ศาสตรก์ ารสอน ๙๒ ๒) ผู้เรียนมีการสะท้อนความคิด (reflect) และอภิปรายร่วมกัน เกี่ยวกับสิ่งท่ีได้ประสบมา หรือเกิดขึ้นในสถานการณ์การเรียนร้นู ้นั ๓) ผ้เู รียนมีการสรา้ งความคิดรวบยอด/หลกั การ/สมมติฐานจากประสบการณ์ท่ีไดร้ ับ ๔) ผ้เู รยี นมกี ารนำความคิดรวบยอด/หลักการ/สมมตฐิ านต่าง ๆ ทีส่ ร้างขึ้น ไปทดลองหรือ ประยกุ ต์ใชส้ ถานการณ์ใหม่ ๆ ๕) ผู้สอนมีการติดตามผล และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนผลการทดลอง/ ประยุกต์ใช้ ความรู้ เพื่อขยายขอบเขตของการเรียนรู้ หรือปรับเปล่ียนความคิด / หลักการ / สมมติฐานต่าง ๆ ตามความ เหมาะสม ๖) ผู้สอนมีการวัดและประเมินผล โดยใช้การประเมินผลการเรียนรู้ของตนเองของผู้เรียน ประกอบกบั การประเมินผลของผู้สอนดว้ ย ๕.๔.๒ การจัดการเรียนรแู้ บบรับใช้สังคม (Service Learning) หลกั การ การเรียนร้จู ากประสบการณ์เป็นการเรียนรู้จากรูปธรรมไปสู่นามธรรมอนั จะช่วยให้ผเู้ รียนเกิด ความคิด ความรู้ใหม่ด้วยตนเอง จึงทำให้มีความหมายต่อตนเอง และต้องการท่ีจะนำไปใช้ ประสบการณ์ใน ด้านการรับใช้สังคม นับเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่าสูงต่อการเรียนรู้ การรับใช้สังคมตามต้องการของชุมชน และสังคม (Erickson & Anderson, ๑๙๙๗ และ Weigart, ๑๙๙๘) นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือสังคม โดยตรงแล้ว ประสบการณ์ท่ีผเู้ รยี นไดร้ ับยังสามารถสรา้ งแรงจูงใจให้ผเู้ รียนเกิดจติ สำนึกในการช่วยเหลือสังคม และสามารถพัฒนาความรู้ ทกั ษะและเจตคติของผู้เรียนได้อย่างดี การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเป็นการเรียนรู้จากความ เป็นจรงิ ตามสภาพทแ่ี ทจ้ ริง จึงเป็นการเรียนร้ทู ีส่ ามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชวี ิตและสงั คมไดจ้ รงิ การจัดการเรียนรู้แบบรับใช้สังคม หมายถึง การดำเนินการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดย การให้ผู้เรยี นเข้าไปมปี ระสบการณ์ในการรับใช้สังคม ท้ังนี้ผู้เรียนจะต้องมีการสำรวจความต้องการของชมุ ชนที่ มีความเก่ียวข้องกับเร่ืองท่ีเรียน และวางแผนการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ลงมือปฏิบัติการรับใช้ สังคมตามแผน และนาประสบการณ์ท้ังหลายที่ได้รับมาคิดพิจารณา ไร่ตรอง จนกระท่ังเกิดความคิดรวบยอด หลักการหรอื สมมติฐานตา่ ง ๆ ซึ่งสามารถนำไปทดลอง หรอื ประยุกต์ใหใ้ นสถานการณ์ใหม่ ๆ ได้ ตัวบง่ ช้ี ๑) ผู้เรยี นมกี ารกำหนดขอบเขตของการศกึ ษาชุมชน เพอื่ เรยี นรใู้ นเรือ่ งที่กำหนด ๒) ผู้เรียนมีการศึกษาความต้องการของชุมชน และเลอื กกิจกรรมที่จะรบั ใช้สงั คม ๓) ผ้เู รยี นมกี ารวางแผนการรับใช้สงั คมในกิจกรรมท่ีเลือก ๔) ผเู้ รียนมีการจดบันทึกข้อมูลเก่ียวกับการปฏบิ ัติการรบั ใช้สงั คม ๕) ผู้เรียนมีการวิเคราะห์เหตุการณ์และส่ิงต่าง ๆ ทีเ่ กิดขึ้นในขณะปฏิบัติการรับใช้สงั คม และ มีการคดิ พฒั นา และสรา้ งข้อสรุปเปน็ ความคดิ รวบยอด/หลกั การ/สมมตฐิ าน ๖) ผู้เรียนมีการนำความคิดรวบยอด/หลักการ/สมมติฐานที่ได้ไปทดลองใช้ หรือนำไป ประยกุ ตใ์ ช้ในสภาพการณ์ใหม่ ๆ *๗) ผู้สอนมีการติดตามผลการนำความรู้/ความคิด/หลักการ/สมมติฐานไปใช้ส่งเสริมให้ ผู้เรียนแลกเปลี่ยนผลการนำไปใช้ และอภิปรายหาข้อสรุป ความรู้ ความคิดใหม่ ๆ หรือปรับเปล่ียนความคิด ตามความเหมาะสม ๘) ผ้สู อนมีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ โดยใชผ้ ลการประเมินการเรยี นรู้ของตนเองของ ผู้เรียน ประกอบกับการประเมินผลของผู้สอนด้วย และการวัดและประเมินผลจะต้องเป็นไปตามจุดประสงค์ ของเรอื่ งที่เรียนรู้ มิใชผ่ ลการรบั ใชส้ ังคม
ศาสตร์การสอน ๙๓ * หมายเหตุ สำหรับข้อที่ ๗ แม้ จะไม่ปรากฏในกระบวนการของการจัดการเรียนรู้แบบบน้ีโดยทั่ว ๆ ไป แต่ผู้เขียนต้ังใจที่จะเพิ่มเติมเข้าไป เพื่อช่วยให้กระบวนการสอนแบบนี้มีความสมบูรณ์ครบวงจร และได้ผล มากขึน้ ๕.๔.๓ การจัดการเรียนรู้ตามสภาพจรงิ (Authentic Learning) หลกั การ ๑) การเรียนรู้เร่ืองใด ๆ ก็ตาม ย่อมมีความสัมพันธ์กับบริบทของเร่ืองน้ัน ๆ การเรียนรู้โดย คำนึงถึงบริบทแวดลอ้ มเปน็ การเรยี นรู้ทีส่ ัมพันธก์ ับความเปน็ จริง จงึ สามารถนำไปใชใ้ นชวี ติ ประจำวันได้ ๒) สภาพจริง ปัญหาจริง เป็นโลกแห่งความเป็นจริง ซ่ึงทุกคนจะต้องเผชิญ ดังน้ันการให้ ผเู้ รียนได้เผชญิ กบั สภาพจริง ปญั หาจริง จึงเปน็ โอกาสทช่ี ่วยใหผ้ ูเ้ รยี นได้เรยี นรคู้ วามเปน็ จริง ๓) การเรียนรู้ความจริง ของจริง เป็นการเรียนรู้ท่ีมีความหมาย เพราะสามารถนำไปใช้ได้ เปน็ ประโยชน์ตอ่ ผู้เรยี น จึงเป็นส่ิงที่กระตุ้นให้ผูเ้ รียนเกดิ ความใฝ่รู้อยากเรียนรู้ ๔) การให้ผูเ้ รียนเผชิญปัญหาและแก้ปัญหา จะชว่ ยให้ผ้เู รยี นพฒั นาทกั ษะท่ีจำเปน็ ต่อการ ดำรงชีวติ จำนวนมาก การเรียนรู้ตามสภาพจริงนั้น ตามหลักการแล้ว ควรเป็นการเรียนรู้ที่ไม่แยกออกจากบริบท (context) เป็นการเรียนรู้เรื่องใดเร่ืองหนึ่งตามสภาพจริงและบริบทจริง ไม่ดึงเอาเร่ืองน้ันออกจากบริบทท่ี เป็นอยู่ อย่างไรก็ตามในระยะหลังได้มีแนวคิดเพ่ิมเติมว่า เราสามารถจัดการเรียนรู้ตามสภาพจริงในห้องเรียน ได้ หากสามารถจัดให้กระบวนการเรียนรู้มีองค์ประกอบสำคัญ ๆ ที่คล้ายคลึงเช่นเดียวกับท่ีเกิดในสภาพจริง ซง่ึ กอร์ดอน๑๓ ได้วิเคราะหห์ าองคป์ ระกอบดงั กล่าวไวด้ ังน้ี ๑) ในการเรียนรู้ตามสภาพจริง บุคคลมักเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ อยู่เสมอ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง และจะต้องคิดตัดสินใจ และลงมือกระทำการอย่างใดอย่างหน่ึง ในการเรียนรู้ตามสภาพจริง จึงต้องมีปัญหา การคิด การตัดสนิ ใจ การกระทำ แลผลของการคิดการตัดสนิ ใจ ๒) ในการเรียนรู้ตามสภาพจริง เมื่อมีปัญหาท่ีต้องตัดสินใจแก้ไขบุคคลจะแสวงหาทางแก้ไข โดยใช้ทรัพยากรหรือส่ิงต่าง ๆ ที่ตนมีอยู่หรือหามาได้ บุคคลจะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ท่ีจะช่วยตนได้ในทางใดทาง หน่ึง จะใช้ทรัพยากรรอบตัว เช่น หนังสือพิมพ์ โทรศัพท์ ฯลฯ เพื่อให้ได้ข้อมูลท่ีจะนำมาใช้แก้ปัญหา ตาม สภาพจรงิ ไม่มีการเรียนรเู้ กิดขน้ึ จากการที่น่งั เรยี นกนั เป็นแถวเหมือนสภาพในห้องเรียน ๓) ในการเรียนรู้ตามสภาพจริง บุคคลใช้ความรู้ ทักษะ และเกิดความรู้สึกหรือพัฒนาเจตคติ ไปพร้อม ๆ กัน ตามสภาพจริง บุคคลจะดำเนินการจัดการเมื่อเกิดปัญหาใด ๆ บุคคลจะต้องคิด ตัดสินใจ โดย ใช้ความรู้ท่ีมีและแสวงหาข้อมูลท่ีจำเป็นต่อการตัดสินใจมาใช้ และตัดสินใจกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งท่ีตน เห็นว่าดีท่ีสุด เหมาะสมท่ีสุดกับสถานการณ์ ซ่ึงการตัดสินใจกระทำการน้ัน ๆ จะส่งผลให้เกิดความรู้ ทักษะ และเจตคติอื่น ๆ ตามมาด้วย ดังนั้น การพัฒนาความรู้ ทักษะและเจตคติต่าง ๆ ตามสภาพจริง จึงเป็นการ พัฒนาท่ีเกดิ ข้ึนในบริบทตามสภาพจรงิ ๆ น้นั ๔) ในการเรียนรู้ตามสภาพจริง บุคคลจะเลือกรับรู้และเรียนรู้เฉพาะส่ิงท่ีมีความหมายกับ ตนเอง ซึ่งมักจะเปน็ สง่ิ ที่บุคคลจำเปน็ ตอ้ งใช้ในชีวติ ประจำวัน เช่น ทักษะในการเขา้ ใจผูอ้ ื่น การอยู่ร่วมกับผอู้ ่ืน การแกป้ ัญหา การตดั สินใจ เปน็ ต้น ตามสภาพจรงิ บคุ คลไม่ไดร้ ับรหู้ รือเรียนรทู้ ุกสิง่ ทุกอยา่ งท่ีผา่ นเข้ามา ๑๓ Gordon, R. (1998). “Balancing real-world problems with real-world results,” Phi DeltaKappan. 79, 390-393.
ศาสตรก์ ารสอน ๙๔ ๕) ในการเรียนรู้ตามสภาพจริง ส่ิงทั้งหลายจะเชื่อมโยงกัน ความรู้ทักษะ เจตคติ ที่เรียนรู้ใน บริบทหนึ่ง จะได้รับการถ่ายโอนไปใช้ในบริบทอื่น ๆ และจะได้รับการปรับเปลี่ยนและพัฒนาไปเร่ือย ๆ ดังนั้น การเรยี นรจู้ ึงมลี ักษณะของการพฒั นาแบบเปน็ เกลียว คือจะมีการพัฒนาจากฐานเดมิ เพ่ิมขนึ้ ไปเรื่อย ๆ ๖) ในการเรียนรู้ตามสภาพจริง เมื่อบุคคลกระทำสิ่งใดสิ่งหน่ึงบุคคลมักจะได้รับข้อมูล ย้อนกลับว่าส่ิงที่ตนทำลงไปน้ันดี –ไม่ดีเหมาะ –ไม่เหมาะจากบุคคลที่เก่ียวข้อง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวถือได้ว่าเป็น มาตรฐานคณุ ภาพตามความเปน็ จรงิ ในชวี ิตจริง (real – life standards of quality) ดังนั้น หากผู้สอนไม่สามารถที่จะนำผู้เรียนไปเรียนรู้ตามสภาพจริงในบริบทจริงได้ ผู้สอน สามารถท่ีจะจัดกระบวนการเรียนรู้ตามสภาพจริงให้เกิดข้ึนในห้องเรียนได้ โดยการจัดสภาพการณ์การเรียนรู้ ในห้องเรียน ให้มีองค์ประกอบของการเรียนรู้เช่นเดียวกันกับท่ีเกิดขึ้นตามสภาพจริง กล่าวคือ ให้ผู้เรียนได้ เผชิญปัญหาท่ีเป็นจรงิ ได้คิด ได้แสวงหาขอ้ มูลท่ีจะใช้ในการตัดสินใจ และได้ตัดสินใจกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยท่ีผู้เรียนจะได้รับผลการประเมินการกระทำของตนตามมาตรฐานคุณภาพในชีวิตจริง และมีโอกาสท่ีจะนำ การเรยี นรู้ท้งั ทางด้านความรู้ ทักษะ และเจตคตไิ ปใช้ในบริบทอ่ืน ๆ และพัฒนาปรบั ปรงุ ต่อไปเรอื่ ย ๆ ซ่ึง กอร์ ดอน (Gordon, ๑๙๙๘ : ๖) ได้เสนอแนวคิดในการจัดกิจกรรมไว้ ๓ ระดับ ดงั น้ี ๖.๑) การจัดกิจกรรมแก้ปัญหาท้าทายความสามารถทางวิชาการ (academic challenges) ได้แก่ การนำเนื้อหาสาระท่ีต้องการสอนมาปรับเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของปัญหา แล้วให้ผู้เรียน เผชิญปัญหา ได้ร่วมมือกันหาทางแก้ไข แสวงหาข้อมูล นาข้อมูลทางวิชาการมาใช้ในการตัดสินใจ ตัดสินใจลง มือกระทำการอยา่ งใดอย่างหนง่ึ และประเมินด้วยมาตรฐานคณุ ภาพในชีวิตจรงิ ๖.๒) การจัดกิจกรรมสวมบทบาทในสถานการณ์จาลอง (scenario challenges) ได้แก่ การนำเนื้อหาสาระท่ีต้องการสอนมาจัดทำเป็นสถานการณ์จำลองท่ีสะท้อนความเป็นจริง ชีวิตจริง แล้ว ให้ผู้เรยี นสวมบทบาทใดบทบาทหน่ึงและลงไปเล่นในสถานการณจ์ ำลองนน้ั ซึ่งจะชว่ ยให้ผ้เู รียนได้ศกึ ษาและใช้ ความรู้ และทกั ษะตา่ ง ๆ ทจ่ี ำเปน็ ต่อการเข้าใจสภาพการณจ์ ริงและชีวติ จริง ๖.๓) การจดั กิจกรรมเผชิญปญั หาตามสภาพจริง (real – life problem) ได้แก่ การ นำผู้เรียนไปเผชิญปัญหาจริงในบริบทจริง และร่วมกันศึกษาเรียนรู้เพ่ือที่จะแก้ปัญหาน้ัน ตัดสินใจกระทำการ อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ เพ่ือแกป้ ญั หานน้ั และได้รับผลจากการกระทำนนั้ ๆ นอกจากแนวคิดดังกล่าวแล้ว นิวแมนและเวลาช (Newmann & Wehlage อ้างถึงใน Deuer & Hobbs, ๒๐๐๐ : ๓) ยังได้นำเสนอเกณฑ์ในการประเมินการจัดการเรียนการสอนตามสภาพจริงไว้ ๕ ประการ กลา่ วคอื การจดั การเรียนการสอนตามสภาพจริงควรมคี ณุ สมบตั ิ ดังน้ี (๑) ผู้เรียนได้พัฒนาการคิดขั้นสงู (higher – order thinking) (๒) ผเู้ รยี นไดค้ วามรู้ท่ลี ึกซง้ึ (depth of knowledge) (๓) ความเช่ือมโยงของส่ิงท่เี รียนรู้กบั โลกแหง่ ความเปน็ จริง (๔) การอภปิ รายหรอื การสนทนาที่เป็นแกน่ สาร (substantive conversation) (๕) การส่งเสรมิ สนับสนนุ จากสังคมในผลสัมฤทธ์ิของผู้เรียน (social support for student achievement) นิยาม การจัดการเรียนรู้ตามสภาพจริง หมายถึง การดำเนินการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดย การให้ผู้เรียนเข้าไปเผชิญกับสภาพการณ์จริง ปัญหาจริง ในบริบทจริง และร่วมกันศึกษาเรียนรู้ แสวงหา ความรู้ ข้อมูล และวิธีการต่าง ๆ เพื่อท่ีจะแก้ไขปัญหาน้ัน ๆ และ ได้รับผลการประเมินตามมาตรฐานคุณภาพ ในชีวิต ในกรณีที่ไม่สามารถจดั ให้ผเู้ รียนไปเผชิญปัญหาในบริบทจริงได้ผู้สอนสามารถจัดการเรียนรู้ตามสภาพ จริงในห้องเรียนได้ โดยการจดั กิจกรรมที่จำลองหรือสะท้อนความเป็นจรงิ ให้ผู้เรียนได้ร่วมกนั คิดแกป้ ัญหา หรือ
ศาสตรก์ ารสอน ๙๕ เข้าไปสวมบทบาทในสถานการณ์จำลอง และเรียนรู้ที่จะใช้ความรู้และทักษะต่าง ๆ ในการเข้าใจสภาพความ เป็นจริง และแก้ปัญหาต่าง ๆ ซ่ึงกิจกรรมดังกล่าวควรจะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดข้ันสูง ได้เรียนรู้ ความรู้ในระดับลึก ได้เช่ือมโยงสิ่งที่เรียนรู้กับโลกแห่งความเป็นจริง ได้อภิปรายสนทนาในเร่ืองท่ีเป็น สาระสำคัญ และไดร้ บั ผลการตัดสนิ ใจและการกระทำของตนจากสังคม หรือตามเกณฑม์ าตรฐานในชวี ติ จรงิ ตวั บง่ ชี้ ๑) ผู้สอนมีการนำผู้เรียนเข้าไปเผชิญสถานการณ์จริง ปัญหาจริงในบริบทจริง และ/หรือ ผู้สอนมกี ารจดั กิจกรรมในห้องเรยี นทจี่ ำลองหรือสะท้อนความเป็นจริงใหผ้ ูเ้ รียนได้รว่ มกันคิดแกป้ ัญหา หรือเข้า ไปสวมบทบาทในสถานการณ์นน้ั ๒) ผู้เรียนมีการร่วมกันคิดวิเคราะห์ปัญหา แสวงหาความรู้ ข้อมูลและวิธีการต่าง ๆ จาก แหล่งความรู้ที่หลากหลาย ศึกษาทำความเข้าใจ ความรู้และข้อมูล และนำข้อมูลความรู้มาใช้ในการติดสินใจ แก้ปัญหา ๓) ผู้เรยี นมกี ารตดั สนิ ใจกระทาการอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ เพอื่ แก้ปญั หารว่ มกนั ๔) ผู้เรยี นได้รับผลการตดั สินใจและการกระทำของตนจากสงั คม ๕) ผเู้ รยี นมีการอภิปราย แลกเปล่ียนความรู้ความเข้าใจ สะทอ้ นความคิดเก่ียวกับการเรียนรู้ ของตน ๖) ผู้สอนมีการวัดและประเมินผล ท้ังดา้ นความรู้ ทกั ษะและเจตคติ ๕.๔.๔ แบบเน้นปญั หา ๕.๓.๔.๑ การจดั การเรียนการสอนโดยใชป้ ัญหาเป็นหลกั (Problem – Based Instruction) หลักการ ปัญหาสามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดภาวะงุนงงสงสัยและความต้องการที่แสวงหาความรู้เพื่อ ขจัดความสงสัยดังกล่าว การให้ผู้เรียนได้เผชิญปัญหาจริงหรือสถานการณ์ปัญหาต่าง ๆ และร่วมกันคิดหาทาง แก้ปัญหาน้ัน ๆ จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรยี นรู้อย่างมีความหมาย และสามารถพัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ อนั เปน็ ทักษะท่ีจาเปน็ ต่อการดารงชวี ิต และการเรยี นรู้ตลอดชีวติ นยิ าม การจดั การเรียนการสอนโดยใช้ปญั หาเปน็ หลกั เปน็ การจัดสภาพการณ์ของการเรยี นการสอน ที่ใช้ปัญหาเป็นเครื่องมือในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามเป้าหมาย โดยผู้สอนอาจนาผู้เรียนไปเผชิญ สถานการณ์ปัญหาจริง หรือผู้สอนอาจจัดสภาพการณ์ให้ผู้เรียนเผชิญปัญหา และฝึกกระบวนการวิเคราะห์ ปัญหาและแก้ปัญหาร่วมกันเป็นกลุ่ม ซ่ึงจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในปัญหาน้ัน อย่างชัดเจน ได้เห็น ทางเลือกวิธีการที่หลากหลายในการแก้ปัญหาน้ัน รวมท้ังช่วยให้ผู้เรียนเกิดความใฝ่รู้ เกิดทักษะ กระบวนการ คิด และกระบวนการแก้ปญั หาตา่ ง ๆ ตวั บง่ ชี้ ๑) ผูส้ อนและผเู้ รียนมีการรว่ มกนั เลอื กปัญหาที่ตรงกบั ความสนใจหรือความตอ้ งการของ ผเู้ รยี น ๒) ผู้สอนและผูเ้ รียนมีการออกไปเผชิญสถานการณ์ปญั หาจริง หรอื ผสู้ อนมีการจัด สภาพการณใ์ ห้ผู้เรยี นเผชญิ ปัญหา ๓) ผูส้ อนและผูเ้ รียนมีการรว่ มกนั วเิ คราะหป์ ัญหา และหาสาเหตขุ องปัญหา ๔) ผ้เู รยี นมกี ารวางแผนการแกป้ ญั หารว่ มกัน
ศาสตรก์ ารสอน ๙๖ ๕) ผู้สอนมกี ารให้คำปรึกษาแนะนำ และช่วยอานวยความสะดวกแกผ่ ูเ้ รียนในการแสวงหา แหล่งขอ้ มูล การศึกษาขอ้ มลู และการวเิ คราะห์ข้อมูล ๖) ผู้เรยี นมกี ารศึกษาคน้ ควา้ และแสวงหาความรดู้ ้วยตนเอง ๗) ผ้สู อนมีการกระตุน้ ให้ผู้เรียนแสวงหาทางเลอื กในการแก้ปัญหาทีห่ ลากหลายและพจิ ารณา เลือกวธิ ที ี่เหมาะสม ๘) ผเู้ รยี นมกี ารลงมือแกป้ ัญหา รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ ข้อมูล สรุป และประเมนิ ผล ๙) ผูส้ อนมีการติดตามการปฏิบตั งิ านของผ้เู รยี น และให้คาปรึกษา ๑๐) ผูส้ อนมกี ารประเมินผลการเรียนรู้ ทง้ั ทางดา้ นผลงาน และกระบวนการ ๕.๓.๔.๒ การจัดการเรยี นการสอนโดยใช้โครงการเป็นหลัก (Project – Based Instruction) หลกั การ การใช้โครงการหรือโครงงานในการสอนตั้งอย่บู นพน้ื ฐานความเช่ือและหลกั การ๑๔ต่อไปน้ี ๑) โครงการหรือโครงงาน เป็นกิจกรรมที่มีบริบทจริงเช่ือมโยงอยู่ ดังนั้นการเรียนรู้ท่ีเกิดข้ึน จึงสัมพนั ธก์ ับความเปน็ จรงิ สามารถนาไปประยุกตใ์ ช้ไดใ้ นชวี ติ จรงิ จงึ เป็นการเรียนรู้ท่ีเปน็ ประโยชนต์ ่อผูเ้ รียน ๒) การให้ผู้เรียนทำโครงการหรือโครงงาน เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เข้าสู่กระบวนการ สืบสอบ (process of inquiry) ซ่ึงเป็นกระบวนการที่ผู้เรียนต้องใช้การคิดข้ันสูงท่ีซับซ้อนขึ้น ดังน้ันจึงเป็น ช่องทางท่ดี ใี นการพฒั นากระบวนการทางสติปัญญาของผ้เู รยี น ๓) การจัดการเรียนการสอนโดยใช้โครงการเป็นหลัก ช่วยให้ผู้เรียนไดผ้ ลิตงานท่ีเป็นรปู ธรรม ออกมา ผลผลิตท่ีแสดงออกถึงความรู้ความคิดของผู้เรียนนี้ สามารถนำมาอภิปรายแลกเปลี่ยนและ วิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างชัดเจน ซึ่งผลการวิจัยทางด้านสติปัญญาและการเรียนรู้ได้ช้ีชัดว่า การเรียนรู้จะ พฒั นาขึน้ หากความรู้และทักษะตา่ ง ๆ สามารถแสดงออกให้เห็นได้อยา่ งชัดเจน ๔) การแสดงผลงานต่อสาธารณชน สามารถสร้างแรงจูงใจในการเรียนรแู้ ละการทำงานใหแ้ ก่ ผู้เรียนได้ ซ่ึงแรงจูงใจจะมีผลต่อความใส่ใจ ความกระตือรือร้นและความอดทน ในการแสวงหาความรู้ การศกึ ษาความรู้ และการใช้ความรู้ ๕) การให้ผู้เรียนทำโครงการหรือโครงงาน นอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะ กระบวนการในการสืบสอบและการแก้ปัญหาแล้ว ยังสามารถช่วยดึงศักยภาพต่าง ๆที่มีอยู่ในตัวของผู้เรียน ออกมาใช้ประโยชนด์ ้วย นิยาม การจัดการเรียนการสอนโดยใช้โครงการเป็นหลัก คือ การจัดสภาพการณ์ของการเรียนการ สอน โดยให้ผู้เรยี นไดร้ ่วมกันเลอื กทำโครงการทีต่ นสนใจ โดยร่วมกันสำรวจ สังเกต และกำหนดเร่ืองทีต่ นสนใจ วางแผนในการทำโครงการร่วมกัน ศึกษาหาข้อมูลความรู้ท่ีจำเป็น และลงมือปฏิบัติงานตามแผนท่ีวางไวจ้ นได้ ข้อค้นพบหรอื ส่ิงประดิษฐ์ใหม่ แล้วจึงเขียนรายงานและนำเสนอต่อสาธารณชน เก็บข้อมูล แล้วนำผลงานและ ประสบการณ์ทั้งหมดมาอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดค้น และสรุปผลการเรียนรู้ที่ได้รับจาก ประสบการณท์ ่ไี ดร้ ับทัง้ หมด ตวั บง่ ชี้ ๑๔Guzdial, M., Technological support for project-based learning. yearbook(ASCD),1998 : p.47-71.
ศาสตร์การสอน ๙๗ ๑) ผู้สอนและผู้เรียนมีการอภิปรายปัญหาต่าง ๆ รว่ มกัน ผู้เรียนมีการเลือกปัญหาที่ตนสนใจ ที่จะจัดทำเปน็ โครงการหรือโครงงาน ๒) ผู้สอนมีการช้ีแจงหรือทำความเข้าใจกับผู้เรียนถึงวัตถุประสงค์ในการทำโครงการ ความ คาดหวงั ต่อการทำโครงการ วิธีการและกระบวนการในการดำเนินการ ๕.๕ แบบเน้นทกั ษะกระบวนการ ๒.๕.๑ การจัดการเรยี นการสอนโดยเนน้ กระบวนการสืบสวน (Inquiry - Based Instruction) หลักการ การสืบสอบด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (scientific inquiry) เป็นกระบวนการที่ จำเป็นต่อการแสวงหาและศึกษาข้อความรู้ต่าง ๆ คาถามที่เหมาะสมสามารถนำผู้เรียนไปสู่การค้นพบ ข้อความรใู้ หม่ ๆ ได้ นยิ าม การจัดการเรยี นการสอนโดยเน้นกระบวนการสบื สอบ หมายถงึ การดำเนินการเรียนการสอน โดยผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดคำถาม เกิดความคิด และลงมือเสาะแสวงหาความรู้ เพ่ือนำมาประมวลหา คำตอบหรือข้อสรุปด้วยตนเอง โดยที่ผู้สอนช่วยอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ในด้านต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียน เช่น ในด้านการสืบค้นหาแหล่งความรู้ การศึกษาข้อมูล การวิเคราะห์ การสรุปข้อมูล การอภิปรายโต้แย้งทาง วชิ าการ และการทางานร่วมกบั ผูอ้ ืน่ เป็นตน้ ตัวบ่งช้ี ๑) ผู้สอนมีกระบวนการสอน/กิจกรรมการสอนท่ีกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความคิดวิเคราะห์ใน เร่อื งทเี่ รยี น จนสามารถต้ังคำถามท่ีต้องการจะสืบเสาะหาคำตอบดว้ ยตนเองได้ ๒) ผู้สอนมีเอกสาร วสั ดุ หรอื สอ่ื ที่ผู้เรียนสามารถใชป้ ระกอบการคิดวิเคราะห์ หรือการศึกษา ค้นคว้าหาความรใู้ นเรอื่ งท่เี รยี น ๓) ผู้เรียนมีการศึกษาค้นคว้าหาความรู้/คำตอบโดยใช้กระบวนการแสวงหาความรู้ที่ เหมาะสม ๔) ผู้สอนมกี ารช่วยพัฒนาทักษะทจ่ี ำเป็นสำหรับผู้เรยี นในการศกึ ษาวิเคราะห์ และสรุปข้อมูล หรอื สร้างความรู้ท่ีมีความหมายตอ่ ตัวผเู้ รียน เช่น ทักษะการสืบ ค้นหาแหล่งความรู้/แหล่งข้อมูล การอ่าน การ วิเคราะห์สิ่งท่ีอ่าน การสังเคราะห์ข้อมูล การสรุปข้อมูล การอภิปรายและโต้แย้งทางวิชาการ และการทำงาน กลุม่ เป็นต้น ๕) ผู้สอนมีการวัดและประเมนิ ผลการเรียนทั้งทางดา้ นเน้ือหาสาระ และกระบวนการสบื สอบ หาความรสู้ รุป เป็นตน้ ๒.๕.๓ การจัดการเรียนการสอนโดยเนน้ กระบวนการกลุม่ (Group Process – Based Instruction) หลักการ กระบวนการกลุ่ม เป็นกระบวนการในการทำงานร่วมกันของบุคคลตั้งแต่ ๒ คนข้ึนไป โดยมี วัตถุประสงค์ร่วมกัน และมีการดำเนินงานร่วมกัน โดยผู้นำกลุ่มและสมาชิกกลุ่มต่างก็ทำหน้าท่ีของตนอย่าง เหมาะสม และมีกระบวนการทำงานที่ดี เพื่อนำกลุ่มไปสู่วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้กระบวนการทำงานกลุ่มที่ดีจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดทักษะทางสังคม และขยายขอบเขตของการเรียนรู้ให้ กวา้ งขวางข้ึน
ศาสตรก์ ารสอน ๙๘ นิยาม การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการกลุ่ม คือ การดำเนินการเรียนการสอนโดยท่ี ผู้สอนให้ผู้เรียนทางาน/กิจกรรมร่วมกันเป็นกลุ่ม พร้อมท้ังสอน/ฝึก/ แนะนำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เก่ียวกับ กระบวนการทางานกลุ่มทด่ี ีควบค่ไู ปกับการชว่ ยใหผ้ ้เู รยี นเกดิ การเรยี นรู้เน้อื หาสาระตามวัตถปุ ระสงค์ ตัวบ่งชี้ ๑) ผเู้ รยี นมกี ารปฏิสมั พนั ธ์/ทำงาน/ทำกิจกรรม รว่ มกนั เปน็ กลมุ่ เพ่ือให้เกิดการเรียนรตู้ าม วตั ถปุ ระสงค์ ๒) ผู้สอนมีการฝึก/ช้แี นะ/สอนใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรยี นรเู้ ก่ียวกบั กระบวนการทำงานกลุ่มทีด่ ใี น จุดใดจุดหน่ึงของกระบวนการ เช่น ในเรื่องบทบาทผู้นากลุ่ม บทบาทสมาชิกกลุ่ม กระบวนการทำงานกลุ่ม องค์ประกอบอน่ื ๆ ทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง ๓) ผเู้ รียนมีการวิเคราะหก์ ารเรียนร้ขู องตนเองท้ังในด้านเน้ือหาสาระท่ีเรียนและกระบวนการ ทำงานรว่ มกัน ๔) ผู้สอนมีการวิเคราะห์และประเมินผลการเรียนทั้งทางด้านเน้ือหาสาระ และกระบวนการ กลมุ่ ๒.๕.๔ การจดั การเรียนการสอนโดยเนน้ กระบวนการวจิ ัย (research – Based Instruction) หลักการ กระบวนการวจิ ัยเปน็ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการแสวงหาความรู้เพื่อให้ได้ข้อมูล ความรู้ท่ีเชื่อถือได้ การให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการวิจัยในการศึกษาหาความรู้ต่าง ๆ จะช่วยให้ผู้เรียนมี เครื่องมือในการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะอย่างย่ิงการให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรงในการใช้ กระบวนการวิจัย จะชว่ ยใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรยี นรทู้ ีล่ กึ ซึ้งและมคี วามหมายต่อตนเอง นยิ าม การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการวิจยั หมายถึง การจัดสภาพการณ์ของการเรยี น การสอน ท่ีให้ผู้เรียนใช้กระบวนการวิจัย หรือผลการวิจัยเป็นเคร่ืองมือในการเรียนรู้เนื้อหาสาระต่าง ๆ โดย อาจใช้การประมวลผลงานวิจัย (research review) มาประกอบการสอนเนื้อหาสาระ ใช้ผลการวิจัยมาเป็น เน้ือหาสาระในการเรียนรู้ ใช้กระบวนการวิจัยในการศึกษาเนื้อหาสาระ หรือให้ผู้เรียนลงมือทำวิจัยโดยตรง หรือชว่ ยฝกึ ฝนทกั ษะการวิจยั ต่าง ๆ ใหแ้ ก่ผูเ้ รียน ตัวบง่ ชี้ ๑) ผสู้ อนมกี ารนำผลการวิจัยมาใช้ประกอบการสอนเน้ือหาสาระของคนและ/หรอื ๒) ผู้สอนมีการให้ผู้เรียนประมวลผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาสาระที่เรียนเพ่ือขยาย ขอบเขตความรู้ในเร่ืองน้ันและเรียนรู้เก่ียวกับวิธีการและกระบวนการวิจัย รวมท้ังการอ่านและใช้ผลการวิจัย และ/หรอื ๓) ผู้สอนมีการใช้กระบวนการวิจัยในการสอน กล่าวคือ ให้ผู้เรียนดำเนินการวิจัยตาม กระบวนการการวจิ ัยบางข้นั ตอน หรือครบทุกขั้นตอน และ/หรอื ๔) ผู้สอนมีการฝึกฝนทักษะการวิจัยที่จำเป็น หรือที่เกี่ยวข้องกับส่ิงที่เรียน ให้แก่ผู้เรียนตาม ความเหมาะสมกับเน้ือหาและสถานการณ์ เช่น ทักษะการนิยามปัญหา การตั้งสมมติฐาน การคัดเลือกตัวแปร การสุ่มตัวอย่างประชากร การสร้างเคร่ืองมือ การพิสูจน์ทดสอบ การรวบรวม วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล การสรุปผลการวิจยั การอภปิ รายผลการวจิ ยั และการใหข้ ้อเสนอแนะ เป็นตน้ ๕) ผสู้ อนและผเู้ รยี นมีการอภิปรายรว่ มกนั เกย่ี วกบั กระบวนการวิจยั และผลการวจิ ัย
ศาสตรก์ ารสอน ๙๙ ๖) ผสู้ อนมกี ารวัดและประเมินผลการเรียนรทู้ งั้ ทางด้านเนื้อหาสาระ และกระบวนการวิจัย ๒.๕.๕ การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง (Instruction Emphasizing Learning Process) หลักการ ผ้เู รยี นทุกคนมีความสนใจใฝ่รู้อยู่เปน็ ธรรมชาติ หากไดร้ บั การส่งเสริมใหร้ บั ผดิ ชอบการเรียนรู้ ของตน และได้รับการฝึกฝนทักษะท่จี ำเป็นต่อการศึกษาหาความรดู้ ว้ ยตนเอง ผู้เรยี นจะสามารถเรยี นรู้ในสิง่ ท่ี ตนสนใจไดต้ ลอดชวี ิต นิยาม การจดั การเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง หมายถงึ การจดั สภาพการณ์ ของการเรียนการสอนท่ีผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนดำเนินการศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนสามารถเลือก หัวข้อ เนื้อหา วิธีการ และส่ือการเรยี นการสอนได้ตามความสนใจ โดยมีผู้สอนช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความ ใฝร่ ู้ ชว่ ยพัฒนาทกั ษะในการเรียนรดู้ ้วยตนเอง และช่วยใหค้ ำปรึกษาแนะนำตามความเหมาะสมเกีย่ วกบั การหา แหลง่ ความรู้ วธิ ีการศกึ ษาค้นคว้าหาความรู้ การวเิ คราะห์และสรปุ ขอ้ ความรู้ ๒.๕.๖ แบบเนน้ การบรู ณาการ บูรณาการน้ัน อาจพจิ ารณาได้ ๒ ลักษณะ คือ ความหมายท่วั ไป คอื การทำให้สมบูรณ์ หรือ การทำให้หนว่ ยย่อยๆ ทส่ี มั พันธ์ ซงึ่ อาศยั กันอยเู่ ขา้ มาร่วมทำหนา้ ทอี่ ย่างประสานกลมกลืนเป็นองค์รวมส่วนอีก ความหมายหน่ึงเป็นความหมายในสาขาวิชาทางศึกษาศาสตร์หรอื คุรุศาสตร์บรู ณาการ หมายถึง การนำเอา ศาสตร์สาขา วิชาตา่ งๆ ทมี่ ีความสมั พันธ์เกี่ยวข้องกนั มาผสมผสานเขา้ ดว้ ยกัน เพื่อประโยชนใ์ นการเรยี นรู้ของ ผเู้ รยี น การจัดการ เรียนการสอน จงึ จำเปน็ ตอ้ งใช้วิธบี รู ณาการ คอื เนน้ ทอี่ งคร์ วมของความร้มู ากกวา่ เนือ้ หา ย่อยของแตล่ ะวชิ า และเน้นที่กระบวนการเรยี นรู้ของผ้เู รียนสำคญั ยิ่งกว่าการบอก เนื้อหาของครูการเรยี นการ สอนแบบบรู ณาการจะประสบผลสำเร็จไดน้ นั้ จำเปน็ จะต้องไดผ้ ู้สอนท่ีดีเพือ่ ทำหน้าที่ ให้ผู้เรยี น เกิด ความ ซาบซึง้ และสง่ เสริมการพัฒนาความสามารถเต็มตามศกั ยภาพของตนไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ หลักการ ๑) ในธรรมชาติและชีวิตจริง ทุกส่ิงทุกอย่างล้วนมีความสัมพันธ์กันการเรียนรู้ที่ดีจึงควรมี ลักษณะเช่นเดียวกัน ควรมีลักษณะเป็นองค์รวม ไม่ใช่แบ่งเป็นแท่งหรือเป็นท่อนที่แยกจากกันซ่ึงทำให้การ เรียนรู้ไม่เชื่อมโยงสัมพันธ์กบั ชีวิตจรงิ และความเปน็ จริง เปน็ ผลทำใหผ้ ู้เรียนไมส่ ามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ ใหเ้ ปน็ ประโยชน์ในชวี ติ จรงิ ได้ ๒) การบูรณาการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้การแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้หลาย ๆ ด้าน ประกอบกัน และช่วยให้ผเู้ รยี นเกิดพัฒนาการทง้ั ทางดา้ นความรู้ ทกั ษะ และเจตคติไปพรอ้ ม ๆ กัน ๓) การบูรณาการช่วยเปิดโลกทัศน์ของทั้งผู้สอนและผู้เรียนให้กว้างข้ึน ไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะ ด้าน เฉพาะทาง ช่วยให้การเรียนรู้น่าสนใจ น่าตื่นเต้น ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจ ในการเรียนรู้ และมีความคิดและ มมุ มองทกี่ ว้างขึ้น นยิ าม การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นการบูรณาการ หมายถึง การนำเน้ือหาสาระที่มีความ เกี่ยวข้องกันมาสัมพันธ์ให้เป็นเรื่องเดียวกัน และจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจใน
ศาสตรก์ ารสอน ๑๐๐ ลักษณะที่เป็นองค์รวม และสามารถนำความรู้ความเข้าใจไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้ การบูรณาการ เนือ้ หาสาระทมี่ ีความเก่ียวข้องกัน สามารถทำได้หลายลกั ษณะ ดงั น้ี ๑) การบูรณาการภายในวิชา (intradiscriplinary) หมายถึง การนำเน้ือหาสาระในวิชา เดียวกัน หรือกลุ่มประสบการณ์เดียวกันมาสัมพันธ์กัน เช่น ในวิชาภาษาไทย มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับการอ่าน การเขียนคำประพันธ์ การพูดจูงใจ ไวยากรณ์ และวรรณคดี ฯลฯ แทนที่ผู้สอนจะสอนเนื้อหาสาระทีละเรื่อง แยกจากกัน ผู้สอนสามารถนำสาระทุกเรื่องมาสัมพันธ์กนั เป็นเร่อื งเดียว โดยการเลือกการศึกษาวรรณคดีเรื่อง “พระอภัยมณี” เป็นแกนหรือหัวข้อหลัก (theme) ในการศึกษาเร่ืองพระอภัยมณี ผู้เรียนได้เรียนรู้เร่ืองราว ความงามของภาษา การเขียนคำประพันธ์ (กลอน) การใช้ไวยากรณ์ในคำประพันธ์ การอ่านให้ไพเราะ ซาบซึ้ง และการพดู จูงใจใหเ้ ยาวชนหนั มาสนใจวรรณคดีไทย เป็นต้น ๒) การบูรณาการระหว่างวิชา (intradiscriplinary) หมายถึง การนำเนื้อหา สาระของหลาย ๆ วิชาสัมพันธ์ให้เป็นเร่ืองเดียวกัน ตัวอย่างเช่น นำเน้ือหาสาระของวิชา ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ศิลปะ และดนตรี มาประสานสัมพนั ธเ์ ปน็ เร่ืองเดียวกัน ภายใตห้ วั ขอ้ เร่อื ง หรอื “theme” ท่เี ลือก การบรู ณาการภายในวิชา หรือระหวา่ งวชิ า สว่ นใหญ่จะต้องมี “หัวขอ้ เร่ือง” หรือ “theme” เป็นหัวขอ้ ในการ เรียนรู้ ซึง่ หวั ข้อนส้ี ามารถตั้งชื่อไดห้ ลายลักษณะ๑๕ เช่น เรยี กวา่ เป็นหนว่ ยการเรียนรู้ ซงึ่ อาจจะต้ังตามงานที่ อยู่ในความสนใจของเด็ก (student – centered) เชน่ “โครงการทำปุ๋ยหมัก” หรืออาจต้ังตามบทบาทหน้าท่ี ทางสังคม (social functions – centered) “การเป็นพลเมอื งดีของประเทศไทย” หรืออาจต้ังตาม ประสบการณ์ทจี่ ดั ใหผ้ เู้ รียน (Experienced – centered) เช่น “เรอื เจ้าพระยากับตาวเิ ศษ” เปน็ ต้น นอกเหนอื จากการบูรณาการเนือ้ หาสาระแล้ว ธำรง บัวศรี๑๖ กลา่ วว่า ควรมกี ารบูรณาการใน ลักษณะอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย ได้แก่ การบูรณาการระหว่างความรู้และกระบวนการเรียนรู้ การบูรณาการ ระหว่างพัฒนาการทางความรู้และพัฒนาการทางจิตใจ การบูรณาการระหว่างความรู้และการกระทำ และ การบรู ณาการระหว่างสิง่ ทเ่ี รยี นในโรงเรียนกบั สิง่ ที่เปน็ อยู่ในชีวติ ประจำวันของผเู้ รียน ตัวบ่งช้ี ๑) ผู้สอน หรือผู้สอนและผู้สอนและผู้เรียนมีการจัดเตรียมหน่วยบูรณาการ โดยมีการ วิเคราะห์ อภิปรายเก่ียวกับหลักสูตร เนื้อหาสาระและวัตถุประสงค์ และนำเน้ือหาสาระภายในวิชา/ระหว่าง วิชา มาสัมพันธ์เป็นเรื่องเดียวกันโดยใช้วิธีการและกระบวนการต่าง ๆ ตามความเหมาะสม เพื่อให้ได้ตาม วัตถุประสงค์ที่ต้องการ ๒) ผู้สอน หรือผู้สอนและผู้เรียนมีการร่วมกันกำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีสามารถ สนองวตั ถุประสงค์ท่กี ำหนด ท้งั นกี้ จิ กรรมควรมีลักษณะทส่ี ำคัญ ดงั นี้ ๒.๑) เป็นกิจกรรมทผ่ี ้เู รียนมีโอกาสศึกษาหาความรูห้ รอื สร้างความรใู้ นเนื้อหาสาระท่ี นำมาบรู ณาการครบทุกเร่อื ง ๒.๒) เป็นกจิ กรรมที่ผเู้ รียนมโี อกาสไดใ้ ชค้ วามรู้/เน้ือหาสาระทีน่ ำมาบูรณาการ ๒.๓) เป็นกิจกรรมที่เน้นความเข้าใจ มใิ ชเ่ พยี งความจำเน้ือหาสาระ ๒.๔) เป็นกิจกรรมที่เนน้ ความสมั พันธเ์ ปน็ ภาพรวม ๓) ผเู้ รียนมีการดำเนนิ กจิ กรรมการเรยี นรู้ ภายใตค้ ำปรึกษาแนะนำของผูส้ อน ๔) ผูส้ อนและผู้มีการรว่ มกันอภิปราย สะทอ้ นความคดิ และสรุปการเรยี นร้ทู ่ีไดร้ ับ ๑๕ Smith, P.L., and Ragan, T.J. Instructional design. Upper Saddle River, New Jersey : Merrill Prentice Hall, 1999.p.308. ๑๖ ธำรง บวั ศรี. ทฤษฎหี ลกั สูตร : การออกแบบหลกั สูตรและพฒั นา. กรงุ เทพฯ :ธนรัช, ๒๕๔๒ หนา้ ๒๐๐ – ๒๐๑,
ศาสตรก์ ารสอน ๑๐๑ ๕) ผู้สอนมกี ารประเมนิ ผลการเรียนรขู้ องผเู้ รียนครบถว้ ยทุกดา้ นตามวัตถุประสงค์ท่ี กำหนด ๒.๕.๗ หลกั การจัดการเรยี นการสอนโดยไมม่ ีครู (Instruction without Teacher) นับตั้งแต่มีแนวคิดเก่ียวกับการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนท่ีเรียกว่า “โปรแกรมสำเร็จรูป” หรือ “Programmed Instruction” ขึ้นมา แนวคดิ เกยี่ วกับการเรียนรูไ้ ด้เร่ิมมุง่ ไปทต่ี ัวผู้เรียนเป็นรายบุคคลมากข้ึน การจัดการเรียนการสอนเริ่มเน้นให้ผูเ้ รยี นได้เรียนร้ดู ้วยตนเองมากข้ึน ประกอบกับในระยะหลงั เทคโนโลยีทาง การศึกษาได้พัฒนาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และโทรคมนาคมได้รุดหน้าไปอย่างมาก การศึกษาจึงได้นำเทคโนโลยีเหล่าน้ันมาใช้ให้เป็นประโยชน์มากข้ึน แนวคิดในการจัดการเรียนการสอนและ การเรียนร้จู ึงได้ขยายออกไปสู่การเรียนรดู้ ้วยตนเองของผู้เรียน โดยอาศัยส่ือและเทคโนโลยีต่าง ๆ จึงทำให้เกิด ลักษณะของการเรียนรู้แบบใหม่ข้ึน ซ่ึงไม่ต้องอาศัยครู อย่างไรก็ตาม การเรียนรู้โดยไม่ต้องอาศัยครูและ หลกั สตู ร อาจเป็นการเรยี นรู้ตามอธั ยาศยั แต่หากเป็นการเรียนรู้ตามหลักสตู รแล้ว แมจ้ ะไมต่ อ้ งอาศัยครูในการ เรียนรู้ แต่ก็ยังคงต้องอาศัยครูในการวางแผนจัดการเกี่ยวกับการเรียนรู้ ครูจำเป็นต้องทำความเข้าใจ ชี้แจง หลักสูตรและวัตถุประสงค์ในการเรียน ความคาดหวังต่อสัมฤทธิ์ผลของผู้เรียน และการประเมินผลการเรียนรู้ ของผู้เรียนดังนั้นการจัดการเรียนการสอนโดยไม่มีครูในที่นี้ ก็คงมีความหมายเพียงว่า ครูไม่มีบทบาทใน กระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน เพราะผู้เรียนเป็นผู้ดำเนินการเรียนรู้ด้วยตนเอง (โดยอาศัยส่ือและเทคโนโลยี ตา่ ง ๆ) แต่ครูก็ยังคงมีบทบาทอื่น ๆ อยู่ เช่น บทบาทในการวางแผนการเรยี นการติดตามการเรียนรู้ของผู้เรยี น การเก็บรวบรวมขอ้ มูล และการประเมนิ ผลการเรยี นร้ขู องผู้เรียน เปน็ ต้น ๑. การจดั การเรียนการสอนโดยใชโ้ ปรแกรมสำเรจ็ รูป (Prgrammed Instruction) หลักการ ๑) การวิเคราะห์เน้ือหาและจัดแบ่งเน้ือหาสาระออกเป็นส่วนย่อยๆ ที่มีความ ตอ่ เนื่องเป็นลำดับขั้น และนาเสนอทีละข้ัน ไม่กระโดดข้ามข้ันจะช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในเน้ือหาสาระนั้น ไดด้ ี ๒) การให้ผู้เรียนมีโอกาสตรวจสอบการเรียนรู้ของตนเองจะช่วยให้ผู้เรียนเกิด แรงจูงใจในการเรียนรู้ต่อไป และสามารถแก้ไขข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดของตน อันจะเป็นผลดีต่อการ เรยี นรู้ขน้ั ตอ่ ไป ๓) การให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความสามารถของตน จะช่วยให้ผู้เรียนประสบ ความสำเร็จในการเรียน ๔) การให้ผู้เรียนได้ศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง ช่วยให้ผู้เรียนใส่ใจต่อการเรียนรู้และ เรียนรู้ทีจ่ ะรับผิดชอบและควบคุมกากับการเรียนรู้ของตน นิยาม การจัดการเรียนการสอนโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป หรือบทเรียนแบบโปรแกรม หมายถึง การดำเนินการให้ผู้เรียนเกิดการเรยี นรู้ในเรอื่ งใดเร่ืองหนึง่ โดยใหผ้ ู้เรยี นศกึ ษาบทเรียนแบบโปรแกรม ในเร่ืองนั้นด้วยตนเอง บทเรียนแบบนี้นำเสนอเนื้อหาสาระทีละข้ันตอนย่อย ๆ ที่มีความต่อเนื่องไปตามลำดับ ซึ่งเรียกกันว่า เฟรม (frame) และมีการถามให้ผู้เรียนตอบสนอง และตรวจสอบผลการตอบสนองของตนได้ ทันทีว่าถูกหรือผิด เม่ือเรียนจบบทเรียน ผู้เรียนสามารถประเมินผลการเรียนรู้ของตนเองและทราบผลการ เรยี นร้ขู องตนเองได้ทันที ผเู้ รียนสามารถศึกษาบทเรียนโดยใช้เวลาตามความสามารถหรอื ความต้องการของตน บทเรียนแบบโปรแกรม โดยทั่วไปมี ๓ ลักษณะ คือ บทเรียนแบบโปรแกรมชนิดเส้นตรง (linear program) เป็นบทเรียนที่นาเสนอเนื้อหาสาระไปทีละข้ัน หรือทีละเฟรมผู้เรียนทุกคนจะเรียนรู้ไปตามลำดับเฟรม
ศาสตร์การสอน ๑๐๒ เหมือนกันหมด บทเรียนอีกชนิดหน่ึงเรียกว่า บทเรียนแบบโปรแกรมชนิดแยกสาขา (branching program) บทเรียนแบบนี้จะมคี ำถามให้ผูเ้ รยี นตอบสนอง และคำตอบของผู้เรยี นจะนำผ้เู รยี นไปส่เู ฟรมต่อไป ดังนั้นหากผู้เรียนตอบสนองไมเ่ หมือนกัน ผู้เรียนก็จะก้าวไปสู่เฟรมต่างกัน ทำให้การเรียนรูข้ องผู้เรียน ดำเนินไปตามลำดับไม่เหมือนกัน บทเรียนอีกแบบหนึ่งมีลักษณะการนาเสนอในรูปของข้อความบรรยาย ตอ่ เนอ่ื งกนั ไป ไมอ่ ยูใ่ นรูปของเฟรม และอาจใช้เทคนคิ ท้ังแบบเสน้ ตรง และแบบสาขาผสมผสานกนั ไป ตวั บง่ ช้ี ๑) ผสู้ อนมีการวิเคราะห์ปัญหา และความต้องการของผู้เรียนในการเรยี นรู้สาระ ๒) ผสู้ อนมกี ารจดั หาหรือสรา้ งบทเรยี นแบบโปรแกรมทส่ี ามารถตอบสนองความ ต้องการของผเู้ รียนได้ ๓) ผ้สู อนมีการช้แี จงวตั ถุประสงค์ เน้ือหาสาระ และวธิ ีใชบ้ ทเรียนแบบโปรแกรมให้ ผู้เรียนเขา้ ใจ ๔) ผู้เรียนมีการดำเนินการศกึ ษาบทเรียนแบบโปรแกรมด้วยตนเองโดยใชเ้ วลามาก นอ้ ย ตามความสามารถ ผู้สอนมีการให้คาปรึกษาแนะนาตามความเหมาะสม ๕) ผู้เรียนมกี ารทำแบบทดสอบประเมินผลการเรยี นรู้ของตนเอง และตรวจสอบผล ๖) ผู้สอนมกี ารติดตามเก็บข้อมลู การเรยี นร้ขู องผู้เรยี น ๒. การจดั การเรยี นการสอนโดยใช้คอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน (Computer – Assisted Instruction) หลกั การ ๑) คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่สามารถนำมาขยายขอบเขตความสามารถในการ เรียนรู้ของผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรยี นรู้ได้เร็วและเรียนรู้ได้ดี รวมทั้งช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง ตามความสามารถของผ้เู รยี น ๒) เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์สามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้เรียนและผู้สอน และสามารถนำไปใช้งานทางการศกึ ษาด้านอืน่ ๆ ด้วย เช่น งานการบริการ การสอบการประเมนิ ผล เปน็ ต้น นิยาม การจัดการเรยี นการสอน โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หมายถึง การนำคอมพวิ เตอร์ มาใช้ในการเรียนการสอน เพ่ือช่วยขยายขอบเขตความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียน และความสามารถใน การสอนของครู โดยการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ขึ้นมา หรือจัดหาบทเรียนคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมที่มี ผู้สร้างไว้แล้วมาให้ผู้เรียน หรือเขียนโปรแกรมให้ผู้เรียนและผู้สอนสามารถสร้างบทเรียนข้ึนเอง และใช้ คอมพิวเตอร์ในการนำเสนอบทเรียน ด้วยวิธีใดวิธีหน่ึง โดยมีการนำส่ือประสมเข้ามาช่วยในการนำเสนอ เช่น ข้อความ เสียง ภาพนิ่ง ภาพเคล่ือนไหว ผู้เรียนเป็นผู้ดำเนินการเรียนรู้ตามการนำเสนอของบทเรียน ซ่ึงจะ ออกแบบไว้ให้ผู้เรียนได้รับผลย้อนกลับตามการตอบสนองของตน และเมื่อเรียนจบ ผู้เรียนจะได้รับการ ประเมินผลการเรียนรู้ของตน และทราบผลการเรียนรู้ของตน การนำเสนอบทเรียนแบบคอมพิวเตอร์มีหลาย แบบที่นิยมกันก็มีแบบบทความรู้ (tutorial) ซ่ึงเป็นการทบทวนความรู้เดิม หรือนำเสนอเน้ือหาใหม่ การ นำเสนอบทเรยี นแบบฝกึ ปฏบิ ตั ิ (drill & practice) เป็นลกั ษณะของการฝึกการทำแบบฝึกหดั และแบบทดสอบ จนสามารถเข้าใจบทเรียนน้ัน ๆ ได้ดี บทเรียนแบบเกม (game) สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับการเล่นอย่างเพลิดเพลิน การนำเสนอบทเรียนแบบสถานการณ์จาลอง (simulatio) ผู้เรียนสามารถเข้า ไปเลน่ และใช้ข้อมลู ทีม่ ใี นการตดั สินใจแกป้ ัญหา และได้รบั ผลจากการตัดสินใจนนั้ ๆ ตวั บง่ ชี้
ศาสตร์การสอน ๑๐๓ ๑) มีบทเรียนคอมพิวเตอร์ที่ผู้สอนสร้างขึ้น หรือผู้อ่ืนสร้างไว้แล้ว หรือมีโปรแกรม การสร้างบทเรยี นสาหรับผู้เรยี นและมเี ครื่องคอมพิวเตอร์ ๒) ผ้เู รียนมคี วามสามารถในการใชเ้ คร่อื งคอมพิวเตอร์ ๓) ผู้สอนมีการชี้แจงวัตถุประสงค์ เนื้อหา และวิธีการในการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเข้าใจ และสำรวจความพรอ้ มและความเข้าใจของผเู้ รยี นกอ่ นใหผ้ เู้ รยี นดำเนินการ ๔) ผู้เรียนมกี ารดำเนินการเรียนรู้ตามทกี่ ำหนดไวใ้ นบทเรียนคอมพวิ เตอร์ โดยผู้สอน ทำหน้าท่ดี แู ลใหค้ วามชว่ ยเหลือ อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ และให้คำปรกึ ษาแนะนำตามความจาเปน็ ๕) เม่ือเรยี นจบบทเรียน ผู้เรียนได้รับการทดสอบ และได้รบั ทราบผลการเรียนรู้ของ ตนเอง ๓. การจัดการเรยี นการสอนทางไกล (Distance Instruction) หลกั การ เทคโนโลยสี ารสนเทศชว่ ยทำให้การสอ่ื สารไรข้ อ้ จำกัดในเรือ่ งของเวลาและระยะทาง และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางด้านการศึกษาได้ การจัดการเรียนการสอนทางไกลโดยให้ผู้สอนถ่ายทอด ความรู้ผ่านทางสื่อมวลชน และสื่อโทรคมนาคมต่าง ๆ สามารถช่วยให้ผู้เรียนจำนวนมากที่อยู่ในที่ต่าง ๆ ได้ เรียนรู้ โดยทค่ี ุณภาพการศกึ ษาไม่แตกต่างไปจากการจัดการเรยี นการสอนตามปกติ นยิ าม การจัดการเรียนการสอนทางไกล หมายถึง การสอนท่ีผู้สอน และผู้เรียนอยู่ต่าง สถานท่ีกัน แต่สามารถติดต่อสื่อสารมีปฏิสัมพันธ์กันในกิจกรรมการเรียนการสอนได้ด้วยการใช้สื่อและ เทคโนโลยีในรูปแบบต่าง ๆ โดยการเรียนการสอนอาจเป็นแบบทางเดียว (one-way distance instruction) คือ ผู้สอนถ่ายทอดความรู้ผ่านทางส่ือมวลชน และสื่อวัสดุอื่น ๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ เทปบันทึกเสียง เป็นต้น หรืออาจเป็นแบบสองทาง (two-way distance education) คือ ผู้สอนและผู้เรียนท่ีอยู่ต่างสถานที่ กันสามารถติดต่อปฏิสัมพันธ์กันได้ โดยใช้ส่ือ โทรศัพท์ โทรทัศน์ และเทคโนโลยีการประชุมทางไกลผ่าน จอภาพ (video conferencing)๑๗ นอกจากนั้นยังมีการจัดการเรียนการสอนเสริมทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต และใหผ้ เู้ รียนปฏสิ ัมพนั ธก์ บั ผู้สอนดว้ ยไปรษณีย์อเิ ล็กทรอนกิ สอ์ ีกดว้ ย ตวั บ่งช้ี ๑) ผูส้ อนและผู้เรียนอยู่ต่างสถานท่ีกนั ๒) ผู้สอนมีการออกแบบการเรียนการสอน โดยการวิเคราะห์และกำหนดเน้ือหา แนวคิด วัตถุประสงค์ และกิจกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับการถ่ายทอดผ่านส่ือมวลชน หรือส่ือ โทรคมนาคม ๓) ผู้สอนมกี ารถ่ายทอดความรผู้ า่ นทางส่อื มวลชน หรือสือ่ โทรคมนาคม ๔) ผู้สอนและผเู้ รยี นมีการตดิ ต่อส่อื สารมีปฏิสัมพนั ธก์ ันผ่านทางสอื่ มวลชนหรือสื่อ โทรคมนาคมต่าง ๆ (หากเป็นการเรยี นการสอนทางไกลแบบ ๒ ทาง) ๔. การจัดการเรียนการสอนผา่ นเครือขา่ ยเวิลด์ ไวด์ เว็บ (Web – Based Instruction) หลักการ ๑๗ สรุ ชยั สกิ ขาบณั ฑติ , เทคโนโลยกี ารศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : สถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนอื , ๒๕๔๒ หนา้ ๕๓ – ๖๑.
ศาสตรก์ ารสอน ๑๐๔ เทคโนโลยีต่าง ๆ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ เป็นแหล่งทรัพยากรสารสนเทศที่ กว้างขวางมาก บุคคลท่ัวทุกมุมโลกสามารถเข้าถึงข้อมูล และใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้ การให้ผู้เรียนควบคุม การเรยี นรู้ของตนเองโดยการสืบค้นขอ้ มูล ความร้จู ากเครอื ข่ายต่าง ๆ ในคอมพวิ เตอร์ จะช่วยให้ผเู้ รียนเกิดการ เรยี นรู้อย่างกวา้ งขวาง ด้วยค่าใช้จา่ ยท่ถี ูก นิยาม การจัดการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายเวิลด์ ไวด์ เว็บ๑๘ หมายถึง การออกแบบการ เรียนการสอนโดยการจัดห้องเรียนเสมือนจริง (virtual classroom) ที่จำลองสภาพช้ันเรียนปกติเป็นช่องทาง ในการส่ือสารระหว่างผู้สอนและผู้เรียนผู้สอนจะออกแบบการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนสืบค้นข้อมูลความรู้จาก เครือข่ายต่าง ๆ ในคอมพิวเตอร์ที่สำคัญ ได้แก่ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต และเครือข่าย เวิลด์ ไวด์ เว็บ (world wide web) โดยอาศัยโปรแกรมไฮเปอร์มีเดีย (hypermedia) ในการสอนจะใช้คุณลกั ษณะและทรัพยากรของ อินเทอร์เน็ตมาสร้างหรือออกแบบการเรียนรู้อย่างมีความหมาย เช่น อาจกำหนดให้นำองค์ประกอบ (เช่น e- mail, listservs, newgroup, conferencing tools ฯลฯ) ท่ีมีอยู่ในเครือข่ายมาใช้เพียงอย่างเดียว หรือหลาย อย่างรว่ มกันก็ได้ ทำให้การเกิดรูปแบบการเรียนการสอนท่ีหลากหลาย ซ่ึงข้ึนอยู่กับการจัดระบบระเบียบ การ ใช้เทคโนโลยีท่ีเก่ียวข้องกับการเรียนการสอนทางไกลบน เวิลด์ ไวด์ เว็บ การเรียนการสอนแบบนี้ผู้เรียน สามารถกระทำได้ด้วยตนเอง หรืออาจออกแบบให้มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและผู้สอน หรือระหว่าง ผเู้ รยี นดว้ ยกนั เองกไ็ ด้ และสามารถประเมินผลการเรียนรู้ผา่ นเครอื ขา่ ยได้ ตัวบ่งช้ี ๑) ผู้สอนมีการออกแบบการเรียนการสอนโดยมีการวิเคราะห์และกำหนดเน้ือหา สาระ แนวคิด วัตถุประสงค์ กิจกรรมการเรยี นการสอน รวมทั้งมีการจัดระบบระเบียบการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ และเขียนด้วยภาษา HTML สร้างไว้บนเว็บไซต์ผ่านทางอินเทอร์เน็ต ซ่ึงโดยท่ัวไปจะมีองค์ประกอบสำคัญ๑๙ ดงั นี้ ๑.๑ ส่วนของโฮมเพจ (home page) เป็นเว็บเพจแรกของเว็บไซต์ มี เนื้อหาเก่ียวกับรายวิชา เช่น ช่ือรายวิชา ช่ือผู้สอน สถานท่ีติดต่อ รวมทั้งการแนะนาอื่น ๆ ที่จะช่วยให้ผู้เรียน เขา้ ใจมากข้ึนเกย่ี วกบั รายวิชาน้ัน ๑.๒ ส่วนช่องภาพรวมรายวิชา (course overview) แสดงวัตถุประสงค์ ของรายวิชา สังเขปรายวชิ า คำอธบิ ายเกี่ยวกับหัวข้อการเรยี นหรือหนว่ ยการเรียน ๑.๓ สว่ นของบทบาทและหน้าทขี่ องผู้ท่เี ก่ยี วข้อง ๑.๔ สว่ นของกจิ กรรมท่ีมอบหมายให้ทำ การประเมนิ ผลการกำหนดเวลา เรยี น การสง่ งาน ๑.๕ ส่วนของการเสนอแหล่งทรัพยากรทสี่ นบั สนนุ การศึกษาคน้ ควา้ ๑.๖ สว่ นของตัวอย่าง เช่น ตวั อย่างรายงาน ตัวอยา่ งแบบทดสอบ ฯลฯ ๑.๗ สว่ นของขอ้ มูลทว่ั ไป เชน่ การลงทะเบยี น คา่ ใช้จ่าย การติดต่อผู้สอน สถานศกึ ษา หรือหน่วยงาน เปน็ ตน้ ๑.๘ สว่ นแสดงประวตั ิของผสู้ อนและผู้เกย่ี วขอ้ ง ๑๘ Khan, B.H. Web-based instruction. New Jersey: Educational Technology Publications. 1997. P.49-52. ๑๙ ปทีป เมธาคุณวุฒ.ิ หลกั สตู รอุดมศกึ ษา : การประเมนิ และการพฒั นา. พิมพค์ รั้งท่ี ๑. กรุงเทพฯ : นชิ ิน แอด เวอร์ไทชิง่ กรฟุ๊ , ๒๕๔๓ หนา้ ๔ – ๕.
ศาสตรก์ ารสอน ๑๐๕ ๑.๙ สว่ นของการประกาศข่าว (bulletin board) ๒) ผสู้ อนมีการปฐมนเิ ทศผ้เู รียน โดยมีการแจ้งวตั ถุประสงค์ เน้อื หา และวธิ ีการเรียนการสอน ๓) ผู้สอนมกี ารสำรวจความพร้อมของผู้เรยี น และเตรียมความพร้อมของผเู้ รียนโดยอาจมีการ ทดสอบ และสร้างเว็บเพจเพิ่มข้ึนเพ่ือให้ผู้เรียนที่มีความรู้พื้นฐานไม่เพียงพอได้เรียนเสริม หรือให้ผู้เรียนถ่าย โอนข้อมลู จากแหล่งตา่ ง ๆ ไปศึกษาเพิ่มเติมดว้ ยตวั เอง ๔) ผู้เรียนดาเนินการเรียนรดู้ ้วยตนเอง ตามระบบระเบียบท่ีได้กำหนดไว้ โดยอาศัยเครือข่าย เวิลด์ไวด์ เว็บ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต และอื่นๆ และอาจมีปฏิสัมพันธ์ โต้ตอบติดต่อกันระหว่างผู้เรียนและ ผู้สอน หากกำหนดไว้ในแบบการเรียนหรอื แผนการสอน ๕) ผเู้ รยี นมกี ารทำการทดสอบเพ่อื ประเมินผลการเรยี นร้ผู ่านเครอื ข่าย สรุปท้ายบท ปจั จบุ ัน หลักการและแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนท่ีได้รับความนิยมมีอยู่เป็นจำนวนมาก แม้ว่า ความนิยมจะเน้นไปทางด้านการยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง แต่ก็มิได้หมายความว่าครูจะสอนโดยยึดครูเป็น ศูนย์กลางไม่ได้ ดังที่หลายคนเข้าใจ ความจรงิ แล้วครูควรเลือกหลักการและวิธีการที่เหมาะสมกับลักษณะของ เน้ือหาสาระและวัตถุประสงค์ ดังนั้น ในบทน้ีผู้เขียนจึงได้ประมวลหลักการหรือแนวคิดท่ีนิยมใช้กันทั่วไป ซ่ึง ส่วนใหญ่ได้มาจากผลการศึกษาค้นคว้าวิจัยใหม่ ๆ มานำเสนอไว้โดยจัดแบ่งเป็น ๓ หมวดใหญ่ ๆ ได้แก่ หลักการจัดการเรียนการสอนโดยยึดครูเป็นศูนย์กลาง ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและการสอนโดยไม่มีครูซึ่งแต่ละ หมวดประกอบไปด้วยหลักการย่อย ๆ จำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะในหมวดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางจะจำแนก ออกเป็นแบบที่เน้นตัวผ้เู รียน เน้นประสบการณ์ เน้นปญั หา เน้นทักษะกระบวนการ และเน้นการบูรณาการ ใน อนาคตการจัดการเรียนการสอนมีแนวโน้มที่จะยึดหลักการสอนโดยไม่มีครูเพิ่มขึ้น เน่ืองจากการจัดการศึกษา จะมุ่งให้ผู้เรียนสัมฤทธ์ิผลเป็นรายบุคคลมากขึ้น ซ่ึงมีความเป็นไปได้สูง เน่ืองจากเทคโนโลยีทางการศึกษา กา้ วหน้าขนึ้ ตามลำดบั
ศาสตร์การสอน ๑๐๖ คำถามทา้ ยบท ๑.จงอธบิ ายหลักการและแนวคดิ ในการจัดการเรียนการสอนรว่ มสมยั ตามทศั นะของ ทิศนา แขมมณี ไดจ้ ดั ไวก้ ่ีประเภท แต่ละประเภทมีความหมายและอธบิ ายอยา่ งไรฯ ๒.จงอธบิ าย หลกั การจัดการเรียนการสอนโดยยดึ ผเู้ รียนเป็นศูนยก์ ลาง (Student – Centered Instruction) มีหลกั การอย่างไร ฯ ๓.จงอธิบาย หลกั การจดั การเรียนการสอนโดยยดึ ครเู ป็นศนู ย์กลาง (Teacher-Centered Instruction) มหี ลักการอย่างไร ฯ ๔.จงอธิบายหลกั การจัดการเรยี นการสอนโดยไม่มคี รู (Instruction Without Teacher) มหี ลักการ อยา่ งไร ฯ ๕.จงอธบิ าย การจดั การเรียนการสอนทางตรงแบบใช้ทฤษฏีการเรยี นรู้ (Learning Theory – Based Direct Instruction)มีหลักการอย่างไร ฯ ๖.จงอธบิ าย การจัดการเรยี นรูแ้ บบเนน้ ประสบการณ์ (Experiential Learning) มหี ลักการอย่างไร ฯ ๗.จงอธบิ ายโคล์ป (Kolb) ไดเ้ สนอวฏั จกั รของกระบวนการเรยี นจจู้ ากประสบการณ์ มกี ่ีข้ันตอนอะไรบ้าง ฯ ๘.กอร์ดอน ได้วเิ คราะหห์ าองคป์ ระกอบ การจัดการเรียนรตู้ ามสภาพจริง (Authentic Learning) ไว้อย่างไร จงอธิบาย ฯ ๙.จงอธิบาย การจดั การเรยี นการสอนโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป มหี ลักการอย่างไร ฯ
ศาสตรก์ ารสอน ๑๐๗ เอกสารอ้างอิงประจำบท ทองจันทร์ หงศ์ลดารมภ์ ม.ป.ป. การเรียนรโู้ ดยพึง่ ตนเอง(Self – directed learning). (อดั สาเนา). ทศิ นา แขมมณี. (๒๕๕๔), ศาสตรก์ ารสอน : องค์ความรเู้ พื่อการจดั กระบวนการเรยี นรู้ที่มีประสทิ ธิภาพ,พิมพ์ ครง้ั ท่ี ๑๖,กรุงเทพมหานคร : ดา่ นสุทธาการพิพม.์ ธำรง บัวศร.ี (๒๕๔๒), ทฤษฎหี ลกั สตู ร : การออกแบบหลักสูตรและพฒั นา. กรุงเทพฯ : ธนรชั . ปทปี เมธาคุณวุฒิ. (๒๕๔๓), หลักสตู รอุดมศึกษา: การประเมินและการพฒั นา.พิมพ์ครั้งท่ี๑. กรุงเทพฯ : นชิ นิ แอดเวอรไ์ ทชิ่ง กรุ๊ฟ. สรุ ชัย สกิ ขาบณั ฑติ , (๒๕๔๒), เทคโนโลยกี ารศึกษา.กรุงเทพฯ: สถาบนั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ พระนครเหนอื . Adam Smith. (1991). The Wealth of Nations. London :David Campbell. Anderson, Carvia B. (1975). Encyclopedia of Educational Evaluation. Sanfrancisco : JosseyBass. Borich,Gary D. (1988). Effective Tgaching Methods. Columbus : Macmillan Publish Company. Erickson, Christopher; and Daniel J.B. Mitchell (2000). \"Labor Standards and International Trade: Background and Analysis.\" The Multilateral Trading System in a Globalizing World.Edited by Lee-Jay Cho and Yoon Hyung Kim.Seoul: KoreaDevelopment Institute. Gordon, R. (1998). “Balancing real-world problems with real-world results,” Phi DeltaKappan. Guzdial, M., (1998),Technological support for project-based learning. Yearbook (ASCD). Karlin, M.S. & Berger, R. (1974). Individualizing instruction: A Complete guide for diagnosis, planning, teaching and evaluation. New York: Parker. Khan, B.H. (1997). Web-based instruction. New Jersey: Educational TechnologyPublications. Smith, P.L., and Ragan, T.J. (1999). Instructional design. Upper Saddle River, New Jersey : Merrill Prentice Hall,. Taylor J, Gaucher M. (1986). Medication selection errors made by pharmacy technicians filling unit dose orders. Am j Hosp pharm. ‘
บทที่ ๖ ระบบการเรียนการสอน วัตถุประสงค์ประจำบท เมื่อได้ศกึ ษาเนอื้ หาในบทน้ีแล้ว ผศู้ กึ ษาสามารถ ๑. อธิบายระบบการเรียนการสอน ได้ ๒. อธบิ ายวิธรี ะบบได้ ๓. อธิบายองค์ประกอบของการออกแบบการเรียนการสอนได้ ขอบขา่ ยเนือ้ หา • ระบบการเรยี นการสอน • วธิ ีระบบ • องคป์ ระกอบของการออกแบบการเรียนการสอน
ศาสตร์การสอน ๑๐๙ ๖.๑ ความนำ การสอนเป็นกิจกรรมที่สำคัญท่ีสุดของการจัดการศึกษา เพราะเป็นการนำหลักสูตรไปใช้ปฏิบัติให้ เกิดผลตามที่มุ่งหวังไว้ คุณภาพของการศึกษาจะดีหรือไม่เพียงใดนั้นย่อมเป็นผลโดยตรงจากการสอนเป็น ประการสำคัญ ดังนั้นในการสอนแต่ละคร้ังไม่ว่าจะเป็นเน้ือหาวิชาใดก็ตาม ควรจะมีองค์ประกอบพ้ืนฐาน ของกระบวนการเรียนการสอน ๑.จุดมุ่งหมายการสอน ก่อนจะเร่ิมตน้ สอนครูผู้สอนต้องศกึ ษาหลกั สูตร แล้ว กำหนดจุดมุ่งหมายของการสอนให้ชัดเจนว่า หลังจากส้ินสุดการเรียนการสอนแล้ว ครูผู้สอนประสงค์จะให้ นักเรียนเรียนรู้อะไรบ้าง และมีความสามารถทำอะไรได้บ้าง จุดมุ่งหมายในการสอนควรกำหนดให้อยู่ในรูป ของจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรม ซ่ึงสามารถสังเกตได้และวัดได้ ๒.พฤติกรรมพ้ืนฐานของผู้เรียน ก่อนที่ครจู ะทำ การสอนในเร่ืองใด หากครูได้ทราบสภาพพ้ืนฐานของผู้เรียนก่อน ก็จะทำให้สามารถจัดกิจกรรมในการเรียน การสอนให้เกิดประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่ ๓.การเรียนการสอน เป็นข้ันตอนท่ีครูจะทำการสอนในเน้ือหาวิชา จริง ๆ ครูผู้สอนอาจเลือกใช้เทคนิควิธีสอนต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับวัย และสภาพพื้นฐานของผู้เรียน โดย คำนึงถึงลักษณะของเนื้อหาวิชาด้วยว่า จะแบ่งเน้ือหาวิชาเป็นหน่วยย่อยได้อย่างไร หน่วยย่อยใดควรสอน ก่อนหรอื หลัง และเน้ือหาในแต่ละหน่วยยอ่ ยน้ันจะใช้อปุ กรณ์ชนิดใดเข้าช่วย ๔.การวดั และประเมินผล เป็น การตรวจสอบผลการเรียนการสอนเพ่ือจะได้ทราบว่าภายหลังจากผ่านการเรียนการสอนแล้ว ผู้เรียนเกิดการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ดีข้ึนเพียงไร อยู่ในเกณฑ์น่าพอใจหรือไม่โดยเทียบกับจุดมุ่งหมายของการเรียนการ สอนทีค่ รูกำหนดไวก้ อ่ นการเรยี นการสอน๑ การออกแบบระบบการเรียนการสอน(Instructional System design) มีช่ือเรียกหลากหลาย เช่น การออกแบบการเรียนการสอน (Instructional design) การออกแบบและพัฒนาการสอน (Instructional design and development) เป็นต้น ไม่ว่าชื่อจะมีความหลากหลายเพียงใด แต่ช่ือเหล่าน้ันก็มากจากต้นตอ เดียวกนั คือมาจากแนวคิดในการใชก้ ระบวนการของวธิ ีระบบ (system approach) ๖.๒ ความหมาย มีผู้ให้ความหมายขอคำว่า “ระบบ” (system) ไวห้ ลายคน เชน่ บานาธี่ (Banathy, 1968) หรอื วอง๒ (Wong, 1971) บานาธี่ ได้ให้ความหมายของคำว่าระบบว่า “ระบบ หมายถึงองค์ประกอบต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์ซ่ึง กันและกัน มีปฏิสัมพันธ์กัน ซ่ึงองค์ประกอบทั้งหลายเหล่าน้ีจะร่วมกันทำงานเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันเพื่อให้ บรรลุถึงจุดมุ่งหมายที่ได้กำหนดไว้” ความหมายของระบบตามแนวทางของวองก็จะมีลักษณะแนวทาง ใกล้เคียงกับของบานาธี่ โดยวองให้ความหมายของระบบวา “ระบบ หมายถึง การรวมกลุ่มของส่วนประกอบ ตา่ งๆ ท่มี ปี ฏิสัมพันธ์ซ่งึ กันและกัน ท้งั นี้เพื่อใหบ้ รรลุจดุ มงุ่ หมายทไี่ ด้กำหนดไว้” จากความหมายขา้ งตน้ สามารถสรปุ ได้ว่าระบบจะต้องมี ๑. องค์ประกอบ ๑ วิชากระวดั และประเมินผล.สถาบนั การพลศกึ ษา.ออนไลน์ เข้าถงึ ไดจ้ าก http://www.ipecp.ac.th/ipecp/cgi- binn/webpili/unit๑/level๑-๑.html สบื คน้ เมื่อ ๑๕ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๕๙. ๒ Wong, D. L. Whaley & Wong’s nursing Care of Infant and Children (6thed.). St. Louis:Mosby.1999p.65-67.
ศาสตรก์ ารสอน ๑๑๐ ๒. องค์ประกอบนั้นต้องมีความสัมพนั ธ์ มีการโตต้ อบ มปี ฏิสมั พันธก์ นั และ ๓. ระบบต้องมีวัตถุประสงคใ์ นการดำเนินกิจกรรมน้นั ๆ ลักษณะของระบบทดี่ ี ระบบทต่ี ้องสามารถปฏิบัติงานไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ (Efficiency) และมีความยง่ั ยืน (sustainable) การมีประสิทธิภาพและมีความยัง่ ยืน ระบบน้นั จะตอ้ งมีลักษณะ ๔ ประการคือ ๑. มปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั ส่ิงแวดล้อม (interact with environment) ๒. มีจดุ หมายหรือเป้าประสงค์ (purpose) ๓. มีการรกั ษาสภาพตนเอง (self – regulation) ๔. มกี ารแก้ไขตนเอง (self – correction) มปี ฏิสัมพันธก์ ับสงิ่ แวดล้อม ระบบทุก ๆ ระบบจะมีปฏิสัมพันธ์ไมท่ างใดก็ทางหน่ึงกับโลกรอบๆ ตวั ของระบบ โลกรอบ ๆ ตัวน้ี เรียกว่า “ส่ิงแวดล้อม” การที่ระบบมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมนี้เองทำให้ระบบดังกล่าวกลายเป็นระบบเปิด (open system) กล่าวคือ ระบบจะรับปัจจัยนำเข้า (inputs) จากสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจจะเป็นพลังงาน อาหาร ข้อมูล ฯลฯ ระบบจะจัดกระทำเปล่ียนแปลงปัจจัยนำเข้านี้ให้เป็นผลผลิต (outputs) แล้วส่งกลับไปให้ สิ่งแวดลอ้ มอกี ทหี นึ่ง สิ่งนำเขา้ สง่ิ แวดล้อม ระบบ (Input) สงิ่ แวดล้อม ผลผลิต (Output) ภาพท่ี ๑ ลกั ษณะการปฏิสัมพันธร์ ะหวา่ งระบบกับสงิ่ แวดลอ้ ม จากภาพท่ี ๑ แสดงให้เห็นได้วา่ ระบบมีการแลกเปลย่ี นส่งิ ต่าง ๆ (สิ่งนำเขา้ และผลผลติ ) กบั สิ่งแวดล้อม การแลกเปลี่ยนจะเปน็ ไปอยา่ งต่อเนื่องเสมอต้นเสมอปลาย ในเรื่องสง่ิ แวดล้อมของระบบนี้จะ กลา่ วถงึ อยา่ งละเอียดอีกครัง้ หน่ึงในบทต่อไป มีจุดมงุ่ หมายหรือเปา้ ประสงค์ ระบบจะต้องมีจุดมงุ่ หมายทชี่ ัดเจนแนน่ อนสำหรบั ตัวของมันเอง ระบบท่ีเกดิ ขึน้ ตามธรรมชาติ เชน่ ระบบการดำเนินชีวติ ของมนุษย์น้นั ก็มีจุดมุ่งหมายสำหรบั ตัวของระบบเองอย่างชัดเจนว่า “เพ่ือรักษาสภาพ การมชี ีวิตไวใ้ หด้ ที ่ีสดุ ” จดุ มงุ่ หมายน้ดี อู อกจะไม่เด่นชัดสำหรบั เรานักเพราะเราไม่ใชผ่ ู้คิดสร้างระบบดังกลา่ ว
ศาสตร์การสอน ๑๑๑ ขน้ึ มาเอง ลองดตู วั อย่างอีกตัวอยา่ ง คือ ระบบของรถยนตโ์ ดยสารส่วนตวั ระบบดังกลา่ วเปน็ ระบบท่ีมนุษย์ สร้างขึน้ ซึง่ มจี ดุ มุ่งหมายคือ เป็นยานพาหนะทอ่ี ำนวยความสะดวกสบายแก่มนุษย์ในเร่ืองของความรวดเรว็ การทุน่ แรง สามารถรักษาสภาพตัวเองได้ ลักษณะท่ีสามของระบบ คือ การที่ระบบสามารถรักษาสภาพของตัวมันเองให้อยู่ในลักษณะท่ีมั่นคง อยเู่ สมอการรกั ษาสภาพตนเองทำไดโ้ ดยการแลกเปล่ียนอนิ พทุ และอาท์พทุ กันระหว่างองคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ของ ระบบ หรือระบบย่อย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือ ระบบย่อยอาหารของร่างกายมนุษย์ ซ่ึงประกอบด้วย องค์ประกอบย่อยๆ หรือระบบย่อยต่าง ๆ เช่น ปาก น้ำย่อย น้ำดี หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ฯลฯ ปาก-ลิ้น นำ้ ย่อย หลอดอาหาร ระบบอนื่ ๆ ระบบ กระเพาะอาหาร การยอ่ ยอาหาร ของคน ลำไส้ใหญ่ น้ำดี ลำไส้เล็ก ภาพที่ 2 การรักษาสภาพตนเองของระบบ กระบวนการเรียนรู้ (learning process) เกดิ จากคำหลัก ๒ คำ ได้แก่ ๑) กระบวนการ และ ๒) การ เรียนรู้ ๑) กระบวนการ หมายถึง ลำดบั การของการกระทำ ซึ่งดำเนินต่อเนอ่ื งกนั จนสำเรจ็ ลง๓ ๒) การเรียนรู้ หมายถึง การเปล่ียนพฤติกรรมหรอื ศักยภาพของพฤตกิ รรมท่ีคอ่ นขา้ ง ถาวร ซึง่ การ เปล่ยี นน้มี สี าเหตมุ าจากการไดร้ บั ประสบการณ์ ระบบจัดการเรียนรู้ (Learning Management System) คือ โปรแกรมที่นำเสนอความรู้ จัดเก็บ ข้อมูลเพ่ือติดตามส่ิงต่างๆที่เกิดข้ึน และ สนับสนุนการจัดการเรียนการสอนอีเลิร์นนิงให้ดำเนินไปด้วยความ เรียบร้อยโดยเป็นสภาพแวดล้อมการเรียนการสอนเป็นเคร่ืองมือให้กับอาจารย์ (teacher) นักเรียน(student) รวมท้ังผู้ดูแลระบบ (administrator) ทำให้เกิดความสะดวกในการจัดการเรียนการสอนอีเลิร์นนิง เม่ือ เปรียบเทียบกับในอดีตท่ีไม่มีระบบจัดการเรียนรู้อาจารย์จะต้องพัฒนาเว็บไซต์ที่มีความสามารถใกล้เคียงกับ ๓ ราชบณั ฑติ ยสถาน. พจนานกุ รม ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕. ฉบับพมิ พ์ ครง้ั ที่ ๕ กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั อกั ษรเจรญิ ทศั น์ อจท. จำกัด, พ.ศ. ๒๕๒๕ หนา้ ๓๔.
ศาสตรก์ ารสอน ๑๑๒ ระบบจัดการเรียนรู้ขึ้นมาเอง ซึ่งต้องใช้ทั้งเวลาและงบประมาณจำนวนมากเทคโนโลยีท่ีใช้ในการพัฒนา โปรแกรมระบบจดั การเรยี นรมู้ หี ลากหลาย แต่ในปจั จบุ ันนยิ ม พัฒนาโปรแกรมระบบจัดการเรียนร้เู ปน็ เว็บ เพ่ือให้เกดิ ความสะดวกในการเขา้ ถงึ และใชง้ านแบบ any where (สถานท่ที ส่ี ะดวก) any time (เวลาที่สะดวก) ของทงั้ อาจารย์ นกั เรยี น และผ้เู กีย่ วขอ้ ง ดังนั้น เม่ือรวมคำว่ากระบวนการ และการเรียนรู้เข้าด้วยกัน กระบวนการเรียนรู้จะ หมายถึง \"ลำดับ ขั้นตอนทที่ ำให้ผเู้ รียนเกิดการเรยี นรู้\" ๖.๓ กระบวนการเรียนการสอน กระบวนการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน มีหลักการและกระบวนการท่ีมี ลำดับขั้นตอน ดังนั้นหากพิจารณากระบวนการจัดการเรียนการสอนในเชิงระบบแล้วจะทำให้เกิดความเข้าใจ มากย่ิงข้ึนระบบการศึกษาเป็นระบบย่อยระบบหนึ่งของสังคม ประกอบด้วยระบบต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัย โรงเรียนมัธยม ประถมศึกษา ฯลฯ ระบบเหล่านี้จะมีส่วนประกอบย่อยๆ ที่สัมพันธ์กัน เช่น ระบบหลักสูตร ระบบบริหาร ระบบการเรียนการสอน ระบบการวัดและประเมินผล เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นระบบใดก็ตาม ผลลัพทข์ องระบบจะตอ้ งได้รบั การตรวจสอบและปรับปรงุ อยู่เสมอ เพือ่ ให้สอดคลอ้ งกับระบบใหญ่ โครงสร้างของระบบ ทรัพยากร ขบวนการ ผลทไ่ี ดร้ ับ (In put) (Process) (Out put) ขอ้ มูลย้อนกลับ (Feedback) องคป์ ระกอบท้ัง ๓ สว่ นน้ี จะตอ้ งมีความสัมพันธก์ ัน จงึ จะทำใหผ้ ลทไ่ี ดร้ ับมปี ระสทิ ธภิ าพ และการ ตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบ จะต้องอาศยั ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) ทไ่ี ด้จากการประเมินผล เพ่ือหา แนวทางการปรับปรุงแก้ไขส่วนทบี่ กพร่องท้ังสามส่วน วธิ ีการของระบบดังกล่าว สามารถนำมาปรับใช้กับการพจิ ารณาการเรยี นการสอนได้โดยสรปุ เป็นขน้ั ใหญๆ่ ๔ ขนั้ ตอนคือ (รูปที่ ๒) ๑)การกำหนดจุดมุ่งหมายและขอบเขต ๒)การออกแบบ ๓)การพัฒนารปู แบบ และการทดลองใช้ ๔)การประเมินและการปรับปรุง ๑.การกำหนดจดุ มุ่งหมายและขอบเขต หมายถึง การศึกษาวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการของการพัฒนาการเรียนการสอน ซ่ึง ปญั หาดงั กล่าวอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ระดับพฤติกรรมของผู้เรียนไม่ถึงเกณฑท์ ่ีผู้สอนตั้งไวท้ ั้งดา้ น พุทธ พิสัย เจตพิสัย และทักษะพิสัย ผู้สอนอาจมีสมรรถภาพการสอนด้านการใช้กลยุทธในการสอน และวิธีการวัด ประเมินผลไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์ที่วางไว้ หรืออาจเป็นเพราะผู้บริหารต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงบาง ประการในการดำเนินการสอน เมื่อได้ปัญหาที่ต้องการศึกษาเพ่ือแก้ไข และพัฒนาการเรียนการสอนแล้ว ต้อง
ศาสตร์การสอน ๑๑๓ ระบุใหช้ ัดเจนและจำกัดขอบเขตให้เปน็ ที่เขา้ ใจตรงกัน ระหวา่ งผู้ดำเนินการพฒั นาด้วยกัน แล้วตัง้ วัตถุประสงค์ ให้แจ่มชดั กำหนดเกณฑ์การประเมนิ ผลพร้อมกับต้งั สมมตฐิ านของการแก้ปญั หาไวด้ ้วย ๒.การออกแบบ หมายถึง การวางแผนหารปู แบบการแก้ปญั หา ซึ่งอาจมีมากกว่าหน่ึงรปู แบบ รปู แบบของการ แก้ปัญหาหมายรวมถึงการวางแผนการสอนท่ีจะต้องมีกิจกรรม ส่ือการสอน แนวทางการดำเนินการเรียนการ สอน การประเมินผล ที่สอดคล้องกับเน้ือหา จุดประสงค์ และรปู แบบของการแก้ปัญหา ตอ้ งสร้างจากหลักการ ที่ควรจะเป็นไปได้ ประหยัดค่าใช้จ่าย และเวลา เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยคำนึงถึงปัจจัยด้านมนุษย์ และ ด้านที่เปน็ วสั ดุสิง่ ของดว้ ย ๓.การพัฒนารปู แบบและการทดลองใช้ หมายถึง การพัฒนารูปแบบและการทดลองใช้ ประกอบด้วย การพิจารณาตัดสินใจ เลือก รูปแบบการแก้ปัญหา และสร้างข้ึนให้สมบูรณ์ หลังจากการออกแบบไว้แล้วในขั้นท่ี ๒ การพัฒนาต้องมี จุดประสงค์ปลายทางทแี่ จ่มชัด วิธกี ารเรียนการสอนและสือ่ การสอนท่ีเฉพาะเจาะจง สำหรับรูปแบบท่ีเลือกจะ นำไปทดลองใช้ ซ่ึงเปน็ ขั้นดำเนนิ การ หรือทดลองปฏิบัตกิ าร เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของรูปแบบ ๔.การประเมินและการปรับปรงุ หมายถึง การประเมินผลน้ัน ควรอยู่ในทุกขัน้ ตอน กล่าวคือ ในข้ันตอนแรก หลังจากกำหนด จดุ มุ่งหมายและขอบเขตแล้ว ต้องประเมินผลว่า การกำหนดปัญหาน้ัน เป็นไปตามวตั ถุประสงค์ของการศึกษา หรอื ไม่ ถ้าไม่ ตอ้ งปรับปรงุ ก่อนท่จี ะดำเนินการข้ันตอ่ ไป ส่วนข้ันออกแบบ และขัน้ การพัฒนารูปแบบนัน้ ก็ต้อง มีการประเมินรูปแบบท่ีออกไว้ว่าสอดคล้องกับความต้องการหรือไม่ ควรปรับปรุงให้เหมาะสมก่อนนำไป ทดลองใช้ และหลังจากทดลองใช้แล้ว ก็มีการประเมินผลลัพธ์อีกครั้งหนึ่งขั้นตอนท้ังหมดสามารถนำไป ดัดแปลงให้เป็นข้ันตอนของการออกแบบการสอน โดยยึดหลักของ Define, Develop, Evaluate ซึ่งเป็นการ พฒั นาการเรยี นการสอนอยา่ งเปน็ ระบบดังรูป
ศาสตรก์ ารสอน ๑๑๔ ผลจากการนำความคิดเร่ืองระบบ และการพัฒนาระบบมาใช้กับการเรียนการสอน ก่อให้เกิดรูปแบบ ของระบบการเรียนการสอนเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เพราะนักการศึกษาเชือ่ วา่ การนำความคดิ เร่ืองระบบมาใช้ใน การจัดการเรียนการสอน จะทำใหก้ ารจดั การเรยี นการสอนมปี ระสิทธภิ าพ คำว่า “รปู แบบ” ในที่นี้หมายถึง แผนโครงรา่ งแสดงข้นั ตอนการจดั การเรยี นการสอนท่ีใช้เป็นแนวทาง ในการจัดการเรียนการสอน มักนิยมแสดงลำดับขั้นตอนดังกล่าวน้ี ด้วยแผนภาพหรือแผนภูมิ ซ่ึงรูปแบบการ สอนทั่วไป ประกอบด้วย ขั้นตอนสำคัญ ๕ ข้ันดังน้ี ๑) การกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนการสอน ๒) การ วเิ คราะห์พฤตกิ รรมผเู้ รียนกอ่ นเรยี น ๓) การวางแผนและจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน ๔) การประเมนิ ผลการ เรยี นการสอน ๕) การปรบั ปรงุ การเรยี นการสอน รูปแบบการเรยี นการสอนดังกลา่ วน้ี เปน็ รปู แบบการเรียนการสอน ซึง่ ตรงกบั รูปแบบการเรยี นการ สอนตามแนวคิดของ โรเบิร์ต เกลเซอร์๔ หากนำรูปแบบการเรยี นการสอนตามแนวคิดของเกลเซอร์มาพจิ ารณาในลักษณะขัน้ ตอนการจัดการ เรียน การสอนแบบ เปน็ ระบบแลว้ พบวา่ สามารถแบ่งออกเป็น ๓ ข้ันตอนคือ ๑)ขนั้ เตรียมการ, ๒) ข้ัน ดำเนนิ การ, และ๓)ขนั้ ประเมินผล โดย ข้นั เตรียมการประกอบดว้ ย วตั ถุประสงค์การเรียนการสอน และ ๔ DeCecco, 1968, อา้ งใน ก่งิ ฟา้ สินธุวงษ.์ เอกสารประกอบการบรรยาย วชิ า 219730 ความรพู้ ้นื ฐานใน การออกแบบการสอน : หลกั การสอน. ขอนแกน่ : คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.ก่งิ ฟา้ ๒๕๓๗.
ศาสตรก์ ารสอน ๑๑๕ พฤติกรรมการเรียนรู้ของผเู้ รยี นก่อนเรียน ขั้นดำเนนิ การหมายถงึ การบวนการเรยี นการสอน และข้ัน ประเมินผลหมายถึง การประเมินผลการเรยี นของผูเ้ รียน และการประเมินผลการสอนของผู้สอน นอกจากนห้ี ากพจิ ารณารายละเอยี ดของขั้นตอนทงั้ ๓ ขน้ั ตอนแลว้ ยงั สามารถแบ่งย่อยออกไดเ้ ป็นขั้นตอนย่อย ได้อีกดงั น้ี ๑.ขน้ั เตรยี มการ ในข้ันนี้ประกอบด้วยข้นั ตอนย่อยๆคือ ๑) การสำรวจปัญหาและทรัพยากร ๒) การกำหนดวัตถุประสงค์การเรยี นการสอน ๓) การวิเคราะหผ์ เู้ รยี น ๔) การวเิ คราะห์และจัดลำดับเนอื้ หาสาระ ๕) การกำหนดวิธีสอนและกิจกรรม ๖) การกำหนดสื่อการสอน ๗) การกำหนดแนวทางการประเมินผล ๘) การเขียนแผนการสอน ๒.ขั้นดำเนนิ การ ในขนั้ น้เี ปน็ การดำเนินการสอน และให้ผู้เรียนทำกิจกรรมตามท่ีไดเ้ ตรยี มการไว้ ข้นั ดำเนนิ การสอนสามารถจำแนกไดเ้ ป็นขั้นตอนต่างๆไดด้ งั น้ี ๑) การนำเขา้ สูบ่ ทเรยี น ๒) การปฏบิ ัตกิ ิจกรรมการเรยี นการสอน ๓) การสรปุ ๓.ขั้นประเมินผล เป็นขั้นตรวจสอบว่า การเรียนการสอนท่ีได้เตรียมการและดำเนินการน้ัน สามารถ นำผู้เรียนไปสู่วัตถุประสงค์ที่วางไว้หรือไม่ และจากผลการประเมินดังกล่าว อาจนำไปใช้ในการวิเคราะห์ เพ่ือ หาแนวทางการปรบั ปรุงการเรียนการสอนตอ่ ไป ในการประเมนิ ผลอาจจำแนกไดเ้ ปน็ ๑) การประเมินผลการเรียนของผูเ้ รยี นและการสอนของผสู้ อนซึ่งการประเมนิ นีอ้ าจประเมิน ระหว่างการจดั การเรยี นการสอน (formative) โดยการซกั ถามคำถามทา้ ยช่วั โมง หรอื สอบสรปุ ประจำบท หรือ ประเมนิ ผลสมั ฤทธ์ิ (summative) โดยสอบปลายภาคเพ่ือตดั สนิ ๒) การวิเคราะห์ผลการประเมินเพื่อปรับปรงุ การเรียนการสอนจากรายละเอยี ดของขั้นตอน ทัง้ สามข้ันตอน สามารถเขียนแผนภมู ิแสดงลำดับข้ันตอนและความสมั พนั ธข์ องขั้นตอนต่างๆ ในรปู ของระบบ
ศาสตร์การสอน ๑๑๖ ขั้นเตรียมการ: การเตรียมการเรยี นการสอนใหเ้ ปน็ ระบบ การเตรียมการเรยี นการสอนให้เป็นระบบประกอบด้วย ๑) การสำรวจทรพั ยากรและข้อมลู ตา่ งๆ เพ่ือจัดวางแผนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ ซ่ึงรวมไปถึงการสำรวจปัญหาทรัพยากร การวิเคราะห์ผเู้ รยี น การวเิ คราะห์ และจัดลำดับเนื้อหาสาระ เพอ่ื ให้เกิดการเรียนรู้ตามลำดบั ข้ัน การพิจารณา เลือกวิธีสอน หรือกิจกรรมการเรียนการสอน เพ่ือนำผู้เรียนไปสู่วัตถุประสงค์ที่วางไว้ การกำหนดสื่อการสอน การกำหนดแนวทางการประเมินผลว่า ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามท่ีคาดหวังไว้หรือไม่ และรวบรวมข้อมูลท่ีได้ เตรียมการน้ัน บันทึกลงในแผนการสอน การบันทึกแผนการสอนจะช่วยให้ผู้สอนได้มีโอกาสทบทวนและ ปรบั ปรงุ วิธีการต่างๆ ให้เหมาะสมกับผู้เรียนและสภาพแวดลอ้ ม ๒) การกำหนดวตั ถปุ ระสงค์การเรยี นการสอน เป็นความคาดหวังของผู้สอน ที่มีต่อผู้เรียนว่า เม่ือผ่านการเรียนการสอนในบทเรียนหน่ึงๆ ผู้เรียนควรจะมีพฤติกรรมการเรียนรู้เป็นอย่างไร การกำหนดวัตถุประสงค์ มีความสำคัญต่อการจัดการเรียน การสอนในการสอนแต่ละคร้ัง ผู้สอนควรกำหนดชัดเลยว่า ต้องการให้ผู้เรียนได้รับอะไร และเกิดพฤติกรรม อย่างไร หลังจากจบบทเรียนแล้ว การกำหนดพฤติกรรมท่ีคาดหวังในตวั ผู้เรียน จะเป็นแนว ทางในการกำหนด วิธีสอน วัสดุอุปกรณ์ กิจกรรมการเรียนการสอน ตลอดจนการประเมินผลที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ จาก
ศาสตร์การสอน ๑๑๗ ลักษณะความสัมพันธ์ดังกล่าว จะเห็นได้ว่า การกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนการสอนแต่ละคร้ังให้ เฉพาะเจาะจงนัน้ ควรใช้วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม ท่รี ะบุถึงพฤตกิ รรมทคี่ าดหวัง เงื่อนไข และเกณฑท์ ี่ชดั เจน เพือ่ จะได้ใชเ้ ปน็ แนวทางในการจดั การเรียนการสอนต่อไปได้ ๓) การวิเคราะห์ผู้เรียน เพ่ือให้ทราบถึงความต้องการ ความสนใจ ความสามารถในการเรียนรู้ ความรู้และทักษะ พ้ืนฐานที่มีอยู่ นับว่าเป็นส่วนสำคัญของขั้นเตรียมการเรียนการสอนที่เป็นระบบ ทั้งน้ีเพราะข้อมูลต่างๆ ท่ี เกี่ยวข้องกับผู้เรียนจะเป็นประโยชน์อย่างย่ิงต่อการดำเนินการข้ันต่อๆไป เช่น นำไป ก) กำหนดวัตถุประสงค์ การเรียนการสอนที่เหมาะสมกับความรู้ความสามารถของผู้เรียน ข) กำหนดเน้ือหาสาระทีส่ นองต่อความสนใจ ของผู้เรียน และพอเหมาะกับความรู้และทักษะพ้ืนฐานท่ีผู้เรียนมีอยู่ เพ่ือจะได้พัฒนาความรู้ต่อไปได้ ค) กำหนดการเรยี นการสอนและกิจกรรมท่เี หมาะสม กบั ลกั ษณะของผู้เรียน เปน็ ตน้ ๔) การวเิ คราะห์และจัดลำดับเน้อื หาสาระ จัดเป็นขั้นตอนที่สำคัญข้ันตอนหนึ่งในการเตรียมการสอนเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม ลำดบั ขั้น โดยการพิจารณาเน้ือหาสาระท่ีกำหนดไว้ในหลักสูตร ตลอดจนศึกษาแบบเรียน คู่มือครู และเอกสาร อา่ นประกอบตา่ งๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลเกย่ี วกบั ขอบเขตของเนื้อหาสาระ จำนวนคาบของการเรียนการสอน หัวข้อ เร่อื งหลงั จากวเิ คราะห์เนอื้ หาสาระเพื่อใหไ้ ดข้ อบเขต หัวขอ้ เร่อื งและกำหนดเวลาแล้ว ผสู้ อนก็จะกำหนดหนว่ ย การเรียนการสอนของวิชา และจากหน่วยการเรียนการสอนก็จะแบ่งย่อยออกเป็นหน่วยการเรียนการสอน ระดบั บทเรยี น และหวั เรอ่ื งต่อไป เม่ือกำหนดหน่วยการเรียนการสอนเสร็จแล้ว จะได้ขอบเขตเนื้อหาเพียงกว้างๆ เท่าน้ัน การท่ีจะ เตรียมการเรียนการสอนได้อย่างเป็นลำดับข้ันและครอบคลุม จำเป็นต้องกำหนดหัวเรื่องของหน่วยการเรียน การสอนนัน้ ๆ ซง่ึ การกำหนดหัวเรื่อง เป็นการแบง่ หน่วยการเรยี นการสอนให้เป็นเน้อื หาท่ยี ่อยลงไปอีก จะช่วย ให้ผู้เรียนมองเห็นโครงเร่ืองของหน่วยท่ีเรียน ทำให้เน้ือหาการเรียนรู้เป็นระบบระเบียบ และสามารถช่วยให้ ผเู้ รียนเกิดการเรียนร้ตู ามข้ันตอน นอกจากน้ัน การวิเคราะห์และจัดลำดับเนือ้ หา เป็นหน่วยการเรียนการสอน ยงั สามารถ ก)ช่วยใหผ้ สู้ อนมองเหน็ ขอบเขตของเนอ้ื หาท่ีเฉพาะ เจาะจง ช่วยลดความสับสนในการสอน ข)ชว่ ย ให้การเรียนการสอนครอบคลุมเน้ือหาในหลักสูตรอย่างครบถ้วน ค)ช่วยให้ผู้เรียนรู้ถึงขอบเขตของเนื้อหาท่ีจะ เรยี นลว่ งหน้า และมองเหน็ ความสมั พันธ์ของเนือ้ หาไดอ้ ย่างชัดเจน ๕) การกำหนดวธิ ีสอนและกิจกรรม เพื่อเตรียมการในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน ในอันท่ีจะนำผู้เรียนไปสู่ วัตถุประสงคท์ ี่วางไว้ การกำหนดวิธีสอนและกิจกรรมจึงเป็นส่วนท่ีสำคญั ส่วนหนง่ึ ของการเตรียมการเรียนการ สอนให้เป็นระบบ แนวทางในการเลือกวิธีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนพิจารณาจาก ก)วัตถปุ ระสงค์การ เรียนการสอน ความรู้พน้ื ฐานของผู้เรียน ความสนใจของกลุม่ ผู้เรยี น จำนวนผเู้ รียน ระยะเวลาและเน้ือหาสาระ ข)ไม่ควรยึดวิธีสอนหรือกิจกรรมใดกิจกรรมหน่ึงเป็นวิธีสอนหลักเสมอไป ค)กิจกรรมการเรียนการสอนท่ีจัด ให้แก่ผู้เรียน ควรตอบสนองวัตถุประสงค์ การเรียนการสอนท้ังด้านความรู้ เจตคติ และทักษะ ง)กิจกรรมการ เรียนการสอนควรเรียงลำดับ จากกิจกรรมท่ีง่ายๆ ไปสู่กิจกรรมท่ีซับซ้อน จ)การเลือกกิจกรรมการเรียนการ สอนควรคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ของผู้เรียนเพ่ือช่วยให้ผู้เรียนบรรลุความสำเร็จ ตาม ความสามารถของตนเอง ง)การเลือกกิจกรรมการเรียนการสอน ควรพิจารณาถึง ขั้นการพัฒนาการทาง สติปญั ญาของผู้เรียน ๖) การกำหนดสอ่ื
ศาสตรก์ ารสอน ๑๑๘ เพ่ือใช้ประกอบการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ เช่น แผ่นภาพ รูปจำลองเครื่องมือต่างๆ แบบเรยี นที่ใช้ประกอบการเรียนการสอน เป็นต้น ซึ่งการกำหนดส่ือน้ี หมายรวมไปถึง การจัดหาการสร้าง การ เตรยี มส่อื และการทดลองใชส้ ื่อท่กี ำหนดขึ้นก่อนการสอนจริงด้วย ๗) การกำหนดแนวทางการประเมิน จัดเป็นการเตรียมการที่สำคัญข้ันหน่ึง แนวทางการประเมินจำเป็นต้องกำหนดให้สอดคล้อง กับวัตถุประสงค์การเรียนการสอน โดยกำหนดเป็นวิธีการประเมินตามเกณฑ์ที่ระบุไว้ในวัตถุประสงค์ หาก กำหนดให้ประเมินโดยให้ผู้เรียนทำข้อสอบก็จำเป็นต้องสร้างข้อสอบไว้ให้พร้อม หรือถ้ากำหนดให้ประเมินผล โดยใช้ข้อมูลจากการสงั เกต ก็ควรจดั เตรยี มแบบฟอร์มการสงั เกต และแผนการใชไ้ วด้ ว้ ย ๘) การเขยี นแผนการสอน เม่ือได้ศึกษาปัญหา สำรวจทรัพยากร วิเคราะห์ผู้เรยี นเพื่อให้ได้ข้อมูลในการจัดการเรียนการ สอน กำหนดวัตถุประสงค์การเรียนการสอน วิเคราะห์และจัดลำดับเนื้อหา กำหนดกิจกรรมและวิธีสอน กำหนดส่ือการเรียนการสอน วิเคราะห์และประเมินผล ซ่ึงเป็นการวางแผนการเรียนการสอนแล้ว เพ่ือให้เห็น แนวทางการเรยี นการสอนท่ีเด่นชัด จึงควรนำข้อมลู ซึง่ เตรียมการดังกล่าวนนั้ มาบันทึกลงไว้ เรียกบันทกึ นั้นว่า “แผนการสอน” ซึง่ แผนการสอนสามารถเขยี นได้หลายลักษณะคือ ก) แผนการเรียนการสอนระยะยาว เป็นแผนการเรียนการสอนท่ีระบุถึงแนวทางการสอน ตลอดภาคการศึกษา หรือตลอดปกี ารศึกษา ข) แผนการเรียนการสอนสำหรับหน่วยการเรียนการสอน เป็นแผนการเรียนการสอนที่ระบุ ถงึ แนวการสอนสำหรับ ๑ หนว่ ยการเรียนการสอน ค) แผนการเรียนการสอนระดับบทเรียน เป็นแผนการเรียนการสอนที่ระบุถึงแนวทางการ สอนสำหรบั ๑ บทเรียน ขน้ั ดำเนินการ: การดำเนินการเรยี นการสอน การดำเนินการเรียนการสอนให้เป็นระบบ เป็นการดำเนินการเรียนการสอนตามแผนการเรียนการ สอนที่ได้วางไว้ในข้ันเตรียมการ โดยยืดหยุ่นวิธีการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ควรเลือกใช้เทคนิคการสอน เพ่ือดำเนินการสอนให้น่าสนใจ และทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ตามท่ีคาดไว้ในวตั ถุประสงค์การเรียนการสอน ปัจจยั ทส่ี ง่ เสรมิ ให้การเรยี นการสอนมีประสิทธิภาพมดี งั ตอ่ ไปนี้ ก) ผู้สอนมเี ทคนิคการสอนที่ดี ผู้สอนควรมีทักษะและวิธีการสอนท่ีจะดำเนินการสอนให้บรรลุวัตถุประสงค์ อาจใช้วิธีการเรียนการ สอน หรือกิจกรรมการสอนหลายรูปแบบ ปรับปรุงหรือดัดแปลงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดข้ึนในช้ัน เรยี น ควรใชเ้ ทคนคิ การเสริมแรง และการเรง่ เร้าให้ผ้เู รียนเกดิ พฤติกรรมทีพ่ งึ ประสงค์ ข) บรรยากาศในชั้นเรียน หมายถึง บรรยากาศที่ทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในบทเรียน ผู้สอนและ ผู้เรียนเกิดความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ผู้สอนมีบุคลิกภาพท่ีดี ใช้คำพูดท่ีไพเราะและ เหมาะสมมีอารมณ์ขัน ให้ความเป็นกันเองแก่ผู้เรียน และได้มีการเตรียมการสอนมาเป็นอย่างดี การสร้าง บรรยากาศที่ดีในชน้ั เรียน จึงเป็นเรอ่ื งทผี่ ู้สอนตอ้ งคำนึงถึงเสมอ ค) การนำจติ วิทยาการเรียนการสอนมาใช้ ผู้สอนควรนำจิตวิทยามาใช้ตงั้ แต่ขน้ั เตรียมการ จนถึงข้ัน ดำเนินการสอน เพราะการนำจิตวิทยาการเรียนการสอนมาใช้ จะช่วยเสริมให้ผู้สอนมีเทคนิคการสอนที่ น่าสนใจ และเสริมสร้างบรรยากาศท่ีดีในช้ันเรียนในขั้นการดำเนินการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ ประกอบด้วยขัน้ ตอนทสี่ ำคัญ ๓ ขน้ั ตอนดงั ตอ่ ไปน้ี
ศาสตรก์ ารสอน ๑๑๙ ๑) ข้ันนำเข้าสู่บทเรียน เป็นขั้นเร่ิมต้นของการดำเนินการเรียนการสอนในช้ันเรียน ซึ่งเป็น การสร้างสถานการณ์ โดยการจัดส่ิงเร้า กิจกรรม หรือสิ่งแวดล้อม ท่ีจะโน้มนำให้ผู้เรียน เกิดปัญหา อยากรู้ อยากเห็น และสนใจในบทเรียนน้ันๆ การนำเข้าสู่บทเรียนมีวัตถุประสงค์แตกต่างกัน ในแต่ละบทเรียนซ่ึงพอ สรุปได้ดังนี้ ก) เพ่ือกระตุน้ หรือเรา้ ความสนใจ ผูเ้ รยี นให้พร้อมท่จี ะเรียน ข) เพื่อเช่ือมโยงบทเรยี นท่ีผา่ นมากับ บทเรียนที่กำลังจะเรียน ค) เพื่อทำความตกลงเกี่ยวกับกติกาในการร่วมกิจกรรมการเรียนการสอน ฯลฯ ซึ่ง วิธกี ารอาจใช้ การสนทนาซกั ถาม ฉายภาพยนต์ ฯลฯ ๒) ขั้นดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นข้ันที่สำคัญที่สุด ผู้เรียนมักใช้เวลาส่วนใหญ่ ของบทเรียนกับการดำเนินกิจกรรมน้ี วิธีการสอนและกิจกรรมการเรียนการสอน ก็ให้ดำเนินการตามท่ีได้ กำหนดไว้ในขั้นเตรียมการแล้ว แต่ควรนำเทคนิคทักษะ วิธีการ ตลอดจนจิตวิทยาการเรียนการสอนมา ประยุกต์ใชใ้ ห้เหมาะสมและมปี ระสิทธภิ าพ ๓) ข้ันสรุป เป็นขั้นตอนที่ต่อเนื่องจากการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอน โดยมี วัตถุประสงค์ ให้ผู้เรียนได้สรุปสาระสำคัญของบทเรียนได้อย่างถูกต้อง โดยท่ัวไปมักให้ผู้เรียนเป็นผู้สรุป ตาม ความเข้าใจของตนเองก่อนแล้วผู้สอนจึงช่วยเสริมประเด็น ให้ผู้เรียนเกิดมโนมติ และหลักการท่ีชัดเจนใน ตอนทา้ ย ขน้ั ประเมนิ ผล: การประเมนิ ผลการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ ๑) การประเมินผลการเรยี นการสอนอยา่ งเปน็ ระบบ การประเมินผลเป็นขั้นตอนที่จำเป็นเพราะเป็นขั้นตอนที่จะวัด และตัดสินว่า กระบวนการท่ีได้จัด ให้แก่ตัวป้อนของระบบการเรียนการสอน เป็นกระบวนการที่นำตัวป้อนไปยังวัตถุประสงค์ท่ีต้ังไว้หรือไม่ ถ้า ผลลัพธ์ท่ีได้ยังไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ ก็จะต้องมีการทบทวนกระบวนการทั้งระบบ เพ่ือหาข้อบกพร่องแล้ว ดำเนินการแกไ้ ขตอ่ ไปการประเมินผลเป็นระบบจะครอบคลมุ ถงึ ก) การประเมินผลการเรียนการสอน ข) การวิเคราะหผ์ ลย้อนกลบั ของระบบ ซึ่งการประเมนิ ผลการเรยี นการสอนเปน็ การประเมนิ ผลผูเ้ รียน ซ่งึ สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จ หรอื ล้มเหลวของกระบวนการเรยี นการสอน การประเมินผลควรคำนงึ ถงึ สง่ิ ตอ่ ไปนี้ ก) การประเมนิ ผลการเรยี นท่ีดตี ้องสอดคลอ้ งกับวตั ถุประสงค์ท่รี ะบไุ ว้ ข) ควรมกี ารดำเนินการอยา่ งเป็นขั้นตอน ต้ังแตพ่ ิจารณาวัตถุประสงค์ การเรียนการสอนวา่ ต้องการให้ ผู้เรียนมีพฤติกรรมการเรียนรใู้ นเร่ืองใด มีเกณฑ์อะไร แล้วจึงเลือกวิธีวัดผลท่ีเหมาะสม เพ่ือทำการวัดผลต่อไป เป็นต้น วิธีการวัดผลอาจกระทำโดย การทำแบบทดสอบหลังจบบทเรียน การสังเกตระหว่างการเรียนการสอน การใช้คำถามทง้ั ระหว่างและหลงั จากจบบทเรยี น ฯลฯ ๒) การวิเคราะห์ผลการประเมินเพอื่ ปรับปรุงระบบ จากการประเมินผลดังไดก้ ล่าวมาแลว้ จะทำให้ทราบว่า ผลลัพธ์ของระบบเป็นไปตามเปา้ หมายหรือไม่ และจากการประเมินผลการเรียนการสอนนี้ ยงั สามารถใช้เปน็ ขอ้ มูลในการวเิ คราะห์ผลย้อนกลับของระบบด้วย ว่า จะต้องมีการปรับปรุงส่วนใดของระบบ หากพบว่า การเรียนการสอนไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ผู้สอนควรนำ ข้อมูลน้ันไปปรับปรุงวิธีการในข้ันตอนต่างๆ ของระบบการเรียนการสอนเสียใหม่ แล้วนำไปใช้ซ้ำอีกในโอกาส ตอ่ ไป
ศาสตรก์ ารสอน ๑๒๐ การเรียนรู้เปน็ กระบวนการท่ีทำใหพ้ ฤตกิ รรมเปลยี่ นแปลงไปจากเดมิ อันเปน็ ผลจาก การฝกึ และ ประสบการณ์ แต่มใิ ช่ผลจากการตอบสนองตามธรรมชาติ เชน่ สัญชาตญาณหรือวุฒิ ภาวะ หรือจากการ เปลย่ี นแปลงช่ัวคราวของร่างกาย๕ บลูม๖ กล่าวถึง การเกิดการเรียนรู้ในแต่ละครั้งจะต้องมีการเปล่ียนแปลง เกิดข้ึน ๓ ประการ จึงจะ เรยี กวา่ เป็นการเรียนรูท้ สี่ มบรู ณ์ คอื ก. การเปลี่ยนแปลงทางด้านความรู้ ความคิด ความเข้าใจ (Cognitive Domain) หมายถึง การ เปล่ยี นแปลงท่เี กดิ ขึ้นในสมอง เชน่ ความคดิ รวบยอด ข. การเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์หรือความรูส้ ึก (Affective Domain) หมายถึง การเปลี่ยน แปลง ทางด้านจติ ใจ เช่น ความเชือ่ เจตคติ คา่ นยิ ม ค. การเปลี่ยนทางการเคลื่อนไหวของร่างกาย เพื่อให้เกิดทักษะ และความชำนาญ เช่น (Psychomotor Domain) การว่ายน้ำ เลน่ กฬี า การเรียนรมู้ พี ฤติกรรม ๒ ส่วน คอื ๑. พฤตกิ รรมเดิมก่อนให้การเรยี นรู้ ๒. พฤติกรรมหลังจากให้การเรยี นรู้แลว้ คำนยิ ามของการเรียนรู้กระบวนการทกี่ ่อใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลง จากพฤติกรรมเดิมไป เปน็ พฤติกรรม ใหม่ทีค่ ่อนขา้ งถาวร เป็นผลท่ีได้จากประสบการณ์ ผลจากการตอบสนองตาม ธรรมชาติท่ีเกดิ ข้ึนโดยบังเอิญ เป็นการเปลย่ี นแปลงทั้งความรู้ ความรสู้ ึก และทักษะ๗ หากพิจารณาถึงองคป์ ระกอบของกระบวนการเรยี นรู้ จากตัวอยา่ งดังกลา่ วแล้วจะมี ๓ องคป์ ระกอบ ดังนี้ ๑) ขั้นตอนของกิจกรรม (syntax) ในกระบวนการเรียนรู้ ผเู้ รยี นจะมีขัน้ ตอนที่ทำให้ เกิดการ เรียนรู้ เช่น จากตัวอย่างการเรียนรู้ \"การเรียกคำว่าแม่\" จะมี ๕ ขั้นตอน และเราจะพบ เสมอว่าการเรียนรู้ใน แต่ละประเภทจะกำหนดขั้นตอนของการเรียนรูไ้ ว้ดว้ ย เช่น กระบวนการ เรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์มีขั้นตอน เริ่ม จากการกำหนดปัญหา การตั้งสมมุติฐาน การรวบรวม ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การสรุปผลจากข้อมูล หรือ ในทางศาสนาพุทธได้กำหนดข้ันตอน แก้ปัญหา (การดับทุกข์) ไว้ ๔ ขั้นตอน ได้แก่ ข้ันกำหนดทุกข์ ขั้นการ แสวงหาสมทุ ยั ขัน้ กำหนด นโิ รธ และขน้ั แสวงหามรรค เปน็ ต้น ๒) การกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน (social system) หรือการ กำหนด บทบาทในแต่ละขั้นตอนว่า ผู้เรียนต้องทำอะไร ผู้สอนต้องทำอะไร ดังเช่น การเรียนรู้การ เรียกคำว่าแม่นั้น บทบาทของแม่คือเป็นตัวแบบด้วยการพูดเป็นแบบอย่าง แล้วให้ลูกพูดตาม และเมื่อลูกพูดได้ถูกต้อง แม่มี บทบาทในการให้การเสริมแรง เป็นต้น ดังนั้น ในกระบวนการ เรียนรู้ จึงต้องกำหนดบทบาทของผู้เรียนและ ผู้สอนในทกุ ขน้ั ตอนของกจิ กรรม ๓) ส่ิงสนับสนุนการเรียนรู้ (supporting system) ในการจัดกิจกรรมแต่ละขั้นตอนอาจ จำต้องใช้สื่อหรือจัดสภาพแวดลอ้ มเฉพาะอย่างใดอย่างหนึง่ เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้ได้ง่ายและ รวดเร็ว เช่น มีส่ือ ๕ Hilgard, E. R. and G. H. Bower. Theories of Learning. Englewood Cliffs, NJ: Prentice- Hall. 1975.p56. ๖ Bloom, Benjamins. Human Characteristics and School Learning. New York : McGraw-Hill Book Company. 1976 p.23. ๗ ปรยี าพร วงศ์อนุตรโรจน์. จิตวทิ ยาการศกึ ษา. กรุงเทพฯ: ศนู ยส์ อ่ื เสริมกรุงเทพ. ๒๕๕๑ หน้า ๒๖- ๒๗.
ศาสตรก์ ารสอน ๑๒๑ ท่ีเปล่ียนจากสภาพนามธรรมให้เป็นรูปธรรม สิ่งสนับสนุนนั้นอาจเป็นตัวบุคคล เป็นสื่อทางกายภาพ หรือส่ือ ทางจติ ภาพ เป็นตน้ ๖.๔ วิธีระบบ (System approach) วธิ รี ะบบ คือแนวทางในการพิจารณาและแกไ้ ขปัญหา ซึง่ แนวทางดังกล่าวถูกสรา้ งข้นึ มาเพ่อื ให้มี ความผดิ พลาดน้อยท่สี ดุ ขณะเดยี วกันกพ็ ยายามใชท้ รัพยากรทมี่ ีอยูใ่ ห้คุ้มค่าที่สุด๘ ในปัจจุบันจะพบวา่ วิธีระบบน้นั ถกู นำไปใชใ้ นดา้ นต่าง ๆ อย่างกวา้ งขวาง วธิ ีระบบจะเป็นตัวจัดโครง รา่ ง (Skeleton) และกรอบของงานเพ่ือให้ง่ายต่อการที่จะนำเทคนิค วธิ ีการแก้ปัญหาต่าง ๆ มาใช้ การทำงาน ของวิธรี ะบบจะเปน็ การทำงานตามขัน้ ตอน(step by step)ตามแนวของตรรกศาสตร์ ผูใ้ ช้วิธีระบบจะตอ้ งเชื่อว่า “ระบบ” ประกอบดว้ ยสว่ นตา่ ง ๆ ท่ีมีความสัมพันธ์ซง่ึ กนั และกัน (interrelated parts) และเชอ่ื วา่ ประสิทธิผล (effectiveness) ของระบบน้ันจะต้องดูจากผลการทำงานของ ระบบมิไดด้ ูจากการทำงานของระบบยอ่ ยแตล่ ะระบบ ๖.๔.๑ จากวิธีระบบสรู่ ะบบการเรียนการสอน แนวคิดของวิธีระบบ ถือได้ว่าเป็นรากฐานของระบบการเรียนการสอน โดยเฉพาะความเชื่อ ท่ีว่าระบบจะประกอบด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ทำงานสัมพันธ์กันและระบบสามารถปรับ ปรุงปรับทิศทาง ของตนเองได้ จากการตรวจสอบจากข้อมลู ป้อนกลบั (Feedback) วิธีระบบถูกนำมาใช้ในระบบการศึกษาและได้รบั การพัฒนา ปรับปรุงข้ึนเป็นลำดับ โดยได้มีผู้พัฒนา รูปแบบการสอน (Model) ขึ้นหลากหลายรูปแบบ รูปแบบเหล่านี้เรียกช่ือว่า ระบบการออกแบบการเรียน การสอน (instructional design systems) หรือเรียกส้ันลงไปอีกว่า การออกแบบการเรียนการสอน (instructional design) การออกแบบการเรียนการสอนจะประกอบด้วยองค์ประกอบที่เป็นขั้นตอนต่าง ๆ ที่อาศัยหลักการ และทฤษฎสี นบั สนนุ จากองคค์ วามรแู้ ละการวิจัยทางการศกึ ษา จนถึงปจั จุบันนักการศึกษาได้พฒั นารูปแบบการเรียนการสอน (Instructional model) ขึ้นมากกว่า ๕๐ รูปแบบ รูปแบบเหล่าน้ีได้รับการตรวจสอบ ทดสอบ และการปรับปรุงมาแล้วก่อนท่ีจะเป็นรูปแบบท่ี สมบรู ณ์ท่เี ชอื่ ไดว้ ่า ถ้านำไปใชแ้ ล้วจะทำใหป้ ระสิทธผิ ลและประสทิ ธิภาพในการสอนอยา่ งสูงสดุ ประสทิ ธิผลและประสิทธภิ าพนี้จะเกิดขนึ้ อย่างแน่นอนไมว่ ่าจะใชก้ บั จุดมุ่งหมายในการสอนลักษณะใด ผเู้ รียนทแ่ี ตกต่างกนั เพยี งไร สถานการณ์ส่ิงแวดลอ้ มหรือส่ือการสอนทแ่ี ตกต่างกนั ออกไป รปู แบบอันหลากหลายน้ีจะมีความแตกต่างกันออกไปในรายละเอียด แต่เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วจะ เห็นวา่ ความแตกตา่ งน้นั มีไมม่ ากนัก รูปแบบการเรยี นการสอนนี้สามารถนำไปใชใ้ นการเรียนการสอนหรือการ ฝึกอบรม ซึ่งถือว่าเป็นเร่ืองของการเรียนการสอนโดยตรง เช่น สามารถนำไปใช้ในโรงงานเพื่อเพ่ิม ประสิทธิภาพในการทำงาน ใชใ้ นโรงพยาบาล สถานีตำรวจ ธนาคารหรอื อืน่ ๆ ทเี่ ก่ยี วขอ้ ง กับการใหค้ วามรู้ การเปล่ียนทศั นคติ หรือการฝกึ ทักษะตา่ ง ๆ ๖.๔.๒ การออกแบบการเรยี นการสอนไมใ่ ช่การสรา้ งระบบใหม่ ๘ Allen, R. and J. W. Santrock. Psychology:The Contexts of Behavior. USA.: Wm. C. Brown Communication. 1993.p.65-68.
ศาสตร์การสอน ๑๒๒ กิจกรรมการออกแบบการเรียนการสอน (instructional design) น้ันไม่ใช่กิจกรรมการออกแบบ และสร้างระบบการสอนข้ึนใหม่ แต่เป็นกระบวนการนำรูปแบบ (model) ที่มีผู้คิดสร้างไว้แล้วมาใช้ตาม ขั้นตอน (step) ต่าง ๆ ท่ีเจ้าของรูปแบบน้ันกำหนดไว้อาจจะมีคำถามว่า ถ้าไม่ได้ออกแบบระบบเอง ทำไมจึง ใช้คำว่า “ ออกแบบการเรียนการสอน” คำตอบท่ีชัดเจนก็คือ ผู้ใช้รูปแบบ (model) ของการสอนน้ัน จำเป็นต้องออกแบบตามขน้ั ตอนต่าง ๆ ของรปู แบบน้ัน ๆ ทัง้ นเ้ี นอื่ งจากรปู แบบ (model) ทมี่ ีผสู้ รา้ งไว้ใหน้ ั้น เป็นเพียงกรอบและแนวทางในการดำเนินงานเท่านั้น รายละเอียดต่างๆ ภายในข้ันตอนจะแตกต่างกันออกไป ตามสภาพปญั หา จุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน ลักษณะของผู้เรียน และเงอ่ื นไขตา่ ง ๆ ๖.๔.๓ การออกแบบการเรียนการสอน (Instructional design) จากท่ีกล่าวมาในตอนต้น ๆ ทำให้ทราบความเป็นมาของระบบการสอนรวมถึงคำว่า “ระบบ” ว่า เป็นอย่างไร และปรับเปล่ียนดัดแปลงการออกแบบการเรียนการสอนด้วยเหตุใด ต่อไปนี้จะกล่าวถึง รายละเอียดของการออกแบบการเรียนการสอน โดยจะเรมิ่ จากความเปน็ มา ความหมาย ระดับของการออก แบ องค์ประกอบ รูปแบบของการออกแบบการเรียนการสอน และสุดท้ายคือ กระบวนการข้ันตอนการ ออกแบบการเรยี นการสอน ๖.๔.๔ ความเป็นมาของการออกแบบการเรียนการสอน การออกแบบการเรียนการสอน (ID) เกิดจากการใช้กระบวนการของวิธีระบบ (system approach) ในการฝึกทหารของกองทัพบกอเมริกันในชว่ งสงครามโลกครั้งที่ ๒ โดยมีความเชื่อว่า การเรียนรู้ ใด ๆ ไม่ควรจะเกิดอยา่ งบังเอิญ แต่ควรเกิดจากการพัฒนาสิ่งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม มีกระบวนการ มีข้ันตอน และสามารถวัดผลจากการเรียนร้ไู ดอ้ ยา่ งชัดเจน ในการออกแบบการเรียนการสอนต้องอาศัยความรู้ศาสตร์ สาขาต่าง ๆ อันได้แก่ จิตวิทยาการศึกษา การส่อื ความหมาย การศึกษาศาสตรท์ างเทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์เขา้ มารว่ ม ๖.๔.๕ ความหมายของการออกแบบการเรยี นการสอน การออกแบบการเรียนการสอน คือ ศาสตร์ (Science) ในการกำหนดรายละเอียด รายการต่าง ๆ เพื่อพัฒนา การประเมินและการทำนุบำรุงรักษาให้คงไว้ของสภาวะต่าง ๆ เพื่อทำให้เกิดการเรียนรู้ ท้ังใน เน้ือหาจำนวนมาก หรอื เนือ้ หาส้ัน ๆ (Richey, 1986) ๖.๔.๖ ปญั หาในระบบการเรยี นการสอน เป้าหมายหลักของครูหรือนักฝึกอบรมในการสอน คือการช่วยให้ผู้เขียนหรือผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้ เรียนรู้ และในการช่วยให้เกิดการเรียนรู้นี้มีปัญหาหลัก ๆ อยู่หลายประการท่ีผู้ออกแบบการเรียนการสอน จะตอ้ งตระหนักและพยายามหลีกเลีย่ ง ปญั หาดงั กล่าวคอื ๑. ปัญหาด้านทศิ ทาง (Direction) ๒. ปัญหาด้านการวัดผล (Evaluation) ๓. ปญั หาด้านเน้ือหาและการลำดบั เนือ้ หา (Content and Sequence) ๔. ปญั หาดา้ นวธิ กี าร (Method) ๕. ปญั หาขอ้ จำกัดตา่ ง ๆ (Constraint) ๑.ปัญหาด้านทิศทาง ปัญหาด้านทิศทางของผู้เรยี นก็คือ ผ้เู รยี นไมท่ ราบว่าจะเรยี นไปเพ่ืออะไร ไมร่ ู้วา่ จะต้องเรยี นอะไร ต้องสนใจจุดไหน สรุปแล้วพดู ไวว้ ่าเปน็ ปัญหาดา้ นจุดมุ่งหมาย ๒.ปญั หาด้านการวดั ผล
ศาสตร์การสอน ๑๒๓ ปญั หาการวดั ผลนี้จะเกิดขนึ้ กับทั้งผูส้ อนและผู้เรยี น ผ้สู อนจะมปี ญั หา เชน่ จะร้ไู ดอ้ ย่างไรว่าผเู้ รยี น ของตนเกดิ การเรียนรหู้ รอื ไม่ จะรไู้ ด้อย่างไรวา่ วธิ กี ารท่ีตนใช้อยนู่ น้ั ใชไ้ ดผ้ ลดี ถ้าจะปรบั ปรงุ เนื้อหาที่สอนจะ ปรบั ปรุงตรงไหน จะให้คะแนนอยา่ งยตุ ิธรรมได้อยา่ งไร ปัญหาของผู้เรียนเกี่ยวกบั การวดั ผลอาจเปน็ ฉันเรียนรู้อะไรบ้างจากส่งิ นี้ ข้อสอบยากเกินไป ขอ้ สอบกำกวม อนื่ ๆ ๓.ปญั หาด้านเนอื้ หาและการลำดบั เนอื้ หา ปัญหาน้ีเกิดข้ึนกับครูและผู้เรียนเช่นเดี่ยวกัน ในส่วนของครูอาจจะสอนเนื้อหาที่ไม่ต่อเน่ืองกัน เนื้อหายากเกินไป เนื้อหาไม่ตรงกับจดุ มุ่งหมาย เน้อื หาไมส่ มั พนั ธก์ ันและอื่น ๆ อีกมากมาย ในส่วนของผเู้ รยี นก็จะเกิดปญั หาเช่นเดย่ี วกับท่ีกลา่ วขา้ งต้นอันเปน็ ผลมาจากครู อาจเป็นการสอนหรือวิธกี ารสอนของครทู ำใหผ้ ู้เรียนเบอื่ หน่าย ไมอ่ ยากเข้าห้องเรียน มีทัศนคติท่ไี ม่ ดตี ่อการเรียนสิ่งนั้น ๆ ๔.ปัญหาด้านวธิ ีการ ปัญหาการสอนท่ีไม่สอดคล้องกบั จุดมงุ่ หมายทตี่ ัง้ เอาไว้ เช่น ต้ังเป้าหมายไวว้ า่ ให้ผเู้ รียนสามารถใช้ กลอ้ งถ่ายวิดโี อได้อย่างชำนาญ แต่วธิ ีสอนกลบั บรรยายให้ฟังเฉย ๆ และผู้เรียนไม่มสี ทิ ธิจบั กล้องเลย เปน็ ตน้ ๕.ปัญหาขอ้ จำจัดตา่ ง ๆ ในการสอนหรือการฝึกอบรมนน้ั ตอ้ งใชแ้ หลง่ ทรัพยากร ๓ ลักษณะ คือ บุคลากร ครูผู้สอน และ สถาบันต่าง ๆ บคุ ลาการท่วี า่ น้ีอาจจะเปน็ วทิ ยากร ผูช้ ว่ ยเหลือต่าง ๆ เช่น พนกั งานพิมพ์ ผคู้ วบคมุ เครื่องไม้ เครื่องมือ หรอื อ่ืน ๆ สถาบนั ต่าง ๆหมายถงึ แหลง่ ท่ีเปน็ ความรู้ แหล่งท่ีจะใหค้ วามรว่ มมือสนับสนุนต่าง ๆ อาจเปน็ หอ้ งสมดุ หนว่ ยงานตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ ๖.๕ องค์ประกอบของการออกแบบการเรยี นการสอน ดังได้กล่าวข้างต้นว่า การออกแบบการเรียนการสอนให้หลักการแนวทางของระบบ ดังนั้นในการ ออกแบบการเรียนการสอนจึงประกอบด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ท่ีสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ได้ และใน กระบวนการออกแบบการเรียนการสอนก็จะมีกลไกในการปรับปรุงแก้ไขตัวเอง อันได้แก่ กระบวน การใช้ ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) จากการประเมินผลท่ีเรียกว่า การประเมินผลเพื่อการปรับปรุง (formative evaluation) เน่อื งจากมีรปู แบบ (Model) สำหรบั นำไปใช้ในการออกแบบการเรียนการสอนอยู่มากมายจงึ มคี วาม หลากหลายในองค์ประกอบในรูปแบบนั้น ๆ แต่อย่างไรก็ตาม รูปแบบการเรียนการสอนใด ๆ ก็จะยึดแนวทาง ของรปู แบบดง้ั เดิม (generic model) ประกอบด้วย ๑.การวเิ คราะห์ (Analysis) ๒.การออกแบบ (Design) ๓.การพฒั นา (Development) ๔.การนำไปใช้ (Implementation) ๕.การประเมินผล (Evaluation) จากรูปแบบดังเดิม (Generic model) นจ้ี ะมีผูร้ ู้ต่าง ๆ นำไปสงั เคราะห์เป็นรูปแบบตา่ ง ๆ มากมาย ตามความเชือ่ ความต้องการของตน ๖.๕.๑ รปู แบบตา่ ง ๆ ของการออกแบบการเรียนการสอน
ศาสตร์การสอน ๑๒๔ ในที่นจี้ ะขอยกตัวอยา่ งรปู แบบการเรยี นการสอนทมี่ ีผู้คิดสรา้ งข้นึ เพื่อใหเ้ หน็ องค์ประกอบ รายละเอยี ดโดยสังเขปและความสมั พันธข์ ององค์ประกอบต่าง ๆ ๑.รูปแบบการสอนของดิคค์และคาเรย์ (Dick and Carey model) รูปแบบการสอน (Model) ของดิคคแ์ ละคาเรย์ ประกอบด้วยองค์ประกอบดว้ ย ๑๐ ขั้นด้วยกนั คอื ๑. การกำหนดเปา้ หมายของการเรียนการสอน (Identify Instructional Goals) ๒. ดำเนนิ การวิเคราะห์การเรียนการสอน (Conduct Instructional Analysis) ๓. กำหนดพฤตกิ รรมก่อนเรยี นและลักษณะผเู้ รียน (Identify Entry Behaviors, Characteristics) ๔. เขียนจุดมุง่ หมายเชงิ พฤติกรรม (Write Performance Objective) ๕. พฒั นาข้อสอบองิ เกณฑ์ (Develop Criterion - Referenced Test Items) ๖. พฒั นายทุ ธวธิ กี ารสอน (Develop Instructional Strategies) ๗. พัฒนาและเลือกวัสดุการเรียนการสอน (Develop and Select Instructional Materials) ๘. ออกแบบและดำเนนิ การประเมินเพื่อการปรับปรุง (Design and Conduct Formative Evaluation) ๙. การปรบั ปรงุ การสอน (Revise Instruction) ๑๐.การออกแบบและดำเนินการประเมินระบบการสอน (Design and Conduct Summative Evaluation) การปรบั ปรุงการสอน วเิ คราะห์ การเรยี น การสอน กำหนด เขยี น พัฒนา พฒั นา พัฒนา ประเมนิ เปา้ หมาย จุดมงุ หมาย ขอ้ สอบ ยทุ ธวธิ ี วสั ดุ เพ่ือการ การเรียน อิงเกณฑ์ การสอน การเรียน ปรบั ปรงุ เชิง การสอน พฤตกิ รรม ประเมนิ ระบบ กำหนด การสอน พฤติกรรม ก่อนเรียน ภาพที่ ๔ รูปแบบการออกแบบการเรยี นการสอนของดิคค์และคารเ์ รย์ ๖.๕.๒ ระบบการสอนของเกอรล์ าชและอีลาย (Ger lach and Ely Model) เกอรล์ าชและอลี ายเสนอรปู แบบการออกแบบการสอนประกอบดว้ ยองค์ประกอบ 10 อยา่ งดว้ ยกัน คอื
ศาสตร์การสอน ๑๒๕ ๑. การกำหนด เปน็ การกำหนดวา่ ตอ้ งการให้ผเู้ รียนรู้อะไร แค่ไหน อย่างไร ๒. การกำหนดเน้ือหา (Specify Content) เปน็ การกำหนดวา่ ผเู้ รยี นต้องเรยี นอะไรบา้ งในอันที่จะ บรรลุเปา้ หมายที่ตงั้ ไว้ ๓. การวิเคราะหป์ ระสบการณเ์ ดิมของผู้เรยี น (Analyze Learner Background Knowledge) เพื่อทราบความสามารถพืน้ ฐานของผเู้ รยี น ๔. เลอื กวธิ ีสอน (Select Teaching Method) ทำการเลอื กวธิ ีสอนใหส้ อดคล้องกับจุดมุ่งหมาย ๕. กำหนดขนาดของกล่มุ (Determine Group Size) เลือกว่าจะสอนเปน็ กลุ่มยอ่ ยหรือกลุม่ ใหญ่ อยา่ งไร ๖. กำหนดเวลา (Time Allocation) กำหนดวา่ จะใชเ้ วลาในการสอนมากนอ้ ยเพยี งใด ๗. กำหนดสถานที่ เครื่องอำนวยความสะดวก (Specify Setting and Facilities) กำหนดว่าจะ สอนที่ไหน ต้องเตรยี มอะไรบ้าง ๘. เลือกแหล่งวิชาการ (Select Learning Resources) ตอ้ งใชส้ ื่ออะไร อย่างไร ๙. ประเมนิ ผล (Evaluation) ดวู ่าการสอนเปน็ ไปตามจดุ มงุ่ หมายหรือไม่ ๑๐.วเิ คราะห์ข้อมลู ป้อนกลับเพอ่ื การปรบั ปรุงแกไ้ ข (Analyze Feedback for Revision) เปน็ การ วเิ คราะห์วา่ ถ้าการสอนไมไ่ ดผ้ ลตามจุดมุ่งหมายจะทำการปรบั ปรุงแก้ไขตรงไหนอยา่ งไร เลอื กวธิ ีสอนและ กจิ กรรม กำหนด วเิ คราะห์ กำหนดขนาดของ ประเมนิ ผล จดุ ม่งุ หมาย ประสบการณ์ กลุม่ ทจ่ี ะสอน กำหนด เดิม กำหนด เนอ้ื หา ระยะเวลา กำหนดสถานที่ เคร่ืองอำนวย ความสะดวก เลือกแหล่ง วเิ คราะห์ข้อมูล วชิ าการ ปอ้ นกลับ ภาพที่ ๕ รูปแบบระบบการสอนของเกอลาชและอลี าย จากตัวอย่างรูปแบบระบบการสอนทย่ี กมาจะเหน็ วา่ จะอยใู่ นกรอบของรปู แบบดงั เดิม (Generic model) ทง้ั สิ้น ๖.๕.๓ การวิเคราะหร์ ะบบ (System Analysis)
ศาสตร์การสอน ๑๒๖ การวเิ คราะห์ระบบ คือ กระบวนการศึกษาขอบข่าย (Network) ของปฏิสมั พันธข์ ององค์ประกอบ ต่าง ๆ ในระบบ เพอ่ื จะเสนอแนวทางในการดำเนินการเพ่ือปรับปรุงการทำงานของระบบนัน้ ๆ๙ ในการออกแบบการเรยี นการสอนไมว่ า่ จะเปน็ รปู แบบการสอนของใครก็ตาม จะมีกลไกหรือมี ข้อมูลเพ่อื ใชใ้ นการวเิ คราะห์ระบบอยู่แล้ว ข้อมูลดังกล่าวคือ ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) ตา่ ง ๆ การทรี่ ะบบการสอนมีองคป์ ระกอบให้เห็นอยา่ งชดั เจนและแสดงความสมั พันธข์ ององคป์ ระกอบตา่ ง ๆ อยา่ งชดั เจน จะชว่ ยให้ง่ายต่อการวเิ คราะหค์ วามสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่าง ๆ วา่ ปัญหาระบบเกิดจาก อะไร การดำเนนิ การวิเคราะหร์ ะบบในรูปแบบ (Model) การสอนตา่ ง ๆ น้นั ทำได้ง่ายเพราะมีผูจ้ ดั สร้าง กลไกและจัดหาข้อมูลเตรียมไว้ให้แล้ว แตถ่ ้าจะดำเนนิ การวิเคราะหร์ ะบบอ่ืนใดทนี่ อกเหนือไปจากนี้แล้วกระบวนการคิดวเิ คราะหก์ ็จะต้องมี รายละเอยี ดและกระบวนการเพิม่ มากขึ้น ในท่ีนีจ้ ะขอเสนอแนวทางในการวิเคราะหร์ ะบบสำหรับระบบโดยทว่ั ๆ ไปทีไ่ ม่ใชร่ ะบบการเรียนการ สอน ในการวเิ คราะห์ระบบจะประกอบดว้ ยกิจกรรมต่าง ๆ เปน็ วงจรชวี ิต (Life cycle) ดงั ต่อไปน้ี คอื ๑. การกำหนดปญั หา (Problem definition) ๒. การรวบรวมและวเิ คราะห์ข้อมูล (Data collection and analysis) ๓. การวเิ คราะห์ทางเลือกของระบบ (Analysis of system alternatives) ๔. ศกึ ษาความเปน็ ไปได้ของทางเลือก (Determination 0f feasibility) ๕. การพัฒนาแนวคิดเพื่อเสนอขอความคิดเห็น (Development 0f the systems proposal) ๖. การพฒั นาและทดลองใช้ต้นแบบ (Pilot of prototype systems development) ๗. การออกแบบระบบ (System design) ๘. การพฒั นาโปรแกรม (Program development) ๙. การนำระบบใหม่เข้าไปใช้ (System implementation) ๑๐.การตรวจสอบและการประเมินระบบ (Systems implementation) กิจกรรมทั้ง ๑๐ นี้ ปกติแล้วจะไม่สามารถดำเนินการในลักษณะท่ีแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาดได้ เพราะในลกั ษณะการทำงานจริง กิจกรรมเหลา่ นจ้ี ะม่ีความเกยี่ วโยงกันจนแยกไมอ่ อก ยำ้ อีกครง้ั หนึ่งว่า กระบวนการวเิ คราะห์ระบบทง้ั ๑๐ น้ี ขอ้ ท่ีกลา่ วมาข้างต้นใชส้ ำหรบั การ วิเคราะห์ระบบที่นอกเหนือจากระบบการเรียนการสอน ท้ังนี้เน่ืองจากระบบการเรียนการสอนน้ันได้สร้าง กลไกและขอ้ มลู สำหรบั ตรวจสอบแก้ไขระบบอยู่ในตวั แลว้ สรุปท้ายบท การศึกษา ตามความหมายกว้าง หมายถึง กระบวนการทางสังคมท่ีนำบุคคลเข้าสู่การดำรงชีวิตใน สังคม หรืออาจกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า เป็นกระบวนการอบรมบ่มนิสัยให้มนุษย์สามารถประพฤติปฏิบัติตนและ ประกอบอาชพี การงานรว่ มกับมนุษยอ์ ืน่ ๆได้อย่างเหมาะสม ๙ Semprevivo, Philop C. System Analysis. Definition, Process, and Design. Chicago: Science Research Association. 1976,p.123-124.
ศาสตร์การสอน ๑๒๗ การศึกษาตามความหมายน้ีจึงเป็นปัจจัยสำคัญของการอบรมบ่มนิสัย การกล่อมเกลาทางสังคม การ เตรยี มตวั เพอ่ื ใหบ้ ุคคลมที กั ษะ ความรู้ ความสามารถในการดำรงชวี ติ และการประกอบอาชพี ในอนาคต เป้าหมายของการศึกษาดังที่กล่าวน้ี มิใช่เพียงเพื่อประโยชน์ของคนแต่ละคนเท่าน้ัน แต่ต้องมุ่งไปสู่ สังคมในภาพรวม คือการนำไปส่สู ังคมทเ่ี ข้มแข็ง มเี อกภาพ อันเน่ืองมาจากสมาชิกของสังคมมีคุณภาพและร่วม สร้างประโยชน์ให้กับสังคมที่ตนอยู่อาศัย จึงถือได้ว่าครูเป็นคนสำคัญในการสร้างเยาวชนที่ดีและสร้างอนาคต ของประเทศ และหากผลผลิตทางการศกึ ษาไม่มคี ณุ ภาพ ครกู ็ต้องมีสว่ นร่วมรับผิดชอบด้วย ในกระบวนการจัดการศึกษาน้ี มีบุคคลหลายคนและหลายหน่วยงานเข้ามีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว พรรคพวกเพื่อนฝูงญาติมิตร ชุมชน ประชาคม เอกชน ส่ือมวลชน วัด โรงเรียน และท่ีสำคัญมากคือ รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ ซึ่งรวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยสังคมท่ีมีขนาดใหญ่โตกว้างขวาง มีวิถี ชีวิตและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน มีการประกอบอาชีพหลากหลาย เนื้อหาของการศึกษาย่ิงต้องมีความ หลากหลาย แต่ขณะเดียวกันการจัดการศึกษาก็ต้องมุ่งธำรงรักษาเอกภาพร่วมกันของสังคมไว้ด้วย สาระของ การศึกษาจึงต้องครอบคลุมท้ังเร่ืองวิถีการดำรงชีวิต การประพฤติปฏิบัติตน ความสัมพันธ์กับผู้อื่น ประสบการณ์และความเป็นไปของสังคมในอดีต ปัจจุบัน และที่จะไปสู่อนาคต รวมทั้งเรื่องความรู้ ความเข้าใจ และเทคนคิ วิธีการประกอบอาชีพ การจัดการศึกษาอยา่ งเปน็ ทางการหรือในระบบ ส่วนใหญ่จัดขึ้นในโรงเรยี น ซ่งึ เปน็ หน่วยงาน เฉพาะด้านท่ีต้ังขึ้นมาทำหน้าที่ปลูกฝังทักษะ ความรู้ และค่านิยมแก่ผู้เรียน แต่โรงเรียนหรือสถานศึกษาก็ไม่ใช่ เปน็ ช่องทางเดยี ว ในโลกทพี่ ฒั นาการดา้ นส่ือและเทคโนโลยีเป็นไปอย่างรวดเรว็ การจัดการศึกษาสามารถทำได้ อย่างหลากหลาย เพ่อื สอดรับกบั ความตอ้ งการของกลมุ่ เป้าหมายเฉพาะแต่ละกลุ่ม เชน่ การศึกษานอกโรงเรยี น การจัดการศึกษาในครัวเรือน การจัดการศกึ ษาโดยชมุ ชน การศึกษาทางไกลผ่านส่ือประเภทต่างๆ เป็นต้น อาจกลา่ วไดว้ า่ การศึกษาเปน็ กจิ กรรมทางสังคมที่เปน็ รากฐานสำคญั ของการสร้าง สะสมพลังของชาติ ชาตใิ ดมี “ทุนทางสงั คม” แข็งแกร่ง มีคณุ ภาพดีมากน้อยเพยี งใด มปี ริมาณมากแค่ไหน ย่อมขน้ึ กับคณุ ภาพของ ระบบการศึกษา๑๐ โดยสรุป การศึกษาเป็นกระบวนการให้และรับความรู้และประสบการณ์ การปรับเปลี่ยนทัศนคติการ สร้างจิตสำนึก การเพิ่มพูนทักษะ การทำความเข้าใจให้กระจ่าง การอบรมปลูกฝังค่านิยม การถ่ายทอดศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมของสังคม การพัฒนาความคดิ โดยมีวตั ถุประสงค์ท่ีจะให้บุคคลมีความเจริญงอกงามทาง ปัญญา มีความรู้ความสามารถท่ีเหมาะสมสำหรับการประกอบอาชีพ สามารถดำรงชีวิตได้อย่างเหมาะสม มี ค่านิยมทีด่ ีและอยรู่ ่วมกับผูอ้ ื่นอยา่ งมีความสุข ๑๐ ชยั อนนั ต์ สมุทวณชิ . Good Governance กับการปฏริ ูปการศึกษา – การปฏิรปู การเมือง. ม.ป.พ. ๒๕๔๒. หน้า ๑๑๐.
ศาสตรก์ ารสอน ๑๒๘ คำถามท้ายบท ๑.เม่อื กล่าวถงึ ระบบ ทุกองค์กรตา่ งมรี ะบบการทำงานเปน็ ของตัวเอง ในการจัดการศึกษา มีระบบการเรยี นการสอนเทา่ ไร อะไรบา้ ง ฯ ๒.ในการกำหนดจุดมุ่งหมายการสอน ในฐานะที่ทา่ นเปน็ ผู้สอนมวี ิธีการกำหนดจุดมุ่งหมาย การสอนอยา่ งไร ฯ ๓.หัวใจสำคัญของระบบการเรียนการสอน ทา่ นคิดว่าส่วนไหนเปน็ สว่ นสำคัญทส่ี ุด เพราะเหตุผลอะไร จงอธิบายฯ ๔.ระบบการมีปฏสิ มั พันธ์กับสิ่งแวดลอ้ ม มีความสมั พนั ธ์กนั อย่างไร จงอธิบาย ฯ ๕.หัวใจสำคญั ของระบบการเรียนการสอนน้ัน มีองค์ประกอบสำคัญๆเทา่ ไร อะไรบ้าง ฯ ๖.ใหย้ กตัวอย่าง ๑.การกำหนดจุดมงุ่ หมาย ๒.การกำหนดขอบเขต ว่ามลี ักษณะในทาง ปฏิบตั อิ ยา่ งไร ฯ ๗.จากวิธรี ะบบสูก่ ารเรียนการสอน มขี ้นั ตอนเท่าไร อะไรบา้ งและแต่ละขน้ั ตอน มีความหมายอยา่ งไร ฯ ๘.จากการทไ่ี ด้นำระบบสู่กาเรียนรู้ ก่อให้เกิดปัญหาอุปสรรคอย่างไร จงอธิบาย ฯ ๙.จงอธบิ าย ๑.ปญั หาดา้ นทศิ ทาง ๒.ปญั หาดา้ นการวดั ผล มีความอย่างไร ฯ ๑๐.การออกแบบและดำเนนิ การประเมินระบบการสอน มีวธิ กี ารอย่างไร ฯ
ศาสตรก์ ารสอน ๑๒๙ เอกสารอา้ งองิ ประจำบท ชัยอนันต์ สมุทวณิช. (๒๕๔๒). Good Governance กับการปฏิรูปการศึกษา – การ ปฏิรูป การเมือง. ม.ป.พ. หนา้ ๑๑๐. ปรยี าพร วงศอ์ นุตรโรจน์. (๒๕๕๑). จติ วิทยาการศึกษา. กรงุ เทพฯ: ศูนย์สื่อเสริมกรุงเทพ. หนา้ ๒๖-๒๗. ราชบัณฑติ ยสถาน. (๒๕๒๕). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕. ฉบบั พมิ พ์ คร้ังท่ี ๕ กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั อักษรเจริญทศั น์ อจท. จำกัด. วชิ ากระวดั และประเมินผล.สถาบนั การพลศกึ ษา.ออนไลน์ เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://www.ipecp.ac.th/ipecp/cgi-binn/webpili/unit๑/level๑-๑.html สืบคน้ เมื่อ ๑๕ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๙. Allen, R. and J. W. Santrock. (1993). Psychology:The Contexts of Behavior. USA.: Wm. C. Brown Communication. Bloom, Benjamins. (1976). Human Characteristics and School Learning. New York : McGraw-Hill Book Company. DeCecco, (1968), อ้างใน ก่งิ ฟ้า สนิ ธวุ งษ์. เอกสารประกอบการบรรยาย วิชา 219730 ความร้พู ืน้ ฐานใน Hilgard, E. R. and G. H. Bower. (1975). Theories of Learning. Englewood Cliffs, NJ: Prentice-Hall. Semprevivo, Philop C. System Analysis. (1976). Definition, Process, and Design. Chicago:Science Research Association. Wong, D. L. Whaley & Wong’s. (1999).nursing Care of Infant and Children (6thed.). St. Louis:Mosby.
บทท่ี ๗ รูปแบบการเรียนการสอน วตั ถปุ ระสงค์การเรียนรู้ประจำบท เมือ่ ได้ศึกษาเนอ้ื หาในบทนแ้ี ลว้ ผเู้ รยี นสามารถ ๑. อธิบายรปู แบบการเรียนการสอนที่เป็นสากลได้ ๒. อธิบายรูปแบบการเรยี นการสอนท่พี ฒั นาข้นึ โดยนักการศึกษาไทยได้ ขอบข่ายเน้อื หา • รปู แบบการเรียนการสอนทเ่ี ป็นสากล • รูปแบบการเรียนการสอนท่พี ฒั นาข้นึ โดยนักการศกึ ษาไทย
ศาสตรก์ ารสอน ๑๓๑ ๗.๑ ความนำ ******ทิศนา แขมมณี๑ กล่าวว่า จากการสังเกตและวิเคราะห์ผลงานของนักการศึกษาผู้ค้นคิดระบบและ รูปแบบการจัดการเรียนการสอนต่าง ๆ พบว่านักการศึกษานิยมใช้คำว่า “ระบบ” ในความหมายท่ีเป็นระบบ ใหญ่ ๆ เช่นระบบการศึกษา หรือถ้าเป็นระบบการเรียนการสอน ก็จะครอบคลุมองค์ประกอบสำคัญ ๆ ของ การเรียนการสอนในภาพรวม และนิยมใช้คำว่า “รูปแบบ” กับระบบท่ีย่อยกว่า โดยเฉพาะกับ“วิธีสอน” ซึ่ง เป็นองค์ประกอบย่อยที่สำคัญของระบบการเรียนการสอน ดังน้ันการนำวิธีสอนใด ๆ มาจัดทำอย่างเป็นระบบ ตามหลักและวธิ ีการจัดระบบแล้ว วิธีสอนน้ันกจ็ ะกลายเป็น “ระบบวิธีสอน” หรือท่นี ิยมเรียกว่า “รปู แบบการ เรียนการสอน” การปรับเปลี่ยนวิธกี ารเรียน วิธกี ารสอนให้เหมาะสม โดยแทนท่ีจะเป็นการเรียนการสอนที่ครู เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเรียนและใช้ตาราเป็นหลักเท่านั้น ก็เปล่ียนมาเป็นการเรียนการสอนที่ผู้เรียน จะต้องเป็นผู้ท่ีมีบทบาทสำคัญในการเรียน พร้อมท้ังเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองจากการวิเคราะห์ โจทย์ปัญหาและแก้ปัญหาด้วยตัวของผู้เรียนเอง ซ่ึงก็จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีข้ึน โดยวิธีการที่จะทำ ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความเข้าใจเนื้อหาเร่ืองการบัญชีได้ดีข้ึน ในรูปของการจัดการเรียนการสอนโดย ใช้ชุดการฝกึ ปฏิบัติเป็นกระบวนการเรียนการสอน ที่สนองความแตกต่างระหว่างบุคคลได้เป็นอย่างดี อีกท้งั ยัง เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกฝน จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจในบทเรียนได้มากย่ิงข้ึน ตลอดจนเป็นแนวทางในการที่ จะนาวิธกี ารที่ไดด้ ังกลา่ วไปใชใ้ นการจัดการเรียนการสอนและการเผยแพร่ความรทู้ ่ีเก่ยี วกับการบญั ชีในเรอ่ื งอ่ืน ๆ ตอ่ ไป ๗.๒ รูปแบบการเรยี นการสอนท่ีเปน็ สากล ******รูปแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากลซ่ึง รองศาสตราจารย์ ดร. ทิศนา แขมมณี ได้คัดเลือกมานำเสนอ ล้วนได้รับการพิสูจน์ทดสอบประสิทธิภาพมาแล้วและมีผู้นิยมนำไปใช้ในการเรียนการสอนโดยท่ัวไป แต่ เนื่องจากรูปแบบการเรยี นการสอนดงั กล่าวมจี ำนวนมาก เพื่อความสะดวกในการศึกษาและการนำไปใช้ จึงไดจ้ ดั หมวดหมู่ของรูปแบบเหล่านัน้ ตามลักษณะของวัตถุประสงคเ์ ฉพาะหรอื เจตนารมณ์ของ รูปแบบ ซ่งึ สามารถจดั กลมุ่ ได้เป็น ๕ หมวดดงั นี้ ******๑. รปู แบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาดา้ นพุทธิพสิ ัย (cognitive domain) ******๒. รปู แบบการเรยี นการสอนท่เี นน้ การพัฒนาด้านจิตพิสยั (affective domain) ******๓. รูปแบบการเรยี นการสอนทีเ่ นน้ การพฒั นาด้านทักษะพิสัย (psycho-motor domain) ******๔. รูปแบบการเรยี นการสอนท่เี นน้ การพัฒนาทักษะกระบวนการ (process skill) ******๕. รูปแบบการเรยี นการสอนทเ่ี นน้ การบูรณาการ (integration) ******เน่ืองจากจำนวนรูปแบบและรายละเอียดของแต่ละรูปแบบมากเกนิ กว่าท่ีจะนำเสนอไวใ้ นที่น้ีได้ทั้งหมด จึงได้คัดสรรและนำเสนอเฉพาะรูปแบบที่ รองศาสตราจารย์ ดร.ทิศนา แขมมณี ประเมินว่าเป็นรูปแบบที่จะ เป็นประโยชน์ต่อครูส่วนใหญ่และมีโอกาสนำไปใช้ได้มาก โดยจะนำเสนอเฉพาะสาระท่ีเป็นแก่นสำคัญของ รูปแบบ ๔ ประการ คือ ทฤษฎีหรือหลักการของรูปแบบ วัตถุประสงค์ของรูปแบบ กระบวนการของรูปแบบ และผลท่ีจะได้รับจากการใช้รูปแบบ ซึ่งจะช่วยให้ผู้อ่านได้ภาพรวมของรูปแบบ อันจะช่วยให้สามารถตัดสินใจ ๑ ทศิ นา แขมมณี. ศาสตร์การสอน องคค์ วามรู้เพอ่ื การจดั กระบวนการเรยี นรู้ทีม่ ีประสทิ ธภิ าพ. กรงุ เทพฯ : ดา่ นสทุ ธาการพมิ พ.์ ๒๕๔๕ หน้า ๒๒๑-๒๙๖.
ศาสตร์การสอน ๑๓๒ ในเบื้องต้นได้ว่าใช้รูปแบบใดตรงกับความต้องการของตน หากตัดสินใจแล้ว ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมใน รูปแบบใด สามารถไปศึกษาเพ่ิมเตมิ ไดจ้ ากหนังสือซึ่งใหร้ ายชือ่ ไว้ในบรรณานุกรม ****** รูปแบบการเรียนการสอนที่นำเสนอนี้ ล้วนเป็นรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ทั้งสิ้น เพียงแต่มีความแตกต่างกันตรงจุดเน้นของด้านที่ต้องการพัฒนาในตัวผู้เรียนและปริมาณของการมีส่วน ร่วมในกจิ กรรมการเรียนรขู้ องผู้เรยี นซ่ึงมมี ากน้อยแตกตา่ งกัน อย่างไรกต็ าม ทา่ นผอู้ ่านพึงระลกึ อยู่เสมอว่า แม้ รูปแบบแต่ละหมวดหมู่จะมีจุดเน้นท่ีแตกต่างกัน ก็มิได้หมายความว่า รูปแบบนั้นไม่ได้ใช้หรือพัฒนา ความสามารถทางด้านอื่น ๆ เลย อันท่ีจริงแล้ว การสอนแต่ละครั้งมักประกอบไปด้วยองค์ประกอบทั้งทางด้าน พุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะพิสัย รวมทั้งทักษะกระบวนการทางสติปัญญา เพราะองค์ประกอบทั้งหมดมี ความเก่ียวพันกันอย่างใกล้ชิด การจัดหมวดหมู่ของรูปแบบเป็นเพียงเคร่ืองแสดงให้เห็นว่า รูปแบบน้ัน มี วตั ถุประสงค์หลักมุ่งเน้นไปทางใดเท่านั้น แต่ส่วนประกอบดา้ นอื่น ๆ ก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่จะมีน้อยกว่าจุดเน้น เท่านัน้ ****** ๗.๒.๑ รูปแบบการเรียนการสอนทีเ่ นน้ การพัฒนาด้านพุทธิพสิ ยั (cognitive domain) ****** รูปแบบการเรียนการสอนในหมวดนี้ เป็นรูปแบบการเรยี นการสอนท่ีมุ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจในเนอื้ หาสาระต่าง ๆ ซึ่งเนื้อหาสาระน้ันอาจอยู่ในรูปของข้อมลู ข้อเท็จจริง มโนทัศน์ หรือความคิด รวบยอด รูปแบบที่คดั เลอื กมานำเสนอในท่ีน้มี ี ๕ รปู แบบ ดงั นี้ ****** ๑.๑**รปู แบบการเรียนการสอนมโนทัศน์ ****** ๑.๒**รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคดิ ของกานเย ****** ๑.๓**รูปแบบการเรยี นการสอนโดยการนำเสนอมโนทศั น์กว้างล่วงหนา้ ****** ๑.๔**รปู แบบการเรียนการสอนเนน้ ความจำ ****** ๑.๕**รูปแบบการเรยี นการสอนโดยใชผ้ งั กราฟกิ ****** ๑.๑**รูปแบบการเรยี นการสอนมโนทศั น์ (Concept Attainment Model) ก. ทฤษฎี/หลกั การ/แนวคดิ ของรปู แบบ จอยส์และวีล๒ พัฒนารูปแบบนี้ขึ้นโดยใช้แนวคิดของ บรุนเนอร์ กู๊ดนาว และออสติน (Bruner, Goodnow, และ Austin) การเรียนรู้มโนทัศน์ของส่ิงใดสิ่งหน่ึงนั้น สามารถทำได้โดยการค้นหา คณุ สมบัตเิ ฉพาะทส่ี ำคัญของส่ิงนั้น เพ่ือใชเ้ ป็นเกณฑ์ในการจำแนกสงิ่ ทใี่ ช่และไมใ่ ชส่ ่งิ น้นั ออกจากกนั ได้ ข. วตั ถปุ ระสงคข์ องรปู แบบ เพอื่ ช่วยให้ผ้เู รียนเกดิ การเรียนรู้มโนทศั น์ของเน้ือหาสาระตา่ ง ๆ อยา่ งเข้าใจ และ สามารถใหค้ ำนิยามของมโนทศั นน์ ้ันด้วยตนเอง ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรปู แบบ ขน้ั ท่ี ๑ ผูส้ อนเตรียมขอ้ มลู สำหรับใหผ้ เู้ รียนฝกึ หดั จำแนกผู้สอนเตรยี มขอ้ มูล ๒ ชดุ ชุดหน่ึงเป็นตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการสอน อีกชุดหน่ึงไม่ใช่ตัวอย่างของมโนทัศน์ท่ีต้องการสอน ในการ เลือกตัวอยา่ งข้อมูล ๒ ชุดข้างตน้ ผู้สอนจะต้องเลือกหาตัวอยา่ งท่ีมีจำนวนมากพอที่จะครอบคลุมลักษณะของ มโนทศั น์ที่ต้องการนั้นถ้ามโนทัศน์ท่ีต้องการสอนเป็นเรื่องยากและซับซ้อนหรือเป็นนามธรรม อาจใช้วธิ ีการยก ๒ Joyce & Weil, 1996 : 161-17. อา้ งใน ทศิ นา แขมณ.ี อา้ งแลว้ เรือ่ งเดยี วกัน ๒๕๔๕ หนา้ ๒๒๙.
ศาสตรก์ ารสอน ๑๓๓ เป็นตัวอย่างเร่อื งสั้น ๆ ท่ีผู้สอนแตง่ ข้ึนเองนำเสนอแก่ผู้เรียนผู้สอนเตรียมส่ือการสอนท่ีเหมาะสมจะใช้นำเสนอ ตัวอยา่ งมโนทศั น์เพอื่ แสดง ใหเ้ ห็นลกั ษณะต่าง ๆ ของมโนทัศนท์ ่ตี ้องการสอนอย่างชัดเจน ข้ันท่ี ๒ ผู้สอนอธิบายกติกาในการเรียนให้ผู้เรียนรู้และเข้าใจตรงกันผู้สอนชี้แจง วิธีการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเข้าใจก่อนเริ่มกิจกรรมโดยอาจสาธิตวิธีการและให้ผู้เรียนลองทำตามที่ผู้สอนบอก จนกระทั่งผ้เู รยี นเกดิ ความเขา้ ใจพอสมควร ข้ันท่ี ๓ ผู้สอนเสนอข้อมูลตัวอย่างของมโนทัศน์ที่ต้องการสอน และข้อมูลที่ไม่ใช่ ตัวอย่างของมโนทัศนท์ ี่ต้องการสอน การนำเสนอข้อมูลตวั อย่างนท้ี ำได้หลายแบบ แต่ละแบบมีจุดเด่น- จุดด้อย ดงั ต่อไปนี้ นำเสนอข้อมลู ที่เป็นตัวอย่างของส่ิงท่ีจะสอนทลี ะข้อมลู จนหมดทง้ั ชดุ โดยบอกใหผ้ เู้ รียนรู้ว่าเป็นตวั อย่างของส่ิง ที่จะสอนแล้วตามด้วยข้อมูลท่ีไม่ใช่ตัวอย่างของส่ิงที่จะสอนทีละข้อมูลจนครบหมดท้ังชุดเช่นกัน โดยบอกให้ ผู้เรียนรวู้ ่าข้อมูลชุดหลงั นี้ไม่ใชส่ ่งิ ทจี่ ะสอน ผูเ้ รยี นจะตอ้ งสงั เกตตวั อย่างท้ัง ๒ ชดุ และคดิ หาคุณสมบตั ิรว่ มและ คณุ สมบัติท่ีแตกต่างกัน เทคนิควิธีน้ีสามารถช่วยให้ผู้เรียนสร้างมโนทัศน์ได้เร็วแต่ใช้กระบวนการคิดน้อยเสนอ ข้อมูลที่ใช่และไม่ใช่ตัวอย่างของส่ิงที่จะสอนสลับกันไปจนครบเทคนิควิธีน้ีช่วยสร้างมโนทัศน์ได้ช้ากว่าเทคนิค แรก แต่ได้ใชก้ ระบวนการคดิ มากกวา่ ๓) เสนอข้อมลู ท่ีใช่และไมใ่ ชต่ ัวอย่างของส่งิ ทจ่ี ะสอนอย่างละ ๑ ขอ้ มลู แล้ว เสนอข้อมลู ทเี่ หลอื ทั้งหมดทลี ะข้อมลู โดยให้ผู้เรียนตอบว่าขอ้ มลู แต่ละข้อมลู ที่เหลอื น้นั ใช่หรือไม่ใชต่ วั อยา่ งท่จี ะ สอน เมอ่ื ผู้เรียนตอบ ผู้สอนจะเฉลยว่าถูกหรอื ผิด วิธีนี้ผู้เรียนจะได้ใช้กระบวนการคิดในการทดสอบสมมติฐาน ของตนไปทีละข้นั ตอน. ๔) เสนอข้อมูลทีใ่ ช่และไม่ใช่ตัวอย่างส่ิงท่ีจะสอนอยา่ งละ ๑ ข้อมูล แล้ว ให้ผู้เรียนช่วยกันยกตัวอย่างข้อมูลท่ีผู้เรียนคิดว่าใช่ตัวอย่างของส่ิงท่ีจะสอน โดยผู้สอนจะเป็นผู้ตอบว่าใช่หรือ ไม่ใช่ วธิ ีนผ้ี เู้ รยี นจะมโี อกาสคดิ มากข้ึนอีก ข้นั ท่ี ๔ ใหผ้ ูเ้ รียนบอกคุณสมบตั ิเฉพาะของสิง่ ที่ต้องการสอน จากกิจกรรมท่ีผ่านมาในข้ันต้น ๆ ผู้เรียนจะต้องพยามหาคุณสมบัติเฉพาะของ ตัวอย่างท่ีใช่และไม่ใช่ส่ิงที่ผู้เรียนต้องการสอนและทดสอบคำตอบของตน หากคำตอบของตนผิดผู้เรียนก็ จะต้องหาคำตอบใหม่ซึ่งก็หมายความว่าต้องเปลี่ยนสมมติฐานท่ีเป็นฐานของคำตอบเดิม ด้วยวิธีนี้ผู้เรียนจะ คอ่ ย ๆ สรา้ งความคิดรวบยอดของส่ิงน้นั ข้ึนมา ซ่งึ ก็จะมาจากคณุ สมบตั ิเฉพาะของสิ่งนน้ั นน่ั เอง ข้ันท่ี ๕ ให้ผู้เรียนสรุปและให้คำจำกัดความของสิ่งท่ีต้องการสอน เมื่อผู้เรียนได้ รายการของคุณสมบัติเฉพาะของส่ิงท่ีต้องการสอนแล้ว ผู้สอนให้ผู้เรียนช่วยกันเรียบเรียงให้เป็นคำนิยามหรือ คำจำกดั ความ ข้ันที่ ๖ ผ้สู อนและผ้เู รียนอภิปรายรว่ มกนั ถึงวธิ กี ารทผ่ี ูเ้ รยี นใชใ้ นการหาคำตอบ ให้ผู้เรยี นไดเ้ รยี นรู้เกี่ยวกบั กระบวนการคดิ ของตวั เอง ง. ผลทผ่ี เู้ รยี นจะได้รับจากการเรียนตามรปู แบบ เน่ืองจากผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มโนทัศน์ จากการคิด วิเคราะห์และตัวอย่างท่ี หลากหลาย ดังน้ันผลที่ผู้เรียนจะได้รับโดยตรงคือ จะเกิดความเข้าใจในมโนทัศน์น้ัน และได้เรียนรู้ทักษะการ สร้างมโนทัศน์ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการทำความเข้าใจมโนทัศน์อ่ืน ๆต่อไปได้ รวมทั้งช่วยพัฒนาทักษะการใช้ เหตุผลโดยการอปุ นัย(inductive reasoning) อีกด้วย
ศาสตร์การสอน ๑๓๔ ๑.๒ รปู แบบการเรยี นการสอนตามแนวคดิ ของกานเย (Gagne’s Instructional Model) ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรปู แบบ กานเย๓ ได้พัฒนาทฤษฎเี งอ่ื นไขการเรยี นรู้ (Condition of Learning) ซึ่งมี ๒ ส่วน ใหญ่ ๆ คือ ทฤษฎีการเรียนรู้และทฤษฎีการจัดการเรียนการสอน ทฤษฎีการเรียนรู้ของกานเย อธิบายว่า ปรากฏการณ์การเรียนรู้มีองคป์ ระกอบ ๓ ส่วนคอื ๑) ผลการเรียนรู้หรือความสามารถด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ ซ่ึงมีอยู่ ๕ ประเภทคือ ทักษะทางปัญญา (intellectual skill ) ซ่ึงประกอบด้วยการจำแนกแยกแยะ การสร้างความคิดรวบยอด การ สร้างกฎ การสร้างกระบวนการหรือกฎช้ันสูง ความสามารถด้านต่อไปคือ กลวิธีในการเรียนรู้ (cognitive Strategy) ภาษาหรือคำพูด (verbal information) ทักษะการเคล่ือนไหว(motor skill) และเจตคติ (attitude) ๒) กระบวนการเรียนรแู้ ละจดจำของมนุษย์ มนุษยม์ ีกระบวนการจัดกระทำข้อมูล ในสมอง ซ่ึงมนษุ ย์จะอาศยั ขอ้ มูลท่สี ะสมไว้มาพิจารณาเลือกจัดกระทำสง่ิ ใดส่ิงหนงึ่ และขณะท่กี ระบวนการจัด กระทำข้อมูลภายในสมองกำลังเกิดข้ึนเหตุการณ์ภายนอกร่างกายมนุษย์มีอทิ ธิพลตอ่ การสง่ เสริมหรือการยับย้ัง การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นภายในได้ ดังนั้นในการจัดการเรียนการสอน กานเยจึงได้เสนอแนะว่า ควรมีการจัดสภาพ การเรียนการสอนให้เหมาะสมกับการเรียนรู้แต่ละประเภท ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน และส่งเสริม กระบวนการเรยี นรูภ้ ายในสมอง โดยจัดสภาพการณ์ภายนอกใหเ้ อื้อต่อกระบวนการเรียนร้ภู ายในของผเู้ รียน ข. วตั ถปุ ระสงค์ของรูปแบบ เพือ่ ช่วยใหผ้ ้เู รียนสามารถเรียนรเู้ นื้อหาสาระต่าง ๆ ได้อยา่ งดี รวดเร็ว และสามารถ จดจำสิง่ ทีเ่ รยี นได้นาน ค. กระบวนการเรียนการสอนของรปู แบบ การเรียนการสอนตามรูปแบบของกานเย ประกอบด้วยการดำเนินการเป็นลำดับขั้นตอน รวม ๙ ข้ันดงั นี้ ขนั้ ที่ ๑ การกระตุน้ และดงึ ดดู ความสนใจของผ้เู รียน เปน็ การชว่ ยให้ผเู้ รียนสามารถ รับสิง่ เร้า หรือสิง่ ท่ีจะเรียนรู้ได้ดี ขั้นท่ี ๒ การแจ้งวัตถุประสงค์ของการเรียนให้ผู้เรียนทราบ เป็นการช่วยให้ผู้เรียน ไดร้ ับร้คู วามคาดหวัง ข้ันท่ี ๓ การกระตุ้นให้ระลึกถึงความรู้เดิม เป็นการช่วยให้ผู้เรียนดึงข้อมูลเดิมที่อยู่ ในหน่วยความจำระยะยาวให้มาอยู่ในหน่วยความจำเพื่อใช้งาน(working memory) ซ่ึงจะช่วยให้ผู้เรียนเกิด ความพร้อมในการเชือ่ มโยงความรูใ้ หมก่ บั ความรู้เดิม ขั้นท่ี ๔ การนำเสนอส่ิงเร้าหรือเน้ือหาสาระใหม่ ผู้สอนควรจะจัดสิ่งเร้าให้ผู้เรียน เห็นความสำคัญของส่ิงเร้าน้นั อย่างชดั เจน เพือ่ ความสะดวกในการเลอื กรบั รูข้ องผู้เรยี น ขั้นท่ี ๕ การให้แนวการเรียนรู้ หรือการจัดระบบข้อมูลให้มีความหมาย เพ่ือช่วยให้ ผ้เู รยี นสามารถทำความเขา้ ใจกบั สาระที่เรียนได้ง่ายและเร็วขนึ้ ขั้นท่ี ๖ การกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงความสามารถ เพ่ือให้ผู้เรียนมีโอกาสตอบสนอง ต่อสง่ิ เร้าหรอื สาระทีเ่ รยี น ซึ่งจะช่วยให้ทราบถงึ การเรียนรู้ท่เี กดิ ขนึ้ ในตัวผู้เรียน ๓ Gagne′, R. M., The Conditions of Learning and Theory of Instruction. New York: CBS College Publishing. 1985. P.70-90.
ศาสตรก์ ารสอน ๑๓๕ ขั้นที่ ๗ การให้ข้อมูลป้อนกลับ เป็นการให้การเสริมแรงแก่ผู้เรียน และข้อมูลที่เป็น ประโยชนก์ บั ผเู้ รยี น ขัน้ ท่ี ๘ การประเมินผลการแสดงออกของผู้เรยี น เพ่ือชว่ ยให้ผู้เรยี นทราบว่าตนเอง สามารถบรรลวุ ตั ถุประสงค์มากน้อยเพียงใด ข้ันที่ ๙ การส่งเสริมความคงทนและการถ่ายโอนการเรียนรู้ โดยการให้โอกาส ผู้เรียนได้มีการฝึกฝนอย่างพอเพียงและในสถานการณ์ที่หลากหลาย เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจท่ีลึกซ้ึง ขนึ้ และสามารถถา่ ยโอนการเรียนรู้ไปส่สู ถานการณ์อ่นื ๆ ได้ ง.ผลทผ่ี เู้ รียนจะไดร้ บั จากการเรยี นตามรูปแบบ เนอ่ื งจากการเรียนการสอนตามรูปแบบน้ี จดั ข้นึ ให้ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และจดจำ ของมนุษย์ ดังน้ัน ผู้เรียนจะสามารถเรียนรู้สาระท่ีนำเสนอได้อย่างดี รวดเร็วและจดจำส่ิงที่เรียนรู้ได้นาน นอกจากนั้นผู้เรียนยังได้เพิ่มพูนทักษะในการจัดระบบข้อมูล สร้างความหมายของข้อมูล รวมท้ังการแสดง ความสามารถของตนด้วย ๑.๓ รูปแบบการเรียนการสอนโดยการนำเสนอมโนทัศน์กว้างลว่ งหน้า (Advance Organizer Model) ก. ทฤษฎ/ี หลกั การ/แนวคิดของรูปแบบ การสำเสนอมโนทัศน์กวา้ งลว่ งหนา้ (Advanced Organizer) เพ่ือการเรยี นรูอ้ ย่างมี ความหมาย (meaningful verbal learning) การเรียนรู้จะมีความหมายเมื่อสิ่งที่เรียนรู้สามารถเชื่อมโยงกับ ความรู้เดิมของผู้เรียน ดังนั้นในการสอนส่ิงใหม่ สาระความรู้ใหม่ ผู้สอนควรวิเคราะห์หาความคดิ รวบยอดย่อย ๆ ของสาระที่จะนำเสนอ จัดทำผังโครงสร้างของความคิดรวบยอดเหล่านั้นแล้ววิเคราะห์หามโนทัศน์หรือ ความคิดรวบยอดท่ีกว้างครอบคลุมความคดิ รวบยอดย่อย ๆ ท่ีจะสอน หากครนู ำเสนอมโนทัศน์ท่ีกว้างดังกล่าว แก่ผ้เู รียนก่อนการสอนเนอ้ื หาสาระใหม่ ขณะท่ผี ้เู รียนกำลังเรียนรู้สาระใหม่ ผู้เรยี นจะสามารถ นำสาระใหม่นั้น ไปเกาะเก่ียวเช่อื มโยงกบั มโนทศั น์กวา้ งทใ่ี หไ้ ว้ลว่ งหนา้ แล้ว ทำใหก้ ารเรียนรนู้ ้ันมคี วามหมายต่อผู้เรยี น ข. วตั ถุประสงคข์ องรปู แบบ เพ่อื ชว่ ยใหผ้ เู้ รียนได้เรยี นรเู้ น้อื หาสาระ ขอ้ มลู ต่าง ๆ อยา่ งมคี วามหมาย ค. กระบวนการเรียนการสอน ข้ันท่ี ๑ การจัดเตรียมมโนทัศน์กว้าง โดยการวิเคราะห์หามโนทัศน์ท่ีกว้างและครอบ คลุมเนื้อหาสาระใหม่ท้ังหมด มโนทัศน์ท่ีกว้างนี้ ไม่ใช่สิ่งเดียวกับมโนทัศน์ใหม่ท่ีจะสอน แต่จะเป็นมโนทัศน์ใน ระดับที่เหนือขนึ้ ไปหรือสูงกว่า ซึ่งจะมีลักษณะเป็นนามธรรมมากกว่า ปกตมิ ักจะเป็นมโนทัศน์ของวิชาน้ันหรือ สายวิชานั้น ควรนำเสนอมโนทัศน์กว้างน้ีล่วงหน้าก่อนการสอน จะเป็นเสมือนการ”preview” บทเรียน ซ่ึงจะ เป็นคนละอย่างกับการ”over view” หรือการให้ดูภาพรวมของสิ่งท่ีจะสอน การนำเสนอภาพรวมของส่ิงท่ีจะ สอน การทบทวนความรู้เดิม การซักถามความรู้และประสบการณ์ของผู้เรียนเก่ียวกับเร่ืองท่ีจะสอน การบอก วัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน เหล่านี้ ไม่นับว่าเป็น “advance organizer” ซึ่งจะต้องมีลักษณะท่ีกว้าง ครอบคลมุ และมคี วามเป็นนามธรรมอยใู่ นระดับสูงกว่าสง่ิ ที่จะสอน ขั้นท่ี ๒ การนำเสนอมโนทัศน์กว้าง ๑) ผสู้ อนช้ีแจงวตั ถุประสงค์ของบทเรยี น ๒) ผู้สอนนำเสนอมโนทัศน์กว้างด้วยวธิ ีการต่าง ๆ เช่นการบรรยายสน้ั ๆ แสดง แผนผงั มโนทศั น์ ยกตัวอย่าง หรือใชก้ ารเปรยี บเทยี บ เป็นต้น ขัน้ ท่ี ๓ การนำเสนอเนอ้ื หาสาระใหมข่ องบทเรยี น
ศาสตรก์ ารสอน ๑๓๖ ผู้สอนนำเสนอเนื้อหาสาระท่ีต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยวิธีการต่างๆ ตามปกติ แตใ่ นการนำเสนอ ผสู้ อนควรกลา่ วเชื่อมโยงหรือกระตนุ้ ให้ผูเ้ รียนเชือ่ มโยงกบั มโนทศั น์ที่ใหไ้ ว้ลว่ งหนา้ เปน็ ระยะ ๆ ขนั้ ท่ี ๔ การจัดโครงสร้างความรู้ ผู้สอนส่งเสริมกระบวนการจัดโครงสร้าง ความรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ส่งเสริมการผสมผสานความรู้ กระตุ้นให้ผู้เรียนต่ืนตัวในการเรียนรู้ และทำความกระจ่างในส่ิงท่ีเรียนรู้ โดยใช้ วธิ ีการต่าง ๆ เช่น ๑) อธบิ ายภาพรวมของเรื่องท่ีเรียน ๒) สรุปลกั ษณะสำคัญของเร่ือง ๓) บอกหรือเขยี นคำนิยามท่ีกะทดั รัดชดั เจน ๔) บอกความแตกตา่ งของสาระในแง่มมุ ตา่ ง ๆ ๕) อธบิ ายวา่ เนือ้ หาสาระทเี่ รียนสนับสนนุ หรอื สง่ เสริมมโนทัศน์กวา้ งทีใ่ หไ้ วล้ ่วงหนา้ อยา่ งไร ๖) อธิบายความเชอ่ื มโยงระหวา่ งเนอ้ื หาสาระใหม่กบั มโนทัศนก์ วา้ งท่ใี ห้ไวล้ ว่ งหนา้ ๗) ยกตัวอยา่ งเพมิ่ เติมจากส่ิงท่ีเรียน ๘) อธบิ ายแก่นสำคัญของสาระทเ่ี รยี นโดยใช้คำพูดของตัวเอง ๙) วเิ คราะห์สาระในแงม่ ุมต่าง ๆ ง. ผลทผ่ี ้เู รียนจะไดร้ ับจากการเรียนรู้ตามรูปแบบ ผลโดยตรงท่ผี ู้เรยี นจะได้รับกค็ ือ เกิดการเรียนรู้ในเนอ้ื หาสาระและขอ้ มูลของบทเรยี น อย่างมีความหมาย เกิดความคิดรวบยอดในส่ิงที่เรียน และสามารถจัดโครงสร้างความรู้ของตนเองได้นอกจาก นนั้ ยงั ได้พฒั นาทกั ษะและอปุ นสิ ัยในการคิดและเพ่ิมพูนความใฝ่รู้ ๑.๔ รปู แบบการเรียนการสอนเน้นความจำ (Memory Model) ก. ทฤษฎ/ี หลักการ/แนวคดิ ของรูปแบบ รูปแบบนี้พัฒนาขนึ้ โดยอาศยั หลัก ๖ ประการเก่ยี วกับ ๑) การตระหนักรู้(awareness) ซง่ึ กล่าววา่ การทบ่ี คุ คลจะจดจำสง่ิ ใดไดด้ นี ั้น จะต้องเร่ิมจากการรับรสู้ ง่ิ น้ัน หรอื การสังเกตสิง่ นน้ั อยา่ งต้งั ใจ ๒) การเชอ่ื มโยง(association) กับสงิ่ ทรี่ ู้แล้วหรอื จำได้ ๓) ระบบการเชื่อมโยง(link system) คือระบบในการเชือ่ มความคิดหลาย ความคิดเข้าดว้ ยกนั ในลักษณะท่ีความคิดหนึ่งจะไปกระตนุ้ ใหส้ ามารถจำอีกความคิดหนึง่ ได้ ๔) การเชอื่ มโยงทนี่ า่ ขบขัน(ridiculous association) การเชื่อมโยงทจี่ ะชว่ ยให้ บคุ คลจดจำได้ดนี ้ัน มักจะเป็นสิ่งทแี่ ปลกไปจากปกติธรรมดา การเชอื่ มโยงในลักษณะที่แปลก เปน็ ไปไม่ได้ ชวนใหข้ บขัน มกั จะประทับในความทรงจำของบุคคลเป็นเวลานาน ๕) ระบบการใชค้ ำทดแทน ๖) การใชค้ ำสำคญั (key word) ได้แก่ การใช้คำ อักษร หรอื พยางค์เพยี งตัวเดยี ว เพอ่ื ช่วยกระตุ้นใหจ้ ำสิ่งอนื่ ๆ ทเี่ ก่ียวกันได้
ศาสตรก์ ารสอน ๑๓๗ ข. วตั ถุประสงคข์ องรูปแบบ รปู แบบนมี้ ีวัตถุประสงคช์ ว่ ยใหผ้ เู้ รยี นจดจำเนอื้ หาสาระท่ีเรยี นรไู้ ด้ดีและไดน้ าน และ ไดเ้ รียนรู้กลวิธีการจำ ซึง่ สามารถนำไปใช้ในการเรยี นรสู้ าระอ่ืน ๆ ไดอ้ ีก ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรปู แบบ ในการเรยี นการสอนเนอ้ื หาสาระใด ๆ ผู้สอนสามารถช่วยใหผ้ เู้ รียนจดจำเน้อื หาสาระนัน้ ได้ดีและไดน้ านโดยดำเนินการดังนี้ ขนั้ ท่ี ๑ การสงั เกตหรือศกึ ษาสาระอย่างตัง้ ใจ ผู้สอนชว่ ยให้ผู้เรยี นตระหนกั รู้ในสาระทเ่ี รยี น โดยการใชเ้ ทคนคิ ตา่ ง ๆ เชน่ ให้ อา่ นเอกสารแล้วขดี เสน้ ใต้คำ/ประเด็นท่สี ำคัญ ให้ตง้ั คำถามจากเร่อื งท่ีอา่ น ให้หาคำตอบของคำถามตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ ขนั้ ท่ี ๒ การสรา้ งความเชื่อมโยง เมื่อผ้เู รยี นได้ศกึ ษาสาระที่ต้องการเรยี นรูแ้ ลว้ ใหผ้ ้เู รยี นเชื่อมโยงเน้ือหาส่วนตา่ ง ๆที่ตอ้ งการจดจำกับส่ิงทต่ี นคุ้นเคย เช่น กับคำ ภาพ หรอื ความคดิ ต่าง ๆ (ตัวอยา่ งเชน่ เดก็ จำไม่ได้วา่ ค่าย บางระจนั อยจู่ ังหวดั อะไร จงึ โยงความคดิ ว่า ชาวบางระจนั เปน็ คนกล้าหาญ สัตว์ท่ีถือว่าเกง่ กลา้ คือสงิ โต บางระจนั จึงอยทู่ จ่ี ังหวดั สงิ ห์บุรี) หรือให้หาหรอื คดิ คำสำคัญ ที่สามารถกระตนุ้ ความจำในขอ้ มลู อ่นื ๆ ท่ีเกีย่ วข้องกนั เช่น สตู ร ๔ M หรอื ทดแทนคำท่ีไม่คุน้ ด้วย คำ ภาพ หรือความหมายอน่ื หรือการใช้การ เชอื่ มโยงความคิดเข้าดว้ ยกนั ขนั้ ที่ ๓ การใชจ้ ินตนาการ เพ่อื ใหจ้ ดจำสาระไดด้ ีข้ึน ให้ผูเ้ รยี นใช้เทคนคิ การเชอื่ มโยงสาระต่าง ๆ ให้เห็น เป็นภาพทน่ี า่ ขบขนั เกนิ ความเป็นจรงิ ขน้ั ที่ ๔ การฝกึ ใช้เทคนิคตา่ ง ๆ ท่ีทำไว้ข้างตน้ ในการทบทวนความรแู้ ละเนื้อหาสาระ ตา่ งๆ จนกระทงั่ จดจำไดผ้ ลที่ผ้เู รียนจะไดร้ บั จากการเรยี นตามรูปแบบ การเรยี นโดยใช้เทคนคิ ช่วยความจำตา่ ง ๆ ของรปู แบบ นอกจากจะชว่ ยใหผ้ ูเ้ รียน สามารถจดจำเนื้อหาสาระต่างๆ ทเ่ี รียนได้ดีและได้นานแล้ว ยงั ช่วยให้ผ้เู รยี นเกดิ การเรียนรกู้ ลวิธกี ารจำ ซ่งึ สามารถนำไปใช้ในการเรียนรู้สาระอ่นื ๆ ได้อีกมาก ๑.๕ รูปแบบการเรียนการสอนโดยใชผ้ งั กราฟิก (Graphic Organizer Instructional Model) ก. ทฤษฎี/หลกั การ/แนวคดิ ของรูปแบบ กระบวนการเรียนร้เู กิดข้นึ ไดจ้ ากองค์ประกอบสำคัญ ๓ สว่ นด้วยกันได้แก่ ความจำข้อมลู กระบวนการทางปัญญา และเมตาคอคนิชั่น ความจำข้อมูลประกอบด้วย ความจำจากการรู้สึกสัมผัส(sensory memory) ซึ่งจะเก็บข้อมูลไว้เพียงประมาณ ๑ วินาทีเท่านั้น ความจำระยะส้ัน(short-term memory) หรือ ความจำปฏิบัติการ(working memory) ซึ่งเป็นความจำที่เกิดขึ้นหลังจากการตีความสิ่งเร้าทีร่ ับรมู้ าแล้ว ซ่งึ จะ เก็บข้อมูลไว้ได้ช่ัวคราวประมาณ ๒๐ วินาที และทำหน้าที่ในการคิด ส่วนความจำระยะยาว (long- term memory) เป็นความจำที่มีความคงทน มีความจุไม่จำกัดสามารถคงอยู่เป็นเวลานาน เมื่อต้องการใช้จะ สามารถเรียกคืนได้ ส่ิงที่อยู่ในความจำระยะยาวมี ๒ ลักษณะ คือ ความจำเหตุการณ์ (episodic memory) และความจำความหมาย(semantic memory) เก่ียวกับข้อเท็จจริง มโนทัศน์ กฎ หลักการต่าง ๆ องค์ประกอบด้านความจำข้อมลู น้ี จะมีประสิทธิภาพมากนอ้ ยเพยี งใด ขนึ้ กบั กระบวนการทางปัญญาของบคุ คล นนั้ ซ่งึ ประกอบดว้ ย
ศาสตร์การสอน ๑๓๘ ๑) การใส่ใจ หากบุคคลมีความใสใ่ จในข้อมลู ที่รบั เข้ามาทางการสัมผัส ข้อมลู น้นั กจ็ ะถูก นำเขา้ ไปสู่ความจำระยะส้ันต่อไป หากไม่ได้รบั การใส่ใจ ข้อมูลน้นั กจ็ ะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ๒) การรับรู้ เมือ่ บคุ คลใส่ใจในข้อมูลใดทีร่ ับเขา้ มาทางประสาทสัมผัส บุคคลกจ็ ะรับร้ขู ้อมูล นั้น และนำข้อมูลน้ีเข้าสู่ความจำระยะส้ันต่อไป ข้อมูลท่ีรับรู้นี้จะเป็นความจริงตามการรับรู้ของบุคคลน้ัน ซ่ึง อาจไมใ่ ช่ความจรงิ เชงิ ปรนัย เน่ืองจากเป็นความจริงท่ผี ่านการตคี วามจากบุคคลน้ันมาแลว้ ๓) การทำซำ้ หากบุคคลมีกระบวนการรกั ษาข้อมลู โดยการทบทวนซ้ำแลว้ ซ้ำอกี ข้อมูลนน้ั กจ็ ะยังคงถูกเก็บรักษาไว้ในความจำปฏบิ ัตกิ าร ๔) การเขา้ รหัส หากบคุ คลมกี ระบวนการสร้างตวั แทนทางความคดิ เกยี่ วกบั ข้อมลู นั้นโดยมี การนำข้อมลู นัน้ เข้าสู่ความจำระยะยาวและเช่ือมโยงเข้ากบั สง่ิ ที่มีอยู่แล้วในความจำระยะยาว การเรียนรอู้ ยา่ ง มีความหมายกจ็ ะเกิดขนึ้ ๕) การเรียกคืนการเรียกคืนข้อมูลที่เก็บไว้ในความจำระยะยาวเพ่ือนำออกมาใช้มี ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการเข้ารหัส หากการเข้ารหัสทำให้เกิดการเก็บความจำได้ดีมีประสิทธิภาพ การ เรยี กคนื ก็จะมปี ระสทิ ธภิ าพตามไปดว้ ย ด้วยหลักการดังกล่าว การเรยี นรู้จึงเป็นการสร้างความรู้ของบุคคล ซ่ึงต้องใช้กระบวนการเรียนรอู้ ย่าง มีความหมาย ๔ ข้ันตอนได้แก่ (๑) การเลือกรับข้อมูลที่สัมพันธ์กัน (๒) การจัดระเบียบข้อมูลเข้าสู่โครงสร้าง (๓) การบูรณาการข้อมูลเดิม และ (๔) การเข้ารหัสข้อมูลการเรียนรู้เพื่อให้คงอยู่ในความจำระยะยาว และ สามารถเรียกคนื มาใชไ้ ด้โดยง่าย ด้วยเหตนุ ี้ การให้ผู้เรียนมีโอกาสเชือ่ มโยงความร้ใู หมก่ ับโครงสร้างความรเู้ ดิม ๆ และนำความรู้ความเข้าใจมาเข้ารหัสหรือสร้างตัวแทนทางความคิดที่มีความหมายต่อตนเองข้ึน จะส่งผลให้ การเรียนรูน้ ั้นคงอยู่ในความจำระยะยาวและสามารถเรยี กคนื มาใช้ได้ ข. วตั ถุประสงค์ของรูปแบบ เพ่ือช่วยให้ผ้เู รียนได้เชอ่ื มโยงความร้ใู หม่กับความร้เู ดิมและสรา้ งความหมายและความ เข้าใจในเนื้อหาสาระหรือข้อมูลทีเ่ รยี นรู้ และจดั ระเบยี บข้อมูลทีเ่ รยี นร้ดู ว้ ยผงั กราฟิก ซง่ึ จะชว่ ยให้งา่ ยแก่การ จดจำ ค. กระบวนการเรียนการสอนของรปู แบบ รูปแบบการเรยี นการสอนโดยใช้ผงั กราฟิก มีหลายรูปแบบ ในที่นจ้ี ะนำเสนอไว้ ๓ รปู แบบ ดังนี้ ๑) รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ผังกราฟิกของ โจนส์และคณะ๔ ประกอบด้วยข้ันตอน สำคัญ ๆ ๕ ขนั้ ตอนดงั นี้ ๑.๑) ผู้สอนเสนอตัวอย่างการจัดข้อมูลด้วยผังกราฟิกที่เหมาะสมกับเน้ือหาและ วตั ถุประสงค์ ๑.๒) ผ้สู อนแสดงวิธีสร้างผังกราฟิก ๑.๓) ผูส้ อนช้ีแจงเหตผุ ลของการใชผ้ ังกราฟกิ นัน้ และอธิบายวิธกี ารใช้ ๑.๔) ผ้เู รยี นฝกึ การสร้างและใช้ผังกราฟิกในการทำความเข้าใจเน้ือหาเปน็ รายบุคคล ๑.๕) ผเู้ รยี นเขา้ กลุม่ และนำเสนอผังกราฟิกของตนแลกเปลี่ยนกนั ๒) รปู แบบการเรียนการสอนโดยใช้ผงั กราฟิกของคล้าก๕ ประกอบด้วยข้ันตอนการเรียนการ สอนท่สี ำคัญ ๆ ดงั น้ี ๔ Jones, M.G., & Farquhar, J.D. User interface design for web-based instruction. In Badrul, H. K. (Ed.), Web-based instruction. Englewood cliffs, NJ: Educational Technologies Publications. (1997).P.20-25.
ศาสตร์การสอน ๑๓๙ ก. ข้นั กอ่ นสอน ๒.๑) ผสู้ อนพิจารณาลกั ษณะของเนื้อหาทจี่ ะสอนสาระน้ันและวตั ถุประสงค์ของ การสอนเน้ือหาสาระน้นั ๒.๒) ผู้สอนพจิ ารณาและคิดหาผังกราฟิกหรอื วิธหี รอื ระบบในการจัดระเบียบ เนอื้ หาสาระนน้ั ๆ ๒.๓) ผสู้ อนเลือกผงั กราฟิก หรือวิธีการจัดระเบียบเนือ้ หาทีเ่ หมาะสมทส่ี ดุ ๒.๔) ผู้สอนคาดคะเนปญั หาทอ่ี าจจะเกดิ ขึน้ แก่ผู้เรยี นในการใชผ้ ังกราฟิกน้ัน ข. ขั้นสอน ๒.๑) ผสู้ อนเสนอผังกราฟกิ ทเ่ี หมาะสมกบั ลกั ษณะของเนื้อหาสาระแกผ่ เู้ รยี น ๒.๒) ผเู้ รียนทำความเข้าใจเนอื้ หาสาระและนำเน้ือหาสาระใส่ลงในผงั กราฟิกตาม ความเข้าใจของตน ๒.๓) ผสู้ อนซกั ถาม แก้ไขความเขา้ ใจผดิ ของผ้เู รียน หรอื ขยายความเพิ่มเตมิ ๒.๔) ผ้สู อนกระตุ้นให้ผ้เู รยี นคดิ เพ่มิ เตมิ โดยนำเสนอปัญหาท่เี กี่ยวข้องกบั เนื้อหา แลว้ ใหผ้ ู้เรยี นใชผ้ งั กราฟกิ เป็นกรอบในการคิดแก้ปัญหา ๒.๕) ผู้สอนใหข้ อ้ มลู ป้อนกลับแกผ่ ู้เรียน ๓) รูปแบบการเรยี นการสอนโดยใช้ผังกราฟิกของจอยส์และคณะ๖ จอยสแ์ ละคณะ นำรูปแบบการเรียนการสอนของคล้ากมาปรบั ใชโ้ ดยเพิ่มเติมขน้ั ตอนเปน็ ๘ ขั้น ดังนี้ ๓.๑) ผสู้ อนชแี้ จงจดุ ม่งุ หมายของบทเรียน ๓.๒) ผสู้ อนนำเสนอผังกราฟิกทเี่ หมาะสมกับเนือ้ หา ๓.๓) ผูส้ อนกระตุน้ ให้ผูเ้ รียนระลึกถึงความรู้เดมิ เพื่อเตรียมสรา้ งความสัมพันธ์กับ ความรใู้ หม่ ๓.๔) ผสู้ อนเสนอเน้อื หาสาระท่ีตอ้ งการให้ผ้เู รียนได้เรยี นรู้ ๓.๕) ผูส้ อนเชื่อมโยงเน้ือหาสาระกับผงั กราฟิก และใหผ้ ู้เรยี นนำเน้ือหาสาระใสล่ งใน ผังกราฟิกตามความเขา้ ใจของตน ๓.๖) ผู้สอนใหค้ วามรู้เชิงกระบวนการโดยชี้แจงเหตผุ ลในการใช้ผังกราฟิกและวิธใี ช้ ผงั กราฟิก ๓.๗) ผสู้ อนและผูเ้ รยี นอภปิ รายผลการใช้ผงั กราฟิกกบั เนื้อหา ๓.๘) ผ้สู อนซกั ถาม ปรับความเขา้ ใจและขยายความจนผเู้ รียนเกดิ ความเขา้ ใจ กระจา่ งชดั ๔) รปู แบบการเรยี นการสอนโดยใชผ้ งั กราฟิกของสุปรียา ตันสกุล สปุ รยี า ตนั สกุล๗ ได้ศกึ ษาวจิ ัยเร่อื ง ” ผลของการใชร้ ปู แบบการสอนแบบการจัดข้อมูล ๕ Clark, C.R., & Mayer, E.R. e-Learning and the science of instruction. San Francisco: John Wiley and Son. 2003.p.524-526. ๖ Jones, อา้ งแลว้ เรื่องเดยี วกนั ,1992.p.159-161. ๗ สปุ รยี า ตันสกลุ . ผลของการใชร้ ปู แบบการสอนแบบการจัดขอ้ มลู ด้วยแผนภาพท่มี ีต่อสมั ฤทธผิ ลทางการเรยี น และความสามารถทางการแก้ปญั หา, วิทยานพิ นธ์ ครศุ าสตรดษุ ฎบี ัณฑติ สาขาวิชาจิตวทิ ยาการศกึ ษา จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . ๒๕๔๐ หน้า ๔๐.
ศาสตร์การสอน ๑๔๐ ด้วยแผนภาพ (Graphic Organizers) ที่มีต่อสัมฤทธ์ิผลทางการเรียนและความสามารถทางการแก้ปัญหาของ นักศกึ ษาระดับปริญญาตรีช้ันปีท่ี ๒ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล” ผลการวิจัยพบว่า นกั ศกึ ษา กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉล่ียสัมฤทธ์ิผลทางการเรียนและความสามารถทางการแก้ปัญหาสูงกว่านักศึกษากลุ่ม ควบคมุ อยา่ งมีนยั สำคัญทางสถิติทร่ี ะดับ .๐๐๑ รูปแบบการเรียนการสอนดังกลา่ วประกอบดว้ ยขนั้ ตอนสำคญั ๗ ข้นั ตอนดังนี้ ๔.๑) การทบทวนความรูเ้ ดมิ ๔.๒) การชแ้ี จงวตั ถุประสงค์ ลกั ษณะของบทเรียน ความรู้ท่คี าดหวังให้เกิดแก่ผู้เรียน ๔.๓) การกระตุ้นให้ผเู้ รียนตระหนักถึงความรูเ้ ดิม เพ่ือเตรียมสร้างความสัมพันธ์กบั ส่ิงทีเ่ รียนและการจัดเนื้อหาสาระดว้ ยแผนภาพ ๔.๔) การนำเสนอตวั อย่างการจัดเนอ้ื หาสาระดว้ ยแผนภาพ ทเี่ หมาะกบั ลักษณะของ เนื้อหาความรู้ที่คาดหวัง ๔.๕) ผเู้ รยี นรายบุคคลทำความเขา้ ใจเนื้อหาและฝึกใชแ้ ผนภาพ ๔.๖) การนำเสนอปัญหาใหผ้ ู้เรยี นใชแ้ ผนภาพเปน็ กรอบในการแก้ปัญหา ๔.๗) การทำความเขา้ ใจให้กระจา่ งชัด ง. ผลท่ีผูเ้ รยี นจะไดร้ บั จากการเรยี นตามรูปแบบ ผ้เู รยี นจะมคี วามเขา้ ใจในเน้ือหาสาระทเ่ี รียนและจดจำสง่ิ ที่เรยี นรู้ไดด้ ี นอกจากน้ัน ยงั ไดเ้ รียนรกู้ ารใช้ผงั กราฟิกในการเรยี นรตู้ ่าง ๆ ซงึ่ ผู้เรยี นสามารถนำไปใชใ้ นการเรียนรเู้ น้ือหาสาระอืน่ ๆ ได้ อกี มาก ๗.๒.๒ รปู แบบการเรียนการสอนทีเ่ นน้ การพัฒนาด้านจติ พิสยั (Affective Domain) รูปแบบการเรียนการสอนในหมวดนี้เป็นรูปแบบท่ีมุ่งช่วยพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้สึก เจตคติ ค่านิยม คุณธรรม และจริยธรรมที่พงึ ประสงค์ ซึ่งเป็นเร่ืองท่ียากแกก่ ารพัฒนาหรือปลูกฝัง การจัดการเรยี นการ สอนตามรูปแบบการสอนที่เพียงให้เกิดความรู้ความเข้าใจ มักไม่เพียงพอต่อการให้ผู้เรียนเกิดเจตคติท่ีดีได้ จำเปน็ ตอ้ งอาศยั หลักการและวิธกี ารอน่ื ๆ เพ่ิมเติม รูปแบบทค่ี ดั สรรมานำเสนอในท่นี ม้ี ี ๔ รปู แบบดังน้ี ๒.๑ รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการพัฒนาด้านจิตพสิ ัยของบลมู ๒.๒ รูปแบบการเรียนการสอนโดยการซักค้าน ๒.๓ รปู แบบการเรียนการสอนโดยใชบ้ ทบาทสมมติ ๒.๑ รปู แบบการเรยี นการสอนตามแนวคดิ การพฒั นาดา้ นจิตพิสยั ของบลมู (Instructional Model Based on Bloom’s Affective Domain) ก. ทฤษฎ/ี หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ บลูม๘ ได้จำแนกจุดมุงหมายทางการศึกษาออกเป็น ๓ ด้าน คือด้านความรู้ (cognitive domain) ด้านเจตคติหรือความรู้สึก (affective domain) และด้านทักษะ (psycho-motor domain) ซึ่งใน ดา้ นเจตคตหิ รือความร้สู ึกนน้ั บลมู ได้จดั ขั้นการเรยี นรไู้ ว้ ๕ ขนั้ ประกอบด้วย ๑) ขั้นการรับรู้ ซงึ่ ก็หมายถึง การทผ่ี เู้ รยี นได้รับรู้ค่านยิ มที่ต้องการจะปลกู ฝังในตัวผ้เู รียน ๘ Bloom, B. Self-regulation of action and affect. In Roy F. Baumeister and Kathleen D. Vohs. Handbook of Self-Regulation. New York: The Guilford Press. 1976.p.50.
ศาสตร์การสอน ๑๔๑ ๒) ขั้นการตอบสนอง ได้แก่การท่ีผู้เรียนได้รับรู้และเกิดความสนใจในค่านิยมนั้น แล้วมีโอกาสได้ ตอบสนองในลักษณะใดลักษณะหน่ึง ๓) ขั้นการเหน็ คุณคา่ เปน็ ข้ันทีผ่ ูเ้ รียนได้รับประสบการณ์เก่ียวกบั ค่านยิ มนัน้ แล้วเกดิ เหน็ คณุ ค่าของ ค่านยิ มนน้ั ทำใหผ้ ้เู รียนมีเจตคติท่ีดีต่อค่านยิ มนนั้ ๔) ข้ันการจัดระบบ เปน็ ข้นั ที่ผเู้ รียนรบั ค่านยิ มทตี่ นเห็นคณุ ค่านั้นเขา้ มาอยู่ในระบบคา่ นยิ มของตน ๕) ข้ันการสร้างลักษณะนิสัย เป็นขั้นที่ผู้เรียนปฏิบัติตนตามค่านิยมท่ีรับมาอย่างสม่ำเสมอและทำ จนกระท่ังเป็นนิสัย ถึงแม้ว่าบลูมได้นำเสนอแนวคิดดังกล่าวเพื่อใช้ในการกำหนดวัตถุประสงค์ในการเรียนการ สอนก็ตาม แต่ก็สามารถนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อช่วยปลูกฝังค่านิยมให้แก่ผู้เรียนได้ ข. วตั ถปุ ระสงคข์ องรูปแบบ เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนเกดิ การพัฒนาความรู้สึก/เจตคติ/ค่านิยม/คุณธรรมหรือจริยธรรมท่ี พึงประสงค์ อนั จะนำไปสู่การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมใหเ้ ปน็ ไปตามความต้องการ ค. กระบวนการเรียนการสอนของรปู แบบ การสอนเพื่อปลูกฝังค่านิยมใด ๆ ให้แก่ผู้เรียน สามารถดำเนินการตามลำดับข้ันของ วตั ถปุ ระสงคท์ างดา้ นเจตคติของบลูมได้ดังนี้ ขั้นท่ี ๑ การรบั รูค้ า่ นิยม ผสู้ อนจดั ประสบการณ์หรอื สถานการณท์ ี่ช่วยให้ผู้เรยี นได้รบั รู้คา่ นิยมนนั้ อยา่ งใส่ ใจ เช่น เสนอกรณีตัวอย่างท่ีเป็นประเด็นปัญหาขัดแย้งเก่ียวกับค่านิยมนั้น คำถามท่ีท้าทายความคิดเก่ียวกับ คา่ นยิ มน้ัน เปน็ ต้น ในข้นั นผ้ี สู้ อนควรพยายามกระตุน้ ใหผ้ ้เู รียนเกดิ พฤติกรรมดังน้ี ๑) การรูต้ วั ๒) การเต็มใจรบั รู้ ๓) การควบคมุ การรบั รู้ ข้ันที่ ๒ การตอบสนองต่อคา่ นิยม ผู้สอนจัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนมีโอกาสตอบสนองต่อค่านิยมน้ันในลักษณะใด ลกั ษณะหน่ึง เช่น ให้พูดแสดงความคิดเห็นต่อค่านยิ มน้ัน ให้ลองทำตามค่านิยมนั้น ให้สัมภาษณ์หรอื พูดคุยกับ ผทู้ ่ีมีค่านยิ มน้ัน เปน็ ตน้ ในขน้ั น้ผี ้สู อนควรพยายามกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมดงั น้ี ๑) การยินยอมตอบสนอง ๒) การเต็มใจตอบสนอง ๓) ความพึงพอใจในการตอบสนอง ขนั้ ที่ ๓ การเหน็ คณุ คา่ ของค่านยิ ม ผ้สู อนจดั ประสบการณห์ รอื สถานการณท์ ่ชี ่วยให้ผเู้ รยี นไดเ้ ห็นคณุ คา่ ของคา่ นิยม น้ัน เช่น การให้ลองปฏิบัติตามค่านิยมแล้วได้รับการตอบสนองในทางที่ดี เห็นประโยชน์ท่ีเกิดขึ้นกับตนหรือ บคุ คลอ่ืนทป่ี ฏิบัตติ ามค่านยิ มน้ัน เห็นโทษหรอื ไดร้ ับโทษจากการละเลยไม่ปฏิบัติตามค่านยิ มน้ัน เปน็ ต้น ในข้ัน นผ้ี ู้สอนควรพยายามกระตุน้ ให้ผเู้ รยี นเกดิ พฤตกิ รรมดงั นี้ ๑) การยอมรับในคุณค่านน้ั ๒) การชนื่ ชอบในคุณค่านน้ั ๓) ความผกู พนั ในคุณคา่ นน้ั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249