Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การสอนธรรมวิทยา

การสอนธรรมวิทยา

Description: "การสอน" หมายถึง บอกวิชาความรู้ให้ แสดงให้เข้าใจโดยบอกวิธีหรือให้ทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง คนส่วนใหญ่จึงเข้าใจว่าการสอน คือการถ่ายทอดความรู้โดยการบอก ผู้สอนจึงเป็นผู้รู้ เป็นผู้มีประสบการณ์เหนือกว้าผู้เรียน

Keywords: การสอนธรรม,วิทยา

Search

Read the Text Version

การสอนธรรมวิทยา ๙๐ ๑. ผู้ส่งข่าวสารหรือแหล่งกําเนิดข่าวสาร ๒. ผู้รับข่าวสารหรือจุดหมายปลายทางของข่าวสาร ๓. ช่องสัญญาณ ๔. การเข้ารหัส ๕. การถอดรหัส ๖. สัญญาณรบกวน ๔. วัตถุประสงค์หลักของการนาการส่ือสารข้อมูลมาประยุกต์ใช้ในองค์กร ๔.๑ เพ่ือรับข้อมูลและสารสนเทศจากแหล่งกาํ เนิดข้อมูล ๔.๒ เพื่อส่งและกระจายข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ๔.๓ เพื่อลดเวลาการทํางาน ๔.๔ เพ่ือการประหยัดค่าใช้จ่ายในการส่งข่าวสาร ๔.๕ เพื่อช่วยขยายการดําเนินการองค์การ ๔.๖ เพื่อช่วยปรับปรุงการบริหารขององค์การ สรปุ ทา้ ยบท ปจั จุบนั หลกั การและแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนท่ีได้รับความนิยมมีอยู่เป็นจํานวนมาก แม้ว่า ความนิยมจะเน้นไปทางด้านการยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง แต่ก็มิได้หมายความว่าครูจะสอนโดยยึดครูเป็น ศนู ยก์ ลางไม่ได้ ดังที่หลายคนเข้าใจ ความจริงแล้วครูควรเลือกหลักการและวิธีการท่ีเหมาะสมกับลักษณะของ เนื้อหาสาระและวัตถุประสงค์ ดังนั้น ในบทน้ีผู้เขียนจึงได้ประมวลหลักการหรือแนวคิดท่ีนิยมใช้กันท่ัวไป ซึ่ง ส่วนใหญ่ไดม้ าจากผลการศกึ ษาคน้ ควา้ วจิ ัยใหมๆ่ มานําเสนอไว้โดยจดั แบ่งเป็น ๓ หมวดใหญ่ๆ ได้แก่ หลักการ จัดการเรียนการสอนโดยยึดครูเป็นศูนย์กลาง ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและการสอนโดยไม่มีครูซึ่งแต่ละหมวด ประกอบไปด้วยหลักการย่อยๆ จํานวนไม่น้อย โดยเฉพาะในหมวดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางจะจําแนกออกเป็น แบบทเี่ น้นตวั ผ้เู รยี น เน้นประสบการณ์ เน้นปญั หา เน้นทกั ษะกระบวนการ และเน้นการบูรณาการ ในอนาคต การจัดการเรียนการสอนมแี นวโน้มท่ีจะยึดหลักการสอนโดยไม่มีครูเพ่ิมขึ้น เน่ืองจากการจัดการศึกษาจะมุ่งให้ ผู้เรียนสัมฤทธิ์ผลเป็นรายบุคคลมากขึ้น ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากเทคโนโลยีทางการศึกษาก้าวหน้าข้ึน ตามลาํ ดบั

การสอนธรรมวิทยา ๙๑ คาถามท้ายบท

การสอนธรรมวทิ ยา ๙๒ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท ทศิ นา แขมมณ,ี (๒๕๔๐), การคดิ และการสอนเพอ่ื พัฒนากระบวนการคดิ , กรงุ เทพมหานคร : โครงการ พฒั นาการเรียนการสอน สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ สํานักนายกรัฐมนตร.ี บทบาทและความสาํ คัญของเทคโนโลยีสารสนเทศทีม่ ตี ่อการบรหิ ารจดั การศึกษา. (ออนไลน์) เข้าถงึ ได้จาก http://www.sahavicha.com/?name=faq&file=readfaq&id=๒๙๐, สบื คน้ เมอื่ ๒๑ ธนั วาคม ๒๕๕๙. รุง่ แก้วแดง, (๒๕๔๓), วกิ ฤติเนอ่ื งจากการปฏิวัติเทคโนโลยี ตามแนวคดิ ของบิลล์ เกตส์, กรุงเทพมหานคร : มตชิ น, ๑๔ – ๑๘. http://www.nukul.ac.th/it/content/02/2-1.html#111 http://www.kmitl.ac.th/agritech/nutthakorn/04093009_2204/isweb/Lesson%2022.htm ความหมายและขอบขา่ ยของเทคโนโลยีการศึกษา. http://images.dearao.multiply.multiplycontent.com/.../3hathaikan_141336.doc http://www.pbps.ac.th/e_learning/combasic/information๒.html

บทที่ ๖ วธิ กี ารสอนแบบต่างๆ วตั ถปุ ระสงค์การเรียนรูป้ ระจาบท เม่ือได้ศกึ ษาเน้อื หาในบทนแ้ี ลว้ ผเู้ รยี นสามารถ ๑. อธิบายรปู แบบการเรยี นการสอนได้ ๒. อธิบายรปู แบบการบูรณาการได้ ๓. อธิบายการสอนแบบศูนย์การเรยี นรู้ได้ ๔. อธิบายการสอนตามแนวพทุ ธวิธีได้ ขอบขา่ ยเนื้อหา  รปู แบบการเรียนการสอน  รปู แบบการบูรณาการ  การสอนแบบศนู ย์การเรียนรู้  การสอนตามแนวพทุ ธวิธี

การสอนธรรมวทิ ยา ๙๔ ๖.๑ ความนา การปฏิรูปการศึกษาเป็นมาตรการสาคัญท่ีมีผลต่อการปฏิรูปสังคมวัฒนธรรม เศรษฐกิจและ การเมืองของประเทศ ให้สามารถทนต่อแรงเสียดทานท่ีเกิดจากวิกฤตด้านต่างๆ ท่ีเกิดขึ้นท่ัวโลก ประเทศไทยเรา มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๘๑ กาหนดให้ รัฐต้องจัดให้มีกฎหมายการศึกษาแห่งชาติและปรับปรุงการศึกษา ให้สอดคล้องกับการเปล่ียนแปลง ทางเศรษฐกิจและสังคม พระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ซงึ่ เป็นกฎหมายการศึกษา ฉบับแรกของประเทศไทย มีกาหนดเก่ียวกับหลักสูตรไว้ในหมวด ๔ ว่าด้วย แนวการ จัดการศึกษา มาตรา ๒๗ วรรคหน่ึง ให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจัดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน พ้ืนฐานข้ึนเพื่อความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองดีของชาติ การดารงชีวิตและการประกอบอาชีพ ตลอดจนเพ่ือการศึกษาต่อและวรรคสอง กาหนดให้สถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานมีหน้าที่จัดทาสาระของ หลักสูตรตามวัตถุประสงค์ในวรรคหนึ่งในส่วนท่ีเกี่ยวกับปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะอนั พึงประสงคเ์ พ่อื เป็นสมาชกิ ที่ดีของครอบครัว ชมุ ชน สังคมและประเทศชาติ๑ วิธีสอน หมายถึง แนวทางท่ีปฏิบัติ แบบอย่างที่ทา ท่ีผู้สอนดาเนินการให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ด้วยวิธีการตา่ ง ๆที่แตกตา่ งกันไปตามองค์ประกอบ และขั้นตอนสาคัญอันเป็น ลักษณะเด่นหรือลักษณะเฉพาะที่ขาดไม่ได้ของวิธีนั้น ๆ เช่น วิธีสอนโดยใช้การบรรยาย วิธีสอนแบบ สาธติ แบบโครงงาน แบบสืบสวนสอบสวน แบบอุปนัย แบบอภปิ ราย เป็นต้น ๖.๒ รปู แบบการเรยี นการสอน รูปแบบก็คือการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการแบบต่างๆ ที่สร้างองค์ความรู้มีลักษณะเด่น การให้ ความสาคญั ของกระบวนการเรียนรขู้ องผเู้ รียนและความสาคญั ของความรู้ ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียน เป็นผู้แสดงความรู้ สร้างความรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนสังเกตส่ิงที่ตนอยากเรียนรู้ แล้วค้นคว้าแสวงหา ความรเู้ พ่มิ เช่ือมโยงกับความรู้เดิม ประสบการณเ์ ดิม ผนวกกับความรู้ใหม่ จนสร้างสรรค์เกิดเป็นองค์ ความรู้ใหม่ กล่าวโดยสรุปเป็นการเรียนรู้โดยให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริง ค้นหาความรู้ด้วยตัวเอง จน ค้นพบความรู้และรู้จักสิ่งท่ีค้นพบ เรียนรู้วิเคราะห์ต่อจนรู้จริง รู้ลึกซึ่งว่าส่ิงน้ันคืออะไรมีความสาคัญ มากน้อยเพียงไร การเรียนรู้แบบนี้ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถในการคิด พร้อมท้ังฝึก ทกั ษะทางสังคมท่ีดี ไดร้ ว่ มแลกเปลย่ี นเรียนรู้ระหว่างผเู้ รียนกบั ผสู้ อน โดยแบ่งประเภทไว้ ๓ คือ ๑. การสอนโดยการอภปิ รายกลุ่ม (Group Discussion) ๒. การสอนแบบโครงงาน (Project Design) ๓. การสอนแบบบรู ณาการ (Integrated Teaching) ๑ สานักนเิ ทศและพฒั นามาตรฐานการศกึ ษา, สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร,รายงานวจิ ัยปฏิบัติการเพอ่ื พฒั นาระบบประกนั คุณภาพภายในสถานศึกษา.กรงุ เทพฯ: องคก์ ารรับสง่ สินคา้ และพัสดภุ ณั ฑ์ (ร.ส.พ.). ๒๕๔๖ หนา้ ๑.

การสอนธรรมวิทยา ๙๕ ๖.๒.๑ การสอนโดยการอภปิ รายกลุม่ (Group Discussion) วิธีสอนท่ีมุ่งให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสนทนาแลกเปล่ียนความคิดเห็น หรือพิจารณา หัวข้อที่กลุ่มมีความสนใจร่วมกัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือหาคาตอบ แนวทาง หรือเพ่ือแก้ปัญหาใด ปญั หาหน่งึ รว่ มกนั เป็นวธิ ีสอนทีผ่ ู้เรียนมีส่วนรว่ มในการเรยี น คอื ได้คิด ได้ทา ได้แก้ปัญหา และได้ฝึก การร่วมกันทางานแบบประชาธิปไตย มีลักษณะการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น (Active Learnin) พัฒนาผู้เรียนทั้งด้านความรู้ ด้านเจตคติ ด้านทักษะการเรียนรู้ เช่น ทักษะการคิด การพูด การรับฟัง การแสดงความคิดเห็น การทางานร่วมกับกล่มุ ๑. ข้นั เตรยี มการอภปิ ราย ผสู้ อนตอ้ งเตรียมในสิง่ ต่อไปนี้ ๑.๑ หัวข้อและรูปแบบการอภิปราย เตรียมให้สอดคล้องเหมาะสมกับ จุดประสงค์ของบทเรียน เวลาเรียนจานวนผู้เรียนสถานที่ ฯลฯ เช่นถ้ามีเวลาจากัดควรใช้แบบซุบซิบ หรอื ปรึกษา ถ้าตอ้ งการรวบรวมความคิดอาจใชแ้ บบระดมพลงั สมอง ( Brain storming) ถ้ามีเวลาให้ ผู้เรียนได้มเี วลาเตรียมเนื้อหาสาระความรู้มาลว่ งหนา้ ควรใชแ้ บบ ซิมโพเซียม (Symposim) ๑.๒ ห้องเรยี น ผู้สอนควรจดั โตะ๊ เก้าอใี้ ห้เหมาะสมกับรูปแบบการอภปิ ราย เชน่ ๑. จดั แบบวงกลม หรอื ครง่ึ วงกลม เหมาะสาหรบั การอภปิ ราย แบบระดมสมอง ๒. จัดรูปแบบตวั ยหู รอื สเี่ หลยี่ มผนื ผา้ เหมาะสาหรับการอภิปราย กลุ่มใหญ่ ๓. จดั รปู แบบตวั ที (T) หรอื แบบเรียงแถวหน้ากระดานเหมาะ สาหรบั การอภปิ รายแบบพาเนล ๑.๓ ส่ือการเรียน อาจต้องใช้เอกสารไว้แจกประกอบการอภิปราย อาจมี การใช้สไลด์ภาพแผนภูมิแผ่นใสฯลฯ เพ่ือสรุปผลการอภิปราย หรือประกอบการอภิปรายของแต่ละ กลมุ่ ผู้สอนตอ้ งเตรียมให้พรอ้ ม ๒. ขน้ั ดาเนินการอภปิ ราย ผสู้ อนมีบทบาทสาคัญในการควบคุมการอภิปรายให้ดาเนิน ไปได้ดว้ ยดี จึงตอ้ งดาเนินการดงั น้ี ๒.๑ บอกหัวข้อหรือปัญหาท่ีอภิปรายให้ชัดเจน ๒.๒ ระบุจุดประสงคก์ ารอภปิ รายให้ชัดเจน ๒.๓ บอกเง่ือนไขหลักเกณฑ์การอภิปราย เช่นระยะเวลาที่ใช้ รูปแบบวิธี การอภิปรายบทบาทหน้าท่ีของผู้อภิปรายการรายงานผลตลอดจนมารยาทในการพูดการรับฟังผู้อ่ืน การเคารพมติของสว่ นรวม ๒.๔ ให้ดาเนินการอภิปราย โดยผู้สอนช่วยเหลือให้การอภิปรายดาเนินไป ด้วยดีขณะท่ีผู้เรียนเข้ากลุ่มอภิปราย ผู้สอนไม่ควรเข้าไปกากับหรือแทรกแซงผู้เรียนตลอดควรคอย ดูแลอยหู่ ่างๆ คอยกระตนุ้ ใหก้ าลงั ใจใหค้ าแนะนา เมือ่ ผูเ้ รียนตอ้ งการเทา่ นนั้ ๓. ขนั้ สรุป ประกอบดว้ ย ๓.๑ สรุปผลการอภิปราย เป็นช่วงที่ผู้แทนกลุ่มสรุปผลการอภิปราย นาเสนอผลการอภิปรายต่อที่ประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเปิดโอกาสให้ผู้ฟังซักถามผู้อภิปราย

การสอนธรรมวทิ ยา ๙๖ ตอบคาถามผู้สอนอาจถามคาถามผู้อภิปรายได้ในสาระสาคัญที่ต้องการให้ผู้เรียนได้รับขณะเดียวกัน ชว่ ยกลุ่มอภปิ รายใหเ้ กิดความกระจ่างในเน้ือหาบางตอนได้ ๓.๒ สรุปบทเรียนผู้สอนเป็นผู้สรุปเน้ือหาสาระสาคัญที่ได้จากการอภิปราย ควรไดเ้ สริมขอ้ คิดแทรกความรู้ ยา้ ประเด็นสาคัญสาหรับสรุปแนวความคดิ หลักให้ผู้เรียนตลอดจนแนว ทางการนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิต ในการสรุปนั้นควรสรุปเป็นหัวข้อบนกระดานดา เพ่ือผู้เรียน จะไดเ้ ขา้ ใจชัดเจนและบนั ทกึ ไว้ไดง้ ่าย ๓.๓ ประเมินผลการเรียน ผู้สอนมีการประเมินผลการอภิปรายภายหลังท่ี ส้ินสุดบทเรียนเพ่ือดูว่าการเรียนการสอนในคาบเรียนนั้นๆ ด้วยวิธีการอภิปรายมีคุณค่าหรือ ข้อบกพร่องอย่างไร โดยประเมินให้ครอบคลุมถึงเนื้อหาหัวข้อการอภิปราย จุดประสงค์รูปแบบ พฤติกรรมของผู้เรียน บรรยากาศส่ิงแวดล้อมต่างๆ ในการอภิปรายฯลฯ ทั้งนี้เพ่ือเป็นข้อมูลในการ ปรับปรงุ การเรยี นการสอนด้วยวธิ อี ภิปรายในคร้ังต่อไป๒ ๖.๒.๒ การสอนแบบโครงงาน (Project Design) การเรียนรู้แบบโครงงาน (Project Based Learning) เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ ตลอดชีวิตสอดคล้องกับหลักทฤษฎีการเรียนรู้ และการเรียนรู้แบบร่วมมือ ซึ่งมีขั้นตอนการเรียนรู้ท่ี เร่ิมจากการแสวงหาความรู้ กระบวนการคิด และทักษะในการแก้ปัญหาไว้ในรูปแบบการเรียนรู้ ซึ่ง การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานนี้ ยึดหลักการ ซ่ึงพัฒนาต่อยอดจากทฤษฎีการสร้างความรู้ ของ เพีย เจต์ (Piaget) โดยศาสตราจารย์ เซมัวร์ เพพเพิร์ต (Seymour Papert) เป็นผู้นาเสนอการใช้สื่อทาง เทคโนโลยี ชว่ ยในการสร้างความรทู้ เ่ี ป็นรปู ธรรมแกผ่ เู้ รียนโดยอาศัยพลังความร้ขู องตัวผู้เรียนเอง และ เมื่อผู้เรียนสร้างสิ่งหน่ึงสิ่งใดข้ึนมาก็จะเสมือนเป็นการสร้างความรู้ขึ้นในตัวเองน่ันเอง ความรู้ท่ีสร้าง ขึ้นเองน้ีมีความหมายต่อผู้เรียนมาก เพราะจะเป็นความรู้ท่ีอยู่คงทน ไม่ลืมง่าย ขณะเดียวกันสามารถ ถ่ายทอดให้ผู้อ่ืนเข้าใจความคิดของตัวเองได้ดี นอกจากน้ันความรู้ที่สร้างข้ึนเองน้ี ยังจะเป็นฐานให้ ผูเ้ รียนสามารถสร้างความรใู้ หมต่ ่อไปอยา่ งไมม่ ที สี่ ิน้ สดุ ทฤษฎี constructionism มีสาระสาคัญที่กล่าวถึงว่า ความรู้ไม่ใช่เกิดจากผู้สอน เพียงอย่างเดียว แต่สามารถสร้างข้ึนโดยผู้เรียนเองได้ และการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีก็ต่อเม่ือผู้เรียนลง มือกระทาด้วยตนเอง (Learning by Doing) ซึ่งการลงมือกระทาน้ี ไม่เพียงแต่ได้รับความรู้ใหม่ด้วย ตนเองแล้ว แต่ยังจะสามารถเก็บข้อมูลของส่ิงแวดล้อมเข้าไปเป็นโครงสร้างของสมองตนเอง ขณะเดยี วกันก็สามารถนาความรูเ้ ดมิ ทมี่ อี ยปู่ รบั ใหเ้ ขา้ กับสง่ิ แวดล้อมภายนอกได้ และจะเกิดเป็นวงจร เชน่ นอ้ี ย่างต่อเน่ือง ดังนั้น การลงมือกระทาด้วยตนเองจะสามารถเชื่อมโยงความรู้ระหว่างความรู้เก่า และความร้ใู หม่ สรา้ งเป็นองคค์ วามรูใ้ หม่ขน้ึ มา ซง่ึ ท้ังหมดจะอยูภ่ ายใตป้ ระสบการณ์และบรรยากาศที่ เอื้ออานวยต่อการเรียนรู้ โดยยึดหลักคิดท่ีว่า “การเรียนรู้ที่ดีไม่ได้มาจากการหาวิธีการสอนที่ดีแก่ ผู้สอน แต่มาจากการให้โอกาสท่ีดีแก่ผู้เรียนในการสร้าง” (Better learning will not come from ๒ โกศล มคี ุณ, การวจิ ัยเชิงทดลองฝึกอบรมการใช้เหตผุ ลเชงิ จรยิ ธรรม และทักษะการสวมบทบาทของ นักเรยี นประถมศกึ ษา, ปริญญานพิ นธ์การศึกษาดษุ ฎบี ณั ฑิต, (กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ ประสาน มิตร,๒๕๒๔),หน้า ๒๒.

การสอนธรรมวิทยา ๙๗ finding better ways for the teacher to instruct, but from giving the learner better opportunities to construct)๓ ประกอบด้วยขั้นตอน ขนั้ ท่ี ๑ การเตรียมความพร้อม ผ้สู อนจดั เตรียมขอบเขตของโครงการ แหลง่ ข้อมูล และ คาถามนา โดยสามารถนาเสนอได้ในหลากหลายรปู แบบเช่น text, video clip, หรือ online news ข้ันที่ ๒ ศึกษาความเป็นไปได้ ผู้เรียนศึกษาขอบเขตโครงการ แหล่งข้อมูล ตลอดจนค้นหา แหล่งขอ้ มลู จากเว็บไซตต์ ่างๆ และแลกเปลยี่ นข้อมูลกบั สมาชิกในกลุ่มเพ่ือพยายามตอบคาถาม ตามท่ี ผู้สอนได้ต้ังไว้ ผ่านเครื่องมือติดต่อส่ือสารแบบไม่ประสานเวลาต่างๆเช่น group discussion board, wiki หรือเคร่ืองมือติดต่อส่ือสารแบบประสานเวลาต่างๆ เช่น chat, web conference แล้วศึกษา โครงงานอย่างครา่ วๆ ถึงความเป็นไปได้ในการจดั ทาโครงงาน ขั้นที่ ๓ กาหนดหัวข้อ ปรึกษาภายในกลุ่ม กาหนดหัวข้อที่จะทาเป็นโครงงาน เมื่อผู้สอนได้ เห็นชอบกับหัวข้อที่กลุ่มของตนได้นาเสนอแล้ว ผู้เรียนในแต่ละกลุ่มวางแผนการจัดทาโครงการ โดย ระบกุ ิจกรรมในแตล่ ะขน้ั ตอนและตารางการดาเนินการ ตลอดจนกาหนดบทบาทหน้าท่ีของสมาชิกใน กลุม่ ใหช้ ดั เจน ตามความสะดวกของสมาชิกในกลมุ่ จากนัน้ นาเสนอขอ้ สรุปแก่ผู้สอนอกี ครัง้ ขั้นท่ี ๔ การดาเนินงานสร้างชิ้นงานและทดสอบ สมาชิกในกลุ่มแบ่งงานและภาระความ รับผิดชอบของแต่ละคนเพ่ือสร้างชิ้นงาน โดยใช้ความรู้ในการจัดทาโครงการ จากนั้นจึงแลกเปลี่ยน ประสบการณแ์ ละความรู้ใหมก่ บั สมาชิกในกลุ่ม ซ่ึงสามารถทาได้ท้ังแบบประสานเวลาและไม่ประสาน เวลา ตามความสะดวกของสมาชิกในกลุ่ม โดยมีผู้สอนคอยให้คาปรึกษา หลังจากดาเนินการสร้าง เสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอ้ งมีการทดสอบ เพอื่ วัดประสิทธิภาพของงานทส่ี ร้างข้นึ นั้น ๖.๒.๓ การสอนแบบบรู ณาการ (Integrated Teaching) คาว่า บูรณาการ น้ัน อาจพิจารณาได้ ๒ ลักษณะ คือ ความหมายท่ัวไป คือ การ ทาใหส้ มบูรณ์ หรือการทาให้หน่วยย่อยๆ ท่ีสัมพันธ์ ซึ่งอาศัยกันอยู่เข้ามาร่วมทาหน้าท่ีอย่างประสาน กลมกลืนเป็นองค์รวมส่วนอีก ความหมายหน่ึงเป็นความหมายในสาขาวิชาทางศึกษาศาสตร์หรือคุรุ ศาสตร์บูรณาการหมายถึง การนาเอาศาสตร์สาขา วิชาต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์เก่ียวข้องกันมา ผสมผสานเขา้ ด้วยกัน เพ่อื ประโยชนใ์ นการเรยี นรขู้ องผเู้ รียน การจัดการ เรียนการสอน จึงจาเป็นต้อง ใช้วิธีบูรณาการ คือ เน้นท่ีองค์รวมของความรู้มากกว่าเน้ือหาย่อยของแต่ ละวิชา และเน้นท่ี กระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนสาคัญย่ิงกว่าการบอก เนื้อหาของครูการเรียนการสอนแบบบูรณาการ จะประสบผลสาเร็จได้น้ัน จาเป็นจะต้องได้ผู้สอนที่ดีเพื่อทาหน้าที่ ให้ผู้เรียน เกิด ความซาบซ้ึงและ สง่ เสรมิ การพัฒนาความสามารถเตม็ ตามศักยภาพของตนได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ดังน้ันสรุปได้ว่าการเรียนการสอนบูรณาการ เป็นนวัตกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียน มองเห็นความสัมพันธ์ระหว่าง วิชาชีพท่ีเรียนกับวิชาอ่ืนท่ีเก่ียวข้องความรู้กับกระบวนการเรียนรู้ พัฒนาการทางความรู้กับพัฒนาการทางจิตใจ ความรู้กับการกระทา ซ่ึงจะทาให้เกิดกิจกรรมการ เรียนรู้ได้กว้างขวางรวมทั้งทาให้เกิดทักษะความสามารถในการแก้ปัญหาทั้งผู้เรียนและผู้สอน จะเห็น ได้ว่าการเรียนการสอนแบบบูรณาการคงไม่พ้นความสามารถ ท่ีผู้สอนจะทาได้หากให้ความเอาใจใส่ อย่างตอ่ เนื่อง ๓ ผศ.ดร.วชั รนิ ทร์ โพธ์เิ งนิ ,และคณะ, การจัดการเรยี นการสอนแบบโครงงานเป็นฐาน, ภาควิชาครุ ศาสตร์เครือ่ งกล คณะครศุ าสตร์อตุ สาหกรรม,(กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลา้ พระนครเหนือ , ๒๕๕๔), หนา้ ๑-๑๒.

การสอนธรรมวิทยา ๙๘ ๖.๓ รปู แบบการบูรณาการ๔ ๖.๓.๑ รปู แบบการบูรณาการ ๑.การบูรณาการภายในวิชา เป็นการเช่ือมโยงการสอนระหว่างเน้ือหาวิชาในกลุ่ม ประสบการณ์หรอื รายวชิ าเดียวกันกนั เข้าด้วยกนั ๒.บูรณาการระหวา่ งวิชา มี ๔ รูปแบบ คอื ๒.๑ การบูรณาการแบบสอดแทรก เป็นการสอนในลักษณะท่ีครูผู้สอนใน วิชาหน่ึงสอดแทรกเนอ้ื หาวชิ าอนื่ ๆ ในการสอนของตน ๒.๒ การสอนบูรณาการแบบคู่ขนาน เป็นการสอนโดยครูต้ังแต่สองคนข้ึน ไป วางแผนการสอนร่วมกันโดยมุ่งสอนหัวเรื่องหรือความคิดรวบยอดหรือปัญหาเดียวกันแต่สอนต่าง วชิ าและตา่ งคนต่างสอน ๒.๓ การสอนแบบบูรณาการแบบสหวิทยาการ เป็นการสอนลักษณะ เดยี วกบั การสอนบูรณาการแบบคูข่ นาน แต่มกี ารมอบหมายงานหรอื โครงงานร่วมกนั ๒.๔ การสอนบูรณาการแบบข้ามวิชา หรือสอนเป็นคณะ เป็นการสอนที่ ครูผ้สู อนวชิ าตา่ ง ๆ รว่ มกนั สอนเปน็ คณะหรือเปน็ ทีม มีการวางแผน ปรกึ ษาหารอื ร่วมกันโดยกาหนด หวั เรือ่ ง ความคิดรวบยอด หรอื ปญั หาร่วมกัน แล้วรว่ มกนั สอนนักเรียนกลุ่มเดียวกนั ๖.๓.๒ การแบง่ ลักษณะการบรู ณาการในหลักสตู ร ๑. บูรณาการเชิงเนื้อหาวิชา คือ การผสมผสานเนื้อหาวิชาลักษณะของการหลอม รวมแบบแกนหรือแบบสหวิทยาการ จะเป็นหน่วยก็ได้หรือจะเป็นโปรแกรมก็ได้ นอกจากนี้อาจจะ เป็นการผสมผสานของเน้ือหาวิชาในแง่ของทฤษฎีกับการปฏิบัติหรือเน้ือหาวิชาที่สอนกับชีวิตจริง ใน การจัดบูรณาการเชงิ เนอ้ื หาวิชา ไดแ้ บ่งวิธกี ารจัดบูรณาการเชิงเน้อื หาออกเป็น ๒ วิธี คือ ๑.๑ บูรณาการส่วนท้ังหมด (Total Integration) คือ การรวมเนื้อหา ประสบการณต์ า่ ง ๆ ทตี่ อ้ งการจะใหเ้ ด็กเรียนรู้หลักสูตรหรือโปรแกรม จัดกิจกรรมการเรียนการสอน ท่ียึดปัญหาหรือแนวเร่ือง (Theme) เป็นแกน ซ่ึงปัญหาหรือแนวเรื่องที่จะเป็นตัวช้ีบ่งถึงความรู้มา จากวิชาตา่ ง ๆ ในโปรแกรมซง่ึ มีเนอื้ หาเก่ียวขอ้ งกบั ชวี ิตประจาวนั และปญั หาสงั คมทั้งหมด ๑.๒ บูรณาการเป็นบางส่วน (Partial Integration) เป็นการรวมรวม ประสบการณข์ องบางสาขาวิชาเข้าด้วยกัน อาจจะเป็นลักษณะของหมวดวิชาหรือกลุ่มวิชาซ่ึงภายใน สัมพันธ์กันเป็นอย่างดี ดังน้ันการจัดบูรณาการเป็นบางส่วนอาจจะจัดได้ท้ังภายในสาขาวิชาและ ระหว่างสาขาวิชา หรือจัดเป็นบูรณาการแบบโครงการ ซ่ึงการจัดแบบโครงการนี้แต่ละรายวิชาก็จะ เป็นรายวิชาเช่นปกติ แต่จะจัดประสบการณ์ให้เป็นบูรณาการในรูปของโครงการ อาจจะเป็น โครงการสาหรบั นกั เรยี นรายบุคคล หรือรายกล่มุ ๔ ปณฏั ฐา ศรเดช, การศึกษาผลการสอนการแก้โจทยป์ ญั หาคณิตศาสตร์โดยสอดแทรกคุณธรรม ด้าน ความชือ่ สัตย์ สาหรบั นักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ ๖,วิทยานพิ นธป์ ริญญาการศกึ ษามหาบณั ฑิต,สาขาวชิ าหลกั สตู ร และการสอน (บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยบรู พา, ๒๕๔๔), หนา้ ๓๔.

การสอนธรรมวิทยา ๙๙ ๒. บรู ณาการเชิงวิธกี าร คอื การผสมผสานวธิ กี ารเรียนการสอนแบบต่าง ๆ โดยใช้ สือ่ ประสมและใช้วธิ ีการประสมใหม้ ากท่สี ุด ๖.๓.๓ ลกั ษณะการสอนแบบบูรณาการ การสอนแบบบูรณาการเป็นการสัมพันธ์ความรู้ ซ่ึงแยกออกเปน็ วิธยี อ่ ยได้ ๔ วธิ ี๕ ๑.นาเอาความรูอ้ ื่นทีใ่ กลเ้ คยี งกบั เรอื่ งทกี่ าลังสอนมาสัมพนั ธ์กนั ๒.นาเอาความรู้เก่ียวกับเรื่องอื่น ๆ ที่เป็นเหตุเป็นผลเก่ียวเน่ืองกับเร่ืองที่ กาลังสอนมาสมั พันธ์กัน ๓.รบั งานทใี่ ห้เด็กทาให้มีลักษณะสอดคล้องกับสภาพความเป็นจรงิ ในสังคม ๔.พยายามนาส่ิงที่เป็นแกนเข้าไปผนวกกับส่ิงท่ีกาลังสอนทุกครั้งที่มีโอกาส จะสอดแทรกแกนดังกล่าวน้ีอาจเปน็ ความคดิ รวบยอด ทักษะและคา่ นยิ ม ๖.๓.๔ ขัน้ ตอนการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ ๑. กาหนดเรื่องที่จะสอน โดยการศึกษาหลักสูตรและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของ เนอื้ หาที่มีความเกีย่ วข้องกนั เพ่ือนามากาหนดเป็นเรือ่ งหรอื ปัญหาหรอื ความคิดรวบยอดในการสอน ๒. กาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยการศึกษาจุดประสงค์ของวิชาหลักและวิชา รองที่จะนามาบูรณาการและกาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ในการสอน สาหรับหัวเร่ืองน้ัน ๆ เพ่ือการ วดั และประเมินผล ๓. กาหนดเนื้อหาย่อย เป็นการกาหนดเนื้อหาหรือหัวเรื่องย่อย ๆ สาหรับการเรียน การสอนให้สนองจดุ ประสงคก์ ารเรียนรทู้ ี่กาหนดไว้ ๔. วางแผนการสอน เปน็ การกาหนดรายละเอียดของการสอนตั้งแต่ต้นจนจบ โดย การเขียนแผนการสอน/แผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบสาคัญเช่นเดียวกับ แผนการสอนท่ัวไป คือ สาระสาคัญ จุดประสงค์ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน การวัดและ ประเมินผล ๖.๓.๕ การสอนแบบ ๔ MAT๖ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ (๔ MAT) เป็นรูปแบบหนึ่งของ การจัดกระบวนการเรยี นรทู้ ่ีม่งุ เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ เนื่องจากเป็นการจัดกิจกรรมท่ีคานึงถึงลักษณะ การเรียนรู้ของผู้เรียน ๔ แบบ กับการพัฒนาสมองซีกซ้ายและซีกขวาอย่างสมดุล เพ่ือให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้ตามลักษณะและความต้องการของตนเองอย่างเหมาะสม กิจกรรมบางช่วงจะตอบสนองให้ ผู้เรียนแต่ละแบบมีความสุขในการเรียนในช่วงกิจกรรมท่ีตนถนัดและรู้สึกท้าทายในช่วงท่ีผู้อื่นถนัด ดังน้ันผู้เรยี นจะสามารถพฒั นาตนเองได้เตม็ ศักยภาพ การจดั การเรยี นร้แู บบ ๔ MAT เปน็ การจดั การเรยี นรูท้ คี่ านึงถงึ รูปแบบการเรียนรู้ ของกลุ่มผู้เรียน ๔ คุณลักษณะ กับพัฒนาการสมองซีกซ้ายและซีกขวาอย่างสมดุล เพื่อให้ผู้เรียน ๕ สมุ ิตร คณุ านกุ ร, กระบวนการบริหารจัดการหลกั สูตร, (กรุงเทพฯ: สานกั พิมพแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลยั , ๒๕๔๒), หน้า ๓๓. ๖ การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้, ออนไลน์ เขา้ ถึงได้จาก www.scc.ac.th/etraining/sub/๔mat/ doc, สืบค้นวนั ท่ี ๑๐ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๙.

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๐๐ เรียนรู้ตามแบบและความต้องการของตนอย่างเหมาะสม และสามารถพัฒนาตนเองอย่างเต็ม ศักยภาพ ซงึ่ ไดแ้ ก่ ผู้เรยี นแบบท่ี ๑ ( Why ) ผเู้ รียนทมี่ ีจินตนาการเปน็ หลัก ผ้เู รยี นแบบที่ ๒ (What ) ผเู้ รียนทเ่ี รียนรู้ด้านการวิเคราะหแ์ ละการเก็บรายละเอียด เป็นหลกั ผเู้ รยี นแบบที่ ๓ ( How ) ผเู้ รียนท่ีเรยี นร้ดู ว้ ยสามญั สานึกหรอื ประสาทสัมผัส ผเู้ รยี นแบบท่ี ๔ ( If ) ผ้เู รยี นท่ีเรยี นร้ดู ้วยการรับรูจ้ ากประสบการณ์รปู ธรรม ไปสู่การลงมือปฏบิ ตั ิ การจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดเรื่อง การศึกษาแผนใหม่ ( Progressivism ) ซึ่งเป็นการจัด การศึกษาแบบก้าวหน้าที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการกระทาน้ัน เป็นแนวคิดที่คานึงถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคล ซึ่งสนับสนุนปรัชญากลุ่มพิพัฒนาการนิยมหรือปรัชญากลุ่มก้าวหน้า โดยคานึงถึง ผู้เรียนมีวิธีการเรียนรู้ในลักษณะที่แตกต่างกัน ถ้าผู้สอนจัดกระบวนการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมกับผู้เรียน แตล่ ะประเภทผ้เู รยี นกจ็ ะประสบความสาเร็จในการเรียนไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ รูปแบบการเรียนรู้ ๔ MAT พัฒนาขนึ้ จากการค้นคว้าวิจัยของ เบอร์นิส แมคคาร์ธี ( Bernie McCarthy ) นักการศึกษา นักแนะแนวทางการศึกษา ซึ่งเช่ือในศักยภาพของผู้เรียนในเรื่องความ แตกต่างระหวา่ งบุคคล โดยคานงึ ถงึ รูปแบบหรือวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละประเภท กระบวนการ รับรู้ดังกล่าว เป็นกระบวนการท่ีเกิดจากการลงมือปฏิบัติจริง ( Active Experimentation ) และ เฝ้าสังเกตอย่างไตร่ตรอง ( Reflective observation ) ซึ่งเดวิด คอล์ป ( David Kolb ) ได้แบ่ง รูปแบบการเรียนรู้ตามความแตกต่างของการเรียนรู้เป็น ๔ ส่วนตามจุดตัดของแกนการรับรู้ และ แกนของกระบวนการ โดยให้ส่วนที่เป็นวงล้อแห่งการเรียนรู้เป็นลักษณะของผู้เรียน ๔ แบบ ซ่ึงมี รปู แบบการรบั ร้แู ละกระบวนการรบั รทู้ แ่ี ตกตา่ งกนั ดังนี้ ประสบการณ์ตรง (Concrete Experience ) การปฏิบัติ กระบวน การสงั เกต ( Active Experimentation ) การ ( Reflective Observation ) การรับรู้ ความคดิ รวบยอด ( Abstract Conceptualization )

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๐๑ เบอรน์ สิ แมคคาร์ธี ( Bernie McCarthy ) ได้ประยุกตแ์ นวคิดของเดวิด คอล์ป ( David Kolb ) โดยให้พื้นท่ีทั้ง ๔ ส่วนท่ีเกิดจากการตัดกันของแกนการรับรู้ ( Perception ) และแกน กระบวนการ ( Processing ) แทนลักษณะการเรียนรู้ของผู้เรียน ๔ ประเภท ซึ่งคานึงถึงความคิด เกย่ี วกับระบบการทางานของสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวากับธรรมชาติของการเรียนรู้ซ่ึงอธิบายโดย ใชแ้ ผนภาพและคาอธบิ ายประกอบได้ ดงั นี้ If Why ๔ ๑ Dynamic Imaginative Learners Learners ๓๒ How Commonsense Analytic What Learners Learners ส่วนที่ ๑ ผู้เรียนที่ถนัดจินตนาการ ( Imaginative Learners ) เป็นผู้เรียนท่ีเรียนรู้ จากประสบการณ์และกระบวนการเฝ้าสังเกตผู้เรียนในกลุ่มน้ีจะสงสัยและต้ังคาถามตรงกันว่า “ ทาไม” ทาไมต้องเรียนเรือ่ งนี้ ส่วนท่ี ๒ ผเู้ รียนทถี่ นดั การวเิ คราะห์ ( Analytic Learners ) เป็นผู้เรียนที่เรียนรู้ โดย รับรู้จากการสังเกตอย่างไตร่ตรอง ไปสู่การสร้างประสบการณ์นามธรรมหรือความคิดรวบยอด ผู้เรียนในกลุม่ นี้จะตั้งคาถามว่า “อะไร” ( What ) เราจะเรียนอะไรกนั ส่วนท่ี ๓ ผู้เรียนที่ถนัดการใช้สามัญสานึก ( Commonsense Learners ) เป็น ผู้เรียนท่ีเรียนรู้จากการรับรู้ความคิดรวบยอดไปสู่การลงมือปฏิบัติที่สะท้อนระดับความเข้าใจของ ตนเอง ผู้เรยี นในกล่มุ น้จี ะตัง้ คาถามว่า “อยา่ งไร” ( How ) เราจะเรยี นเรือ่ งนีอ้ ย่างไร ส่วนท่ี ๔ ผู้เรียนท่ีถนัดการรับรู้จากประสบการณ์รูปธรรมไปสู่การลงมือปฏิบัติ ( Dynamic Learners ) เป็นผู้เรียนท่ีเรียนรู้และสนุกกับการได้ค้นพบด้วยตนเอง โดยการลงมือ ปฏบิ ตั ิ ผ้เู รียนในกลุ่มนจ้ี ะต้งั คาถาม “ถ้า” ( If … ) ถา้ … แลว้ จะนาไปใช้อย่างไร จากพ้ืนท่ีภายใต้วงล้อมแห่งการเรียนรู่ ตามเส้นแบ่งของการรับรู้และเส้นแบ่งกระบวนการ รับรู้ที่แบ่งผู้เรียนเป็น ๔ ประเภทน้ัน ไดมีแนวคิดท่ีจะจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อตอบสนองการใช้ สมองของผเู้ รียนตามบทบาทของสมองซีกซา้ ยและซกี ขวา เพื่อตอบสนองการพัฒนาศักยภาพทุกด้าน

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๐๒ ของผู้เรียนในลักษณะต่างๆ ที่แตกต่างกัน จึงแบ่งวงล้อแห่งการเรียนรู้เป็น ๘ ส่วน ย่อยๆ เพ่ือ สะดวกในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีตอบสนองบทบาทและความต้องการของสมองท้ั งสองซีกอย่าง สมดุลโดยมลี ักษณะขน้ั ตอนการเคล่ือนไหวอย่างเปน็ ลาดบั ตามศกั ยภาพทางสมองดังน้ี ประสบการณ์ตรง Why If  ผเู้ รียนแบบท่ี ๔ ผเู้ รียนแบบท่ี ๑  การปฏบิ ัติ LL LL การสังเกต  ผูเ้ รยี นแบบที่ ๓ ผูเ้ รียนแบบท่ี ๒ How  What ความคิดรวบยอด หมายเหตุ : R = Right (กจิ กรรมท่พี ัฒนาสมองซีกขวา) L = Left (กิจกรรมที่พัฒนาสมองซกี ซา้ ย) จากการแบ่งวงล้อแห่งการเรียนรู้ ๘ ส่วน ตามบทบาทของสมองสองซีก ผู้สอนได้กาหนด ข้นั ตอนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ จากพืน้ ท่ีทั้ง ๘ ส่วน เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ ๘ ข้ันตอน โดย กาหนดข้ันตอนของการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ดงั น้ี

การสอนธรรมวิทยา ๑๐๓ ประสบการณ์ตรง การปฏบิ ตั ิ ๗. ขนั้ วิเคราะห์ ๘. ขัน้ ๑. ขนั้ สร้างคณุ คา่ การสังเกต คุณคา่ และการ และประสบการณ์ ประยุกตใ์ ช้ แลกเปลี่ยน ของส่ิงทีเ่ รยี น ประสบการณ์ R ๒. ขั้นวิเคราะห์ L ประสบการณ์ เรียนรู้ R กับผู้อน่ื L ๖. ขนั้ สรา้ งชน้ิ งานเพ่ือ R R ๓. ขั้นปรบั ประสบการณ์ สะทอ้ นความเปน็ ตนเอง L L เปน็ ความคดิ รวบยอด ๕. ข้นั ลง ๔. ขั้นพฒั นา มอื ปฏบิ ัติ ความคดิ รวบ จากกรอบ ยอด ความคดิ ที่ กาหนด ความคดิ รวบยอด หมายเหตุ : R = Right (กจิ กรรมที่พฒั นาสมองซกี ขวา) L = Left (กจิ กรรมท่พี ัฒนาสมองซีกซ้าย) ๘.๓.๕.๑ ขน้ั ตอนการจัดการเรยี นรู้ การจัดการเรยี นรูท้ ีค่ านงึ ถงึ รปู แบบการเรียนรู้ของกลุ่มผู้เรียน ๔ กลุ่ม กับพัฒนาการสมอง ซกี ซา้ ยและสมองซีกขวาอย่างสมดลุ ซง่ึ ได้แก่ ผู้ท่เี รียนแบบท่ี ๑ (Why) มีการจนิ ตนาการเป็นหลัก ผู้ที่เรียนแบบที่ ๒ (What) มีการเรียนรู้ด้วยการวิเคราะห์และการเก็บรายละเอียดเป็นหลัก ผู้เรียน แบบที่ ๓ (How) มีการเรียนรู้ด้วยสามญั สานึกหรือประสาทสัมผัส ผู้เรียนแบบท่ี ๔ (If) มีการเรียนรู้ ด้วยการรับรู้จากประสบการณ์รูปธรรมไปสู่การลงมือปฏิบัติ ซ่ึงเบอร์นิส แมคคาร์ธี ( Bernice McCarthy ) ได้กาหนดลาดับขนั้ ของการเรียนรู้ ๔ MAT โดยแบ่งวงล้อกระบวนการเรียนรู้ออกเป็น ๘ ขนั้ ตอน ดงั มีรายละเอียดของการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ๔ MAT ดงั น้ี

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๐๔ ส่วนที่ ๑ ผู้เรยี นแบบที่ ๑ เรยี นรู้จากประสบการณแ์ ละการเฝ้าสงั เกตอยา่ งไตร่ตรอง (Imaginative Learners) ประสบการณ์ตรง เปน็ ชว่ งท่ผี เู้ รยี นไดเ้ รยี นร้จู ากประสบการณ์และกระบวน ๑ การ เฝ้าสังเกตอย่างไตร่ตรอง มักใช้คาถามวา่ “ทาไม” ( Why ) ๑ บทบาทของผู้สอน : ผคู้ อยกระตุน้ ให้ผเู้ รียนคิดวิ 1 เคราะห์สงิ่ ท่สี งั เกตไดอ้ ย่าง  ไตร่ตรอง 2 วิธกี ารจัดกิจกรรม : ใช้คาถามข้อมลู เพื่อให้ผู้เรยี น การสงั เกต สงั เกตการรว่ มอภิปรายการให้ ผเู้ รียนทากจิ กรรม ในส่วนท่ี ๑ สามารถแบ่งขน้ั ตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เปน็ ๒ ขั้นตอนที่คานงึ ถึงการ ทางานของสมองซีกขวา และซกี ซ้ายของผเู้ รยี น ไดด้ ังน้ี ขั้นตอนที่ ๑ ขัน้ สรา้ งคุณคา่ และประสบการณข์ องสงิ่ ท่ีเรยี น (สมองซีกซา้ ย) ประสบการณ์ตรง 1  ผู้สอนควรกระตุ้นความสนใจและแรงจูงใจให้ผู้เรียนคดิ โดยใชค้ าถามที่ 2 กระตุ้นให้ผเู้ รียนสังเกต การออกไปปฎิสัมพันธก์ บั สภาพแวดลอ้ มจริง ของสง่ิ เรยี น เป็นขนั้ ท่ีเน้นการจดั กจิ กรรมท่ีพฒั นาสมองซีกขวา การสงั เกต ขนั้ ตอนท่ี ๒ ข้นั วเิ คราะห์ประสบการณ์ (สมองซีกซ้าย) ประสบการณ์ตรง จากขั้นตอนท่ี ๑ ทผ่ี ู้สอนกระต้นุ ใหผ้ ู้เรยี นอยากเรียนรู้และสนใจในสิง่ ท่ี เรยี นต่อจากน้นั ในขนั้ ท่ี ๒ นีผ้ สู้ อนควรใหผ้ ้เู รยี นวเิ คราะห์หาเหตุผล ฝกึ 1  ทากิจกรรมกลุ่มอย่างหลากหลาย เช่น ฝึกเขียนแผนผังมโนมติ 2 (Concept mapping) ช่วยกันระดมสมองอภิปรายร่วมกันเป็นขั้นท่ีเน้น การจดั กจิ กรรมทพ่ี ฒั นาสมองซีกซ้าย การสงั เกต

การสอนธรรมวิทยา ๑๐๕ ส่วนที่ ๒ ผูเ้ รยี นแบบที่ ๒ เรียนรู้จากการสงั เกตอย่างไตร่ตรองไปสู่การสรา้ งความคดิ รวบยอด ( Analytic Learners ) การสังเกต ๓ เปน็ ช่วงที่ผู้เรยี นได้เรยี นรู้จากการสงั เกตอย่างไตรต่ รองไปสู่การ ๔ ๒ สรา้ งความคิดรวบยอด มกั ใช้คาถามวา่ “อะไร” (What) เช่น เราจะเรยี นอะไรกันดี สรา้ งความคดิ รวบยอด บทบาทของผสู้ อน : เตรียมขอ้ มูลที่ผูเ้ รียนควรทราบ และสาธิต วิธกี ารจัดกิจกรรม : ให้ผู้เรยี นไดค้ น้ คว้าเนื้อหาท่ีจะเรยี นจากแหลง่ ต่าง ๆ เช่นใบ ความรู้ วดี ที ัศน์ เล่นเกม ผู้สอนเปน็ ผ้ใู ห้ข้อมูล เล่นเกมเปน็ ต้น ในส่วนท่ี ๒ สามารถแบง่ ข้นั ตอนการจดั กจิ กรรมการเรียนร้เู ป็น ๒ ขัน้ ตอนท่ีคานงึ ถึงการ ทางานของสมองซีกขวา และซกี ซา้ ยของผเู้ รียน ไดด้ ังนี้ ข้ันตอนที่ ๓ ข้นึ ปรบั ประสบการณเ์ ป็นความคิดรวบยอด (สมองซกี ขวา) การสงั เกต ผ้สู อนผู้สอนควรเน้นให้ผ้เู รยี นได้วเิ คราะห์อย่างไตรต่ รอง นา ความรู้ท่ีได้มาเช่ือมโยงกับข้อมูล ทีไ่ ด้ศึกษาค้นคว้าโดยจัดระบบ ๓ การวิเคราะหเ์ ปรยี บเทยี บการจดั ลาดับความสัมพันธ์ของสง่ิ ที่ เรยี น เปน็ ขน้ั ทเี่ นน้ การจัดกจิ กรรมท่ีพัฒนาสมองซีกขวา  สรา้ งความคดิ รวบยอด ขน้ั ตอนที่ ๔ ขนั้ พฒั นาความคิดรวบยอด (สมองซกี ซา้ ย) การสงั เกต ผู้สอนผู้สอนควรใหท้ ฤษฎี หลกั การทีล่ ึกซึ้ง โดยเฉพาะรายละ เอียดของขอ้ มลู ตา่ งๆ เพอื่ ใหผ้ ู้เรยี นเขา้ ใจและพัฒนาความคิด ๔ รวบยอดของตนเองในเรอ่ื งทีเ่ รยี นกิจกรรมควรเป็นกจิ กรรมทใี่ ห้ ผเู้ รียนค้นควา้ จากใบความรู้ แหล่งวิทยาการท้องถนิ่ การสาธิต สรา้ งความคดิ รวบยอด การทดลองการใชห้ ้องสมุด วดี ที ัศน์ สื่อประสมตา่ ง ๆ เป็นข้ัน ทเ่ี นน้ การจัดกิจกรรมท่ีพฒั นาสมองซีกซ้าย

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๐๖ สว่ นท่ี ๓ ผเู้ รยี นแบบท่ี ๓ สร้างความคิดรวบยอดไปสู่การลงมือปฏิบัติ และสร้างช้ินงานใน ลักษณะเฉพาะตวั (Commonsense Learners) ลงมอื ปฏิบัติ เปน็ ช่วงท่ผี เู้ รียนจะสรา้ งความคดิ รวบยอด (มโนมติ) ไปสกู่ ารลง ๖ มือปฏิบตั ิกิจกรรม การทดลอง ตามความคดิ ของตนเองและสรา้ ง ๓๕ ชิ้นงานทเ่ี ปน็ ลักษณะเฉพาะตัว สรา้ งความคดิ รวบยอด บทบาทของผสู้ อน : ผู้คอยแนะนาชแ้ี นะ (Coach) และผูอ้ านวยความสะดวด (Facilitator) แก่ผเู้ รียน วธิ ีการจัดกจิ กรรม : ใหผ้ ้เู รยี นได้ลงมือปฏบิ ตั กิ ารทดลอง สรปุ ผลการทดลองทา แบบฝกึ หัดตามความเหมาะสมของเนือ้ เร่ืองท่เี รียน ในส่วนที่ ๓ สามารถแบง่ ช้ีข้ันตอนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้เป็น ๒ ขน้ั ตอนท่ีคานึงถึงการ ทางานของสมองซีกขวาและซีกซ้ายของผู้เรยี น ได้ดงั นี้ ขนั้ ตอนท่ี ๕ ขนั้ ลงมือปฏบิ ตั ิจากกรอบความคิดท่ีกาหนด (สมองซีกซ้าย) ลงมือปฏบิ ัติ ผู้สอนผ้สู อนควรใหผ้ ้เู รียนได้ปฏบิ ตั ิกิจกรรมการทดลองจากใบงานการ ทดลอง ทาแบบฝึกหดั การสรปุ ผลการปฏบิ ตั ิกิจกรรม สรุปผลการทด  ลองทีถ่ ูกต้องชัดเจน โดยเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนซักถามข้อสงสัยกอ่ น ปฏิบัติกิจกรรม ฝึกเลือกใช้อุปกรณบ์ ันทึกผลการทดลอง โดยผู้สอนจะ ๕ เป็นพ่ีเลีย้ งเปน็ ขัน้ ทเ่ี นน้ การจัดกิจกรรมทพ่ี ัฒนาสมองซีกซา้ ย สรา้ งความคดิ รวบยอด ขั้นตอนที่ ๖ ข้ันสร้างชิ้นงานเพอื่ สะท้อนความเปน็ ตนเอง(สมองซีกขวา) ลงมอื ปฏบิ ัติ ผ้สู อนต้องเปดิ โอกาสให้ผู้เรียนไดแ้ สดงความสามารถของตนเองตาม ความถนดั ความสนใจเพ่ือสร้างสรรค์ช้นิ งานตามจนิ ตนาการของตนเอง  ทีแ่ สดงถงึ ความเข้าใจในเน้ือหาวิชาที่เรยี น ให้เหน็ เปน็ รปู ธรรมในรูป แบบต่าง ๆ โดยเลือกวธิ กี ารนาเสนอผลงานในลกั ษณะเฉพาะตัวชิน้ งาน ๖ ที่สรา้ งอาจเปน็ ภาพวาด นิทาน สมดุ รวบรวมสงิ่ ท่เี รยี น สิ่งประดษิ ฐ์ แผน่ พับ เป็นต้น เปน็ ขั้นท่ีเน้นการจัดกจิ กรรมท่ีพฒั นาสมองซีกขวา สรา้ งความคดิ รวบยอด

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๐๗ ส่วนท่ี ๔ ผเู้ รียนแบบที่ ๔ เรียนรจู้ ากประสบการณ์รูปธรรมไปสู่การลงมอื ปฏิบัตใิ นชีวิต จริง (Dynamic Learners) ประสบการณ์ตรง เป็นช่วงทผ่ี ้เู รียนไดน้ าเสนอผลงานของตนเอง โดยสอดแทรก ๔ การอภปิ รายถึงปัญหา อุปสรรคในการปฏบิ ัติกจิ กรรม วธิ กี าร แกไ้ ขปญั หา เพื่อปรบั ปรงุ ชิ้นงานจนสาเรจ็ และเป็นประโยชน์ 87 ต่อตนเอง ซง่ึ สามารถบูรณาการประยุกต์ใช้ เช่อื มโยงกับชีวิต จริง / อนาคต ลงมือปฏิบัติ บทบาทของผู้สอน : ใหค้ าแนะนา ร่วมประเมินผลงานแนะนาวธิ กี ารปรบั ปรุงผลงาน บทบาทของผู้เรยี น : และการรวบรวมผลงาน ผเู้ รียนนาเสนอชิน้ งานท่ปี รับปรุง อภปิ รายแลกเปล่ยี นความคดิ เหน็ กับผู้อื่น และนาผู้อื่น ในสว่ นท่ี ๔ สามารถแบง่ ข้นั ตอนการจดั กจิ กรรมการเรยี นร้เู ปน็ ๒ ขน้ั ตอนที่คานึงถงึ การ ทางานของสมองซีกขวา และซกี ซ้ายของผ้เู รยี น ไดด้ ังน้ี ข้นั ตอนท่ี ๗ ข้ันวิเคราะหค์ ุณคา่ และการประยุกตใ์ ช้ (สมองซกี ซา้ ย) ประสบการณ์ตรง ผสู้ อนควรให้ผเู้ รียนได้วเิ คราะห์ช้ินงานของตนเองโดยอธิบายข้ัน ตอนการทางาน ปัญหาอปุ สรรคในการทางาน ทางานและ 7 วิธีการแก้ไข โดยบรู ณาการ การประยุกตใ์ ช้เพ่ือเชื่อมโยงกับ ชวี ติ จริง/อนาคต ซึง่ อาจวิเคราะห์ชนิ้ งานในรปู กลุ่มยอ่ ยหรอื ลงมอื ปฏิบตั ิ กลมุ่ ใหญก่ ไ็ ด้ตามความเหมาะสมเป็นขน้ั ท่เี น้นการจัดกจิ กรรมท่ี พฒั นาสมองซีกซา้ ย ข้ันตอนที่ ๘ ขนั้ แลกเปล่ียนประสบการณ์เรยี นรู้กบั ผู้อน่ื (สมองซีกซ้าย) ประสบการณต์ รง เป็นขั้นสุดท้ายซงึ่ ผู้สอนควรใหผ้ เู้ รียนได้นาผลงานของตนเองมา 8 นาเสนอหรอื จัดแสดงในรปู แบบต่าง ๆ เชน่ การจัดนทิ รรศการ ป้ายนิเทศ เพ่ือให้เพื่อน ๆ ไดช้ ่นื ชอบถือเปน็ การแบง่ ปันโอกาส  ทางดา้ นความรู้และประสบการณ์ให้ผ้อู นื่ ได้ซาบซง้ึ ในขน้ั นี้ ผ้เู รยี นควรรบั ฟงั การวิพากษว์ ิจารณอ์ ย่างสร้างสรรค์ ยอมรับฟงั ลงมือปฏบิ ัติ ความคิดเหน็ ของผู้อืน่ เป็นข้นั ท่ีเนน้ การจดั กจิ กรรมที่พฒั นาสมอง ซกี ขวา

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๐๘ ๖.๔ การสอนแบบศนู ยก์ ารเรยี นรู้ (Teaching Learning Center) การเรียนรู้โดยใช้ศูนย์การเรียน เป็นการจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จาก กิจกรรมที่แบ่งให้เป็นกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มจะมีเน้ือหาแตกต่างกัน กิจกรรมท่ีอยู่ในแต่ละกลุ่มหรือท่ี เรียกว่าศูนย์การเรียนรู้จะมีวัสดุอุปกรณ์ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ซึ่งจะเป็ นของจริงหรือเทคโนโลยีท่ี ทนั สมยั ก็ได้ประเภทศูนย์การเรยี นเปน็ รูปแบบท่ีแตกตา่ งกนั ๓ แบบ สรุปได้ดงั นี้ ๑. ศูนย์การเรียนที่ไม่แยกเป็นเอกเทศจากห้องเรียน ใช้ห้องเรียนเป็นบริเวณในการ จดั ทาศนู ย์การเรยี นและศนู ยก์ ารเรยี นสารอง ซึง่ มี ๒ ลักษณะดงั น้ี - ห้องเรียนแบบศูนย์การเรียน เช่นการจัดปรับห้องบรรยายให้มีลักษณะ เหมาะแกก่ ารทางานเป็นกลมุ่ ไม่ได้แบ่งเป็นศูนย์การเรยี นอยา่ งชัดเจน - ศนู ยก์ ารเรียนในห้องเรียน เช่น การจัดมุมหรือข้างห้องเป็นศูนย์การเรียน อยา่ งเปน็ สัดส่วนชัดเจนภายในหอ้ งเรียน แบบนี้แตล่ ะศนู ย์จะมเี นือ้ หาวิชาเหมือนหรอื ต่างกนั ก็ได้ ๒. ศูนยก์ ารเรียนทแี่ ยกเป็นเอกเทศ เป็นห้องท่จี ัดทาเป็นศูนย์การเรียนรู้อย่างชัดเจน เป็นสัดสว่ น มีการจัดทาได้ ๒ ลกั ษณะ ดงั นี้ - ศูนยก์ ารเรียนท่ใี ช้เป็นห้องปฏิบัติการวิธีสอนหรือศูนย์การเรียนสาหรับครู (Teacher Learning Center) ใช้สาหรับสถานบนั ผลติ ครู - ศนู ยก์ ารเรียนสาหรับค้นคว้าด้วยตนเอง (Resources Learning Center) เป็นศูนย์ท่ีมีการจัดเตรียมทุกสิ่งไว้ให้ผู้สนใจเข้าไปศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองโดยไม่จากัดวัยและ ระดับชน้ั ๓. ศนู ย์การเรยี นชมุ ชน ศนู ย์นี้อยภู่ ายในสถานศึกษาแต่แยกจากห้องเรียนชัดเจนจัด ขึ้นเพ่ือให้ผู้ท่ีมีความสนใจใฝ่รู้เข้าไปศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง โดยไม่กาหนดเวลาและระดับชั้นที่จะ เขา้ ใช้ศนู ย์การเรียน เนื่องจากศนู ย์การเรียนเป็นการจัดกจิ กรรมให้ผู้เรยี นเขา้ ไปศึกษาหาความรู้ดว้ ยตนเอง ดงั น้ัน จงึ มอี ุปกรณ์ และส่ือการเรยี นรู้ท่คี รบถว้ นเพยี งพอสาหรบั ศูนย์แตล่ ะศนู ย์ องค์ประกอบของศูนย์การเรียนเป็นสิ่งท่ีต้องจัดเตรียมไว้สาหรับให้ผู้เรียนได้ศึกษาหาความรู้ ด้วยตนเอง จึงต้องมีส่ิงที่จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ครบถ้วน ได้มีผู้ระบุองค์ประกอบที่สาคัญของศูนย์ การเรียนไว้หลายคน ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของศูนย์การเรียนหรือศูนย์กิจกรรมไว้ ๔ ส่วนสรุปได้ ดงั นี้ ๑. เนื้อหาของบทเรียน เป็นส่วนท่ีบ่งบอกให้รู้ว่าผู้เรียนจะได้เรียนเรื่องอะไรเม่ือเข้า ศูนย์กจิ กรรมต่างๆ ๒. วัสดอุ ุปกรณ์/สื่อการเรยี นรู้ เป็นส่วนท่ถี า่ ยทอดความรู้ เชน่ หนงั สอื เอกสาร บทความ ตลอดจนส่อื ที่จะชว่ ยใหผ้ ู้เรียนหาความรู้

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๐๙ ๓. บัตรคาส่ัง เป็นส่วนท่ีทาหน้าที่แทนผู้สอนโดยจะแนะให้ผู้เรียนรู้ว่าควรทาอะไร อย่างไรเพ่ือให้ได้มาซึ่งความรู้ประกอบด้วย คeอธิบายสั้นๆในเรื่องที่จะศึกษา คาสั่งในการดาเนิน กิจกรรม และหัวขอ้ อภิปรายหรือคาถาม ๔. เครื่องเขยี น เพือ่ ให้ผู้เรียนจดบนั ทึกสงิ่ ทเี่ รยี นรูส้ ่งผูส้ อนโดยจะทาออกมาในรูป ของรายงานแบบฝึกหดั หรอื แบบทดสอบกไ็ ด้แลว้ แตก่ ิจกรรมทีก่ าหนด ๖.๕ การสอนตามแนวพุทธวธิ ี (Buddhist teaching method) พระพทุ ธเจ้าทรงไดพ้ ระนามวา่ บรมครู ของโลก อันแสดงถึงพระอัจฉริยภาพในการสอนของ พระพุทธพระองค์ เป้าหมายการสอนของพระพุทธเจ้า คือ ความสะอาด สว่าง สงบ ที่เกิดข้ึนภายใน จิตใจของผู้เรียน เกิดปัญญาคือแสงสว่างท่ีนาไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง พระพุทธองค์ ทรงใช้ผืนโลกเป็นห้องเรียน สรรพสัตว์ทั้งมวลคือผู้เรียน ตลอดระยะเวลาในชีวิตของพระองค์ภาย หลังจากการตรัสรู้ ทรงทาหน้าที่เป็นบรมครูสั่งสอนประชาชนให้เกิดความรู้ความเข้าใจในชีวิต เกิด ปัญญาและดวงตาเห็นธรรม ทรงชี้ทางบรรเทาทุกข์ ช้ีสุขเกษมศานต์ บอกทางแห่งพระนิพพานแก่ เหล่าเวไนยสัตว์ หลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้มีอยู่เป็นจานวนมากและมีระดับยาก ง่าย ลึก ตื้น แตกต่างกันออกไปตามสภาพธรรม ดังน้ัน หลักธรรมที่นามาทรงสอนหรือถ่ายทอดจึงได้ผ่านการ วิเคราะห์เนื้อหาให้เข้ากับสภาพผู้เรียนและสภาพการเรียนการสอนในขณะนั้นเป็นเร่ือง ๆ ไป และน่ี คือเห็นผลว่าทุกคร้ังที่ทรงสอนพระองค์จึงประสบความสาเร็จในการสอน ศิษย์ที่พระองค์ทรงสอนจึง พฒั นาตนเองส่คู วามเปน็ พระอริยบคุ คล หลักการและวิธีการสอนหรือเทคนิคการสอนตามแนวพุทธจริยามีหลายประการ โดยยึด ผู้เรียนและเน้ือหาเป็นสาคัญว่าจะใช้วิธีการสอนแบบใดให้เหมาะสมกับผู้เรียนและเน้ือหาที่จะสอน โลกการเรียนรู้ตามโลกทัศน์พระพุทธศาสนาจึงเป็นการเรียนรู้ที่ไม่มีขอบเขตจากัด ขึ้นอยู่กับความรู้ ความสามารถของผู้เรียนและการพัฒนาตนเอง แต่หากให้กาหนดขอบเขตการเรียนรู้ตามแนวคิด พระพุทธศาสนา ก็อาจกาหนดขอบเขตได้ว่าเป็นการเรียนรู้ภายในตัวเรา โดยเอาจิตมนุษย์เป็น ศูนย์กลางการเรียนรู้ เม่ือใดเราสามารถเข้าใจตนเองได้อย่างแจ่มแจ้ง เมื่อน้ันเราก็จะเกิดความเข้าใจ โลกอยา่ งทะลปุ รโุ ปรง่ ด้วยเชน่ กัน งานการสอนธรรมหรือแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า เพื่อประดิษฐานพระพุทธศาสนา เป็นงาน ท่ีละเอียดประณีต เพราะทรงมุ่งให้เป็นธรรมที่เก้ือกูลแก่คนและอานวยผลเป็นความสุขสามประการ ดังที่กล่าวแล้ว จึงทรงมีภารกิจหลักท่ีเรียกว่า พุทธกิจ ในแต่ละวัน เพื่อบาเพ็ญจริยา ๓ ประการของ พระองคใ์ หส้ มบรู ณ์ คือ ๑. โลกตั ถจริยา ทรงบาเพญ็ ประโยชน์แก่โลก ในฐานะท่ีพระองคเ์ ป็นสมาชิกคนหนง่ึ ของสังคมโลก ความสาเรจ็ ในจรยิ าข้อน้ที รงอาศัย พุทธกิจ ตามตารางพทุ ธภารกจิ ๕ ประการ คือ (๑) ปุเรภัตตกิจ พุทธกิจภาคเช้าหรือภาคก่อนอาหาร ทรงตื่นพระบรรทม แต่เช้า เสด็จออกบิณฑบาต เพ่ือเป็นการโปรดสัตว์โลกผู้ต้องการบุญ เสวยเสร็จแล้วทรงแสดงธรรม

การสอนธรรมวิทยา ๑๑๐ โปรดประชาชนในที่นั้นๆ แล้วเสด็จกลับพระวิหารและรอให้พระสงฆ์ฉันเสร็จแล้วจึงเสด็จ เข้าพระคันธกุฎี (๒) ปัจฉาภัตตกจิ พทุ ธกิจภาคบ่ายหรือหลังอาหาร แบง่ เป็น ๓ ระยะ คอื ระยะที่ ๑ เสดจ็ ออกจาพระคันธกฎุ ี ทรงใหโ้ อวาทพระภิกษุสงฆ์ เสร็จแล้วพระสงฆ์แยกยา้ ยกนั ไปปฏิบัติธรรมในที่ต่าง ๆ พระองคเ์ สดจ็ เขา้ พระคนั ธกฎุ ี ระยะท่ี ๒ ทรงพิจารณาตรวจดคู วามเป็นไปของชาวโลก ระยะที่ ๓ ทรงแสดงธรรมโปรดประชาชนในถิน่ น้นั ท่ีมาประชุมใน ธรรมสภาเพื่อรอฟังธรรม (๓) ปุริมยามกจิ พทุ ธกิจยามที่ ๑ ของราตรี (ภาคกลางคนื ) ภายหลังจาก ภาคกลางวนั แลว้ ทรงปลีกพระองคอ์ ยู่เงียบ ๆ พักหนึ่ง จากนนั้ พระสงฆม์ าเข้าเฝา้ เพ่ือทูลถามปัญหา ทรงประทานพระโอวาท ตอบปัญหา ให้กรรมฐานแกพ่ ระสงฆ์ (๔) มชั ฌิมยามกิจ พุทธกจิ ยามที่ ๒ ภาคกลางคืน (เท่ียงคืน) เมือ่ พระสงฆ์ แยกย้ายไปแลว้ ทรงใชเ้ วลาชว่ งทสี่ องของคืนนนั้ ๆ ตอบปัญหาเทวดาทีม่ าเขา้ เฝ้า (๕) ปัจฉิมยามกิจ พทุ ธกจิ ยามท่ี ๓ คอื เวลาใกลร้ ุ่งของราตรี แบ่งเป็น ๓ ระยะ คือ ระยะที่ ๑ เสดจ็ ดาเนินจงกรมเพอ่ื ใหพ้ ระวรกายได้ผ่อนคลาย ระยะท่ี ๒ เสด็จเขา้ พระคนั ธกุฎี ทรงบรรทมสีหไสยาสนอ์ ยา่ งมี พระสติ สัมปชัญญะ ระยะท่ี ๓ เสด็จประทับน่ังพิจารณาสอดส่องเลือกสรรว่าในวัน ต่อไปมบี คุ คลผใู้ ดทค่ี วรเสดจ็ ไปโปรดโดยเฉพาะเป็นพิเศษ นั่นก็คือทรงตรวจดูสัตว์โลกที่อาจจะรู้ธรรม ซง่ึ พระองค์แสดงแล้วได้รับผลตามสมควรแกอ่ ปุ นสิ ยั บารมีของบุคคลน้ัน เมื่อทรงกาหนดพระทัยแล้วก็ จะเสด็จไปโปรดในภาคพทุ ธกจิ ที่ ๑ คือ ปุเรภตั ตกิจ หลักพุทธกิจข้อที่ ๕ ถือว่าเป็นจุดเด่นในการทางานของพระพุทธเจ้าจนทาให้ผู้ ศึกษาพระพุทธศาสนาบางคนมีความรู้สึกว่าทาไมคนแต่ก่อนบรรลุธรรมกันง่ายเหลือเกิน ถ้าศึกษา รายละเอียดแล้วจะพบว่าไม่มีคาว่าง่ายเลย เพราะนอกจากจะอาศัยวาสนาบารมีของคนเหล่าน้ันเป็น ฐานอย่างสาคัญแล้ว การแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าน้ันเป็นการทางานภายใต้โครงสร้างระบบการ ทางาน ที่มีการศึกษาข้อมูล การประเมนิ ผล การสรปุ ผลในการแสดงธรรมทกุ ครงั้ แบบอย่างการทางานการสอนของพระพทุ ธเจ้าตรงนี้ นา่ จะเปน็ แบบอย่าง ของการทางานเปน็ ครูได้เปน็ อยา่ งดียง่ิ เพราะในการสอนแต่ละครงั้ พระพุทธเจ้าจะเร่ิมจากการ วิเคราะหผ์ ู้เรียน กล่าวคือ กระบวนการสอนจะเรม่ิ ตามลาดับ ดงั นี้ (๑) หลงั จากท่บี ุคคลนั้น ๆ ปรากฏในขา่ ยพระญาณของพระองค์ คือ ทรงรู้ ว่าเขาเปน็ ใคร (จะสอนใคร) (๒) มอี ุปนสิ ยั บารมอี ย่างไร (วเิ คราะห์ประสบการณ์ผู้เรียน/มีประสบการณ์ อะไรบา้ ง) (๓) จะแสดงธรรมอะไรจึงจะได้ผล (จะสอนอะไร)

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๑๑ (๔) หลังจากแสดงธรรมแล้วผลจะออกมาเป็นอยา่ งไร (กาหนด วัตถุประสงค์/จะได้อะไร) ด้วยแผนการสอนดังกล่าว การแสดงธรรมทุกครั้งของพระพุทธเจ้าจึงบังเกิดผลเป็นอัศจรรย์ เพราะได้ทรงจาแนกแยกแยะผู้เรียน คือ ผู้ท่ีจะฟังธรรมด้วยกระบวนการที่กาหนดไว้เป็นระบบแล้ว นอกจากน้ันแล้วการทางานเผยแผ่ธรรมเพ่ือประดิษฐานพระพุทธศาสนา และเพ่ือสงเคราะห์แก่ ชาวโลก ทรงจาแนกหลกั และวธิ ีการสอนธรรมะแกป่ ระชาชนออกเป็น ๓ ประการ คือ (๑) ทรงสั่งสอนเพื่อให้ผู้ฟังรู้ เห็น ในสิ่งที่ควรรู้ควรเห็น หมายความว่าคนเรานั้นมีพื้นเพ อัธยาศัย ระดับสติปัญญาแตกต่างกัน คนใดสามารถฟังเรื่องอะไรรู้เร่ือง คิด เห็นประโยชน์จากส่ิง เหล่าน้ัน จนถึงนอ้ มนามาประพฤตปิ ฏบิ ัติได้ พระองคจ์ ะทรงแสดงธรรมะแก่เขาในชนั้ น้นั คนบางคนมีสติปัญญา มีความรอบรู้ดี สามารถฟังเร่ืองท่ีลึกซ้ึงวิจิตรพิสดาร แล้วเกิดความ เข้าใจได้ พระพุทธเจ้าจะแสดงธรรมะระดับน้ันแก่เขา การสอนธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงเปรียบ เหมอื นกบั การสอนนักเรยี นในช้นั ตา่ งๆ กลา่ วคอื หากเป็นชั้นอนบุ าลจะต้องสอนในสาระความรู้ระดับที่ เด็กอนุบาลจะสามารถเข้าใจได้ และในช้ันประถมศึกษา มัธยมศึกษา หรืออุดมศึกษาก็ในลักษณะ เดยี วกนั ความรู้ทุกระดับที่นักเรียนได้รับจะเป็นประโยชน์เกื้อกูล อานวยความสุขให้แก่นักเรียนฉันใด ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนแก่บุคคลท้ังหลายก็ทรงมุ่งหมายท่ีจะให้เกิดประโยชน์ในการน้อม นามาประพฤติปฏิบตั ิแล้วได้รับความสขุ ความเจรญิ แก่ประชาชน (๒) ทรงส่งั สอนมเี หตซุ ่งึ ผู้ฟงั เมื่อพจิ ารณาตามแลว้ จะพบความจรงิ กล่าวคือธรรมะท่ีนามา สั่งสอนหากพิจารณาตามแล้วจะเห็นว่าเป็นเร่ืองจริง เป็นความถูกต้องดีงาม เช่น ทรงสอนว่าการที่ บุคคลฆ่ากัน ลักขโมยกัน ประพฤติผิดในกามต่อกัน โกหกหลอกลวงกัน ดื่มสุราอาละวาด เป็นทางให้ เกดิ เวร เกดิ ภัย เกดิ ความเส่ือม หากมนุษย์ในสังคมเว้นการฆ่าการเบียดเบียนกัน การอาฆาตพยาบาท จองเวรกันกจ็ ะไมเ่ กิดขนึ้ ทรงสอนว่า ผู้ท่ีหม่ันขยันย่อมหาทรัพย์ได้ ก็แสดงให้เห็นว่าใครก็ตามถ้าหากมีความขยัน มีความพยายามอย่างต่อเนื่องไม่ย่อท้อ หากเป็นการศึกษาเล่าเรียนก็จะมีความรอบรู้ในวิชาการ หากเป็นการทางานประกอบอาชีพก็จะประสบความสาเร็จ หรือแม้แต่ทรงสอนว่า อบายมุขเป็นทาง แห่งความเสื่อ เช่น การเล่นการพนันทรงแสดงว่าเป็นทางแห่งความเสื่อม ใครก็ตามท่ีตกหลุม อบายมุขเข้าเมื่อใดก็ตาม ก็จะประสบกับความเสื่อมเม่ือนั้น นี้คือความหมายที่ว่าหากผู้ฟังพิจารณา ตามไปก็จะเห็นความจริงได้ กล่าวคือหากเป็นคนเกียจคร้านก็จะไม่เจริญก้าวหน้า อันแสดงว่าความ เกียจคร้านเป็นเหตุ ความเจริญหรือไม่เจริญเป็นผล ตราบใดที่บุคคลยังเกียจคร้านอยู่เขาจะมีความ เจริญไม่ได้ ไม่ว่าในด้านใดก็ตาม คาสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลักคาสอนที่มีเหตุผล ขอให้ผู้ฟังนาไป คิดพิจารณาเท่านั้นก็จะเหน็ ตามความเป็นจริงอยา่ งท่ที รงแสดงไว้ทุกประการ (๓) คาสอนของพระองค์เป็นอัศจรรย์ คือ เม่ือบุคคลนาไปประพฤติปฏิบัติแล้วจะได้รับ ประโยชน์ตามสมควรแก่การประพฤติปฏิบัติ เหมือนกับการอ่านหนังสือ อ่านหน้าเดียวก็รู้หน้าเดียว อา่ นทั้งเล่มกร็ เู้ นอื้ หาทง้ั เล่ม คอื มคี วามร้ตู ามสมควรแกป่ รมิ าณของเนื้อหาทีเ่ ราอา่ น การปฏิบตั ิธรรมะตามท่ีพระพุทธเจ้าทรงสอนก็ทานองเดียวกัน คือ คนที่ปฏิบัติได้มากก็ได้รับ ความสุขความเจริญมาก คนปฏิบัติน้อยผลก็น้อยตามการปฏิบัติ กล่าวคือใครที่ปฏิบัติตามท่ีทรงสอน ไวแ้ ล้ว จะไดร้ ับผล ไม่วา่ จะเป็นด้านบวก คือความเสอ่ื มหรอื ดา้ นลง คอื ความเจริญก็ตาม

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๑๒ ในทางเส่ือมทรงแสดงว่าอย่าประพฤติปฏิบัติ ใครขืนประพฤติปฏิบัติ เช่น ที่ทรงแสดงว่าการ ดมื่ สุรา การเล่นการพนัน การคบคนช่ัวเป็นมิตร เกียจคร้านทาการงาน ฯลฯ เป็นทางแห่งความเสื่อม ความฉบิ หาย ใครกต็ ามหากประพฤติปฏิบตั ิ ประพฤติปฏิบัติน้อยเสื่อมน้อย ประพฤติปฏิบัติมากเสื่อม มาก ใครที่ลุม่ หลงมวั เมาในอบายมขุ การทีจ่ ะไม่เสื่อมเป็นอนั ไม่มี ในทางเจรญิ ทรงสอนไว้วา่ ใหป้ ระพฤติปฏบิ ัติ อย่างท่ีทรงสอนว่าความเพยี รพยายามจะนาไปสู่ ความสาเร็จ พ้นจากความทุกข์ได้ ใครก็ตามเม่ือมีความเพียรพยายาม ก็จะค่อย ๆ หลุดพ้นจากความ ทุกข์ในเรื่องนั้น ๆ เช่น มีความเพียรพยายามในการทางาน ก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์เพราะไม่มีเงิน ทองจับจ่ายใช้สอย มีความขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติหน้าที่ราชการก็จะพ้นจากความทุกข์เพราะไม่ เจริญก้าวหนา้ เพราะเงนิ เดอื นนอ้ ย เป็นตน้ นคี้ อื ลักษณะคาสอนของพระพทุ ธเจา้ ท่ีวา่ เปน็ คาสอนทีอ่ ัศจรรยจ์ ริง ๆ คือ ทรงสอนไว้อย่างไร กเ็ ปน็ อย่างนัน้ หากเราประพฤติปฏบิ ตั ติ ามกจ็ ะเห็นจรงิ เป็นอัศจรรย์ตามน้ัน ไม่มีการเปล่ียนแปลง แม้ เวลาจะลว่ งเลยมาเปน็ เวลากวา่ ๒๕๐๐ ปแี ลว้ กต็ าม ๒. ญาตตั ถจริยา ทรงบาเพ็ญประโยชน์แก่พระญาติ ทั้งฝ่ายพระพุทธบิดา และพระ พุทธมารดา ในฐานะท่ีทรงเป็นอภิชาตบุตรของราชกระกูล เป็นภารกิจท่ีวางอยู่บนพื้นฐานของพระ มหากรณุ าเชน่ เดยี วกัน พระพุทธองคแ์ มจ้ ะอยู่ในฐานะที่เป็น คนของโลก หรือ คนของประชาชน แต่ พระองค์ก็ไม่ทรงละเลยภารกิจในฐานที่มีพระญาติดังเช่นคนทั่วไป การบาเพ็ญประโยชน์แก่พระญาติ เช่น การเสด็จไปโปรดพระญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์ ทรงแนะนาให้พระญาติซ่ึงกาลังจะทาสงครามกันได้ เข้าใจเผตผุ ล สามารถปรองดองกนั ได้ เป็นตน้ ๓. พุทธตั ถจริยา ทรงบาเพ็ญประโยชน์ในฐานะพระพุทธเจ้า หมายถึงการทาหน้าท่ี ของพระพุทธเจ้าทรงวางกฎระเบียบ พระวินัย สาหรับควบคุมความประพฤติของผู้เข้ามาบวชใน พระพุทธศาสนา ทรงแนะนาให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหน้าท่ีของตน ทรงวาง พระองค์ต่อผู้ที่เข้ามาบวชและแสดงตนเป็นอุบาสกอุบาสิกา ในฐานะของบิดากับบุตร ผู้ปกครอง กลั ยาณมติ ร ศาสดาผู้เอน็ ดู เปน็ ตน้ ตามสมควรแก่บุคคลและโอกาสน้ันๆ จนสามารถประดิษฐานเป็น รูปสถาบันศาสนาสืบต่อกนั มาได้ การทาหน้าท่ีในฐานะที่ทรงเป็นพระพุทธเจ้า เป็นภารกิจในฐานะศาสดาของ พระพุทธศาสนาทจ่ี ะต้องทาตอ่ พระสาวก ผูป้ ระกาศตนถงึ พระองค์วา่ เปน็ สรณะ งานส่วนออกมาในรูป ขององค์กรพุทธศาสนาท่ีสามารถสืบสานงานพระพุทธศาสนา นาให้เป็นประโยชน์แก่พระประยูรญาติ และแกช่ าวโลก กล่าวโดยสรุปการดาเนินงานพัฒนาปัญญา ปลุกชาวประชาให้ต่ืนตัว ต่ืนตามนั้น ทรงดาเนินไปตามหลักของพทุ ธจรยิ า ๓ ประการ คือ (๑) ในฐานะที่ทรงเป็นประชากรคนหนึ่งของโลก พระองค์ได้เสด็จพุทธดาเนินไป ประกาศหลักคาสอนตามที่ต่าง ๆ เท่าท่ีสามารถจะขยายออกไปได้ในขณะนั้น ท้ังนี้ก็ด้วยพระมหา กรุณาต่อชาวโลกทงั้ หลายทอี่ าศยั อย่ใู นถิ่นน้นั ๆ

การสอนธรรมวิทยา ๑๑๓ (๒) ในฐานะของลูกหลานแหง่ ราชสกุลท้ังสอง ทรงบาเพ็ญประโยชน์แก่พระญาติของ พระองค์ด้วยวิธีการต่างๆ ทาให้พระญาติเหล่านั้นได้รับประโยชน์จากธรรมปฏิบัติอย่างน้อยท่ีสุด สามารถรักษาศีล ๕ ประการได้ จนถึงบรรลุมรรคผลในชน้ั นน้ั ๆ๗ สรปุ ท้ายบท พระพุทธศาสนาท้ังหมดเป็นเร่ืองของการศึกษา ตามความหมายของคาว่า การศึกษา (Education) อย่างแท้จริง การศึกษาตามหลักพระพุทธศาสนาแล้วน่าจะ เป็นดังน้ี “การศึกษาคือกระบวนการเรียนรู้ความจริงในระดับต่างๆ เพ่ือให้เกิดการเปล่ียน แปลงไป ในทางดีในตัวผู้รู้เอง ในคนอื่นและในสิ่งแวดล้อม”1 การศึกษาในพระพุทธศาสนาเป็นการศึกษาเล่า เรียนเพื่อให้รู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องสาคัญ ๔ เร่ืองของโลกและจักรวาล ( ภพภูมิต่างๆ) เร่ืองของชีวิต ว่าชีวิตคืออะไร เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง ต่างจากสัตว์อื่นอย่างไร เร่ืองของ เป้าหมายสูงสุดของชีวิตและเร่ืองทางการปฏิบัติเพ่ือไปสู่เป้าหมายสูงสุดนั้น ความเข้าใจอย่างถูกต้อง ในโลกียธรรม ทาให้มนุษย์ปฏิบัติถูกต้องต่อส่ิงที่เป็นโลกๆ ก่อให้เกิดความสุขความสาเร็จอย่างโลก เช่น การปฏิบัติตนต่อสุขภาพอนามัยอย่างถูกต้อง ก่อให้เกิดความสุขกาย การทาหน้าท่ีของ ตนอย่าง ถูกตอ้ งเหมาะสม กอ่ ให้เกิดความสุขทางสังคมขึ้น เป็นต้น การปฏิบัติธรรมใน ระดับการละกิเลสอย่าง ถูกต้องทาให้เข้าถึงโลกุตรธรรม คือสิ้นความโลภ ความโกรธ ความหลง ก่อให้เกิดความสุขอันไม่เจือ ด้วยทุกข์ หรือสนั ตสิ ขุ อันแทจ้ ริงถาวร (lasting peace) ซงึ่ เป็นจุดหมายสูงสุดของการพัฒนาชีวิตและ จติ ตามคตินยิ มทางพระพทุ ธศาสนา ๗ สุรวิ ตั ร จนั ทร์โสภา,หลกั การสอนตามแนวพุทธจรยิ า, หัวหน้าภาควิชาวิชาการศกึ ษา คณะ ศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกฏุ ราชวิทยาลยั , (ออนไลน์) เขา้ ถงึ ได้จาก www.chalburi.mbu.ac.th/content/ ๐๐๐๒, สบื คน้ เม่ือ ๒ กนั ยายน ๒๕๕๘.

การสอนธรรมวิทยา ๑๑๔ คาถามทา้ ยบท

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๑๕ เอกสารอา้ งอิงประจาบท การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้, ออนไลน์ เขา้ ถึงได้จาก www.scc.ac.th/etraining/sub/๔mat/ doc, สบื ค้นวนั ที่ ๑๐ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๕๙. โกศล มคี ุณ, (๒๕๒๔)การวิจัยเชิงทดลองฝกึ อบรมการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม และทกั ษะการสวม บทบาทของนักเรียนประถมศึกษา, ปริญญานิพนธก์ ารศึกษาดษุ ฎีบณั ฑติ , กรุงเทพมหานคร: มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ ประสานมิตร. ปณฏั ฐา ศรเดช, (๒๕๔๔), การศึกษาผลการสอนการแกโ้ จทย์ปัญหาคณติ ศาสตร์โดยสอดแทรก คุณธรรมดา้ นความชื่อสัตย์ สาหรบั นกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี ๖,วิทยานิพนธ์ปรญิ ญา การศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิชาหลกั สูตรและการสอน, บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลัยบรู พา. วัชรนิ ทร์ โพธเ์ิ งนิ , ผศ.ดร.,และคณะ, (๒๕๕๔), การจดั การเรยี นการสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน, ภาควิชาครศุ าสตรเ์ ครื่องกล คณะครุศาสตรอ์ ุตสาหกรรม, กรงุ เทพมหานคร: มหาวิทยาลัย เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าพระนครเหนือ. สานักนิเทศและพัฒนามาตรฐานการศึกษา, (๒๕๔๖), สานักงานคณะกรรมการการประถมศกึ ษา แหง่ ชาติ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร,รายงานวจิ ยั ปฏิบัตกิ ารเพ่ือพัฒนาระบบประกนั คุณภาพ ภายในสถานศึกษา.กรงุ เทพมหานคร:องค์การรับส่งสนิ ค้าและพสั ดภุ ณั ฑ์ (ร.ส.พ.). สมุ ิตร คณุ านุกร, (๒๕๔๒), กระบวนการบริหารจัดการหลักสูตร, กรงุ เทพมหานคร: สานกั พมิ พ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . สุรวิ ัตร จันทรโ์ สภา,หลักการสอนตามแนวพุทธจริยา, หวั หนา้ ภาควิชาวชิ าการศกึ ษา คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวิทยาลยั , (ออนไลน)์ เขา้ ถึงไดจ้ าก www.chalburi.mbu.ac.th/content/๐๐๐๒, สบื คน้ เม่อื ๒ กนั ยายน ๒๕๕๘.

บทที่ ๗ ระบบการเรียนการสอน วัตถุประสงค์ประจาบท เมื่อได้ศกึ ษาเนอื้ หาในบทน้ีแล้ว ผศู้ กึ ษาสามารถ ๑. อธิบายระบบการเรียนการสอน ได้ ๒. อธบิ ายวิธรี ะบบได้ ๓. อธบิ ายองค์ประกอบของการออกแบบการเรียนการสอนได้ ขอบขา่ ยเนือ้ หา  ระบบการเรยี นการสอน  วธิ ีระบบ  องคป์ ระกอบของการออกแบบการเรียนการสอน

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๑๗ ๗.๑ ความนา การสอนเป็นกิจกรรมที่สาคัญท่ีสุดของการจัดการศึกษา เพราะเป็นการนาหลักสูตรไปใช้ปฏิบัติให้ เกิดผลตามที่มุ่งหวังไว้ คุณภาพของการศึกษาจะดีหรือไม่เพียงใดน้ันย่อมเป็นผลโดยตรงจากการสอนเป็น ประการสาคัญ ดังน้ันในการสอนแต่ละคร้ังไม่ว่าจะเป็นเน้ือหาวิชาใดก็ตาม ควรจะมีองค์ประกอบพ้ืนฐาน ของกระบวนการเรียนการสอน ๑.จุดมุ่งหมายการสอน ก่อนจะเริ่มต้นสอนครูผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตร แล้ว กาหนดจุดมุ่งหมายของการสอนให้ชัดเจนว่า หลังจากส้ินสุดการเรียนการสอนแล้ว ครูผู้สอนประสงค์จะให้ นักเรียนเรียนรู้อะไรบ้าง และมีความสามารถทาอะไรได้บ้าง จุดมุ่งหมายในการสอนควรกาหนดให้อยู่ในรูป ของจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม ซ่ึงสามารถสังเกตได้และวัดได้ ๒.พฤติกรรมพ้ืนฐานของผู้เรียน ก่อนท่ีครูจะทา การสอนในเร่ืองใด หากครูได้ทราบสภาพพ้ืนฐานของผู้เรียนก่อน ก็จะทาให้สามารถจัดกิจกรรมในการเรียน การสอนใหเ้ กิดประสทิ ธภิ าพได้อย่างเต็มที่ ๓.การเรียนการสอน เป็นข้ันตอนที่ครูจะทาการสอนในเน้ือหาวิชา จริง ๆ ครูผู้สอนอาจเลือกใช้เทคนิควิธีสอนต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับวัย และสภาพพ้ืนฐานของผู้เรียน โดย คานึงถึงลักษณะของเนื้อหาวิชาด้วยว่า จะแบ่งเนื้อหาวิชาเป็นหน่วยย่อยได้อย่างไร หน่วยย่อยใดควรสอน ก่อนหรอื หลงั และเนือ้ หาในแต่ละหน่วยย่อยนน้ั จะใชอ้ ปุ กรณ์ชนิดใดเข้าช่วย ๔.การวัดและประเมินผล เป็น การตรวจสอบผลการเรียนการสอนเพ่ือจะได้ทราบว่าภายหลังจากผ่านการเรียนการสอนแล้ว ผู้เรียนเกิดการ เปล่ียนแปลงพฤติกรรมได้ดีขึ้นเพียงไร อยู่ในเกณฑ์น่าพอใจหรือไม่โดยเทียบกับจุดมุ่งหมายของการเรียนการ สอนทีค่ รกู าหนดไวก้ อ่ นการเรยี นการสอน๑ การออกแบบระบบการเรียนการสอน(Instructional System design) มีช่ือเรียกหลากหลาย เช่น การออกแบบการเรียนการสอน (Instructional design) การออกแบบและพัฒนาการสอน (Instructional design and development) เป็นต้น ไม่ว่าชื่อจะมีความหลากหลายเพียงใด แต่ช่ือเหล่าน้ันก็มากจากต้นตอ เดยี วกนั คือมาจากแนวคดิ ในการใช้กระบวนการของวธิ รี ะบบ (system approach) ๗.๒ ความหมาย มผี ู้ใหค้ วามหมายขอคาวา่ “ระบบ” (system) ไวห้ ลายคน เช่น บานาธี่ (Banathy, 1968) หรอื วอง๒ (Wong, 1971) บานาธี่ ได้ให้ความหมายของคาว่าระบบว่า “ระบบ หมายถึงองค์ประกอบต่างๆ ท่ีมีความสัมพันธ์ซึ่ง กันและกัน มีปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งองค์ประกอบทั้งหลายเหล่าน้ีจะร่วมกันทางานเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันเพ่ือให้ ๑ วชิ ากระวัดและประเมนิ ผล.สถาบนั การพลศึกษา.ออนไลน์ เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.ipecp.ac.th/ipecp/cgi- binn/webpili/unit๑/level๑-๑.html สืบคน้ เม่ือ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙. ๒ Wong, D. L. Whaley & Wong’s nursing Care of Infant and Children (6thed.). St. Louis:Mosby.1999p.65-67.

การสอนธรรมวิทยา ๑๑๘ บรรลุถึงจุดมุ่งหมายท่ีได้กาหนดไว้” ความหมายของระบบตามแนวทางของวองก็จะมีลักษณะแนวทาง ใกล้เคียงกับของบานาธ่ี โดยวองให้ความหมายของระบบวา “ระบบ หมายถึง การรวมกลุ่มของส่วนประกอบ ต่างๆ ที่มปี ฏิสัมพันธ์ซ่งึ กันและกนั ทั้งน้ีเพือ่ ให้บรรลุจดุ มุง่ หมายที่ได้กาหนดไว้” จากความหมายขา้ งต้น สามารถสรปุ ไดว้ า่ ระบบจะตอ้ งมี ๑. องคป์ ระกอบ ๒. องค์ประกอบนนั้ ต้องมีความสัมพนั ธ์ มีการโตต้ อบ มปี ฏสิ มั พันธ์กนั และ ๓. ระบบตอ้ งมวี ตั ถปุ ระสงคใ์ นการดาเนนิ กจิ กรรมนน้ั ๆ ลักษณะของระบบทด่ี ี ระบบที่ต้องสามารถปฏิบตั ิงานไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ (Efficiency) และมีความย่ังยนื (sustainable) การมปี ระสทิ ธิภาพและมีความยั่งยนื ระบบน้ันจะตอ้ งมลี กั ษณะ ๔ ประการคือ ๑. มปี ฏิสัมพนั ธ์กับสง่ิ แวดล้อม (interact with environment) ๒. มีจุดหมายหรอื เป้าประสงค์ (purpose) ๓. มีการรักษาสภาพตนเอง (self – regulation) ๔. มีการแกไ้ ขตนเอง (self – correction) มปี ฏิสมั พนั ธก์ บั สงิ่ แวดล้อม ระบบทุก ๆ ระบบจะมปี ฏิสัมพันธไ์ มท่ างใดกท็ างหนึ่งกบั โลกรอบๆ ตวั ของระบบ โลกรอบ ๆ ตวั นี้ เรียกว่า “ส่ิงแวดล้อม” การที่ระบบมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมน้ีเองทาให้ระบบดังกล่าวกลายเป็นระบบเปิด (open system) กล่าวคือ ระบบจะรับปัจจัยนาเข้า (inputs) จากส่ิงแวดล้อม ซึ่งอาจจะเป็นพลังงาน อาหาร ข้อมูล ฯลฯ ระบบจะจัดกระทาเปล่ียนแปลงปัจจัยนาเข้านี้ให้เป็นผลผลิต (outputs) แล้วส่งกลับไปให้ ส่งิ แวดลอ้ มอกี ทีหน่ึง ส่งิ นาเข้า ส่งิ แวดลอ้ ม ระบบ (Input) สิง่ แวดลอ้ ม ผลผลิต (Output) ภาพที่ ๑ ลกั ษณะการปฏิสมั พันธ์ระหวา่ งระบบกบั สง่ิ แวดลอ้ ม

การสอนธรรมวิทยา ๑๑๙ จากภาพที่ ๑ แสดงใหเ้ ห็นได้วา่ ระบบมกี ารแลกเปลีย่ นส่งิ ต่าง ๆ (ส่ิงนาเขา้ และผลผลิต) กับ สง่ิ แวดลอ้ ม การแลกเปลีย่ นจะเป็นไปอย่างต่อเนื่องเสมอต้นเสมอปลาย ในเรื่องสิ่งแวดล้อมของระบบนีจ้ ะ กล่าวถึงอยา่ งละเอียดอีกครง้ั หนงึ่ ในบทต่อไป มจี ดุ มุ่งหมายหรือเป้าประสงค์ ระบบจะต้องมจี ุดมุ่งหมายท่ชี ัดเจนแน่นอนสาหรับตวั ของมันเอง ระบบท่เี กดิ ข้นึ ตามธรรมชาติ เชน่ ระบบการดาเนนิ ชีวิตของมนุษย์น้นั ก็มีจุดมุ่งหมายสาหรบั ตัวของระบบเองอย่างชัดเจนวา่ “เพื่อรักษาสภาพ การมชี ีวติ ไว้ให้ดที ี่สุด” จุดมงุ่ หมายนดี้ ูออกจะไม่เด่นชดั สาหรับเรานักเพราะเราไม่ใชผ่ ู้คิดสรา้ งระบบดงั กลา่ ว ขึ้นมาเอง ลองดูตวั อย่างอกี ตวั อยา่ ง คือ ระบบของรถยนต์โดยสารส่วนตวั ระบบดังกลา่ วเป็นระบบท่มี นุษย์ สร้างข้ึน ซ่งึ มจี ดุ มุ่งหมายคือ เป็นยานพาหนะท่ีอานวยความสะดวกสบายแก่มนุษย์ในเร่ืองของความรวดเรว็ การทนุ่ แรง สามารถรักษาสภาพตวั เองได้ ลักษณะท่ีสามของระบบ คือ การที่ระบบสามารถรักษาสภาพของตัวมันเองให้อยู่ในลักษณะที่ม่ันคง อยู่เสมอการรกั ษาสภาพตนเองทาได้โดยการแลกเปลีย่ นอินพุทและอาท์พุทกันระหวา่ งองค์ประกอบต่าง ๆ ของ ระบบ หรือระบบย่อย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือ ระบบย่อยอาหารของร่างกายมนุษย์ ซ่ึงประกอบด้วย องค์ประกอบย่อยๆ หรือระบบย่อยต่าง ๆ เช่น ปาก น้าย่อย น้าดี หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลาไส้เล็ก ลาไส้ใหญ่ ฯลฯ ปาก-ล้นิ น้าย่อย หลอดอาหาร ระบบอน่ื ๆ ระบบ กระเพาะอาหาร การย่อยอาหาร ของคน ลาไสใ้ หญ่ น้าดี ลาไส้เลก็ ภาพท่ี 2 การรกั ษาสภาพตนเองของระบบ กระบวนการเรียนรู้ (learning process) เกิดจากคาหลัก ๒ คา ได้แก่ ๑) กระบวนการ และ ๒) การ เรยี นรู้

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๒๐ ๑) กระบวนการ หมายถึง ลาดบั การของการกระทา ซง่ึ ดาเนนิ ตอ่ เนอ่ื งกนั จนสาเร็จลง๓ ๒) การเรยี นรู้ หมายถึง การเปลีย่ นพฤตกิ รรมหรือศักยภาพของพฤติกรรมที่ค่อนข้าง ถาวร ซ่ึงการ เปลยี่ นนีม้ สี าเหตุมาจากการได้รับประสบการณ์ ระบบจัดการเรียนรู้ (Learning Management System) คือ โปรแกรมท่ีนาเสนอความรู้ จัดเก็บ ข้อมูลเพ่ือติดตามสิ่งต่างๆท่ีเกิดข้ึน และ สนับสนุนการจัดการเรียนการสอนอีเลิร์นนิงให้ดาเนินไปด้วยความ เรียบร้อยโดยเป็นสภาพแวดล้อมการเรียนการสอนเป็นเครื่องมือให้กับอาจารย์ (teacher) นักเรียน(student) รวมท้ังผู้ดูแลระบบ (administrator) ทาให้เกิดความสะดวกในการจัดการเรียนการสอนอีเลิร์นนิง เมื่อ เปรียบเทียบกับในอดีตที่ไม่มีระบบจัดการเรียนรู้อาจารย์จะต้องพัฒนาเว็บไซต์ท่ีมีความสามารถใกล้เคียงกับ ระบบจัดการเรียนรู้ข้ึนมาเอง ซึ่งต้องใช้ทั้งเวลาและงบประมาณจานวนมากเทคโนโลยีท่ีใช้ในการพัฒนา โปรแกรมระบบจัดการเรียนรู้มหี ลากหลาย แต่ในปจั จบุ ันนิยม พัฒนาโปรแกรมระบบจดั การเรยี นรเู้ ป็นเว็บ เพือ่ ให้เกิดความสะดวกในการเข้าถึงและใชง้ านแบบ any where (สถานทท่ี ่ีสะดวก) any time (เวลาทส่ี ะดวก) ของทงั้ อาจารย์ นกั เรยี น และผู้เก่ียวขอ้ ง ดังน้ัน เมื่อรวมคาว่ากระบวนการ และการเรียนรู้เข้าด้วยกัน กระบวนการเรียนรู้จะ หมายถึง \"ลาดับ ขนั้ ตอนทีท่ าใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรยี นรู้\" ๗.๓ กระบวนการเรียนการสอน กระบวนการเรียนการสอนเพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน มีหลักการและกระบวนการที่มี ลาดับขั้นตอน ดังน้ันหากพิจารณากระบวนการจัดการเรียนการสอนในเชิงระบบแล้วจะทาให้เกิดความเข้าใจ มากยิ่งข้ึนระบบการศึกษาเป็นระบบย่อยระบบหน่ึงของสังคม ประกอบด้วยระบบต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัย โรงเรียนมัธยม ประถมศึกษา ฯลฯ ระบบเหล่านี้จะมีส่วนประกอบย่อยๆ ท่ีสัมพันธ์กัน เช่น ระบบหลักสูตร ระบบบริหาร ระบบการเรียนการสอน ระบบการวัดและประเมินผล เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นระบบใดก็ตาม ผลลัพทข์ องระบบจะตอ้ งไดร้ ับการตรวจสอบและปรบั ปรงุ อยู่เสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับระบบใหญ่ โครงสรา้ งของระบบ ทรพั ยากร ขบวนการ ผลทไี่ ด้รบั (In put) (Process) (Out put) ขอ้ มูลย้อนกลับ (Feedback) ๓ ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานกุ รม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕. ฉบับพมิ พ์ คร้ังที่ ๕ กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัท อักษรเจรญิ ทัศน์ อจท. จากดั , พ.ศ. ๒๕๒๕ หนา้ ๓๔.

การสอนธรรมวิทยา ๑๒๑ องคป์ ระกอบทง้ั ๓ ส่วนน้ี จะตอ้ งมีความสมั พนั ธ์กัน จึงจะทาใหผ้ ลท่ีไดร้ ับมีประสทิ ธภิ าพ และการ ตรวจสอบประสิทธภิ าพของระบบ จะต้องอาศยั ขอ้ มูลยอ้ นกลับ (Feedback) ทีไ่ ด้จากการประเมินผล เพ่ือหา แนวทางการปรับปรุงแก้ไขส่วนท่ีบกพร่องท้งั สามส่วน วิธกี ารของระบบดังกลา่ ว สามารถนามาปรับใชก้ ับการพิจารณาการเรยี นการสอนไดโ้ ดยสรุปเปน็ ข้ัน ใหญๆ่ ๔ ขัน้ ตอนคือ (รูปที่ ๒) ๑)การกาหนดจุดมงุ่ หมายและขอบเขต ๒)การออกแบบ ๓)การพัฒนารูปแบบ และการทดลองใช้ ๔)การประเมินและการปรบั ปรุง ๑.การกาหนดจดุ ม่งุ หมายและขอบเขต หมายถึง การศึกษาวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการของการพัฒนาการเรียนการสอน ซ่ึง ปัญหาดังกล่าวอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ระดับพฤติกรรมของผู้เรียนไม่ถึงเกณฑ์ท่ีผู้สอนตั้งไว้ทั้งด้าน พุทธ พิสัย เจตพิสัย และทักษะพิสัย ผู้สอนอาจมีสมรรถภาพการสอนด้านการใช้กลยุทธในการสอน และวิธีการวัด ประเมินผลไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์ที่วางไว้ หรืออาจเป็นเพราะผู้บริหารต้องการให้มีการเปล่ียนแปลงบาง ประการในการดาเนินการสอน เม่ือได้ปัญหาที่ต้องการศึกษาเพื่อแก้ไข และพัฒนาการเรียนการสอนแล้ว ต้อง ระบุให้ชดั เจนและจากัดขอบเขตใหเ้ ป็นที่เข้าใจตรงกนั ระหวา่ งผดู้ าเนินการพัฒนาด้วยกัน แล้วตั้งวัตถุประสงค์ ใหแ้ จ่มชัด กาหนดเกณฑก์ ารประเมินผลพรอ้ มกบั ต้ังสมมตฐิ านของการแกป้ ัญหาไว้ดว้ ย ๒.การออกแบบ หมายถงึ การวางแผนหารูปแบบการแกป้ ัญหา ซ่งึ อาจมีมากกวา่ หนึ่งรูปแบบ รูปแบบของการ แก้ปัญหาหมายรวมถึงการวางแผนการสอนท่ีจะต้องมีกิจกรรม ส่ือการสอน แนวทางการดาเนินการเรียนการ สอน การประเมินผล ท่ีสอดคล้องกับเนอื้ หา จุดประสงค์ และรูปแบบของการแก้ปัญหา ต้องสร้างจากหลักการ ท่ีควรจะเป็นไปได้ ประหยัดค่าใช้จ่าย และเวลา เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยคานึงถึงปัจจัยด้านมนุษย์ และ ด้านทเ่ี ปน็ วัสดสุ ิง่ ของด้วย ๓.การพฒั นารูปแบบและการทดลองใช้ หมายถึง การพัฒนารูปแบบและการทดลองใช้ ประกอบด้วย การพิจารณาตัดสินใจ เลือก รูปแบบการแก้ปัญหา และสร้างข้ึนให้สมบูรณ์ หลังจากการออกแบบไว้แล้วในข้ันที่ ๒ การพัฒนาต้องมี จดุ ประสงคป์ ลายทางที่แจม่ ชัด วิธีการเรียนการสอนและส่ือการสอนที่เฉพาะเจาะจง สาหรับรูปแบบที่เลือกจะ นาไปทดลองใช้ ซง่ึ เปน็ ข้นั ดาเนินการ หรอื ทดลองปฏิบตั ิการ เพ่ือตรวจสอบประสิทธิภาพของรูปแบบ ๔.การประเมินและการปรบั ปรงุ หมายถงึ การประเมินผลนั้น ควรอยู่ในทุกขั้นตอน กล่าวคือ ในข้ันตอนแรก หลังจากกาหนด จดุ มงุ่ หมายและขอบเขตแล้ว ต้องประเมินผลว่า การกาหนดปัญหานั้น เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการศึกษา หรือไม่ ถ้าไม่ ต้องปรับปรุงก่อนท่ีจะดาเนินการขัน้ ต่อไป สว่ นขน้ั ออกแบบ และข้ันการพัฒนารูปแบบน้ัน ก็ต้อง มีการประเมินรูปแบบที่ออกไว้ว่าสอดคล้องกับความต้องการหรือไม่ ควรปรับปรุงให้เหมาะสมก่อนนาไป ทดลองใช้ และหลังจากทดลองใช้แล้ว ก็มีการประเมินผลลัพธ์อีกครั้งหนึ่งข้ันตอนท้ังหมดสามารถนาไป ดัดแปลงให้เป็นข้ันตอนของการออกแบบการสอน โดยยึดหลักของ Define, Develop, Evaluate ซึ่งเป็นการ พฒั นาการเรียนการสอนอยา่ งเปน็ ระบบดงั รปู

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๒๒ ผลจากการนาความคิดเรื่องระบบ และการพัฒนาระบบมาใช้กับการเรียนการสอน ก่อให้เกิดรูปแบบ ของระบบการเรยี นการสอนเป็นจานวนมาก ทง้ั นี้เพราะนักการศกึ ษาเช่อื ว่า การนาความคิดเร่ืองระบบมาใช้ใน การจดั การเรียนการสอน จะทาให้การจดั การเรยี นการสอนมปี ระสทิ ธิภาพ คาวา่ “รปู แบบ” ในทีน่ ้หี มายถึง แผนโครงร่างแสดงขั้นตอนการจัดการเรยี นการสอนที่ใช้เป็นแนวทาง ในการจัดการเรียนการสอน มักนิยมแสดงลาดับขั้นตอนดังกล่าวน้ี ด้วยแผนภาพหรือแผนภูมิ ซึ่งรูปแบบการ สอนท่ัวไป ประกอบด้วย ขั้นตอนสาคัญ ๕ ข้ันดังน้ี ๑) การกาหนดวัตถุประสงค์การเรียนการสอน ๒) การ วเิ คราะห์พฤตกิ รรมผ้เู รียนกอ่ นเรยี น ๓) การวางแผนและจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ๔) การประเมินผลการ เรยี นการสอน ๕) การปรบั ปรงุ การเรยี นการสอน

การสอนธรรมวิทยา ๑๒๓ รปู แบบการเรยี นการสอนดังกล่าวน้ี เป็นรปู แบบการเรยี นการสอน ซึ่งตรงกบั รูปแบบการเรยี นการ สอนตามแนวคิดของ โรเบริ ต์ เกลเซอร์๔ หากนารปู แบบการเรียนการสอนตามแนวคดิ ของเกลเซอร์มาพิจารณาในลักษณะขัน้ ตอนการจัดการ เรยี น การสอนแบบ เป็นระบบแลว้ พบว่าสามารถแบ่งออกเป็น ๓ ข้ันตอนคือ ๑)ข้ันเตรยี มการ, ๒) ขั้น ดาเนนิ การ, และ๓)ขน้ั ประเมินผล โดย ข้นั เตรยี มการประกอบดว้ ย วัตถปุ ระสงคก์ ารเรียนการสอน และ พฤติกรรมการเรยี นรู้ของผูเ้ รียนกอ่ นเรยี น ข้ันดาเนินการหมายถงึ การบวนการเรียนการสอน และข้ัน ประเมนิ ผลหมายถึง การประเมนิ ผลการเรยี นของผเู้ รยี น และการประเมนิ ผลการสอนของผู้สอน นอกจากนี้หากพจิ ารณารายละเอยี ดของข้ันตอนทง้ั ๓ ขั้นตอนแลว้ ยังสามารถแบ่งย่อยออกได้เปน็ ขน้ั ตอนย่อย ไดอ้ ีกดงั นี้ ๑.ขนั้ เตรียมการ ในข้นั นีป้ ระกอบดว้ ยขน้ั ตอนย่อยๆคือ ๑) การสารวจปญั หาและทรัพยากร ๒) การกาหนดวตั ถุประสงค์การเรยี นการสอน ๓) การวิเคราะห์ผู้เรียน ๔) การวิเคราะห์และจดั ลาดบั เน้อื หาสาระ ๕) การกาหนดวิธีสอนและกิจกรรม ๖) การกาหนดสื่อการสอน ๗) การกาหนดแนวทางการประเมินผล ๘) การเขียนแผนการสอน ๔ DeCecco, 1968, อา้ งใน กง่ิ ฟา้ สินธุวงษ.์ เอกสารประกอบการบรรยาย วชิ า 219730 ความรู้พืน้ ฐานใน การออกแบบการสอน : หลักการสอน. ขอนแกน่ : คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น.กิง่ ฟา้ ๒๕๓๗.

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๒๔ ๒.ขั้นดาเนินการ ในขั้นน้ีเป็นการดาเนินการสอน และใหผ้ เู้ รยี นทากจิ กรรมตามท่ีไดเ้ ตรียมการไว้ ข้นั ดาเนินการสอนสามารถจาแนกไดเ้ ป็นขัน้ ตอนต่างๆไดด้ ังนี้ ๑) การนาเขา้ สบู่ ทเรยี น ๒) การปฏิบตั ิกิจกรรมการเรยี นการสอน ๓) การสรปุ ๓.ขั้นประเมินผล เป็นขั้นตรวจสอบว่า การเรียนการสอนที่ได้เตรียมการและดาเนินการน้ัน สามารถ นาผู้เรียนไปสู่วัตถุประสงค์ที่วางไว้หรือไม่ และจากผลการประเมินดังกล่าว อาจนาไปใช้ในการวิเคราะห์ เพื่อ หาแนวทางการปรับปรุงการเรียนการสอนตอ่ ไป ในการประเมินผลอาจจาแนกไดเ้ ป็น ๑) การประเมินผลการเรียนของผูเ้ รยี นและการสอนของผสู้ อนซ่งึ การประเมนิ น้ีอาจประเมิน ระหว่างการจัดการเรียนการสอน (formative) โดยการซักถามคาถามทา้ ยชั่วโมง หรอื สอบสรปุ ประจาบท หรอื ประเมินผลสัมฤทธ์ิ (summative) โดยสอบปลายภาคเพ่ือตัดสนิ ๒) การวิเคราะห์ผลการประเมินเพ่ือปรบั ปรงุ การเรียนการสอนจากรายละเอยี ดของขนั้ ตอน ทัง้ สามขัน้ ตอน สามารถเขียนแผนภมู ิแสดงลาดบั ขนั้ ตอนและความสัมพนั ธข์ องขน้ั ตอนต่างๆ ในรูปของระบบ ข้ันเตรยี มการ: การเตรยี มการเรยี นการสอนใหเ้ ป็นระบบ การเตรยี มการเรียนการสอนใหเ้ ปน็ ระบบประกอบดว้ ย ๑) การสารวจทรัพยากรและขอ้ มลู ตา่ งๆ

การสอนธรรมวิทยา ๑๒๕ เพอ่ื จดั วางแผนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ ซ่ึงรวมไปถึงการสารวจปัญหาทรัพยากร การวิเคราะหผ์ ูเ้ รยี น การวิเคราะห์ และจัดลาดับเน้ือหาสาระ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตามลาดับขั้น การพิจารณา เลือกวิธีสอน หรือกิจกรรมการเรียนการสอน เพ่ือนาผู้เรียนไปสู่วัตถุประสงค์ท่ีวางไว้ การกาหนดส่ือการสอน การกาหนดแนวทางการประเมินผลว่า ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามที่คาดหวังไว้หรือไม่ และรวบรวมข้อมูลที่ได้ เตรียมการน้ัน บันทึกลงในแผนการสอน การบันทึกแผนการสอนจะช่วยให้ผู้สอนได้มีโอกาสทบทวนและ ปรบั ปรุงวิธกี ารตา่ งๆ ให้เหมาะสมกับผ้เู รียนและสภาพแวดลอ้ ม ๒) การกาหนดวตั ถุประสงค์การเรียนการสอน เป็นความคาดหวังของผู้สอน ที่มีต่อผู้เรียนว่า เมื่อผ่านการเรียนการสอนในบทเรียนหน่ึงๆ ผู้เรียนควรจะมีพฤติกรรมการเรียนรู้เป็นอย่างไร การกาหนดวัตถุประสงค์ มีความสาคัญต่อการจัดการเรียน การสอนในการสอนแต่ละคร้ัง ผู้สอนควรกาหนดชัดเลยว่า ต้องการให้ผู้เรียนได้รับอะไร และเกิดพฤติกรรม อยา่ งไร หลังจากจบบทเรียนแลว้ การกาหนดพฤติกรรมท่ีคาดหวังในตัวผู้เรียน จะเป็นแนว ทางในการกาหนด วิธีสอน วัสดุอุปกรณ์ กิจกรรมการเรียนการสอน ตลอดจนการประเมินผลท่ีสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ จาก ลักษณะความสัมพันธ์ดังกล่าว จะเห็นได้ว่า การกาหนดวัตถุประสงค์การเรียนการสอนแต่ละคร้ังให้ เฉพาะเจาะจงน้ัน ควรใชว้ ัตถุประสงค์เชิงพฤตกิ รรม ท่ีระบุถงึ พฤติกรรมที่คาดหวัง เงื่อนไข และเกณฑ์ท่ีชัดเจน เพ่อื จะได้ใชเ้ ปน็ แนวทางในการจดั การเรียนการสอนต่อไปได้ ๓) การวเิ คราะห์ผู้เรียน เพ่ือให้ทราบถึงความต้องการ ความสนใจ ความสามารถในการเรียนรู้ ความรู้และทักษะ พ้ืนฐานที่มีอยู่ นับว่าเป็นส่วนสาคัญของขั้นเตรียมการเรียนการสอนท่ีเป็นระบบ ท้ังน้ีเพราะข้อมูลต่างๆ ท่ี เก่ียวข้องกับผู้เรียนจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการดาเนินการขั้นต่อๆไป เช่น นาไป ก) กาหนดวัตถุประสงค์ การเรยี นการสอนทีเ่ หมาะสมกบั ความรูค้ วามสามารถของผู้เรียน ข) กาหนดเน้ือหาสาระท่ีสนองต่อความสนใจ ของผู้เรียน และพอเหมาะกับความรู้และทักษะพื้นฐานที่ผู้เรียนมีอยู่ เพื่อจะได้พัฒนาความรู้ต่อไปได้ ค) กาหนดการเรยี นการสอนและกจิ กรรมทเ่ี หมาะสม กับลกั ษณะของผู้เรียน เปน็ ต้น ๔) การวิเคราะหแ์ ละจัดลาดับเนื้อหาสาระ จัดเป็นขั้นตอนที่สาคัญข้ันตอนหนึ่งในการเตรียมการสอนเพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม ลาดับข้ัน โดยการพจิ ารณาเนอื้ หาสาระทก่ี าหนดไว้ในหลักสูตร ตลอดจนศึกษาแบบเรียน คู่มือครู และเอกสาร อา่ นประกอบต่างๆ เพอื่ ใหไ้ ดข้ อ้ มลู เกย่ี วกับ ขอบเขตของเนอ้ื หาสาระ จานวนคาบของการเรียนการสอน หัวข้อ เรือ่ งหลงั จากวิเคราะหเ์ นอ้ื หาสาระเพอ่ื ให้ได้ขอบเขต หวั ข้อเร่อื งและกาหนดเวลาแล้ว ผู้สอนก็จะกาหนดหน่วย การเรียนการสอนของวิชา และจากหน่วยการเรียนการสอนก็จะแบ่งย่อยออกเป็นหน่วยการเรียนการสอน ระดับ บทเรียน และหัวเรอ่ื งตอ่ ไป เม่ือกาหนดหน่วยการเรียนการสอนเสร็จแล้ว จะได้ขอบเขตเนื้อหาเพียงกว้างๆ เท่าน้ัน การท่ีจะ เตรียมการเรียนการสอนได้อย่างเป็นลาดับขั้นและครอบคลุม จาเป็นต้องกาหนดหัวเร่ืองของหน่วยการเรียน การสอนน้ันๆ ซ่ึงการกาหนดหวั เรือ่ ง เปน็ การแบ่งหนว่ ยการเรียนการสอนให้เป็นเน้ือหาท่ีย่อยลงไปอีก จะช่วย ให้ผู้เรียนมองเห็นโครงเรื่องของหน่วยที่เรียน ทาให้เนื้อหาการเรียนรู้เป็นระบบระเบียบ และสามารถช่วยให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามขน้ั ตอน นอกจากนั้น การวิเคราะห์และจัดลาดับเนื้อหา เป็นหน่วยการเรียนการสอน ยังสามารถ ก)ชว่ ยให้ผ้สู อนมองเหน็ ขอบเขตของเน้อื หาท่เี ฉพาะ เจาะจง ช่วยลดความสับสนในการสอน ข)ช่วย ให้การเรียนการสอนครอบคลุมเนื้อหาในหลักสูตรอย่างครบถ้วน ค)ช่วยให้ผู้เรียนรู้ถึงขอบเขตของเน้ือหาท่ีจะ เรยี นล่วงหนา้ และมองเหน็ ความสัมพนั ธข์ องเนือ้ หาได้อย่างชัดเจน

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๒๖ ๕) การกาหนดวิธสี อนและกิจกรรม เพ่ือเตรียมการในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน ในอันท่ีจะนาผู้เรียนไปสู่ วัตถปุ ระสงคท์ ่วี างไว้ การกาหนดวธิ ีสอนและกจิ กรรมจึงเป็นสว่ นทีส่ าคญั สว่ นหนึ่ง ของการเตรียมการเรียนการ สอนใหเ้ ป็นระบบ แนวทางในการเลือกวธิ สี อนและกจิ กรรมการเรียนการสอนพิจารณาจาก ก)วัตถุประสงค์การ เรยี นการสอน ความร้พู ้ืนฐานของผูเ้ รียน ความสนใจของกลุม่ ผู้เรยี น จานวนผู้เรียน ระยะเวลาและเนื้อหาสาระ ข)ไม่ควรยึดวิธีสอนหรือกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งเป็นวิธีสอนหลักเสมอไป ค)กิจกรรมการเรียนการสอนท่ีจัด ให้แก่ผู้เรียน ควรตอบสนองวัตถุประสงค์ การเรียนการสอนทั้งด้านความรู้ เจตคติ และทักษะ ง)กิจกรรมการ เรียนการสอนควรเรียงลาดับ จากกิจกรรมท่ีง่ายๆ ไปสู่กิจกรรมท่ีซับซ้อน จ)การเลือกกิจกรรมการเรียนการ สอนควรคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ของผู้เรียนเพื่อช่วยให้ผู้เรียนบรรลุความสาเร็จ ตาม ความสามารถของตนเอง ง)การเลือกกิจกรรมการเรียนการสอน ควรพิจารณาถึง ข้ันการพัฒนาการทาง สติปญั ญาของผเู้ รยี น ๖) การกาหนดสอ่ื เพ่ือใชป้ ระกอบการเรียนการสอนให้มปี ระสิทธิภาพ เชน่ แผ่นภาพ รปู จาลองเครื่องมือต่างๆ แบบเรยี นทใี่ ช้ประกอบการเรียนการสอน เปน็ ตน้ ซ่งึ การกาหนดสอ่ื น้ี หมายรวมไปถึง การจัดหาการสรา้ ง การ เตรียมสอ่ื และการทดลองใช้สื่อทีก่ าหนดขึน้ ก่อนการสอนจริงด้วย ๗) การกาหนดแนวทางการประเมนิ จัดเป็นการเตรียมการท่ีสาคัญข้ันหน่ึง แนวทางการประเมินจาเป็นต้องกาหนดให้สอดคล้อง กับวัตถุประสงค์การเรียนการสอน โดยกาหนดเป็นวิธีการประเมินตามเกณฑ์ท่ีระบุไว้ในวัตถุประสงค์ หาก กาหนดให้ประเมินโดยให้ผู้เรียนทาข้อสอบก็จาเป็นต้องสร้างข้อสอบไว้ให้พร้อม หรือถ้ากาหนดให้ประเมินผล โดยใชข้ อ้ มลู จากการสงั เกต กค็ วรจัดเตรียมแบบฟอร์มการสงั เกต และแผนการใชไ้ ว้ด้วย ๘) การเขียนแผนการสอน เมื่อไดศ้ กึ ษาปัญหา สารวจทรัพยากร วิเคราะห์ผู้เรียนเพื่อให้ได้ข้อมูลในการจัดการเรียนการ สอน กาหนดวัตถุประสงค์การเรียนการสอน วิเคราะห์และจัดลาดับเน้ือหา กาหนดกิจกรรมและวิธีสอน กาหนดส่ือการเรียนการสอน วิเคราะห์และประเมินผล ซึ่งเป็นการวางแผนการเรียนการสอนแล้ว เพื่อให้เห็น แนวทางการเรยี นการสอนทเ่ี ดน่ ชดั จึงควรนาข้อมลู ซึ่งเตรียมการดังกล่าวนั้น มาบันทึกลงไว้ เรียกบันทึกนั้นว่า “แผนการสอน” ซึง่ แผนการสอนสามารถเขียนได้หลายลกั ษณะคอื ก) แผนการเรียนการสอนระยะยาว เป็นแผนการเรียนการสอนที่ระบุถึงแนวทางการสอน ตลอดภาคการศึกษา หรอื ตลอดปีการศกึ ษา ข) แผนการเรียนการสอนสาหรับหน่วยการเรียนการสอน เป็นแผนการเรียนการสอนท่ีระบุ ถงึ แนวการสอนสาหรบั ๑ หน่วยการเรียนการสอน ค) แผนการเรียนการสอนระดับบทเรียน เป็นแผนการเรียนการสอนที่ระบุถึงแนวทางการ สอนสาหรบั ๑ บทเรียน ขั้นดาเนนิ การ: การดาเนินการเรยี นการสอน

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๒๗ การดาเนินการเรียนการสอนให้เป็นระบบ เป็นการดาเนินการเรียนการสอนตามแผนการเรียนการ สอนที่ได้วางไว้ในขั้นเตรียมการ โดยยืดหยุ่นวิธีการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ควรเลือกใช้เทคนิคการสอน เพอ่ื ดาเนนิ การสอนให้นา่ สนใจ และทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ตามท่ีคาดไว้ในวัตถุประสงค์การเรียนการสอน ปัจจัยทส่ี ง่ เสริมให้การเรียนการสอนมปี ระสิทธภิ าพมีดังตอ่ ไปน้ี ก) ผ้สู อนมเี ทคนิคการสอนที่ดี ผู้สอนควรมีทักษะและวิธีการสอนที่จะดาเนินการสอนให้บรรลุวัตถุประสงค์ อาจใช้วิธีการ เรยี นการสอน หรือกิจกรรมการสอนหลายรูปแบบ ปรับปรุงหรือดัดแปลงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในชัน้ เรยี น ควรใช้เทคนคิ การเสริมแรง และการเร่งเรา้ ให้ผเู้ รยี นเกิดพฤติกรรมท่ีพงึ ประสงค์ ข) บรรยากาศในช้ันเรียน หมายถึง บรรยากาศท่ีทาให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในบทเรียน ผู้สอนและผู้เรียนเกิดความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ซ่ึงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเม่ือ ผู้สอนมีบุคลิกภาพท่ีดี ใช้คาพูดที่ ไพเราะและเหมาะสมมีอารมณ์ขัน ให้ความเป็นกันเองแก่ผู้เรียน และได้มีการเตรียมการสอนมาเป็นอย่างดี การสร้างบรรยากาศที่ดีในช้ันเรยี น จงึ เป็นเรอื่ งท่ผี ้สู อนตอ้ งคานงึ ถึงเสมอ ค) การนาจิตวิทยาการเรียนการสอนมาใช้ ผู้สอนควรนาจิตวิทยามาใช้ต้ังแต่ขั้นเตรียมการ จนถึงขนั้ ดาเนินการสอน เพราะการนาจิตวิทยาการเรียนการสอนมาใช้ จะช่วยเสริมให้ผู้สอนมีเทคนิคการสอน ท่ีน่าสนใจ และเสริมสร้างบรรยากาศที่ดีในชั้นเรียนในข้ันการดาเนินการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ ประกอบดว้ ยขน้ั ตอนทส่ี าคญั ๓ ข้ันตอนดังต่อไปนี้ ๑) ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน เป็นข้ันเริ่มต้นของการดาเนินการเรียนการสอนในชั้นเรียน ซึ่งเป็น การสร้างสถานการณ์ โดยการจัดสิ่งเร้า กิจกรรม หรือส่ิงแวดล้อม ที่จะโน้มนาให้ผู้เรียน เกิดปัญหา อยากรู้ อยากเห็น และสนใจในบทเรียนน้ันๆ การนาเข้าสู่บทเรียนมีวัตถุประสงค์แตกต่างกัน ในแต่ละบทเรียนซ่ึงพอ สรปุ ไดด้ งั นี้ ก) เพ่อื กระตนุ้ หรือเรา้ ความสนใจ ผเู้ รยี นให้พร้อมที่จะเรียน ข) เพ่ือเชื่อมโยงบทเรียนท่ีผ่านมากับ บทเรียนที่กาลังจะเรียน ค) เพ่ือทาความตกลงเก่ียวกับกติกาในการร่วมกิจกรรมการเรียนการสอน ฯลฯ ซึ่ง วิธกี ารอาจใช้ การสนทนาซกั ถาม ฉายภาพยนต์ ฯลฯ ๒) ขั้นดาเนินกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นขั้นที่สาคัญที่สุด ผู้เรียนมักใช้เวลาส่วนใหญ่ ของบทเรียนกับการดาเนินกิจกรรมน้ี วิธีการสอนและกิจกรรมการเรียนการสอน ก็ให้ดาเนินการตามท่ีได้ กาหนดไว้ในข้ันเตรียมการแล้ว แต่ควรนาเทคนิคทักษะ วิธีการ ตลอดจนจิตวิทยาการเรียนการสอนมา ประยกุ ต์ใชใ้ หเ้ หมาะสมและมีประสิทธภิ าพ ๓) ข้ันสรุป เป็นขั้นตอนที่ต่อเน่ืองจากการดาเนินกิจกรรมการเรียนการสอน โดยมี วัตถุประสงค์ ให้ผู้เรียนได้สรุปสาระสาคัญของบทเรียนได้อย่างถูกต้อง โดยท่ัวไปมักให้ผู้เรียนเป็นผู้สรุป ตาม ความเข้าใจของตนเองก่อนแล้วผู้สอนจึงช่วยเสริมประเด็น ให้ผู้เรียนเกิดมโนมติ และหลักการที่ชัดเจนใน ตอนทา้ ย ขน้ั ประเมนิ ผล: การประเมินผลการเรยี นการสอนอยา่ งเป็นระบบ ๑) การประเมนิ ผลการเรียนการสอนอย่างเปน็ ระบบ การประเมินผลเป็นขั้นตอนที่จาเป็นเพราะเป็นข้ันตอนท่ีจะวัด และตัดสินว่า กระบวนการที่ ได้จัดให้แก่ตัวป้อนของระบบการเรียนการสอน เป็นกระบวนการที่นาตัวป้อนไปยังวัตถุประสงค์ท่ีตั้งไว้หรือไม่ ถ้าผลลัพธ์ท่ีได้ยังไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ ก็จะต้องมีการทบทวนกระบวนการท้ังระบบ เพื่อหาข้อบกพร่องแล้ว ดาเนนิ การแก้ไขตอ่ ไปการประเมนิ ผลเป็นระบบจะครอบคลุมถึง ก) การประเมนิ ผลการเรยี นการสอน

การสอนธรรมวิทยา ๑๒๘ ข) การวิเคราะห์ผลย้อนกลับของระบบ ซ่ึงการประเมินผลการเรยี นการสอนเปน็ การประเมินผลผ้เู รยี น ซงึ่ สะท้อนให้เหน็ ถึงความสาเรจ็ หรือล้มเหลวของกระบวนการเรยี นการสอน การประเมนิ ผลควรคานงึ ถึงสง่ิ ต่อไปนี้ ก) การประเมนิ ผลการเรยี นท่ดี ีต้องสอดคลอ้ งกับวัตถปุ ระสงค์ทร่ี ะบไุ ว้ ข) ควรมกี ารดาเนินการอยา่ งเป็นขั้นตอน ต้ังแต่พจิ ารณาวตั ถปุ ระสงค์ การเรียนการสอนว่าต้องการให้ ผู้เรียนมีพฤติกรรมการเรียนรู้ในเร่ืองใด มีเกณฑ์อะไร แล้วจึงเลือกวิธีวัดผลท่ีเหมาะสม เพื่อทาการวัดผลต่อไป เปน็ ตน้ วิธกี ารวัดผลอาจกระทาโดย การทาแบบทดสอบหลังจบบทเรียน การสังเกตระหว่างการเรียนการสอน การใช้คาถามทั้งระหว่างและหลงั จากจบบทเรยี น ฯลฯ ๒) การวิเคราะห์ผลการประเมินเพอื่ ปรบั ปรงุ ระบบ จากการประเมินผลดังได้กล่าวมาแล้ว จะทาให้ทราบว่า ผลลัพธ์ของระบบเป็นไปตาม เป้าหมายหรือไม่ และจากการประเมินผลการเรียนการสอนน้ี ยังสามารถใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ผล ย้อนกลับของระบบด้วยว่า จะต้องมีการปรับปรุงส่วนใดของระบบ หากพบว่า การเรียนการสอนไม่บรรลุ วัตถุประสงค์ ผู้สอนควรนาข้อมูลนั้นไปปรับปรุงวิธีการในขั้นตอนต่างๆ ของระบบการเรียนการสอนเสียใหม่ แล้วนาไปใชซ้ า้ อกี ในโอกาสต่อไป การเรยี นรู้เป็นกระบวนการท่ีทาให้พฤติกรรมเปล่ียนแปลงไปจากเดมิ อันเป็นผลจาก การฝกึ และ ประสบการณ์ แต่มใิ ชผ่ ลจากการตอบสนองตามธรรมชาติ เช่น สัญชาตญาณหรือวฒุ ิ ภาวะ หรอื จากการ เปลี่ยนแปลงชวั่ คราวของรา่ งกาย๕ บลูม๖ กล่าวถึง การเกิดการเรียนรู้ในแต่ละครั้งจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้น ๓ ประการ จึงจะ เรียกว่าเป็นการเรยี นรทู้ ่สี มบูรณ์ คือ ก. การเปลี่ยนแปลงทางด้านความรู้ ความคิด ความเข้าใจ (Cognitive Domain) หมายถึง การ เปล่ยี นแปลงทเ่ี กิดขึน้ ในสมอง เช่น ความคดิ รวบยอด ข. การเปลย่ี นแปลงทางด้านอารมณ์หรือความรู้สึก (Affective Domain) หมายถึง การเปลี่ยน แปลง ทางดา้ นจิตใจ เชน่ ความเช่ือเจตคติ ค่านิยม ค. การเปลี่ยนทางการเคลื่อนไหวของร่างกาย เพ่ือให้เกิดทักษะ และความชานาญ เช่น (Psychomotor Domain) การวา่ ยนา้ เล่นกีฬา การเรียนรู้มีพฤติกรรม ๒ ส่วน คอื ๑. พฤติกรรมเดิมก่อนใหก้ ารเรยี นรู้ ๒. พฤติกรรมหลงั จากใหก้ ารเรยี นรู้แลว้ คานิยามของการเรียนรกู้ ระบวนการท่กี ่อใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลง จากพฤตกิ รรมเดิมไป เป็นพฤติกรรม ใหม่ที่ค่อนข้างถาวร เปน็ ผลทไ่ี ดจ้ ากประสบการณ์ ผลจากการตอบสนองตาม ธรรมชาติที่เกิดขน้ึ โดยบงั เอิญ ๕ Hilgard, E. R. and G. H. Bower. Theories of Learning. Englewood Cliffs, NJ: Prentice- Hall. 1975.p56. ๖ Bloom, Benjamins. Human Characteristics and School Learning. New York : McGraw-Hill Book Company. 1976 p.23.

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๒๙ เปน็ การเปล่ียนแปลงท้ังความรู้ ความรูส้ กึ และทักษะ๗ หากพิจารณาถงึ องคป์ ระกอบของกระบวนการเรยี นรู้ จากตวั อยา่ งดังกลา่ วแล้วจะมี ๓ องคป์ ระกอบ ดังน้ี ๑) ขั้นตอนของกิจกรรม (syntax) ในกระบวนการเรียนรู้ ผู้เรียนจะมีขั้นตอนท่ีทาให้ เกิดการ เรียนรู้ เช่น จากตัวอย่างการเรียนรู้ \"การเรียกคาว่าแม่\" จะมี ๕ ขั้นตอน และเราจะพบ เสมอว่าการเรียนรู้ใน แตล่ ะประเภทจะกาหนดขนั้ ตอนของการเรียนรไู้ วด้ ้วย เช่น กระบวนการ เรียนรูท้ างวิทยาศาสตร์มีขั้นตอน เร่ิม จากการกาหนดปัญหา การตั้งสมมุติฐาน การรวบรวม ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การสรุปผลจากข้อมูล หรือ ในทางศาสนาพุทธได้กาหนดขั้นตอน แก้ปัญหา (การดับทุกข์) ไว้ ๔ ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นกาหนดทุกข์ ขั้นการ แสวงหาสมทุ ยั ขนั้ กาหนด นิโรธ และข้นั แสวงหามรรค เปน็ ต้น ๒) การกาหนดความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน (social system) หรือการ กาหนด บทบาทในแต่ละขั้นตอนว่า ผู้เรียนต้องทาอะไร ผู้สอนต้องทาอะไร ดังเช่น การเรียนรู้การ เรียกคาว่าแม่นั้น บทบาทของแม่คือเป็นตัวแบบด้วยการพูดเป็นแบบอย่าง แล้วให้ลูกพูดตาม และเม่ือลูกพูดได้ถูกต้อง แม่มี บทบาทในการให้การเสริมแรง เป็นต้น ดังน้ัน ในกระบวนการ เรียนรู้ จึงต้องกาหนดบทบาทของผู้เรียนและ ผสู้ อนในทุกขัน้ ตอนของกิจกรรม ๓) สิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ (supporting system) ในการจัดกิจกรรมแต่ละข้ันตอนอาจ จาตอ้ งใชส้ ือ่ หรอื จัดสภาพแวดลอ้ มเฉพาะอย่างใดอย่างหน่ึงเพ่ือให้เกิดการเรียนรู้ได้ง่ายและ รวดเร็ว เช่น มีสื่อ ที่เปล่ียนจากสภาพนามธรรมให้เป็นรูปธรรม ส่ิงสนับสนุนน้ันอาจเป็นตัวบุคคล เป็นส่ือทางกายภาพ หรือสื่อ ทางจติ ภาพ เป็นต้น ๗.๔ วิธีระบบ (System approach) วิธรี ะบบ คือแนวทางในการพจิ ารณาและแก้ไขปญั หา ซ่งึ แนวทางดงั กล่าวถูกสรา้ งข้ึนมาเพ่อื ใหม้ ี ความผิดพลาดน้อยท่ีสุด ขณะเดียวกันก็พยายามใช้ทรัพยากรทม่ี อี ยู่ให้คมุ้ ค่าท่ีสดุ ๘ ในปัจจุบันจะพบวา่ วิธีระบบนัน้ ถูกนาไปใชใ้ นด้านต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง วิธีระบบจะเป็นตัวจัดโครง ร่าง (Skeleton) และกรอบของงานเพ่ือให้ง่ายต่อการที่จะนาเทคนิค วิธีการแก้ปัญหาต่าง ๆ มาใช้ การทางาน ของวธิ ีระบบจะเปน็ การทางานตามขั้นตอน(step by step)ตามแนวของตรรกศาสตร์ ผู้ใชว้ ธิ รี ะบบจะต้องเช่ือว่า “ระบบ” ประกอบดว้ ยสว่ นต่าง ๆ ทม่ี ีความสมั พนั ธซ์ ง่ึ กนั และกัน (interrelated parts) และเช่ือว่าประสิทธผิ ล (effectiveness) ของระบบน้นั จะต้องดูจากผลการทางานของ ระบบมิไดด้ จู ากการทางานของระบบยอ่ ยแตล่ ะระบบ ๗.๔.๑ จากวิธรี ะบบส่รู ะบบการเรยี นการสอน แนวคิดของวิธีระบบ ถือได้ว่าเป็นรากฐานของระบบการเรียนการสอน โดยเฉพาะความเช่ือ ท่ีว่าระบบจะประกอบด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ทางานสัมพันธ์กันและระบบสามารถปรับ ปรุงปรับทิศทาง ของตนเองได้ จากการตรวจสอบจากขอ้ มลู ป้อนกลบั (Feedback) ๗ ปรยี าพร วงศอ์ นตุ รโรจน์. จติ วิทยาการศกึ ษา. กรุงเทพฯ: ศนู ยส์ อ่ื เสรมิ กรุงเทพ. ๒๕๕๑ หนา้ ๒๖- ๒๗. ๘ Allen, R. and J. W. Santrock. Psychology:The Contexts of Behavior. USA.: Wm. C. Brown Communication. 1993.p.65-68.

การสอนธรรมวิทยา ๑๓๐ วิธรี ะบบถูกนามาใชใ้ นระบบการศึกษาและได้รับการพัฒนา ปรับปรุงขึ้นเป็นลาดับ โดยได้มีผู้พัฒนา รูปแบบการสอน (Model) ข้ึนหลากหลายรูปแบบ รูปแบบเหล่าน้ีเรียกชื่อว่า ระบบการออกแบบการเรียน การสอน (instructional design systems) หรือเรียกส้ันลงไปอีกว่า การออกแบบการเรียนการสอน (instructional design) การออกแบบการเรียนการสอนจะประกอบด้วยองค์ประกอบที่เป็นขั้นตอนต่าง ๆ ท่ีอาศัยหลักการ และทฤษฎีสนบั สนนุ จากองคค์ วามร้แู ละการวจิ ัยทางการศึกษา จนถงึ ปจั จุบนั นักการศึกษาได้พัฒนารูปแบบการเรียนการสอน (Instructional model) ขึ้นมากกว่า ๕๐ รูปแบบ รูปแบบเหล่าน้ีได้รับการตรวจสอบ ทดสอบ และการปรับปรุงมาแล้วก่อนที่จะเป็นรูปแบบที่ สมบูรณ์ที่เชอื่ ไดว้ า่ ถา้ นาไปใช้แล้วจะทาใหป้ ระสิทธผิ ลและประสทิ ธภิ าพในการสอนอย่างสงู สุด ประสิทธผิ ลและประสทิ ธภิ าพน้จี ะเกดิ ขน้ึ อย่างแนน่ อนไมว่ ่าจะใชก้ บั จุดมุ่งหมายในการสอนลกั ษณะใด ผู้เรยี นทแ่ี ตกต่างกันเพยี งไร สถานการณ์สิง่ แวดล้อมหรือสอ่ื การสอนที่แตกต่างกันออกไป รูปแบบอันหลากหลายน้ีจะมีความแตกต่างกันออกไปในรายละเอียด แต่เม่ือพิจารณาโดยรวมแล้วจะ เหน็ ว่า ความแตกต่างน้ันมีไมม่ ากนัก รูปแบบการเรียนการสอนน้ีสามารถนาไปใช้ในการเรียนการสอนหรือการ ฝึกอบรม ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องของการเรียนการสอนโดยตรง เช่น สามารถนาไปใช้ในโรงงานเพื่อเพ่ิม ประสิทธิภาพในการทางาน ใชใ้ นโรงพยาบาล สถานตี ารวจ ธนาคารหรอื อน่ื ๆ ที่เกย่ี วข้อง กบั การให้ความรู้ การเปลย่ี นทศั นคติ หรอื การฝึกทักษะตา่ งๆ ๗.๔.๒ การออกแบบการเรยี นการสอนไมใ่ ชก่ ารสร้างระบบใหม่ กิจกรรมการออกแบบการเรียนการสอน (instructional design) นั้นไม่ใช่กิจกรรมการออกแบบ และสร้างระบบการสอนขึ้นใหม่ แต่เป็นกระบวนการนารูปแบบ (model) ท่ีมีผู้คิดสร้างไว้แล้วมาใช้ตาม ขั้นตอน (step) ตา่ งๆ ทเี่ จ้าของรปู แบบน้นั กาหนดไวอ้ าจจะมคี าถามว่า ถ้าไมไ่ ด้ออกแบบระบบเอง ทาไมจึงใช้ คาว่า “ ออกแบบการเรียนการสอน” คาตอบที่ชัดเจนก็คือ ผู้ใช้รูปแบบ (model) ของการสอนน้ัน จาเปน็ ตอ้ งออกแบบตามขนั้ ตอนตา่ งๆ ของรูปแบบน้ัน ๆ ทั้งน้ีเนื่องจากรูปแบบ (model) ท่ีมีผู้สร้างไว้ให้น้ัน เป็นเพียงกรอบและแนวทางในการดาเนินงานเท่าน้ัน รายละเอียดต่างๆ ภายในข้ันตอนจะแตกต่างกันออกไป ตามสภาพปัญหา จดุ มงุ่ หมายของการเรยี นการสอน ลกั ษณะของผ้เู รยี น และเงอ่ื นไขตา่ งๆ ๗.๔.๓ การออกแบบการเรยี นการสอน (Instructional design) จากที่กลา่ วมาในตอนตน้ ๆ ทาใหท้ ราบความเปน็ มาของระบบการสอนรวมถึงคาว่า “ระบบ” ว่าเป็น อย่างไร และปรับเปลี่ยนดัดแปลงการออกแบบการเรียนการสอนด้วยเหตุใด ต่อไปนี้จะกล่าวถึงรายละเอียด ของการออกแบบการเรียนการสอน โดยจะเริ่มจากความเป็นมา ความหมาย ระดับของการออกแบ องคป์ ระกอบ รูปแบบของการออกแบบการเรียนการสอน และสุดท้ายคอื กระบวนการขั้นตอนการออกแบบ การเรยี นการสอน ๗.๔.๔ ความเปน็ มาของการออกแบบการเรียนการสอน การออกแบบการเรียนการสอน (ID) เกิดจากการใช้กระบวนการของวิธีระบบ (system approach) ในการฝึกทหารของกองทพั บกอเมรกิ ันในช่วงสงครามโลกคร้ังท่ี ๒ โดยมีความเชื่อว่า การเรียนรู้ ใด ๆ ไมค่ วรจะเกิดอย่างบังเอิญ แต่ควรเกิดจากการพัฒนาส่ิงต่างๆ อย่างเหมาะสม มีกระบวนการ มีขั้นตอน และสามารถวัดผลจากการเรียนรไู้ ด้อยา่ งชัดเจน

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๓๑ ในการออกแบบการเรียนการสอนต้องอาศัยความรู้ศาสตร์ สาขาต่างๆ อันได้แก่ จิตวิทยาการศึกษา การสือ่ ความหมาย การศึกษาศาสตร์ทางเทคโนโลยีคอมพวิ เตอรเ์ ข้ามารว่ ม ๗.๔.๕ ความหมายของการออกแบบการเรียนการสอน การออกแบบการเรียนการสอน คือ ศาสตร์ (Science) ในการกาหนดรายละเอียด รายการต่าง ๆ เพ่อื พฒั นา การประเมินและการทานบุ ารุงรักษาให้คงไวข้ องสภาวะต่างๆ เพอื่ ทาให้เกิดการเรียนรู้ ทั้งในเนื้อหา จานวนมาก หรือเนอื้ หาสั้นๆ (Richey, 1986) ๗.๔.๖ ปัญหาในระบบการเรียนการสอน เป้าหมายหลักของครูหรือนักฝึกอบรมในการสอน คือการช่วยให้ผู้เขียนหรือผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้ เรียนรู้ และในการช่วยให้เกิดการเรียนรู้นี้มีปัญหาหลัก ๆ อยู่หลายประการที่ผู้ออกแบบการเรียนการสอน จะต้องตระหนกั และพยายามหลกี เลี่ยง ปัญหาดังกลา่ วคอื ๑. ปญั หาด้านทิศทาง (Direction) ๒. ปัญหาดา้ นการวัดผล (Evaluation) ๓. ปัญหาดา้ นเนือ้ หาและการลาดับเน้ือหา (Content and Sequence) ๔. ปญั หาด้านวธิ กี าร (Method) ๕. ปัญหาขอ้ จากดั ต่าง ๆ (Constraint) ๑.ปญั หาด้านทศิ ทาง ปญั หาดา้ นทิศทางของผู้เรียนก็คือ ผู้เรยี นไมท่ ราบวา่ จะเรยี นไปเพ่ืออะไร ไมร่ ู้ว่าจะตอ้ งเรยี นอะไร ตอ้ งสนใจจดุ ไหน สรปุ แล้วพูดไวว้ า่ เปน็ ปญั หาดา้ นจดุ มุ่งหมาย ๒.ปัญหาด้านการวัดผล ปัญหาการวัดผลน้ีจะเกิดขน้ึ กับทัง้ ผสู้ อนและผู้เรยี น ผู้สอนจะมปี ัญหา เช่น จะร้ไู ดอ้ ยา่ งไรว่าผเู้ รียน ของตนเกิดการเรียนร้หู รือไม่ จะรู้ได้อย่างไรว่าวธิ กี ารที่ตนใช้อยู่นัน้ ใช้ไดผ้ ลดี ถ้าจะปรับปรุงเนอ้ื หาที่สอนจะ ปรบั ปรุงตรงไหน จะให้คะแนนอย่างยุตธิ รรมไดอ้ ย่างไร ปญั หาของผเู้ รียนเกย่ี วกบั การวัดผลอาจเป็น ฉันเรียนรอู้ ะไรบ้างจากสิ่งน้ี ข้อสอบยากเกินไป ข้อสอบกากวมอนื่ ๆ ๓.ปญั หาด้านเนอ้ื หาและการลาดับเน้อื หา ปัญหานี้เกิดขึ้นกับครูและผู้เรียนเช่นเดี่ยวกัน ในส่วนของครูอาจจะสอนเนื้อหาท่ีไม่ต่อเนื่องกัน เน้อื หายากเกินไป เนื้อหาไมต่ รงกบั จุดมุ่งหมาย เนื้อหาไมส่ ัมพนั ธก์ ันและอื่น ๆ อกี มากมาย ในสว่ นของผเู้ รียนกจ็ ะเกิดปัญหาเช่นเดี่ยวกบั ทกี่ ล่าวขา้ งตน้ อันเปน็ ผลมาจากครู อาจเป็นการสอนหรือวิธกี ารสอนของครทู าใหผ้ เู้ รยี นเบอ่ื หน่าย ไม่อยากเขา้ ห้องเรียน มีทัศนคติทไี่ ม่ ดีต่อการเรียนสิง่ น้ันๆ ๔.ปญั หาด้านวธิ ีการ ปัญหาการสอนท่ีไม่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายท่ีต้ังเอาไว้ เช่น ต้ังเป้าหมายไว้ว่าให้ผู้เรียนสามารถใช้ กล้องถ่ายวดิ โี อไดอ้ ยา่ งชานาญ แตว่ ิธสี อนกลบั บรรยายให้ฟังเฉยๆ และผเู้ รยี นไมม่ สี ิทธิจบั กล้องเลย เป็นตน้ ๕.ปัญหาข้อจาจัดต่างๆ ในการสอนหรือการฝึกอบรมนั้นตอ้ งใช้แหล่งทรัพยากร ๓ ลักษณะ คอื บุคลากร ครูผู้สอนและสถาบัน ต่างๆ

การสอนธรรมวิทยา ๑๓๒ บคุ ลาการที่ว่านี้อาจจะเป็นวทิ ยากร ผูช้ ่วยเหลอื ตา่ งๆ เช่น พนักงานพิมพ์ ผู้ควบคุมเคร่ืองไม้เคร่ืองมือ หรอื อื่นๆ สถาบนั ต่าง ๆหมายถงึ แหล่งทเ่ี ปน็ ความรู้ แหลง่ ทจี่ ะใหค้ วามร่วมมือสนบั สนุนต่างๆ อาจเปน็ หอ้ งสมุด หนว่ ยงานตา่ ง ๆ เป็นต้น ๗.๕ องคป์ ระกอบของการออกแบบการเรยี นการสอน ดังได้กล่าวข้างต้นว่า การออกแบบการเรียนการสอนให้หลักการแนวทางของระบบ ดังน้ันในการ ออกแบบการเรียนการสอนจึงประกอบด้วยองค์ประกอบต่างๆ ท่ีสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ได้ และใน กระบวนการออกแบบการเรียนการสอนก็จะมีกลไกในการปรับปรุงแก้ไขตัวเอง อันได้แก่ กระบวน การใช้ ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) จากการประเมินผลที่เรียกว่า การประเมินผลเพ่ือการปรับปรุง (formative evaluation) เนอื่ งจากมรี ปู แบบ (Model) สาหรับนาไปใชใ้ นการออกแบบการเรียนการสอนอยู่มากมายจึงมีความ หลากหลายในองค์ประกอบในรูปแบบน้ัน ๆ แต่อย่างไรก็ตาม รูปแบบการเรียนการสอนใดๆ ก็จะยึดแนวทาง ของรูปแบบด้ังเดิม (generic model) ประกอบด้วย ๑.การวิเคราะห์ (Analysis) ๒.การออกแบบ (Design) ๓.การพัฒนา (Development) ๔.การนาไปใช้ (Implementation) ๕.การประเมินผล (Evaluation) จากรูปแบบดงั เดิม (Generic model) น้ีจะมีผรู้ ู้ต่างๆ นาไปสังเคราะห์เป็นรูปแบบต่าง ๆ มากมาย ตามความเช่อื ความต้องการของตน ๗.๕.๑ รปู แบบต่างๆ ของการออกแบบการเรยี นการสอน ในทีน่ ี้จะขอยกตวั อยา่ งรปู แบบการเรยี นการสอนทมี่ ผี ้คู ิดสร้างขึ้นเพ่ือให้เห็นองค์ประกอบ รายละเอยี ดโดยสังเขปและความสมั พันธ์ขององคป์ ระกอบต่างๆ ๑.รูปแบบการสอนของดิคค์และคาเรย์ (Dick and Carey model) รูปแบบการสอน (Model) ของดคิ ค์และคาเรย์ ประกอบด้วยองคป์ ระกอบดว้ ย ๑๐ ข้นั ดว้ ยกนั คอื ๑. การกาหนดเป้าหมายของการเรียนการสอน (Identify Instructional Goals) ๒. ดาเนินการวิเคราะห์การเรียนการสอน (Conduct Instructional Analysis) ๓. กาหนดพฤตกิ รรมก่อนเรียนและลกั ษณะผเู้ รียน (Identify Entry Behaviors, Characteristics) ๔. เขยี นจดุ มงุ่ หมายเชงิ พฤติกรรม (Write Performance Objective) ๕. พัฒนาข้อสอบองิ เกณฑ์ (Develop Criterion - Referenced Test Items) ๖. พฒั นายทุ ธวธิ กี ารสอน (Develop Instructional Strategies) ๗. พัฒนาและเลือกวัสดุการเรียนการสอน (Develop and Select Instructional Materials) ๘. ออกแบบและดาเนนิ การประเมินเพ่ือการปรบั ปรงุ (Design and Conduct Formative Evaluation) ๙. การปรบั ปรุงการสอน (Revise Instruction)

การสอนธรรมวิทยา ๑๓๓ ๑๐.การออกแบบและดาเนนิ การประเมินระบบการสอน (Design and Conduct Summative Evaluation) วเิ คราะห์ การปรับปรุงการสอน การเรยี น การสอน กาหนด เขียน พัฒนา พัฒนา พัฒนา ประเมนิ เปา้ หมาย จุดมงุ หมาย ข้อสอบ ยุทธวธิ ี วสั ดุ เพื่อการ การเรยี น อิงเกณฑ์ การสอน การเรยี น ปรับปรงุ เชิง การสอน พฤติกรรม ประเมิน ระบบ กาหนด การสอน พฤตกิ รรม ก่อนเรียน ภาพท่ี ๔ รูปแบบการออกแบบการเรียนการสอนของดิคค์และคารเ์ รย์ ๗.๕.๒ ระบบการสอนของเกอร์ลาชและอีลาย (Ger lach and Ely Model) เกอรล์ าชและอีลายเสนอรูปแบบการออกแบบการสอนประกอบด้วยองค์ประกอบ 10 อย่างดว้ ยกนั คือ ๑. การกาหนด เป็นการกาหนดว่าต้องการใหผ้ เู้ รยี นรู้อะไร แคไ่ หน อย่างไร ๒. การกาหนดเน้ือหา (Specify Content) เป็นการกาหนดว่าผูเ้ รียนต้องเรยี นอะไรบา้ งในอนั ที่จะ บรรลเุ ป้าหมายทีต่ ั้งไว้ ๓. การวิเคราะห์ประสบการณ์เดิมของผู้เรียน (Analyze Learner Background Knowledge) เพ่อื ทราบความสามารถพ้นื ฐานของผู้เรียน ๔. เลอื กวธิ ีสอน (Select Teaching Method) ทาการเลือกวิธสี อนใหส้ อดคลอ้ งกับจดุ มุ่งหมาย ๕. กาหนดขนาดของกลมุ่ (Determine Group Size) เลอื กวา่ จะสอนเปน็ กลุ่มยอ่ ยหรือกลุม่ ใหญ่ อยา่ งไร ๖. กาหนดเวลา (Time Allocation) กาหนดว่าจะใชเ้ วลาในการสอนมากนอ้ ยเพียงใด ๗. กาหนดสถานท่ี เครือ่ งอานวยความสะดวก (Specify Setting and Facilities) กาหนดว่าจะ สอนที่ไหน ต้องเตรียมอะไรบ้าง ๘. เลือกแหล่งวชิ าการ (Select Learning Resources) ตอ้ งใชส้ อื่ อะไร อย่างไร ๙. ประเมินผล (Evaluation) ดวู า่ การสอนเป็นไปตามจดุ มงุ่ หมายหรือไม่

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๓๔ ๑๐.วิเคราะห์ข้อมลู ป้อนกลับเพ่ือการปรับปรงุ แก้ไข (Analyze Feedback for Revision) เป็นการ วเิ คราะห์ว่าถ้าการสอนไม่ไดผ้ ลตามจดุ มงุ่ หมายจะทาการปรับปรุงแก้ไขตรงไหนอย่างไร เลือกวิธสี อนและ กจิ กรรม กาหนด วิเคราะห์ กาหนดขนาดของ ประเมินผล จดุ มงุ่ หมาย ประสบการณ์ กล่มุ ท่จี ะสอน กาหนด เดิม กาหนด เนือ้ หา ระยะเวลา กาหนดสถานท่ี เครือ่ งอานวย ความสะดวก เลอื กแหล่ง วเิ คราะห์ขอ้ มูล วชิ าการ ปอ้ นกลบั ภาพที่ ๕ รปู แบบระบบการสอนของเกอลาชและอลี าย จากตัวอย่างรปู แบบระบบการสอนทีย่ กมาจะเหน็ ว่าจะอยู่ในกรอบของรูปแบบดังเดิม (Generic model) ทงั้ สิ้น ๗.๕.๓ การวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) การวิเคราะหร์ ะบบ คือ กระบวนการศกึ ษาขอบข่าย (Network) ของปฏสิ ัมพนั ธ์ขององคป์ ระกอบ ตา่ งๆ ในระบบ เพื่อจะเสนอแนวทางในการดาเนินการเพ่ือปรบั ปรงุ การทางานของระบบนน้ั ๆ๙ ในการออกแบบการเรียนการสอนไม่วา่ จะเป็นรปู แบบการสอนของใครกต็ าม จะมีกลไกหรอื มี ข้อมูลเพือ่ ใช้ในการวิเคราะห์ระบบอยู่แลว้ ขอ้ มลู ดังกลา่ วคือ ข้อมูลปอ้ นกลับ (Feedback) ตา่ งๆ การท่ีระบบการสอนมีองค์ประกอบให้เหน็ อยา่ งชดั เจนและแสดงความสมั พันธ์ขององคป์ ระกอบต่าง ๆ อย่างชดั เจน จะชว่ ยให้ง่ายตอ่ การวเิ คราะห์ความสัมพนั ธ์ขององค์ประกอบตา่ งๆ ว่าปญั หาระบบเกิดจาก อะไร การดาเนนิ การวเิ คราะหร์ ะบบในรูปแบบ (Model) การสอนต่าง ๆ นัน้ ทาได้ง่ายเพราะมีผ้จู ัดสรา้ ง กลไกและจดั หาข้อมลู เตรียมไว้ให้แล้ว แต่ถ้าจะดาเนนิ การวิเคราะห์ระบบอนื่ ใดท่ีนอกเหนือไปจากน้ีแลว้ กระบวนการคิดวิเคราะห์ก็จะต้องมี รายละเอยี ดและกระบวนการเพม่ิ มากขึน้ ๙ Semprevivo, Philop C. System Analysis. Definition, Process, and Design. Chicago: Science Research Association. 1976,p.123-124.

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๓๕ ในท่นี ้จี ะขอเสนอแนวทางในการวิเคราะห์ระบบสาหรับระบบโดยท่วั ๆ ไปทไี่ ม่ใช่ระบบการเรยี นการ สอน ในการวิเคราะห์ระบบจะประกอบดว้ ยกิจกรรมต่าง ๆ เป็นวงจรชีวติ (Life cycle) ดังต่อไปน้ี คอื ๑. การกาหนดปญั หา (Problem definition) ๒. การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล (Data collection and analysis) ๓. การวเิ คราะห์ทางเลอื กของระบบ (Analysis of system alternatives) ๔. ศึกษาความเป็นไปได้ของทางเลอื ก (Determination 0f feasibility) ๕. การพฒั นาแนวคดิ เพ่ือเสนอขอความคิดเห็น (Development 0f the systems proposal) ๖. การพัฒนาและทดลองใชต้ น้ แบบ (Pilot of prototype systems development) ๗. การออกแบบระบบ (System design) ๘. การพฒั นาโปรแกรม (Program development) ๙. การนาระบบใหม่เข้าไปใช้ (System implementation) ๑๐.การตรวจสอบและการประเมินระบบ (Systems implementation) กิจกรรมท้ัง ๑๐ น้ี ปกติแล้วจะไม่สามารถดาเนินการในลักษณะที่แยกออกจากกันอย่างเด็ดขาดได้ เพราะในลกั ษณะการทางานจริง กิจกรรมเหล่าน้ีจะมคี่ วามเก่ียวโยงกันจนแยกไม่ออก ยา้ อีกครัง้ หน่ึงว่า กระบวนการวิเคราะหร์ ะบบท้งั ๑๐ นี้ ข้อที่กล่าวมาขา้ งต้นใช้สาหรับการ วิเคราะห์ระบบที่นอกเหนือจากระบบการเรียนการสอน ท้ังน้ีเน่ืองจากระบบการเรียนการสอนน้ันได้สร้าง กลไกและขอ้ มูลสาหรบั ตรวจสอบแก้ไขระบบอยูใ่ นตวั แลว้ สรุปทา้ ยบท การศึกษา ตามความหมายกว้าง หมายถึง กระบวนการทางสังคมที่นาบุคคลเข้าสู่การดารงชีวิตใน สังคม หรืออาจกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า เป็นกระบวนการอบรมบ่มนิสัยให้มนุษย์สามารถประพฤติปฏิบัติตนและ ประกอบอาชีพการงานรว่ มกบั มนษุ ย์อืน่ ๆได้อยา่ งเหมาะสม การศึกษาตามความหมายนี้จึงเป็นปัจจัยสาคัญของการอบรมบ่มนิสัย การกล่อมเกลาทางสังคม การ เตรยี มตวั เพ่ือใหบ้ ุคคลมที กั ษะ ความรู้ ความสามารถในการดารงชวี ิตและการประกอบอาชพี ในอนาคต เป้าหมายของการศึกษาดังท่ีกล่าวน้ี มิใช่เพียงเพ่ือประโยชน์ของคนแต่ละคนเท่านั้น แต่ต้องมุ่งไปสู่ สงั คมในภาพรวม คือการนาไปสู่สังคมท่ีเขม้ แขง็ มีเอกภาพ อนั เนือ่ งมาจากสมาชิกของสังคมมีคุณภาพและร่วม สร้างประโยชน์ให้กับสังคมท่ีตนอยู่อาศัย จึงถือได้ว่าครูเป็นคนสาคัญในการสร้างเยาวชนท่ีดีและสร้างอนาคต ของประเทศ และหากผลผลิตทางการศึกษาไมม่ คี ณุ ภาพ ครกู ็ตอ้ งมีสว่ นร่วมรับผิดชอบดว้ ย ในกระบวนการจัดการศึกษานี้ มีบุคคลหลายคนและหลายหน่วยงานเข้ามีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว พรรคพวกเพ่ือนฝูงญาติมิตร ชุมชน ประชาคม เอกชน ส่ือมวลชน วัด โรงเรียน และที่สาคัญมากคือ รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ ซึ่งรวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินด้วยสังคมท่ีมีขนาดใหญ่โตกว้างขวาง มีวิถี ชีวิตและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน มีการประกอบอาชีพหลากหลาย เนื้อหาของการศึกษายิ่งต้องมีความ หลากหลาย แต่ขณะเดียวกันการจัดการศึกษาก็ต้องมุ่งธารงรักษาเอกภาพร่วมกันของสังคมไว้ด้วย สาระของ การศึกษาจึงต้องครอบคลุมทั้งเรื่องวิถีการดารงชีวิต การประพฤติปฏิบัติตน ความสัมพันธ์กับผู้อื่น ประสบการณ์และความเป็นไปของสังคมในอดีต ปัจจุบัน และที่จะไปสู่อนาคต รวมท้ังเร่ืองความรู้ ความเข้าใจ และเทคนิควิธีการประกอบอาชพี

การสอนธรรมวิทยา ๑๓๖ การจดั การศกึ ษาอยา่ งเป็นทางการหรือในระบบ สว่ นใหญ่จัดข้นึ ในโรงเรียน ซึ่งเป็นหนว่ ยงาน เฉพาะด้านที่ตั้งขึ้นมาทาหน้าท่ีปลูกฝังทักษะ ความรู้ และค่านิยมแก่ผู้เรียน แต่โรงเรียนหรือสถานศึกษาก็ไม่ใช่ เปน็ ช่องทางเดยี ว ในโลกทพ่ี ฒั นาการด้านสอื่ และเทคโนโลยีเปน็ ไปอยา่ งรวดเร็ว การจดั การศึกษาสามารถทาได้ อย่างหลากหลาย เพ่อื สอดรับกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเฉพาะแตล่ ะกล่มุ เช่น การศึกษานอกโรงเรียน การจัดการศึกษาในครัวเรอื น การจัดการศึกษาโดยชมุ ชน การศกึ ษาทางไกลผา่ นสือ่ ประเภทตา่ งๆ เป็นต้น อาจกล่าวได้วา่ การศกึ ษาเป็นกิจกรรมทางสังคมทเี่ ปน็ รากฐานสาคัญของการสร้าง สะสมพลังของชาติ ชาตใิ ดมี “ทุนทางสังคม” แข็งแกรง่ มีคุณภาพดมี ากนอ้ ยเพยี งใด มีปริมาณมากแค่ไหน ย่อมข้ึนกับคุณภาพของ ระบบการศึกษา๑๐ โดยสรุป การศึกษาเป็นกระบวนการให้และรับความรู้และประสบการณ์ การปรับเปล่ียนทัศนคติการ สร้างจิตสานกึ การเพม่ิ พนู ทักษะ การทาความเข้าใจให้กระจ่าง การอบรมปลูกฝังค่านิยม การถ่ายทอดศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมของสงั คม การพฒั นาความคิด โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้บุคคลมีความเจริญงอกงามทาง ปัญญา มีความรู้ความสามารถท่ีเหมาะสมสาหรับการประกอบอาชีพ สามารถดารงชีวิตได้อย่างเหมาะสม มี คา่ นิยมท่ดี แี ละอย่รู ว่ มกบั ผ้อู ่นื อยา่ งมคี วามสขุ ๑๐ ชัยอนันต์ สมุทวณชิ . Good Governance กับการปฏริ ปู การศึกษา – การปฏิรปู การเมอื ง. ม.ป.พ. ๒๕๔๒. หนา้ ๑๑๐.

การสอนธรรมวทิ ยา ๑๓๗ คาถามทา้ ยบท ๑.เมื่อกลา่ วถึงระบบ ทกุ องค์กรต่างมีระบบการทางานเปน็ ของตัวเอง ในการจัดการศกึ ษา มรี ะบบการเรยี นการสอนเท่าไร อะไรบา้ ง ฯ ๒.ในการกาหนดจดุ มุ่งหมายการสอน ในฐานะที่ท่านเป็นผสู้ อนมวี ธิ ีการกาหนดจุดมุง่ หมาย การสอนอยา่ งไร ฯ ๓.หวั ใจสาคัญของระบบการเรียนการสอน ทา่ นคิดว่าสว่ นไหนเป็นสว่ นสาคญั ทีส่ ดุ เพราะเหตุผลอะไร จงอธบิ ายฯ ๔.ระบบการมปี ฏิสมั พนั ธก์ ับสิ่งแวดลอ้ ม มีความสัมพันธ์กนั อย่างไร จงอธบิ าย ฯ ๕.หวั ใจสาคัญของระบบการเรียนการสอนนนั้ มีองค์ประกอบสาคญั ๆเท่าไร อะไรบา้ ง ฯ ๖.ใหย้ กตัวอย่าง ๑.การกาหนดจดุ มงุ่ หมาย ๒.การกาหนดขอบเขต ว่ามลี กั ษณะในทาง ปฏบิ ตั ิอยา่ งไร ฯ ๗.จากวิธีระบบสูก่ ารเรียนการสอน มีขนั้ ตอนเทา่ ไร อะไรบา้ งและแต่ละขนั้ ตอน มคี วามหมายอย่างไร ฯ ๘.จากการทไี่ ด้นาระบบสู่กาเรียนรู้ ก่อให้เกิดปัญหาอุปสรรคอยา่ งไร จงอธิบาย ฯ ๙.จงอธิบาย ๑.ปญั หาดา้ นทิศทาง ๒.ปญั หาดา้ นการวดั ผล มคี วามอย่างไร ฯ ๑๐.การออกแบบและดาเนินการประเมินระบบการสอน มีวิธกี ารอยา่ งไร ฯ

การสอนธรรมวิทยา ๑๓๘ เอกสารอ้างอิงประจาบท ชยั อนนั ต์ สมุทวณชิ . (๒๕๔๒). Good Governance กบั การปฏริ ปู การศึกษา – การปฏริ ปู การเมอื ง. ม.ป.พ.. ปรยี าพร วงศอ์ นุตรโรจน์. (๒๕๕๑). จิตวทิ ยาการศึกษา. กรงุ เทพมหานคร: ศูนย์สือ่ เสรมิ กรงุ เทพ. ราชบัณฑิตยสถาน. (๒๕๒๕). พจนานกุ รม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕. ฉบบั พิมพ์ คร้งั ท่ี ๕ กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั อักษรเจริญทศั น์ อจท. จากดั . วชิ ากระวัดและประเมินผล.สถาบันการพลศึกษา.ออนไลน์ เข้าถึงได้จาก http://www.ipecp.ac.th/ipecp/cgi-binn/webpili/unit๑/level๑-๑.html สบื คน้ เมอ่ื ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙. Allen, R. and J. W. Santrock. (1993). Psychology:The Contexts of Behavior. USA.: Wm. C. Brown Communication. Bloom, Benjamins. (1976). Human Characteristics and School Learning. New York : McGraw-Hill Book Company. DeCecco, (1968), อ้างใน กิ่งฟ้า สินธวุ งษ.์ เอกสารประกอบการบรรยาย วิชา 219730 ความรู้พ้นื ฐานใน Hilgard, E. R. and G. H. Bower. (1975). Theories of Learning. Englewood Cliffs, NJ: Prentice-Hall. Semprevivo, Philop C. System Analysis. (1976). Definition, Process, and Design. Chicago:Science Research Association. Wong, D. L. Whaley & Wong’s. (1999).nursing Care of Infant and Children (6thed.). St. Louis:Mosby.

บทที่ ๘ การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ วตั ถปุ ระสงคป์ ระจาบท เม่อื ได้ศึกษาเนื้อหาในบทน้แี ล้ว ผเู้ รยี นสามารถ ๑. อธิบายรูปแบบการเรยี นการสอนท่ีเป็นสากลได้ ๒. อธิบายรูปแบบการเรยี นการสอนทีพ่ ัฒนาข้ึนโดยนักการศกึ ษาไทยได้ ขอบขา่ ยเน้อื หา  ระบบการเรียนการสอน  วิธีระบบ  องค์ประกอบของการออกแบบการเรียนการสอน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook