพระมหากรุณา ต่อชาวโลกทัง้ หลายท่ีอาศัยอยใู่ นถน่ิ นน้ั ๆ (๒) ในฐานะของลูกหลานแห่งราชสกุลทั้งสอง ทรงบาเพ็ญประโยชน์แก่พระญาติของ พระองค์ด้วยวิธีการต่างๆ ทาให้พระญาติเหล่าน้ันได้รับประโยชน์จากธรรมปฏิบัติอย่างน้อยท่ีสุดสามารถ รกั ษาศลี ๕ ประการได้ จนถึงบรรลมุ รรคผลในชนั้ นั้นๆ๗ สรปุ ทา้ ยบท พระพุทธศาสนาท้ังหมดเป็นเรื่องของการศึกษา ตามความหมายของคาว่า การศึกษา (Education) อย่างแท้จริง การศึกษาตามหลักพระพุทธศาสนาแล้วน่าจะ เป็นดังน้ี “การศกึ ษาคือกระบวนการเรียนรคู้ วามจริงในระดับต่างๆ เพ่ือให้เกิดการเปลี่ยน แปลงไปในทาง ดีในตัวผู้ร้เู อง ในคนอื่นและในสิ่งแวดล้อม”1 การศึกษาในพระพุทธศาสนาเป็นการศึกษาเล่าเรียนเพ่ือให้รู้ ความจริงเกี่ยวกับเรื่องสาคัญ ๔ เรื่องของโลกและจักรวาล ( ภพภูมิต่างๆ) เร่ืองของชีวิตว่าชีวิตคืออะไร เกดิ ข้นึ มาได้อย่างไร ประกอบดว้ ยอะไรบ้าง ตา่ งจากสัตว์อ่นื อย่างไร เร่อื งของเป้าหมายสูงสุดของชีวิตและ เร่อื งทางการปฏบิ ัติเพื่อไปสู่เป้าหมายสูงสุดนั้น ความเข้าใจอย่างถูกต้องในโลกียธรรม ทาให้มนุษย์ปฏิบัติ ถูกต้องต่อส่ิงท่ีเป็นโลกๆ ก่อให้เกิดความสุขความสาเร็จอย่างโลก เช่น การปฏิบัติตนต่อสุขภาพอนามัย อย่างถูกต้อง ก่อให้เกิดความสุขกาย การทาหน้าท่ีของ ตนอย่างถูกต้องเหมาะสม ก่อให้เกิดความสุขทาง สงั คมขึน้ เป็นต้น การปฏิบัติธรรมใน ระดับการละกิเลสอย่างถูกต้องทาให้เข้าถึงโลกุตรธรรม คือสิ้นความ ๗ สุรวิ ตั ร จันทร์โสภา,หลกั การสอนตามแนวพุทธจริยา, หัวหน้าภาควิชาวชิ าการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก www.chalburi.mbu.ac.th/content/๐๐๐๒, สืบค้นเมื่อ ๒ กนั ยายน ๒๕๕๘.

การพัฒนาสื่อการสอนพระพุทธศาสนา ๑๑๘ โลภ ความโกรธ ความหลง ก่อให้เกิดความสุขอันไม่เจือด้วยทุกข์ หรือสันติสุขอันแท้จริงถาวร (lasting peace) ซึ่งเป็นจดุ หมายสงู สุดของการพฒั นาชวี ิตและจติ ตามคตินิยมทางพระพุทธศาสนา

การพัฒนาส่ือการสอนพระพุทธศาสนา ๑๑๙ คาถามทา้ ยบท

การพัฒนาสือ่ การสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๒๐ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้, ออนไลน์ เขา้ ถึงได้จาก www.scc.ac.th/etraining/sub/๔mat/ doc, สืบค้นวันท่ี ๑๐ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๕๙. โกศล มคี ุณ, (๒๕๒๔)การวิจยั เชงิ ทดลองฝกึ อบรมการใชเ้ หตผุ ลเชิงจริยธรรม และทักษะการสวม บทบาทของนักเรียนประถมศกึ ษา, ปรญิ ญานิพนธ์การศกึ ษาดษุ ฎบี ณั ฑิต, กรงุ เทพมหานคร: มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒ ประสานมติ ร. ปณฏั ฐา ศรเดช, (๒๕๔๔), การศกึ ษาผลการสอนการแกโ้ จทย์ปัญหาคณิตศาสตรโ์ ดยสอดแทรก คุณธรรมด้านความชือ่ สัตย์ สาหรับนักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี ๖,วิทยานิพนธ์ปรญิ ญา การศกึ ษามหาบัณฑิต, สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน, บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั บูรพา. วัชรนิ ทร์ โพธเิ์ งนิ , ผศ.ดร.,และคณะ, (๒๕๕๔), การจัดการเรียนการสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน, ภาควิชาครุศาสตรเ์ ครือ่ งกล คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม, กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ พระนครเหนือ. สานกั นิเทศและพัฒนามาตรฐานการศึกษา, (๒๕๔๖), สานกั งานคณะกรรมการการประถมศกึ ษา แห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ,รายงานวิจยั ปฏิบตั ิการเพือ่ พัฒนาระบบประกนั คณุ ภาพ ภายในสถานศึกษา.กรุงเทพมหานคร:องค์การรบั ส่งสนิ คา้ และพสั ดภุ ณั ฑ์ (ร.ส.พ.). สมุ ิตร คุณานุกร, (๒๕๔๒), กระบวนการบริหารจัดการหลักสตู ร, กรงุ เทพมหานคร: สานักพมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สุรวิ ตั ร จันทรโ์ สภา,หลกั การสอนตามแนวพุทธจริยา, หัวหน้าภาควชิ าวชิ าการศึกษา คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหามกฏุ ราชวิทยาลยั , (ออนไลน์) เข้าถงึ ได้จาก www.chalburi.mbu.ac.th/content/๐๐๐๒, สืบค้นเม่ือ ๒ กนั ยายน ๒๕๕๘.

บทท่ี ๙ การใช้สือ่ และเทคโนโลยกี ารประเมนิ ผลการเรียนรู้ วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนประจาบท เม่อื ศึกษาเนอ้ื หาในบทน้ีแลว้ ผูเ้ รยี นสามารถ ๑. อธบิ ายความหมายของสื่อ เทคโนโลยี การประเมนิ ผล และการเรยี นรู้ได้ ๒. อธิบายความสาคญั ของสื่อ เทคโนโลยี การประเมินผล และการเรยี นรไู้ ด้ ๓. ระบุประเภทของสื่อ เทคโนโลยี การประเมินผล และการเรยี นรไู้ ด้ ๔. อธิบายการใชส้ ื่อ เทคโนโลยี การประเมนิ ผล และการเรยี นร้ไู ด้ ๕. ประยุกต์การใช้ส่ือ เทคโนโลยี การประเมินผล และการเรียนรู้ได้ ขอบข่ายเน้อื หา  ความหมายของสื่อ เทคโนโลยี การประเมนิ ผล และการเรียนรู้  ความสาคญั ของส่อื เทคโนโลยี การประเมินผล และการเรียนรู้  ประเภทของสื่อ เทคโนโลยี การประเมนิ ผล และการเรียนรู้  ใช้ส่อื เทคโนโลยี การประเมนิ ผล และการเรียนรู้  ประยุกต์ใช้ส่อื เทคโนโลยี การประเมินผล และการเรยี นรู้

การพัฒนาสือ่ การสอนพระพุทธศาสนา ๑๒๒ ๙.๑ ความนา การเรียนการสอนในยุคปัจจุบันไม่สามารถจะจากัดอยู่เพียงแต่ในห้องเรียนเท่านั้นอีกต่อไปแล้ว พฤติกรรมการเรียนรูแ้ ละการจัดสถานการณ์เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้อาจจัดขึ้น ณ ท่ีใดก็ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และโอกาส เครื่องมอื ท่สี าคัญท่จี ะช่วยให้การจัดสถานการณ์ทางการเรียนรู้มีประสิทธิภาพท่ีจาเป็นก็คือสื่อการ สอนและเทคโนโลยีทางการศึกษา หากขาดสิ่งดังกล่าวน้ีแล้ว การจัดสถานการณ์เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้ ยอ่ มจะขีดวงจากัดเข้ามาเป็นอย่างมาก สื่อการสอนและเทคโนโลยีทางการศึกษานั้นสามารถสร้างสถานการณ์ เพอ่ื ใหเ้ กดิ การเรยี นรไู้ ด้เปน็ อันมาก อาจกลา่ วไดว้ า่ โดยปกตจิ ากขอบเขตกจากัดทั้งเวลาและสถานท่ี ถ้าหากว่า มีอุปกรณ์และเครื่องมือที่พร้อมก็จะช่วยให้ข้อจากัดดังกล่าวหมดไป ดังนั้นสื่อการสอนและเทคโนโลยี ทางการศึกษาจึงเปรียบเสมือนมือไม้ของครูที่สาคัญจะขาดเสียไม่ได้ในการจัดการเรียนการสอนในปัจจุบัน ไมว่ า่ จะสอนในระดับใดกต็ ามจะตอ้ งมสี ่ือการสอน๑ สื่อ (Media) โดยท่ัวไป หมายถึงตัวกลางหรือระหว่าง (Between) ท่ีจะคอยเชื่อมโยงอันหน่ึงกับอีก อนั หนงึ่ ซึ่งในท่นี ้ถี ้าหมายถงึ การสอื่ สารแลว้ สอื่ จะหมายถึงสื่อต่างๆ ที่เป็นการแนะนาความรู้หรือสารสนเทศ (Information) ระหว่างผู้ส่ือกับผู้รับ เช่น ภาพยนตร์ วิทยุ โทรทัศน์ รูปภาพ วัสดุฉาย ส่ิงพิมพ์และส่ืออื่นๆ ส่ือที่ใช้ในการสื่อสาร แต่เม่ือนาสิ่งเหล่านี้มาใช้ในการเรียนการสอนแล้ว เราเรียกส่ิงเหล่าน้ีว่า สื่อการเรียน การสอนดว้ ยเหตนุ ้ี ส่ือการเรียนการสอนจึงมหี นา้ ทเ่ี ป็นพาหนะนาความรไู้ ปสผู่ ูเ้ รยี นในขณะท่ีมีการจัดกิจกรรม การเรียนการสอน คาวา่ สื่อการสอน ฉะน้ันสื่อการสอนแต่ละชนิดนั้นมีคุณค่าต่อการเรียนการสอนเป็นอย่างย่ิง ผู้สอนสามารถท่ีจะเอาส่ือ มาใช้ประกอบการเรียนการสอนได้ทุกระดับชั้น ต้ังแต่การศึกษาระดับปฐมวัยจนถึงระดับอุดมศึกษา โดยเฉพาะอย่างย่ิงในระดับปฐมวัยนั้น การใช้สื่อการเรียนการสอนกับวัยเด็กย่ิงมีความจาเป็น และมีความสาคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นวัยแรกเร่ิมแห่งการพัฒนาการในทุกๆ ด้าน ซ่ึงได้กล่าวถึงประโยชน์ และความสาคัญของส่ือการเรียนการสอน ส่ือการสอนเป็นองค์ประกอบสาคัญในการสร้างประสบการณ์ ทางการศึกษาให้แก่ผู้เรียน สื่อการสอนมีให้เลือกมากชนิด ส่ิงสาคัญคือผู้สอนจะต้องเลือกและใช้สื่อการสอน ให้เหมาะกับบทเรียน ส่ือการสอนน้ันจะต้องใช้ได้อย่างสะดวกและที่สาคัญก็คือเม่ือนามาใช้แล้วช่วยให้ การเรียนการสอนมปี ระสทิ ธิภาพ ๙.๒ ความหมาย ๙.๒.๑ ความหมายของสอ่ื เมื่อพิจารณาคาว่า \"สื่อ\" ในภาษาไทยกบั คาในภาษาองั กฤษ พบว่ามีความหมายตรงกับคาว่า \"media\" (ในกรณีที่มีความหมายเป็นเอกพจน์จะใช้คาว่า \"medium\") สื่อ (กริยา) หมายถึง ติดต่อให้ถึงกัน เช่น ส่ือ ความหมาย, ชักนาให้รู้จักกัน สื่อ (นาม) หมายถึง ผู้หรือส่ิงท่ีติดต่อให้ถึงกันหรือชักนาให้รู้จักกัน เช่น เขาใช้ จดหมายเป็นส่ือติดต่อกัน, เรียกผู้ท่ีทาหน้าท่ีชักนาให้ชายหญิงได้แต่งงานกันว่า พ่อสื่อ หรือ แม่ส่ือ (ศิลปะ) ๑ พระมหาประเสรฐิ สเุ มโธ, การสอนแบบโยนโิ สมนสกิ าร. พมิ พ์ครง้ั ท่ี ๒, (บรุ ีรมั ย์ : วิทยาลัยสงฆบ์ รุ ีรมั ย์ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย ๒๕๕๔), หน้า ๑๑๐.

การพัฒนาสือ่ การสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๒๓ วัสดุต่างๆ ท่ีนามาสร้างสรรค์งานศิลปกรรม ให้มีความหมายตามแนวคิด ซ่ึงศิลปินประสงค์แสดงออกเช่นน้ัน เช่น สอ่ื ผสม\" ๒ นกั เทคโนโลยีการศกึ ษาไดม้ ีการนิยามความหมายของคาว่า \"ส่อื \" ไว้ดังต่อไปนี้ Heinich และคณะ ๓ เป็นศาสตราจารย์ ภาควิชาเทคโนโลยรี ะบบการเรียนการสอน ของมหาวิทยาลัย อินเดียน่า (Indiana University) ให้คาจากัดความคาว่า \"media\" ไว้ดังนี้ \"Media is a channel of communication.\" ซ่ึงสรุปความเป็นภาษาไทยได้ดังน้ี \"สื่อ คือช่องทางในการติดต่อสื่อสาร\" Heinich และ คณะยังได้ขยายความเพิ่มเติมอีกว่า \"media มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน มีความหมายว่า ระหว่าง (between) หมายถึง อะไรก็ตามซ่ึงทาการบรรทุกหรือนาพาข้อมูลหรือสารสนเทศ ส่ือเป็นส่ิงท่ีอยู่ระหว่าง แหล่งกาเนิดสารกบั ผู้รบั สาร\" A. J. Romiszowski ๔ ศาสตราจารย์ทางด้านการออกแบบ การพัฒนา และการประเมินผลส่ือการ เรียนการสอน ของมหาวิทยาลัยซีราคิวส์ (Syracuse University) ให้คาจากัดความคาว่า \"media\" ไว้ดังนี้ \"the carriers of messages, from some transmitting source (which may be a human being or an inanimate object) to the receiver of the message (which in our case is the learner)\" ซ่ึงสรุป ความเป็นภาษาไทยได้ดังน้ี \"ตัวนาสารจากแหล่งกาเนิดของการสื่อสาร (ซึ่งอาจจะเป็นมนุษย์ หรือวัตถุท่ีไม่มี ชวี ติ ) ไปยังผรู้ ับสาร (ซึง่ ในกรณขี องการเรยี นการสอนก็คือ ผู้เรยี น)\" ดังน้ันจึงสรุปได้ว่า ส่ือการสอน (Instructional Media) หมายถึงสิ่งต่างๆ ท่ีใช้เป็นเครื่องมือ หรือ ช่องทางสาหรับทาให้การสอนของครูไปถึงผู้เรียน และทาให้ผู้เรียนเรียนรู้ตามจุดประสงค์ หรือจุดมุ่งหมาย ท่ีวางไว้เป็นอย่างดี ส่ือท่ีใช้ในการสอนนี้ อาจจะเป็นวัตถุส่ิงของที่มีตัวตน หรือไม่มีตัวตนก็ได้ เช่น วัตถุสิ่งของ ตามธรรมชาติ ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ วัตถุสิ่งของท่ีคิดประดิษฐ์หรือสร้างขึ้นสาหรับการสอน พูดท่าทาง วสั ดุ และเคร่อื งมือสอื่ สาร กิจกรรมหรือกระบวนการถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ท่ีเป็นตัวกลางระหว่างแหล่งกาเนิด ของสารกับผู้รับสาร เป็นส่ิงที่นาพาสารจากแหล่งกาเนินไปยังผู้รับสาร เพื่อให้เกิดผลใดๆ ตามวัตถุประสงค์ ของการสอื่ สาร ๙.๒.๒ ความหมายของเทคโนโลยี เทคโนโลยี เทกนอโลจี ๕ หรือ เทคนคิ วิทยา มีความหมายค่อนขา้ งกว้าง โดยท่ัวไปหมายถึง การ นาความรู้ทางธรรมชาติวิทยาและต่อเนื่องมาถึงวิทยาศาสตร์ มาเป็นวิธีการปฏิบัติและประยุกต์ใช้เพื่อช่วยใน การทางานหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ อันก่อให้เกิดวัสดุ อุปกรณ์ เคร่ืองมือ เครื่องจักร แม้กระทั่งองค์ความรู้ นามธรรมเช่น ระบบหรอื กระบวนการต่าง ๆ เพ่อื ใหก้ ารดารงชีวติ ของมนุษยง์ า่ ยและสะดวกยงิ่ ขึ้น ๒ ราชบณั ฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. (กรงุ เทพมหานคร: นานมีบุ๊คส์พบั ลิเคชั่นส์ , ๒๕๔๖), หน้า ๑๒๔๐. ๓ Heinich และคณะ, ความหมายของส่ือการเรียนการสอน. ศาสตราจารย์ภาควิชาเทคโนโลยีระบบการเรียน การสอนของมหาวิทยาลัยอินเดียน่า, (1996). ๔ A. J. Romiszowski, ความหมายของส่ือการเรียนการสอน. ทางด้านการออกแบบ การพัฒนา และ การประเมนิ ผลส่อื การเรยี นการสอนของมหาวิทยาลัยซีราควิ ส์, 1992. ๕เทคโนโลยี, เขา้ ถงึ จาก http://www.tpa.or.th/tpawbs/viewtopic.php?id=622, สืบค้นเม่ือ ๑ ธนั วาคม ๒๕๕๗.

