การสอนธรรมวิทยา ๔๓ ๕. การสังเคราะห์ ความสามารถในการรวบรวม รวบรวม ออกแบบ จัดระเบียบ สรา้ ง ส่วนยอ่ ยๆ สร้างรูปแบบหรือโครงสร้างใหม่ ประดษิ ฐ์ วางหลกั การ ๖. การประเมนิ ความสามารถในการวนิ ิจฉยั วัดผล เปรยี บเทียบ ตีคา่ ลงความคิดเห็นวจิ ารณ์ คุณค่าของสง่ิ โดยมีหลักเกณฑ์ที่แนน่ อน ข) ดา้ นจิตพสิ ัย (Affective Domain) ด้านจิตพสิ ยั คือ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรทู้ ่ีเนน้ หนักในด้านความสนใจ เจตคติค่านิยม อารมณ์และความ ประทับใจซึ่งวัดได้โดยการสังเกต แต่บางเร่ืองก็ไม่สามารถสังเกตได้โดยตรงการระบุพฤติกรรมท่ีคาดหวังให้ ผ้เู รียนแสดงออก ต้องอาศัยการรวบรวมพฤตกิ รรมทช่ี ้ีถงึ ความรู้สึกเจตคติและค่านิยมของตนเองและผู้อ่ืน แล้ว นามาใชใ้ นการกาหนดเปน็ พฤตกิ รรมท่ีคาดหวงั ตามระดับการเรียนรู้ดา้ นจิตพสิ ยั แบง่ ไว้ ๕ ขั้น ตารางท่ี ๒.๒ แสดงระดบั พฤตกิ รรมและตัวอย่างคากรยิ าท่ีใช้ ระดับพฤตกิ รรม ตวั อยา่ งคากรยิ าท่ใี ช้ ระดับพฤติกรรม ตัวอย่างคากรยิ าทใ่ี ช้ ๑. การรบั รู้ การยอมรบั ความคดิ กระบวนการ เลอื ก ช้ี ตดิ ตาม ยอมรับ หรือส่งิ เรา้ ตา่ ง ๆ อภิปราย เลอื ก เขียนช่ือกากับ ๒. การตอบสนอง ความเต็มใจที่จะตอบสนองต่อสง่ิ ท่รี ับรู้ อภปิ ราย รเิ ริม่ เลือก แสวงหา ประพฤตติ าม นามาใช้ ๓. การเห็นคณุ ค่า ความรู้สึกนิยมพอใจในส่ิงใดสงิ่ จาแนก จดั ลาดับ จัดระเบียบ หน่งึ จนเกดิ การปฏบิ ัตติ ามส่ิงทีน่ ิยม ผสมผสาน ๔. การจัดระบบคา่ นยิ มการนาเอาคุณค่าต่างๆ ที่เกดิ สนบั สนนุ ตอ่ ตา้ น ใชเ้ หตผุ ล แสดง จากการเรยี นร้มู าผสมผสานและจัดระบบเขา้ ดว้ ย ออชักชวน กนั เพื่อเสริมสร้างระบบคณุ ค่าขึ้นภายในตนเอง ๕. การกาหนดคุณลักษณะการนาคา่ นยิ มที่ จดั ระบบแลว้ มาปฏิบัตจิ นเปน็ นิสยั เฉพาะตน ค. ดา้ นทกั ษะพิสัย (Psychomotor Domain) จุดประสงค์การเรียนรู้เก่ียวกับการพัฒนาทักษะทางกายเน้นหนักด้านการวางท่าทางให้ถูกต้อง และ เหมาะสมกับการปฏิบัติงานแต่ละชนิด สามารถระบุพฤติกรรมท่ีแสดงออก ได้จากการตีความทักษะหรือการ ปฏิบัติออกมาเป็นพฤติกรรม ซ่ึงสังเกตได้จากความถูกต้อง แม่นยา ความว่องไว คล่องแคล่ว และสม่าเสมอ พฤติกรรมตามระดบั การเรยี นรู้ด้านทักษะพสิ ัยแบ่งไว้ ๕ ข้นั ๑. ขั้นการเลยี นแบบ (Imitation) หมายถงึ พฤติกรรมทแ่ี สดงถึงการลอกเลียนแบบ หรอื การปฏบิ ตั ิ การตามแบบอย่างทีม่ ตี น้ แบบ ๒. ข้ันการปฏิบตั ิไดโ้ ดยลาพัง (Manipulation) หมายถึง พฤติกรรมทแ่ี สดงออกถึงการกระทาไดด้ ว้ ย ตนเองโดยลาพัง ๓. ขั้นการปฏิบัติไดถ้ ูกตอ้ งแม่นยา (Precision) หมายถงึ พฤติกรรมทแ่ี สดงออกถงึ การปฏบิ ัตกิ าร อยา่ งถูกต้องแมน่ ยา ซงึ่ ผ่านการฝกึ ฝนมาแลว้ ๔. ขั้นการปฏิบัติอยา่ งต่อเนื่องและผสมผสาน (Articulation) หมายถงึ พฤติกรรมท่ี ปฏิบตั งิ านหลาย ๆ ขนั้ ตอนได้อย่างต่อเน่อื งดว้ ยความถกู ตอ้ ง ๕. ขน้ั การปฏบิ ัตโิ ดยอตั โนมัติเป็นธรรมชาติ (Naturalization) หมายถึง พฤติกรรมท่ี แสดงออกอย่าง ชดั เจนถงึ ความชานาญ ความถกู ต้องและเท่ยี งตรง
การสอนธรรมวทิ ยา ๔๔ ง. ระดับของจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ในการกาหนดจุดประสงคก์ ารเรยี นรโู้ ดยทั่วไปจะแบ่งเปน็ ๒ ระดับคือ ๑. จุดประสงค์ทว่ั ไปหรือจุดประสงคป์ ลายทาง ๒. จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมหรือจุดประสงค์นาทาง หรือจุดประสงค์เฉพาะ จ. จุดประสงค์ท่ัวไป จุดประสงค์ท่ัวไปหรือจุดประสงค์ปลายทาง คือ จุดประสงค์ท่ีเป็นเป้าหมายสาคัญท่ีมุ่งหวังให้เกิด ขนึ้ กับผูเ้ รยี นในการเรียนรู้แตล่ ะเร่อื งหรอื แตล่ ะหน่วยการเรยี นรู้ ฉ. ลกั ษณะของจดุ ประสงค์ท่ัวไป มดี ังน้ี ๑. ตอบสนองพฤติกรรมสาคัญของจุดหมายหลักสูตร จุดประสงค์สาขาวิชามาตรฐานวิชาชีพ สาขาวชิ า/สาขางาน จดุ ประสงค์รายวิชาและมาตรฐานรายวชิ า ๒. สะท้อนคณุ ลักษณะท่ีพึงประสงค์ทีเ่ ป็นผลจากการเรยี นรู้ โดยครอบคลมุ ท้ังดา้ นความรคู้ วามคดิ ความสามารถในการปฏบิ ตั ิ เจตคติและกิจนสิ ัยท่พี ึงประสงค์ ๓. การเขียนจุดประสงค์ทั่วไปจะใช้คากิริยากว้างๆ โดยเขียนเป็นข้อ ๆแต่น้อยข้อครอบคลุมส่ิงท่ี ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนตามคาอธิบายรายวิชา เช่น เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจ ตระหนัก เห็นคุค่า สามารถ เปน็ ตน้ ๒๔ ช. จุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม พิมพนั ธ์ เดชะคปุ ต์๒๕ ได้กล่าวถึง จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม หรือจุดประสงค์นาทาง หรือจุดประสงค์ เฉพาะ คือ จุดประสงค์ท่ีวิเคราะห์ออกมาจากจุดประสงค์ท่ัวไป โดยกาหนดพฤติกรรมสาคัญท่ีคาดหวังให้เกิด กับผู้เรียนในการเรียนรู้แต่ละหน่วยการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้และลักษณะของจุดประสงค์เชิง พฤติกรรม มีดังนี้ ๑. สอดคล้องกับจุดประสงค์ท่ัวไปโดยแตกย่อยออกมาจากจุดประสงค์ทั่วไปและแสดงถึงรายการ พฤติกรรมคาดหวงั ท่จี ะทาให้การเรียนรู้บรรลุตามทก่ี าหนดไว้ในจดุ ประสงค์ทว่ั ไป ๒. แสดงถงึ การเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมของผู้เรียนหลังจบการเรยี นรูใ้ นเร่อื งหรือหนว่ ยการเรียนรูน้ ั้น ๆ ๓. การเขยี นจุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม ผูส้ อนควรพิจารณา ดังนี้ ๓.๑) ควรเขียนให้ครอบคลุมท้ังด้านพุทธิพิสัย ทักษะพิสัยและจิตพิสัยแต่การเขียน จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรมด้านจิตพิสัยน้ันอาจทาได้ยากเพราะผสู้ อนไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง ในกรณีน้ีถ้าไม่ สามารถเขียนเป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม อาจเขียนเป็นจุดประสงค์เฉพาะ เช่น ใช้คาว่า บอกคุณค่า บอก ประโยชน์เพ่ือสะทอ้ นให้เหน็ พฤตกิ รรมของผเู้ รียนว่ามคี วามตระหนกั หรือเหน็ ถงึ คุณค่าของสิ่งนัน้ ๆ ๒๔ พนติ เขม็ ทอง. วตั ถปุ ระสงคท์ างการศกึ ษา : การเขียนและการจาแนก ในเอกสารประกอบการฝึกอบรม หลกั สตู รกลยทุ ธก์ ารฝึกอบรมแนวใหม่ แนวคดิ สกู่ ารปฏิบตั .ิ (กรุงเพทมหานคร : สานักสง่ เสรมิ และฝกึ อบรม มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร,์ ๒๕๔๑),หนา้ ๔. ๒๕ พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว,์ ยินดีสุข. ทกั ษะ ๕ C เพอื่ การพัฒนาหนว่ ยการเรยี นรแู้ ละจัดการเรยี นการสอน แบบบูรณาการ. (กรุงเทพมหานคร :จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั ,๒๕๔๘),หนา้ ๑๑.
การสอนธรรมวิทยา ๔๕ ๓.๒) จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมต้องมีลักษณะชัดเจน รัดกุม ไม่คลุมเครือ เพื่อให้สามารถ เข้าใจได้ตรงกัน และสามารถสังเกตไดห้ รือวัดได้ ๓.๓) จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ีสมบูรณ์ประกอบด้วย ๓ องค์ประกอบคือ พฤติกรรมที่ คาดหวัง สถานการณ์/เง่ือนไขและเกณฑ์ อธิบายได้ดังน้ี พฤติกรรมท่ีคาดหวัง โดยแต่ละข้อจะต้องระบุ พฤติกรรมท่ีคาดหวังเพียง ๑ พฤติกรรมและควรพิจารณาเลือกคากริยาท่ีแสดงพฤติกรรมที่คาดหวังให้ถูกต้อง ตามระดับข้ันของพฤติกรรมการเรียนรู้ที่เกิดข้ึนกับผู้เรียน สังเกตได้ เช่น อ่าน เล่าเรื่อง อธิบาย บอก ช้ี หยิบ เลอื ก ตอบ สรุป ทาเขียน ฟงั ปฏบิ ัติ จับใจความ สถานการณ/์ เงอื่ นไข ที่ทาใหเ้ กิดพฤตกิ รรม ได้แก่ โอกาส หรือสภาพ ทาให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมออกมา เช่น เม่ือกาหนดข้อความให้ เมื่อฟังโฆษณาแล้ว หลังจากฟัง เพ่ือนเล่านิทานแล้ว อ่านในใจจากบทเรียนแล้ว และเกณฑ์หรือระดับความสามารถท่ีผู้เรียนแสดงออกมาขั้น ต่าสุดท่ีจะยอมรับได้ว่าผู้เรียนเกิดความรู้จริงนั่นคือ ผ่านหรือไม่ผ่านจุดประสงค์ เช่น ทาไดทุกข้อ อ่านได้ ถกู ต้อง เขยี นคาให้ได้ ชพี ออ่ นโคกสูง๒๖ ได้กลา่ วถึง วัตถปุ ระสงคใ์ ห้ผเู้ ข้ารบั การศึกษาเขา้ ใจแผนการสอนเพื่อนา ความรไู้ ป เป็นแนวทางในการเขยี นแผนการสอนต่อไปและกล่าวถึงวตั ถุประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม เมื่อศึกษาจบบทเรยี นผู้เข้า รบั การศึกษาแตล่ ะคนสามารถไวด้ ังน้ี ๑. อธบิ ายความสาคัญของแผนการสอนได้ถูกตอ้ ง ๒. อธบิ ายวธิ ีเขยี นแผนการสอนได้ถูกต้อง ๓. เขยี นแผนการสอนได้ถูกต้อง สรปุ ได้ว่าการเขยี นจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมจะเขียนเป็นข้อๆเรยี งตามลาดับพฤติกรรมทเี่ กิดก่อน จานวนขอ้ จะมากหรือน้อยกข็ ้ึนอย่กู บั จดุ ประสงคร์ ายวิชา มาตรฐานรายวชิ าและคาอธบิ ายรายวชิ า รวมทัง้ เวลาทีก่ าหนดในการจัดการเรียนร้แู ตล่ ะเร่อื ง หนว่ ยการเรียนรู้ ๒.๔.๔ ดา้ นการทาแผนการสอน การทางานใด ๆให้ประสบการความสาเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพน้ันผู้ดาเนินการจะต้องมีการ เตรยี มการเป็นอย่างดี เชน่ ในการสร้างอาคารจะต้องมีแบบแปลนมีการกาหนดกิจกรรมต่าง ๆ ในการก่อสร้าง และมกี ารตดิ ตามตรวจสอบให้เปน็ ไปตามแบบแปลนนั้น ๆ จึงจะได้อาคารท่ีน่าอยู่หรือเป็นไปตามวัตถุประสงค์ ของการใช้งาน หรือในการเดินทางไปสถานที่ต่าง ๆ ก็เช่นเดียวกัน การที่จะไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพไมเ่ กดิ การหลงทางหรอื มีการเดินทางที่วกวน ผ้เู ดินทางจะต้องมีการเตรียมการ และมีการกาหนด แผนการเดนิ ทางเปน็ อยา่ งดใี นการสอนหัวขอ้ ใดหัวข้อหน่ึงไม่ว่าจะเป็นการสอนหัวข้อในวิชาต่าง ๆ หรือการไป บรรยายเรือ่ งใดเรอื่ งหน่งึ ในการฝกึ อบรมก็ตาม การทีจ่ ะดาเนินการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพน้ัน ผู้สอนะต้อง มีการเตรียมการสอนไว้เป็นอย่างดี ซึ่งสิ่งท่ีผู้สอนจะต้องจัดเตรียมก่อนการสอนเรื่องใดเรื่องใดเร่ืองหน่ึงก็คือ แผนการสอนสาหรบั ใชส้ อนเรือ่ งนั้น ๆ นน่ั เอง แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่กาหนดให้ผู้สอนปฏิบัติตาม ข้ันตอนการจัดกิจกรรมซึ่งกาหนดรายละเอียดการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้ผู้สอน สามารถนาไปปฏบิ ตั ิไดอ้ ย่างเหมาะสม และมีประสิทธภิ าพในการจดั การเรยี นรู้ ๒๖ ชีพ อ่อนโคกสูง, การฝึกสอนแบบจุลภาค, (กรงุ เทพมหานคร : มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒบางเขน, ๒๕๕๒), หนา้ ๒๓.
การสอนธรรมวทิ ยา ๔๖ แผนการจดั การเรียนรู้ คือ ผลของการเตรียมการวางแผนจัดการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบโดยนา สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวังรายปีหรือรายภาคมาสร้างหน่วยการเรียนรู้ คาอธิบาย รายวชิ า และกระบวนการเรยี นรู้ โดยเขยี นเป็นแผนการจัดการเรยี นรู้ให้เป็นไปตามศกั ยภาพของผเู้ รียน๒๗ องค์ประกอบสาคัญในแผนการจัดการเรียนรู้ของแต่ละหน่วยการเรียนรู้ประกอบด้วยผลการเรียนรู้ ท่ีคาดหวังของผู้เรียน กิจกรรมสาระความรู้สื่อการเรียนรู้การวัดผลประเมินผลจานวนช่ัวโมงของการจัดการ เรียนการสอนและบนั ทึกผลการใชแ้ ผนการจดั การเรยี นรู้ สรุปทา้ ยบท การศึกษาเป็นรากฐานสาคัญ ในการสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้า และแก้ไขปัญหาต่างๆในสังคม และเป็นกระบวนการท่ีช่วยให้คนได้พัฒนาตนเองในด้านต่างๆให้มีศักยภาพ และขีดความสามารถในการ ดารงชีวิต และประกอบอาชีพได้อย่างมีความสุข รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง และเป็นพลังสร้างสรรค์ในการ พัฒนาประเทศอย่างย่ังยืนได้ ดังนั้นแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับท่ี ๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐ – ๒๕๔๔) จึงเน้น ให้คนเป็นศูนย์กลางหรือจุดหมายหลักของการพัฒนา โดยมุ่งให้ทุกคนมีการพัฒนาอย่างเต็มตามศักยภาพ ทั้งด้านสติปัญญา ร่างกายและจิตใจซึ่งจะเป็นพื้นฐานหลักในการสร้างครอบครัว ชุมชน และสังคมท่ีจะส่งผล ตอ่ การพัฒนาประเทศต่อไป การจัดการศึกษาของไทยในปัจจุบัน มีการต่ืนตัวและปรับขยายการศึกษา เพื่อให้ ทันกับความก้าวหน้าและความเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยี เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ขณะที่โครงสร้างต่างๆ กาลังเปล่ียนแปลงไปอย่างไม่หยุดน่ิง ความสามารถในการแก้ปัญหา จึงเป็นสิ่งจาเป็นสาหรับทุกคน เพราะปญั หาเป็นส่งิ ทีม่ นุษยจ์ ะตอ้ งพบและแก้ไข อีกท้ังต้องนาไปใช้ในชีวิตประจาวันท่ีเป็นสถานการณ์จริงการ พัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาจะช่วยให้นักเรียนแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม รวดเร็วและชาญ ฉลาด โดยอาศัยการสอนให้นักเรียนคิดเป็น แก้ปัญหา เป็นทั้งในสถาบันการศึกษาและในสังคม การศึกษา ค้นคว้าเพื่อคิดแก้ปัญหามีความสาคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตมาก เพราะการท่ีบุคคลจะอยู่รอด ในสังคม ปจั จุบันไดน้ ้นั ตอ้ งเป็นผ้มู คี วามคิดรู้จกั การแกป้ ัญหา ๒๗ สมบรู ณ์ อชั ชสวัสด์ิ และชชู พี อ่อนโคกสงู ,การฝกึ สอนแบบจลุ ภาค, (กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ท รวิโรฒบางเขน.๒๕๕๔),หนา้ ๔๔.
การสอนธรรมวิทยา ๔๗ คาถามท้ายบท
การสอนธรรมวทิ ยา ๔๘ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท กรมวชิ าการ, (๒๕๕๑), หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐานพุทธศกั ราช ๒๕๕๑ สานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน, กระทรวงศึกษาธกิ าร. .ใบความร้เู ร่ืองทฤษฎกี ารเรยี นรู้, โรงเรยี นบา้ นไทยสมบรู ณ์ (กรป.กลาง อทุ ิศ) สานกั งานเขต พนื้ ที่การศึกษาสุรินทร์ เขต ๓), คณะอนกุ รรมการปฏิรูปการเรยี นรู้,(๒๕๔๓),การปฏิรปู การเรยี นรผู้ เู้ รียนสาคญั ทส่ี มดลุ , (เอกสารอดั สาเนา). จีระพันธ์ พูลพัฒน์, (๒๕๓๒),การศกึ ษาหลกั สูตรประถมศึกษา. กรุงเทพมหานคร:คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. ชนาธปิ พรกลุ , (๒๕๔๔), แคทสร์ ูปแบบการจดั กระบวนการเรียนรู้ทีเ่ นน้ ผเู้ รยี นเปน็ ศนู ย์กลาง, กรงุ เทพมหานคร :โรงพิมพแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ชพี ออ่ นโคกสงู , (๒๕๕๒), การฝกึ สอนแบบจลุ ภาค,(กรงุ เทพมหานคร:มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒบางเขน. ธารง บัวศรี, (๒๕๓๒), ทฤษฎีหลกั สตู รการออกแบบและพัฒนา. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์ครุ สุ ภาลาดพรา้ ว. เปรอ่ื ง กิจรตั น์กร, (๒๕๔๓), เทคโนโลยีการศกึ ษาและอตุ สาหกรรม: หลักการและแนวทางปฏบิ ตั ิ.กรุงเทพฯ: โรงเรียนอบรมภาษาต่างประเทศ. พนิต เขม็ ทอง, (๒๕๔๑),วตั ถุประสงคท์ างการศึกษา : การเขียนและการจาแนก ในเอกสารประกอบการ ฝกึ อบรมหลกั สูตรกลยุทธก์ ารฝึกอบรมแนวใหม่ แนวคิดสกู่ ารปฏบิ ตั .ิ (กรุงเพทมหานคร : สานัก สง่ เสริมและฝกึ อบรม มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. พระครธู รรมศาสนโฆสติ , (๒๕๔๗), “ปญั หาด้านการจัดการเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนาตามหลักสตู ร การศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๔๔ ของครรู ะดบั มัธยมศึกษาตอนต้น สังกัดกรมสามัญ ศึกษาอาเภอสะเดา จงั หวดั สงขลา” ปรญิ ญาพทุ ธศาสตรมหาบณั ฑิต, สาขาวิชาพระพุทธศาสนา บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. พระอาจารย์ฌอน ชยสาโร, บ่มเพาะพุทธปัญญานาสมัย, โรงเรียนปญั ญาประทีปโรงเรียนประจาสหศกึ ษา อาเภอปากชอ่ ง จังหวดั นครราชสมี า. พิมพนั ธ์ เดชะคปุ ต์ และพเยาว์, ยินดสี ุข, (๒๕๔๘),ทักษะ ๕ C เพ่ือการพัฒนาหน่วยการเรียนรู้และจดั การ เรียนการสอนแบบบูรณาการ. กรุงเทพมหานคร :จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. เภาวนิ ี เสาะสบื , เคลด็ (ไม)่ ลับการเรียนรู้ตามสภาพจริง, จดั การเรยี นการสอนหลกั สูตรพยาบาลศาสตร บัณฑติ , ในสถาบนั การศึกษาสงั กัดสถาบนั พระบรมราชชนก, (๒๒ ต.ค.๕๕). มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , (๒๕๔๗), โรงเรยี นวถิ พี ุทธ, กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. ราชบณั ฑติ ยสถาน, (๒๕๔๖), พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, กรงุ เทพมหานคร : นาม มบี คุ๊ พบั ลเิ คชัน่ ส์.
การสอนธรรมวทิ ยา ๔๙ สมบูรณ์ อัชชสวสั ด์ิ และชชู พี อ่อนโคกสูง, (๒๕๕๔),การฝึกสอนแบบจลุ ภาค, กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒบางเขน. สานกั งานพฒั นาคุณภาพคณะวศิ วกรรมศาสตร์,กจิ กรรม ๕ ส,มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์,(๒๓ ต.ค.๕๕). สานกั สง่ เสรมิ และนนั ทนาการ, (Bureauof Recreation Development and Promotion), กระทรวงการท่องเท่ยี วและกีฬา สนามกีฬาแห่งชาติ, (ขอ้ มูลเม่อื ๒๕ ต.ค.๕๕).
