Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ศาสตร์การสอน (Pedagogy Science)

ศาสตร์การสอน (Pedagogy Science)

Description: วิวัฒนาการของศาสตร์การสอน บริบททางการสอน ปรัชญาการศึกษากับการสอน ทฤษฎีการเรียนรู้กับการสอน หลักการจัดการเรียนการสอนร่วมสมัย ระบบการเรียนการสอน รูปแบบการเรียนการสอน วิธีสอนแบบต่าง ๆ เทคนิคและทักษะการสอน นวัตกรรมด้านการเรียนการสอน

Keywords: การสอน

Search

Read the Text Version

ศาสตร์การสอน ๑๔๒ ขัน้ ท่ี ๔ การจัดระบบคา่ นิยม เมอ่ื ผูเ้ รียนเห็นคุณค่าของค่านิยมและเกดิ เจตคติที่ดีต่อค่านิยมน้ัน และมคี วาม โน้มเอียงที่จะรับค่านิยมนั้นมาใช้ในชีวิตของตนผู้สอนควรกระตุ้นให้ผู้เรียนพิจารณาค่านิยมนั้นกับค่านิยมหรือ คณุ ค่าอ่ืน ๆ ของตน ในขัน้ นผ้ี ูส้ อนควรกระตุ้นใหผ้ เู้ รียนเกิดพฤตกิ รรมสำคญั ดังน้ี ๑) การสร้างมโนทัศนใ์ นคณุ คา่ นน้ั ๒) การจดั ระบบในคุณคา่ น้ัน ขั้นท่ี ๕ การสร้างลักษณะนิสยั ผสู้ อนสง่ เสรมิ ให้ผเู้ รยี นปฏิบัติตนตามคา่ นิยมน้ันอย่างสมำ่ เสมอโดยติดตามผล การปฏิบัติและให้ขอ้ มูลป้อนกลับและการเสริมแรงเป็นระยะ ๆ จนกระท่ังผเู้ รียนสามารถปฏิบัติได้จนเป็นนิสัย ในขน้ั นผี้ สู้ อนควรพยายามกระตุ้นให้ผเู้ รียนเกิดพฤติกรรมดงั นี้ ๑) การมหี ลักยึดในการตัดสินใจ ๒) การปฏิบัตติ ามหลักยดึ น้ันจนเป็นนิสัย ๓) การดำเนนิ การในขน้ั ตอนทงั้ ๕ ไมส่ ามารถทำไดใ้ นระยะเวลาอนั สั้น ต้องอาศยั เวลา โดยเฉพาะในขนั้ ท่ี ๔ และ ๕ ต้องการเวลาในการปฏบิ ัติ ซ่ึงอาจจะมากน้อยแตกต่างกันไปในผู้เรยี นแต่ละคน ง. ผลทีผ่ ูเ้ รยี นจะไดร้ บั จากการเรยี นตามรูปแบบ ผู้เรยี นจะได้รบั การปลกู ฝงั ค่านิยมท่ีพงึ ประสงคจ์ นถึงระดบั ท่ีสามารถปฏบิ ัติไดจ้ นเปน็ นสิ ัย นอกจากน้ันผเู้ รียนยังได้เรยี นรูก้ ระบวนการในการปลูกฝงั คา่ นิยมให้เกิดขนึ้ ซ่ึงผูเ้ รียนสามารถนำไป ปลูกฝังคา่ นิยมอ่ืน ๆใหแ้ ก่ตนเองหรอื ผู้อื่นต่อไป ๒.๒ รูปแบบการเรียนการสอนโดยการซักค้าน (Jurisprudential Model) ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ จอยส์ และ วีล๙ พัฒนารูปแบบน้ีข้ึนจากแนวคิดของโอลิเวอร์และ เชเวอร์ (Oliver and Shaver) เกี่ยวกับการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดในประเด็นปัญหาขัดแย้งต่าง ๆ ซ่ึงมีส่วนเก่ียวพันกับเรื่อง ค่านิยมที่แตกต่างกัน ปัญหาดังกล่าวอาจเป็นปัญหาทางสังคม หรือปัญหาส่วนตัว ท่ียากแก่การตัดสินใจ การ ตดั สินใจอยา่ งชาญฉลาด กค็ ือการสามารถเลือกทางท่ีเปน็ ประโยชน์มากท่ีสุด โดยกระทบต่อสิ่งอน่ื ๆ น้อยท่ีสุด ผู้เรียนควรได้รับการฝึกฝนให้รู้จักวิเคราะห์ปัญหา ประมวลข้อมูล ตัดสินใจเลือกทางเลือกอย่างมีเหตุผล และ แสดงจุดยืนของตนได้ ผู้สอนสามารถใช้กระบวนการซักค้านอันเป็นกระบวนการท่ีใช้กันในศาล มาทดสอบ ผู้เรียนว่าจุดยืนที่ตนแสดงนั้นเป็นจุดยืนท่ีแท้จริงของตนหรือไม่ โดยการใช้คำถามซักค้านที่ช่วยให้ผู้เรียน ยอ้ นกลับไปพิจารณาความคิดเหน็ อันเป็นจุดยืนของตน ซ่ึงอาจทำให้ผู้เรียนปรับเปล่ียนความคิดเห็นหรือจุดยืน ของตน หรือยนื ยันจดุ ยืนของตนอยา่ งมั่นใจขึน้ ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ รูปแบบน้ีเหมาะสำหรับสอนสาระที่เก่ียวข้องกับประเด็นปัญหาขัดแย้งต่าง ๆ ซ่ึงยากแก่ การตัดสินใจ การสอนตามรูปแบบนี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการในการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด รวมทัง้ วธิ กี ารทำความกระจา่ งในความคดิ ของตน ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบ ขนั้ ท่ี ๑ นำเสนอกรณปี ัญหา ๙ ทิศนา แขมณ.ี ๒๕๔๕ หนา้ ๒๓๘ – ๒๔๐ ; อ้างองิ จาก Joyce & Weil , 1996 : 106 - 128.

ศาสตรก์ ารสอน ๑๔๓ ประเด็นปัญหาท่ีนำเสนอควรเป็นประเด็นท่มี ที างออกให้คดิ ไดห้ ลายคำตอบ ควรเป็น ประโยคที่มีคำว่า “ควรจะ..” เช่น ควรมีกฎหมายให้มีการทำแท้งได้อย่างเสรีหรือไม่ ควรมีการจดทะเบียน โสเภณีหรือไม่ ควรออกกฎหมายห้ามคนสูบบุหร่ีหรือไม่ ? ควรอนุญาตให้นักเรียนประกวดนางงามหรือไม่ อยา่ งไรกต็ ามควรหลีกเลี่ยงประเดน็ ปัญหาทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับความเชอ่ื ทางศาสนาที่แตกต่างกัน วิธกี ารนำเสนออาจกระทำได้หลายวิธี เช่น การอา่ นเร่ืองให้ฟงั การให้ดูภาพยนตร์ การเล่าประวัตคิ วามเปน็ มา ครตู อ้ งระลึกเสมอวา่ การนำเสนอปัญหานั้นต้องทำให้นักเรียนไดร้ ูข้ ้อเทจ็ จรงิ ท่ี เกยี่ วขอ้ งกับปัญหา ร้วู า่ ใครทำอะไร เม่ือใด เพราะเหตุใด และมีแง่มุมของปญั หาที่ขัดแย้งกนั อยา่ งไร ใหผ้ เู้ รียน ประมวลข้อเทจ็ จริงจากกรณีปญั หาและวิเคราะหห์ าคา่ นิยมทเ่ี ก่ยี วข้องกัน ข้ันท่ี ๒ ใหผ้ ู้เรยี นแสดงจุดยืนของตนเอง ผสู้ อนใช้คำถามทม่ี ีลกั ษณะดังตัวอย่างต่อไปน้ี ๓.๑) ถา้ มีจุดยนื อืน่ ๆ ใหเ้ ลือกอีก ผเู้ รียนยังยืนยนั ท่จี ะเลือกจดุ ยืนเดิมหรือไม่ เพราะอะไร ๓.๒) หากสถานการณ์แปรเปลยี่ นไปผู้เรยี นยงั จะยืนยันท่จี ะเลือกจดุ ยนื เดิมนี้ หรือไม่ เพราะอะไร ๓.๓) ถา้ ผู้เรียนตอ้ งเผชญิ กับสถานการณ์อน่ื ๆ จะยังยนื ยันจดุ ยืนนหี้ รือไม่ ๓.๔) ผเู้ รยี นมเี หตผุ ลอะไรที่ยดึ ม่นั กับจดุ ยืนนั้น จดุ ยืนนั้นเหมาะสมกบั สถานการณ์ทีเ่ ป็นปัญหาน้นั หรอื ไม่ ๓.๕) เหตผุ ลท่ียึดม่ันกบั จดุ ยนื น้ันเปน็ เหตุผลที่เหมาะกับสถานการณ์ที่เปน็ อยู่ หรือไม่ ๓.๖) ผเู้ รยี นมีข้อมลู เพยี งพอที่จะสนับสนุนจุดยนื นั้นหรือไม่ ๓.๗) ขอ้ มลู ทีผ่ ้เู รียนใช้เปน็ พื้นฐานของจดุ ยนื นน้ั ถูกตอ้ งหรือไม่ ๓.๘) ถา้ ยดึ จดุ ยนื นี้แลว้ ผลท่ีเกิดข้นึ ตามมาคืออะไร ๓.๙) เมอื่ รู้ผลที่เกิดตามมาแลว้ ผเู้ รียนยงั ยนื ยนั ทจี่ ะยดึ ถือจุดยนื นอ้ี ีกหรือไม่ ขนั้ ที่ ๔ ผเู้ รียนทบทวนในคา่ นยิ มของตนเอง ผสู้ อนเปดิ โอกาสใหผ้ ูเ้ รยี นพจิ ารณาปรับเปล่ยี น หรือยืนยนั ในค่านิยมท่ยี ึดถอื ขั้นท่ี ๕ ผู้เรียนตรวจสอบและยืนยันจุดยืนใหม่/เก่าของตนอีกคร้ัง และผู้เรียนพยายามหา ข้อเท็จจริงต่าง ๆ มาสนบั สนนุ คา่ นิยมของตนเพือ่ ยืนยันวา่ สงิ่ ท่ตี นยึดถืออยู่นน้ั เป็นค่านยิ มทีแ่ ทจ้ รงิ ของตน ง. ผลทผี่ ูเ้ รียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ ผเู้ รยี นจะเกดิ ความกระจ่างในความคดิ ของตนเองเก่ียวกับค่านิยม และเกิดความ เขา้ ใจในตนเอง รวมทง้ั ผู้สอนได้เรยี นรูแ้ ละเข้าใจความคิดของผเู้ รยี น ชว่ ยให้ผ้เู รยี นมีการมองโลกในแง่มุมกว้าง ขนึ้ นอกจากน้ียังช่วยพัฒนาความสามารถในการตดั สนิ ใจของผเู้ รยี นด้วย ๒.๓ รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้บทบาทสมมติ (Role Playing Model) ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรปู แบบ รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้บทบาทสมมติ พัฒนาขึ้นโดย แชฟเทลและแชฟเทล๑๐ ซ่ึงให้ความสำคัญกับปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของบุคคล เขากล่าวว่า บุคคลสามารถเรียนรู้เก่ียวกับตนเองได้จาก การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และความรู้สึกนึกคิดของบคุ คลก็เป็นผลมาจากมีการปะทะสัมพันธก์ ับส่ิงแวดล้อมรอบ ๑๐ ทิศนา แขมณ.ี ๒๕๔๕ หนา้ ๒๔๐ -๒๔๑; อา้ งองิ จาก Shaftel and Shaftel, 1997 : 67 – 71.

ศาสตร์การสอน ๑๔๔ ข้าง และได้ส่ังสมไว้ภายในลึก ๆ โดยที่บุคคลอาจไม่รู้ตัวเลยก็ได้ การสวมบทบาทสมมติเป็นวิธีการที่ช่วยให้ บุคคลได้แสดงความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ท่ีอยู่ภายในออกมา ทำให้สิ่งท่ีซ่อนเร้นอยู่เปิดเผยออกมา และนำมา ศึกษาทำความเข้าใจกันได้ ช่วยให้บุคคลเกิดการเรียนรู้เก่ียวกับตนเอง เกิดความเข้าใจในตนเอง ใน ขณะเดียวกัน การท่ีบุคคลสวมบทบาทของผู้อื่น ก็สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในความคิด ค่านิยม และพฤติกรรมของผูอ้ ่นื ไดเ้ ชน่ เดียวกัน ข. วัตถปุ ระสงค์ของรูปแบบ เพอื่ ชว่ ยให้ผเู้ รยี นเกิดความเข้าใจในตนเอง เขา้ ใจในความรสู้ ึกและพฤติกรรมของผู้อืน่ และเกิดการปรบั เปลย่ี นเจตคติ ค่านิยม และพฤติกรรมของตนใหเ้ ป็นไปในทางทเี่ หมาะสม ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ข้ันที่ ๑ นำเสนอสถานการณ์ปัญหาและบทบาทสมมติ ผู้สอนนำเสนอสถานการณ์ ปัญหา และบทบาทสมมติ ท่ีมีลักษณะใกล้เคียงกับความเป็นจริง และมีระดับยากง่ายเหมาะสมกับวัยและ ความสามารถของผู้เรียน บทบาทสมมติที่กำหนด จะมีรายละเอียดมากน้อยเพียงใดข้ึนอยู่กับวัตถุประสงค์ใน การเรียนการสอน ถ้าต้องการให้ผู้เรียนเปิดเผยความคิด ความรู้สึกของตนมาก บทบาทท่ีให้ควรมีลักษณะเปิด กว้าง กำหนดรายละเอียดให้น้อย แต่ถ้าต้องการจะเจาะประเด็นเฉพาะอย่าง บทบาทสมมติอาจกำหนด รายละเอียด ควบคมุ การแสดงของผู้เรยี นให้มุง่ ไปท่ีประเด็นเฉพาะนัน้ ข้ันที่ ๒ เลือกผู้แสดง ผู้สอนและผู้เรียนจะร่วมกันเลือกผู้แสดง หรือให้ผู้เรียน อาสาสมัครก็ได้ แลว้ แต่ความเหมาะสมกบั วตั ถปุ ระสงค์ และการวนิ ิจฉยั ของผสู้ อน ขั้นท่ี ๓ จดั ฉาก การจัดฉากนน้ั จดั ไดต้ ามความพรอ้ มและสภาพการณท์ ีเ่ ปน็ อยู่ ขั้นที่ ๔ เตรียมผู้สังเกตการณ์ ก่อนการแสดงผู้สอนจะต้องเตรียมผู้ชมว่า ควรสังเกต อะไร และปฏบิ ตั ิตัวอย่างไรเพ่ือใหเ้ กิดการเรียนรทู้ ีด่ ี ข้นั ท่ี ๕ แสดง ผู้แสดงมีความสำคญั เปน็ อยา่ งย่งิ ในการทจ่ี ะทำให้ผ้ชู มเขา้ ใจเรือ่ งราว หรือเหตุการณ์ ผู้แสดงจะต้องแสดงออกตามบทบาทท่ีตนไดร้ ับให้ดีท่ีสดุ ข้ันที่ ๖ อภิปรายและประเมินผล การอภิปรายผลส่วนใหญ่จะแบ่งเป็นกลุ่มย่อย การอภิปรายจะเป็นการแสดงความคดิ เห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ การแสดงออกของผู้แสดง และควรเปิดโอกาสให้ ผู้แสดงไดแ้ สดงความคดิ เห็นดว้ ย ข้ันที่ ๗ แสดงเพิ่มเติม ควรมีการแสดงเพิ่มเติมหากผู้เรียนเสนอแนะทางออกอื่น นอกเหนือจากทไี่ ดแ้ สดงไปแล้ว ขั้นท่ี ๘ อภิปรายและประเมินผลอีกคร้ัง หลังจากการแสดงเพิ่มเติม กลุ่มควร อภิปราย และประเมนิ ผลเกย่ี วกับการแสดงครั้งใหมด่ ว้ ย ข้ันที่ ๙ แลกเปลี่ยนประสบการณ์และสรุปการเรียนรู้ แต่ละกลุ่มสรุปผลการ อภิปรายของกลุ่มตน และหาข้อสรุปรวม หรือการเรียนรู้ท่ีได้รับเกี่ยวกับความรู้สึก ความคิดเห็น ค่านิยม คณุ ธรรม จริยธรรม และพฤตกิ รรมของบุคคล ง. ผลทผี่ เู้ รยี นจะได้รับจากการเรียนรตู้ ามรปู แบบ ผู้เรียนจะเกดิ ความเขา้ ใจทีล่ กึ ซ้ึงเก่ียวกับความรู้สึกนึกคดิ ความคิดเห็น คา่ นิยม คณุ ธรรม จริยธรรม ของผู้อน่ื รวมท้งั มีความเขา้ ใจในตนเองมากขึ้น ๗.๒.๓ รูปแบบการเรียนการสอนท่เี น้นการพัฒนาด้านทักษะพสิ ยั (Psycho-Motor Domain)

ศาสตร์การสอน ๑๔๕ รปู แบบการเรยี นการสอนในหมวดนี้ เป็นรปู แบบทม่ี ุ่งชว่ ยพัฒนาความสามารถของผูเ้ รียนใน ดา้ นการปฏิบตั ิ การกระทำ หรือการแสดงออกตา่ ง ๆ ซ่ึงจำเป็นตอ้ งใชห้ ลกั การ วิธีการ ที่แตกต่างไปจากการ พัฒนาทางด้านจิตพสิ ัยหรือพุทธพิ ิสยั รูปแบบทีส่ ามารถช่วยให้ผู้เรียนเกดิ การพัฒนาทางดา้ นนี้ ทสี่ ำคัญ ๆ ซ่งึ จะนำเสนอในท่นี ี้มี ๓ รปู แบบดังน้ี ๓.๑ รปู แบบการเรยี นการสอนตามแนวคิดการพัฒนาทักษะปฏบิ ตั ิของซมิ พ์ซนั (Simpson) ๓.๒ รูปแบบการเรยี นการสอนทกั ษะปฏบิ ัติของแฮรโ์ รว์(Harrow) ๓.๓ รปู แบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏิบัตขิ องเดวสี ์ (Davies) ๓.๑ รูปแบบการเรยี นการสอนตามแนวคดิ การพัฒนาทกั ษะปฏบิ ัตขิ องซมิ พ์ซัน (Instructional Model Based on Simpson’s Processes for psycho-Motor Skill Development) ก. ทฤษฎี/หลกั การ/แนวคิดของรูปแบบ ซิมพ์ซัน๑๑ กล่าวว่า ทักษะเป็นเรื่องท่ีมีความเก่ียวข้องกับพัฒนาการทางกายของ ผเู้ รยี น เป็นความสามารถในการประสานการทำงานของกล้ามเน้ือหรือร่างกาย ในการทำงานที่มีความซับซ้อน และต้องอาศัยความสามารถในการใช้กล้ามเน้ือหลาย ๆ ส่วน การทำงานดังกล่าวเกิดข้ึนได้จากการส่ังงานของ สมอง ซึ่งต้องมีความสัมพันธ์กับความรู้สึกที่เกิดข้ึน ทักษะปฏิบัตินี้สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน ซึ่งหาก ไดร้ บั การฝกึ ฝนท่ีดีแลว้ จะเกิดความถกู ต้อง ความคล่องแคล่ว ความเช่ียวชาญชำนาญการ และความคงทน ผล ของพฤติกรรมหรือการกระทำสามารถสังเกตได้จากความรวดเร็ว ความแม่นยำ ความเร็วหรือความราบร่ืนใน การจดั การ ข. วตั ถปุ ระสงคข์ องรูปแบบ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถปฏิบัติหรือทำงานที่ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวหรือการ ประสานงานของกล้ามเน้อื ทงั้ หลายได้อยา่ งดี มคี วามถกู ต้องและมีความชำนาญ ค. กระบวนการเรียนการสอนของรปู แบบ ข้ันท่ี ๑ ขั้นการรับรู้ เป็นข้ันการให้ผู้เรียนรับรู้ในส่ิงที่จะทำ โดยการให้ผู้เรียนสังเกตการ ทำงานน้ันอย่างตงั้ ใจ ข้ันที่ ๒ ขั้นการเตรียมความพร้อมเป็นขั้นการปรับตัวให้พร้อมเพ่ือการทำงานหรือแสดง พฤติกรรมน้ัน ท้ังทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ โดยการปรับตัวให้พร้อมที่จะเคล่ือนไหวหรือแสดงทักษะน้ัน ๆ และมีจติ ใจและสภาวะอารมณ์ทีด่ ีตอ่ การท่ีจะทำหรือแสดงทักษะน้ัน ๆ ขน้ั ท่ี ๓ ขั้นการสนองตอบภายใต้การควบคุม เป็นขั้นที่ให้โอกาสแก่ผู้เรยี นในการอบสนอง ต่อส่ิงท่ีรับรู้ ซึ่งอาจใช้วิธีการให้ผู้เรียนเลียนแบบการกระทำ หรือการแสดงทักษะน้ัน หรืออาจใช้วิธีการให้ ผู้เรียนลองผดิ ลองถกู จนกระทง่ั สามารถตอบสนองไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง ขัน้ ที่ ๔ ข้ันการให้ลงมือกระทำจนกลายเป็นกลไกทีส่ ามารถกระทำได้เอง เป็นข้ันท่ชี ่วยให้ ผู้เรยี นประสบผลสำเร็จในการปฏบิ ตั ิ และเกดิ ความเชื่อม่ันในการทำสงิ่ น้ัน ๆ ข้ันท่ี ๕ ข้นั การกระทำอยา่ งชำนาญ เป็นขั้นท่ีช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการกระทำน้ัน ๆ จน ผูเ้ รียนสามารถทำได้อยา่ งคลอ่ งแคล่ว ชำนาญ เป็นไปโดยอตั โนมตั ิ และด้วยความเชื่อมัน่ ในตนเอง ขั้นที่ ๖ ข้นั การปรับปรุงและประยุกต์ใช้ เป็นขนั้ ทีช่ ว่ ยใหผ้ ู้เรียนปรบั ปรุง ทักษะหรอื การปฏิบตั ขิ องตนให้ดยี ่ิงขนึ้ และประยกุ ต์ใชท้ กั ษะท่ตี นไดร้ ับการพัฒนาในสถานการณ์ตา่ ง ๆ ๑๑ Simpson, D. Teaching Physical Educations: A System Approach. Boston: Houghton Mufflin Co. 1972.p.56.

ศาสตรก์ ารสอน ๑๔๖ ข้ันที่ ๗ ขั้นการคิดริเร่ิม เมื่อผู้เรียนสามารถปฏิบัติหรือกระทำสิ่งใดส่ิงหนึ่งอย่างชำนาญ และสามารถประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลายแล้ว ผู้ปฏิบัติจะเร่ิมเกิดความคิดใหม่ ๆ ในการกระทำ หรอื ปรบั การกระทำนน้ั ใหเ้ ปน็ ไปตามท่ีตนตอ้ งการ ง. ผลท่ีผู้เรียนจะได้รบั จากการเรียนตามรปู แบบ ผูเ้ รยี นจะสามารถกระทำหรอื แสดงออกอย่างคลอ่ งแคล่ว ชำนาญ ในสิง่ ที่ตอ้ งการใหผ้ ้เู รยี น ทำได้ นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ และความอดทนให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนด้วยรูปแบบการ เรียนการสอนทกั ษะปฏบิ ัติของแฮร์โรว์ (Harrow’s Instructional Model for psychomotor Domain) ก. ทฤษฎี/หลกั การ/แนวคดิ ของรปู แบบ แฮร์โรว์๑๒ ไดจ้ ัดลำดับข้ันของการเรียนรูท้ างด้านทักษะปฏิบัติไว้ ๕ ขั้น โดยเริ่มจาก ระดับท่ีซับซ้อนน้อยไปจนถึงระดับท่ีมีความซับซ้อนมาก ดังนั้นการกระทำจึงเร่ิมจากการเคล่ือนไหวกล้ามเนื้อ ใหญ่ไปถึงการเคลื่อนไหวกล้ามเน้ือย่อย ลำดับขั้นดังกล่าวได้แก่การเลียนแบบ การลงมือกระทำตามคำส่ัง การ กระทำอยา่ งถูกตอ้ งสมบรู ณ์ การแสดงออกและการกระทำอย่างเปน็ ธรรมชาติ ข. วตั ถปุ ระสงคข์ องรปู แบบ รูปแบบนีม้ ุง่ ใหผ้ เู้ รียนเกดิ ความสามารถทางด้านทักษะปฏิบัติตา่ ง ๆ กลา่ วคือผูเ้ รียนสามารถ ปฏบิ ัตหิ รือกระทำอย่างถูกต้องสมบรู ณ์และชำนาญ ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบ ขั้นท่ี ๑ ข้ันการเลียนแบบ เปน็ ข้ันทใี่ ห้ผ้เู รยี นสังเกตการกระทำทต่ี ้องการให้ผู้เรียน ทำได้ ซึ่งผู้เรียนย่อมจะรับรู้หรือสังเกตเห็นรายละเอียดต่าง ๆ ได้ไม่ครบถ้วน แต่อย่างน้อยผู้เรียนจะสามารถ บอกได้วา่ ขนั้ ตอนหลกั ของการกระทำน้นั ๆ มีอะไรบา้ ง ข้ันท่ี ๒ ข้ันการลงมือกระทำตามคำส่ัง เม่ือผู้เรียนได้เห็นและสามารถบอกข้ันตอน ของการกระทำท่ีต้องการเรยี นรู้แล้ว ให้ผู้เรียนลงมอื ทำโดยไม่มแี บบอยา่ งให้เห็น ผเู้ รียนอาจลงมือทำตามคำส่ัง ของผู้สอน หรอื ทำตามคำสั่งท่ผี ู้สอนเขียนไวใ้ นคู่มือก็ได้ การลงมือปฏิบตั ิตามคำส่ังน้ี แมผ้ เู้ รียนจะยงั ไมส่ ามารถ ทำไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์ แต่อยา่ งน้อยผ้เู รยี นกไ็ ดป้ ระสบการณใ์ นการลงมือทำและคน้ พบปัญหาต่าง ๆ ซงึ่ ช่วยให้เกิด การเรยี นรแู้ ละปรับการกระทำให้ถกู ต้องสมบูรณ์ขน้ึ ขั้นท่ี ๓ ข้ันการกระทำอย่างถูกต้องสมบูรณ์ ข้ันนี้เป็นข้ันที่ผู้เรียนจะต้องฝึกฝนจน สามารถทำส่ิงนั้น ๆ ได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ โดยไม่จำเป็นต้องมีแบบอย่างหรือมีคำสั่งนำทางการกระทำ การ กระทำทีถ่ กู ตอ้ ง แมน่ ตรง พอดี สมบรู ณ์แบบ เป็นสิง่ ที่ผ้เู รียนจะตอ้ งสามารถทำได้ในข้นั น้ี ขัน้ ที่ ๔ ข้ันการแสดงออก ขนั้ น้ีเปน็ ข้นั ที่ผเู้ รียนมโี อกาสได้ฝึกฝนมากข้ึน จนกระท่ัง สามารถกระทำสิง่ น้ันไดถ้ ูกตอ้ งสมบรู ณแ์ บบอย่างคลอ่ งแคลว่ รวดเร็ว ราบร่ืน และดว้ ยความม่ันใจ ขั้นที่ ๕ ข้ันการกระทำอย่างเป็นธรรมชาติ ข้ันนี้เป็นขั้นท่ีผู้เรียนสามารถกระทำส่ิง น้นั ๆ อยา่ งสบาย ๆ เป็นไปอยา่ งอัตโนมตั โิ ดยไม่รูส้ กึ ว่าตอ้ งใช้ความพยายามเป็นพิเศษ ซึง่ ต้องอาศัยการปฏิบัติ บอ่ ย ๆ ในสถานการณต์ ่าง ๆ ทห่ี ลากหลาย ง. ผลท่ีผู้เรยี นจะได้รบั จากการเรยี นตามรูปแบบ ผูเ้ รยี นจะเกิดการพัฒนาทางด้านทกั ษะปฏิบตั ิ จนสามารถกระทำได้อยา่ งถูกต้องสมบูรณ์ รูปแบบการเรยี นการสอนทักษะปฏบิ ตั ิของเดวีส์ (Davies’ Instructional Model for Psychomotor Domain) ๑๒ Harrow, A. A Taxonomy of The Psychomotor Domain: A Guide for Developing Behavioral Objectives. New York: Longman Inc. 1972. P.96-99.

ศาสตรก์ ารสอน ๑๔๗ ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรปู แบบ เดวีส์๑๓ ได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะปฏิบัติไว้ว่า ทักษะส่วนใหญ่จะ ประกอบไปด้วยทักษะย่อย ๆ จำนวนมาก การฝึกให้ผู้เรียนสามารถทำทักษะย่อย ๆ เหล่านั้นได้ก่อนแล้วค่อย เชอ่ื มโยงต่อกนั เป็นทักษะใหญ่ จะชว่ ยให้ผ้เู รียนประสบผลสำเรจ็ ไดด้ ีและเรว็ ขนึ้ ข. วตั ถุประสงค์ของรปู แบบ รปู แบบนม้ี ุง่ ชว่ ยพฒั นาความสามารถดา้ นทักษะปฏิบัตขิ องผ้เู รยี น โดยเฉพาะอย่าง ย่งิ ทกั ษะทป่ี ระกอบด้วยทักษะย่อยจำนวนมาก ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบ ข้ันที่ ๑ ข้ันสาธิตทักษะหรือการกระทำ ขั้นน้ีเป็นขั้นที่ให้ผู้เรียนได้เห็นทักษะหรือ การกระทำท่ีต้องการให้ผู้เรียนทำได้ในภาพรวม โดยสาธิตให้ผู้เรียนดูทั้งหมดต้ังแต่ต้นจนจบ ทักษะหรือการ กระทำท่ีสาธิตให้ผเู้ รียนดูน้นั จะตอ้ งเป็นการกระทำในลักษณะทเี่ ป็นธรรมชาติ ไม่ช้าหรือเร็วเกินปกติ กอ่ นการ สาธิต ครูควรให้คำแนะนำแก่ผู้เรียนในการสังเกต ควรชี้แนะจุดสำคัญท่ีควรให้ความสนใจเป็นพิเศษในการ สงั เกต ขน้ั ที่ ๒ ขน้ั สาธติ และใหผ้ ู้เรยี นปฏบิ ัติทักษะยอ่ ย เม่ือผู้เรียนได้เห็นภาพรวมของการ กระทำหรือทักษะท้ังหมดแล้ว ผู้สอนควรแตกทักษะท้ังหมดให้เป็นทักษะย่อย ๆ หรือแบ่งสิ่งที่กระทำออกเป็น ส่วนยอ่ ย ๆ และสาธิตสว่ นยอ่ ยแต่ละสว่ นให้ผ้เู รยี นสังเกตและทำตามไปทีละส่วนอยา่ งชา้ ๆ ข้ันท่ี ๓ ข้ันให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อย ผู้เรียนลงมือปฏิบัติทักษะย่อยโดยไม่มีการ สาธติ หรือมีแบบอยา่ งให้ดู หากตดิ ขัดจุดใด ผู้สอนควรให้คำชีแ้ นะ และช่วยแก้ไขจนกระท่ังผู้เรยี นทำได้ เมื่อได้ แล้วผู้สอนจึงเริ่มสาธิตทักษะย่อยส่วนต่อไป และให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อยน้ันจนทำได้ ทำเช่นน้ีเร่ือยไป จนกระทง่ั ครบทุกส่วน ขนั้ ท่ี ๔ ขั้นใหเ้ ทคนิควิธกี าร เมอ่ื ผเู้ รียนปฏบิ ตั ิได้แลว้ ผูส้ อนอาจแนะนำเทคนิค วธิ กี ารทจี่ ะช่วยให้ผ้เู รียนสามารถทำงานน้นั ไดด้ ีขน้ึ เช่น ทำได้ประณตี สวยงามข้ึน ทำไดร้ วดเร็วขน้ึ ทำไดง้ า่ ย ข้ึน หรือสน้ิ เปลืองน้อยลง เป็นตน้ ขน้ั ท่ี ๕ ขนั้ ให้ผู้เรียนเช่อื มโยงทักษะยอ่ ย ๆ เป็นทกั ษะท่ีสมบูรณ์ เมอ่ื ผเู้ รยี น สามารถปฏิบตั ิแตล่ ะส่วนได้แลว้ จึงใหผ้ ู้เรยี นปฏิบตั ิทกั ษะย่อย ๆ ต่อเนื่องกนั ต้ังแตต่ ้นจนจบ และฝึกปฏบิ ัติ หลาย ๆ ครัง้ จนกระท่ังสามารถปฏบิ ตั ทิ ักษะที่สมบรู ณ์ไดอ้ ย่างชำนาญ ง. ผลที่ผเู้ รียนจะไดร้ ับจากการเรยี นตามรปู แบบ ผเู้ รยี นจะสามารถปฏบิ ตั ิทักษะได้เป็นอย่างดี มปี ระสทิ ธภิ าพ ๗.๒.๔ รปู แบบการเรยี นการสอนที่เน้นการพัฒนาทักษะกระบวนการ (Process Skill) ทักษะกระบวนการ เป็นทักษะท่ีเก่ียวข้องกับวิธีดำเนินการต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นกระบวนการทาง สติปัญญา เช่น กระบวนการสืบสอบแสวงหาความรู้ หรือกระบวนการคิดต่าง ๆ อาทิ การคิดวิเคราะห์ การ อุปนัย การนิรนัย การใช้เหตุผล การสืบสอบ การคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เป็นต้น หรืออาจเป็นกระบวนการทางสงั คม เช่น กระบวนการทำงานร่วมกัน เป็นต้น ปัจจุบนั การศึกษาให้ความสำคัญ กบั เร่ืองนี้มาก เพราะถือเป็นเคร่ืองมอื สำคัญในการดำรงชีวติ ในทีน่ ี้จะนำเสนอรูปแบบการเรียนการสอนทเี่ น้น การพัฒนาผเู้ รยี นดา้ นทกั ษะกระบวนการ ๔ รูปแบบ ดังนี้ ๔.๑ รปู แบบการเรียนการสอนกระบวนการสืบสอบและแสวงหาความรู้เป็นกล่มุ ๑๓ Davies,I.K.The management of learning.London:McGraw-Hill,1971 : p.50-56.

ศาสตรก์ ารสอน ๑๔๘ ๔.๒ รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดอุปนัย ๔.๓ รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดสร้างสรรค์ ๔.๔ รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคดิ แก้ปัญหาอนาคตตามแนวคดิ ของทอร์แรนซ์ ๔.๑ รูปแบบการเรยี นการสอนกระบวนการสืบสอบและแสวงหาความร้เู ป็นกลุม่ (Group Investigation Instructional Model) ก. ทฤษฎ/ี หลกั การ/แนวคิดของรปู แบบ จอยส์ และ วีล๑๔ เป็นผู้พัฒนารูปแบบน้ีจากแนวคิดหลักของเธเลน (Thelen) ๒ แนวคิด คือ แนวคิดเกี่ยวกับการสืบเสาะแสวงหาความรู้(inquiry) และแนวคิดเก่ียวกับความรู้ (knowledge) เธเลนได้ อธิบายว่า ส่ิงสำคัญที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกหรือความต้องการท่ีจะสืบค้นหรือเสาะแสวงหา ความรู้ก็คือตัวปัญหา แต่ปัญหาน้ันจะต้องมีลักษณะท่ีมีความหมายต่อผู้เรียนและท้าทายเพียงพอท่ีจะทำให้ ผู้เรียนเกิดความต้องการท่ีจะแสวงหาคำตอบ นอกจากนั้นปัญหาที่ชวนให้เกิดความงุนงงสงสัย หรือก่อให้เกิด ความขัดแย้งทางความคิด จะย่ิงทำให้ผู้เรียนเกิดความต้องการท่ีจะเสาะแสวงหาความรู้หรอื คำตอบมากย่ิงข้ึน เน่ืองจากมนษุ ย์อาศัยอยู่ในสงั คม ต้องมีปฏิสมั พันธ์กับผู้อืน่ ในสงั คม เพ่ือสนองความตอ้ งการของตนท้ังทางด้าน ร่างกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์และสังคม ความขัดแย้งทางความคิดที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลหรือในกลุ่ม จึง เป็นสิ่งท่ีบุคคลต้องพยายามหาหนทางขจัดแก้ไขหรือจัดการทำความกระจ่างให้เป็นท่ีพอใจหรือยอมรบั ทั้งของ ตนเองและผู้เกย่ี วขอ้ ง ส่วนในเรื่อง “ความรู้” นั้น เธเลนมคี วามเห็นว่า ความรู้เป็นเป้าหมายของกระบวนการ สืบสอบท้ังหลาย ความรู้เป็นสิ่งที่ได้จากการนำประสบการณ์หรือความรู้เดิมมาใช้ในประสบการณ์ใหม่ ดังน้ัน ความร้จู งึ เปน็ สิ่งทคี่ ้นพบผา่ นกระบวนการสบื สอบโดยอาศัยความรแู้ ละประสบการณ์ ข. วัตถุประสงคข์ องรูปแบบ รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาทักษะในการสืบสอบเพ่ือให้ได้มาซึ่งความรู้ความเข้าใจ โดยอาศัยกลุ่มซึ่ง เป็นเครื่องมือทางสังคมช่วยกระตุ้นความสนใจหรือความอยากรู้และช่วยดำเนินงานการแสวงหาความรู้หรือ คำตอบทีต่ ้องการ ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ขน้ั ท่ี ๑ ใหผ้ เู้ รียนเผชญิ ปญั หาหรอื สถานการณ์ท่ชี วนใหส้ งสยั ปัญหาหรอื สถานการณ์ ท่ีใช้ในการกระตุ้นความสนใจและความต้องการในการสืบสอบและแสวงหาความรู้ต่อไปนั้น ควรเป็นปัญหา หรือสถานการณ์ท่ีเหมาะสมกับวัย ความสามารถและความสนใจของผู้เรียน และจะต้องมีลักษณะท่ีชวนให้ งุนงงสงสัย เพอ่ื ท้าทายความคิดและความใฝ่รู้ของผูเ้ รยี น ขน้ั ที่ ๒ ให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นตอ่ ปัญหาหรือสถานการณน์ ้ัน ผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง และพยายาม กระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งหรือความแตกต่างทางความคิดข้ึน เพ่ือท้าทายให้ผู้เรียนพยายามหาทางเสาะ แสวงหาข้อมูลหรือวธิ ีการพิสูจน์ทดสอบความคิดของตน เม่ือมีความแตกต่างทางความคิดเกดิ ขน้ึ ผู้สอนอาจให้ ผู้เรียนที่มีความคิดเห็นเดียวกันรวมกลุ่มกัน หรืออาจรวมกลุ่มโดยให้แต่ละกลุ่มมีสมาชิกท่ีมีความคิดเห็น แตกตา่ งกันกไ็ ด้ ขัน้ ท่ี ๓ ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มรว่ มกนั วางแผนในการแสวงหาความรู้ ๑๔ ทิศนา แขมณี. ๒๕๔๕ หนา้ ๒๔๐ –๒๔๑ ; อ้างองิ จาก Yoyce & Weil, ๑๙๙๖: .80-88.

ศาสตร์การสอน ๑๔๙ เม่อื กลุ่มมีความคดิ เหน็ แตกตา่ งกันแลว้ สมาชิกแต่ละกลุม่ ช่วยกนั วางแผนว่า จะแสวงหาข้อมูลอะไร กลุ่มจะพิสูจน์อะไร จะตั้งสมมติฐานอะไร กลุ่มจำเป็นต้องมีข้อมูลอะไร และจะไป แสวงหาท่ีไหน หรือจะได้ข้อมูลน้ันมาได้อย่างไร จะต้องใช้เครื่องมืออะไรบ้าง เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว จะ วิเคราะห์อย่างไร และจะสรุปผลอย่างไร ใครจะช่วยทำอะไร จะใช้เวลาเท่าใด ขั้นน้ีเป็นข้ันท่ีผู้เรียนจะได้ฝึก ทักษะการสืบสอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการกลุ่ม ผู้สอนทำหน้าท่ีอำนวย ความสะดวกในการทำงานใหแ้ ก่ผู้เรยี น รวมท้ังให้คำแนะนำเกี่ยวกบั การวางแผน แหล่งความรู้ และการทำงาน ร่วมกัน ขน้ั ที่ ๔ ให้ผเู้ รยี นดำเนนิ การแสวงหาความรู้ ผูเ้ รียนดำเนินการเสาะแสวงหาความรู้ตามแผนงานทไ่ี ด้กำหนดไว้ ผู้สอนชว่ ย อำนวยความสะดวก ใหค้ ำแนะนำและติดตามการทำงานของผู้เรียน ขน้ั ที่ ๕ ให้ผเู้ รียนวิเคราะห์ข้อมลู สรุปผลข้อมูล นำเสนอและอภปิ รายผล เมื่อกลุ่มรวบรวมข้อมูลได้มาแล้ว กลุ่มทำการวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล ต่อจากนั้นจึงให้แต่ละกลุ่มนำเสนอผล อภิปรายผลร่วมกันท้ังชั้น และประเมินผลทั้งทางด้านผลงานและ กระบวนการเรียนร้ทู ี่ได้รบั ขนั้ ที่ ๖ ให้ผูเ้ รยี นกำหนดประเดน็ ปญั หาทต่ี ้องการสบื เสาะหาคำตอบต่อไป การสบื สอบและเสาะแสวงหาความรู้ของกลุ่มตามขน้ั ตอนข้างต้นชว่ ยใหก้ ลมุ่ ได้รับความรู้ ความเข้าใจ และคำตอบในเรื่องท่ีศึกษา และอาจพบประเด็นท่ีเป็นปัญหาชวนให้งุนงงสงสัยหรือ อยากรู้ต่อไป ผู้เรียนสามารถเริ่มต้นวงจรการเรียนรู้ใหม่ ต้ังแต่ขั้นท่ี ๑ เป็นต้นไป การเรียนการสอนตาม รูปแบบน้ี จึงอาจมีต่อเนื่องไปเรอ่ื ย ๆ ตามความสนใจของผเู้ รียน ง. ผลที่ผูเ้ รยี นจะได้รับจากการเรยี นตามรูปแบบ ผเู้ รียนจะสามารถสืบสอบและเสาะแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง เกิดความใฝ่รู้และมี ความมนั่ ใจในตนเองเพม่ิ ขึ้น และได้พฒั นาทักษะการสืบสอบ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และทักษะ การทำงานกลมุ่ ๔.๒ รูปแบบการเรยี นการสอนกระบวนการคิดอุปนัย (Inductive Thinking Instructional Model) ก. ทฤษฎี/หลกั การ/แนวคิดของรปู แบบ รูปแบบน้ี จอยส์ และ วีล๑๕พัฒนาข้ึนโดยใช้ แนวคิดของทาบา๑๖ ซ่ึงเชื่อว่าการคิด เปน็ สิ่งทสี่ อนได้ การคดิ เปน็ กระบวนการปฏสิ ัมพันธร์ ะหว่างบคุ คลกบั ขอ้ มูล และกระบวนการน้มี ีลำดับขัน้ ตอน ดังเช่นการคิดอุปนัย จะต้องเร่ิมจากการสร้างความคิดรวบยอด หรือมโนทัศน์ก่อน แล้วจึงถึงขั้นการตีความ ขอ้ มลู และสรปุ ต่อไปจึงนำขอ้ สรปุ หรอื หลักการทไี่ ดไ้ ปประยกุ ต์ใช้ ข. วตั ถปุ ระสงคข์ องรปู แบบ รูปแบบน้ีมุ่งพฒั นาการคิดแบบอปุ นัยของผเู้ รยี นช่วยใหผ้ ู้เรียนใช้กระบวนการคิดดงั กล่าว ในการสรา้ งมโนทัศนแ์ ละประยุกต์ใชม้ โนทัศนต์ า่ ง ๆ ได้ ค. กระบวนการเรียนการสอนของรปู แบบ ขั้นที่ ๑ การสร้างมโนทัศน์ ประกอบดว้ ย ๓ ขนั้ ตอนย่อย คือ ๑๕ ทิศนา แขมณ.ี ๒๕๔๕ หน้า ๒๔๐ -๒๔๑; อ้างองิ จาก Joyce & Weil, 1996 : p.149-159. ๑๖ ทิศนา แขมณี. ๒๕๔๕ หนา้ ๒๔๘ ; อา้ งอิงจาก Taba, 1967 : p.90 – 92.

ศาสตรก์ ารสอน ๑๕๐ ๑.๑ ให้ผู้เรียนสังเกตส่ิงท่ีจะศึกษาและเขียนรายการสิ่งท่ีสังเกตเห็นหรือ อาจใช้วิธีอ่ืน ๆ เช่น ตั้งคำถามให้ผู้เรียนตอบ ในข้ันน้ีผู้เรียนจะต้องได้รายการของส่ิงต่างๆ ที่ใช่หรือไม่ใช่ ตัวแทนของมโนทัศน์ทต่ี ้องการใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรียนรู้ ๑.๒ จากรายการของสิ่งท่ีเป็นตัวแทนและไม่เป็นตัวแทนของมโนทัศน์น้ัน ใหผ้ ู้เรยี นจดั หมวดหมขู่ องส่ิงเหลา่ นนั้ โดยการกำหนดเกณฑใ์ นการจดั กลุ่ม ซงึ่ ก็คือคุณสมบัติทเี่ หมือนกนั ของส่ิง เหลา่ น้นั ผ้เู รยี นจะจดั สง่ิ ที่มีคณุ สมบัตเิ หมือนกนั ไวเ้ ป็นกลมุ่ เดยี วกัน ๑.๓ ต้ังชื่อหมวดหมทู่ ี่จัดขึ้น ผู้เรียนจะต้องพิจารณาว่าอะไรเป็นหัวขอ้ ใหญ่ อะไรเปน็ หวั ขอ้ ย่อย และตง้ั ชอื่ หวั ขอ้ ให้เหมาะสม ขนั้ ท่ี ๒ การตคี วามและสรุปข้อมลู ประกอบดว้ ย ๓ ข้ันย่อยดงั น้ี ๒.๑ ระบคุ วามสมั พนั ธข์ องข้อมลู ผเู้ รยี นศึกษาข้อมลู และตคี วามข้อมูล เพื่อใหเ้ ข้าใจขอ้ มลู และเห็นความสัมพันธท์ ส่ี ำคัญ ๆ ของข้อมลู ๒.๒ สำรวจความสัมพันธ์ของข้อมูลผู้เรียนศึกษาข้อมูลและความสมั พันธ์ ของข้อมูลในลักษณะต่าง ๆ เช่น ความสัมพันธ์ในลักษณะของเหตุและผล ความสัมพันธ์ของข้อมูลในหมวดน้ี กบั ขอ้ มลู ในหมวดอื่น จนสามารถอธบิ ายได้ว่าข้อมลู ตา่ ง ๆ สมั พนั ธก์ ันอย่างไรและดว้ ยเหตุผลใด ๒.๓ สรปุ อ้างอิง เม่อื คน้ พบความสมั พันธ์หรือหลกั การแลว้ ใหผ้ ู้เรียน สรุปอ้างอิงโดยโยงสิ่งท่ีค้นพบไปสู่สถานการณอ์ ่นื ๆ ขน้ั ที่ ๓ การประยกุ ต์ใชข้ อ้ สรุปหรอื หลักการ ๑.๑ นำขอ้ สรปุ มาใช้ในการทำนาย หรืออธบิ ายปรากฏการณ์อน่ื ๆ และ ฝกึ ตั้งสมมตฐิ าน ๑.๒ อธบิ ายให้เหตผุ ลและขอ้ มลู สนับสนนุ การทำนายและสมมตฐิ าน ของตน ๑.๓ พสิ จู น์ ทดสอบ การทำนายและสมมติฐานของตน ง. ผลทีผ่ เู้ รยี นจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ ผ้เู รียนจะสามารถสร้างมโนทัศน์และประยกุ ต์ใช้มโนทศั น์น้ันดว้ ยกระบวนการคดิ แบบอปุ นัย และผู้เรยี นสามารถนำกระบวนการคิดดังกลา่ วไปใช้ในการสร้างมโนทัศน์อ่ืน ๆ ต่อไปได้ ๔.๓ รปู แบบการเรยี นการสอนกระบวนการคดิ สรา้ งสรรค์ (Synectics Instructional Model) ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรปู แบบ รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการคิดสรา้ งสรรค์น้ี เปน็ รูปแบบท่จี อยส์ และ วีล๑๗ พัฒนาขึ้นมาจากแนวคิดของกอร์ดอน (Gordon) ท่ีกล่าวว่าบุคคลทั่วไปมักยึดติดกับวิธีคิด แก้ปัญหาแบบเดิม ๆ ของตน โดยไม่ค่อยคำนึงถึงความคิดของคนอ่ืน ทำให้การคิดของตนคับแคบและไม่ สร้างสรรค์ บุคคลจะเกิดความคิดเห็นท่ีสร้างสรรค์แตกต่างไปจากเดิมได้ หากมีโอกาสได้ลองคิดแก้ปัญหาด้วย วิธีการที่ไม่เคยคิดมาก่อน หรือคิดโดยสมมติตัวเองเป็นคนอ่ืน และถ้าย่ิงให้บุคคลจากหลายกลุ่มประสบการณ์ มาช่วยกนั แก้ปัญหา ก็จะย่งิ ไดว้ ิธีการที่กลากหลายขึ้น และมปี ระสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นกอรด์ อนจงึ ได้เสนอให้ ผู้เรียนมีโอกาสคิดแก้ปัญหาด้วยแนวความคิดใหม่ ๆ ท่ีไม่เหมือนเดิม ไม่อยู่ในสภาพท่ีเป็นตัวเอง ให้ลองใช้ ความคิดในฐานะที่เป็นคนอ่ืน หรือเปน็ สิ่งอื่น สภาพการณ์เช่นน้ีจะกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความคิดใหม่ ๆ ขึ้นได้ ๑๗ ทศิ นา แขมณี. ๒๕๔๕ หน้า ๒๕๐-๒๕๑ ; อา้ งอิงจาก จอยสแ์ ละวลี , 1996 : 239 – 253.

ศาสตรก์ ารสอน ๑๕๑ กอร์ดอนเสนอวธิ ีการคิดเปรยี บเทยี บแบบอุปมาอุปมยั เพ่ือใชใ้ นการกระตุ้นความคดิ ใหม่ ๆ ไว้ ๓ แบบ คือ การ เปรียบเทียบแบบตรง การเปรียบเทียบบุคคลกับสิ่งของ และการเปรียบเทียบคำคู่ขัดแย้ง วิธีการน้ีมี ประโยชนม์ ากเป็นพเิ ศษสำหรบั การเขยี นและการพดู อยา่ งสร้างสรรค์ รวมทั้งการสร้างสรรค์งานทางศลิ ปะ ข. วัตถปุ ระสงค์ของรปู แบบ รูปแบบนีม้ ่งุ พฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคข์ องผเู้ รียน ช่วยให้ผเู้ รียนเกิดแนวคิดที่ใหม่ แตกตา่ งไปจากเดมิ และสามารถนำความคิดใหมน่ นั้ ไปใชใ้ ห้เปน็ ประโยชนไ์ ด้ ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบ ข้ันท่ี ๑ ข้ันนำ ผู้สอนให้ผู้เรียนทำงานต่าง ๆ ที่ต้องการให้ผู้เรียนทำ เช่น ให้เขียน บรรยาย เล่า ทำ แสดง วาดภาพ สร้าง ป้ัน เป็นต้น ผู้เรียนทำงานน้ัน ๆ ตามปกติท่ีเคยทำ เสร็จแล้วให้เก็บ ผลงานไว้ก่อน ขั้นท่ี ๒ ข้ันการสร้างอุปมาแบบตรงหรือเปรียบเทียบแบบตรง ผู้สอนเสนอคำคู่ให้ ผู้เรียนเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่าง เช่น ลูกบอลกับมะนาว เหมือนหรือต่างกันอย่างไร คำคู่ที ผู้สอนเลือกมาควรให้มีลักษณะท่ีสัมพันธ์กับเนื้อหาหรืองานที่ให้ผู้เรยี นทำในขั้นท่ี ๑ ผู้สอนเสนอคำคู่ให้ผู้เรียน เปรียบเทียบหลาย ๆคู่ และจดคำตอบของผูเ้ รียนไวบ้ นกระดาน ขนั้ ที่ ๓ ขั้นการสร้างอุปมาบุคคลหรือเปรียบเทียบบุคคลกับสง่ิ ของ ผู้สอนให้ผู้เรียน สมมติตัวเองเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และแสดงความรู้สึกออกมาเช่น ถ้าเปรียบเทียบผู้เรียนเป็นเคร่ืองซักผ้า จะรู้สึก อย่างไร ผู้สอนจดคำตอบของผูเ้ รยี นไว้บนกระดาน ขั้นที่ ๔ ขั้นการสร้างอุปมาคำคู่ขัดแย้ง ผู้สอนให้ผู้เรียนนำคำหรือวลีท่ีได้จากการ เปรียบเทียบในขั้นท่ี ๒ และ ๓ มาประกอบกันเป็นคำใหม่ท่ีมคี วามหมายขัดแยง้ กันในตวั เอง เช่น ไฟเย็น น้ำผ้ึง ขม มจั จุราชสีนำ้ ผึ้ง เชอื ดนม่ิ ๆ เปน็ ต้น ข้ันท่ี ๕ ข้ันการอธิบายความหมายของคำคู่ขัดแย้ง ผู้สอนให้ผู้เรียนช่วยกันอธิบาย ความหมายของคำคู่ขัดแยง้ ทไ่ี ด้ ขั้นที่ ๖ ขั้นการนำความคิดใหม่มาสร้างสรรค์งาน ผู้สอนให้ผู้เรียนนำงานที่ทำไว้ เดิมในขั้นท่ี ๑ ออกมาทบทวนใหม่ และลองเลือกนำความคิดท่ีได้มาใหม่จากกิจกรรมข้ันท่ี ๕ มาใช้ในงานของ ตน ทำให้งานของตนมคี วามคิดสรา้ งสรรคม์ ากขน้ึ ง. ผลท่ผี เู้ รยี นจะได้รับจากการเรียนตามรปู แบบ ผเู้ รียนจะเกดิ ความคดิ ใหม่ ๆ และสามารถนำความคดิ ใหม่ ๆ นน้ั ไปใช้ในงานของ ตน ทำใหง้ านของตนมคี วามแปลกใหม่ น่าสนใจมากขึน้ นอกจากนัน้ ผู้เรียนอาจเกดิ ความตระหนกั ในคุณคา่ ของการคิด และความคิดของผู้อืน่ อกี ด้วย ๔.๔ รูปแบบการเรยี นการสอนกระบวนการคิดแก้ปัญหาอนาคตตามแนวคิดของ ทอรแ์ รนซ์ (Torrance’s Future Problem Solving Instructional Model) ก. ทฤษฎ/ี หลกั การ/แนวคิดของรปู แบบ รูปแบบการเรยี นการสอนน้ีพัฒนามาจากรปู แบบการคิดแก้ปญั หาอนาคตตาม

ศาสตร์การสอน ๑๕๒ แนวคิดของทอแรนซ์๑๘ ซ่ึงได้นำองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ ๓ องค์ประกอบ คือ การคิดคล่องแคล่ว การคิดยืดหยุ่น การคิดริเร่ิม มาใช้ประกอบกับกระบวนการคิดแก้ปัญหา และการใช้ประโยชน์จากกลุ่มซึ่งมี ความคิดหลากหลาย โดยเนน้ การใช้เทคนคิ ระดมสมองเกือบทุกขน้ั ตอน ข. วัตถุประสงค์ของรปู แบบ รูปแบบนี้มุ่งช่วยพัฒนาผู้เรียนให้ตระหนักรู้ในปัญหาท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคตและ เรยี นร้ทู ี่จะคิดแก้ปัญหารว่ มกัน ช่วยใหผ้ ูเ้ รียนพัฒนาทักษะการคดิ จำนวนมาก ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรปู แบบ ขั้นที่ ๑ การนำสภาพการณ์อนาคตเข้าสรู่ ะบบการคิด นำเสนอสภาพการณ์อนาคตท่ียงั ไม่เกิดข้ึน หรือกระตุ้น ให้ผู้เรยี นใช้การคดิ คล่องแคล่ว การคิดยืดหยุ่น การคิดริเริ่ม และจินตนาการ ในการทำนายสภาพการณอ์ นาคต จากขอ้ มูล ข้อเท็จจรงิ และประสบการณข์ องตน ขน้ั ที่ ๒ การระดมสมองเพ่อื ค้นหาปญั หา จากสภาพการณ์อนาคตในขนั้ ท่ี ๑ ผู้เรยี นช่วยกันวิเคราะหว์ า่ อาจจะเกดิ ปัญหาอะไรข้นึ บ้างในอนาคต ข้ันที่ ๓ การสรุปปัญหา และจัดลำดับความสำคัญของปัญหา ผู้เรียนนำปัญหาที่ วิเคราะห์ได้มาจัดกลุ่ม หรือจัดความสัมพันธ์เพ่ือกำหนดว่าอะไรเป็นปัญหาหลัก อะไรเป็นปัญหารอง และ จัดลำดับความสำคัญของปญั หา ขนั้ ท่ี ๔ การระดมสมองหาวิธีแกป้ ญั หา ผู้เรียนร่วมกนั คดิ วิธแี กป้ ัญหา โดยพยายามคิดให้ไดท้ างเลอื กท่ีแปลกใหม่ จำนวนมาก ขนั้ ที่ ๕ การเลือกวธิ ีการแก้ปัญหาทดี่ ีที่สุด เสนอเกณฑ์หลาย ๆ เกณฑ์ท่ีจะใช้ในการเลือกวิธีการแก้ปัญหา แล้วตัดสินใจ เลือกเกณฑ์ท่ีมีความเหมาะสมและมีความเป็นไปได้ในแต่ละสภาพการณ์ ต่อไปจึงนำเกณฑ์ท่ีคัดเลือกไว้ มาใช้ ในการเลือกวิธีการแกป้ ญั หาท่ดี ีท่สี ุด โดยพจิ ารณาถงึ น้ำหนักความสำคัญของเกณฑแ์ ตล่ ะข้อดว้ ย ขน้ั ท่ี ๖ การนำเสนอวิธกี ารแก้ปัญหาอนาคต ผเู้ รยี นนำวธิ ีการแกป้ ญั หาอนาคตทีไ่ ด้มาเรยี บเรียง อธิบายรายละเอยี ด เพ่ิมเติมข้อมูลทจ่ี ำเป็น คิดวธิ กี ารนำเสนอท่ีเหมาะสม และนำเสนออย่างเป็นระบบน่าเชื่อถือ ง.**ผลท่ผี ู้เรียนจะไดร้ บั จากการเรยี นตามรปู แบบ ผ้เู รยี นจะได้พฒั นาทักษะการคดิ แก้ปัญหา และตระหนกั รู้ในปญั หาที่อาจจะ เกิดขึ้นในอนาคต และสามารถใช้ทกั ษะการคิดแกป้ ญั หามาใช้ในการแก้ปญั หาปจั จบุ นั และปอ้ งกันปญั หาที่จะ เกิดขน้ึ ในอนาคต ๗.๒.๕ รปู แบบการเรยี นการสอนทเ่ี นน้ การบรู ณาการ (Integration) รูปแบบการเรยี นการสอนในหมวดนี้ เป็นรปู แบบทีพ่ ยายามพฒั นาการเรียนรู้ ด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนไปพร้อม ๆ กัน โดยใช้การบูรณาการท้ังทางด้านเน้ือหาสาระและวิธีการ รูปแบบใน ลักษณะนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะมีความสอดคล้องกับหลักทฤษฎีทางการศึกษาที่มุ่งเน้นการ พัฒนารอบด้าน หรอื การพฒั นาเป็นองค์รวม รูปแบบในลักษณะดงั กล่าวท่นี ำมาเสนอในทนี่ ้มี ี ๔ รปู แบบใหญ่ ๆ คือ ๑๘ Torrance. Palue E.. Education and The Creative Potential. Minneapolis : The Lund Press.1963.

ศาสตรก์ ารสอน ๑๕๓ ๕.๑ รูปแบบการเรียนการสอนทางตรง ๕.๒ รูปแบบการเรยี นการสอนโดยการสรา้ งเรื่อง ๕.๓ รูปแบบการเรียนการสอนตามวฏั จกั รการเรียนรู้ ๔ MAT ๕.๔ รูปแบบการเรียนการสอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือ ๕.๔.๑ รูปแบบจ๊กิ ซอร์ (JIGSAW) ๕.๔.๒ รปู แบบ เอส. ที. เอ. ด.ี (STAD) ๕.๔.๓ รูปแบบ ท.ี เอ. ไอ. (TAI) ๕.๔.๔ รปู แบบ ท.ี จี. ที. (TGT) ๕.๔.๕ รปู แบบ แอล. ที. (LT) ๕.๔.๖ รูปแบบ จ.ี ไอ. (GI) ๕.๔.๗ รูปแบบ ซ.ี ไอ. อาร.์ ซี. (CIRC) ๕.๔.๘ รปู แบบคอมเพล็กซ์ (Complex Instruction) ๕.๑ รปู แบบการเรียนการสอนทางตรง (Direct Instruction Model) ก. ทฤษฎ/ี หลกั การ/แนวคิดของรูปแบบ จอยส์ และวีล๑๙ (Joyce and Weil, ๑๙๙๖: ๓๓๔) อา้ งว่า มีงานวิจยั จำนวนไม่นอ้ ย ที่ชี้ให้เห็นว่า การสอนโดยมุ่งเน้นให้ความรู้ที่ลึกซึ้ง ช่วยให้ผู้เรียนรู้สึกว่ามีบทบาทในการเรียน ทำให้ผู้เรียนมี ความต้ังใจในการเรยี นรู้และช่วยใหผ้ ู้เรยี นประสบความสำเร็จในการเรียน การเรยี นการสอน โดยจดั สาระและ วิธีการให้ผู้เรียนอย่างดีท้ังทางด้านเนื้อหาความรู้ และการให้ผู้เรียนใช้เวลาเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ เป็น ประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนมากท่ีสุด ผู้เรียนมีใจจดจ่อกับส่ิงที่เรียนและช่วยให้ผู้เรียน ๘๐ % ประสบ ความสำเร็จในการเรียน นอกจากน้ันยังพบว่า บรรยากาศที่ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้เรียน สามารถสกัดก้ัน ความสำเร็จของผู้เรียนได้ ดังน้ัน ผู้สอนจึงจำเป็นต้องระมัดระวัง ไม่ทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกในทางลบ เช่น การดุด่าว่ากลา่ ว การแสดงความไม่พอใจ หรอื วิพากษ์วจิ ารณ์ผ้เู รียน ข. วัตถุประสงค์ของรปู แบบ รูปแบบการเรยี นการสอนน้ีมุ่งช่วยใหไ้ ดเ้ รียนรู้ทัง้ เน้ือหาสาระและมโนทัศนต์ ่าง ๆ รวมทง้ั ไดฝ้ กึ ปฏบิ ตั ิทกั ษะต่าง ๆ จนสามารถทำได้ดีและประสบผลสำเรจ็ ไดใ้ นเวลาที่จำกัด ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรปู แบบ การเรยี นการสอนรูปแบบนป้ี ระกอบด้วยขัน้ ตอนสำคัญ ๆ ๕ ข้นั ดงั นี้ ขัน้ ที่ ๑ ข้นั นำ ๑.๑ ผสู้ อนแจง้ วตั ถุประสงค์ของบทเรยี นและระดบั การเรียนรูห้ รือพฤติกรรมการ เรยี นร้ทู ีค่ าดหวังแก่ผ้เู รยี น ๑.๒ ผสู้ อนชี้แจงสาระของบทเรียน และความสัมพันธ์กับความรู้และประสบการณ์ เดิมอยา่ งครา่ ว ๆ ๑.๓*ผสู้ อนช้ีแจงกระบวนการเรียนรู้ และหน้าท่ีรับผดิ ชอบของผูเ้ รียนในแต่ละ ขั้นตอน ขนั้ ที่ ๒ ข้นั นำเสนอบทเรยี น ๑๙ ทศิ นา แขมณี. ๒๕๔๕ หนา้ ๒๕๐-๒๕๑ ; อา้ งองิ จาก จอยส์ และวลี (Joyce and Weil, 1996 : p.334.

ศาสตรก์ ารสอน ๑๕๔ ๒.๑ หากเป็นการนำเสนอเน้ือหาสาระ ข้อความรู้ หรือมโนทัศน์ ผู้สอนควร กล่ันกรองและสกัดคุณสมบัติเฉพาะของมโนทัศน์เหล่าน้ัน และนำเสนออย่างชัดเจนพร้อมทั้งอธิบายและ ยกตวั อย่างประกอบใหผ้ ูเ้ รยี นเข้าใจ ตอ่ ไปจงึ สรุปคำนยิ ามของมโนทัศนเ์ หล่านน้ั ๒.๒ ตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความเข้าใจตรงตามวัตถุประสงค์ก่อนให้ผู้เรียนลง มอื ฝกึ ปฏิบตั ิ หากผูเ้ รียนยงั ไม่เขา้ ใจ ต้องสอนซอ่ มเสรมิ ใหเ้ ขา้ ใจกอ่ น ข้นั ท่ี ๓ ข้ันฝกึ ปฏบิ ตั ิตามแบบ ผู้สอนปฏิบัติให้ผู้เรียนดูเป็นตัวอย่าง ผู้เรียนปฏิบัติตาม ผู้สอนให้ข้อมูลป้อนกลับ ให้การเสรมิ แรงหรอื แก้ไขขอ้ ผดิ พลาดของผูเ้ รียน ขนั้ ท่ี ๔ ขัน้ ฝกึ ปฏิบตั ิภายใต้การกำกบั ของผู้ช้ีแนะ ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง โดยผู้สอนคอยดูแลอยู่ห่าง ๆ ผู้สอนจะสามารถ ประเมินการเรียนรู้และความสามารถของผู้เรียนได้จากความสำเร็จและความผิดพลาดของการปฏิบัติ ของ ผูเ้ รียน และช่วยเหลือผเู้ รียน โดยให้ข้อมูลปอ้ นกลับเพ่อื ใหผ้ ้เู รยี นแก้ไขข้อผิดพลาดต่าง ๆ ข้นั ท่ี ๕ การฝกึ ปฏิบัตอิ ย่างอสิ ระ หลงั จากทผ่ี ้เู รียนสามารถปฏบิ ัตติ ามข้ันท่ี ๔ ได้ถูกต้องประมาณ ๘๕- ๙๐ % แล้ว ผู้สอนควรปลอ่ ยให้ผ้เู รียนปฏบิ ตั ติ อ่ ไปอย่างอิสระ เพอื่ ช่วยให้เกิดความชำนาญและการเรียนรอู้ ยูค่ งทน ผสู้ อนไม่จำเป็นต้องใหข้ ้อมลู ป้อนกลับในทันที สามารถใหภ้ ายหลังได้ การฝึกในขนั้ นี้ไม่ควรทำติดตอ่ กันในครั้ง เดียว ควรมกี ารฝกึ เปน็ ระยะๆ เพ่อื ช่วยใหก้ ารเรียนรู้อย่คู งทนขึ้น ง.*ผลทผี่ เู้ รียนจะได้รบั จากการเรียนตามรปู แบบ การเรียนการสอนแบบนี้ เป็นไปตามลำดับขั้นตอน ตรงไปตรงมา ผู้เรียนเกิดการ เรียนรทู้ ั้งทางด้านพุทธิพิสัย และทักษะพิสัยได้เร็วและไดม้ ากในเวลาท่ีจำกัด ไม่สับสน ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติตาม ความสามารถของตน จนสามารถบรรลุวตั ถุประสงค์ ทำให้ผเู้ รยี นมีแรงจงู ใจในการเรยี น และมีความรู้สกึ ทด่ี ีต่อ ตนเอง ๕.๒ รูปแบบการเรยี นการสอนโดยการสรา้ งเร่ือง (Storyline Method) ก. ทฤษฎี/หลกั การ/แนวคิดของรูปแบบ การจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธกี ารสร้างเร่อื ง พัฒนาข้ึนโดย ดร. สตฟี เบล็ และแซลลี่ ฮาร์คเนส (Steve Bell and Sally Harkness) จากสก็อตแลนด์ เขามีความเชื่อเกี่ยวกับการเรียนรู้ ว่า ๑) การเรยี นร้ทู ี่ดีควรมีลกั ษณะบรู ณาการหรือเปน็ สหวิทยาการคือเป็นการเรยี นร้ทู ี่ ผสมผสานศาสตรห์ ลาย ๆ อย่างเข้าด้วยกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดในการประยกุ ตใ์ ช้ในการทำงานและการดำเนิน ชวี ติ ประจำวนั ๒) การเรยี นรู้ทีด่ เี ปน็ การเรยี นรู้ที่เกดิ ขึ้นผา่ นทางประสบการณ์ตรงหรือการกระทำ หรอื การมสี ว่ นรว่ มของผเู้ รียนเอง ๓) ความคงทนของผลการเรยี นรู้ ข้ึนอยกู่ ับวธิ ีการเรียนร้หู รือวธิ ีการท่ีไดค้ วามรู้มา ๔) ผเู้ รยี นสามารถเรียนร้คู ณุ ค่าและสรา้ งผลงานท่ดี ีได้ หากมโี อกาสได้ลงมือกระทำ นอกจากความเช่อื ดังกลา่ วแลว้ การเรียนการสอนโดยวธิ กี ารสร้างเรื่องนีย้ ังใช้ หลักการเรยี นรู้และการสอนอีกหลายประการ เชน่ การเรยี นรจู้ ากส่งิ ใกลต้ วั ไปสู่วิถีชวี ติ จรงิ การสร้างองคค์ วามรู้ ด้วยตนเอง และการเรียนการสอนโดยยึดผ้เู รยี นเป็นศูนย์กลาง

ศาสตร์การสอน ๑๕๕ จากฐานความเชื่อและหลักการดังกล่าว สตีฟ เบ็ล๒๐ ได้พัฒนารูปแบบการเรียน การสอนที่มีลักษณะบูรณาการเน้ือหาหลักสูตรและทักษะการเรียนจากหลายสาขาวิชาเข้าด้วยกัน โดยให้ ผู้เรียนได้สร้างสรรค์เร่ืองข้ึนด้วยตนเอง โดยผู้สอนทำหน้าท่ีวางเส้นทางเดินเรื่องให้ การดำเนินเร่ืองแบ่งเป็น ตอน ๆ (episode) แต่ละตอนประกอบด้วยกิจกรรมย่อยที่เชื่อมโยงกันด้วยคำถามหลัก (key question) ลักษณะของคำถามหลักท่ีเชื่อมโยงเร่ืองราวให้ดำเนินไปอย่างต่อเน่ืองมี ๔ คำถามได้แก่ ท่ีไหน ใคร ทำอะไร/ อย่างไร และมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ผู้สอนจะใช้คำถามหลักเหล่านี้เปิดประเด็น ให้ผู้เรียนคิดร้อยเรียง เรื่องราวด้วยตนเอง รวมท้ังสร้างสรรค์ชิ้นงานประกอบกันไป การเรียนการสอนด้วยวิธีการดังกล่าวจึงช่วยให้ ผู้เรียนมีโอกาสได้ใช้ประสบการณ์และความคิดของตนอย่างเต็มที่ และมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความรู้ความคิด กัน อภปิ รายร่วมกนั และเกดิ การเรียนรูอ้ ย่างกวา้ งขวาง ข. วตั ถุประสงคข์ องรูปแบบ เพอ่ื ช่วยพัฒนาความรู้ ความเขา้ ใจและเจตคตขิ องผู้เรียนในเรอ่ื งทเี่ รียนรวมท้งั ทกั ษะ กระบวนต่าง ๆ เช่น ทักษะการคิด ทักษะการทำงานรว่ มกับผู้อ่ืน ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการส่ือสาร เป็น ต้น ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบ การเรยี นการสอนตามรปู แบบนี้จำเปน็ ตอ้ งมีการวางแผนและจัดเตรยี มวัสดอุ ุปกรณ์ ลว่ งหน้า โดยดำเนินการดังน้ี ขนั้ ท่ี ๑ การกำหนดเส้นทางเดินเรื่องใหเ้ หมาะสม ผู้สอนจำเป็นต้องวิเคราะห์จุดมุ่งหมายและเนื้อหาสาระของหลักสูตร และ เลอื กหัวข้อเร่ืองใหส้ อดคล้องกบั เนอื้ หาสาระของหลักสูตรทตี่ ้องการจะใหผ้ ู้เรียนไดเ้ รียนรู้ และจดั แผนการสอน ในรายละเอียด เส้นทางเดินเร่ือง ประกอบด้วย ๔ องก์ (episode) หรือ ๔ ตอนด้วยกัน คือ ฉาก ตัวละคร วถิ ี ชวี ติ และเหตกุ ารณ์ ในแต่ละองก์ ผู้สอนจะต้องกำหนดประเด็นหลักขนึ้ มาแล้วต้ังเป็นคำถามนำให้ผเู้ รียนศึกษา หาคำตอบ ซ่ึงคำถามเหล่าน้ีจะโยงไปยังคำตอบท่ีสัมพันธ์กับเน้ือหาวิชาต่าง ๆ ที่ประสงค์จะบูรณาการเข้า ดว้ ยกนั ขน้ั ที่ ๒ การดำเนนิ กิจกรรมการเรียนการสอน ผสู้ อนดำเนินการตามแผนการสอนไปตามลำดับ การเรียนการสอนแบบนี้ อาจใช้เวลาเพยี งไม่ก่ีคาบ หรือตอ่ เนอ่ื งกันเป็นภาคเรียนก็ได้ แล้วแต่หัวเร่ืองและการบูรณาการวา่ สามารถทำได้ ครอบคลุมเพียงใด แต่ไม่ควรใช้เวลาเกิน ๑ ภาคเรียน เพราะผู้เรียนอาจเกิดความเบื่อหน่าย ในการเริ่ม กิจกรรมใหม่ ผู้สอนควรเช่ือมโยงกับเรื่องที่ค้างไว้เดิมให้สานต่อกันเสมอ และควรให้ผู้เรียนสรุปความคิดรวบ ยอดของแต่ละกิจกรรม ก่อนจะข้ึนกิจกรรมใหม่ นอกจากนั้นควรกระตุ้นให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าข้อมูลจาก แหล่งความรู้ทหี่ ลากหลาย เปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รียนช่นื ชมผลงานของกันและกัน และไดป้ รบั ปรุงพฒั นางานของตน ขนั้ ท่ี ๓ การประเมิน ผ้สู อนใช้การประเมนิ ผลตามสภาพท่แี ทจ้ รงิ (authentic assessment) คอื การประเมินจากการสังเกต การบันทึก และการรวบรวมข้อมูลจากผลงานและการแสดงออกของผู้เรียน การ ประเมินจะไม่เน้นเฉพาะทักษะพื้นฐานเท่าน้ัน แต่จะรวมถึงทักษะการคิด การทำงาน การร่วมมือ การ แก้ปัญหา และอื่น ๆ การประเมินให้ความสำคัญในการประสบผลสำเร็จในการทำงานของผู้เรียนแต่ละคน มากกวา่ การประเมินผลการเรยี นที่มงุ่ ใหค้ ะแนนผลผลิตและจัดลำดบั ท่ีเปรยี บเทยี บกบั กลุม่ ๒๐ ศูนย์ส่งิ แวดลอ้ มศึกษาและโลกศกึ ษา คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๒ หน้า ๔.

ศาสตร์การสอน ๑๕๖ ง. ผลทผ่ี ู้เรียนจะไดร้ บั จาการเรยี นรตู้ ามรปู แบบ ผู้เรียนจะเกดิ ความรู้ ความเข้าใจในเร่ืองทเี่ รยี น ในระดบั ทส่ี ามารถวเิ คราะห์และ สงั เคราะห์ได้ รวมท้งั ได้พฒั นาทกั ษะกระบวนการต่าง ๆ ๕.๓ รปู แบบการเรยี นการสอนตามวัฏจกั รการเรียนรู้ ๔ MAT ก. ทฤษฎี/หลกั การ/แนวคิดของรูปแบบ แมค็ คาร์ธี๒๑ พัฒนารปู แบบการเรียนการสอนนี้ขน้ึ จากแนวคดิ ของโคล์ป (Kolb) ซึ่ง อธิบายว่า การเรียนรู้เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ของ ๒ มิติ คือการรับรู้ และกระบวนการจัดกระทำข้อมูล การ รับรู้ของบุคคลมี ๒ ช่องทาง คือผ่านทางประสบการณ์ท่ีเป็นรูปธรรม และผ่านทางความคิดรวบยอดท่ีเป็น นามธรรม ส่วนการจัดกระทำกับข้อมูลที่รับรู้น้ัน มี ๒ ลักษณะเช่นเดียวกัน คือการลงมือทดลองปฏิบัติ และ การสังเกตโดยใช้ความคิดอย่างไตร่ตรอง เมื่อลากเส้นตรงของช่องทางการรับรู้ ๒ ช่องทาง และเส้นตรงของ การจดั กระทำขอ้ มูลเพือ่ ให้เกิดการเรยี นรู้มาตัดกนั แลว้ เขียนเป็นวงกลมจะเกดิ พ้ืนที่เป็น ๔ ส่วนของวงกลม ซึ่ง สามารถแทนลกั ษณะการเรยี นร้ขู องผ้เู รยี น ๔ แบบ คือ แบบท่ี ๑ เป็นผู้เรียนที่ถนัดจินตนาการ (imaginative learners) เพราะมีการรับรู้ผ่านทาง ประสบการณท์ เ่ี ป็นรูปธรรม และใช้กระบวนการจัดกระทำข้อมูลด้วยการสงั เกตอย่างไตร่ตรอง แบบที่ ๒ เป็นผู้เรียนท่ีถนัดการวิเคราะห์ ( analytic learners) เพราะมีการรับรู้ผ่านทางความคิด รวบยอดทีเ่ ป็นนามธรรม และชอบใช้กระบวนการสงั เกตอย่างไตร่ตรอง แบบที่ ๓ เป็นผู้เรียนท่ีถนัดใช้สามัญสำนึก (commonsense learners) เพราะมีการรับรู้ผ่านทาง ความคิดรวบยอดทเ่ี ป็นนามธรรม และชอบใช้กระบวนการลงมอื ทำ แบบที่ ๔ เป็นผู้เรียนที่ถนัดในการปรับเปล่ียน (dynamic learners) เพราะมีการรับรู้ผ่านทาง ประสบการณท์ ี่เปน็ รูปธรรม และชอบใชก้ ระบวนการลงมอื ปฏิบตั ิ แมค็ คาร์ธี และคณะ๒๒ ได้นำแนวคดิ ของโคล์ป มาประกอบกับแนวคดิ เก่ียวกับการทำงานของสมองท้ัง สองซีก ทำให้เกิดเป็นแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้คำถามหลัก ๔ คำถามคือ ทำไม (Why) อะไร (What) อย่างไร (How) และถ้า (If) ซึ่งสามารถพัฒนาผู้เรียนท่ีมีลักษณะการเรียนรู้แตกต่างกันทั้ง ๔ แบบ ให้สามารถใช้สมองทกุ สว่ นของตนในการพัฒนาศักยภาพของตนได้อยา่ งเต็มที่ ข. วตั ถุประสงค์ของรูปแบบ เพื่อชว่ ยให้ผ้เู รียนมีโอกาสไดใ้ ช้สมองทุกส่วน ท้ังซีกซ้ายและขวา ในการสร้าง ความรูค้ วามเข้าใจใหแ้ กต่ นเอง ค. กระบวนการเรียนการสอนของรปู แบบ การเรียนการสอนตามวฏั จกั รการเรยี นรู้ ๔ MAT มขี ้ันตอนดำเนนิ การ ๘ ขัน้ ๒๓ดงั นี้ ข้ันที่ ๑ การสร้างประสบการณ์ ผู้สอนเริ่มต้นจากการจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียน เหน็ คุณค่าของเรอื่ งทเี่ รียนด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยใหผ้ ้เู รยี นตอบไดว้ า่ ทำไม ตนจึงต้องเรยี นรเู้ ร่ืองนี้ ข้ันที่ ๒ การวิเคราะห์ประสบการณ์ หรือสะท้อนความคิดจากประสบการณ์ ช่วย ให้ผ้เู รียนเกิดความตระหนักรู้ และยอมรบั ความสำคัญของเรอ่ื งทเี่ รยี น ๒๑ แม็ค คารธ์ ี (Mc Carthy, อ้างถึงใน ศักดิช์ ัย นิรญั ทวี และไพเราะ พมุ่ มั่น, ๒๕๔๒: ๗-๑๑. ๒๒ แม็คคาร์ธี และคณะ อ้างใน ศกั ดิช์ ัย นิรญั ทวี และไพเราะ พุ่มมนั่ , ๒๕๔๒: ๗-๑๑. ๒๓ ศกั ดิ์ชัย นิรัญทวี และไพเราะพุม่ มนั่ , วฎั จักรการเรียนร(ู้ 4 MAT) การจัดกระบวนการเรียนร้เู พื่อการส่งเสริม คณุ ลักษณะเก่ง ดี มีสุข. กรงุ เทพฯ : แวน่ แกว้ . ๒๕๔๒ หน้า ๑๑-๑๖.

ศาสตรก์ ารสอน ๑๕๗ ขัน้ ที่ ๓ การพัฒนาประสบการณ์เป็นความคิดรวบยอดหรือแนวคิด เม่ือผู้เรียนเห็น คุณค่าของเร่ืองที่เรียนแล้ว ผู้สอนจึงจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถสร้างความคิดรวบยอดข้ึน ด้วยตนเอง ขั้นที่ ๔ การพัฒนาความรู้ความคิด เม่ือผู้เรียนมีประสบการณ์และเกิดความคิด รวบยอดหรือแนวคิดพอสมควรแล้ว ผู้สอนจึงกระตุ้นให้ผู้เรียนพัฒนาความรู้ความคิดของตนให้กว้างขวางและ ลึกซึ้งขึ้น โดยการใหผ้ ้เู รยี นศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติมจากแหลง่ ความรู้ที่หลากหลาย การเรยี นรู้ในขั้นที่ ๓ และ ๔ นี้ คือการตอบคำถามวา่ ส่ิงท่ไี ดเ้ รยี นรคู้ ือ อะไร ขั้นที่ ๕ การปฏิบัติตามแนวคิดที่ได้เรียนรู้ ในข้ันน้ีผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนนำ ความรูค้ วามคดิ ทไ่ี ด้รบั จากการเรียนรูใ้ นข้ันที่ ๓-๔ มาทดลองปฏบิ ัติจรงิ และศกึ ษาผลทเี่ กดิ ข้นึ ขนั้ ที่ ๖ การสร้างสรรค์ช้ินงานของตนเอง จากการปฏิบัติตามแนวคดิ ท่ีได้เรยี นร้ใู น ข้ันที่ ๕ ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ถึงจุดเด่นจุดด้อยของแนวคิด ความเข้าใจแนวคิดนั้นจะกระจ่างขึ้น ในขั้นน้ี ผู้สอนควรกระตุ้นให้ผู้เรียนพัฒนาความสามารถของตน โดยการนำความรู้ความเข้าใจน้ันไปใช้หรือปรับ ประยุกต์ใช้ในการสร้างช้ินงานที่เป็นความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง ดังน้ันคำถามหลักที่ใช้ในข้ันท่ี ๕-๖ ก็คือ จะทำอย่างไร ขั้นที่ ๗ การวิเคราะห์ผลงานและแนวทางในการนำไปประยุกต์ใช้ เมื่อผู้เรียนได้ สร้างสรรค์ชิ้นงานของตนตามความถนัดแล้ว ผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงผลงานของตน ช่ืนชมกับ ความสำเร็จ และเรียนรู้ท่ีจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ รวมท้ังรับฟังข้อวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อการปรับปรุง งานของตนใหด้ ขี น้ึ และนำไปประยกุ ตใ์ ช้ต่อไป ขั้นท่ี ๘ การแลกเปล่ียนความรู้ความคิด ขั้นน้ีเป็นขั้นขยายขอบข่ายของความรู้ โดยการแลกเปล่ียนความรู้ความคิดแก่กันและกัน และร่วมกันอภิปรายเพ่ือการนำการเรียนรู้ไปเช่ือมโยงกับ ชีวิตจริงและอนาคต คำถามหลักในการอภิปรายก็คือ ถ้า....? ซึ่งอาจนำไปสู่การเปิดประเด็นใหม่สำหรับ ผเู้ รียน ในการเร่ิมตน้ วัฏจกั รของการเรยี นร้ใู นเรือ่ งใหมต่ อ่ ไป ง . ผลทผี่ ู้เรียนจะไดร้ ับจากการเรยี นรตู้ ามรูปแบบ ผู้เรียนจะสามารถสร้างความรู้ด้วยตนเองในเร่ืองท่ีเรียน จะเกิดความรู้ความเข้าใจ และนำความรู้ความเข้าใจน้ันไปใช้ได้ และสามารถสรา้ งผลงานท่ีเป็นความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง รวมท้ังได้ พฒั นาทกั ษะกระบวนการตา่ ง ๆ อกี จำนวนมาก ๕.๔ รปู แบบการเรยี นการสอนของการเรยี นรู้แบบร่วมมือ (Instructional Models of Cooperative Learning) ก.* ทฤษฎี/หลักการ/แนวคดิ ของรูปแบบ รูปแบบการเรียนการสอนของแนวคิดแบบร่วมมือ พัฒนาขึ้นโดยอาศัย หลักการเรียนรู้ แบบร่วมมือของจอห์นสัน และจอห์นสัน๒๔ ซึ่งได้ช้ีให้เห็นว่า ผู้เรียนควรร่วมมือกันในการเรียนรู้มากกว่าการ แข่งขันกัน เพราะการแข่งขันก่อให้เกิดสภาพการณ์แพ้-ชนะ ต่างจากการร่วมมือกันซึ่งก่อให้เกิดสภาพการณ์ ชนะ-ชนะ อันเป็นสภาพการณ์ท่ีดีกว่าทั้งทางด้านจิตใจและสติปัญญา หลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ ๕ ประการ ประกอบดว้ ย (๑) การเรยี นรตู้ ้องอาศัยหลกั พงึ่ พากันโดยถือว่าทุกคนมีความสำคัญเท่าเทียมกนั และจะตอ้ ง พงึ พากันเพอ่ื ความสำเร็จรว่ มกนั ๒๔ Johnson, D.W.,& Johnson, R.T. Instructional Goal Structure: Competitive, orIndividualistic. Review of Educational Research, (1974). P. 213-240.