การพฒั นาสือ่ การสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๒๔ คาว่า เทคโนโลยี ตรงกับคาภาษาอังกฤษว่า \"Technology\" ซ่ึงมาจากภาษากรีกว่า \"Technologia\" แปลว่า การกระทาท่ีมีระบบ อย่างไรก็ตามคาว่า เทคโนโลยี มักนิยมใช้ควบคู่กับคาว่า วิทยาศาสตร์ โดย เรียกรวมๆ วา่ \"วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี\" เทคโนโลยี คือ \"วิทยาการที่เก่ียวกับศิลปะในการนาเอาวิทยาศาสตร์ประยุกต์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ในทางปฏบิ ตั ิและอุตสาหกรรม\" นอกจากนั้นยงั มผี ูใ้ ห้ความหมายของเทคโนโลยไี ว้หลากหลาย ดังนี้ คือ ผดงุ ยศ ดวงมาลา๖ ได้ให้ความหมายของเทคโนโลยีว่าปัจจบุ ันมีความหมายกวา้ งกว่ารากศัพท์เดิม คือ หมายถึงกิจกรรมท่ีเกี่ยวข้องกับเครื่องจักรกล ส่ิงประดิษฐ์ใหม่ๆ ทาง อุตสาหกรรม ถ้าในแง่ของความรู้ เทคโนโลยีจะหมายถึง ความรู้หรือศาสตร์ที่เกี่ยวกับเทคนิคการผลิตในอุตสาหกรรม และกิจกรรมอ่ืนๆ ท่ีจะเอ้ืออานวยต่อการดารงชีวิตของมนุษย์ หรืออาจสรุปว่า เทคโนโลยี คือ ความรู้ที่มนุษย์ใช้ทรัพยากรต่างๆ ให้เกดิ ประโยชนแ์ ก่มนษุ ย์เอง ทง้ั ในแงค่ วามเป็นอยูแ่ ละการควบคมุ ส่งิ แวดล้อม ธรรมนญู โรจนะบุรานนท์ ๗ กล่าวว่า เทคโนโลยี คอื ความรู้วิชาการรวมกับความรู้วิธีการ และ ความชานาญที่สามารถนาไปปฏิบัติภารกิจให้มีประสิทธิภาพสูง โดยปกติเทคโนโลยีน้ันมีความรู้วิทยาศาสตร์ รวมอยู่ด้วย น้ันคือวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ เทคโนโลยีเป็นการนาความรู้ไปใช้ในทางปฏิบัติ จึงมักนิยมใช้สอง คาด้วยกัน คือ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเน้นให้เข้าใจว่า ทั้งสองอย่างนี้ต้องควบคู่กันไป จงึ จะมีประสทิ ธิภาพสงู จากการที่มีผู้ให้ความหมายของเทคโนโลยีไว้หลากหลาย สรุปได้ว่า ปัจจุบันคาว่า “เทคโนโลยีสาระ สนเทศ” หรือเรียกส้ันๆว่า “ ไอที” ( IT ) นั้น มักนามาใช้งานอย่างกว้างขวาง เกือบทุกวงการล้วนเห็น ความสาคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศกนั แทบท้งั สิ้น หรอื อาจเรียกว่า โลกแห่งยุคไอทีน้ันเอง ในความเป็นจริง คาว่าเทคโนโลยีสาระสนเทศน้ัน ประกอบด้วยคาว่า “เทคโนโลยี” และคาว่า “สารสนเทศ” มารวมกันโดย แตล่ ะคามคี วามหมายดังนี้ สารสรเทศ ( Information ) คือผลลัพธ์ท่ีเกิดจากการประมวลผลข้อมูลดิบ (Rau data ) ด้วยการ รวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ และนามาผ่านกระบวนการประเมินผล ไม่ว่าจะเป็นการจัดกลุ่มข้อมูล การเรียงลาดับข้อมูล การคานวณและสรุปผล จากน้ันก็นามาเสนอในรูปแบบของรายงานที่เหมาะสม ต่อการใช้งานท่ีก่อเกิดประโยชน์การดาเนินชีวิตของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นด้านของชีวิตประจาวัน ข่าวสาร ความรู้ดา้ นวิชาการ ธุรกจิ เทคโนโลยี ( Technology ) คือการประยุกต์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ท่ีเกี่ยวข้องการผลิต การสร้างวิธีการดาเนินงาน และรวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ท่ีไม่ได้มีในตามธรรมชาติโลกแห่ง เทคโนโลยียุคน้ี ทาให้มนุษย์ได้รับสิ่งอานวยความสะดวกจากเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับการดาเนิน ชวี ติ ประจาวนั มากมายนับไม่ถว้ น เม่ือนาคาว่า เทคโนโลยีและสารสนเทศ รวมเข้าไว้ด้วยกันแล้ว จึงสรุปความหมายโดยรวมได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ ( Information technology ) คือการประยุกต์ความรู้ทางด้านวิทยาสาสตร์มาจัดการ สารสนเทศที่ต้องการ โดยอาศัยเคร่ืองมือทางเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น เทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยี ๖ ผดงุ ยศ ดวงมาลา, การสอนวิทยาศาสตร์ระดบั มธั ยมศึกษา. (ปัตตานี : คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร์, ๒๕๒๓), หน้า ๑๖. ๗ ธรรมนูญ โรจนะบรุ านนท์, ธรรมชาติวิทยา. พมิ พ์ครั้งที่ ๒, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์ชวนพมิ พ,์ ๒๕๓๑), หน้า ๑๗๐.

การพฒั นาส่ือการสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๒๕ ด้านเครือข่ายโทรคมนาคมและการส่ือสาร ตลอดจนอาศัยความรู้ในกระบวนการดาเนินงานสารสนเทศ ในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การแสวงหา การวิเคราะห์ การจัดเก็บ รวมถึงการจัดการเผยแพร่และแลกเปลี่ยน สารสนเทศด้วย เพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพความถูกต้องแม่นยาและความรวดเร็วทันต่อการนามาใช้ประโยชน์ได้ นั่นเองเทคโนโลยี จึงหมายถึง วิชาท่ีนาเอาวิทยาการทางวิทยาศาสตร์และศาสตร์อ่ืนๆ มาประยุกต์ใช้ ตามความตอ้ งการของมนุษย์ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม เปน็ ตน้ ๙.๒.๓ ความหมายของการประเมินผล การวัดและประเมินผล เป็นขั้นตอนสาคัญอันหนึ่งของกระบวนการเรียนการสอน ครูจะทราบว่า นักเรียนเกิดการเรียนรู้และเปล่ียนแปลงพฤติกรรม หรือไม่เพียงใดก็โดยการวัดผลและประเมินผลนี่เอง ดังน้ัน นอกเหนอื จากครูจะมีความรูด้ ้านเน้อื หาและวิธีการสอนแล้วครูจะต้องมีความรู้ด้านการวัดและประเมินผลด้วย ว่าการวัดและประเมินผล หมายถึงอะไร วัดและประเมินผลอะไร วัดและประเมินผลอย่างไรและใช้ผล ของการวัดและประเมินอย่างไร ไดม้ ผี ูใ้ หค้ วามหมายไว้ ดงั นี้ กรอนลนั ด์ ๘ การประเมินผลเป็นกระบวนการท่เี ปน็ ระบบในการตัดสินใจในขอบเขตของวัตถุประสงค์ ของการสอนทีเ่ ป็นสัมฤทธิผลของนกั เรยี น เมเรนส์ และเลแมนส์ ๙ การประเมินผลเป็นการวางแผน การรวบรวมและการใช้ข้อมูลที่เป็น ประโยชนส์ าหรับเป็นทางเลือกเปน็ การตัดสินใจ อีเบลและไฟร์สไบย์ ๑๐ การประเมินผลเป็นการตัดสินเกี่ยวกับคุณภาพหรือคุณค่าของสิ่งที่ต้องการ ประเมิน แซค ๑๑ การประเมินผลเป็นกระบวนการตัดสินคุณค่าหรือตัดสินใจท่ีเกิดจากการสังเกต จากประสบการณแ์ ละจากการฝึกฝนของผูป้ ระเมิน ไวร์สมาและเจอร์ส ๑๒ การประเมินผลเป็นการตัดสินคุณค่าและในทางการศึกษาจะเป็นการตัดสิน บนพ้ืนฐานข้อมูลท่ีเป็นวตั ถุประสงค์โดยมกี ารตีความหมายคะแนนเพ่ือตดั สนิ วา่ ยอดเยย่ี ม ดี ปานกลางหรือต่า ๘ Gronlund, Norman E. Measurement and Evaluation in Teaching, 3rd ed. New York : McMillan, 1976 p. 6. ๙ Mehrens, William A. Measurement and Evaluation in Education and Psychology, ๓nd ed. New York : Holt, Rinehart and Winston, Inc., 1978 p. 16. ๑๐ Ebel, Robert L. and Frisbie, David A. Essentials of Educational Measurement, New Jersey : Perntice-Hall, Inc., 1986 p. 13. ๑๑ Sax, Gilbert. Principles of Educational and Psychological Measurement and Evaluation. 3rd ed. United States : Wadsworth Publishing Company, Inc., 1989 p. 24. ๑๒ Wiersma, William and Jus, Stephen G. Educational Measurement and Testing. 2nd ed. Massachusetts : A Division of Simon & Schuster, Inc., 1990 p. 9.

การพฒั นาสื่อการสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๒๖ อุทุมพร จามรมาน ๑๓ การประเมินผลเป็นการตัดสินคุณค่าของส่ิงท่ีวัดตามเกณฑ์ภายใน และภายนอก บุญธรรม กิตปรีดาบริสุทธิ์ ๑๔ การประเมินผลเป็นกระบวนการในการตัดสินคุณค่าของสิ่งหน่ึงสิ่งใด อยา่ งมีหลักเกณฑเ์ พอ่ื สรปุ วา่ สง่ิ นัน้ ดี เลว ปานใด สนิท เจริญธรรม๑๕ การวัดผล (Measurement) หมายถึง การใช้เคร่ืองมืออย่างใดอย่างหน่ึงในการ ค้นหาหรือการตรวจสอบเพ่ือให้ได้ข้อมูลเป็นปริมาณท่ีมีความหมายแทนพฤติกรรมหรือคุณลักษณะอย่างใด อย่างหน่ึง หรือแทนผลงานท่ีแต่ละคนแสดงออกมา เช่น การวัดความสูงและช่ังน้าหนักของเด็กการให้คะแนน การตอบข้อสอบของนักเรียนหากจะพูดถึงความหมายของการวัดผลอย่างสั้นๆ ก็จะได้ว่าการวัดผลคือการ กาหนดตัวเลขแทนคณุ ลกั ษณะหรือพฤติกรรมทีต่ ้องการด้วยระเบยี บวธิ ีทเ่ี ช่ือถือได้ อาภา บุญช่วย๑๖ การวัดผล (Measurement) คือการกาหนดหน่วยให้แก่ปริมาณที่มีอยู่ โดยใช้เคร่ืองมือวัด การวัดทางการศึกษาท่ีใช้กันอยู่ อาจเป็นการสังเกตของครู ตารางตรวจพฤติกรรมหรือ ขอ้ สอบ ส่วนการประเมินผล (Evaluation) คือ การนาผลที่วัดได้มาหาคุณค่า การประเมินผลควรจะรวมถึง การวิเคราะห์จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ วิธีการที่ได้ใช้ไปเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายตลอดจนพิจารณาถึงปริมาณ ของคุณสมบัติทวี่ ดั ได้ เชน่ เกง่ หรอื ไมเ่ ก่ง ดหี รือไม่ดี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช๑๗ การประเมินผล หมายถึง การตรวจสอบดูว่า ผู้เรียนได้เกิด การเปลี่ยนแปลงความรู้ เจตคติ และทักษะไปตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรหรือไม่เพียงใด ภายหลังจากท่ีได้ ผ่านประสบการณท์ ่หี ลักสูตรจัดใหแ้ ลว้ ประเสริฐ ธรรมโวหาร๑๘ การประเมินผล หมายถึง การประเมินเพื่อปรับปรุงการเรียนรู้ และเพ่ือ การตดั สนิ ผลการเรยี นรู้ของนกั เรียน จัดเป็นเคร่ืองมือสาคัญย่ิง จะช่วยให้ครูได้ทราบระดับความเจริญงอกงาม ของเด็กแต่ละคนว่ามีการเปล่ียนแปลงเพิ่มข้ึนหรือลดลงอย่างไร ผู้เรียนได้เกิดความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะ เจตคตแิ ละการปฏบิ ตั ติ ามจดุ ประสงคข์ องการเรยี นรู้เพยี งใดหรือไม่ ๑๓ อุทมุ พร จามรมาน. การวดั และประเมินผลการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษา. (กรุงเทพมหานคร : ฟันน่ีพับลิช ช่งิ , ๒๕๓๐), หน้า ๖. ๑๔ บุญธรรม กิจปรีดีดาบริสุทธ์ิ. การวัดและประเมินผลการเรียนการสอน. (กรุงเทพมหานคร : สามเจริญพานิช, ๒๕๓๕), หนา้ ๑๗. ๑๕ สนิท เจรญิ ธรรม, การวดั ผล ประเมนิ ผล. (นครศรีธรรมราช : สถาบันราชภัฏนครศรธี รรมราช, ๒๕๔๐), หนา้ ๑- ๑๒. ๑๖ อาภา บญุ ช่วย, การบริหารงานวิชาการในโรงเรียน. (กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๓๗), หนา้ ๑๒๙- ๑๓๐. ๑๗ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช, เอกสารการสอนชดุ วชิ าวิทยาการสอน. หนา้ ๒๐๗. ๑๘ ประเสริฐ ธรรมโวหาร, หลกั สูตรและการจัดการมธั ยมศกึ ษา. หน้า ๑๐๗.

การพฒั นาสือ่ การสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๒๗ การประเมินผล (evaluation) ๑๙ หมายถึงการตัดสินคุณค่าหรือคุณภาพของผลท่ีได้จากการวัด โดยเปรียบเทียบกบั ผลการวัดอ่ืนๆ หรอื เกณฑท์ ่ีต้ังไว้ พอสรุปได้ว่า การวัดผล หมายถึง การกาหนดหน่วยให้แก่ปริมาณที่มีอยู่ โดยใช้เคร่ืองมือวัดผล การศึกษาเพ่ือให้ได้ข้อมูลเป็นปริมาณท่ีมีความหมายแทนพฤติกรรมหรือคุณลักษณะอย่างใดอย่างหน่ึง หรอื แทนผลงานที่แต่ละคนแสดงออกมา ส่วนการประเมินผล คือ การนาเอาข้อมูลท้ังหลายท่ีได้จากการวัดผล มาพิจารณาเพ่ือหาข้อสรุปหรือประเมินค่าหรือตีราคา ตรวจสอบดูว่า ผู้เรียนได้เกิดการเปลี่ยนแปลงความรู้ เจตคตแิ ละทักษะไปตามจดุ ม่งุ หมายของหลกั สูตรหรอื ไมเ่ พียงใด ภายหลังจากทีไ่ ดผ้ ่านประสบการณ์ที่หลักสูตร จดั ใหแ้ ลว้ ๙.๒.๔ ความหมายของการเรยี นรู้ นกั จติ วทิ ยาหลายทา่ นใหค้ วามหมายของการเรียนรู้ไว้ เช่น คิมเบิล ( Kimble) ๒๐ \"การเรยี นรู้ เป็นการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างถาวรในพฤติกรรม อันเป็นผลมาจาก การฝึกท่ไี ด้รับการเสรมิ แรง\" ฮิลการ์ด และ เบาเวอร์ (Hilgard & Bower)๒๑ \"การเรียนรู้ เป็นกระบวนการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม อันเป็นผลมาจากประสบการณ์และการฝึก ท้ังนี้ไม่รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมท่ีเกิดจากการ ตอบสนองตามสัญชาตญาณ ฤทธขิ์ องยา หรือสารเคมี หรือปฏิกริ ิยาสะทอ้ นตามธรรมชาติของมนุษย\"์ พจนานกุ รมของเวบสเตอร์ (Webster 's Third New International Dictionary) ๒๒ \"การเรียนรู้ คือ กระบวนการเพ่ิมพูนและปรุงแต่งระบบความรู้ ทักษะ นิสัย หรือการแสดงออกต่างๆ อันมีผลมาจากส่ิงกระตุ้น อนิ ทรียโ์ ดยผา่ นประสบการณ์ การปฏบิ ัติ หรือการฝกึ ฝน\" ประดินันท์ อุปรมัย ๒๓ การเรียนรู้คือการเปล่ียนแปลงของบุคคลอันมีผลเน่ืองมาจากการได้รับ ประสบการณ์ โดยการเปลี่ยนแปลงน้ันเป็นเหตุทาให้บุคคลเผชิญสถานการณ์เดิมแตกต่างไปจากเดิม ประสบการณ์ที่ก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมหมายถึงท้ังประสบการณ์ทางตรงและประสบการณ์ ทางออ้ ม โดยสรุปการเรียนรู Learning) หมายถึง กระบวนการท่ีบุคคลเกิดการเปล่ียนแปลงทางพฤติกรรม การพฒั นาความคดิ และความสามารถ โดยอาศัยประสบการณและปฏิสัมพันธ์ ระหวางผูเรียนและสิ่งแวดลอม การเรียนรูเปรียบเสมือนเคร่ืองมือท่ีสงเสริมใหผูเรียนรักการเรียน ตั้งใจเรียน และเกิดการเรียนรูข้ึน การเรียน ของผูเรียนจะไปสูจดุ หมายปลายทาง คือ ความสาเร็จในชีวิตหรือไมเพียงใดน้ัน ข้ึนอยูกับการจัดการเรียนรูท่ีดี ๑๙ ผู้ช่วยศาสตร์ตราจารย์ ดร. พิชิต ฤทธิ์จรูญ หลักการวัดและประเมินผลการศึกษา. พิมพ์คร้ังท่ี ๔, (กรงุ เทพมหานคร : เฮ้าส์ ออฟ เคอรม์ สิ ท,์ ๒๕๕๐), หนา้ ๕. ๒๐ Kimble, B. B. A student of the relationship of principal perceived self-concept and 1986.principle perceived communication Style. Dissertation Abstracts International 33. (7), p. 366. ๒๑ Bower, Gordon H. and Ernest R. Hilgard. Theorise of Learning. Pertice – Hall Inc., 1981. ๒๒ Webster, Noah Webster’s Third New International Dictionary of the English Language. Springfield, Massachusette, Merrian-Webster,1981. ๒๓ ประดนิ ันท์ อุปรมัย, ชดุ วิชาพนื้ ฐานการศึกษา. เอกสารการสอนชดุ วชิ าพื้นฐานการศึกษา หน่วยที่ ๔ มนุษย์กับ การเรยี นร,ู้ พิมพค์ ร้งั ที่ ๑๕, (นนทบุรี : สานักพมิ พม์ หาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช, ๒๕๔๐), หนา้ ๑๒๑.

การพัฒนาส่อื การสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๒๘ ของผูสอน หากผูสอนรูจักเลือกใชวิธีการจัดการเรียนรูท่ีดีและเหมาะสมแลว ยอมจะมีผลดีตอการเรียน ของผูเรียน การได้รับความรู้ พฤติกรรม ทักษะ คุณค่าหรือความพึงใจ ท่ีเป็นส่ิงแปลกใหม่หรือปรับปรุง สิ่งท่ีมีอยู่ และอาจเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์สารสนเทศชนิดต่างๆ ผู้ประมวลทักษะของการเรียนรู้เป็นได้ ทั้งมนุษย์ สัตว์ และเครื่องจักรบางชนิด ความก้าวหน้าในการเรียนรู้เม่ือเทียบกับเวลามีแนวโน้มเป็นเส้นโค้ง แห่งการเรียนรู้ (learning curve) การเรียนรู้ของมนุษย์อาจเกิดข้ึนจากส่วนหน่ึงของการศึกษา การพัฒนา ส่วนบุคคล การเรียนการสอน หรือการฝึกฝน การเรียนรู้อาจมีการยึดเป้าหมายและอาจมีความจูงใจ เป็นตัวชว่ ย การเรยี นรูอ้ าจก่อให้เกดิ ความตระหนักอย่างมีสานกึ หรือไม่มีสานึกก็ได้ ๙.๒.๕ ความหมายของสอื่ การสอน ได้มีนักวิชาการ และนักเทคโนโลยีการศึกษา ท้ังในประเทศและต่างประเทศได้ให้ความหมายของ “ ส่อื การสอน” ไว้หลายทา่ น พอสรุปได้ ดงั น้ี เชอร์ส ๒๔ ส่ือการสอนเป็นเคร่ืองมือช่วยสื่อความหมายใดๆ ก็ตามที่จัดโดยครูและนักเรียน เพื่อเสริม การเรียนรู้ เครื่องมือการสอนทุกชนิดเป็นส่ือการสอน เช่น หนังสือในห้องสมุด โสตทัศนวัสดุต่างๆ ทรัพยากร จากชุมชน เปน็ ต้น ฮาส และแพคเกอร์๒๕ สื่อการสอน คือ เครื่องมือที่ช่วยในการถ่ายทอดสิ่งต่างๆ ที่เป็นจริงได้แก่ ทกั ษะ ทัศนะคติ ความรู้ ความเข้าใจ และความซาบซึ้งไปยังผู้เรียน หรือเป็นเคร่ืองมือประกอบการสอน ท่ีเรา สามารถไดย้ นิ และมองเหน็ ไดเ้ ทา่ ๆ กนั บราวน์ และคนอื่นๆ ๒๖ สื่อการสอนหมายถึง จาพวกอุปกรณ์ทั้งหลายท่ีสามารถเสนอความรู้ ให้แก่ผู้เรียน จนเกิดผลการเรียนที่ดีทั้งนี้รวมถึงกิจกรรมต่างๆไม่เฉพาะท่ีเป็นวัสดุหรือเคร่ืองมือเท่าน้ัน เช่น การศึกษานอกสถานที่ การสาธิต การทดลอง ตลอดจนการสัมภาษณ์ เป็นตน้ เกอร์ลัช และอีลี ๒๗ ส่ือการสอน คือ บุคคล วัสดุหรือเหตุการณ์ต่างๆ ซ่ึงทาให้นักเรียนได้รับความรู้ ทกั ษะ ทศั นคติ ครู หนงั สอื และส่ิงแวดล้อมของโรงเรียนจดั เป็นสอื่ การสอนทง้ั ส้ิน ไฮนคิ ส์ โมเลนดาและรัสเซล ๒๘ สอ่ื การสอน หมายถงึ ส่ือชนดิ ใดก็ตามไมว่ ่าจะเป็นสไลด์โทรทัศน์วิทยุ เทปบันทึกเสียงภาพถ่ายวัสดุ ฉายและวัตถุสิ่งตีพิมพ์ซ่ึงเป็นพาหนะในการนาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลไป ยัง ผรู้ ับ เมอ่ื นามาใชก้ ับการเรียนการสอน หรือส่งเนือ้ หาความรู้ไปยังผู้เรียนในกระบวนการเรียนการสอน เรียกว่า สอ่ื การสอน ๒๔ Shores, Louis, Instructtional Materials. (New York : The Ronald Press Company, 1960), p. 1. ๒๕ Hass, Kenneth B. and Herry Q. Packer. Preparation and Use of Audio Visual Aids. ๓rd ed. New York : Prentice Hall, Inc. 1964 p. 11. ๒๖ Brown, Radcliffe. Structure and Function in Primitive Society. United States of America : Pearson Education, 1964 p. 584. ๒๗ อ้างองิ มาจาก Gerlach and Ely. ไชยยศ เรอื งสุวรรณ, เทคโนโลยแี ละสื่อสารการศกึ ษา. มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช, พิมพค์ ร้ังท่ี ๒, (กรงุ เทพมหานคร : ๒๕๒๖), หน้า ๑๔๑. ๒๘ Heinich, Robert, Michael Molenda & James D. Russel. Instructional Media and the New Technologies Instruction. New York: John Wiley & Son, 1985 p. 5.

การพัฒนาส่ือการสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๒๙ เปรื่อง กุมุท ๒๙ ส่ือการสอน หมายถึง สิ่งต่างๆ ท่ีเป็นเคร่ืองมือ หรือช่องทางสาหรับทาให้การสอน ของครถู งึ ผเู้ รียน และทาใหผ้ ู้เรยี นเรยี นรู้ตามวัตถปุ ระสงคห์ รอื จุดมุง่ หมายทีว่ างไว้อย่างดี วาสนา ชาวหา ๓๐ สอื่ การสอนหมายถึงส่ิงใดๆกต็ ามทเ่ี ป็นตัวกลางนาความรู้ไปสู่ผู้เรียนและทาให้การ เรยี นการสอนเป็นไปตามวัตถปุ ระสงค์ท่วี างไว้ ไชยยศ เรืองสุวรรณ ๓๑ ส่ือการสอน หมายถึง ส่ิงท่ีช่วยให้การเรียนรู้ ซึ่งครูและนักเรียนเป็นผู้ใช้ เพ่ือใหก้ ารเรยี นการสอนมีประสทิ ธภิ าพย่ิงข้นึ ชม ภูมิภาค ๓๒ ส่ือการสอนนั้นเป็นส่วนหน่ึงของเทคโนโลยีการสอน เป็นพาหนะท่ีจะนาสาร หรอื ความรู้ไปยงั ผู้เรยี น เพือ่ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรียนรู้ ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ ๓๓ สือ่ การสอนวา่ คอื วสั ดุ (ส้ินเปลือง) อุปกรณ์ (เคร่ืองมือท่ีใช้ไม่ผุพังง่าย) วิธีการ (กิจกรรม เกม การทดลอง ฯลฯ) ท่ีใช้สื่อกลางให้ผู้สอนสามารถส่ง หรือถ่ายทอดความรู้ เจตคติ (อารมณ์ ความรสู้ ึก ความสนใจ ทัศนคติ และคา่ นยิ ม) และทกั ษะไปยงั ผเู้ รยี น ได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ พิมพ์พรรณ เทพสุมาธานนท์ ๓๔ สื่อการสอนหมายถึงสิ่งต่างๆที่ใช้เป็นเครื่องมือหรือช่องทางสาหรับ ให้การสอนของครูกับผู้เรียน และทาให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ตามวัตถุประสงค์ หรือจุดมุ่งหมายท่ีผู้สอนวางไว้ เปน็ อยา่ งดี สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ๓๕ สื่อการเรียนการสอนเป็นส่ิงที่ช่วยให้ครู และนักเรียนปฏิบัติกิจกรรมการเรียนการสอนได้สะดวกย่ิงข้ึน เป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญที่จะช่วยให้การเรียน การสอนดาเนินไปดว้ ยดี และบรรลุคณุ ภาพตามเป้าหมายที่กาหนด ๒๙ เปรอ่ื ง กมุ ทุ , การวจิ ยั สอื่ และนวกรรมสอน. (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒประสานมติ ร, ๒๕๑๙), หน้า ๑. ๓๐ วาสนา ชาวหา, เทคโนโลยที างการศกึ ษา. (กรงุ เทพมหานคร : มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, ๒๕๒๒), หนา้ ๕๙. ๓๑ ไชยยศ เรืองสุวรรณ, เทคโนโลยีทางการศึกษา. (หลักการและแนวปฏิบตั ิ), (กรุงเทพมหานคร : วัฒนาพานิช, ๒๕๒๖), หนา้ ๔. ๓๒ ชม ภูมิภาค, เทคโนโลยีการสอนและการศกึ ษา. (กรงุ เทพมหานคร : สานกั พมิ พป์ ระสานมติ ร, ๒๕๒๖), หนา้ ๕. ๓๓ ชยั ยงค์ พรหมวงศ,์ การวางแผนการสอนและเขยี นแผนการสอน เอกสารการสอนชดุ วชิ าวิทยาการสอน หน่วยท่ี ๘ – ๑๕. พิมพ์ครั้งท่ี ๗, (นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๒๙), หนา้ ๑๑๒. ๓๔ พมิ พ์พรรณ เทพสุเมธานนท์, เทคโนโลยที างการศกึ ษา. พิมพค์ รัง้ ท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร : บริษัทรุ่งศิลป์การ พมิ พ,์ ๒๕๓๑), หนา้ ๒๙. ๓๕ สานกั งานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, เอกสารประกอบการบรรยาย หลักสตู รผ้บู รหิ าร สถานศกึ ษาระดบั สงู . (กรุงเทพมหานคร : กองพัฒนาบคุ คล สานกั งานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, ๒๕๓๐), หนา้ ๑๖๒-๑๖๓.