บทที่ ๓ การออกแบบกิจกรรม วัตถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรปู้ ระจาบท เมอื่ ไดศ้ กึ ษาเนอื้ หาในบทนแี้ ลว้ ผู้เรียนสามารถ ๑. อธิบายรูปแบบการสอนได้ ๒. อธิบายลกั ษณะการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ ๓. อธิบายแนวคิดการจดั กิจกรรมได้ ๔. อธิบายแนวทางการจดั กจิ กรรมได้ ๕. อธิบายการวัดผลและประเมินผลได้ ๖. อธิบายแนวทางการจัดการเรียนรู้พระพทุ ธศาสนาได้ ขอบขา่ ยเนื้อหา รปู แบบการสอน ลักษณะการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน แนวคิดการจัดกิจกรรม แนวทางการจัดกิจกรรม การวัดผลและประเมินผล แนวทางการจดั การเรียนรู้พระพุทธศาสนา
การสอนธรรมวทิ ยา ๔๙ ๓.๑ ความนา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้หน้าท่ีพลเมืองให้บรรลุเปูาหมายตามจุดเน้นทั้ง ๕ คือ ด้านคุณภาพผู้เรียน ด้านการจัดการศึกษา ด้านการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ด้านอัตลักษณ์ของสถานศึกษา และด้านมาตรการ ส่งเสริมนั้น เพื่อให้เยาวชน มีคุณลักษณะที่ดีของคนไทย เห็นคุณค่าความสาคัญและมีส่วนร่วมมือ ในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมและประเพณีไทย เห็นคุณค่าและแสดงออกถึงความรักชาติ ยึดม่ันในศาสนา และเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นพลเมืองดีในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยการดาเนินชีวิตตามวิถีประชาธิปไตย มีส่วนร่วมทางการเมืองการ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความปรองดอง สมานฉันท์ สามารถ อยู่ร่วมกันในสงั คมแห่งความหลากหลาย มีการจัดการความขัดแย้งและสันติวิธี ตลอดทั้งเป็นผู้มีวินัยในตนเอง ด้วยการประพฤติตนเป็นคนซ่ือสัตย์สุจริต ขยันหม่ันเพียร อดทน ใฝุหาความรู้ ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่และยอมรับ ผลที่เกดิ จากการกระทาของตนเอง การจัดการเรียนรู้ให้บรรลุเปูาหมายดังกล่าวนั้น ผู้สอนจะต้องใช้กระบวนการเทคนิค วิธีสอน ท่ีมีข้ันตอนเน้นสู่การปฏิบัติจริง อีกทั้งยังต้องใช้กระบวนการคิดที่หลากหลายในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อีก ด้วยทั้งน้ี ในการจัดการเรียนการสอนในแต่ละระดับชั้นจะมีผลการเรียนรู้ท่ีกาหนดไว้อย่างชัดเจน ที่จะนาพา ผู้เรียนบรรลุตามเปูาหมายที่กาหนด ดังนั้น ผู้สอนจึงควรแสวงหาและเลือกใช้ กระบวนการ เทคนิค วิธีสอน อย่างเหมาะสม ซึ่งตัวอย่างกระบวนการ วิธีสอน วิธีคิดท่ีนาเสนอน้ีเป็นเพียงส่วนหน่ึงท่ีสามารถนาไปใช้ ในการจดั การเรียนรู้ได้ ๓.๒ รูปแบบการสอน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญหมายถึง การจัดกิจกรรมโดยวิธีต่างๆ อย่าง หลากหลายที่มุ่งให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้อย่างแท้จริงเกิดการพัฒนาตนและส่ังสมคุณลักษณะท่ีจาเป็นสาหรับ การเป็นสมาชิกท่ีดีของสังคมของประเทศชาติต่อไป การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีมุ่งพัฒนาผู้เรียน จึงต้องใช้เทคนิควิธีการเรียนรู้รูปแบบการสอนหรือกระบวนการเรียนการสอนในหลากหลายวิธีซ่ึ งจาแนกได้ ดงั นี้๑ ๑. การจัดการเรียนการสอนทางอ้อม ได้แก่ การเรียนรู้แบบสืบค้น แบบค้นพบแบบแก้ปัญหาแบบ สรา้ งแผนผังความคดิ แบบใชก้ รณศี ึกษาแบบต้ังคาถามแบบใช้การตดั สินใจ ๒. เทคนิคการศึกษาเป็นรายบุคคล ได้แก่ วิธีการเรียนแบบศูนย์การเรียนแบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง แบบชดุ กิจกรรมดารเรียนรู้ คอมพิวเตอรช์ ่วยสอน ๓. เทคนิคการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีต่างๆ ประกอบการเรียน เช่นการใช้ส่ิงพิมพ์ ตาราเรียน และแบบฝึกหัดการใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน ศูนย์การเรียนชุดการสอน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน บทเรียน สาเรจ็ รูป ๑ คณะอนกุ รรมการปฏิรูปการเรียนรู้, (รา่ ง) การปฏิรปู การเรยี นรู้ ผู้เรียนสาคัญทส่ี ุด, (เอกสารอดั สาเนา,๒๕๔๓), หน้า ๓๖-๓๗.
การสอนธรรมวทิ ยา ๕๐ ๔. เทคนิคการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นปฏิสัมพันธ์ ประกอบด้วย การโต้วาทีกลุ่ม Buzz การอภิปราย การระดมพลังสมอง กลุ่มแกปัญหา กล่มุ ตวิ การประชมุ ตา่ งๆ การแสดงบทบาทสมมติ กลุ่มสืบค้น คคู่ ิดการฝกึ ปฏิบัติ เปน็ ตน้ ๕. เทคนิคการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นประสบการณ์ เช่น การจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม เกม กรณีตัวอยา่ งสถานการณ์จาลองละคร เกม กรณีตวั อยา่ งสถานการณจ์ าลอง ละคร บทบาทสมมติ ๖. เทคนิคการเรียนแบบร่วมมือ ได้แก่ ปริศนาความคิดร่วมมือแข่งขันหรือกลุ่มสืบค้น กลุ่มเรียนรู้ รว่ มกนั รว่ มกนั คิด กลมุ่ รว่ มมือ ๗. เทคนิคการเรียนการสอนแบบบูรณาการ ได้แก่ การเรียนการสอนแบบใช้เล่าเร่ือง (Story line) และการเรยี นการสอนแบบ แก้ปญั หา (Problem-Solving) ๓.๓ ลักษณะการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เป็นกิจกรรมท่ีจัดอย่างเป็นกระบวนการ ด้วยรูปแบบวิธีการท่ีหลากหลาย ในการพัฒนาผู้เรียนท้ังด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์และสังคม มุ่งเสริมเจตคติ คุณค่าชีวิต ปลูกฝัง คุณธรรมและค่านิยมท่ีพึงประสงค์ ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักและเข้าใจตนเอง สร้างจิตสานึกในธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม ปรับตัวและปฏิบัติตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ประเทศชาติและดารงชีวิตได้อย่างมีความสุข ลกั ษณะของการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนไดด้ ังนี้๒ ๑. Active Learning เปน็ กิจกรรมที่ผ้เู รยี นเป็นผกู้ ระทาหรือปฏิบตั ิด้วยตนเองด้วยความ กระตือรือร้น เชน่ ไดค้ ดิ ค้นควา้ ทดลองรายงาน ทาโครงการ สัมภาษณ์แกป้ ญั หา ฯลฯ ได้ใช้ ประสาทสมั ผสั ต่างๆ ทาให้เกิด การเรียนรดู้ ้วยตนเองอย่างแท้จรงิ ผูส้ อนทาหนา้ ทีเ่ ตรียมการจัด บรรยากาศการเรยี นรู้ จัดสอื่ สงิ่ เรา้ เสรมิ แรงให้ คาปรึกษาและสรุปสาระการเรยี นรู้ร่วมกนั ๒. Construct เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนได้ค้นพบสาระสาคัญหรือองค์การความรู้ใหม่ด้วยตนเอง อันเกิด จากการไดศ้ ึกษาค้นควา้ ทดลอง แลกเปล่ยี นเรียนรู้และลงมือปฏิบัติจริง ทาให้ ผู้เรียนรักการอ่าน รักการศึกษา ค้นควา้ เกิดทักษะในการแสวงหาความรู้เห็นความสาคัญของการเรียนรู้ ซ่ึงนาไปสู่การเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ (Learning Man) ทพ่ี ึงประสงค์ ๓. Resource เปน็ กิจกรรมที่ผู้เรียนได้เรยี นรจู้ ากแหลง่ เรยี นรทู้ ่ีหลากหลายทั้งบุคคลและ เคร่ืองมือทั้ง ในห้องเรียน และนอกห้องเรียน ผู้เรียนได้สัมผัสและสัมพันธ์ กับสิ่งแวดล้อมท้ังท่ี เป็นมนุษย์ (เช่น ชุมชน ครอบครัว องค์กรต่างๆ) ธรรมชาติและเทคโนโลยีตามหลักการที่ว่า\"การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกท่ีทุกเวลาและทุก สถานการณ)์ \" ๔. Thinking เปน็ กจิ กรรมทสี่ ่งเสรมิ กระบวนการคดิ ผเู้ รียนไดฝ้ ึกวธิ ีคดิ ในหลายลกั ษณะ เช่น คิดคล่อง คดิ หลากหลาย คิดละเอียด คิดชดั เจน คิดถกู ทางคดิ กวา้ งคิดลึกซึ้ง คิดไกล คดิ อยา่ งมเี หตผุ ล เป็นต้น การฝกึ ให้ผเู้ รียนไดค้ ดิ อยเู่ สมอในลักษณะตา่ งๆ จะทาให้ผู้เรียนเป็นคนคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น คิดอย่าง รอบคอบมเี หตผุ ล มีวิจารณญาณ ในการคิด มีความคดิ สรา้ งสรรค์ มคี วามสามารถในการคิดวิเคราะห์ท่ีจะเลือก ๒ ทศิ นา แขมมณี และคณะ, การพัฒนากระบวนการคดิ , เอกสารประกอบการอบรมเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร เรอื่ งการพัฒนา รปู แบบ การสอนที่เนน้ กระบวนการคิดตามแนวปฏริ ปู กระบวนการเรียนรู้, (นครปฐม : ศนู ย์ศกึ ษาพฒั นาครู คณะครศุ าสตร์ สถาบันราชภฏั นครปฐม, ๒๕๔๓), หนา้ ๔๕-๔๙.
การสอนธรรมวทิ ยา ๕๑ รับและปฏเิ สธข้อมูลข่าวสารตา่ งๆ ได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนสามารถแสดงความคิด เห็นออกได้อย่างชัดเจน และมเี หตุผลอันเปน็ ประโยชน์ตอ่ การดารงชีวติ ประจาวัน ๕. Happiness เป็นกิจกรรมท่ีผู้เรียนได้เรียนอย่างมีความสุข เป็นความสุขที่เกิดจากประการท่ีหนึ่ง ผูเ้ รียนได้เรียนในส่งิ ทตี่ นสนใจสาระการเรียนรู้ ชวนให้สนใจใฝุค้นคว้าศึกษาท้าทาย ให้แสดงความสามารถและ ใหใ้ ชศ้ กั ยภาพของตนอยา่ งเตม็ ทีป่ ระการทีส่ องปฏสิ มั พันธ์ (Interaction) ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนและระหว่าง ผู้เรียนกับผู้เรียน มีลักษณะเป็นกัลยาณมิตร มีการช่วยเหลือ เก้ือกูลซึ่งกันและกัน มีกิจกรรมร่วมด้วยช่วยกัน ทาใหผ้ ู้เรยี นรู้สึกมคี วามสขุ และสนุกกบั การเรียน ๖. Participation เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการวางแผนกาหนดงานวางเปูาหมายร่วมกัน และมีโอกาสเลือกทางานหรือศึกษาค้นคว้าในเรื่องที่ตรงกับความถนัดความสามารถ ความสนใจของตนเอง ทาให้ผู้เรียนเรียนด้วยความกระตือรือร้นมองเห็นคุณค่าของสิ่งท่ีเรียนและสามารถ ประยุกต์ความรู้นาไปใ ช้ ประโยชน์ในชีวติ จริง ๗. Individualization เป็นกิจกรรมที่ผู้สอนให้ความสาคัญแก่ผู้เรียนในความเป็นเอกัตบุคคล ผู้สอน ยอมรบั ในความสามารถ ความคิดเห็น ความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน มุ่งให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองให้ เต็ ม ศั กย ภ า พม า ก กว่ า เ ป รีย บ เ ทีย บ แ ข่ง ขั น ร ะห ว่ า งกั น โ ดย มี ค ว าม เ ชื่ อม่ั น ผู้ เรี ย น ทุ กค น มี คว า ม สา ม า ร ถ ในการเรียนรไู้ ด้ และมีวิธกี ารเรยี นรทู้ ่แี ตกตา่ งกนั ๘. Good Habit เป็นกิจกรรมท่ีผู้เรียนไดพัฒนาคุณลักษณะนิสัยท่ีดีงาม เช่น ความรับผิดชอบ ความเมตตา กรณุ า ความมีนา้ ใจ ความขยัน ความมรี ะเบยี บวินัย ความเสียสละและลักษณะนิสัยในการทางาน อย่างเปน็ กระบวนการการทางานร่วมกบั ผู้อนื่ การยอมรับผู้อ่นื และการเห็นคณุ ค่าของงาน เปน็ ต้น กล่าวโดยสรุป การจัดกจิ กรรมที่เนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาคญั เป็นกจิ กรรมทผ่ี ู้เรยี นได้รับประโยชนส์ ูงสดุ จาก การเรียนได้พฒั นาเตม็ ตามศักยภาพ ได้ประยุกต์ความร้ไู ปใช้ประโยชน์ในชวี ิตไดม้ คี วามสุขและสนกุ กับการ เรียนร้ตู ลอดจนมคี ุณลักษณะนสิ ัยดงี ามทส่ี ังคมพึงปรารถนา ๓.๔ แนวคดิ การจดั กิจกรรม อีริคเจนเซน (Jensen)๓ ได้กล่าวถึงการสนับสนุนแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ท่ีใช้สมองเป็นหลัก (Brain–Based Learning) โดยเสนอข้อเท็จจริงว่า การเรียนรู้ที่ดีที่สุดจะเกิดข้ึนเป็นลาดับที่อาจคาดหมายได้ ลาดับดังกล่าวแบ่งออกได้ ๕ ขน้ั ตอน ดังนี้ ๑. ขัน้ เตรียมการ (Preparation Stage) ในขั้นน้ี คือ การเตรยี มกรอบงานเพอ่ื การเรยี นรใู้ หม่ และเรมิ่ ใช้สมองของผูเ้ รยี นเกิดการทางานอย่างต่อเนื่อง ในข้ันน้ีกระบวนการเรียนการสอน มักจะเน้นการทบทวนเร่ือง การนาเสนอเปน็ ภาพ หรอื เรื่องราวทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง หากผูเ้ รียนมีความรเู้ ดิมมาก่อนทจี่ ะทาให้การเรียนรเู้ รว็ ขนึ้ เช่น การฟงั เรื่องตลกอาจไม่ขาเลย หากไม่รเู้ รื่องเดมิ มาก่อน ๒. ขั้นรับรู้ (Acquisition Stage) นิวรอนส์ของประสาทจะทางานเช่ือมโยงกันแหล่งข้อมูลในการรับรู้ ได้แก่ การอภปิ ราย การบรรยาย การใช้เคร่ืองมือทางการเห็น การให้ส่ิงเร้าจากส่ิงแวดล้อม ประสบการณ์จาก การลงมือปฏบิ ตั ิ การแสดงบทบาทตวั อยา่ งการอ่าน การทาโครงการกลมุ่ การทากิจกรรมคู่ ฯลฯ ดังนั้น การให้ ผู้เรียนเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างได้ ก็ควรให้เขาได้พูดได้ปฏิบัติ เนื่องจากสมองจะซึมซับข้อมูลหรือข้อเท็จจริง ๓ อรี คิ เจนเซน,Jensen,Eric, Brain-Based Learning, San Diego: The Brain Store Publishing, 2000,P 33- 38.
การสอนธรรมวิทยา ๕๒ ทีเ่ ป็นสว่ นเล็ก ๆ มาประสานตอ่ กนั ได้ การใหร้ ปู แบบและประสบการณ์จะทาให้สมองของผู้เรียนรับรู้ได้มากขึ้น จนกระท่ังจับข้อมูลสาคัญได้ สมองอาจจะสร้างเง่ือนไข และการรับกฎเกณฑ์โดยรวม ซึ่งผู้เรียนอาจปรับได้ บ่อยครั้งที่มักพบว่าทั้งในชั้นเรียนหรือในโรงเรียนสิ่งท่ีครูสอนอาจไม่ใช่สิ่งท่ีนักเรียนเรียนรู้ ดังน้ันในการเรียน การสอนจึงต้องให้สมองของผู้เรียนรับรู้และให้นักเรียนได้ประสบการณ์ต่างๆ จากการเรียนรู้เอง สัดส่วนของ เวลาท่ีผู้เรียนไดป้ ฏบิ ตั แิ ละพดู ควรมมี ากกว่าการน่งั และการฟงั ครูส่วนใหญม่ กั จดั เวลาสาหรับผู้เรียนน้อยมาก ในการปฏิบัติการทดลอง การอภิปราย การทบทวนความรู้ และผลที่ได้รับก็คือต้องมาสอนกันใหม่ มาตรฐาน การศึกษาต้องการให้ผู้เรียนมีความเข้าใจท่ีลึกซึ้งมากข้ึน มีการคิดวิเคราะห์ และขยายเนื้อหาสาระที่เรียน แต่ ในทางตรงกันข้าม ครูกลับไม่ขยายกรอบเวลาให้นกั เรยี นไดเ้ รียนรทู้ กี่ ว้างข้ึน ๓. ข้ันขยายรายละเอียดเพ่ิมเติม (Elaboration Stage) ช่องว่างสาคัญในการเรียนการสอน คือ ช่องว่างระหว่างส่ิงท่ีครูอธิบาย กับส่ิงท่ีนักเรียนเข้าใจ การลดช่องว่างนี้ครูจาเป็นต้องให้นักเรียนมีส่วนร่วม ในการเข้าใจส่ิงที่เรียนได้ลึกซ้ึงข้ึน และได้ข้อมูลย้อนกลับด้วยกลวิธีให้ความหมายโดยนัย หรืออย่างแจ่มแจ้ง (Explicit) ครูใหก้ ารแก้ไขควบคู่กับการสอน โดยหลักการของการคิดอย่างมีวิจารญาณ การขยายความโดยนัย หรืออย่างแจ่มแจ้ง เป็นเรื่องสาคัญในข้ันตอนน้ี กลวิธีท่ีให้ความหมายอย่างแจ่มแจ้ง ได้แก่ การให้ คาเฉลย การตรวจสอบ การย่อความหรือสรุปความ การให้ข้อมูล สาหรับการให้ความหมายโดยนัย ได้แก่ การเล่น บทบาทสมมุติ การไปศึกษานอกสถานท่ี การใช้ประสบการณ์ในชีวิตจริง การขยายรายละเอียดเพิ่มเติมในส่ิง ที่เรียนรู้ จะช่วยให้สมองมีโอกาสได้จัด วิเคราะห์ ตรวจสอบและเรียนรู้ได้ลึกซึ้งข้ึน การทางานของระบบ ประสาทจะพัฒนาได้โดยการลองผิดลองถูก ยิ่งมีการทดลองฝึกปฏิบัติและได้ข้อมูลย้อนกลับมากข้ึนเท่าใด คุณภาพในการทางานของสมองก็จะย่ิงดีข้ึนเท่าน้ัน การเรียนโดยการท่องจาอาจจะช่วยให้สามารถทาคะแนน ในการสอบได้ แต่อาจจะไมท่ าใหส้ ามารถคิดในระดบั สูงได้ดังนัน้ นกั เรยี นจึงควรไดข้ อ้ มูลยอ้ นกลับในการเรียนรู้ ให้มากอย่างพอเพียง การเรียนรู้ส่ิงอื่น ๆ ก็จะตามมาได้เอง ประโยชน์ที่นักเรียนจะได้รับก็คือ การมีโอกาสได้ ทบทวนและประเมินงานของตัวเองและของผู้อื่น พร้อมทั้งได้ข้อมูลย้อนกลับที่เป็นเรื่องเป็นราวด้วยวิธีการท่ีมี ประสทิ ธิภาพ ๔. ข้ันสรา้ งความทรงจา(Memory Formation Stage) จะมีการให้กระบวนการขยายรายละเอยี ด ใน การเรยี นรู้เพม่ิ เติม โดยให้ผเู้ รียนมโี อกาสได้ทดลอง หรอื มีปฏิสมั พันธ์ในการเรียนการสอน การทรงจา ก็อาจดี หรือไมด่ ีได้ ขึน้ อยกู่ ับความสามารถในการเกบ็ กกั ความทรงจาน้ัน ๆ ของแตล่ ะบคุ คล ซ่งึ มีองคป์ ระกอบหลาย ประการด้วยกันเชน่ การพักผอ่ นท่เี พยี งพอ ระดับของอารมณ์ บรบิ ท อาหาร คุณภาพและปริมาณของการ เช่ือมโยงระดับของสมอง สภาวะของผ้เู รียน ความร้เู ดิม ฯลฯ การพักผอ่ นอย่างพอเพียงจะชว่ ยใหส้ มองทางาน ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในการรวบรวมข้อมูล อาหารท่ดี ีมปี ระโยชนก์ ็สามารถทาใหร้ ่างกายได้รบั สาร ทช่ี ว่ ยให้การทรงจาทด่ี ีได้ ๕. ข้นั บรู ณาการเพอื่ นาไปใช้ (Functional Integration Stage) ในขั้นนี้ ผู้เรียนจะสามารถระลึกสิ่งที่ เรียนรู้ และนาไปใช้ได้ขั้นตอนท่ีถือว่าสาคัญท่ีสุด คือ ข้ันตอนท่ี ๒, ๓ และ ๔ ซึ่งผู้สอนต้องตระหนักเพ่ือให้ นกั เรียนเกดิ การเรียนรู้อันเปน็ ปจั จัยสาคัญท่ีจะให้ผ้เู รียนแสดงพฤตกิ รรมการเรียนรู้ได้ตามท่ีคาดหวังโดยเฉพาะ การมีส่วนรว่ มในการเรียนการสอน โดยการพดู และการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม ๓.๕ แนวทางการจัดกจิ กรรม
การสอนธรรมวิทยา ๕๓ กิจกรรมพฒั นาผเู้ รียนตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ มุ่งให้ผู้เรียนได้ พัฒนาตนเองตามศกั ยภาพ พฒั นาอย่างรอบดา้ นเพ่ือความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม เสริมสร้างให้เป็นผู้มีศีลธรรม จริยธรรม มีระเบียบวินัย ปลูกฝังและสร้างจิตสานึกของการทา ประโยชน์เพื่อสังคม สามารถจัดการตนเองได้ และอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ม่งุ พฒั นาผ้เู รียนใหใ้ ช้องค์ความรู้ ทักษะและเจตคติ จากการเรียนรู้ ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ และประสบการณ์ ของผู้เรียนมาปฏิบัติกิจกรรมเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสาคัญ อันได้แก่ ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และความสามารถ ในการใช้เทคโนโลยีซงึ่ จะสง่ ผลในการพัฒนาผ้เู รยี น ใหม้ คี ุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ มที ักษะการทางานและอยู่ ร่วมกับผู้อ่ืนในสังคมได้อย่างมีความสุขในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก อันได้แก่ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซ่ือสัตย์สุจริต มีวินัย ใฝุเรียนรู้ อยู่อย่างพอเพียง มุ่งม่ันในการทางานรักความเป็นไทยและมีจิตสาธารณะ กิจกรรมพฒั นาผู้เรยี นใหก้ บั นกั เรยี นประกอบดว้ ยกจิ กรรม ๓ ลกั ษณะ ดังนี้๔ ๑) กิจกรรมแนะแนว เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาผู้เรียน ให้รู้จักตนเองรู้รักษ์ส่ิงแวดล้อม สามารถคดิ ตดั สินใจ คิดแกป้ ญั หา กาหนดเปาู หมาย วางแผนชวี ติ ท้งั ดา้ นการเรยี น และอาชพี สามารถปรับตน ไดอ้ ย่างเหมาะสม นอกจากนย้ี งั ช่วยใหค้ รูรจู้ กั และเขา้ ใจผเู้ รยี น ท้งั ยังเป็นกิจกรรมท่ีช่วยเหลือและให้คาปรึกษา แกผ่ ้ปู กครองในการมีสว่ นรว่ มพัฒนาผู้เรยี น จัดให้เรียน ๑ คาบ/สัปดาห์ ๒) กิจกรรมนักเรียนเป็นกิจกรรมที่มุ่งพัฒนาความมีระเบียบวินัย ความเป็นผู้นา ผู้ตามที่ดีมีความ รับผิดชอบ การทางานร่วมกัน การรู้จักแก้ปัญหา การตัดสินใจท่ีเหมาะสม ความมีเหตุผล การช่วยเหลือ แบ่งปันเอ้ืออาทรและสมานฉันท์ โดยจัดให้สอดคล้องกับความสามารถ ความถนัด และความสนใจของผู้เรียน ใหไ้ ดป้ ฏบิ ตั ดิ ้วยตนเองในทกุ ขั้นตอน ได้แก่ การศึกษาวเิ คราะห์ วางแผน ปฏิบตั ติ ามแผน ประเมินและปรับปรุง การทางาน เน้นการทางานร่วมกันเป็นกลุ่มตามความเหมาะสมและสอดคล้องกับวุฒิภาวะของผู้เรียนและ บริบทของโรงเรียนและท้องถ่ิน กจิ กรรมนักเรยี นประกอบด้วย ๓) กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์เป็นกิจกรรมท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนบาเพ็ญตนให้เป็น ประโยชน์ต่อสังคม ชุมชนและท้องถิ่นตามความสนใจในลักษณะอาสาสมัคร เพื่อแสดงถึงความรับผิดชอบ ความดงี าม ความเสยี สละตอ่ สังคมและการมจี ติ สาธารณะ เช่น กิจกรรมอาสาพัฒนาต่างๆ กิจกรรมสร้างสรรค์ สังคมกิจกรรมบาเพ็ญประโยชน์ กจิ กรรมวันสาคญั ตา่ งๆโรงเรียนจัดเวลาใหน้ ักเรยี นไดป้ ฏิบตั ิกิจกรรม ๓.๕.๑ บรรยากาศกจิ กรรมการเรียนการสอน องค์ประกอบด้าน “การจัดการเรียนรู้” นับว่าเป็นองค์ประกอบหลักที่แสดงถึงการเรียนรู้ อย่างเป็นรูปธรรม ประกอบด้วย ความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายที่แท้จริงของการเรียนรู้ บทบาทของครู และบทบาทของผ้เู รียนการจดั การเรยี นการสอนโดยใหผ้ ูเ้ รียนเป็นสาคัญ จะทาไดส้ าเร็จเม่อื ผ้ทู ี่เก่ียวข้องกับการ จัดการเรียนการสอน ได้แก่ ครู และผเู้ รยี น มีความเข้าใจตรงกันเกีย่ วกับความหมายของการเรยี นร้ไู ว้ดงั น้ี๕ ๑. การเรียนรู้เป็นงานเฉพาะบุคคล ทาแทนกันไม่ได้ ครูท่ีต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ต้องเปิด โอกาสให้เขาได้มปี ระสบการณก์ ารเรยี นรดู้ ว้ ยตวั ของเขาเอง ๒. การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสติปัญญาท่ีต้องมีการใช้กระบวนการคิดสร้างความเข้าใจ ความหมายของสงิ่ ตา่ งๆ ดังนัน้ ครจู ึงควรกระตนุ้ ให้ผเู้ รียนใช้กระบวนการคิดทาความเข้าใจสง่ิ ต่างๆ ๔ กรมวิชาการ, หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐานพุทธศกั ราช ๒๕๕๑, ๕ ทศิ นา แขมมณ,ี การเรียนการสอนทีเ่ น้นผเู้ รียนเป็นสาคัญ : แนวคดิ วิธีและเทคนคิ การสอน, พมิ พ์ครั้งที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร: สานกั พิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย, ๒๕๔๔), หน้า ๕๗.
