การบรหิ ารจัดการในห้องเรียน ๔๑ ๓.๑ ความนำ โดยท่วั ไป ความคดิ หมายถึง กิจกรรมทางจติ ใจหรือทางปญั ญาท่ีเก่ยี วข้องกบั จิตสำนกึ เฉพาะ คน ความคดิ ยงั อาจหมายถงึ กระบวนการคิดหรือลำดับแง่คดิ ในทำนองเดียวกนั กรอบความคิด หมาย รวมถึง กระบวนการการรับรู้ การรบั รู้ความรสู้ ึก ความมจี ติ สำนกึ และจินตนาการ การทำความเข้าใจ ถงึ จดุ กำเนดิ ท่เี ป็นรูปธรรมและนามธรรม กระบวนวธิ ี และผล ยงั คงเป็นเป้าหมายทน่ี ักวิชาการจำนวน มาก เช่น นักชวี วทิ ยา นกั ปรัชญา นกั จิตวิทยา และนกั สังคมวทิ ยา ต้ังไว้ เนื่องมาจากความคดิ นน้ั เปน็ หลกั พื้นฐานรองรบั การกระทำและปฏิกิรยิ าของมนษุ ย์ การคิดทำใหม้ นษุ ย์สามารถเข้าใจโลกหรือออก แบบชวี ติ ได้แตกตา่ งกัน ทัง้ ยังทำให้นำเสนอหรอื แปลความหมายส่งิ ต่าง ๆ ไปตามความหมายที่เขา เขา้ ใจ หรือเชอ่ื มโยงไปถงึ ความตอ้ งการ ความปรารถนา ขอ้ ผูกมัด วัตถปุ ระสงค์ แผน และเปา้ หมาย ของเขาได้๒๖ พระพทุ ธศาสนาเปน็ ศาสนาทเี่ น้นจิตใจเปน็ สำคัญ จะฝกึ พัฒนาอะไรกต็ อ้ งเริม่ จากฝึกฝนอบรม จติ เป็นอันดบั แรก ให้ความสำคญั กับจติ เปน็ หลักใหญ่ เริ่มจากขา้ งในที่อยู่ในส่วนลึกของมนุษย์ทกุ คน ดังพุทธศาสนสุภาษติ ทีว่ ่า จิตเตนะ นียะติ โลโก โลกอันจิตย่อมนำไป๒๗. และว่า สะจติ ตะปะรยิ ายะ กสุ ะลา ภะเวยยฺ ุง พึงเปน็ ผู้ฉลาดในกระบวนจิตของตน.๒๘ เมอ่ื เป็นเชน่ นี้ จงึ ต้องศึกษาคน้ ควา้ ทำความ เข้าใจกับหลักทฤษฎีกระบวนการหรอื วธิ กี าร ๓.๒ ความหมาย คำวา่ “ระบบ” ตามพจนานกุ รมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ คอื กลมุ่ ของสงิ่ ทด่ี ีลักษณะ ประสานเขา้ กนั เป็นลำดบั เดียวกันตามหลกั และความสัมพันธ์ท่สี อดคล้องกัน ดว้ ยระเบยี บของธรรม ชาตหิ รือหลกั เหตผุ ล ทางวิชาการ๒๙ การคดิ อยา่ งเป็นระบบ หมายถงึ การคดิ ที่เกี่ยวกบั สง่ิ ใดสิ่งหนึ่งโดยคำนึงว่าสง่ิ นนั้ มคี วามเปน็ ระบบในตัว ของมนั เองตามแนวความคิดของทฤษฎีระบบ (systems theory)๓๐ การคิดอยา่ งเปน็ ระบบหรือวธิ ีคดิ กระบวนระบบ(systems thinking) ในทศั นะของ คือเป็น เรือ่ งของวิธีคดิ เกย่ี วกับระบบที่รวมเอาทฤษฎีต่างๆมาไว้ ซงึ่ หากแปลตรงตัวคอื “วธิ ีคดิ ระบบ” อาจารยช์ ัยวัฒน์ ถริ ะพนั ธเ์ พม่ิ คำว่า “กระบวนการระบบ” เข้าไปเพอื่ เปน็ การตอกยำ้ ความแตกตา่ ง ของระบบ ๒ วิธี และวธิ ีคดิ ๒ วิธคี อื ระบบแห่งธรรมชาติ ซง่ึ เป็นระบบเปิดที่มีชวี ิต มกี รระบวนการ ๒๖ ความคดิ . http://th.wikipedia.org/wiki. ๒๗ สํ. ส. (บาลี) ๑๕/๕๔. ๒๘ นัย-อง.ฺ ทสก.(บาลี) ๒๔/๑๐๐. ๒๙ ราชบณั ฑิตยสถาน. ๒๕๔๒.http://edujin.multiply.com/journal/item/๔๓. ๓๐ เฉลยี ว บุรีภกั ด.ี ๒๕๔๐.http://edujin.multiply.com/journal/item/๔๓.
การบริหารจัดการในหอ้ งเรียน ๔๒ ววิ ฒั นท์ ี่ไมห่ ยดุ นิง่ กบั ระบบที่ไม่มชี ีวติ ทเ่ี ปน็ แบบกลไกใน เชิงวิศวกรรมศาสตร์ แต่ในท่ีนจี้ ะขอใช้คำวา่ “การคิดอย่างเปน็ ระบบ” เพือ่ ความคงท่ีของคำ๓๑ Joseph O’Conner และ lan McDermott ให้ความหมายว่า “การคิดอยา่ งเปน็ ระบบ” เป็นการคดิ แบบองคร์ วม โดยตระหนกั ถึงองค์ประกอบยอ่ ยทีม่ คี วามสัมพันธ์ และมหี น้าทเ่ี ชอ่ื มตอ่ กัน อย่เู ป็นปฏสิ ัมพันธอ์ ย่างตอ่ เนือ่ ง๓๒ ๓.๓ ทฤษฎีระบบ (System theory) ทฤษฎนี ้ีเป็นทัศนะการบรหิ ารที่มองว่าองค์การเปน็ ระบบทีด่ ำเนินงานอยใู่ นสภาพแวดล้อม หมายถึงการรวมกนั ของส่วนต่าง ๆ ท่ีดำเนินงานอยู่ระหวา่ งกันเพอ่ื ทีจ่ ะบรรลุเปา้ หมายร่วมกนั ระบบ องค์การจะดำเนนิ อยู่บนพื้นฐานของส่วนประกอบ ๕ สว่ น คือ ๑. ปัจจัยนำเข้า (Input) ๒. กระบวนการเปลยี่ นแปลง (Transformation process) ๓. ปัจจัยสง่ ออก (Outputs) ๔. ส่ิงป้อนกลับ (Feedback) ๕. สภาพแวดล้อม (External environment) ๓.๔ ความคดิ เชงิ ระบบ ตัวเองมีความสบั สนกบั คำศัพท์ พวกคำว่า System Thinking และคำว่า Systematic Thinking … ไปค้นหาข้อมูลเพ่มิ เตมิ จงึ พบว่า Systems Thinking คอื การคิดเชิงระบบ คดิ และ เข้าใจในภาพรวมทั้งระบบ มองเหน็ ภาพรวม (Big Picture) สามารถเช่อื มโยงสิ่งตา่ งๆ เขา้ ดว้ ยกนั ได้ ประเภท “เด็ดดอกไมส้ ะเทือนถงึ ดวงดาว” หรอื Butterfly Effect…เป็นวินยั ขอ้ ท่ี ๕ (The Fifth Discipline)ของวนิ ัย ๕ ประการ ตามทฤษฎีของ Peter Senge เพือ่ นำไปสกู่ ารเปน็ บุคคลเรียนรู้และ องคก์ ารแหง่ การเรยี นรู้ สว่ น Systematic Thinking คอื การคดิ อย่างเป็นระบบ แบบครบวงจร (Loop) PDCA คิด อยา่ งมหี ลกั การ มีการจัดระเบยี บ คดิ อยา่ งเปน็ กระบวนการ และคดิ อย่างมีเหตุผลในเชิงวิทยาศาสตร์ • คดิ แบบเป็นองคร์ วม (Holistic) : หากแบ่งคร่ึงระบบออกเป็น ๒ สว่ น จะไมไ่ ด้ ๒ ระบบยอ่ ย แตจ่ ะทำลายระบบ (เปรียบเสมอื น แบ่งควาย ๑ ตัวออกจากกัน จะไม่ไดค้ วาย ๒ ตวั ) • คิดเปน็ เครอื ข่าย (Network) • คิดเปน็ ลำดบั ช้นั (Hierarchy) ๓๑ ชัยวฒั น์ ถริ ะพนั ธ์.http://edujin.multiply.com/journal/item/๔๓. ๓๒ วรี วุธ มาฆะศิรานนท์และณฐั พงศ์ เกศมาริษ. http://edujin.multiply.com/journal/item/๔๓.
การบริหารจดั การในห้องเรยี น ๔๓ • คดิ แบบมปี ฏสิ ัมพันธต์ อ่ กนั (Interaction) : การเปล่ียนแปลงของระบบย่อย จะมผี ล ตอ่ ระบบใหญ่ด้วย แบบ Feedback to Relationship • คิดอยา่ งมีขอบเขต (Boundary) • คิดอยา่ งมแี บบแผน (Pattern) • คดิ อย่างมโี ครงสรา้ ง (System Structure) • คดิ อยา่ งมีการปรบั ตวั ต่อการเปลย่ี นแปลง (Adaptation) • คิดเป็นวงจรปอ้ นกลับ (Feedback-Loops) ๓.๕ เทคนคิ แบบต่างๆ ทใี่ ชใ้ นการช่วยคดิ • ใชร้ ปู แบบความคดิ Mind Set ใหเ้ ปน็ ประโยชน์ • ใชแ้ ผนภมู กิ ้างปลา (Fish-bone Diagram) • ใชแ้ ผนภมู ิความคดิ Mind Maps • ใชค้ ำถาม ๕ W ๒ H • เปลี่ยนมมุ มองปัญหา และอยา่ ยดึ ติดกับขอบเขตปญั หา ๓.๖ การพฒั นาการคิด กรอบความคิดของการคิด ตามแนวทฤษฎีการเรยี นรกู้ ระบวนการคิด แบง่ เป็น ๓ กลุ่มใหญ่ ๆ กล่มุ ที่ ๑ ทกั ษะความคดิ หรือทักษะการคิดพ้ืนฐาน ที่มีขัน้ ตอน การคิดไมซ่ บั ซอ้ น กลมุ่ ที่ ๒ ลกั ษณะการคดิ หรอื การคดิ ขัน้ กลาง/ระดับกลาง เปน็ การคิดทีม่ ีลกั ษณะการคิด แต่ละลกั ษณะอาศัยการคิดข้นั พืน้ ฐานมากบา้ งน้อยบ้าง กลมุ่ ที่ ๓ กระบวนการคดิ หรอื การคดิ ระดบั สงู คอื มีขนั้ ตอนในการคดิ ซบั ซอ้ นและตอ้ ง อาศยั ทกั ษะความคิดและลกั ษณะความคิดเป็นพื้นฐานในการคิด กระบวนการคิดมอี ย่หู ลาย กระบวนการ เช่น กระบวนการแกป้ ัญหา กระบวนการตัดสินใจ ๓.๗ การพัฒนากระบวนการคิดตอ้ งอาศยั ตัวรว่ มขณะคดิ ๔ ตวั ร่วม ตัวรว่ มที่ ๑ กรอบโลกทศั น์/ชีวทศั น์ คือตวั รว่ มสำคัญที่ผสมผสานในระหว่างท่ีเราคิด เราคิด อยา่ งไร จะสรุปความคดิ ของเราออกมาเชน่ ไร จะยึดกรอบเดมิ หรือกรอบใหม่ ตัวรว่ มที่ ๒ นิสยั คอื นิสัยมีผลเชื่อมโยงกบั รูปแบบวิธคี ิดของเราเปน็ อย่างมาก เน่ืองจากเปน็ ตัวกำหนด การคิด และการแกป้ ัญหาของเรา ตวั รว่ มที่ ๓ อารมณ์ คอื เม่อื เราเกดิ อารมณ์ใดสมองของเรามกั จะสรา้ งภาพในใจหรือเกิด จินตนาการถ่ายทอดอารมณน์ ัน้
การบรหิ ารจัดการในห้องเรยี น ๔๔ ตัวรว่ มที่ ๔ แรงจูงใจ คอื การทเ่ี ราตดั สินใจกระทำสิ่งใดสง่ิ หนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจงเรามักจะ กระตุ้นดว้ ย แรงขับภายใน ไดแ้ ก่ แรงขับความตอ้ งการพน้ื ฐาน แรงขบั ความอยากร้อู ยากเห็น๓๓ กระบวนการแกป้ ญั หา การสังเคราะหร์ ูปแบบการพัฒนาศกั ยภาพของเด็กไทย ดา้ นทกั ษะการ คิด โดยกองวจิ ยั ทางการศึกษา (๒๕๔๒) พบว่า มีรปู แบบการคิด ๑๐ ลักษณะ ๑.คดิ คลอ่ ง มพี ฤตกิ รรม คือ คดิ เกย่ี วกบั เรื่องท่ีคดิ ให้ไดจ้ ำนวนมาก และรวดเรว็ รวมถงึ การจัดหมวดหม่คู วามคดิ ๒.คิดหลากหลาย มีพฤตกิ รรม คือ คิดเก่ียวกับเรอ่ื งทีค่ ิดให้ไดร้ ปู แบบ/ลักษณะ/ประเภททหี่ ลาก หลายแตกต่างกัน และการจัดหมวดหมู่ความคิด ๓.คิดละเอียด มพี ฤตกิ รรม คือ คดิ ให้ได้รายละเอยี ดหลักเก่ียวขอ้ งกบั เรือ่ งทค่ี ิด และคดิ ให้ได้ รายละเอียดยอ่ ยที่เกย่ี วขอ้ งกบั เร่อื งทค่ี ิด ๔.คดิ ชัดเจน มีพฤตกิ รรม คือ พิจารณาสงิ่ ที่คดิ แลว้ พยายามบอกใหไ้ ด้ตนเองว่า รู้ ไม่ เขา้ ใจ ไม่เขา้ ใจอะไร ๕.คิดอยา่ งมเี หตผุ ล มีพฤตกิ รรม คือ จำแนกขอ้ มลู ที่เป็นขอ้ เทจ็ จรงิ และความคดิ เห็นออกจาก กัน พจิ ารณาเร่ืองท่ีคดิ บนพ้นื ฐานของข้อเท็จจรงิ โดยใช้หลักเหตุผลทง้ั แบบปรนยั คือ คดิ จากหลัก ทวั่ ไปไปสขู่ อ้ เทจ็ จรงิ ย่อย ๆ และอปุ นยั คือ คิดจากขอ้ เท็จจริงย่อย ๆ ไปสู่หลกั การทัว่ ไป ๖.คดิ ถูกทาง มพี ฤตกิ รรม คือ ต้ังเปา้ หมายของการคดิ ไปในทางทีเ่ ป็นประโยชน์ตอ่ สว่ นรวมมาก กวา่ ประโยชน์ส่วนตน และคดิ ถงึ ประโยชน์ระยะยาวมากกวา่ ประโยชนร์ ะยะสั้น ๗.คิดกวา้ ง มพี ฤติกรรม คือ คิดถงึ องคป์ ระกอบทเี่ กยี่ วข้องกบั เรอ่ื งท่คี ิดให้ครอบคลมุ ส่ิงท่ีมีความ สำคญั หรอื มีอทิ ธิพลต่อเรือ่ งทค่ี ิด ๘.คดิ ลึกซ้ึง มีพฤติกรรม คือ วเิ คราะห์ให้เห็นองค์ประกอบหลัก และองคป์ ระกอบย่อยที่โยง ไยสัมพนั ธก์ นั อย่างซบั ซอ้ น จนประกอบกันเป็นโครงสร้างหรือภาพรวมของสงิ่ นัน้ ๙.คดิ ไกล มีพฤตกิ รรม คือ นำปจั จยั ทีเ่ ก่ียวข้องกบั เร่ืองที่คดิ ทั้งทางกวา้ ง และทางแคบมา วิเคราะห์ความสัมพนั ธ์เชงิ สาเหตุ ๑๐.คิดแหวกแนว มีพฤติกรรม คือ นำข้อมลู ทไ่ี ดจ้ ากการวเิ คราะห์เร่ืองราวเดมิ มาสร้างเปน็ เรือ่ งราวใหม่ หรอื ทำส่งิ เดิมด้วยวธิ ใี หมท่ ี่ไม่เคยทำมาก่อน หรือเสนอข้อมูลหรือวิธกี ารท่แี ตกต่างกนั ไปจากคนอน่ื ๆ เม่ืออยูใ่ นสถานการณ์เดยี วกนั ๓๔ ๓๓ การคิดอยา่ งเป็นระบบ http://ruchareka.wordpress.com/A-system-thinking/. ๓๔ รูปแบบการคิด ๑๐ ประการ http://gotoknow.org/blog/krutip/๒๐๘๓๒๕
การบริหารจดั การในหอ้ งเรยี น ๔๕ ๓.๘ การพัฒนาความคิดอยา่ งเปน็ ระบบ จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน การรักษาสถานะขององค์กรให้อยู่รอดเป็นเร่ืองที่ สำคัญแต่เท่าน้ันยังไม่เพียงพอ องค์กรจะต้องเจริญเติบโตและมีความก้าวหน้าอย่างม่ันคง จึงจะ สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จขององค์กร แล้วจะทำอย่างไรองค์กรจึงจะเจริญเติบโตอย่างมั่นคง ทรัพยากรบุคคล ถือเป็นสินทรัพย์ท่ีมีค่าขององค์กร ดังนั้น องค์กรควรให้ความสำคัญในการพัฒนา และเสริม สร้างศักยภาพการเรียนรู้ เพราะบุคลากรที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาอย่างมี คณุ ภาพ จะเป็นตน้ แบบท่ดี ีในการสร้างวิธีคิด และวิธีการทำงานอย่างมอื อาชีพ การพัฒนาให้บคุ ลากร เกิดการเรียนรู้ร่วมกันเรื่อยๆ จึงเป็นวิธีที่จะทำให้องค์กรมีความแข็งแกร่ง ม่ันคง และมีศักยภาพ ๓.๙ ระบบและรปู แบบการคิด ๑. Lateral Thinking การคดิ แบบแตกแขนง เปน็ การคิดนอกกรอบ เป็นความคดิ นอก กรอบ หรือ บางทีบางคนใชท้ างด้าน จรรยาบรรณ ศีลธรรม หรอื ความจงรักภกั ดีในหน้าท่ี ซ่ึงเป็นสิ่ง ท่ีต้องปลูกฝงั ให้พนักงานมีความคิดลกั ษณะน้ี เพือ่ ทำให้องคก์ รแขง็ แรง อย่างเช่น การทำใหพ้ นักงาน ตระหนักถึง ความปลอดภัยของข้อมลู ความลบั ของบรษิ ัทฯห้ามเปิดเผย การสรา้ ง Royalty กับบรษิ ทั ฯ การสร้างความสมั พนั ธ์อันดีระหวา่ งพนักงาน และ หัวหน้างาน ทำให้พนกั งานตัดสินใจยากในการ ออกจากบรษิ ัทฯเรา ๒. Vertical Thinking เปน็ ความคิดในแนวตรง เกดิ ขน้ึ โดยตรงจากขา่ วสารทเ่ี ป็นทางการ และใช้ในการหาคำตอบท่ีนา่ สนใจซึง่ นกั บริหารควรทีจ่ ะเปน็ นักคดิ ในแนวทางน้ใี ห้มาก ๓. Logical Thinking การคิดอยา่ งมีตรรกะ เป็นพื้นฐานแห่งแนวคดิ การปฏิบัติ ท่เี น้นความ เป็นเหตเุ ป็นผลอย่างตอ่ เน่ือง ไมว่ ่าจะเป็นการสนทนากันอย่างมีเหตุผล มีการวางแผนที่เป็นขนั้ ตอน มี การลำดบั เรือ่ งราวสามารถมองจากมมุ มองของภาวะวสิ ยั หรอื จากภาพรวม ๔.Creative Thinking การคดิ สร้าง สรรคใ์ นเชิงบวกเป็นความคิดประยุกต์ จากประสบ การณ์ ความรู้ ความสามารถ รวมทัง้ การปรบั ปรุงสง่ิ ทม่ี อี ยู่ให้มีคณุ คา่ มากย่งิ ข้นึ มปี ระโยชน์มากข้ึน อยา่ งเช่น คิดถึงผลติ ภณั ฑ์ใหม่ เพ่อื สามารถขายใหก้ บั ลูกคา้ ได้ คดิ ถงึ การสร้างงานในแขนงใหม่ๆ ให้ เกิดขน้ึ เพื่อสง่ เสริมให้ลกู ค้ามีข้อมลู ในการใชง้ านมากย่งิ ขึน้ อาจจะคดิ ถึงการรายงานในรูปแบบใหม่ เพือ่ ให้ขอ้ มลู กบั หวั หน้างานไดด้ ขี ึ้นเป็นตน้ ๕.Critical Thinking เป็นกระบวนการทางจิตสำนึกเพ่ือวิเคราะห์ หรือ ประเมินขอ้ มลู ในคำ แถลง หรือ ขอ้ เสนอท่ีมีผู้แถลงหรืออ้างว่าเปน็ ความจรงิ การคดิ เชงิ วจิ ารณญาณเป็นรปู แบบของ กระบวนการทส่ี ะท้อนใหเ้ หน็ ความหมายของคำ แถลง (statement) และการตรวจสอบหลกั ฐานท่ี ได้รับการไต่ตรองด้วยเหตแุ ละผล แลว้ จงึ ทำการตัดสินคำแถลงหรือขอ้ เสนอทถี่ ูกอ้างว่าเป็นความจรงิ น้นั ๖. Positive Thinking การมองส่ิงต่างๆอย่างเข้าใจ ยอมรบั ไดใ้ นดา้ นลบ มองปญั หา ความ ทกุ ข์ ความไมร่ าบรื่นเป็นเรอื่ งธรรมดา หากรจู้ ักเลือกใชป้ ระโยชน์จากด้านบวกทแ่ี ฝงอยจู่ ากสิง่ น้นั ๆ
การบริหารจัดการในห้องเรียน ๔๖ ได้ เหตุการณ์บางอย่าง เราไม่สามารถเลอื กไดว้ ่าจะใหเ้ กดิ หรอื ไมใ่ หเ้ กิด แตเ่ มอื่ เกิดขน้ึ ไปแล้ว เรา เลือกได้ว่าจะมองและรู้สกึ กับมนั อยา่ งไร เปน็ ความคิดในแง่ดี มองในแงม่ มุ ของความเป็นไปได้ ให้ กำลังใจกบั ตนเอง และ ผอู้ ่นื ซง่ึ เป็นความคดิ พ้ืนฐานของความคิดทดี่ ีๆทั้งหมด เช่น คดิ ว่าจะทำ อยา่ งไรให้แผนกทำงานได้ปรมิ าณ และ คณุ ภาพ มากท่ีสุดในเวลา เท่าเดิม หรอื คิดวา่ เราจะทำ อย่างไรดีทจ่ี ะทำใหง้ านทบี่ รกิ ารลกู คา้ แลว้ ลูกคา้ พงึ พอใจอยา่ งมาก จากการบริการของเรา เปน็ ต้น ๗. Ethical Thinking ความคิดในเชงิ จริยธรรม คุณธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ คือกฎ เกณฑ์ความประพฤตขิ องมนษุ ย์ ซึ่งเกดิ ขนึ้ จากธรรมชาตขิ องมนษุ ย์เอง ความเปน็ ผมู้ ีปรีชาญาณ (ปญั ญาและเหตุผล)ทำใหม้ นุษยม์ มี โนธรรม รจู้ กั แยกแยะความดี ถกู ผิด ควร ไมค่ วร๓๕ ๓.๑๐-เทคนคิ การคดิ อยา่ งเป็นระบบ๓๖ การคิดอยา่ งเป็นระบบ เป็นการมองแบบองค์รวม เป็นความสามารถในการเขา้ ใจถงึ ความ สมั พันธ์ระหว่างสิ่งตา่ งๆ ท่ีเป็นองค์ประกอบสำคญั ของระบบ นอกจากมองภาพรวมแล้วตอ้ งมอง รายละเอยี ดของส่วนประกอบย่อยในภาพน้นั ใหอ้ อกดว้ ย การคิดอย่างเป็นระบบ ก็คือ การคิดใหค้ รบ องค์ประกอบของระบบให้ครบทุก-๔-ดา้ น-ไดแ้ ก่ ๑.-คดิ ให้ลกึ เชิงวิเคราะห์-(Analytical--Thinking) ๒.-คิดใหก้ วา้ งอย่างสร้างสรรค์-(Creative--Thinking) ๓.-คดิ ให้ครบจนจบเรื่อง-(Integrated--Thinking) ๔.-คิดในภาพรวมทัง้ ระบบ-(System--Thinking) ๓.๑๐.๑ แผนภูมสิ มอง (Brain Mapper Diagram) เปน็ ท่นี ิยมในกลุ่มนักวิชาชีพคอมพิวเตอร์ โดยเขยี นจากวงกลมศนู ย์กลางเป็น หัวเรื่อง ใหญ่ แตกออกไปเป็นรัศมี และทปี่ ลายของรัศมีนนั้ จะเปน็ หัวเรื่องยอ่ ย ดงั นนั้ ระหวา่ งเส้นรศั มจี ะ สามารถแตกกงิ่ ก้านออกไปได้เรื่อยๆ คลา้ ยแผนภูมิกา้ งปลา ทีต่ รึงสว่ นหัว-สว่ นท้ายไวด้ ้วย หวั เรือ่ ง ย่อย น่นั เอง ๓๕ การพฒั นาความคิดอย่างเป็นระบบ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=pasawutt&month=๐๘-๐๙- ๒๐๐๘&group=๖&gblog=๔. ๓๖ เทคนิคการจำอยา่ งเป็นระบบฯ http://www.oknation.net/blog/print.php?id=๓๖๕๕๓๖.