การพัฒนาสือ่ การสอนพระพุทธศาสนา ๑๓๐ ประเสริฐ ธรรมโวหาร๓๖ ส่ือการเรียน คือ อุปกรณ์ต่างๆ ท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจ มีทักษะ และเจตคติทด่ี ีตามท่ีต้องการ ไดแ้ ก่ หนงั สอื แผนภมู ิ เอกสาร รปู ภาพสไลด์ เทปและเครือ่ งมอื ต่างๆ ชลิยา ลิมปิยากร๓๗ สื่อการเรียนการสอน หมายถึง ตัวกลางท่ีใช้เพ่ือถ่ายทอดความรู้ และประสบการณ์ อาจจะจากผู้สอนหรือแหล่งความรู้อ่ืนๆ ไปยังผู้เรียนน่ันเอง ซ่ึงแหล่งความรู้อ่ืนๆ ก็อาจ จะหมายถึงวิทยากร หรือบุคลากรในชุมชนผู้ทรงคุณวุฒิในด้านนั้นๆ ดังนั้น สื่อการเรียนการสอน จึงหมายถึง ส่ิงต่างๆ ที่ใช้เป็นตัวกลางในกระบวนการเรียนการสอน เพ่ือช่วยให้การเรียนการสอนนั้นดาเนินไป อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพตามจดุ มุ่งหมาย อาภา บุญช่วย๓๘ คาว่า “ส่ือ” หมายถึง ตัวกลางท่ีช่วยในการถ่ายทอดเร่ืองราวข่าวสาร ความรู้ เหตุการณ์ แนวความคดิ สถานการณ์ ฯลฯ ที่ผู้ส่งสารต้องการส่งไปยังผู้รับ ส่วนส่ือการเรียนการสอน หมายถึง การนาวสั ดอุ ปุ กรณ์ และวธิ กี ารมาเป็นตัวกลางในการใหก้ ารศกึ ษาใหค้ วามรแู้ ก่ผู้เรียน อานวย เดชชัยศรี๓๙ ส่ือ (Media) ก็คือ ตัวกลางหรือช่องทางผ่านของสารจาก ผู้ส่งไปสู่ผู้รับให้เข้าใจ ตรงกันส่วนสื่อการศึกษา (Education Media) หมายถึง อุปกรณ์ วัสดุและวิธีการที่ใช้เป็นตัวกลาง ในกระบวนการเรียนการสอนหรือใช้ส่ือสาร เพื่อช่วยให้การเรียนการสอนบรรลุจุดมุ่งหมายอย่างมี ประสิทธิภาพ วัฒนาพร ระงับทุกข์๔๐ ส่ือการเรียนการสอน หมายถึง ส่ิงที่เป็นพาหนะหรือสื่อที่ช่วยให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาความรู้ ทักษะ และเจตคติให้บรรลุผลตามจุดประสงค์การเรียนการสอนและตามจุดมุ่งหมาย ของหลกั สตู รได้ดยี ่ิงข้นึ หรือเรว็ ย่ิงขน้ึ กิดานันท์ มลิทอง๔๑ สื่อการสอน หมายถึง ตัวกลางท่ีใช้เป็นเครื่องมือหรือช่องทางสาหรับทาให้ การสอนของผสู้ อนสง่ ไปถึงผู้เรียน ทาให้ผูเ้ รยี นเกิดการเรียนร้ตู ามวัตถุประสงค์หรอื จดุ มงุ่ หมายท่ีผู้สอนวางไว้ได้ เป็นอย่างดี จงึ พอสรปุ ได้ว่า สอ่ื การเรยี นการสอน หมายถงึ ช่องทาง เคร่ืองมือ หรือตัวกลางที่ใช้ถ่ายทอดเร่ืองราว ทเ่ี ปน็ ความรแู้ ละประสบการณ์ไปสู่ผู้เรียน โดยผ่านวัสดุ อุปกรณ์ วิธีการต่างๆหรือแม้แต่ตัวบุคคลเช่นวิทยากร ที่ใช้เป็นตัวกลางในกระบวนการเรียนการสอน เพ่ือช่วยให้การจัดการเรียนการสอนได้บรรลุจุดมุ่งหมาย อย่างมีประสิทธิภาพ ทาให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจความหมายของบทเรียนได้ตรงตามที่ครูผู้สอนต้องการ ๓๖ ประเสรฐิ ธรรมโวหาร, หลกั สูตรและการจดั การมัธยมศกึ ษา. (กรงุ เทพมหานคร : ภาควิชาหลักสตู รและการสอน คณะครุศาสตร์ สถาบนั ราชภฏั จันทรเกษม, ๒๕๔๒) . หน้า ๑๐๗. ๓๗ ชลิยา ลมิ ปยิ ากร, เทคโนโลยกี ารศึกษา. (ธนบุรี : พมิ พ์ลักษณ,์ ๒๕๓๖), หน้า ๓๓. ๓๘ อาภา บุญชว่ ย, การบรหิ ารงานวิชาการในโรงเรยี น. (กรุงเทพมหานคร : ฟิสิกส์เซ็นเตอร,์ ๒๕๓๗), หนา้ ๙๙. ๓๙ อานวย เดชชัยศร,ี ส่ือการศึกษาพื้นฐาน. (กรุงเทพมหานคร : ฟิสกิ สเ์ ซน็ เตอร,์ ๒๕๔๒), หนา้ ๑. ๔๐ วัฒนาพร ระงบั ทุกข,์ แผนการสอนทีเ่ น้นผู้เรียนเปน็ ศนู ยก์ ลาง. (กรุงเทพมหานคร : บริษทั แอล.ที.เพรส จากดั , ๒๕๔๒), หน้า ๙๑. ๔๑ กดิ านันท์ มลิทอง, เทคโนโลยกี ารศึกษาและนวัตกรรม. พิมพ์ครงั้ ที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลยั , ๒๕๔๓), หนา้ ๘๙.

การพฒั นาสอื่ การสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๓๑ ไม่ว่าส่ือการสอนนั้นจะอยู่ในรูปแบบใดก็ตาม ก็ถือได้ว่าเป็นทรัพยากร ท่ีอานวยความสะดวกในการเรียน การสอนไดท้ ั้งสน้ิ ๙.๓ ความสาคญั ๙.๓.๑ ความสาคญั ของส่อื ในเรอ่ื งความสาคัญของสอื่ การสอนน้ัน ไชยยศ เรอื งสุวรรณ๔๒ กล่าววา่ ปัญหาอย่างหน่ึงในการสอนก็ คือ แนวทางการตัดสินใจจดั ดาเนินการให้ผ้เู รยี นเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมขึน้ ตามจดุ ม่งุ หมาย ซึ่งการสอน โดยทวั่ ไป ครมู ักมีบทบาทในการจดั ประสบการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านเนื้อหาสาระ หรือทักษะและมีบทบาท ในการจัดประสบการณ์เพ่ือการเรียนการสอน ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับตัวผู้เรียนแต่ละคนด้วยว่า ผู้เรียนมีความต้องการ อย่างไร ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบนี้ การจัดสภาพแวดล้อมท่ีดีเพื่อการเรียนการสอนจึงมี ความสาคัญมาก ท้ังนี้เพื่อสร้างบรรยากาศและแรงจูงใจผู้เรียนให้เกิดความอยากเรียนรู้และเพื่อเป็นแหล่ง ศกึ ษาคน้ คว้าหาความรูข้ องผเู้ รยี นไดต้ ามจดุ มุ่งหมาย สภาพแวดล้อมเพอ่ื การเรียนรทู้ ้งั มวล ท่ีจัดข้ึนมาเพ่ือการ เรียนการสอนนั้น กค็ ือ การเรยี นการสอนน่นั เอง เอด็ การ์ เดล๔๓ ไดก้ ลา่ วสรปุ ถึงความสาคัญของส่ือการสอน ดงั น้ี ๑. สื่อการสอน ช่วยสร้างรากฐานที่เป็นรูปธรรมข้ึนในความคิดของผู้เรียน การฟังเพียงอย่างเดียวน้ัน ผ้เู รียนจะต้องใช้จินตนาการเข้าชว่ ยด้วย เพ่อื ใหส้ ง่ิ ท่ีเปน็ นามธรรมเกิดเป็นรูปธรรมขึ้นในความคิด แต่สาหรับส่ิง ทยี่ งุ่ ยากซับซ้อน ผูเ้ รยี นยอ่ มไมม่ คี วามสามารถจะทาได้ การใชอ้ ปุ กรณ์เขา้ ชว่ ยจะทาใหผ้ ู้เรียนมีความเข้าใจและ สรา้ งรปู ธรรมขึน้ ในใจได้ ๒. ส่ือการสอน ช่วยเร้าความสนใจของผู้เรียน เพราะผู้เรียนสามารถใช้ประสาทสัมผัสได้ด้วยตา หู และการเคล่ือนไหวจบั ตอ้ งได้แทนการฟังหรอื ดูเพียงอยา่ งเดียว ๓. เป็นรากฐานในการพัฒนาการเรียนรู้และช่วยความทรงจาอย่างถาวร ผู้เรียนจะสามารถนา ประสบการณเ์ ดิมไปสมั พนั ธก์ ับประสบการณ์ใหม่ๆ ได้ เมือ่ มพี ้นื ฐานประสบการณเ์ ดิมทด่ี อี ยแู่ ลว้ ๔. ช่วยให้ผู้เรียนได้มีพัฒนาการทางความคิด ซ่ึงต่อเน่ืองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทาให้เห็น ความสมั พันธเ์ ก่ยี วขอ้ งกบั สง่ิ ตา่ งๆ เช่น เวลา สถานท่ี วัฏจักรของส่ิงมีชีวติ ๕. ชว่ ยเพิม่ ทกั ษะในการอ่านและเสริมสร้างความเข้าใจในความหมายของคาใหม่ๆ ให้มากข้ึน ผู้เรียน ที่อ่านหนังสือช้าก็จะสามารถอ่านได้ทันพวกที่อ่านเร็วได้ เพราะได้ยินเสียงและได้เห็นภาพประกอบกัน จะสามารถอา่ นได้ทนั พวกทอ่ี ่านเร็วได้ เพราะได้ยนิ เสียงและไดเ้ ห็นภาพประกอบกัน วารนิ ทร์ รศั มพี รหม๔๔ ไดใ้ ห้ความสาคญั ของสื่อการสอนดงั น้ี ๔๒ ไชยยศ เรอื งสุวรรณ, การบริหารระบบงานสือ่ และเทคโนโลยกี ารศกึ ษา. พมิ พ์คร้งั ท่ี ๓, มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, ๒๕๓๔ หนา้ ๑. ๔๓ Dale, Edgar. Audio-Visual Methods in Teaching. 3 Ed. New York: The Dryden Press Holt, Rineheart and Winston. Inc. (1969).p.107. ๔๔ วารินทร์ รัศมีพรหม, สือ่ การสอนเทคโนโลยที างการศึกษาและการสอนรว่ มสมัย. (กรงุ เทพมหานคร : ชวนพิมพ์ , ๒๕๓๑), หนา้ ๒๑.

การพฒั นาส่ือการสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๓๒ ๑.เพือ่ สนบั สนนุ การสอนของผ้สู อน การใช้สอื่ เพื่อเสรมิ การสอนของผู้สอนเป็นเรื่องทเี่ รารู้จักมานาน ๒.เพื่อผู้เรียนฝึกทักษะและปฏิบัติ มีรูปแบบและลักษณะการถ่ายทอดของส่ือท่ีช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึก ทกั ษะและปฏบิ ตั ิ ๓.เพ่ือช่วยการเรียนแบบสืบค้น ส่ือการสอนที่ชว่ ยในการเรยี นแบบคน้ พบหรอื สบื คน้ ๔.เพ่ือช่วยจัดการในเรื่องการสอน สื่อการสอนท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนและผู้สอนได้มีความสัมพันธ์กันมาก ขน้ึ ๕.เพ่ือช่วยในการสอนแบบเอกัตบุคคล การสอนแบบเอกัตบุคคลน้ันเป็นการสอนแบบให้ผู้เรียน ได้ เรยี นตามความสามารถและประสบการณข์ องตนเอง ๖.เพื่อการศึกษาพิเศษ สื่อการสอนแบบเอกัตบุคคลดังท่ีกล่าวมาน้ัน สามารถนามาใช้เป็นพิเศษกับ ผูเ้ รยี นท่อี ยกู่ ล่มุ ใหญ่ก็ได้ โดยสรุปแล้วความสาคัญของส่ือการสอนนั้น มีประโยชน์ต่อผู้สอนและผู้เรียน ช่วยให้คุณภาพการ เรียนรู้ดีขึ้น เพราะมีความจริงจังและมีความหมายชัดเจนต่อผู้เรียน ช่วยให้นักเรียนรู้ได้ในปริมาณมากข้ึน ในเวลาท่ีกาหนดไว้จานวนหนึ่ง ช่วยให้ผู้เรียนสนใจและมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกระบวนการเรียนการสอน ช่วยให้ผู้เรียนจา ประทับความรู้สึก และทาอะไรเป็นเร็วข้ึนและดีขึ้น ช่วยส่งเสริมการคิดและการแก้ปัญหา ในขบวนการเรียนรู้ของนักเรียน ช่วยให้สามารถเรียนรู้ในสิ่งท่ีเรียนได้ลาบากโดยการช่วยแก้ปัญหา หรือ ขอ้ จากัดตา่ งๆ ได้ ๙.๓.๒ ความสาคัญของเทคโนโลยี ปัจจุบันระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ๔๕ เป็นสิ่งสาคัญสาหรับองค์กรท่ีเข้ามาช่วยอานวยความสะดวก ในการดาเนินงาน ทาให้การเข้าถึงข้อมูลมีความรวดเร็ว การติดต่อสื่อสารมีประสิทธิภาพ และช่วยประหยัด ต้นทุนในการดาเนินงานด้านต่างๆ ของหน่วยงานท่ีเชื่อมต่อในระบบอินเทอร์เน็ต เช่น การรับส่งจดหมาย อิเล็กทรอนิกส์ การมีเว็บไซต์สาหรับเป็นช่องทางในการประชาสัมพันธ์ข่าวสารต่างๆ เป็นต้น แม้ระบบ เทคโนโลยีสารสนเทศจะมีประโยชน์และสามารถช่วยอานวยความสะดวกในด้านต่างๆ แต่ในขณะเดียวกัน กม็ คี วามเส่ียงสงู และอาจก่อใหเ้ กิดภัยอันตรายหรอื สร้างความเสียหายต่อการปฏบิ ัตริ าชการไดเ้ ช่นกัน เทคโนโลยีสารสนเทศ ทาให้สังคมเปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรมมาเป็นสังคมสารสนเทศทาให้ระบบ เศรษฐกิจเปลี่ยนจากระบบแห่งชาติไปเป็นเศรษฐกิจโลกที่ทาให้ระบบเศรษฐกิจของโลกผูกพันกับทุกประเทศ ความเชอ่ื มโยงของเครอื ขา่ ยสารสนเทศทาใหเ้ กิดสงั คมโลกาภวิ ฒั น์เทคโนโลยีสารสนเทศทาให้องค์กรมีลักษณะ ผูกพัน มีการบังคับบัญชาแบบแนวราบมากข้ึน หน่วยธุรกิจมีขนาดเล็กลง และเชื่อมโยงกันกับหน่วยธุรกิจอ่ืน เป็นเครือข่าย การดาเนินธุรกิจมีการแข่งขันกันในด้านความเร็ว โดยอาศัยการใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และการสือ่ สารโทรคมนาคมเปน็ ตวั สนับสนนุ เพอ่ื ให้เกดิ การแลกเปลีย่ นข้อมูลไดง้ ่ายและรวดเร็ว ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทาให้มีการพัฒนาคิดค้นสิ่งอานวย ความสะดวกสบายต่อการดารงชีวิตเป็นอันมาก เทคโนโลยีได้เข้ามาเสริมปัจจัยพื้นฐานการดารงชีวิตได้ เป็นอย่างดี เทคโนโลยีทาให้การสร้างท่ีพักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐานสามารถผลิตสินค้าและให้บริการต่างๆ เพ่ือตอบสนองความต้องการของมนุษย์มากขึ้น เทคโนโลยีทาให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้ เป็นจานวนมาก มีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ เทคโนโลยีสารสนเทศซ่ึงให้บริการด้านข้อมูล ข่าวสาร ๔๕ วนดิ า บตุ ตะมา, เข้าถึงจาก https://www.gotoknow.org/posts/503459, สืบค้นเมอ่ื ๒๐ มกราคม ๒๕๕๘.

การพัฒนาส่ือการสอนพระพุทธศาสนา ๑๓๓ ด้วยกลไกอิเล็กทรอนิกส์ ทาให้มีการติดต่อส่ือสารกันได้สะดวก รวดเร็วตลอดเวลาจะเห็นว่าชีวิตปัจจุบัน เกยี่ วขอ้ ง กบั เทคโนโลยีเปน็ อันมาก ซึ่งสว่ นใหญ่ใชร้ ะบบคอมพิวเตอร์ในการทางาน เทคโนโลยีสารสนเทศ ทาให้สังคมเปล่ียนจากสังคมอุตสาหกรรมมาเป็นสังคมสารสนเทศ ทาให้ระบบ เศรษฐกิจเปลี่ยนจากระบบแห่งชาติไปเป็นเศรษฐกิจโลก ที่ทาให้ระบบเศรษฐกิจของโลกผูกพันกับทุกประเทศ ความเช่ือมโยงของเครือข่ายสารสนเทศทาให้เกิดสังคมโลกาภิวฒั น์ กล่าวโดยสรุป เทคโนโลยีสารสนเทศนน้ั ทาให้องค์กรมีลักษณะผูกพัน มีการบังคับบัญชาแบบแนวราบ มากขึ้น หน่วยธุรกิจมีขนาดเล็กลง และเช่ือมโยงกันกับหน่วยธุรกิจอื่นเป็นเครือข่าย การดาเนินธุรกิจ มีการแข่งขันกันในด้านความเร็ว โดยอาศัยการใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และการสื่อสารโทรคมนาคม เป็นตัวสนับสนุน เพ่ือให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ง่ายและรวดเร็ว และเป็นเทคโนโลยีแบบสุนทรียสัมผัส และสามารถตอบสนองตามความต้องการ การใช้เทคโนโลยีในรูปแบบใหม่ที่เลือกได้เอง เทคโนโลยีสารสนเทศ ทาให้เกิดสภาพทางการทางานแบบทุกสถานท่ีและทุกเวลา เทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดการวางแผน การดาเนินการระยะยาวขึ้น อีกทั้งยังทาให้วิถีการตัดสินใจ หรือเลือกทางเลือกได้ละเอียดขึ้น มีผลต่อ การเปล่ียนแปลงโลกด้านความเป็นอยู่ สังคม เศรษฐกิจ การศึกษา การแพทย์ เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การเมือง ตลอดจนการวิจัยและการพฒั นาต่างๆ ๙.๓.๓ ความสาคัญของการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน เป็นองค์ประกอบสาคัญในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ทาใหไ้ ดข้ ้อมูลสารสนเทศท่จี าเป็นในการพิจารณาว่าผู้เรียนเกิดคุณภาพการเรียนรู้ตามผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวัง และมาตรฐานการเรียนรู้ ๔๖ จากประเภทของการประเมินโดยเฉพาะการแบง่ ประเภทโดยใช้จุดประสงค์ของการประเมินเป็นเกณฑ์ ในการแบ่งประเภท จะเห็นว่า การวัดและประเมินผลการเรียนนอกจากจะมีประโยชน์โดยตรงต่อผู้เรียนแล้ว ยังสะท้อนถึงประสิทธิภาพการการสอนของครู และเป็นข้อมูลสาคัญท่ีสะท้อนคุณภาพการดาเนินงานการจัด การศึกษาของสถานศึกษาด้วย ครูและสถานศึกษาต้องมีข้อมูลผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ท้ังจากการประเมิน ในระดับช้ันเรียน ระดับสถานศึกษาและระดับอ่ืนท่ีสูงขึ้น ประโยชน์ของการวัดและการประเมินผล การเรียนรจู้ าแนกเปน็ ด้านๆ ดังน้ี ๑. ดา้ นการจดั การเรยี นรู้ การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนมีประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้หรือการจัดการเรียนการ สอนดงั นี้ ๑.๑ เพื่อจัดตาแหน่ง (Placement) ผลจากการวัดบอกได้ว่าผู้เรียนมีความรู้ความสามารถ อยู่ในระดับใดของกลุ่มหรือเปรียบเทียบกับเกณฑ์แล้วอยู่ในระดับใด การวัดและประเมินเพ่ือจัดตาแหน่งน้ี มกั ใช้ในวตั ถุประสงค์ ๒ ประการคอื ๑) เพื่อคัดเลือก (Selection) เป็นการใช้ผลการวัดเพื่อคัดเลือกเพ่ือเข้าเรียน เข้าร่วมกิจกรรมโครงการหรือเป็นตัวแทน(เช่นของชั้นเรียนหรือสถานศึกษา) เพ่ือการทากิจกรรมหรือ การใหท้ นุ ผล การวัดและประเมนิ ผลลกั ษณะนีค้ านงึ ถงึ การจัดอันดับทเี่ ปน็ สาคัญ ๔๖ ทิวตั ถ์ มณีโชติ, การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน. (กรงุ เทพมหานคร : สานักพมิ พ์ศนู ยส์ ง่ เสริมวชิ าการ, ๒๕๔๙), หน้า ๕๖.

การพฒั นาส่อื การสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๓๔ ๒) เพ่ือแยกประเภท (Classification) เป็นการใช้ผลการวัดและประเมินเพื่อ แบ่งกลุ่มผู้เรียน เช่น แบ่งเป็นกลุ่มอ่อน ปานกลางและเก่ง แบ่งกลุ่มผ่าน ไม่ผ่านเกณฑ์ หรือตัดสินได้ เป็นต้น เปน็ การวดั และประเมินที่ยดึ เกณฑ์ท่ีใช้ในการแบ่งกลมุ่ เป็นสาคัญ ๑.๒ เพื่อวินิจฉัย (Diagnostic) เป็นการใช้ผลการวัดและประเมินเพื่อค้นหาจุดเด่น จุดด้อย ของผ้เู รยี นว่ามีปัญหาในเรือ่ งใด จดุ ใด มากนอ้ ยแคไ่ หน เพื่อนาไปสู่การตัดสินใจการวางแผนการจัดการเรียนรู้ และการปรับปรุงการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งข้ึน เคร่ืองมือที่ใช้วัดเพ่ือการวินิจฉับ เรียกว่า แบบทดสอบวินิจฉัย (Diagnostic Test) หรือแบบทดสอบวินิจฉัยการเรียน ประโยชน์ของการวัดและประเมิน ประเภทน้นี าไปใช้ในวตั ถปุ ระสงค์ ๒ ประการดงั น้ี ๑) เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ผลการวัดผู้เรียนด้วยแบบทดสอบวินิจฉัย การเรียนจะทาให้ทราบว่าผู้เรียนมีจุดบกพร่องจุดใด มากน้อยเพียงใด ซึ่งครูผู้สอนสามารถแก้ไขปรับปรุงโดย การสอนซ่อมเสริม (Remedial Teaching) ได้ตรงจุด เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่ คาดหวังไว้ ๒) เพื่อปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ ผลการวัดด้วยแบบทดสอบวินิจฉัยการเรียน นอกจากจะช่วยให้เห็นว่าผู้เรียนมีจุดบกพร่องเร่ืองใดแล้ว ยังช่วยให้เห็นจุดบกพร่องของกระบวนการจัดการ เรียนรอู้ กี ด้วย เช่น ผู้เรียนส่วนใหญ่มีจุดบกพร่องจุดเดียวกัน ครูผู้สอนต้องทบทวนว่าอาจจะเป็นเพราะวิธีการ จดั การเรียนรู้ไม่เหมาะสมต้องปรับปรุงแก้ไขใหเ้ หมาะสม ๑.๓ เพื่อตรวจสอบและปรับปรุง การประเมินเพ่ือพัฒนา (Formative Evaluation) เป็นการประเมินเพ่ือตรวจสอบผลการเรียนรู้เทียบกับจุดประสงค์หรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ผลจาก การประเมินใช้พัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยอาจจะปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนวิธี การสอน (Teaching Method) ปรับเปล่ียนส่ือการสอน (Teaching Media) ใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ (Teaching Innovation) เพอ่ื นาไปส่กู ารพัฒนาการจัดการเรยี นรทู้ มี่ ีประสทิ ธภิ าพ ๑.๔ เพื่อการเปรียบเทียบ (Assessment) เป็นการใช้ผลการวัดและประเมินเปรียบเทียบว่า ผู้เรียนมีพัฒนาการจากเดมิ เพียงใด และอยใู่ นระดับท่ีพึงพอใจหรือไม่ ๑.๕ เพ่ือการตัดสิน การประเมินเพ่ือการตัดสินผลการเรียนของผู้เรียนเป็นการประเมินรวม (Summative Evaluation) คือใช้ข้อมูลที่ได้จากการวัดเทียบกับเกณฑ์เพื่อตัดสินผลการเรียนว่าผ่าน ไม่ผ่าน หรอื ให้ระดับคะแนน ๒. ดา้ นการแนะแนว ผลจากการวัดและประเมนิ ผู้เรียน ชว่ ยให้ทราบว่าผ้เู รยี นมปี ญั หาและข้อบกพร่องในเรื่องใด มากน้อย เพยี งใด ซึ่งสามารถแนะนาและช่วยเหลือผู้เรียนให้แก้ปัญหา มีการปรับตัวได้ถูกต้องตรงประเด็น นอกจากน้ี ผลการวัดและประเมินยังบ่งบอกความรู้ความสามารถ ความถนัด และความสนใจของผู้เรียน ซึ่งสามารถ นาไปใชแ้ นะแนวการศึกษาต่อและแนะแนวการเลือกอาชพี ใหแ้ กผ่ ู้เรียนได้ ๓. ด้านการบริหาร ข้อมลู จากการวัดและประเมินผู้เรียน ชว่ ยใหผ้ ้บู ริหารเหน็ ขอ้ บกพร่องต่างๆ ของการจัดการเรียนรู้ เป็น การประเมินผลการปฏิบัติงานของครู และบ่งบอกถึงคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ผู้บริหาร สถานศึกษามักใช้ข้อมลู ไดจ้ ากการวัดและประเมินใช้ในการตัดสินใจหลายอย่าง เช่น การพัฒนาบุคลากร การ จัดครูเข้าสอน การจัดโครงการ การเปล่ียนแปลงโปรแกรมการเรียน นอกจากนี้การวัดและประเมินผลยังให้ ข้อมูลท่ีสาคัญใน

การพฒั นาสือ่ การสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๓๕ การจัดทารายงานการประเมนิ ตนเอง (SSR) เพ่อื รายงานผลการจดั การศึกษาสผู่ ปู้ กครอง สาธารณชน หน่วยงานต้นสังกัด และนาไปสู่การรองรับการประเมินภายนอก จะเห็นว่าการวัดและประเมินผลการศึกษา เป็นหวั ใจสาคญั ของระบบการประกนั คุณภาพทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา ๔. ดา้ นการวจิ ยั การวัดและประเมนิ ผลมีประโยชน์ตอ่ การวจิ ัยหลายประการดังน้ี ๔.๑ ขอ้ มูลจาการวัดและประเมินผลนาไปสู่ปัญหาการวิจัย เช่น ผลจากการวัดและประเมิน พ บ ว่ า ผู้ เ รี ย น มี จุ ด บ ก พ ร่ อ ง ห รื อ มี จุ ด ท่ี ค ว ร พั ฒ น า ก า ร แ ก้ ไ ข จุ ด บ ก พ ร่ อ ง ห รื อ ก า ร พั ฒ น า ดั ง ก ล่ า ว โดยการปรับเปล่ียนเทคนิควิธีสอนหรือทดลองใช้นวัตกรรมโดยใช้กระบวนการวิจัย การวิจัยดังกล่าวเรียกว่า การวิจัยในชั้นเรียน (Classroom Research) นอกจากน้ีผลจากการวัดและประเมินยังนาไปสู่การวิจัยในด้าน อื่น ระดับอื่น เช่น การวิจัยของสถานศึกษาเก่ียวกับการทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียน เป็นต้น ๔.๒ การวัดและประเมินเป็นเครื่องมือของการวิจัย การวิจัยใช้การวัดในการรวบรวมข้อมูล เพอ่ื ศึกษาผลการวิจัย ขั้นตอนน้เี ร่ิมจากการหาหรือสรา้ งเคร่อื งมือวัด การทดลองใช้เครื่องมือ การหาคุณภาพ เครอ่ื งมอื จนถงึ การใชเ้ คร่ืองมือที่มีคณุ ภาพแล้วรวบรวมข้อมูลการวัดตัวแปรท่ีศึกษา หรืออาจต้องตีค่าข้อมูล จะเห็นว่าการวัดและประเมินผลมีบทบาทสาคัญมากในการวิจัย เพราะการวัดไม่ดี ใช้เครื่องมือไม่มีคุณภาพ ผลของการวิจัยก็ขาดความน่าเชอื่ ถอื ๙.๓.๔ ความสาคัญของการเรียนรู้ ๔๗ เป้าหมายของการรับประทานอาหารของคนเราก็คือความรู้สึกอ่ิม หากได้รับประทานอิ่ม คนเราก็จะสบายใจหรือมีความสุข ส่วนเป้าหมายในการป้อนอาหารเด็กทารกก็คล้ายๆ กัน น่ันคือทาให้เด็ก ทารกรู้สึกอิ่ม แต่ความยากความง่ายของกิจกรรมรับประทานด้วยตนเองกับการป้อนเด็กทารกน้ันแตกต่างอยู่ พอสมควร กล่าวคือ การรับประทานอาหารด้วยตนเองเราย่อมรู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเราอ่ิมแล้วหรือยัง แต่การปอ้ นเดก็ ทารกน้นั เราต้องคาดการณ์หรอื ประเมนิ เอาว่าเขาอิม่ แล้วหรอื ยัง หากเราจะเปรยี บเทียบเปา้ หมายของการรับประทานอาหารด้วยตนเอง และการป้อนอาหารเด็กทารก กับการเรียนรู้ด้วยตนเอง และการสอนให้ผู้อื่นเกิดการเรียนรู้ จะเห็นว่ามีความคล้ายคลึงกันอยู่ ไม่น้อยเลย น่ันก็คือถ้าเราพยายามจะเรียนรู้สิ่งใดด้วยตนเองเราก็จะรู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเราเกิดการเรียนรู้แล้ว หรือยัง แต่ถ้าเราสอนเพ่ือให้ผู้อื่นเกิดการเรียนรู้เราจะต้องคาดการณ์ หรือประเมินว่าเขาเกิดการเรียนรู้แล้ว หรือยัง ความแตกต่างอีกประการหนึ่งระหว่างการเรียนรู้ด้วยตนเองกับการสอนให้ผู้อ่ืนเกิดการเรียนรู้ก็คือ เรารู้ตัวเราดีว่าเราควรจะทาอย่างไร เราชอบอะไร เราเข้าใจหรือไม่เข้าใจอะไร มันก็เลยทาให้การเรียนรู้ด้วย ตนเองไม่ค่อยยากนัก (ถ้าเราอยากจะเรียนรู้) แต่ในการสอนผู้อ่ืนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้น้ัน เราไม่ค่อยรู้อะไร เกี่ยวกับคนที่เราสอนมากนัก เช่น ไม่รู้ว่าเขามีความพร้อมในการเรียนมากน้อยเพียงใด ไม่รู้ว่าเขาอยากเรียนรู้ หรอื ไม่ ไมร่ ู้ว่าเขาอยากเรยี นรู้อะไร ไม่รวู้ ่าทาอย่างไรเขาจึงจะเกิดการเรียนรู้ และไม่รู้ว่าเขาเกิดการเรียนรู้บ้าง แลว้ หรือยงั ถ้าเราหวังผลในการสอนว่าเขาจะต้องเกิดการเรียนรู้จากการสอนของเรา เราก็ต้องรู้ในส่ิงท่ีเราไม่รู้ เหล่าน้ีให้ไดม้ ากท่ีสดุ แต่ถ้าเราไมร่ ใู้ นสิง่ ทเ่ี ราควรรูม้ ากเท่าไร เรายงั หวงั ผลการสอนของเราไดน้ ้อยเทา่ นั้น ๔๗ รองศาสตราจารย์ ดร.ชาญชยั อินทรประวัติ. มหาวิทยาลัยสุรนารี. เข้าถึงจาก. http://www.kroobannok.com/blog/45566, สบื คน้ เมอื่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๘.

การพัฒนาสื่อการสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๓๖ ส่ิงที่คนเป็นครูควรจะต้องรู้เป็นเร่ืองแรก ก็คือ หลักการสาคัญของการเรียนรู้นั่นเอง ซ่ึงหลักการน้ันมีอยู่ ๔ ประการดงั ต่อไปน้ี ๑. ผู้เรียนควรจะมีส่วนร่วมในการเรียนรู้อย่างจริงจัง (Active Participation) หมายความว่า เม่ือครู สอนนักเรียนก็จะต้องมีส่วนร่วมในกิจกรรมการสอนของครูทั้งกายและใจ นักเรียนท่ีนั่งเหม่อลอยหรือน่ังหลับ ในขณะที่ครูสอนถือว่าไม่มีส่วนร่วมมากนัก นักเรียนท่ีไม่ยอมคิดเมื่อครูถามคาถามก็ถือว่า ไม่มีส่วนร่วมในการ เรียนการสอน นักเรียนที่ลอกการบ้านเพ่ือนแทนที่จะทาเอง ถือว่ามีส่วนร่วมเหมือนกันแต่ไม่เข้าขั้น active นักเรียนที่เข้าห้องปฏิบัติการแต่ไม่ยอมทาอะไรเองคอยอาศัยแต่เพ่ือน ก็ถือว่าไม่มีส่วนร่วมอย่างจริงจังเช่นกัน ด้วยเหตุน้ีเองผู้หลักผู้ใหญ่สมัยก่อนเขาจึงสอนเด็กๆ ว่า “จะต้องเป็นคนเอาตาดู เอาหูฟัง และเอาใจใส่” กับเร่ืองรอบๆ ตวั จึงจะเฉลยี วฉลาดทนั คน เพราะฉะน้นั คาถามสาหรบั คนเป็นครใู นหลักการขอ้ นี้ กค็ ือ - ทาอยา่ งไรจงึ จะทาให้นกั เรยี นเขา้ เรียนโดยเอาตาดู เอาหฟู ัง และเอาใจใส่ - ทาอย่างไรจงึ จะทาให้นักเรยี นเข้าหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารและลงมือทาการทดลองดว้ ยตนเอง - ทาอยา่ งไรจึงจะทาให้นักเรยี นคดิ เม่อื ครถู ามคาถาม - ทาอยา่ งไรจึงจะทาให้นกั เรียนทาการบา้ นดว้ ยตนเอง ฯลฯ ครูจานวนไม่น้อยท่ีชอบคิดว่าพฤติกรรมการมีส่วนร่วมอย่างจริงจังน้ีเป็นหน้าที่ของผู้เรียนโดยตรง เพราะครูมีหน้าที่สอนเท่านั้น เข้าทานองท่ีว่า “น่ีคือเร่ืองของเธอ” “เรื่องของฉันคือสอน เรื่องของเธอคือ เรยี น” แทท้ จ่ี ริงแล้ว สว่ นหนงึ่ ของการสอนก็คอื การทาใหน้ ักเรยี นมีสว่ นรว่ มอยา่ งจรงิ จงั น่ันเอง ๒. ผู้เรียนควรจะได้เรียนรู้ทีละข้ันทีละตอนจากง่ายไปสู่ยากและจากไม่ซับซ้อนไปสู่รูปท่ีซับซ้อน (Gradual approximation) ตัวอย่างเช่น เด็กๆ ต้องบวกลบเลขเป็นเสียก่อนจึงจะสามารถเรียนรู้การคูณ และการหาร คนเราต้องพูดเป็นคาๆ ได้เสียก่อนจึงจะสามารถพูดเป็นประโยคได้ หรือต้องเดินให้ได้เสียก่อน แล้วจึงวิ่งค่อยเหยาะๆ จากน้ันจึงวิ่งเร็วๆ เช่นน้ีเป็นต้น ครูท่ีหวังจะสอนนักเรียนให้เกิดการเรียนรู้จึงต้องรู้จัก แบง่ เนือ้ หา และจัดลาดบั เน้อื หาตามความยากงา่ ย แล้วจงึ นามาสอนทลี ะขัน้ ทลี ะตอนอยา่ งเหมาะสม ๓. ให้นักเรียนได้รับข้อมูลย้อนกลับท่ีเหมาะสมและไม่เนิ่นนานจนเกินไป (Immediate feedback) เม่อื นักเรียนได้ทากิจกรรมตามคาแนะนาหรือคาส่ังของครูไป แล้วเขาก็มักอยาก จะ รู้ว่าส่ิงท่ีเขาทานั้นถูกต้อง แล้วหรือยัง ถ้าเขาได้รับข้อมูลย้อนกลับทันการและเหมาะสมเขาก็จะเกิดการเรียนรู้ ที่ดีรวมทั้งเกิดความ กระตือรือร้นท่ีจะเรียนรู้ต่อไป แต่ถ้าเขาไม่ได้รับข้อมูลย้อนกลับหรือต้องคอยเป็นเวลานานจึงจะได้รับเขาจะ เกิดการเรียนรนู้ อ้ ย และในขณะเดยี วกันความกระตือรือร้นในการเรยี นรู้ ก็จะมไี ม่มาก หลักการสาคัญของการเรียนรู้ ๑. ผเู้ รยี นควรจะมีสว่ นรว่ มในการเรียนร้อู ย่างจรงิ จงั ๒. ผู้เรยี นควรจะไดเ้ รียนร้ทู ลี ะข้นั ทีละตอนจากงา่ ยไปส่ยู ากและจากไม่ซบั ซ้อนไปสู่รปู ท่ีซับซ้อน ๓. ใหน้ กั เรยี นไดร้ บั ข้อมูลย้อนกลบั ที่เหมาะสมและไมเ่ น่นิ นานจนเกินไป ๔. การเสริมแรงหรือให้กาลงั ใจท่ีเหมาะสม โดยสรุปความสาคัญของการเรียนรู้ มีสาคัญ ๓ ขั้นตอนด้วยกัน กล่าวคือ ๑.ประสบการณ์ (experience) ในบุคคลปกติทุกคนจะมีประสาทรับรู้อยู่ด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนใหญ่ท่ีเป็นท่ีเข้าใจก็คือ ประสาท สัมผัสทั้งห้า ซึ่งได้แก่ ตา หู จมูก ล้ิน และผิวหนัง ประสาทรับรู้เหล่าน้ีจะเป็นเสมือนช่องประตูท่ีจะให้บุคคล ได้รับรู้และตอบสนองต่อส่ิงเร้าต่างๆ ถ้าไม่มีประสาทรับรู้เหล่านี้แล้ว บุคคลจะไม่มีโอกาสรับรู้ หรอื มปี ระสบการณ์ใดๆ เลย ซึ่งก็เท่ากับเขาไม่สามารถเรียนรู้ส่ิงใดๆ ได้เลย ประสบการณ์ต่างๆ ท่ีบุคคลได้รับ

การพัฒนาส่ือการสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๓๗ นั้นย่อมจะแตกต่างกัน บางชนิดก็เป็นประสบการณ์ตรง บางชนิดเป็นประสบการณ์ทางอ้อม บางชนิด เป็นประสบการณ์รูปธรรมและบางชนิดเปน็ ประสบการณ์นามธรรม ๒.ความเข้าใจ (understanding) หลังจาก บุคคลได้รับประสบการณ์แล้ว ขั้นต่อไปก็คือตีความหมายเป็นหลักการ(concept) ในประสบการณ์นั้น กระบวนการน้ีเกิดขึ้นในสมองหรือจิตของบุคคลเพราะสมองจะเกิดสัญญาณ (percept) และมีความทรงจา (retain) ขึ้นซึ่งเราเรียกกระบวนการนี้ว่า \"ความเข้าใจ\"ในการเรียนรู้นั้น บุคคลจะเข้าใจประสบการณ์ท่ีเขา ประสบได้ก็ต่อเมื่อเขาสามารถจัดระเบียบ (organize) วิเคราะห์(analyze) และสังเคราะห์ (synthesis) ประสบการณต์ า่ งๆ จนกระท่ังหาความหมายอันแท้จริงของประสบการณ์นั้นได้ และ๓.ความนึกคิด (thinking) ความนึกคิดถือว่าเป็นข้ันสุดท้ายของการเรียนรู้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในสมอง ความนึกคิด ทม่ี ปี ระสิทธภิ าพนนั้ ต้องเปน็ ความนกึ คดิ ท่ีสามารถจัดระเบียบ (organize) ประสบการณ์เดิมกับประสบการณ์ ใหม่ที่ได้รับให้เข้ากันได้ สามารถที่จะค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์ทั้งเก่าและใหม่ ซึ่งเป็นหัวใจ สาคญั ท่จี ะทาใหเ้ กิดความสมบรู ณ์ของการเรยี นร้อู ย่างแท้จรงิ ๙.๔ ประเภท ๙.๔.๑ ประเภทของส่อื การเรียนรู้ สื่อการเรียนร้สู ามารถจาแนกออกตามลกั ษณะไดเ้ ปน็ ๓ ประเภท ๔๘ คอื ๑. สื่อส่ิงพิมพ์ หมายถึง หนังสือและเอกสารสิ่งพิมพ์ต่างๆ ที่แสดงหรือเรียบเรียงสาระความรู้ต่างๆ โดยใช้ตัวหนังสือท่ีเป็นตัวเขียน หรือ ตัวพิมพ์ เป็นส่ือในการแสดงความหมาย ส่ือสิ่งพิมพ์มีหลายชนิด ได้แก่ เอกสาร หนงั สอื เรียน หนงั สือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร บนั ทึก รายงาน ฯลฯ ๒. สื่อเทคโนโลยี หมายถึง ส่ือการเรียนรู้ที่ผลิตข้ึนใช้ควบคู่กับเครื่องมือโสตทัศนวัสดุ หรือเคร่ืองมือ ที่เป็น เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น แถบบันทึกภาพพร้อมเสียง (วิดีทัศน์) แถบบันทึกเสียง ภาพนิ่ง ส่ือคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน นอกจากน้ีส่ือเทคโนโลยี ยังหมายรวมถึงกระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนาเทคโนโลยีมา ประยุกต์ใช้ในกระบวนการเรียนรู้ เช่น การใช้อินเทอร์เน็ตเพ่ือการเรียนรู้ การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เป็นต้น ๓. ส่ืออื่นๆ นอกเหนือจากส่ือ ๒ ประเภทท่ีกล่าวไปแล้ว ยังมีสื่ออ่ืนๆ ท่ีส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน ซงึ่ มีความสาคญั ไม่ยิ่งหย่อนไปกวา่ สื่อสง่ิ พิมพ์และสอื่ เทคโนโลยี ส่ือทีก่ ลา่ วน้ี ได้แก่ ๓.๑ บุคคล หมายถึง บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ซึ่งสามารถถ่ายทอด สาระความรู้ แนวคิดและ ประสบการณ์ไปสู่บุคคลอื่น เช่น บุคลากรในท้องถ่ิน แพทย์ ตารวจ นกั ธุรกิจ เปน็ ต้น ๓.๒ ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หมายถึง สิ่งมีอยู่ตามธรรมชาติและสภาพแวดล้อมตัวผู้เรียน เช่น พืชผักผลไม้ ปรากฏการณ์ ห้องปฏบิ ัตกิ าร เป็นต้น ๓.๓ กจิ กรรม / กระบวนการ หมายถึง กิจกรรมหรือกระบวนการที่ผู้สอนและผู้เรียนกาหนด ข้ึนเพื่อสร้างเสริมประสบการณ์การเรียนรู้ ใช้ในการฝึกทักษะซ่ึงต้องใช้กระบวนการคิด การปฏิบัติ การเผชิญ สถานการณ์และ การประยุกต์ความรู้ของผู้เรียน เช่น บทบาทสมมติ การสาธิต การจัดนิทรรศการ การทา โครงงาน เกม เพลง เปน็ ต้น ๔๘ สื่อการเรยี นร,ู้ เขา้ ถงึ จาก http://www.st.ac.th/av/media_kind.htm, สบื คน้ เมื่อ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๘.

การพฒั นาส่อื การสอนพระพุทธศาสนา ๑๓๘ ๓.๔ วัสดุ เคร่ืองมือและอุปกรณ์ หมายถึง วัสดุท่ีประดิษฐ์ขึ้นใช้เพ่ือประกอบการเรียนรู้ เช่น หุ่นจาลอง แผนภูมิ แผนที่ ตาราง สถิติ รวมถึงส่ือประเภทเครื่องมือและอุปกรณ์ที่จาเป็นต้องใช้ ในการปฏบิ ตั ิงานตา่ ง ๆ เชน่ อุปกรณ์ทดลองวทิ ยาศาสตร์ เครอื่ งมอื ชา่ ง เป็นต้น ๙.๔.๒ ประเภทของเทคโนโลยีสารสนเทศ ประเภทของเทคโนโลยีสารสนเทศ ๔๙ (IT: information technology types) เทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มีอยู่ในโลก ณ ปัจจบุ ันสามารถแบง่ ออกได้ เป็น ๔ ประเภท คอื ๑. เทคโนโลยีด้านการรับข้อมูล (Sensing Technology) เป็นอุปกรณ์ท่ีช่วยให้เราสามารถเก็บ รวบรวมข้อมูลข่าวสารท่ีอยู่รอบตัวเราแล้วเปล่ียนให้อยู่ในรูปแบบท่ีคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ อุปกรณ์ เหล่านี้ได้แก่ เครื่องสแกนภาพ (image scanners) เครื่องอ่านรหัสแถบ (bar code scanners) และอุปกรณ์ รบั สัญญาณ (Sensors) เปน็ ตน้ ๒. เทคโนโลยีการสื่อสาร (Communication Technology) เช่น โทรสาร โทรศัพท์ไร้สาย เครือข่าย ทอ้ งถนิ่ (LAN) ๓. เทคโนโลยีวิเคราะห์ (Analyzing Technology) ได้แก่เคร่ืองคอมพิวเตอร์ต่างๆ ท้ังส่วนที่เป็น Hardware และ Software ๔. เทคโนโลยีการแสดงผล (Display Technology) ในปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศพัฒนา อย่างรวดเร็ว เป็นผลให้การคมนาคมและการส่ือสารแม้กระทั่งโลกแห่งธุรกิจต่างๆ หมุนเปล่ียนตาม เราจึงจาเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพัฒนาตนเองเพ่ือก้าวให้ทันการพัฒนาทางเทคโนโลยีดังกล่าวก่อนท่ีจะเป็นคนล้า หลงั ๙.๔.๓ ประเภทของการประเมนิ ผล การประเมินผลสามารถจาแนกได้หลายประเภท ท้ังน้ีขึ้นอยู่ท่ีว่าจะยึดอะไรเป็นหลักในการแบ่ง ประเภท การประเมินผลสามารถจาแนกได้ดงั น้ี ๕๐ ๑. จาแนกตามระบบการวัด แบง่ ออกเปน็ ๓ ประเภท คอื ๑.๑ การประเมินแบบอิงตน (self referenced evaluation) เป็นการประเมินเพ่ือท่ีจะดูว่า ตนเองมีความกา้ วหน้าหรอื ไม่ อย่างไร เชน่ การสอบกอ่ นเรยี น-สอบหลงั เรียน ๑.๒ การประเมินผลแบบอิงเกณฑ์ (criterion referenced evaluation) เป็นการ ประเมินผลโดยเอาคะแนนทไ่ี ด้จากการสอบไปเปรียบเทียบกบั เกณฑท์ ี่กาหนดไว้ แล้วพิจารณาตดั สนิ ไปตามน้ัน ๑.๓ การประเมินผลแบบอิงกลุ่ม (norm referenced evaluation) เป็นการประเมินผล โดยเอาคะแนนทไี่ ด้จากการสอบไปเปรียบเทยี บกบั ความสามารถของกล่มุ ๒. จาแนกตามจดุ ประสงค์ของการประเมนิ แบง่ ออกเปน็ ๓ ประเภท คือ ๒.๑ การประเมินผลก่อนเรียน (pre-assessment or pre-evaluation) เป็นการประเมินผล เพ่ือค้นหาข้อบกพร่องของความรู้พ้ืนฐานของผู้เรียน ท้ังนี้เพราะว่าทุกคนมีความแตกต่างระหว่างบุคคล ๔๙ เทคโนโลยสี ารสนเทศ, เขา้ ถึงจาก https://www.gotoknow.org/posts/403465, สบื ค้นเมือ่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๘. ๕๐ การเรยี นร,ู้ เข้าถงึ จาก. http://netra.lpru.ac.th/~phaitoon/UNIT1/unit1/unit14.html, สบื คน้ เมอ่ื ๒๓ มกราคม ๒๕๕๘.