การสอนธรรมวิทยา ๕๔ ๓. การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสังคมเพราะในเรื่องเดียวกันอาจคิดได้หลายแง่หลายมุมทาให้เกิด การขยายเติมเต็มข้อความรู้ ตรวจสอบความถูกต้องของการเรียนรู้ตามที่สังคมยอมรับด้วย ดังน้ัน ครูที่ปรารถนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคลอ่ืนหรือ แหลง่ ขอ้ มลู อนื่ ๆ ๔. การเรียนรู้เป็นกิจกรรมท่ีสนุกสนาน เป็นความรู้สึกเบิกบาน เพราะหลุดพ้นจากความไม่รู้นาไปสู่ ความใฝุรู้อยากรู้อีก เพราะเป็นเรื่องน่าสนุก ครูจึงควรสร้างภาวะท่ีกระตุ้นให้เกิดความอยากรู้หรือคับข้องใจ บ้างผู้เรียนจะหาคาตอบเพื่อให้หลุดพ้นจากความข้องใจและเกิดความสุขข้ึนจากการได้เรียนรู้เม่ือพบคาตอบ ด้วยตนเอง ๕. การเรยี นรเู้ ปน็ งานต่อเน่ืองตลอดชวี ติ ขยายพรมแดนความรู้ไดไ้ ม่มีท่ีส้ินสุดครจู งึ ควรสรา้ งกิจกรรมที่ กระตุ้นให้เกิดการแสวงหาความรู้ไมร่ ู้จบ ๖.การเรียนรู้เป็นการเปล่ียนแปลงเพราะได้รู้มากขึ้นทาให้เกิดการนาความรู้ไปใช้ในการเปลี่ยนแปลง สง่ิ ตา่ งๆ เปน็ การพัฒนาไปสู่การเปลยี่ นแปลงที่ดีข้ึน ครคู วรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รับรู้ผลการพัฒนาของตัวเขา เองด้วยจากความหมายของการเรียนรู้ที่กล่าวมา ครูจึงต้องคานึงถึงประเด็นต่างๆ ในการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน ดังนี้๖ ๑) ความแตกต่างระหวา่ งบุคคลของผู้เรียน ๒) การเนน้ ความต้องการของผู้เรียนเปน็ หลกั ๓) การพฒั นาคุณภาพชวี ติ ของผเู้ รียน ๔) การจดั กิจกรรมใหน้ ่าสนใจ ไมท่ าใหผ้ ูเ้ รยี นรู้สึกเบือ่ หนา่ ย ๕) ความเมตตากรุณาต่อผู้เรยี น ๖) การท้าทายให้ผู้เรยี นอยากรู้ ๗) การตระหนักถึงเวลาที่เหมาะสมท่ผี ูเ้ รียนจะเกิดการเรยี นรู้ ๘) การสร้างบรรยากาศหรอื สถานการณ์ให้ผู้เรยี นไดเ้ รียนรูโ้ ดยการปฏบิ ตั จิ รงิ ๙) การสนบั สนนุ และสง่ เสรมิ การเรียนรู้ ๑๐) การมจี ุดม่งุ หมายของการสอน ๑๑) ความเข้าใจผู้เรยี น ๑๒) ภมู ิหลังของผเู้ รียน ๑๓) การไม่ยึดวิธกี ารใดวธิ กี ารหน่ึงเทา่ น้ัน ๑๔) การเรยี นการสอนทด่ี ีเป็นพลวัตร (dynamic) กล่าวคือ มกี ารเคลอ่ื นไหวเปลีย่ นแปลงอยู่ ตลอดเวลาทัง้ ในดา้ นการจัดกิจกรรม การสรา้ งบรรยากาศ รูปแบบเนื้อหาสาระ เทคนิค วธิ กี าร ๑๕) การสอนในสิง่ ท่ีไมไ่ กลตัวผู้เรียนมากเกนิ ไป ๑๖) การวางแผนการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบการเรียนรู้ตามแนวทางของทฤษฎี Constructionist มีหลักสาคัญอย่างหน่ึงก็คือการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสัมผัสและแลกเปลี่ยนความรู้กับสมาชิก ในกลุ่มบรรยากาศการเรียนการสอนที่ดีนับเป็นส่ิงสาคัญในการทาให้เกิดกระบวนท่ีเอ้ือต่อการเรียนรู้ร่วมกัน ของผู้เรยี น ซึ่งควรจะมีองคป์ ระกอบ ๓ ประการ คือ มีทางเลือก มีความหลากหลายและการมีความเป็นกันเอง (๑) การมีทางเลือก (Choice) คือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เลือกสร้างหรือปฏิบัติสิ่งท่ีตนเอง อยากจะทาหรือสนใจ การสร้างงานหรือการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมอะไรซักอย่างหนึ่ง ครูควรจะให้ ๖ www.kmutt.ac.th/organization//tech/constructionism 5.html (20/08/12).
การสอนธรรมวิทยา ๕๕ โอกาสกับผเู้ รียนในการได้คิดหรอื เริม่ มองสิ่งทเ่ี ขาอยากจะทาดว้ ยตวั ของเขาเองในบรรยากาศการเรียนท่ีผู้เรียน มที างเลอื กสรา้ งสิ่งท่ตี นเองสนใจ ผู้เรียนจะมีความเต็มใจและใสใ่ จทจี่ ะทางานนัน้ จนสาเร็จ เพราะเป็นงานท่ีเขา คดิ ขึ้นมาเอง เขามคี วามรู้สึกในความเปน็ เจา้ ของ รสู้ กึ มสี ่วนรว่ มในการสร้างข้ึนมา และเม่ือผู้เรียนคิดเปูาหมาย ของการสร้างหรือคิดสิ่งที่เขาอยากจะทาได้แล้วก็แสดงว่าผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้จ ากทฤษฎีไปสู่การ ปฏิบตั ิได้ ซง่ึ นับว่าเป็นจดุ เรมิ่ ตน้ ทด่ี ี เน่อื งจากผูเ้ รียนจะรวู้ ่าควรจะสรา้ งอะไรจากความรทู้ ีม่ อี ย่แู ละเมื่อเขาได้ลง มือปฏิบัตเิ ขากจ็ ะเรียนรู้จากการปฏิบัติงานน้ัน (๒) การมีความหลากหลาย(Diversity) ความหลากหลายนั้นมีความสาคัญต่อสภาพแวดล้อม การเรียนรูต้ ามทฤษฎี Constructionist ๒ ประการ คือความหลากหลายของทักษะและความหลากหลายของ รปู แบบ (๓) ความหลากหลายของทักษะ หมายถึง การท่ีผู้เรียนมีทักษะที่แตกต่างกันหลายระดับ จากผทู้ ี่เรม่ิ หดั ไปจนถงึ ผ้ทู ม่ี ีความรู้มาก หรือในบางครง้ั สงิ่ น้ีจะหมายถึงกลุ่มคนที่มีอายุแตกต่างกันมาอยู่รวมกัน ภายใต้บรรยากาศการเรียนรู้เดียวกัน มีการแลกเปล่ียนหรือถ่ายทอดประสบการณ์ซ่ึงกันและกันในบรรยากาศ และสภาพการเรียนรู้ทีผ่ ูเ้ รยี นมีความหลากหลายของทักษะและระดบั ความสามารถจะทาใหเ้ กิดบรรยากาศการ เรยี นรู้รว่ มกนั โดยปกติแล้วคนแต่ละคนจะมคี วามสามารถและทกั ษะแตกต่างกนั บางคนอาจจะเก่งในบางเร่ือง แตใ่ นบางเร่อื งกไ็ ม่ถนดั แต่ในขณะเดยี วกันถา้ มคี นทเี่ ก่งในเรอื่ งทคี่ นอ่นื ไม่ถนัดก็สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ หรือแลกเปล่ียนความรู้ซ่ึงกันและกันได้ ดังนั้นคนท่ีมีประสบการณ์น้อยสามารถเรียนรู้ได้จากคนที่มีทักษะ มากกว่าตนเองส่วนผู้ท่ีถ่ายทอดทักษะจะเพิ่มพูนความรู้มากขึ้นและเกิดความภาคภูมิใจจากการได้ช่วยเหลือ และอธิบายสิ่งต่างๆให้กับผู้อื่น นอกจากน้ันในการสร้างงานของแต่ละคนท่ีไม่เหมือนกัน จะเป็นการสร้าง จินตนาการให้กบั คนอ่นื ความคดิ จะถกู ยมื และเสริมแต่งความรใู้ ห้เจรญิ งอกงามขนึ้ ดว้ ย (๔) ความหลากหลายของรปู แบบ หมายถงึ ความหลากหลายในวิธกี ารในการสร้างงาน เมื่อมี การสร้างงานจะไม่มีวิธีการหรือกระบวนการใดท่ีถือว่าถูกต้องท่ีสุดเพราะคนแต่ละคนมีความถนัดในการสร้าง งานไม่เหมือนกันการท่ีจะเอาความคิดของคนอื่นมาตัดสินกระบวนการในการสร้างงานของอีกคนหนึ่งน้ันเป็น วิธีการท่ีไมถ่ กู ต้องนกั เพราะผ้ทู สี่ รา้ งเองเทา่ นน้ั จะเปน็ ผู้ทบี่ อกไดว้ า่ วิธกี ารทีเ่ หมาะสมสาหรับเขาคอื วธิ ีการใด (๕) การมีความเป็นกันเอง (Congeniality) หมายถึง ความเป็นกันเองของสมาชิกท้ังหมด ได้แก่ ผู้เรียน,ครู ควรมีความเป็นมติ รเป็นกันเอง และเช้อื เชิญต่อผเู้ รยี นให้ผเู้ รยี นไดค้ ิดหรอื สร้างงานด้วยตนเอง ได้แสดงความคิดเห็น ได้ช่วยเหลือกัน เกิดความสามัคคีและมิตรภาพท่ีดีต่อกัน นอกจากนั้นส่ิงที่สาคัญอย่าง หน่ึงก็คือ การให้เวลาท่ีพอเพียงในการทางาน เพราะในการเร่ิมต้นทางานนั้นผู้เรียนจะต้องใช้เวล ามาก พอสมควรอาจจะใชเ้ วลาในการคดิ , พดู คยุ , การเดนิ ไปดูงานของคนอนื่ ๆแลว้ หยิบยืมความคิดมาใช้นอกจากนั้น ควรจะมีเวลาสาหรับผู้ท่ีเริ่มต้นส่ิงที่ผิดพลาดไป มีเวลาสาหรับการเผชิญอุปสรรคหรือส่ิงที่เป็นปัญหาหรือให้ เวลาสาหรับการไม่ได้ทาอะไรเลย (เพราะกาลังใช้ความคิด) บรรยากาศการเรียนรู้เหล่านี้จะมีทั้งความ สนุกสนานในการทางาน รวมทั้งความผิดหวัง และความภาคภูมิใจในความสาเร็จ ซ่ึงเป็นส่วนหนึ่งของการ เรยี นรสู้ ิ่งเหล่านี้สามารถนามาแลกเปลย่ี นเป็นประสบการณก์ ับผอู้ ่ืนได้ ดังน้ัน ควรให้ผู้เรียนได้มีโอกาสได้พบได้ พูดคุยและสร้างมนุษย์สัมพันธ์กับบุคคลอ่ืนที่มีความสนใจ รัก และชอบทาอะไรคล้ายๆกันหรือเผชิญปัญหา บางอย่างคล้ายๆกัน เกิดความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ ใส่ใจซ่ึงกันและกัน พยายามช่วยกันแก้ปัญหา บรรยากาศ และสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ดังกล่าวทาใหเ้ กิดการเรียนรู้ที่มีความเป็นมิตรเป็นกันเอง ก่อให้เกิดความสามัคคี รว่ มกนั และเป็นอนั หนงึ่ อนั เดยี วกัน ๓.๕.๒ เคร่อื งมืออุปกรณ์
การสอนธรรมวทิ ยา ๕๖ หลายๆท่านคงคิดอยู่ในใจว่าเครื่องมือที่จะนามาใช้ควรมีลักษณะอย่างไร ถ้าเรามองท่ีหลักการของ ทฤษฎี Constructionism ซึ่งเป็นการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนมีการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติหรือสร้าง สิ่งท่ีมีความหมายกับตนเอง ดังน้ัน เคร่ืองมือท่ีใช้ก็ควรจะมีลักษณะที่เอ้ือต่อการที่จะให้ผู้เรียนนามาสร้างเป็น ชิ้นงานที่สาเรจ็ ได้และตอบสนองความคดิ และจินตนาการของผู้เรียนได้ หรือถ้ากล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือเคร่ืองมือ แทบทุกชนิดท่ีสามารถให้ผู้เรียนสร้างงานได้หรือสามารถลงมือปฏิบัติด้วยตนเองได้นั่นเอง กิจกรรมต่างๆท่ี สามารถสร้างงานได้ เช่น การปั้นดินน้ามัน การแกะสลัก การทอผ้า การทาอาหาร การเขียนเร่ืองราว/แต่ง ตารา งานหัตถกรรม การเขยี นโปรแกรม การวาดรูป การสร้างโจทย์คาถาม การทดลองทางวิทยาศาสตร์ หรือ การสร้างงานอื่นๆ อกี มากมายนอกจากน้ใี นบางคร้งั เทคนคิ วิธีการสอนก็อาจเป็นเครื่องมือหนึ่งในการสนับสนุน กระบวนการเรียนรู้ได้ เช่น การสอนแบบส่ังงานหรือการสอนแบบมอบหมายงาน เป็นการเรียนท่ีผู้เรียนได้ลง มือปฏิบัติ ซึ่งอาจจะเป็นงานเด่ียวหรืองานกลุ่มก็ได้แต่ควรจัดบรรยากาศการเรียนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกัน อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าเทคโนโลยีมีบทบาทมากโดยเฉพาะเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ ดังนั้นเคร่ืองมือที่ใช้ในการเรียนการสอนสาหรับการสร้างคนให้เรียนรู้เท่าทันเทคโนโลยีนั้นมีความจาเป็นมาก (โดยเฉพาะการเรยี นการสอนในมหาวทิ ยาลัย)ซ่ึงควรจะนาเทคโนโลยีโดยเฉพาะเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์เข้า มาใช้ สังเกตจากเคร่ืองมือส่วนใหญ่ที่ทาง M.I.T. นามาถ่ายทอดจะเป็นเคร่ืองมือที่ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้การใช้ เทคโนโลยีไปพร้อมกับการสร้างงานด้วย เช่น โปรแกรม Microworld, Robot Design, Electronic Newspaper เป็นตน้ คอมพวิ เตอร์นัน้ เป็นเครอื่ งมอื ท่ดี ีและงา่ ยต่อการเรยี นรู้หลักการของทฤษฎี(Constructions) เน่ืองจาก เอ้ือต่อการที่จะให้ผู้เรียนสร้างงานท่ีสาเร็จได้ภายในโปรแกรมคอมพิวเตอร์เองและยังตอบสนองความคิดและ จนิ ตนาการของผู้เรียนได้ดี โดยไม่ต้องใช้ทรพั ยากรภายนอกมากนกั สามารถแสดงให้เห็นลาดับความคิดได้ เช่น โปรแกรม Micro world และนอกจากน้ันคอมพิวเตอร์ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงกับระบบ เครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้อีกด้วย ดังนั้นถ้าผู้เรียนได้สร้างงานจากเคร่ืองมือท่ีเป็นเทคโนโลยี นอกจากจะเรียนรู้ เน้ือหาที่สร้างแล้วผู้เรียนก็จะเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีไปในตัวด้วย เมื่อเรียนรู้ไประดับหน่ึงก็จะเกิดความคล่อง ในเทคโนโลยีนน้ั และกอ่ ให้เกิดความม่ันใจท่ีเพียงพอสาหรับการนาไปใช้ในการทางานหรือพัฒนางานได้อย่างมี ประสิทธภิ าพ ๓.๕.๓ การเรียนรู้กิจกรรมของผ้เู รียน องคป์ ระกอบสุดทา้ ยท่ีสาคัญและนบั วา่ เปน็ เปูาหมายของการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ คือ องค์ประกอบด้านการเรียนรู้ซึ่งมีลักษณะท่ีแตกต่างจากเดิมที่เน้นเน้ือหาสาระเป็นสาคัญ และสอดคล้องกับ องคป์ ระกอบด้านการจดั การเรียนรทู้ ัง้ น้เี พราะการจดั การเรยี นรกู้ เ็ พอื่ เน้นใหม้ ผี ลตอ่ การเรียนรู้ ดังน้ัน ตัวบ่งช้ีที่ บอกถึงลกั ษณะการเรียนรู้ของผู้เรยี น ประกอบด้วย ๑. การเรียนรอู้ ย่างมีความสุขอันเนื่องมาจากการจัดการเรียนรู้ที่คานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล คานงึ ถึงการทางานของสมองท่สี ง่ ผลตอ่ การเรียนรู้และพัฒนาการทางอารมณ์ของผู้เรียนผู้เรียนได้เรียนรู้เร่ืองท่ี ต้องการเรียนรู้ในบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติบรรยากาศของการเอื้ออาทรเป็นมิตรตลอดจนแหล่งเรียนรู้ท่ี หลากหลายนาผลการเรียนรูไ้ ปใชใ้ นชีวิตจรงิ ได้ ๒. การเรียนรู้จากการได้คิดและลงมือปฏิบัติจริงหรือกล่าวอีกลักษณะหนึ่ง คือ “เรียนด้วยสมองและ สองมือ” เป็นผลจากการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้คิด ไม่ว่าจะเกิดจากสถานการณ์หรือคาถามก็ตามและได้ลง มอื ปฏบิ ัติจรงิ ซึง่ เป็นการฝึกทกั ษะทส่ี าคัญคือ การแก้ปญั หาความมเี หตุผล ๓. การเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายเรียนรู้ร่วมกับบุคคลอ่ืนเปูาหมายสาคัญด้านหน่ึง ในการจดั การเรยี นรูท้ เ่ี นน้ ผูเ้ รียนเป็นสาคญั คอื ผู้เรียนแสวงหาความรู้ที่หลากหลายทั้งในและนอกโรงเรียน ทั้งท่ี
การสอนธรรมวทิ ยา ๕๗ เปน็ เอกสาร วัสดุ สถานท่ี สถานประกอบการบุคคลซ่ึงประกอบด้วย เพ่ือน กลุ่มเพ่ือน วิทยากร หรือผู้เป็นภูมิ ปัญญาของชมุ ชน ๔. การเรยี นร้แู บบองค์รวมหรอื บรู ณาการเปน็ การเรยี นร้ทู ่ผี สมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ ได้สัดส่วน กนั รวมทั้งปลูกฝงั คุณธรรม ความดงี ามและคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ในทุกวิชาทจ่ี ดั ใหเ้ รียนรู้ ๕. การเรียนรดู้ ว้ ยกระบวนการเรียนร้ขู องตนเองเปน็ ผลสบื เนื่องมาจากความเข้าใจของผู้จัดการเรียนรู้ ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญว่าทุกคนเรียนรู้ได้และเปูาหมายท่ีสาคัญคือ พัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถ ที่จะแสวงหาความร้ไู ดด้ ้วยตนเอง ผ้จู ัดการเรยี นรู้จึงควรสงั เกตและศึกษาธรรมชาตขิ องการเรียนรู้ของผู้เรียนว่า ถนัดที่จะเรียนรู้แบบใดมากท่ีสุดในขณะเดียวกันกิจกรรมการเรียนรู้จะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้วางแผนการ เรียนรู้ด้วยตนเอง (ซึ่งจะกล่าวถึงรายละเอียดอีกคร้ังในการเรียนรู้โดยโครงงาน) การสนับสนุนให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้ของตนเอง ผู้เรียนจะได้รับการฝึกด้านการจัดการแล้วยังฝึกด้านสมาธิความมี วินัยในตนเองและการรู้จักตนเองมากขึ้นเมื่อครูจัดการเรียนการสอนและการประเมินผลแล้วและมีความ ประสงค์จะตรวจสอบว่าได้ดาเนินการถูกต้องตามหลักการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ หรือไม่ครูสามารถตรวจสอบด้วยตนเองโดยใช้เกณฑ์มาตรฐานด้านกระบวนการมาตรฐานที่ ๑๘ ซึ่งมีตัวบ่งช้ี ดังตอ่ ไปนี้ ๑. มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับธรรมชาติและสนอง ความตอ้ งการของผ้เู รยี น ๒. มกี ารจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่กระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ คิด สร้างสรรค์ คดิ แก้ปัญหาและตดั สินใจ ๓. มีการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนที่กระตนุ้ ใหผ้ ู้เรยี นรู้จกั ศึกษาหาความรู้แสวงหาคาตอบ และสร้างองค์ความร้ดู ว้ ยตนเอง ๔. มีการนาภมู ิปญั ญาท้องถ่นิ เทคโนโลยีและสื่อทเี่ หมาะสมมาประยุกต์ใชใ้ นการจัดการเรยี น การสอน ๕. มีการจดั กจิ กรรมเพ่ือฝึกและสง่ เสรมิ คณุ ธรรมและจริยธรรมของผเู้ รยี น ๖. มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาสุนทรียภาพอย่างครบถ้วน ทัง้ ด้านดนตรี ศลิ ปะและกฬี า ๗. ส่งเสริมความเปน็ ประชาธปิ ไตยการทางานรว่ มกบั ผอู้ ่ืน และความรบั ผดิ ชอบตอ่ กลุ่ม รว่ มกนั ๘. มีการประเมินพฒั นาการของผเู้ รยี นดว้ ยวิธีการหลากหลายและต่อเนือ่ ง ๙. มีการจดั กจิ กรรมให้ผเู้ รียนรักสถานศึกษาของตนและมคี วามกระตือรือรน้ ในการไปเรียน ๓.๕.๔ ลกั ษณะเดน่ ของแหลง่ กิจกรรมการเรยี นรู้ การใช้แหล่งเรียนรู้มีความสาคัญในกระบวนการจัดการเรียนรู้สา หรับผู้เรียนเพราะผู้เรียนสามารถ เรียนรู้จากสภาพจริง การจัดการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้จะเก่ียวข้องกับบุคคล สถานท่ี ธรรมชาติ หน่วยงาน องค์กร สถานประกอบการ ชุมชน และสิ่งแวดล้อมอื่นๆซึ่งผู้เรียน ผู้สอน สามารถศึกษาค้นคว้าหาความรู้หรือ เรื่องท่ีสนใจศึกษาได้จากแหล่งเรียนรู้ทั้งที่เป็นธรรมชาติ และที่มนุษย์สร้างข้ึน ชุมชนและธรรมช าติ
การสอนธรรมวิทยา ๕๘ เป็นขุมทรัพย์มหาศาลที่เราสามารถค้นพบความรู้ได้ไม่รู้จบ ทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และสร้างองค์ความรู้ ไดด้ ้วยตนเองและลักษณะเด่นของการจดั การเรยี นรจู้ ากแหลง่ เรียนรมู้ ีดังน้ี๗ ๑. ผู้เรยี นได้ปฏิบตั จิ รงิ คน้ คว้าหาความรไู้ ด้ดว้ ยตนเอง ๒. ผู้เรียนได้ฝึกการทางานเป็นกลุ่มร่วมคิด ร่วมทา ร่วมแก้ปัญหาต่างๆซ่ึงจะช่วยให้เกิดการ เรยี นร้แู ละทักษะกระบวนการต่างๆ ๓. ผเู้ รยี นได้ฝึกทกั ษะการสังเกต การเก็บข้อมูล การวเิ คราะหข์ ้อมลู การตีความหมายและ การสรปุ ความ คดิ แกป้ ญั หาอยา่ งเป็นระบบ ๔. ผ้เู รยี นได้ประเมินผลการทางานไดด้ ว้ ยตนเอง ๕. ผเู้ รียนสามารถนาความรู้ที่ไดไ้ ปประยกุ ต์ใชแ้ ละเผยแพร่ความรู้ได้ ๖. ผูส้ อนเปน็ ทปี่ รกึ ษา ให้ความรู้ ให้คาแนะนา ให้การสนบั สนุน สรุปได้ว่า การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ คือ การจัดการให้ผู้เรียนสร้าง ความรู้ใหม่โดยผ่านกระบวนการคิดด้วยตนเอง ทาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติ เกิดความเข้าใจ การเรียนรู้แบบองค์รวมหรือบูรณาการเป็นการเรียนรู้ท่ีผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆได้สัดส่วนกัน รวมทั้ง ปลูกฝังคุณธรรม ความดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในทุกวิชาท่ีจัดให้เรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้ ของตนเองเป็นผลสืบเน่ืองมาจากความเข้าใจของผู้จัดการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญว่าทุกคนเรียนรู้ได้และ เปูาหมายที่สาคัญและสามารถนาความรู้ไปบูรณาการใช้ในชีวิตประจาวัน และมีคุณสมบัติตามกับเปูาหมาย การจดั การศกึ ษาทต่ี ้องการใหผ้ ู้เรียนเปน็ คนเก่งคนดี และมคี วามสุข ๓.๖ การวดั ผลและประเมนิ ผล การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนหลักการพ้ืนฐาน ๒ ประการคือ การประเมิน เพื่อพัฒนาผู้เรียนและเพ่ือตัดสินผลการเรียน ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ประสบผลสาเร็จ นั้น ผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนาและประเมินตามตัวชี้วัดเพ่ือให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ สะท้อน สมรรถนะสาคญั และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนซ่ึงเป็นเปูาหมายหลักในการวัดและประเมินผลการ เรียนรู้ในทุกระดับไม่ว่าจะเป็นระดับชั้นเรียน ระดับสถานศึกษา ระดับเขตพ้ืนท่ีการศึกษาและระดับชาติ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโดยใช้ผลการประเมินเป็นข้อมูลและ สารสนเทศท่ีแสดงพัฒนาการ ความก้าวหน้า และความสาเร็จทางการเรียนของผู้เรียน ตลอดจนข้อมูลที่เป็น ประโยชน์ต่อการส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาและเรียนรู้อย่างเต็มตามศักยภาพการวัดและประเมินผลการ เรียนรู้แบ่งออกเป็น ๔ ระดับ ได้แก่ ระดับช้ันเรียน ระดับสถานศึกษาระดับเขตพ้ืนท่ีการศึกษาและระดับชาติ มีรายละเอียด ดังนี้ ๑. การประเมินระดับช้ันเรียน เป็นการวัดและประเมินผลท่ีอยู่ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ผู้สอน ดาเนินการเป็นปกติและสม่าเสมอ ในการจัดการเรียนการสอน ใช้เทคนิคการประเมินอย่างหลากหลาย เช่น การซักถาม การสังเกต การตรวจการบา้ น การประเมนิ โครงงาน การประเมินชนิ้ งาน/ภาระงาน แฟูมสะสมงาน ๗ เลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา, การจัดการเรยี นร้จู ากแหล่งเรยี นร.ู้ (กรงุ เทพมหานคร:โรงพมิ พช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตร แห่งประเทศไทย จากดั .๒๕๕๐), หน้า ๔-๖.
การสอนธรรมวทิ ยา ๕๙ การใช้แบบทดสอบ ฯลฯ โดยผู้สอนเป็นผู้ประเมินเองหรือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนประเมินตนเอง เพื่อนประเมิน เพื่อนผูป้ กครองร่วมประเมิน ในกรณีทไี่ ม่ผ่านตวั ชีว้ ดั ใหม้ กี ารสอนซอ่ มเสรมิ ๒. การประเมินระดับสถานศึกษา เป็นการประเมินท่ีสถานศึกษาดาเนินการเพ่ือตัดสินผลการเรียน ของผู้เรียนเป็นรายปี/รายภาค ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน นอกจากน้ีเพ่ือให้ได้ข้อมูลเก่ียวกับการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ว่าส่งผลต่อ การเรียนรู้ของผู้เรียนตามเปูาหมายหรือไม่ ผู้เรียนมีจุดพัฒนาในด้านใด รวมท้ังสามารถนาผลการเรียน ของผู้เรียนในสถานศึกษาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ระดับชาติ ผลการประเมินระดับสถานศึกษาจะเป็นข้อมูล และสารสนเทศเพื่อการปรับปรุงนโยบาย หลักสูตร โครงการ หรือวิธีการจัดการเรียนการสอน ตลอดจนเพื่อ การจัดทาแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาตามแนวทางการประกันคุณภาพการศึกษา และการรายงานผลการจัดการศึกษาต่อคณะกรรมการสถานศึกษาสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา สานักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐานผู้ปกครองและชุมชน ๓. การประเมินระดับเขตพื้นที่การศึกษา เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับเขตพื้นท่ีการศึกษา ตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน เพ่ือใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนา คุณภาพการศึกษาของเขตพื้นท่ีการศึกษาตามภาระความรับผิดชอบ สามารถดาเนินการโดยประเมินคุณภาพ ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนด้วยข้อสอบมาตรฐานที่จัดทาและดาเนินการโดยเขตพ้ืนท่ีการศึกษา หรือด้วยความ ร่วมมือกับหน่วยงานต้นสังกัด ในการดาเนินการจัดสอบ นอกจากน้ียังได้จากการตรวจสอบทบทวนข้อมูลจาก การประเมินระดับสถานศึกษาในเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษา ๔. การประเมินระดับชาติ เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับชาติตามมาตรฐานการเรียนรู้ตาม ลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนที่เรียนในชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๓ ชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๖ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๓ และช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ เข้ารับการประเมิน ผลจากการประเมิน ใชเ้ ป็นข้อมูลในการเทียบเคียงคุณภาพการศึกษาในระดับ ต่าง ๆ เพื่อนาไปใช้ในการวางแผนยกระดับคุณภาพ การจัดการศึกษา ตลอดจนเป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจในระดับนโยบายของประเทศการวัด และประเมนิ ผลการเรยี นรูข้ องผู้เรียนต้องอยู่บนหลักการพื้นฐานสองประการคือการประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียน และเพอื่ ตัดสินผลการเรียน ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้ประสบผลสาเร็จนั้น ผู้เรียนจะต้อง ได้รับการพัฒนาและประเมินตามตัวช้ีวัดเพ่ือให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ สะท้อนสมรรถนะสาคัญ และคณุ ลักษณะอันพึงประสงคข์ องผเู้ รยี นซึ่งเป็นเปาู หมายหลักในการวดั และประเมินผลการเรยี นรใู้ นทุก ระดับไม่ว่าจะเป็นระดับช้ันเรียน ระดับสถานศึกษา ระดับเขตพ้ืนที่การศึกษา และระดับชาติการวัดและ ประเมินผลการเรยี นรู้ เป็นกระบวนการพฒั นาคณุ ภาพผเู้ รยี นโดยใช้ผลการประเมินเป็นข้อมลู และสารสนเทศที่ แสดงพัฒนาการ ความก้าวหน้า และความสาเร็จทางการเรียนของผู้เรียนตลอดจนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อ การสง่ เสริมให้ผเู้ รียนเกดิ การพฒั นาและเรียนรอู้ ย่างเต็มตามศกั ยภาพ การวดั และประเมินผลการเรียนรแู้ บ่งออกเป็น ๔ ระดบั ไดแ้ ก่ ระดับช้ันเรียนระดับสถานศึกษา ระดับ เขตพนื้ ที่การศึกษาและระดับชาตมิ รี ายละเอยี ด ดงั น้ี ๑) การประเมินระดับช้ันเรียน เป็นการวัดและประเมินผลที่อยู่ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ผู้สอน ดาเนินการเป็นปกติและสม่าเสมอ ในการจัดการเรียนการสอน ใช้เทคนิคการประเมินอย่างหลากหลาย เช่น การซักถาม การสังเกต การตรวจการบ้าน การประเมินโครงงาน การประเมินชิ้นงาน/ ภาระงาน แฟูมสะสม งาน การใช้แบบทดสอบ ฯลฯโดยผู้สอนเป็นผู้ประเมินเองหรือเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนประเมินตนเอง เพื่อน ประเมินเพ่ือนผู้ปกครองร่วมประเมิน ในกรณีท่ีไม่ผ่านตัวช้ีวัดให้มี การสอนซ่อมเสริมการประเมินระดับชั้น เรียนเป็นการตรวจสอบว่า ผู้เรียนมีพัฒนาการความก้าวหน้าในการเรียนรู้ อันเป็นผลมาจากการจัดกิจกรรม
การสอนธรรมวิทยา ๖๐ การเรียนการสอนหรือไม่และมากน้อยเพียงใด มีสิ่งท่ีจะต้องได้รับการพัฒนาปรับปรุงและส่งเสริมในด้านใด นอกจากน้ียังเป็นขอ้ มลู ให้ผ้สู อนใชป้ รับปรุงการเรียนการสอนของตนด้วย ทั้งน้ีโดยสอดคล้องกับมาตรฐานการ เรียนร้แู ละตวั ชว้ี ัดผล ๒) การเรียนของผู้เรียนเป็นรายปี/รายภาค ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน นอกจากน้ีเพ่ือให้ได้ข้อมูลเก่ียวกับการจัดการศึกษา ของสถานศึกษา ว่าส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนตามเปูาหมายหรือไม่ ผู้เรียนมีจุดพัฒนาในด้านใด รวมท้ัง สามารถนาผลการเรียนของผู้เรียนในสถานศึกษาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ระดับชาติ ผลการประเมินระดับ สถานศึกษาจะเปน็ ขอ้ มลู และสารสนเทศเพื่อการปรับปรุงนโยบาย หลักสูตร โครงการ หรือวิธีการจัดการเรียน การสอน ตลอดจนเพื่อการจัดทาแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ตามแนวทางการประกัน คุณภาพการศึกษาและการรายงานผลการจัดการศึกษาต่อคณะกรรมการสถานศึกษา สานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษา สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน ผู้ปกครองและชุมชน ๓) การประเมินระดับเขตพ้ืนที่การศึกษา เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับเขตพื้นที่การศึกษา ตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน เพ่ือใช้เป็นข้อมูลพ้ืนฐานในการพัฒนา คุณภาพการศึกษาของเขตพื้นที่การศึกษาตามภาระความรับผิดชอบ สามารถดาเนินการโดยประเมินคุณภาพ ผลสัมฤทธ์ิของผู้เรียนด้วยข้อสอบมาตรฐานที่จัดทาและดาเนินการโดยเขตพ้ืนท่ีการศึกษา หรือด้วยความ ร่วมมือกับหน่วยงานต้นสังกัด ในการดาเนินการจัดสอบ นอกจากน้ียังได้จากการตรวจสอบทบทวนข้อมูลจาก การประเมินระดบั สถานศึกษาในเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษา ๔) การประเมินระดับชาติเป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับชาติตามมาตรฐานการเรียนรู้ตาม ลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนท่ีเรียนในช้ันประถมศึกษาปีที่ ๓ ช้ัน ประถมศกึ ษาปีท่ี ๖ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ ๓ และช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เข้ารับการประเมิน ผลจากการประเมินใช้ เป็นข้อมูลในการเทียบเคียงคุณภาพการศึกษาในระดับต่างๆ เพื่อนาไปใช้ในการวางแผนยกระดับคุณภาพ การจัดการศึกษาตลอดจนเป็นข้อมลู สนบั สนุน การตดั สินใจในระดับนโยบายของประเทศข้อมูลการประเมินใน ระดบั ตา่ งๆ ข้างตน้ เปน็ ประโยชน์ต่อสถานศึกษาในการตรวจสอบทบทวนพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ถือเป็นภาระ ความรับผิดชอบของสถานศึกษาท่ีจะต้องจัดระบบดูแลช่วยเหลือ ปรับปรุงแก้ไข ส่งเสริมสนับสนุนเพื่อให้ ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพบนพื้นฐาน ความแตกต่างระหว่างบุคคลท่ีจาแนกตามสภาพปัญหา และความต้องการ ได้แก่ กลุ่มผู้เรียนทั่วไป กลุ่มผู้เรียนที่มีความสามารถพิเศษ กลุ่มผู้เรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนต่า กลุ่มผู้เรียนท่ีมีปัญหาด้านวินัยและพฤติกรรม กลุ่มผู้เรียนท่ีปฏิเสธโรงเรียน กลุ่มผู้เรียนท่ีมี ปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม กลุ่มพิการทางร่างกายและสติปัญญาเป็นต้น ข้อมูลจากการประเมินจึงเป็น หัวใจของสถานศึกษาในการดาเนินการช่วยเหลือผู้เรียนได้ทันท่วงที ปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาและ ประสบความสาเร็จในการเรียน๘ สวัสด์ิ สุวรรณอักษร๙ ได้นาเสนอแนวทางการวัด และประเมินผลวิชาพระพุทธศาสนาในโรงเรียน มัธยมศึกษา ไว้ดงั นี้ ๘ ๔๒ พระมหาสฉุ ันท์ สมุ งคฺ โล “การมีสว่ นร่วมในการบริหารจัดการกระบวนการเรยี นรูว้ ิชาพระพุทธศาสนา โรงเรียนมัธยมศกึ ษาสานักงานเขตพน้ื ทีก่ ารศกึ ษา กรุงเทพมหานคร เขต ๑,” (๒๕๕๓),หน้า ๕. ๙ สวสั ด์ิ สวุ รรณอกั ษร, บนเส้นทางพัฒนาการศึกษา, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์พระพทุ ธศาสนา, ๒๕๔๘), หนา้ ๔๓.
การสอนธรรมวทิ ยา ๖๑ ๑) การสังเกตความประพฤติหรือพฤติกรรมของนักเรียน เป็นรายบุคคลในโอกาสต่างๆ ว่าเมื่อได้รับ การอบรมสัง่ สอนไปแล้ว นักเรยี นมพี ฤตกิ รรมตามจดุ ประสงค์ที่ได้กาหนดไว้หรือไม่ วิธีการน้ีจะต้องอาศัยความ เที่ยงตรง เวลา และความอดทน จึงจะเห็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงของนักเรียนได้บ้าง อย่างไรก็ตามขอให้ สงั เกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนว่าพฤติกรรมท้ังต่อหนา้ และลบั หลังมีความแตกต่างกันหรือไม่ ๒) การซกั ถามสอบถามหรือสัมภาษณ์ ทั้งตวั นักเรียนเองและบคุ คลอื่นๆที่เกย่ี วข้อง ๓) การทดสอบท้ังก่อนเรียน ระหว่างเรียน และหลังเรียน โดยอาจใช้แบบทดสอบแบบทดสอบความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาแบบตรวจสอบความรู้สึก หรือเจตคติ หรือค่านิยม แบบสารวจปัญหา ต่างๆ ของนักเรยี น ๔) การตรวจผลงานการศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติมของนักเรียน ที่ครูอาจารย์มอบหมายให้ทา หรือ ทีน่ ักเรียนดาเนนิ การเองด้วยความเอาใจใสแ่ ละขยนั หมั่นเพยี ร ๕) การพจิ ารณาจากความคดิ เห็นหรือจากการใหค้ ะแนน หรือการประเมินค่าของบุคคลอื่นท่ีเกี่ยวข้อง เชน่ ครูอาจารยป์ ระจาวิชาต่าง ๆ พอ่ แม่ผูป้ กครองของนักเรียนและเพื่อนนักเรียนด้วยกันเอง เพื่อดูว่านักเรียน แต่ละคนมพี ฤติกรรมอนั พงึ ประสงคม์ ากน้อยเพียงใด ๓.๗ แนวทางการจัดการเรยี นรู้พระพุทธศาสนา ตามหลักสตู รการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ เกิดข้ึนในช่วงท่ีสังคมไทยมีวิกฤติทางศีลธรรม คนไทยกาลงั แสวงหากระบวนการเรียนรู้แบบใหม่ วธิ ีคิดใหม่ที่มีประสิทธภิ าพย่ิงกว่า เพื่อพลิกฟ้ืนความเข้มแข็ง ของระบบจริยธรรม และวัฒนธรรมของสังคมไทย ซึ่งคนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาหลักสูตรดังกล่าวมี เจตนารมณ์แน่วแน่ท่ีจะพัฒนาคนไทยให้เป็นคนเก่งดี และมีวิจารณญาณผู้ทรงคุณวุฒิทั้งฝุายพระสงฆ์และ คฤหัสถไ์ ดม้ องเห็นว่าการเรียนรู้ตามพทุ ธวธิ เี ป็นสิ่งที่ล้าเลิศ และมีกระบวนวิธีหรือ Technical know how อยู่ ในสังคมไทยในหมพู่ ระสงฆ์และคฤหัสถ์ผู้ทรงคุณความรู้เม่ือได้มีการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนโดยมหา เถรสมาคมนาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ท้ังฝุายมหานิกายและธรรมยุติกนิกายพร้อมผู้ทรงคุณวุฒิด้านศาสนาด้าน หลักสูตร การเรียนรู้จิตวิทยาพัฒนาการและการพัฒนาส่ือกาหนดแนวทางการจัดหลักสูตรพระพุทธศาสนาให้ ถกู ตอ้ ง เหมาะสมและชดั เจน เพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้เกิดศรัทธาอย่างสูงในพระรัตนตรัยเช่ือมโยงบูรณาการสาระ การเรยี นรู้ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์โดยมีเอกภาพอยู่ท่ีความมีศรัทธาอย่างแน่วแน่ต่อพระรัตนตรัย มุ่งนา หลักธรรมซ่ึงมีอริยสัจ ๔ เปน็ กรอบไวจ้ ดั การเรียนรูข้ ับเคลื่อนสาระการเรียนรู้ ใหผ้ ูเ้ รยี นเกิดการเรียนรู้ตามพุทธ วิธี นาไปใช้ในการแก้ปัญหาและพัฒนาชีวิต และนากระบวนการเรียนรู้ตามพุทธวิธีไปใช้เป็นเครื่องมือในการ เรียนรู้ การทางานและการประกอบอาชีพ ดังนั้น การออกแบบการเรียนรู้เป็นการจัดการเรียนรู้ เช่ือมโยง เป็นอรรถสัมพันธ์บูรณาการให้เกิดความคิดรวบยอดหลัก คือพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ ใช้กระบวนการ เรียนรู้เชิงรุก (Active-Learning) ให้ผู้เรียนลงมือเรียนรู้ด้วยสมาธิและการพิจารณาตนเอง (Self-Learning) การเรียนรู้ความคิดรวบยอด (Concept Learning) ในสาระการเรียนรู้ท่ีกาหนดฝึกปฏิบัติตามข้ัน การบริหาร จิตและเจริญปัญญาฝึกฝนให้เกิดสติ สมาธิอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้สาระหรือวิชาอ่ืน ด้วยการสอนของพระพุทธเจ้าแต่ละคร้ังจะดาเนินไปจนถึงผลสาเร็จโดยมีคุณลักษณะที่เรียกได้ว่าเป็นลีลาการ สอน ๔ อยา่ งดงั นี้๑๐ ๑๐ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโฺ ต), พทุ ธวิธีในการสอน, (กรุงเทพมหานคร : มลู นิธพิ ุทธธรรม,๒๕๑๓), หน้า ๑๒-๑๔.
การสอนธรรมวิทยา ๖๒ ๑. สนั ทสั สนา อธบิ ายให้เห็นชัดเจนแจม่ แจง้ เหมือนจูงมือไปดูให้เห็นกบั ตา ๒. สมาทปนา ชกั จงู ใหเ้ ห็นจรงิ ชวนให้คล้อยตาม ต้องยอมรบั นาไปปฏิบัติ ๓. สมตุ เตชนา เร้าใจให้แกลว้ กล้า บงั เกดิ กาลังใจ ปลกุ ให้มีอุตสาหะแขง็ ขนั มั่นใจวา่ จะทาให้สาเรจ็ ได้ ไมห่ วั่นและย่อท้อตอ่ ความเหนอื่ ยยาก ๔. สัมปหังสนา ชโลมใจให้แช่มชื่น ร่าเริงเบิกบานฟังไม่เบ่ือและเปี่ยมด้วยความหวังเพราะมองเห็น ประโยชน์ท่ีตนจะพึ่งได้รับจากการปฏิบัติ อาจผู้เป็นคาส้ันๆได้ว่าแจ่มแจ้ง จูงใจ กล้าหาญ ร่าเริง หรือช้ีวัด เจริญธรรม ฝกึ คิดเบิกบาน ใหเ้ กดิ ความศรัทธาเป็นรุ่งอรุณการศึกษาเม่ือจิตอ่อนโยนมีศรัทธาพร้อมท่ีจะพัฒนา ตามลาดับ ๗ ขั้น ดังนี้ ๑. มศี รัทธาเข้าไปหาครู ๒. ศกึ ษาคาสอนของทา่ น ๓. จดจาเรอ่ื งท่ีศกึ ษา ๔. พิจารณาความหมายของคาทีจ่ ดจามาน้ัน ๕. เกดิ ความเขา้ ใจเพราะเห็นความสัมพันธ์เชอ่ื มโยงกันเป็นระบบ ๖. เกิดฉันทะ คือ ความพอใจ การศึกษาต้องสร้างฉนั ทะนใ้ี ห้ได้ ๗. อตุ สาหะ คือ รบั ไปปฏิบัติลาดบั ขนั้ ทั้ง ๗ น้ี เป็นการศึกษาเพื่อชีวิตอาจลดขนั้ ลงเหลือ สามขนั้ ใหญ่ ดงั น้ี ขนั้ แรก รับฟงั และจดจาข้อมูลที่ไดจ้ ากผู้อน่ื (ลาดับที่ ๑-๓) ขัน้ ทส่ี อง คือ การทเ่ี รามปี ฏิกริ ยิ าต่อข้อมูลนน้ั (ลาดับท่ี ๔-๕) นน้ั คอื พจิ ารณาอย่างถี่ถ้วน การท่ีเราคิด คือ เราเป็นฝุายกระทาต่อข้อมูลนั้นโดยจับพลิกคว่าพลิกหงายมีปฏิกิริยา (Reaction) คือกระทาต่อข้อมูลที่ ไดร้ บั ขั้นทีส่ าม คอื เกิดเจตคตติ อ่ เรอ่ื งน้ันว่าดีหรือเลวถ้าเห็นว่าดีก็มีฉันทะ คือ ความพอใจที่จะทาตามและ ความอุตสาหพยายามจนเกิดทักษะ(ลาดับท่ี ๖-๗) กลวิธีและอุบายประกอบการสอนพระพุทธศาสนา มีดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. การยกอุทาหรณ์ และการเล่านิทานประกอบ การยกตัวอย่างประกอบคาอธิบาย และการเล่านิทานประกอบการสอน ช่วยให้เข้าใจความได้ง่ายและชัดเจน ช่วยให้จาได้แม่นยา เห็นจริง และ เกดิ ความเพลิดเพลนิ ทาให้การเรียนการสอนมีอรรถรสยงิ่ ข้ันเช่น เม่ือจะอธิบายให้เห็นว่า คนมีความปรารถนา ดีอยากช่วยทาประโยชน์ แต่หากขาดปัญญา อาจกลับทาลายประโยชน์เสียก็ได้ ก็เล่านิทานชาดก เร่ืองลิงเฝูา สวน หรือ คนขายเหล้า เปน็ ตน้ ๒. การเปรียบเทียบด้วยข้ออุปมา คาอุปมาช่วยให้เรื่องที่ลึกซ้ึงเข้าใจยากปรากฏความหมาย เด่นชัดออกมา และเข้าใจง่ายขึ้นโดยเฉพาะมักใช้ในการอธิบายส่ิงที่เป็นนามธรรม เปรียบเทียบให้เห็นชัดด้วย สิ่งที่เป็นรูปธรรมหรือแม้เปรียบเร่ืองที่เป็นรูปธรรมด้วยข้ออุปมาแบบรูปธรรม ก็ช่วยให้ความหนักแน่นเข้า การใช้อปุ มานน้ี า่ จะเปน็ กลวิธปี ระกอบการสอนที่พระพทุ ธองค์ทรงใชม้ ากที่สดุ มากกวา่ กลวิธอี ่นื ใด ๓. การใช้อุปกรณ์การสอน ย่อมไม่มีอุปกรณ์การสอนต่างๆ ท่ีจัดทาข้ึนไว้เพื่อการสอน โดยเฉพาะเหมือนสมัยปัจจุบัน เพราะยังไม่มีการจัดการศึกษาเป็นระบบขึ้นมาอย่างกว้างขวางหากจะใช้ อุปกรณ์บ้าง ก็คงต้องอาศัยวัตถุสิ่งของท่ีมีอยู่ในธรรมชาติ หรือเครื่องใช้ต่างๆที่ผู้คนใช้กันอยู่ อีกประการ หน่ึง คาสอนของพระพุทธเจ้าท่ีมีบันทึกไว้ก็เป็นคาสอนท่ีตรัสแก่ผู้ใหญ่และเป็นเรื่องเก่ียวกับหลักธรรม ท้ังสอน เคล่อื นทีไ่ ปในดินแดนแว่นแคว้นตา่ งๆ อย่างอิสระชนดิ ที่ผ้สู อนไม่มีทรัพย์สมบัตติ ดิ ตัว ด้วยเหตุน้ี ความจาเป็นท่ี
การสอนธรรมวทิ ยา ๖๓ จะใชอ้ ุปกรณ์จึงมนี อ้ ยและโอกาสที่จะอาศัยอุปกรณ์ก็เป็นไปได้ยาก การใช้ข้ออุปมาต่างๆก็จะสะดวกกว่า และ ใหค้ วามเขา้ ใจชดั เจนอยแู่ ลว้ แม้เมือ่ ใช้ของจริงเปน็ อุปกรณ์ก็มกั ใช้ในแง่อุปมาอีกนนั่ เอง ๔. การทาเป็นตัวอย่างวิธีสอนที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะในทางจริยธรรมคือการทาเป็น ตัวอย่าง ซึ่งเป็นการสอนแบบไม่ต้องกล่าวสอน เป็นทานองการสาธิตให้ดูแต่ท่ีพระพุทธเจ้าทรงกระทาน้ัน เป็นไปในรูปทรงเป็นผู้นาทด่ี ี การสอนโดยทาเป็นตวั อย่างก็คอื พระจรยิ าวัตรอนั ดงี ามทเี่ ปน็ อยโู่ ดยปกตินน่ั เอง ๕. การเลน่ ภาษา เล่นคา และใช้คาในความหมายใหม่ การเล่นภาษาและเลน่ คา เป็นเรื่อง ของความสามารถในการใชภ้ าษาผสมปฏิภาณข้อน้ีเป็นการแสดงให้เหน็ ถงึ พระปรชี าสามารถของพระพุทธเจ้า ท่ีมคี วามรอบรู้ไปทกุ ดา้ น ๖. อุบายเลือกคนการปฏิบัติรายบุคคล เป็นอุบายสาคัญในการเผยแพร่พระศาสนา ในการประกาศธรรมของพระพุทธเจ้าเร่ิมแต่ระยะแรกประดิษฐานพระพุทธศาสนาจะเห็นได้ ว่าพระพุทธเจ้า ทรงดาเนินพุทธกิจด้วยพระพุทโธบายอย่างท่ีเรียกว่าเป็นการวางแผนท่ีได้ผลยิ่ง ทรงพิจารณาว่าเม่ือจะเข้าไป ประกาศพระศาสนาในถ่ินใดถน่ิ หนงึ่ ควรไปโปรดใครก่อน ๗. การรูจ้ ักจังหวะและโอกาส ผสู้ อนต้องรู้จักใช้จังหวะและโอกาสให้เป็นประโยชน์ เม่ือยังไม่ ถงึ จงั หวะไมเ่ ปน็ โอกาส เชน่ ผเู้ รียนยงั ไม่พร้อม ยังไม่เกิดปริปากะแห่งญาณหรืออินทรีย์ ก็ต้องมีความอดทนไม่ ชิงหกั หาญหรอื ดงึ ดันทาแตก่ ต็ ้องตน่ื ตวั อยู่เสมอเมื่อถึงจงั หวะหรอื เป็นโอกาส ๘. ความยืดหยุ่นในการใช้วิธีการสอน ถ้าผู้สอนๆ อย่างไม่มีอัตตา ตัดตัณหามานะ ทิฏฐิ เสยี ใหเ้ หลอื นอ้ ยทีส่ ุด ก็จะม่งุ ไปยังผลสาเร็จในการเรยี นรู้เปน็ สาคัญ สดุ แต่จะใช้กลวิธีใดให้การสอนได้ผลดีท่ีสุด กจ็ ะทาในทางนนั้ ไมก่ ลัววา่ จะเสียเกียรติ ไมก่ ลัวจะถูกรู้สึกว่าแพ้ บางคราวเมื่อสมควรยอมก็ต้องยอมให้ผู้เรียน รู้สกึ ตัวว่าเขาเก่ง บางคราวสมควรข่มกข็ ม่ บางคราว ๙. การลงโทษ และการให้รางวัลมีคาสรรเสริญพระพุทธคุณที่ยกมาแสดงข้างต้น แล้วว่า “พระผู้มพี ระภาคทรงฝกึ อบรมชมุ ชนได้เพียงเท่านี้ โดยไม่ต้องใช้อาชญา”ซึ่งแสดงว่าการใช้อานาจลงโทษไม่ใช่ วิธีการฝึกคนของพระพุทธเจ้าแม้ในการแสดงธรรมตามปกติพระองค์ก็ทรงแสดงไปตามเนื้อหาพระธรรม ไม่ กระทบกระทั่งใคร ๑๐. กลวธิ แี ก้ปญั หาเฉพาะหนา้ ปัญหาเฉพาะหน้าทีเ่ กดิ ข้ึนตา่ งคร้ังต่างคราวย่อมมลี กั ษณะ แตกต่างกนั ไปไม่มีท่ีสุด การแกป้ ญั หาเฉพาะหน้าย่อมอาศัยปฏิภาณ คือ ความสามารถในการประยุกตห์ ลัก วธิ ีการและกลวธิ ตี ่างๆ มาใชใ้ ห้เหมาะสม เป็นเรื่องเฉพาะครั้ง เฉพาะคราวไป อย่างไรก็ดี การไดเ้ ห็นตวั อย่าง การแกป้ ัญหาเช่นนี้ อาจชว่ ยให้เกดิ ความเขา้ ใจในแนวทางที่จะนาไปใช้ปฏบิ ตั ไิ ด้บ้าง สรปุ ทา้ ยบท ในทางพุทธศาสนากล่าวคือ คนประกอบด้วยส่วนสาคัญ คือ รูปกับนาม รูปได้แก่ร่างกาย นามได้แก่ ส่วนจิตใจ ร่างกายมีความสามารถจะรับกระทบผัสสะได้เท่านั้น ยังไม่เป็นการรู้เพราะถือว่า กายเป็นวัตถุธาตุ (แม้สมองก็เป็นวัตถุรู้อะไรไม่ได้) ตัวรู้ คือ จิตประกอบด้วยอารมณ์ ๔ ประการ คือ (๑) อดีตกรรมหรือ ประสบการณ์เก่า (๒) อารมณ์หรือสิ่งเร้ามากระทบ (๓) เจตสิก หรือความรู้สึกนึกคิดของจิต และ (๔) วัตถุรูป คือ อวัยวะรับส่ิงเร้า การเรียนรู้จะเกิดได้น้ัน ปัจจัยท้ัง ๔ อย่าง ต้องทางานประสานกัน คือ เม่ือมีส่ิงเร้า (อารมณ์) มากระทบกับอวัยวะรับสิ่งเร้า (วัตถุรูป) เราจะไม่เห็น (ไม่รู้) ถ้าไม่มีความตั้งใจจะดู (ฟัง ดมกลิ่น
การสอนธรรมวิทยา ๖๔ ฯลฯ) คือไม่มีเจตสิก หรือเม่ือส่ิงเร้ากระทบวัตถุรูป แม้ตั้งใจดู(มีเจตสิก) ก็ตาม แต่หากไม่มีประสบการณ์เดิม (อดีตกรรม) เราก็จะไมร่ ูจ้ กั ส่งิ นั้น เมอ่ื เป็นเช่นนก้ี ารเรยี นรู้จะเกิดข้ึนไม่ได้ การเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมอันเปน็ ผลมาจากการได้รับประสบการณ์ การเปล่ียนแปลงทางพฤติกรรมน้ี สามารถทาให้ผู้เรียนเผชิญกับเหตุการณ์ชนิดเดียวกันในลักษณะท่ีแตกต่างกันไปจากเดิม การเรียนรู้ขอบเขต กว้างขวางและสลับซับซ้อน จนกล่าวได้วา่ บุคลกิ ภาพของคนเรานัน้ เปน็ ผลของการเรียนรู้แทบทั้งส้ิน จิตวิทยา ตะวันตกให้ความสาคัญกับการเรียนรู้ในด้านร่างกายโดยเฉพาะส่วนสาคัญในการเรียนรู้ คือ อวัยวะสัมผัส (receptor) อันได้แก่ ตา หู จมูก เป็นต้น เม่ือมีส่ิงเร้ามากระทบอวัยวะรับสัมผัสก็จะรายงานไปยังสมองและ เกดิ การแปลความหมายทส่ี มอง และสมองกส็ ั่งมายงั ประสาทกล้ามเนอื้ (motor nerve) ทาให้เกิด “ปฏิกิริยา” ตอบสนองต่อส่ิงเรา้ น้ันเกิดพฤตกิ รรมขนึ้ อย่างน้เี รียกวา่ เกิดภาวการณเ์ รียนรู้ขึน้
การสอนธรรมวิทยา ๖๕ คาถามท้ายบท
การสอนธรรมวทิ ยา ๖๖ เอกสารอา้ งอิงประจาบท กระทรวงศึกษาธกิ าร, (๒๕๕๒), หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. คณะอนุกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้, (๒๕๔๓), (ร่าง) การปฏริ ูปการเรียนรู้ ผเู้ รียนสาคัญท่ีสุด, (เอกสารอดั สาเนา). ทิศนา แขมมณี และคณะ, (๒๕๔๓), การพัฒนากระบวนการคิด, เอกสารประกอบการอบรมเชิงปฏบิ ัติการ เรอ่ื งการพฒั นารูปแบบ การสอนท่ีเนน้ กระบวนการคิดตามแนวปฏริ ปู กระบวนการเรยี นรู้, (นครปฐม : ศูนยศ์ ึกษาพฒั นาครู คณะครุศาสตร์ สถาบนั ราชภัฏนครปฐม. , (๒๕๔๔), การเรยี นการสอนท่ีเน้นผเู้ รยี นเปน็ สาคัญ : แนวคดิ วิธแี ละเทคนิคการสอน, พิมพ์คร้งั ที่ ๑, (กรงุ เทพมหานคร: สานกั พิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), (๒๕๑๓), พุทธวิธใี นการสอน, กรงุ เทพมหานคร : มูลนธิ ิพุทธธรรม. เลขาธกิ ารสภาการศึกษา, (๒๕๕๐), การจดั การเรยี นรจู้ ากแหลง่ เรียนร.ู้ กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด. สวสั ด์ิ สุวรรณอกั ษร, (๒๕๔๘), บนเส้นทางพฒั นาการศกึ ษา, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์พระพทุ ธศาสนา. Jensen,Eric, (2000), Brain-Based Learning, San Diego: The Brain Store Publishing.
บทที่ ๔ การกาหนดแผนการสอน วัตถุประสงคป์ ระจาบท เมอื่ ได้ศึกษาเนอ้ื หาในบทนแ้ี ลว้ ผ้ศู กึ ษาสามารถ ๑. อธิบายความหมายและความสาคัญ การกาหนดแผนการสอนได้ ๒. อธิบายองค์ประกอบหลักของแผนการสอนและแผนการจัดการเรยี นรู้ได้ ๓. อธิบายข้นั ตอนการจัดทาแผนการเรยี นรู้ได้ ขอบขา่ ยเน้อื หา ความหมายและความสาคัญ การกาหนดแผนการสอน องคป์ ระกอบหลกั ของแผนการสอนและแผนการจัดการเรียนรู้ ขน้ั ตอนการจดั ทาแผนการเรยี นรู้
การสอนธรรมวิทยา ๖๗ ๔.๑ ความนา การวางแผนการสอน เป็นภารกิจสาคัญของครูผู้สอน ทาให้ผู้สอนทราบล่วงหน้าว่าจะสอนอะไร เพ่ือจุดประสงค์ใด สอนอย่างใด ใช้ส่ืออะไร และวัดผลประเมินผลโดยวิธีใดเป็นการเตรียมตัวให้พร้อมก่อน สอน การท่ีผู้สอนได้วางแผนการสอนอย่างถูกต้องตามหลักการย่อมช่วยให้เกิดความม่ันใจในการสอน ทาให้ สอนได้ครอบคลุมเนื้อหา สอนอย่างมีแนวทางและมีเป้าหมาย และเป็นการสอนที่ให้คุณค่าแก่ผู้เรียน ดังน้ัน ผู้สอนจึงจาเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับความหมาย ความสาคัญ ลักษณะ ขั้นตอนการจัดทาและ หลักการวางแผนการสอน ตลอดจนลักษณะของแผนการสอนท่ีดี เพ่ือส่งผลให้การเรียนการสอนดาเนินไป สู่จุดหมายปลายทางท่ีกาหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพการวางแผนการสอนเป็นการจัดวางโปรแกรมการสอน ท้ังหมดในวชิ าใดวิชาหน่ึงไว้ล่วงหน้า เพื่อช่วยใหค้ รูผู้สอนได้จัดดาเนินกระบวนการเรียนการสอนให้เป็นไปตาม จุดมุ่งหมายของหลักสูตรท่ีวางไว้ ดังน้ันในแผนการสอนจะต้องประกอบไปด้วยรายละเอียดตามท่ีหลักสูตร กาหนดไว้ เช่น มีจุดประสงค์ความคิดรวบยอด/หลักการ เน้ือหา กิจกรรมการเรียนการสอน ส่ือการเรียนการ สอน การวัดผล/ประเมินผล และจานวนคาบเวลาที่ใช้สอน ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องจัดรวมไว้อย่างมีระบบ ระเบียบในแผนการสอน การวางแผนการสอนเป็นการเตรียมตัวล่วงหน้าก่อนสอน เพื่อให้การเรียนการสอนบรรลุจุดมุ่งหมายท่ี กาหนดไว้ โดยใชข้ ้อมลู ท่ีไดจ้ ากการสารวจปญั หาการสารวจทรพั ยากรการวิเคราะห์เน้ือหาการวิเคราะห์ผู้เรียน การกาหนดมโนมติ วัตถปุ ระสงค์ กจิ กรรมการเรียน สื่อการสอน และการประเมินผล แล้วเขียนแผนออกมาใน รูปของแผนการสอน การวางแผนการสอน คอื กจิ กรรมในการคิดและการทาของครูก่อนที่จะเริ่มดาเนินการสอนวิชาใดวิชา หนึ่ง ซ่ึงโดยท่ัวไปจะประกอบด้วยการกาหนดจุดมุ่งหมาย การคัดเลือกเน้ือหา การกาหนดกิจกรรมการเรียน การสอน การเลือกตารา เอกสาร อปุ กรณ์ การประเมนิ ผล และการพิมพ์ประมวลการสอนรายวิชา ๔.๒ ความหมาย กรมวิชาการ๑แผนการสอน คือ การนาวิชาหรือกลุ่มประสบการณ์ที่ต้องทาการสอน ตลอดภาคเรียน มาสร้างเป็นแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การใช้ส่ือ อุปกรณ์การสอน การวัดและการประเมินผล สาหรับเน้ือหาสาระและจุดประสงค์การเรียนการสอนย่อยๆ ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หรือจุดเน้นของ หลักสตู ร สภาพผเู้ รียน ความพรอ้ มของโรงเรียนในด้านวสั ดุอุปกรณ์ และตรงกับชีวิตจริงในท้องถิ่น ซึ่งถ้ากล่าว อีกนัยหนึ่ง แผนการสอนคือ การเตรียมการสอนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ล่วงหน้า หรือ คือการบันทึกการสอน ตามปกติน่นั เอง นิคม ชมภูหลง๒ ให้ความหมายของแผนการสอนว่า แผนการสอน หมายถึง แผนการหรือโครงการ ทจ่ี ดั ทาเป็นลายลกั ษณ์อักษร เพือ่ ใช้ในการปฏิบัติการสอนในรายวิชาใดวิชาหน่ึง เป็นการเตรียมการสอนอย่าง ๑ กรมวิชาการ, กระทรวงศกึ ษาธิการ, คู่มือการจัดการสาระการเรยี นรู้กลมุ่ สาระการเรยี นรูค้ ณติ ศาสตร์ตาม หลักสตู รการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๔๔, กรงุ เทพมหานคร : องค์การรบั สง่ สินคา้ และพสั ดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.), ๒๕๔๕ หนา้ ๓. ๒ นคิ ม ชมพหู ลง, วธิ ีการและขนั้ ตอนการพฒั นาหลกั สูตรทอ้ งถน่ิ และการจดั ทาหลักสตู รสถานศกึ ษา, มหาสารคาม : อภชิ าตการพมิ พ,์ ๒๕๔๕ หนา้ ๑๘๐.
การสอนธรรมวิทยา ๖๘ มีระบบและเป็นเคร่ืองมือช่วยให้ครูพัฒนาการจัดการเรียนการสอนไปสู่จุดประสงค์และจุดมุ่งหมาย ของหลักสตู รไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ ภพ เลาหไพฑูรย์๓ ให้ความหมายของแผนการสอนว่าแผนการสอน หมายถึงลาดับขั้นตอนและ กิจกรรมท้ังหมดของผู้สอนและผู้เรียน ท่ีผู้สอนกาหนดไว้เป็นแนวทางในการจัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนเปลี่ยน พฤติกรรมไปตามวตั ถปุ ระสงค์ วฒั นาพร ระงับทุกข์๔ ใหค้ วามหมายของแผนการสอนว่าแผนการสอนหมายถึง แผนการหรอื โครงการ ทีจ่ ดั ทาเปน็ ลายลกั ษณ์อักษร เพื่อใช้ในการปฏบิ ตั กิ ารสอนในรายวชิ าใดวชิ าหนึ่ง เปน็ การเตรียมการสอนอยา่ ง มรี ะบบและเป็นเครื่องมือที่ชว่ ยให้ครพู ัฒนาการจัดการเรยี นการสอนไปสู่จดุ ประสงค์การเรียนรู้ และจุดหมาย ของหลักสตู รได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ๕ ให้ความหมายของแผนการสอนว่า หมายถึง การวางแผนจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อเป็นแนวดาเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแต่ละคร้ังโดย กาหนดสาระสาคญั จดุ ประสงค์ เน้อื หา กจิ กรรมการเรยี นการสอนสื่อ ตลอดจนการวดั ผลและการประเมนิ ผล สถาบันพัฒนาความก้าวหน้า๖ ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ว่าเป็นแผนงานหรือ โครงการที่ครูผู้สอนได้เตรียมการจัดการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้ปฏิบัติการเรียนรู้ใน รายวิชาใดวิชาหนึ่งอย่างเป็นระบบระเบียบ โดยใช้เป็นเคร่ืองมือสาหรับจัดการเรียนรู้เพื่อนาผู้เรียนไปสู่ จุดประสงค์การเรยี นรู้และจุดหมายของหลักสูตรอย่างมีประสทิ ธิภาพ กรมวิชาการ๗ ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ คือผลของการเตรียมการวางแผนการ จดั การเรียนการสอนอย่างเปน็ ระบบโดยนาสาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ คาอธิบายรายวิชา และกระบวนการ เรียนรู้ โดยเขยี นเปน็ แผนการจดั การเรียนรู้ใหเ้ ป็นไปตามศกั ยภาพของผูเ้ รียน สรปุ แผนการสอนคือ การวางแผนการจัดกิจกรรมเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ล่วงหน้าอย่างละเอียดเพ่ือ เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งมีเนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการสอน และวิธี วัดผลประเมินผลทีช่ ัดเจน ๔.๓ ความสาคญั การวางแผนการสอน เป็นงานสาคัญของครูผู้สอน การสอนจะประสบผลสาเร็จด้วยดีหรือไม่มากน้อย เพียงใด ขึ้นอยู่กับการวางแผนการสอนเป็นสาคัญประการหน่ึง ถ้าผู้สอนมีการวางแผนการสอนท่ีดีก็เท่ากับ ๓ ภพ เลาหไพฑูรย,์ แนวการสอนวทิ ยาศาสตร์, พมิ พ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานชิ , ๒๕๔๐ หน้า ๓๕๗. ๔ วฒั นาพร ระงับทุกข,์ แผนการสอนทีเ่ น้นผู้เรยี นเปน็ ศนู ยก์ ลาง, กรงุ เทพมหานคร : แอล ที เพรส จากัด, ๒๕๔๒ หน้า ๑. ๕ สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาต,ิ ปฏิรูปการเรยี นรูผ้ เู้ รียนสาคญั ที่สดุ , กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัทพมิ พด์ ี , ๒๕๔๓ หนา้ ๑๓๓. ๖ สถาบันพฒั นาความก้าวหนา้ , ยุทธศาสตร์การปรบั วธิ ีเรียน การเปลี่ยนวธิ ีสอนเพ่ือเตรยี มสู่ความกา้ วหนา้ ใน อนาคต, กรุงเทพมหานคร : สถาบันพัฒนาความก้าวหน้า, ๒๕๔๕ หนา้ ๖๙. ๗ กรมวชิ าการ, กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. คมู่ อื การจดั การสาระการเรยี นรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้คณติ ศาสตร์ตาม หลักสูตรการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๔๔, กรงุ เทพมหานคร : องค์การรบั ส่งสินค้าและพัสดภุ ัณฑ์ (ร.ส.พ.), ๒๕๔๕ หนา้ ๗๓.
การสอนธรรมวทิ ยา ๖๙ บรรลจุ ดุ หมายปลายทางไปแล้วครง่ึ หนึ่ง การวางแผนการสอนจงึ มีความสาคญั หลายประการ ดงั นี้ ๑. ทาให้ผู้สอนสอนด้วยความมั่นใจเม่ือเกิดความมั่นใจในการสอนย่อมจะสอนด้วยความแคล่วคล่อง เป็นไปตามลาดับขน้ั ตอนอย่างราบร่ืน ไม่ติดขัด เพราะได้เตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว การสอนก็จะดาเนิน ไปสจู่ ุดมงุ่ หมายปลายทางอย่างสมบรู ณ์ ๒. ทาให้เป็นการสอนที่มีคุณค่าคุ้มกับเวลาท่ีผ่านไป เพราะผู้สอนสอนอย่างมีแผน มีเป้าหมาย และ มีทิศทางในการสอน มิใช่สอนอย่างเลื่อนลอย ผู้เรียนก็จะได้รับความรู้ ความคิด เกิดเจตคติ เกิดทักษะ และ เกิดประสบการณ์ใหมต่ ามท่ผี ูส้ อนวางแผนไว้ ทาให้เป็นการเรยี นการสอนทมี่ ีคุณค่า ๓. ทาให้เป็นการสอนท่ีตรงตามหลักสูตร ท้ังนี้เพราะในการวางแผนการสอน ผู้สอนต้องศึกษา หลกั สตู รท้ังดา้ นจุดประสงค์การสอนเนือ้ หาสาระท่จี ะสอนการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน การใช้สื่อการสอน และการวัดผลประเมินผล แล้วจัดทาออกมาเป็นแผนการสอน เมื่อผู้สอนสอนตามแผนการสอน ก็ย่อมทาให้ เป็นการสอนที่ตรงตามจดุ หมายและทศิ ทางของหลกั สูตร ๔. ทาให้การสอนบรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพดีกว่าการสอนท่ีไม่มีการวางแผนเน่ืองจากในการวาง แผนการสอนผู้สอนต้องวางแผนอย่างรอบคอบในทุกองค์ประกอบของการสอน รวมทั้งการจัดเวลา สถานท่ี และสิ่งอานวยความสะดวกตา่ ง ๆ ซึ่งจะเอือ้ อานวยให้เกิดการเรียนรไู้ ดโ้ ดยสะดวกและง่ายดายข้ึน ดังน้ัน เมื่อมี การวางแผนการสอนท่ีรอบคอบและปฏิบัติตามแผนการสอนที่วางไว้ ผลของการสอนย่อมสาเร็จได้ดีกว่าการ ไม่ไดว้ างแผนการสอน ๕. ทาให้ผู้สอนมีเอกสารเตือนความจา สามารถนามาใช้เป็นแนวทางในการสอนต่อไป ทาให้ไม่เกิด ความซ้าซอ้ นและเปน็ แนวทางในการทบทวนหรือการออกขอ้ ทดสอบเพือ่ วดั ผลประเมินผู้เรียนได้ นอกจากนี้ทา ให้ผู้สอนมีเอกสารไว้ให้แนวทางแก่ผู้ท่ีเข้าสอนแทนในกรณีจาเป็น เมื่อผู้สอนไม่สามารถเข้าสอนเองได้ ผู้เรียน จะได้รบั ความรู้และประสบการณ์ท่ีต่อเนอ่ื งกนั ๖. ทาให้ผู้เรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อผู้สอนและต่อวิชาท่ีเรียน ท้ังน้ีเพราะผู้สอน สอนด้วยความพร้อม เป็นความพรอ้ มทัง้ ทางดา้ นจติ ใจ และความพรอ้ มทางด้านวัตถุ ความพร้อมทางด้านจิตใจคือความม่ันใจในการ สอน เพราะผู้สอนได้เตรียมการสอนมาอย่างรอบคอบ ส่วนความพร้อมทางด้านวัตถุคือ การท่ีผู้สอนได้เตรียม เอกสารหรือส่ือการสอนไว้อย่างพร้อมเพียง เม่ือผู้สอนเกิดความพร้อมในการสอน ย่อมสอนด้วยความกระจ่าง แจง้ ทาให้ผู้เรียนเกิดความเขา้ ใจอย่างชัดเจนในบทเรียน อันส่งผลให้ผู้เรียนเกิดเจตคติท่ีดีต่อผู้สอนและต่อวิชา ทเี่ รียน ๔.๓.๑ ความสาคญั ของแผนการสอนต่อวิชาชพี ครู ๑. แผนการสอนเป็นหลักฐานท่ีแสดงถึงการเป็นครูแบบมืออาชีพ มีการเตรียมการล่วงหน้า แผนการ สอนของครสู ะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงการใช้เทคนิคการสอน ส่ือนวัตกรรม และจิตวิทยาการเรียนรู้ของเด็กมาสมผสาน กันหรอื ประยุกตใ์ ช้ใหเ้ หมาะสมกบั สภาพของนักเรยี นทต่ี นเองสอนอยู่ ๒. แผนการสอนช่วยส่งเสริมให้ครูได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับหลักสูตร เทคนิคการสอน ส่อื นวตั กรรม และวธิ กี ารวัดและประเมินผล เพอื่ พฒั นาวชิ าชพี ของตนเอง ๓. แผนการสอนทาให้ครูผู้สอนและครูท่ีจะปฏิบัติการสอนแทนสามารถปฏิบัติการสอนได้อย่างมั่นใจ และมีประสิทธภิ าพ ๔. แผนการสอนเป็นหลักฐานท่ีแสดงข้อมูลด้านการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล ท่จี ะนาไปใช้ประโยชน์ในการจดั การเรยี นการสอนในคร้ังต่อไป ๕. แผนการสอนเป็นหลกั ฐานทแ่ี สดงถึงความเชี่ยวชาญในวชิ าชพี ครู ซึง่ สามารถนาไปเสนอเป็นผลงาน ทางวิชาการ เพ่ือประกอบการพิจารณาความดีความชอบประจาปี เพ่ือขอเล่ือนตาแหน่ง หรือระดับให้สูงข้ึน และเพอื่ ใชป้ ระกอบการขอใบอนุญาตประกอวิชาชีพครู
การสอนธรรมวทิ ยา ๗๐ ๔.๓.๒ ลกั ษณะทดี่ ขี องแผนการจัดการเรียนรู้ สมนกึ ภัททยิ ธนี๘ ไดก้ ล่าวถึงลกั ษณะทดี่ ีของแผนตอ้ งมขี นั้ ตอน ดงั น้ี ๑. เนื้อหาต้องเขยี นเปน็ รายคาบ หรือรายช่วั โมงตารางสอน โดยเขียนให้สอดคล้องกับชื่อเร่ืองให้อยู่ใน โครงการสอนและเขียนเฉพาะเนื้อหาสาระสาคัญพอสังเขป (ไม่ควรบันทึกแผนการสอนอย่างละเอียดมากๆ เพราะจะทาให้เกดิ ความเบ่ือหน่าย) ๒. ความคดิ รวบยอด (Concept) หรอื หลกั การสาคัญ ต้องเขยี นให้ตรงกับเนื้อหาที่จะสอนส่วนนี้ถือว่า เปน็ หัวใจของเรอ่ื งครูต้องทาความเข้าใจในเนื้อหาท่จี ะสอนจนสามารถเขยี นความคดิ รวบยอดได้อย่างมคี ุณภาพ ๓. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ต้องเขียนให้สอดคล้อง กลมกลืนกับความคิดรวบยอด มิใช่เขียนตาม อาเภอใจไม่ใช่เขียนสอดคล้องเฉพาะเน้ือหาที่จะสอนเท่าน้ัน เพราะจะได้เฉพาะพฤติกรรมที่เก่ียวกับความรู้ ความจาสมองหรอื การพัฒนาของนักเรียนจะไม่ไดร้ ับการพฒั นาเท่าทค่ี วร ๔. กจิ กรรมการเรียนการสอน โดยยดึ เทคนิคการสอนต่างๆ ท่จี ะชว่ ยให้นักเรยี นเกดิ การเรยี นรู้ ๕. ส่ือทีใ่ ช้ควรเลือกใหส้ อดคล้องกบั เนอ้ื หา สอื่ ดงั กลา่ วต้องช่วยให้นักเรียนเกิดความเข้าใจในหลักการ ได้งา่ ย ๖. วัดผลโดยคานึงถึงเน้ือหา ความคิดรวบยอด จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมและช่วงท่ีทาการวัด (กอ่ นเรยี น ระหว่างเรียน หลงั เรยี น) เพอ่ื ตรวจสอบวา่ การสอนของครบู รรลุจุดม่งุ หมายที่ต้ังไว้หรอื ไม่ ๔.๓.๓ ลกั ษณะการวางแผนการสอน การวางแผนการสอนทาให้ผู้สอนได้ทราบว่าจะต้องสอนอะไร สอนอย่างไร สอนเม่ือใด ใช้เวลาเท่าใด ใช้อะไรประกอบการสอนบ้าง และวัดผลประเมินผลอย่างไร ดังนั้นในการวางแผนการสอนเพื่อให้ได้ทราบ ขอ้ มลู ดงั กล่าว จงึ ตอ้ งจดั ทาเป็น ๒ ข้ันตอน ข้นั ตอนที่ ๑ จดั ทาเป็นกาหนดการสอน ขนั้ ตอนท่ี ๒ จดั ทาเปน็ แผนการสอน ในขั้นแรกผู้สอนต้องจัดทากาหนดการสอนก่อน โดยวิเคราะห์เน้ือหาสาระจากคาอธิบายรายวิชา เมื่อจัดทากาหนดการสอนแล้ว จึงนากาหนดการสอนมาเป็นแนวทางการจัดทาแผนการสอน ดังน้ันผู้สอน จงึ ควรไดท้ ราบลักษณะของกาหนดการสอนและแผนการสอนซงึ่ มดี งั น้ี กาหนดการสอน กาหนดการสอนเป็นเอกสารสาคัญท่ีครูทุกคนจะต้องใช้เป็นหลักในการวางแผน การสอนจัดเป็นการวางแผนการสอนระยะยาวตลอดภาคเรียนหรือตลอดปกี ารศึกษาโดยไมม่ ีรายละเอียดมาก กาหนดการสอน คือ แผนงานการสอนหรือโครงการสอน ท่ีจัดทาข้ึนจากหลักสูตรและคู่มือครู หรือ แนวการสอนของกรมวิชาการ โดยกาหนดเน้อื หาสาระสาคญั จานวนคาบ เวลาและสัปดาห์ที่สอนไว้ตลอดภาค เรียนหรือตลอดปีการศึกษาทาให้ผู้สอนได้ทราบว่าตลอดภาคเรียนนั้น ในแต่ละสัปดาห์จะต้องสอนเน้ือหา ใดบ้าง จัดกจิ กรรมขอ้ ใดและในเวลากี่คาบ ความสาคัญของกาหนดการสอน กาหนดการสอนเป็นการวางแผนระยะยาว ซึ่งจาเป็นต้องจัดทาให้ เสรจ็ กอ่ นเร่ิมเปดิ ภาคเรยี นหรอื ปีการศกึ ษาใหม่ เพราะกาหนดการสอนมคี วามสาคัญ ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑.เปน็ แนวทางในการทาแผนการสอนของครู กล่าวคอื การจดั ทาแผนการสอนจาเป็นต้องดูกาหนดการ สอนเป็นหลัก ทั้งน้ีเพราะกาหนดการสอนจะบ่งให้ทราบว่า ในแต่ละวันของสัปดาห์จะต้องสอนเนื้อหาใด ๘ สมนึก ภัททยิ ธนี, การวัดผลการศึกษา, พมิ พค์ ร้ังที่ ๔, กาฬสนิ ธุ์ : ประสานการพมิ พ,์ ๒๕๔๖ หน้า ๕.
การสอนธรรมวิทยา ๗๑ กจิ กรรมข้อใด ผู้สอนก็จะทาแผนการสอนของเนื้อหาท่ีจะสอนในแต่ละวันแต่ละวันแต่ละวิชาได้ถูกต้องตรงกัน กับกาหนดการสอน ๒.ทาให้ครูได้เห็นแผนงานการสอนระยะยาว ได้ทราบเนื้อหาที่จะต้องสอนตลอดภาคเรียนนั้นเป็น ประโยชนต์ อ่ การเตรียมตวั และการวางแผนทางานตลอดภาคเรียนหรอื ตลอดปีการศึกษา ๓.เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายวิชาการและฝ่ายบริหารของโรงเรียนในการวางแผนงา นบริหารด้านวิชาการ ของโรงเรียน เช่น การวางแผนจัดทาตารางสอน จัดครูเข้าสอน จัดเตรียมเอกสาร จัดเตรียมวันสอบกลางภาค สอบปลายภาค จดั เตรยี มส่ือการสอน เตรียมห้องสมุด เตรียมห้องเรียน เตรียมการใช้อาคารสถานท่ีต่างๆ เป็น ตน้ รูปแบบของกาหนดการสอน โดยท่ัวไป กาหนดการสอนจะเขียนในรูปแบบของตารางประกอบด้วย สัปดาห์ที่สอน เนื้อหาในแต่ละสัปดาห์ และจานวนคาบเวลา นอกจากน้ีอาจมีรูปแบบอ่ืนท่ีมีรายละเอียด มากกวา่ น้ี ขึน้ อยกู่ ับนโยบายของโรงเรยี น อยา่ งไรกต็ าม รปู แบบดังตัวอย่างท่ีนาเสนอเปน็ รูปแบบท่ีนิยมใช้ แผนการสอน เมื่อผู้สอนทากาหนดการสอนเสร็จแล้ว ก็จะนามาเป็นกาหนดการเขียนแผนการสอน โดยเขียนรายละเอียดของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในแตล่ ะสปั ดาหใ์ ห้ชดั เจนขึ้นเพ่ือนาไปใช้จริง ประโยชน์ของแผนการสอน ๑. ทาให้เกิดการวางแผนวิธีสอนวิธีเรียนท่ีมีความหมายยิ่งข้ึน เพราะเป็นการจัดทาอย่างมีหลักการ ทถี่ กู ต้อง ๒. ช่วยใหค้ รมู ีคูม่ ือการสอนท่ีทาด้วยตนเอง ทาให้เกิดความสะดวกในการจัดการเรียนการสอน ทาให้ สอนได้ครบถว้ นตรงตามหลกั สูตร และสอนได้ทนั เวลา ๓.เป็นผลงานวิชาการท่สี ามารถเผยแพร่เปน็ ตัวอย่างได้ ๔. ชว่ ยใหค้ วามสะดวกแก่ครูผู้มาสอนแทนในกรณีที่ผู้สอนไมส่ ามารถเขา้ สอนได้ ถ้าครูได้ทาแผนการ สอนและใช้แผนการสอนท่ีจัดทาขน้ึ เพอื่ นาไปใชส้ อนในคราวต่อไปแผนการสอนดงั กล่าวจะเกดิ ประโยชนด์ งั น้ี ๙ ๑. ครูรวู้ ัตถปุ ระสงคข์ องการสอน ๒. ครูจดั กิจกรรมการเรียนการสอนดว้ ยความมัน่ ใจ ๓. ครจู ดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนได้เหมาะสมกับวัยของผูเ้ รยี น ๔. ครจู ัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนได้อย่างมีคณุ ภาพ ๕. ถา้ ครูประจาชัน้ ไม่ได้สอน ครทู ีม่ าทาการสอนแทนสามารถสอนแทนได้ตามจุดประสงค์ท่กี าหนด การวางแผนการจดั การเรยี นรู้ การวางแผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การตีความหมายของหลักสูตร และการกาหนดรายละเอียด ของหลักสูตรที่จะต้องนามาจัดการเรียนการสอน ให้แก่ผู้เรียน ผลจากการวางแผนจะได้คู่มือที่ใช้เป็นแนวทาง เรยี กว่ากาหนดการสอน ประกอบดว้ ยกจิ กรรม ดังนี้ ๑. ศึกษาวิเคราะห์หลักสูตร ได้แก่ หลักการ จุดหมาย โครงสร้าง เวลาเรียนแนวดาเนินการในการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนให้ตอบสนองจุดประสงค์การเรียนรู้ และจุดมุ่งหมายของหลักสูตร การวัดและการ ประเมินการเรียน คาอธิบายในแต่ละกลุ่มประสบการณ์ ซ่ึงระบุเน้ือหาท่ีต้องให้นักเรียนได้เรียน ตามลาดับ ข้ันตอนกระบวนการทีต่ อ้ งใหน้ กั เรยี นได้ฝกึ ปฏบิ ตั ิ และจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ท่ตี อ้ งการใหเ้ กดิ การเรียนรู้ ๒. ศกึ ษาความสอดคล้องสัมพันธ์กนั กบั องคป์ ระกอบแตล่ ะส่วนของหลักสตู ร ๙ สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, การบริหารโรงเรยี นตามแนวปฏริ ูปการศกึ ษา, กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ครุ สุ ภาพลาดพร้าว, ๒๕๔๔ หนา้ ๓๔.
การสอนธรรมวิทยา ๗๒ ๓. ลาดับความคิดรวบยอดท่ีจัดให้นักเรียนแต่ละระดับชั้นได้เรียนรู้ก่อนหลัง โดยพิจารณาขอบข่าย เนือ้ หา และกิจกรรมท่กี าหนดไวใ้ นคาอธิบายรายวิชา ๔. กาหนดผลที่ต้องการใหเ้ กิดกบั นกั เรียน เม่ือได้เรยี นร้คู วามคิดรวบยอดแตล่ ะเรื่องแล้ว ๕. กาหนดกิจกรรมการเรียนการสอนตามลาดับขั้นตอนท่ีกาหนดไว้ในคาอธิบายรายวิชา หรืออาจ พิจารณาจากกิจกรรมทเ่ี หมาสมกบั เนือ้ หาสาระ ๖. กาหนดเวลาเรียนใหเ้ หมาะสมกบั ขอบขา่ ยเนื้อหาสาระหรอื ความคิดรวบยอด จดุ ประสงค์การ เรยี นรแู้ ละกจิ กรรมที่กาหนดไว้ ๗. รวบรวมรายละเอียดตามกิจกรรมข้อ ๑ – ๖ จัดทาเป็นเอกสารท่ีเรียกว่ากาหนดการสอนหรือแนว การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ใชเ้ ป็นแนวทางในการเตรียมแผนการสอนต่อไป การเตรียมการสอนและการปฏิบัติการสอน การเตรียมการสอนเร่ิมด้วยการจัดทาแผนการสอน ซึ่งเป็นผลมาจากการวางแผน มาสร้างเป็น แผนการสอนย่อยๆ องคป์ ระกอบทีส่ าคญั ของแผนการสอน ควรมดี ังน้ี๑๐ ๑. สาระสาคัญ ๒. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ๓. เนื้อหา ๔. กจิ กรรมการเรียนการสอน ๕. สอ่ื การเรยี นการสอน ๖. การวัดและประเมนิ ผลการเรยี น องค์ประกอบของแผนการสอน องคป์ ระกอบของแผนการสอนเกิดข้นึ จากความพยายามตอบคาถามดงั ต่อไปนี้ ๑. สอนอะไร (หนว่ ย หวั เร่อื ง ความคดิ รวบยอด หรอื สาระสาคัญ) ๒. เพื่อจุดประสงคอ์ ะไร (จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม) ๓. ดว้ ยสาระอะไร (โครงรา่ งเน้ือหา) ๔. ใชว้ ิธกี ารใด (กิจกรรมการเรียนการสอน) ๕. ใช้เครื่องมืออะไร (สอ่ื การเรียนการสอน) ๖. ทราบได้อยา่ งไรวา่ ประสบความสาเรจ็ หรอื ไม่ (วัดผลประเมินผล) เพอ่ื ตอบคาถามดังกล่าวจงึ กาหนดให้แผนการสอนมีองค์ประกอบ ดังน้ี ๑. วชิ า หน่วยทสี่ อนและสาระสาคญั (ความคิดรวบยอดของเรอื่ ง) ๒. จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม ๓. เน้อื หา ๔. กิจกรรมการเรียนการสอน ๕. สอ่ื การเรยี นการสอน ๖. วัดผลประเมนิ ผล ๔.๔ องคป์ ระกอบหลักของแผนการสอนและแผนการจดั การเรยี นรู้ ๑๐ สาลี รกั สุทธี และคณะ, เทคนิควิธกี ารพัฒนาหลักสตู รแบบบูรณาการ, กรงุ เทพมหานคร : พัฒนศึกษา, ๒๕๔๔ หนา้ ๗.
การสอนธรรมวิทยา ๗๓ ๔.๔.๑ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ (Objective) คือ ส่ิงทตี่ ้องการให้เกดิ ขึ้นกับผ้เู รียน ๑.๑ พุทธิพสิ ยั (Cognitive) คือ จดุ ประสงค์ทเี่ นน้ ความสามารถทางสมอง (Head) ความรู้ใน เนือ้ หา และ ทฤษฎี ๑.๒ ทกั ษะพิสยั (Skill) คอื จุดประสงค์ท่ีเน้นความสามารถทางปฏบิ ตั ิ (Hand) ๑.๓ จติ พิสัย (Affective) คอื จุดประสงค์ทเ่ี น้นคุณธรรม และจิตใจ (Heart) ๔.๔.๒ การเรยี นการสอน (Learning) คอื กระบวนการที่จะทาให้บรรลุจดุ ประสงค์การเรียนรู้ ๒.๑ สาระการเรียนรู้ ๒.๒ เนือ้ หาวชิ า ๒.๓ กจิ กรรมการเรียนการสอน ๒.๔ ส่ือการเรยี นการสอน เชน่ การอภิปราย การสาธิต การสบื ค้น การทาโครงงาน การวจิ ัย และทดลองปฏบิ ตั ิ เป็นต้น ๔.๔.๓ การวัด และประเมนิ ผล (Evaluation) คอื การตรวจสอบว่าผูเ้ รยี นมีพฤติกรรม หรอื ลกั ษณะ พึงประสงค์ ตามจุดประสงค์การเรยี นรมู้ ากน้อยเพียงใด องคป์ ระกอบ ในการเขยี นแผนการสอน หรอื เอกสารประกอบการสอน ๑. มาตรฐานการเรยี นรู้ ๒. สาระสาคญั ๓. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ๔. จดุ ประสงคป์ ลายทาง ๕. จดุ ประสงค์นาทาง ๖. เน้อื หาสาระ ๗. สื่ออปุ กรณ์การเรียนการสอน ๘. ลาดบั กิจกรรมการเรียนการสอน ๙. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ๑๐. การวดั และประเมนิ ผล ๑๑. กจิ กรรมเสนอแนะ ๑๒. บนั ทกึ ผลหลังการ ดังนี้ - ปญั หาอปุ สรรค - แนวทางแก้ไข - ขอ้ เสนอแนะ ๑๓. ชื่อผู้สอน รายละเอยี ดแผนการเรียนรู้ แผนการเรยี นรู้ (Lesson Plan) ประกอบดว้ ย ๙ หวั ข้อ โดยการบรู ณาการของหน่วยศึกษานเิ ทศก์๑๑ ๑. สาระสาคัญ (Concept) เปน็ ความคิดรวบยอดหรือหลกั การของเรื่องหนึ่งท่ีต้องการให้เกิด กับนักเรยี น เมอื่ เรียนตามแผนการสอนแล้ว ๑๑ สาลี รักสุทธี และคณะ, เทคนิควิธีการพฒั นาหลกั สตู รแบบบูรณาการ, กรุงเทพมหานคร : พัฒนศึกษา, ๒๕๔๑ หนา้ ๑๓๖–๑๓๗,
การสอนธรรมวทิ ยา ๗๔ ๒. จุดประสงค์การเรียนรู้ (Learning Objective) เป็นการกาหนดจุดประสงค์ท่ีต้องการ ใหเ้ กิดกบั ผ้เู รยี น เมือ่ เรียนจบตามแผนการสอนแล้ว ๓. เน้ือหา (Content) เปน็ เนื้อหาที่จัดกิจกรรมและต้องการใหน้ ักเรยี นเกิดการเรยี นรู้ ๔. กิจกรรมการเรียนการสอน (Instructional Activities) เป็นการสอนขั้นตอนหรือ กระบวนการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน ซึ่งนาไปส่จู ุดประสงค์ทกี่ าหนด ๕. ส่ือและอุปกรณ์ (Instructional Media) เป็นส่ือ และอุปกรณ์ท่ีใช้ในกิจกรรมการเรียน การสอนที่กาหนดไว้ในแผนการสอน ๖. การวัดผลและประเมินผล (Measurement and Evaluation) เป็นการกาหนดข้ันตอน หรอื วธิ กี ารวัดและประเมนิ ผล วา่ นกั เรยี นบรรลุจดุ ประสงค์ตามที่ระบุไว้ในกิจกรรมการเรียนการสอน แยกเป็น กอ่ นสอน ระหว่างสอนและหลงั สอน ๗. กิจกรรมเสนอแนะ เป็นกจิ กรรมท่บี นั ทึกการตรวจแผนการสอน ๘. ข้อเสนอแนะของผู้บังคับบัญชา เป็นการบันทึกตรวจแผนการสอนเพ่ือเสนอแนะหลังจาก ได้ตรวจสอบความถกู ต้อง การกาหนดรายละเอียดในหวั ขอ้ ต่างๆ ในแผนการสอน ๙. บันทึกการสอน เป็นการบันทึกของผู้สอน หลังจากนาแผนการสอนไปใช้แล้วเพ่ือเป็นการ ปรับปรุงและใช้ในคราวตอ่ ไป มี ๓ หัวข้อ คอื ๙.๑ ผลการเรียน เป็นการบันทึกผลการเรียนด้านสุขภาพและปริมาณท้ัง ๓ ดา้ น คอื ด้านพทุ ธิพิสยั จติ พสิ ยั และทักษะพิสัย ซง่ึ กาหนดในข้ันกจิ กรรมการเรียนการสอนและการประเมนิ ๙.๒ ปัญหาและอุปสรรค เป็นการบันทึก ปัญหาและอุปสรรคท่ีเกิดข้ึนในขณะสอน กอ่ นสอน และหลังทาการสอน ๙.๓ ข้อเสนอแนะ / แนวทางแก้ไข เป็นการบันทึกข้อเสนอแนะเพ่ือแก้ไขปรับปรุง การเรยี นการสอน ให้เกดิ การเรียนรู้ บรรลจุ ุดประสงคข์ องบทเรียนทหี่ ลักสูตรกาหนด วิธีการเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้ การเขยี นจดุ ประสงค์การเรยี นรูท้ ด่ี ี ตอ้ งเขยี นให้ครอบคลมุ ทัง้ ๓ พสิ ัย หรือ ๓ H คือ ๑. พทุ ธิพสิ ัย คือ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ที่เน้นความสามารถทางสมอง (Head) หรือในด้านความรู้เชิง ทฤษฎี ซ่งึ สามารถแบง่ ออกเปน็ ๖ ระดบั จากงา่ ยไปหายาก ดังน้ี ๑.๑ ขัน้ ความรู้ความจา คอื สามารถจาสิง่ ที่เรียนไปแล้วได้ เช่น จาความหมายของคาต่างๆที่ เรียนไปแล้วได้ ตัวอยา่ ง คาวา่ “ขนั ” แปลวา่ หัวเราะ หรืออาการรอ้ งของไก่ เปน็ ต้น ๑.๒ ขั้นความเข้าใจ คือ สามารถเข้าใจสิ่งท่ีเรียนไปแล้ว เช่น เข้าใจความหมายของคาว่า “ขัน” เมือ่ อยู่ในประโยคตา่ งๆ เช่น “ไก่ขนั ” หมายถึง อาการโกง่ คอร้องของไก่ “เขาพดู น่าขนั ” หมายถึง นา่ หวั เราะ ๑.๓ ขั้นนาไปใช้ คือ สามารถนาความรู้ไปใช้แก้ปัญหาต่างๆ เช่น สามารเลือกใช้คาว่า“ขัน” ในประโยคต่างๆไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง ๑.๔ ขั้นวิเคราะห์ คือ สามารถแยกแยะรายละเอียดของส่ิงต่างๆได้ เช่น วิเคราะห์ผลดี – ผลเสีย จุดเดน่ – จดุ ด้อย ความเหมอื น – ความแตกต่าง หรอื ความสัมพันธใ์ นเชิงเหตุผล เปน็ ตน้ ๑.๕ ขั้นสงั เคราะห์ คอื สามารถคดิ สร้างสรรคส์ ิง่ ใหม่ได้ เช่น ให้คามา ๕ คา สามารนามาแต่ง เป็นเร่อื งราวได้ ๑.๖ ขน้ั ประเมินค่า คอื สามารถตดั สินใจเลอื กอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ไดอ้ ย่างมีเหตุผล
การสอนธรรมวิทยา ๗๕ ๒. ทักษะพิสัย คือ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ที่เน้นความสามารถในการลงมือปฏบิ ัติ (Hand) เช่น การสาธติ การทดลอง การปฏบิ ัตจิ ริง และการแก้ปัญหาตา่ งๆ เปน็ ตน้ ๓. จิตพสิ ยั คือ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ท่เี น้นความรู้สึกนึกคิดท่ดี ภี ายในใจต่อสง่ิ ใดสง่ิ หน่งึ (Heart) หรือคุณธรรมในตวั ผู้เรยี น สว่ นการเขียนจุดประสงค์นาทาง จะนาจุดประสงคป์ ลายทางท้งั ๓ พิสัยมาแตกเป็นข้อย่อยๆ แลว้ เขียนในเชงิ พฤตกิ รรม ซึง่ นักเรียนสามารถแสดงออกใหผ้ ู้อ่ืนรูไ้ ด้ ทาให้สะดวกต่อการวดั ผล เชน่ นกั เรียน สามารถบอก อธิบาย บรรยาย วิเคราะห์ ปฏิบัติ ในสิง่ ที่เรียนไปแล้วได้ จุดประสงค์การเรยี นรู้ การเขยี นจดุ ประสงค์ปลายทาง การเขียนจดุ ประสงคน์ าทาง ดา้ นพุทธพิ สิ ยั (Head) -บอกชือ่ /ความหมาย/ประโยชน์ของ………ได้ -เพื่อใหน้ ักเรยี นมีความรู้ ความเข้าใจ -อธบิ ายขัน้ ตอนของ……………………….ได้ เกยี่ วกบั ……………………………………… -บรรยายลักษณะของ……………………..ได้ -วิเคราะหผ์ ลดี-ผลเสียของ………………ได้ ด้านทักษะพิสยั (Heart) -อภปิ รายเกีย่ วกบั …………………………..ได้ ฯลฯ -เพ่อื ให้นักเรยี นสามารถปฏบิ ัติ เกย่ี วกบั ………………………………………. -สาธติ เกี่ยวกบั ……………………………...ได้ -ปฏิบัตเิ กีย่ วกบั ……………………….…….ได้ ดา้ นจิตพิสยั (Health) -ทดลองเกีย่ วกบั ……………………….……ได้ -เพอ่ื ให้นักเรยี นตระหนักในคุณคา่ /ความสาคญั -แกป้ ญั หาเกี่ยวกับ…………………………ได้ ฯลฯ ของ…………………..หรือเพอ่ื ใหน้ กั เรียนมเี จตคติที่ดี ตอ่ ………………………………… -บรรยายประโยชนข์ อง………………….ได้ -บรรยายคุณค่า/ความสาคัญของ……ได้ -ปฏิบตั ติ นเก่ยี วกบั ……………………ด้วยความเต็มใจ -ปฏบิ ัติตนเกี่ยวกบั ……………….…..ด้วยความ รับผิดชอบสมา่ เสมอ ฯลฯ ๔.๕ ขน้ั ตอนการจดั ทาแผนการจัดการเรียนรู้ ๑.วิเคราะห์คาอธิบายรายวิชา เพื่อประโยชน์ในการกาหนดหน่วยการเรียนรู้และรายละเอียดของแต่ ละหวั ข้อของแผนกการจัดเรียนรู้ ๒. วเิ คราะห์จุดประสงค์รายวชิ าและมาตรฐานรายวชิ า เพ่ือนามาเขียนเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้ โดย ให้ครอบคลุมพฤตกิ รรมทงั้ ดา้ นความรู้ ทักษะ / กระบวนการ เจตคติและค่านิยม ๓. วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ โดยเลือกและขยายสาระที่เรียนรู้ให้สอดคล้องกับผู้เรียน ชุมชน และ ทอ้ งถิน่ รวมทงั้ วทิ ยาการและเทคโนโลยใี หม่ ๆ ทีจ่ ะเป็นประโยชนต์ ่อผู้เรียน ๔. วิเคราะห์กระบวนการจัดการเรียนรู้ (กิจกรรมการเรียนรู้) โดยเลือกรูปแบบการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้น ผเู้ รยี นเปน็ สาคัญ ๕. วิเคราะห์กระบวนการประเมินผล โดยเลือกใช้วิธีการวัดและประเมินผลที่สอดคล้องกับ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
การสอนธรรมวทิ ยา ๗๖ ๖. วเิ คราะห์แหลง่ การเรยี นรู้ โดยคัดเลือกส่อื การเรียนรูแ้ ละแหล่งการเรยี นรทู้ ง้ั ในและนอกห้องเรียน ให้เหมาะสมสอดคล้องกบั กระบวนการเรียนรู้ ๔.๕.๑ องค์ประกอบสาคัญของแผนการจดั การเรียนรู้ วิเคราะห์คาอธบิ ายรายวชิ า เพื่อกาหนดหนว่ ยการเรยี นรู้ หวั ขอ้ การเรียนรู้ และเวลาทีจ่ ะใช้ วเิ คราะห์จดุ ประสงคร์ าวชิ า เพ่อื กาหนดผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวงั ใหเ้ กิดขน้ึ กบั ผูเ้ รยี น ท้งั ดา้ น ความร้ทู ักษะ และมาตรฐานรายวิชา กระบวนการ เจตคตแิ ละพฤติกรรมลักษณะนสิ ยั ท่ีพงึ ประสงค์ โดยการเขียน วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ ในรูปจดุ ประสงค์ทั่วไปและเชงิ พฤตกิ รรม จากผลการเรียนรู้ - เลอื กและขยายสาระการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับผ้เู รยี น ชมุ ชน ทอ้ งถิ่น - สาระการเรียนรตู้ อ้ งมคี วามเที่ยงตรง ปฏบิ ตั ไิ ด้จรงิ ทันสมยั และ เป็นตวั วเิ คราะหก์ ระบวน จดั การเรียนรู้ แทนของความรู้ - มคี วามสาคญั ทง้ั ในแนวกว้างและแนวลึก - จัดสาระการเรียนรใู้ ห้เรียงลาดบั จากงา่ ยไปหายากและต่อเนอื่ ง - จดั สาระท่ีเรียนร้ใู หส้ ัมพนั ธ์กบั รายวิชา / กลมุ่ วชิ าอน่ื ๆ - เลอื กรูปแบบการจัดการเรยี นรใู้ ห้สอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ว่ามุ่งไปในทิศทางใด - มคี วามสนใจสาหรับผเู้ รียน - สามารถเรียนรไู้ ด้งา่ ย เหมาะสมกบั วยั ธรรมชาตขิ องผเู้ รยี นและสถานท่ี - เลอื กวิธีการนาเขา้ สู่การเรยี น - ใหผ้ ้เู รยี นทากิจกรรมตามข้นั ตอนของรปู แบบการเรยี นรู้ ผ้เู รยี นท่ีมี ความสามารถแตกตา่ งกนั ไมจ่ าเป็นตอ้ งทากจิ กรรมเหมือนกัน - ควรเนน้ กจิ กรรมทท่ี างานเป็นทีมมากวา่ รายบคุ คล - กจิ กรรมท่ใี ห้ผ้เู รยี นปฏิบัตติ ้องนาเทคนคิ และวธิ ีการตา่ ง ๆ มาเป็น เครอื่ งมอื ใหผ้ ู้เรียนบรรลุตามจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ - กจิ กรรมทป่ี ฏบิ ัติควรสอดคล้องกบั ชีวิตประจาวนั และชีวติ จรงิ - กจิ กรรมทปี่ ฏบิ ตั ิมีทั้งในหอ้ งเรยี นและนอกหอ้ งเรยี น - เปดิ โอกาสใหผ้ ูเ้ รียนฝกึ ฝนและถ่ายทอดการเรยี นรไู้ ปสู่สถานการณ์ - ใหม่ ๆ พรอ้ มท้ังทาให้เกิดความจาระยะยาว - ตรวจสอบความเขา้ ใจโดยใหผ้ ู้เรยี นสรปุ รวมทัง้ สง่ เสริมใหเ้ ชื่อมโยง สิง่ ทเ่ี รยี นรแู้ ละทจี่ ะเรียนต่อไป วเิ คราะห์กระบวน - วิธีการวัดและประเมินผลต้องสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรยี นรู้ ประเมินผล - ใชว้ ิธีการวดั ท่หี ลากหลาย - เลือกใช้เครื่องมอื วดั ที่มีความเช่อื มน่ั
การสอนธรรมวิทยา ๗๗ สรุปท้ายบท แผนการจัดการเรยี นรเู้ ปน็ เครื่องมือสาคัญสาหรบั ผู้สอนในการจดั การเรยี นรู้ ซึ่งผสู้ อนจะต้องมีความรู้ ความสามารถในการจดั ทาแผนการจัดการเรียนร้เู พอ่ื ไปส่เู ป้าหมายของการจดั การศึกษาของหลกั สตู รท่ีกาหนด ไว้ ผสู้ อนจะต้องหากลยุทธ์และวิธีการในการจดั ทาแผนการจัดการเรยี นรูใ้ ห้ครบถ้วนตามองค์ประกอบสาคัญว่า จดั ทาแผนอย่างไร เพื่อใคร มีเทคนคิ และวธิ กี ารอย่างไร ผลที่ได้รับจะเปน็ อยา่ งไร ดังน้ันแผนการจดั การเรียนรู้ จึงเปรยี บเสมือนเปา้ หมายความสาเร็จที่ผู้สอนคาดหวังไว้ โดยมีสาระสาคัญ จุดประสงค์การเรยี นรู้ สาระการ เรียนรู้ กจิ กรรมการเรียนรู้ สอื่ / อุปกรณ์ / แหล่งการเรยี นรู้ การวัดและประเมนิ ผล และบนั ทกึ ผลหลงั การ จดั การเรยี นรู้
การสอนธรรมวิทยา ๗๘ คาถามท้ายบท
การสอนธรรมวทิ ยา ๗๙ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท กรมวิชาการ, กระทรวงศึกษาธิการ, (๒๕๔๕), คู่มือการจัดการสาระการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔, กรุงเทพมหานคร : องค์การรบั สง่ สนิ คา้ และพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.), หนา้ ๓. นคิ ม ชมพหู ลง, (๒๕๔๕), วิธีการและขนั้ ตอนการพัฒนาหลกั สตู รทอ้ งถนิ่ และการจดั ทาหลกั สูตรสถานศึกษา , มหาสารคาม : อภิชาตการพมิ พ์. ภพ เลาหไพฑรู ย,์ (๒๕๔๐), แนวการสอนวทิ ยาศาสตร์, พมิ พ์คร้งั ท่ี ๒, กรุงเทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานิช. วัฒนาพร ระงับทุกข์, (๒๕๔๒), แผนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง, กรุงเทพมหานคร : แอล ที เพรส จากดั . สถาบันพัฒนาความก้าวหน้า, (๒๕๔๕), ยุทธศาสตร์การปรับวิธีเรียน การเปลี่ยนวิธีสอนเพ่ือเตรียมสู่ ความก้าวหนา้ ในอนาคต, กรุงเทพมหานคร : สถาบนั พฒั นาความกา้ วหนา้ . สมนกึ ภทั ทยิ ธนี, (๒๕๔๖), การวัดผลการศึกษา, พิมพค์ ร้งั ท่ี ๔, กาฬสนิ ธุ์ : ประสานการพมิ พ์. สานกั งานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, (๒๕๔๔), การบริหารโรงเรียนตามแนวปฏิรูปการศึกษา, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพค์ ุรสุ ภาพลาดพร้าว. สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, (๒๕๔๓), ปฏริ ปู การเรียนรู้ผเู้ รยี นสาคัญทสี่ ุด, กรุงเทพมหานคร : บริษัทพิมพ์ดี. สาลี รักสทุ ธี และคณะ, (๒๕๔๔), เทคนคิ วธิ กี ารพฒั นาหลกั สูตรแบบบูรณาการ, กรงุ เทพมหานคร : พฒั นศกึ ษา.
บทท่ี ๕ การใชส้ อ่ื และเทคโนโลยี วตั ถปุ ระสงค์ประจาบท เมอ่ื ไดศ้ ึกษาเน้ือหาในบทน้แี ล้ว ผศู้ ึกษาสามารถ ๑. อธิบายความหมายและความสําคญั ของเทคโนโลยสี ารสนเทศ ได้ ๒. อธบิ ายการนําเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใชใ้ นการศึกษา ได้ ๓. อธิบายบทบาทและความสาํ คญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศ ต่อการบริหารจัดการศกึ ษาได้ ขอบขา่ ยเนอ้ื หา ความหมายและความสําคัญของเทคโนโลยสี ารสนเทศ การนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการศกึ ษา บทบาทและความสําคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศ ต่อการบรหิ ารจัดการศึกษา
การสอนธรรมวิทยา ๘๑ ๕.๑ ความนา ปัจจุบันท่ัวโลกให้ความสําคัญกับการลงทุนทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (Information and Communication Technology : ICT) เพอ่ื นาํ มาใช้เปน็ เคร่ืองมือในการพฒั นาประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการศึกษา จนเกิดภาพความแตกต่างระหว่างประเทศท่ีมีความพร้อมทาง ICT กับประเทศที่ขาด แคลนที่เรียกว่า Digital Divide ในขณะเดียวกันประเทศท่ัวโลกต่างมุ่งสร้างสังคมใหม่ให้เป็นสังคมท่ีใช้ความรู้ เป็นฐาน (Knowledge Based Society) จนเกิดภาพความแตกต่างระหว่างสังคมท่ีสมบูรณ์ด้วยความรู้กับ สังคมท่ดี อ้ ยความรู้ ท่ีเรียกว่า Knowledge Divide ในยุคของการปฏิรูปการศึกษา เราเร่งพัฒนาการศึกษาให้ การศึกษาไปพัฒนาคุณภาพของคน เพื่อให้คนไปช่วยพัฒนาประเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) จึงเป็นเครื่องมือท่ีมีพลานุภาพสูงในการช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพของการจัดการศึกษา เช่น ช่วยนํา การศึกษาให้เข้าถึงประชาชน (Access) ส่งเสริมการเรียนรู้ต่อเนื่องนอกระบบโรงเรียนและการเรียนรู้ตาม อัธยาศยั ช่วยจัดทําข้อมลู สารสนเทศเพือ่ การบรหิ ารและจดั การ ช่วยเพิม่ ความรวดเร็วและแม่นยําในการจัดทํา ขอ้ มูลและการวเิ คราะห์ข้อมูล การเก็บรักษา และการเรียกใช้ในกิจกรรมต่างๆ ในงานจัดการศึกษา โดยเฉพาะ อย่างยิ่งการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยการเรียนการสอน แต่การให้ความสนใจกับการใช้เทคโนโลยีช่วยการเรียนรู้ ของผู้เรียนก็อาจหลงทางได้ ถ้าผู้บริหารสถานศึกษายึดถือการมีเทคโนโลยีเป็นจุดหมายปลายทางของ การศึกษา แทนที่จะยึดถือผลการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นจุดหมาย ปรากฏการณ์ของการหลงทางจะพบเห็นใน การประชาสัมพันธ์ถึงความพร้อมทางระบบคอมพิวเตอร์ การมีเครือข่ายโยงเข้า Internet สะดวก ผู้เรียน เรียนรู้การใช้เทคโนโลยี และมีโอกาสใช้ได้เต็มที่ แต่ในบางสถานศึกษาผู้เรียนอาจใช้เทคโนโลยีไม่คุ้มค่า ขาดเป้าหมายในการเรียนรู้สาระสําคัญตามหลักสูตรวิชาต่างๆ และขาดโอกาสในการใช้เทคโนโลยีเพ่ือพัฒนา กระบวนการทางปญั ญาอย่างแทจ้ ริง ๕.๒ ความหมาย เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ ไอที (อังกฤษ: information technology: IT) คือการประยุกต์ใช้ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม เพื่อจัดเก็บ ค้นหา ส่งผ่าน และจัดดาํ เนินการข้อมูล ซึ่งมักเกี่ยวข้อง กับธุรกิจหนึ่งหรือองค์การอื่นๆ ศัพท์นี้โดยปกติก็ใช้แทนความหมายของเครื่องคอมพิวเตอร์และเครือข่าย คอมพิวเตอร์ และยังรวมไปถึงเทคโนโลยีการกระจายสารสนเทศอย่างอื่นด้วย เช่นโทรทัศน์และโทรศัพท์ อุตสาหกรรมหลายอย่างเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ ตัวอย่างเช่น ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์กึ่งตัวนํา อินเทอร์เน็ต อุปกรณ์โทรคมนาคม การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และ บริการทางคอมพิวเตอร์๑ เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology: IT) หมายถึง การนําเอาเทคโนโลยีมาใช้ สร้างมูลค่าเพ่ิมให้กับสารสนเทศ ทําให้สารสนเทศมีประโยชน์และใช้งานได้กว้างขวางมากข้ึน เทคโนโลยี สารสนเทศรวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีด้านต่างๆ ท่ีจะรวบรวม จัดเก็บ ใช้งาน ส่งต่อ หรือส่ือสารระหว่างกัน ๑ วกิ พี ีเดยี สารานกุ รมเสร,ี เทคโนโลยสี ารสนเทศ, เขา้ ถึงจาก https://th.wikipedia.org/wiki, สืบคน้ เมอื่ ๒๒ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๙.
การสอนธรรมวทิ ยา ๘๒ เทคโนโลยีสารสนเทศเกี่ยวข้องโดยตรงกับเครื่องมือเครื่องใช้ในการจัดการสารสนเทศ ซ่ึงได้แก่ เครื่อง คอมพวิ เตอร์ และอปุ กรณ์รอบข้าง ขั้นตอน วิธีการดาํ เนินการ ซึ่งเก่ียวข้องกับซอฟต์แวร์ เก่ียวข้องกับตัวข้อมูล เกี่ยวข้องกับบุคลากร เกี่ยวข้องกับกรรมวิธีการดําเนินงานเพื่อให้ข้อมูลเกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้แล้วยัง รวมไปถึง โทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์ โทรสาร หนงั สอื พิมพ์ นติ ยสารต่างๆ เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ เทคโนโลยีในการจัดหาและได้มาซึ่งข้อมูลต่างๆ ตลอดจนการสร้างสรรค์ จัดเก็บ แสดงผล แลกเปลี่ยน เผยแพร่และจัดการข้อมูลในรูปแบบเสียง ภาพ ข้อความหรือตัวเลขด้วยการใช้ คอมพวิ เตอร์และการสื่อสาร๒ Information Technology หรือ IT คือ การประยุกต์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในระบบ สารสนเทศ ตั้งแต่กระบวนการจัดเก็บ ประมวลผล และการเผยแพร่สารสนเทศ เพ่ือช่วยให้ได้สารสนเทศ ที่มีประสทิ ธภิ าพและรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ โดยเทคโนโลยสี ารสนเทศ อาจประกอบดว้ ย ๑. เคร่ืองมือและอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เคร่ืองคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้สํานักงาน อุปกรณ์สื่อสาร โทรคมนาคมต่างๆ รวมท้งั ซอฟท์แวร์ท้ังแบบสาํ เร็จรูปและแบบพัฒนาขึ้นเพ่ือใช้ในงานเฉพาะด้าน ซ่ึงเคร่ืองมือ เหล่านจ้ี ดั เปน็ เครือ่ งมอื ทนั สมัย และใชเ้ ทคโนโลยีระดับสงู (High Technology) ๒. กระบวนการในการนําอุปกรณ์เคร่ืองมือต่างๆ ข้างต้นมาใช้งาน เพื่อรวบรวม จัดเก็บ ประมวลผล และแสดงผลลัพธ์เป็นสารสนเทศในรูปแบบต่างๆ ที่สามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไป เช่น การจัดเก็บข้อมูล ในลกั ษณะของฐานขอ้ มูล เปน็ ตน้ ๓ เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง อุปกรณ์ หรือเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมประมวล เก็บรักษาและเผยแพร่ข้อมูลและสารสนเทศ โดยรวมทั้งฮาร์ดแวร์ ฐานข้อมูลและการสื่อสารโทรคมนาคม เป็นต้น๔ ๕.๓ ความสาคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศ พื ้น ฐ า น ข อ ง เ ท ค โ น โ ล ย ีย ่อ ม ม ีป ร ะ โ ย ช น ์ต ่อ ก า ร พ ัฒ น า ป ร ะ เ ท ศ ช า ต ิใ ห ้เ จ ร ิญ ก ้า ว ห น ้า ไ ด้ แต่เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิถีความเป็นอยู่ของสังคมสมัยใหม่อยู่มาก ลักษณะเด่น ที่สาํ คัญของเทคโนโลยีสารสนเทศมีดังนี้ ๑.เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางาน ในการ ประกอบการทางด้านเศรษฐกิจ การค้าและการอุตสาหกรรม จําเป็นต้องหาวิธีในการเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทํางานคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารเข้ามาช่วยทําให้เกิดระบบ อัตโนมัติ เราสามารถฝากถอนเงินสดผ่านเครื่องเอทีเอ็มได้ตลอดเวลา ธนาคารสามารถให้บริการได้ดีขึ้น ทําให้การบริการโดยรวมมีประสิทธิภาพ ในระบบการจัดการทุกแห่งต้องใช้ข้อมูลเพื่อการดําเนินการและ การตัดสินใจ ระบบธุรกิจจึงใช้เครื่องมือเหล่านี้ช่วยในการทํางาน เช่น ใช้ในระบบจัดเก็บเงินสด จองตั๋ว เคร่ืองบิน เป็นต้น ๒ http://www.nukul.ac.th/it/content/๐๒/๒-๑.html#๑๑๑ ๓ http://www.kmitl.ac.th/agritech/nutthakorn/๐๔๐๙๓๐๐๙_๒๒๐๔/isweb/Lesson%๒๐๒๒.htm ๔ ความหมายและขอบขา่ ยของเทคโนโลยีการศึกษา. http://images.dearao.multiply.multiplycontent.com/.../๓hathaikan_๑๔๑๓๓๖.doc
การสอนธรรมวทิ ยา ๘๓ ๒.เทคโนโลยีสารสนเทศเปลี่ยนรูปแบบการบริการเป็นแบบกระจาย เมื่อมีการพัฒนาระบบข้อมูล และการใช้ข้อมูลได้ดี การบริการต่างๆ จึงเน้นรูปแบบการบริการแบบกระจาย ผู้ใช้สามารถสั่งซื้อสินค้า จากที่บ้าน สามารถสอบถามข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์ นิสิตนักศึกษาบางมหาวิทยาลัยสามารถใช้ คอมพิวเตอร์สอบถามผลสอบจากที่บ้านได้ ๓.เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งที่จําเป็น สําหรับการดําเนินการในหน่วยงานต่างๆ ปัจจุบันทุก หน่วยงานต่างพัฒนาระบบรวบรวมจัดเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในองค์การประเทศไทยมีระบบทะเบียนราษฎร์ ท่ีจัดทําด้วยระบบ ระบบเวชระเบียนในโรงพยาบาล ระบบการจัดเก็บข้อมูลภาษี ในองค์การทุกระดับเห็น ความสาํ คัญที่จะนําเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ ๔.เทคโนโลยีสารสนเทศเกี่ยวข้องกับคนทุกระดับ พัฒนาการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทําให้ชีวิต ความเป็นอยู่ของคนเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ดังจะเห็นได้จาก การพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ การใช้ตาราง คํานวณ และใช้อุปกรณ์ส่ือสารโทรคมนาคมแบบต่างๆ เป็นต้น๕ ความสาํ คญั ของเทคโนโลยสี ารสนเทศในดา้ นที่มีผลกระทบตอ่ การเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมด้านต่าง ๆ ของผู้คนไวห้ ลายประการดังต่อไปนี้ ประการท่ีหนึ่ง เทคโนโลยีสารสนเทศ ทําให้สังคมเปลี่ยนจากสังคมอุตสาหกรรมมาเป็น สงั คมสารสนเทศ ประการท่ีสอง เทคโนโลยสี ารสนเทศทําให้ระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนจากระบบแห่งชาติไปเป็นเศรษฐกิจ โลก ท่ีทําให้ระบบเศรษฐกิจของโลกผูกพันกับทุกประเทศ ความเช่ือมโยงของเครือข่ายสารสนเทศทําให้เกิด สังคมโลกาภิวฒั น์ ประการที่สาม เทคโนโลยีสารสนเทศทําให้องค์กรมีลักษณะผูกพัน มีการบังคับบัญชาแบบแนวราบ มากขึ้น หน่วยธุรกิจมีขนาดเล็กลงและเชื่อมโยงกันกับหน่วยธุรกิจอ่ืนเป็นเครือข่าย การดําเนินธุรกิจ มีการแข่งขันกันในด้านความเร็ว โดยอาศัยการใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และการสื่อสารโทรคมนาคม เปน็ ตวั สนับสนนุ เพอ่ื ให้เกิดการแลกเปลี่ยนขอ้ มูลไดง้ า่ ยและรวดเรว็ ประการท่ีสี่ เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีแบบสุนทรียสัมผัส และสามารถตอบสนองตาม ความต้องการการใช้เทคโนโลยีในรปู แบบใหมท่ ี่เลือกได้เอง ประการท่หี า้ เทคโนโลยสี ารสนเทศทาํ ใหเ้ กิดสภาพทางการทํางานแบบทุกสถานท่ีและทุกเวลา ประการทห่ี ก เทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดการวางแผนการดําเนินการระยะยาวข้ึน อีกทั้งยังทําให้ วถิ กี ารตดั สนิ ใจ หรอื เลือกทางเลอื กได้ละเอียดข้ึน๖ ๕.๔ การนาเทคโนโลยมี าใช้ในการศกึ ษา ๕.๔.๑ แนวคิดของบิลล์ เกตส์ (Bill Gate) ๕ http://www.pbps.ac.th/e_learning/combasic/information๒.html ๖ http://www.kmitl.ac.th/agritech/nutthakorn/๐๔๐๙๓๐๐๙_๒๒๐๔/isweb/Lesson%๒๐๒๒.htm
การสอนธรรมวทิ ยา ๘๔ ๑. การเรียนไม่ได้มีเฉพาะในห้องเรียน ในโลกยุคปัจจุบัน คนสามารถที่จะเรียนได้จากแหล่งความรู้ท่ี หลากหลาย โดยเฉพาะทางด่วนข้อมูล (Information Superhighway) ซ่ึงกําลังจะมีบทบาท และมี ความสาํ คัญอยา่ งยง่ิ ตอ่ การจัดการศึกษาของมนษุ ย์ ๒. ผู้เรียนมีความแตกต่างระหว่างบุคคล บิลล์ เกตส์ ได้อ้างทฤษฎีอาจารย์วิชาการศึกษาที่ว่า เด็ก แต่ละคนมีความแตกต่างกัน จึงจําเป็นจะต้องจัดการเรียนการสอน ให้สอดคล้องกับความแตกต่างระหว่าง บุคคล เพราะเด็กแตล่ ะคนมีความรูค้ วามเข้าใจ ประสบการณ์ และการมองโลกแตกต่างกนั ออกไป ๓. การเรียนที่ตอบสนองความต้องการรายคน การศึกษาท่ีสอนเด็กจํานวนมาก โดยรูปแบบท่ีจัด เปน็ รายชั้นเรียน ในปัจจุบันไม่สามารถทจี่ ะตอบสนองความต้องการของเด็กเป็นรายคนได้ แต่ด้วยอํานาจ และ ประสิทธิภาพของเทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ การเรยี นตามความตอ้ งการของแต่ละคน ซึ่งเป็นความฝันของนักการ ศึกษามานานแล้วนนั้ สามารถจะเป็นจริงได้โดยมคี รูคอยใหก้ ารดแู ลชว่ ยเหลือ และแนะนํา ๔. การเรียนโดยใช้สื่อประสม ในอนาคตห้องเรียนทุกห้องจะมีส่ือประสมจากเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ท่เี ด็กสามารถเลอื กเรียนเรอ่ื งตา่ งๆ ไดต้ ามความต้องการ ๕. บทบาทของทางด่วนข้อมูล กับการสอนของครู ด้วยระบบเครือข่ายทางด่วนข้อมูล จะทําให้ได้ครู ท่ีสอนเก่งจากทต่ี า่ งๆ มากมายมาเป็นต้นแบบและส่ิงท่ีครูสอนน้ันแทนที่จะใช้กับเด็กเพียงกลุ่มเดียว ก็สามารถ สร้าง Web Site ของตนข้นึ มาเพ่ือเผยแผ่ จะช่วยในการปฏิวตั ิการเรยี นการสอนไดม้ าก ๖. บทบาทของครูจะเปลี่ยนไป ครูจะมีหลายบทบาทหน้าท่ี เช่น ทําหน้าท่ีเหมือนกับครูฝึกของ นักศึกษา คอยช่วยเหลือให้คําแนะนํา เป็นเพ่ือนของผู้เรียน เป็นทางออกที่สร้างสรรค์ให้กับเด็ก และเป็น สะพานการสื่อสารที่เชื่อมโยงระหวา่ งเดก็ กับโลก ซึ่งอนั นีก้ ค็ ือบทบาททยี่ ง่ิ ใหญ่ของครู ๗. ความสัมพันธ์ระหว่าง นักเรียน ครู และผู้ปกครอง จะใช้ระบบทางด่วนข้อมูลคอมพิวเตอร์ ช่วยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่าง นักเรียน ครูและผู้ปกครอง เช่น การส่ง E-mail จากครู ไปถึงผู้ปกครอง ความคิดของบิลล์ เกตส์นับเป็นการเปิดโลกใหม่ด้านการศึกษาด้วยการนาระบบคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ และทางดว่ นขอ้ มูลท่สี ามารถเชื่อมโยงกันได้ท่ัวโลกเข้ามาเป็นตัวกระตุ้น การปฏิวัติระบบการเรียนการสอนท่ีมี อยู่เดิม ถึงแม้ว่าเขาจะย้ําว่าห้องเรียนยังคงมีอยู่เหมือนเดิม เพ่ือลดการต่อต้านด้านเทคโนโลยี แต่จาก รายละเอียดที่เขานําเสนอ จะพบว่าการเรียนการสอนในอนาคตจะต้องเปลี่ยนไปมาก ความหวังของนักศึกษา ทุกคนก็คือการเปิดโอกาสให้เด็กสามารถเรียนได้เป็นรายบุคคลโดยมีการวางแผนร่วมกับครู ถ้าคนในวง การศกึ ษาไมป่ รบั เปล่ยี นจะลา้ หลงั กวา่ วงการอืน่ ๆ อยา่ งแนน่ อน๗ การจัดปัจจัยสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีช่วยการเรียนรู้ ปัจจัยพื้นฐาน คือ การสร้างความพร้อม ของเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ให้มีสรรถนะและจํานวนเพียงพอต่อ การใช้งานของผู้เรียน รวมถึงการอํานวย ความสะดวกให้ผู้เรียนสามารถใช้เทคโนโลยีได้ตลอดเวลา จะเป็นปัจจัยเบื้องต้นของการส่งเสริมการใช้ เทคโนโลยีเพ่อื การเรียนรู้ สิ่งท่คี วรเป็นปจั จยั เพม่ิ เตมิ คอื ๑. ครูสร้างโอกาสในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ ปัจจัยท่ีจะผลักดันให้มีการใช้เทคโนโลยี อย่างคุ้มค่า คือการที่ครูออกแบบกระบวนการเรียนรู้ให้เอ้ือต่อ การทํากิจกรรมประกอบการเรียนรู้ เป็นกิจกรรม ทต่ี ้องใชก้ ระบวนการแสวงหาความรจู้ ากแหล่งข้อมลู ตา่ งๆ ท้ังจากการสังเกตในสถานการณ์จริง การทดลอง การค้นคว้าจากส่ือส่ิงพิมพ์ และจากส่ือ Electronic เช่น จาก Web Sites เป็นกิจกรรมที่ต้องมี การทําโครงงานอิสระสนองความสนใจ เป็นกิจกรรมท่ีต้องฝึกปฏิบัติจาก Software สําเร็จรูป เป็นกิจกรรมท่ี ต้องมีการบันทกึ วิเคราะห์ข้อมลู และการนําเสนอรายงานดว้ ยคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ๗ รุ่ง แก้วแดง. วกิ ฤตเิ นอื่ งจากการปฏวิ ตั เิ ทคโนโลยี ตามแนวคดิ ของบลิ ล์ เกตส.์ กรุงเทพฯ : มตชิ น, ๒๕๔๓ : ๑๔ – ๑๘.
การสอนธรรมวทิ ยา ๘๕ ๒. ครู และผู้เรียนจดั ทําระบบแหลง่ ขอ้ มลู สารสนเทศเพอื่ การเรยี นรู้ ปจั จัยด้านแหลง่ ข้อมลู สารสนเทศ (Information Sources) เป็นตัวเสริมที่สําคัญที่ช่วยเพิ่มคุณค่าของระบบเทคโนโลยีเพ่ือการเรียนการสอน ครูและผู้เรียนควรช่วยกันแสวงหาแหล่งข้อมูลสารสนเทศที่มีเนื้อหา สาระตรงกับหลักสูตรหรือสนอง ความสนใจของผู้เรียน โดยเฉพาะอย่างย่ิงการรวบรวมแหล่งข้อมูลสารสนเทศ ท่ีเป็น Software ช่ือของ Web Sites รวมถงึ การลงทุนจัดซ้ือ Software จากแหล่งจําหนา่ ย การจา้ งให้ ผเู้ ชย่ี วชาญจัดทํา หรือจัดทาพัฒนาข้ึน มาเองโดยครู และนักเรยี น ๓. สถานศึกษาจัดศูนย์ข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการเรียนรู้ ศูนย์ข้อมูลสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ (Learning Resources Center) เป็นตัวชี้วัดสําคัญประการหนึ่งของศักยภาพของสถานศึกษาที่จะส่งเสริม การใชเ้ ทคโนโลยีเพือ่ การเรยี นรู้ของครแู ละผเู้ รียน ปกติมักนิยมจัดไว้เป็นส่วนหนึ่งของห้องสมุด จนเกิดคําศัพท์ ว่าห้องสมุดเสมือน (Virtual Library) หรือ E – Library จะมีคุณประโยชน์ในการมีแหล่งข้อมูลสารสนเทศ เพอื่ การศึกษาค้นคว้าในวทิ ยาการต่างๆ ท้ังในลกั ษณะส่ือสาํ เร็จ เชน่ Software แถบบันทึกวีดีทัศน์ รวมถึง CD – Rom และ CAI หรือ ชอ่ื Web Sites ตา่ ง ๆ ซึง่ ควรจัดทาระบบ Catalog และดัชนี ใหส้ ะดวกตอ่ การสืบคน้ ๔. การบริการของกรมหรือหน่วยงานกลางทางเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ กรมต้นสังกัดหรือหน่วยงาน กลางด้านเทคโนโลยีควรส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีของสถานศึกษาด้วยการ บริการด้านข้อมูลสารสนเทศ เช่น จัดทาํ เอกสารรายเดอื น รายงาน Software ในท้องตลาด แจ้งช่ือ Web Sites ใหม่ๆ พร้อมสาระเนื้อหาโดยย่อ จัดทําคลังข้อมูลความรู้ Knowledge Bank เพ่ือการเรียนรู้ในด้านต่างๆ ผ่าน สื่อ Electronic หรือส่ือทางไกล ผ่านดาวเทยี มเผยแพรส่ นองความต้องการและความสนใจของผ้เู รียนเปน็ ประจาํ นอกจากนี้การรวบรวมผลงาน ของครูและนักเรียนในการจัดกระบวนการเรียนการสอนด้วยเทคโนโลยี ที่เรียกว่า Best Practices จะเป็น ตวั อย่างท่ีดีสําหรับครู และนักเรยี นทวั่ ไปทจ่ี ะใชเ้ ทคโนโลยเี พือ่ ชว่ ยการเรยี นการสอน ๕.๔.๒ ทฤษฎกี ารเรียนรู้ตามแนวคดิ พฤตกิ รรมศาสตร(์ Behaviorists) สกินเนอร์ (B. F. Skinner) เป็นผู้นําซึ่งได้ทําการศึกษาทดลองกับสัตว์ในเรื่องของพฤติกรรม ทตี่ อบสนองตอ่ สิ่งเร้า(Stimulus-Response : S-R Theory)โดยถือว่าการเรยี นร้คู ือการเปลย่ี นแปลงพฤติกรรม เมือ่ ใดท่มี ีการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมทส่ี งั เกตเห็นได้ถือวา่ เกดิ การเรยี นรู้ขน้ึ ทฤษฎีน้ีจึงมีการกําหนดจุดประสงค์การเรียนการสอนเป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่สังเกต เหน็ ได้และถือวา่ พ้ืนฐานของการเรยี นรู้-จะมี-๓-ลักษณะ-คือ ๑ .-ก า ร เ รี ย น รู้ ใ น เ รื่ อ ง ท่ี ซั บ ซ้ อ น ส า ม า ร ถ จํ า แ น ก อ อ ก ม า เ รี ย น รู้ เ ป็ น ส่ ว น ย่ อ ย ไ ด้ ๒.-ผู้เรียนเรียนรจู้ ากการรับรแู้ ละประสบการณ์ ๓.-ความรคู้ อื การสะสมข้อเทจ็ จรงิ และทักษะต่างๆ การเรียนรู้ตามแนวคิดนี้จึงถือว่า การเรียนรู้เป็นการรู้สาระเนื้อหา ข้อเท็จจริง หลักการและทฤษฎี การเรียนการสอน จึงเน้นเรื่องการใชต้ าํ ราเรยี นและมุ่งให้ผ้เู รยี นจาํ เน้ือหาและขอ้ เท็จจรงิ ทไ่ี มจ่ าํ เป็นต้องมีความ ตอ่ เน่ืองสมั พันธ์กนั ตามแนวคิดนก้ี ารเรียนรจู้ ะมีลกั ษณะสาํ คญั -๔-ประการ-คือ ๑.ผูเ้ รียนตอ้ งมสี ่วนรว่ มในการเรียน ๒.ผลป้อนกลับ (Feedback) ตอ้ งเกิดขนึ้ ทนั ที เช่น ครูตอ้ งบอกวา่ ตอบถูกหรอื ผิด ๓.แตล่ ะข้ันตอนของการเรียนรู้ตอ้ งส้ันต่อเน่ืองไมย่ ดื ยาว ๔.การเรยี นรู้-(การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม)ต้องมีการให้รางวลั และเสริมแรง ทฤษฎกี ารเรียนรู้ ตามแนวคิดปญั ญานยิ ม (Cognitivists) ตามทฤษฎนี เ้ี ชอื่ ว่า ความจริง (Truth) หรอื ความรมู้ อี ย่จู ริงในโลกหรือในจักรวาล ถ้าเราพบส่ิงใดสิ่ง หนึง่ หน่งึ เรากจ็ ะพบไปเรื่อยๆ
การสอนธรรมวทิ ยา ๘๖ ทฤษฎีนจ้ี ึงถอื ว่าการเรยี นรู้เปน็ กระบวนการของจติ ทต่ี อ้ งมีการรับรู้ จากการกระทํามกี ารแปลความ ตีความ การใหเ้ หตุผลจนเกิดรู้สาํ นึก และสะสมเป็นความรใู้ นท่ีสดุ หลกั การตามแนวคิดนี้คอื ที่มาของการเรียนการสอนแบบสบื หาความรู้ (Enquiry) ท่ีถอื ว่าผู้เรียนไมม่ ี ความรูม้ าก่อน ผู้เรียนจะเกิดความรู้ไดต้ ้องดาํ เนินการสืบหา (Enquire) จนได้ความรู้นั้นจดุ เนน้ ของการจดั การ เรยี นการสอนตามแนวคดิ ของกลุ่มปญั ญานิยมนี้ จึงตอ้ งการ “ใหร้ วู้ ่าจะได้รู้อย่างไร” มากกวา่ การสอน “ใหร้ ู้ อะไร” ๕.๔.๓ ทฤษฎกี ารเชือ่ มโยงของธอรน์ ไดค์ (Thorndike’s Connected Theory) ธอรน์ ไดค์ (Thorndike) นกั จิตวทิ ยาชาวอเมริกันกลุ่มพฤติกรรมนิยมเป็นผู้นําทฤษฎีหลักการเรียนรู้ซึ่ง กล่าวถึงการเชื่อมโยงระหว่างส่ิงเร้า (stimulus) กับการตอบสนอง (response) โดยมีหลักเบื้องต้นว่าการ เรียนรู้เกดิ จากการเช่ือมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองโดยแสดงในรูปแบบต่างๆจนกว่าจะเป็นท่ีพอใจท่ี เหมาะสมท่สี ุดซึง่ เรยี กวา่ การลองผิดลองถกู (trial and error) ผู้เรียนจะเลือกตอบสนองเป็น R๑,R๒,R๓ … Rn จนกระทั่งได้ผลพอใจที่สุดของผู้เรียนการตอบสนอง ที่ไมเ่ หมาะสมจะถูกขจดั ท้งิ ไปเหลือเพยี งการเช่อื มโยงระหวา่ ง S และ R เทา่ น้นั กฎการเรียนร้ตู ามทฤษฎี เช่อื มโยงประกอบดว้ ยกฎ ๓ ข้อ๘ ดังตอ่ ไปน้ี ๑. กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) กฎนี้กล่าวถึงสภาพความพร้อมของผู้เรียนทั้งทาง ร่างกายและจิตใจความพร้อมทางร่างกายหมายถึงความพร้อมทางวุฒิภาวะและอวัยวะต่างๆของร่างกาย ทางด้านจิตใจหมายถึงความพร้อมท่ีเกิดจากความพึงพอใจเป็นสําคัญถ้าเกิดความพึงพอใจย่อมนําไปสู่การ เรียนรถู้ า้ เกิดความไม่พึงพอใจจะทาํ ใหไ้ ม่เกดิ การเรยี นรูห้ รอื ทาํ ให้การเรียนรูห้ ยดุ ชะงกั ไป ๒. กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) กฎนี้กล่าวถึงการสร้างความม่ันคงของกาเชื่อมโยงระหว่าง ส่ิงเร้ากับการตอบสนองทถี่ ูกตอ้ งโดยการฝึกหดั กระทําซา้ํ บอ่ ยๆย่อมทําให้เกิดการเรียนรู้ได้นานและคงทนถาวร จากกฎข้อน้แี บง่ ออกเปน็ กฎย่อยๆได้อีก ๒ ข้อคือ ๒.๑ กฎแห่งการใช้ (Law of Used) เมื่อเกิดความเข้าใจหรือเรียนรู้แล้วมีกระกระทําหรือนํา สิง่ ทเี่ รียนรู้นนั้ ไปใชบ้ ่อยๆจะทาํ ใหก้ ารเรียนรูน้ ้ันคงทนถาวร ๒.๒ กฎแห่งการไม่ใช้ (Law of Disused) เม่ือเกิดความเข้าใจหรือเรียนรู้แล้วไม่ได้กระทําซ้ํา บ่อยๆจะทําให้การเรียนรู้นนั้ ไมค่ งทนถาวรหรอื ในท่ีสดุ จะเกิดการลมื จนไมเ่ รยี นรู้อีกเลย ๓. กฎแห่งผลที่ได้รับ (Law of Effect) กฎน้ีกล่าวถึงผลที่ได้รับเมื่อแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้แล้วว่า ถา้ ได้รบั ผลท่ีพงึ พอใจผู้เรียนย่อมอยากจะเรียนรู้อีกต่อไปแต่ถ้าได้รับผลที่ไม่พึงพอใจผู้เรียนย่อมไม่อยากเรียนรู้ หรือเกิดความเบื่อหน่ายต่อการเรียนรู้ดังนั้นถ้าจะทําให้การเช่ือมโยงระหว่างส่ิงเร้ากับการตอบสนองความ มัน่ คงถาวรตอ้ งให้ผเู้ รียนไดร้ บั ผลทพ่ี งึ พอใจซ่งึ ข้นึ อยู่กับความพึงพอใจของแตล่ ะบุคคล ดังนั้นธอร์นไดค์เชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากการเช่ือมโยงระหว่างส่ิ งเร้าและการตอบสนองซ่ึงสามารถ แสดงออกดว้ ยพฤตกิ รรมต่างๆกัน ๕.๔.๔ ทฤษฎีและแนวคดิ ของกลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt) ค.ศ.1912 ทฤษฎีและแนวคิดของกลุ่มเกสตัลท์ (Gestalt) น้ีเกิดจากนักจิตวิทยาชาวเยอรมันในราวปีค.ศ.1912 โดยผู้นํากลุ่มคือเวอร์โธเมอร์ (Wertheimer) โคห์เลอร์ (Koher) คอฟฟ์กา (Koffka)และเลวิน(Lewin) โดยทั้ง ๘ ทิศนา แขมมณี, การคิดและการสอนเพือ่ พฒั นากระบวนการคดิ , กรุงเทพมหานคร : โครงการพัฒนาการเรยี น การสอน สํานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาติ สาํ นักนายกรฐั มนตรี ๒๕๔๐, หนา้ ๔๕.
การสอนธรรมวิทยา ๘๗ กลุ่มมีแนวคิดว่าการเรียนรู้เกิดจากการจัดประสบการณ์ท้ังหลายที่อยู่อย่างกระจัดกระจายให้มารวมกัน เสียกอ่ นแลว้ จงึ พิจารณาสว่ นย่อยตอ่ ไป เกสตัสท์ (Gestalt) หมายถึงรูปหรือแบบแผน (form or pattern) ต่อมาได้แปลว่าส่วนรวม(whole) เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดของทฤษฎีการเรียนรู้ของกลุ่มนี้ที่กล่าวว่าส่วนรวมมีค่ามากกว่าผลบวกของ ส่วนย่อย (The whole is greater than the sum of the parts) หลักการเรียนรู้ของทฤษฎีเกสตัลท์น้ี จะเน้นการเรียนรู้ท่ีส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อยซึ่งจะเกิดจากประสบการณ์และการเรียนรู้ท่ีเกิดข้ึนจาก ๒ ลักษณะคอื ๑. การรบั รู้ (perception) การรับรู้เป็นการแปลความหมายจากการสัมผัสด้วยอวัยวะรับสัมผัสท้ัง ๕ ส่วนคือหูตาจมูกล้ินและ ผิวหนังการรับรู้ทางสายตาจะประมาณร้อยละ ๗๕ ของการรับรู้ทั้งหมดดังน้ันกลุ่มเกสตัลท์จึงจัดระเบียบการ รับรโู้ ดยแบง่ เปน็ กฎยอ่ ยๆเรียกวา่ กฎแห่งการจดั ระเบยี บ (The Law of Organization) คือ กฎแห่งความชัดเจน(Clearness) การเรียนรู้ที่ดีต้องมีความชัดเจนและแน่นอนเพราะผู้เรียน มีประสบการณ์แตกต่างกันเมื่อต้องการให้เกิดการเรียนรู้อย่างเดียวกั นส่ิงท่ีจะให้เกิดการเรียนรู้จึงต้อง มคี วามชัดเจน กฎแห่งความคลา้ ยคลึง (Law of Similarity) เปน็ การวางหลักการรับรู้ในสิ่งที่คล้ายคลึงกันเพ่ือจะได้รู้ วา่ สามารถจัดเขา้ กลุม่ เดยี วกนั กฎแห่งความสมบูรณ์ (Law of Closure) บุคคลสามารถรับรู้ส่ิงเร้าที่ยังไม่สมบูรณ์ให้สมบูรณ์ได้ หากบุคคลมปี ระสบการณเ์ ดมิ ในส่ิงนัน้ กฎแห่งความต่อเน่ืองหากส่ิงเร้ามีความต่อเน่ืองกันหรือมีทิศทางไปในทางเดียวกันบุคคลสามารถรับรู้ เปน็ สง่ิ เดยี วกันหรอื เป็นเหตเุ ป็นผลกัน กฎ แห่งคว ามคงที่ห ากบุคคลรั บรู้ ภาพร วมของสิ่ งใดสิ่ งหนึ่ งแล้ว จ ะ มีคว ามคงที่ใน การ รั บรู้ส่ิ งนั้ น ในลกั ษณะเดมิ แมว้ า่ สิ่งเรา้ จะได้แปรเปลี่ยนไปในแง่มุมอนื่ กฎแหง่ การบิดเบือนการรับรู้ของบุคคลอาจเกิดการผิดพลาดข้ึนได้หากส่ิงเร้าน้ันมีลักษณะที่ทําให้เกิด การลวงตา ๒. การเรียนรูจ้ ากการหยั่งเหน็ (Insight) การเรียนรู้จากการหย่ังเห็น (ผลุดรู้) เป็นการเรียนรู้ท่ีเกิดขึ้นจากการพิจารณาปัญหาในภาพรวมและ การใชก้ ระบวนการทางความคดิ เชอ่ื มโยงประสบการณ์เดิมกับปัญหาท่เี ผชิญอยู่ เลวิน (Lewin) ได้อธิบายการเรียนรู้ว่าการเรียนรู้เกี่ยวข้องกับ “life space” ของแต่ละบุคคลซึ่ง ประกอบด้วยส่ิงแวดล้อมทางกายภาพเช่นคนสัตว์ส่ิงของสถานที่และส่ิงแวดล้อมทางจิตวิทยาเช่นแรงขับ (drive) แรงจูงใจ (motivation) เป้าหมาย (goal) และความสนใจ (interest) เป็นต้น เลวิน อธิบายว่า พฤติกรรมของคนมีพลังและทิศทางสิ่งใดท่ีอยู่ในความสนใจและความต้องการของตนจะมีพลังเป็นบวกสิ่ งท่ีอยู่ นอกเหนือจากความสนใจจะมีพลังเป็นลบการเรียนรู้จะเกิดข้ึนเมื่อบุคคลมีแรงจูงใจหรือแรงขับที่จะกระทําให้ ไปส่จู ดุ มุง่ หมายปลายทางทีต่ นต้องการ ๕.๕ บทบาทและความสาคัญของเทคโนโลยสี ารสนเทศตอ่ การบริหารจัดการศึกษา๙ ๙ บทบาทและความสาคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีตอ่ การบริหารจดั การศึกษา, (ออนไลน)์ เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.sahavicha.com/?name=faq&file=readfaq&id=๒๙๐,สบื คน้ เม่อื ๒๑ ธนั วาคม ๒๕๕๙.
การสอนธรรมวทิ ยา ๘๘ เทคโนโลยีสารสนเทศ ” (Information Technology) หรือเรียกกันย่อๆ ว่า“ IT ” หมายถึงเทคโนโลยีท่ีนํามาใชในการจัดเก็บขอมูล (Data) และประมวลผลข้อมูล ให้เกิดผลลัพธ เปนสารสนเทศ (Information) เพื่อนาํ ไปใชประโยชน์ ข้อมลู (Data) หมายถึง ข้อมูลดบิ ที่เก็บรวบรวมมาจากท่ีต่างๆ ซ่ึงยังนําไปใชงานไมได เช่น การสํารวจความคิดเหน็ ความคดิ เหน็ ที่ไดยังถอื วา่ เปน็ ขอมลู ดบิ สารสนเทศ (Information) หมายถึง ผลลัพธจากการประมวลผลขอมูลดิบซึ่งสามารถ นําไปใชประโยชน เพ่ือประกอบการทํางาน หรือเพ่ิมประกอบการตัดสินใจของผูบริหาร เช่น นําข้อมูล ความคดิ เหน็ แตละขอมาหาความถ่ี เป็นค่าร้อยละเพื่อเปรียบเทียบดูว่า ข้อคิดเห็น ข้อใด มีผู้เลือกมากน้อย เป็นร้อยละเท่าไร ค่ารอยละดังกล่าว ก็จัดเป็นสารสนเทศ เป็นต้น การจัดเก็บข้อมูลและการจัดการข้อมูล ต้องการความถูกต้องและรวดเร็วสูง จึงจําเปน ตองนําเทคโนโลยีคอมพิวเตอรเขามาช่วย และ เมื่อตองการใหผู้ที่อยูห่างไกลกันสามารถใชประโย ชนจากสารสนเทศดังกล่าว ก็จําเป็นต้องนําเทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมเขามาช่วยอีกทาง หนง่ึ ในวงการบริหารงานตางๆ โดยเฉพาะในวงการบริหารงานธุรกิจ ซึ่งมีการแข่งขันกันสูง ไดนําเอานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศมาใชในการบริหารกันเป็นอันมากเพื่อใหการบริหาร มีประสิทธิภาพสงู ประหยดั สุดและไดประสิทธิผลสูงสุด ผู้บริหารยุคใ หม่ทุกระดับจึงนํานวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช กันอย่างแพร หลาย เช่น ผู้บริหารระดับสูงในองค์การ จะนําสารสนเทศที่แสดงภาพรวมของการดําเนินงานความ สัมพันธระหว่างองค การและส่ิงแวดลอม สรุปปัญหาและแนวทางแก้ไข มาใชเพ่ือประกอบการ แก้ปญหาและการตัดสินใจ กําหนดกลยุทธ ขององค์การ ส่วนผู บริหารระดับกลาง จะนาํ สารสนเทศทีป่ ระมวลงานประจําป มาใชจัดแผนงบประมาณและกําหนดแผนการดําเนินงาน ของหน่วยงาน สําหรับผู้บริหารงานระดับต้นจะใชเทคโนโลยีสารสนเทศช่วยในการควบคุมการ ปฏบิ ัติงาน เป็นต้น ๕.๕.๑ ปจั จยั ท่ที าให้เกิดความ ล้มเหลวในการนาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ ๑. การขาดการวางแผนที่ดีพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวางแผนการจัดการ ความเสี่ยงไม่ดีพอ ยิ่งองค์การมีขนาดใหญ่มากขึ้นเท่าใด การจัดการความเสี่ยงย่อมจะมี ความสําคัญมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ทําให้ค่าใช้จ่ายด้านน้ีเพ่ิมสูงข้ึน ๒. การนําเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมมาใช้งาน จะต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับ ลักษณะของธุรกิจหรืองานที่องค์กรดําเนินอยู่ ๓. การขาดการจัดการหรือสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูง การได้รับความมั่นใจ จากผู้บริหารระดับสูงทําให้การนําเทคโนโลยีมาใช้ในองค์กรประสบความสาํ เร็จ ๕.๕.๒ เทคโนโลยสี ารสนเทศและการสืบค้นขอ้ มูลผ่านเครือข่ายคอมพวิ เตอร์
การสอนธรรมวทิ ยา ๘๙ ๑.แหล่งสารสนเทศเพอ่ื การศกึ ษา เป็นแหล่งที่ผู้ใช้สารสนเทศสามารถแสวงหาสารสนเทศที่ต้องการได้แหล่ง สารสนเทศไม่ได้มีเพียงห้องสมุดเท่านั้น ยังมีแหล่งสารสนเทศอื่นๆ อีกมากมาย ที่ผู้ใช้สามารถ เลือกใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการ แหล่งสารสนเทศแบ่งได้เป็น ๔ กลุ่ม คือ ๑. แหล่งสารสนเทศบุคคล ๒. แหล่งสารสนเทศสถาบัน แหล่งสารสนเทศสถาบัน หรือ สถาบัน บริการสารสนเทศ ๓. แหล่งสารสนเทศส่ือมวลชน ๔. แหล่งสารสนเทศอินเตอร์เน็ต แหล่งความรู้บนอินเตอร์เน็ต ๒.การสืบค้นข้อมูลผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แหล่งข้อมูลสารสนเทศบนอินเตอร์เน็ตเป็นข้อมูลทางอิเลคทรอนิคส์ ที่สําคัญ และใหญ่ที่สุด มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแทบทุกวินาที ดังนั้นในการสืบค้นข้อมูล สารสนเทศบนอินเตอร์เน็ตควรดาํ เนินการดังน้ี ๑.กําหนดวัตถุประสงค์การสืบค้น ผู้สืบค้นหรือผู้วิจัยที่จะนําข้อมูล สารสนเทศไปใช้ควรตั้งวัตถุประสงค์การสืบค้นที่ชัดเจน ทําให้สามารถกําหนดขอบเขตของ แหล่งข้อมูลสารสนเทศท่ีสืบค้นให้แคบลง ๒.ประเภทของข้อมูลสารสนเทศที่สามารถสืบค้นได้ ข้อมูลสารสนเทศที่ อยู่บนอินเตอร์เน็ตมีมากมายหลายประเภท มีลักษณะเป็นมัลติมีเดีย คือมีทั้งที่เป็นข้อความ ภาพวาด ภาพเขียน ไดอะแกรม เสียง เป็นต้น ๓.การสืบค้นต้องอาศัยอุปกรณ์และความรู้ก่อนที่ผู้สืบค้นจะสามารถ สืบค้นข้อมูลสารสนเทศทางอินเตอร์เน็ตได้ ต้องมีการจัดเตรียมอุปกรณ์ดังต่อไปนี้เครื่อง คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่อเข้าอินเตอร์เน็ตซอฟต์แวร์ การสื่อสารและยังต้องมีความรู้ และทักษะ พื้นฐานในการใช้งานคอมพิวเตอร์ ความรู้ภาษาอังกฤษ และยังต้องมีการจัดสรรเวลาให้ เหมาะสมอีกด้วย ๔.บริการบนอินเตอร์เน็ต บริการบนอินเตอร์เน็ตที่สามารถใช้ช่วยในการ สืบค้นข้อมูลสารสนเทศมีมากมายหลายบริการ เช่น บริการเครือข่ายใยแมงมุมโลก หรือ Word-Wide-Web (WWW) บริการสืบค้นข้อมูล Gopher เป็นต้น ๕.เครื่องมือหรือโปรแกรมสําหรับสืบค้น เครื่องมือหรือโปรแกรมสําหรับ การสืบค้น มีอยู่มากมายและมีให้บริการตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่ใช้บริการการสืบค้นข้อมูล โดยเฉพาะ ๓.การติดต่อส่ือสารผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อง ค์ป ร ะ ก อบ ขั้น พื้น ฐ าน ข อ ง ร ะ บบ ก า ร ติด ต่อ สื่อ ส า ร โ ท ร ค ม น า คม ส า ม า ร ถ จําแนกออกเป็นส่วนประกอบได้ดังนี้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212