การบริหารจดั การในห้องเรยี น ๔๗ ๓.๑๐.๒ แผนภูมติ น้ ไม้ (Tree Diagram ) ๓.๑๐.๓ เทคนิคแผนภมู กิ า้ งปลา (Fish Bone Diagram) โดยมลี ักษณะรปู หัวปลา คือ หัวเร่ืองใหญ่ และรูปกา้ งแกนกลางเปน็ หลกั และแตกกง่ิ ก้างให้ย่อยออกไปอีกเป็นกา้ น แตล่ ะก้านก็มี หวั เร่อื งย่อย บอกว่า เปน็ ทน่ี ิยมใช้ ในการคิด และ วเิ คราะหป์ ญั หากิจกรรมวงจรคุณภาพ (Q.C. Circle) แต่ไม่คอ่ ยเปน็ ทีน่ ิยมในงานทว่ั ไป และงานที่ ซบั ซอ้ นมากๆ ผู้เขยี นเช่ือว่า อาจจะเปน็ เพราะ ไม่สะดวกทจี่ ะเพิ่มกา้ นในภายหลัง เนื่องจากถูกตรงึ ตำแหนง่ จาก หัวเร่ืองยอ่ ย นน่ั เอง
การบรหิ ารจดั การในหอ้ งเรยี น ๔๘ ๓.๑๐.๔ แผนภูมชิ ว่ ยคดิ ช่วยจำ (Mind Mapping Diagram) สรุปทา้ ยบท การคิดเป็นธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ การคดิ มีหลายมมุ มองหรอื หลายมิติของความคิด บางคน เจริญเตบิ โตมาในสังคม ส่ิงแวดล้อมทีด่ ี เวลาคดิ กค็ ิดแตเ่ ร่อื งทดี่ มี ปี ระโยชนแ์ กต่ นเองและคนอื่น บาง คนเจรญิ เติบโตมาในทไ่ี มเ่ หมาะสม ในสังคมทมี่ ีแตก่ ารแข่งขนั ดิน้ รนเอาตวั รอด เวลาคิดกแ็ ตจ่ ะเอา ประโยชน์ใส่ตวั อาจกล่าวได้ว่า คนนีอ้ าจทำไดท้ ุกวธิ ีทางเพื่อให้ตนเองอยู่รอด โดยไม่สนใจหรอื สงสาร คนอน่ื และความคิดนี้ทส่ี ำคัญท่ีสุดจะมผี ลและรากฐานของการเปลย่ี นแปลงในชีวติ แตล่ ะบุคคลใน การดำเนินงาน ของสังคม ถ้าคนแตล่ ะคนคดิ ดี คดิ ถกู ตอ้ ง คดิ เหมาะสม การดำเนนิ ชีวิตของคน และ ความเปน็ ไปของสังคม กจ็ ะดำเนนิ ไปอยา่ งมคี ุณคา่ สงู การคิดจึงเปน็ เรอ่ื งสำคญั ของมนษุ ย์ การคดิ เปน็ สงิ่ จำเปน็ สำหรับการดำรงชีวติ ในสงั คมทีซ่ ับซ้อน สงั คมจะก้าวหนา้ ตอ่ ไปไดก้ ็เมอื่ บุคคลในสงั คมมคี วามคดิ รจู้ ักคิดป้องกนั หรอื คดิ แก้ปญั หาในชีวติ ประจำวัน และพัฒนาปรับปรงุ ภาวะ ตา่ งๆ ใหด้ ีขึ้น บคุ คลท่เี ก่ียวขอ้ งกับเด็ก จงึ ตอ้ งชว่ ยพฒั นาความสามารถ ในการคิดใหแ้ กเ่ ด็กอย่าง สมำ่ เสมอ เพือ่ ให้เปน็ คนทีม่ คี วามคดิ กวา้ งไกล สามารถดำรงชีวติ ในสงั คมได้อย่างราบรนื่ คนต้องคิด เปน็ คนทีไ่ มช่ อบคิด หรือคิดไม่เปน็ ยอ่ มตกเป็นเหยือ่ ของคนชา่ งคิด คนตอ้ งอาศยั ความคิดเป็นส่ิง นำไปสู่การดำเนินชีวติ การดำเนนิ งานที่มีประสิทธิภาพและสัมฤทธผ์ิ ล การคิดเปน็ กระบวนการทางจติ ใจมคี วามสำคัญต่อการเรียนรู้ แมว้ า่ ทกุ คนจะมีความคดิ แต่ก็ มองไมเ่ หน็ ไดโ้ ดยตรงต้องอาศัยการสังเกตพฤตกิ รรมการแสดงออกและการกระทำ
การบรหิ ารจัดการในหอ้ งเรยี น ๔๙ คำถามทา้ ยบท ๑.พุทธพจน์ทว่ี า่ “จิตเตนะ นียะติ โลโก โลกอนั จิตย่อมนำไป” มีความหมายวา่ อยา่ งไร อธบิ ายฯ ๒.การคดิ อย่างเป็นระบบ คือ คิดอย่างไร อธิบายและยกตัวอย่างประกอบ พอเข้าใจฯ ๓.ทฤษฎรี ะบบ (System theory) มคี วามหมายวา่ อยา่ งไร ประกอบด้วยส่วนสำคัญเทา่ ไร อะไรบ้าง ฯ ๔.การคดิ วิเคราะห์ มหี ลายวธิ ีการ แต่ Vertical Thinking คือ ความคิดในแนวตรง หมายความอย่างไร อธิบายและยกตวั ประกอบ พอเข้าใจ ฯ ๕.คนทกุ คน ตา่ งกม็ คี วามคดิ และเทคนคิ การคิดทแ่ี ตกต่างกนั ออกไป อยากทราบวา่ เทคนคิ แผนภมู ิก้างปลา (Fish Bone Diagram) นน้ั มีความสำคญั อย่างไร อธบิ ายและยกตัว ประกอบ พอเข้าใจ ฯ
การบริหารจัดการในหอ้ งเรยี น ๕๐ เอกสารอ้างองิ ประจำบท การพัฒนาความคดิ อย่างเปน็ ระบบ. (ออนไลน์) เข้าถงึ ได้จาก: http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=pasawutt&month=๐๘-๐๙- ๒๐๐๘&group=๖&gblog=๔. (วนั ทส่ี บื คน้ ขอ้ มลู : ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๔). เทคนิคการจำอย่างเปน็ ระบบฯ. (ออนไลน)์ เขา้ ถึงไดจ้ าก: http://www.oknation.net/blog/print.php?id=๓๖๕๕๓๖. (วนั ทส่ี บื ค้นขอ้ มลู : ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๔). รูปแบบการคิด ๑๐ ประการ. (ออนไลน์) เข้าถงึ ได้จาก: http://gotoknow.org/blog/krutip/๒๐๘๓๒๕ (วันที่สืบคน้ ข้อมลู : ๑๔ มนี าคม ๒๕๕๔). การคดิ อย่างเป็นระบบ. (ออนไลน)์ เขา้ ถึงได้จาก: http://ruchareka.wordpress.com/A-system-thinking/. (วนั ท่สี ืบคน้ ขอ้ มลู : ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๔). วีรวุธ มาฆะศริ านนทแ์ ละณัฐพงศ์ เกศมารษิ . (ออนไลน์) เข้าถงึ ได้จาก: http://edujin.multiply.com/journal/item/๔๓. (วนั ท่สี ืบค้นขอ้ มลู : ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๔). ชัยวฒั น์ ถิระพันธ.์ (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก: http://edujin.multiply.com/journal/item/๔๓. (วันทส่ี บื ค้นข้อมลู : ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๔). เฉลยี ว บุรภี ักด.ี (ออนไลน)์ เขา้ ถงึ ไดจ้ าก:.http://edujin.multiply.com/journal/item/๔๓. (วนั ที่สืบค้นขอ้ มูล : ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๔). ราชบณั ฑิตยสถาน. (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก:.http://edujin.multiply.com/journal/item/๔๓. (วันที่สืบค้นขอ้ มูล : ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๔). ความคดิ . (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก: http://th.wikipedia.org/wiki. (วันที่สบื คน้ ข้อมลู : ๑ มีนาคม ๒๕๕๔). มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั . มหาจุฬาเตปิฎก ๒๕๐๐. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพม์ หา จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๐๐.
การบริหารจัดการในห้องเรยี น ๕๑ บทท่ี ๔ การเรยี นร้วู ฒั นธรรมองค์กร วตั ถปุ ระสงคป์ ระจำบทเรยี น เม่อื ศกึ ษาบทที่๔ จบแลว้ นิสติ สามารถ o ๑.อธบิ ายความหมายและความสำคัญวฒั นธรรมองค์การได้ o ๒.อธบิ ายแนวคิดวฒั นธรรมองคก์ ารองคก์ ารได้ o ๓.อธบิ ายวัฒนธรรมองคก์ รแห่งการเรียนรู้ได้ o ๔.อธบิ ายกรอบความคดิ วัฒนธรรมองคก์ ารได้ o ๕.อธิบายการรวมวัฒนธรรมองค์การได้ o ๖.อธิบายผลการเปลย่ี นแปลงวฒั นธรรมองค์การได้ ขอบขา่ ยเน้อื หา ๑.ความหมายและความสำคญั วฒั นธรรมองค์การ ๒.แนวคดิ วัฒนธรรมองค์การองค์การ ๓.วัฒนธรรมองค์กรแห่งการเรียนรู้ ๔.กรอบความคดิ วัฒนธรรมองค์การ ๕.การรวมวัฒนธรรมองคก์ าร ๖.ผลการเปลี่ยนแปลงวฒั นธรรมองค์การ
การบริหารจัดการในห้องเรยี น ๕๒ ๔.๑ ความนำ วฒั นธรรม โดยท่วั ไปหมายถงึ รูปแบบของกจิ กรรมมนษุ ยแ์ ละโครงสรา้ งเชงิ สัญลกั ษณ์ท่ีทำให้ กิจกรรมนน้ั เด่นชดั และมคี วามสำคัญ วิถีการดำเนินชีวิต ซ่งึ เป็นพฤติกรรมและสิง่ ท่คี นในหมผู่ ลติ สรา้ ง ขึน้ ดว้ ยการเรียนรูจ้ ากกันและกนั และรว่ มใช้อยู่ในหมู่พวกของตน วัฒนธรรมส่วนหนง่ึ สามารถแสดงออกผ่าน ดนตรี วรรณกรรม จติ รกรรม ประตมิ ากรรม การ ละครและภาพยนตร์ แมบ้ างครั้งอาจมีผกู้ ลา่ ววา่ วัฒนธรรมคือเรอ่ื งที่วา่ ดว้ ยการบริโภค และสินคา้ บริโภค เช่น วัฒนธรรมระดบั สูง วฒั นธรรมระดบั ตำ่ วฒั นธรรมพืน้ บ้าน หรอื วัฒนธรรมนิยม เปน็ ตน้ แต่นักมานุษยวิทยาโดย ทั่วไปมกั กล่าวถึงวัฒนธรรมว่า มไิ ด้เปน็ เพยี งสินค้าบริโภค แต่หมายรวมถงึ กระบวนการในการผลติ สินค้าและการให้ความหมายแก่สนิ คา้ น้ัน ๆ ด้วย ทั้งยงั รวมไปถงึ ความสมั พนั ธ์ ทางสังคมและแนวการปฏบิ ัตทิ ที่ ำใหว้ ัตถแุ ละกระบวนการผลติ หลอมรวมอย่ดู ้วยกัน ในสายตาของนกั มานษุ ยวิทยาจึงรวมไปถงึ เทคโนโลยี ศิลปะ วิทยาศาสตร์รวมท้งั ระบบศีลธรรม วัฒนธรรมในภูมิภาคตา่ ง ๆ อาจได้รับอิทธพิ ลจากการตดิ ตอ่ กับภมู ภิ าคอนื่ เช่น การเปน็ อาณา นคิ ม การค้าขาย การย้ายถน่ิ ฐาน การสื่อสารมวลชนและศาสนา อีกทง้ั ระบบความเชอื่ ไมว่ ่าจะเป็น เรอื่ งศาสนามีบทบาทในวัฒนธรรมในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติมาโดยตลอด๓๗ ๔.๒ ความหมาย นกั วิชาการวัฒนธรรมหลายท่านไดใ้ หค้ ำจำกดั ความ คำว่า \"วฒั นธรรม\" ไวด้ งั น้ี ๑.วัฒนธรรม มีความหมายครอบคลุมถึงทกุ สิ่งทุกอย่างอันเปน็ แบบแผนในความคดิ และการ กระทำทแ่ี สดงออกถึงวถิ ชี วี ติ ของมนุษยใ์ นสังคมของกลุ่มใดกลมุ่ หนึง่ หรอื สงั คมใดสังคมหน่งึ มนษุ ย์ได้ คดิ สรา้ งระเบยี บกฎเกณฑ์วธิ ีการในการปฏบิ ัติ การจดั ระเบียบตลอดจนความเชอื่ ความนิยม ความรู้ และเทคโนโลยตี ่าง ๆ ในการควบคุม และใชป้ ระโยชนจ์ ากธรรมชาติ (สุพัตรา สุภาพ, ๒๕๒๘) ๒.Taylor กลา่ วว่า วฒั นธรรมเป็นส่วนท้ังหมดท่ีซบั ซอ้ น ประกอบด้วยความรู้ ความเชอื่ ศลิ ปะ ศลี ธรรม กฎหมาย ประเพณี และความสามารถอ่นื ๆ ทีม่ นุษยไ์ ด้มาในฐานะเป็นสมาชิกของ สังคม ๓.Broom และ Zelznick อธิบายว่า วัฒนธรรมเป็นมรดกทางสังคมทป่ี ระกอบดว้ ยความรู้ ความเชือ่ ประเพณี และความชำนชิ ำนาญที่คนเราได้มาในฐานะทเ่ี ป็นสมาชกิ ของสงั คม ๔.Bierstedt, Meehan และ Samuelson กล่าววา่ วฒั นธรรมคือ ส่วนทัง้ หมดอันซับซ้อน ประกอบดว้ ยทุกสง่ิ ทกุ อย่างที่เขาคดิ และทำในฐานะเป็นสมาชกิ ของสงั คม ๓๗ http://th.wikipedia.org/wiki/วัฒนธรรม.
การบรหิ ารจัดการในหอ้ งเรยี น ๕๓ ๕.คำว่า วฒั นธรรม เป็นคำทม่ี าจากภาษาบาลีและสันสกฤต แปลวา่ ธรรม เป็นต้นเหตุให้เจรญิ หรอื ธรรมคอื ความเจริญมใี ช้เป็นหลกั ฐานทางราชการ ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๓ เรียกว่า พระราช บญั ญตั ิบำรุงวัฒนธรรมแหง่ ชาติ พุทธศกั ราช ๒๕๔๓ กับฉบบั ท่ี ๒ เมื่อ พทุ ธศักราช ๒๔๘๕ (สุชีพ ปญุ ญานุภาพ, ๒๕๐๐) ๖.คำว่า วัฒนธรรม ตามทีก่ ล่าวมาเป็นคำสมาสระหว่างภาษาบาลีกบั สนั สกฤต เพราะคำว่า วัฒน มาจาก คำบาลีวา่ วฑฒฺ น ซึ่งแปลว่า เจริญ งอกงาม สว่ นคำว่า ธรรม มาจากภาษาสันสฤตวา่ ธรฺม (ใช้ในรูปภาษาไทย-ธรรม) เขียนตาม รูปบาลี ลว้ น ๆ คือ วฑฒฺ นธมฺม หมายถึง ความดี ซ่งึ หากแปลตามรากศัพท์คอื สภาพ อันเป็นความเจริญงอก งาม หรือลักษณะทแ่ี สดงความเจรญิ งอกงามนอกจากนี้ คำว่า วฒั นธรรมตรง กับภาษาอังกฤษว่า culture และคำวา่ culture น้มี ที ่ีมาจากภาษาฝร่ังเศส โดยฝร่ังเศสเองเอามาจากภาษาละติน คือ cultura อีกต่อหนึ่ง ๗.ในหนังสือ Encyclopedia of Social Science หนา้ ๖๒๑ได้อธิบายคำว่า วัฒนธรรม (Culture) ว่า เป็นคำที่ใช้ในวิชามานษุ ยวทิ ยาสมยั ใหม่ (Modern Anthropology) และในทางด้าน สงั คมศาสตร์ (Social Sciences) หมายถึง มรดกของสังคม (Social Heritage) เปน็ ลักษณะเฉพาะใน การดำรงชีวิตของกล่มุ คนท่มี าอย่รู ่วมกันและไดม้ กี ารเปล่ยี นแปลงใหเ้ จรญิ ตามยคุ สมยั (อ้างใน สุพัตรา สุภาพ, ๒๕๒๘) ๘. สว่ นความหมายของวัฒนธรรมในภาษาไทยนั้น ตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแหง่ ชาติ พุทธศักราช ๒๔๘๕ ได้ให้ความหมายไว้ดังต่อไปนี้ วัฒนธรรม หมายถงึ ลักษณะทแี่ สดงความเจรญิ งอกงาม ความเปน็ ระเบยี บ ความกลมเกลยี ว ก้าวหน้าของชาตแิ ละศลี ธรรมอันดงี ามของประชาชน (เปน็ การชี้ชวน เชญิ ชวน วิงวอนใหป้ ระชาชน รว่ มกัน ทำให้เกิดความเจรญิ งอกงาม ใหม้ คี วามดีงามข้นึ ไม่ใช่เพียงแตร่ บั มรดกกนั มา แต่จะตอ้ งรักษา ของเดมิ ที่ดี แก้ไขดดั แปลงของเดิมทคี่ วรแก้ หรือดัดแปลงวางมาตรฐานความดีความงามข้นึ ใหม่ แลว้ ส่งเสริมใหเ้ ปน็ ลกั ษณะทีด่ ปี ระจำชาตสิ ืบต่อไปจนถงึ อนุชนรุ่นหลัง ๙.คำว่า วฒั นธรรม ถอดศัพท์มาจาก \"culture\" ของภาษาองั กฤษ ซ่งึ มี รากศัพท์มาจาก \"cultura\" ในภาษาละตนิ มีความหมายว่า การเพาะปลกู หรอื การปลกู ฝัง อธิบายไดว้ า่ มนษุ ย์เป็นผู้ ปลกู ฝงั อบรมบ่มนสิ ัยให้เกดิ ความเจริญงอกงาม\"วฒั นธรรม\" เป็นคำสมาส คือการรวมคำสองคำเขา้ ไว้ ดว้ ยกนั ได้แก่ \"วัฒนะ\" ซง่ึ มคี วามหมายท่วั ไปว่า เจริญงอกงาม รงุ่ เรือง \"ธรรม\" ซ่ึงในท่ีน้หี มายถงึ กฎ ระเบียบหรือข้อปฏบิ ตั ิ เพราะฉะนน้ั เม่อื พูดถึงคำว่า \"วฒั นธรรม\" ในความหมายทวั่ ไป หมายถงึ ความ เป็นระเบยี บ ความมีวินัย เช่นเมอ่ื พูดถงึ บุคคลหนงึ่ วา่ \"เป็นคนมีวฒั นธรรม\" กม็ ักหมายความว่าเป็นคน มรี ะเบียบวินัย เป็นตน้ \"วัฒนธรรม\" เป็นศัพทท์ างวิชาการ (Technical Vocabulary) ซง่ึ ในทรรศนะ ของสังคมวิทยา หมายถึง วถิ ีการดำเนินชวี ติ กระสวนแห่งพฤติกรรม และบรรดาผลงานทั้งมวลที่ มนษุ ยไ์ ด้สร้างสรรคข์ ้นึ ตลอดจนความคดิ ความเชื่อ และความรู้ เป็นตน้ ๑๐.พระยาอนุมานราชธนได้ อธบิ ายคำวา่ วัฒนธรรม คอื สิ่งที่มนุษย์เปล่ียนแปลงปรับปรุง หรอื ผลติ ขึ้น เพื่อความเจริญงอกงามในวถิ ีชีวิตมนุษย์ในสว่ นรวมทถ่ี า่ ยทอดกนั ได้เลียนแบบกันได้ เอา อย่างกันได้
การบริหารจัดการในหอ้ งเรียน ๕๔ ๑๑.วฒั นธรรม คือ ส่งิ อันเปน็ ผลผลติ ของสว่ นรวมที่มนุษย์ได้เรียนรมู้ าจากคนแตก่ อ่ นสบื ต่อ เป็นประเพณี กนั มา วัฒนธรรม คือ การคดิ เห็น ความรู้สกึ ความประพฤติและกิรยิ าอาการ หรอื การกระทำใด ๆ ของมนุษย์ ในสว่ นรวม ลงรูปเป็นพิมพ์เดยี วกันและสำแดงออกมาให้ปรากฏเป็นภาษา ศิลปะ ความ เชอื่ ถือ ระเบียบ ประเพณี เป็นตน้ วัฒนธรรม คือ มรดกแห่งสังคมซงึ่ สังคมรับและรกั ษาไวใ้ ห้เจรญิ งอกงาม (อานนท์ อาภาภิรม, ๒๕๒๕) ๑๒.วัฒนธรรม ในความหมายทางสังคมวทิ ยา คือ วิถีการดำเนนิ ชีวติ และกระสวนแห่งพฤติ กรรมและบรรดาผลงานท้ังมวลทม่ี นุษย์ได้สร้างสรรค์ขึ้นตลอดจน ความคดิ ความเช่อื ความรู้เป็นต้น วฒั นธรรมตามความหมายของพระราชบญั ญัตแิ ห่งชาติ พุทธศักราช ๒๔๘๕ หมายถงึ ลกั ษณะ ทแ่ี สดงถึงความเจรญิ งอกงาม ความเป็นระเบียบเรยี บรอ้ ย ความกลมเกลยี วก้าวหน้าของชาติ และ ศลี ธรรมอันดีของประชาชน ๑๓.วฒั นธรรม หมายถึง ความเจรญิ งอกงาม ซึ่งเป็นผลจากระบบความสัมพันธร์ ะหวา่ งมนษุ ย์ กับมนษุ ย์ มนุษย์กับสงั คม และมนษุ ย์กบั ธรรมชาติ จำแนกออกเปน็ ๓ ดา้ น คือ จิตใจ สงั คม และวัตถุ มีการสงั่ สมและ สบื ทอดจากคนร่นุ หนงึ่ ไปสูค่ นอีกรนุ่ หน่งึ จากสังคมหนึง่ ไปสู่อีกสังคมหนงึ่ จนกลาย เปน็ แบบแผนท่ีสามารถ เรยี นรู้และก่อใหเ้ กิดผลิตกรรมและผลิตผล ทงั้ ทีเ่ ป็นรูปธรรมและนามธรรม อนั ควรค่าแก่การวิจัย อนุรกั ษ์ ฟ้นื ฟู ถา่ ยทอด เสริมสร้างเอตทคั คะ และแลกเปลยี่ น เพอ่ื สรา้ งดุลย ภาพแห่งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมนุษย์ สังคม และธรรมชาติ ซ่งึ จะช่วยให้มนุษย์สามารถดำรงชีวติ อยา่ ง มีสุข สันตสิ ขุ และอิสรภาพ อันเป็นพน้ื ฐานแห่งอารยธรรมของมนษุ ยชาติ (สำนักงานคณะกรรมการ วฒั นธรรมแหง่ ชาต,ิ ๒๕๓๕) ๑๔.วัฒนธรรม คือ วถิ ชี ีวิตของคนในสังคม เปน็ แบบแผนประพฤตปิ ฏิบัติและการแสดงออกซงึ่ ความรสู้ กึ นึกคดิ ในสถานการณต์ ่าง ๆ ท่สี มาชกิ ในสังคมเดียวกนั สามารถเข้าใจ ซาบซึ้ง ยอมรับและใช้ ปฏิบัติร่วมกนั อันจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสงั คมน้ัน ๆ (สำนักงานคณะกรรมการ วฒั นธรรมแห่งชาต,ิ ๒๕๓๕) ๑๕.วัฒนธรรม หมายถึง สิ่งที่ทำให้เจรญิ งอกงามแก่หมู่คณะ วิถชี ีวติ ของหมู่คณะ ในพระราช บัญญตั ิวฒั นธรรม พุทธศักราช ๒๔๘๕ หมายถงึ ลกั ษณะทีแ่ สดงถงึ ความเจรญิ งอกงาม ความเป็น ระเบียบเรียบร้อย ความกลมเกลียวก้าวหนา้ ของชาติ และศีลธรรมอันดีของประชาชน ทางวทิ ยาการ หมายถึง พฤติกรรมและสง่ิ ท่คี นในหมู่ผลิต สรา้ งขน้ึ ดว้ ยกัน เรียนรู้จากกนั และกัน และร่วมใชอ้ ยูใ่ นหมู่ พวกของตน (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๒๕) ๑๖.วัฒนธรรม ตามความหมายท่พี ระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ให้ไว้ในการ ปฐกถาพิเศษ เน่ืองในงานฉลอง ๑๐๐ ปี พระยาอนุมานราชธน เมื่อวนั ท่ี ๑๔ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ คอื วัฒนธรรม เป็นผล รวมของ การสง่ั สมสร้างสรรค์ภมู ิธรรมภูมปิ ัญญาทีถ่ ่ายทอดสืบต่อกนั มาของสงั คมน้ัน ๆ หรือ กลา่ วสน้ั ๆ ได้วา่ วัฒนธรรมคือ ประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ ท่ีสังคมนั้นมอี ยหู่ รือเน้ือตัว ทั้งหมดของสงั คมนัน่ เอง (สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแหง่ ชาติ, ๒๕๓๒) ๑๗.วฒั นธรรมเป็นผลงานดา้ นต่าง ๆ ทม่ี นษุ ย์สร้างสรรคข์ ึน้ โดยผ่านการคดั เลือกปรับปรุงและ ยึดถอื สืบทอด กนั มาจนถงึ ปจั จุบัน วฒั นธรรมเป็นทั้งลกั ษณะนิสยั ของคนหรอื กลมุ่ คนในชาติ ลทั ธิ
การบริหารจดั การในห้องเรยี น ๕๕ ความเช่อื ภาษา ขนบธรรมเนียม อาหารการกิน เครอ่ื งใช้ไมส้ อย ศลิ ปะต่าง ๆ และการประพฤติ ปฏิบัติในสงั คมวัฒนธรรมเป็นมรดกสงั คมทคี่ นในชาตริ บั ไว้ และจะตอ้ งวิวัฒนาการตอ่ ไปในอนาคต วัฒน ธรรมไทยเปน็ เอกลักษณข์ องความเป็นชาติไทย เปน็ รากฐานของความเปน็ อนั หนง่ึ อันเดยี วกัน และของการสร้างสรรค์ความมัน่ คงของชาตวิ ฒั นธรรมแสดงศกั ด์ิศรี เกยี รติภมู ิ และความภมู ใิ จร่วมกนั ของคนไทย (คณะอนกุ รรมการเฉพาะกิจ จดั ทำหนังสือเก่ยี วกบั ประเทศไทยสำหรบั เยาวชน ใน คณะกรรมการเอกลกั ษณ์ของชาติ, ๒๕๒๕) ๑๘.วัฒนธรรม เปน็ คำท่เี กดิ ข้นึ ในภาษาไทย ในสมัยทร่ี ฐั บาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้มองเห็นความสำคัญของเรอ่ื งน้ี คำเดมิ ภาษาอังกฤษ คือ \"Culture\" ในตอนแรก \"พระมหาหรุ่น\" แห่งวัดมหาธาตุไดแ้ ปลคำน้ีวา่ \"ภมู ธิ รรม\" แตก่ รมหมื่นนราธิปพงศป์ ระพันธ์ ทรง เลง็ เหน็ ว่า คำว่า \"ภูมิธรรม\" มีความหมายค่อนข้างคงที่ พระองค์ทา่ นทรงมีความประสงคใ์ หค้ ำนี้มี ความหมายในลกั ษณะเคลื่อนไหว เปลยี่ นแปลงและพัฒนาอยา่ งตอ่ เนื่อง จึงทรงแปลใหม่เปน็ \"วฒั นธรรม\" และมกี ารนำมาใช้สบื ต่อมาตลอดสมัยที่ประเทศไทยมกี ระทรวงวัฒนธรรมและคงใชอ้ ยู่ใน ปัจจบุ ัน (วีระ บำรุงรักษ์, ระบบการจัดวัฒนธรรมและคุณภาพมาตรฐาน, มปป.) ๑๙. วัฒนธรรม คือ ส่วนประกอบที่สลับซบั ซ้อนท้ังหมดของลักษณะอันชดั เจนของจติ วิญญาณ วตั ถุ สตปิ ัญญาและอารมณ์ ซ่งึ ประกอบกนั ข้นึ เปน็ สังคมหรือหมู่คณะ วฒั นธรรมมไิ ดห้ มายถึงเฉพาะ เพยี งศลิ ปะและวรรรกรรมเท่าน้ัน แตห่ มายถงึ ฐานนิยมต่าง ๆ ของชีวติ สทิ ธิพื้นฐานต่าง ๆ ของมนษุ ย์ ระบบคา่ นยิ ม ขนบธรรมเนียมประเพณแี ละความเช่ือ (วีระ บำรุงรักษ์, ๒๕๒๕) ๒๐.วัฒนธรรม หมายถึง ความดี ความงามและความเจริญในชีวติ มนุษย์ ซึง่ ปรากฏในรปู ธรรม ต่าง ๆ และไดต้ กทอดมาถงึ เราในปัจจุบัน หรือวา่ ทเ่ี ราไดป้ รบั ปรงุ และสร้างสรรคข์ ึน้ ในสมัยของเราเอง (สาโรช บวั ศรี, ๒๕๓๑) ๒๑.คำว่า Culture หมายถงึ แบบอยา่ งการดำรงชวี ิตของกล่มุ ซง่ึ สมาชกิ เรียนรู้ ถ่ายทอดกัน ไปดว้ ยการสั่งสอนอบรมท้งั ทางตรงและทางอ้อม หรือหมายความง่าย ๆ ว่าแบบแผนชีวิตความเปน็ อยู่ ของชนกลุม่ หนึง่ ในขณะใดขณะหนึง่ เทา่ นนั้ (พัทยา สายหู, ม.ป.ป.) ๒๒.วฒั นธรรม หมายถึง วถิ ีชวี ิตการปฏบิ ัติและสิ่งของทีเ่ ปน็ ผลมาจากการสะสมถ่ายทอดจาก กลุ่มบุคคลกลมุ่ หนงึ่ ไปสู่รุ่นถัด ๆ ไป เพื่อแสดงความเปน็ เอกลกั ษณ์ หรอื เคร่ืองบง่ ชี้ความเป็นกลุ่มชน ของกลมุ่ บคุ คลนัน้ ๆ (โกวิท ประวาลพฤกษ์, ม.ป.ป.) ๒๓.วฒั นธรรม หมายถึง การรวมของพฤตกิ รรมแหง่ วถิ ีชวี ิตของกลุ่มมนษุ ย์ ซงึ่ เกิดจากการ เรยี นร้แู ละได้ถา่ ยทอดจากคนรุน่ หนึง่ ไปยงั คนร่นุ หลงั ตอ่ ๆไป ท้ังนีโ้ ดยอาศัยสญั ลักษณ์และการเรยี น เปน็ สอื่ (ระดม เศรษฐธี ร, ม.ป.ป.) ๒๔.วฒั นธรรม หมายความวา่ ลกั ษณะทแ่ี สดงถงึ ความเจริญงอกงามความเป็นระเบียบ เรียบรอ้ ย ความกลมเกลียวกา้ วหน้าของชาตแิ ละศีลธรรมอนั ดงี ามของประเทศ (พระราชบญั ญตั ิ วัฒนธรรมแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๔๘๕) ๒๕.วฒั นธรรม เป็นคำที่มาจากภาษาสันสกฤต แปลวา่ ธรรมเป็นเหตใุ ห้เจริญหรอื ธรรมคอื ความเจริญ (พระราชบัญญัตวิ ฒั นธรรมแหง่ ชาติ พุทธศกั ราช ๒๔๘๕)
การบริหารจัดการในห้องเรยี น ๕๖ ๒๖.วัฒนธรรม คอื วถิ ชี วี ิตซึ่งมนษุ ย์ทำใหเ้ จริญขนึ้ เพ่ือสนองความต้องการอนั เป็นมูลฐานทมี่ ี ตอ่ ความดำรงอยู่รอด ความถาวรแห่งเช้ือสายและการจดั ระเบียบแหง่ ประสบการณ์ ๒๗.วัฒนธรรม คือ (๑) การใหเ้ จริญขน้ึ โดยการศึกษาวจิ ยั ฝกึ หัด เปน็ ต้น (๒) การเขา้ ใจแจม่ แจง้ และการทำใหป้ ระณตี ข้นึ ซึง่ รสนยิ มอนั ไดม้ าจากการฝึกหัดทาง สตปิ ญั ญา และทางสุนทรียภาพ (๓) ขน้ั ที่กำหนดความหมายแหง่ ความเจรญิ ก้าวหน้าในอารยธรรมหรอื รปู ลกั ษณะ เช่นนั้น เช่น วฒั นธรรมกรีก วฒั นธรรมเยอรมัน เปน็ ตน้ ๒๘. วัฒนธรรม คือ ส่ิงที่ทำให้กาย ใจของเราในส่วนรวมคอื ประเทศชาติมคี วาม งอกงามอยู่ดี กนิ ดี หรอื กล่าวยอ่ ๆ ตามรูปคำ ไดแ้ ก่ ธรรมอนั เปน็ ความเจริญ วัฒนธรรมหรือวิถีชีวิต หรือทางดำเนนิ แห่ง ชวี ิตของสังคมหมู่หน่งึ หรือประเทศหน่ึง โดยมุ่งเฉพาะ (นอ.สมภพ ภริ มย์ รน.,ม.ป.ป.) ๒๙. วฒั นธรรม ได้แก่ ส่งิ อันเป็นวิถชี ีวิตของสังคมโดยส่วนรวมจะคดิ เห็นอยา่ งไร รูส้ ึกอยา่ งไร มคี วาม เชื่อถอื อย่างไร ก็แสดงออกไดป้ รากฏเป็นรูปภาษา ประเพณี กิจการงาน การเลน่ การศาสนา เปน็ ตน้ ตลอดจนเปน็ สิ่งต่าง ๆ ทีค่ นในส่วนรวมสร้างข้ึน สิ่งอันจำเปน็ แหง่ วถิ ีชวี ติ ของการครองชีพ มี เร่อื งปัจจยั ส่ี เครือ่ งมือเคร่ืองใชเ้ หล่าน้ี เปน็ ต้น ๓๐.วัฒนธรรม หมายถงึ วิถกี ารดำเนนิ ชวี ิต (Way of life) หรอื รปู แบบแหง่ พฤติกรรม (Behavior patterns) และบรรยายผลงานทง้ั มวลท่ีมนุษย์ไดส้ ร้างสรรค์ข้นึ ได้แก่ ศาสนา ปรชั ญา ภาษา กฎหมาย การปกครอง ศิลปวทิ ยาการ เคร่ืองใช้ตา่ งๆ ฯลฯ ซงึ่ มกี ารส่งตอ่ และสบื ทอดตดิ ต่อกัน มา (เสาวณีย์ จติ ต์หมวด, ม.ป.ป.) ๓๑.วัฒนธรรม คือ ส่ิงทมี่ นษุ ย์เปลี่ยนแปลงปรับปรุงหรือผลิตขน้ึ สร้างขึน้ เพ่อื ความเจรญิ งอก งามในวิถีของสว่ นรวม ถ่ายทอดกันไว้ เอาอย่างกนั ไว้ รวมท้ังผลติ ผลของส่วนรวมท่มี นุษย์ได้เรยี นรมู้ า จากคนแตก่ ่อนสืบต่อเปน็ ประเพณีกนั มา ตลอดจนความรู้สกึ ความคิดเหน็ และกิริยาอาการ หรือการ กระทำใดๆของมนษุ ยใ์ นส่วนรวมลงรูปเป็นพิมพ์เดียวกนั และสำแดงออกมาไดป้ รากฏ เป็นภาษาศลิ ปะ ความเชอ่ื ระเบียบประเพณี เปน็ ตน้ (พระยาอนุมานราชธน, ม.ป.ป.) ๓๒.วัฒนธรรม คือ เครื่องแสดงความเจริญและเอกลักษณข์ องชาติ ประชาชนในชาติท่ีเจริญ แล้วทงั้ หลาย จงึ มีความภาคภมู ใิ จชว่ ยปกป้องรกั ษาวัฒนธรรมของชาตติ น เพือ่ ใหเ้ อกลกั ษณข์ องชาติ ดำรงอยู่ (สมาน แสงมะลิ, ม.ป.ป.) ๓๓. วฒั นธรรม คอื วถิ ีชวี ิตโดยส่วนรวมของประชาชนกลมุ่ หนึ่ง (A TOTAL WAY OF A PEOPLE) (สนทิ สมัครการ, ม.ป.ป.) ๓๔.วฒั นธรรม คือ วถิ ดี ำเนินชีวิตทกุ ด้านของคนทั้งมวลในสงั คม ซงึ่ หมายถงึ วิธีการกระทำสง่ิ ต่างๆ ทุกอยา่ ง ทง้ั หมดทั้งสิ้น นับตงั้ แต่วิธีกนิ วิธอี ยู่ วิธีแต่งกาย วิธที ำงาน วิธีพกั ผ่อน วิธีแสดง อารมณ์ วิธสี ่ือความ วิธี จราจร และขนส่ง วิธอี ยู่ร่วมกันเป็นหมคู่ ณะ ตลอดจนวิธแี สดงทางความสขุ ทางใจและหลกั เกณฑ์การดำเนนิ ชวี ติ ท้งั เครอ่ื งใช้ หรอื วัตถสุ ิง่ ของตา่ งๆ ท่นี ำมาใช้เพ่อื การเหลา่ นัน้ ก็ ถอื เป็นสว่ นหนงึ่ ของวฒั นธรรมไม่วา่ สิง่ ของ เหล่านั้นจะเปน็ สิ่งของท่ีนำมาจากธรรมชาติหรือคดิ คน้ ประดษิ ฐ์ขึน้ มาใหม่กต็ าม (เฉลยี ว บุรภี ักดี, ม.ป.ป.)
การบริหารจดั การในหอ้ งเรียน ๕๗ ๓๕.วัฒนธรรม คือ แนวทางแห่งการแสดงออกวิถีชีวติ ทงั้ ปวงซึ่งอาจเริ่มจากเอกชนหรือคณะ บุคคลคิดขน้ึ หรือกระทำขน้ึ เป็นตน้ แบบ แลว้ ตอ่ มาคณะสว่ นใหญ่ของกลุม่ ชนยอมรบั มา สบื ทอด จนกระทั่งส่งิ น้นั ๆ ส่งผล ใหเ้ กดิ เปน็ นสิ ัยในการคดิ การเช่ือถือ และการกระทำของคนส่วนใหญ่แหง่ กลมุ่ ชนน้ันๆ (สุทธวิ งศ์ พงษ์ไพบลู ย์, ม.ป.ป.) ๓๖.วัฒนธรรม คือ ส่งิ ทั้งหมดทม่ี ลี ักษณะซับซ้อน ซงี่ ได้รวมเอาความรู้ ความเชอื่ จริยธรรม กฎหมาย สมรรถภาพ และนิสัยท่ีบคุ คลได้ไว้ฐานะทเ่ี ป็นสมาชิกคนหนึ่งของสังคม(Akcuff, Allen and Taylor, ๑๙๗๓) ๓๗.วฒั นธรรม หมายถึง พฤติกรรมท้ังมวลของมนษุ ยอ์ ันเกิดจากการเรยี นรู้ และพฤติกรรมน้ัน ถูกกำหนด จากประเพณี (Herkovits, ๑๙๕๒) ๓๘.วัฒนธรรม หมายถงึ รูปแบบของพฤตกิ รรมอนั เกิดจากการเรียนรู้ (Linton, ๑๙๔๕) ๓๙.วฒั นธรรม หมายถึง วิถีชีวติ ของบคุ คลกลุ่มหนงึ่ เป็นลักษณะรวมของพฤตกิ รรม พฤติกรรม เหล่าน้ันเกิดจาก การเรยี นรู้ และมกี ารถ่ายทอดจากคนรนุ่ หนึง่ ไปยงั อกี รุน่ หนง่ึ (Barnouw, ๑๙๖๔) ๔๐.วัฒนธรรม หมายถงึ วิถชี ีวิตทคี่ นในสงั คมดำเนินตาม (Valentine, ๑๙๖๘) ๔๑.ความหมายของ\"วฒั นธรรม\" ตามแนวทางในการรักษาสง่ เสรมิ และพัฒนาวัฒนธรรม พ.ศ. ๒๕๒๙ หมายถงึ วถิ ีชีวิตมนุษย์ แบ่งเป็น ๑.วัฒนธรรมเปน็ วิถีการดำเนนิ ชีวติ ของสังคม เปน็ แบบแผนการประพฤตปิ ฏิบตั ิและ การแสดงออกซงึ่ ความรสู้ ึก นกึ คดิ ในสถานการณต์ ่างๆ ทสี่ มาชิกในสังคมเดยี วกันสามารถแก้ไขและ ซาบซึง้ รว่ มกนั ดังนั้น วฒั นธรรมไทย คอื วถิ ชี ีวิตทค่ี นไทยได้ส่ังสม เลอื กสรร ปรับปรงุ แกไ้ ข จนถือว่า เป็นสงิ่ ดีงามเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและ ได้ใช้เป็นเครอ่ื งมือ หรอื เปน็ แนวทางในการปอ้ งกนั และ แกไ้ ขปัญหาในสังคม ๒.วัฒนธรรม คือ มรดกแหง่ สังคม ซึง่ สังคมปรับปรงุ และรกั ษาไว้ให้เจรญิ งอกงาม วัฒนธรรมเกิดขน้ึ จากการ ประพฤติปฏบิ ัตริ ่วมกัน เปน็ แนวเดียวกันอย่างตอ่ เนอ่ื งของสมาชิกในสังคม สืบทอดเปน็ มรดกทางสงั คมตอ่ กนั มาจากอดตี หรอื อาจเปน็ สิ่งประดษิ ฐ์คดิ คน้ สร้างสรรค์ข้นึ ใหม่ หรือ อาจรบั เอาส่งิ ทีเ่ ผยแพร่มาจากสังคมอ่ืนๆ ทั้งหมดนหี้ ากสมาชกิ ยอมรบั และยดึ ถอื เป็นแบบแผน ประพฤติปฏบิ ัติรว่ มกัน ก็ย่อมถือว่าเปน็ วฒั นธรรมของ สังคมนน้ั ๓.วัฒนธรรม คือ สิ่งท่ีมนุษยเ์ ปล่ยี นแปลง ปรบั ปรุง หรอื สร้างขน้ึ เพือ่ ความเจริญ งอกงาม ๔๒.วัฒนธรรม ย่อมเปลยี่ นแปลงไปตามเงื่อนไขและกาลเวลา เมือ่ มีการประดิษฐ์หรอื คน้ พบสง่ิ ใหม่ วิธีใหม่ ท่ใี ช้แกไ้ ขปญั หาและตอบสนองความต้องการของสงั คมได้ดีกว่า ยอ่ มทำให้สมาชกิ ของ สังคมเกดิ ความนิยม และในทส่ี ดุ อาจเลิกใช้วัฒนธรรมเดมิ การจะรักษาวัฒนธรรมเดิมไวไ้ ด้จึงตอ้ ง ปรับปรงุ เปลย่ี นแปลง หรือ พัฒนาวฒั นธรรมน้นั ให้เหมาะสม มปี ระสิทธิภาพตามยคุ สมัย ๔๓.วัฒนธรรมเป็นวถิ ีการดำเนินชีวิตของสงั คมเปน็ แบบแผนการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิและการแสดง ออกซึง่ ความรสู้ กึ นกึ คิดในสถานการณ์ตา่ ง ๆ ที่สมาชกิ ในสงั คมเดยี วกันสามารถเขา้ ใจและซาบซง้ึ
การบริหารจดั การในห้องเรียน ๕๘ ร่วมกนั ดงั นั้น วฒั นธรรมไทยคือ วถิ ชี ีวิตที่คนไทยไดส้ ่งั สม เลือกสรร ปรบั ปรุง แกไ้ ข จนถอื กนั ว่าเป็น สิ่งดีงามเหมาะสม กับสภาพแวดลอ้ ม และไดใ้ ช้เปน็ เคร่ืองมอื หรือเป็นแนวทางในการป้องกันและแก้ไข ปญั หาในสงั คม วัฒนธรรมเกิดข้ึนจากการประพฤตปิ ฏิบตั ิร่วมกนั เป็นแนวเดียวกนั อย่างต่อเนือ่ งของ สมาชิกในสังคม มีการสบื ทอดเป็นมรดกทางสังคมต่อกันมาจากอดีตหรอื อาจเป็นสง่ิ ประดษิ ฐ์ คิดคน้ สรา้ งสรรคข์ ึน้ ใหม่ หรอื อาจรับเอาสิ่งทเ่ี ผยแพรม่ าจากสงั คมอ่ืน ท้ังหมดนี้หากสมาชกิ ยอมรับ และ ยดึ ถอื เป็นแบบแผนประพฤติ ปฏิบตั ริ ่วมกนั ก็ย่อมถือว่าเป็นวฒั นธรรมของสงั คมนน้ั วฒั นธรรมยอ่ มเปลย่ี นแปลงไปตามเงอ่ื นไขและกาลเวลาเม่ือมกี ารประดษิ ฐ์หรือค้นพบ สงิ่ ใหม่ วธิ ีใหม่ ท่ีใช้แกป้ ัญหาและตอบสนองความตอ้ งการของสงั คมได้ดกี ว่า ยอ่ มทำให้สมาชกิ ของ สงั คมเกดิ ความนิยมและในท่สี ุดอาจเลิกใชว้ ัฒนธรรมเดมิ การจะรักษาวัฒนธรรมเดมิ ไว้จงึ ตอ้ งปรบั ปรุง เปลย่ี นแปลง หรือ พัฒนาวฒั นธรรมนั้นให้เหมาะสมมีประสทิ ธิภาพตามยุคสมัย วฒั นธรรมของแตล่ ะกลุ่มชนในสงั คมใหญ่ ย่อมมเี นอ้ื หา รูปแบบ บทบาท และหน้าท่ี แตกตา่ งกนั ไป หากวา่ ความแตกตา่ งนั้นไม่กอ่ ใหเ้ กดิ ผลเสยี หายตอ่ สงั คมโดยส่วนรวมแล้ว ก็สมควรให้ กลมุ่ ชนทั้งหลายมโี อกาส เรียนรู้วฒั นธรรมของกันและกนั สภาพความแตกตา่ งเช่นน้เี ป็นธรรมชาติ ของวฒั นธรรม วัฒนธรรม คือ ส่ิงที่มนษุ ย์เปล่ียนแปลงปรับปรุง หรือผลิตสร้างข้ึน เพ่ือความเจริญงอก งามในวิถีแห่งชวี ติ ของส่วนรวม วัฒนธรรม คือ วิถีแห่งชีวติ ของมนษุ ยใ์ นส่วนรวม ทีถ่ า่ ยทอดกนั ได้ เรยี นกันได้เอาอย่างกันได้ วฒั นธรรม คือ ความคดิ เหน็ ความรู้สึกความประพฤติและกิรยิ าอาการหรอื การกระทำ ใด ๆ ของมนุษยใ์ นส่วน รวมลงรปู เปน็ พิมพ์เดียวกัน และสำแดงออกมาให้ปรากฏเป็นภาษาศิลปะ ความเชื่อถือ ระเบียบประเพณี เป็นตน้ วัฒนธรรม คือ มรดกแห่งสงั คม ซง่ึ สังคมรับและรกั ษาไวใ้ ห้เจรญิ งอกงาม (สำนักงาน คณะกรรมการวัฒนธรรม แหง่ ชาติ, ๒๕๓๑) ๔๔.วฒั นธรรม หมายถึง ความดี ความงามและความจริงในชีวติ มนุษยซ์ งึ่ ปรากฏในรูปแบบ ต่าง ๆ และไดต้ กทอดมา ถงึ เราในสมัยปัจจุบนั หรือวา่ ท่เี ราได้ปรับปรงุ และสรา้ งสรรค์ขึ้นในสมยั ของ เราที่ว่าปรากฏในรูปแบบต่าง ๆนนั้ หมายถงึ ท่ปี รากฏในรูปแบบของศิลปกรรม มนุษยศาสตร์ การช่าง ฝมี อื การกีฬา และนนั ทนาการและคหกรรมศาสตร์ รวม ๕ ประการ แต่จะตี ความหมายให้กว้างขวาง ออกไปกวา่ นอี้ กี เชน่ รวม เอาทีป่ รากฏอยูใ่ นวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยเี ข้ามาไวด้ ว้ ย ก็คงจะทำได้ เพราะทง้ั สองอย่างน้ี มีความสำคญั อย่างมากในชีวิตมนษุ ย์ในสมยั ปัจจุบนั (สาโรช บัวศรี, ๒๕๓๑) ๔๕.วัฒนธรรม หมายถงึ ลักษณะท่แี สดงถงึ ความเจรญิ งอกงามความเปน็ ระเบยี บเรียบรอ้ ย ความกลมเกลยี วกา้ วหน้าของชาติ และศลี ธรรมอันดขี องประชาชนทางวิทยาการ หมายถงึ พฤตกิ รรม และส่งิ ท่คี นในหมผู่ ลิตสร้างขน้ึ ดว้ ยการเรยี นรู้จากกันและกนั และร่วมใชอ้ ย่ใู นหมพู่ วกของตนโดย
การบรหิ ารจัดการในห้องเรียน ๕๙ สรปุ วัฒนธรรม หมายถงึ วถิ กี ารดำเนินชวี ิต (The way of life) ของคนในสังคม นับต้งั แตว่ ธิ ี กนิ วธิ ีอยู่ วิธี แตง่ กาย วิธีทำงาน วิธีพกั ผอ่ น วิธีแสดงอารมณ์ วิธีส่อื ความ วิธีจราจรและขนสง่ วิธอี ยู่ ร่วมกนั เปน็ หมู่คณะ วิธี แสดงความสุขทางใจ และหลักเกณฑ์การดำเนนิ ชีวิต โดยแนว ทางการ แสดงออกถึงวิถชี ีวิตนน้ั อาจเริม่ มาจาก เอกชนหรอื คณะบคุ คลทำเปน็ ตวั แบบ แล้วตอ่ มาคนส่วนใหญก่ ็ ปฏิบัตสิ ืบต่อกนั มา วฒั นธรรมยอ่ มเปลยี่ นแปลง ไปตามเงอ่ื นไขและกาลเวลาเม่ือมกี ารประดษิ ฐห์ รอื ค้นพบสิ่งใหม่ วิธีใหมท่ ใ่ี ชแ้ กป้ ัญหาและตอบสนองความ ตอ้ งการของสังคมได้ดกี ว่า ซึ่งอาจทำให้ สมาชิกของสังคมเกดิ ความนยิ ม และในท่สี ุดอาจเลกิ ใช้วัฒนธรรมเดมิ ดงั นน้ั การรกั ษาหรอื ธำรงไว้ซึง่ วัฒนธรรมเดิมจงึ ตอ้ งมกี ารปรบั ปรุงเปลยี่ นแปลงหรอื พฒั นาวฒั นธรรมให้ เหมาะสมมีประสิทธภิ าพ ตามยุคสมยั ๓๘ ๔.๓ ทฤษฎอี งคก์ ารและการจดั การ๓๙ ทกุ องคก์ ารไมว่ า่ จะมีขนาด ประเภท หรอื สถานทต่ี ั้งอยา่ งไร จำเป็นตอ้ งมีการจัดการที่ดี ซึ่ง การจดั การทีด่ ีเปน็ จุดเรม่ิ ต้นของการดำเนินงานขององคก์ าร การเตบิ โตและการดํารงอยูต่ อ่ ไปของ องคก์ าร โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์การในยุคศตวรรษที่ ๒๑ ซงึ่ ตอ้ งเผชญิ กับ ปัจจัยแวดล้อมทม่ี ีการ เปลยี่ นแปลงอย่างรวดเร็ว ไมว่ ่าจะเปน็ ด้านสงั คม เศรษฐกิจ โลกาภวิ ัฒน์ และเทคโนโลยที ำใหอ้ งคก์ าร ตอ้ งมีแนวทางในการจดั การทที่ ันสมยั เพ่อื รับมอื กบั การเปลี่ยนแปลงทีร่ วดเร็วนี้ เพอ่ื ให้เขา้ ใจแนวคดิ เกยี่ วกบั การจดั การสมยั ใหม่ ในบทนี้จะได้นำเสนอหัวข้อเกีย่ วกับเรื่อง องค์การสมัยใหม่ ความหมาย ของการจัดการ ขบวนการจดั การ บทบาทของการจัดการ คุณสมบตั ิของนักบรหิ ารทป่ี ระสบ ความสำเร็จ ๔.๓.๑ องค์การสมัยใหม่ (Modern organization) การจัดการเกดิ ข้ึนในองคก์ าร และในมมุ มองด้านการจัดการ องค์การหมายถงึ การทีม่ ี คนมาทำงานรว่ มกนั อย่างเปน็ ระบบเพ่อื ให้ได้บรรลเุ ป้าหมายอย่างใดอย่างหน่ึง ซึ่งองค์การมี ลักษณะร่วมกันอยู่ ๓ ประการ ไดแ้ ก่ ๑. ทกุ องค์การต้องมวี ตั ถปุ ระสงคห์ รอื เปา้ หมายของตนเอง ๒. ทุกองคก์ ารต้องมคี นรว่ มกนั ทำงาน ๓. องค์การตอ้ งมีการจดั โครงสร้างงานแบ่งงานหน้าทีร่ บั ผดิ ชอบของคนในองคก์ าร ๓๘ ความหมาย “วฒั นธรรม” http://blog.eduzones.com/winny/๓๖๒๓. ๓๙ ทฤษฎอี งค์การและการจดั การhttp://www.kmitnbxmie๘.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=๕๓๕๕๓๘๔&Ntype=๓.
การบริหารจดั การในหอ้ งเรยี น ๖๐ ๔.๓.๒ วฒั นธรรมองคก์ าร (Organization Culture) ประเทศตา่ ง ๆ จะมีขนบธรรมเนียมและวฒั นธรรมประเพณีเพ่ือเป็นเอกลักษณข์ อง ตนเอง องค์การกเ็ ชน่ เดยี วกนั จะมีวัฒนธรรมองคก์ ารท่แี ตกตา่ งกันไปในแต่ละองค์การได้ วฒั นธรรม องค์การจะสร้างประโยชนห์ รอื คณุ ค่าใหแ้ กอ่ งค์การนั้นๆ เชน่ วัฒนธรรมในการมุ่งสร้างคณุ ภาพวฒั น ธรรมในการสร้างนวตั กรรมเปน็ ตน้ แตข่ ณะเดียวกันวัฒนธรรมองคก์ ารบางอยา่ งก็ทำให้เกดิ จุด ออ่ น แกอ่ งค์การน้ันๆ ได้ เช่น วฒั นธรรมแบบอนุรักษน์ ิยม วฒั นธรรมการทำงานแบบมงุ่ ใหบ้ ุคลากรมกี าร แขง่ ขันกันมากจนเกนิ ไป จนองคก์ ารเกิดความระสำ่ ระสาย เป็นตน้ จากการศึกษาของ Daniel R. Denison (๑๙๙๐)ในปัจจยั ด้านวัฒนธรรมองคก์ ารและ ประสิทธิผลขององค์การ พบว่าวฒั นธรรมองคก์ ารจะสง่ ผลต่อประสทิ ธิผล (Effectiveness) ของ องค์การเปน็ อยา่ งมาก เมื่อวฒั นธรรมนั้นก่อให้เกิด ๑. การผูกพัน (Involvement) และการมสี ่วนร่วมในองค์การ ๒. การปรบั ตัว (Adaptability) ทเ่ี หมาะสมกบั การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดลอ้ มท้ังภายใน และภายนอกองค์การ ๓. การประพฤติปฏิบัติได้สม่ำเสมอ (Consistency) ซ่งึ จะทำใหเ้ กิดการทำงานที่ประสานกนั และสามารถคาดหมายพฤติกรรมตา่ ง ๆ ท่ีจะเกิดข้ึนได้ ๔. มีภารกิจ (และวิสัยทัศน์) ขององคก์ ารท่ีเหมาะสม ทำให้องคก์ ารมีกรอบและทิศทางการ ดำเนนิ งานทีช่ ัดเจน ปัจจยั ท้ัง ๔ ส่วนนี้ จะทำใหอ้ งคก์ ารสามารถบรรลุสู่ประสทิ ธผิ ล (Effectiveness) ตามที่ ต้องการได้ ปจั จัยด้านวฒั นธรรมองคก์ ารจงึ มีความสำคญั ที่จะสนบั สนุนใหอ้ งคก์ ารบรรลุสู่วิสยั ทศั น์ และภารกิจที่กำหนดอยา่ งเหมาะสมได้ ๔.๓.๓ รปู แสดงลกั ษณะของวฒั นธรรมทจ่ี ะทำให้องคก์ ารบรรลุประสทิ ธผิ ล วัฒนธรรมในองคก์ รเปน็ สิ่งสำคัญทแ่ี สดงออกถึงพฤติกรรมของคนในองคก์ รน้ัน ๆ ซง่ึ เกดิ จาก ความตอ้ งการที่จะเปลยี่ นแปลงภายในองคก์ ร ๔.๔ แนวคิดวฒั นธรรมองค์กร หากกลา่ วถึงองคก์ รแล้ว คำว่า “วฒั นธรรม” มักจะเชอ่ื มโยงกับพฤติกรรมองคก์ ร กระบวน การทำงานในองค์กร หรือ ความเปน็ ผู้นำในองค์กร จะเหน็ ได้ว่าวัฒนธรรมมิได้หมายรวมถึง ทุกๆอยา่ ง ทีเ่ กดิ ขนึ้ ในองค์กร ในอดีตมกี ารแปลความหมายของคำว่าวัฒนธรรมออกมา อย่างมากมาย ขึน้ อยู่กบั มมุ มองของแตล่ ะบุคคลว่าจะมองในรูปแบบใด เชน่ นกั มานุษยวิทยาอาจมองว่า วฒั นธรรม เปน็ ขนบ ธรรมเนียมประเพณีทม่ี ีการปฏบิ ัตสิ ืบตอ่ กนั มาภายในกลุ่มชนกลุม่ หนง่ึ นกั สังคมวิทยา อาจ
การบริหารจดั การในห้องเรียน ๖๑ มองวา่ เปน็ ความเชอ่ื คา่ นยิ ม และบรรทัดฐานของสงั คมหนึ่งๆ ท่มี ีผลตอ่ การกำหนดพฤตกิ รรมของ สมาชิกในสังคม ส่วนนกั บรหิ ารและจัดการ อาจมองวา่ วฒั นธรรม คือ กลยุทธ์ ลกั ษณะโครงสรา้ งของ องคก์ ร และการควบคมุ ภายในองค์กร ในโลกปจั จุบนั มคี วามจำเป็นทีจ่ ะตอ้ งเรียนรถู้ ึงเทคโนโลยี ตา่ งๆ สง่ิ แวดล้อมทไี่ ด้เปลี่ยนแปลงไป องค์กรต่างๆต้องมีการพัฒนาความสามารถของตนเพือ่ รองรับ การเปล่ียน แปลงที่เกิดขนึ้ โดยท่ีทกุ คนในองคก์ รต้องมคี วามกระตือรือร้นในการหาวธิ ีการท่ีจะมา ปรับเปลี่ยนในการพัฒนาการทำงานของตน ตลอดจนพฤตกิ รรมทีค่ นในองคก์ รยดึ ถือเพอ่ื เป็นแนวทาง ในการปฏบิ ัติ งาน ซ่งึ แบบแผนพฤตกิ รรมท่ีบคุ คลในองค์กรยดึ ถือเปน็ แนวทางในการประพฤติปฏบิ ตั ิท่ี มีพื้นฐานมาจากความเช่ือ คา่ นยิ ม น่นั ก็คอื วัฒนธรรมองคก์ ร สำหรับบทความเรอ่ื งแนวคิดวัฒนธรรม องค์กรนี้ จะกลา่ วถงึ แนวคดิ ของวัฒนธรรมองค์กรในลักษณะต่างๆทส่ี ามารถนำมาปฏิบัตไิ ดใ้ นองคก์ ร คอื วัฒน ธรรมลักษณะสร้างสรรค์ วฒั นธรรมองคก์ รการเรียนรู้ วฒั นธรรมองค์กรอัจฉริยะ วฒั นธรรม องค์กรการเปลยี่ นแปลง และ วฒั นธรรมองค์กรแห่งการตนื่ รู้ รูปแบบวฒั นธรรมตามพื้นฐานค่านยิ ม รปู แบบวฒั นธรรมตามพ้ืนฐานของการควบคมุ รูปแบบวฒั นธรรมตามวถิ ชี ีวิตและพฤติกรรม โดยมรี าย ละเอยี ด ดงั นี้ ๑.แบบวัฒนธรรมตามพน้ื ฐานของค่านยิ ม การแบง่ รปู แบบวัฒนธรรมองคก์ รประเภทน้ี เป็น การแบง่ ค่านิยมขององคก์ รท่อี ยบู่ นพน้ื ฐานของจุดมงุ่ หมายและแหล่งท่ีมา ซงึ่ ชี้ให้เหน็ ถึงวฒั นธรรม องค์กร โดยท่ัวไปเปน็ ๔ รูปแบบ ดงั นี้ (สมยศ นาวีการ, ๒๕๔๑) ๑.๑ วฒั นธรรมทีม่ งุ่ ผปู้ ระกอบการ (Entrepreneurial Culture) เป็นวัฒนธรรมท่มี ี แหล่งที่มาของคา่ นิยมรว่ มอยทู่ ผ่ี ้นู ำที่มีบารมี หรือผู้กอ่ ตั้งองค์กรและเปน็ ค่านิยมทมี่ ุ่งหนา้ ที่ คือ การ สร้างคุณ คา่ แกผ่ ้ใู ช้บริการ ผูม้ ีสว่ นได้ส่วนเสียอืน่ ซง่ึ วัฒนธรรมที่ม่งุ ผ้ปู ระกอบการอาจจะไม่มั่นคงและ เส่ียงภัยเพราะเป็นวฒั นธรรมที่ข้นึ อยู่กบั ผู้ก่อต้ังเพียงคนเดียว ๑.๒ วัฒนธรรมทม่ี ่งุ กลยุทธ์ (Strategic Culture) เป็นวฒั นธรรมทม่ี ีแหล่งท่มี าของ ค่านยิ มรว่ มทม่ี ุ่งหนา้ ท่แี ละไดก้ ลายเปน็ ขนบธรรมเนยี มและเปลี่ยนแปลงไปสูป่ ระเพณีขององค์กร เป็นคา่ นยิ มทม่ี ่ันคงและมุง่ ภายนอกระยะยาว ๑.๓ วฒั นธรรมท่ีมงุ่ ตนเอง (Chauvinistic Culture) เป็นวัฒนธรรมท่ีสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถึงการมงุ่ ภายใน ความจงรักภกั ดีต่อการเปน็ ผู้นำองคก์ รอยา่ งตาบอด และการใหค้ วามสำคัญกับความ เป็นเลิศของสถาบนั วัฒนธรรมองค์การรูปแบบน้ี อาจแสดงใหเ้ หน็ ถงึ คณุ ลักษณะทางพธิ ีศาสนาหลาย อยา่ ง ความจงรกั ภกั ดีและความผูกพันต่อคา่ นยิ มของผนู้ ำบารมีอยา่ งเขม้ แข็งและการมุ่งภายใน มงุ่ พวกเราและมุ่งพวกเขา จะกระตุน้ ความพยายามให้มงุ่ ที่การรกั ษาความเปน็ เลศิ ของสถาบันเอาไวโ้ ดย ไมค่ ำนึงถงึ ค่าใชจ้ า่ ย ๑.๔ วฒั นธรรมทมี่ ุ่งการเลอื กสรร(Exclusive-Culture)เป็นวัฒนธรรมมุ่งการเลอื กสรร ในฐานะท่คี ล้ายคลึงกับสโมสรทเ่ี ลือกสรรสมาชกิ ซ่ึงภายในสถานการณบ์ างอยา่ งการเลอื กสรรจะเพ่มิ คุณค่าแกผ่ ลติ ภณั ฑ์หรือบริการขององค์กร ซึ่งองค์การจะทุม่ เทอย่างหนักเพื่อท่ีจะสร้างภาพพจนข์ อง ความเหนอื กว่าและการเลือกสรรข้ึนมา
การบรหิ ารจดั การในหอ้ งเรยี น ๖๒ ๒. รูปแบบวัฒนธรรมตามพน้ื ฐานของการควบคุม เปน็ การแบ่งวัฒนธรรมองค์กรบนพน้ื ฐาน ของการควบคมุ ภายในมือของผู้บริหารระดบั สูง การมุ่งความเสย่ี งภัยขององค์กร และความโนม้ เอียง ของการเปล่ียนแปลง แบ่งเปน็ ๒ รูปแบบ (สมยศ นาวกี าร, ๒๕๔๓) คือ ๒.๑ วฒั นธรรมแบบเคร่ืองจกั ร (Mechanistic Culture) คือ องคก์ ารที่มวี ัฒนธรรม แบบเคร่อื งจกั รนจี้ ะถูกการควบคุมอย่างเข้มงวด คา่ นยิ มและความเชอื่ ร่วมกันจะเป็นการทำตามกนั การอนรุ กั ษ์นยิ ม การเช่อื ฟงั ตอ่ กฎ ความเต็มใจในการทำงานเปน็ ทีมและความจงรักภกั ดีต่อระบบ มัก ขาดการเสยี่ งภยั เป้าหมายวัฒนธรรมแบบน้ี คือ ประสทิ ธภิ าพ มุ่งปรับปรุงคุณภาพและการลดตน้ ทนุ งานสว่ นใหญ่ถูกกำหนดโดยโครงสร้าง และการดำเนนิ การตามกฎระเบยี บวธิ ีปฏิบัตงิ านจะสำคัญมาก วฒั นธรรมแบบนีจ้ ะเหมาะกบั สภาพแวดล้อมทีไ่ ม่คอ่ ยเปล่ยี นแปลง สมาชกิ ในองค์กรที่พอใจกับการ เปิดกวา้ งตอ่ การเปล่ียนแปลงและความเปน็ อสิ ระอาจจะไมม่ คี วามสขุ ภายในวฒั นธรรมรปู แบบนี้ นอกจากนอี้ าจแสดงให้เห็นถึงระดับความไวว้ างใจต่ำภายในองคก์ รด้วย ๒.๒ วฒั นธรรมแบบคล่องตวั (Organic Culture) วฒั นธรรมแบบนเี้ ก่ียวข้องกบั การ เปดิ โอกาสในระดบั สงู ใหก้ ับความหลากหลาย กฎและขอ้ บังคับจะมนี อ้ ย มกี ารเผชญิ หน้ากับความ ขดั แย้งอยา่ งเปดิ เผย มีลักษณะอดทนกับความหลากหลาย มีความไว้วางใจกัน และเคารพต่อความ เปน็ เอกบุคคล มีความคล่องตวั และความเปลี่ยนแปลง ข้อเสยี ของวัฒนธรรมแบบนี้ คือ การสูญเสีย การควบคุมพนกั งานทีส่ ามารถเผชญิ กับความไม่แนน่ อนและความเสย่ี งภัย ๓. รูปแบบวฒั นธรรมตามวิถีชีวติ และพฤตกิ รรม ซึ่งสอดคล้องกับคณุ ลกั ษณะตา่ งๆของเทพเจ้า กรกี โบราณ แบง่ เป็น ๔ รูปแบบ ดงั น้ี ๓.๑ วฒั นธรรมที่เน้นบทบาท (Apollo หรอื Role Culture) เป็นวัฒนธรรมทม่ี งุ่ เนน้ ตำแหน่ง บทบาทหนา้ ทแ่ี ละความรับผดิ ชอบทกี่ ำหนดไว้ชัดเจนเปน็ ลายลักษณอ์ ักษร มลี ักษณะทชี่ อบ ดว้ ยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ โครงสร้างขององค์กรกำหนดไว้ชดั เจนตามลำดบั ขั้นทางการบริหารท่ี ลดหลน่ั กนั ไป และมกี ฎระเบียบขอ้ บงั คบั ในกระบวนการปฏิบัติงานตา่ งๆชัดเจนทวั่ องค์กร ซึง่ วัฒน ธรรมแบบนจ้ี ะปรากฏชดั ทว่ั ไปในหนว่ ยงานใหญ่ท้ังภาครฐั และเอกชน ซ่งึ ค่อนขา้ งลา่ ช้าต่อการปรบั เปลีย่ นตนเองเพอื่ ความเจริญ ความมีประสทิ ธิภาพประสทิ ธผิ ลและความอยู่รอดต่อไปขององค์กร มกั ใชก้ ารประชุมเปน็ สว่ นใหญ่ในการทำงานร่วมกนั การตัดสินใจแกไ้ ขปญั หาหรอื พัฒนางานใดๆ ๓.๒ วัฒนธรรมเนน้ ที่งาน (Athena หรือ Task Oriented Culture) เป็นวฒั นธรรมที่ เน้นการทำงานรว่ มกันเป็นทมี สนบั สนนุ และสง่ เสริมให้สมาชิกแต่ละคนพัฒนาและใชค้ วามรู้ ความ สามารถอย่างเต็มที่ เพ่อื ผลงานและการพัฒนาท่รี เิ ร่มิ ใหม่อยเู่ สมอ งานทป่ี ฏิบตั ิกนั เป็นทมี จะถูก จัดเป็นโครงการ โดยไม่ยึดติดกับโครงสรา้ งขององค์กร วัฒนธรรมองคก์ รแบบน้ีเหมาะสมกับหนว่ ยงาน ท่ีต้องเร่งรีบพัฒนาปรับปรุง โดยเฉพาะในสภาวะทตี่ ้องแข่งขนั ๓.๓ วฒั นธรรมท่ีเน้นบทบาทอสิ ระเฉพาะตัวบคุ คล (Dionysus หรอื Existential) ผู้ ท่ปี ฏิบัติงานในองค์กรท่มี วี ัฒนธรรมแบบนี้ จะกำหนดกฎเกณฑข์ องตนเองมคี วามเป็นอิสระสูง ความรู้ ความสามารถของบคุ คลทห่ี ลากหลายจำเป็น และมีผลต่อประสิทธภิ าพและชอ่ื เสยี งขององคก์ รเปน็ อยา่ งยิ่ง มหาวทิ ยาลัยหรือสถาบันวิจยั ท่มี ุง่ เนน้ ความเปน็ เลศิ ทางวชิ าการจะสะทอ้ นให้เหน็ วฒั นธรรม องค์กรแบบนีอ้ ยา่ งชดั เจน
การบริหารจดั การในหอ้ งเรียน ๖๓ ๓.๔ วฒั นธรรมแบบเปน็ ผู้นำ (Zeus หรอื Leader Culture) รูปแบบวฒั นธรรมที่ผู้นำ จะมีกลุ่มผู้บรหิ ารท่ีสามารถเป็นทป่ี รึกษา หรอื เป็นผู้สนองรับหรอื นำการตดั สนิ ใจ นโยบาย แนวทาง และแผนงานไปปฏิบตั ใิ หบ้ รรลผุ ล ความสำเรจ็ ของทมี บริหารเกิดจากความสามารถของผนู้ ำที่พฒั นา และสรา้ งระบบการติดตอ่ สัมพันธ์ทีก่ ่อให้เกิดความไว้วางใจ (Trust) โครงสร้างองค์กรมขี นาดกะทดั รดั แตค่ รอบคลมุ มคี วามรวดเร็วในการตอบสนองตอ่ ข่าวสารและการเปลีย่ นแปลงตา่ งๆ ผู้บริหารทีม่ ี ความ สามารถมกั มีประสบการณ์ผ่านงานในองค์กรทมี่ วี ฒั นธรรมอย่างน้ีมาก่อนเสมอ ซึ่งวฒั นธรรม องคก์ ร ทก่ี ลา่ วมาในข้างต้นเปน็ วัฒนธรรมที่แบ่งตามพืน้ ฐานของตวั แปรท่ีแตกต่างกนั ไป และผเู้ ขียน จะกลา่ ว ถงึ ลกั ษณะของวัฒนธรรมองคก์ รลักษณะสร้างสรรคต์ ามแนวคดิ ของ Cooke and Lafferty, ๑๙๘๙ (อ้างใน จารุวรรณ ประดา, ๒๕๔๕) ๔.๕ วัฒนธรรมลักษณะสรา้ งสรรค์ (The Constructive Culture) เปน็ องคก์ รทีม่ ลี กั ษณะของการให้ความสำคญั กบั ค่านยิ มในการทำงาน โดยมุ่งสง่ เสรมิ ให้ สมาชิกในองค์กรมปี ฏิสัมพันธแ์ ละสนับสนุนช่วยเหลือซ่งึ กนั และกนั ทำงานมีลักษณะท่ีสง่ ผลให้สมาชิก ภายในองคก์ รประสบความสำเรจ็ ในการทำงาน และมงุ่ ทีค่ วามพึงพอใจของบุคคลเก่ยี วกบั ความตอ้ ง การความสำเรจ็ ในการทำงาน และมงุ่ ท่คี วามพงึ พอใจของบคุ คลเกยี่ วกับความตอ้ งการความสำเรจ็ และความตอ้ งการไมตรีสัมพนั ธ์ ซึ่งลักษณะพนื้ ฐานของวัฒนธรรมองค์กรเชงิ สร้างสรรค์ แบ่งเปน็ ๔ มิติ คือ ๑.มติ ิมุ่งความสำเร็จ (Achievement) คอื องค์กรทม่ี ีค่านิยมและพฤตกิ รรมการแสดงออกใน การทำงานของสมาชิกภายในองค์กรท่ีมภี าพรวมของลักษณะการทำงานท่ีดี มกี ารต้ังเป้าหมายร่วมกัน พฤติกรรมการทำงานของทกุ คนเป็นแบบมเี หตุมผี ล มหี ลกั การและการวางแผนทม่ี ีประสิทธภิ าพ มี ความกระตือรอื รน้ และมคี วามสุขในการทำงาน รู้สึกว่างานมคี วามหมายและมีความทา้ ทาย ลกั ษณะ เด่นคอื สมาชิกในองค์กรมีความกระตอื รือรน้ และรสู้ ึกวา่ งานทา้ ทายความสามารถอยตู่ ลอดเวลา ๒.มิติม่งุ สจั การแหง่ ตน (Self- actualizing) คือ องค์กรที่มคี า่ นิยม และพฤตกิ รรมการแสดง ออกของการทำงานในทางสรา้ งสรรค์ โดยเนน้ ความต้องการของสมาชกิ ในองคก์ รตามความคาดหวงั เป้าหมายการทำงานอยู่ที่คุณภาพงานมากกว่าปริมาณงานโดยทเ่ี ป้าหมายของตนสอดคล้องกบั เปา้ หมายขององค์กร รวมทงั้ ความสำเร็จของงานมาพรอ้ มๆกับความกา้ วหน้าของสมาชกิ ในองคก์ ร ทกุ คนมีความ เตม็ ใจในการทำงานและภูมิใจในงานของตน สมาชกิ ทุกคนไดร้ ับการสนบั สนุนในการ พัฒนาตนเองจากงานทท่ี ำอยู่ รวมทัง้ มคี วามอสิ ระในการพฒั นางานของตน ลักษณะเด่น คือ สมาชิก ในองค์กรมคี วามยดึ มนั่ ผกู พนั กบั งานและมีบุคลกิ ภาพท่ีมีความพรอ้ มในการทำงานสูง ๓.มติ ิมุ่งบุคคล (Humanistic-encouraging) คือ องค์กรท่มี คี า่ นยิ มและพฤติกรรมการ แสดงออกของการทำงานทีม่ ีรูปแบบการบรหิ ารจดั การแบบมสี ว่ นร่วมและม่งุ บคุ คลเปน็ ศูนย์กลางให้ ความสำคัญ กับสมาชกิ ในองคก์ ร โดยถือวา่ สมาชิกคือ ทรพั ยากรท่มี คี ่าท่สี ุดขององค์กร การทำงานมี ลกั ษณะติดต่อ ส่ือสารทีม่ ปี ระสทิ ธิภาพ สมาชกิ มีความสุขและภูมิใจในการทำงาน มีความสุขตอ่ การ
การบรหิ ารจดั การในหอ้ งเรียน ๖๔ สอน การนิเทศงานและการเปน็ พี่เล้ยี งใหแ้ ก่กัน ทกุ คนในองค์กรได้รบั การสนบั สนนุ ความก้าวหน้าใน การทำงานอย่างสมำ่ เสมอ ลักษณะเด่น คอื ทรัพยากรบคุ คลเป็นสง่ิ สำคัญท่สี ุดขององคก์ ร ๔.มิติม่งุ ไมตรสี ัมพันธ์ (Affiliative) คอื องคก์ รที่มลี ักษณะที่มงุ่ ให้ความสำคญั กับสัมพันธภาพ ระหวา่ งบุคคล สมาชิกทกุ คนในองค์กรมคี วามเป็นกันเอง เปดิ เผย จริงใจและไวตอ่ ความรู้สึกของเพื่อน รว่ มงานและเพอ่ื นร่วมทมี ได้รับการยอมรับและเข้าใจความรู้สึกซง่ึ กันและกัน ลกั ษณะเดน่ คือ ความ เป็นเพ่อื นและความจริงใจต่อกัน ๔.๖ วฒั นธรรมองค์กรแห่งการเรยี นรู้ (Learning Organization) Peter Senge (๑๙๙๐) เชือ่ ว่าหวั ใจของการสร้าง Learning Organization อยทู่ ีก่ ารสร้าง วินยั ๕ ประการในรปู ของการนำไปปฏิบัตขิ องบคุ คล ทมี และองคก์ รอย่างตอ่ เนื่อง วินยั ๕ ประการที่ เปน็ แนวทางสนบั สนุนการปฏิบัตเิ พ่อื สร้างกระบวนการเรียนรทู้ ัง้ องคก์ รมีดังนี้ ๑.Personal Mastery : มงุ่ สคู่ วามเป็นเลศิ และรอบรู้ โดยมงุ่ มัน่ ที่จะพัฒนาตนเองใหไ้ ปถงึ เปา้ หมาย ด้วยการสร้างวสิ ัยทศั น์สว่ นตน (Personal Vision) เมือ่ ลงมือกระทำและตอ้ งมุ่งมน่ั สร้างสรรค์ จงึ จำ เปน็ ตอ้ งมี แรงมุง่ มน่ั ใฝด่ ี (Creative Tended) มีการใช้ข้อมูลขอ้ เทจ็ จริงเพ่ือคิด วเิ คราะห์และตัดสินใจ (Commitment to the Truth) ทีท่ ำให้มรี ะบบการคิดตดั สนิ ใจทีด่ ี รวมท้ังใช้ การฝึกจติ ใต้สำนกึ ในการทำงาน (Using Subconciousness) ด้วยการดำเนนิ ไปอย่างอตั โนมตั ิ ๒.Mental Model มีรูปแบบวธิ ีการคิดและมมุ มองท่เี ปิดกวา้ ง ผลลพั ธ์ทจี่ ะเกิดจากรปู แบบ แนว คดิ นี้ จะออกมาในรปู ของผลลพั ธ์ ๓ ลกั ษณะคือ เจตคติ หมายถึง ทา่ ที หรือความรูส้ กึ ของบุคคล ตอ่ สิ่งใดส่งิ หน่งึ เหตุการณ์ หรือเร่อื งราวใด ๆ ทศั นคตแิ นวความคิดเห็น และกระบวนทัศน์ กรอบ ความคิด แนวปฏิบัติทเ่ี ราปฏบิ ตั ติ าม ๆ กนั ไป จนกระทั่งกลายเปน็ วัฒนธรรมขององค์กร ๓.Shared Vision การสร้างและสานวิสัยทศั น์ วสิ ัยทัศน์องคก์ รเปน็ ความมุง่ หวงั ขององคก์ รท่ี ทุกคนต้องรว่ มกนั บรู ณาการให้เกดิ เป็นรปู ธรรมในอนาคต ลกั ษณะวสิ ยั ทัศนอ์ งคก์ รท่ดี ี คือ กลมุ่ ผ้นู ำ ตอ้ งเปน็ ฝา่ ยเร่มิ หันเขา้ สกู่ ระบวนการพัฒนาวิสัยทัศนอ์ ยา่ งจริงจงั วิสยั ทศั นน์ นั้ จะต้องมรี ายละเอยี ด ชัด เจนเพียงพอทีจ่ ะนำไปเปน็ แนวทางปฏบิ ตั ไิ ด้ วิสยั ทัศน์องคก์ รตอ้ งเปน็ ภาพบวกต่อองค์กร ๔.Team Learning การเรยี นรรู้ ว่ มกันเปน็ ทีม องค์การมุง่ เนน้ ให้ทกุ คนในทีมมีสำนกึ ร่วมกนั ว่า เรากำลังทำอะไรและจะทำอะไรต่อไป ทำอยา่ งไรจะช่วยเพม่ิ คณุ ค่าแกล่ ูกคา้ การเรียนร้รู ่วมกันเปน็ ทมี ข้นึ กับ ๒ ปจั จัย คือ IQ และ EQ ประสานกับการเรยี นรู้ร่วมกันเป็นทีม และการสรา้ งภาวะผ้นู ำแก่ ผ้นู ำองคก์ รทกุ ระดับ ๕.System Thinking มีความคิดความเขา้ ใจเชงิ ระบบ ทกุ คนควรมีความสามารถในการเข้าใจ ถึงความสมั พนั ธ์ระหว่างสิ่งตา่ งๆ ทเี่ ป็นองคป์ ระกอบสำคญั ของระบบ นอกจากมองภาพรวมแลว้ ตอ้ ง มองรายละเอียดของสว่ นประกอบยอ่ ยในภาพนัน้ ให้ออกดว้ ย วนิ ัยข้อนี้สามารถแกไ้ ขปญั หาท่ี สลับซับซอ้ น ต่าง ๆ ไดเ้ ป็นอย่างดี และการพฒั นาองคก์ รใหเ้ ปน็ องคก์ รแหง่ การเรียนรู้นั้นจะตอ้ งมกี าร ปรบั เปล่ยี นวิธีการในการคิดและปฏสิ ัมพนั ธ์ของบคุ ลากรในองค์กร ความมุ่งม่ันหรอื ทุ่มเทของบคุ ลากร
การบรหิ ารจัดการในหอ้ งเรียน ๖๕ ในองคก์ ร การท่ีจะองคก์ รกา้ วสู่การเป็นองค์กรแหง่ การเรียนรู้นั้น ซ่ึงพสุ เดชะรินทร์, ๒๕๔๙ กลา่ ว วา่ ประกอบด้วย ๑.Openness to Experienceคือ การที่บคุ คลในองค์กรมกี ารเปิดใจหรือยอมรบั ต่อประสบ การณ์ต่างๆ ท้งั ประสบการณจ์ ากภายนอกและภายในองค์กร เนื่องจากปัญหาของหลาย ๆ องคก์ ร คือ ความไม่พรอ้ มหรอื ไม่อยากจะเรียนรู้ ๒.Encourage of responsible risk – taking ซึ่งวฒั นธรรมองคก์ รจะตอ้ งเออ้ื ให้บคุ ลากร ในองค์กรพร้อมและยอมรับต่อความเสีย่ งในการทำสิ่งใหม่ ๆ เน่ืองจากการทเี่ ราริเร่มิ หรือทำสิง่ ใหม่ ๆ ท่ไี ม่เคยทำมาก่อน ก็จะทำใหเ้ ราเกดิ การเรียนรู้เกิดข้ึน แต่ในขณะเดยี วกนั กม็ คี วามเส่ยี งทมี่ ากับส่ิง ใหมๆ่ นนั้ ดว้ ย การยอมรับตอ่ ความเส่ียงท่ีเกิดข้ึนกเ็ ป็นสง่ิ ท่สี ำคญั ตอ่ การกระตนุ้ ใหเ้ กดิ การเรียนรู้ ๓.ความกล้าทจี่ ะยอมรับตอ่ ความสำเร็จและลม้ เหลว ทั้งนี้เนื่องจากการเรียนรู้ทีส่ ำคัญคอื การ เรียนร้จู ากประสบการณใ์ นอดีต ซ่งึ ประสบการณ์ในอดตี น้ันมที ั้งสำเรจ็ และลม้ เหลว และถา้ เรายอมรับ ต่อความสำเรจ็ และล้มเหลวได้ เราก็พร้อมทจ่ี ะเรียนรู้จากความสำเร็จ และลม้ เหลวท่ีเราไดป้ ระสบมา ดงั นัน้ การท่เี ปน็ องคก์ รแห่งการเรยี นรู้นั้น บคุ คลในองคก์ รต้องมกี ารเปิดใจยอมรบั เรียนรู้ในสิง่ ใหม่ๆ กล้าเผชญิ กบั ความเสี่ยงในการทำสง่ิ ใหมๆ่ ที่เกิดข้นึ ท้งั น้เี พ่อื เปน็ การกระตุน้ ใหเ้ กิดการเรยี นรู้ สู่การเป็น องคก์ รแห่งการเรียนรู้ ดังทก่ี ล่าวมาแลว้ ๔.๗ วฒั นธรรมองคก์ รแห่งการต่นื รู้ (Awakening Culture) ธรรมชาตขิ ององคก์ ร มีลักษณะคลา้ ยกบั ธรรมชาตขิ องชีวติ ทวั่ ไป คอื เม่อื มีการกำเนิดขึ้น จะต้องมีการเตบิ โต มีการพฒั นา การพัฒนาน้ันจะต้องเกดิ ขึ้นอยา่ งตอ่ เน่อื งสมำ่ เสมอ และมีการ พัฒนาที่ยงั่ ยืนจงึ จะทำให้องค์การอยูร่ อดไดอ้ ยา่ งม่นั คง ซึง่ การอยรู่ อดอย่างม่ันคงนนั้ หมายถึงองคก์ ร ต้องสามารถปรบั ตัวสอดรับกบั กระแสการเปลยี่ นแปลงของสังคม และสง่ิ แวดลอ้ มไดอ้ ยา่ งมคี ุณภาพ มี ลักษณะของการเรยี นรูอ้ ย่างไมห่ ยุดนิ่ง มกี ารตื่นตัวท่จี ะเรียนรอู้ ยู่ตลอดเวลา เพอ่ื ให้เกดิ การพัฒนา อย่างต่อเน่อื งดังท่กี ล่าวมาแล้ว องคก์ รทมี่ ีลกั ษณะเช่นนก้ี ็คอื องคก์ รแหง่ การตน่ื รู้ “Awakening Organization” (เกศรา รกั ชาต,ิ ๒๕๔๙) ขณะเดียวกันองค์กรแหง่ การตื่นรู้กม็ ลี กั ษณะเปน็ “องคก์ ร ซ่ึงสามารถปลดปลอ่ ยศกั ยภาพของผปู้ ฏิบตั งิ านออกมา ทำให้ผปู้ ฏิบัติเกดิ ความม่งุ ม่นั ทุม่ เทเพอื่ ให้การ ทำงานขององค์กรบรรลเุ ป้าหมายที่วางไว้” ๔.๗.๑ ลกั ษณะขององคก์ รแหง่ การตน่ื รู้ องค์กรแหง่ การตื่นรู้นั้นจะมลี ักษณะสำคญั ท่ที ำให้เกดิ การเรยี นรทู้ ่โี ดดเดน่ ดังท่ี เกศรา รกั ชาติ (๒๕๔๙) ได้สรปุ ไว้ดงั น้ี ๑.ระดับความตื่นเต้น การตืน่ ตัว ความฮึกเหิม ความกระตอื รือรน้ ของคนในองคก์ รจะ อยูใ่ นระดบั สงู
การบรหิ ารจดั การในหอ้ งเรียน ๖๖ ๒.ผูค้ นในองคก์ รสว่ นใหญ่มีการตนื่ ตวั มีความเชอื่ ในส่งิ ท่ีพวกเขาต้องการร่วมกันมกี าร ร่วมแรงรว่ มใจกนั สูง ๓.ผูค้ นในองคก์ รมองเห็นความสำคัญของการเปน็ ส่วนหนึง่ ขององคก์ ร มีความมุง่ มัน่ ใน การทำงานร่วมกบั ผู้อืน่ อย่างสร้างสรรค์ เหน็ แก่ประโยชนส์ ว่ นรวมมากกว่าประโยชนส์ ว่ นตน ๔.มีพน้ื ฐานการเรียนรซู้ ่งึ กนั และกัน ไว้เนือ้ เช่ือใจกันสูง ทำใหม้ กี ารตดั สินใจที่รวดเรว็ มกี ารยอมรับและเคารพในการตดั สนิ ของกันและกนั ๕.คนในองคก์ รมีความไว มคี วามยดื หยนุ่ พร้อมทีต่ อบสนองต่อสัญญาณแห่งการ เปลีย่ นแปลงจากสภาพแวดล้อมทงั้ ภายในและภายนอก ๖.มีวัฒนธรรมองค์กรแบบสรา้ งสรรค์ (Constructive Culture) ผ้นู ำในองค์กรทกุ ระดับมคี วามเชื่อในค่านยิ มรว่ ม (Share Value) และแสดงออกทางพฤตกิ รรมถงึ การปฏบิ ตั ติ าม คา่ นยิ มร่วมนั้น ๗.บคุ ลากรในองคก์ รมีการเจริญเตบิ โต มีความก้าวหน้า จะเหน็ ได้วา่ องค์กรแห่งการ ตื่นร้นู ั้นจะมพี ื้นฐานของการมวี ัฒนธรรมแบบสร้างสรรค์ เนน้ ในเรื่องภาวะผนู้ ำทุกระดบั จะสะทอ้ นให้ เหน็ ผลงาน หรอื Performance ขององคก์ รทีช่ ดั เจน ทำให้องคก์ รมกี ารเจริญเตบิ โตอย่างตอ่ เนือ่ ง และมีพ้ืนฐานเป็นองคก์ รแหง่ การเรียนรู้ (Learning Organization) ทแี่ ขง็ แกรง่ ขึน้ นัน่ เอง การทอ่ี งค์กรจะเขา้ สอู่ งค์กรแหง่ การตื่นรู้ไดน้ ัน้ จำเป็นอย่างยง่ิ ทผ่ี ูบ้ ริหารองคก์ รจะตอ้ งมีความ มุ่งม่ันและเห็นความสำคัญ ดังทกี่ ล่าวมาแล้วโดยจะต้องกำหนดแนวทางการพัฒนาไปสเู่ ป้าหมายการ เป็นองค์กรแหง่ การต่ืนรู้ ดังที่ สรุ พงษ์ มาลี (๒๕๕๐)ไดเ้ สนอแนวคดิ การพัฒนาองคก์ รแหง่ การตืน่ รู้ ดว้ ยการปลุกจติ วิญญาณขององค์กร ปลกุ ภาวะผ้นู ำในตัวคน และปลกุ คนอ่นื ๆท่ที ำงานรว่ มกนั ดังน้ี ๑.ปลุกจติ วิญญาณองคก์ ร หมายถึง การทำให้พนักงานขององคก์ รมพี ลังเต็มเปี่ยม มี การกระตอื รอื ร้น มแี รงบนั ดาลใจ มีความคดิ สร้างสรรค์ ตลอดจนตระหนักร้ใู นความหมายและ ความสำคญั ของงานไมใ่ ช่ทำงานตามหน้าทีไ่ ปวนั ๆหน่ึง ดงั น้นั เมอื่ จติ วิญญาณในองคก์ รถูกปลกุ ผลงาน ขององค์กรก็จะได้รับการพฒั นาถึงขีดสดุ สะท้อนออกมาในรูปแบบของผลผลิตที่มีคณุ ภาพ มคี วาม สร้างสรรค์ ๒.ปลกุ ภาวะผู้นำ หมายถงึ การปลกุ จติ วิญญาณของภาวะผ้นู ำใหต้ นื่ ตัวโดยการปลกุ ภาวะผนู้ ำ ใหต้ ื่นตวั ข้นึ มานัน้ มอี งคป์ ระกอบทส่ี ำคัญ ๑๐ ประการ คือ เปน็ ผู้มคี วามอ่อนนอ้ มถ่อมตน รจู้ ักตนเอง การทำในส่งิ ท่ตี นเองมคี วามสขุ การเป็นผมู้ ีความฝนั ทีย่ ่งิ ใหญ่ สภาพแหง่ ความสำเรจ็ ใน อนาคต หรือมีวิสัยทศั น์ มคี วามอดทน เป็นคนรกั ษาคำพูด เรียนรู้ประสบการณจ์ ากผูท้ ่ีประสบ ความสำเรจ็ มคี วามเป็นตัวของตัวเอง และเป็นผู้นำทเี่ ป็นผใู้ ห้ ซึ่งคุณลกั ษณะของการเปน็ ผนู้ ำทัง้ ๑๐ ประการ น้ีจะชว่ ยใหเ้ กดิ แรงบนั ดาลใจใหผ้ ้ตู ามเกดิ ความเช่อื มั่นในตัวผ้นู ำ ซึง่ จะนำพาใหอ้ งค์กรเกิด ความกา้ วหน้านัน่ เอง ๓.ปลกุ คนรอบข้าง แมว้ า่ ผนู้ ำจะเป็นปจั จัยสำคญั ทจ่ี ะนำพาองค์กรส่อู งคก์ รแหง่ การ ตนื่ รู้ แต่ผู้บรหิ ารตอ้ งมกี ารจูงใจ และกระตุน้ เตือนใหค้ นอน่ื ๆในองคก์ รมคี วามมงุ่ มั่นทุ่มเทและผูกพัน กบั องคก์ ร
การบรหิ ารจัดการในหอ้ งเรยี น ๖๗ ๔.การสร้างและพฒั นาบุคลากรสำหรับองค์กรแหง่ การตืน่ รู้ การบริหารความรู้และการ ให้ความ สำคัญตอ่ กลุ่มคนทป่ี ฏบิ ตั งิ านบนฐานความรู้ มคี วามสำคัญอยา่ งย่งิ ในการพฒั นาองค์กรไปสู่ การเป็นองค์กรแหง่ การตน่ื รู้ ต้องมีการปลกุ หรือจงู ใจผ้ปู ฏบิ ัตงิ าน เพื่อใหพ้ วกเขาเปล่ียนและนำความรู้ รวมทัง้ ประสบการณท์ ี่สะสมในตวั ออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เพอ่ื การบรรลุเป้าประสงคข์ ององคก์ ร จากการศกึ ษาแนวคดิ วฒั นธรรมองค์กรต่างๆขา้ งต้นจะพบวา่ ในวัฒนธรรมองค์กรนั้นมีลกั ษณะ องค์ ประกอบ ท่ีมีท้งั ความคลา้ ยคลึงกนั และตา่ งกันในบางมมุ ๔๐ ๔.๘ แนวทางการเกดิ วฒั นธรรม โดยทัว่ ไปพบว่า วฒั นธรรมจะเกิดจากผูก้ อ่ ตั้งและสมาชกิ เริม่ แรกขององค์การ จะกำหนด มาตรฐานของพฤติกรรมบางสงิ่ บางอยา่ งข้ึนมา เช่น ผ้พู นั แซนเดอร์ ผู้ก่อตง้ั KFC ไดก้ ำหนดมาตรฐาน ของวตั ถุดบิ และกระบวนการปฏบิ ัติงานของร้าน KFC หรอื ที่ Microsoft นายบลิ ล์ เกตต์ ผูร้ ่วมก่อตั้ง กไ็ ด้สรา้ งแบบอยา่ งในการทำงานอย่างหนัก (Exceptional long hours) ให้แกพ่ นักงานท้ังหลายได้ ถอื เปน็ แบบอย่าง หรอื นายเรย์ ครอก ผู้กอ่ ตง้ั McDonald ก็ได้สรา้ งคา่ นยิ มในเรื่องสินค้าทตี่ อ้ งมี คุณค่า มีราคาท่ีเหมาะสม มีความสะอาด และมีบริการท่ีดี จนอาจกลา่ วได้วา่ - ส่ิงที่ผู้นำองค์การให้ความสนใจ ติดตาม และควบคุม เน้นย้ำอย่างสม่ำเสมอจะเป็น แบบอย่างให้แก่พนักงานทั้งหลาย เช่น การใส่ใจในการควบคุมคุณภาพของสินค้าและ บริการ การสอบถามในกิจกรรมที่จะเก่ียวเนื่อง หรือมีผลกระทบต่อคุณภาพและ บรกิ าร เป็นตน้ - ปฏิกิริยาหรือการตอบสนองต่อเหตุการณ์สำคัญ หรือวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นกับองค์การ จะกลายเป็นค่านิยมหรือความเชื่อของคนในองค์การได้ เช่น เม่ือกิจการเกิดปัญหา วกิ ฤตการณ์ทางการเงินอย่างมาก แต่ผู้บรหิ ารก็มิได้เลกิ จา้ งหรือปลดพนักงาน แตจ่ ะใช้ วิธีการอ่ืน ๆ ในการลดปัญหาท่ีเกิด จึงทำให้พนักงานเกิดการรับรู้ว่าผู้บริหารเห็น ความสำคญั ของพนักงานและมีการทำงานร่วมกันแบบคนในครอบครวั - ส่ิงที่ผู้บริหารกระทำตนเป็นแบบอย่าง ส่ังสอน และช้ีแนะ เช่น การท่ีบิลเกตต์ทุ่มเท การทำงานอยา่ งหนกั ก็จะเป็นแบบอย่างให้พนกั งานเช่ือถือ ๔.๘.๑ การเรียนรู้วัฒนธรรมองคก์ าร ๔.๘.๑.๑ จากเร่ืองเลา่ หรือประวตั ิศาสตรข์ ององค์การ (Stories หรอื Histories) โดยท่ัวไปเรอ่ื งเลา่ มักจะเป็นประวัติการทำงานของพนกั งานดีเด่น หรือประวตั แิ ละรูปแบบการ ทำงานของผ้บู รหิ ารดเี ดน่ เช่น ทบี่ รษิ ทั ๓ M ผู้บริหารระดับสูงก็จะมีเรื่องเล่าต่อ ๆ กนั มาถงึ ๔๐ แนวคดิ วัฒนธรรมองคก์ ร www.sdtc.go.th/upload/forum/think.doc.
การบรหิ ารจัดการในหอ้ งเรยี น ๖๘ โครงการพฒั นาสนิ คา้ ซ่งึ โครงการนัน้ ผู้บรหิ ารระดบั สงู ไดส้ ัง่ ใหร้ ะงบั ไปแลว้ แต่วีรบุรุษของเร่ือง ยังคงดำเนนิ การพัฒนาต่อไปอย่างลับ ๆ และในทีส่ ุดโครงการนั้นก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก เรอ่ื งนีต้ ้องการสื่อให้พนกั งานมีความกลา้ ท่ีจะเส่ยี ง และต่อสไู้ ปจนประสบความสำเรจ็ ๔.๘.๑.๒ จากเรื่องเลา่ หรอื ประวัติศาสตร์ขององค์การ คือ สิ่งทีอ่ งค์การปฏบิ ัติเปน็ กิจวัตร เป็นแบบแผน เช่น พธิ ีการต้อนรับลกู คา้ และผู้มาเยย่ี มชมโครงการ หรอื ทำบญุ ประจำปี เช่นที่ McDonald จะมกี ารจดั ประกวดครวั โอลมิ ปิก ๓ ภมู ภิ าค ทป่ี ระกอบไปด้วย ๒๖ ประเทศ เพื่อคัดเลอื กพนกั งานท่ใี ห้บริการยอดเย่ียม ๕ คนให้ไดร้ บั เลอื กใหไ้ ปทำงานในรา้ น McDonald ในกีฬาโอลิมปิกท่จี ะมาถงึ ๔.๘.๑.๓ สัญลักษณต์ ่าง ๆ (Material Symbols) เช่น โลโก้ของบริษัท เพอื่ ให้ พนกั งานเข้าใจความสำคัญ และรูส้ ึกภาคภูมใิ จในองค์การ ดงั เช่น มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตรจ์ ะมี รูปปนั้ ของ ดร. ปรีดี พนมยงค์ (ทา่ นผ้ปู ระศาสน์การ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์) และรปู ปัน้ ของ ดร. ปว๋ ย อ้ึงภากรณ์ เปน็ สญั ลักษณข์ องมหาวทิ ยาลัยธรรมศาสต์ ท่ที ำให้ชาวธรรมศาสตรร์ ะลกึ ถึง ทา่ นทงั้ สอง และตระหนกั ในคา่ นยิ มของชาวธรรมศาสตรท์ ว่ี า่ ธรรมศาสตร์เป็นมหาวทิ ยาลยั ของ ประชาชน ธรรมศาสตรส์ อนใหร้ กั ประชาชนและรับใช้สังคม เป็นตน้ ๔.๘.๑.๔ ภาษาท่ีใช้ (Language) ซึง่ ในองคก์ ารอาจจะมกี ารสร้างคำศพั ทแ์ ละภาษา เฉพาะทจ่ี ะใชภ้ ายในองคก์ ารน้นั เชน่ ภาษาทใ่ี ช้ในการพดู จากนั ทกั ทายกนั ซ่ึงจะเป็นทร่ี บั รแู้ ละ เข้าใจรว่ มกัน เพ่ือสั่งสอนและถา่ ยทอดค่านิยมบางอย่างขององคก์ าร เชน่ ทีด่ สิ นยี ์ จะมภี าษา เฉพาะของตนเอง อย่าง On stage หมายถงึ การปฏิบัติงาน หรอื Guest หมายถึง ลูกค้าทกุ ท่าน เป็นต้น ๔.๙ ช่องทางในการตดิ ตอ่ สอ่ื สารเพอ่ื ปลกู ฝังวฒั นธรรมองค์การ ๔.๙.๑การสอื่ สารจากบนลงลา่ ง (Downward Communication) การส่ือสารจากผู้บรหิ าร ระดบั สงู สู่พนักงานระดับลา่ งลงมา โดยการออกวารสารภายในสำหรับพนกั งาน และการประกาศ นโยบายหรือส่งิ ทีต่ อ้ งการความรว่ มมอื ทีบ่ อร์ดประกาศข่าว ๔.๙.๒การสื่อสารจากลา่ งข้นึ บน (Upward Communication)การสื่อสารจากพนกั งานระดบั ล่างสผู่ ู้บริหารระดับสงู โดยการเขยี นรายงานการปฏบิ ัติงานต่าง ๆ การประชุม การตั้งกล่องแสดง ความคดิ เหน็ การขอพบผู้บริหารระดบั สงู เมอ่ื มเี ร่อื งจะปรึกษา รวมท้งั การพบปะพูดคยุ กันอย่างไม่เป็น ทางการนอกเหนอื เวลางาน ๔.๙.๓การสอื่ สารในแนวนอน (Lateral Communication / Horizontal Communication) การสอื่ สารของพนกั งานระดับเดียวกัน โดยการพบปะพูดคยุ กันอยา่ งไมเ่ ป็นทางการ และการประชมุ งานกันเองหรอื กับผบู้ ริหารหรอื การบังคับบญั ชา ๔.๙.๔การส่ือสารในแนวทแยง (Diagonal Communication) การส่ือสารขา้ มระดบั โดยการ ประชุมเพ่อื แจง้ ขา่ วสาร ข้อมูลใหท้ ราบจากพนกั งานระดับหวั หนา้ แผนกบุคคลถึงพนักงานระดบั ปฏบิ ัติการในกระบวนการปฏบิ ัติงานดา้ นตา่ ง ๆ
การบริหารจัดการในหอ้ งเรยี น ๖๙ ๔.๙.๕การรณรงคโ์ ดยจดั กจิ กรรมเสริมต่าง ๆ เช่น การจดั การประกวดคำขวัญ และโลโกข้ อง หน่วยงาน ๔.๑๐ องค์ประกอบของวัฒนธรรมองคก์ าร จากนยิ ามของวฒั นธรรมองคก์ าร จะเหน็ ได้วา่ มขี อบเขตทีก่ ว้าง และมลี กั ษณะคลา้ ย ๆ ภเู ขา น้ำแข็ง (Iceberg) คอื มีสว่ นที่อยขู่ ้างบนนำ้ ส่วนหนงึ่ และอยูใ่ ตน้ ำ้ อกี สว่ นหน่ึง จึงอาจแบง่ วัฒนธรรม ออกได้เปน็ ๒ ส่วน คือ ๔.๑๐.๑สว่ นท่มี องเหน็ ได้ (Visible) จะเปน็ สงิ่ ท่ีสมาชกิ องค์การสร้างหรอื ประดิษฐ์ขนึ้ มา เช่น สิง่ ประดษิ ฐต์ า่ ง ๆ (Artifacts) อาทเิ ช่น รูปปน้ั ของผกู้ ่อตั้งกจิ การ และถาวรวตั ถตุ า่ ง ๆ เชน่ โดม ของธรรมศาสตร์ หรอื การตบแต่งอาคารสถานที่ ป้าย สัญลกั ษณ์ คำขวญั (Slogan) และพธิ ีกรรม ต่างๆ และการแต่งกาย เป็นต้น ๔.๑๐.๒ส่วนทอ่ี ยู่ลึกลงไป จะมองไม่เหน็ (Invisible) แต่เป็นสิง่ ทีส่ มาชิกรบั รู้และเขา้ ใจ ร่วมกัน เช่น คา่ นยิ มขององคก์ ารที่สมาชกิ รบั รู้ เชน่ คา่ นยิ มของ Mcdonald ท่ีเน้น คณุ ภาพ บริการ ความสะอาด และคุณคา่ ของสนิ คา้ และบริการ หรือความมงุ่ ม่ัน คุณคา่ และความเชอื่ ของบรษิ ัทหรือ องค์การ ปัจจบุ ันองคก์ ารที่ทนั สมยั นิยมแสดงคา่ นิยมขององคก์ ารไว้ใตว้ สิ ัยทัศนแ์ ละภารกจิ ขององคก์ าร ทำให้สามารถรับรู้ รบั ทราบคา่ นิยมขององคก์ ารไดช้ ัดเจนข้นึ ๔.๑๑ ลักษณะของวัฒนธรรมองคก์ าร อาจแบง่ ลกั ษณะของวฒั นธรรมองคก์ ารได้หลายมิติ เช่น มติ ิท่ี ๑ แบ่งเป็น ๑.๑วัฒนธรรมเด่น (Dominant Culture) จะเปน็ ลักษณะของคนในองคก์ ารโดยรวม ซ่งึ จะเห็นได้จากค่านยิ มหลกั ขององค์การนน้ั วฒั นธรรมประเภทนีจ้ ะเปน็ วัฒนธรรมของคนส่วนใหญท่ ี่ รับรูแ้ ละยอมรับ ตลอดจนเข้าใจรว่ มกนั เช่น วฒั นธรรมของมหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ คอื ส่งเสรมิ ประชาธิปไตยและความเสมอภาค ตลอดจนมุ่งรบั ใช้สังคม ๑.๒วฒั นธรรมยอ่ ย (Subculture) จะเปน็ วฒั นธรรมของกลมุ่ งาน แผนกงาน หรอื พ้นื ทีง่ าน ซง่ึ ในองค์การหน่ึง ๆ ทีม่ หี ลายกลุม่ งานหรือแผนกงานกจ็ ะมวี ฒั นธรรมยอ่ ย ๆ หลายแบบได้ เช่น ที่มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตรแ์ ต่ละคณะก็อาจมวี ัฒนธรรมยอ่ ยของตนเอง เชน่ วฒั นธรรมของคณะ พาณิชย์ศาสตรแ์ ละการบัญชี ท่ีเนน้ การทำงานอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ และการมงุ่ ตอบสนองความ ต้องการของลกู ค้าซึ่งจะแตกตา่ งจากวัฒนธรรมของคณะวารสารศาสตร์และสอื่ สารมวลชนท่เี นน้ ความ เป็นอสิ ระของวิชาชพี ของสื่อต่าง ๆ เป็นตน้
การบรหิ ารจดั การในหอ้ งเรียน ๗๐ มติ ิที่ ๒ แบง่ เปน็ วฒั นธรรมท่เี ข้มแข็ง หรอื อ่อนแอ ซงึ่ จะขึน้ อยู่กบั ระดบั ของการเห็นพ้องตอ้ งกัน (Consensus หรอื Agreement) การยึดเหนีย่ วกนั (Cohesiveness) และการผกู พนั (Commitment) ของสมาชิก ต่อวฒั นธรรมองค์การนน้ั ๆ ๒.๑วัฒนธรรมท่ีเข้มแขง็ (Strong Culture) หมายถึง วัฒนธรรมทีม่ นี ้ำหนกั มาก คน เหน็ พ้องต้องกันและยอมรบั มากจงึ เปลี่ยนแปลงยาก วัฒนธรรมทเ่ี ขม้ แข็งจะมผี ลต่อการควบคุม พฤตกิ รรมได้มาก และทำให้สมาชิกขององคก์ ารมีแรงยดึ เหนยี่ วกันสงู มีความจงรกั ภักดแี ละผกู พันตอ่ องคก์ ารมาก ในองคก์ ารทางการทหารหรือในองคก์ ารของชาวเกาหลแี ละญี่ปุ่น จะมีวัฒนธรรม องค์การทม่ี นี ้ำหนกั และมคี วามเข้มแข็งมากกวา่ องคก์ ารแบบตะวนั ตก อันเปน็ ผลมาจากการได้รบั อิทธิพลจากวฒั นธรรมประจำชาตินน่ั เอง ๒.๒วฒั นธรรมทอ่ี ่อนแอ (Weak Culture) จะเป็นวัฒนธรรมทค่ี นอาจจะไม่เห็นพ้อง ตอ้ งกันมาก และเปล่ียนแปลงไดง้ า่ ย และไมค่ อ่ ยมีน้ำหนักตอ่ สมาชิกเท่าไรนกั ซึง่ ปรากฏในองค์การท่ี เพิง่ ก่อต้ังหรือองค์การทีม่ ีอายไุ มย่ าวนานนกั วฒั นธรรมองค์การจงึ อาจยงั ไมม่ นี ำ้ หนกั ต่อสมาชกิ มาก เทา่ ใดนัก หรอื อาจจะเกิดขน้ึ ในองคก์ ารทผ่ี นู้ ำไม่ไดใ้ หค้ วามสำคญั กบั วัฒนธรรมขององค์การมากนกั หรือเน่ืองจากองคก์ ารเปิดรับการเปลย่ี นแปลงตา่ ง ๆ จากสภาพแวดล้อมมาก ๒.๓วัฒนธรรมแบบปรับตัว (Adaptability Culture) หรือแบบผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Culture)เกิดข้ึนจากการท่ีผู้นำเชิงกลยุทธ์ (strategic leader) มุ่งสร้างค่านิยม ใหม่ขององค์การท่ีเอื้อต่อการเพ่ิมขีดความสามารถในการตีความหรือคาดการณ์ภาวะแวดล้อม ภายนอก เพื่อให้เกิดพฤติกรรมในองค์การท่ีสามารถตอบสนองได้ตลอดเวลา พนักงานขององค์การจึง ไดร้ ับความอสิ ระในการตดั สินใจเอง และพร้อมลงมือปฏิบัติไดท้ ันทีเมือ่ เกดิ ความจำเปน็ โดยยดึ คา่ นิยม ในการสนองตอบต่อลูกค้าเป็นสำคัญ ผนู้ ำมีบทบาทสำคัญต่อการสรา้ งความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึน้ กับ องค์การด้วยการกระตุ้นพนักงานให้กล้าเส่ียง กล้าทดลองคิดทำในสิ่งใหม่ และเน้นการให้รางวัล ผลตอบแทนแก่ผู้ท่ีริเริ่มสร้างสรรค์เป็นพิเศษ หลายบริษัทได้เปลี่ยนนโยบายใหม่มาเน้นเร่ืองการ มอบหมายอำนาจในการตัดสินใจแก่พนักงาน (employee empowerment) เน้นกลยุทธ์ความ ยืดหยุ่นและความสามารถตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมภายนอกได้รวดเร็วเป็นหลัก ซ่ึงสอดคล้องกับ ยคุ แห่งการเปลีย่ นแปลงทรี่ วดเร็ว ๒.๔วัฒนธรรมแบบมุ่งผลสำเร็จ (Achievement Culture) ลักษณะสำคัญของ วัฒนธรรมแบบมุ่งผลสำเร็จก็คือ การมีวิสัยทัศน์ท่ีชัดเจนของเป้าหมายองค์การ ผู้นำมุ่งเห็นผลสำเร็จ ตามเป้าหมาย เช่น ตัวเลขยอดขายเพ่ิมข้ึน ผลประกอบการมีกำไร หรือมีเปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งของ ตลาด (market share) สูงขึ้น เป็นต้น องค์การมุ่งให้บริการลูกค้าพิเศษเฉพาะกลุ่มในภาวะแวดล้อม ภายนอก แต่ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องมีความยืดหยุ่นและต้องเปล่ียนแปลงรวดเร็วแต่อย่างใด
การบริหารจดั การในหอ้ งเรียน ๗๑ องค์การท่ียึดวัฒนธรรมแบบมุ่งผลสำเร็จจึงเน้นค่านิยมแบบแข่งขันเชิงรุก ความสามารถริเริ่มของ บุคคล และพึงพอใจต่อการทำงานหนักในระยะยาวจนกว่าจะบรรลุผลตามเป้าหมาย ค่านิยมที่มุ่งการ เอาชนะจึงเป็นเสมือนกาวเชื่อมทุกคนในองค์การเข้าดว้ ยกัน หลายบริษัทท่ีมีวัฒนธรรมมุ่งผลสำเร็จจะ ให้ความสำคัญการแข่งขัน การเอาชนะ พนักงานท่ีมีผลงานดีจะได้ผลตอบแทนสูงในขณะที่ผู้มีผลงาน ตำ่ กวา่ เป้ากจ็ ะถกู ไล่ออกจากงาน ในองค์การท่ีมีวัฒนธรรมแบบนี้ พนักงานจะมีการแข่งขันกันทำงานอย่างหนัก และมุ่งเน้น ยอดขายและผลกำไรเป็นที่ตั้ง ตัวอย่างองค์การท่ีเน้นวัฒนธรรมแบบน้คี ือ บริษัท เป๊ปซี่ ในช่วงท่ี นาย เวย์ คอลโลเวย์ (Wayne Calloway) ดำรงตำแหน่งประธานบริหาร (CEO) ซึ่งได้กำหนดวิสัยทัศไว้ว่า เป๊ปซ่ีจะต้องเป็น “ The Best Consumer Products in the World ” จึงส่งเสริมพนักงานให้ขยัน ขันแข็งในการทำงานมีระบบการให้รางวัลจูงใจอย่างเข้มแข็งสำหรับคนที่ทำงานได้ตามท่ีกำหนด เช่น ได้ต๋ัวเครื่องบินชั้นหนึ่ง ได้รถประจำตำแหน่ง ได้รับสิทธิซื้อหุ้น ได้โบนัส และได้รับการพิจารณาเลื่อน ตำแหน่งอย่างรวดเร็ว จากวัฒนธรรมท่ีกล่าวมาแล้วนี้ ถ้าผู้บริหารสามารถสร้างสรรค์และประสานวัฒนธรรมแบบ ญาติมิตร วัฒนธรรมแบบปรับตัวและวัฒนธรรมแบบท่ีเน้นความสำเร็จให้เกิดข้ึนได้ ก็ย่อมเกิดท้ัง ประสทิ ธิผลแกอ่ งค์การและสร้างความพงึ พอใจแกส่ มาชิกองค์การด้วย ๒.๕วัฒนธรรมแบบเครือญาติ (Clan Culture)เป็นวัฒนธรรมที่มีความยืดหยุ่นแต่มุ่งเน้น ภายในองค์การ โดยจะให้ความสำคัญของการมีส่วนร่วมของพนักงานภายในองค์การเพ่ือให้สามารถ พัฒนาตนเองให้พร้อมที่จะรองรับการเปล่ียนแปลงรวดเร็วจากภายนอก เป็นวัฒนธรรมที่เน้นความ ตอ้ งการของพนักงานมากกวา่ วฒั นธรรมแบบอืน่ ดงั นัน้ องค์การจงึ มบี รรยากาศของมวลมิตรท่ีร่วมกัน ทำงานคล้ายอยู่ในครอบครัวเดียวกัน ผู้นำมุ่งเน้นเรื่องความร่วมมือ การให้ความเอาใจใส่เอ้ืออาทรท้ัง พนักงานและลูกค้า โดยพยายามหลีกเลี่ยงมิให้เกิดความรู้สึกแตกต่างกันทางสถานะภาพ ผู้นำจะยึด ม่ันในการใหค้ วามเปน็ ธรรมและการปฏบิ ตั ติ ามคำมัน่ สัญญาอย่างเคร่งครดั มีบางบริษัทที่ยึดวัฒนธรรมแบบน้ีแล้วประสบความสำเร็จ เช่น SAS Institute ในสหรัฐท่ีให้ ความสำคัญสูงต่อค่านิยมการดูแลเอาใจใส่ต่อความเป็นอยู่และความต้องการของพนักงานเพ่ือให้เกิด การเพ่ิมผลงาน พนักงานจะได้รับการอบรมในการจัดระเบียบชีวิตส่วนตัวได้อย่างสมดุลมากกว่าการ ทำงานเพิ่มช่ัวโมงข้ึนหรือทำงานหนักเกินไป หรือมีจิตใจมุ่งแข่งขันกัน นอกจากนี้ยังเน้นเร่ืองความ เสมอภาค ความเป็นธรรม และความรว่ มมือ พบว่าพนักงานของบริษทั ดังกล่าวให้ความร่วมมือและใส่ ใจต่อเพ่ือนร่วมงานและบริษัทย่ิงขึ้น ส่งผลให้บริษัทสามารถปรับตัวพร้อมต่อการแข่งขันและการ เปล่ยี นแปลงของตลาดได้ดี
การบรหิ ารจัดการในห้องเรียน ๗๒ ๒.๖วัฒนธรรมแบบราชการ (Bureaucratic Culture)เป็นวัฒนธรรมที่เน้นความมีเสถียรภาพ ความมัน่ คงและมุ่งเน้นภายในองค์การเป็นสำคัญ ให้ความสำคญั ต่อภาวะแวดลอ้ มภายใน ความคงเส้น คงวาในการดำเนินการเพ่ือให้เกิดความมั่นคง วัฒนธรรมแบบราชการจะมุ่งเน้นด้านวิธีการ ความเป็น เหตุผล ความมีระเบียบของการทำงาน มุ่งเน้นเรื่องให้ยึดและปฏิบัติตามกฎระเบียบ ยึดหลักการ ประหยัด ความสำเร็จขององคก์ ารเกดิ จากความสามารถในการบูรณาการและความมีประสิทธิภาพ ใน โลกปัจจุบันท่ีมีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ มีองค์การน้อยมากที่สามารถดำเนินงานภายใต้ ภาวะแวดล้อมที่มั่นคง ผู้นำส่วนใหญ่จึงพยายามหลกี เล่ยี งวัฒนธรรมแบบราชการ เน่ืองจากต้องการมี ความยืดหยุน่ คล่องตัวมากขึ้นนนั่ เอง แนวคิดของวัฒนธรรมแบบน้ีจะก่อให้เกิดความมีประสิทธิภาพ เสถียรภาพ และสามารถ คาดหมายผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้ และเหมาะกับองค์การที่อยู่สภาพแวดล้อมที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง องค์การประเภทหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจมักมีวัฒนธรรมในแบบนม้ี ากเพราะอยภู่ ายใตก้ รอบ ของระบบราชการ แต่แนวโน้มในอนาคตของวัฒนธรรมแบบน้ีน่าจะลดลง เพราะหน่วยงานราชการ และรัฐวสิ าหกิจทั้งหลายต่างพยายามมุ่งออกจากระบบราชการ พยายามบริหารงานแบบธุรกิจเอกชน โดยพยายามลดข้ันตอนกฎระเบยี บตา่ ง ๆ ที่ไมจ่ ำเป็นลง เปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้ใชว้ จิ ารณญาณที่ เหมาะสมให้เกิดความคล่องตัวในการทำงานมากขึ้น นอกจากนั้น ขณะนี้รัฐบาลได้กำหนดนโยบายใน การปฏิรูประบบราชการ ซึ่งจะต้องมีการปฏิรูปหลายประการ ท้ังการปฏิรูปโครงสร้าง ระบบการ ทำงาน ระบบงบประมาณ รวมท้ังวัฒนธรรมการทำงานของข้าราชการทั้งหลายด้วย โดยเน้นให้มีให้มี ประสทิ ธิภาพและสรา้ งความพงึ พอใจใหแ้ กป่ ระชาชนผูใ้ ช้บริการใหม้ ากขึน้ ๔.๑๒ การรักษาวฒั นธรรมให้คงอยู่ ๔.๑๒.๑ ผู้บริหารระดับสูง (Top Management) การประพฤติปฏิบัติของผู้บริหารระดับสูงท่ี สืบทอดกันมา ที่กระทำตนเป็นแบบอย่างสม่ำเสมอและต่อเน่ือง เพ่ือเน้นย้ำค่านิยมและวิถีปฏิบัติต่าง ๆ ที่ผู้ก่อตั้งได้สร้างไว้ ตัวอย่างเช่น เอ็ม เค สุก้ี จะกำหนดให้ปีหนึ่งจะมี MK Day โดยผู้บริหาร ระดับสูงจะไปท่ีสาขาต่าง ๆ แล้วเข้าไปช่วยบริการลูกค้า เช่น ไปช่วยเสิร์ฟอาหาร เดินบิล และล้าง จาน ๔.๑๒.๒ การสรรหาและการคดั เลอื ก (Recruitment and selection) คนประเภทใดท่ีเราจะ รับเข้ามา และจะเจริญก้าวหน้าในองค์การน้ัน จะต้องผ่านกลไกการสรรหาและคัดเลือก โดยใช้ แบบสอบถาม และการสมั ภาษณ์เพือ่ คัดเลือกคนที่มีความสามารถและมีทัศนคติท่ีสอดคล้องเขา้ กันได้ กบั วฒั นธรรมองคก์ ารเป็นสำคัญ ๔.๑๒.๓ กระบวนการเรียนรู้ทางสังคม (Socialization Process) เป็นกระบวนการในการปรับ พนักงานให้เข้ากับวัฒนธรรมองค์การ โดยอาศัยแนวทางต่าง ๆ เช่น การปฐมนิเทศแบบเข้ม โดยการ ฉายสไลด์และแนะนำบริษัท การให้ข้อมูลในเรื่องวิสัยทัศน์ ภารกิจ ปรัชญาและค่านิยมขององค์การ
การบรหิ ารจดั การในห้องเรยี น ๗๓ และอาจจัดโครงการให้พนกั งานเข้าแค้มป์ด้วยกัน ๑-๒ สปั ดาห์หรอื เข้ารับการฝึกอบรมอย่างเข้มขนที่ ศูนย์ฝึกอบรมหรือที่นิยมเรียกในปัจจุบันนี้ว่า โรงเรียนสอน เช่น โรงเรียนบ้านไร่กาแฟของบ้านไร่ กาแฟ หรอื Hamburger University ของแมคโดนัลล์ เป็นตน้ ๔.๑๒.๔ การออกแบบโครงสร้าง โครงสร้างจะเป็นตัวกำหนดลักษณะของความสัมพันธ์ ระหว่างฝ่ายต่าง ๆ และบุคคลต่าง ๆ ในองค์การ เช่น การจัดต้ังทีมข้ามสายงาน หรือการกำหนด ระดบั การควบคมุ บังคับบญั ชาในองค์การแห่งน้ัน ๔.๑๒.๕ ระบบต่าง ๆ ขององค์การ ระบบต่าง ๆ ขององค์การ และข้ันตอนการปฏิบัติงานท่ี สำคัญในการทำงานขององค์การน้ัน ๆ จะมีงานท่ีเกิดข้ึนประจำ เช่น รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี ซง่ึ งานจะเกิดซ้ำ ๆ ดงั นั้น ระบบงานหรือขั้นตอนการทำงานท่ีถูกกำหนดซ้ำ ๆ เหล่านี้ จะถูกออกแบบเพื่อให้เน้นย้ำค่านิยมขององค์การ หรือส่ือสารค่านิยมท่ีสำคัญท่ีผู้บริหาร ต้องการได้ เช่น ที่สายการบิน SAS ซ่ึงมีนายเจน คาร์ลสัน เป็นผู้บริหารระดับสูง ได้ขอดูรายงานการ เข้าออกของสายการบินทุกวัน จึงหล่อหลอมให้พนักงานเขาสนใจในเร่ืองการตรงต่อเวลาการทำงาน จนทำให้การเข้าออกของเครื่องบินมีอัตราทางการตรงเวลาเพิ่มจาก ๘๕% เป็น ๙๗% ภายใน ระยะเวลา ๒ ปี ๔.๑๒.๖ แนวทางในการจัดสรรรางวัลและสถานภาพ จะเปน็ เคร่ืองมือในการจูงใจบุคลากรให้คง อยู่ และช่วยในการสื่อสารค่านิยมและการให้ความสำคัญในกิจกรรมหรือเร่ืองราวบางอย่างโดยการ เชื่อมโยงกบั การให้รางวลั หรอื สถานภาพบางอย่าง เช่น การให้คำชมเชย หรือรางวัลพิเศษกบั ยอดขาย ท่เี กินกวา่ เปา้ หมายทีต่ ั้งไว้ หรือยอดผลิตที่ได้เกินเปา้ ๔.๑๒.๗ การออกแบบอาคาร สถานท่ี สภาพแวดล้อมตา่ ง ๆ ในการทำงาน เช่น การออกแบบ การจัดต้ังโต๊ะเก้าอ้ี ฉากกั้น ซ่ึงสไตล์การตกแต่งห้องจะแสดงให้เห็นถึงค่านิยมหรือความเช่ือบางอย่าง ได้ เช่น จะส่งเสริมให้มีการติดต่อสื่อสาร มีปฏิสัมพันธ์กันได้มากน้อยแค่ไหน ส่งเสริมการทำงานเป็น ทีมหรอื ไม่ มีความยืดหย่นุ หรอื ไม่ หรอื มกี ารแบ่งแยกอาณาเขตของแต่ละคนหรอื แตล่ ะฝ่ายชดั เจนมาก นอ้ ยแค่ไหน ๔.๑๓ การเปล่ยี นแปลงวัฒนธรรมองคก์ ร ๔.๑๓.๑ เม่ือองค์การเกิดวิกฤตการณ์หรือเจอปัญหาใหญ่ องค์การจำเป็นต้องปรับตัวจาก สถานการณ์เดมิ ๔.๑๓.๒ เม่ือมีการเปลี่ยนตัวผู้นำระดับสูง ก็มักจะมีการเปล่ียนแปลงในปรัชญาและค่านิยมที่ สำคัญขององคก์ ารดว้ ย ๔.๑๓.๓ เม่อื มีการควบรวมกิจการเกิดขน้ึ องคก์ ารแมก่ ็มกั จะถา่ ยเทวฒั นธรรมของตนเองไปยัง องค์การท่ีควบรวมเขา้ มา หรอื มีการรวมวัฒนธรรมต่าง ๆ ขององค์การเหลา่ นนั้ เขา้ มาไว้ดว้ ยกัน ๔.๑๓.๔ ในกรณีท่ีองค์การมีขนาดเล็กและก่อต้ังมาไม่ยาวนาน ผู้บริหารจะสามารถสื่อสาร ค่านิยมและปรัชญาใหม่ ๆ ให้สมาชิกยอมรับได้ง่ายกว่า แต่ถ้าองค์การก่อต้ังมายาวนาน การนำ คา่ นิยมหรอื ปรัชญาใหม่ ๆ ท่ีแตกต่างไปจากเดิมมาสอู่ งค์การจำกระทำได้ยากต้องใชเ้ วลานานกวา่
การบริหารจัดการในหอ้ งเรยี น ๗๔ ๔.๑๓.๕ เม่ือองค์การมีวัฒนธรรมท่ีอ่อนแอ ซ่ึงองค์การจะเปิดรับการเปล่ียนแปลงได้ง่ายกว่า กรณที ี่องค์การมีวัฒนธรรมองคก์ ารท่ีเขม้ แขง็ ๔.๑๔ การรวมวฒั นธรรมองคก์ าร (Acculturation) ๔.๑๔.๑ การทำใหค้ ล้ายกัน โดยการดดู ซมึ (Assimilation) จะเปน็ ลกั ษณะของการทีอ่ งค์การ ท่ีถูกครอบครองเตม็ ใจที่จะไปใช้วฒั นธรรมองคก์ ารทีม่ าครอบครอง ซึง่ มักจะเปน็ กรณีทก่ี ิจการที่ครอบ ครองจะมีขนาดท่ใี หญ่กว่า มวี ัฒนธรรมองคก์ ารทีแ่ ข็งแกร่งกวา่ และดกี วา่ ๔.๑๔.๒ การประสาน (Integration) จะเป็นการรวมและเลอื กเอาวัฒนธรรมองคก์ ารท่ีเหมาะ สมของทั้งสองแหง่ เข้ามาสร้างเป็นวฒั นธรรมใหม่ทดี่ ีข้ึน วฒั นธรรมท่ีรวมกันน้ีจะเกดิ ขึ้นได้จากการผู้ บรหิ ารทงั้ ๒ ฝ่ายไดท้ ำงานร่วมกนั อยา่ งใกลช้ ิด และมกี ลยทุ ธใ์ นการสอ่ื สารขอ้ มูลที่สำคญั ในการ ประสานวฒั นธรรมองค์การท้งั สอง ๔.๑๔.๓ การแยกออกจากกัน (Separation) จะเกิดขนึ้ เม่ือทงั้ ๒ องค์การตกลงทจ่ี ะยังคงตง้ั อย่แู ละมวี ัฒนธรรมของตนเอง กรณนี ี้จะเหมาะเมือ่ ท้งั ๒ องค์การนัน้ ไม่มีความสมั พนั ธ์กันในเชงิ กล ยุทธ์ หรอื ตอ้ งการคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมของตนเอง เพราะต่างฝ่ายต่างมวี ฒั นธรรมท่แี ข็งแกร่งและมีความ เหมาะสม ตวั อยา่ งบริษัท เดมเลอรไ์ ครส์เลอร์ ทตี่ ่างฝ่ายก็ดำรงไว้ซึ่งสำนกั งานใหญข่ องตนไว้ โดยท่ี ไครสเ์ ลอรม์ ีสำนักงานใหญ่อยู่ทเี่ มอื งโอเบิรต์ ฮิลล์ มิซิแกน ประเทศสหรฐั อเมรกิ า และเดมเลอร์มี สำนกั งานใหญ่อยู่ท่ีเมืองสตุท๊ การด์ ประเทศเยอรมันตามข่าว ๔.๑๔.๔ การลดความสำคัญของวัฒนธรรม (Deculturation) จะเกดิ ขนึ้ ในกรณที ีอ่ งคก์ ารท่ีถกู ครอบครองถกู บังคบั ให้เลิกใชว้ ฒั นธรรมองค์การของตนเอง เพราะผู้ครอบครองเห็นว่าวฒั นธรรมเดมิ ไม่เหมาะสม จงึ บังคับให้ใช้วัฒนธรรมของผคู้ รอบครอง หรือจะไม่ตอ้ งใช้วฒั นธรรมองค์การที่มาครอบ ครองกไ็ ด้ แตอ่ งคก์ ารทถ่ี ูกครอบครองมักจะสูญเสียเอกลักษณข์ องตนเอง และพนกั งานมกั จะเกิด ความเครียดดว้ ย ๔.๑๕ ผลการเปล่ยี นแปลงวฒั นธรรมองคก์ ร วัฒนธรรมในองค์กรเกิดจากพฤติกรรมของคนในองค์กรท่ีต้องการการเปล่ียนแปลง อาจ เน่ืองจากความกดดัน ความคับข้องใจต่าง ๆ ภายในองค์กรท่ีสะสมมาช่วงเวลาหน่ึง เช่น รูปแบบการ บริหารจัดการ, การดำเนินงานขององค์กรท่ีบีบคั้นหรือไม่เป็นท่ีพึงพอใจของบุคลากร มักเร่ิมจากคน กลุ่มเล็ก ๆ ในองค์กรและขยายขึน้ จนเป็นท่ียอมรับโดยทว่ั กันในองค์กร บางครั้งก็เกิดข้ึนอย่างรวดเร็ว บางคร้ังกเ็ กดิ ขนึ้ อย่างชา้ ๆ และแยบยล
การบริหารจัดการในห้องเรียน ๗๕ การรวมตัวขององค์กรอาจก่อให้เกิดวัฒนธรรมท่ีหลากหลาย เกิดนโยบาย, แนวคิดใหม่ ๆ ใน การบริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดความร่วมมือภายในระหว่างบุคลากรด้วย กันเอง และระหว่างองค์กรกับบุคลากร แต่ใช่จะมีเพียงด้านบวกเท่าน้ัน การรวมตัวขององค์กรย่อม สง่ ผลต่อสภาพจิตใจของบุคลากร รวมท้ังส่งผลต่อวัฒนธรรมในองค์กร ซึ่งผู้บริหารมักละเลยในส่ิงต่าง ๆ เหล่าน้ี จนเป็นผลให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมามากมาย เช่น ปัญหาสมองไหลจากองค์กรหนึ่งไปสู่อีก องค์กรหน่ึง เม่ือใดก็ตามที่ความรู้สึกเดิม ๆ ถูกทำลายลง แนวคิดใหม่แนวคิดใดแนวคิดหนึ่งจะได้รับ การยอมรบั อย่างง่ายดาย จากการสำรวจพบปัจจัยสำคัญทสี่ ง่ ผลตอ่ วัฒนธรรมในองคก์ ร ดงั นี้ ๔.๑๕.๑ ข้อขัดแย้ง เมื่อแนวคิดเดิม ๆ ไม่ได้รับการยอมรับ ย่อมมีแนวคิดใหม่ ๆ ที่มีความ สอดคล้องและกลมกลืนมาแทนทีเ่ สมอ ๔.๑๕.๒ เกณฑ์ในการเปลี่ยนแปลง สัญญาณในการเปล่ียนแปลงมักเกิดจากผู้อาวุโส, ผู้มี อิทธิพล หรอื อาจเปน็ คนกลุ่มใหมใ่ นองค์กร ๔.๑๕.๓ กฎระเบยี บข้อบังคบั ใหม่ๆ ฝ่ายบริหารมกั มีข้อกำหนดใหมๆ่ สำหรบั บคุ ลากรเสมอ ๆ ๔.๑๕.๔-การยอมรับขอ้ ตกลงใหม่ แนน่ อนวา่ ข้อตกลงใหม่ย่อมเปน็ ไปในแนวเดียวกนั กบั โครงสร้างท่เี ปลยี่ นแปลงไปขององคก์ ร ๔.๑๕.๕ การคงอยู่ของข้อตกลงใหม่ ถ้าบุคลากรทุกคนในองค์กรเลือกข้อตกลงที่ตรงกัน กอ่ ให้เกดิ เป็นข้อตกลงร่วมกันในองค์กรท่เี กิดจากวัฒนธรรมภายในองคก์ รนนั่ เอง๔๑ สรุปทา้ ยบท วัฒนธรรม เป็นวิธีการดำเนินชีวิตของสังคม เป็นแบบแผนการประพฤติและการแสดงออกซึ่ง ความรู้สึกนึกคิดในสถานการณ์ต่างๆ ท่ีสมาชิกในสังคมเดียวกันสามารถเข้าใจและซาบซึ้งร่วมกัน ยอมรบั และใช้ปฏบิ ัติ รว่ มกัน อันจะนำไปสู่การพัฒนาคณุ ภาพชีวติ ของคนในสงั คมน้ันๆ วฒั นธรรม เป็นวิถีชีวิตของมนุษย์ท่ีเกิดจากระบบความสัมพันธ์ระหว่ามนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์ กับสังคม และมนุษย์กับธรรมชาติ วัฒนธรรมมีท้ังสาระและรูปแบบที่เป็นระบบความคิด วิธีการ โครงสร้างของสังคม สถาบัน ตลอดจนแบบแผนและทุกสงิ่ ทกุ อยา่ งที่มนษุ ย์สรา้ งข้นึ ๔๑ วฒั นธรรมองคก์ ร pirun.ku.ac.th/~g๔๙๖๘๐๗๓/.../Organization_Culture_by_๒.doc.
การบริหารจัดการในหอ้ งเรียน ๗๖ คำถามท้ายบท ๑.จงใหน้ ิยามของคำว่า “วัฒนธรรม” สกั ๓ ตวั อยา่ ง ฯ ๒.วัฒนธรรมเกดิ ขึ้นมาในสังคมโลกนีอ้ ย่างไร แต่ละสงั คมเหมอื นกนั หรอื ไมอ่ ยา่ งไร ฯ ๓.แนวคิดหรือกรอบของวัฒนธรรม มีบทบาทสำคัญตอ่ การดำเนนิ ชวี ติ ในสังคมอย่างไร ฯ ๔.วฒั นธรรมที่เปลย่ี นแปลงตามยุคตามสมยั มสี าเหตุมาจากอะไร ฯ ๕.การรวมเอาวัฒนธรรมของชนชาติใดชาตหิ นึง่ มาประยตุ กก์ บั วฒั นธรรมหนึ่งมีผลอย่างไร ฯ
การบริหารจัดการในหอ้ งเรียน ๗๗ เอกสารอ้างอิงประจำบท ความหมาย “วัฒนธรรม”. [ออนไลน์] เขา้ ถงึ ได้จาก : http://blog.eduzones.com/winny/ ๓๖๒๓.(วนั ท่สี ืบคน้ ขอ้ มูล : ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๔) ทฤษฎอี งค์การและการจดั การ. [ออนไลน์] เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://www.kmitnbxmie๘.com/index.php?lay=show&ac=article&Id= ๕๓๕๕๓๘๔&Ntype=๓. (วันทส่ี ืบค้นขอ้ มลู : ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๔) แนวคดิ วฒั นธรรมองคก์ ร. [ออนไลน์]เขา้ ถงึ ได้จาก : www.sdtc.go.th/upload/forum/think.doc. (วนั ทส่ี ืบค้น : ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๔) วัฒนธรรม. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก : http://th.wikipedia.org/wiki. (วันท่สี บื ค้นขอ้ มลู : ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๔) วฒั นธรรมองค์กร. [ออนไลน์] เข้าถึงไดจ้ าก : pirun.ku.ac.th/~g ๔๙๖๘๐๗๓/.../Organization_Culture_by_๒.doc. (วันทส่ี ืบค้นขอ้ มูล : ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๔)
การบริหารจดั การในห้องเรยี น ๗๘ บทที่ ๕ มนษุ ยสัมพันธใ์ นการทำงาน วตั ถุประสงคป์ ระจำบทเรยี น เมื่อศกึ ษาบทท่ี ๕ จบแล้ว นิสิตสามารถ o ๑.อธิบายความหมายและทฤษฎีมนษุ ยสัมพนั ธ์ได้ o ๒.อธบิ ายคณุ ลักษณะของบุคคลท่ีมมี นุษยสัมพันธ์ทีด่ ีได้ o ๓.อธิบายมนษุ ยสมั พันธ์ในการทำงานได้ o ๔.อธิบายการสรา้ งมนุษยสัมพันธร์ ะหวา่ งผูบ้ ังคับบัญชาได้ ขอบข่ายเนือ้ หา ๑.ความหมายและทฤษฎีมนุษยสัมพันธ์ ๒.คุณลักษณะของบุคคลท่มี ีมนษุ ยสมั พันธท์ ด่ี ี ๓.มนษุ ยสัมพนั ธ์ในการทำงาน ๔.การสรา้ งมนุษยสมั พนั ธ์ระหวา่ งผู้บงั คับบญั ชา
การบริหารจดั การในหอ้ งเรยี น ๗๙ ๕.๑ ความนำ ๓-๔ ลา้ นปีมาแล้ว ร่องรอยแรกสุดทนี่ ักวทิ ยาศาสตร์คน้ พบสตั ว์คลา้ ยมนุษย์ ได้มาจาก แอฟริกาใต้และแอฟรกิ าตะวนั ออกบริเวณโอลดไู วยอร์ช (Olduvai George) ซึ่งต้ังอยู่ในแทนซาเนีย ในแอฟริกาปจั จุบัน คือ บริเวณสถานท่ีนักวทิ ยาศาสตร์ให้ความสนใจมากเป็นพเิ ศษ เพราะใน บรเิ วณนีเ้ องในทศวรรษนับจากปี ค.ศ.๑๙๕๐ นักวิทยาศาสตร์ไดร้ อ่ งรอยจุดกำเนดิ ของมนษุ ย์ การ คน้ พบครง้ั น้ที ำใหน้ กั วิทยาศาสตรข์ ยายเวลาจดุ กำเนิดของมนษุ ย์ใหย้ าวไกลออกไปอกี คอื ถงึ ช่วงเวลา ประมาณ ๓ ล้านปมี าแลว้ เป็นชว่ งเวลาที่มีสตั วค์ ล้ายมนษุ ย์เกดิ ขึน้ มาบนโลกน้ี อยา่ งไรก็ดี ภายหลงการคน้ พบรอ่ งรอยของจุดกำเนิดของมนุษยท์ ่บี รเิ วณ โอลดไู ว ยอรช์ แลว้ มกี ารค้นพบกระดกู สตั วค์ ล้ายมนษุ ย์ในบริเวณส่วนอื่นๆของทวปี แอฟรกิ าอีก ทำให้เกิดข้อโตแ้ ยง้ ใน ปัญหาจุดกำเนิดของมนุษย์ข้ึนมา แต่นกั วิทยาศาสตร์ได้สรุปผลไว้ว่าการค้นพบกระดูกสัตวค์ ล้าย มนษุ ย์ในบรเิ วณโอ ลดไู ว ยอร์ชคือจดุ เรม่ิ ตน้ ทด่ี ีที่สดุ ของการศึกษาประวัติความเป็นมาของมนษุ ย์ การ คน้ พบท่โี อลดูไว ยอร์ชในตอนแรกๆดูเหมือนว่าไม่ใชส่ ิ่งทน่ี า่ สนใจนกั เพราะเป็นการคน้ พบกอง กระดกู กลายเป็นหินจำนวนไมม่ าก แต่เมอื่ เอามาศกึ ษาอยา่ งละเอยี ด นักวทิ ยาศาสตร์จึงพบวา่ กองกระดูกเป็น หนิ เหลา่ นน้ั คอื สัตว์ประหลาดประมาณ ๒๐ ร่าง ซึ่งไมเ่ คยมีใครพบเหน็ มาก่อนเลยจึงตั้งชอื่ ให้ว่าลงิ แหง่ แอฟรกิ าใต้-ออสตราโลพิธีและเมอ่ื คำนวณหาอายุกพ็ บวา่ มีอายอุ ยูาบนโลกนป้ี ระมาณ ๑.๒ล้านปี มาแลว้ จาก กองกระดกู กลายเปน็ หิน ทำให้นกั วิทยาศาสตรพ์ บว่า ออสตราโลพธิ ีคัสมีส่วนสูงเกนิ กว่า ๑ เมตร มตี ะโพกขาและเท้าคล้ายมนุษย์มากกว่าของลิง แต่กระโหลกศรี ษะเหมอื นลิง มขี นาดสมองโต เท่ากับขนาดของลงิ กอริลลา เดนิ ตวั ตรงและวง่ิ ไดต้ ามพ้ืนดินอยา่ งทีล่ ิงไม่สามารถกระทำได้เมือ่ มนี วิ้ เช่นเดียวกับนิว้ มนุษย์ สง่ิ ทีส่ ำคญั ยง่ิ จากการค้นพบครง้ั น้ี คอื นักวทิ ยาศาสตร์ร้วู ่ามนษุ ย์วานรพวกน้ีอยู่ เปน็ กลมุ่ อาศัยอยู่ในบริเวณเดยี วกนั มาช้านานและกินเน้อื สัตว์เป็นอาหาร และเนือ่ งจากไม่พบ หลกั ฐานการใช้ไฟบริเวณทีม่ นษุ ยว์ านรพวกนี้ตั้งถน่ิ ฐานอยู่ จึงสัณนษิ ฐานวา่ มนษุ ยว์ านรพวกนกี้ นิ เนอ้ื ดิบๆเป็นอาหาร นอกจากน้ยี ังพบวา่ ออสตราโลพิธคี สั รจู้ กั สร้างเครอื่ งมือเครื่องใช้ นักวทิ ยาศาสตร์ ค้นพบหินต่างๆทีม่ นุษยว์ านรพวกนน้ี ำมาจากบริเวณสว่ นอ่ืนๆ ซ่ึงเมอ่ื นำหนิ เหล่าน้มี ากระเทาะจะได้ เคร่อื งมือตดั อยา่ งหยาบๆ ใชม้ ือจบั ตัดส่งิ ของ นบั วา่ เปน็ เคร่ืองมือชนิ้ แรกของโลกขึ้นในบริเวณโอลดูไว ยอรช์ จากการประดษิ ฐข์ องมนษุ ยว์ านรออสตราโลพิธีคัสเปน็ การเรม่ิ ตน้ เทคโนโลยสี รา้ ง เคร่ืองมอื ดว้ ยหนิ ยุคหินแรกสดุ เกิดข้ึนมาช่วงน้ี การคน้ พบที่ โอลดูไว ยอร์ช ยังมีปญั หาบางอย่างท่ียงั ไม่มขี ้อยุติ ปัญหาแรกก็คือวา่ มนษุ ย์วานร ออสตราโลพธิ คี สั คือบรรพบรุ ุษสายตรงของมนุษย์หรือไม่ ที่แน่นอนกค็ อื ออสตราโลพธิ คี ัส คือ โฮ มินิด (Hominid สาขาคล้ายมนุษย์ ส่วนโอมินอยด์สาขาคล้ายลิงเรียกวา่ พอนกดิ Pongid) แตก่ ็อาจ เป็นคนละพนั ธข์ุ อง ตน้ ตระกูลมนุษย์ก็เปน็ ได้ คอื พันธ์ุใกล้เคียงกบั บรรพบุรษุ โดยตรงของมนษุ ย์เทา่ น้ัน
การบรหิ ารจดั การในห้องเรียน ๘๐ ดงั นัน้ นกั วิทยาศาสตร์จึงสันนษิ ฐานว่าออสตราโลพิธีคัสอาจมีบรรพบรุ ษุ ร่วมกัน ในอดตี กับมนษุ ย์ คอื วา่ ออสตราโลพิธีคัสกับมนุษยอ์ าจววิ ัฒนาการมาจากบรรพบรุ ุษเดยี วกัน๔๒ ๕.๒ ความหมาย มนุษยสมั พันธ์ (Human Relations) เกิดจากคำ ๒ คำรวมกัน คำว่า มนษุ ย์ หมายถงึ ลักษณะของความเปน็ มนษุ ย์คือผมู้ ีจติ ใจสงู คำวา่ สัมพนั ธ์ หมายถงึ ความผกู พันเกี่ยวข้อง การตดิ ตอ่ กัน ความเกยี่ วพันกนั เมอ่ื นำทั้งสองคำมารวมกนั เป็นมนษุ ย์สมั พนั ธ์ จึงมคี วามหมายถึงการติดต่อสัมพันธก์ ันระหว่างคนท่ี อยรู่ วมกันและมีความเกยี่ วพันซึง่ กันและกนั โดยทวั่ ไปมนษุ ยสมั พนั ธม์ กั จะใช้ในความหมายทเี่ ก่ยี วกับ พฤตกิ รรมของมนษุ ยแ์ ละมักใชใ้ นความหมายถึงการมีความสมั พันธ์ท่ดี ตี อ่ กันซง่ึ จะจดั เป็นทั้งศาสตร์ (Science)และศลิ ป์(Art)เนือ่ งจากมีหลกั การและทฤษฎี๔๓ ๕.๓ ทฤษฏีมนุษยสมั พนั ธ์ ทฤษฏคี วามต้องการ ๕ ขัน้ ของอับราฮัม มาสโลว์ ได้แก่ ความตอ้ งการด้านกายภาพ ความ ปลอดภยั ความตอ้ งการด้านสงั คม ความต้องการไดร้ บั การยกยอ่ งนบั ถือ และความต้องการสำเรจ็ สมหวงั ในชวี ติ ทฤษฏีความต้องการ ๕ ข้ันของอรี คิ ฟรอมม์ มนุษย์มคี วามตอ้ งการ ๕ ประการ ไดแ้ ก่ มี สมั พนั ธภาพ สร้างสรรค์ มีสังกดั มเี อกลักษณแ์ ห่งตน และมีหลกั ยดึ เหนย่ี ว ทีม่ าของภาพ : http://www.google.co.th/imgres ๔๒ สายพนั ธ์ุมนษุ ย.์ http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st๒๕๔๕/๔-๕/no๑๖-๒๕-๔๕/manud.html. ๔๓ จินพร เพชร็ ฉกรรจ.์ http://gotoknow.org/blog/pasupong๑/๒๗๓๙๙๘.
การบริหารจัดการในห้องเรยี น ๘๑ ทฤษฏีความต้องการความสัมฤทธิผ์ ลของแมคเคลแลนด์ มนษุ ยม์ คี วามต้องการ ๓ ดา้ น ได้แก่ ความสำเร็จ อำนาจและความต้องการทางสังคม ท่ีมาของภาพ.http://www.google.co.th/imgres?q=ทฤษฎีความตอ้ งการ+ความสัมฤทธ์ิผล ทฤษฏีการเสริมแรงของสกินเนอร์ การเสริมแรงของมนษุ ยม์ ีพน้ื ฐานอยู่บนปัจจัย ๓ ประการ ไดแ้ ก่ มนุษยจ์ ะมีพฤติกรรมตามการเสริมแรงทเ่ี กิดขึน้ กบั ตนและการทำงานของตน เป็นพฤตกิ รรมท่ี สามารถวัดหรือสังเกตได้ และการเสรมิ แรงทเ่ี หมาะสมน้ันจะทำใหพ้ ฤตกิ รรมท่เี ปน็ ท่ตี ้องการมเี พ่มิ ขน้ึ และทไี่ ม่ตอ้ งการมลี ดนอ้ ยลงไป แบ่งเป็น การเสริมแรงทางบวก คอื การให้รางวัลในผลลพั ธจ์ ากการ กระทำท่ตี ้องการหรอื ปรบั ปรุงพฤตกิ รรม และการเสริมแรงทางลบ คอื การให้รางวลั จากการสามารถ ขจัดสิ่งทไี่ มต่ ้องการออกไปได้ ทฤษฏจี ติ วเิ คราะห์ของฟรอยด์ โครงสรา้ งบุคลิกภาพของมนุษย์ ประกอบไปดว้ ยพลงั ๓ ประการ ไดแ้ ก่ Id Ego และ Superego ท่ีมาของภาพ : http://toppe.multiply.com/journal/item
การบรหิ ารจัดการในห้องเรียน ๘๒ ทฤษฏีหน้าตา่ งสบ่ี านของโจฮารี มีช่ือเรียกว่า “ทฤษฎหี น้าตา่ งดวงใจ” บ่งบอกวา่ ลกั ษณะ จิตใจมนษุ ย์ ประดจุ หอ้ ง ๔ หอ้ ง หรือมีหน้าต่างดวงใจอยู่ ๔ บาน ไดแ้ ก่ สว่ นที่เปิดเผย จุดบอด สว่ นท่ี ซ่อนเรน้ และก้นบ้ึงที่ล้ำลึก ทีม่ าของภาพ. http://www.google.co.th/imgres?q=ทฤษฎีหนา้ ต่างสบี่ าน ทฤษฏตี น้ ไมจ้ ริยธรรม ของดวงเดือน พนั ธมุ นาวิน มนษุ ย์มีจติ ใจและภูมธิ รรมท่แี ตกตา่ งกนั แยกได้เปน็ มนุษย์ท่ีมีจติ ใจเป็นสตั ว์ มนุษยท์ ่ีมีจติ ใจเป็นคน และมนษุ ย์ที่มจี ติ ใจเป็นเทวดา ท่มี าของภาพ.http://www.google.co.th/imgres?q=ทฤษฎีต้นไม้จรยิ ธรรม
การบรหิ ารจัดการในหอ้ งเรยี น ๘๓ ๕.๔ คณุ ลกั ษณะของบคุ คลท่ีมมี นษุ ยสมั พันธท์ ่ีดี ๑. มที า่ ทางทีดี (Handsome) ๒. มีบคุ ลกิ ภาพดี (Personality) ๓. มีความเปน็ เพ่อื น (Friendliness) ๔. มีความอ่อนน้อม (Modesty) ๕. มีน้ำใจช่วยเหลอื (Helpful) ๖. ใหค้ วามรว่ มมอื (Cooperation) ๗. มีความกรุณา (Kindness) ๘. สร้างประโยชน์ (Contribution) ๙. การสร้างสรรค์ (Constructive) ๑๐. มีอารมณ์ดี (Good Emotion) ๑๑. มีความกระตอื รอื ร้น (Enthusiasm) ๑๒. มคี วามรับผดิ ชอบ (Responsibility) ๑๓. มีความอดทน (Patient) ๑๔. มคี วามขยนั (Diligent) ๑๕. มคี วามพยายาม (Attempt) ๑๖. มีปฎภิ าณ (Intelligence) ฯลฯ ๕.๕ มนุษยสมั พนั ธใ์ นการทำงาน ๑. หน้าตายิม้ แยม้ แจ่มใสในการตดิ ตอ่ สมั พนั ธก์ บั ผู้อื่น ๒. เตม็ ใจทำงานร่วมกบั ผู้อื่น ๓. ยอมรบั ฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ๔. มคี วามเสยี สละ ๕. เรียนร้แู ละเข้าใจผู้อน่ื ๖. เตม็ ใจเขา้ ร่วมกิจกรรมกับคนอื่น ๗. เสนอตัวชว่ ยเหลอื การทำงาน ๘. ให้คำแนะนำช่วยเหลอื ๙. คบหาคนอ่นื ดว้ ยความบรสิ ทุ ธใิ์ จ ๑๐. แสดงน้ำใจกับเพือ่ นร่วมงาน ฯลฯ ๕.๖ การสรา้ งมนษุ ยสมั พนั ธร์ ะหว่างผูบ้ ังคบั บญั ชากับผใู้ ตบ้ ังคบั บัญชา ๑. เอาใจใสใ่ นทกุ ข์สุข ๒. มคี วามจริงใจ และมคี วามยตุ ธิ รรม
การบรหิ ารจัดการในห้องเรียน ๘๔ ๓. ไมใ่ ชอ้ ารมณใ์ นการแกป้ ัญหา ๔. โอบอ้อมอารี ๕. เปน็ กันเอง ๖. สรา้ งกิจกรรมในกลุม่ สัมพนั ธ์ ต่างๆ ๗. ยกย่องให้เกยี รติ ฯลฯ ๕.๗ การสรา้ งมนุษยสมั พันธร์ ะหวา่ งผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชากบั ผ้ใู ต้บงั คับบญั ชา ๑. ให้ความเคารพยกยอ่ งสรรเสรญิ ผบู้ ังคับบัญชาในโอกาสตา่ งๆ ๒. ปฏิบตั ิงานตามคำสง่ั หรือทไี่ ดร้ บั มอบหมายอยา่ งเตม็ ความรู้ความสามารถให้บังเกดิ ผลดี ทีส่ ดุ ๓. เขา้ พบผู้บังคบั บญั ชา เพ่ือปรึกษาหารอื ขอคำแนะนำในการทำงานให้เหมาะสมกบั เวลา และโอกาส ๔. อยา่ โกรธหากผบู้ ังคบั มคี วามคิดเห็นไม่ตรงกบั ความคดิ เห็นของตน ๕. เรียนรนู้ ิสัยการทำงานของผบู้ งั คับบญั ชาเพ่ือศึกษาส่วนดี เพ่ือนำมาเป็นแนวทางปฏิบัติ ๖. มีจติ ใจร่าเริงแจ่มใส สร้างความเปน็ มิตรกับบคุ คลทกุ คน อย่ากอ่ เรอื่ งกับคนอืน่ จนตอ้ ง ใหผ้ ู้บงั คับบัญชารำคาญ ๗. ทำความเจรญิ กา้ วหน้า มคี วามคดิ ริเริม่ มีเหตผุ ล มกี ารตัดสนิ ใจในการทำงานด้วยความ เชอื่ ม่ัน ๘. สนใจทจี่ ะศกึ ษาหาความรู้ ความชำนาญ และประสบการณ์ใหม่ ๆ เพ่ือปฏบิ ตั ิงานที่ ไดร้ บั มอบหมายไดด้ กี ว่าปัจจบุ นั ๙. สร้างความไว้วางใจให้แก่ผูบ้ ังคับบญั ชา อย่าบ่นถึงความยากลำบาการปฏิบัตงิ าน ๑๐. ประเมินผลตนเองเป็นระยะๆ ทง้ั ในเรือ่ งความกา้ วหน้าของงานในความยากลำบากใน การปฏบิ ัติงาน ๔๔ สรุปท้ายบท มนุษยสัมพันธ์ หมายถึง การตดิ ต่อเกีย่ วข้องกันระหวา่ งบคุ คลในสังคมทั้งท่เี ป็นเร่อื งส่วนตัว และที่เกย่ี วข้องกบั การทำงาน ทัง้ ท่เี ปน็ ทางการและไมเ่ ปน็ ทางการเพ่ือให้เกิดความรกั ใคร่ ศรัทธา ช่วยเหลอื และรว่ มมือร่วมใจในการทำงานใหบ้ รรลเุ ป้าหมาย ท้งั น้ีเพ่อื ให้ตนเองมีความสุข ผ้อู ่ืนมี ความสขุ และสงั คมมีประสิทธภิ าพมนษุ ยสัมพันธม์ ลี ักษณะท่สี ำคญั คือ เนน้ ตวั บคุ คลมากกวา่ เครอื่ งจกั รกล บคุ คลดังกล่าวมารวมกันเปน็ กลุ่มสงั คมทมี่ ีระบบ กจิ กรรมสำคัญของมนษุ ยสมั พนั ธ์คอื การจงู ใจ การจูงใจนน้ั เกดิ จากการผสมผสานวิทยาการต่าง ๆ กับความสามารถเฉพาะตวั ในการ ๔๔ มนุษยสมั พันธ์ในการทำงาน www.dtec.ac.th/dtec/t๘.doc.
การบรหิ ารจัดการในห้องเรยี น ๘๕ ติดตอ่ สมั พันธเ์ พ่อื ให้คนเกิดความรว่ มมือรว่ มใจในการทำงานเป็นหมคู่ ณะ การจงู ใจท่มี ีประสิทธิภาพ คือการจงู ใจที่สนองความต้องการ การเหน็ ใจหรือเข้าใจคนอื่น การเห็นใจและเข้าใจคนอนื่ นัน้ เปน็ ความสามารถท่ีจะรับรอู้ ารมณ์ หรอื ความร้สู กึ ของบุคคลอื่น หรืออาจกล่าวได้วา่ เป็น “การรูส้ กึ อยา่ งทค่ี นอืน่ ร้สู ึก” เหมือนกับความสามารถท่ีทำให้เราเข้าไปอยู่ในสภาพของผอู้ น่ื ไม่วา่ ผอู้ ื่นจะอยู่ใน สภาพความทกุ ขท์ รมาน เศรา้ โศกเสยี ใจหรือ มคี วามสุขความรสู้ กึ เห็นใจและเข้าใจดังกลา่ วจะ แสดงออกทางวาจา สหี น้า ดวงตา และกิรยิ าท่าทาง ซึ่งทำให้ผอู้ น่ื เกดิ ความสขุ ความสบายใจอนั เป็นสง่ิ ทีท่ ำให้เกิดสมั พันธภาพที่ดตี ่อกนั
การบรหิ ารจดั การในหอ้ งเรยี น ๘๖ คำถามท้ายบท ๑.ตามความเชื่อของนกั โบราณคดี มนุษย์มแี หลง่ กำเนดิ มาจากอะไร ฯ ๒.จงใหค้ วามหมาย “มนษุ ยสัมพันธ”์ มีความสำคัญอย่างไร ฯ ๓.การสรา้ งหรอื ทำใหม้ นุษย์มีแรงจงู ใจในการทำงานจะทำอยา่ งไร ฯ ๔.ลักษณะของคนที่มมี นษุ ยสัมพนั ธ์ทีด่ ี สงั เกตได้อย่างไร ฯ ๕.คนท่มี มี นษุ ยสมั พนั ธด์ ี จะตอ้ งมีคุณลกั ษณะอยา่ งไร ฯ
การบริหารจดั การในห้องเรยี น ๘๗ เอกสารอา้ งอิงประจำบท จินพร เพช็รฉกรรจ.์ ทฤษฎมี นษุ ยสัมพันธ.์ [ออนไลน์] เข้าถึงไดจ้ าก : http://gotoknow.org/blog/pasupong๑/๒๗๓๙๙๘. (วันที่สบื คน้ ขอ้ มลู : ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕). มนษุ ยสัมพันธใ์ นการทำงาน. [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก : www.dtec.ac.th/dtec/t๘.doc. (วนั ท่ีสบื ค้นขอ้ มูล : ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕). สายพนั ธุ์มนุษย์. [ออนไลน์] เข้าถึงไดจ้ าก : http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/st๒๕๔๕/๔-๕/no๑๖-๒๕- ๔๕/manud.html. (วนั ทส่ี ืบคน้ ขอ้ มูล : ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕).
การบรหิ ารจัดการในห้องเรยี น ๘๘ บทที่ ๖ การตดิ ต่อสอ่ื สาร วัตถุประสงคป์ ระจำบทเรยี น เมื่อศึกษาบทที่ ๖ จบแล้ว นสิ ิตสามารถ o ๑.อธิบายความหมายและความสำคญั ของการติดต่อสื่อสารได้ o ๒.อธิบายประเภทและลักษณะของการปฏบิ ตั ิงานได้ o ๓.อธิบายหลักการทั่วไปและทฤษฎใี นการตดิ ต่อสือ่ สารได้ o ๔.อธบิ ายกระบวนการและรปู แบบของการตดิ ตอ่ ส่อื สารได้ o ๕.อธิบายประโยชนท์ จี่ ะไดร้ ับจากการติดตอ่ สือ่ สารได้ ขอบขา่ ยเน้ือหา ๑.ความหมายและความสำคัญของการตดิ ต่อสือ่ สาร ๒.ประเภทและลักษณะของการปฏบิ ัตงิ าน ๓.หลักการท่ัวไปและทฤษฎใี นการติดต่อส่ือสาร ๔.กระบวนการและรูปแบบของการติดต่อสื่อสาร ๕.ประโยชนท์ ่ีจะไดร้ ับจากการติดตอ่ ส่ือสาร
การบรหิ ารจัดการในหอ้ งเรยี น ๘๙ ๖.๑ ความนำ การสอ่ื สาร คือ กระบวนการสำหรบั แลกเปลย่ี นสาร รูปแบบอย่างง่ายของสาร คอื จะตอ้ งสง่ จากผูส้ ่งสารหรอื อปุ กรณ์เขา้ รหสั ไปยงั ผู้รับสารหรืออุปกรณถ์ อดรหัส อาจอยู่ในรูปแบบของทา่ ทาง สญั ลกั ษณ์ บ้างอย่างอยใู่ นรปู แบบของภาษา การสื่อสารเกิดจากความต้องการทค่ี นจะสง่ ข้อมลู หากนั การศึกษาเกยี่ วกับการสอื่ สารอาจจำแนกไดห้ ลายหมวดหมู่๔๕ การส่ือสารมคี วามสำคญั กบั มนษุ ย์มาตัง้ แต่กำเนดิ เนือ่ งจากมนุษยต์ อ้ งอยใู่ นสงั คมและใชก้ ารส่ือสารเปน็ เครอ่ื งมอื ในการบอกความตอ้ งการ ของตนเองต่อผู้อนื่ การสอื่ สารจงึ เป็นส่อื กลางทท่ี ำให้มนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมไดอ้ ยา่ งราบรืน่ นอกจากนีก้ ารส่ือสารยังเป็นความสามารถหรือทกั ษะทท่ี ุกคนมมี าตง้ั แต่กำเนดิ เชน่ กนั ได้แก่ การพดู การอ่าน การเขยี น การฟัง ส่วนใครจะมีความเชย่ี วชาญดา้ นใดมากกว่านนั้ ย่อมขึ้นอย่กู ับการ เรียนรู้ และฝกึ ฝน ซงึ่ การสื่อสารมีหลายระดับ หลายรปู แบบและหลายประเภทขน้ึ อยู่กับการนำเกณฑ์ ใดมาจดั แบง่ เชน่ การนำจำนวนการเขา้ ถงึ กล่มุ เป้าหมายมาเป็นเกณฑ์จะสามารถแบง่ ได้เปน็ การ สอ่ื สารในบุคคล เชน่ การพูดกับตนเอง การส่อื สารระหว่างบุคคล เช่น การพูดคยุ กบั เพื่อนกับอาจารย์ และการส่อื สารสาธารณะ เช่น การพดู ในหอ้ งประชุมซ่ึงมีผู้ฟงั มากมาย การส่อื สารมวลชน เป็นการ ส่อื สารถงึ คนพร้อมๆกันในจำนวนมาก ดังน้ัน การสือ่ สารจงึ เกี่ยวข้องกบั ชวี ติ ประจำวนั ของทกุ คน ทกุ เพศ ทกุ วยั อย่างหลกี เลย่ี งไม่ได้ ต้งั แต่ตื่นนอนจนหลับ การใช้ชวี ติ ตลอดทงั้ วนั ทง้ั การเรียน การทำงาน และการเข้าสังคมในทกุ ระดบั การสอ่ื สารมีวตั ถปุ ระสงค์หลายอย่าง เช่น เพ่ือให้ข้อมูล เพื่อโน้มนา้ วใจ เพื่อสรา้ งความสัมพันธ์ทีด่ ี เพอ่ื ใหเ้ กดิ การยอมรับและไดร้ บั ความรว่ มมอื จากบุคคลท่เี ก่ียวขอ้ ง เป็นตน้ ๔๖ ๖.๒ ความหมาย๔๗ คำศัพท์ “Communication” แปลเป็นภาษาไทย วา่ “การสอ่ื สาร” หรือ “การติดต่อ” มาจากภาษาละตนี ว่า “COMMUNIS” คอื รว่ มกันหรอื คลา้ ยคลึงกนั ดงั นั้นวตั ถปุ ระสงค์ของการ สอื่ สาร หมายถึง กจิ กรรมทีม่ ุ่งสร้างความร่วมกัน หรอื ความคล้ายคลึงกันให้เกิดข้นึ ระหวา่ งบุคคลที่ เกย่ี วข้อง ถา้ มคี วามเข้าใจความหมายที่ตรงกนั กล่าวอกี นยั หน่ึง ๔๕ http://th.wikipedia.org/wiki/การสอ่ื สาร. ๔๖ www.ranong๒.dusit.ac.th/KM&R/ca๒.doc. ๔๗ การตดิ ต่อสอื่ สาร http://www.rpk.ac.th/main/index.php?option=com_content&view=article&id=๙๑&catid=๓๕&Itemid=๘๓.
การบริหารจัดการในห้องเรียน ๙๐ การตดิ ต่อสื่อสาร เปน็ ความหมายของมนุษยท์ ่ีต้องการถา่ ยทอด (Transmit) เพื่อแลกเปลี่ยน (Share) ข่าวสาร (Information) ความคดิ (Idea) และทศั นคติ (Attitudes) ระหว่างกนั การติดต่อสือ่ สาร คือ การส่งขา่ วสาร ขอ้ มูลแนวความคดิ ความรสู้ กึ ตลอดจนทัศนคตจิ าก บคุ คลหน่ึงไปยงั บคุ คลหนึ่ง โดยการพดู เขียน และสญั ลักษณ์ต่างๆ สรปุ การตดิ ตอ่ สอื่ สาร หมายถงึ กระบวนการถ่ายทอดขา่ วสารจากบคุ คลหนงึ่ ไปยังอีกบคุ คล หนง่ึ หรอื จากกลุ่มหนงึ่ ไปยงั อีกกลมุ่ หนง่ึ ซ่งึ การถา่ ยทอดอาจใชภ้ าษาพูด ภาษาเขยี นหรอื สัญลักษณ์ อื่นๆทีส่ ามารถทำใหเ้ ข้าใจขา่ วสารได้ตรงกนั ๖.๓ ความสำคัญ การตดิ ตอ่ สอ่ื สารมีความสำคญั และประโยชน์ในการบรหิ ารงานของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา ดังน้ี ๖.๓.๑ ทำให้บุคลากรทราบนโยบาย พันธกิจ วสิ ัยทัศน์ วตั ถปุ ระสงค์และมาตรฐานของ สถานศกึ ษา เพราะผ้บู รหิ ารต้องถ่ายทอดส่ิงเหล่าน้ใี ห้บุคลากรเขา้ ใจ เพ่ือให้การบรหิ ารบรรลุเป้าหมาย ๖.๓.๒ ทำให้บุคลากรทราบบทบาทและหนา้ ทข่ี องตน โดยผบู้ รหิ ารจะต้องมอบหมายงานให้ ชดั เจน ๖.๓.๓-ผ้บู ริหารจะต้องสอนและแนะนำวิธีการทำงานใหบ้ ุคลากรแต่ละคนเขา้ ใจการปฏิบัติ งานในหนา้ ท่ีของตน ๖.๓.๔ ช่วยเสริมสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏบิ ัตงิ าน โดยการยกย่องชมเชย เผยแพรผ่ ล การปฏบิ ัติงาน ๖.๓.๕ ช่วยให้ผ้บู ริหารได้ขอ้ มูลปอ้ นกลบั เกยี่ วกับการปฏบิ ัตงิ านของผใู้ ตบ้ งั คบั บัญชา ทั้งใน สว่ นที่ก้าวหน้าและเปน็ ปัญหา ทำใหน้ ำมาปรับปรงุ การทำงานของตนได้ ๖.๓.๖ ช่วยให้เกดิ ความรว่ มมือร่วมใจกับชุมชนในการจัดการศึกษา ๖.๓.๗ สร้างบรรยากาศแห่งการอบอนุ่ เปน็ มิตร และเป็นกนั เอง เกดิ ความร่วมมอื รว่ มใจใน การปฏบิ ตั งิ าน ๖.๓.๘ ทำให้บุคลากรในระดบั เดียวกนั ไดแ้ ลกเปลีย่ นความคิดเห็นในการทำงานของแตล่ ะคน หรือแต่ละฝ่าย ทำใหท้ ราบวธิ กี ารทำงานและปญั หาของกนั และกัน ๖.๓.๙ ทำให้บุคลากรยดึ เป้าหมายของสถานศกึ ษาเปน็ หลักในการทำงาน ๖.๓.๑๐ สง่ เสรมิ กระบวนการทำงานเป็นทีม ๖.๓.๑๑ ประหยดั ทรพั ยากรในการบริหาร ๖.๔ ประเภทของการตดิ ตอ่ ส่ือสาร ๖.๔.๑ การตดิ ตอ่ สือ่ สารภายใน (Internal Communication) เปน็ การติดต่อสอื่ สารระหว่าง บคุ คลภายในองคก์ ารเดียวกนั โดยมีจุดประสงคใ์ ห้บุคลากรในองค์การไดท้ ราบขา่ วสารและความ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211