การพฒั นาสอ่ื การสอนพระพุทธศาสนา ๑๓๙ การประเมินผลก่อนเรียนน้ีมีประโยชน์ในการจัดการเรียนการสอน หรือจัดสถานการณ์การเรียนการสอนให้ เหมาะสมกับสภาพพน้ื ฐานของผู้เรยี นแต่ละบุคคล ๒.๒ การประเมินผลระหว่างเรียน (formative evaluation) การประเมินผลวิธีนี้ มี จดุ มุ่งหมายเพ่ือปรับปรุง หรือแก้ไขการเรียนการสอนระหว่างเรียนเพื่อให้นักเรียนบรรลุหน่วยการเรียนใดๆ หรอื จุดประสงค์ของเรอ่ื งนน้ั ๆ ท้งั น้ีอาจจะทาโดยการสอนซ่อมเสริม ๒.๓ การประเมนิ ผลหลังสิ้นสดุ การเรียนหรอื การประเมินผลรวม (summative evaluation) เปน็ การประเมินผลภายหลังท่ีครูได้สอนจบกระบวนการเรียนการสอนท้ังวิชาแล้ว หรือท่ีเรียกว่า การประเมิน ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน โดยมจี ดุ มงุ่ หมายเพอื่ ตัดสินผลการเรยี น อาจกลา่ วไดว้ ่าการประเมินผลการศกึ ษาเป็นกระบวนการทีจ่ ะตรวจสอบคุณภาพการเรียน การสอนว่า นักเรียนบรรลุจุดมุ่งหมายท่ีวางไว้หรือไม่ ถ้าหากพบว่านักเรียนมีข้อบกพร่องก็จะพิจารณาว่าบกพร่อง ในเร่อื งใด เพ่อื ทจี่ ะปรับปรงุ แก้ไขได้อย่างถูกตอ้ ง ๙.๔.๔ ประเภทของการเรยี นรู้ การเรียนรู้ขององค์การมี ๓ ประเภท ได้แก่ การเรียนรู้เชิงปรับตัว การเรียนรู้เชิงคาดการณ์ และ การเรียนรู้เชิงปฏิบัติการซ่ึงไม่ได้แยกจากกันโดยเด็ดขาด ทั้งน้ีอาจใช้การเรียนรู้มากกว่า ๑ ประเภท ไปพร้อมๆ กันได้ ๕๑ ๑. การเรยี นรู้เชิงปรบั ตวั (Adaptive Learning) เกิดข้ึนเม่ือบุคคล ทีมหรือองค์การ ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่กระทาไป โดยอาศัยผลลัพธ์ที่เกิดข้ึน เปน็ หลัก ไปสกู่ ารประเมินผล และสู่การพิจารณาไตรต่ รอง เพ่อื จัดการกับปัญหาความยากลาบาก John Browne CEO ของ British Petroleum (BP) ๕๒ ได้อธิบายถึงปรัชญาเก่ียวกับการเรียนรู้ เชิงปรับตัวของเขาเอาไว้ว่า \"ทุกคร้ังที่เราลงมือทาอีกคร้ัง เราควรทาให้มันดีกว่าครั้งก่อน ตัวอย่างเช่น ถ้าการขุดเจาะแต่ละคร้ัง มีประสิทธผิ ลมากกวา่ คร้งั ก่อน บรษิ ทั ก็จะสามารถปรบั ปรงุ การใชเ้ งิน ๒ พนั ลา้ นดอลลาร์สหรัฐ กับการขุดเจาะ น้ามันได้ดียิ่งขึ้น\" และต้ังแต่ปี ค.ศ.๑๙๙๕ เป็นต้นมา BP ก็ใช้เวลาเฉล่ียในการขุดบ่อน้ามันในทะเลลึกลง จาก ๑๐๐ วนั เหลือเพยี ง ๔๒ วนั ๒. การเรยี นรเู้ ชิงคาดการณ์ (Anticipatory Learning) เกดิ ข้นึ เมือ่ องค์การเรียนรู้จากการคาดการณ์ถึงอนาคตในหลากหลายรูปแบบ โดยพยายามหลีกเลี่ยง ผลลัพธ์และประสบการณ์ในทางลบ ด้วยการระบุโอกาสที่ดีที่สุดในอนาคต พร้อมๆ กับการค้นหาหนทาง ท่ีจะบรรลุผลสาเร็จให้ได้ทาให้เราสามารถรับมือกับสถานการณ์ท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคตได้ ซ่ึงเป็นการเรียนรู้ ในเชิงรุก และสร้างสรรค์ ๓. การเรยี นรู้เชิงปฏบิ ัติ (Action Learning) ๕๑ ท่ีมา : หนงั สือ การพัฒนาองค์การแห่งการเรยี นรู้. (Building the Learning Organization), เข้าถึงจาก. http://www.km.nida.ac.th/home/index.php?option=com_content&view=article&id=116 : 2009-06-09-09-16- 24&catid=51 : km-around-the-world&Itemid=93, สืบค้นเมอื่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๘ ๕๒ Prokesch, S. Unleashing the Power of Learning : An Interview With John Browne. Fortune, 1997 p. 148.

การพฒั นาสอื่ การสอนพระพุทธศาสนา ๑๔๐ เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาจริงๆ เน้นไปท่ีการแสวงหาความรู้จริง และดาเนินการตามหนทาง ของการแก้ปัญหาให้เกิดผลสาเร็จซ่ึงเป็นวิธีเร่งการเรียนรู้วิธีหนึ่ง ทาให้คนและองค์การสามารถเรียนรู้ได้ดีขึ้น ท้ังยังสามารถประเมินและแก้ปัญหายากๆ ในชีวิตจริงได้เป็นอย่างดี โดยนาเอาการสร้างและการต้ั งคาถาม ใหม่ๆ เกี่ยวกับความรู้ท่ีมีอยู่ และการพิจารณาไตร่ตรองเกี่ยวกับการกระทาที่เกิดข้ึน ทั้งระหว่างและหลังการ แกป้ ญั หามารวมเข้าดว้ ยกนั ๕๓ ๙.๕ การใชส้ อื่ และเทคโนโลยี ๙.๕.๑ การใช้สื่อ เม่ือเลือกสื่อการจัดการเรียนรู้ให้มีความสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายและเนื้อหาท่ี กระบวนการจัดการ เรยี นรู้ แลว้ การใช้สอื่ การเรียนร้ทู ่มี ปี ระสทิ ธิภาพเป็นสิง่ สาคัญที่ผู้สอนควรจะได้ศึกษาหลักการใช้ส่ือการจัดการ เรียนรดู้ งั นี้ ๕๔ ๑. การเตรียมตัวของผู้สอน ผู้สอนจาเป็นต้องเตรียมการในด้านต่างๆ ก่อนที่จะนาสื่อการเรียนรู้ ไปใช้ กล่าวคอื ๑.๑ ศึกษาเนื้อหาในส่ือการเรียนรู้ท่ีได้เลือกไว้ เพ่ือตรวจสอบดูว่าเนื้อหามีความสมบูรณ์ ตามที่ต้องการหรือไม่ จะจดั หาหรือจดั ทาสอ่ื ชนดิ อ่ืนเพ่มิ เตมิ ๑.๒ ทดลองใชส้ ่อื การเรียนรบู้ างประเภทซง่ึ อาจมีความยุ่งยากในการใช้ หรือต้องการทดสอบ ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ ข อ ง สื่ อช นิ ด นั้ น ๆ เ ช่ น ล า ดั บ ขั้ น ต อ น ก า ร น า เ ส น อส ร้ า ง ค ว า ม เ ข้ า ใ จ ใ ห้ กั บ ผู้ เ รี ย น เ พี ย ง พ อ หรอื ไม่ เหมาะสมกับเวลาเรยี นเพยี งใด มสี ่วนไหนที่ต้องปรับปรงุ แกไ้ ขบา้ ง ๑.๓ จัดเตรียมอุปกรณ์ เคร่ืองมือ เพ่ือจะได้ไม่เสียเวลาในขณะที่ใช้ เพราะการใช้เวลานาน เกินไป การจัดเตรียมเคร่ืองมือและอุปกรณ์จะมีผลให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการเรียนรู้น้อยลง นอกจากนี้ ควรตรวจสอบอุปกรณ์และเครอ่ื งมือตา่ งๆ ใหค้ รบถว้ นใหอ้ ยใู่ นสภาพทพ่ี รอ้ มใชง้ านด้วย ๒. การเตรียมจัดสภาพแวดล้อมการใช้ส่ือการเรียนรู้บางประเภทจะต้องมีการจัดเตรียมสถานที่หรือ ห้องเรียน ให้อยู่ในสภาพท่ีเหมาะสม กับการใช้ส่ือการเรียนรู้ ประเภทนั้นๆไม่ว่าจะเป็นตาแหน่งที่เหมาะสม ของเครือ่ งมือและวสั ดอุ ปุ กรณ์ระยะท่นี ่ังที่เหมาะสมของผเู้ รยี นหรือแสงภายในห้อง ๓. การเตรยี มพรอ้ มของผู้เรียน การใชส้ ่ือการเรียนร้บู างอย่างจาเป็นต้องช้ีแจงให้ผู้เรียนรู้วัตถุประสงค์ การเรียนรู้โดยใช้ส่ือนั้นๆ เป็นการให้ผู้เรียนจะได้เตรียมความพร้อมในการเรียนรู้ส่ือน้ันๆ เป็นการให้ผู้เรียน เรียนรู้อย่างมีเป้าหมาย และเรียนรู้จะได้เตรียมพร้อมในการเรียนรู้จากส่ือนั้น หากไม่มีการช้ีแจงให้รู้ผู้เรียน อาจได้เพียงความเพลิดเพลินหรือเรียนรู้ไม่ตรงตามเป้าหมาย ย่อมเป็นการใช้สื่อท่ีไม่คุ้มค่าและเสียเวลา โดยเปล่าประโยชน์ หรือในกรณีที่ผู้เรียนจะต้องใช้ส่ือด้วยตนเอง ผู้สอนก็ต้องแนะนาวิธีการใช้ส่ือน้ันด้วย ทีส่ าคัญจะตอ้ งบอกวา่ ผเู้ รยี นต้องทากิจกรรมใดบา้ งเพื่อจะไดเ้ ตรยี มตัวไดถ้ ูกต้อง ๕๓ Marquardt, M.J., Building the Learning Organization : A Systems Approach to Quantum Improvement and Global Success. New York : McGraw-Hill. 1996. ๕๔ กระทรวงศกึ ษาธิการ, ค่มู ือพฒั นาสอื่ การเรยี นร.ู้ กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พอ์ งค์การรับส่งสนิ ค้าและพัสดภุ ณั ฑ์ (ร.ส.พ.). ๒๕๔๔, หน้า ๘ - ๙.

การพฒั นาสอื่ การสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๔๑ ๔. การใช้สื่อการเรียนรู้ ผู้สอนจะต้องใช้ส่ือการเรียนรู้ตามแผนท่ีกาหนดไว้ เพ่ือให้การจัดการเรียน การสอนครั้งน้ันดาเนินไปได้อย่างราบรื่น และให้เกิดการเรียนรู้ที่ต้องการในขณะที่ใช้ส่ือใดๆก็ตาม จะต้องพิจารณาว่าผู้เรียนมีปฏิกิริยาอย่างไร ผู้เรียนศึกษาด้วยความสนใจและกระตือรือร้น หรือไม่ ปฏิกิริยา ของผู้เรียนที่มีต่อส่ือการเรียนรู้สามารถใช้เป็นเครื่องชี้วัดได้ว่า ส่ือการเรียนรู้น้ันมีความเหมาะสมกับกิจกรรม และผู้เรียนเพียงใด นอกจากนี้ควรมีการใช้เครื่องมือหรือวิธีการต่างๆ ที่จะตรวจสอบว่าสื่อการเรียนรู้น้ัน มีประสิทธิภาพหรือไม่เพียงใด ซึ่งอาจใช้วิธีการสังเกต การต้ังคาถามการใช้แบบทดสอบหรือการสอบถาม โดยตรง ๕. การประเมินโดยใช้ส่ือการเรียนรู้ เป็นการนาข้อมูลท่ีได้จากการใช้ส่ือมาวิเคราะห์ให้เกิด ความชัดเจนว่ามีอุปสรรคปัญหาจากการใช้อย่างไร มีความเหมาะสมกับกิจกรรมและกลุ่มผู้เรียนในระดับใด โดยต้องพิจารณาลักษณะทางกายภาพของสื่อและสาระท่ีส่ือสารออกไปยังผู้เรียน บางครั้งส่ือการเรียนรู้ ท่ีนามาใช้น้ันอาจมีความเหมาะสมด้านกายภาพ แต่คุณค่าในด้านสาระยังไม่สามารถทาให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ได้ตามเป้าหมาย การประเมินจะช่วยในการตัดสินใจและใช้ส่ือการเรียนรู้สาหรับการจัดการเรียนการ สอนในคร้ังตอ่ ๆไปหรอื พัฒนาโดยการดัดแปลง ปรับปรุง แก้ไข จดั ทาเพมิ่ เติมให้มคี วามเหมาะสมยงิ่ ขนึ้ ๙.๕.๒ การใชเ้ ทคโนโลยี ๕๕ การผสมผสานเทคโนโลยีให้เข้ากับการศึกษาเป็นส่ิงจาเป็น ในโลกที่ต้องอาศัยการหาข้อมูล และการสื่อสาร ทนั ที ฮารด์ แวรม์ กี ารปรบั ปรุงอยตู่ ลอดเวลาพร้อมกับความก้าวหน้าในการพัฒนาของซอฟแวร์ ซ่ึงเพิ่มคุณค่าให้แก่การเรียนรู้ แต่เทคโนโลยีในการศึกษาไม่ได้ส้ินสุดอยู่เพียงแค่นี้ แต่มีจุดมุ่งหมาย ในการพัฒนาทักษะท่ีช่วยให้นักเรียนแต่ละคนใช้ทรัพยากรท่ีมีอย่างมีประสิทธิภาพเพ่ิมข้ึน เทคโนโลยี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิธีการเรียนรู้แบบบูรณาการได้ทาให้มาตรฐานการเรียนการสอนและการเรียนรู้ดีข้ึนอย่าง มาก เทคโนโลยีในห้องเรียนตอนนี้กลายเป็นส่วนสาคัญของการสร้างการศึกษาที่สมดุลที่จะให้คนรุ่นใหม่ มีส่วนร่วมที่มีประสิทธิภาพในโลกสมัยใหม่ ที่โรงเรียนนานาชาติ Stamford หลักสูตรของเรามีโปรแกรม สองแบบที่เข้มงวดและการศึกษาที่เสริมการเรียนด้วยเทคโนโลยี โปรแกรมIBช่วยส่งเสริมการสอบสวน ท่ีสอดคล้องกับมาตรฐานอเมริกัน การผสมผสานเทคโนโลยีในการค้นคว้าข้อมูลของนักเรียนช่วยส่งเสริม การวิจัยโดยวิธีการพัฒนาคาถามท่ีสาคัญและข้ันตอนที่จะสนับสนุนการตอบของคาถามเหล่าน้ัน ในความ เป็นจริงการเชื่อมโยงระหว่างการเรียนรู้แบบค้นคว้าข้อมูลและการใช้ทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ในห้องเรยี นในชีวติ ประจาวนั ไม่สามารถจะแขง็ แกรง่ ไปมากกว่าน้ี นอกจากนยี้ ังสะท้อนให้เห็นการใช้เทคโนโลยี ในชีวิตจริงการที่ประสบความสาเร็จไม่ได้ข้ึนอยู่กับวิธีที่คุณใช้คอมพิวเตอร์ได้ดี แต่จากวิธีการท่ีคุณสามารถ ประสบความสาเรจ็ ในโครงการอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ เราโชคดีมากท่ีโรงเรียนนานาชาติ Stamfordท่ีจะเปิดสิงหาคมน้ี มีวิธีการบูรณาการเทคโนโลยี ในห้องเรียนและสามารถสร้างโรงเรียนท่ีเพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีท่ีทันสมัย ทีมงานการศึกษาของเรา สามารถรวมเทคโนโลยีนี่ในช้ันเรียนอย่างเต็มรูปแบบและใช้เทคโนโลยีเพ่ือเสริมสร้างการเรียนรู้ คุณสมบัติ บางส่วนที่เป็นเอกลักษณ์ถาวรของโรงเรียนรวมถึงศูนย์ Media Library ศูนย์การเรียนรู้แบบโต้ตอบที่มี สามารถเข้าถึงโลกผ่านการประชมุ ทางวิดโี อ real time และพ้ืนทีอ่ ่านด้วย iPad ๕๕ การใชเ้ ทคโนโลยี, เขา้ ถึงจาก http://www.cognitaschools.com/th/use-of-technology-1.htm, สืบค้น เมอ่ื ๒๔ มกราคม ๒๕๕๘.

การพัฒนาสอื่ การสอนพระพุทธศาสนา ๑๔๒ ขณะนเี้ รามคี อมพิวเตอร์สาหรบั นกั เรยี นใชท้ กุ คน โปรแกรมเน็ตบกุ๊ ๑ ต่อ ๑ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยม และโรงเรียนมัธยมตอนปลายของเรา มีแผง Promethean โต้ตอบในห้องเรียนทุกห้องเพื่อสร้าง ความสะดวกสบายให้นกั เรยี นและเพ่ิมประสบการณเ์ กี่ยวกับเทคโนโลยีและการพัฒนาทักษะของพวกเขาต่อไป ในอนาคต นักเรียนยังสามารถทางานกับเนื้อหาดิจิตอลท่ีเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ของโปรแกรม iPad Learning ทใี่ ช้แท็บเลต็ สาหรบั กจิ กรรมในช้นั เรียนสาหรบั ช้นั อนบุ าลขน้ึ ไป ๙.๕.๓ ข้ันตอนการใชส้ ือ่ การสอน ฉลวย พร้อมมูล๕๖ กลา่ วว่า การใช้สอื่ การสอนโดยทวั่ ไป มขี นั้ ตอนท่ีสาคัญ ๔ ข้ันตอน คอื ๑. ขั้นตอนการเลือก ควรรู้จักการเลือกใช้ส่ือการเรียนและกิจกรรมให้เหมาะสมกับเนื้อหา ท่ีจะสอน ถ้าเป็นประเภทวัสดุและอุปกรณ์ต่างๆ ควรจะเป็นส่ิงท่ีหาได้ง่ายและมีความคงทน หยิบใช้ได้สะดวก ใชไ้ ดป้ ระโยชนค์ ุ้มคา่ และประหยัด ๒. ข้ันตอนการเตรียม ส่ือการเรียนการสอนท่ีจะใช้ ครูควรจะได้ทดลองใช้ดูเสียก่อน ก่อนถึง เวลาใช้ต้องจัดเตรียมไว้ให้พร้อม เรียงลาดับส่ิงที่จะใช้ก่อนหลังไว้ เพ่ือความรวดเร็วไม่สับสน เมื่อนาสื่อไปใช้ สอนจริงๆ ๓. ขั้นตอนการนาไปใช้ ซึ่งเป็นขั้นท่ีครูนาส่ือมาใช้ประกอบการเรียนการสอนเพ่ือให้ผู้เรียน ได้เห็น ได้ฟัง หรือได้สัมผัส เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้ เข้าใจได้เร็ว แจ่มแจ้ง ชัดเจน ส่ือบางชนิดเม่ือใช้เสร็จแล้ว อาจแสดงไว้ให้ผู้เรียนได้ดูท่ีบอร์ด ห้องสมุด หรือ มุมกิจกรรมต่างๆเป็นต้น ถ้าเป็นเครื่องจะต้องเก็บเข้าท่ี ให้เรียบร้อย ๔. ข้นั ตอนการประเมินผล หลังจากท่ีไดใ้ ช้ส่ือแต่ละอย่างแลว้ ครูควรจะไดม้ ีการประเมินผลการใชส้ ื่อ การสอนน้นั ๆ เพื่อหาข้อบกพร่องทั้งน้ีเพ่ือจะได้นามาแก้ไขปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงสาหรับการสอนคร้งั ต่อๆ ไปให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึน้ กดิ านันท์ มลิทอง๕๗ กลา่ ววา่ การใชส้ ื่อการสอนนัน้ อาจจะใช้เฉพาะขั้นตอนใดข้ันตอนหน่งึ ของการสอนหรืออาจจะใช้ในทุกขัน้ ตอนก็ได้ ดังนี้ ๑. ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน เป็นขั้นท่ีทาการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในเนื้อหาท่ีกาลังจะเรียน สื่อท่ีใช้ในขั้นน้ีควรจะเป็นสื่อท่ีแสดงเน้ือหากว้างๆ หรือจะแสดงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเรียนในคร้ังก่อน ยงั มใิ ช่สื่อท่ีเน้นเน้ือหาเจาะลึกอย่างแท้จริง อาจเป็นส่ือที่เป็นแนวปัญหาหรือเพ่ือให้ผู้ เรียนคิดและควรเป็นสื่อ ทงี่ า่ ยต่อการนาเสนอในระยะเวลาอนั สนั้ ๆ เชน่ ภาพบตั รคาหรือบัตรปัญหา เป็นตน้ ๒. ขนั้ ดาเนนิ การสอนหรอื ประกอบกจิ กรรมการเรียน เป็นข้ันตอนสาคัญในการเรียนเพราะถือเป็นข้ัน ท่ีจะให้ความรู้ในเน้ือหาอย่างละเอียด เพ่ือสนองวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ผู้สอนต้องเลือกส่ือให้ตรงกับเน้ือหา และวิธีสอน หรืออาจจะใช้ส่ือหลายรูปแบบก็ได้ ต้องมีการจัดลาดับข้ันตอนการใช้สื่อให้เหมาะสมหรือ สอดคล้องกับกจิ กรรมการเรียน การใช้สื่อในขั้นนี้จะต้องเป็นส่ือท่ีเสนอความรู้อย่างละเอียดถูกต้องและชัดเจน แกผ่ ู้สอนเอง เชน่ ภาพยนตร์ สไลด์แผน่ โปร่งใส แผนภูมิ วีดิทัศน์ เทปเสียง หรอื ชดุ การสอนเป็นต้น ๕๖ ฉลวย พรอ้ มมูล, พฤตกิ รรมการสอนภาษาอังกฤษระดบั ประถมศกึ ษา. (สงขลา : คณะครศุ าสตร์ สถาบนั ราช ภฏั สงขลา, ๒๕๔๒), หน้า ๑๐๑. ๕๗ กิดานนั ท์ มลิทอง, เทคโนโลยกี ารศกึ ษาและนวัตกรรม. พิมพค์ ร้ังท่ี ๒, (กรงุ เทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๓),หน้า ๑๐๔-๑๐๕.

การพัฒนาส่ือการสอนพระพุทธศาสนา ๑๔๓ ๓. ขน้ั วเิ คราะห์และฝึกปฏิบัติ เปน็ การเพ่มิ พูนประสบการณ์ตรงแก่ผู้เรียน เพ่ือให้ผู้ เรียนได้ทดลองนา ความรู้ทางด้านทฤษฎีหรือหลักการท่ีเรียนมาแล้ว ไปใช้แก้ปัญหาในข้ันฝึกหัด โดยการลงมือปฏิบัติเอง สื่อใน ข้ันนีจ้ ึงเป็นส่อื ทเี่ ปน็ ประเดน็ ปัญหาให้ผู้เรยี นไดข้ บคดิ โดยผู้เรียนเป็นผู้ใช้ส่ือเองมากที่สุด เช่น ภาพ บัตรปัญหา เทปเสยี ง สมุดแบบฝึกหดั หรือชดุ การเรยี น เปน็ ต้น ๔. ขั้นสรุปบทเรียน เป็นขั้นของการเรียนการสอน เพื่อการย้าเน้ือหาบทเรียนให้ผู้เรียนมีความเข้าใจ ถูกต้องตรงตามจุดประสงค์ท่ีต้ังไว้ ขั้นสรุปนี้ควรใช้ระยะเวลาส้ัน ๆ เช่นเดียวกับข้ันนา สื่อที่ใช้สรุป จึงควร ครอบคลุมเนอ้ื หาสาคัญทัง้ หมด โดยย่อและใช้เวลานอ้ ย เช่นแผนภมู ิ และแผน่ โปรง่ ใส เปน็ ต้น ๕. ข้ันประเมินผู้เรียน เป็นข้ันทดสอบว่า ผู้เรียนสามารถเรียนรู้หรือเข้าใจในส่ิงที่เรียนไปถูกต้องมาก น้อยเพียงใด และบรรลุตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ีตั้งไว้หรือไม่ สื่อในขั้นน้ีมักจะเป็นคาถามจากเน้ือหา บทเรียน โดยอาจมีภาพประกอบด้วยก็ได้ อาจจะนาบัตรคาหรือส่ือต่างๆ ท่ีใช้ในขั้นกิจกรรมการเรียนมาถาม อีกคร้งั หนงึ่ และอาจเปน็ การทดสอบ โดยการปฏบิ ตั จิ ากสอ่ื หรอื การกระทาของผู้เรียน เพื่อทดสอบดูว่า ผู้เรียน มคี วามสามารถ มีทกั ษะ จากการฝึกปฏิบตั จิ รงิ อย่างถูกตอ้ งครบถว้ นหรอื ไม่ ดังน้ันจึงพอสรุปได้ว่า การนาเสนอสื่อการสอนในห้องเรียน คือการใช้สื่อการเรียนการสอนเพื่อ ประกอบในกระบวนการเรียนการสอน อาจจะใชเ้ ฉพาะข้นั ตอนใดขั้นตอนหนง่ึ ของการสอนหรืออาจจะใช้ในทุก ขั้นตอนก็ได้ การใช้สื่อในการเรียนการสอนครูจะต้องใช้ให้เหมาะสมกับวิธีการสอน จุดมุ่งหมาย จังหวะ เวลา จิตวิทยาการเรียนรู้และบุคลิกภาพของครูประกอบด้วย ท้ังนี้ครูจะต้องระลึกอยู่เสมอว่า ไม่มีสื่อการสอนชนิด ใดๆ ท่จี ะทาหน้าที่แทนครูไดอ้ ย่างสมบรู ณ์ ๙.๕.๔ การใช้การประเมินผล การประเมินผลผเู้ รยี นตามสภาพจริงไปใชใ้ นการจัดการเรยี นการสอน มีแนวปฏบิ ตั ิ ๕๘ ดงั นี้ ๑. ก่อนนาไปใช้ ครูต้องเรียนรู้เกี่ยวกับแนวทางการประเมินตามสภาพจริง ท่ีสาคัญที่สุด คือ การศึกษาด้วยตนเองและลงมอื ปฏบิ ัติจริง พฒั นาความรู้จากการลงมอื ปฏบิ ตั ิ ๒. การแนะนาให้ผู้เรียนจัดทาแฟ้มสะสมงาน แฟ้มสะสมงานของผู้เรียน นอกจากจะแสดงพัฒนาการ ของผู้เรียนแล้ว ยงั เป็นการสะท้อนการสอนของครู เพื่อจะนาไปปรบั ปรงุ การเรียนการสอนต่อไป ๒.๑ หลกั การเบอ้ื งตน้ ของการจดั ทาแฟ้มสะสมงาน มดี ังน้ี ๑) รวบรวมผลงานท่แี สดงถึงพัฒนาการด้านต่าง ๆ ๒) รวบรวมผลงานทแ่ี สดงลักษณะเฉพาะของผเู้ รียน ๓) ดาเนนิ การควบคกู่ บั การเรยี นการสอน ๔) เกบ็ หลักฐานท่เี ป็นตัวอย่างที่แสดงความสามารถในดา้ นกระบวนการและผลผลติ ๕) ม่งุ เน้นในสิง่ ท่ีผูเ้ รยี นเรยี นรู้ ๒.๒ ความสาคัญของแฟ้มสะสมงาน คือ การรวบรวมข้อมูลของผู้เรียน ทาให้ครูได้ข้อมูลท่ีมี ประโยชน์เกี่ยวกับพัฒนาการการเรียนรู้ของผู้เรียนรายบุคคล และนาเอาข้อมูลดังกล่าวมาใช้ปรับปรุงการจัด กจิ กรรมการเรียนรูข้ องผู้เรียน เพ่ือพฒั นาผูเ้ รียนแต่ละคนไดเ้ ต็มศักยภาพของตนเอง ๕๘ การใชก้ ารประเมินผล, เข้าถงึ จาก http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/521/joemsiit/joemsiit- web1/ChildCent/Child_Center4_3.htm, สืบค้นเม่ือ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๘.

การพฒั นาสื่อการสอนพระพทุ ธศาสนา ๑๔๔ ๙.๕.๕ การใช้การเรยี นรู้ ตามความหมายของการเรียนรู้ที่แท้จริง๕๙ คือ ผู้เรียนต้องมีโอกาสนาความรู้ที่เรียนรู้มาไปใช้ ในการดาเนนิ ชีวิต สิง่ ท่เี รยี นรู้กบั ชีวิตจริงจึงต้องเป็นเรื่องเดียวกัน ครูสามารถจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียน ประยุกต์ใช้ความรู้ได้โดยสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนต้องแก้ปัญหาและนาความรู้ท่ีเรียนมาประยุกต์ใช้ หรือให้ ผู้เรียนแสดงความรู้น้ันออกมาในลักษณะต่างๆ เช่น ให้วาดภาพแสดงรายละเอียดท่ีเรียนรู้จากการอ่านบท ประพันธ์ในวิชาวรรณคดี เม่ือครูได้สอนให้เข้าใจโดยการตีความและแปลความแล้ว หรือในวิชาที่มีเนื้อหา ของการปฏิบัติ เม่ือผ่านกิจกรรม การเรียนรู้แล้ว ครูควรให้ผู้เรียนได้ฝึกให้ทางาน ปฏิบัติซ้าอีกคร้ังเพ่ือให้เกิด ความชานาญ ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมให้ผู้เรียนนาความรู้ไปประยุกต์ใช้น้ี ครูควรจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนแสดง ความสามารถในลักษณะต่าง ๆ และเปิดโอกาสให้มีความหลากหลาย เพ่ือตอบสนองความสามารถเฉพาะที่ ผเู้ รียนแต่ละคนมีแตกต่างกนั ตามที่กล่าวไว้ในทฤษฎีพหุปัญญา (multiple intelligence) ของ การ์ดเนอร์ ๖๐ ท่ีวา่ มนษุ ยม์ คี วามสามารถในด้านต่างๆ ๘ ดา้ น ไดแ้ ก่ ๑. ความสามารถดา้ นภาษา เป็นความสามารถในการใช้ภาษาเพื่อแสดงความคิดเห็น แสดงความรู้สึก สามารถใช้ภาษาเพ่ืออธิบายเรื่องยากให้เป็นเร่ืองง่าย เข้าใจชัดเจน สามารถใช้ภาษาในการโน้มน้าวจิตใจ ของผู้อน่ื ๒. ความสามารถด้านตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ เป็นความสามารถในการใช้ตัวเลข ปริมาณ การคดิ คาดการณใ์ นการจาแนก จัดหมวดหมู่ คดิ คานวณ และตั้งสมมุติฐาน มีความไวต่อการเห็นความสัมพันธ์ ตามแบบแผนทางตรรกวทิ ยาในการคดิ ท่เี ปน็ เหตเุ ปน็ ผล ๓. ความสามารถด้านภาพมิติสัมพันธ์ เป็นความสามารถด้านการสร้างแบบจาลอง ๓ มิติ ของสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ในจินตนาการของตน สามารถคิดและปรับปรุงการใช้พ้ืนท่ีได้ดี มีความไวต่อสี เส้น รูปร่าง เน้ือที่และมองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งเหล่านั้น และสามารถแสดงออกเป็นรูปร่าง/รูปทรงในส่ิงท่ีเห็น ได้ ๔. ความสามารถด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว เป็นความสามารถในการใช้ร่างกายทั้งหมด หรือบางส่วน แสดงถึงความรู้สึกนึกคิด มีทักษะทางกายที่แข็งแรง รวดเร็ว คล่องแคล่ว ยืดหยุ่น มีความไว ทางประสาทสัมผัส ๕. ความสามารถด้านดนตรี เป็นความสามารถในเร่ืองของจังหวะ ทานองเพลง มีความสามารถ ในการแต่งเพลง เรียนรูจ้ งั หวะดนตรไี ด้ จาดนตรีไดง้ า่ ยและไม่ลืม ๖. ความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์ เป็นความสามารถในการเรียนรู้และเข้าใจถึงอารมณ์ ความรู้สึก นึกคดิ ตลอดจนเจตนาของผู้อน่ื เปน็ ผทู้ ี่ชอบสังเกตน้าเสียง ใบหน้ากริยาท่าทาง และการสร้างสัมพันธภาพกับ บุคคลอนื่ ใหค้ วามสาคญั กบั บคุ คลอืน่ มคี วามสามารถในการเปน็ ผู้นา สามารถส่อื สารเพอื่ ลดความขัดแยง้ ได้ ๗. ความสามารถในการเขา้ ใจตนเอง เป็นความสามารถในการรู้จักและเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ของตนเองได้ดี ฝึกฝนควบคุมตนเองไดท้ ัง้ กายและจติ ติดตามสง่ิ ทต่ี นเองสนใจและแสวงหาผลสาเรจ็ ได้ ๕๙ การเรยี นร,ู้ เขา้ ถึงจาก. http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/ww521/joemsiit/joemsiit- web1/ChildCent/Child_Center3_3.htm, สบื คน้ เมอ่ื ๒๔ มกราคม ๒๕๕๘. ๖๐ Howard Gardner. อา้ งถึงใน ทิศนา แขมมณี และคณะ ๒๕๔๐.