ศาสตรก์ ารสอน ๑๕๘ (๒) การเรียนร้ทู ่ดี ตี ้องอาศัยการหันหนา้ เขา้ หากนั มีปฏสิ ัมพนั ธก์ ันเพื่อแลกเปล่ยี นความ คดิ เหน็ ข้อมูล และการเรยี นร้ตู า่ ง ๆ (๓) การเรยี นรูร้ ว่ มกันต้องอาศยั ทกั ษะทางสังคม โดยเฉพาะทักษะในการทำงานรว่ มกัน (๔) การเรยี นรรู้ ว่ มกันควรมกี ารวเิ คราะห์กระบวนการกล่มุ ท่ีใชใ้ นการทำงาน (๕) การเรียนรรู้ ว่ มกันจะต้องมผี ลงานหรอื ผลสมั ฤทธิ์ ท้ังรายบคุ คลและรายกลมุ่ ท่ีสามารถตรวจสอบและวัดประเมินได้ หากผู้เรยี นมีโอกาสได้ เรียนรแู้ บบรว่ มมือกนั นอกจากจะช่วยใหผ้ ู้เรยี นเกดิ การเรยี นรทู้ างดา้ นเน้ือหาสาระต่าง ๆ ไดก้ ว้างข้นึ และ ลึกซึ้งขึน้ แล้วยังสามารถชว่ ยพัฒนาผเู้ รียนทางดา้ นสงั คมและอารมณ์มากขน้ึ ดว้ ย รวมทง้ั มีโอกาสไดฝ้ ึกฝน พฒั นาทกั ษะกระบวนการต่าง ๆ ท่ีจำเป็นตอ่ การดำรงชีวติ อกี มาก ข. *วัตถปุ ระสงคข์ องรูปแบบ รปู แบบนม้ี งุ่ ให้ผเู้ รยี นได้เรยี นรูเ้ น้ือหาสาระต่าง ดว้ ยตนเองและด้วยความรว่ มมือและความ ช่วยเหลอื จากเพ่ือน ๆ รวมท้ังได้พัฒนาทักษะสงั คมต่าง ๆ เชน่ ทกั ษะการสอื่ สาร ทักษะการทำงานรว่ มกับผู้อ่นื ทกั ษะการสร้างความสัมพนั ธ์ รวมทัง้ ทกั ษะแสวงหาความรู้ ทักษะการคดิ การแก้ปัญหาและอ่นื ๆ ค. *กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบ รูปแบบการเรียนการสอนที่ส่งเสรมิ การเรียนรู้แบบร่วมมือมีหลายรูปแบบ ซ่ึงแต่ละรูปแบบจะ มีวิธีการหลัก ๆ ซึ่งได้แก่ การจัดกลุ่ม การศึกษาเนื้อหาสาระ การทดสอบ การคิดคะแนน และระบบการให้ รางวัลแตกต่างกันออกไป เพ่ือสนองวัตถุประสงค์เฉพาะ แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ต่างก็ใช้หลักการเดียวกัน คือหลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ ๕ ประการ และมีวัตถุประสงค์มุ่งตรงไปในทิศทางเดียวกัน คือเพ่ือช่วยให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องที่ศึกษาอย่างมากที่สุดโดยอาศัยการร่วมมือกัน ช่วยเหลือกัน และแลกเปล่ียน ความรู้กันระหว่างกลุ่มผู้เรียนด้วยกัน ความแตกต่างของรูปแบบแต่ละรูปแบบจะอยู่ท่ีเทคนิคในการศึกษา เนื้อหาสาระ และวิธีการเสริมแรงและการให้รางวัลเป็นประการสำคัญ เพ่ือความกระชับในการนำเสนอ ผู้เขยี นจงึ จะนำเสนอกระบวนการเรียนการสอนของรปู แบบทัง้ ๖ รูปแบบต่อเน่อื งกันดังน้ี ๑. *กระบวนการเรียนการสอนของรปู แบบจ๊กิ ซอร์ (Jigsaw) ๑.๑ จัดผเู้ รยี นเขา้ กลุม่ คละความสามารถ (เกง่ -กลาง-ออ่ น) กลุ่มละ ๔ คน และ เรียกกล่มุ นวี้ ่า กล่มุ บ้านของเรา (home group) ๑.๒ สมาชิกในกลุ่มบ้านของเราได้รับมอบหมายให้ศึกษาเนื้อหาสาระคนละ ๑ ส่วน (เปรียบเสมอื นไดช้ ้นิ สว่ นภาพตัดต่อคนละ ๑ ชิ้น) และหาคำตอบในประเด็นปัญหาท่ีผู้สอนมอบหมายให้ ๑.๓ สมาชิกในกลุ่มบ้านของเรา แยกย้ายไปรวมกับสมาชิกกลุ่มอ่ืน ซ่ึงได้รับเน้ือหา เดียวกัน ตั้งเป็นกลุ่มผู้เช่ียวชาญ(expert group) ขึ้นมา และร่วมกันทำความเข้าใจในเน้ือหาสาระน้ันอย่าง ละเอียด และรว่ มกันอภิปรายหาคำตอบประเด็นปัญหาท่ีผสู้ อนมอบหมายให้ ๑.๔ สมาชิกกลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลับไปสู่กลุ่มบ้านของเรา แต่ละคนช่วยสอนเพื่อนใน กลมุ่ ให้เขา้ ใจในสาระท่ีตนได้ศกึ ษาร่วมกบั กลุ่มผูเ้ ช่ียวชาญ เช่นน้ี สมาชิกทกุ คนก็จะไดเ้ รียนรูภ้ าพรวมของสาระ ทั้งหมด ๑.๕ ผูเ้ รยี นทกุ คนทำแบบทดสอบ แต่ละคนจะได้คะแนนเปน็ รายบคุ คล และนำ คะแนนของทกุ คนในกลุ่มบ้านของเรามารวมกัน(หรอื หาคา่ เฉล่ีย) เป็นคะแนนกลมุ่ กลมุ่ ท่ีได้คะแนนสงู สุดไดร้ บั รางวัล

ศาสตรก์ ารสอน ๑๕๙ ๒. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ เอส. ที. เอ. ดี. (STAD) คำวา่ “STAD” เป็นตัวยอ่ ของ “Student Teams – Achievement Division” กระบวนการดำเนินการมดี ังนี้ ๒.๑ จัดผู้เรยี นเข้ากลมุ่ คละความสามารถ (เกง่ -กลาง-อ่อน) กลุ่มละ ๔ คน และ เรียกกล่มุ นว้ี า่ กล่มุ บ้านของเรา (home group) ๒.๒ สมาชิกในกลมุ่ บา้ นของเราได้รบั เน้อื หาสาระและศึกษาเน้ือหาสาระนน้ั รว่ มกัน เนอื้ หาสาระนน้ั อาจมหี ลายตอน ซึ่งผู้เรียนอาจต้องทำแบบทดสอบในแต่ละตอนและเกบ็ คะแนนของตนไว้ ๒.๓ ผเู้ รยี นทุกคนทำแบบทดสอบคร้ังสุดท้าย ซึง่ เป็นการทดสอบรวบยอดและนำ คะแนนของตนไปหาคะแนนพัฒนาการ ซ่ึงหาไดด้ งั นี้ คะแนนพนื้ ฐาน: ได้จากค่าเฉลยี่ ของคะแนนทดสอบย่อยหลาย ๆ ครงั้ ทีผ่ เู้ รียนแต่ละคนทำได้ คะแนนท่ีได้: ไดจ้ ากการนำคะแนนทดสอบครั้งสุดท้ายลบคะแนนพื้นฐาน คะแนนพัฒนาการ: ถา้ คะแนนที่ไดค้ ือ -๑๑ ขึ้นไป คะแนนพัฒนาการ = ๐ -๑ ถงึ -๑๐ คะแนนพัฒนาการ = ๑๐ +๑ ถงึ ๑๐ คะแนนพฒั นาการ = ๒๐ + ๑๑ ขึ้นไป คะแนนพฒั นาการ = ๓๐ ๒.๔ สมาชกิ ในกลุ่มบ้านของเรานำคะแนนพฒั นาการของแตล่ ะคนในกลมุ่ มารวมกนั เป็นคะแนนของกลมุ่ กลุ่มใดได้คะแนนพัฒนาการของกล่มุ สูงสดุ กลุ่มน้นั ไดร้ างวลั ๓. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ที. เอ. ไอ. (TAI) คำว่า “TAI” มาจาก “Team –Assisted Individualization” ซงึ่ มกี ระบวนการ ดงั นี้ ๓.๑ จัดผเู้ รียนเข้ากลมุ่ คละความสามารถ (เก่ง-กลาง-อ่อน) กล่มุ ละ ๔ คน และ เรยี กกล่มุ น้ีวา่ กลมุ่ บ้านของเรา (home group) ๓.๒ สมาชิกในกลมุ่ บา้ นของเราได้รบั เนื้อหาสาระและศึกษาเน้ือหาสาระรว่ มกนั ๓.๓ สมาชิกในกลมุ่ บา้ นของเรา จบั คูก่ ันทำแบบฝึกหดั ก.ถา้ ใครทำแบบฝึกหดั ได้ ๗๕% ขึ้นไปใหไ้ ปรับการทดสอบรวบยอดครง้ั สุดท้าย ได้ ข.ถ้ายังทำแบบฝึกหดั ได้ไม่ถึง ๗๕% ใหท้ ำแบบฝึกหัดซ่อมจนกระท่ังทำได้ แล้ว จงึ ไปรับการทดสอบรวบยอดคร้งั สดุ ท้าย ๓.๔ สมาชิกในกลมุ่ บ้านของเราแต่ละคนนำคะแนนทดสอบรวบยอดมารวมกนั เป็น คะแนนของกลุ่ม กลุ่มใดได้คะแนนสูงสดุ กลมุ่ นนั้ ได้รับรางวัล ๔. กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบ ท.ี จ.ี ที. (TGT) ตวั ยอ่ “TGT” มาจาก”Team Game Tournament” ซ่ึงมกี ารดำเนนิ การดงั นี้ ๔.๑ จดั ผูเ้ รียนเข้ากลมุ่ คละความสามารถ (เก่ง-กลาง-ออ่ น) กลุ่มละ ๔ คน และ เรยี กกลมุ่ นี้วา่ กลุ่มบ้านของเรา (home group) ๔.๒ สมาชิกในกล่มุ บา้ นของเรา ได้รับเน้อื หาสาระและศึกษาเนือ้ หาสาระร่วมกัน

ศาสตรก์ ารสอน ๑๖๐ ๔.๓ สมาชิกในกล่มุ บา้ นของเรา แยกย้ายกนั เป็นตัวแทนกลุ่มไปแข่งขันกับกลุ่มอน่ื โดยจัดกลุ่มแขง่ ขนั ตามความสามารถ คือคนเก่งในกลุ่มบา้ นของเราแตล่ ะกลุ่มไปรวมกนั คนออ่ นก็ไปรวมกับคน อ่อนของกลมุ่ อน่ื กล่มุ ใหม่ที่รวมกันน้ีเรยี กว่ากลมุ่ แขง่ ขัน กำหนดใหม้ ีสมาชกิ กลุ่มละ ๔ คน ๔.๔ สมาชิกในกลมุ่ แขง่ ขัน เร่มิ แข่งขนั กนั ดังนี้ ก. แขง่ ขันกันตอบคำถาม ๑๐ คำถาม ข. สมาชกิ คนแรกจับคำถามขึน้ มา ๑ คำถาม และอ่านคำถามให้กลุ่มฟงั ค. ใหส้ มาชิกที่อย่ซู ้ายมอื ของผอู้ า่ นคำถามคนแรกตอบคำถามก่อน ตอ่ ไปจงึ ให้ คนถัดไปตอบจนครบ ง. ผอู้ ่านคำถามเปดิ คำตอบ แล้วอ่านเฉลยคำตอบท่ีถูกให้กลุ่มฟงั จ. ใหค้ ะแนนคำตอบดงั น้ี ผตู้ อบถูกเปน็ คนแรกได้ ๒ คะแนน ผตู้ อบถกู คนต่อไปได้ ๑ คะแนน ผูต้ อบผิดได้ ๐ คะแนน ฉ. ตอ่ ไปสมาชกิ คนท่ี ๒ จับคำถามที่ ๒ และเรม่ิ เลน่ ตามขั้นตอน ข-จ ไปเรื่อยๆ จนกระท่ังคำถามหมด ช. ทกุ คนรวมคะแนนของตนเอง ผู้ไดค้ ะแนนอนั ดบั ๑ ได้โบนสั ๑๐ คะแนน ผไู้ ดค้ ะแนนอันดบั ๒ ได้โบนสั ๘ คะแนน ผู้ได้คะแนนอนั ดับ ๓ ได้โบนสั ๕ คะแนน ผูไ้ ดค้ ะแนนอันดบั ๔ ได้โบนสั ๔ คะแนน ๔.๕ เมือ่ แข่งขนั เสร็จแลว้ สมาชิกกลุม่ กลบั ไปกลุ่มบา้ นของเรา แลว้ นำคะแนนที่แต่ ละคนได้รวมเป็นคะแนนของกลุ่ม ๕. กระบวนการเรียนการสอนของรปู แบบ แอล. ท.ี (L.T) “L.T.” มาจากคำว่า Learning Together ซ่ึงมกี ระบวนการที่ง่ายไมซ่ บั ซ้อน ดงั นี้ ๕.๑ จัดผูเ้ รียนเขา้ กลมุ่ คละความสามารถ (เกง่ -กลาง-ออ่ น) กลุม่ ละ ๔ คน ๕.๒ กลุ่มย่อยกลุม่ ละ ๔ คน ศึกษาเนื้อหาร่วมกัน โดยกำหนดใหแ้ ต่ละคนมบี ทบาท หนา้ ทชี่ ่วยกลุ่มในการเรยี นรู้ ตัวอย่างเชน่ สมาชิกคนที่ ๑: อ่านคำส่งั สมาชิกคนท่ี ๒: หาคำตอบ สมาชกิ คนท่ี ๓: หาคำตอบ สมาชิกคนที่ ๔: ตรวจคำตอบ ๕.๓ กลมุ่ สรุปคำตอบรว่ มกนั และส่งคำตอบนั้นเปน็ ผลงานกลุ่ม ๕.๔ ผลงานกลมุ่ ได้คะแนนเทา่ ไร สมาชกิ ทกุ คนในกลุม่ นนั้ จะไดค้ ะแนนนั้นเทา่ กันทุก คน ๖. กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบ จ.ี ไอ. (G.I.) “G.I.” คอื “Group Investigation” รูปแบบนี้เป็นรปู แบบทส่ี ่งเสริมให้ผ้เู รียน ชว่ ยกันไปสืบค้นข้อมูลมาใชใ้ นการเรียนร้รู ว่ มกนั โดยดำเนินการเป็นขั้นตอนดงั น้ี ๖.๑ จัดผู้เรียนเข้ากล่มุ คละความสามารถ (เก่ง-กลาง-ออ่ น) กลุ่มละ ๔ คน ๖.๒ กลมุ่ ยอ่ ยศึกษาเน้ือหาสาระร่วมกนั โดย ก. แบง่ เนอื้ หาออกเป็นหวั ข้อยอ่ ย ๆ แล้วแบง่ กันไปศกึ ษาหาขอ้ มลู หรือคำตอบ ข. ในการเลอื กเน้ือหา ควรใหผ้ ู้เรยี นออ่ นเป็นผู้เลือกก่อน

ศาสตร์การสอน ๑๖๑ ๖.๓ สมาชกิ แต่ละคนไปศึกษาหาขอ้ มูล/คำตอบมาให้กล่มุ กลุ่มอภปิ รายรว่ มกนั และ สรปุ ผลการศึกษา ๖.๔ กล่มุ เสนอผลงานของกลุ่มต่อชนั้ เรียน ๗. กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบ ซี. ไอ. อาร.์ ซ.ี (CIRC) รูปแบบ CIRC หรือ “Cooperative Integrated Reading and Composition” เป็นรูปแบบการเรียนการสอนแบบร่วมมือที่ใช้ในการสอนอ่านและเขียนโดยเฉพาะ รูปแบบนี้ประกอบด้วย กจิ กรรมหลัก ๓ กิจกรรมคือ กิจกรรมการอา่ นแบบเรยี น การสอนการอ่านเพื่อความเข้าใจ และการบูรณาการ ภาษากบั การเรียน โดยมีข้นั ตอนในการดำเนนิ การดังน้ี(Slavin, ๑๙๙๕: ๑๐๔-๑๑๐) ๗.๑ ครูแบ่งกลุ่มนักเรยี นตามระดับความสามารถในการอ่าน นกั เรียนในแตล่ ะกลมุ่ จบั คู่ ๒ คน หรอื ๓ คน ทำกิจกรรมการอ่านแบบเรียนร่วมกนั ๗.๒ ครูจัดทมี ใหมโ่ ดยใหน้ ักเรียนแต่ละทมี ต่างระดบั ความสามารถอย่างน้อย ๒ ระดับ ทีมทำกจิ กรรมร่วมกนั เช่น เขียนรายงาน แต่งความ ทำแบบฝึกหัดและแบบทดสอบตา่ ง ๆ และมีการให้ คะแนนของแต่ละทมี ทมี ใดไดค้ ะแนน ๙๐% ขน้ึ ไป จะไดร้ ับประกาศนียบัตรเป็น “ซุปเปอรท์ ีม” หากได้คะแนนตง้ั แต่ ๘๐-๘๙% ก็จะได้รับรางวัลรองลงมา ๗.๓ ครูพบกลุ่มการอ่านประมาณวันละ ๒๐ นาที แจ้งวัตถุประสงค์ในการอ่าน แนะนำคำศัพท์ใหม่ ๆ ทบทวนศัพท์เก่า ต่อจากน้ันครูจะกำหนดและแนะนำเร่ืองที่อ่านแล้วให้ผู้เรียนทำ กิจกรรมต่าง ๆ ตามท่ีผู้เรียนจัดเตรียมไว้ให้ เช่นอ่านเรื่องในใจแล้วจับคู่อ่านออกเสียงให้เพื่อนฟังและช่วยกัน แก้จุดบกพรอ่ ง หรือครอู าจจะใหน้ กั เรียนชว่ ยกันตอบคำถาม วิเคราะหต์ วั ละคร วเิ คราะหป์ ัญหาหรือทำนายว่าเรื่องจะเปน็ อย่างไรต่อไปเป็นต้น ๗.๔ หลังจากกิจกรรมการอ่าน ครูนำอภิปรายเร่ืองท่ีอ่าน โดยครูจะเน้นการฝึก ทักษะต่าง ๆ ในการอ่าน เช่น การจับประเดน็ ปัญหา การทำนาย เปน็ ตน้ ๗.๕ นักเรียนรับการทดสอบการอา่ นเพ่ือความเข้าใจ นักเรียนจะได้รับคะแนนเป็น ทัง้ รายบุคคลและทีม ๗.๖ นักเรียนจะได้รับการสอนและฝึกทักษะการอ่านสัปดาห์ละ ๑ วัน เช่น ทักษะ การจับใจความสำคญั ทักษะการอา้ งอิง ทักษะการใชเ้ หตุผล เปน็ ตน้ ๗.๗ นักเรียนจะได้รับชุดการเรียนการสอนเขียน ซึ่งผู้เรียนสามารถเลือกหัวข้อการ เขียนได้ตามความสนใจ นักเรียนจะช่วยกันวางแผนเขียนเร่ืองและช่วยกันตรวจสอบความถูกต้องและในที่สุด ตีพิมพ์ผลงานออกมา ๗.๘ นักเรียนจะได้รับการบ้านให้เลอื กอ่านหนงั สือทีส่ นใจ และเขียนรายงานเร่ืองที่ อ่านเป็นรายบุคคล โดยให้ผู้ปกครองชว่ ยตรวจสอบพฤติกรรมการอ่านของนักเรยี นทีบ่ า้ น โดยมแี บบฟอร์มให้ ๘. กระบวนการเรยี นการสอนของรปู แบบคอมเพล็กซ์ (Complex Instruction) รูปแบบน้ีพัฒนาขึ้นโดย เอลิซาเบธ โคเฮน และคณะ (Elizabeth Cohen) เป็น รูปแบบที่คล้ายคลึงกับรูปแบบ จี. ไอ. เพียงแต่จะสืบเสาะหาความรู้เป็นกลุ่มมากกว่าการทำเป็นรายบุคคล นอกจากนนั้ งานที่ให้ยังมีลกั ษณะของการประสานสมั พันธ์ระหว่างความรกู้ ับทักษะหลายประเภท และเน้นการ ให้ความสำคัญกับผู้เรียนเป็นรายบุคคล โดยการจัดงานให้เหมาะสมกบั ความสามารถและความถนัดของผ้เู รียน แต่ละคน ดังน้ันครูต้องค้นหาความสามารถเฉพาะทางของผู้เรียนท่ีออ่ น โคเฮน เชอื่ วา่ หากผูเ้ รยี นไดร้ ับรู้ว่าตน มีความถนัดในด้านใด จะช่วยให้ผู้เรียนมีแรงจงู ใจในการพัฒนาตนเองในดา้ นอ่ืน ๆ ด้วย รปู แบบนี้จะไม่มีกลไก

ศาสตร์การสอน ๑๖๒ การให้รางวัล เน่ืองจากเป็นรูปแบบท่ีได้ออกแบบให้งานท่ีแต่ละบุคคลทำ สามารถสนองตอบความสนใจของ ผูเ้ รียนและสามารถจงู ใจผูเ้ รียนแต่ละคนอยู่แลว้ ง. ผลท่ีผเู้ รียนจะไดร้ ับจากการเรยี นตามรูปแบบ ผเู้ รยี นจะเกิดการเรียนรู้เน้ือหาสาระดว้ ยตนเองและด้วยความร่วมมือและชว่ ยเหลือจาก เพ่ือน ๆ รวมท้ังได้พัฒนาทักษะกระบวนการต่าง ๆ จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทักษะการทำงานร่วมกับ ผ้อู ่ืน ทกั ษะการประสานสมั พันธ์ ทักษะการคดิ ทักษะการแสวงหาความรู้ ทกั ษะการแกป้ ัญหา ฯลฯ ๗.๓ รูปแบบการเรยี นการสอนท่ีพฒั นาขึน้ โดยนกั การศึกษาไทย ๗.๓.๑ รปู แบบการเรยี นการสอนทักษะกระบวนการเผชิญสถานการณ์ ก. ทฤษฎ/ี แนวคิด/หลักการของรปู แบบ๒๕ ได้พัฒนารูปแบบการเรยี นการสอนน้ีขึ้นมาจากแนวคิดที่ว่า การศึกษาท่ีแท้ควรสอดคล้องกับ การดำเนินชีวิต ซึ่งต้องเผชิญกับการเปล่ียนแปลงต่าง ๆ ซึ่งมีท้ังทุกข์ สุข ความสมหวังและความผิดหวังตา่ ง ๆ การศึกษาท่ีแท้ควรช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ที่จะเผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น และสามารถเอาชนะ ปัญหาเหล่านั้น โดย (๑) การเผชิญ ได้แกก่ ารเรียนรู้ท่ีจะเขา้ ใจภาวะที่ต้องเผชิญ (๒) การผจญ คือการเรียนรู้ท่ี จะต่อสู้กับปัญหาอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและมีหลักการ (๓) การผสมผสาน ได้แก่การเรียนรู้ท่ีจะ ผสมผสานวธิ ีการต่าง ๆ เพือ่ นำไปใช้แก้ปญั หาให้สำเรจ็ (๔) การเผด็จ คือการแก้ปัญหาใหห้ มดไป โดยไมก่ ่อให้เกิดปัญหาสืบเน่ืองตอ่ ไปอีก สมุ น อมรววิ ัฒน์ ไดน้ ำแนวคดิ ดงั กลา่ วผสมผสานกบั หลักพุทธธรรมเกี่ยวกับการสรา้ งศรัทธา และโยนโิ สมนสกิ าร และจัดเปน็ กระบวนการเรยี นการสอนขึน้ เพ่ือนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน ข. วัตถุประสงคข์ องรปู แบบ รูปแบบน้ีมุ่งพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาและทักษะกระบวนการต่าง ๆ จำนวนมาก อาทิ กระบวนการคิด (โยนิโสมนสิการ) กระบวนการเผชิญสถานการณ์ กระบวนการแสวงหาความรู้ กระบวนการ ประเมินค่าและตัดสินใจ กระบวนการสื่อสาร ฯลฯ รวมทง้ั พฒั นาคุณธรรม จริยธรรม ในการแก้ปัญหาและการ ดำรงชีวติ ค.*กระบวนการเรยี นการสอนของรปู แบบ กระบวนการดำเนนิ การมีดังน้ี๒๖ ๑. ขนั้ นำ การสรา้ งศรัทธา ๑.๑ ผู้สอนจัดสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศในช้ันเรียนให้เหมาะสมกับเน้ือหาของ บทเรยี น และเรา้ ใจให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของบทเรียน ๑.๒ ผ้สู อนสรา้ งความสมั พนั ธท์ ี่ดีกบั ผู้เรยี น แสดงความรัก ความเมตตา ความ จรงิ ใจต่อผู้เรียน ๒. ขน้ั สอน ๒.๑ ผู้สอนหรือผเู้ รียนนำเสนอสถานการณ์ปัญหา หรือกรณีตวั อยา่ ง มาฝึก ทักษะการคดิ และการปฏบิ ตั ใิ นกระบวนการเผชิญสถานการณ์ ๒๕ สมุ น อมรววิ ัฒน,์ สมบัตทิ ิพย์ของการศึกษาไทย, กรุงเทพฯ: โรงพมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั , ๒๕๓๓ หน้า ๑๖๘-๑๗๐. ๒๖ สุมน อมรววิ ัฒน์, อ้างแลว้ เรอื่ งเดยี วกนั , หน้า ๑๔๖-๑๕๕.

ศาสตร์การสอน ๑๖๓ ๒.๒ ผู้เรียนฝึกทักษะการแสวงหาและรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง ความรู้และ หลักการต่าง ๆ โดยฝึกหัดการตรวจสอบข้อมูลข่าวสารกับแหล่งอ้างอิงหลาย ๆ แหล่ง และตรวจสอบลักษณะ ของข้อมูลข่าวสารว่าเป็นข้อมูลข่าวสารที่ง่ายหรือยาก ธรรมดาหรือซับซ้อน แคบหรือกว้าง คลุมเครือหรือ ชัดเจน มีความจริงหรือความเท็จมากกว่า มีองค์ประกอบเดียวหรือหลายองค์ประกอบ มีระบบหรือยุ่งเหยิง สับสน มีลักษณะเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม มีแหล่งอา้ งอิงหรือเล่อื นลอย มีเจตนาดหี รอื รา้ ย และเป็นส่ิงที่ควร รหู้ รือไม่ควรรู้ ๒.๓ ผู้เรียนฝึกสรปุ ประเด็นสำคัญ ฝึกการประเมินค่า เพ่ือหาแนวทางแก้ปัญหาว่า ทางใดดีท่ีสุด โดยใช้วิธีคิดหลาย ๆ วิธี (โยนิโสมนสิการ) ได้แก่ การคิดสืบสาวเหตุปัจจัย การคิดแบบแยกแยะ ส่วนประกอบ การคิดแบบสามัญลักษณ์ คือคิดแบบแก้ปัญหา คิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ คือคิดให้เข้าใจ ความสัมพันธร์ ะหว่างหลักการและความมุ่งหมาย คิดแบบคุณโทษทางออก คิดแบบคุณค่าแท้-คุณค่าเทียม คิด แบบใช้อุบายปลกุ เร้าคณุ ธรรม และคดิ แบบเป็นอยู่ในขณะปัจจุบัน ๒.๔ ผเู้ รยี นฝึกทกั ษะการเลอื กและตดั สนิ ใจ โดยฝึกการประเมินค่าตามเกณฑ์ท่ี ถกู ต้อง ดงี าม เหมาะสม ฝึกการวิเคราะหผ์ ลดี ผลเสียทจี่ ะเกดิ ขึน้ จากทางเลือกต่าง ๆ และฝึกการใชห้ ลกั การ ประสบการณ์ และการทำนาย มาใช้ในการเลอื กหาทางเลือกท่ีดีทีส่ ดุ ๒.๕ ผเู้ รียนลงมือปฏิบัตติ ามทางเลือกท่ีได้เลือกไว้ ผูส้ อนให้คำปรกึ ษาแนะนำ ฉนั ท์กัลยาณมิตร โดยปฏบิ ัตใิ หเ้ หมาะสมตามหลักสัปปรุ ิสธรรม ๗ ๓. ขัน้ สรปุ ๓.๑ ผเู้ รียนแสดงออกด้วยวธิ กี ารต่าง ๆ เช่น การพูด การเขยี น แสดง หรอื กระทำในรูปแบบตา่ ง ๆ ที่เหมาะสมกับความสามารถและวัย ๓.๒ ผู้เรียนและผู้สอนสรุปบทเรยี น ๓.๓ ผสู้ อนวัดและประเมินผลการเรยี นการสอน ง. ผลทผ่ี เู้ รียนจะไดร้ ับจากการเรียนตามรูปแบบ ผูเ้ รยี นจะได้พัฒนาความสามารถในการเผชิญปัญหา และสามารถคดิ และตัดสนิ ใจได้ อย่างเหมาะสม ๗.๓.๒ รปู แบบการเรียนการสอนโดยสร้างศรัทธาและโยนโิ สมนสิการ๒๗ ก.* ทฤษฎ/ี หลกั การ/แนวคดิ ของรปู แบบ ในปี พ.ศ.๒๕๒๖ สุมน อมรวิวัฒน์ นักการศึกษาไทยผู้มีชื่อเสียงและมีผลงานทางวิชาการ จำนวนมาก ได้นำแนวคิดจากหนังสือพุทธธรรมของพระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)เก่ยี วกบั การสร้างศรัทธา และโยนิโสมนสิการ มาสร้างเป็นหลกั การและข้ันตอนการสอนตามแนวพทุ ธวธิ ีข้นึ รูปแบบการเรียนการสอนน้ี พัฒนาขึน้ จากหลักการที่ว่า ครูเป็นบุคคลสำคัญท่ีสามารถจัดสภาพแวดล้อม แรงจูงใจ และวิธีการสอนให้ศิษย์ เกิดศรัทธาที่จะเรียนรู้ การได้ฝึกฝนวิธีการคิดโดยแยบคายและนำไปสู่การปฏิบัติจนประจักษ์จริง โดยครูทำ หน้าท่ีเป็นกัลยาณมิตรช่วยให้ศิษย์ได้มีโอกาสคิด และแสดงออกอย่างถูกวิธี จะช่วยพัฒนาให้ศิษย์เกิดปัญญา และแก้ปญั หาได้อย่างเหมาะสม๒๘ ข. วตั ถปุ ระสงค์ของรูปแบบ รูปแบบน้มี ุ่งพัฒนาความสามารถในการคิด(โยนิโสมนสิการ) การตัดสนิ ใจ การแกป้ ญั หาที่ เกยี่ วข้องกับเน้ือหาสาระที่เรยี น ๒๗ สมุ น อมรวิวัฒน,์ อา้ งแล้ว เร่ืองเดียวกัน, หน้า ๑๔๖-๑๕๕. ๒๘ สมุ น อมรวิวัฒน์, อ้างแล้ว เรือ่ งเดียวกัน, หนา้ ๑๖๑.

ศาสตรก์ ารสอน ๑๖๔ ค. กระบวนการเรียนการสอนของรปู แบบ (สุมน อมรววิ ัฒน์, ๒๕๓๓: ๑.*ขั้นนำ การสรา้ งเจตคติท่ีดีต่อครู วิธีการเรียนและบทเรียน ๑.๑ จัดบรรยากาศในชั้นเรียนให้เหมาะสม ได้แก่ เหมาะสมกับระดับของ ชนั้ วัยของผูเ้ รยี น วิธีการเรยี นการสอนและเนือ้ หาของบทเรียน ๑.๒ สร้างความสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างครูกับศิษย์ ครูเป็นกัลยาณมิตร หมายถึงครทู ำตนใหเ้ ปน็ ท่ีเคารพรกั ของศษิ ย์ โดยมีบคุ ลิกภาพที่ดี สะอาด แจ่มใส และสำรวม มีสุขภาพจิตดี มี ความม่ันใจในตนเอง ๑.๓ การเสนอส่ิงเร้าและแรงจูงใจ ก. ใช้สื่อการเรียนการสอน หรืออุปกรณ์และวิธีการต่าง ๆ เพื่อเร้า ความสนใจ เช่น การจัดป้ายนิเทศ นิทรรศการ เสนอเอกสาร ภาพ กรณีปัญหา กรณีตัวอย่าง สถานการณ์ จำลอง เป็นตน้ ข. จดั กจิ กรรมข้นั นำที่สนุกน่าสนใจ ค. ศษิ ยไ์ ด้ตรวจสอบความรู้ ความสามารถของตน และไดร้ ับทราบ ผลทนั ที ๒. *ข้ันสอน ๒.๑ ครูเสนอปัญหาท่ีเป็นสาระสำคัญของบทเรียน หรอื เสนอหวั ข้อเร่ือง ประเดน็ สำคัญของบทเรียนด้วยวธิ ีการตา่ ง ๆ * ๒.๒ ครแู นะนำแหลง่ วทิ ยาการและแหลง่ ข้อมูล * ๒.๓ ครฝู ึกการรวบรวมขอ้ มลู ข้อเท็จจรงิ ความรู้ และหลกั การ โดยใช้ ทักษะทเ่ี ปน็ เครอ่ื งมือของการเรียนรู้ เชน่ ทักษะทางวิทยาศาสตร์ และทกั ษะทางสังคม ๒.๔ ครจู ัดกิจกรรมให้ผเู้ รยี นคดิ ลงมอื ค้นควา้ คดิ วเิ คราะห์ และสรปุ ความคดิ ๒.๕ ครฝู กึ การสรุปประเด็นของข้อมูล ความรู้ และเปรียบเทียบประเมินค่า โดยวธิ กี ารแลกเปลย่ี นความคิดเห็น ทดลอง ทดสอบ จดั เป็นทางเลือกและทางออกของการแก้ปัญหา ๒.๖ ศิษยด์ ำเนนิ การเลือกและตดั สินใจ ๒.๗ ศิษยท์ ำกิจกรรมฝึกปฏบิ ัตเิ พื่อพสิ จู น์ผลการเลือก และการตดั สินใจ ๓. ขั้นสรปุ ๓.๑ ครูและศษิ ย์รวบรวมข้อมูลจากการสังเกตการปฏบิ ตั ทิ ุกข้นั ตอน ๓.๒ ครแู ละศษิ ย์อภิปรายรว่ มกันเกีย่ วกบั ขอ้ มลู ที่ได้ ๓.๓ ครแู ละศิษย์สรุปผลการปฏิบตั ิ ๓.๔ ครแู ละศิษยส์ รุปบทเรยี น ๓.๕ ครวู ัดและประเมินผลการเรยี นการสอน ง. ผลที่ผเู้ รยี นจะไดร้ บั จากการเรียนตามรูปแบบ ผูเ้ รยี นจะพัฒนาทกั ษะในการคิด การตดั สนิ ใจ และการแกป้ ญั หาอยา่ งเหมาะสม ๓. รูปแบบการเรยี นการสอนกระบวนการคิดเปน็ เพ่ือการดำรงชวี ติ ในสงั คมไทย โดย หนว่ ย ศกึ ษานเิ ทศก์ กรมสามัญศึกษา

ศาสตร์การสอน ๑๖๕ ก.* ทฤษฎ/ี หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ หน่วยศกึ ษานเิ ทศก์ กรมสามัญศึกษา (๒๕๓๗) ไดพ้ ฒั นารายวชิ า “การคดิ เป็น เพอื่ การ พัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคมไทย” ข้ึน เพ่ือพัฒนานกั เรียนระดับมัธยมศึกษาให้สามารถคดิ เป็นรู้จกั และเข้าใจ ตนเอง รายวิชาประกอบด้วยเนื้อหา ๓ เรื่อง คือ (๑) การพัฒนาความคิด (สติปัญญา)(๒) การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม (สัจธรรม) (๓) การพัฒนาอารมณ์ ความรู้สึก ส่วนกิจกรรมที่ใช้เป็นกิจกรรมปฏิบัติการ ๔ กิจกรรม ได้แก่ (๑) กิจกรรมปฏิบัติการ “ พัฒนากระบวนการคิด” (๒) กิจกรรมปฏิบัติการ “พัฒนารากฐานความคิด” (๓) กิจกรรมปฏิบัติการ “ปฏิบัตกิ ารในชีวติ จรงิ ” และ (๔) กิจกรรมปฏบิ ตั ิการ “ประเมนิ ผลการพัฒนาประสิทธภิ าพของชวี ติ และงาน” ในส่วนกิจกรรมปฏบิ ัติการพัฒนากระบวนการคิด หน่วยศึกษานเิ ทศก์ กรมสามญั ศึกษา ได้พัฒนาแบบแผนในการสอนซ่ึงประกอบด้วยข้ันการสอน ๕ ขั้น โดยอาศัยแนวคิดเก่ียวกับการคิดเป็น ของ โกวิท วรพิพัฒน์ (อ้างถึงใน อุ่นตา นพคุณ, ๒๕๓๐: ๒๙-๓๖) ที่ว่า “คิดเป็น” เป็นการแสดงศักยภาพของ มนุษย์ในการช้ีนำชะตาชีวิตของตนเอง โดยการพยายามปรับตัวเองและสิ่งแวดล้อมให้ผสมผสานกลมกลืนกัน ด้วยกระบวนการแก้ปัญหา ซ่ึงประกอบด้วยการพิจารณาข้อมูล ๓ ด้าน ได้แก่ ข้อมูลตนเอง ข้อมูลสังคมและ สิ่งแวดลอ้ ม และขอ้ มลู ทางวชิ าการ เพื่อเป้าหมายทสี่ ำคัญคือมคี วามสุข ข. วัตถุประสงค์ของรปู แบบ รูปแบบน้ีมุ่งช่วยพัฒนากระบวนการคดิ ใหผ้ ู้เรียนสามารถคิดเป็น คือคดิ โดยพิจารณา ข้อมูล ๓ ด้าน ได้แก่ ข้อมูลเก่ียวกับตนเอง ข้อมูลสังคมและสิ่งแวดล้อม และข้อมูลทางวิชาการ เพ่ือประโยชน์ ในการดำรงชวี ิตในสงั คมไทยอยา่ งมีความสขุ ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบ ขั้นที่ ๑ ข้ันสืบค้นปัญหา เผชิญสถานการณ์ในวิถีการดำรงชีวิต ผู้สอนอาจนำเสนอ สถานการณ์ให้ผู้เรยี นสบื ค้นปัญหา หรืออาจใช้สถานการณ์และปัญหาจริงท่ีผู้เรียนประสบมาในชวี ิตของตนเอง หรือผู้สอนอาจจัดเป็นสถานการณ์จำลอง หรือนำผู้เรียนไปเผชิญสถานการณ์นอกห้องเรยี นก็ได้ สถานการณ์ที่ ใช้ในการศึกษา อาจเป็นสถานการณ์เก่ียวกับตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม หรือหลักวิชาการก็ได้ เช่น สถานการณเ์ กีย่ วกบั เศรษฐกจิ วัฒนธรรม สังคม ครอบครวั การเรยี น การทำงาน และสงิ่ แวดลอ้ ม เป็นต้น ขนั้ ท่ี ๒ ขั้นรวบรวมข้อมลู และผสมผสานขอ้ มูล ๓ ดา้ น เมื่อค้นพบปัญหาแล้วให้ผู้เรียนศึกษาข้อมูลความรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องใน สถานการณน์ ้ัน โดยรวบรวมขอ้ มลู ให้ครบทั้ง ๓ ด้าน คือ ดา้ นท่ีเก่ียวกบั ตนเอง สงั คมและส่ิงแวดล้อม และดา้ น หลักวชิ าการ ขน้ั ที่ ๓ ขั้นการตัดสินใจอย่างมีเป้าหมาย เม่ือมีข้อมูลพร้อมแล้ว ให้ผู้เรียนแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาโดย พิจารณาไตร่ตรองถึงผลท่ีจะเกิดข้นึ ท้ังกับตนเอง ผู้อื่น และสังคมโดยส่วนรวม และตัดสินใจเลือกทางเลือกท่ีดี ท่ีสดุ คอื ทางเลือกทีเ่ ป็นไปเพื่อการเกื้อกูลต่อชวี ิตทง้ั หลาย ขนั้ ท่ี ๔ ขัน้ ปฏบิ ตั แิ ละตรวจสอบ เมอื่ ตัดสินใจเลอื กแนวทางปฏบิ ัตไิ ด้แล้ว ให้ผูเ้ รียนลงมือปฏบิ ตั ิจริงดว้ ยตนเอง หรอื ร่วมมือกบั กลมุ่ ตามแผนงานทก่ี ำหนดไวอ้ ย่างพากเพียร ไม่ท้อถอย

ศาสตรก์ ารสอน ๑๖๖ ขนั้ ท่ี ๕ ขน้ั ประเมินผลและวางแผนพฒั นา เมื่อปฏิบตั ติ ามแผนงานทกี่ ำหนดไว้ลุล่วงแลว้ ใหผ้ ูเ้ รียนประเมินผลการ ปฏบิ ัตวิ า่ การปฏิบตั ิประสบผลสำเร็จมากน้อยเพยี งใด มปี ัญหา อุปสรรคอะไร และเกดิ ผลดผี ลเสยี อะไรบ้าง และวางแผนงานท่จี ะพฒั นาปรบั ปรุงการปฏบิ ตั ินั้นใหไ้ ดผ้ ลสมบรู ณข์ น้ึ หรือวางแผนงานในการพฒั นาเรื่องใหม่ ต่อไป ง. *ผลทผ่ี ูเ้ รยี นจะได้รบั จากการเรียนตามรูปแบบ๒๙ การสอนนักเรียนระดับมัธยมศึกษาแล้วพบว่า ผู้เรียนมีความสามารถในการคิดเป็น สามารถแก้ปญั หาต่าง ๆได้ มีความเขา้ ใจในตนเองและผอู้ ื่นมากข้ึน เขา้ ใจระบบความสัมพนั ธ์ในสงั คม และเกิด ทกั ษะและเจตคตทิ ่ีดตี ่อการเรียนรตู้ ลอดชีวติ ๔. รูปแบบการเรยี นการสอนโดยยึดผู้เรยี นเป็นศูนย์กลาง: โมเดลซปิ ปา (CIPPA Model) หรือรูปแบบการประสานหา้ แนวคิด โดยทิศนา แขมมณี ก. *ทฤษฎ/ี หลกั การ/แนวคิดของรปู แบบ๓๐ พฒั นารูปแบบนขี้ ึ้นจากประสบการณ์ที่ได้ใช้แนวคิดทางการศึกษาต่าง ๆ ในการ สอนมาเป็นเวลาประมาณ ๓๐ ปี และพบว่าแนวคิดจำนวนหน่ึงสามารถใช้ได้ผลดีตลอดมา ผู้เขียนจึงได้นำ แนวคิดเหล่านั้นมาประสานกัน ทำให้เกิดเป็นแบบแผนข้ึน แนวคิดดังกล่าวได้แก่ (๑) แนวคิดการสร้างความรู้ (๒) แนวคดิ เก่ียวกับ กระบวนการกลุ่มและการเรียนรแู้ บบรว่ มมอื (๓) แนวคดิ เก่ียวกับความพรอ้ มในการเรียนรู้ (๔) แนวคดิ เก่ียวกับการเรยี นรู้กระบวนการ (๕) แนวคิดเกย่ี วกับการถ่ายโอนความรู้ ได้ใช้แนวคิดเหล่านี้ในการ จัดการเรียนการสอน๓๑ โดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในลักษณะที่ให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง (construction of knowledge) ซึ่งนอกจากผู้เรียนจะต้องเรียนด้วยตนเองและพึ่งตนเองแล้ว ยังต้องพ่ึงการ ปฏิสัมพันธ์ (interaction) กับเพ่ือน บุคคลอ่ืน ๆ และสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วย รวมท้ังต้องอาศัยทักษะ กระบวนการ (process skills) ต่าง ๆ จำนวนมากเป็นเคร่ืองมือในการสร้างความรู้ นอกจากนั้นการเรียนรู้จะ เปน็ ไปอยา่ งต่อเนื่องได้ดี หากผู้เรยี นมคี วามพร้อมในการรับรู้และเรียนรู้ มีประสาทการรบั รู้ท่ตี ่ืนตัว ไม่เฉ่ือยชา ซึ่งสิ่งท่ีสามารถช่วยให้ผู้เรียนอยู่ในสภาพดังกล่าวได้ก็คือ การให้มีการเคลื่อนไหวทางกายอย่างเหมาะสม กิจกรรมที่มีลักษณะดังกล่าวจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี เป็นการเรียนรู้ท่ีมีความหมายต่อตนเอง และ ความรู้ความเข้าใจที่เกิดขึ้นจะมีความลึกซึ้งและอยู่คงทนมากขึ้น หากผู้เรียนมีโอกาสนำความรู้นั้นไป ประยุกต์ใช้ในสภาพการณ์ทห่ี ลากหลาย ด้วยแนวคดิ ดังกลา่ วจึงเกิดแบบแผน “CIPPA” ข้ึน ซ่ึงผ้สู อนสามารถ นำแนวคิดท้ัง ๕ ดังกล่าวไปใช้เป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางให้มี คุณภาพได้ ข. วตั ถุประสงค์ของรปู แบบ รปู แบบน้ีมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเร่ืองที่เรียนอย่างแท้จริง โดยให้ ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยอาศัยความร่วมมือจากกลุ่ม นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาทักษะกระบวนการ ต่าง ๆ จำนวนมาก อาทิ กระบวนการคิด กระบวนการกลุ่ม กระบวนการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และ กระบวนการแสวงหาความรู้ เปน็ ต้น ๒๙ หนว่ ยศึกษานเิ ทศก์ กรมสามญั ศกึ ษา (๒๕๓๗) ๓๐ ทศิ นา แขมมณี,อ้างแล้ว เรอ่ื งเดยี วกัน, หน้า ๑๗. ๓๑ ทิศนา แขมมณี, อ้างแล้ว เรือ่ งเดียวกนั , หนา้ ๑๗-๒๐.

ศาสตรก์ ารสอน ๑๖๗ ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรปู แบบ ซิปปา (CIPPA) เป็นหลักการซ่ึงสามารถนำไปใช้เป็นหลักในการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียน การจัดกระบวนการเรียนการสอนตามหลัก “CIPPA” นี้สามารถใช้วิธีการและ กระบวนการท่ีหลากหลาย ซ่ึงอาจจัดเปน็ แบบแผนไดห้ ลายรูปแบบ รูปแบบหนึง่ ที่ผู้เขยี นได้นำเสนอไวแ้ ละได้มี การนำไปทดลองใช้แลว้ ไดผ้ ลดี ประกอบดว้ ยขนั้ ตอนการดำเนนิ การ ๗ ขน้ั ตอนดงั นี้ ข้นั ท่ี ๑ การทบทวนความรูเ้ ดิม ข้นั น้ีเป็นการดึงความรู้เดิมของผูเ้ รยี นในเรื่องท่ีจะเรียน เพ่ือให้ผู้เรียนมีความ พรอ้ มในการเชอ่ื มโยงความรู้ใหมก่ บั ความร้เู ดิมของตน ซ่งึ ผสู้ อนอาจใช้วิธีการตา่ ง ๆ ได้อย่างหลากหลาย ขัน้ ท่ี ๒ การแสวงหาความรใู้ หม่ ขนั้ นี้เป็นการแสวงหาข้อมูลความรู้ใหม่ของผู้เรียนจากแหล่งข้อมูล หรือแหล่ง ความรู้ต่าง ๆ ซึ่งครูอาจจัดเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือให้คำแนะนำเก่ียวกับแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนไป แสวงหาก็ได้ ขน้ั ที่ ๓ การศกึ ษาทำความเขา้ ใจขอ้ มลู /ความรูใ้ หม่ และเชือ่ มโยงความร้ใู หม่กับ ความรูเ้ ดมิ ข้ันน้ีเป็นขนั้ ท่ีผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเขา้ ใจกบั ข้อมูล/ความรู้ทห่ี า มาได้ ผเู้ รียนจะต้องสรา้ งความหมายของข้อมลู /ประสบการณใ์ หม่ ๆ โดยใช้กระบวนการตา่ ง ๆดว้ ยตนเอง เชน่ ใชก้ ระบวนการคิดและกระบวนการกลมุ่ ในการอภิปรายและสรุปความเข้าใจเกีย่ วกับข้อมูลน้ัน ๆ ซงึ่ จำเปน็ ต้อง อาศยั การเชอ่ื มโยงกบั ความรู้เดมิ ขัน้ ที่ ๔ การแลกเปล่ียนความรู้ความเข้าใจกบั กลมุ่ ข้ันนี้เป็นข้ันที่อาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจ ของตน รวมทั้งขยายความรคู้ วามเขา้ ใจของตนให้กว้างขนึ้ ซึ่งจะชว่ ยให้ผ้เู รียนไดแ้ บ่งปันความรู้ความเข้าใจของ ตนแกผ่ ู้อ่นื และได้รับประโยชน์จากความรู้ ความเข้าใจของผูอ้ ื่นไปพรอ้ ม ๆ กัน ข้นั ท่ี ๕ การสรปุ และจดั ระเบียบความรู้ ข้นั นี้เป็นขนั้ สรุปความรทู้ ไี่ ดร้ บั ท้ังหมด ทั้งความรูเ้ ดิมและความรู้ใหม่ และ จดั ส่ิงที่เรยี นใหเ้ ป็นระบบระเบยี บเพ่ือชว่ ยให้ผเู้ รยี นจดจำสิ่งทเี่ รียนรู้ไดง้ า่ ย ขั้นท่ี ๖ การปฏบิ ตั แิ ละ/หรอื การแสดงผลงาน หากข้อความทไ่ี ด้เรียนร้มู าไมม่ ีการปฏิบัติ ขั้นน้ีจะเป็นขนั้ ที่ชว่ ยใหผ้ ู้เรียนมี โอกาสไดแ้ สดงผลงานการสร้างความรู้ของตนใหผ้ ู้อื่นรับรู้ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้ตอกย้ำหรือตรวจสอบความ เขา้ ใจของตน และช่วยส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนใชค้ วามคดิ สร้างสรรค์ แต่หากต้องมีการปฏิบัติตามข้อความรู้ท่ไี ด้ ขัน้ น้ี จะเป็นข้นั ปฏิบัติ และมีการแสดงผลงานท่ีได้ปฏิบัติด้วย ข้ันที่ ๗ การประยุกตใ์ ช้ความรู้ ขน้ั นี้เป็นขนั้ ของการส่งเสริมใหผ้ ู้เรยี นได้ฝกึ ฝนการนำความรู้ความเข้าใจของตน ไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ท่ีหลากหลายเพื่อเพ่ิมความชำนาญ ความเข้าใจ ความสามารถในการแก้ปัญหาและ ความจำในเรอ่ื งน้ัน ๆ หลังจากการประยุกต์ใช้ความรู้ อาจมีการนำเสนอผลงานจากการประยุกต์อีกคร้ังก็ได้ หรืออาจไมม่ ีการนำเสนอผลงานในข้นั ที่ ๖ แตน่ ำมารวมแสดงในตอนท้าย หลังขั้นการประยกุ ต์ใช้ก็ได้เช่นกัน ขั้นตอนตั้งแต่ข้ันท่ี ๑-๖ เป็นกระบวนการของการสร้างความรู้ (construction of knowledge) ซึ่งครสู ามารถจัดกจิ กรรมให้ผู้เรียนมีโอกาสปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน (interaction) และ

ศาสตรก์ ารสอน ๑๖๘ ฝึกฝนทักษะกระบวนการต่าง ๆ (process learning) อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากขั้นตอนแต่ละข้ันตอนช่วยให้ ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมหลากหลายท่ีมีลักษณะให้ผู้เรียนได้มีการเคลื่อนไหวทางกาย ทางสติปัญญา ทางอารมณ์ และทางสังคม(physical participation)อย่างเหมาะสม อันช่วยให้ผู้เรียนตื่นตัว สามารถรับรู้และเรียนรู้ได้ อย่างดี จึงกล่าวได้ว่าขั้นตอนทั้ง ๖ มีคุณสมบัติตามหลักการ CIPP ส่วนข้ันตอนที่ ๗ เป็นข้ันตอนที่ช่วยให้ ผ้เู รยี นนำความร้ไู ปใช้ (application) จึงทำใหร้ ูปแบบน้ีมคี ุณสมบัตคิ รบตามหลัก CIPPA ง. ผลท่ีผเู้ รยี นจะไดร้ ับจากการเรยี นตามรูปแบบ ผู้เรียนจะเกิดความเข้าใจในส่ิงท่ีเรียน สามารถอธิบาย ชี้แจง ตอบคำถามได้ดี นอกจากนั้นยังได้พัฒนาทกั ษะการคดิ วิเคราะห์ การคิดสรา้ งสรรค์ การทำงานเปน็ กลุ่ม การสื่อสาร รวมทั้งเกิด การใฝร่ ู้ด้วย ๕. รปู แบบการเรียนการสอนคณิตศาสตรต์ ามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรคั ติวิสต์ (constructivism) สำหรับนักเรยี นระดับมธั ยมศกึ ษา ก. ทฤษฎ/ี หลักการ/แนวคดิ ของรูปแบบ๓๒ ได้พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนคณิตศาสตร์นี้ข้ึน เป็นผลงานวิทยานิพนธ์ระดับ ดุษฎีบัณฑิตเพื่อใช้สอนนักเรียนระดับมัธยมศึกษา โดยใช้แนวคิดของทฤษฎี คอนสตรัคติวิสต์ ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังน้ี ๑. การเรียนรู้คือการสร้างโครงสร้างทางปัญญาท่ีสามารถคล่ีคลายสถานการณ์ที่ เป็นปญั หาและใชเ้ ป็นเครอ่ื งมือในการแก้ปัญหาหรืออธบิ ายสถานการณ์อ่ืน ๆ ท่เี ก่ียวข้องได้ ๒. นักเรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยวิธีต่าง ๆ กัน โดยอาศัยประสบการณ์เดิม โครงสร้างทางปญั ญาทีม่ อี ยู่ ความสนใจ และแรงจูงใจภายในตนเองเปน็ จุดเรมิ่ ต้น ๓. ครูมีหน้าที่จัดการให้นักเรียนได้ปรับขยายโครงสร้างทางปัญญาของนักเรียนเอง ภายใต้สมมติฐานต่อไปน้ี ๓.๑ สถานการณ์ที่เป็นปัญหา และปฏิสัมพันธ์ทางสังคมก่อให้เกิดความขัดแย้ง ทางปัญญา ๓.๒ ความขัดแยง้ ทางปญั ญาเปน็ แรงจงู ใจให้เกิดกิจกรรมไตรต่ รอง เพ่อื ขจดั ความขดั แย้งนน้ั ๓.๓ การไตร่ตรองบนฐานแห่งประสบการณ์และโครงสร้างทางปัญญาท่ีอยู่ ภายใตก้ ารมีปฏิสัมพันธท์ างสังคมกระตนุ้ ใหม้ ีการสรา้ งโครงสรา้ งใหม่ทางปญั ญา ข. วัตถปุ ระสงคข์ องรูปแบบ รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาผลสัมฤทธิ์ในการเรียนคณิตศาสตร์ โดยช่วยให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนร้อู ย่างเขา้ ใจ จากการมโี อกาสสรา้ งความรู้ด้วยตนเอง ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบ ข้ันตอนที่ ๑ สร้างความขัดแย้งทางปัญญา ครูเสนอปัญหา A ให้นักเรียนคิดแก้ปัญหา เป็นรายบคุ คล โดยที่ปัญหา A เป็นปญั หาที่มีความยากในระดับที่นักเรยี นต้องปรับโครงสรา้ งทางปัญญาท่ีมีอยู่ เดิม หรือต้องสร้างโครงสร้างทางปัญญาข้ึนใหม่ จงึ จะสามารถแก้ปัญหาได้จัดนักเรียนเข้ากลุ่มย่อย กลุ่มละ ๔- ๖ คน นักเรียนแต่ละคนเสนอคำตอบและวิธหี าคำตอบตอ่ กลุม่ ของตน ขน้ั ตอนที่ ๒ ดำเนนิ กิจกรรมไตรต่ รอง ๓๒ ไพจิตร สะดวกการ, เรียนผกู เรียนแก้ภมู ิปัญญาไทยท่ีสอดคล้องกับทฤษฎีคอนสตรคั ติวสิ ซมึ , ปฏริ ูป การศกึ ษา,๒๕๔๓ หน้า ๑๑๒.

ศาสตรก์ ารสอน ๑๖๙ ๒.๑ นักเรียนในกลุ่มย่อยตรวจสอบคำตอบและวิธีหาคำตอบของ สมาชิกในกลมุ่ โดยดำเนินการดงั น้ี ๒.๑.๑ กลุ่มตรวจสอบคำตอบปัญหา A ของสมาชิกแต่ละคน ตามเงอื่ นไขทโ่ี จทย์กำหนด อภิปราย ซักถามเหตุผลและทีม่ าของวิธีหาคำตอบ ๒.๑.๒ สมาชกิ กลุม่ ชว่ ยกนั สรา้ งสถานการณ์ตัวอย่าง B ท่งี า่ ยตอ่ การหาคำตอบเชงิ ประจักษ์ และมีโครงสรา้ งความสัมพันธ์เหมอื นกบั ปัญหา A ตามกฎการสร้างการอปุ มาอปุ มัย ดงั นี้ ก. ไม่ตอ้ งพิจารณาลักษณะของสงิ่ เฉพาะแตล่ ะสิ่งใน สถานการณป์ ัญหา A ข. หาความสัมพันธ์ระดับต่ำ (lower order relations) ระหวา่ งสิ่งเฉพาะแต่ละส่ิงในสถานการณ์ปัญหา A ค.หาความสัมพันธ์ระหว่างความสัมพันธ์ระดับต่ำ และ ความสัมพันธ์ระดับสูง (higher order relations) ซึ่งเป็นระบบความสัมพันธ์ (systematic) หรือโครงสร้าง ความสัมพันธ์(relational structure) แลว้ ถ่ายโยงโครงสรา้ งความสัมพนั ธน์ ้ีไปสร้างสถานการณ์ตัวอย่าง B ที่มี สิง่ เฉพาะแตกต่างกับสถานการณป์ ญั หา A ๒.๑.๓ หาคำตอบสถานการณ์ตัวอย่าง B ในเชงิ ประจกั ษ์ ๒.๑.๔ นำวิธีหาคำตอบของปัญหา A มาใช้กับปัญหา B ว่าจะได้ คำตอบตรงกับคำตอบของปัญหา B ที่หาได้ในเชิงประจักษ์หรือไม่ ถ้าคำตอบที่ได้ไม่ตรงกัน ต้องทำการ ปรับเปล่ียนวิธีหาคำตอบใหม่ จนกว่าจะได้วิธีหาคำตอบท่ใี ช้กับปัญหา B แล้วได้คำตอบที่สอดคล้องกับคำตอบ ท่ีหาได้ในเชิงประจกั ษ์ ซึ่งอาจมมี ากกวา่ ๑ วิธี ๒.๑.๕ นำวิธีหาคำตอบที่ใช้กับปัญหา B แล้วได้คำตอบ สอดคล้องกบั คำตอบทห่ี าไดใ้ นเชงิ ประจกั ษ์ ไปใช้กับปัญหา A กลุ่มช่วยกันทำให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มเข้าใจการ หาคำตอบของปัญหา A ด้วยวิธดี งั กลา่ ว ซ่ึงอาจมีมากกวา่ ๑ วธิ ี ๒.๑.๖ กลุ่มทำการตกลงเลือกวิธีหาคำตอบที่ดีที่สุดตาม ความเห็นของกลุ่ม และช่วยกันทำให้สมาชิกของกลุ่มทุกคนมีความพร้อมท่ีจะเป็นตัวแทนในการนำเสนอและ ตอบข้อซกั ถามเก่ียวกบั วิธหี าคำตอบดงั กล่าวต่อกลุ่มใหญไ่ ด้ ๒.๒ สุ่มตัวแทนกลุ่มย่อยแต่ละกลุ่มมาเสนอวิธีหาคำตอบของปัญหา A ตอ่ กลุ่มใหญ่ กลุ่มอ่ืน ๆ เสนอตัวอย่างค้าน หรือหาเหตผุ ลมาค้านวธิ ีหาคำตอบท่ียังค้านได้ ถา้ ไม่มีนักเรียนกลุ่ม ใดสามารถเสนอตัวอย่างค้านหรือเหตุผลมาค้านวิธีหาคำตอบท่ียังค้านได้ ครูจึงจะเป็นผู้เสนอเอง วิธีที่ถูกค้าน จะตกไป ส่วนวิธีที่ไม่ถูกค้านจะเป็นที่ยอมรับของกลุ่มใหญ่ว่าสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการหาคำตอบของ ปัญหาใด ๆ ที่อยู่ในกรอบของโครงสร้างความสัมพันธ์เดียวกันน้ันได้ ตลอดช่วงเวลาท่ียังไม่มีผู้ใดสามารถหา หลักฐานมาค้านได้ ซง่ึ อาจมีมากกว่า ๑ วธิ ี ๒.๓ ครเู สนอวิธีหาคำตอบของปัญหา A ที่ครูเตรียมไว้ต่อกลมุ่ ใหญ่ เม่ือพบวา่ ไมม่ ีกลุ่มใดเสนอในแบบที่ตรงกับวธิ ีทค่ี รูเตรยี มไว้ ถา้ มีครกู ็ไม่ต้องเสนอ ๒.๔ นักเรียนแต่ละคนสร้างปัญหา C ซ่ึงมีโครงสร้างความสัมพันธ์ เหมือนกับปัญหา A ตามกฎการสร้างการอุปมาอุปมัยดังกล่าวแล้ว และเลือกวิธีหาคำตอบจากวิธีซ่ึงเป็นท่ี ยอมรบั ของกล่มุ ใหญแ่ ลว้ มาหาคำตอบของปัญหา C

ศาสตรก์ ารสอน ๑๗๐ ๒.๕ นกั เรียนแตล่ ะคนเขยี นโจทย์ของปญั หา C ท่ตี นสรา้ งข้ึน ลง ในแผน่ กระดาษพรอ้ มชอื่ ผูส้ รา้ งปัญหา ส่งครู ครูนำแผน่ โจทย์ปัญหาของนักเรียนมาคละกันแล้วแจกใหน้ ักเรยี น ทัง้ หอ้ งคนละ ๑ แผ่น ๒.๖ นักเรียนทุกคนหาคำตอบของปัญหาท่ีได้รับแจกด้วยวิธีหา คำตอบท่ีเลือกมาจากวิธีท่ีเป็นท่ียอมรับของกลุ่มใหญ่ แล้วตรวจสอบคำตอบกับเจ้าของปัญหา ถ้าคำตอบ ขัดแย้งกัน ผู้แก้ปัญหาและเจ้าของปัญหาจะต้องช่วยกันค้นหาจุดที่เป็นต้นเหตุแห่งความขัดแย้ง และช่วยกัน ขจัดความขัดแยง้ นั้น เช่น อาจแก้ไขโจทย์ใหร้ ัดกุมขึน้ ให้สมเหตุสมผล หรือแก้ไขวิธีคำนวณ และซักถามกนั จน เกิดความเข้าใจท้ังสองฝ่ายแล้วจึงนำปัญหา C และวิธีหาคำตอบท้ังก่อนการแก้ไขและหลังการแก้ไขของทั้ง ผู้สรา้ งปัญหาและผแู้ กป้ ัญหาสง่ ครู ครูจะเข้าร่วมตรวจสอบเฉพาะในคูท่ ่ีไม่สามารถขจัดความขัดแย้งได้เอง ขน้ั ตอนท่ี ๓ สรุปผลการสร้างโครงสรา้ งใหมท่ างปญั ญา ครูและนักเรียนช่วยกันสรุปมโนทัศน์ กระบวนการคิดคำนวณ หรือ กระบวนการแก้โจทยป์ ัญหาท่ีนักเรียนได้ช่วยกันสร้างขึ้นจากกิจกรรมในขั้นตอนท่ี ๒ ให้นักเรียนบันทึกข้อสรุป ไว้ เน่ืองจากกระบวนการที่กล่าวข้างต้นมีความซับซ้อนพอสมควร จึงขอแนะนำให้ผู้สนใจศึกษาตัวอย่าง แผนการสอน จากวิทยานพิ นธข์ องไพจิตร สะดวกการ (๒๕๓๘) เพ่ือความเข้าใจทชี่ ัดเจนขึน้ ง. ผลทผี่ เู้ รยี นจะได้รับจากการเรียนตามรปู แบบนี้ ผู้เรียนจะมีความเข้าใจมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ที่ตนและกลุ่มเพ่ือนได้ร่วมกันคิด โดยกระบวนการสร้างความรู้ และได้พัฒนาทักษะกระบวนการที่สำคัญ ๆ ทางคณิตศาสตร์อีกหลายประการ อาทิ กระบวนการคดิ คำนวณ กระบวนการแก้โจทยป์ ญั หา กระบวนการนริ นยั -อปุ นยั เปน็ ตน้ ๗.๓.๓*รปู แบบการเรยี นการสอนท่ีเน้นทักษะปฏบิ ัติสำหรับครูวิชาอาชีพ ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรปู แบบ๓๓ พฒั นารูปแบบนี้ขนึ้ โดยอาศยั แนวคิดและหลักการเกยี่ วกับการพัฒนาทักษะปฏิบัติ ๙ ประการ ซึ่งมีสาระโดยสรุปว่า การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดทักษะปฏิบัติท่ีดีนั้น ผู้สอนควรจะเร่ิมต้ังแต่วิเคราะห์ งานท่ีจะให้ผู้เรียนทำ โดยแบ่งงานออกเป็นส่วนย่อย ๆ และลำดับงานจากง่ายไปสู่ยาก แล้วให้ผู้เรียนได้ฝึก ทำงานย่อย ๆ แต่ละส่วนให้ได้ แต่ก่อนท่ีจะลงมือทำงาน ควรให้ผู้เรียนมีความรู้ในงานถึงขั้นเข้าใจในงานน้ัน เป็นอย่างน้อย รวมท้ังได้เรียนรู้ลักษณะนิสัยที่ดีในการทำงานด้วย แล้วจึงให้ผู้เรียนฝึกทำงานด้วยตัวเองใน สถานการณ์ที่ใกล้เคยี งกับการทำงานจริง โดยจัดลำดับการเรยี นรู้ตามลำดับต้ังแต่งา่ ยไปยาก คือเริม่ จากการให้ รับรู้งาน ปรับตัวให้พร้อม ลองทำโดยการเลียนแบบ ลองผิดลองถูก (ถ้าไม่เกิดอันตราย) แล้วจึงให้ฝึกทำเอง และทำหลาย ๆคร้ังจนกระทั่งชำนาญ สามารถทำได้เป็นอัตโนมัติ ขณะฝึกผู้เรียนควรได้รับข้อมูลย้อนกลับเพื่อ การปรับปรุงงานเป็นระยะ ๆ และผู้เรียนควรได้รับการประเมินท้ังทางด้านความถูกต้องของผลงาน ความ ชำนาญในงาน (ทักษะ) และลักษณะนสิ ยั ในการทำงานดว้ ย ข. วัตถปุ ระสงค์ของรปู แบบ รปู แบบนีม้ ุ่งพฒั นาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกบั งานที่ทำ และเกิดทักษะสามารถที่ จะทำงานน้ันได้อย่างชำนาญตามเกณฑ์ รวมท้งั มเี จตคติท่ดี ีและลักษณะนสิ ัยท่ีดใี นการทำงานดว้ ย ค. กระบวนการเรียนการสอนของรปู แบบ ๓๓ นวลจิตต์ เชาวกีรตพิ งศ์, การพฒั นารปู แบบการจัดการเรยี นการสอนทเี่ นน้ ทกั ษะปฏบิ ตั ิสำหรับครูวิชาอาชีพ, วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญาดษุ ฎบี ณั ฑิต, สาขาวชิ าหลกั สตู รและการสอน บัณฑติ วิทยาลยั จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๕ หนา้ ๕๔.

ศาสตร์การสอน ๑๗๑ รปู แบบการเรียนการสอนนี้ กำหนดยุทธวธิ ีย่อยไว้ ๓ ยุทธวธิ ี เพ่ือใหผ้ ู้สอนได้ เลอื กใชใ้ หเ้ หมาะสมกับเง่ือนไขของสถานการณ์ตา่ ง ๆ รวมทัง้ ไดใ้ หล้ ำดับขั้นตอนในการดำเนนิ การท่ีเหมาะสม กับแตล่ ะยุทธวิธดี ้วย ดงั รายละเอยี ดต่อไปนี้ ยทุ ธวิธที ่ี ๑ การสอนทฤษฎกี ่อนสอนงานปฏบิ ตั ิ การดำเนนิ การมีขัน้ ตอนดังน้ี ขั้นนำ เป็นขั้นแนะนำงานและกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและเห็น คุณค่าในงานน้ัน ข้ันให้ความรู้ เป็นข้ันให้ความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับงานท่ีจะทำ ซ่ึงครู สามารถใชว้ ิธกี ารใด ๆ กไ็ ด้ แตค่ วรเปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นไดซ้ ักถามจนกระท่งั ผเู้ รยี นเกดิ ความเข้าใจ ข้ันให้ฝึกปฏิบัติ เป็นข้ันที่ให้ผู้เรียนลงมือทำงาน ซ่ึงเริ่มจากให้ผู้เรียนทำ ตามหรอื เลียนแบบ หรอื ให้ลองผิดลองถกู (ถ้าไม่เกิดอนั ตราย) ต่อไปจึงให้ลองทำเอง โดยครูคอยสังเกตและให้ ขอ้ มูลปอ้ นกลับเปน็ ระยะ ๆ จนกระทง่ั ทำไดถ้ ูกตอ้ งแลว้ จงึ ให้ฝึกทำหลาย ๆ ครั้ง จนกระทัง่ ทำไดช้ ำนาญ ข้ันประเมินผลการเรียนรู้ เป็นขั้นท่ีผู้สอนประเมินทักษะปฏิบัติ และ ลักษณะนิสัยในการทำงานของผู้เรียนขั้นประเมินผลความคงทนของการเรียนรู้ เป็นขั้นที่ผู้สอนจะรู้ว่า การ เรียนรู้ของผู้เรียนมีความย่ังยืนหรือไม่ หากผู้เรียนสามารถปฏิบัติงานได้อย่างชำนาญ ผู้เรียน ก็ควรจะจำสิ่งที่ เรียนรไู้ ด้ดแี ละนาน ยทุ ธวธิ ีท่ี ๒ การสอนงานปฏบิ ตั ิกอ่ นสอนทฤษฎี ๒.๑ ขัน้ นำ ทำเชน่ เดยี วกับยุทธวิธที ี่ ๑ ๒.๒ ขน้ั ให้ผเู้ รยี นปฏบิ ตั แิ ละสังเกตการณ์ ให้ผเู้ รยี นลงมอื ปฏิบัติงาน มกี ารสงั เกตการณ์ปฏิบัติและจดบันทึกข้อมูลไว้ ๒.๓ ขั้นวิเคราะหก์ ารปฏบิ ตั แิ ละสงั เกตการณ์ รว่ มกนั วเิ คราะห์ พฤติกรรมการปฏิบัติ และอภิปรายผลการวิเคราะห์ ๒.๔ ขน้ั เสรมิ ความรู้ จากผลการวิเคราะหแ์ ละอภปิ รายการ ปฏบิ ัติ ผสู้ อนจะทราบวา่ ควรเสรมิ ความรู้อะไรใหแ้ กผ่ เู้ รยี น จงึ จะเป็นประโยชนแ์ ก่ผเู้ รียนในการปฏบิ ตั ิ ๒.๕ ข้นั ใหผ้ ู้เรยี นปฏบิ ตั ิงานใหม่ เม่ือร้จู ุดบกพร่องและได้ความรู้ เสริมทจี่ ะใช้ในการแกไ้ ขขอ้ บกพร่องแลว้ จึงให้ผ้เู รียนปฏบิ ตั ิงานใหม่อีกคร้ังหน่งึ ๒.๖ ข้นั ประเมินผลการเรยี นรู้ ปฏบิ ัตเิ ช่นเดยี วกบั ยุทธวธิ ที ่ี ๑ ๒.๗ ขนั้ ประเมนิ ผลความคงทนของการเรียนรู้ ปฏบิ ัติ เช่นเดยี วกบั ยุทธวิธที ่ี ๑ ยทุ ธวิธที ่ี ๓ การสอนทฤษฎีและปฏิบัติไปพรอ้ ม ๆ กนั ๓.๑ ขน้ั นำ ๓.๒ ขั้นให้ความรู้ ใหป้ ฏิบตั แิ ละใหข้ ้อมูลยอ้ นกลับไปพร้อม ๆ กัน ๓.๓ ขน้ั ให้ปฏบิ ตั งิ านตามลำพัง ๓.๔ ขนั้ ประเมินผลการเรยี นรู้ ๓.๕ ข้นั ประเมนิ ผลความคงทนของการเรยี นรู้งานปฏิบตั ิ เงื่อนไขทใ่ี ช้ในการพจิ ารณาเลือกยทุ ธวธิ สี อน ยุทธวิธีที่ ๑ เหมาะสำหรับการสอนเนื้อหาของงานปฏิบัติที่มีลักษณะซับซ้อน หรือเสย่ี งอันตราย และลักษณะของเนอ้ื หาสามารถแยกส่วนภาคทฤษฎแี ละปฏิบตั ิไดอ้ ย่างชัดเจน

ศาสตรก์ ารสอน ๑๗๒ ยทุ ธวิธีที่ ๒ เหมาะสำหรบั เน้ือหางานปฏบิ ัติทีม่ ีลกั ษณะไมซ่ บั ซ้อน หรอื เป็นงาน ปฏิบตั ทิ ่ผี ู้เรียนเคยมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว เป็นงานทีม่ ีอัตราการเสยี่ งต่ออนั ตรายกบั ชีวิตนอ้ ย ยุทธวธิ ีท่ี ๓ เหมาะสำหรับบทเรยี นที่มลี กั ษณะของเนอ้ื หาภาคทฤษฎีและปฏิบตั ิ ทีไ่ ม่สามารถแยกจากกนั ได้เด็ดขาด ง. ผลทผี่ ูเ้ รียนจะได้รับจากการเรียนตามรปู แบบ รูปแบบการเรียนการสอนท่ีเป็นสากล ที่รองศาสตราจารย์ ดร. ทิศนา แขมมณี ได้นำเสนอมาทั้งหมดน้ีได้รับการพิสูจน์ ทดสอบประสิทธิภาพ และได้รับความนิยมโดยท่ัวไป ส่วนรูปแบบที่ พัฒนาโดยนักการศึกษาไทยนั้น ผู้ที่คิดค้นรูปแบบได้ติดตามศึกษาความก้าวหน้าทางด้านวิชาการและนำมา เผยแพร่ในวงการศึกษาไทยหรืออาจคิดค้นหรือพัฒนาจากความรู้และประสบการณ์ในการจัดการศึกษาและ การเรียนรู้ กระบวนการเรียนการสอนท่ีได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบและได้รับการทดลองใช้เพ่ือพิสูจน์ และทดสอบประสิทธิภาพแล้ว ถอื ว่าเป็นรูปแบบการเรียนการสอนหรือเป็นแบบแผนของการจัดการเรียนการ สอนท่ีผู้อ่ืนสามารถนำมาใช้แล้วจะเกิดผลตามวัตถุประสงค์ของรูปแบบนั้นได้ รูปแบบการเรียนการสอนส่วน ใหญ่ล้วนเป็นแบบที่แปลกใหม่และน่าสนใจท้ังส้ิน สมควรท่ีครูผู้สอนจะให้ความสนใจ ศึกษาให้เข้าใจแล้ ว นำไปทดลองใช้เพื่อปรับปรุงและเพ่ิมประสิทธิภาพการจดั การเรียนการสอนของตน ในการเลือกใช้รูปแบบการเรียนการสอนแต่ละรูปแบบนั้นท่านจะต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ ว่าต้องการพัฒนาผู้เรียนในด้านใดเป็นหลัก หรือต้องการเน้นด้านใด ส่วนการจัดการเรียนการสอนตาม กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบแตล่ ะขั้นตอนนั้น ท่านสามารถเลือกวิธีสอน และเทคนิคการสอนมาใช้ ให้เหมาะสมโดยคำนึงเน้ือหาสาระ เวลา และผู้เรียน สำหรับผู้เรียนน้ันท่านต้องคำนึงถึงหลายๆด้าน เช่นการ พัฒนาสมองซีกขวาและซ้าย ทฤษฎีพหุปัญญา วิธีเรียนของผู้เรียนแต่ละคน ความถนัดและความสนใจเป็น ต้น ข้อสำคัญท่านต้องใช้วิธีการสอนและเทคนิคการสอนที่หลากหลาย ซ่ึงท่านสามารถศึกษาได้จากเอกสาร ของฝ่ายวิชาการ และตำราเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนซ่ึงมีอยู่มากมาย ผู้สอนท่านใดศึกษามากก็ย่อม สามารถเลือกใช้ไดอ้ ยา่ งหลากหลายทำให้การจัดการเรียนการสอนมีประสทิ ธภิ าพ สรุปทา้ ยบท รูปแบบการสอน รูปแบบการเรียนการสอน (Teaching Learning Model) หรือระบบการสอน คือ โครงสร้างองค์ประกอบการดำเนินการสอน ท่ีได้รับการจัดเป็นระบบสัมพันธ์สอดคล้องกับทฤษฏี หลักการ เรียนรู้ หรือการสอนท่ีรูปแบบนั้นยึดถือและได้รับการพิสูจน์ ทดสอบว่ามีประสิทธิภาพ สามารถช่วยให้ผู้เรียน เกิดการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายเฉพาะของรูปแบบนั้น ๆ โดยทั่วไปแบบแผนการดำเนินการสอนดังกล่าวมัก ประกอบด้วย ทฤษฏีหลักการท่ีรูปแบบน้ันยึดถือ และกระบวนการสอนท่ีมีลักษณะเฉพาะอันจะนำผู้เรียนไปสู่ จุดมุ่งหมายเฉพาะรูปแบบน้ันกำหนด ซึ่งผู้สอนสามารถนำไปใช้เป็นแบบแผนหรือแบบอย่างในการจัดและ ดำเนนิ การสอนอืน่ ๆ ที่มีจุดมุ่งหมายเฉพาะเช่นเดียวกนั ได้ รูปแบบการจัดการเรียนการสอนท่ีใช้กันแพร่หลายมีจำนวนมาก แต่ละรูปแบบมีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาผู้เรียนตามจุด เน้นด้วยขั้นตอน วิธีการ องค์ประกอบที่แตกต่างกันไป บางรูปแบบใช้ได้ในวงกว้าง บาง รูปแบบจะใช้เจาะจงในวงแคบเฉพาะสว่ น ผู้ใช้ควรศึกษาพิจารณาเลือกใช้ให้เหมาะสมกับมาตรฐานการเรียนรู้ ตามธรรมชาตขิ องผเู้ รยี น วิชา เน้ือหาสาระ และบริบทอน่ื ๆ เชน่ เวลา วัสดอุ ปุ กรณ์ สอื่ เป็นตน้

ศาสตรก์ ารสอน ๑๗๓ คำถามทา้ ยบท ๑. รูปแบบการสอนหมายถงึ อะไร ๒. อธิบายรูปแบบการเรยี นการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านพุทธพสิ ยั ๓. อธิบายรูปแบบการเรียนการสอนทเ่ี นน้ การพฒั นาด้านทักษะพิสยั ๔. อธิบายรูปแบบการเรยี นการสอนท่ีเนน้ การพฒั นาดา้ นกระบวนการคดิ ๕. อธิบายรปู แบบการเรียนการสอนทเ่ี นน้ การพฒั นาด้านการบูรณาการ ๖. อธิบายเทคนิคการสอนแบบรว่ มมอื ๗. อธิบายรูปแบบการเรยี นการสอนทีเ่ นน้ ผเู้ รียนเป็นศนู ย์กลาง ๘. อธิบายรูปแบบการเรยี นการสอนทีเ่ น้นครูเปน็ ศนู ย์กลาง ๙. อธิบายรปู แบบการเรยี นการสอนแบบเน้นประสบการณ์ ๑๐. นกั การศกึ ษาไทยได้จัดรปู แบบการเรียนการสอนไวอ้ ยา่ งไร

ศาสตร์การสอน ๑๗๔ เอกสารอา้ งอิงประจำบท ทศิ นา แขมณี, (๒๕๕๒) ศาสตร์การสอน, พมิ พ์ครง้ั ที่ ๑๐, กรุงเทพฯ : สำนักพมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . . (๒๕๔๘) รูปแบบการเรยี นการสอน : ทางเลือกที่หลากหลาย, กรงุ เทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. . (๒๕๔๕) ศาสตรก์ ารสอน องคค์ วามรเู้ พื่อการจดั กระบวนการเรียนรทู้ ่มี ีประสทิ ธิภาพ, กรุงเทพฯ : ดา่ นสทุ ธาการพิมพ์. นวลจิตต์ เชาวกรี ตพิ งศ์, (๒๕๓๕) การพฒั นารูปแบบการจดั การเรียนการสอนที่เนน้ ทกั ษะปฏบิ ัติสำหรับครู วชิ าอาชีพ, วทิ ยานิพนธ์ปรญิ ญาดุษฎีบณั ฑิต, สาขาวชิ าหลกั สตู รและการสอน บณั ฑิตวทิ ยาลยั จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ไพจิตร สะดวกการ, (๒๕๔๓) เรยี นผูกเรียนแก้ภูมิปญั ญาไทยที่สอดคลอ้ งกบั ทฤษฎีคอนสตรัคติวสิ ซึม ,ปฏริ ูปการศึกษา. สุปรยี า ตนั สกุล, (๒๕๔๐) ผลของการใช้รปู แบบการสอนแบบการจดั ขอ้ มลู ด้วยแผนภาพท่ีมีต่อสัมฤทธผิ ล ทางการเรียนและความสามารถทางการแกป้ ญั หา, วิทยานพิ นธ์ ครศุ าสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชา จติ วิทยาการศึกษา จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย. สมุ น อมรวิวฒั น,์ (๒๕๓๓) สมบัตทิ ิพย์ของการศึกษาไทย, กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . Bloom, B. (1976) Self-regulation of action and affect. In Roy F. Baumeister and Kathleen D. Vohs. Handbook of Self-Regulation. New York: The Guilford Press. Clark, C.R., & Mayer, E.R. (2003) e-Learning and the science of instruction. San Francisco: John Wiley and Son. Davies,I.K. (1971) The management of learning.London:McGraw-Hill. Gagne′, R. M., (1985) The Conditions of Learning and Theory of Instruction. New York: CBS CollegePublishing. Harrow, A. (1972) A Taxonomy of The Psychomotor Domain: A Guide for Developing Behavioral Objectives. New York : Longman Inc. Jones, M.G., & Farquhar, J.D. (1997). User interface design for web-based instruction. In Badrul, H. K. (Ed.), Web-based instruction. Englewood cliffs, NJ: Educational Technologies Publications. P.20-25. Simpson, D. (1972) Teaching Physical Educations: A System Approach. Boston:Houghton Mufflin Co. Torrance. Palue E. (1963). Education and The Creative Potential. Minneapolis : The Lund Press.

บทท่ี ๘ วธิ ีการสอนแบบตา่ งๆ วัตถปุ ระสงคก์ ารเรยี นรู้ประจำบท เม่ือได้ศกึ ษาเน้ือหาในบทน้ีแล้ว ผเู้ รยี นสามารถ ๑. อธิบายรูปแบบการเรยี นการสอนได้ ๒. อธิบายรปู แบบการบรู ณาการได้ ๓. อธิบายการสอนแบบศูนยก์ ารเรยี นรู้ได้ ๔. อธิบายการสอนตามแนวพทุ ธวธิ ีได้ ขอบขา่ ยเนื้อหา • รูปแบบการเรยี นการสอน • รปู แบบการบูรณาการ • การสอนแบบศนู ย์การเรียนรู้ • การสอนตามแนวพทุ ธวิธี

ศาสตร์การสอน ๑๗๖ ๘.๑ ความนำ การปฏริ ูปการศึกษาเปน็ มาตรการสำคัญที่มีผลต่อการปฏริ ูปสังคมวัฒนธรรม เศรษฐกจิ และการเมือง ของประเทศ ให้สามารถทนต่อแรงเสียดทานที่เกิดจากวิกฤตด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ประเทศไทยเรามี รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๘๑ กำหนดให้รัฐต้องจัดให้มีกฎหมาย การศึกษาแห่งชาติและปรับปรุงการศึกษา ให้สอดคล้องกับการเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ซ่ึงเป็นกฎหมายการศึกษาฉบับแรกของประเทศไทย มี กำหนดเก่ียวกับหลักสูตรไว้ในหมวด ๔ ว่าด้วย แนวการ จัดการศึกษา มาตรา ๒๗ วรรคหนึ่ง ให้ คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจัดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานขึ้นเพ่ือความเป็นไทย ความ เป็นพลเมืองดีของชาติ การดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพตลอดจนเพื่อการศึกษาต่อ และวรรคสอง กำหนดให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีหน้าท่ีจัดทำสาระของหลักสูตรตามวัตถุประสงค์ในวรรคหนึ่งในส่วนท่ี เก่ียวกับปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะ อันพึงประสงค์เพ่ือเป็นสมาชิกท่ีดีของ ครอบครวั ชุมชน สงั คม และประเทศชาติ๑ วิธีสอน หมายถึง แนวทางที่ปฏิบัติ แบบอย่างท่ีทำ ท่ีผู้สอนดำเนินการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม วัตถุประสงค์ด้วยวิธีการต่าง ๆท่ีแตกต่างกันไปตามองค์ประกอบ และข้ันตอนสำคัญอันเป็นลักษณะเด่นหรือ ลกั ษณะเฉพาะท่ีขาดไม่ได้ของวิธีนั้น ๆ เช่น วิธีสอนโดยใชก้ ารบรรยาย วิธีสอนแบบสาธิต แบบโครงงาน แบบ สบื สวนสอบสวน แบบอปุ นยั แบบอภิปราย เป็นต้น ๘.๒ รปู แบบการเรยี นการสอน รูปแบบก็คือการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการแบบต่างๆ ท่ีสร้างองค์ความรู้มีลักษณะเด่น การให้ ความสำคัญของกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนและความสำคัญของความรู้ ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเป็นผู้ แสดงความรู้ สร้างความรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนสังเกตส่ิงที่ตนอยากเรียนรู้ แล้วค้นคว้าแสวงหาความรู้เพิ่ม เชื่อมโยงกับความรู้เดิม ประสบการณ์เดิม ผนวกกับความรใู้ หม่ จนสรา้ งสรรค์เกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ กล่าว โดยสรุปเป็นการเรียนรู้โดยให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริง ค้นหาความรู้ด้วยตัวเอง จนค้นพบความรู้และรู้จักส่ิงท่ี ค้นพบ เรียนรู้วิเคราะห์ต่อจนรู้จริง รู้ลึกซึ่งว่าสิ่งน้ันคืออะไรมีความสำคัญมากน้อยเพียงไร การเรียนรู้แบบน้ี ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถในการคิด พร้อมทั้งฝึกทักษะทางสังคมที่ดี ได้ร่วมแลกเปล่ียนเรียนรู้ ระหวา่ งผเู้ รียนกับผูส้ อน โดยแบง่ ประเภทไว้ ๓ คอื ๑. การสอนโดยการอภิปรายกลมุ่ (Group Discussion) ๒. การสอนแบบโครงงาน (Project Design) ๓. การสอนแบบบูรณาการ (Integrated Teaching) ๑ สำนกั นเิ ทศและพฒั นามาตรฐานการศกึ ษา, สำนกั งานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ,รายงานวจิ ยั ปฏิบัตกิ ารเพอื่ พฒั นาระบบประกนั คุณภาพภายในสถานศึกษา.กรงุ เทพฯ:องค์การรับสง่ สนิ ค้าและพัสดุภณั ฑ์ (ร.ส.พ.). ๒๕๔๖ หนา้ ๑.

ศาสตร์การสอน ๑๗๗ ๘.๒.๑ การสอนโดยการอภปิ รายกลุม่ (Group Discussion) วธิ ีสอนทีม่ ุ่งให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสนทนาแลกเปลย่ี นความคิดเห็น หรอื พิจารณาหวั ข้อท่ีกลุ่มมี ความสนใจร่วมกัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือหาคำตอบ แนวทาง หรือเพ่ือแก้ปัญหาใดปัญหาหน่ึงร่วมกัน เป็นวิธี สอนท่ีผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียน คือ ได้คิด ได้ทำ ได้แก้ปัญหา และได้ฝึกการร่วมกันทำงานแบบ ประชาธิปไตย มลี ักษณะการเรยี นรู้แบบกระตือรือรน้ (Active Learnin) พัฒนาผู้เรียนทั้งด้านความรู้ ด้านเจต คติ ดา้ นทักษะการเรยี นรู้ เชน่ ทักษะการคดิ การพูด การรับฟัง การแสดงความคดิ เห็น การทำงานรว่ มกบั กลุ่ม ๑. ขั้นเตรียมการอภิปราย ผ้สู อนต้องเตรียมในสิง่ ต่อไปนี้ ๑.๑ หัวข้อและรูปแบบการอภิปราย เตรียมให้สอดคล้องเหมาะสมกับจุดประสงค์ ของบทเรียน เวลาเรียนจำนวนผู้เรียนสถานที่ ฯลฯ เช่นถ้ามีเวลาจำกัดควรใช้แบบซุบซิบหรือปรึกษา ถ้า ต้องการรวบรวมความคิดอาจใช้แบบระดมพลังสมอง ( Brain storming) ถ้ามีเวลาให้ผู้เรียนได้มีเวลาเตรียม เนอื้ หาสาระความร้มู าลว่ งหน้า ควรใชแ้ บบ ซิมโพเซียม (Symposim) ๑.๒ หอ้ งเรียน ผู้สอนควรจดั โต๊ะเก้าอ้ีใหเ้ หมาะสมกับรูปแบบการอภปิ ราย เชน่ ๑. จดั แบบวงกลม หรือคร่งึ วงกลม เหมาะสำหรับการอภิปรายแบบระดม สมอง ๒. จัดรปู แบบตัวยูหรือสเ่ี หลยี่ มผนื ผ้า เหมาะสำหรบั การอภิปรายกล่มุ ใหญ่ ๓. จดั รูปแบบตัวที (T) หรือแบบเรยี งแถวหน้ากระดานเหมาะสำหรับการ อภปิ รายแบบพาเนล ๑.๓ สอื่ การเรียน อาจต้องใช้เอกสารไวแ้ จกประกอบการอภิปราย อาจมกี ารใชส้ ไลด์ ภาพแผนภูมิแผ่นใสฯลฯ เพื่อสรุปผลการอภิปราย หรือประกอบการอภิปรายของแต่ละกลุ่มผู้สอนต้องเตรียม ใหพ้ ร้อม ๒. ข้ันดำเนินการอภิปราย ผู้สอนมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการอภิปรายให้ดำเนินไปได้ ด้วยดี จงึ ต้องดำเนนิ การดังนี้ ๒.๑ บอกหวั ขอ้ หรือปัญหาท่ีอภิปรายให้ชัดเจน ๒.๒ ระบุจดุ ประสงค์การอภปิ รายใหช้ ดั เจน ๒.๓ บอกเงื่อนไขหลักเกณฑ์การอภิปราย เช่นระยะเวลาที่ใช้ รูปแบบวิธี การ อภิปรายบทบาทหน้าท่ีของผู้อภิปรายการรายงานผลตลอดจนมารยาทในการพูดการรับฟังผู้อื่นการเคารพมติ ของส่วนรวม ๒.๔ ให้ดำเนินการอภิปราย โดยผู้สอนช่วยเหลือให้การอภิปรายดำเนินไปด้วยดี ขณะท่ีผู้เรยี นเข้ากลุ่มอภิปราย ผู้สอนไม่ควรเข้าไปกำกบั หรือแทรกแซงผูเ้ รยี นตลอดควรคอยดแู ลอยูห่ า่ งๆ คอย กระต้นุ ให้กำลังใจใหค้ ำแนะนำ เม่ือผูเ้ รยี นต้องการเทา่ น้ัน ๓. ข้นั สรปุ ประกอบดว้ ย ๓.๑ สรุปผลการอภิปราย เป็นช่วงที่ผู้แทนกลุ่มสรุปผลการอภิปรายนำเสนอผลการ อภิปรายต่อท่ีประชุมเพ่ือแลกเปล่ียนความคิดเห็นเปิดโอกาสให้ผู้ฟังซักถามผู้อภิปรายตอบคำถามผู้สอนอาจ ถามคำถามผู้อภิปรายได้ในสาระสำคัญท่ีต้องการให้ผู้เรียนได้รับขณะเดียวกันช่วยกลุ่มอภิปรายให้เกิดความ กระจ่างในเนื้อหาบางตอนได้ ๓.๒ สรุปบทเรียนผู้สอนเป็นผู้สรุปเนื้อหาสาระสำคัญที่ได้จากการอภิปรายควรได้ เสริมข้อคิดแทรกความรู้ ย้ำประเด็นสำคัญสำหรับสรุปแนวความคิดหลักให้ผู้เรียนตลอดจนแนวทางการนำ

ศาสตร์การสอน ๑๗๘ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิต ในการสรุปน้ันควรสรุปเป็นหัวข้อบนกระดานดำ เพ่ือผู้เรียนจะได้เข้าใจชัดเจน และบนั ทึกไว้ได้งา่ ย ๓.๓ ประเมินผลการเรียน ผู้สอนมีการประเมินผลการอภิปรายภายหลังท่ีส้ินสุด บทเรียนเพื่อดูว่าการเรียนการสอนในคาบเรียนน้ันๆ ด้วยวิธีการอภิปรายมคี ุณค่าหรือข้อบกพรอ่ งอย่างไร โดย ประเมินให้ครอบคลุมถึงเนื้อหาหัวข้อการอภิปราย จุดประสงค์รูปแบบพฤติกรรมของผู้เรียน บรรยากาศ สง่ิ แวดล้อมต่างๆ ในการอภิปรายฯลฯ ทง้ั นี้เพอ่ื เป็นข้อมูลในการปรับปรุงการเรียนการสอนด้วยวิธีอภิปรายใน คร้งั ต่อไป๒ ๘.๒.๒ การสอนแบบโครงงาน (Project Design) การเรียนรู้แบบโครงงาน (Project Based Learning) เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต สอดคล้องกับหลักทฤษฎีการเรียนรู้ และการเรียนรู้แบบร่วมมือ ซ่ึงมีข้ันตอนการเรียนรู้ที่เริ่มจากการแสวงหา ความรู้ กระบวนการคิด และทักษะในการแก้ปัญหาไว้ในรปู แบบการเรยี นรู้ ซ่ึงการจดั การเรียนรู้แบบโครงงาน น้ี ยึดหลักการ ซึ่งพัฒนาต่อยอดจากทฤษฎีการสร้างความรู้ ของ เพียเจต์ (Piaget) โดยศาสตราจารย์ เซมัวร์ เพพเพิร์ต (Seymour Papert) เป็นผู้นำเสนอการใช้ส่ือทางเทคโนโลยี ช่วยในการสร้างความรู้ท่ีเป็นรูปธรรม แก่ผู้เรียนโดยอาศัยพลังความรู้ของตัวผู้เรียนเอง และเมื่อผู้เรียนสร้างสิ่งหนึ่งส่ิงใดข้ึนมาก็จะเสมือนเป็นการ สร้างความรู้ขึ้นในตัวเองน่ันเอง ความรู้ท่ีสร้างข้ึนเองนี้มีความหมายต่อผู้เรียนมาก เพราะจะเป็นความรู้ท่ีอยู่ คงทน ไม่ลืมง่าย ขณะเดียวกันสามารถถ่ายทอดให้ผู้อ่ืนเข้าใจความคิดของตัวเองได้ดี นอกจากนั้นความรู้ที่ สรา้ งขนึ้ เองนี้ ยงั จะเป็นฐานใหผ้ ูเ้ รยี นสามารถสรา้ งความรู้ใหมต่ อ่ ไปอยา่ งไม่มีทส่ี ้นิ สดุ ทฤษฎี constructionism มีสาระสำคัญที่กล่าวถึงว่า ความรู้ไม่ใช่เกิดจากผู้สอนเพียงอย่าง เดยี ว แต่สามารถสรา้ งข้ึนโดยผ้เู รยี นเองได้ และการเรียนรู้จะเกิดขึน้ ไดด้ ีก็ตอ่ เมื่อผ้เู รยี นลงมอื กระทาดว้ ยตนเอง (Learning by Doing) ซ่ึงการลงมือกระทาน้ี ไม่เพียงแต่ได้รับความรู้ใหม่ด้วยตนเองแล้ว แต่ยังจะสามารถเก็บ ข้อมูลของสิ่งแวดล้อมเข้าไปเปน็ โครงสร้างของสมองตนเอง ขณะเดียวกันก็สามารถนาความรู้เดิมที่มอี ยู่ปรับให้ เข้ากับส่ิงแวดล้อมภายนอกได้ และจะเกิดเป็นวงจรเช่นน้ีอย่างต่อเนื่อง ดังน้ัน การลงมือกระทำด้วยตนเองจะ สามารถเช่ือมโยงความรู้ระหว่างความรู้เก่าและความรู้ใหม่ สร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ข้ึนมา ซ่ึงทั้งหมดจะอยู่ ภายใต้ประสบการณ์และบรรยากาศท่ีเอื้ออานวยตอ่ การเรยี นรู้ โดยยดึ หลกั คิดท่วี ่า “การเรียนรู้ทีด่ ีไมไ่ ด้มาจาก การหาวิธกี ารสอนทดี่ ีแก่ผู้สอน แต่มาจากการให้โอกาสทีด่ ีแก่ผเู้ รียนในการสร้าง” (Better learning will not come from finding better ways for the teacher to instruct, but from giving the learner better opportunities to construct)๓ ประกอบดว้ ยข้ันตอน ข้นั ท่ี ๑ การเตรียมความพร้อม ผสู้ อนจัดเตรยี มขอบเขตของโครงการ แหล่งข้อมูล และคำถามนำ โดยสามารถนำเสนอได้ในหลากหลายรูปแบบเชน่ text, video clip, หรอื online news ขั้นที่ ๒ ศึกษาความเป็นไปได้ ผู้เรียนศึกษาขอบเขตโครงการ แหล่งข้อมูล ตลอดจนค้นหา แหลง่ ข้อมูลจากเว็บไซตต์ ่างๆ และแลกเปลย่ี นข้อมูลกับสมาชกิ ในกลุ่มเพ่ือพยายามตอบคำถาม ตามที่ผูส้ อนได้ ต้ังไว้ ผ่านเครื่องมือติดต่อสื่อสารแบบไม่ประสานเวลาต่างๆเช่น group discussion board, wiki หรือ ๒ โกศล มคี ณุ , การวิจยั เชิงทดลองฝึกอบรมการใชเ้ หตุผลเชงิ จริยธรรม และทกั ษะการสวมบทบาทของ นักเรยี น ประถมศึกษา, ปรญิ ญานิพนธก์ ารศึกษาดษุ ฎบี ณั ฑิต, (กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ ประสานมติ ร,๒๕๒๔),หนา้ ๒๒. ๓ ผศ.ดร.วชั รนิ ทร์ โพธเ์ิ งนิ ,และคณะ, การจัดการเรยี นการสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน, ภาควชิ าครุศาสตรเ์ คร่ืองกล คณะครศุ าสตรอ์ ตุ สาหกรรม,(กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ พระนครเหนือ , ๒๕๕๔), หนา้ ๑-๑๒.

ศาสตร์การสอน ๑๗๙ เครื่องมือติดตอ่ สื่อสารแบบประสานเวลาต่างๆ เช่น chat, web conference แล้วศึกษาโครงงานอยา่ งคร่าวๆ ถงึ ความเป็นไปได้ในการจดั ทำโครงงาน ข้ันท่ี ๓ กำหนดหัวข้อ ปรึกษาภายในกลุ่ม กำหนดหัวข้อท่ีจะทำเป็นโครงงาน เม่ือผู้สอนได้เห็นชอบ กบั หัวข้อท่ีกลุ่มของตนได้นำเสนอแล้ว ผู้เรียนในแต่ละกลุ่มวางแผนการจัดทำโครงการ โดยระบุกิจกรรมในแต่ ละขั้นตอนและตารางการดำเนินการ ตลอดจนกำหนดบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในกลุ่มให้ชัดเจน ตามความ สะดวกของสมาชิกในกล่มุ จากนั้นนำเสนอข้อสรปุ แกผ่ ้สู อนอีกครัง้ ขั้นท่ี ๔ การดำเนินงานสร้างช้ินงานและทดสอบ สมาชิกในกลุ่มแบ่งงานและภาระความรับผิดชอบ ของแต่ละคนเพื่อสร้างช้ินงาน โดยใช้ความรู้ในการจัดทำโครงการ จากน้ันจึงแลกเปล่ียนประสบการณ์และ ความรู้ใหม่กบั สมาชิกในกลุ่ม ซ่ึงสามารถทำได้ทั้งแบบประสานเวลาและไมป่ ระสานเวลา ตามความสะดวกของ สมาชิกในกลุ่ม โดยมีผู้สอนคอยให้คำปรึกษา หลังจากดำเนินการสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องมีการทดสอบ เพอื่ วดั ประสิทธิภาพของงานทสี่ รา้ งขน้ึ น้ัน ๘.๒.๓ การสอนแบบบูรณาการ (Integrated Teaching) คำว่า บูรณาการ นั้น อาจพิจารณาได้ ๒ ลักษณะ คือ ความหมายท่ัวไป คือ การทำให้ สมบูรณ์ หรือการทำให้หน่วยย่อยๆ ที่สัมพันธ์ ซึ่งอาศัยกันอยู่เข้ามาร่วมทำหน้าที่อย่างประสานกลมกลืนเป็น องค์รวมส่วนอีก ความหมายหน่ึงเป็นความหมายในสาขาวิชาทางศึกษาศาสตร์หรือคุรุศาสตร์บูรณาการ หมายถึง การนำเอาศาสตร์สาขา วิชาต่างๆ ท่ีมีความสัมพันธ์เก่ียวข้องกันมาผสมผสานเข้าด้วยกัน เพ่ือ ประโยชน์ในการเรียนรู้ของผู้เรียน การจัดการ เรียนการสอน จึงจำเป็นต้องใช้วิธีบูรณาการ คือ เน้นท่ีองค์รวม ของความรู้มากกว่าเนื้อหาย่อยของแต่ละวิชา และเน้นท่ีกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนสำคัญยิ่งกว่าการบอก เนื้อหาของครูการเรียนการสอนแบบบูรณาการจะประสบผลสำเร็จได้น้ัน จำเป็นจะต้องได้ผู้สอนท่ีดีเพ่ือทำ หน้าที่ ให้ผู้เรียน เกิด ความซาบซึ้งและส่งเสริมการพัฒนาความสามารถเต็มตามศักยภาพของตนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ดังน้ันสรุปได้ว่าการเรียนการสอนบูรณาการ เป็นนวัตกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมองเห็น ความสัมพันธ์ระหว่าง วชิ าชีพท่ีเรียนกับวิชาอนื่ ทีเ่ กี่ยวข้องความรู้กับกระบวนการเรียนรู้ พัฒนาการทางความรู้ กับพัฒนาการทางจิตใจ ความรูก้ ับการกระทำ ซึ่งจะทำให้เกิดกิจกรรมการเรียนรูไ้ ด้กว้างขวางรวมท้ังทำใหเ้ กิด ทักษะความสามารถในการแก้ปัญหาทั้งผู้เรียนและผู้สอน จะเห็นได้ว่าการเรียนการสอนแบบบูรณาการคงไม่ พน้ ความสามารถ ที่ผูส้ อนจะทำไดห้ ากให้ความเอาใจใส่อยา่ งต่อเนื่อง ๘.๓ รูปแบบการบูรณาการ๔ ๘.๓.๑ รูปแบบการบูรณาการ ๑.การบูรณาการภายในวิชา เป็นการเช่ือมโยงการสอนระหว่างเน้ือหาวิชาในกลุ่ม ประสบการณ์หรอื รายวชิ าเดยี วกันกนั เขา้ ดว้ ยกนั ๒.บรู ณาการระหว่างวชิ า มี ๔ รูปแบบ คือ ๔ ปณัฏฐา ศรเดช, การศกึ ษาผลการสอนการแก้โจทยป์ ัญหาคณิตศาสตรโ์ ดยสอดแทรกคุณธรรม ดา้ นความชื่อ สัตย์ สำหรับนกั เรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๖,วทิ ยานพิ นธ์ปริญญาการศึกษามหาบณั ฑติ ,สาขาวชิ าหลกั สูตรและการสอน (บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั บรู พา, ๒๕๔๔), หน้า ๓๔.

ศาสตร์การสอน ๑๘๐ ๒.๑ การบูรณาการแบบสอดแทรก เป็นการสอนในลักษณะท่ีครูผู้สอนในวิชาหนึ่ง สอดแทรกเนื้อหาวชิ าอ่ืน ๆ ในการสอนของตน ๒.๒ การสอนบูรณาการแบบคู่ขนาน เป็นการสอนโดยครูตั้งแต่สองคนข้ึนไป วาง แผนการสอนร่วมกันโดยมุ่งสอนหัวเร่ืองหรือความคิดรวบยอดหรือปัญหาเดียวกันแต่สอนต่างวิชาและต่างคน ตา่ งสอน ๒.๓ การสอนแบบบูรณาการแบบสหวิทยาการ เป็นการสอนลักษณะเดียวกับการ สอนบรู ณาการแบบค่ขู นาน แต่มกี ารมอบหมายงานหรอื โครงงานรว่ มกนั ๒.๔ การสอนบูรณาการแบบข้ามวิชา หรือสอนเป็นคณะ เป็นการสอนท่ีครูผู้สอน วิชาต่าง ๆ ร่วมกันสอนเป็นคณะหรือเป็นทีม มีการวางแผน ปรึกษาหารือร่วมกันโดยกำหนดหัวเร่ือง ความคิดรวบยอด หรือปญั หารว่ มกนั แล้วรว่ มกันสอนนักเรยี นกลมุ่ เดยี วกนั ๘.๓.๒ การแบง่ ลักษณะการบูรณาการในหลกั สตู ร ๑. บูรณาการเชิงเนื้อหาวิชา คือ การผสมผสานเน้ือหาวิชาลักษณะของการหลอมรวมแบบ แกนหรือแบบสหวิทยาการ จะเป็นหน่วยก็ได้หรือจะเป็นโปรแกรมก็ได้ นอกจากน้ีอาจจะเป็นการผสมผสาน ของเนื้อหาวิชาในแง่ของทฤษฎีกับการปฏิบัติหรือเนื้อหาวิชาท่ีสอนกับชีวิตจริง ในการจัดบูรณาการเชิง เนือ้ หาวิชา ไดแ้ บ่งวธิ ีการจดั บรู ณาการเชิงเนอ้ื หาออกเปน็ ๒ วธิ ี คอื ๑.๑ บูรณาการส่วนทั้งหมด (Total Integration) คอื การรวมเนอ้ื หาประสบการณ์ ต่าง ๆ ท่ีต้องการจะให้เด็กเรียนรู้หลักสูตรหรือโปรแกรม จัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ยึดปัญหาหรือแนว เร่อื ง (Theme) เป็นแกน ซ่ึงปัญหาหรือแนวเรื่องท่ีจะเป็นตวั ช้ีบ่งถึงความรู้มาจากวชิ าต่าง ๆ ในโปรแกรมซึ่ง มีเน้อื หาเกยี่ วข้องกบั ชวี ติ ประจำวนั และปญั หาสังคมทั้งหมด ๑ .๒ บู รณ าก ารเป็ น บ างส่ ว น (Partial Integration) เป็ น ก ารรวม รว ม ประสบการณ์ของบางสาขาวิชาเข้าด้วยกัน อาจจะเป็นลักษณะของหมวดวิชาหรือกลุ่มวิชาซ่ึงภายในสัมพันธ์ กันเป็นอย่างดี ดังนั้นการจัดบูรณาการเป็นบางส่วนอาจจะจัดได้ทั้งภายในสาขาวิชาและระหว่างสาขาวิชา หรือจัดเป็นบูรณาการแบบโครงการ ซึ่งการจัดแบบโครงการน้ีแต่ละรายวิชาก็จะเป็นรายวิชาเช่นปกติ แต่จะ จัดประสบการณใ์ หเ้ ป็นบรู ณาการในรปู ของโครงการ อาจจะเป็นโครงการสำหรับนกั เรียนรายบคุ คล หรือราย กลมุ่ ๒. บรู ณาการเชิงวธิ กี าร คอื การผสมผสานวธิ กี ารเรียนการสอนแบบตา่ ง ๆ โดยใช้สอื่ ประสมและใช้วิธกี ารประสมให้มากทีส่ ุด ๘.๓.๓ ลักษณะการสอนแบบบูรณาการ การสอนแบบบรู ณาการเปน็ การสัมพันธ์ความรู้ ซง่ึ แยกออกเปน็ วธิ ีย่อยได้ ๔ วธิ ี๕ ๑.นำเอาความรอู้ ่ืนที่ใกล้เคยี งกับเร่อื งที่กำลังสอนมาสมั พนั ธก์ นั ๒.นำเอาความรู้เก่ียวกับเร่ืองอื่น ๆ ท่ีเป็นเหตุเป็นผลเกี่ยวเน่ืองกับเร่ืองท่ีกำลังสอน มาสัมพันธ์กนั ๓.รบั งานท่ีให้เด็กทำให้มลี กั ษณะสอดคล้องกบั สภาพความเปน็ จรงิ ในสังคม ๔.พยายามนำส่ิงท่ีเป็นแกนเข้าไปผนวกกับส่ิงท่ีกำลังสอนทุกครั้งท่ีมีโอกาสจะ สอดแทรกแกนดังกลา่ วน้ีอาจเป็นความคิดรวบยอด ทักษะและคา่ นยิ ม ๕ สุมติ ร คณุ านุกร, กระบวนการบรหิ ารจดั การหลกั สูตร, (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๔๒), หน้า ๓๓.

ศาสตร์การสอน ๑๘๑ ๘.๓.๔ ขน้ั ตอนการจดั การเรยี นการสอนแบบบูรณาการ ๑. กำหนดเร่ืองที่จะสอน โดยการศึกษาหลักสูตรและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเนื้อหาที่มี ความเก่ียวข้องกนั เพอ่ื นำมากำหนดเป็นเร่ืองหรอื ปัญหาหรอื ความคิดรวบยอดในการสอน ๒. กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยการศึกษาจุดประสงค์ของวิชาหลักและวิชารองท่ีจะ นำมาบรู ณาการและกำหนดจดุ ประสงคก์ ารเรียนรูใ้ นการสอน สำหรับหัวเร่ืองนนั้ ๆ เพอื่ การวดั และประเมนิ ผล ๓. กำหนดเนื้อหาย่อย เป็นการกำหนดเนื้อหาหรือหัวเร่ืองย่อย ๆ สำหรับการเรียนการสอน ให้สนองจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ทีก่ ำหนดไว้ ๔. วางแผนการสอน เปน็ การกำหนดรายละเอยี ดของการสอนตงั้ แต่ต้นจนจบ โดยการเขียน แผนการสอน/แผนการจัดการเรียนรู้ ซ่ึงประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญเช่นเดียวกับแผนการสอนทั่วไป คือ สาระสำคญั จดุ ประสงค์ เนอ้ื หา กจิ กรรมการเรียนการสอน การวดั และประเมนิ ผล ๘.๓.๕ การสอนแบบ ๔ MAT๖ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ (๔ MAT) เป็นรูปแบบหน่ึงของการจัด กระบวนการเรียนรู้ท่ีมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เน่ืองจากเป็นการจัดกิจกรรมที่คำนึงถึงลักษณะการเรียนรู้ของ ผู้เรียน ๔ แบบ กับการพัฒนาสมองซีกซ้ายและซีกขวาอย่างสมดุล เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามลักษณะและ ความต้องการของตนเองอย่างเหมาะสม กิจกรรมบางช่วงจะตอบสนองให้ผู้เรียนแต่ละแบบมีความสุขในการ เรียนในชว่ งกิจกรรมที่ตนถนัด และรู้สึกทา้ ทายในช่วงที่ผู้อ่ืนถนดั ดงั น้ันผู้เรียนจะสามารถพัฒนาตนเองไดเ้ ต็ม ศักยภาพ การจัดการเรียนรแู้ บบ ๔ MAT เป็นการจัดการเรียนรู้ทคี่ ำนึงถึงรูปแบบการเรียนรู้ของกลุ่ม ผเู้ รียน ๔ คณุ ลักษณะ กับพฒั นาการสมองซกี ซ้ายและซีกขวาอยา่ งสมดุล เพื่อให้ผ้เู รยี นเรยี นรตู้ ามแบบและ ความต้องการของตนอยา่ งเหมาะสม และสามารถพฒั นาตนเองอย่างเต็มศกั ยภาพ ซึง่ ไดแ้ ก่ ผเู้ รียนแบบท่ี ๑ ( Why ) ผเู้ รยี นที่มีจินตนาการเป็นหลัก ผเู้ รยี นแบบท่ี ๒ (What ) ผู้เรียนทีเ่ รียนรดู้ า้ นการวเิ คราะห์และการเกบ็ รายละเอยี ด เป็นหลัก ผเู้ รยี นแบบที่ ๓ ( How ) ผ้เู รียนท่เี รียนรู้ด้วยสามญั สำนึกหรือประสาทสัมผสั ผูเ้ รยี นแบบท่ี ๔ ( If ) ผเู้ รียนทีเ่ รียนรูด้ ว้ ยการรับรูจ้ ากประสบการณร์ ูปธรรม ไปสู่การลงมือปฏบิ ัติ การจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดเร่ือง การศึกษาแผนใหม่ ( Progressivism ) ซึ่งเป็นการจัด การศึกษาแบบก้าวหน้าที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการกระทำนั้น เป็นแนวคิดท่ีคำนึงถึงความแตกต่างระหว่าง บุคคล ซง่ึ สนบั สนุนปรัชญากลุม่ พพิ ัฒนาการนิยมหรือปรชั ญากลุ่มก้าวหน้า โดยคำนึงถึงผเู้ รยี นมวี ธิ ีการเรียนรู้ ในลักษณะท่ีแตกต่างกัน ถ้าผู้สอนจัดกระบวนการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละประเภทผู้เรียนก็จะ ประสบความสำเร็จในการเรียนไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ รูปแบบการเรียนรู้ ๔ MAT พัฒนาข้ึนจากการค้นคว้าวิจัยของ เบอร์นิส แมคคาร์ธี ( Bernie McCarthy ) นักการศึกษา นักแนะแนวทางการศึกษา ซึ่งเชื่อในศักยภาพของผู้เรียนในเร่ืองความแตกต่าง ระหว่างบุคคล โดยคำนึงถึงรูปแบบหรือวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละประเภท กระบวนการรับรู้ดังกล่าว เปน็ กระบวนการท่ีเกดิ จากการลงมือปฏบิ ัตจิ รงิ ( Active Experimentation ) และเฝ้าสงั เกตอยา่ งไตร่ตรอง ( Reflective observation ) ซึ่งเดวิด คอลป์ ( David Kolb ) ได้แบ่งรูปแบบการเรียนรู้ตามความแตกต่าง ๖ การจัดกิจกรรมการเรยี นร,ู้ ออนไลน์ เข้าถงึ ได้จาก www.scc.ac.th/etraining/sub/๔mat/ doc, สบื คน้ วนั ที่ ๑๐ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๕๙.

ศาสตร์การสอน ๑๘๒ ของการเรียนรู้เป็น ๔ ส่วนตามจุดตัดของแกนการรับรู้ และแกนของกระบวนการ โดยให้ส่วนท่ีเป็นวงล้อ แหง่ การเรียนรู้เปน็ ลักษณะของผเู้ รยี น ๔ แบบ ซึ่งมีรูปแบบการรบั รแู้ ละกระบวนการรับรทู้ ่ีแตกต่างกนั ดงั น้ี ประสบการณ์ตรง ( Concrete Experience ) การปฏิบตั ิ กระบวน การสงั เกต ( Active Experimentation ) การ ( Reflective Observation ) การรบั รู้ ความคิดรวบยอด ( Abstract Conceptualization ) เบอร์นิส แมคคาร์ธี ( Bernie McCarthy ) ไดป้ ระยุกตแ์ นวคดิ ของเดวิด คอล์ป ( David Kolb ) โดยให้พ้ืนท่ีท้ัง ๔ ส่วนท่ีเกิดจากการตัดกันของแกนการรับรู้ ( Perception ) และแกนกระบวนการ ( Processing ) แทนลกั ษณะการเรียนรู้ของผู้เรียน ๔ ประเภท ซ่ึงคำนึงถึงความคดิ เก่ยี วกับระบบการทำงาน ของสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวากับธรรมชาติของการเรียนรู้ซ่ึงอธิบายโดยใช้แผนภาพและคำอธิบาย ประกอบได้ ดงั นี้ If Why ๔ ๑ Dynamic Imaginative Learners Learners How ๓ ๒ What Commonsense Analytic Learners Learners

ศาสตร์การสอน ๑๘๓ ส่วนท่ี ๑ ผู้เรียนที่ถนัดจินตนาการ ( Imaginative Learners ) เป็นผู้เรียนท่ีเรียนรู้จากประสบการณ์ และกระบวนการเฝ้าสังเกตผเู้ รยี นในกลมุ่ น้จี ะสงสยั และตงั้ คำถามตรงกันวา่ “ ทำไม” ทำไมต้องเรียนเรอ่ื งนี้ ส่วนท่ี ๒ ผู้เรียนท่ีถนัดการวิเคราะห์ ( Analytic Learners ) เป็นผู้เรียนท่ีเรียนรู้ โดยรับรู้จาก การสังเกตอย่างไตร่ตรอง ไปสู่การสร้างประสบการณ์นามธรรมหรือความคิดรวบยอด ผู้เรียนในกลุ่มน้ีจะตั้ง คำถามวา่ “อะไร” ( What ) เราจะเรียนอะไรกัน สว่ นท่ี ๓ ผเู้ รียนที่ถนัดการใช้สามญั สำนึก ( Commonsense Learners ) เปน็ ผู้เรยี นท่ีเรียนรู้ จากการรับรู้ความคิดรวบยอดไปสู่การลงมือปฏิบัติท่ีสะท้อนระดับความเข้าใจของตนเอง ผู้เรียนในกลุ่มน้ีจะ ตง้ั คำถามวา่ “อย่างไร” ( How ) เราจะเรยี นเร่ืองน้ีอย่างไร ส่วนท่ี ๔ ผู้เรียนท่ีถนัดการรับรู้จากประสบการณ์รูปธรรมไปสู่การลงมือปฏิบัติ ( Dynamic Learners ) เป็นผู้เรียนที่เรียนรู้และสนุกกับการได้ค้นพบด้วยตนเอง โดยการลงมือปฏิบัติ ผู้เรียนในกลุ่มนี้ จะตัง้ คำถาม “ถ้า” ( If … ) ถา้ … แลว้ จะนำไปใช้อย่างไร จากพนื้ ทีภ่ ายใตว้ งลอ้ มแห่งการเรียนรู่ ตามเสน้ แบ่งของการรับรู้และเส้นแบ่งกระบวนการรบั รู้ทแี่ บ่ง ผู้เรียนเปน็ ๔ ประเภทนน้ั ไดมแี นวคดิ ที่จะจดั กจิ กรรมการเรียนรเู้ พ่อื ตอบสนองการใช้สมองของผู้เรยี นตาม บทบาทของสมองซีกซ้ายและซกี ขวา เพื่อตอบสนองการพัฒนาศกั ยภาพทุกดา้ นของผ้เู รยี นในลักษณะตา่ ง ๆ ท่ีแตกต่างกนั จงึ แบง่ วงล้อแหง่ การเรยี นร้เู ปน็ ๘ ส่วน ยอ่ ย ๆ เพอ่ื สะดวกในการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ที่ ตอบสนองบทบาทและความต้องการของสมองท้งั สองซีกอย่างสมดลุ โดยมีลกั ษณะขน้ั ตอนการเคลอ่ื นไหวอย่าง เปน็ ลำดบั ตามศักยภาพทางสมองดังนี้ ประสบการณ์ตรง Why If  ผู้เรยี นแบบท่ี ๔ ผ้เู รียนแบบที่ ๑ การปฏิบตั ิ LL  การสงั เกต LL  ผู้เรียนแบบที่ ๓ ผเู้ รียนแบบท่ี ๒ How  What ความคิดรวบยอด หมายเหตุ : R = Right (กิจกรรมท่ีพัฒนาสมองซกี ขวา) L = Left (กิจกรรมท่พี ฒั นาสมองซกี ซ้าย)

ศาสตร์การสอน ๑๘๔ จากการแบ่งวงล้อแหง่ การเรียนรู้ 8 ส่วน ตามบทบาทของสมองสองซกี ผสู้ อนได้กำหนดข้ันตอน การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ จากพน้ื ท่ที ัง้ 8 สว่ น เปน็ กิจกรรมการเรียนรู้ 8 ขน้ั ตอน โดยกำหนดขน้ั ตอน ของการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ดังน้ี ประสบการณ์ตรง R R ๘. ข้นั ๑. ขั้นสรา้ งคณุ คา่ แลกเปล่ยี น และประสบการณ์ ประสบการณ์ ของส่ิงที่เรยี น L ๗. ขนั้ วเิ คราะห์ เรียนรู้ ๒. ขั้นวิเคราะห์ คณุ คา่ และการ กบั ผ้อู ืน่ ประสบการณ์ ประยกุ ตใ์ ช้ L การปฏิบตั ิ การสังเกต ๖. ขนั้ สรา้ งชิ้นงานเพ่ือ ๓. ข้ันปรับประสบการณ์ สะทอ้ นความเปน็ ตนเอง L เปน็ ความคดิ รวบยอด ๕. ข้นั ลง L มือปฏิบตั ิ R ๔. ข้นั พฒั นา R ความคดิ รวบ จากกรอบ ยอด ความคดิ ที่ กำหนด ความคดิ รวบยอด หมายเหตุ : R = Right ( กิจกรรมทพ่ี ฒั นาสมองซกี ขวา ) L = Left ( กิจกรรมท่ีพฒั นาสมองซีกซ้าย ) ๘.๓.๕.๑ ข้นั ตอนการจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ท่ีคำนึงถึงรูปแบบการเรียนรู้ของกลุ่มผู้เรียน ๔ กลุ่ม กับพัฒนาการสมองซีกซ้าย และสมองซกี ขวาอย่างสมดุล ซึ่งไดแ้ ก่ ผู้ที่เรยี นแบบท่ี ๑ (Why) มีการจนิ ตนาการเป็นหลัก ผ้ทู ี่เรยี นแบบ ท่ี ๒ (What) มีการเรียนรูด้ ้วยการวิเคราะห์และการเก็บรายละเอียดเป็นหลัก ผู้เรียนแบบที่ ๓ (How) มี การเรียนรู้ด้วยสามัญสำนึกหรือประสาทสัมผัส ผู้เรียนแบบที่ ๔ (If) มีการเรียนรู้ด้วยการรับรู้จาก

ศาสตร์การสอน ๑๘๕ ประสบการณ์รูปธรรมไปสู่การลงมือปฏิบัติ ซึ่งเบอร์นิส แมคคาร์ธี ( Bernice McCarthy ) ได้กำหนด ลำดับข้ันของการเรียนรู้ ๔ MAT โดยแบ่งวงล้อกระบวนการเรียนรู้ออกเป็น ๘ ข้ันตอน ดังมีรายละเอียด ของการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ๔ MAT ดงั น้ี สว่ นที่ ๑ ผูเ้ รียนแบบที่ ๑ เรียนรจู้ ากประสบการณ์และการเฝา้ สงั เกตอยา่ งไตร่ตรอง ( Imaginative Learners ) ประสบการณ์ตรง เป็นช่วงท่ผี ูเ้ รียนไดเ้ รียนรู้จากประสบการณ์และกระบวน ๑ การ เฝ้าสงั เกตอย่างไตร่ตรอง มักใช้คำถามว่า “ทำไม” ( Why ) ๑ บทบาทของผู้สอน : ผู้คอยกระต้นุ ใหผ้ ้เู รยี นคิดวิ 1 เคราะห์ส่งิ ทสี่ งั เกตได้อย่าง  ไตร่ตรอง 2 วิธกี ารจัดกิจกรรม : ใชค้ ำถามข้อมูลเพื่อให้ผเู้ รียน การสงั เกต สังเกตการร่วมอภิปรายการให้ ผ้เู รียนทำกิจกรรม ในส่วนที่ ๑ สามารถแบ่งขน้ั ตอนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้เป็น ๒ ขัน้ ตอนท่ีคำนงึ ถึงการทำงาน ของสมองซีกขวา และซกี ซ้ายของผเู้ รยี น ไดด้ ังนี้ ขนั้ ตอนท่ี ๑ ขน้ั สรา้ งคุณคา่ และประสบการณข์ องสิ่งทเ่ี รยี น (สมองซีกซา้ ย) ประสบการณต์ รง 1  ผสู้ อนควรกระตนุ้ ความสนใจและแรงจูงใจใหผ้ ู้เรียนคดิ โดยใช้คำถามที่ 2 กระตุ้นใหผ้ ูเ้ รยี นสงั เกต การออกไปปฎิสมั พนั ธ์กบั สภาพแวดล้อมจริง ของสิง่ เรียน เป็นขัน้ ที่เนน้ การจัดกจิ กรรมที่พัฒนาสมองซีกขวา การสงั เกต ข้ันตอนท่ี ๒ ขนั้ วิเคราะหป์ ระสบการณ์ (สมองซีกซา้ ย) ประสบการณ์ตรง จากขน้ั ตอนท่ี ๑ ท่ผี ู้สอนกระตุน้ ใหผ้ เู้ รยี นอยากเรียนรู้และสนใจในสงิ่ ท่ี เรยี นตอ่ จากนนั้ ในขนั้ ที่ ๒ นผี้ ู้สอนควรให้ผูเ้ รยี นวิเคราะห์หาเหตผุ ล ฝกึ 1  ทำกจิ กรรมกลุม่ อยา่ งหลากหลาย เช่น ฝกึ เขียนแผนผังมโนมติ (Concept 2 mapping) ช่วยกันระดมสมองอภปิ รายรว่ มกนั เป็นขน้ั ท่ีเนน้ การจัดกจิ กรรมที่พฒั นาสมองซกี ซ้าย การสังเกต

ศาสตร์การสอน ๑๘๖ ส่วนที่ ๒ ผู้เรียนแบบท่ี ๒ เรียนรูจ้ ากการสังเกตอย่างไตร่ตรองไปสู่การสร้างความคดิ รวบยอด ( Analytic Learners ) การสังเกต ๓ เป็นช่วงที่ผูเ้ รียนได้เรียนรู้จากการสงั เกตอย่างไตร่ตรองไปสู่การ ๔ ๒ สร้างความคดิ รวบยอด มกั ใช้คำถามวา่ “อะไร” (What) เช่น เราจะเรียนอะไรกันดี สร้างความคดิ รวบยอด บทบาทของผสู้ อน : เตรยี มขอ้ มูลท่ผี ู้เรียนควรทราบ และสาธิต วิธีการจดั กจิ กรรม : ใหผ้ เู้ รยี นได้ค้นคว้าเน้ือหาทจ่ี ะเรียนจากแหล่งต่าง ๆ เช่นใบ ความรู้ วีดที ัศน์ เล่นเกม ผสู้ อนเปน็ ผใู้ หข้ ้อมลู เล่นเกมเป็นตน้ ในส่วนที่ ๒ สามารถแบง่ ขน้ั ตอนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้เป็น ๒ ขน้ั ตอนทีค่ ำนงึ ถึงการทำงาน ของสมองซีกขวา และซกี ซา้ ยของผเู้ รยี น ได้ดังน้ี ขั้นตอนท่ี ๓ ขนึ้ ปรับประสบการณ์เปน็ ความคิดรวบยอด (สมองซีกขวา) การสงั เกต ผสู้ อนผูส้ อนควรเนน้ ใหผ้ ู้เรยี นได้วิเคราะห์อยา่ งไตร่ตรอง นำ ความรู้ท่ไี ด้มาเช่ือมโยงกับข้อมลู ทไี่ ดศ้ ึกษาค้นควา้ โดยจัดระบบ ๓ การวเิ คราะหเ์ ปรียบเทียบการจัดลำดับความสัมพันธ์ของส่ิงท่ี เรยี น เปน็ ขั้นทีเ่ นน้ การจดั กจิ กรรมที่พัฒนาสมองซกี ขวา  สรา้ งความคดิ รวบยอด ขัน้ ตอนที่ ๔ ขัน้ พัฒนาความคิดรวบยอด (สมองซีกซา้ ย) การสงั เกต ผู้สอนผสู้ อนควรให้ทฤษฎี หลกั การท่ลี กึ ซงึ้ โดยเฉพาะรายละ เอียดของข้อมูลตา่ ง ๆ เพื่อให้ผู้เรยี นเขา้ ใจและพัฒนาความคิด ๔ รวบยอดของตนเองในเร่ืองที่เรยี นกจิ กรรมควรเปน็ กจิ กรรมท่ีให้ ผ้เู รียนคน้ คว้าจากใบความรู้ แหลง่ วิทยาการท้องถ่ินการสาธิต สร้างความคดิ รวบยอด การทดลองการใชห้ ้องสมุด วดี ีทศั น์ ส่ือประสมตา่ ง ๆ เป็นข้นั ท่เี นน้ การจดั กจิ กรรมที่พัฒนาสมองซีกซา้ ย

ศาสตร์การสอน ๑๘๗ ส่วนที่ ๓ ผู้เรียนแบบท่ี ๓ สร้างความคิดรวบยอดไปสู่การลงมือปฏิบัติ และสร้างชิ้นงานในลักษณะ เฉพาะตวั (Commonsense Learners) ลงมอื ปฏิบัติ 6 เป็นช่วงที่ผู้เรยี นจะสรา้ งความคิดรวบยอด (มโนมติ) ไปสูก่ ารลงมอื ปฏิบัติ ๓5 กจิ กรรม การทดลอง ตามความคิดของตนเองและสรา้ งชน้ิ งานทเี่ ปน็ ลกั ษณะเฉพาะตวั สรา้ งความคดิ รวบยอด บทบาทของผ้สู อน : ผู้คอยแนะนำชแี้ นะ (Coach) และผู้อำนวยความสะดวด (Facilitator) แก่ผู้เรียน วิธีการจัดกจิ กรรม : ให้ผู้เรียนไดล้ งมือปฏิบตั กิ ารทดลอง สรปุ ผลการทดลองทำแบบฝกึ หัดตาม ความเหมาะสมของเนื้อเรื่องที่เรยี น ในส่วนท่ี ๓ สามารถแบง่ ชี้ข้ันตอนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้เป็น ๒ ขัน้ ตอนทคี่ ำนึงถึงการทำงาน ของสมองซีกขวาและซีกซา้ ยของผูเ้ รยี น ได้ดงั น้ี ขนั้ ตอนท่ี ๕ ขั้นลงมือปฏิบัติจากกรอบความคิดทก่ี ำหนด (สมองซกี ซ้าย) ผ้สู อนผสู้ อนควรใหผ้ ูเ้ รยี นได้ปฏิบัตกิ ิจกรรมการทดลองจากใบงานการ ลงมือปฏบิ ตั ิ ทดลอง ทำแบบฝึกหัด การสรุปผลการปฏิบัติกจิ กรรม สรุปผลการทด ลองทถ่ี ูกต้องชดั เจน โดยเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนซักถามข้อสงสัยกอ่ น  ปฏบิ ตั กิ จิ กรรม ฝกึ เลือกใช้อุปกรณ์บนั ทึกผลการทดลอง โดยผสู้ อนจะ เป็นพ่เี ล้ียงเป็นขนั้ ท่ีเนน้ การจัดกิจกรรมทพ่ี ัฒนาสมองซีกซา้ ย 5 สรา้ งความคดิ รวบยอด ข้ันตอนที่ ๖ ขน้ั สรา้ งชนิ้ งานเพ่อื สะท้อนความเป็นตนเอง(สมองซกี ขวา) ลงมอื ปฏบิ ัติ ผสู้ อนต้องเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รียนไดแ้ สดงความสามารถของตนเองตาม ความถนัด ความสนใจเพื่อสร้างสรรค์ชน้ิ งานตามจนิ ตนาการของตนเอง 6 ท่แี สดงถึงความเข้าใจในเน้ือหาวิชาที่เรียน ใหเ้ หน็ เป็นรปู ธรรมในรปู แบบตา่ ง ๆ โดยเลอื กวิธีการนำเสนอผลงานในลักษณะเฉพาะตวั ช้นิ งาน สร้างความคดิ รวบยอด ทส่ี ร้างอาจเปน็ ภาพวาด นิทาน สมุดรวบรวมสง่ิ ทเ่ี รยี น สงิ่ ประดิษฐ์ แผน่ พับ เปน็ ตน้ เปน็ ขนั้ ทเี่ น้นการจดั กิจกรรมที่พฒั นาสมองซีกขวา

ศาสตร์การสอน ๑๘๘ ส่วนที่ ๔ ผเู้ รียนแบบที่ ๔ เรียนรจู้ ากประสบการณร์ ปู ธรรมไปสกู่ ารลงมอื ปฏิบัติในชีวิต จรงิ (Dynamic Learners) ประสบการณต์ รง เป็นช่วงทผี่ ู้เรยี นได้นำเสนอผลงานของตนเอง โดยสอดแทรก ๔ การอภปิ รายถึงปัญหา อุปสรรคในการปฏิบัติกจิ กรรม วิธีการ แกไ้ ขปญั หา เพ่ือปรับปรุงช้ินงานจนสำเร็จและเป็นประโยชน์ 87 ตอ่ ตนเอง ซึง่ สามารถบรู ณาการประยุกต์ใช้ เชื่อมโยงกับชีวิต จรงิ / อนาคต ลงมือปฏบิ ตั ิ บทบาทของผสู้ อน : ใหค้ ำแนะนำ รว่ มประเมนิ ผลงานแนะนำวิธีการปรับปรุงผลงาน บทบาทของผู้เรียน : และการรวบรวมผลงาน ผเู้ รียนนำเสนอชน้ิ งานทีป่ รับปรุง อภิปรายแลกเปล่ียนความคิด เหน็ กับผอู้ ่ืน และนำผู้อนื่ ในสว่ นที่ ๔ สามารถแบ่งขัน้ ตอนการจดั กิจกรรมการเรยี นรเู้ ป็น ๒ ข้ันตอนทคี่ ำนึงถึงการทำงาน ของสมองซีกขวา และซีกซา้ ยของผู้เรยี น ไดด้ ังนี้ ขนั้ ตอนที่ 7 ข้นั วเิ คราะห์คณุ คา่ และการประยกุ ตใ์ ช้ (สมองซีกซ้าย) ผู้สอนควรให้ผู้เรยี นได้วเิ คราะหช์ ิ้นงานของตนเองโดยอธิบายขน้ั ประสบการณต์ รง ตอนการทำงาน ปัญหาอุปสรรคในการทำงาน ทำงานและ วิธกี ารแก้ไข โดยบูรณาการ การประยุกตใ์ ชเ้ พ่ือเชอื่ มโยงกับ 7 ชวี ติ จรงิ /อนาคต ซ่งึ อาจวิเคราะห์ชน้ิ งานในรูปกลุ่มยอ่ ยหรอื กลุ่มใหญก่ ็ไดต้ ามความเหมาะสมเปน็ ข้นั ทเี่ นน้ การจดั กจิ กรรมที่ ลงมือปฏิบัติ พัฒนาสมองซีกซ้าย ขน้ั ตอนท่ี 8 ข้นั แลกเปลี่ยนประสบการณ์เรียนรกู้ บั ผ้อู น่ื (สมองซกี ซ้าย) เป็นข้นั สุดทา้ ยซงึ่ ผู้สอนควรให้ผู้เรียนไดน้ ำผลงานของตนเองมา ประสบการณ์ตรง นำเสนอหรอื จัดแสดงในรูปแบบตา่ ง ๆ เชน่ การจดั นทิ รรศการ ป้ายนิเทศ เพื่อให้เพ่ือน ๆ ไดช้ น่ื ชอบถอื เป็นการแบ่งปนั โอกาส 8 ทางดา้ นความรู้และประสบการณ์ให้ผ้อู นื่ ไดซ้ าบซ้งึ ในขน้ั น้ี ผเู้ รยี นควรรบั ฟังการวิพากษ์วิจารณอ์ ย่างสรา้ งสรรค์ ยอมรับฟงั  ความคิดเห็นของผู้อืน่ เป็นข้ันทีเ่ น้นการจดั กจิ กรรมที่พฒั นาสมอง ซีกขวา ลงมือปฏบิ ัติ

ศาสตร์การสอน ๑๘๙ ๘.๔ การสอนแบบศูนย์การเรียนรู้ (Teaching Learning Center) การเรียนรู้โดยใช้ศูนย์การเรียน เป็นการจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากกิจกรรมที่ แบ่งให้เป็นกล่มุ โดยแต่ละกลุ่มจะมีเนื้อหาแตกต่างกัน กจิ กรรมที่อยู่ในแต่ละกลุ่มหรือท่เี รียกว่าศูนย์การเรียนรู้ จะมีวัสดุอุปกรณ์ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ซ่ึงจะเป็นของจริงหรือเทคโนโลยีท่ีทันสมัยก็ได้ประเภทศูนย์การเรียน เปน็ รูปแบบท่ีแตกต่างกัน ๓ แบบ สรุปได้ดงั น้ี ๑. ศนู ย์การเรยี นท่ีไม่แยกเป็นเอกเทศจากห้องเรียน ใช้หอ้ งเรยี นเปน็ บรเิ วณในการจัดทาศนู ย์ การเรียนและศนู ย์การเรียนสารอง ซ่งึ มี ๒ ลักษณะดังนี้ - ห้องเรียนแบบศูนย์การเรียน เช่นการจัดปรับห้องบรรยายให้มีลักษณะเหมาะแก่ การทำงานเป็นกล่มุ ไมไ่ ด้แบง่ เป็นศูนยก์ ารเรียนอย่างชัดเจน - ศูนย์การเรียนในห้องเรยี น เช่น การจัดมุมหรือขา้ งหอ้ งเป็นศูนย์การเรียนอย่างเป็น สัดส่วนชดั เจนภายในห้องเรยี น แบบนี้แตล่ ะศูนย์จะมเี นื้อหาวิชาเหมอื นหรอื ตา่ งกนั ก็ได้ ๒. ศูนย์การเรียนท่ีแยกเป็นเอกเทศ เป็นห้องท่ีจัดทำเป็นศูนย์การเรียนรู้อย่างชัดเจนเป็น สดั สว่ น มกี ารจดั ทำได้ ๒ ลักษณะ ดังนี้ - ศูนย์การเรียนที่ใช้เป็นห้องปฏิบัติการวิธีสอนหรือศูนย์การเรียนสำหรับครู (Teacher Learning Center) ใช้สาหรับสถานบนั ผลติ ครู - ศูนย์การเรียนสาหรับค้นคว้าด้วยตนเอง (Resources Learning Center) เป็น ศนู ย์ท่ีมกี ารจดั เตรยี มทกุ ส่งิ ไว้ให้ผ้สู นใจเขา้ ไปศึกษาหาความรูด้ ้วยตนเองโดยไมจ่ ำกดั วยั และระดับชั้น ๓. ศูนย์การเรียนชุมชน ศูนย์นี้อยู่ภายในสถานศึกษาแต่แยกจากห้องเรียนชัดเจนจัดขึ้น เพื่อให้ผู้ท่ีมีความสนใจใฝ่รู้เข้าไปศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง โดยไม่กำหนดเวลาและระดับชั้นที่จะเข้าใช้ศูนย์ การเรยี น เนือ่ งจากศนู ยก์ ารเรียนเป็นการจัดกิจกรรมใหผ้ ้เู รียนเขา้ ไปศึกษาหาความรดู้ ้วยตนเอง ดังนั้นจึงมี อปุ กรณ์ และสือ่ การเรียนรทู้ ี่ครบถ้วนเพยี งพอสาหรับศูนย์แต่ละศนู ย์ องคป์ ระกอบของศนู ยก์ ารเรียนเป็นสิง่ ทต่ี อ้ งจดั เตรียมไวส้ าหรบั ให้ผู้เรยี นได้ศึกษาหาความรดู้ ้วยตนเอง จึงต้องมีส่ิงท่ีจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ท่ีครบถ้วน ได้มีผู้ระบุองค์ประกอบที่สำคัญของศูนย์การเรียนไว้หลายคน ไดก้ ลา่ วถงึ องค์ประกอบของศนู ยก์ ารเรียนหรือศูนย์กิจกรรมไว้ ๔ สว่ นสรุปไดด้ งั นี้ ๑. เน้ือหาของบทเรียน เป็นส่วนที่บ่งบอกให้รู้ว่าผู้เรียนจะได้เรียนเรื่องอะไรเมื่อเข้าศูนย์ กจิ กรรมต่างๆ ๒. วัสดอุ ุปกรณ์/สื่อการเรยี นรู้ เปน็ สว่ นท่ถี ่ายทอดความรู้ เช่นหนังสอื เอกสาร บทความ ตลอดจนส่ือทจ่ี ะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นหาความรู้ ๓. บัตรคำสั่ง เป็นส่วนที่ทำหน้าที่แทนผู้สอนโดยจะแนะให้ผู้เรียนรู้ว่าควรทำอะไร อย่างไร เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ประกอบด้วย คeอธิบายส้ันๆในเร่ืองท่ีจะศึกษา คำส่ังในการดำเนินกิจกรรม และหัวข้อ อภิปรายหรอื คำถาม ๔. เครอื่ งเขยี น เพื่อให้ผ้เู รียนจดบันทกึ สง่ิ ทีเ่ รียนรูส้ ง่ ผู้สอนโดยจะทำออกมาในรูปของรายงาน แบบฝึกหัด หรอื แบบทดสอบก็ได้แล้วแต่กิจกรรมทีก่ ำหนด

ศาสตร์การสอน ๑๙๐ ๘.๕ การสอนตามแนวพุทธวิธี (Buddhist teaching method) พระพุทธเจา้ ทรงไดพ้ ระนามว่า บรมครู ของโลก อันแสดงถงึ พระอัจฉรยิ ภาพในการสอนของพระพุทธ พระองค์ เป้าหมายการสอนของพระพุทธเจ้า คือ ความสะอาด สว่าง สงบ ท่ีเกิดข้ึนภายในจิตใจของผู้เรียน เกิดปัญญาคือแสงสว่างท่ีนำไปสู่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง พระพุทธองค์ทรงใช้ผืนโลกเป็นห้องเรยี น สรรพสัตวท์ ั้งมวลคือผเู้ รียน ตลอดระยะเวลาในชวี ิตของพระองค์ภายหลังจากการตรัสรู้ ทรงทำหน้าที่เป็นบรม ครูสั่งสอนประชาชนใหเ้ กิดความรู้ความเข้าใจในชีวติ เกิดปัญญาและดวงตาเห็นธรรม ทรงชี้ทางบรรเทาทุกข์ ชี้ สขุ เกษมศานต์ บอกทางแหง่ พระนิพพานแก่เหล่าเวไนยสตั ว์ หลักธรรมท่ีพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้มีอยู่เป็นจำนวนมากและมีระดับยาก ง่าย ลึก ต้ืน แตกต่างกัน ออกไปตามสภาพธรรม ดังน้ัน หลักธรรมที่นำมาทรงสอนหรือถ่ายทอดจึงได้ผ่านการวิเคราะห์เนื้อหาให้เข้ากับ สภาพผู้เรียนและสภาพการเรียนการสอนในขณะนั้นเป็นเร่ือง ๆ ไป และน่ีคือเห็นผลว่าทุกคร้ังที่ทรงสอน พระองคจ์ งึ ประสบความสำเร็จในการสอน ศิษย์ท่พี ระองค์ทรงสอนจงึ พัฒนาตนเองสู่ความเป็นพระอริยบคุ คล หลักการและวิธีการสอนหรือเทคนิคการสอนตามแนวพุทธจริยามีหลายประการ โดยยึดผู้เรียนและ เนือ้ หาเปน็ สำคัญว่าจะใช้วิธีการสอนแบบใดให้เหมาะสมกับผู้เรยี นและเนื้อหาที่จะสอน โลกการเรยี นรู้ตามโลก ทัศน์พระพุทธศาสนาจึงเป็นการเรียนรทู้ ่ีไม่มีขอบเขตจำกัด ข้ึนอยู่กับความรู้ความสามารถของผู้เรียนและการ พัฒนาตนเอง แต่หากให้กำหนดขอบเขตการเรียนรู้ตามแนวคิดพระพุทธศาสนา ก็อาจกำหนดขอบเขตได้ว่า เป็นการเรียนรู้ภายในตัวเรา โดยเอาจิตมนุษย์เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ เมื่อใดเราสามารถเข้าใจตนเองได้อย่าง แจ่มแจ้ง เม่ือน้นั เรากจ็ ะเกิดความเข้าใจโลกอย่างทะลปุ รโุ ปร่งด้วยเช่นกนั งานการสอนธรรมหรือแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า เพ่ือประดิษฐานพระพุทธศาสนา เป็นงานที่ ละเอียดประณีต เพราะทรงมุ่งให้เป็นธรรมที่เกื้อกูลแก่คนและอำนวยผลเป็นความสุขสามประการดังที่กล่าว แล้ว จึงทรงมีภารกิจหลักที่เรียกว่า พุทธกิจ ในแต่ละวนั เพ่ือบำเพ็ญจริยา ๓ ประการของพระองค์ให้สมบูรณ์ คอื ๑. โลกตั ถจริยา ทรงบำเพญ็ ประโยชน์แกโ่ ลก ในฐานะท่ีพระองคเ์ ปน็ สมาชกิ คนหนึ่งของ สังคมโลก ความสำเร็จในจรยิ าข้อนี้ทรงอาศัย พุทธกจิ ตามตารางพทุ ธภารกิจ ๕ ประการ คือ (๑) ปุเรภัตตกิจ พุทธกิจภาคเช้าหรือภาคก่อนอาหาร ทรงตื่นพระบรรทมแต่เช้า เสด็จออกบณิ ฑบาต เพ่อื เป็นการโปรดสตั ว์โลกผตู้ ้องการบุญ เสวยเสร็จแลว้ ทรงแสดงธรรมโปรดประชาชนในท่ี นั้น ๆ แลว้ เสด็จกลบั พระวิหารและรอให้พระสงฆ์ฉันเสรจ็ แลว้ จึงเสดจ็ เข้าพระคนั ธกุฎี (๒) ปจั ฉาภัตตกิจ พทุ ธกิจภาคบา่ ยหรือหลงั อาหาร แบ่งเป็น ๓ ระยะ คือ ระยะท่ี ๑ เสด็จออกจาพระคันธกฎุ ี ทรงใหโ้ อวาทพระภิกษุสงฆ์ เสรจ็ แลว้ พระสงฆ์แยกยา้ ยกันไปปฏิบตั ธิ รรมในท่ตี ่าง ๆ พระองคเ์ สด็จเขา้ พระคันธกฎุ ี ระยะท่ี ๒ ทรงพจิ ารณาตรวจดคู วามเปน็ ไปของชาวโลก ระยะที่ ๓ ทรงแสดงธรรมโปรดประชาชนในถ่นิ นั้นที่มาประชุมในธรรมสภา เพื่อรอฟังธรรม (๓) ปุริมยามกิจ พทุ ธกิจยามที่ ๑ ของราตรี (ภาคกลางคืน) ภายหลังจากภาค กลางวนั แลว้ ทรงปลีกพระองคอ์ ยู่เงียบ ๆ พักหนงึ่ จากนั้นพระสงฆ์มาเข้าเฝ้าเพ่ือทูลถามปัญหา ทรงประทาน พระโอวาท ตอบปัญหา ให้กรรมฐานแกพ่ ระสงฆ์ (๔) มชั ฌิมยามกิจ พุทธกจิ ยามที่ ๒ ภาคกลางคืน (เท่ยี งคืน) เมื่อพระสงฆแ์ ยกย้าย ไปแล้ว ทรงใช้เวลาชว่ งท่ีสองของคืนนั้น ๆ ตอบปัญหาเทวดาทม่ี าเข้าเฝา้

ศาสตร์การสอน ๑๙๑ (๕) ปจั ฉิมยามกิจ พุทธกจิ ยามที่ ๓ คือเวลาใกลร้ ุ่งของราตรี แบง่ เป็น ๓ ระยะ คือ ระยะที่ ๑ เสดจ็ ดำเนินจงกรมเพือ่ ให้พระวรกายได้ผอ่ นคลาย ระยะท่ี ๒ เสด็จเข้าพระคนั ธกุฎี ทรงบรรทมสหี ไสยาสน์อย่างมีพระสติ สมั ปชญั ญะ ระยะท่ี ๓ เสดจ็ ประทบั นั่งพจิ ารณาสอดส่องเลอื กสรรว่าในวันต่อไปมีบุคคล ผู้ใดทค่ี วรเสดจ็ ไปโปรดโดยเฉพาะเป็นพิเศษ นั่นก็คือทรงตรวจดูสัตว์โลกที่อาจจะร้ธู รรม ซึ่งพระองค์แสดงแล้ว ได้รับผลตามสมควรแก่อุปนิสัยบารมีของบุคคลนั้น เม่ือทรงกำหนดพระทัยแล้วก็จะเสด็จไปโปรดในภาคพุทธ กจิ ท่ี ๑ คือ ปุเรภตั ตกิจ หลักพุทธกิจข้อที่ ๕ ถือว่าเป็นจุดเด่นในการทำงานของพระพุทธเจ้าจนทำให้ผู้ศึกษา พระพุทธศาสนาบางคนมีความรู้สกึ ว่าทำไมคนแต่ก่อนบรรลุธรรมกันงา่ ยเหลือเกิน ถา้ ศึกษารายละเอยี ดแล้วจะ พบว่าไม่มีคำว่าง่ายเลย เพราะนอกจากจะอาศัยวาสนาบารมีของคนเหล่าน้ันเป็นฐานอย่างสำคัญแล้ว การ แสดงธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเป็นการทำงานภายใต้โครงสร้างระบบการทำงาน ที่มีการศึกษาข้อมูล การ ประเมินผล การสรุปผลในการแสดงธรรมทกุ คร้ัง แบบอยา่ งการทำงานการสอนของพระพุทธเจา้ ตรงน้ี นา่ จะเป็นแบบอย่างของการ ทำงานเป็นครูไดเ้ ป็นอย่างดียง่ิ เพราะในการสอนแต่ละคร้ัง พระพุทธเจา้ จะเร่ิมจากการวเิ คราะห์ผู้เรยี น กลา่ วคอื กระบวนการสอนจะเรมิ่ ตามลำดับ ดังนี้ (๑) หลงั จากทบ่ี ุคคลน้นั ๆ ปรากฏในข่ายพระญาณของพระองค์ คือ ทรงรูว้ า่ เขา เปน็ ใคร (จะสอนใคร) (๒) มอี ุปนิสยั บารมอี ย่างไร (วิเคราะห์ประสบการณผ์ ้เู รยี น/มีประสบการณ์ อะไรบ้าง) (๓) จะแสดงธรรมอะไรจึงจะไดผ้ ล (จะสอนอะไร) (๔) หลงั จากแสดงธรรมแล้วผลจะออกมาเป็นอย่างไร (กำหนดวัตถุประสงค์/จะได้ อะไร) ดว้ ยแผนการสอนดังกล่าว การแสดงธรรมทุกคร้ังของพระพุทธเจ้าจึงบังเกิดผลเป็นอัศจรรย์ เพราะได้ ทรงจำแนกแยกแยะผู้เรยี น คือ ผูท้ จ่ี ะฟังธรรมด้วยกระบวนการทีก่ ำหนดไวเ้ ปน็ ระบบแล้ว นอกจากนน้ั แล้วการ ทำงานเผยแผ่ธรรมเพ่ือประดิษฐานพระพุทธศาสนา และเพือ่ สงเคราะห์แก่ชาวโลก ทรงจำแนกหลักและวธิ ีการ สอนธรรมะแก่ประชาชนออกเป็น ๓ ประการ คอื (๑) ทรงส่ังสอนเพ่ือให้ผู้ฟังรู้ เห็น ในสิ่งท่ีควรรู้ควรเห็น หมายความว่าคนเรานั้นมีพื้นเพอัธยาศัย ระดับสติปัญญาแตกต่างกัน คนใดสามารถฟังเร่ืองอะไรรู้เรื่อง คิด เห็นประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้น จนถึงน้อม นำมาประพฤตปิ ฏิบัตไิ ด้ พระองค์จะทรงแสดงธรรมะแกเ่ ขาในช้นั นั้น คนบางคนมีสติปัญญา มีความรอบรู้ดี สามารถฟังเรื่องท่ีลึกซึ้งวิจิตรพิสดาร แล้วเกิดความเข้าใจได้ พระพุทธเจ้าจะแสดงธรรมะระดับนั้นแก่เขา การสอนธรรมะของพระพุทธเจ้าจึงเปรียบเหมือนกับการสอน นักเรียนในชั้นต่าง ๆ กล่าวคือหากเป็นช้ันอนุบาลจะต้องสอนในสาระความรู้ระดับที่เด็กอนุบาลจะสามารถ เข้าใจได้ และในชัน้ ประถมศึกษา มธั ยมศึกษา หรอื อดุ มศกึ ษาก็ในลักษณะเดยี วกัน ความร้ทู ุกระดับทนี่ ักเรียนได้รับจะเป็นประโยชนเ์ กื้อกูล อำนวยความสขุ ให้แก่นักเรียนฉันใด ธรรมะที่ พระพทุ ธเจ้าทรงสั่งสอนแก่บุคคลทัง้ หลายก็ทรงมุ่งหมายที่จะใหเ้ กดิ ประโยชนใ์ นการน้อมนำมาประพฤติปฏบิ ัติ แล้วได้รบั ความสขุ ความเจรญิ แก่ประชาชน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook