Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก

Description: ความหมายพุทธจิตวิทยาเชิงบวก ที่เน้นการพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์ให้มีความสุข พื้นฐานมาจากการพัฒนาตนเองเป็นคนดี การมองโลกในแง่ดี การมีความหวัง และการมีความสุขในวิถีชีวิตของตนเอง

Keywords: พุทธจิตวิทยา การแนะแนวเชิงบวก

Search

Read the Text Version

พุ ทธจิตวิทยา แนะแนวเชิงบวก POSITIVE BUDDHIST GUIDANCE PSYCHOLOGY โ ด ย ทิ พ ย์ ขั น แ ก้ ว

มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั Mahachulalongkornrajavidyalaya University หลกั สตู รพุทธศาสตรบัณฑติ ตารารายวิชา หมวดวชิ าเฉพาะดา้ น(เฉพาะสาขา) รหสั วิชา ๒๐๘ ๔๑๘ พทุ ธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก (Positive Buddhist Guidance Psychology) ทพิ ย์ ขันแก้ว วทิ ยาลัยสงฆ์บรุ ีรัมย์ วดั พระพุทธบาทเขากระโดง ตาบลเสม็ด อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ดร.ทพิ ย์ ขนั แก้ว วิทยาลยั สงฆบ์ รุ รี ัมย์ มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ๒๕๕๙

พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก Positive Buddhist Guidance Psychology ดร. ทพิ ย์ ขนั แก้ว : ป.ธ.๙., กศ.ม.(การบรหิ ารการศึกษา), พธ.ด., (พทุ ธจิตวทิ ยา) ทปี่ รกึ ษา ผู้ทรงคุณวฒุ ปิ ระจาวิยาลยั สงฆบ์ ุรรี มั ย์ ผูท้ รงคุณวฒุ ปิ ระจาวิยาลัยสงฆ์บุรีรมั ย์ พระเทพปริยตั ยาจารย์ ผูอ้ านวยการวิทยาลัยสงฆ์บุรีรมั ย์ พระสนุ ทรธรรมเมธี รองผอู้ านวยการฝ่ายบรหิ าร พระศรปี ริยัตธิ าดา รองผอู้ านวยการฝ่ายวิชาการ พระมงคลสุตกจิ พระครศู รปี ัญญาวิกรม,ดร., ผูท้ รงคุณวฒุ ิตรวจทางตน้ ฉบบั ผศ.ดร.สรเชต วรคามวิชยั พระปลัดวีระชมน์ เขมวโี ร, ดร., บรรณาธิการ ดร.ทพิ ย์ ขันแกว้ กองบรรณาธิการ รองผู้อานวยการฝ่ายวิชาการ ประธานหลักสตู รการสอนพระพุทธศาสนา พระครูศรปี ญั ญาวิกรม, ดร., และจิตวิทยาแนะแนว พระปลดั วีระชมน์ เขมวโี ร, ดร., ผอู้ านวยการหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑติ ผอู้ านวยการสานกั วิชาการ พระครวู ินัยธรอานาจ พลปญโฺ ญ นายรังสิทธิ วหิ กเหิน ปที ่พี มิ พ์ ๒๕๕๙ จานวนพิมพ์ ๑๐๐ เลม่ จัดพิมพโ์ ดย วทิ ยาลัยสงฆบ์ ุรีรัมย์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย ISBN ……………………………………………………………….

บท สารบญั หน้า คาปรารภ ก คานา ข สารบญั ค บทท่ี ๑ ความร้ทู ่ัวไปเก่ยี วกับพุทธจิตวิทยา ๑ ๑.๑ ความนา ๒ ๑.๒ ความเป็นมาของพระพุทธศาสนา ๒ ๑.๓ ความเปน็ มาของจติ วทิ ยา ๔ ๑.๔ ความหมายจติ วิทยา ๕ ๑.๕ พฒั นาการจติ วทิ ยา ๙ ๑.๖ แนวคดิ ของจติ วทิ ยาเชงิ บวก ๑๐ ๑.๗ พุทธจิตวทิ ยาเชิงบวก ๑๒ สรปุ ท้ายบท ๑๖ คาถามทา้ ยบท ๑๗ เอกสารอ้างองิ ประจาบท ๑๘ บทท่ี ๒ พุทธจิตวิทยาเชงิ บวก ๑๙ ๒.๑ ความนา ๒๐ ๒.๒ จิตวทิ ยาเชงิ บวก ๒๐ ๒.๓ ความหมายของพุทธจติ วิทยา ๒๔ ๒.๔ จิตวิทยาตะวันออกสู่พุทธจติ วทิ ยา ๒๕ ๒.๕ ความสาคัญของการศึกษาพทุ ธจติ วิทยา ๒๖ ๒.๖ รากฐานของพุทธจิตวทิ ยา ๒๘ สรปุ ทา้ ยบท ๓๑ คาถามทา้ ยบท ๓๓ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท ๓๔ บทท่ี ๓ ความรู้เบ้ืองต้นเก่ยี วกับจติ วิทยา ๓๕ ๓.๑ ความนา ๓๖ ๓.๒ ความหมายของจิตวิทยา ๓๖ ๓.๓ ความสาคญั ของจิตวิทยา ๓๗ ๓.๔ ประวตั ิและความเปน็ มาของการศึกษาทางจติ วิทยา ๔๐

๓.๕ กล่มุ แนวคิดทางจติ วทิ ยา ๔๔ ๓.๖ ระเบียบวธิ ีการศึกษาทางจิตวิทยา ๕๔ ๓.๗ ขอบขา่ ยของจติ วทิ ยา ๕๖ สรปุ ท้ายบท ๕๗ คาถามทา้ ยบท ๕๙ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท ๖๐ บทท่ี ๔ จติ วทิ ยาเชงิ บวก ๖๑ ๔.๑ ความนา ๖๒ ๔.๒ ความหมายของการคิดเชิงบวก ๖๓ ๔.๓ ความสาคัญของการคดิ เชิงบวก ๖๔ ๔.๔ แนวคิดและทฤษฎีพน้ื ฐานของการคดิ เชงิ บวก ๖๖ ๔.๕ ลักษณะของบุคคลท่ีมีการคิดเชงิ บวก ๗๐ ๔.๖ ลกั ษณะการคดิ เชิงบวก ๗๒ ๔.๗ ปัจจยั ทีม่ ีอทิ ธิพลต่อการคิดเชิงบวก ๗๔ สรปุ ทา้ ยบท ๗๖ คาถามทา้ ยบท ๗๘ เอกสารอา้ งอิงประจาบท ๗๙ บทท่ี ๕ การพัฒนาบุคลกิ ภาพ ๘๐ ๕.๑ ความนา ๘๑ ๕.๒ ความหมายของบุคลกิ ภาพ ๘๑ ๕.๓ ปจั จยั ทีม่ ีผลตอ่ บุคลิกภาพ ๘๔ ๕.๔ ความสาคญั ของบคุ ลิกภาพ ๘๖ ๕.๕ ทฤษฎบี คุ ลกิ ภาพ ๘๖ สรปุ ทา้ ยบท ๙๓ คาถามทา้ ยบท ๙๔ เอกสารอา้ งอิงประจาบท ๙๕ บทท่ี ๖ การพฒั นาตนตามแนวพุทธ ๙๖ ๖.๑ ความนา ๙๗ ๖.๒ แนวคิดและทฤษฎเี ก่ียวกับการพฒั นา ๙๗ ๖.๓ แนวคิดการพฒั นาทรัพยากรมนษุ ย์ ๑๐๒ ๖.๔ ความสาคญั ของการพฒั นาทรัพยากรมนษุ ย์ ๑๐๖ ๖.๕ การวางแผนการพัฒนาทรพั ยากรมนุษย์ ๑๐๘

๖.๖ กระบวนการพฒั นาทรัพยากรมนษุ ย์ ๑๑๐ ๖.๗ ทฤษฎกี ารพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ๑๑๔ สรุปทา้ ยบท ๑๒๐ คาถามทา้ ยบท ๑๒๒ เอกสารอ้างองิ ประจาบท ๑๒๓ บทท่ี ๗ ความคิดสร้างสรรค์ ๑๒๔ ๗.๑ ความนา ๑๒๕ ๗.๒ ความหมาย ๑๒๕ ๗.๓ ทฤษฎีความคดิ สรา้ งสรรค์ ๑๒๙ ๗.๔ ความสาคญั ของความคิดสรา้ งสรรค์ ๑๓๑ ๗.๕ กระบวนการความคิดสรา้ งสรรค์ ๑๓๒ ๗.๖ องค์ประกอบความคดิ สร้างสรรค์ ๑๓๔ ๗.๗ การส่งเสรมิ ความคดิ สร้างสรรค์ ๑๓๖ ๗.๘ กจิ กรรมสง่ เสรมิ ความคดิ สรา้ งสรรค์ ๑๓๙ สรปุ ท้ายบท ๑๔๑ คาถามท้ายบท ๑๔๒ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท ๑๔๓ บทที่ ๘ การสร้างแรงจงู ใจ ๑๔๕ ๘.๑ ความนา ๑๔๖ ๘.๒ ความหมาย ๑๔๖ ๘.๓ เทคนคิ การจงู ใจ ๑๔๙ ๘.๔ ทฤษฎีแรงจูงใจ ๑๕๐ ๘.๕ แรงจูงใจในการทางาน ๑๕๒ ๘.๖ ทฤษฎีเสริมแรงจงู ใจ ๑๕๒ สรปุ ท้ายบท ๑๕๕ คาถามทา้ ยบท ๑๕๖ เอกสารอ้างอิงประจาบท ๑๕๗ บทท่ี ๙ การเสรมิ สร้างความสขุ ๑๕๘ ๙.๑ ความนา ๑๕๙ ๙.๒ ความหมาย ๑๕๙ ๙.๓ องค์ประกอบของความสุข ๑๖๒ ๙.๔ การสง่ เสริมความสขุ ๑๖๕ ๙.๕ โปรแกรมพัฒนาตนเอง ๑๖๗

๙.๖ ประโยชน์ของโปรแกรมพัฒนาตนเอง ๑๗๒ สรปุ ทา้ ยบท ๑๗๓ คาถามท้ายบท ๑๗๕ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท ๑๗๖ บรรณานุกรม ๑๗๘

คำปรารภ พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก เป็นหัวใจในการปรับแก้พฤติกรรมของมนุษย์ ท่ีทรงใช้ตลอด พระชนมายุของพระพุทธองค์ในการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาไปยังนานาประเทศ เพื่อปลดเปลอ้ื งให้หลุดพ้นจาก ความทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจ ซ่ึงมนุษย์น้ันประกอบด้วยส่วนหลักใหญ่ๆ คือ กายกับจิต การศึกษาหลัก พุทธจิตวิทยา ถือเป็นมรดกทางธรรมท่ีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานให้เป็นแนวทางในการสั่ง สอนเพ่ือให้มนุษย์เกิดการพัฒนารอบด้าน มีความรู้ คู่คุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ซึ่งสอดคล้องกับ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีโครงการจัดทำและพัฒนาหลักสูตร เพื่อการเรียนรู้ พระพุทธศาสนาของมหาวิทยาลัย ซงึ่ มีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนาเนื้อหารายวิชาให้เป็นที่ยอมรับและใช้ร่วมกันได้ พัฒนารูปแบบของหนังสือ และตำราให้มีเอกลักษณ์ร่วมกัน สวยงาม คงทน น่าสนใจต่อการศึกษาค้นคว้า มี เนื้อหาสาระไปพัฒนาส่ือการศึกษาและเผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ ท้ังสื่อส่ิงพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ระบบคลัง ข้อสอบ พัฒนาบุคลากรและผลงานด้านวิชาการของมหาวิทยาลัยให้แพร่หลาย และเป็นเวทีเสนอผลงานทาง วชิ าการของคณาจารยข์ องมหาวทิ ยาลัย หนังสือพุทธจิตวิทยาแนะแนว (Positive Buddhist Guidance Psychology) เล่มนี้ มีเนื้อหาสาระ รวม ๙ บท โดยศึกษาความหมายพุทธจิตวิทยาเชิงบวก ท่ีเน้นการพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์ให้มีความสุข พ้ืนฐานมาจากการพัฒนาตนเองเป็นคนดี การมองโลกในแง่ดี การมีความหวัง และการมีความสุขในวิถีชีวิต ของตนเอง ขออนุโมทนาขอบคุณอาจารย์ทิพย์ ขันแก้ว อาจารย์ประจำรายวิชา ท่ีได้เสียสละเวลาพัฒนาเน้ือหา รายวิชาเล่มนี้ให้เกิดขึ้น อันจะเป็นประโยชน์สมบัติของวิทยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์สืบไป หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือ เล่มน้ีคงอำนวยประโยชน์เชิงวิชาการด้านพุทธศาสตร์และครุศาสตร์แก่คณาจารย์ นิสิต นักศึกษา และ ประชาชนผู้สนใจท่ัวไป พระศรปี รยิ ัตธิ าดา ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆบ์ ุรรี ัมย์

คำนำ หนังสือพุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก (Positive Buddhist Guidance Psychology) รหัส ๒๐๘ ๔๑๘ หลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนพระพุทธศาสนาและจิตวิทยาแนะแนว ผู้สอนเกิดแรง บนั ดาลใจในฐานะเป็นผู้รับผิดชอบในการบรรยายถวายความรู้แด่นิสติ เหน็ ว่ายังขาดหนังสือและตำราเก่ียวกับ ด้านน้ี สร้างความยุ่งยากและเกิดความไม่สะดวกในการศึกษาค้นคว้าของผู้เรียน จึงมีความคิดอยากเขียน หนังสือด้านนี้และเห็นวา่ มีความสำคัญต่อนิสิตท่ีกำลังเรียน ในสาขาวิชาการสอนพระพุทธศาสนาและจิตวิทยา แนะแนวเป็นอย่างย่ิง จึงได้รวบรวมข้อมูลท่ีเก่ียวข้องจากตำรางานวิจัย วารสารวิชาการและเว็ปไซต์ต่างๆ เพอื่ ให้นสิ ติ นักศึกษาและผู้ที่สนใจไดศ้ ึกษาประกอบการเรียนการสอนในรายวิชาที่เรียน โดยได้นำแนวสงั เขป รายวิชามาศกึ ษาค้นควา้ และจดั รวบรวมเน้อื หาสาระใหส้ อดคล้อง กราบขอขอบคุณพระเดชพระคุณพระศรีปริยัติธาดา ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์บุรีรัมย์ ที่เมตตาเปิด โอกาสในการศึกษาจัดทำเนื้อหารายวิชานี้ เพื่อเป็นประโยชน์แก่นิสิต นักศึกษาและผู้ท่ีสนใจ ศึกษาค้นคว้า ใช้เปน็ ตำราประกอบการเรยี นการสอน มิได้หวังผลกำไรทางการคา้ แต่อย่างไร หวังเป็นเป็นอย่างย่ิงว่า หนังสือประกอบการเรียนรู้ ชื่อ “พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก”เล่มนี้ จะอำนวยประโยชน์แก่นิสิต นักศึกษาผู้ที่สนใจและคณาจารย์ หากท่านผู้อ่านพบเห็นข้อบกพร่อง หรือมีคำ ช้แี นะเพ่ือการปรับปรุงให้สมบูรณ์มากย่ิงข้ึน ขอน้อมยินดีรับฟังความคิดเห็นและจะนำไปปรับปรุงแก้ไขพัฒนา เอกสารเล่มน้ีให้มีความสมบรู ณ์ และมีคุณคา่ ทางการศกึ ษาตอ่ ไป ทิพย์ ขนั แกว้ ๑๙ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๙

บทท่ี ๑ ความรทู้ ่ัวไปเกี่ยวกับพุทธจิตวทิ ยา วัตถุประสงค์การเรยี นรู้ประจาบท เม่อื ได้ศกึ ษาเน้อื หาในบทน้ีแลว้ ผเู้ รียนสามารถ ๑. อธิบายความเปน็ ของพระพุทธศาสนาได้ ๒. อธิบายความเป็นมาและความหมายของจิตวทิ ยาได้ ๓. อธิบายพัฒนาการจิตวิทยาได้ ๔. อธิบายแนวคิดของจิตวทิ ยาเชิงบวกได้ ๕. อธิบายพุทธจติ วิทยาเชิงบวกได้ ขอบข่ายเนอื้ หา  ความเป็นของพระพุทธศาสนา  ความเป็นมาและความหมายของจติ วทิ ยา  พัฒนาการจติ วิทยา  แนวคิดของจติ วิทยาเชิงบวก  พุทธจิตวิทยาเชงิ บวก

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๒ ๑.๑ ความนา ก่อนท่ีจะเรียนรู้และเข้าใจในเรื่อง พุทธจิตวิทยาเชิงบวก ก็ต้องศึกษาเรียนรู้ในความหมาย ของของคา ๓ คา คือ พุทธ จิตวิทยา การคิดบวก ซึ่งเป็นคาหลักและเป็นหัวใจในรายวิชาท่ีจะเรียน ตอ่ ไปนี้ พุทธะ ตามภาษาบาลี พุทฺธ แปลว่า \"ผู้รู้ ผู้ต่ืน ผู้เบิกบาน\" หมายถึงบุคคลผู้ตรัสรู้อริยสัจ ๔ แล้วอย่างถ่องแท้ พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ เปน็ พระบรมศาสดาของพระพทุ ธศาสนา ท้งั ฝุายเถรวาท และ มหายาน ต่างกน็ บั ถอื พระพทุ ธเจ้าว่าเป็นศาสดาของตนเหมือนกัน แตร่ ายละเอียดปลกี ย่อยตา่ งกนั ฝุายเถรวาท ให้ความสาคัญกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระโคตมโคดมพุทธเจ้า และกล่าวถงึ พระพุทธเจ้าในอดตี กับในอนาคตบ้างแต่ไม่ให้ความสาคญั เท่า ฝาุ ยมหายาน นับถือพระพุทธเจา้ ของฝุายเถรวาทท้ังหมดและมีการสร้างพระพุทธเจ้าเพิ่มเติม ขนึ้ มาจนบางองค์มีลักษณะคลา้ ยเทพเจ้าของศาสนาฮินดู ตามคัมภีร์ฝุายพุทธ ถือกันว่า พระพุทธเจ้า พระโคตมโคดม พระองค์ดารงพระชนม์ชีพอยู่ ระหว่าง ๘๐ ปีก่อนพุทธศักราช จนถึงเริ่มพุทธศักราช ซ่ึงเป็นวันปรินิพพาน ตรงกับ ๕๔๓ ปีก่อน คริสตกาลตามตาราไทยอ้างอิงปฏิทินสุริยคติไทย และปฏิทินจันทรคติไทย และ ๔๘๓ ปีก่อน คริสตกาลตามปฏทิ นิ สากล ๑.๒ ความเป็นมาของพระพทุ ธศาสนา คาว่า พระพุทธศาสนา ประกอบด้วยคาว่า พุทธะ ซ่ึงแปลว่า ผู้รู้ กับคาว่า ศาสนา ที่แปลว่า คาส่งั สอน รวมกันเขา้ เป็น พุทธศาสนา แปลว่า คาสั่งสอนของผู้รู้ เมื่อพูดว่า พุทธศาสนา ความเข้าใจ ก็ต้องแล่นเข้าไปถึงลัทธิปฏิบัติ และคณะบุคล ซ่ึงเป็นผู้ปฏิบัติในลัทธิปฏิบัติน้ัน ไม่ใช่มีความหมาย แต่เพียงคาสั่งสอน ซึ่งเป็นเสียงหรือเป็นหนังสือ หรือเป็นเพียงตารับตาราเท่าน้ัน พระพุทธศาสนา ในบัดนี้ได้รับนับถือและปฏิบัติเนื่องมาจากอะไรคือเราได้อะไรจากสิ่งท่ีเรียกว่าพระพุทธศาสนานั้น มานับถือปฏิบัติในบัดน้ี เม่ือพิจารณาดูแล้วก็เห็นว่า เราได้หนังสือ อย่างหน่ึง บุคคล อย่างหนึ่ง หนังสือน้ันก็คือตาราท่ีแสดงพระพุทธศาสนา บุคคลนั้นก็คือพุทธศาสนิกที่แปลว่าผู้นับถือ พระพุทธศาสนา พุทธศาสนิกนี้มิใช่หมายเพียงแต่คฤหัสถ์ หมายความถึงทั้งบรรพชิตคือนักบวช และคฤหัสถ์คือผู้ซ่ึงนับถือพระพุทธศาสนา พูดอีกอย่างหน่ึงได้แก่ พุทธบริษัทคือหมู่ของผู้นับถือ พระพุทธเจ้า ดังท่ีเรียกว่า ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา แต่ในบัดนี้ภิกษุณีไม่มีแล้ว ก็มีภิกษุกับ สามเณรและอบุ าสกอุบาสกิ า หรือบุคคลที่เรียกว่า พุทธมามกะ พุทธมามิกา ก็รวมเรียกว่าพุทธบริษัท หรือพุทธศาสนิกทั้งหมด คือในบัดน้ีมีหนังสือซ่ึงเป็นตาราพ ระพุทธศาสนาและมีบุคคล ซ่ึงเป็นพุทธศาสนิกหรือเป็นพุทธบริษัท ท้ัง ๒ อย่างนี้ หนังสือก็มาจากบุคคลนั่นเอง คือ บุคคลท่ีเป็น พุทธศาสนิกหรือเป็นพุทธบริษัทได้เป็นผู้ทาหนังสือขึ้น และบุคคลดังกล่าวนี้ก็ได้มีสืบต่อกันเร่ือยมา ตั้งแต่สมัยพุทธกาล และสืบต่อมาตั้งแต่จากที่เกิดของพระพุทธศาสนา มาจนถึงในต่างประเทศ ของประเทศน้ัน ดังเช่นในประเทศไทยในบัดนี้ คือว่าได้มีพุทธศาสนิกหรือพุทธบริษัทสืบต่อกันมา

พทุ ธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๓ จนมาถึงเราทั้งหลายในบัดน้ี และเราทั้งหลายในบัดน้ีก็ได้เป็นพุทธศาสนิกคือพุทธบริษัทในปัจจุบัน และคนร่นุ ต่อๆ ไปกจ็ ะสบื ตอ่ ไปอกี เมื่อทราบว่า เราในบัดนี้ได้ทราบพระพุทธศาสนาจากหนังสือและจากคณะบุคคลซ่ึงเป็น พทุ ธศาสนกิ ด่งั ทกี่ ลา่ วมาโดยย่อน้ีแล้ว เมื่อศึกษาจากหนังสือและบุคคลท่ีเป็นพุทธศาสนิกชนท่ีเป็นครู บาอาจารยต์ อ่ ๆ กันมา จึงไดท้ ราบวา่ ต้นเดิมของพระพทุ ธศาสนานน้ั ก็คอื \"พระพุทธเจา้ \" คาว่า พระพุทธะ แปลว่า พระผู้รู้ ในภาษาไทยเราเติมคาว่า เจ้า เรียกว่า พระพุทธเจ้า คือ เอาความรู้ของท่านมาเป็นช่ือ ตามพุทธประวัติท่ีทราบจากหนังสือทางพระพุทธศาสนา ดังกล่าวน้ัน พระพทุ ธเจ้าก็เปน็ บุคคลคอื เป็นมนษุ ย์เรานี่เอง ซึ่งมีพระประวัติดั่งที่แสดงไว้ในพระพุทธประวัติ แต่ว่า ท่านได้ค้นคว้าหาความรู้ จนประสบความรู้ที่เป็นโลกุตระ คือความรู้ท่ีเป็นส่วนเหนือโลก หมายความ งา่ ย ๆ ว่า ความรูท้ ี่เปน็ ส่วนโลกยิ ะหรอื เป็นส่วนโลกน้นั เมื่อประมวลเขา้ แล้วก็เป็นความรู้ที่เป็นในด้าน สร้างบ้าง ในด้านธารงรักษาบ้าง ในด้านทาลายบ้าง ผู้รู้เองและความรู้นั้นเองก็เป็นไปในทางคดีโลก ซ่ึงต้องเป็นไปตามคติธรรดาของโลก ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เพราะต้องเกี่ยวข้องอยู่กับโลก นอกจากน้ียังเป็นทาสของตัณหาคือความด้ินรนทะยานอยากของใจ ถึงจะเป็นเจ้าโลก แต่ไม่เป็นเจ้า ตณั หา ตอ้ งเปน็ ทาสของตณั หาในใจของตนเอง จึงเรียกวา่ ยงั เป็นโลกิยะ ยังไม่เป็นโลกุตตรคืออยู่เหนือ โลก แตค่ วามร้ทู ี่จะเป็นโลกตุ ระ คอื อยเู่ หนอื โลกไดน้ ้ันจะต้องเป็นความรู้ที่ทาให้หลุดพ้นจากกิเลสและ กองทุกข์ดั่งกล่าวได้ พระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้ปฏิญญาพระองค์ว่าเป็นผู้ตรัสรู้พระธรรม ซ่ึงทาให้เป็นโลกุตระคืออยู่เหนือโลก คือทาให้ท่านผู้รู้น้ันเป็นผู้พ้นจากกิเลสและกองทุกข์ดั่งกล่าวนั้น ท่านผู้ประกอบด้วยความรู้ด่ังกล่าวมานี้ และประกาศความรู้น้ันส่ังสอน ได้ช่ือว่าเป็นพระพุทธเจ้า ซ่งึ เปน็ ตน้ เดิมของพระพทุ ธศาสนา คาวา่ พระธรรม ทีแรกก็เป็นเสียงที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าเป็นเสียงที่ประกาศ ความจริงให้บุคคลทราบธรรมะท่ีพระองค์ได้ตรัสรู้ เพราะฉะนั้น เสียงท่ีประกาศความจริงแก่โลกนี้ ก็เรียกกันว่าพระธรรมส่วนหนึ่ง หรือเรียกว่าพระพุทธศาสนา คือเป็นคาที่ออกมาจากพระโอษฐ์ ของพระพุทธเจ้า เป็นคาสั่ง เป็นคาสอน ข้อปฏิบัติที่คาส่ังสอนน้ันช้ี ก็เป็นพระธรรมส่วนหนึ่ง ผลของการปฏบิ ัตกิ ็เปน็ พระธรรมสว่ นหน่งึ เหลา่ นี้เรียกว่าพระธรรม คาว่า พระสงฆ์ คือผู้ได้ฟังเสียงซ่ึงออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ได้ความรู้พระธรรม คือความจริงท่ีพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน จนถึงได้บรรลุโลกุตตรธรรม ธรรมะที่อยู่เหนือโลกตาม พระพุทธเจา้ เรียกว่า พระสงฆ์ คอื หมูข่ องชนท่ีเป็นสาวกคือผู้ฟังของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้รู้พระธรรม ตามพระพุทธเจ้าได้ พระสงฆ์ดังกล่าวนี้เรียกว่าพระอริยสงห์ มุ่งเอาความรู้เป็นสาคัญเหมือนกัน ไม่ได้ มุ่งว่าจะต้องเป็นคฤหัสถ์หรือจะต้องเป็นบรรพชิต และเม่ือรู้พระธรรมของพระพุทธเจ้าก็ประกาศตน นับถือพระพุทธเจ้า ท่ีมีศรัทธาแก่กล้าก็ขอบวชตาม ท่ีไม่ถึงกับขอบวชตามก็ประกาศตนเป็นอุบาสก อุบาสิกา จึงได้เกิดเป็นบริษัท ๔ ข้ึน คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในบริษัท ๔ น้ี หมู่ของภิกษุ กเ็ รียกว่าพระสงฆ์เหมอื นกัน แต่เรียกว่าสมมติสงฆ์ สงฆ์โดยสมมติ เพราะว่าเป็นภิกษุตามพระวินัยด้วย วิธีอุปสมบทรับรองกันว่าเป็นอุปสัมบันหรือเป็นภิกษุข้ึน เมื่อภิกษุหลายรูปมาประชุมกันกระทากิจ ของสงฆก์ ็เรียกว่า สงฆ์ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ที่เป็นอริยสงฆ์ทั้ง ๓ นี้ รวมเรียกว่า พระรัตนตรัย ซึ่งเป็นสรณะที่พึ่งอย่างสูงสุดในพระพุทธศาสนาความเป็นอริยสงฆ์นั้นเป็นจาเพาะตน ส่วนหมู่แห่ง

พทุ ธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๔ บุคคลที่ดารงพระพุทธศาสนาสืบต่อมาก็คือพุทธบริษัทหรือพุทธศาสนิกดังกล่าวมาข้างต้น ในพุทธ บริษัทเหล่านี้ ก็มีภิกษุสงฆ์น่ีแหละเป็นบุคคลสาคัญ ซึ่งเป็นผู้พลีชีวิตมาเพ่ือปฏิบัติดารงรักษา พระพทุ ธศาสนา นาพระพุทธศาสนาสบื ๆ ตอ่ กนั มาจนถึงในบดั น้ี๑ ๑.๓ ความเป็นมาของจิตวิทยา ศาสตร์ทางด้านจิตวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ พึ่งปรากฏลักษณะเฉพาะของตนเองอย่างเด่นชัด ในปลายศตวรรษที่ ๑๓ แต่รากฐานของจิตวิทยานั้น มีมานานตั้งแต่แรกเริ่ม ของการจดบันทึก ประวัติศาสตร์โดยนักปราชญ์ชาวกรีกโดยเฉพาะเพลโต (Plato) และอริสโตเติล (Aristotle) เพลโต เชื่อมั่นว่าการคิดและการใช้เหตุผลเท่านั้น ที่ทาให้คนเกิดความเข้าใจในส่ิงท่ีเขาสามารถจะเข้าใจได้ เพลโตจึงไม่สนใจวิธีการสังเกต หรือการทดลองใด ๆ แต่อริสโตเติลแตกต่างจากเพลโตตรงที่เขาเป็น นกั สังเกต เขาสนใจสิ่งภายนอกทีม่ องเห็นได้และมคี วามเชื่อว่า การเขา้ ใจปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่ เก่ียวข้อง กับคนต้องเริ่มด้วยการสังเกตอย่างมีระบบและด้วยเหตุนี้นักจิตวิทยาบางคนจึงได้ยกย่อง อริสโตเติลวา่ เป็นนักจิตวทิ ยาคนแรกของโลก เมอ่ื วัฒนธรรมของกรีกสลายลง การแสดงความคิดเห็นด้วยปัญญาก็เลิกล้มไป ศาสนาเริ่มเข้า มาเก่ียวข้อง นักสอนศาสนา เซ็นต์ โทมัส อาควิแนส (St Tomas Aquinas) ได้นาเอางาน ของอริสโตเติลมาศึกษา ตีความหมายและเข้ารวมกับคาสอนอันฉลาดของเขาในการเทศน์ท่ีโบสถ์ ในศตวรรษที่ ๑๓ สาหรับเรื่องจิต (mind) น้ัน อริสโตเติล ศึกษาในรูปของพฤติกรรม แต่อาทวิแนส พิจารณาว่าเป็นส่วนท่ีแยกออกจากร่างกาย ซ่ึงความเชื่อในการแยกจิตออกจากกายนั้นเป็นท่ีสนใจ ของนักจติ วิทยาสมัยต่อมา การฟ้ืนฟูการสืบสวนโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ศตวรรษท่ี ๑๕ รูปแบบของการศึกษาเริ่ม เปลย่ี น มกี ารละทิง้ ความเชือ่ เดมิ บางอยา่ ง มีการค้นหาความรู้ใหม่ ๆ วิธีการสืบสวน แบบวิทยาศาสตร์ เริ่มมีขึ้น แม้ว่าจะยังไม่มีเหตุการณ์ใหม่ที่สาคัญมากเกิดข้ึนในช่วงนี้ แต่ก็จัดว่าเป็นพื้นฐานของการ พัฒนาวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ในสมัยต่อมาต้นศตวรรษที่ ๑๗ ฟรานซีส เบคอน (Francis Bacon) ชักชวนให้คนเห็นความสาคัญระหว่างทฤษฎีและการวิจัย เขากล่าวว่า ทฤษฎีให้แนวทางการวิจัย ให้คาตอบ ในช่วงเวลาเดียวกัน เดอคาร์ท (Rene Descartes) ผู้นิยมแนวคิดของ เพลโตและ อาทวิแนส มีความเชอื่ ว่า ความคิดเหน็ (ideas) เกิดขน้ั มาเอง และพระเจา้ จดั วางไว้ในจิต เดอคาร์ทไม่ เห็นด้วยกับเบคอน เขาเช่ือว่าคนเราสามารถค้นหาความจริงได้จากเหตุผลเท่านั้นไม่ใช่อาศัยจากการ สังเกต และเขายังเช่อื ว่าจติ กบั กายแยกจากกัน จิตเป็นตัวคิดเป็นสิ่งท่ีไม่มีตัวตนร่างกายเป็นเครื่องจักร ทมี่ ตี วั ตนซงึ่ ทางานตามท่จี ิตต้องการ ระหว่างศตวรรษที่ ๑๗ จนถึงกลางศตวรรษท่ี ๑๙ มกี ลุม่ สาคัญ ๒ กลุ่มที่มีผลต่อจิตวิทยา คือ กลุ่มประจักษ์นิยมชาวอังกฤษ (British empiricism) กลุ่มนี้ไม่เห็นด้วยกับเดอซาร์ท พวกเขาเช่ือว่า ความรู้ผ่านเข้ามาทางสื่อกลางและความรู้สึก เปรียบจิตว่าเป็นแทปบูล่า ราซ่า (tabulu rasa) หรือ แผ่นหินว่างเปล่าอันเป็นที่จารึกประสบการณ์ ดังนั้นเราจึงรู้ว่าเรามีประสบการณ์อะไรบ้าง ๑ พุทธะ เข้าถึงไดจ้ าก http://www.phuttha.com (ออนไลน์) สืบคน้ เม่ือ ๒๑ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๙.

พุทธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๕ นอกจากน้ันจิตยังเป็นท่ีรวมของความคิดเห็น โดยมีแนวคิดว่าความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกับความคิดเห็น เปน็ หลักการขั้นพ้ืนฐาน ซ่ึงแสดงให้เห็นว่าคนเรามีการเรียนรู้และมีการคิดอย่างไร นักจิตวิทยากลุ่มน้ี จึงมีบทบาทสาคัญต่อการเกิดจิตวิทยากลุ่มสัมพันธ์นิยม (associationistic psychology) ในระยะ ต่อมา อีกกลุ่มหนึ่งสนใจทางชีวภาพ เช่น ความแตกต่างระหว่างประสาทส่วนรับความรู้สึกกับ ประสาทส่วนการเคล่ือนไหว และลักษณะทางกายท่ีแสดงปฏิกิริยาสะท้อน (reflex) และได้พยายาม อธิบายการกระทาของมนุษย์ด้วยหลักการทางฟิสิกส์ศึกษาปรากฏการณ์ต่าง ๆ ท่ีน่าใจมากมาย เช่น ศึกษาอัตราความเร็วของการกระตุ้นประสาทที่มีต่อกระบวนการมองเห็น ได้ยิน และการรับรู้ มีผู้ ก่อตั้งวิธีการท่ีภายหลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิทยาทดลอง คือ วิธีการของจิตฟิสิกส์ (psychophysics) ซึ่งเป็นวิธีท่ีใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางกายภาพของสิ่งเร้ากับ ประสบการณ์ร้สู ึกผ้ทู ่ถี กู เรา้ รายงานออกมา ๑.๔ ความหมายจิตวิทยา จิตวิทยา มาจากคาในภาษาอังกฤษว่า Psychology ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ๒ คา คือ Psyche หมายถึง จิตวิญญาณ (mind, soul) กับคาว่า Logos หมายถึง ศาสตร์ วิชา วิทยาการ (science, study)๒ จติ วทิ ยา หมายถึง วิชาว่าดว้ ยจิต วิทยาศาสตร์แขนงหน่งึ ว่าดว้ ยปรากฏการณ์พฤติกรรม และ กระบวนการของจิต๓ จิตวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์ท่ีว่าด้วยพฤติกรรม โดยเน้นพฤติกรรมทางจิตของบุคคลท่ัวไป๔ จิตวิทยา คือ การศึกษาพฤติกรรมกระบวนทางจิตเชิงปรนัย เป็นศาสตร์ท่ีมีขอบเขต กวา้ งขวาง เป็นองค์ความรู้ท้ังเชิงศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ คลอบคลุมทุกด้านเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ทัง้ ทางกาย สงั คม อารมณ์ จติ ใจ ความคดิ สตปิ ัญญา จุดมุ่งหมายสาคัญของการศึกษาศาสตร์สายน้ีคือ เพื่อท่จี ะเข้าใจ อธบิ าย ทานาย พัฒนาและควบคุมพฤตกิ รรมด้านตา่ งๆ๕ จิตวิทยาเป็นวิชาท่ีมุ่งศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ โดยใช้ระเบียบวิธีการศึกษาทาง วทิ ยาศาสตร์๖ ๒ กันยา สุวรรณแสง, จิตวิทยาท่วั ไป, พิมพค์ ร้งั ที่ ๔, กรุงเทพมหานคร : อักษรพทิ ยา, ๒๕๔๒, หนา้ ๑๑. ๓ ราชบัณฑติ ยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, กรงุ เทพมหานคร: นานมี บคุ ส์พบั ลเิ คชนั่ ส์, ๒๕๔๒, หนา้ ๓๑๒. ๔ ปราณี รามสตู , จิตวทิ ยาทัว่ ไป, กรุงเทพมหานคร : สานกั พมิ พส์ ถาบนั ราชภฏั ธนบรุ ี, ๒๕๔๒, หน้า ๒. ๕ จิราภา เต็งไตรรตั น์ และคนอน่ื ๆ, จิตวิทยาทั่วไป, พิมพ์ครัง้ ท่ี ๕,. กรงุ เทพฯ: สานกั พมิ พห์ าวทิ ยาลัย ธรรมศาสตร.์ ๒๕๕๐, หน้า ๒๙. ๖ เติมศกั ดิ์ คทวนชิ , จิตวทิ ยาท่ัวไป, พมิ พค์ ร้ังที่ ๒, กรงุ เทพมหานคร: ซีเอด็ ยูเคชัน่ , ๒๕๔๖, หนา้ ๑๒.

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๖ จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาค้นคว้าเพ่ือนาข้อมูลต่าง ๆ ความรู้ท่ีได้จากแนวคิดทฤษฎี และ การทดลองนามาเสนอเพื่ออธิบายและควบคุมพฤติกรรมทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของ มนษุ ย๗์ จิตวิทยาเป็นศาสตร์ท่ีศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรม และกระบวนการทางจิตซึ่งหมายถึง ทั้ง พฤติกรรมภายนอก พฤตกิ รรมภายใน โดยท่บี ุคคลอาจจะไม่รตู้ วั เลยกไ็ ด้๘ จิตวิทยา (psychology) คือ การศึกษาเรื่องของจิตใจ พฤติกรรมและสภาพแวดล้อมของคน และสัตวโ์ ดยวิธีการทดลอง สังเกต สารวจอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ มักเน้นการศึกษาแต่ละคนหรือกลุ่ม เล็ก ๆ มากกว่า แบ่งเป็นแขนงต่าง เช่น จิตวิทยาการทดลอง (experimental psychology) เน้น วิธีการศึกษากระบวนการทางจิตใจและพฤติกรรมอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ จิตวิทยาสังคม จิตวิทยา การศกึ ษา จติ วทิ ยาอาชพี จติ วทิ ยาคลินิก๙ ๑.๔.๑ จติ วทิ ยา ๑.ศาสตร์สาขาหน่ึงทศี่ ึกษาพฤติกรรม การกระทา หรอื กระบวนการทางจิตใจ ๒. ศาสตร์ที่ว่าด้วยพฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ซ่ึงเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ ทงั้ หมดของชวี ิต รวมถงึ ระบบของร่างกายที่เก่ียวกับพฤติกรรม การทางานของประสาทสัมผัสและการ เคล่ือนไหว ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม พัฒนาการ ปัจจัยทางพันธุกรรมและส่ิงแวดล้อม กระบวนการทาง ปัญญาท่อี ยู่ในจิตสานึกและจติ ใต้สานึกสุขภาพจิตและความผิดปกติทางจิต พลวัตของพฤติกรรม การ สังเกต การทดสอบ และการทดลอง การประยุกต์ความรู้ทางจิตวิทยา เช่น การจ้างงาน การจัดการ ศึกษา เรื่องเกีย่ วกับจติ บาบดั และพฤตกิ รรมของผบู้ รโิ ภค๑๐ จิตวิทยา เป็นวิชาที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับวิญญาณหรือจิตใจของสิ่งมีชีวิต (กระบวนการของ จิต) สมอง หรือกระบวนความคิดและพฤติกรรมของมนุษย์ ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ซ่ึง ครอบคลมุ ถึงอารมณ์ การนกึ คดิ รับร้พู ฤติกรรมและปฏิสัมพนั ธข์ องมนษุ ย์๑๑ จิตวิทยา คอื ศาสตร์แขนงหน่ึงซึ่งศึกษาถึงเรื่องราวของพฤติกรรมของมนุษย์ เน้ือหาวิชาของ จิตวทิ ยานน้ั ผดิ แผกแตกตา่ งกันไปตามแต่แขนงวิชาของจิตวิทยา จิตวิทยาบางแขนงเน้นศึกษาในเร่ือง หนงึ่ ส่วนจิตวิทยาแขนงหนงึ่ อาจเนน้ ไปศึกษาอีกเร่ืองหนึ่งก็ได้ จิตวิทยาอาจหมายถึง วิชาการที่ศึกษา ถงึ กระบวนการของจติ ใจ หรอื ศกึ ษาถงึ กระบวนการของตัวตน หรือการกระทาก็ได้ จิตวิทยาแตกแยก ออกไปเปน็ หลายพวกหลายสกุล การจดั จาแนกสกุลจิตวทิ ยาอาจจะทาได้หลายทัศนะ แต่ละทัศนะก็มี ๗ สุปราณี สนธิรตั น์ และคณะ, จติ วทิ ยาทั่วไป, กรุงเทพมหานคร: เนตกิ ุลการพมิ พ,์ (พิมพ์คร้งั ที่ ๕). กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร,์ คณะสงั คมศาสตร,์ ภาควิชาจิตวิทยา.๒๕๓๗, หนา้ ๑. ๘ วไิ ลวรรณ ศรีสงคราม และคณะ, จติ วทิ ยาทัว่ ไป, กรงุ เทพมหานคร : ทรปิ เพ้ิล กรุ๊ป, ๒๕๔๙, หน้า ๒. ๙ วิทยากร เชยี งกลู , สภาวะการศกึ ษาไทยปี “ปัญหาความเสมอภาคและคุณภาพของการศกึ ษาไทย”, กรงุ เทพมหานคร : ว.ี ที.ซี.คอมมูนวิ เคชนั่ , ๒๕๕๒, หนา้ ๑๙๑. ๑๐ ราชบณั ฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, กรงุ เทพมหานคร: นานมี บคุ สพ์ บั ลเิ คชนั่ ส์, ๒๕๕๐, หนา้ ๓๒๓-๓๒๔. ๑๑ สงกรานต์ ก่อธรรมนเิ วศน,์ ศพั ท์ทางจติ เวช. กรงุ เทพมหานคร: สานักพิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๒, หน้า ๓๐๐

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชิงบวก ๗ หลักยึดในการจัดจาแนกแตกต่างกัน เช่น การจาแนกสกุลจิตวิทยาโดยถือเอาระบบและระเบียบวิธี การศึกษาเป็นเกณฑ์ การจาแนกสกุลจิตวทิ ยาโดยถือเอาลักษณะธรรมชาติของข้อมูลทางจิตวิทยาเป็น หลกั และการจาแนกสกุลจิตวิทยาโดยถอื เอาอนิ ทรยี ท์ ี่มงุ่ ศึกษาเปน็ เกณฑ์๑๒ จิตวิทยา เป็นศาสตร์ท่ศี กึ ษาเรื่อง พฤติกรรมของมนุษย์และสัตว์ท่ีเก่ียวข้องกับสิ่งแวดล้อมซึ่ง สามารถวัดไดด้ ้วยหลกั วทิ ยาศาสตร์ และการรวบรวมข้อมูลอยา่ งมีหลกั เกณฑ์เปน็ ระเบียบ ระบบ สมัย โบราณ จิตวิทยา หมายถึง การศึกษาเกี่ยวกับจิตเน่ืองจากเห็นว่า จิตของมนุษย์เป็นสิ่งสาคัญที่ทาให้ บุคคลมีพฤติกรรมแตกต่างกันและต่างไปจากสัตว์หรือชีวิตอ่ืน ๆ ต่อมาภายหลังจากการพัฒนาและ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตรเ์ พ่ิมข้นึ โดยเฉพาะความรู้ทางสรรี วิทยา แนวการศึกษาทางจิตวิทยาจึง เปล่ยี นมาท่ีการกระทาของบคุ คล และธรรมชาตขิ องมนุษย์๑๓ สรปุ ความหมายของจติ วิทยา คอื วชิ าที่ศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรม หรือกิริยาอาการของมนุษย์ รวมถึงความพยายามที่จะศึกษาว่ามีอะไรบ้างหรือตัวแปรใดบ้าง ในสถานการณ์ใดท่ีเก่ียวข้องกับการ ทาให้เกิดพฤติกรรมต่าง ๆ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะทาให้สามารถคาดคะเน หรือพยากรณ์ได้โดยใช้ แนวทางหรือวิธีการทางวทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ เครอื่ งมอื ช่วยในการวเิ คราะห์ ๑.๔.๒ ความสาคญั จิตวิทยาเป็นศาสตร์ท่ีศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ ดังนั้นผู้ศึกษาวิชาจิตวิทยาจึงสามารถ นาเอาความรู้ไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวและ สถานท่ีทางาน ตลอดจนมี ความสาคญั ตอ่ การประกอบอาชพี ต่าง ๆ ทั้งนีเ้ พราะหลักการทางจิตวิทยาสามารถนาไปประยุกต์ใช้ได้ กับงานต่าง ๆ มากมาย ความสาคัญและคณุ คา่ ของวิชาจิตวิทยา เก่ียวข้องกับชีวิตมนุษย์ในด้านต่าง ๆ ดงั ต่อไปนี้๑๔ ๑. จิตวิทยาช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความเข้าใจตนเอง โดยธรรมชาติของมนุษย์น้ัน มักให้ความ สนใจตนเองมากกว่าผู้อ่ืนและอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับตนเอง การศึกษาจิตวิทยาซึ่งให้คาตอบ เก่ียวกับธรรมชาติของมนุษย์ในแง่มุมต่าง ๆ จึงช่วยให้ผู้ศึกษานาไปเปรียบเทียบกับตนเองและเกิด ความเข้าใจตนเองไปด้วย นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์รู้จักยอมรับตนเองและได้แนวทางในการจัดการ กับตนเองอย่างมีประสิทธิภาพมากข้ึน เช่นอาจเป็นการปรับตัว พัฒนาตน หรือเลือกเส้นทางชีวิตที่ เหมาะสมกบั ต้นเอง เป็นตน้ ๒. จิตวิทยาช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความเข้าใจผู้อ่ืน ศาสตร์ทางจิตวิทยาซึ่งเป็นข้อสรุปธรรมชาติ พฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ นอกจากช่วยให้ผู้ศึกษาเกิด ความเข้าใจ พฤติกรรมของบุคคลท่ัวไปแล้ว ยังเป็นแนวทางให้เข้าใจพฤติกรรมของผู้ท่ีอยู่แวดล้อมด้วยอันอาจจะเป็นบุคคลในครอบครัว กลุ่ม เพ่ือน กลมุ่ บคุ คลภายนอก ความเข้าใจดังกล่าวสง่ ผลใหเ้ กดิ การยอมรับในข้อดีข้อจากัดของกันและกัน ๑๒ เดโช สวนานนท,์ ปทานกุ รมจติ วิทยา, กรุงเทพมหานคร : โอเดยี นสโตร์. ๒๕๒๐, หน้า ๒๐๓. ๑๓ ทรงพล ภูมิพัฒน์, จติ วิทยาสังคม, กรุงเทพมหานคร : ศนู ยเ์ ทคโนโลยีทางการศกึ ษา ฝุายเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ศรปี ทมุ , ๒๕๓๘, หน้า ๒๔. ๑๔ ปราณี รามสตู , จติ วทิ ยาทัว่ ไป, กรงุ เทพมหานคร : สานักพิมพส์ ถาบนั ราชภฏั ธนบรุ ,ี ๒๕๔๒, หนา้ ๔- ๕.

พทุ ธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๘ ชว่ ยให้มีการปรับตัวเข้าหากัน และยังชว่ ยการจดั วางตัวบุคคล ให้เหมาะสมกับงานหรือการเรียน หรือ กจิ กรรมต่างๆ ได้ดมี ากขนึ้ ๓. จติ วิทยาชว่ ยใหไ้ ด้แนวทางในการวางกฎเกณฑ์ทางสังคม เช่น กฎหมายบ้านเมือง ระเบียบ ปฏิบัติบางประการ มักเกิดขึ้นหรือถูกยกร่างข้ึน โดยอาศัยพ้ืนฐานความเข้าใจเก่ียวกับธรรมชาติ พฤติกรรมของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น จิตวิทยาท่ีช่วยให้เกิดความเข้าใจในเร่ืองความต้องการการยอมรับ ความต้องการสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคของคน ส่งผลให้เกิดกฎหมายว่าด้วยสิทธิมนุษยชน หรือการจัดให้มีวันเด็กแห่งชาติ ปีสากลสาหรับผู้สูงอายุ หรือเกิดองค์กรบางลักษณะท่ีทางานในด้าน การให้โอกาสที่เท่าเทียมกันสาหรับบุคคลบางกลุ่ม หรือสาหรับผู้ด้อยโอกาสบางประเภท หรือแม้แต่ การจัดให้มีการแข่งขันกีฬานานาชาติสาหรับคนพิการ ก็จัดเป็นส่วนหนึ่งของการนาความรู้เร่ือง จิตวิทยาสาหรับผู้มีลักษณะพิเศษมาเป็นแนวทางปฏิบัติบางประการทางสังคม นอกจากน้ัน จิตวิทยา ยังมีผลต่อ กฎหมายว่าด้วยการพิจารณาความผิดทางกฎหมายบางลักษณะโดยมีการนาสามัญสานึก มาร่วมพิจารณาความผิดของบุคคล เช่น กฎหมายว่าด้วยการกระทา ความผิดของผู้เยาว์ หรือผู้ท่ีมี สุขภาพจิตบกพร่องท่ีกระทาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือโดยเพราะความผิดปกติทางจิตใจ ซึ่งจิตวิทยา จะช่วยให้ผู้ศึกษา เกิดความเข้าใจความผิดปกติต่าง ๆ เหล่านั้นได้มากกว่าศาตร์สาขาอื่น ช่วยให้การ พิจารณาบุคคลหรือการวางเกณฑท์ างสงั คม เปน็ ไปอยา่ ง สมเหตสุ มผลมากขึ้น ๔. จติ วทิ ยาชว่ ยบรรเทาปัญหาพฤติกรรม และปัญหาสังคม ความรู้ทางจิตวิทยาในบางแง่มุม ช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความเข้าใจในอิทธิพลของสิ่งเร้า และสิ่งแวดล้อมทีมีผลต่อการหล่อหลอม บุคลิกภาพบางลักษณะ เช่น ลักษณะความเป็นผู้หญิง ลักษณะความเป็นผู้ชาย ลักษณะผิดเพศบาง ประการ รวมไปถึงอทิ ธิพลของสอ่ื มวลชนบางประเภท รายการโทรทัศน์บางลักษณะที่ส่งผลให้เด็กเกิด พฤตกิ รรมก้าวร้าวอยากทาลาย หรือเกิดความเชอ่ื ทีผ่ ิด หรือเกิดการลอกเรียนแบบอันไม่เหมาะสม ซึ่ง มีผลกระทบต่อการกระทาในเชงิ ลบฯลฯ เป็นต้น จากความเข้าใจดงั กลา่ วนีน้ าไปสกู่ ารคัดเลือกสรร ส่ิง ที่นาเสนอเน้ือหาทางสื่อมวลชนให้เป็นไปทางสร้างสรรค์ เพ่ือเสริมสร้างพฤติกรรมของเด็กและผู้ใหญ่ ในสังคมอย่างเหมาะสม นอกจากน้ัน จากคาอธิบายของจิตวิทยาในเร่ืองของเจตคติของบิดามารดา บางประการที่ส่งผลให้เดก็ มีลักษณะลกั เพศ ก็อาจจะเป็นแนวคิดแก่บิดามารดา ในการปรับพฤติกรรม การเลี้ยงดูเพื่อให้เด็กเจริญเติบโตอย่างเหมาะสมต่อไป อันนับเป็นการบรรเทาปัญหาพฤติกรรมและ ปัญหาสงั คมไปได้บ้าง ๕. จติ วทิ ยาชว่ ยส่งเสรมิ พัฒนาคณุ ภาพชีวิต ความรู้ทางจิตวิทยาท่ีว่าด้วยการเล้ียงดูในวัยเด็ก อนั มผี ลต่อบคุ คล เม่ือเจริญเติบโตเป็นผใู้ หญ่ส่งผลให้เกิด ความพยายาม ในการสร้างรูปแบบการเลี้ยง ดูท่ีเหมาะสมเพื่อเสริมสร้างพัฒนาคนท้ังกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา เพื่อให้ได้คนดีมี ประสิทธิภาพ หรือคนที่มีคุณลักษณะอันพึงปรารถนาของสังคมน้ัน ๆ และจิตวิทยายังช่วยให้ผู้ศึกษา รับรู้โดยเร็ว เก่ียวกับสัญญาณเตือนภัยในพฤติกรรมผิดปกติต่าง ๆ อันนาไปสู่การแก้ปัญหาและ ปูองกันปัญหาพฤติกรรม รวมท้ังการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางลักษณะที่ไม่เหมาะสมของบุคคล จึง กลา่ วได้วา่ จติ วิทยาเป็นศาสตรท์ ี่ช่วยเสรมิ สร้างพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ไดอ้ ีกศาสตรห์ นงึ่

พทุ ธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๙ ๑.๕ พฒั นาการทางจติ วิทยา สปุ ราณี สนธริ ตั น์ และคณะ๑๕ ไดก้ ล่าวถงึ การขยายตัวของจติ วิทยาไวอ้ ยา่ งละเอยี ด ดังน้ี ห้องปฏิบัติการทางจิตวิทยาห้องแรกสร้างข้ันโดย วิลเฮล็ม วุ๊นดท์ (Wilhelm Wundt) ในปี ค.ศ. ๑๘๙๗ ทเ่ี มอื งไลป์ซิก (Leipzig) ซึ่งเขาได้รบั การฝกึ อบรมและได้รับแนวคิดจากกลุ่มสัมพันธ์นิยม ชาวอังกฤษ วุน๊ ดท์ไดจ้ ดั ต้งั กลุม่ จิตวทิ ยาข้นึ เรยี กว่ากลุ่มโครงสร้างนิยม (structuralism)โดยมีแนวคิด ว่า การศึกษาจิตต้องศึกษาส่วนย่อย ๆ ที่ประกอบข้ึนมา โดยใช้วิธีการพื้นฐานทางจิตวิทยาคือ การ สังเกตตนเอง หรือท่ีเรยี กว่าการตรวจพนิ จิ จติ (introspection) ปี ค.ศ. ๑๙๘๐ วิลเลียม เจมส์ พิมพ์หนังสือชื่อกฎหลักจิตวิทยา (principles of psychology) นับเป็นก้าวต่อไปของจิตวิทยาและเกิดกลุ่มจิตวิทยาใหม่ขึ้น คือ กลุ่มหน้าที่นิยม (functionalism) กลมุ่ น้ีไมเ่ ห็นดว้ ยกับแนวคดิ ของกลุ่มโครงสร้างนิยม โดยมีความคิดว่า จิตวิทยาควร เป็นการศึกษาวิธีการที่คนเรา ใช้ปรับตัวเข้า กับส่ิงแวดล้อม ซึ่งเป็นวิธีท่ีเขาพอใจ และเป็นการเพิ่ม สมรรถภาพของเขา เจมส์ให้ความสนใจความรู้สึก (consciousness) เป็นพิเศษ เพราะความรู้สานึก เป็นเคร่ืองมือท่ีทาให้คนเลือกระทาอย่างใดอย่างหน่ึง อินทรีย์ที่มีความฉลาดมากก็มีความรู้สานึกมาก อินทรีย์ที่ฉลาดน้อย ก็มีความรู้สานักน้อย และความรู้สึกสานึกนี้เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกัน ซึ่งไม่ สามารถแยกวิเคราะห์เป็นส่วนย่อยได้ นักจิตวิทยากลุ่มหน้าท่ีนิยมสนใจ ศึกษาสาเหตุของพฤติกรรม มากกวา่ ศกึ ษาพฤตกิ รรมที่ปรากฏออกมาให้เห็น ในช่วงเวลาเดียวกันกับการจัดต้ังกลุ่มโครงสร้างนิยม และกลุ่มหน้าท่ีนิยม ซิกมันต์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) จิตแพทย์ชาวออสเตรียได้เสนอทฤษฎี บุคลิกภาพที่สาคัญและน่าสนใจทฤษฏีหนึ่ง คือ ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (psychoanalysis theory) ซึ่ง ทฤษฎีน้ีไม่ได้มีรากฐานมาจากปรัชญาเหมือนจิตวิทยาอื่น ๆ แต่ได้มาจากการรวบรวมประวัติของ คนไข้ท่ีมารับการบาบัดรักษา ฟรอยด์เช่ือว่า ความไร้สานึกมีอิทธิพลต่อการแสดงออกของพฤติกรรม และยังเนน้ ถงึ ความต้องการทางเพศต้งั แต่วัยเดก็ โดยได้แบ่งพฒั นาการทางเพศออกเป็นต่าง ๆ และเช่ือ ว่าถ้าเด็กไม่สามารถผ่านขั้นเหล่าน้ันไปด้วยดีแล้ว เขาจะมีความบกพร่องทางพฤติกรรมในชีวิตวัย ผใู้ หญ่ ในชว่ งศตวรรษท่ี ๒๐ จอร์น บี วัตสัน (John B. Watson) นักจติ วทิ ยาผกู้ ่อตั้งกลุ่มพฤติกรรม นิยม (behavioralism)ให้ความเห็นว่าวิธีการตรวจพินิจจิต (introspection) ไม่เป็นวิธีการท่ีดีพอ ผู้ สังเกตทาการสังเกตเพียงแต่ตนเองและรายงานผลออกมา ผลที่ได้จึงไม่เป็นท่ีน่าเช่ือถือและสาหรับ การศึกษาทางจิตวิทยาควรจะหลีกเลี่ยงจากการศึกษาความรู้สานึกโดยหันไปศึกษาพฤติกรรมที่ มองเห็นได้ เพ่ือให้สามารถทานายและควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ได้ นักจิตวิทยาท่ีมีช่ือเสียงมากอีก ๒ คน อีวาน พาฟลอฟ (Ivan Pavlov) ชาวรัสเซีย และ อี. แอล. ทอร์นไดค์ (E. L. Thorndike) ชาว อเมริกัน ทาการทดลองเกียวกับความรู้ ความจาและการรับรู้ ทั้งสองมีความสนใจและจัดกระทาการ ทดลองท่ีแตกต่างกัน ทอร์นไดค์เป็นนักทดลองท่ีศึกษาเร่ืองการเรียนรู้ และวิธีการของเขาจัดเป็น ตัวอย่างหน่ึงของการศึกษาพฤติกรรมส่วน วัตสัน, พาฟลอฟ และนักพฤติกรรมคนอื่น ๆ มีความ ๑๕ ปราณี สนธริ ัตน์ และคณะ, จิตวิทยาทั่วไป, , (พมิ พ์ครงั้ ที่ ๕). กรงุ เทพมหานคร: เนติกุลการพิมพ์, มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร,์ คณะสงั คมศาสตร,์ ภาควิชาจติ วทิ ยา. ๒๕๓๗, หนา้ ๑๔-๑๗.

พุทธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๐ คิดเห็นตรงกันว่าจิตวิทยาควรเน้นที่พฤติกรรมท่ีปรากฏให้เห็นเด่นชัดมากกว่าความรู้สึกนึกคิด หรือ ความรสู้ ึกไรส้ านึกที่สงั เกตเหน็ ไม่ได้นอกจากนี้วัตสันยังได้เน้นความสาคัญของสิ่งแวดล้อมว่ามีอิทธิพล ต่อพฤติกรรมมากกว่าพนั ธกุ รรมอีกดว้ ย จิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์ (gestalt psychology) เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกันกับกลุ่ม พฤติกรรมนิยม ในประเทศเยอรมัน ซ่ึงพวกเขาไม่เห็นด้วยกับการแยกจิตเป็นส่วน ๆ ตามแนวคิดกลุ่ม โครงสร้างนิยม พวกเขาเห็นด้วยกับเจมส์ท่ีว่าการทางานของจิตเป็นการทางานของส่วนรวม นักจิตวิทยากลุ่มนี้ให้ความสนใจศึกษาส่วนรวมมากกว่าส่อนย่อยซึ่งแนวคิดน้ีมีบทบาทขึ้นเมื่อ นกั จติ วิทยาชาวอเมริกันเริ่มให้ความสนใจปัญหาของการรับรู้ การคิดแก้ปัญหาและบุคลิกภาพ จนทา ให้เกิดจิตวิทยาการรู้การเข้าใจ (cognitivepsychology) ข้ึนจิตวิทยาการรู้การเข้าใจนี้เกี่ยวข้องกับ กลไกภายใน เช่น การรู้สึก การรับรู้ และความฝนั ซึ่งมีอทิ ธพิ ลตอ่ การแสดงพฤตกิ รรมของอนิ ทรีย์ ระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๓๐ กับ ค.ศ. ๑๙๔๐ งานวิจัยทางจิตวิทยาในต่างประเทศเจริญก้าวหน้า มาก มีทฤษฏีและผลวิจัยท่ีเชื่อถือได้ และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งมากมาย มีหนังสือจิตวิทยาพิมพ์ เผยแพร่จานวนมาก มหาวิทยาลยั ตา่ ง ๆ เปิดภาควิชาจติ วทิ ยาข้ึนและมีนิสิตนักศึกษาสนใจเลือกเรียน วิชาใหม่นีเ้ พ่ิมขึน้ เร่อื ย ๆ จากประวัติความเป็นการโดยสังเขปของจิตวิทยา สามารถสรุปได้ว่าจิตวิทยาได้มีระยะของ พัฒนาการมาตามลาดับ ๔ ระยะ คอื ๑๖ ระยะท่ี ๑ เป็นการศึกษาเร่ืองจิตวิญญาณ หรืออานาจล้ีลับโดยเช่ือว่าวิญญาณ หรืออานาจล้ี ลบั เปน็ ส่งิ ท่อี ยเู่ บอ้ื งหลงั การกระทาพฤตกิ รรมของบคุ คล ระยะท่ี ๒ เปน็ การศึกษาในเรื่องของจิต โดยศึกษาเร่ืองของจิตแทนวิญญาณอย่างไรก็ตามก็มี ปญั หาวา่ จิตมีรปู รา่ งเป็นอยา่ งไร และอย่ทู ่ีไหน ระยะท่ี ๓ เป็นการเร่ิมศึกษาจิตวิทยาในรูปแบบวิทยาศาสตร์ แต่ยังไม่เป็นวิทยาศาสตร์ท่ี สมบรู ณ์นัก ซงึ่ เป็นช่วงระยะราวศตวรรษท่ี ๑๙ ทว่ี ทิ ยาศาสตรเ์ ขา้ มามีอิทธิพลตอ่ จิตวทิ ยา ระยะท่ี ๔ เป็นการศึกษาจิตวิทยาในรูปแบบของวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริงโดยเน้นศึกษา พฤติกรรม ซง่ึ เป็นสิ่งท่ีสังเกตเห็นได้ สามารถทดลอง พสิ ูจนแ์ ละตรวจสอบได้ ๑.๖ แนวคดิ ของจติ วทิ ยาเชิงบวก จิตวิทยาเชิงบวก (อังกฤษ: Positive psychology) เป็นสาขาย่อยใหม่ของจิตวิทยา ทใ่ี ช้ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์และการแทรกแซงที่มีประสิทธิผล เพื่อช่วยให้บุคคลมีชีวิตท่ีน่าพอใจ โดยสร้างความเจริญก้าวหนา้ สาหรบั บุคคล ครอบครัว และชุมชนและค้นหาเสริมสร้างอัจฉริยภาพกับ ความสามารถเพ่ือให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุขมากยิ่งข้ึน ศาสตร์นี้เพ่งความสนใจไปท่ีการ พัฒนาตนเองแทนท่ีการรักษาโรค ซ่ึงมักจะเป็นจุดสนใจของจิตวิทยาสาขาอ่ืนๆ เป็นวิทยาการ ทคี่ ่อนขา้ งใหม่ งานประชุมคร้ังแรกเก่ียวกับศาสตร์นี้เกิดข้ึนเม่ือปี พ.ศ. ๒๕๔๒ และงานประชุมสากล (International Conference on Positive Psychology) เกิดข้นึ ครัง้ แรกในปี ๒๕๔๖ ๑๖ วไิ ลวรรณ ศรสี งคราม และคณะ, จติ วิทยาท่วั ไป, กรงุ เทพมหานคร : ทรปิ เพลิ้ กรุ๊ป, ๒๕๔๙, หนา้ ๕.

พทุ ธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๑ งานศึกษาในศาสตร์น้ีแสดงว่า มีปัจจัยมากมายที่มีอิทธิพลต่อความสุขในชีวิต ความสัมพันธ์ ทางสังคมกับค่ชู ีวิต ครอบครวั เพอ่ื น และเครือขา่ ยสงั คมทางอาชีพ สโมสร หรือองค์กรทางสังคมอื่นๆ มีความสาคัญมาก ความสุขเพ่ิมข้ึนเมื่อรายได้เพ่ิม แต่ก็มีขีดสุดท่ีไม่ทาให้ความสุขเพิ่มอีกต่อไป การ ออกกาลังกายสัมพันธ์กับความเป็นสุขทางใจ เช่นเดียวกับการใช้ชีวิตแบบมี flow (คือ ประกอบ กจิ การงานดว้ ยสภาพทางใจทมี่ สี มาธิ ดว้ ยความยนิ ดพี อใจ) และการฝึกอบรมจิตใจ (เช่นการเข้าสมาธิ หรอื การเจรญิ สติ) การดารงชีวิตอย่างมีความสุขของบุคคลนน้ั ชีวิตของทุกคนย่อมประกอบด้วย ๒ ระบบสาคัญ คือ กาย และจิต กล่าวคือ จิต (mind) เป็นลักษณะทางนามธรรม เป็นสิ่งละเอียดอ่อนไม่มีตัวตน ไม่มีน้าหนัก สังเกตไม่ได้ เป็นอัตนัย จิตเป็นส่ิงที่สาคัญท่ีให้เกิดพฤติกรรมหรือการกระทาต่างๆ จิตที่ สงบสุขอารมณ์ดี เบิกบาน แจ่มใส จะส่งผลให้ร่างกายมีความสุข ส่วนกาย(body) มีลักษณะเป็น รูปธรรมที่จับต้องได้ เป็นชีวภาพ มีการทางานท่ีเป็นระบบ สังเกตได้ มีการแสดงออกมาทางคาพูด ท่าทาง มีการกระทาทเี่ ปน็ สอ่ื กลางบ่งบอกความรู้สกึ ภายในจติ ใจ จติ วิทยาเชงิ บวกเปน็ ศาสตรท์ ่ไี ด้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วในโลกตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทป่ี ระเทศสหรฐั อเมริกา ซ่งึ ศาสตราจารยม์ าร์ตนิ เซลิกแมน ผเู้ ปรียบได้ว่าเป็นบิดาของศาสตร์ดังกล่าว ได้ให้ความหมายว่าเป็นจิตวิทยาของชาวตะวันตกสมัยใหม่ที่ยึดเอาจุดแข็งของมนุษย์เป็นจุดหลักของ การพัฒนา เช่น การพัฒนาด้านคุณค่า สติรับรู้ในการปฏิบัติกิจต่างๆ การมองโลกในแง่ดี การมี ความหวัง และการมีความสุข จิตวิทยาเชิงบวกจึงเป็นศาสตร์ใหม่ที่เน้นการพัฒนาบุคลิกภาพ ของมนุษย์ให้มีความสุข โดยมีพื้นฐานมาจากการพัฒนาตนเอง เป็นคนดี และมองโลกในแง่ดี ท้ังยัง เป็นศาสตร์ท่ีอาศัยสถิติและวิธีการทางวิทยาศาสตร์อื่นๆ ที่สามารถนามาใช้อ้างอิงได้ ตลอดจนมี แนวทางปฏิบตั เิ ปน็ ตวั อยา่ งทีช่ ัดเจน กายและจิตมีอิทธิพลต่อกัน บุคคลท่ีมีการทางานของกายและจิตที่มีสมดุล ย่อมจะประสบ ความสาเรจ็ เจริญ กา้ วหน้าตามเปาู หมายของชีวิตและจะเป็นบุคคลที่ต่ืนตัว รู้ทันความคิด การกระทา และคาพูดของตนเอง จิตวิทยาเชิงบวกเป็นแนวคิดที่เห็นแตกต่างจากการคิดวิเคราะห์อย่างเดิมๆ ตวั อย่าง เช่น เห็นตา่ งจากความเช่ือเดิมวา่ มนุษย์ทุกคนมีบาปติดตัวกลายเป็นเชื่อว่ามนุษย์มีแรงจูงใจ ใฝุดี โดยมองข้ามว่าทุกคนมีจุดอ่อนหรือจุดลบ ความเห็นแก่ตัว ก้าวร้าว แต่กลับมองว่า บุคคลมีจุด แข็ง มีเปูาหมายในชีวิต มองคนอ่ืนดี อยากทาความดี และพัฒนาตนเองจากไม่ดีไปสู่ดี รู้จักตระหนัก ในตนเองมากข้ึน มีเปูาหมายในตนเองท่ีชัดเจน กล่าวโดยสรุปว่า แนวคิดนี้เน้นการนาจุดแข็งของ มนุษย์เป็นจุดศูนย์กลาง ปรับวิธีการคิดให้เป็นบวก มีความคิดเป็นจุดเริ่มต้นสาคัญท่ีจะนาไปสู่การ แสดงออกทางกายและวาจา เกิดเป็นผลลัพธ์ท่ีตามมาคือความสุข และสามารถกล่าวถึงรูปแบบของ ความสุขตามหลกั จิตวทิ ยาเชงิ บวกได้ดงั น้ี ๑.๖.๑ ความสุขข้ันแรกหรือชีวิตมีสุข (pleasant life) หมายถึงการที่มีความสุขจากเปลือก นอกหรือส่ิงรอบตัวเราอาจจะเป็นเร่ืองของการได้ครอบครองส่ิงที่ตัวเองรัก การได้ไปดูหนังกับเพ่ือน แต่ความสุขประเภทนี้จะไม่ย่ังยืน จะมีความสุขแค่ช่วงแรกๆ ตัวอย่าง เช่น บุคคลได้โทรศัพท์รุ่นใหม่ ล่าสุดมา ใชช้ ่วงแรกๆ เกดิ ความสขุ มากท่ไี ดใ้ ชห้ รือครอบครอง ควรคา่ กับการท่เี ก็บเงินซื้อ หรือรอคอย

พทุ ธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๒ วันทจ่ี ะได้ใช้งาน แตพ่ อเวลาผา่ นไปนานๆ บคุ คลจะรสู้ ึกวา่ โทรศพั ท์เครื่องน้ันก็ไม่ได้มีความพิเศษอะไร ทแี่ ตกต่างจากร่นุ เกา่ ทผ่ี ่านมา ๑.๖.๒ ความสุขข้ันท่ีสอง หรือชีวิตท่ีดี (good life) หมายถึงการท่ีบุคคลได้ทาอะไรแบบจด จ่ออยู่กบั สง่ิ นั้นได้ไม่เบ่อื หนา่ ย อาจทาในสิง่ ท่ีชอบแล้วจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นแล้วมีความรู้สึกว่าเวลาน้ันได้ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการทากิจกรรมคนเดียวหรือว่าบุคคลอื่นร่วมด้วย เช่น การทา กิจกรรมกบั ครอบครวั หรือคนทีร่ กั ๑.๖.๓ ความสขุ ข้นั ทีส่ าม หรอื ชวี ติ ทม่ี ีความหมาย (meaningful life) หมายถงึ การท่ีได้ทาสิ่ง ที่รักส่ิงท่ีชอบแล้วส่ิงนั้นส่งผลให้เกิดความสุขกับคนรอบข้าง สรุปได้ว่า การสร้างความสุขแบบยั้งยืน ตามแนวคิดน้คี ือการท่ีบคุ คลไดท้ าอะไรที่ตนเองรกั แลว้ แบ่งปันใหค้ นอน่ื ได้มีความสขุ ดว้ ย ๑.๗ พุทธจติ วิทยาเชงิ บวก๑๗ จิตวิทยาแนวพุทธ คือ การนาศาสตร์ที่ศึกษาถึงจิตใจและกระบวนการทางจิตใจคือจิตวิทยา มาอธิบายกระบวนการการเกิดทุกข์และการพ้นทุกข์ อันเป็นสาระสาคัญของพุทธศาสนานั้นเอง ความแตกตา่ งระหวา่ งจติ วทิ ยาแนวพุทธ จติ วิทยาทั่วไปและพทุ ธศาสนา จิตวิทยาท่ัวไป หมายถึง การศึกษาพฤติกรรมท่ีสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจน และสังเกตเห็น ได้โดยทางออ้ ม ตลอดจนการศึกษากระบวนการทางานของจติ เพอื่ การปรับตัวในสถานการณ์ต่างๆ แต่ ไมไ่ ด้มีเปาู หมายให้พน้ ทุกข์อยา่ งถาวร ซ่ึงเปน็ ส่วนสาคญั ของจิตวิทยาแนวพุทธ พุทธศาสนารวมถึงคาสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซ่ึงมีขอบเขตท่ีกว้างขวาง ทั้งยังรวมไปถึง ความเช่อื ถือ และการประพฤตปิ ฏบิ ัตขิ องชาวพุทธดว้ ย ขณะท่จี ติ วิทยาแนวพุทธ จะนาบางส่วนของพุทธศาสนา โดยเฉพาะส่วนแก่นกลางที่กล่าวถึง ความทกุ ขท์ างใจ กระบวนการเกิดและดับของความทุกข์ทางใจ โดยอาศัยคาอธิบายของกระบวนการ ทางจิตใจที่ใช้กันอยู่ในจิตวิทยามาประยุกต์ เพ่ือให้เกิดความเข้าใจสาหรับคนในยุคปัจจุบัน ที่คุ้นเคย กบั จิตวิทยา ๑.๗.๑ ความหมายของคาว่า \"สุข\" และ \"ทกุ ข์\" ทางใจ ความสุข หมายถงึ การท่เี ราได้รับความพึงพอใจ ความสมหวังจากส่ิงต่างๆ รอบด้าน เช่น สุข เพราะได้อยู่กับความท่ีรักหรือถูกใจ สุขเพราะได้ทางานที่ถูกใจ สุขจากการรอดภัยอันตราย หรือเจอ เพ่ือนเกา่ ที่ไมไ่ ด้เจอกันมานาน เปน็ ต้น ความทุกข์ หมายถึง ส่ิงที่เราได้รับไม่เป็นที่พึงพอใจของเรา หรือการสูญเสียส่ิงที่ไม่อยากให้ เสียไป เน่ืองจากความทุกข์เป็นส่ิงที่ทุกคนไม่ปรารถนา และพยายามหลีกเลี่ยง จึงเป็นเปูาหมาย ที่สาคัญของการศึกษาและเอาชนะ ไม่วา่ จะเปน็ จิตวิทยาหรือศาสนาต่างๆ ๑๗ นายแพทยย์ งยทุ ธ วงศภ์ ิรมยศ์ านด์ิ.จิตวทิ ยาแนวพทุ ธ. เข้าถงึ ไดจ้ าก http://www.dmh.go.th/news/view.asp?id=1159 สืบคน้ เม่อื ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙.

พทุ ธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๓ ความทุกข์ใจ ในทางจิตวิทยาเป็นภาวะยุ่งยากทางจิตใจ เช่น ความกลัว ความวิตกกังวล ความรู้สึกผิด ละอายใจ ความท้อแท้สิ้นหวัง เป็นต้น ความทุกข์น้ีเกิดจากการปรับตัวไม่ได้ หรือเสีย สมดลุ ยโ์ ดยอาจเกดิ จาก ๑.ปจั จัยภายใน เชน่ ความแปรปรวนในความคิดหรือภาวะอารมณข์ องเราเอง ๒.ปจั จยั ภายนอก เชน่ การสูญเสยี สิง่ รกั การประกอบความผิดหวัง การเผชิญภาวะวิกฤติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองการเงิน อาชีพ การทางาน ครอบครัว ทาให้เกิดความคิดและความรู้สึกที่เป็นทุกข์ ความยุ่งยากเหล่าน้ีอาจเป็นภาวะ ชว่ั คราวของการปรับตัว หรอื กลายเปน็ ความผดิ ปกติทางจติ ใจ ในทางจติ วทิ ยาภาวะเปน็ สุขหรอื ทุกข์ ไม่วา่ จะมีปัจจยั ภายนอกมาเก่ียวข้องมากน้อยเพียงใดก็ ตาม ในที่สุดจะมีจุดร่วมที่เก่ียวข้องกัน หรือมีสาเหตุจากความคิดทางลบ ความรู้สึกเครียดที่สะสมใน จิตใจ ความคิดทท่ี าใหเ้ กดิ ทกุ ข์ ทางจติ วทิ ยาจัดอยใู่ นกล่มุ ความคดิ ทางลบ เช่น คดิ แต่ส่ิงท่ี สูญเสยี คดิ อยู่แต่กับอดีต มองโลก ในแงร่ ้าย กลวั การเปลย่ี นแปลง เป็นต้น ความรู้สึกที่ทาให้ทุกข์ใจมีลักษณะร่วม คือ เป็นความเครียดของจิตใจ เมื่อคนเราเผชิญความ กดดันต่าง ๆ รอบตัว ทง้ั เรอื่ งท่รี ับรู้ว่าเปน็ เรอ่ื งเลก็ หรือเร่อื งใหญ่ เม่ือประกอบกับความคิดทางลบท่ีได้ กลา่ วมาแล้ว ความรู้สึกเครียดจะสะสมกลายเป็นความวิตกกังวล หรือนานไปก็กลายเป็นความท้อแท้ สนิ้ หวัง และซึมเศรา้ ในท่สี ุด สาเหตุท่ีทาให้แต่ละคนมีความอ่อนไหวภายในตนเอง จนเกิดความคิดทางลบและความรู้สึก เครียด เกดิ จากพันธกุ รรม ปมในจิตใจทีส่ ะสมมาจากวยั เดก็ เม่ือคนเรามีทุกข์ ไม่ว่าจะเกิดจากความคิดหรือความรู้สึกก็ตาม จะพยายามท่ีจะขจัดความ ทุกข์เหล่านั้น แนวคิดทางจิตวิทยาได้เสนอกระบวนการพัฒนาตนเอง เพื่อจัดการกับความทุกข์ท่ี เกดิ ขึน้ โดย ๑. การจัดการกับอารมณ์ โดยใช้เทคนิคต่างๆ ในการคลายเครียด เช่น การหายใจ การผ่อน คลายกล้ามเน้ือ การจินตนาการ เพ่ือให้ความรู้สึกน้ันมันออกจากตัวเรา และเกิดอารมณ์ทางบวก ใน ลกั ษณะของความสงบและผ่อนคลายเข้ามาแทนที่ ๒. การจดั การกบั ความคิด โดยปรับเปลยี่ นวิธีคิดใหม่ใหเ้ ป็นคิดทางบวก (Positive Thinking) ตวั อยา่ ง เชน่ เมื่อเกิดวิกฤตเิ ศรษฐกจิ ผูท้ ่ีสูญเสยี ฐานะและกจิ การเกดิ ความทกุ ขใ์ จ เพราะมองแต่ด้าน ที่ตนสูญเสียไป ก็ปรับเปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ว่างานยังมีอะไรเหลืออยู่บ้าง เช่น มีเวลาให้กับตนเองและ ครอบครัวเพิม่ ข้ึน หรอื เหตกุ ารณน์ ั้นทาใหไ้ ดเ้ รยี นรู้บทเรยี นเพ่อื จะปรับปรุงสง่ิ บกพร่องต่อไป การพัฒนาตนเองแนวจิตวิทยาทั้ง ๒ วิธีนั้น สามารถช่วยบรรเทาทุกข์ที่เกิดขึ้นให้มีความคิด ความรู้สึกท่ีเบาบางได้ แต่ไม่ใช่วิธีดับทุกข์ เพราะยังไม่ได้เน้นให้หยั่งรู้ถึงความเป็นจริงว่า \"ส่ิงใดก็ตาม เมือ่ มเี กิดกต็ อ้ งมีดับไป\" จนสามารถปลอ่ ยวางทง้ั ในเร่ืองน้ันและเร่ืองอ่ืน ๆ ได้ ดังนั้นการพัฒนาตนเอง แนวจิตวิทยาดังกล่าว ยังไม่สามารถทาให้เกิดการพ้นทุกข์ หรือพบกับความสุขท่ียั่งยืน บางคนอาจ สงสัยวา่ อะไรคอื วิธีการท่ที าใหพ้ น้ ทกุ ข์ อะไรคือความสุขทีย่ ั่งยนื กอ่ นอ่นื ควรทาความเข้าใจก่อนว่า คาว่า \"ทกุ ข์\" ในทางพทุ ธศาสนาหมายถงึ อะไร

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๔ ๑.๗.๒ ความหมายของคาว่า “สขุ และ “ทุกข”์ ในทางจติ วิทยาแนวพทุ ธ ความสุขทางโลกในทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นความทุกข์เน่ืองจากความไม่ยั่งยืน ซ่ึงเรียกว่า \"กามสุข\" หมายถึง ความสุขท่ีเกิดจากความใคร่ ความอยาก และความปรารถนาทั้งหลาย อัน เน่ืองจาก \"วัตถุกาม\" คือ ความสุขจากภายนอก อันได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสที่น่าใคร่ น่า พอใจ เช่น สุขจากการได้ใช้ทรัพย์สมบัติไปกิน ด่ืม เที่ยว สุขจากการเสพเคร่ืองอานวยความสะดวก ต่าง ๆ เป็นตน้ สว่ น \"กเิ ลสกาม\" คอื ความสุขจากการได้ตามความต้องการภายใน เช่น ความพอใจว่า ตนมฐี านะช่อื เสียง เป็นตน้ ๑.กามสุข ไม่ว่าจาก \"วตั ถุกาม\" หรอื \"กเิ ลสกาม\" ล้วนแล้วแตน่ ามาซง่ึ ความทุกขท์ ั้งสิ้น เพราะ ไม่มีสิ่งใดที่จะย่ังยืน หรืออยู่กับเราตลอดไป ดังจะเห็นได้จากโลกธรรม ๘ ที่กล่าวไว้ว่า มีลาภ ก็ต้อง เสอ่ื มลาภ มยี ศ กต็ ้องเสอื่ มยศ มสี รรเสริญ ก็ตอ้ งมนี ินทา มสี ขุ ก็ต้องมีทุกข์ ดังนนั้ สขุ จาก \"กามสขุ \" จงึ เป็น \"ความทุกข\"์ ทง้ั ส้ิน เพราะเป็นสุขที่ไม่ยั่งยืน ไม่มีใครสามารถ มีได้ เก็บได้ไวก้ ับตัวตลอดชีวิต หรอื อีกนัยหนงึ่ ความสุข กค็ อื ภาวะทมี่ ีทกุ ขน์ ้อย ความทกุ ข์ ก็คือ ภาวะทมี่ คี วามสุขน้อย ความทุกข์ในพุทธศาสนามุ่งเน้นเรื่องความทุกข์ทางใจ เพราะความทุกข์ทางกายเป็นเรื่อง ธรรมชาติ แม้พระพุทธองค์ก็ปุวยกาย และเมื่อเจ็บปุวยรุนแรงก็ต้องมีแพทย์ (เช่น หมอชีวกโกมาร ภจั จ์) คอยถวายการรกั ษา แตท่ ุกข์ทางใจเป็นสิ่งที่เกิดข้ึนตลอดเวลา ทั้งขณะที่มีทุกข์ทางกายหรือไม่มี ก็ตาม ทุกข์ทางใจน้ี พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ในหลักปฏิจจสมุปบาทว่า เมื่อมีกระบวนการทางจิตท่ีเป็น สาเหตุ ทุกข์ทางใจที่จะเกิดขึ้นก็คือ โสกะ (ความเศร้าโศกใจ ความแห้งใจ) ปริเทวะ (ความคร่าครวญ ความรา่ ไรราพนั ) ทุกข์ (ทุกข์กายทีม่ สี าเหตจุ ากทุกข์ใจ เชน่ ปวดศีรษะ เบ่อื อาหาร นอนไมห่ ลบั ฯลฯ) โทมนสั (ความเสยี ใจ) อปุ ายาส (ความคบั แคน้ ใจ ความอดึ อัดใจ) ซ่ึงอาจสรปุ ให้เข้ากบั อาการของความทกุ ข์ใจในทางจิตวิทยา เป็น ๓ ประเภท คอื ๑. ความทุกข์ภายในจิตใจ เช่น กลุ้มใจ เครียด ขุ่นมัว ท้อแท้ ซึมเศร้า น้อยใจ พยาบาท เป็นต้น ๒. ความทุกข์ทีแ่ สดงออกภายนอก เช่น รอ้ งไห้ ครา่ ครวญ พูดดุดา่ เป็นตน้ ๓. ทุกขก์ ายเนอื่ งจากทุกข์ใจ เช่น นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ท้องอืด เป็นตน้ สาหรับสาเหตุของความทุกข์น้ัน มีรายละเอียดอยู่ในบทท่ี ๔ เร่ือง ญาณสุข การเจริญ สติปญั ญาทางธรรมเม่อื เผชิญทุกข์ แต่ในท่ีน้ีขอสรุปได้ส้ันๆ ว่า ทางพุทธศาสนาเน้น สังขาร (ความคิด ที่ถูกปรุงแต่งด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ซ่ึงเกิดจาก อวิชชา คือ ความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ 4 ทาให้เกิดตัณหา คือความทะยานอยากที่ผลักดันให้คนเราคิด รู้สึกทุกข์ และปฏิบัติท่ีเป็นปัญหากับ ตนเองและหรือผ้อู ่นื ดงั นั้น การแก้ไขทตี่ น้ เหตุแห่งทุกข์ คือ ความทะยานอยาก หรือความคิดปรุงแต่ง ด้วยกเิ ลส จึงเป็นการสร้างความสขุ ท่ียั่งยืน พทุ ธศาสนา ไดแ้ บง่ ความสขุ ไว้ ๓ ระดบั คือ ระดบั ท่ี ๑ กามสขุ ซง่ึ ถือวา่ เป็นทุกขน์ ั้นเอง ระดบั ที่ ๒ ฌานสุข คือสขุ สม ระดับท่ี ๓ ญาณสขุ คือสขุ จากการปลอ่ ยวาง

พทุ ธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๕ ความสุขในระดับที่ ๑ หรือกามสุข เป็นความสุขทางโลก ซึ่งทางพุทธศาสนาจัดว่าเป็นความ ทุกข์ แต่เป็นทุกข์น้อย หรือสุขที่ไม่ยั่งยืน พร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นความทุกข์ได้ การท่ีจะดับทุกข์ จึง ประกอบด้วยการดับทุกข์ชั่วคราว โดยการสร้างความสงบทางจิตใจด้วยการทาสมาธิ ความสุขที่ ปราศจากกเิ ลสชวั่ คราวนีห้ รือ ความสุขในระดับท่ี ๒ เรียกว่า ฌานสุขหรือสุขสงบ ซ่ึงเป็นความสุขท่ียิ่งกว่าความสุขท่ัวไป ทางโลก แต่เปน็ ความสขุ ช่วั คราวระหว่างอยใู่ นสมาธิ และมผี ลตอ่ ไปอีกระยะหน่งึ หลงั ออกจากสมาธิ แต่ถา้ หากคนเรายังมีความคดิ ทีถ่ กู ปรุงแตง่ ดว้ ยความโลภ โกรธ หลง มีความทะยานอยากในจิตใจแล้ว ความทุกขใ์ จยอ่ มเกดิ ข้นึ อกี ดังน้นั ความสุขในระดับที่ ๓ คือ จึงเป็นการรู้เท่าทันความทะยานอยากและความคิดปรุงแต่งด้วย กิเลสของตัวเรา ทาให้สามารถควบคุมความคิดปรุงแต่ง และปล่อยวางไว้ในท่ีสุด นั่นก็คือ ญาณสุข หรือสุขจากการปลอ่ ยวาง ซ่ึงเป็นความสุขที่ยิ่งกว่าและยั่งยืนกว่าความสุขทางโลก และเป็นความสุขท่ี เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในชีวิตประจาวัน หากบุคคลน้ันสามารถเจริญสติท่ีจะรู้ตัว และรู้เท่าทันตัณหา และสังขารของตนได้ โดยสรุป ความสุขท่ีย่ังยืนก็คือ สุขในระดับที่ ๒-๓ น่ันเอง ดังนั้นการพัฒนาตนเองทาง จิตวทิ ยา และการการพัฒนาตนเองทางจติ วทิ ยาแนวพุทธ เปรยี บเทยี บจติ วิทยาและจติ วิทยาแนวพุทธ สภาวะ จติ วิทยา พทุ ธจิตวทิ ยา ทกุ ข์ ทกุ ข์ทางใจจากสาเหตตุ ่าง ๆ ทุกข์ทางใจ เช่นเดียวกับจิตวิทยา แต่จัด (ตน้ เหต)ุ ความสขุ ทางโลกว่าเป็นความทกุ ขด์ ว้ ย สมุทยั ทั้งเหตุภายนอกและภายใน แต่สรุป ความคิดท่ีปรุงแต่งด้วยความโลภ โกรธ (สาเหต)ุ รวมท่ีความคิดทางลบและความรู้สึก หลง จนกลายเปน็ ความทะยานอยาก เครยี ดในจิตใจ นโิ รธ แก้เฉพาะทุกข์ทางใจ โดยเน้นการ ให้หลุดจากท้ังทุกข์และสุขทางโลกโดย (การแกไ้ ข) ผ่อนคลายความรู้สึก การคิดทางบวก เน้นสมาธิให้เกิดความสงบสุขและการ และอนื่ ๆ เจรญิ สตใิ ห้เกดิ การปลอ่ ยวาง มรรค หนทางหรือแนวทาง วิธีการต่างๆที่จะ ดาเนินตามข้อท่ี ๑-๓ โดยเน้นออกจาก (แนวทางแกไ้ ข) นาพาให้ออกจากความเครยี ด จากทุกข์ท้ังปวง ผ่อนคลาย คิดตามความ เป็นจริง เห็นสรรพสิ่งตามความเป็น อนัตตา คือความวา่ งเปลา่

พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๑๖ สรปุ ท้ายบท ในทางพุทธศาสนา ความเป็นไป การแสดงออกของมนุษย์ ท้ังทางกาย วาจา ใจ โดยเจตนา เปน็ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมน้ัน มโนกรรมหรือใจสาคัญที่สุด สามารถให้ผลรุนแรงกว้างไกล มาก มโนกรรมครอบคลุมทั้งความเห็น ทัศนะ ความเชื่อ หากมีทัศนะหรือความเห็นท่ีไม่ตรงต่อความ เป็นจริง ก็สามารถนา ชีวติ สู่การกระทา หรือตดั สนิ ใจผิดขณะเดยี วกันหากมีทัศนะที่ถูกต้อง ก็สามารถ นาชีวิตไปในทางท่ีถูก ทั้งทางโลกทางธรรม และมิใช่มีผลเฉพาะต่อตนเอง แต่ยังมีผลต่อบุคคลท่ี เกี่ยวข้องสัมพันธ์ที่เราได้เผยแผ่ทัศนะท่ีถูกต้องหรือทัศนะผิดๆ ไปสู่เขาเหล่านั้นด้วย เพราะทัศนะ หรอื ทฏิ ฐินเี้ อง เปน็ สิ่งทีก่ าหนดพฤติกรรมและอนาคต ทั้งชาติปัจจุบันและชาติหน้าต่อๆ ไปของบุคคล ซึ่งเห็นได้ง่ายจากการเกิดสงครามหรือการก่อการร้ายต่างๆ เป็นผลมาจากทิฏฐิ ความคิดเห็น หรือ มโนกรรมท้ังส้ิน ในขณะเดียวกัน การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ขององค์การการกุศลต่างๆ การเสียสละ ความสุขส่วนตนเพื่อส่วนรวม ก็เป็นผลมาจากมโนกรรม ความคิดเห็นท้ังส้ิน จึงจาเป็นอย่างยิ่งที่ต้อง ดูแลจติ พัฒนาจิตไมใ่ ห้ตกไปสคู่ วามเหน็ ผิด หรือเกดิ เศร้าหมอง เพราะโดยปกติแลว้ จิตมักเศร้าหมอง ไปด้วยอานาจของอปุ กิเลส ๑๖ อย่าง นอกจากนี้ จิตวทิ ยาแนวพุทธยังมปี ระโยชนอ์ ย่างย่ิงโดยเฉพาะสาหรบั นักจติ วทิ ยาการปรึกษา และผทู้ ีอ่ ยู่ในสายงานดา้ นสุขภาพจิตในฐานะท่ีมีบทบาทโดยตรงในการให้ความช่วยเหลือเพ่ือนมนุษย์ ในมิติทางด้านจิตใจ โดยสามารถนาจิตวิทยาแนวพุทธไปใช้ในกระบวนการทางจิตวิทยาได้ใน หลากหลายรูปแบบ เช่น การให้การปรึกษาทางจิตวิทยาแบบรายบุคคล และแบบกลุ่ม ซ่ึงจาก ประสบการณ์ของผูเ้ ขียนในฐานะนักจิตวิทยาการปรึกษาพบว่าจิตวิทยาแนวพุทธเป็นเคร่ืองนาทางท่ีมี ประโยชน์และมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการให้ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ทางด้านจิตใจใน หลากหลายมติ ิ ต้ังแตก่ ารเยียวยาจติ ใจผู้คนท่ีมีปัญหาทางจิตใจในระดับท่ีรุนแรง เช่น บุคคลท่ีประสบ ความสูญเสียจากภัยพิบัติ ไปจนถึงการนาไปใช้เพ่ือพัฒนาและเสริมสร้างคุณภาพจิตใจให้แก่คนทั่วไป เช่น ผู้บริหาร พนักงานในองค์กร นักศึกษา และนักเรียน เป็นต้น ซ่ึงการที่จะสามารถนาแนวคิด จติ วิทยาแนวพุทธไปใช้ไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพนัน้ นักจิตวิทยาหรือผู้ท่ีจะนาแนวคิดไปใช้จะต้องฝึกฝน และพัฒนาตนเองให้เกิดความเข้าใจส่ิงทั้งหลายตามที่เป็นจริง รู้จักวางใจวางท่าทีและปฏิบัติต่อโลก และชีวิตได้อย่างถูกต้องเหมาะสมในระดับหน่ึง ซ่ึงก็คือ นักจิตวิทยาจะต้องมีสัมมาทิฏฐิในตนเอง นนั่ เอง โดยสัมมาทฏิ ฐิของนกั จติ วิทยานีจ้ ะเป็นเสมอื นแสงสว่างสอ่ งทางท่ีจะช่วยให้นักจิตวิทยาเห็นถึง สาเหตทุ ่ีแท้จริงของปญั หาทีเ่ กิดขึน้ กบั ผู้รับบริการ และรู้ว่าควรจะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้มารับบริการ ด้วยวิธีใด เพื่อช่วยลดความทุกข์อันเกิดจากความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง และส่งเสริมการดาเนินชีวิตด้วย ความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ผู้รับบริการ เพื่อให้ผู้รับบริการสามารถเผชิญปัญหาหรือจัดการกับส่ิงต่างๆ ทเี่ กิดข้ึนในชวี ิตได้อยา่ งสอดคลอ้ งตามความเปน็ จริงท่ีเกิดข้ึน

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๗ คาถามท้ายบท

พทุ ธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๑๘ เอกสารอา้ งอิงประจาบท กันยา สุวรรณแสง, (๒๕๔๒), จิตวิทยาทั่วไป, พมิ พ์ครั้งที่ ๔, กรุงเทพมหานคร : อักษรพิทยา. จริ าภา เตง็ ไตรรัตน์ และคนอ่ืนๆ, (๒๕๕๐), จติ วิทยาทั่วไป, พมิ พค์ ร้งั ท่ี ๕,. กรงุ เทพมหานคร : สานักพิมพห์ าวิทยาลัยธรรมศาสตร์. เดโช สวนานนท,์ (๒๕๒๐), ปทานกุ รมจติ วิทยา, กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์. เติมศักด์ิ คทวนชิ , (๒๕๔๖), จิตวิทยาทั่วไป, พมิ พ์ครั้งท่ี ๒, กรุงเทพมหานคร: ซีเอด็ ยเู คช่นั . ทรงพล ภมู ิพัฒน์, (๒๕๓๘), จิตวทิ ยาสังคม, กรุงเทพมหานคร : ศูนยเ์ ทคโนโลยที างการศึกษา ฝุายเทคโนโลยมี หาวทิ ยาลัยศรปี ทุม. ปราณี รามสตู , (๒๕๔๒), จิตวทิ ยาท่วั ไป, กรุงเทพมหานคร : สานกั พิมพส์ ถาบนั ราชภัฏธนบุรี. ปราณี สนธิรตั น์ และคณะ, (๒๕๓๗), จติ วิทยาทวั่ ไป, กรุงเทพมหานคร: เนตกิ ลุ การพิมพ์. ราชบัณฑิตยสถาน, (๒๕๕๐), พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, กรงุ เทพมหานคร: นานมีบคุ สพ์ บั ลิเคช่นั ส์. วทิ ยากร เชยี งกูล, (๒๕๕๒), สภาวะการศกึ ษาไทยปี “ปัญหาความเสมอภาคและคุณภาพของ การศกึ ษาไทย”, กรงุ เทพมหานคร : ว.ี ท.ี ซ.ี คอมมูนวิ เคชน่ั . วิไลวรรณ ศรีสงคราม และคณะ, (๒๕๔๙), จติ วิทยาทว่ั ไป, กรุงเทพมหานคร : ทรปิ เพล้ิ กรุ๊ป. สุปราณี สนธิรัตน์ และคณะ, (๒๕๓๗), จติ วิทยาทวั่ ไป, กรงุ เทพมหานคร: เนตกิ ุลการพิมพ.์

บทท่ี ๒ พทุ ธจิตวิทยาเชิงบวก วัตถุประสงคก์ ารเรยี นรปู้ ระจาบท เมื่อได้ศกึ ษาเน้อื หาในบทนี้แลว้ ผูเ้ รยี นสามารถ ๑. อธิบายจติ วิทยาเชงิ บวกได้ ๒. อธิบายความหมายของพทุ ธจิตวิทยาได้ ๓. อธิบายจติ วิทยาตะวันออกส่พู ุทธจติ วิทยาได้ ๔. อธิบายความสาคัญของพุทธจติ วทิ ยา ได้ ๕. อธิบายรากฐานของพุทธจิตวิทยาเชิงบวกได้ ขอบขา่ ยเนอ้ื หา  จิตวทิ ยาเชงิ บวก  ความหมายของพุทธจติ วิทยา  จติ วทิ ยาตะวนั ออกสพู่ ทุ ธจิตวทิ ยา  ความสาคญั ของพทุ ธจติ วิทยา  รากฐานของพทุ ธจิตวทิ ยาเชงิ บวก

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๒๐ ๒.๑ ความนา จิตวิทยาทางบวกมีลักษณะคล้ายๆกับการมองโลกในแง่ดี แต่สองส่ิงนี้เป็นคนละสิ่งกัน จิตวิทยาทางบวกนับเป็นคุณลักษณะเฉพาะส่วนบุคคลหรือเป็นจุดแข็งเฉพาะบุคคลและเป็นความ สามารถพิเศษที่ช่วยให้บุคคลมีความสุขในชีวิต มีแรงจูงใจใฝุดี ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค สามารถจัดการ ชีวิต สามารถพลกิ ผันสถานการณท์ ีเ่ ลวรา้ ยสดุ ขดี เกดิ จากการได้รับการถ่ายทอดทางสังคมที่ได้จากพ่อ แม่ และประสบการณ์ท่ีได้รับจากการศึกษา ซึ่งตรงกันข้ามกับบุคคลท่ีมองโลกในแง่ลบ จิตวิทยา ทางบวกเป็นสาขาหนึ่งของศาสตร์ทางด้านจิตวิทยาตะวันตก ซ่ึงในปี 1998 ได้มีMartin Seligman เป็นผู้ให้กาเนิด และโดยแก่นแท้แล้วมี Abraham Maslowเป็นผู้จุดประกายความคิด Martin Seligman (2000) ได้นิยามไว้ว่าจิตวิทยาทางบวก คือ ค้นพบและส่งเสริมพัฒนาศักยภาพพิเศษว่า ด้วยความฉลาด หรืออัจริยภาพและทาชีวิตที่ปกติให้สมบูรณ์ย่ิงข้ึน (to find and nurture genius and talent , to make normal life more fulfilling) นิยามดังกล่าวนี้ได้ก่อให้เกิดการตื่นตัวและ เป็นที่สนใจกันย่ิง จนกระท่ังในปี 2006 Harvard University ได้เปิดเป็นรายวิชาPositive Psychology ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้นว่าแนวคิดจิตวิทยาทางบวก (Positive Psychology) น้ี ได้มี นักจิตวิทยา อาทิเช่น Abraham Maslow, CarlRogers and Erich Fromm ให้ความสนใจพัฒนา เป็นหลักการแนวคิดที่เรียกว่า “ความสุขของมนุษย์” จวบจนไม่นานทฤษฎีว่าด้วยการพัฒนามนุษย์นี้ ได้ถูกศึกษาอย่างจริงจังโดยนักวิชาการที่เรียกตนเองว่า “นักจิตวิทยากลุ่มมนุษยนิยม”(Humanist Psychologists) แนวคิดจติ วทิ ยาทางบวก จึงไดถ้ อื เป็นการเร่มิ ตน้ เคลอ่ื นไหว เปน็ ทส่ี นใจอย่างจริงจัง จิตวิทยาทางบวก เป็นแนวคิดวิทยาศาสตร์ทางสังคม มุ่งศึกษาการบ่มเพาะ ความแข็งแกร่ง ความสาคัญ และความจาเป็นในการดารงชีวิตของบุคคลและสังคมอย่างเติมเต็ม ให้มนุษย์สามารถ นาพาสิ่งท่ีมีความหมาย เกื้อกูลการมีชีวิตอยู่อย่างครอบคลุม สมบูรณ์ และให้ได้รับประสบการณ์ที่ดี มีคุณค่ามีความสุขท้ังในด้านความรัก หน้าท่ีการงาน และการพักผ่อน ด้วยเหตุนี้จิตวิทยาทางบวก จึงเป็นศาสตร์ทางเลือกใหม่ท่ีมุ่งพัฒนาบุคลิกภาพของบคุ คลให้เป็นผู้มีความสุข ทั้งน้ีโดยมีพื้นฐาน ของความสุขจากการพัฒนาตนเองให้เป็นคนดี มีมุมมองชีวิตและวิธีคิดต่อโลกในเชิงบวก สอดคล้อง กับที่ Seligman ๒.๒ จิตวิทยาเชิงบวก (Positive Psychology) จิตวิทยาเชิงบวก เป็นศาสตร์แนวใหม่ของจิตวิทยาที่มุ่งเน้นศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ รวมถึง คณุ ลักษณะ อารมณค์ วามรู้สึก และความคิดในเชิงบวกมากขึ้น เช่น การมองโลกแง่ดี ความสุข ความ พึงพอใจในชีวิต ม่ันใจในความสามารถของตัวเอง มีความหวัง และความฉลาดทางอารมณ์ ซ่ึงสิ่ง เหล่านี้มีล้วนมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการทางานท่ีดี และความสาเร็จ นอกจากน้ันยังเน้น

พทุ ธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๒๑ การศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรมมนุษย์ในมุมมองใหม่ คือการหาทางปูองกันแทนการรักษา ด้วยการ ค้นควา้ หาความรเู้ กี่ยวกบั ลกั ษณะท่ดี ีของมนุษย์ และการพฒั นาลกั ษณะทด่ี เี หล่านั้น๑ ที่ผ่านมาศาสตร์ด้านจิตวิทยาจะมุ่งเน้นให้ความสาคัญต่อการรักษาความเจ็บปุวย ทางจิต ของมนษุ ย์ เช่น ภาวะซึมเศร้า วติ กกงั วล อาการยา้ คิดย้าทา และหวาดระแวง เป็นต้น โดยมีเปูาหมาย ของการรกั ษา คือการช่วยใหผ้ ูป้ ุวยเหล่าน้นั พน้ จาก “ภาวะผิดปกติ” มาสู่ “ภาวะปกติ” หรือทาให้คน เปล่ียนจากภาวะทุกข์ในระดับ (– ๕) มาอยู่ท่ีระดับ (๐) โดยศาสตราจารย์ Martin Seligman นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน อดีตประธาน American Psychology Association (A.P.A.) เป็นผู้ริเร่ิม แนวคิดเร่ืองจิตวิทยาเชิงบวก โดยเสนอว่าจิตวิทยาไม่ควรเน้นเพียงการศึกษาเก่ียวกับจุดอ่อนหรือ ผลกระทบทางลบท่ีเกิดขึ้นกับบุคคล (Weakness and Damage) เท่านั้น แต่ควรให้ความสาคัญกับ การค้นหาวิธีการที่จะพัฒนามนุษย์ให้ไปได้ถึงระดับสูงสุด หรือการพัฒนาจากระดับ (๐) ไปสู่ภาวะที่ เป็นบวก (+) ด้วย ซึ่งก็คือการศึกษาถึงจุดเด่นและคุณลักษณะท่ีดีเฉพาะบุคคล (Strength and Virtue) น่ันเอง๒ จติ วทิ ยาเชิงบวก ยังเป็นศาสตรท์ ี่เน้นความเปน็ วทิ ยาศาสตร์ โดยนางานวิจัย ข้อมูล หรือสถิติ มาประกอบการอ้างอิง รวมถึงมีแนวปฏิบัติท่ีเป็นตัวอย่างชัดเจนและเหมาะสมกับสภาพชีวิตในสังคม ปจั จุบนั จติ วิทยาเชงิ บวกจึงเป็นศาสตรท์ างเลือกใหม่ มเี ปาู หมายเพ่อื มุง่ พัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์ให้ เป็นผู้มีความสุขมากข้ึนและยาวนานข้ึน มีความสมบูรณ์แข็งแรงและมีความสุขทั้งกายและใจ ผ่านทางการพัฒนาตนเอง การพฒั นาคณุ ธรรม (virtue) มมี ุมมองต่อชีวิต และโลกในเชิงบวก ๒.๒.๑ แนวคดิ เกยี่ วกบั จิตวทิ ยาเชงิ บวก หลังจากการเกิดข้ึนของศาสตร์จิตวิทยาเชิงบวก ทาให้มีนักจิตวิทยาได้ทาการศึกษาและวิจัย ต่อยอดไปในหลายแขนง เช่น จิตวิทยาสังคมเชิงบวก (Positive Social Psychology) ซึ่ง ทาการศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรมสังคมและปรากฏการณ์ทางสังคม จิตวิทยาพัฒนาการเชิงบวก (Positive Developmental Psychology) ซึ่งศึกษาเก่ียวกับการพัฒนาการและความงอกงาม (growth) ของมนุษย์แต่ละบุคคลตลอดทุกช่วงอายุ เป็นต้น เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการและ ความสาคญั ของจิตวทิ ยาเชิงบวกได้อยา่ งดี ในมติ ิด้านการทางานและการพัฒนาองค์กรก็ได้มนี ักจิตวิทยานาแนวคดิ จิตวทิ ยาเชงิ บวกมา ทาการศึกษาเช่นกัน ท้ังนี้จากความสาคัญของทรัพยากรบุคคล ซ่ึงเป็นปัจจัยสาคัญที่ส่งผลต่อ ความสาเร็จขององค์การและสามารถทาให้องค์การเกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage)นอกจากองค์กรต้องหมั่นเพ่ิมพนู และพัฒนาทรพั ยากรบคุ คลอย่างต่อเน่ืองเพ่ือให้สามารถ ปฏิบัติงานตามตาแหน่งหน้าที่ต่าง ๆ และสามารถตอบสนองกลยุทธ์และนโยบายของหน่วยงาน ท่ีกาหนดเอาไว้ การดูแลบุคลากรให้มีทัศนคติที่ดีต่องานและหน่วยงาน ก็จะส่งผลให้เกิดความรู้สึก ๑ สิทธโิ ชค วรานสุ นั ตกิ ลู , จติ วิทยาการจัดการพฤติกรรมมนษุ ย์, นครปฐม: มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร, ๒๕๔๙, หนา้ ๒๔. ๒ Seligman, M. E. P., Steen, T. A., Park, N., & Peterson, C. Positive psychology progress: Empirical validation of interventions. American Psychologist, 60 (5), 2005.p. 410-421.

พุทธจติ วทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๒๒ กระตือรือร้น มีความมุ่งม่ันท่ีจะทางาน มีขวัญและกาลังใจที่จะทางานให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป รวมไปถึงการ ทาให้พนกั งานมคี วามรสู้ กึ วา่ ตนเองมีคณุ ค่า มคี วามสาคัญและไดร้ บั ความเอาใจใส่จากองค์การ รวมถึง การสง่ เสริมใหพ้ นกั งานได้มีโอกาสก้าวหนา้ และมีศักยภาพที่พร้อมตอ่ การเติบโตในหน้าท่ีการงานต่อไป ในอนาคตได้ ทัง้ น้ีเม่ือพจิ ารณาในระดบั องค์กร การมบี ุคลากรท่ีมีศักยภาพและทุ่มเทในการปฏิบัติงาน มากขน้ึ ยอ่ มนามาซึ่งผลการดาเนินงานขององค์การในภาพรวมให้เป็นไปตามเปูาหมายที่คาดหวังไว้ได้ และเปน็ ปจั จยั สาคัญตอ่ ความสาเรจ็ ขององคก์ ร ธนยศ ศริ ิดารงคศ์ กั ดิ์๓ ได้ทาการทบทวนวรรณกรรมและเสนอว่าในชีวิตประจาวันของบุคคล ท่ัวไปจะใช้เวลาทางานประมาณ ๑ ใน ๓ ของแต่ละวัน งานจึงมีผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิต มาก การนาจิตวิทยาเชิงบวกมาปรับใช้เพ่ือสร้างสุขภาวะ (well-being) ให้เกิดข้ึนในการทางาน หรือ ความพึงพอใจในงาน (Job satisfaction) จึงเป็นประเด็นท่ีน่าสนใจและมีเก่ียวเนื่องกับผลการ ปฏิบัติงานด้วยโดยความพึงพอใจในการทางานเป็นตัวแปรสาคัญที่มีความสัมพันธ์กับความขัดแย้งใน การทางาน ความต้ังใจในการทางาน ความผูกพันต่อองค์การ และอัตราการลาออก หากองค์การ สามารถสร้างความพึงพอใจในการทางานให้เกิดกับพนักงานได้แล้ว ย่อมส่งผลดีกับองค์การใน ภาพรวม เนื่องจากปัญหาอ่นื ๆ ด้านบุคลากรในองค์การน่าจะลดลงตามไปด้วยเช่นกัน นอกจากน้ียังส่งผลต่อผลการ ปฏิบัติงานของพนักงานและความสาเร็จขององค์การในท่ีสุดและยังสามารถเพ่ิมความสุขท่ียั่งยืนให้กับ พนักงานได้อีกด้วยโดย Fred Luthans นักพฤติกรรมองค์กรได้ทาการศึกษาเพื่อพัฒนาแนวทางการ ปรับปรงุ การปฏิบัติงานของพนักงานองค์การ คือ “Positive Organizational Behavior: POB” เพ่ือ ศึกษาและมุ่งเน้นจุดแข็งเชิงบวก (strengths) ของทรัพยากรบุคคลและทุนทางจิตวิทยา (psychological capacities) โดยต้องสามารถประเมินวัดผล ใช้ในการพัฒนา และสามารถนามาใช้ ในการบริหารจัดการเพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพการปฏิบัติงานได้ (Youssef & Luthans, 2007) ซึ่ง หมายความว่าการศึกษาจะต้องมีหลักฐานเชิงประจักษ์ เช่น ข้อมูลทางสถิติ และสามารถใช้ในการ พฒั นาการทางานไดจ้ ริง ทั้งนี้ Fred Luthans ได้ทาการศึกษาและสังเคราะห์แนวคิดจิตวิทยาเชิงบวกเพ่ืออธิบายตัว แปรที่สาคญั ในการทางานและการจดั การทรัพยากรบคุ คลในองคก์ ร ๕ ประการ ดงั น้ี๔ ๑. ความเชอื่ ม่ันในความสามารถของตนเอง (confidence/self efficacy) Luthans ได้อ้างถึงทฤษฎีและแนวคิดของนักจิตวิทยาคนสาคัญ คือ Albert Bandura ซ่ึง เป็นผู้เสนอทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ความสามารถของตนเอง โดยในการปฏิบัติงานบุคคลจะทา การช่ังน้าหนักและประเมินข้อมูลที่เก่ียวข้องว่าตนมีความสามารถในการทาง านช้ินนั้นให้สาเร็จได้ หรือไม่ หากผลการประเมินออกมาเป็นบวก บุคคลนั้นก็จะเกิดแรงจูงใจและความมานะบากบ่ันท่ีจะ ทางานให้สาเร็จ ซึ่ง Luthans ได้สังเคราะห์งานวิจัยหลายชิ้นและพบว่าตัวแปรท้ังสองมีความสัมพันธ์ ต่อกันค่อนข้างสูง ซึ่งหมายความว่าพนักงานท่ีมีความเช่ือมั่นในความสามารถของตนเองที่สูงมักจะมี ๓ ธนยศ ศริ ดิ ารงค์ศักด,ิ์ วารสารวชิ าการบรรณารักษศาตร์และสารนิเทศศาสตร,์ ๑ มกราคม-มถิ นุ ายน ๒๕๕๒ หนา้ ๒๕. ๔ สทิ ธิโชค วรานุสนั ติกลู , จติ วิทยาการจัดการพฤติกรรมมนษุ ย,์ นครปฐม: มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร, ๒๕๔๙, หน้า ๒๔.

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๒๓ ผลการปฏิบัติงานท่ีดีด้วยนอกจากนี้พนักงานท่ีมีความเช่ือมั่นในความสามารถของตนเองที่สูงยังมี แนวโน้มทจ่ี ะมคี วามคิดเชิงบวกและมภี มู ิคมุ้ กันตอ่ ความเครยี ดไดม้ ากกวา่ อีกดว้ ย ๒. ความหวัง (Hope) ความหวัง คือความคิดของบุคคลว่าส่ิงต่าง ๆ จะคลี่คลายออกมาในทางท่ีพึงประสงค์ต่อ ตนเองหรือการที่บุคคลตั้งเปูาหมาย ค้นหาวิธีในการบรรลุเปูาหมาย และมีแรงจูงใจที่จะทางานให้ บรรลเุ ปูาหมายทต่ี ้งั ไวไ้ ด้ ซงึ่ นกั จติ วิทยาใหค้ วามสาคญั กบั การคน้ หาวิธใี นการบรรลุเปูาหมายด้วย มิใช่ แค่รอคอยให้เปูาหมายสาเร็จได้ด้วยตนเองเท่าน้ัน โดยพบงานวิจัยว่ากลุ่มอาชีพท่ีมีความเครียดและ ความกดดันในการทางานสูง เช่น พยาบาล และพนักงานต้อนรับบนเคร่ืองบิน ท่ีมีความหวังใน ทางบวกมากมกั จะมผี ลการปฏบิ ัติงานท่ดี ีกว่า และอยูใ่ นอาชพี ได้นานกวา่ ผทู้ ่มี คี วามหวงั น้อย ๓. การมองโลกในแงด่ ี (optimism) การมองโลกในแง่ดี คือ การคาดการณ์อนาคตวา่ เหตุการณ์ทง้ั หลายจะคลี่คลายออกมาในทาง ท่ีดี ซงึ่ ตรงข้ามกบั การมองโลกในแง่ร้าย (pessimism) ซง่ึ มีงานวิจยั ยืนยันว่าการคาดการณ์อนาคตที่ดี มีอิทธิพลต่อการเลือกวิธีการตอบสนองของบุคคลต่อสถานการณ์ที่ลาบากหรือมีความท้าทาย และมี อิทธิพลต่อการเผชิญหน้าต่อเหตุการณ์ รวมถึงมีอิทธิพลต่อความสาเร็จในการแก้ไขปัญหาใน สถานการณ์นนั้ ด้วย ๔. ความพงึ พอใจในชวี ิต (subjective well-being) ความพึงพอใจในชีวติ หรอื ความสุข (happiness) เป็นการประเมินความรสู้ กึ และความเชื่อว่า ชวี ติ ของตนเองน้นั น่าพงึ พอใจ โดยนกั จติ วทิ ยาไดส้ รปุ และรวบรวมทฤษฎีได้ ๓ กลุม่ คอื ๑) ทฤษฎีเปูาหมาย (goal theory) ซึ่งอธิบายว่าบุคคลจะรู้สึกพึงพอใจในชีวิตหาก สามารถบรรลเุ ปูาหมายอนั เป็นอดุ มคติของบุคคล น่นั คือคาดหวังวา่ อยากเปน็ อะไรแล้วสามารถเป็นไป ตามทห่ี วงั ก็จะเปน็ บุคคลที่มีความสุข ๒) ทฤษฎีการกระทากิจกรรม (activity theory) คือ คนเราจะมีความสุขในชีวิต หากได้ทากิจกรรมทีต่ อบสนองแรงจงู ใจภายใน (Intrinsic motivation) ของตนเอง ๓) ทฤษฎีทางพันธุกรรมและบุคลิกภาพ (genetic and personality predisposition) คือ พันธุกรรมมีผลต่อความรู้สึกพึงพอใจในชีวิต จากผลวิจัยท่ีศึกษาฝาแฝดร่วมไข่ และแบบต่างซึ่งทั้ง ๒ ประเภท โดยได้ถูกวิเคราะห์ต่อไปในเง่ือนไขท่ีว่าเลี้ยงด้วยกันและแยกกันเล้ียง พบว่ายีนส์มีส่วนกาหนดอารมณ์ด้านบวกประมาณ ๔๐% และอารมณ์ทางลบประมาณ ๕๕% ซ่ึง หมายความวา่ บุคคลมยี นี ส์ทางอารมณ์ติดมากับตัวแล้ว และยังพบอีกว่าบุคลิกภาพมีความสัมพันธ์กับ ความสุขด้วย เช่น บุคลภาพแบบเปิดเผย(Extroversion) และบุคลิกภาพแบบไม่มั่นคงทางอารมณ์ (Neuroticism) มีความพงึ พอใจในชีวิตมากกว่าบุคลิกภาพด้านอื่นในการเช่ือมโยงกับการทางาน จาก การวิเคราะห์อภิมานพบว่าค่าสหสัมพันธ์ระหว่างความสุขในชีวิตกับความพึงพอใจในงาน และความ ความสุขในชีวิตเป็นเหตุให้มีความพึงพอใจในการทางาน แต่ความพึงพอใจในการทางานไม่ส่งผลต่อ ความสขุ ในชวี ิต ๕. ความฉลาดทางอารมณ์ (emotional intelligences) ความฉลาดทางอารมณ์ คอื ความสามารถในการรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของท้ังตนเองและผู้อ่ืน ได้ซ่ึงจะมีอิทธิพลต่อความคิด ความเข้าใจและมีเหตุผลในการใช้อารมณ์ การควบคุมดูแลและปรับ

พทุ ธจิตวทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๒๔ อารมณ์ของตนและผู้อื่น ท่ีผ่านมีมีการศึกษาเกี่ยวกับความฉลาดทางอารมณ์และการทางานซ่ึงพบว่า ความฉลาดทางอารมณ์สมั พันธ์ทางบวกกับการปรับตัวและการยอมรับความเปล่ียนแปลง การทางาน ร่วมกันเป็นทีมภูมิคุ้มกันต่อความเครียด ความผูกพันทางใจต่อองค์กร เป็นต้น และที่สาคัญ มีความสัมพนั ธก์ ับความสาเร็จในชีวิตในระยะยาวมากกวา่ ความฉลาดทางเชาวป์ ญั ญาอกี ด้วย ๒.๓ ความหมายของพุทธจิตวิทยา พุทธจิตวิทยา มาจากคาว่า พุทธ+จิต+วิทยา พุทธ (Buddhist) แปลว่า รู้ คือรู้ตามหลัก แห่งพุทธธรรม ได้แก่ รู้ในแก่นแท้ของพุทธศาสนาคืออริยสัจสี่ ซ่ึงเน้นการใช้สติปัญญาในการแก้ ทุกข์/ปัญหา ตั้งแตข่ ้ันต่า กลาง และขนั้ สูงสดุ จติ (Consciousness) คอื ธรรมชาตทิ ี่รับรอู้ ารมณ์ วิทยา (Logos) หมายถงึ วิชาวา่ ดว้ ยความรูห้ รอื การศึกษา คาว่า จิตวิทยา ( Psychology ) ได้มีนักวิชาการศึกษาได้ให้ความหมายและแนวคิดไว้หลาย ทา่ น ดงั นี้ ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์๕ จิตวิทยา หมายถึง การศึกษาถึงพฤติกรรมของมนุษย์ โดยอาศัย จากการสงั เกตพฤติกรรมของมนษุ ย์ ธีรวุฒิ บุณยโสภณ๖ จิตวิทยา หมายถึง การศึกษาเก่ียวกับจิตวิญญาณของมนุษย์ หรือ พฤติกรรมของมนุษย์ท้ังภายในและภายนอก ด้านความคิด ความรู้สึกการตัดสินใจ และ การสังเกต แลว้ นามาประยกุ ตใ์ ช้กบั ชีวติ ประจาวัน ส่วนพุทธจิตวิทยา(Buddhist Psychology) หมายถึง การศึกษาเร่ืองจิตตามแนวทางแห่ง ผู้รคู้ อื รตู้ ามหลกั พุทธธรรม ได้แก่ รู้ในแก่นแท้ของพุทธศาสนาคืออริยสัจสี่ ซ่ึงเน้นการใช้สติปัญญา ในการแกท้ กุ ข์/ปญั หา ตงั้ แตข่ น้ั ตา่ กลางและข้นั สูงสดุ มนี กั วชิ าการได้ให้ความหมายไว้ พระเทพวิสุทธิกวี๗ จิตวิทยาในพระพุทธศาสนา(พุทธจิตวิทยา)กล่าวถึงตัวจิตโดยตรงว่าเป็น ตัวการท่ีมีความสาคัญมากท่ีทาให้คนเรา และสัตว์โลกท้ังหลายสุขหรือทุกข์ เส่ือมหรือเจริญ และ กล่าวไว้ทุกแง่ทุกมุมอย่างละเอียดถ่ีถ้วนมาก และจิตวิทยาตะวันตกนั้น ยังไม่ยุติ คือยังคงค้นคว้าและ พบทฤษฎีใหมๆ่ เพ่มิ เตมิ กนั อยอู่ ย่างไม่มีท่ีส้ินสุด แต่จิตวิทยาทางพระพุทธศาสนาน้ันเป็นการค้นพบที่ สิ้นสุดยุติลงแล้ว จากการตรัสรู้ของพระพุทธองค์ไม่มีทฤษฎีใหม่อันใดที่ใครจะค้นพบข้ึนมาให้ นอกเหนือไปจากที่กล่าวไว้ใน พระอภิธรรมนี้แล้ว ถ้าใครจะค้น พบทฤษฎีใหม่ให้นอกเหนือข้ึนไปกว่า น้ี ก็แสดงวา่ นนั่ ไม่ใช่จิตวิทยา ในพระพทุ ธศาสนา ๕ ปรียาพร วงศ์อนตุ รโรจน,์ จิตวทิ ยาการศกึ ษา, กรุงเทพมหานคร: ศูนย์สื่อเสริมกรงุ เทพ, ๒๕๓๔ หนา้ ๑๑. ๖ ธีรวฒุ ิ บุณยโสภณ, แนวคดิ ในการบริหารการอาชวี ศกึ ษา สาขาช่างอตุ สาหกรรม,กรงุ เทพมหานคร : สถาบนั เทคโนโลยรี าชมงคล, ๒๕๒๘ หน้า ๑. ๗ พระเทพวิสทุ ธิกวี (พจิ ิตร ฐติ วณั โณ), การพฒั นาจิต, กรงุ เทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราช วทิ ยาลยั , ๒๕๓๘ หนา้ ๓๔.

พุทธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๒๕ ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานต์ิ๘ กล่าวว่า พุทธจิตวิทยาเป็นการนาศาสตร์ที่ศึกษาถึงจิตและ กระบวนการทางจติ ใจคือจติ วิทยามาอธิบายกระบวนการเกิดทุกข์และการพ้นทกุ ข์ ภานุวังโส๙ พุทธจิตวิทยา คือ การศึกษาวิเคราะห์จิตซ่ึงมีความสัมพันธ์กับปัญหา คือทุกข์ เพื่อให้เข้าใจสภาพท่ีแท้จริงของชีวิต เข้าถึงสาเหตุของปัญหา เข้าใจถึงเปูาหมายท่ีแท้จริงของชีวิต รู้วิธีการและรู้วิธีปฏิบัติเพ่ือเผชิญปัญหา ไม่ถูกบีบค้ันโดยปัญหา ไม่ทาให้เกิดความหดหู่ ท้อแท้ แต่ กระตุ้นใหส้ ้แู ละเผชญิ กับปัญหาคอื ทกุ ข์ อยา่ งองอาจและทระนง พุทธจิตวิทยา คือความเข้าใจเบื้องต้นในหลักความเป็นจริงท่ีเป็นกลางตามธรรมชาติ ได้แก่ ชีวิตและความเป็นไปของชีวิต ระบบพัฒนามนุษย์ได้ด้วยไตรสิกขา สาระสาคัญของพุทธจริยาใน เร่ืองจิตและกรรม ศึกษาหลักปฏิบัติธรรมเพื่อการดารงชีวิตที่เป็นสุขและสงบเย็น ฝึกพัฒนาตนเอง ตามแนวพทุ ธธรรม เนน้ การเรยี นรู้ปรยิ ตั ิและปฏบิ ัติควบค่กู ัน เพื่อให้บรรลผุ ลแห่งการปฏบิ ัตสิ ปู่ ฏิเวธ สรุปแลว้ ว่าพทุ ธจติ วิทยา(Buddhist Psychology) หมายถึง การศึกษาวิเคราะห์จิตที่สัมพันธ์ กนั กับทุกข(์ ปญั หา) อนั เปน็ สภาพทแ่ี ท้จรงิ ของชีวิต เข้าใจสาเหตุของทุกข์(ปัญหา) เข้าใจถึงเปูาหมาย ที่แท้จริงของชีวิตคือนิโรธ(ความดับทุกข์ ดับปัญหา) รู้วิธีการปฏิบัติเพ่ือเผชิญปัญหา โดยไม่ถูกบีบค้ัน จากทกุ ข(์ ปญั หา) ไม่เกดิ ความทอ้ แท้ สน้ิ หวัง ให้สูแ้ ละเผชญิ กบั ทกุ ข(์ ปัญหา) อย่างม่ันคงตามหลักพุทธ ธรรม ๒.๔ จติ วทิ ยาตะวันออกส่พู ุทธจติ วิทยา วไลพร ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม๑๐ กล่าวว่าระบบความคิดและการอธิบายเก่ียวกับโลก ธรรมชาตแิ ละชวี ติ ของชาวเอเชียไม่วา่ จะเป็นรากฐานความคิดแบบอินเดียหรือแบบจีนต่างก็มีรากฐาน ของคาอธิบายเชิงจิตวิทยาศาสนาอยู่ค่อนข้างหนักแน่น เช่น ในคาสวดฤคเวทของคัมภีร์อุปนิษัท มีเนื้อหาที่กล่าวถึงคาอธิบายเกี่ยวกับจิตวิญญาณ ความนึกคิดเก่ียวกับตัวตน( Ego-Identity) ความเชอ่ื เรอ่ื งอาตมนั และปรมาตมนั เป็นคาสอนที่ใหบ้ คุ คลรูจ้ ักแบง่ แยกให้ออกระหว่างความเป็นจริง ของตนเอง(self) กับความรู้สึก รากฐานทางจิตวิทยาของจีน เราสามารถสืบหาร่องรอยน้ีได้จาก หนังสือ อี้ชิง (I-Ching) ซ่ึงเป็นอภิปรัชญาเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์และโลกธรรมชาติโดยอธิบาย ในรูปของสัญลักษณ์ว่าด้วยความสอดคล้องระหว่างความเป็นไปและการเปล่ียนแปลงของภาวะ ร่างกายและจิตใจของมนุษย์กับความเป็นไปของโลกภายนอก ซึ่งมีลักษณะคล้ายการวิเคราะห์ เข้าในจิตไร้สานึกของมนุษย์ แต่เป็นการศึกษาเข้าในจิตเพ่ือให้เกิดความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับตนเอง (self knowledge) ระบบคาสอนทางพระพุทธศาสนาก็เหมือนกัน คือในพระสุตตันตปิฎก เป็น ๘ ยงยทุ ธ วงศ์ภริ มยศ์ านต์ิ,รายงานการวิจัยฉบับสมบรู ณ์โครงการการวิจัย และพฒั นาการเรียนรู้เพือ่ คุณภาพการศึกษา. กรงุ เทพมหานคร : สานักงานกองทนุ สนับสนนุ การวจิ ยั . ๒๕๔๗, หนา้ ๑. ๙ ภาณุวังโส (Dr. Thich Minh Chau), จติ วิทยาเชงิ พทุ ธ. กรุงเทพมหานคร : บริษทั เอ็น ที เอส พร้นิ ท์ ตงิ้ , ๒๕๔๙, หน้า ๗. ๑๐ วไลพร ภวภตู านนท์ ณ มหาสารคาม,. จติ วิทยาพุทธศาสน์, ภาควิชามนุษย์ศาสตร์ คณะสงั คม ศาสตรแ์ ละมนษุ ยศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยมหดิ ล, ๒๕๔๗ หนา้ ๔๑-๕๕.

พุทธจิตวิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๒๖ คาอธิบายเป็นรูปธรรม ในพระอภิธรรมเป็นเชิงนามธรรมล้วนๆ ต่างมีเนื้อหาเป็นจิตวิทยาเชิง วเิ คราะห์จติ และพฤติกรรมของมนุษย์อย่างแน่ชัด กล่าวถึงบทบาทความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและ จิตใจเชิงปฏิกิริยาพฤติกรรมของมนุษย์เป็นกระบวนการทางร่างกายและจิตใจ บทบาทของประสาท สัมผัสท่ีเป็นกาย คือ ตา หู จมูก ล้ิน และกายสัมผัสกับกระบวนการทางจิตใจอันเป็นผลมาจาก การทางานของกลุ่มอวยั วะรับความรูส้ ึกทง้ั ๕ เปน็ ต้น วมิ ลรัตน์ ชัยปราการ๑๑ กล่าวว่าจิตวิทยาตะวันออก(พุทธธรรม) ครอบคลุมได้หมดทั้ง \" โลก และชีวิต \"... ปรัชญาและวิธีการศึกษาของตะวันตกเป็นลักษณะของวิทยาศาสตร์ ใช้วิธีการสังเกต ทดลอง สรุปผล จึงมีลักษณะเป็นแบบทดสอบ และการวัดประเมินผลเป็นตัวเลข วัด IQ EQ ความถนัด บุคลิกภาพ ฯลฯ วัดกันเป็นส่วนๆ แต่ทางตะวันออกคือการมอง การฟัง และการ สังเกตจากตัวเราเอง เพ่ือเติบโตจากภายใน ( วิปัสสนา ) เป็นวิถีการเรียนรู้ท่ีไม่ขึ้นกับบริบทอ่ืนใด นอกจากตัวเราเอง และทาได้ทุกที ทุกที่ ทุกเวลา จิตวิทยาตะวันออก(พุทธธรรม) มีความรู้ท่ี สมบรู ณอ์ ยแู่ ล้วเพียงแตต่ อ้ งทาความเขา้ ใจให้ได้เทา่ นั้นเอง โสรีซ์ โพธ์ิแก้ว๑๒ กล่าวว่าจิตวิทยาตะวันออกโดยเฉพาะจิตวิทยาพระพุทธศาสนาเป็น การศึกษาเพ่ือใหห้ ลดุ พน้ เป็นการศึกษาเร่ืองกฎธรรมชาติ ความทุกข์ สาเหตุของทุกข์ การพ้นทุกข์ และวธิ กี ารพน้ ทกุ ข์ จะเห็นไดว้ า่ จิตวิทยาตะวนั ออกเปน็ จติ วิทยาท่ีมแี หล่งทมี่ าที่สาคัญคือเกิดข้ึนโดยอาศัยหลักคา สอนในศาสนา ซ่ึงเกิดขึ้นจากการที่บุคคลมีความเคารพ เล่ือมใสในศาสนาใดศาสนาหน่ึงแล้วยึด เหนี่ยวเอาไว้เพื่อเป็นท่ีพ่ึงทางใจ เมื่อเกิดความทุกข์ข้ึนมาก็ได้อาศัยหลักการคิดตามศาสนานั้น ๆ ใน การแก้ปัญหาของตน โดยเฉพาะพุทธศาสนาน้ันสอนให้คิดว่า “ส่ิงท้ังหลายมีการเกิดขึ้นต้ังอยู่ และ ดับไปเป็นธรรมดา ไม่ให้ยึดมั่นถือม่ันเป็นต้น ก็คือจิตวิทยาตะวันออกน้ันเน้นเรื่องชีวิตและจิตใจใน การแกป้ ญั หา ๒.๕ ความสาคญั ของการศกึ ษาพุทธจติ วิทยา วไลพร ภวภตู านนท์ ณ มหาสารคาม๑๓ความมุ่งหมายของการศึกษาคือการหาความกระจ่าง ในคาอธิบายทางพระพุทธศาสนาท่ีว่าด้วยเร่ืองจิต(นาม) กาย(รูป) และพฤติกรรม(กรรม) ว่ามีความ เก่ียวข้องสัมพันธ์เชิงเหตุเชิงปัจจัยอย่างไร และเมื่อนามาศึกษาเปรียบเทียบกับทฤษฎีทางจิตวิทยา สมยั ใหม่แล้วมคี วามสอดคล้องหรอื แตกต่างกนั อยา่ งไรอนั เปน็ การเสริมสรา้ งความแตกฉานในจิตวิทยา พุทธศาสนายิ่งขึ้นและตระหนักในคุณค่าของพุทธธรรม ความรู้ท่ีได้รับสามารถนาไปใช้ประโยชน์ใน การดารงชีวิต ทาใหม้ ีสมรรถภาพในการปรบั ตวั และการแก้ปญั หาชวี ิตทเี่ กดิ ข้ึน รู้จักการอยู่กับผู้อ่ืน ๑๑ วิมลรัตน์ ชัยปราการ (http://gotoknow.org/profile/birdton) ๑๒ โสรซี ์ โพธ์แิ ก้ว,การปรกึ ษาเชิงจติ วิทยาตามหลกั พระพทุ ธศาสนา. ม.ป.ท. : ม.ป.พ ๑๓ วไลพร ภวภตู านนท์ ณ มหาสารคาม,. จติ วิทยาพุทธศาสน์, ภาควิชามนษุ ย์ศาสตร์ คณะสังคม ศาสตรแ์ ละมนษุ ยศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล, ๒๕๔๗ หน้า ๔๑-๕๕.

พทุ ธจติ วทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๒๗ ได้ดีย่ิงขึ้น มีความเข้าใจในตนเอง และประยุกต์ใช้กับการประกอบอาชีพทุกด้าน ซึ่งส่ิงเหล่าน้ีมิใช่ เปน็ เรอื่ งงา่ ยนกั สาหรับการดารงชวี ติ ในสังคม พระมหาประยูร ธีรวโส (๓ กรกฎาคม ๒๕๔๙) กล่าวว่า มนุษย์ เป็นส่วนหน่ึงขององค์รวม ที่ เราเรียกว่า \"เอกภพ\" เป็นส่วนที่ถูกจากัดอยู่ใน\"อวกาศและเวลา\" มนุษย์รับรู้ตัวตน-ความคิด- ความรู้สึก โดยแยกออกจากส่วนอนื่ ๆ.....น่นั เปน็ ภาพลวงตาที่สร้างข้ึนภายในจิตสานึกของมนุษย์ ภาพ มายานี้ คือ คุกประเภทหน่ึง ท่ีคุมขังพวกเราไว้ กับกิเลสตัณหา และให้หลงใหลกับบางส่ิงใกล้ตัว ภารกิจของเรา คือ การปลดปล่อยตัวเอง ออกจากคุกนี้ โดยการแผ่เมตตาจิตของเราออกไป เพ่ือโอบ กอดความงามของสิง่ มีชวี ติ และธรรมชาติทง้ั ปวง\"......ดร.ไอนส์ ไตน์ และได้คิดคน้ ทฤษฎีใหม่ข้ึนมา และ เปน็ ทย่ี อมรบั โดยนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก คือ สมการE : MCC ดังที่ทราบทั่วกัน ดร.ไอน์สไตน์ บอกว่า สสารและพลังงานมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด สสาร(วัตถุ) สามารถเปล่ียนแปลงพลังงานได้ และ พลังงาน ก็สามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นสสารได้เช่นกัน คือ จากรูปเป็นนาม และจากนามเป็นรูป...... และได้ยืนยันว่า ท้ังวัตถุและพลังงานในจักรวาลน้ี ไม่มีใครทาลายได้ มันจะเปล่ียนกลับไปกลับมา ซ่ึงกันและกัน แล้วแต่สภาวะท่ีเป็นอยู่และยังพบว่าการกระทา (Action) :ปฏิกิริยาสะท้อนกลับ (Reaction) เช่น หากเราเอาไม้ไปตีโต๊ะ ยิ่งตีลงไปแรงเท่าไหร่ แรงสะท้อนกลับ ก็ย่ิงแรงมากขึ้น เทา่ ทใ่ี สล่ งไป กฎทางวิทยาศาสตรข์ อ้ นค้ี ล้ายคลึงกับหลกั ของกฎแหง่ กรรม ท“ าดไี ดด้ ี ทาชว่ั ได้ชว่ั “ ภาณุวังโส๑๔ กล่าวว่ามนุษย์เกิดข้ึนตามกฎธรรมชาติและแตกดับไปตามกฎของธรรมชาติ เช่นกัน มีการเปล่ียนแปลงอย่างต่อเน่ือง เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงคลอดเป็นชีวิตทารก ดาเนินตาม ครรลองของชวี ิต เจรญิ เติบโตจากทารกเป็นวัยเด็ก วัยรนุ่ หนุม่ สาว วยั ผู้ใหญ่ วัยชรา ในท่ีสุดก็ดับลง มีความตายเปน็ จดุ สดุ ทา้ ย เพราะทุกชวี ิตตกอยูภ่ ายใต้กฎธรรมชาติของชีวิตที่เรียกว่าไตรลักษณ์(The Three Characteristic of Existence) คือสามัญลักษณะ เป็นกฎธรรมชาติและสรรพสิ่งท้ังมวล หมายถงึ สงั ขารทั้งหมดมลี กั ษณะเสมอกนั เปน็ ไปตามกฎธรรมชาติอยา่ งเดยี วกัน มรี ายละเอียดดังน้ี อนิจจตา (Impermanence) สภาวะสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่คงที่ ไม่ย่ังยืน เกิดขึ้นแล้ว เสอ่ื มไป ทุกขตา (Stress and Conflict) ทุกขตา(Stress and Conflict) สภาวสังขารท้ังหลาย เปน็ ทุกข์ ภาวะท่ีถูกบีบคั้นด้วยการเกิดข้ึนและสลายตัวไป ภาวะที่ถูกกดดัน ฝืนและขัดแย้งอยู่ในตัว เพราะปัจจัยที่ปรุงแต่งให้มีสภาพเป็นอย่างนั้นเปลี่ยนแปลงไป จะทาให้คงอยู่สภาพนั้นไม่ได้ เป็น ภาวะท่ไี มส่ มบรู ณ์ มีความบกพรอ่ งอยู่ในตวั ไมใ่ ห้ความสมอยากแท้จริง หรือพึงพอใจเต็มที่แก่ผู้อยาก ดว้ ยตณั หา และกอ่ ใหเ้ กดิ ทกุ ขแ์ กผ่ ูเ้ ข้าไป อยากเขา้ ไปยึดดว้ ยตัณหาอุปาทาน อนัตตตา (Soullessness or Non-self) สภาวะท้ังปวงเป็นอนัตตา ความไม่มีตัวตนท่ี แท้จริงของมันเอง ไม่ว่าสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เป็นลักษณะท่ีแสดงถึงความไม่เที่ยง เป็นของ สิ้นไป เกิดขึ้นที่ไหน เม่ือใด ก็ดับไปท่ีนั่นเม่ือน้ัน เช่น รูปธรรมในอดีต ก็ดับไปในอดีต รูปในขณะน้ีก็ ดบั ไปทีน่ ี้ รปู ในอนาคต จะเกดิ ถดั ต่อไป กจ็ ะดับ ณ ทีน่ ้นั เอง เป็นตน้ ๑๔ ภาณวุ งั โส (Dr. Thich Minh Chau), จติ วิทยาเชงิ พทุ ธ. กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ัท เอน็ ที เอส พรนิ้ ท์ติง้ , ๒๕๔๙, หน้า ๗๐-๗๒.

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๒๘ จะเห็นได้ว่าพุทธจิตวิทยามุ่งหมายให้ศึกษาธรรมชาติของมนุษย์โดยวิธีการศึกษา หาความกระจ่างในคาอธิบายทางพระพุทธศาสนาท่ีว่าด้วยเร่ืองจิต(นาม) กาย(รูป) และพฤติกรรม (กรรม) ว่ามีความเก่ียวข้องสัมพันธ์เชิงเหตุเชิงปัจจัยอย่างไร และเมื่อนามาศึกษาเปรียบเทียบกับ ทฤษฎที างจติ วิทยาสมัยใหมแ่ ล้วมคี วามสอดคล้องหรือแตกต่างกันอย่างไรอันเป็นการเสริมสร้างความ แตกฉานในจิตวิทยาพุทธศาสนาย่ิงข้ึนและตระหนักในคุณค่าของหลักแห่งพุทธธรรมและฝึกฝนจิตใจ ตนเองให้สามารถเผชิญกับทุกข์ท่ีเกิดขึ้นอีกท้ังสามารถท่ีจะพัฒนาตนเองให้พ้นจากทุกข์โดยการ ทาลายกเิ ลสได้ส้นิ เชงิ (นพิ พาน) น่นั คอื เปูาหมายสดุ ทา้ ยของพทุ ธจติ วทิ ยา ๒.๖ รากฐานของพทุ ธจิตวทิ ยา รากฐานของพุทธจิตวิทยาคือสง่ิ ทีเ่ ปน็ เคา้ มลู หรือเปน็ หลักของพุทธจิตวิทยา ได้แก่ ธรรมท่ีมี อยู่ในโลกอยู่แล้ว และพระพุทธองค์ผู้เป็นศาสดาแห่งศาสนาพุทธได้ทรงค้นพบแล้วนามาเผยแพร่ให้ เหล่าผูส้ นใจไดศ้ กึ ษานน่ั เอง ซึ่ง วไลพร ภวภตู านนท์ ณ มหาสารคาม๑๕ กล่าวไว้ดงั นคี้ อื ๑. ธรรมนยิ าม ๓ ได้แก่ อนจิ จัง ทกุ ขงั อนตั ตา ๒. ปรมตั ถธรรม ๔ ได้แก่ จติ เจตสิก รปู นพิ พาน ๓. หลักบัญญัตธิ รรม ๒ ไดแ้ ก่ สงั ขตธรรม อสังขตธรรม ๔. ปฏิจจสมุปปบาท ๑๒ ได้แก่ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อปุ าทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ ธรรมนิยาม ๓ คือกฎธรรมชาติที่มีความเป็นสากลที่ครอบงารูป(ร่างกาย)และนาม(จิตใจ) อันได้ ได้แก่ ไตรลักษณะ คือ อนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ และอนัตตลักษณะ ซึ่งทุกชีวิตที่มี ร่างกายและจติ ใจต่างก็ตกอยใู่ นกฎธรรมชาติน้ี สว่ นนิพพานมลี กั ษณะเดยี วคอื อนัตตลักษณะ อนิจจลักษณะ คือสภาวะของความไม่เท่ียงแท้แน่นอน ไม่สามารถดารงสภาพเดิม ไม่คงทนอยไู่ ด้นานถาวร ไม่มธี รรมชาติท่ยี ั่งยนื ทุกขลักษณะ คือ ลักษณะโดยธรรมชาติท่ีส่ิงท้ังหลายท่ีเป็นสังขตธรรมจะต้องการเส่ือม การดบั สลาย เป็นสิ่งทคี่ งทนอยไู่ ดย้ าก หรอื คงอยู่ในสภาวะเดมิ ไดย้ าก อนตั ตลกั ษณะ คือ ลักษณะทไ่ี มม่ ีความเปน็ ตัวตนได้อยา่ งถาวรของสิ่งท่ีเปน็ สงั ขตธรรม เรียกว่าอนัตตา สิ่งต่างๆ ล้วนเป็นสังขตธรรมท่ีมนุษย์สมมติชื่อ ขนานนาม บัญญัติเรียกเป็นตัวตน ต่างๆ ทางตะวันออกส่วนใหญ่ของแนวคิดเรื่องนี้ จะแฝงอยู่ในหลักของศาสนาหรือลัทธิ เช่น พุทธ ศาสนา เลา่ จ้อื ขงจ้อื เป็นตน้ ซง่ึ ทา่ นเหลา่ นไ้ี ดใ้ ช้จติ วทิ ยาในการสอนศาสนา ซ่ึงมีหลักจิตวิทยาเป็นท่ี น่าเช่ือถือได้ แต่เป็นท่ีน่าเสียดายที่ไม่ได้รับความสนใจจากบรรดานักจิตวิทยามากนัก อาจเป็นเพราะ ชาวตะวนั ออกเริ่มศกึ ษาและใช้จติ วิทยาตามแบบปรัชญาไม่ได้เปลี่ยนรูปแบบมาเป็นแบบวิทยาศาสตร์ แบบชาวตะวันตก ๑๕ วไลพร ภวภตู านนท์ ณ มหาสารคาม,. จิตวทิ ยาพทุ ธศาสน,์ ภาควิชามนษุ ย์ศาสตร์ คณะสงั คม ศาสตร์และมนุษยศ์ าสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๔๗ หนา้ ๔๑-๕๕.

พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๒๙ ปรมัตถธรรม ๔ ปรมัตถธรรม คอื สภาวะท่มี ีอยู่โดยปรมัตถ์ คือสิ่งท่ีเป็นจริงโดยความหมาย สงู สดุ ได้แก่ ๑. จติ กลา่ วคอื สภาพที่คดิ สภาวะท่รี ู้แจ้งอารมณ์ ๒. เจตสิก กล่าวคอื สภาวะทีป่ ระกอบกบั จติ คณุ สมบตั ิ และอาการของจติ ๓. รปู กลา่ วคอื สภาวะท่ีเป็นร่าง พรอ้ มท้ังคุณและอาการ ๔. นิพพาน กล่าวคอื สภาวะท่ีส้ินกเิ ลสและทุกขท์ งั้ ปวง สภาวะท่ปี ราศจากตณั หา จิต (Conciousness) คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ สภาพท่ีนึกคิด ความคิด ใจหรือวิญญาณ เป็นนามธาตไุ ม่มตี ัวตน เป็นของกายสิทธิ์ ไม่มีผู้ใดจะสามารถอธิบายการเกิดดับ และการเจริญพัฒนา ของจติ ไดโ้ ดย ไม่อาศยั รูป เวทนา สัญญา และสังขารธรรมทั้งหลายมีจิตเป็นใหญ่เป็นประธาน โลกท้ัง โลก จักรวาลท้ังจักรวาลอยู่ที่จิต ถ้าจิตไม่มี ก็ไม่มีการรู้ว่ามีโลกมีจักรวาล ถ้าปราศจากจิต โลกและ จกั รวาลมีอยูก่ เ็ หมอื นไมม่ ี เพราะไม่มกี ารร้วู า่ มี จิตรู้ไดด้ ว้ ยสัมผสั ๖ คอื สมั ผสั ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เรียกว่า จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และมโน วิญญาณ แต่กว่าจะเกิดการรู้หรือวิญญาณได้ ก็ต้องมีปัจจัยปรุงแต่งองค์ประกอบและกรรมวิธี พอสมควร ดังท่ีพระสารีบุตร อัครสาวกสาธยายได้อย่างแยบยลดังน้ี \" แม้ว่าดวงตาของบุคคลจะดีอยู่ ถา้ ไมม่ ีรปู ภายนอกมาตกอยูใ่ นสายตา และไมม่ ีการประมวลสมสว่ นเกิด วญิ ญาณความรู้อารมณ์ ในกรณีน้ันย่อมไม่เกิดขึ้น หรือแม้ดวงตาของบุคคลจะดีอยู่ และมีรูป กายภายนอกมาตกอยู่ในสายตา หากไม่มีการประมวลสมส่วนเกิดขึ้น วิญญาณความรู้อารมณ์ในกรณี น้ันย่อมไม่เกิดข้ึนเช่นกัน แต่ถ้าดวงตาของบุคคลดีอยู่ มีรูปภายนอกมาตกอยู่ในสายตา และมีการ ประมวลสมส่วนเกิดขึ้น วิญญาณความรู้อารมณ์ในกรณีนั้นย่อมเกิดขึ้น ดังน้ัน การเกิดขึ้นของ วิญญาณอาศัยปัจจัยเป็นเหตุ หากไม่มีปัจจัยวิญญาณย่อมไม่เกิด และเราเรียกลักษณะของวิญญาณ ตามปัจจัยนั้นๆ กล่าวคือ จักขุวิญญาณอาศัยตาและรูปเป็นปัจจัย โสตวิญญาณอาศัยเสียงและหูเป็น ปัจจัย ฆานวิญญาณ อาศัยจมูกและกล่ินเป็นปัจจัย ชิวหาวิญญาณอาศัยลิ้นและรสเป็นปัจจัย กาย วิญญาณอาศัยกายและ โผฏฐัพพะเป็นปัจจัย และมโนวิญญาณอาศัยใจและธรรมเป็นปัจจัย \" จิตเป็นท่ีรับอารมณ์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล หรือเป็นกลาง และไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ใน กามาวจร รูปาวจร อรูปาวจรหรือโลกุตรภูมิ มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ว่า \" จิตเป็นสิ่งประภัสสร กิเลส ท้ังหลายเป็นของจรมาใหม่ \" พระนิโรธรังสีคัมภีร์ปัญญาจารย์ (เทศก์ เทสรังสี) แห่งวัดหินหมากเปูง อาเภอศรเี ชยี งใหม่ จงั หวัดหนองคาย ได้อธบิ ายไวว้ า่ \" คาว่า จิตประภัสสร หมายถึง สภาพเดิมของใจ กล่าวคือใจเปน็ กลางรบั กเิ ลสหรือคุณธรรม ที่จรมาได้ทกุ โอกาส ไม่ใช่ใจหรือจิตบริสุทธ์ิ จิตบริสุทธิ์ต้อง ชาระดว้ ยปัญญา ดว้ ยความรคู้ วามฉลาด คอื เห็นเหตุเห็นผล \" จิตโดยธรรมชาติเป็นสิ่งประภัสสร แต่ไม่ได้หมายความว่าจิตด้ังเดิมนั้นบริสุทธิ์ จิตต้องฟอก ด้วยปญั ญา และมีสตกิ ากับจึงจะบรสิ ุทธไิ์ ด้ ทานองเดยี วกนั กบั ที่กลา่ วว่า ทองคาโดยธรรมชาติเป็นของ สุกปล่ัง นั่นมิได้หมายความว่า ทองคาโดยธรรมชาติเป็นของบริสุทธิ์ ต้องเอาเข้าเตาหลอมไล่สิ่งไม่ บริสุทธ์ิ ออกเสียก่อน ทองคาจึงจะบริสุทธิ์ได้ จิตบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา และมีสติคอยกากับมิให้กิเลส จรมา สัมปยุต เม่ือกิเลสไม่สามารถจะสัมปยุตเข้ากับจิตได้แล้ว จิตย่อมไม่ก่อภพ ก่อชาติอีก ดุจเปลว ไฟ สนิ้ เชอ้ื

พทุ ธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๓๐ เจตสิก (อารมณ์ท่ีเกิดขึ้นจิต) คือธรรมท่ีประกอบกับจิต สภาวธรรมที่เกิดดับพร้อมกับจิต มีอารมณ์ และวัตถุท่ีอาศัยเดียวกันกับจิต อาการและคุณสมบัติต่างๆของจิต บางทีก็เรียกว่า อารมณ์ ของจิต เป็นได้ท้ังกุศลอกุศล และเป็นกลาง กล่าวคือ ประกอบเข้าได้กับจิตทุกฝุายท้ังกุศลและอกุศล เมื่อกุศลหรือโสภณเจตสิก สัมปยุตเข้ากับจิต จิตน้ันก็เป็นกุศลจิต หากอกุศลเจตสิกสัมปยุตเข้ากับจิต จิตนัน้ กพ็ ลอยเป็น อกุศลจิตไปดว้ ย จิตเป็นตัวธรรม เจตสกิ เป็นลักษณะอาการ หรือคุณสมบัติของธรรม ซึ่งอาจเป็นคุณธรรมก็ได้ หรือกิเลสก็ได้ เมื่อสัมปยุตกันแล้วย่อมเกิดดับพร้อมกัน ดุจโรคกับอาการของโรคหรือดวงประทีป กบั แสงสวา่ งย่อมเกิดดับพร้อมกัน เป็นการยากท่ีจะแยกเจตสิกออกจากจิตได้ ต้องใช้ปัญญาชาระล้าง จงึ จะได้เจตสิกชน้ั หยาบ ก็ใช้ปัญญาช้ันหยาบ เจตสิกชั้นกลางก็ใช้ปัญญาชั้นกลาง เจตสิกช้ันละเอียด ก็ต้องใช้ปัญญาช้ันละเอียด และสูงจึงจะชาระล้างสาเร็จ เม่ือจิตถูกปัญญาชาระล้างจนบริสุทธ์ิ ปราศจากกิเลสหรืออกุศลเจตสิกแล้ว จิตน้ันย่อมมีปัญญาเมตตาธรรมและคุณธรรมอันมีปัญญาเป็น ประธาน เปน็ อารมณ์ เพราะปัญญาและเมตตาธรรมไม่ถือว่าเป็นกิเลส นอกจากนั้นจะมีสติคอยกากับ อยู่ตลอดเวลา ไม่มีโอกาสที่อกุศลเจตสิกหรือกิเลสจะจรมากระทบได้ จิตดังกล่าวย่อมปลอด จากอารมณ์ หรือเจตสิกประเภทที่ก่อภพก่อชาติ จิตท่ีบริสุทธิ์จึงไม่เป็นปัจจัยให้เกิดรูปนาม พระอรหันตผ์ ูม้ ีจิต บริสุทธิ์สะอาดเช่นวา่ เมอ่ื ดบั ขันธปรินิพพานแล้ว ยอ่ มไมเ่ วยี นวา่ ยตายเกดิ อกี รปู คือ ธาตุทั้งสี่ และการประชมุ อย่ขู องธาตทุ ้ังส่ี ได้แก่ดินหรอื ของแข็งหน่ึง น้าหรือของเหลว หน่ึง ไฟหรือความร้อนหน่ึง และลมหรืออากาศอีกหนึ่ง ถ้าจะพิจารณาดูภายในกายของมนุษย์และ สัตวท์ ั้งหลาย ดนิ หรือของแขง็ ก็ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนงั เนื้อ เอ็น กระดูกเป็นต้น น้าหรือของเหลว ไดแ้ ก่ ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ น้าตาเปน็ ตน้ ไฟหรอื ความรอ้ นกไ็ ดแ้ ก่ ไฟธาตุที่ยังกายให้อุ่น ยังกาย ใหท้ รดุ โทรม ยังกายให้กระวนกระวาย เผาอาหารใหย้ อ่ ยเป็นต้น ลมหรืออากาศก็ได้แก่ ลมในท้อง ลม ในไส้ ลมซ่านไปท้ังตัว ลมหายใจเข้าออกเป็นต้น ถ้าจะพิจารณาจากแง่วิทยาศาสตร์ รูปก็คือสสาร และสสารนไ้ี ด้รับการพสิ ูจน์จนเหน็ ชดั เปน็ ที่ยอมรับกนั แลว้ วา่ คอื พลงั งานนน่ั เอง นิพพาน คือสภาพท่ีดับกิเลสและกองทุกข์แล้ว ภาวะที่บรรลุเมื่อกาจัดอวิชชา สารอกตัณหา ส้ินแล้ว ไม่ถูกย้อม ไม่ขัดข้อง หลุดพ้น สงบ ปลอดโปร่ง เป็นอิสระ นิพพานเป็นอสังขตธรรม คือไม่ ปรากฏความเกิด ไม่ปรากฏความสลาย และเมื่อต้ังอยู่ก็ไม่ปรากฏความแปรเปลี่ยน อีกนัยหน่ึงก็คือ เปน็ ธรรมทไี่ ม่มกี ารถอื กาเนดิ ไม่มีตน้ กาเนิด ไม่มกี ารปรงุ แต่ง คาว่า นพิ พานน้ี ภาษาสันสกฤตเขียนว่า นริ วาน แปลว่า หยดุ พดั ดบั สูญ อาจพิจารณาได้เปน็ ๒ นยั คอื ๑. การดบั สญู ของกเิ ลส ซ่งึ ในกรณพี ระอรหนั ตย์ อ่ มเกดิ ข้ึนในระหว่างท่ีมชี วี ติ อยู่ ๒. การดบั สญู แห่งกรรมวธิ ีของเบญจขนั ธ์ ซึง่ เกิดขึน้ เมอื่ พระอรหนั ตส์ นิ้ ชีวติ นิพพานจึงไม่ใช่ของแข็งหรือของเหลว มิใช่โลกน้ีหรือโลกอ่ืนใด ไม่ใช่พระอาทิตย์หรือ พระจนั ทร์ นพิ พานคือการส้ินสดุ แหง่ ทุกข์ ไม่ใช่การตาย ไม่มีที่ต้ัง ไม่มีการเจริญงอกงาม ไม่มีรากฐาน นิพพานเปน็ โลกุตระและอมตธรรม หากจะปรบั ปรมัตถธรรมเข้ากบั เบญจขนั ธ์ จะได้ดงั น้ี จิต คือ วิญญาณขันธ์ เจตสิก คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ และสังขารขันธ์ รปู คอื รปู ขนั ธ์ และนพิ พาน คอื ภาวะพน้ จากขันธ์ พ้นจากนามรูป๑๖ ๑๖ มูลนธิ ิอภิธรรมมลู นิธิ (http://www.cdonair.com/thamma/apitham/p๖/๐๐๑.htm)

พทุ ธจติ วิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๓๑ ปรมัตถธรรม เป็นสิ่งที่มีเน้ือความอันไม่วิปริตผันแปรเป็น ธัมมธาตุ เคร่ืองดารงอยู่ของ ธรรม เปน็ ธัมมฐตี ิ เครื่องตง้ั อยขู่ องธรรม เป็น ธมั มนยิ าม กาหนดหมายของธรรม อันเป็นสิ่งท่ีเป็นไป เอง ตามธรรมดาธรรมชาติของส่ิงน้ัน ไม่มีใครแต่งตั้งขึ้น ไม่มีใครสร้างขึ้น มีโดยเหตุโดยปัจจัย ไม่มี ใครเปน็ เจ้าของ ด้วยเหตุนี้ ปรมัตถธรรมจึงหมายถึง ธรรมชาติท่ีมีอยู่จริง ๆ ไม่วิปริตผันแปร เป็นความ จริงที่มอี ยจู่ ริง ๆ ซงึ่ มีอยู่ ๔ อย่าง คือ (๑) จิตปรมัตถ์ คือ ธรรมชาติทร่ี ู้อารมณ์ (๒) เจตสิกปรมัตถ์ คือ ธรรมชาติท่ีประกอบกับจิต ปรุงแต่งจิต ให้เกิดการรู้ อารมณ์ และร้สู ึกเปน็ ไปตามตนเองท่ีประกอบ (๓) รปู ปรมตั ถ์ คือ ธรรมชาตทิ ีแ่ ตกดับย่อยยับดว้ ยความเย็นความรอ้ น (๔) นพิ พานปรมัตถ์ คือ ธรรมชาตทิ ส่ี งบจากกิเลสและขันธ์ ทั้ง ๔ นี้เป็นธรรมชาติที่มีอยู่จริงๆ มีอยู่โดยความเป็นปรมัตถ์ พิสูจน์ได้ รู้ได้ ด้วยปัญญา เปน็ อารมณ์ของปัญญา จากการเรยี นการศกึ ษา จากการพิจารณาหาเหตุ ผล และจากการปฏิบัติ คือ ภาวนามัย สรุปว่า ปรมตั ถ์ธรรมประกอบด้วยท้งั สังขตธรรมและอสงั ขตธรรม จิต เจตสกิ รูป เป็นนาม ขันธ์และรูปขันธ์ เป็นสังขารหรือสังขตธรรม เกิดแต่ปัจจัยปรุงแต่ง ประกอบด้วยไตรลักษณ์ กล่าวคือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่มีตัวตน บังคับไม่ได้ ส่วนนิพพานน้ัน เป็นอสังขตธาตุไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง เป็นโลกุตระ พ้นจากโลกเป็นอมตะ และเพราะเหตุท่ีมีอสังขตหรือวิสังขารธรรมนี้เอง การหนีพ้นหรือ หลดุ พ้น จากสังขารธรรมจึงเป็นไปได้ คาวา่ “คน“ผู้เรยี กจะช้สี ่วนใดส่วนหนงึ่ ของรา่ งกายว่า“คน“ไม่ได้ไม่มี หรือคาว่าเ“ก้าอี้“ผู้เรียกจะชี้ ส่วนหนึ่งส่วนใดว่าเป็นเก้าอ้ีไม่ได้ เพราะเป็นการเรียกโดยสมมุติข้ึนเท่านั้น บัญญัติธรรมน้ีมี ๒ ประการ คอื อัตถบัญญัติและสทั ทบัญญตั ิ ๑. อัตถบัญญัติ เป็นการสมมุติข้ึนตามความหมายแห่งรูปร่างสัณฐาน หรือ ลักษณะ อาการของส่ิงนั้น ๆ เช่น ภูเขา ต้นไม้ บ้าน เรือน เดิน วิ่ง การโบกมือ หมายถึงการจากลา หรือ หมายถึงการปฏิเสธกไ็ ด้ การพยักหน้า หมายถงึ การยอมรับ หรอื การใหเ้ ข้ามาหากไ็ ด้ ๒. สัททบัญญัติ เป็นการสมมติข้ึนเพื่อใช้เรียกขานส่ิงนั้น ๆ คือ สมมติข้ึน เพ่ือให้รู้ด้วย เสียงตามอัตถบัญญัตินั้น เช่น ไม่ได้เห็นภูเขา ไม่ได้เห็นการเดิน แต่เมื่อ ออกเสียงว่า ภูเขา พูดว่าเดิน กร็ ู้ว่าภเู ขามรี ปู ร่างสณั ฐานอยา่ งนั้น เดนิ มลี กั ษณะ อาการอย่างน้นั เป็นต้น เพราะฉะนั้นท้ังอัตถบัญญัติ และสัททบัญญัติ ก็คือระบบการส่ือสารให้เกิด ความรู้ เกิด ความเขา้ ใจกนั ของมนุษย์น่ันเอง ไมไ่ ดม้ ีอยจู่ รงิ ๆ ตัวอย่างร่างกายของเรา ท่ีเรียกว่า แขน ขา จมูก ปาก ตับ ปอด ลาไส้ ฯลฯ ต่าง ๆ เหล่านี้ คนไทยก็เรียกอย่างหนึ่ง คนจีนก็เรียกไปอย่างหนึ่ง คนแขกก็เรียกไป อย่างหน่ึง ฝรั่งก็เรียกไป อีกอย่างหน่ึง ไม่เหมือนกัน แล้วแต่ใครจะสมมติเรียกว่า อะไร บัญญัติจึงหมายถึงการสมมติขึ้นของ คนกลมุ่ หน่ึงใช้เรียกขานกัน ไมไ่ ดม้ อี ยู่ จรงิ ๆ ซ่งึ กล่าวไดว้ า่ เปน็ ความ โดยสมมตินนั่ เอง

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๓๒ สรปุ ทา้ ยบท จิตวิทยาในพระพุทธศาสนาเถรวาทแล้ว พบว่ามโนทัศน์ท่ีแตกต่างอย่างชัดเจน คือ การ ยอมรับว่ามีจิต การอธิบายการมีอยู่ของจิตในพระพุทธศาสนาเป็นลักษณะพิเศษ คือ การมีอยู่ใน ลักษณะที่ไม่เท่ียง ไม่คงทน และไม่มีอยู่แบบนิรันดร์ จิตวิทยาตะวันตกจะสร้างการอธิบายจิตในมิติ เฉพาะของตน ซ่ึงไม่อาจครอบคลุมในทกุ ๆ ดา้ น แตจ่ ากการศึกษา ทาให้ทราบว่ามโนทัศน์พ้ืนฐานของ แนวคิดเชิงจิตวิทยาพระพุทธศาสนาเถรวาท อธิบายอยู่ระหว่างกลาง และมีความใกล้เคียงกับการ อธิบายของกลุ่มจิตวิทยาเชิงรู้คิด และจิตวิทยาผ่านตัวตน ซ่ึงกลุ่มจิตวิทยาเชิงรู้คิดสามารถอธิบาย กระบวนการของจิตระดับสูงที่ชัดเจน ในรายละเอียดในแง่ของการเกิดและความสัมพันธ์ของการเกิด กระบวนการทางจิตต่างๆ เชิงประจักษ์ แต่ก็ยังขาดการอธิบายที่ชัดเจ นในส่วนของจิตท่ี พระพุทธศาสนาเรียกว่า วิญญาณ การอธิบายจึงครอบคลุมในเพียง รูป เวทนาสัญญา และสังขาร บางส่วน การอธิบายของจิตวิทยาผ่านตัวตนทาให้สามารถขยายขอบเขตการอธิบายของมิติของจิตใน ประสบการณ์ท่ีล้ีลับต่างๆ ได้มากขึ้น แนวคิดเชิงจิตวิทยาพระพุทธศาสนาเถรวาท สามารถอธิบายได้ ในลักษณะของการศึกษาแบบอัตวิสัย เป็นไปในเชิงปรากฏการณ์วิทยาแบบไม่มีตัวตน มีลักษณะเป็น ปรากฏการณ์วิทยา และอยู่กึ่งกลางระหว่างเจตจานงเสรีและเหตุวิสัย ท่ีพระพุทธศาสนามักเรียกว่า “เหตุ-ปจั จัย” ซง่ึ เปน็ ลกั ษณะความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งกนั การศกึ ษาแนวคิดเชิงจิตวิทยาในพระพทุ ธศาสนา ตอ้ งใช้วธิ ีการ๓ แบบ คอื ๑) ความรูร้ ะดบั ประสาทสัมผัส หรอื ทิฏฐิ ซึ่งสามารถทดสอบหาความรู้ได้ดว้ ยวิธอี ปุ นัย ๒) ความรูร้ ะดับประสบการณ์ จิต หรือญาณ ซึ่งเป็นความรู้เชิงเหตุผล ระดับวิชาการของศาสตร์ต่างๆ ในโลกการศึกษาจึงใช้หลัก ตรรกศาสตร์ นิรนัยการวิจัยเชิงคุณภาพ อรรถปริวรรตศาสตร์ หรือการตีความ ๓) ความรู้ระดับเหนือ ประสบการณ์ หรือ โพธิญาณเป็นความรู้ท่ีจะประจักษ์ชัดด้วยตนเอง ฉะน้ันการตรวจสอบจึงต้องมา จากผู้ท่ีเคยผ่านประสบการณ์นี้มาเท่านั้นรูปแบบของแนวคิดเชิงจิตวิทยาในพระพุทธศาสนา จึงได้มา จากความเชื้อพนื้ ฐานว่ามนุษยม์ ีความขัดแย้งในใจ ท่ที าใหส้ ่งผลออกมาในรูปแบบของกพฤติกรรมที่ไม่ เป็นสุข ด้วยความปรารถนาที่ขัดกับกฎความจริงของธรรมชาติ คือ อนิจจัง ทุกขัง และ อนัตตา (กฎ ไตรลกั ษณ)์ ถ้าความทุกขใ์ นใจน้ีไม่สามารถทาความเข้าใจท่ถี กู ต้อง ก็ไม่สามารถพบกับความสงบสุขใน ชีวิต ซ่ึงมนุษย์ทุกคนต่างปรารถนาที่จะได้ความสุข หนทางท่ีจะพบความสงบได้จึงต้องหันกลับมา ตรวจสอบปญั หาในใจ เพือ่ ทาใหเ้ กิดปัญญา ทจ่ี ะนาไปส่คู วามสุขท่ีแท้ ดังนั้น แนวคดิ พุทธจิตวทิ ยาจงึ มกี รอบสาคัญของกระบวนการทางจติ ได้ดังน้ี ๑) ข้อมูลจาก ภายนอก การรับรู้จากประสาทสัมผัส คือ อายตนะภายในและภายนอกทั้ง ๖ ๒) ข้อมูลจากภายใน หรอื อารมณ์ การคิด การจา และความรสู้ กึ ตวั คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ๓) การเรียนรู้ คือ ระเบียบของความสัมพันธ์ ตามเหตุ-ปัจจัย ในปฏจิ จสมุปบาท ๔.) การมีอสิ ระทางจติ หรือ ชีวิตท่ีดี คอื หนทางนาความเข้าใจท่ีถูกต้องหรือสัมมาทิฏฐิ และปัญญา เพื่อนาไปสู่นิพพาน ส่วนมโนทัศน์รอง เร่ือง สติปัญญา และบุคลิกภาพเป็นมโนทัศน์ท่ีซับซ้อน และเจือไปด้วยความเป็นตัวตน จึงไม่ควร

พทุ ธจติ วทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๓๓ นามาศึกษาเป็นมโนทัศน์หลักเพราะมโนทัศน์หลักต้องการนาออกจากความซับซ้อนของระบบ ความคิดมนษุ ย์เพื่อประจักษแ์ จง้ กบั รปู แบบทีธ่ รรมดาของความไม่มีตวั ตน๑๗ คาถามทา้ ยบท ๑๗ พระปลดั มารตุ วรมงคฺ โล, ผศ.ดร., การศึกษาวเิ คราะหจ์ ติ วทิ ยาในพระไตรปฎิ ก,(รายงานวจิ ยั ), มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๓ หนา้ ๒๒๐-๒๒๑.

พุทธจติ วทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๓๔ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท ธนยศ ศริ ดิ ารงคศ์ กั ด,ิ์ (๒๕๕๒) วารสารวิชาการบรรณารกั ษศาตร์และสารนเิ ทศศาสตร์, ๑ มกราคม- มิถุนายน. ธรี วฒุ ิ บุณยโสภณ, (๒๕๒๘) แนวคดิ ในการบริหารการอาชวี ศกึ ษา สาขาชา่ งอุตสาหกรรม,กรุงเทพมหานคร : สถาบนั เทคโนโลยรี าชมงคล. ปรียาพร วงศ์อนตุ รโรจน์, (๒๕๓๔) จิตวิทยาการศึกษา, กรงุ เทพมหานคร: ศูนยส์ ื่อเสริมกรุงเทพ. พระเทพวิสทุ ธกิ วี (พิจติ ร ฐติ วณั โณ), (๒๕๓๘) การพัฒนาจิต, กรงุ เทพมหานคร : มหาวิทยาลัยมหามกุฏราช วิทยาลัย. พระปลดั มารตุ วรมงฺคโล, ผศ.ดร., (๒๕๕๓) การศกึ ษาวเิ คราะหจ์ ติ วทิ ยาในพระไตรปิฎก,(รายงานวิจัย), มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . ภาณุวงั โส (Dr. Thich Minh Chau), (๒๕๔๙) จิตวทิ ยาเชงิ พุทธ. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัท เอน็ ที เอส พรน้ิ ทต์ ้ิง. ยงยทุ ธ วงศ์ภริ มย์ศานติ,์ (๒๕๔๗) รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์โครงการการวจิ ยั และพัฒนาการเรียนรู้เพอ่ื คณุ ภาพการศกึ ษา. กรุงเทพมหานคร : สานักงานกองทนุ สนับสนุนการวิจัย. วไลพร ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม, (๒๕๔๗) จิตวิทยาพุทธศาสน,์ ภาควชิ ามนุษย์ศาสตร์ คณะสังคม ศาสตร์ และมนษุ ยศ์ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล. สทิ ธิโชค วรานสุ ันตกิ ลู , (๒๕๔๙) จติ วิทยาการจัดการพฤติกรรมมนษุ ย์, นครปฐม: มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร. โสรซี ์ โพธแ์ิ กว้ ,การปรกึ ษาเชิงจติ วทิ ยาตามหลักพระพทุ ธศาสนา. ม.ป.ท. : ม.ป.พ Seligman, M. E. P., Steen, T. A., Park, N., & Peterson, C. Positive psychology progress: Empirical validation of interventions. American Psychologist, 60 (5), 2005.p. 410-421.

บทที่ ๓ ความรู้เบ้ืองต้นเก่ยี วกับจิตวทิ ยา วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้ประจาบท เมอ่ื ไดศ้ ึกษาเนือ้ หาในบทน้แี ล้ว ผูเ้ รยี นสามารถ ๑. อธิบายความหมายของจติ วทิ ยาได้ ๒. อธิบายความสาคัญของจติ วิทยาได้ ๓. อธิบายประวตั ิและความเป็นมาของการศกึ ษาทางจติ วทิ ยาได้ ๔. อธิบายกลุ่มแนวคิดและระเบียบวธิ กี ารศกึ ษาทางจติ วทิ ยา ได้ ๕. อธิบายขอบข่ายของจิตวิทยาได้ ขอบข่ายเน้ือหา  ความหมายและความสาคัญของจิตวทิ ยา  ประวัตแิ ละความเปน็ มาของการศกึ ษาทางจิตวทิ ยา  กลมุ่ แนวคิดและระเบยี บวิธกี ารศกึ ษาทางจติ วิทยา  ขอบขา่ ยของจิตวทิ ยา

พทุ ธจติ วิทยาแนะแนวเชิงบวก ๓๖ ๓.๑ ความนา ปัจจุบันจิตวิทยาเป็นการศึกษาวิทยาศาสตร์ทางพฤติกรรม หรือ พฤติกรรมศาสตร์ ค้นคว้า หาคาตอบ ทาความเข้าใจ เก่ียวกับพฤติกรรมและปัญหาต่างๆ ในสังคมที่เกิดขึ้นโดยมีพฤติกรรมของ มนษุ ย์เป็นสาเหตุ การศึกษาวิจัย มุ่งตอบคาถามต่างๆ เก่ียวกับพฤติกรรมของมนุษย์ที่สงสัย ส่วนใหญ่ จะเป็นการศึกษาพฤติกรรมภายในโดยใช้วิธีสันนิษฐานจากพฤติกรรมภายนอก ท้ังน้ีเพราะศึกษาได้ งา่ ยกว่าโดยการสงั เกตดดู ้วยตา หรือใชเ้ ครอ่ื งมือ เช่น แบบทดสอบ หรือแบบสอบถาม ฯลฯ จะเห็นได้ ว่า นักจิตวิทยาใช้ภาวะสันนิษฐาน(Construction) ที่เรียกว่า การอุปมาน (inductive) โดยนาข้อมูล มาวเิ คราะหแ์ ละตดั สินพฤตกิ รรม จิตวิทยา (Psychology) เป็นวิชาที่ศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรมและกระบวนการของจิต โดยอาศัยระเบียบวิธีการเชิงวิทยาศาสตร์เพื่อที่จะบรรยาย อธิบาย ทานาย เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และกระบวนการทางจิตให้มีลักษณะท่ีเหมาะสมยิ่งข้ึน การค้นพบคาตอบเกี่ยวกับพฤติกรรมเหล่าน้ัน จะช่วยให้บุคคลที่เก่ียวข้องสามารถรับรู้และเข้าใจ รวมทั้งตอบสนองพฤติกรรมดังกล่าวได้อย่าง เหมาะสม ๓.๒ ความหมายของจิตวทิ ยา จิตวิทยา ตรงกับคาในภาษาอังกฤษว่า Psychology หมายถึง วิชาท่ีศึกษาเก่ียวกับวิญญาณ (Psychology means the studyof the soul) คาว่า Psychology น้ัน มีรากศัพท์มาจากคา ในภาษากรกี ๒ คา คอื Psyche กบั Logos Psyche (อ่านว่า ไซคี) หมายถึง จิตหรือวิญญาณ หรือลมหายใจของชีวิต (Breath of Life) เชน่ วิญญาณ (Soul หรือ Spirit) จติ (Mind) หมายถึง ธรรมชาติท่ีรับรู้อารมณ์ วิญญาณ (Soul) หมายถึง สภาวะจิตท่ีเป็นการ รบั รูอ้ ารมณ์ Logos (อา่ นว่า โลกอส) หมายถึง ศาสตร์ หรอื องค์ความรู้ (Knowledge) หรือการศึกษา (Study) ยุคแรกเริ่ม คานิยามของ “จิตวิทยา หรือ Psychology” เกิดข้ึนจากการ นาคา ๒ คา คือ Psyche กับ Logos รวมกันเป็น Psychology มี ความหมายว่า วิชาท่ีศึกษาเกี่ยวกับ วิญญาณสัญลักษณ์ของจิตวิทยา ใช้อักษรกรีกตัวท่ี ๒๓ คือ ᴪ เรียกว่า ไซ (psi) หรือ ไซคี (Psyche) มีทมี่ าจากตานานความรักระหว่างไซคีและควิ ปิด (อีรอส) ในนวนิยายละติน๑ ๑ ตานานกรีกของคิวปดิ กบั ไซคี

พุทธจติ วทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๓๗ ตานานเล่าว่า ไซคี (Psyche) มีลักษณะเป็นอาวุธประจากายของเทพโพไซดอน(Poseidon) นักจิตวิทยาได้ความหมายของ “จิตวิทยา” (Psychology) ไว้มากมายแต่ในท่ีน้ีขอยกตัวอย่างพอเป็น สงั เขป คือ ฮิลการ์ด๒ อธิบายว่า จิตวิทยา หมายถึง ศาสตร์ที่ศึกษาในเร่ืองที่เก่ียวกับพฤติกรรมของ มนุษย์และสัตว์อ่ืนๆ (Psychology is the science that studies the behaviors of man and other animals.) มอรแ์ กน๓ กลา่ วว่า จติ วิทยา เป็นศาสตร์ท่ีว่าด้วยพฤติกรรมมนุษย์และสัตว์ (Psychology is a science of human and animal behaviour, it includes the applications of the science to the human problems.) ไซเดอร์ และคณะ๔ ให้คานยิ ามว่า จติ วิทยา เปน็ การศึกษาถึงพฤติกรรมและกระบวนการของ จิต ด้วยระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Psychology is the scientific study of behavior and mental processes.) เฟลดแมน๕ ให้คานยิ าม จิตวิทยา ว่า เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรมและกระบวนการ ทางจิต ด้วยระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Psychology is the scientific study of behavior and mental processes.) แมทลนิ ๖ ให้นิยาม จิตวิทยา ว่า เป็นศาสตร์ท่ีศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรมและ กระบวนการทาง จิตด้วยระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Psychology can be defined on the the scientific study of behavior and mental processes.) ดังนั้น สามารถสรุป จากความหมายดังกล่าวข้างต้นได้ว่า “จิตวิทยา” (Psychology) เป็น ศาสตร์ที่ศึกษาค้นคว้า เพ่ือนาความรู้และข้อมูลต่างๆ ที่ได้จากแนวคิดทฤษฎีและการทดลองมา นาเสนอเพ่ืออธิบาย ทานาย และควบคมุ พฤตกิ รรม ทาให้เกิดการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ ๓.๓ ความสาคญั ของจิตวิทยา “จิตวิทยา” (Psychology) เป็นศาสตร์ท่ีศึกษาและทาความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมและ กระบวนการทางจิตของมนุษย์และสัตว์ ด้วยระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์จากคา นิยามข้างต้น ๒ ฮิลการด์ (Hilgard), Introduction to Psychology, New York: Harcourt, Brace and World Inc, 1962, p. 2. ๓ Krejcie,R.V. and Morgan,D.W. “Determining sample size for research activities”,Educational and Measurement, 1974 : 4) ๔ Smith, C. A. et al. Organizational citizenship behavior: Its nature and antecedents, Journal of Applied Psychology, 68 (4), (1983, August). pp. 653 - 663. ๕ Feldman, R.S. Essentials of Understand Psychology, New York: McGraw-Hill, 1994, p.2. ๖ Matlin, M.W. Psychology. 2nd ed. Fort Worth : Harcourt Brace, 1995. p. 2.

พุทธจติ วิทยาแนะแนวเชงิ บวก ๓๘ มีคาสาคัญ ที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยา คือพฤติกรรม (Behavior) กระบวนการทางจิต (Metal Processes) และการศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Study) ซ่ึงมสี าระสาคญั ที่น่าสนใจ ดงั ตอ่ ไปน้ี ๓.๓.๑ พฤตกิ รรม พฤติกรรม(Behavior) หมายถึงการกระทาหรือปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกาย การแสดงออกทางกล้ามเน้ือความคิดและความรู้สึกท่ีเกิดข้ึน เพื่อตอบสนองต่อส่ิงเร้า เป็นกิจกรรม ท่ีอินทรีย์ (Organism) เป็นผู้กระทาทั้งท่ีแสดงออกมาให้บุคคล อ่ืนเห็นได้ เช่น การเดิน การน่ัง การนอน การเคล่ือนไหวในอิริยาบถต่างๆ จัดเป็นพฤติกรรมภายนอก (Overt Behavior) รวมทั้ง พฤติกรรมบางอย่างท่ีซ่อนเร้นไว้ข้างใน ไม่สามารถรับรู้หรือสังเกตได้โดยตรง แต่สามารถใช้เคร่ืองมือ วัดได้ เช่น วัดความดันโลหิต การเปิดของรูม่านตา คลื่นสมอง แรงต้านทานไฟฟูาของผิวหนัง ฯลฯ จัดเป็นพฤติกรรมภายใน (Covert Behavior) พฤติกรรมของมนุษย์แบ่งตามลักษณะการรบั รู้ นกั จติ วทิ ยาแบ่งออกเปน็ ๒ ประเภท ได้แก่ ๑) พฤติกรรมโมลาร์ (Molar Behavior) หมายถึง พฤติกรรมที่สามารถสังเกตได้ โดยตรงไม่ต้องใช้เคร่ืองมือช่วย ใช้การ รับรู้ผ่านประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น การพูด การเล่นดนตรี การเล่นกีฬา การเดินเป็นต้น นอกจากน้ี พฤติกรรม โมลาร์ แสดงการกระทาอกมาอย่างมี ความหมายมากขึ้นพ่ือนาไปสู่จุดมุ่งหมาย ท่ีต้องการหรือหลีกเลี่ยงสิ่งท่ีไม่ต้องการ เช่น การเรียนหนังสือเพื่อความสาเร็จในอนาคต หรือการว่ิง หนเี มือ่ ได้ยนิ เสียงดังคล้ายระเบิด เป็นต้น ๒) พฤติกรรมโมเลกุลาร์ (Molecular Behavior) หมายถึง พฤติกรรมที่ไม่ สามารถสังเกตได้ ดว้ ยประสาทสัมผัสโดยตรง ตอ้ งอาศัยเคร่ืองมอื ทางวิทยาศาสตร์ ชว่ ยในการสังเกต หรือใช้วิธีการทาง วิทยาศาสตรช์ ่วยในการวเิ คราะห์อยา่ งเป็นระบบ ตวั อยา่ งของพฤติกรรมโมเลกุลาร์ เช่น อัตราการเต้น ของหวั ใจ การทางานของคลื่นสมอง การไหลเวียนของโลหติ พฤติกรรมท่ีมนุษย์มักจะแสดงออกกัน โดยทั่วไปในสังคม นักจิตวิทยาสามารถ แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่ พฤติกรรมภายนอกหรือพฤติกรรมที่แสดงออกอย่างเปิดเผย (Overt Behavior) และพฤติกรรมภายในหรือพฤติกรรมที่ปิดบังซ่อนเร้น (Covert Behavior) มีรายละเอียดเกี่ยวกับ พฤติกรรมท้งั ๒ ประเภทดงั น้ี ๑) พฤติกรรมภายนอก หรือพฤติกรรมท่ีแสดงออกอย่างเปิดเผย (Overt Behavior) เป็น พฤติกรรมท่ีบุคคลอ่ืนสามารถสังเกตเห็นได้ สามารถเข้าใจได้โดยง่ายและส่ิงท่ีแสดงออกน้ันตรงกับ ความต้องการท่ีแท้จริงของผู้ที่แสดง พฤติกรรมนั้นออกมาเช่น ถ้ามีคนถามว่าทาอะไรอยู่ ก็ตอบตาม ความเปน็ จรงิ ว่า อา่ นหนงั สอื เปน็ ตน้ ๒) พฤติกรรมภายในหรือพฤติกรรมที่ปิดบังซ่อนเร้น (Covert Behavior) เป็นพฤติกรรมท่ี แสดงออกมาไม่ตรงกับความรู้สึกนึกคิด มีการปิดบังซ่อนเร้นความหมายบางอย่าง ทาให้ผู้อื่นทาความ เข้าใจลาบากหรือก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้ เช่น การแสดงมารยาททางสังคมหรือการแสดงความ

พทุ ธจิตวทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๓๙ เกรงใจโดยการปฏิเสธ เช่น เมื่อฝุายชายสารภาพรัก ฝุายหญิงมักขอเวลาคิดก่อนท่ีจะตอบตกลงใจ คบหา แทนทจ่ี ะให้การตอบรับทนั ทีแบบทีค่ นทั่วไป จะไมท่ ากันในสังคม ๓.๓.๒ กระบวนการทางจิต (Mental Processes) พฤติกรรมภายใน (Covert Behavior) เป็นพฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนภายในตัวบุคคลโดยรู้สึกตัว หรือไม่รู้สึกตัวก็ได้ ไม่สามารถสังเกตหรือวัดได้โดยตรง สังเกตเห็นไม่ได้หรือสังเกตได้ยาก อาศัยการ อ้างอิงจากการสังเกตพฤติกรรมภายนอก (สังเกตผ่านการพูด หรือผ่านการทา แบบวัดและ แบบทดสอบ ) พฤติกรรมประเภทน้ี เช่น การนึกคิด (Thoughts) การรู้สึก (Feelings) อารมณ์ (Emotions) และแรงจูงใจ (Motives) สามารถแบง่ ออกเป็น ๒ ชนิด ได้แก่ ๑) พฤติกรรมภายในท่ีเกิดขึ้นโดยรู้สึกตัว (Conscious Process) เช่น ความหิว ความโกรธ ความปวด ความเหนื่อย ความดีใจ ฯลฯ พฤตกิ รรมเหลา่ น้ีเกิดขึ้นโดยผู้ท่ีเป็นเจ้าของพฤติกรรมรู้สึกตัว วา่ กาลงั เกิดพฤติกรรมเหล่าน้ัน ถ้าบุคคลนั้นสามารถควบคุมความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ ถ้าไม่บอก ไม่แสดง อาการให้ผู้อ่ืนได้ทราบ ผู้อื่นก็ไม่อาจทราบได้ เช่น ถ้าเราโกรธ แต่ไม่แสดงออก ผู้อื่นก็จะไม่ทราบว่า เรากาลงั โกรธ ๒) พฤติกรรมภายในที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้สึกตัว (Unconscious Process) เป็นพฤติกรรม ที่เกิดข้ึนภายในโดยเจ้าของพฤติกรรมไม่รู้สึกตัว แต่มีผลต่อพฤติกรรมภายนอกของบุคคล เช่น ความวิตกกงั วล ความปรารถนา และความคาดหวังเปน็ ต้น นอกจากน้ี นักจิตวิทยาสามารถแบ่งพฤติกรรมตามลักษณะการเกิด ออกเป็น ๒ ประเภท ใหญๆ่ คอื ๑) พฤติกรรมติดตัวมาแต่กาเนิด (Inborn หรือ Innate behavior) เป็นการกระทาที่มนุษย์ และสัตวส์ ามารถปฏบิ ตั ิได้แตก่ าเนิดตามวุฒิภาวะ หรือความพร้อมของร่างกาย โดยไม่จาเป็นต้องผ่าน การฝึกฝนมาก่อน แสดงพฤติกรรมได้ตามธรรมชาติ โดยไม่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม หรือถิ่นท่ีกาเนิด เช่น เด็กทารก สามารถนั่ง คลาน ยืน เดิน และว่ิงได้ด้วยตนเอง เม่ือร่างกายเกิดความพร้อมที่ จะเคล่ือนไหวได้ เมื่อถงึ เวลาทก่ี าหนดทกุ คนกส็ ามารถทา ได้เหมอื นกัน หรอื อาจเรียกว่า สัญชาตญาณ (Instinct) ๒) พฤตกิ รรมเรยี นรู้ (Learned Behavior) เป็นการกระทา ทีเ่ กดิ ข้นึ ภายหลังจากที่ได้รับการ ฝึกหัดหรือฝึกฝนแล้ว เช่น การว่ายน้า การเขียนหนังสือ ฯลฯ พฤติกรรมเหล่าน้ีต้องมีการทาซ้า หรือ ฝึกฝนบ่อยๆ จงึ เกดิ การเรยี นร้ขู ึน้ จนทาให้เปล่ียนพฤติกรรม จากทาไม่ได้มาเป็นทาได้ยิ่ง มีการฝึกฝน บ่อยเท่าใดก็จะย่ิงทาพฤติกรรมที่มีความซับซ้อนมากกว่าพฤติกรรมของสัตว์ ซึ่งพฤติกรรมท่ีมนุษย์ แสดงออกในแต่ละสถานการณน์ ้นั จะมคี วามแตกต่างกนั ขึน้ อยกู่ ับปัจจยั ส่ิงแวดลอ้ ม ๓.๓.๓ ระเบยี บวิธกี ารศึกษาทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Study) หลักการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) เป็นวิธีการหาความรู้ท่ีนักจิตวิทยาใช้ใน การศึกษาพฤติกรรมและกระบวนการทางจิตอย่างมีระบบระเบียบ มีหลักเกณฑ์ ไม่ใช่การคาดคะเน หรอื คาดเดาจากสามัญสานึก ระเบยี บวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์(Scientific Study) มี ๕ ข้ันตอน ดังตอ่ ไปนี้ ๑) ระบปุ ญั หา (Formulation the Problem) ๒) ตั้งสมมติฐาน (Stating the Hypothesis)

พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชิงบวก ๔๐ ๓) รวบรวมขอ้ มูล (Collecting the Data) ๔) การวเิ คราะห์ขอ้ มลู (Analyzing the Data) ๕) การสรุปผล (Summarizing) ๓.๓.๔ จดุ มงุ่ หมายของการศกึ ษาทางจติ วทิ ยา ๑.เพื่อการทาความเข้าใจพฤติกรรมและกระบวนการทางจิต (Description of behavior and mental process) ๒. เพ่ือการอธิบายพฤติกรรมและกระบวนการทางจิต (Explanation of behavior and mental process) ๓. เพ่ือการทานายพฤติกรรมและกระบวนการทางจิต (Prediction of behavior and mental process) ๔. เพ่ือการควบคุมพฤติกรรมและกระบวนการทางจิต (Control and Change of behavior and mental process) ๓.๔ ประวตั ิและความเปน็ มาของการศกึ ษาทางจิตวิทยา ๓ .๔ .๑ ยุ ค ก่ อ น ที่ จิ ต วิ ท ย า จ ะ เ ป็ น วทิ ยาศาสตร์ (Prescientific) เร่ิมต้ังแต่สมัยท่ีแนวความคิดของนัก ปรชั ญาชาวกรกี เชน่ อริสโตเติล (Aristotle) หรือเพลโต (Plato) จิตวิทยา เป็นศาสตร์ที่ เก่าแก่วิชาหนึ่ง ซึ่งมีการศึกษาทาความ เข้ าใ จม าตั้ งแ ต่ส มั ยก รีก โ บ รา ณก่ อ น คริสตกาล มีต้นกาเนิดมาจากวิชาปรัชญา และสรีรวิทยา นักปรัชญาคนสาคัญได้แก่โสกราติส (Socrates; ๔๗๐-๓๙๙ ปีก่อนค.ศ.) เพลโต (Plato; ๔๒๗-๓๔๗ ปกี ่อน ค.ศ.) และอรสิ โตเติล (Aristotle; ๓๘๔–๓๒๒ ก่อนค.ศ.) การศึกษาของนักปรัชญาในยุคน้ันเป็นแบบเก้าอ้ีโต๊ะกลมหรือวิธีอาร์มแชร์(Arm Chair Method) เป็นจิตวิทยายุคเก่า นักจิตวิทยาน่ังศึกษาอยู่กับโต๊ะทางานใช้ความคิดเห็นของตนเองเพียง อยา่ งเดยี วไมม่ ีการทดลอง ไม่มีการวเิ คราะห์ใดๆ ท้ังสิน้ ต่อมาอริสโตเติล (Aristotle) เขียนตาราจิตวิทยาเล่มแรกของโลกช่ือ ดี แอนนิมา (De Anima) หมายถึง เร่ืองชีวิต และจิตวิญญาณ เขากล่าวว่า วิญญาณเป็นต้นเหตุให้คนต้องการเรียน จิตวิทยา ทาให้ทราบว่า คนในสมัยนั้นมีความเชื่อเรื่องปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างๆ ความเช่ือเร่ือง ส่ิงลลี้ ับ มอี านาจควบคมุ พฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์ โดยวิญญาณจะสิงอยู่ในร่างกายของมนุษย์ขณะ มีชีวิตอยู่ เมื่อคนสิ้นชีวิตร่างกายจะปราศจากวิญญาณ วิญญาณออกจากร่างล่องลอยไปช่ัวระยะหนึ่ง แลว้ อาจจะกลบั ส่รู า่ งกายคนื อกี ได้ คนนั้นๆก็จะฟ้ืนคืนชีพข้ึนมา ชาวกรีกจึงมีการคิดค้นวิธีการปูองกัน ศพไม่ให้เน่าเป่ือยทเ่ี รียกวา่ “มมั ม”ี่ เพอ่ื คอยการกลบั มาของวญิ ญาณ

พุทธจิตวทิ ยาแนะแนวเชงิ บวก ๔๑ ต่อมาประมาณศตวรรษท่ี ๑๑-๑๒ ลัทธิความจริง (Realism) เป็นลัทธิที่เช่ือสภาพความเป็น จริงของส่ิงต่างๆ และลัทธิความคิดรวบยอด (Conceptualism) กล่าวถึง ความคิดที่เกิดหลังจากได้ วิเคราะห์พิจารณาส่ิงต่างๆ ถ่ีถ้วนแล้ว ลัทธิทั้งสองน้ีที่เกิดขึ้นมา ทาให้ผู้คนมี การใช้ความคิด หาเหตผุ ล คิดวิเคราะห์และไตรต่ รองมากขึ้น ทาใหผ้ คู้ นเร่ิมมาสนใจศกึ ษา จติ วิทยาในเชิงวิทยาศาสตร์ มากขึ้น โดยศึกษาเร่ืองจิตและเร่ืองจิตสานึก (Conscious) ได้แก่ การมีสมาธิ การมีสติสัมปชัญญะ และเช่ือว่าจะเป็นมนุษย์ได้นั้น ประกอบไปด้วย ร่างกายกับจิตใจ จึงมีคาพูดว่า “A Sound mind is in a sound body” จิตท่ีผ่องใสอยู่ในร่างกายท่ีสมบูรณ์นอกจากนี้ยังเชื่อว่า จิต (Mind) สามารถ แบ่งเป็นส่วนๆ ได้แก่ ความคิด (Idea) จินตนาการ (Imagine) ความจา (Memory) การรับรู้ (Concept) ส่วนที่สาคัญท่ีสุดเรียกว่า Faculty of will เป็นส่วนหนึ่งของจิตท่ีสามารถส่ังการ เคล่อื นไหวอวยั วะตา่ งๆของร่างกาย ประมาณต้นศตวรรษท่ี ๑๖ การศึกษาจิตวิทยาเริ่มเกิดขึ้นอย่าง จริงจัง ซึ่งบุคคลสาคัญท่ีมีบทบาทต่อ วิชานี้ ได้แก่รูป เรอเน เดคาร์ท (Rene rescartes 1956-1650) จอหน์ ล็อค (John Locke 1632- 1704) และโจแฮนด์ มุลเลอร์ (Johannes Muler 1801-1858) จอห์น ล็อค (John Locke 1632-1704) นักปรัชญา ชาวอังกฤษ พบว่า จิต คือ ความรู้ตัว (Conscious)และส่งิ แวดลอ้ มมีอิทธพิ ลต่อจิต ร่างกายและจิตใจทางานแยกกันโดยเด็ดขาด มนุษย์แรก เกิดนั้นมีจิตใจบริสุทธิ์เหมือนผ้าขาวสะอาด ส่ิงแวดล้อมเปรียบเสมือนสีย้อมผ้าที่ทา ให้ผ้าขาวเปรอะ เปอื้ น เปน็ เหตใุ หจ้ ิตของมนษุ ย์เสียไป ดงั นั้นเมื่อมนษุ ยเ์ ตบิ โตขึ้น จะมีจิตที่สมบูรณ์ขึ้น แสดงว่า จอห์น ล็อคให้ความสาคัญกับประสบการณ์ท่ีบุคคลได้รับในภายหลังว่า มีบทบาทต่อพฤติกรรมของบุคคล นอกจากน้จี อหน์ ลอ็ ค ยังไดช้ ่อื วา่ เปน็ “บดิ าจิตวิทยาแผนใหม่” คริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ เป็นยุคฟื้นฟูวิทยา (Renaissance) นักวิทยาศาสตร์คนสาคัญ ได้แก่ กาลิเลโอ กาลิเลอี (Galileo Galilei 1564-1642) เป็นผู้ค้นพบกล้องโทรทัศน์ การศึกษายุคน้ีเน้น เก่ียวกับส่ิงแวดล้อมทางโลกมากกว่าการค้นคว้าเก่ียวกับตนเอง การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ จงึ มคี วามก้าวหนา้ มากกว่าการศกึ ษาทางจติ วทิ ยามาก โจแฮนด์ มุลเลอร์ (Johannes Muler 1801-1858) นักสรีรวิทยาชาวเยอรมัน แต่งหนังสือ คู่มือทางสรีรวิทยาของมนุษย์ (Handbook of Human Physiology) กล่าวถึง ระบบประสาท การเคล่ือนไหวของกล้ามเน้ือและปัจจัยทางสรีรวิทยาเก่ียวกับการฟังการมองเห็นและประสาทสัมผัส อน่ื ๆ นอกจากนยี้ งั กล่าวถงึ ความจาความรสู้ ึก จนิ ตนาการ ฯลฯ เขาจงึ ได้ชื่อว่าเปน็ “บดิ าของการ ทดลองทางสรีรวทิ ยา” ๓.๔.๒ ยุคที่จิตวิทยาได้รับการยอมรับว่าเป็นวิทยาศาสตร์ (Scientific) เริ่มตั้งแต่ วิลเฮล์ม แมกซ์ วนุ้ ท์ (Wilhelm Max Wundt 1832–1920)