ศาสตร์การสอน ๑๙๒ (๒) ทรงสั่งสอนมีเหตุซึ่งผู้ฟังเมื่อพิจารณาตามแล้วจะพบความจริง กล่าวคือธรรมะที่นำมาส่ังสอน หากพิจารณาตามแล้วจะเห็นว่าเป็นเร่ืองจริง เป็นความถูกต้องดีงาม เช่น ทรงสอนว่าการที่บุคคลฆ่ากัน ลัก ขโมยกัน ประพฤติผิดในกามต่อกนั โกหกหลอกลวงกัน ด่ืมสุราอาละวาด เป็นทางให้เกดิ เวร เกิดภัย เกิดความ เสื่อม หากมนษุ ย์ในสังคมเว้นการฆา่ การเบยี ดเบยี นกนั การอาฆาตพยาบาทจองเวรกนั กจ็ ะไมเ่ กิดข้ึน ทรงสอนว่า ผู้ที่หมั่นขยันย่อมหาทรัพย์ได้ ก็แสดงให้เห็นว่าใครก็ตามถ้าหากมีความขยัน มีความ พยายามอย่างต่อเน่ืองไม่ย่อท้อ หากเป็นการศึกษาเล่าเรียนก็จะมีความรอบรู้ในวิชาการ หากเป็นการทำงาน ประกอบอาชีพก็จะประสบความสำเร็จ หรือแม้แต่ทรงสอนว่า อบายมุขเป็นทางแห่งความเส่ือ เช่น การเล่น การพนันทรงแสดงว่าเป็นทางแห่งความเส่ือม ใครก็ตามที่ตกหลุมอบายมุขเข้าเม่ือใดก็ตาม ก็จะประสบกับ ความเส่ือมเมื่อนั้น นี้คือความหมายที่ว่าหากผู้ฟังพิจารณาตามไปก็จะเห็นความจริงได้ กล่าวคือหากเป็นคน เกียจคร้านก็จะไม่เจริญกา้ วหน้า อันแสดงว่าความเกยี จคร้านเป็นเหตุ ความเจริญหรือไม่เจริญเป็นผล ตราบใด ที่บุคคลยังเกียจคร้านอยู่เขาจะมีความเจริญไม่ได้ ไม่ว่าในด้านใดก็ตาม คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลักคำ สอนทม่ี ีเหตผุ ล ขอใหผ้ ฟู้ งั นำไปคิดพจิ ารณาเทา่ นั้นกจ็ ะเห็นตามความเป็นจริงอย่างท่ีทรงแสดงไวท้ ุกประการ (๓) คำสอนของพระองคเ์ ป็นอัศจรรย์ คอื เมอ่ื บคุ คลนำไปประพฤติปฏิบัตแิ ลว้ จะได้รับประโยชน์ตาม สมควรแก่การประพฤติปฏิบัติ เหมือนกับการอ่านหนังสือ อ่านหน้าเดียวก็รู้หน้าเดียว อ่านท้ังเล่มก็รู้เนื้อหาท้ัง เลม่ คอื มีความร้ตู ามสมควรแกป่ ริมาณของเนอื้ หาท่เี ราอา่ น การปฏิบัติธรรมะตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนก็ทำนองเดียวกัน คือ คนที่ปฏิบัติได้มากก็ได้รบั ความสุข ความเจริญมาก คนปฏิบตั ิน้อยผลก็น้อยตามการปฏิบัติ กล่าวคือใครท่ีปฏิบัติตามทที่ รงสอนไวแ้ ล้ว จะได้รบั ผล ไม่วา่ จะเป็นดา้ นบวก คอื ความเส่อื มหรอื ด้านลง คอื ความเจรญิ ก็ตาม ในทางเส่ือมทรงแสดงว่าอย่าประพฤติปฏิบัติ ใครขืนประพฤติปฏิบัติ เช่น ที่ทรงแสดงว่าการดื่มสุรา การเล่นการพนนั การคบคนชั่วเปน็ มิตร เกียจคร้านทำการงาน ฯลฯ เปน็ ทางแหง่ ความเสื่อมความฉิบหาย ใคร กต็ ามหากประพฤตปิ ฏิบตั ิ ประพฤติปฏิบตั นิ ้อยเส่ือมน้อย ประพฤตปิ ฏิบัตมิ ากเสื่อมมาก ใครท่ีลุม่ หลงมวั เมาใน อบายมุขการทจ่ี ะไมเ่ สื่อมเป็นอนั ไม่มี ในทางเจริญทรงสอนไว้ว่าให้ประพฤติปฏิบัติ อย่างท่ีทรงสอนว่าความเพียรพยายามจะนำไปสู่ ความสำเร็จ พ้นจากความทุกข์ได้ ใครก็ตามเม่ือมีความเพียรพยายาม ก็จะค่อย ๆ หลุดพ้นจากความทุกข์ใน เร่ืองน้ัน ๆ เช่น มีความเพียรพยายามในการทำงาน ก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์เพราะไม่มีเงินทองจับจ่ายใช้ สอย มีความขยันหม่ันเพียรในการปฏิบัติหน้าที่ราชการก็จะพ้นจากความทุกข์เพราะไม่เจริญก้าวหน้า เพราะ เงินเดอื นน้อย เป็นต้น นี้คือลักษณะคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่าเป็นคำสอนท่ีอัศจรรย์จริง ๆ คือ ทรงสอนไว้อย่างไรก็เป็น อย่างนั้น หากเราประพฤติปฏิบัติตามก็จะเห็นจริงเป็นอัศจรรย์ตามน้ัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม้เวลาจะ ล่วงเลยมาเปน็ เวลากวา่ ๒๕๐๐ ปีแล้วกต็ าม ๒. ญาตัตถจริยา ทรงบำเพ็ญประโยชน์แก่พระญาติ ทั้งฝ่ายพระพุทธบิดา และพระพุทธ มารดา ในฐานะที่ทรงเป็นอภิชาตบุตรของราชกระกูล เป็นภารกิจท่ีวางอยู่บนพื้นฐานของพระมหากรุณา เช่นเดียวกัน พระพุทธองค์แม้จะอยู่ในฐานะที่เป็น คนของโลก หรือ คนของประชาชน แต่พระองค์ก็ไม่ทรง ละเลยภารกิจในฐานทีม่ พี ระญาตดิ ังเชน่ คนทว่ั ไป การบำเพ็ญประโยชน์แก่พระญาติ เช่น การเสดจ็ ไปโปรดพระ ญาติที่กรุงกบิลพัสด์ุ ทรงแนะนำให้พระญาติซ่ึงกำลังจะทำสงครามกันได้เข้าใจเผตุผล สามารถปรองดองกันได้ เปน็ ตน้ ๓. พุทธัตถจริยา ทรงบำเพ็ญประโยชน์ในฐานะพระพุทธเจ้า หมายถึงการทำหน้าท่ีของ พระพุทธเจ้าทรงวางกฎระเบียบ พระวินัย สำหรับควบคุมความประพฤติของผู้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา
ศาสตร์การสอน ๑๙๓ ทรงแนะนำให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหน้าที่ของตน ทรงวางพระองค์ต่อผู้ที่เข้ามาบวชและ แสดงตนเป็นอุบาสกอุบาสิกา ในฐานะของบิดากับบุตร ผู้ปกครอง กัลยาณมิตร ศาสดาผู้เอ็นดู เป็นต้น ตาม สมควรแกบ่ ุคคลและโอกาสนั้น ๆ จนสามารถประดิษฐานเปน็ รปู สถาบันศาสนาสบื ตอ่ กนั มาได้ การทำหน้าท่ีในฐานะท่ที รงเป็นพระพุทธเจา้ เปน็ ภารกิจในฐานะศาสดาของพระพุทธศาสนา ทจ่ี ะต้องทำต่อพระสาวก ผู้ประกาศตนถงึ พระองคว์ ่าเป็นสรณะ งานสว่ นออกมาในรปู ขององค์กรพุทธศาสนาท่ี สามารถสบื สานงานพระพุทธศาสนา นำใหเ้ ป็นประโยชน์แกพ่ ระประยรู ญาตแิ ละแก่ชาวโลก กล่าวโดยสรปุ การดำเนนิ งานพัฒนาปัญญา ปลุกชาวประชาใหต้ นื่ ตวั ต่ืนตามน้ัน ทรงดำเนนิ ไปตามหลักของพุทธจริยา ๓ ประการ คือ (๑) ในฐานะท่ีทรงเปน็ ประชากรคนหนง่ึ ของโลก พระองค์ได้เสด็จพทุ ธดำเนนิ ไปประกาศหลัก คำสอนตามท่ตี า่ ง ๆ เทา่ ทสี่ ามารถจะขยายออกไปไดใ้ นขณะนัน้ ท้ังนี้ก็ด้วยพระมหากรุณาตอ่ ชาวโลกทง้ั หลาย ทอี่ าศัยอยู่ในถนิ่ น้นั ๆ (๒) ในฐานะของลูกหลานแห่งราชสกุลท้งั สอง ทรงบำเพ็ญประโยชนแ์ ก่พระญาติของพระองค์ ด้วยวธิ กี ารต่าง ๆ ทำใหพ้ ระญาตเิ หลา่ นน้ั ไดร้ ับประโยชน์จากธรรมปฏิบัตอิ ยา่ งน้อยท่ีสดุ สามารถรักษาศลี ๕ ประการได้ จนถงึ บรรลุมรรคผลในชั้นนั้น ๆ๗ สรปุ ท้ายบท พระพุทธศาสนาทงั้ หมดเปน็ เรื่องของการศึกษา ตามความหมายของคำว่า การศกึ ษา (Education) อยา่ งแทจ้ รงิ การศึกษา ตามหลักพระพุทธศาสนาแล้วนา่ จะ เป็นดงั นี้ “การศึกษาคอื กระบวนการเรียนรูค้ วามจริงในระดบั ตา่ ง ๆ เพอ่ื ให้เกดิ การเปล่ยี น แปลงไปในทางดีใน ตัวผรู้ เู้ อง ในคนอ่ืนและในสงิ่ แวดล้อม”1 การศกึ ษาในพระพทุ ธศาสนาจึงน่าจะประกอบไปด้วย ๓ ข้ันตอนเสมอ ๑. ปรยิ ัติ การศึกษาเลา่ เรยี นเพื่อให้รู้ความจริงเก่ียวกับเรอื่ งสำคัญ ๔ เร่อื งคือ ๑.๑ เรอ่ื งของโลกและจักรวาล ( ภพภมู ติ า่ ง ๆ) ๑.๒ เรื่องของชวี ิตว่าชีวิตคืออะไร เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ประกอบดว้ ยอะไรบ้าง ต่างจากสัตว์ อืน่ อยา่ งไร ๑.๓ เรอื่ งของเปา้ หมายสงู สดุ ของชีวติ ๑.๔ เรื่องทางการปฏบิ ัติเพอ่ื ไปสู่เปา้ หมายสูงสุดนั้น ๒. ปฏบิ ตั ิ หมายถึงการดัดกาย วาจา ใจ ของตนตามหลักการเท่าที่ไดศ้ ึกษามา แล้วโดยพิสดาร ไดแ้ ก่ การสร้างมรรค ๘ ให้เกิดขึ้นในตนโดยย่อไดแ้ ก่การดดั กายด้วยศลี ดัดจิตใจดว้ ยสมาธิ และปัญญา ๓. ปฏิเวธ หมายถึงความรูร้ ะดบั สงู สุดท่ีเกดิ ขน้ึ จนเกดิ การเปล่ียนแปลงให้ดีขึน้ ในตวั ผู้รู้ พทุ ธวธิ ีสอน ของพระพทุ ธเจ้าความรรู้ ะดบั ต่าง ๆ ตามหลักพระพุทธศาสนาแบ่งความรู้ของคนออกเป็น ๓ ขน้ั หรอื ๓ ประเภทคือ ๗ สรุ ิวัตร จันทร์โสภา,หลกั การสอนตามแนวพทุ ธจริยา, หวั หน้าภาควชิ าวิชาการศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , (ออนไลน)์ เขา้ ถึงได้จาก www.chalburi.mbu.ac.th/content/๐๐๐๒, สืบค้นเมอ่ื ๒ กนั ยายน ๒๕๕๘.
ศาสตร์การสอน ๑๙๔ ๑. ความรรู้ ะดบั วิญญาณ (Cocsciousness) หมายถึงการรบั รู้อารมณ์ทง้ั ๖ (อายตนะ ๖) -รรู้ ปู (รปู ารมณ์) โดยอาศยั ตา (จกั ษ)ุ -รเู้ สยี ง (สัททารมณ์) โดยอาศัยหู (โสตะ) -รู้กล่นิ (คันธารมณ์) โดยอาศัยจมกู (ฆานะ) -รรู้ ส (รสารมณ์) โดยอาศยั ลน้ิ (ชวิ หา) -รูผ้ สั สะ(โผฏฐัพพารมณ์ โดยอาศยั กาย (กาย) -รู้มโนภาพ(ธัมมารมณ์) โดยอาศัยใจ (มโน) ความรู้ระดับวิญญาณเป็นเพียงการ “รับรู้” อารมณ์น้ัน ๆ ที่ปรากฏทางทวาร เกิดขึ้นช่ัวประเดียว เท่าน้ันก็ดับไป ดังน้ันท่านจึงเรียกวิญญาณที่เกิดขึ้นแต่ละคร้ังว่าเป็น ดวง หนึ่ง ๆ เม่ือเกิดขึ้นแล้วดับไปอย่าง รวดเร็ว แตก่ ็มดี วงอน่ื เกิดข้นึ มาแทนที่ เราจึงรสู้ ึกวา่ เราเห็นสงิ่ ใดสิง่ หนึ่งอย่ตู ลอดเวลานานๆ ๒.ความรูร้ ะดบั สญั ญา (Perception) หมายถึงการล่วงรูถ้ ึงคุณลักษณะของอารมณ์นั้นๆ รรู้ ายละเอยี ด ต่าง ๆ ของอารมณ์ ตัวอย่างเช่น เมื่อเรามอง เห็นรูป ๆ หน่ึงอยู่ข้างหน้า รู้ว่าเป็นรูป (ระดับวิญญาณ) แล้ว ต่อจากนั้นก็จะจำไว้เป็นรูปคน เป็นผู้ชายช่ือนายแดง เป็นเจ้าหน้ีเรา ความรู้รายละเอียดเหล่าน้ีเป็นระดับ สัญญา เป็นการรื้อฟื้นความรูเ้ ก่าซ่ึงมีอยแู่ ล้ว ฉะนั้นท่านจึงแปลสญั ญาว่า “ความจำได้หมายรู้” ก็หมายถึง การ จำรูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส มโนภาพน่ันเอง ดังน้ันท่านจึงจำแนกสัญญา ออกเป็น ๖ ตามอารมณ์ คือ รูป สัญญา สัททสญั ญา คนั ธสญั ญา รสสัญญา โผฎฐัพพสญั ญา และธัมมสญั ญา สญั ญาเกดิ ขนึ้ โดยอาศยั การประจวบกนั ระหว่างอายตนะภายในกับอายตนภายนอก ถ้าสัญญาไมเ่ กิด ทันทอี าจจะต้องอาศยั การระลกึ (อนสุ ติ) เชน่ บางทเี ราเห็นหนา้ คนจำได้ (รปู สัญญามา) แตจ่ ำชือ่ เขาไม่ได้ (สัททสญั ญาไมม่ า) ต้องใช้อนุสตริ ะลกึ อยู่เป็นเวลานาน จึงจะจำได้สัญญาต่างจากวญิ ญาณ เชน่ พอเราเหน็ รปู ก็ รวู้ ่าเป็นคน เป็นผ้ชู ายชือ่ นายแดง ตดิ ตอ่ กันเป็นแถวยาวไปเรอ่ื ย ๆ เป็นตน้ ๓. ความรู้ระดับปัญญาหรือญาณ (Wisdom or insight) หมายถึงความรู้ท่ีได้ จากการพิจารณาหา เหตุผล การทดสอบ ทดลอง เรื่องต่าง ๆ จนสามารถเข้าใจ ความจริงที่ แท้จริงในระดับต่าง ๆ ต้ังแต่เร่ือง ธรรมดาสามัญของโลกยี ธรรม (mundae) ไปจนถงึ ส่งิ เหนอื ธรรมดาหรอื โลกตุ รธรรม (supramundane) ความรู้ระดบั สญั ญาเปน็ ส่งิ สำคัญ และจำเป็นต่อชีวิตมนุษย์มาก เพราะทำให้ มนุษย์เข้าใจเร่อื งราวตา่ ง ๆ ท้ังในตนและสิ่งแวดล้อมตนอยู่ได้ถูกต้องตามความ เป็นจริง ด้วยเหตุน้ีมนุษย์จึงได้แสวงหาปัญญากันตลอด มา ความเข้าใจอย่างถูกต้องในโลกียธรรม ทำให้มนุษย์ปฏิบัติถูกต้องต่อสิ่งที่เป็นโลก ๆ ก่อให้เกิดความสุข ความสำเร็จอย่างโลก เช่น การปฏิบัติตนต่อสุขภาพอนามัยอย่างถูกต้อง ก่อให้เกิดความสุขกาย การทำหน้าท่ี ของ ตนอย่างถูกต้องเหมาะสม ก่อให้เกิดความสุขทางสังคมขึ้น เป็นต้น การปฏิบัติธรรมใน ระดับการละกิเลส อย่างถูกต้องทำให้เข้าถึงโลกุตรธรรม คือสิ้นความโลภ ความโกรธ ความหลง ก่อให้เกิดความสุขอันไม่เจือด้วย ทุกข์ หรือสันติสุขอันแท้จริงถาวร (lasting peace) ซ่ึงเป็นจุดหมายสูงสุดของการพัฒนาชีวิตและจิตตามคติ นิยมทาง พระพุทธศาสนา ความรู้ในระดับวิญญาณ และระดับสัญญาน้ันเป็นส่ิงที่เป็นไปเองตามกระบวน การธรรมชาติ ซ่ึงมีอยู่ ในสัตว์ท่ัวไป ส่วนความรู้ระดับปัญญาเป็นส่ิงท่ีต้องทำให้เกิด ข้ึนโดยการศึกษาบ้าง การคิดบ้าง การฝึกฝน อบรมบา้ ง มนุษยเ์ ปน็ สตั ว์โลกทก่ี ้าวหนา้ กวา่ สัตวอ์ นื่ ก็เพราะความรู้ระดบั ปญั ญานเ้ี องเป็นตัวสำคัญ
ศาสตร์การสอน ๑๙๕ คำถามท้ายบท ๑.จงอธิบาย “วิธีการสอน” ตามทัศนะของทา่ นและตามหลกั วิชาการมคี วามหมายอยา่ งไร ฯ ๒.จงอธิบาย “การสอนโดยการอภิปรายกลุ่ม” มวี ิธีการขนั้ ตอนในการดำเนินอย่างไร ฯ ๓.จงอธบิ าย “การสอบแบบโครงการ” มีวิธกี ารขั้นตอนในการดำเนินอย่างไร ฯ ๔.จงอธิบาย “การสอนแบบบูรณาการ” มวี ธิ ีการขัน้ ตอนในการดำเนินอย่างไร ฯ ๕.จงอธบิ าย “รูปแบบการบรู ณา” วา่ มกี ีแ่ บบแต่ละแบบมีข้นั ตอนอย่างไร ฯ ๖.จงอธบิ าย “ลักษณะของการสอนแบบบรู ณาการ” มีวิธีการดำเนินกิจกรรมอย่างไร ฯ ๗.ผ้เู รียนท่ีเป็นประเภท (Why และ IF) ผู้สอนควรคำนงึ และบริหารจดั กจิ กรรมการสอนอย่างไร ฯ ๘.จงอธิบาย “การสอนแบบศูนยก์ ารเรยี นรู้” มวี ิธกี าร จดั กจิ กรรมการสอนอยา่ งไร ฯ ๙.จงอธบิ าย “การสอนตามแนวพทุ ธวธิ ี” มหี ลักการ วธิ กี ารอย่างไร ฯ ๑๐.ในพทุ ธวธิ กี ารสอน “โลกัตถจรยิ า” มคี วามอยา่ งไร และบูรณาการกับการเรียนการสอนอยา่ งไร ฯ
ศาสตร์การสอน ๑๙๖ เอกสารอ้างองิ ประจำบท การจดั กิจกรรมการเรียนรู้, ออนไลน์ เขา้ ถึงได้จาก www.scc.ac.th/etraining/sub/๔mat/ doc, สืบคน้ วันท่ี ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙. โกศล มีคุณ, การวิจยั เชงิ ทดลองฝกึ อบรมการใช้เหตผุ ลเชิงจรยิ ธรรม และทกั ษะการสวมบทบาทของ นกั เรยี นประถมศึกษา, ปริญญานพิ นธ์การศกึ ษาดษุ ฎบี ณั ฑติ , (กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทร วิโรฒ ประสานมิตร,๒๕๒๔),หน้า ๒๒. ปณฏั ฐา ศรเดช, การศกึ ษาผลการสอนการแก้โจทย์ปัญหาคณติ ศาสตรโ์ ดยสอดแทรกคุณธรรม ดา้ นความ ช่ือสตั ย์ สำหรบั นักเรียนชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี ๖,วทิ ยานพิ นธป์ ริญญาการศึกษามหาบัณฑิต,สาขาวิชา หลักสตู รและการสอน (บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยบรู พา, ๒๕๔๔), หนา้ ๓๔. วชั รินทร์ โพธิ์เงนิ , ผศ.ดร.,และคณะ, การจดั การเรียนการสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน, ภาควิชาครศุ าสตร์ เครือ่ งกล คณะครุศาสตรอ์ ตุ สาหกรรม,(กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ , ๒๕๕๔), หนา้ ๑-๑๒. สำนักนิเทศและพฒั นามาตรฐานการศึกษา, สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแหง่ ชาติ กระทรวง ศกึ ษาธิการ,รายงานวจิ ยั ปฏิบัตกิ ารเพอื่ พัฒนาระบบประกันคณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา.กรุงเทพฯ: องค์การรับสง่ สินค้าและพัสดุภณั ฑ์ (ร.ส.พ.). ๒๕๔๖ หนา้ ๑. สุมติ ร คณุ านกุ ร, กระบวนการบรหิ ารจดั การหลักสตู ร, (กรงุ เทพฯ: สำนกั พิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย, ๒๕๔๒), หนา้ ๓๓. สุรวิ ัตร จันทรโ์ สภา,หลกั การสอนตามแนวพุทธจริยา, หวั หน้าภาควชิ าวิชาการศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลัย, (ออนไลน์) เขา้ ถงึ ได้จาก www.chalburi.mbu.ac.th/content/๐๐๐๒, สบื คน้ เม่อื ๒ กันยายน ๒๕๕๘.
บทท่ี ๙ เทคนคิ และทักษะการสอน วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรยี นร้ปู ระจำบท เมือ่ ได้ศกึ ษาเน้ือหาในบทนีแ้ ล้ว ผเู้ รยี นสามารถ ๑. อธิบายความหมายและความสำคัญของทกั ษะการสอนได้ ๒. อธิบายทักษะการสอนพน้ื ฐานได้ ๓. อธิบายบทบาทครูกับการสอนได้ ๔. อธิบายเทคนคิ การสอนได้ ขอบขา่ ยเนือ้ หา • ความหมายและความสำคัญของทกั ษะการสอน • ทักษะการสอนพน้ื ฐาน • บทบาทครูกบั การสอน • เทคนิคการสอน
ศาสตรก์ ารสอน ๑๙๘ ๙.๑ ความนำ ครูเป็นวิชาชีพชั้นสูง ทำงานด้วยกระบวนการวิจัย การพัฒนาตนเองให้มีทักษะความสามารถในการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นเร่ืองสำคัญมาก การพัฒนาตนเองของครู นอกจาก การศึกษาค้นควา้ จากส่ือ ตำรา เว็บไซต์ ครูผู้รู้ผู้เช่ียวชาญแล้ว การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงในช้ันเรียน นับว่า เป็นการเรียนรู้ท่ีมีค่ามาก เน่ืองจากในช้ันเรียนครูจะต้องใช้ทักษะ เทคนิคกระบวนการจัดการเรียนรู้ ท่ีเหมาะสม เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เต็มตามศักยภาพของแต่ละคน ให้เกิดความเสมอภาคในการเรียนรู้ เพราะแต่ละคนมี พื้นฐานที่แตกต่างกันเป็นธรรมชาติ การเป็นครูจึงไม่ใช่การสอนให้รู้หนังสืออย่างเดียว แต่เป็นการสอนเด็กทั้งตัว ให้เด็กทุกคนดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมคี วามสขุ มีทักษะชีวติ ที่ดี สามารถแยกแยะสง่ิ ดี สิ่งไม่ดี รู้จกั คิด วิเคราะห์ แก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล สามารถเลือกวิธีที่ดีที่สุดในการดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง พอประมาณ มีเหตุผล มี ภูมิค้มุ กันทดี่ ี ๙.๒ ความหมาย เทคนิคการสอน หมายถึง กลวิธีต่างๆ ที่ใช้เสริมกระบวนการสอน ข้ันตอนการสอน วิธีการสอนหรือการ ดาเนินการทางการสอนใดๆเพื่อช่วยให้การสอนมีคุณภาพและประสิทธิภาพมากข้ึน เช่น ในการบรรยายผู้สอน อาจใช้เทคนิคต่างๆที่สามารถช่วยให้การบรรยายมีคุณภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น เช่นการยกตัวอย่าง การใช้ สือ่ การใช้คาถาม เปน็ ตน้ เทคนิคการสอน ความหมายคือความสามารถในการสอนอย่างมีประสิทธิภาพโดยสามารถถ่ายทอด ความรตู้ ่างๆใหก้ ับผเู้ รียนได้ดี ทักษะการสอนพื้นฐาน หมายถึง ความสามารถในการสอน ซึ่งทักษะจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เองต้อง ฝึกฝน ผู้ที่เป็นครูควรได้มีการฝึกฝนเพื่อเป็นพื้นฐานในการสอนต่อไป เป็นท่ีเชื่อกันว่าการท่ีครูจะมีความสารถใน การใชท้ กั ษะใหไ้ ด้ผลน้ัน “เทคนิคการสอน หมายถึง กลวิธีต่างๆท่ีใช้เสริมกระบวนการสอน ขั้นตอนการสอน หรือการกระทำ ต่างๆ ในการสอนให้มคี ุณภาพและประสิทธิภาพเพิ่มขน้ึ ”๑ ทักษะหมายถึง ความสามารถ ความชำนิชำนาญ และความคล่องแคล่วว่องไว ซ่ึงเป็นสิง่ ท่ีบุคคลได้เรียนรู้ ที่จะทำด้วยความรวดเร็ว แม่นยำถูกต้อง ซึ่งอาจจะเป็นทางร่างกาย หรือสมอง ในระยะท่ีรวดเร็ว เช่น ความสามารถในการคิดเลขไดร้ วดเร็ว การวาดภาพเรว็ ทักษะเป็นคำที่นำมาจากรากศัพท์ ภาษาสันกฤต และในวิชาการศึกษาได้แปลมาจากคำว่า Skill ซึ่งมี ความหมายถึง ความสามารถ ขยันหมั่นเพียร ความคล่องแคล่ว แข็งแรง นอกจากน้ีพจนานุกรมไทยได้ให้ ความหมายของทักษะไว้ว่าเป็นความชำนาญ และความสามารถในการปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ในเวลา รวดเร็วและเกิดประสิทธิภาพ ในเร่ืองนี้ กู๊ด๒ ได้ให้ความหมายของทักษะไว้ในหนังสือ Dichinary of Eduoalion ความว่า เป็นส่ิงท่ีบุคคลได้เรียนรู้ท่ีกระทำด้วยความยาก ง่าย แม่นยำ อาจจะทางด้านร่างกาย สมอง ก็ได้ ทกั ษะ หมายถึง ความชัดเจน ความกลมกลืนในการใช้นว้ิ มือ นว้ิ เทา้ มือ เทา้ และสายตา ๑ ทศิ นา แขมมณี, อ้างแล้ว เรอ่ื งเดียวกัน, ๒๕๕๑ หนา้ ๓๘๖. ๒ Good, Carter V. Dictionary of Education. New York: McGraw-Hill Book.1973 ,p.56.
ศาสตรก์ ารสอน ๑๙๙ สรุป ความหมายของทักษะ หมายถึง ความสามารถ ความชำนาญในการกระทำบางส่ิงบางอย่างได้ เป็นอย่างดีด้วยความถูกต้อง แม่นยำ ในระยะเวลาท่รี วดเร็ว เช่น ความสามารถในการอ่านเรว็ ทำงานเร็ว เป็นต้น อย่างมีประสทิ ธภิ าพ ทักษะการสอนมีความสำคัญต่อการสอนมาก จากผลการวิจัยเรือ่ ง ความคิดเห็นของศึกษาวิทยาลัย ครู เก่ียวกับทักษะการสอนในการฝึกประสบการณ์วิชาชีพกล่าวว่า การฝึกทักษะการสอนเป็นการเปิดโอกาสให้ นักศึกษาวิชาครูได้มีการฝึกทักษะการสอนก่อนออกฝึกจริง เพราะช่วยให้นักศึกษาได้มีความตระหนักถึงการให้ นกั เรยี นมสี ่วนรว่ มในการเรียนการสอน และจะนำประสบการณท์ ไ่ี ดจ้ ากการฝกึ ทกั ษะการสอนไปใช้ในการฝึกสอน นอกจากน้ผี ู้ตอบแบบสอบถามยังกลา่ วถึงในด้านการนำผลการฝึกทักษะการสอนไปใช้ในการปรับปรุงตัวเองมกี าร เสริมกำลังใจนักเรียน มีการจัดเตรียมสื่อการสอนให้เหมาะสมกับบทเรียนนักศึกษาได้เรียนรู้การเร้าความสนใจ ช่วยทำให้มีการปรับปรุงวิธีการสอนอยู่ตลอดเวลา เพราะลักษณะการสอนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญย่ิงสำหรับ ประสิทธิภาพในการสอน ทำให้ผู้ฝึกเกิดสมรรถภาพในการสอนเพิ่ม เนื่องจากจะช่วยให้ผู้ฝึกมีทักษะในการ แกป้ ญั หาการใช้กระดานดำ การสอนเพอื่ พัฒนาความคิดสรา้ งสมดลุ เป็นตน้ ๙.๓ ความสำคัญของทกั ษะการสอน๓ การฝึกทักษะการสอนนบั ว่าเป็นสิ่งจำเปน็ สำหรบั ผ้มู อี าชพี ครู ผู้สอนจงึ ตอ้ งมีความสามารถในถ่ายทอด ความรไู้ ด้อย่างดีแก่ผูเ้ รยี น ถ้าผเู้ รยี นไมเ่ ข้าใจโดยเขาไมไ่ ดเ้ กิดการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมตามผู้สอนต้งั จดุ มุ่งหมาย ไว้ ๙.๔ ทกั ษะการสอนพืน้ ฐาน ทักษะการสอนขั้นพื้นฐานหมายถงึ ความสามารถ หรอื ความชำนาญในการสอนซ่งึ ทักษะจะไมส่ ามารถ เกิดขนึ้ เองได้ถ้าไม่ฝึกฝนทักษะการสอนมีหลายทักษะดว้ ยกันทใ่ี ช้ในแต่ละคาบหรอื แต่ละชัว่ โมงผู้เปน้ ครไู ดม้ ีการ ฝกึ ฝนเพอ่ื เปน็ พื้นฐานในการสอนตอ่ ไป ประกอบดว้ ย ๙ ทกั ษะ คือ ๙.๔.๑ ทกั ษะการนำเข้าสู่บทเรยี น การนำเข้าสเู่ รื่องที่จะเรยี น เป็นขัน้ การสอน หรือกจิ กรรมที่จดั ขึ้นเพ่ือเร่ิมต้นทำการสอนเพ่ือดึง ความสนใจ ใหผ้ เู้ รียนพร้อมท่ีจะตดิ ตามบทเรยี นต่อไป เทคนคิ การนำเขา้ สู้บทเรียน ๑.ใชอ้ ุปกรณก์ ารสอนเช่น ของจริง รูปภาพ แผนท่ี แผนภมู ิ ๒.ใหน้ กั เรยี นลองทำกิจกรรมบางอย่างทส่ี มั พันธ์กับบทเรยี น เชน่ การใหย้ นื แสดงท่าทางตา่ ง ๆ การใหน้ ักเรยี นลองใส่ RAM ในคอมพวิ เตอร์ ๓.ใชเ้ รื่องเลา่ นทิ าน หรือเหตุการณ์ตา่ ง ๆ โยงมาสูเ่ รอ่ื งที่จะสอน ๔.ต้ังปญั หา ทายปญั หา เพื่อเรา้ ความสนใจของนกั เรยี นให้คดิ หาคำตอบ ๕.สนทนาซกั ถามถึงเรื่องราวตา่ งๆเพื่อนำเขา้ ส่บู ทเรยี น ๖.แสดงละครหรือบทบาทสมมุติเพ่ือใหผ้ เู้ รียนสนใจ ๗.แสดงละครหรอื บทบาทสมมุติ ๘.ร้องเพลงซึ่งเปน็ เพลงเก่ยี วกบั เรอ่ื งทจี่ ะสอน ๓ เทคนคิ การสอน. ออนไลน์ เข้าถงึ ไดจ้ าก https://nokyung22ny.wordpress.com สบื ค้นเมือ่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๙.
ศาสตร์การสอน ๒๐๐ ๒.ทกั ษะการใช้วาจากริยาทา่ ทางในการสอน การใช้วาจากิริยาท่าทาง ในการสอนนับว่าเป็นส่ิงสำคัญอย่างยิ่งของครู เพราะการที่นักเรียนจะ เกิดความพอใจและสนใจที่จะเรียนน้ัน บุคลิกภาพของครูน้ันจำเป็นอย่างหน่ึงเพราะบุคลิกภาพของครู รวม ทั้ง ความสามารถในการสื่อความหมายระหว่างครกู บั นกั เรียนจะช่วยใหน้ กั เรยี นไม่เบือ่ หน่าย เทคนิคการใชว้ าจากริ ยิ า ท่าทางประกอบการสอน ๑.การเคลอื่ นไหวและการเปล่ียนอริ ยิ าบถ เริม่ แรกท่ีเขา้ มาในหอ้ งเรยี นครคู วรเดินด้วยท่าทาง ทเ่ี หมาะสมสง่างามและดูเป็นธรรมชาติ ๒.การใช้มือแลแขน ใช้มือประกอบท่าทางในการพุด ซ่ึงจะเป็นสิ่งดึงดุดใจของนักเรียน เพราะ นักเรียนสนใจดสู ิง่ เคล่ือนไหวมากกวา่ สง่ิ ทีน่ ่ิง ๓.การแสดงออกทางสีหน้า สายตา การแสดงออกทางหน้าตา สายตา เป็นส่วนหน่ึงท่ีใช้สื่อ ความหมายกับผู้เรียน ผู้เรียนจะเข้าใจถึงความรู้สึก หรือเข้าใจในอารมณ์การสอน ในการสอนบทเรียนท่ีมีความ ตนื่ เต้น สหี น้าของครตู ้องคล้อยตามสัมพนั ธก์ บั ความร้สู กึ ดงั กล่าวดว้ ย ๔.การทรงตัวและการวางทา่ ทาง ควรวางท่าใหเ้ หมาะสม ไม่ดตู รึงเครียด หรอื เกรงเกินไป ควร วางทา่ ทางและทรงตวั ขณะสอนให้ดูเปน็ ธรรมชาตแิ ต่ก็ไมด่ ูปล่อยตามสบายจนเกินไป ๕.การใช้น้ำเสยี ง ควรใช้นำ้ เสียงท่ีชัดเจนเหมาะสม ไม่ชา้ ไม่เร็วจนเกินไป มีการออกเสยี งการใช้ ถ้อยคำถูกต้อง ไม่แสดงอารมณ์ท่ีไม่สมควรออกทางน้ำเสียงเพราะโดยปกติแล้วน้ำเสียงของครูสามารถบอก อารมณไ์ ดแ้ ละความรู้สึกของครูได้อยา่ งดี ถ้าครเู สยี งดีนักเรียนกจ็ ะมีความรู้สึกที่ดตี ่อครู ๖.การแต่งกาย ครูควรแตง่ กายให้ถูกต้องเหมาะสมเพราะถ้าครูแต่งกายสวยเดนจนเกินไปทำให้ นกเรียนจะให้ความสนใจกบั ครูมากกว่าบทเรยี น ผ้สู อนควรแต่งกายใหเ้ รยี บร้อย ๓.ทกั ษะการอธิบาย ทกั ษะการอธิบาย หมายถึง ความสามารถในการพูดแสดงรายละเอียดและให้ตัวอย่างให้ผู้เรียน เข้าใจ หายจากข้อสงสัย เกิดความชัดเจนในสิ่งนั้น หรือขยายความในลักษณะที่ช่วยให้ผู้อ่ืนเข้าใจเร่ืองราวต่าง ๆ ไดช้ ดั เจนข้ึน ซึ่งอาจกระทำได้โดยการบอก การตคี วาม การสาธติ การยกตัวอยา่ ง ฯลฯ บางคร้ังเพื่อใหก้ ารอธิบาย เป็นที่เข้าใจได้ง่าย อาจจะใช้วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ประกอบการอธิบาย ก็จะช่วยทำให้ผู้ฟังสนใจและเข้าใจ ความหมายไดด้ ีขึน้ เทคนคิ การสอนการอภิปราย ๑.เวลาอธบิ ายไม่นานเกนิ ควร เวลาอภปิ รายไม่เกิน๑๐นาทเี พราะเกินเวลานี้ไปผู้เรยี นอาจไม่ สนใจเรยี น ๒.ภาษาทใี่ ช้งา่ ยแก่การเขา้ ใจ รัดกุมไม่เยิ่นเยอ้ น่าฟงั ๓.ส่อื การสอน ควรนา่ สนใจชว่ ยในการอภิปรายได้ง่ายย่ิงข้ึน ๕.การอภิปรายเริม่ จากเร่ืองท่ีเขา้ ใจงา่ ยไปหาเรอื่ งที่ยาก ๖.ท่าทางในการอภปิ รายนา่ สนใจ ๗.ใช้แนวคิด หรือถ้าเป็นอภิปรายของนักเรียนให้ใช้ความรู้ท่ีได้เรียนมาเป็นแนวทางในการ อธิบายดว้ ยความเขา้ ใจตามแนวคดิ ของนกั เรียน ๘.มกี ารสรปุ อภบิ ายดว้ ย
ศาสตร์การสอน ๒๐๑ ๔.ทักษะการเรา้ ความสนใจ การเรา้ ใจสนใจเป็นส่ิงสำคัญอย่างย่ิงท่จี ะช่วยให้การเรียนการสอนนั้นประสบผลดี เพราะจะช่วย ให้ครูปรับปรุงวิธีการสอนใหเ้ ด็กเกิดสนใจในการเรยี นและตดิ ตามกจิ กรรมโดยตลอดไมเ่ บื่อหน่ายดงั นัน้ พยายาม ใชเ้ ทคนคิ ตา่ ง ๆ มากระตนุ้ ใหน้ กั เรียนสนใจอยตู่ ลอดเวลา เทคนคิ การสอนการเร้าความสนใจ ๑.การใช้สีหน้า ท่าทางประกอบการสอน มีการใช้ท่าทางประกอบการสอนจะทำให้ผู้เรียนสนใจ เรียนยง่ิ ขึ้น ๒.การใช้ถอ้ ยคำและน้ำเสยี ง ถ้อยคำที่ครใู ช้และน้ำเสียงเป็นส่ิงกระตนุ้ ให้ผู้เรียนสนใจเรียน ไม่มี การเน้นหนกั เบาจะทำใหก้ ารเรยี นน้นั ไม่นา่ สนใจ ๓.การเคลือ่ นไหวของครคู รคู วรมกี ารเคล่อื นไหวในขณะสอน ครูควรเปล่ียนจากจุดนั่งเป็นจดุ ยืน ของตน เพราะถา้ ครยู นื อยู่จุดเดยี วทำให้ผ้เู รยี นไมม่ ีความกระตือรือรน้ และไมเ่ กิดความสนใจเทา่ ทคี่ วร ๔.การเน้นจุดสำคัญของเร่ือง และการเว้นระยะการพุด หรอื การอธิบาย ถ้าครูผู้สอนต้องการให้ ผู้เรยี นสนใจ ครูควรมกี ารฝึกเน้นคำพูดสำเนียง จงั หวะ นอกจากน้แี ล้วครูหยุดน่งิ เว้นระยะการพดุ ตอนใดน้ันเป็น สง่ิ ท่ีจำเป็นอย่างยง่ิ ที่ช่วยให้ทำให้ผเู้ รียนเกิดความสนใจและมีเวลารวบความคดิ เชื่อมโยงความคดิ ได้ ๕.ทักษะการใชค้ ำถาม คำถามนับเป็นสิ่งสำคัญในการสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาในปัจจุบันท่ีเน้นให้เด็กคิดเป็น ซึ่งการที่จะให้บรรลุเป้าหมายจุดประสงค์ดังกล่าวผู้สอนควรมีวิธีการและเทคนิคต่างๆมากมา ยส่ิงหน่ึงท่ีสำคัญคือ การใช้คำถาม ซงึ่ การใชค้ ำถามจะมีประสทิ ธิภาพไดค้ รผู ถู้ ามจะต้องเขา้ ใจถึงจุดประสงคใ์ นการถาม เทคนคิ การใช้คำถาม ๑.ถามด้วยความมัน่ ใจ ผูส้ อนตอ้ งเตรียมคำถามไวเ้ พอื่ ให้เกิดความมั่นใจและคล่องตวั ในการถาม ๒.ถามอย่างกลมกลนื คอื กลมกลนื กับเนื้อหา กิจกรรมทีก่ ำลังเรียนอยู่ ๓.ถามโดยใชค้ ำพูดท่เี ขา้ ใจง่าย ใช้ภาษาให้เหมาะสมในระดับชั้นเรียนผเู้ รียนจะได้เข้าใจการถาม ๔.การให้นักเรียนมีโอกาสตอบหลายคนในการสอน ครูควรกระจายคำถามให้ท่ัวถึงไม่ใช่ถามแต่ ผเู้ รยี นบางคน ๕.การเลือกคำถาม บางครั้งครูควรเลือกถามผู้เรียนบางคนเพ่ือจุดประสงค์ของครู เช่นถาม ผเู้ รียนทเ่ี รียนเก่งในกรณที ่ีครูต้องการสรปุ บทเรยี น ๖.การเสริมกำลังใจ หรือให้ผลย้อนกลับ เมื่อมีผู้เรียนตอบถูก ครูไม่ควรท่ีละเลยที่จะทำให้ นกั เรียนมีกำลังใจดว้ ยวิธีการต่างๆ ๗.ใชคำถามในแต่ละประเภท ในการสอนแต่ละคร้ังในการสอนแตล่ ะครง้ั ๘.การใช้กิริยาท่าทาง เสียงประกอบในการถาม ครูควรเพ่ิมบรรยากาศความสนใจอยากตอบ คำถามของผ้เู รยี น ๖.ทักษะการใช้อุปกรณ์การสอน อุปกรณ์การสอน จะช่วยให้การเรียนรู้มีความหมายมากข้ึน เพราะอุปกรณ์การสอนจะเป็นจุด รวมความสนใจสามารถเพ่ิมความเป็นรูปธรรมและความเป็นจริงต่อการเรียนรู้ได้มากขึ้น อุปกรณ์การสอนจะเป็น เคร่ืองมือกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความคิดมองเห็นเรื่องราวหรือสิ่งที่เรียนรู้ได้ถูกต้องและสามารถจดจำเรื่องราวได้ แม่นยำ เทคนิคการสอนการใช้อปุ กรณ์ ๑.ใช้อปุ กรณก์ ารสอนอย่างคล่องแคลว่ ว่องไว
ศาสตร์การสอน ๒๐๒ ๒.แสดงอปุ กรณ์ให้เห็นชดั ท่ัวทง้ั ห้อง ๓.ควรหาท่ีตั้งอปุ กรณ์ วางแขวนขนาดใหญ่ ๔.ควรใชไ้ ม้ยาว และมปี ลายแหลมชี้แผนภูมิ แผนที่ ๕.ควรมีการเตรียมผเู้ รียนไวล้ ่วงหน้ากอ่ นการใช้อุปกรณ์ ๖.ควรเลือกใชเ้ ครื่องประกอบการใชอ้ ุปกรณ์ให้เหมาะสม ๗.พยามยามเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนได้ร่วมกิจกรรม หรอื ได้ศึกษาอุปกรณน์ ัน้ ๆ ๗.ทกั ษะ และเทคนคิ การใช้กระดานดำ ๑.ครูควรทำความสะอาดกระดานดำทุกคร้ังทเ่ี ข้าสอน ๒.ในการเขยี นทุกครัง้ ไมค่ วรเขียนทเี ดยี วท้งั แผ่นควรแบง่ ครึ่งแง ๓ สว่ น หรือ ๔ สว่ น ๓.ในการเขยี นกระดาษทกุ ครั้งควรเขยี นจากว้ายมือไปขวามือ ๔.ถา้ มหี ัวขอ้ เร่ืองควรเขียนไว้ตรงกลางกระดานดำในสว่ นท่ีเราแบ่งไว้ ๕.ขณะเขยี นยืนหา่ งกระดานพอประมาณ ๖.ในการเขียนหนังสือใหเ้ ขยี นตรงไม่คดเค้ยี ว ๗.ถ้าต้องการอธิบายข้อความบนกระดานดำไมค่ วรยนื บัง ควรใชไ้ มช้ ี้ ๘.ถ้ามขี อ้ ความสำคัญอาจใช้ชอล์กสีเม่ือตอ้ งการเนน้ ขอ้ ความใดโยเฉพาะ ๙.ถา้ มขี อ้ ความสำคัญอาจใช้ชอล์กสีขดี เส้นใต้ ๑๐.เขยี นคำตอบของผ้เู รยี นบนกระดานดำเพื่อเสริมกำลังใจผู้เรียน ๘.ทกั ษะเสรมิ กำลังใจ การเสริมกำลังใจ หมายถึงการให้กำลังใจแก่ผเู้ รียน เช่น การใช้คำชมเชย หรื แสดงพฤตกิ รรมที่ ปรารถนาดีแกผ่ เู้ รียน ทำใหผ้ ้เู รยี นมเี จตคตทิ ่ดี ใี นการเรียนและมีความเชือ่ มัน่ ในตนเอง เทคนคิ เสรมิ กำลงั ใจ ๑.เมือนักเรียนทำพฤติกรรมได้อย่างถูกต้อง ควรเสริมกำลังใจ โดยใช้ท่าทางและวาจาประกอบ กัน ๒.เสริมกำลังใจย้อนหลัง โดยให้นักเรียนท่ีตอบถูกบอกคำตอบของตนอีกครั้งหน่ึงเพ่ือให้เห็น แนวทางทีต่ อบไมไ่ ด้ จะไดท้ ีโอกาสตอบได้ถกู ตอ้ ง ๓.ไม่พูดเกินความจรงิ ถ้าครูพุดเกินความจรงิ จะทำใหน้ ักเรียนขาดศรัทธาและเชอ่ื ถอื ไมใ่ ช้คำพดู ท่ีจำกดั วงแคบใช้วธิ เี สรมิ กำลงั ใจให้หลายวิธี ๔.ไม่ควรเสริมกำลังใจบางประเภทบ่อยเกินไปเพราะจะทำให้ผู้เรียนไม่เห็นคุณค่าของการเสริม กำลงั ใจนน้ั ๕.ใช้วธิ เี สริมกำลงั ใจตา่ งๆกนั และใหโ้ อกาสตา่ งๆกนั แลให้ทัว่ ถึงผเู้ รียนทกุ คน ๖.การเสรมิ กำลงั ใจทางบวกมากกวา่ ทางลบจะได้ผลดกี ว่า ๙.ทกั ษะการสรุปบทเรียน การสรุปบทเรียนเป็นการที่ผู้สอนพยายามให้นักเรียนรวบรวมความคิด ความเข้าใจของตนเอง จากการเรียนรู้ท่ีผ่านมา ว่าได้สาระสำคัญ หลักเกณฑ์ หลักการ หรือแนวคิดสำคัญในช่วงการสอนน้ันอย่างไรบ้าง ท้ังน้ีเพื่อนักเรียนจะได้รับประเด็นสำคัญของบทเรียนได้ถูกต้องว่ามีอะไรบ้าง และจะนำความรู้ใหม่ไปสัมพันธ์กับ ความรู้เดิมไดอ้ ย่างไร เทคนคิ การสรุปบทเรียน ๑.สรปุ โดยอธบิ ายส้ันๆ ชัดเจน ทบทวนสาระสำคัญท่เี รยี นมา
ศาสตร์การสอน ๒๐๓ ๒.สรปุ โดยอุปกรณ์หรือรูปภาพประกอบ ๓.สรุปโดยสนทนาซกั ถาม ๔.สรปุ โดยสรา้ งสถานการณ์ ๕.สรุปโดยนทิ านหรือสุภาษิต ๖.สรุปโดยการปฏบิ ตั ิ ๙.๕ บทบาทครู ๑. กัลยาณมติ ร ๑.๑ คิด – วิเคราะห์ หาวธิ ีจำเด็ก สิ่งที่ทำใหค้ รูจำเด็กแตล่ ะคนได้ เปน็ จดุ เด่นหรือจดุ ด้อย ๑.๒ ถ้ามองเห็นจุดเดน่ ของเขา ส่งเสรมิ ให้ดยี งิ่ ข้ึน ๑.๓ ถ้ามองเห็นความน่าสงสาร เขามจี ดุ ดอ้ ยต้องหาทางแก้ไขและพยายามหาสง่ิ ท่เี ปน็ จดุ เด่นที่ นา่ รกั ใหพ้ บ ๒. ไขวธิ คี ดิ แกป้ ัญหา ครูควรสอนทักษะการคิดให้นักเรียน เน้นให้นักเรียนหาวิธีคิด กระบวนการคิดที่หลากหลาย เพอื่ ใหเ้ กดิ ผลงานทีด่ เี ลิศ หรือได้คำตอบที่ถกู ตอ้ ง มากกวา่ มุ่งตรวจผลงานหรอื คำตอบทีถ่ กู ตอ้ งเท่านน้ั ๓.เข้มแข็งในการสร้างวินัยในชัน้ เรยี น ครูจัดการเรียนรู้โดยให้นักเรียนรู้จักวางแผนการเรียนรู้ร่วมกัน กฎ กติกา หรือข้อตกลงใน ห้องเรยี น มาจากการมสี ่วนร่วมของนักเรยี นทุกคน และทกุ คนยอมรบั ปฏบิ ัตอิ ยา่ งเตม็ ใจ สมัครใจ สร้างสังคมแห่ง การชว่ ยเหลอื พึ่งพา มากกว่าการแข่งขนั ชงิ ดี ชงิ เดน่ เอาชนะผู้อ่นื ๔. ฝกึ ใหค้ ิด วเิ คราะห์ วิธีคิดของผู้เรียนแตกต่างกัน ประสบการณ์เดิมของแต่ละคนต่างกัน ครูจึงควรฝึกให้นักเรียนรู้ กระบวนการคิด วิเคราะห์ อย่างเป็นเหตุเป็นผล โดยต้ังคำถามแบบเปิดกว้าง กระตุ้นให้คิดต่อ และให้ข้อมูล ปอ้ นกลับอยา่ งสรา้ งสรรค์ ๕. ค้นหาอัจฉรยิ ภาพของเด็ก การเรียนทแี่ ทจ้ ริง หมายถงึ การเกดิ การเรยี นร้ซู ่ึงเกิดได้จากการลงมอื ทำ เดก็ อัจฉรยิ ะจะคดิ สงิ่ ใหมๆ่ ท่ีแตกตา่ งจากเดก็ ปกติ การทค่ี รูบงั คับใหเ้ ขาต้องรบั รใู้ นสงิ่ ท่ีเขาไม่สนใจ จะทำลายความคิดสรา้ งสรรค์ อยา่ ด่วนตัดสินใจว่า เดก็ ที่ไมส่ นใจวา่ เรยี นเป็นเด็กทไี่ มฉ่ ลาด ครอู าจสอนส่งิ ท่เี ขาไม่อยากเรียนรู้ เขาไมส่ นกุ เขาจึงไม่ เห็นประโยชน์ ๖. ให้ความเสมอภาคตอ่ เด็กทกุ คน ๖.๑ แสดงออกกับทุกคนเท่าเทยี มกัน ๖.๒ นกึ ถงึ ลกั ษณะของเด็กทีละคนจนครบทุกคน ๖.๓ ใหค้ วามสนใจเด็กแตล่ ะคนโดยการสงั เกต พูดคุย ซักถาม เสริมแรงในการเรยี น ๖.๔ มองเด็กทุกคนวา่ มีความน่ารกั ตามแบบทีเ่ ขาเป็น ชมเชยความดีความนา่ รกั ของแต่ละคน อย่างสม่ำเสมอ ๖.๕ นกั เรยี นทกุ คนเป็นคนโปรดของครู
ศาสตร์การสอน ๒๐๔ ๗. รุกฆาตอวิชชา ปฏริ ปู การเรยี นรู้ การปฏิรูปจากการยึดวิชาเป็นตัวต้ัง มาเป็นยึดมนุษย์หรือผู้เรียนเป็นตัวตั้ง ครูเท่าน้ันท่ีจะ ปรับเปลี่ยนให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้คิดหาคำตอบ ได้ตัดสินใจ ไม่ใช่คอยฟังนั่งนิ่ง นานวันก็ลืมเพราะสิ่งที่ เรียนรูเ้ กิดจากครไู มใ่ ชเ่ ด็ก สรา้ งโรงเรยี นใหเ้ ป็นเรอื นเพาะชำทางปัญญาดกี ว่าเปน็ เรอื นจำทางความคดิ ๙.ใส่ใจในการสอนคิด ครูไม่ควรตัดสินว่าความคิดใดผิด เพราะจะไปสกัดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน ทุกคนมี ความแตกต่างกันเน่ืองจากประสบการณ์ ความรู้ ความคิด เจตคติ รสนิยม ครูจึงควรตระหนักว่านักเรียนคิด ต่างกันได้ นกั เรียนจงึ ควรคดิ หรือทำส่งิ ต่างๆ ท่ีแตกต่างไปจากแนวคำตอบของครู ครจู งึ ควรใชค้ ำถามว่า ทำไม จะ ทำใหท้ ราบถงึ การเช่ือมโยงสงิ่ ตา่ งๆ ของนักเรยี น ๑๐. ข้อมูลเฉพาะเด็กรายบคุ คล ครูต้องบันทึกข้อมูลของเด็กแต่ละคนว่า มีจุดเด่นจุดด้อยอะไร และนำความแตกต่างของผู้เรียน ไปจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน ใหเ้ หมาะสมกับวธิ ีเรยี นของเด็กแตล่ ะคน ๑๑.ชมเชย ยกย่อง เสริมแรงจงู ใจ มองเหน็ ความดีของผู้เรยี น พยายามหยิบยกข้อดีขนึ้ มาชมเชย เพ่ือสร้างเจตคติทางบวก ๑๑.๑ พูดเฉพาะข้อดีแม้มีเพียง ๑ อย่าง จากข้อเสยี ๑๐ อย่าง ๑๑.๒ พดู อยา่ งไม่จรงิ ใจ ไม่ประชดประชนั ๑๑.๓ ไม่พดู ตอกยำ้ ความผดิ ของเขา ๑๑.๔ มองเด็กแตล่ ะคนอยา่ งสร้างสรรค์ ๘.ซ่อมเสริม ไม่สอนซ้ำ แต่ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ใหม่ๆ ที่เรียนรู้ง่ายขึ้นกว่ากิจกรรมเดิม ถ้าเด็กสมาธิ ส้ันต้องใช้เวลาให้น้อยลงและแยกกิจกรรมย่อยหลายๆ กิจกรรม ก่อนสอนซ่อมเสริมครูต้องวิเคราะห์ผู้เรียนถึง สาเหตทุ ี่แท้จรงิ วา่ เด็กเรียนช้าเพราะอะไร การออกแบบกิจกรรมควรยืดหยุ่น ส่ิงท่ีขาดไมไ่ ด้คอื การให้ความรกั และ สงสารนกั เรียน ๑๒.มีอัชฌาสัยยดื หยนุ่ ผ่อนปรน ครูต้องส่งเสริมให้ผูเ้ รยี นเกิดความรู้สกึ ท่ีดีตอ่ ครู เพื่อน และการเรียน ฝกึ ตนเองใหม้ ีคณุ นสิ ัยท่นี ่า คบ ปรบั ตวั ใหเ้ ข้ากบั ผ้อู ื่น มคี า่ นยิ มที่ดีตอ่ การเรียนต่อครแู ละเพ่ือนในชัน้ เรยี น ๑๓. เปน็ ต้นแบบทดี่ ี (ผู้ใหญ่ท่ีด)ี ครูทป่ี ระสบความสำเร็จในการจัดการเรียนรู้เกิดจากนกั เรียนศรทั ธาในตวั ครูและยนิ ดปี ฏบิ ัตติ าม คาสอนโดยไม่ต้องบงั คับ ครคู วรปฏบิ ัติตนเป็นแบบอยา่ งทีด่ ี ๑๔.ปฏิบัตจิ ริง ครูควรส่งเสริมให้ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้เป็นส่วนใหญ่ ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริง เหตุการณจ์ รงิ ทดลองพสิ จู นห์ าข้อสรปุ ท่เี ป็นจรงิ มเี หตุผลอา้ งอิง ๑๕.ปฏิสมั พันธ์ ใกล้ชิด ความใกล้ชดิ ทำให้เกิดความผูกพัน เชอ่ื ใจ วางใจ เช่ือฟงั ช่วยให้ครูรูจ้ ักนักเรยี นของตนเองดีท่สี ุด ทาใหท้ ราบว่าจะจัดการเรยี นรู้แบบใดจึงจะเหมาะสมกับเด็ก สร้างความรู้สึกอบอุน่ ปลอดภัย พัฒนาเด็กทุกคนให้ ได้เรียนรตู้ ามแบบของเขา
ศาสตรก์ ารสอน ๒๐๕ ๑๖. ฝกึ ทกั ษะพนื้ ฐานการแสวงหาความรู้ บทบาทของครูจึงอยู่ในฐานะผู้กระตุ้น ย่ัวยุ ท้าทายและอำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนลงมือ ปฏิบัติกิจกรรม เรียนรู้เพื่อค้นหาข้อสรุป หรือคำตอบท่ีเป็นของผู้เรียนเอง การสอนโดยไม่สอนเป็นหัวใจสำคัญ ของการฝกึ ผเู้ รียนเป็นสำคัญ ๑๗. ครูคอื บณั ฑิต ในความเช่อื มั่นของนักเรียน ครูมีบทบาทสำคัญมากในการปฏิรูปการเรียนรู้ ทั้งยังมีพลังและศักดิ์ศรีในการแก้ปัญหาของ มนุษย์ สังคมและส่ิงแวดล้อม นักเรียนทุกคนช่ืนชมในความเป็นผู้รอบรู้ของครู ให้ความเคารพในความเป็นปูชนีย บุคคล ครูจงึ ควรปรบั วิธเี รียนเปลีย่ นวธิ ีสอน ๑๘. ทุกคนมีศกั ยภาพและพัฒนาได้ ผเู้ รยี นแตล่ ะคนจะมคี วามชอบไม่เหมือนกนั แตล่ ะคนมีความฝนั เป็นของตนเอง อยากทำในสิง่ ที่ ตนชอบ ครจู งึ ควรส่งเสริมแต่ละคนได้ทำในส่ิงทช่ี อบและถนดั ๑๙. สรา้ งบรรยากาศประชาธิปไตย ส่งเสริมให้เด็กกล้าแสดงออกในทางสร้างสรรค์ การเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็น อย่างเต็มท่ี สนใจรับฟังความคดิ เห็นของนกั เรียน และครูควรลดบทบาทตัดสินใจแทนเด็ก เน้นให้นักเรียนร่วมคิด ร่วมทำ รว่ มรับผิดชอบให้มากขน้ึ ๒๐. ตอบสนองความต้องการทางการเรยี น ให้นักเรียนเป็นผู้วางแผนการเรียนและเลือกปฏิบัติตามความถนัด ครูเป็นผู้นำและผู้ตามในการ เรียนรู้ร่วมกับผู้อื่น จนสามารถประเมิน-ปรับปรุง ค้นหา และสรุปเร่ืองได้เอง เกิดผลงานคนละเรื่อง คนละแบบ หลากหลายตา่ งกนั ตามความสามารถของแตล่ ะคน ๒๑. ถามใหค้ ดิ ถามแบบเปิดกว้าง ไม่จำกัดคำตอบเหมือนครู ควรถามหาเหตุผลว่าทำไมคิดแบบนี้ ครูควรต้ัง คำถามที่สร้างสรรค์ โดยถามเพื่อต้องการทราบความคิดเห็นของนักเรียน กระตุ้นให้คิด ท้าทายให้ทำงาน ถามให้ ทราบท่ีมาที่ไปของเรื่องต่างๆ การกระทำต่างๆ เพ่ือทราบปัญหาช่วยแก้ไข หรือให้กำลังใจ ครูไม่ควรถามเพ่ือ ประจานขอ้ ผิดพลาดของนกั เรียน ๒๒.จติ สาธารณะ ปลูกฝังการช่วยเหลือ พึ่งพาซึ่งกันและกัน สามารถแยกแยะประโยชน์ส่วนตัวกับประโยชน์ ส่วนรวม การอยู่ร่วมกันในสังคมที่สงบสุข สร้างจิตสำนึกที่ดีต่อการกระทำคุณประโยชน์เพ่ือส่วนรวม และการ สร้างสรรค์สงั คมใหน้ า่ อยู่ ๒๓.ทกั ษะทางสังคม ควรปลูกฝงั นสิ ัยให้เด็กมีทักษะในการพฒั นาสังคม ฝกึ ให้นักเรียนสนใจ จรงิ ใจตอ่ เพื่อนคำนงึ ถงึ ความรู้สึกทด่ี ี ของผู้อื่น รจู้ ักช่วยเหลอื พึ่งพาซ่งึ กนั และกัน อยา่ งสรา้ งสรรค์ ไมท่ ำลาย ยุยงใหแ้ ตกความสามัคคีใน หมู่คณะ ๒๔. บูรณาการ ครูต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้รอบด้าน เรียนรู้แบบองค์รวม (บูรณาการเนื้อหาทุกกลุ่ม สาระ) ซึง่ เปน็ การเรยี นรใู้ นชวี ิตจรงิ เรียนรูไ้ ปพร้อมกัน เรียนไปด้วยกัน เรยี นรู้จากกระบวนการทำงานรว่ มกนั
ศาสตรก์ ารสอน ๒๐๖ ๒๕. ประเมนิ การเรียนรู้ตาม สภาพจริง ใช้วิธีการประเมินที่หลากหลายวิธี ไม่ควรใช้การทดสอบจนนักเรียนเกิดค่านิยมต่อคะแนน จน คะแนนเป็นเงื่อนไขในการเรียนครูควรให้ความสนใจต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ และประเมินรอบด้าน คือ กาย อารมณ์ สังคม และสตปิ ญั ญา ๒๖. ฝกึ ฝนจิต ฝึกให้นักเรียนเกิดสมาธิในการเรียน รู้จักควบคุมตนเอง เข้าใจและเห็นคุณค่าของตนเอง คน ใกล้ชิด และสังคมที่สงบร่มเย็น มีความอดทนต่อความยากลาบาก และเข้าถึงหลักธรรมสำคัญของ พระพุทธศาสนาอยา่ งเปน็ ธรรมชาติ ๒๗. ให้ขอ้ มูลย้อนกลบั อยา่ งสรา้ งสรรค์ ไมว่ ิพากษว์ ิจารณ์ความคิดของนักเรียนว่า ผิด - ถูก ดี ไม่ดี ล้าสมัย และไม่เปรยี บเทียบความคิด ใคร ครูต้องยกย่องชมเชยว่าเก่ง เห็นส่ิงต่างๆ ในทางสร้างสรรค์ ทาให้ผู้อื่น ได้แง่คิด แล้วผูกโยงความคิดไป เกยี่ วพนั กบั เรอื่ งอ่นื ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ๒๘. ส่งเสรมิ การแสดงออกอยา่ งสรา้ งสรรค์ การแสดงออกของนักเรียน จะบอกให้ครูทราบว่านักเรียนเกิดการเรียนรู้มากน้อยเพียงใด เมื่อ เด็กกล้าแสดงออก ครูต้องช่วยช้ีแนะให้การแสดงออกเป็นไปในทางสร้างสรรค์ การเปิดโอกาสใหน้ ักเรียนได้แสดง ความคดิ เหน็ อย่างเต็มท่ี รบั ฟงั ความคิดเห็น ให้ปรบั ปรุงการแสดงออกโดยใชค้ ำถามกระตนุ้ ใหค้ ดิ ใหม่ได้เอง ๙.๖ เทคนิคการสอน เทคนิคการสอน หมายถึงกลวิธีต่างๆ ท่ีใชเ้ สรมิ กระบวนการสอน ขัน้ ตอนการสอน วธิ กี ารสอน หรอื การดาเนินการทางการสอนใดๆเพอื่ ชว่ ยให้การสอนมีคุณภาพและประสิทธิภาพมากขนึ้ เชน่ ในการบรรยาย ผู้สอนอาจใช้เทคนคิ ตา่ งๆท่ีสามารถชว่ ยให้การบรรยายมีคุณภาพและประสิทธภิ าพมากขึน้ เชน่ การยกตัวอย่าง การใชส้ อื่ การใช้คาถาม เป็นต้น เทคนิคท่ีใช้ในการสอนน้ัน จริงๆแล้วมีจำนวนมากนับไม่ถ้วน แต่ส่วนใหญ่ ตำราทั่วไปจะเลือกกล่าวถึง เทคนิคสำคัญๆ ที่จำเป็นต้องใช้บ่อยๆ เช่น เทคนิคการต้ังคำถาม เทคนิคการเข้าสู่บทเรียน เทคนิคการเขียน กระดานดำ เทคนิคการสรุปบทเรยี น เทคนิคการเสรมิ แรง เทคนคิ การยกตวั อยา่ ง เทคนคิ การใชอ้ ปุ กรณ์การสอน ประกอบด้วย ๑. เทคนิคการสอนโดยใช้การแสดงละคร (Dramatization) ๒. เทคนคิ การสอนโดยใชบ้ ทบาทสมมติ (Role Playing) ๓. เทคนคิ การสอนโดยใชส้ ถานการณจ์ าลอง (Simulation) ๑. เทคนคิ การสอนโดยใช้การแสดงละคร (Dramatization) เทคนิคการสอนโดยใช้การแสดง คือ กระบวนการท่ีผู้สอนช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม วตั ถุประสงค์ โดยการใหผ้ ู้เรยี นแสดงละคร ซึ่งเปน็ เรอื่ งราวท่ีต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนร้ตู ามเน้ือหาและบทละครที่ ได้กำหนดไว้ ต้ังแต่ต้นจนจบเร่ือง ทำให้เร่ืองราวน้ันมีชีวิตข้ึนมา และสามารถทำให้ผู้แสดงและผู้ชมเกิดความ เข้าใจและจดจำเรอ่ื งนน้ั ไดน้ าน วตั ถุประสงค์ ๑. เพอื่ ให้ผเู้ รยี นเห็นภาพเรื่องราวท่ชี ัดเจน และสามารถจดจำเร่อื งราวได้นาน ๒. เพ่อื นนกั เรยี นไดม้ ีส่วนร่วมในการจดั การเรียนการสอน และฝกึ ทกั ษะตา่ ง ๆ
ศาสตรก์ ารสอน ๒๐๗ องค์ประกอบสำคัญ (ท่ีขาดไม่ได้) ๑. มผี ู้สอนและผูเ้ รยี น ๒. มีบทละคร คือ เรอ่ื งทม่ี ีเนื้อหาและบทพูดกำหนดไวเ้ รียบรอ้ ยแล้วตั้งแต่ตน้ จนจบ ๓. มกี ารแสดงตามบทบาทท่ีกำหนด หรอื การชมและสังเกตการแสดง ๔. มกี ารอภิปรายเรอื่ งราวเก่ียวกบั เนื้อหาการแสดง การแสดงของผ้รู ีบบทบาทต่างๆ ๕. มีการสรุปการเรียนรู้ของผูเ้ รยี นท่ไี ด้จากการแดงและชมการแสดง ๖. มีผลการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี น เทคนิคตา่ ง ๆ ในการใช้สอนโดยใช้การสาธิตให้มีประสิทธิภาพ ๑. ผู้สอน / ผู้เรียนเตรียมบทละคร ผู้สอนและผู้เรียนควรอภิปรายวัตถุประสงค์ในการเลือกใช้ ละครเป็นวิธีการเพ่ือ ให้เกิดการเรียนรู้ นักเรียนควรจะมีส่วนในการเลือกเร่ืองราวท่ีจะแสดง ในการเตรียมบท ละครผู้สอนอาจเตรียมให้หรือผู้เรียนเตรียมกันเอง แต่ต้องมีการศึกษาเน้ือหาหรือเรื่องราวให้เข้าใจ ได้เนื้อหาที่ ครบถ้วนสมบรู ณใ์ หม้ ากทส่ี ดุ ๒. ผู้เรียนศึกษาบทละครและเลือกบทบาทท่ีจะแสดง ในการเลือกละคร ควรคำนึงถึงความ เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียนกบั บทที่จะแสดง แตใ่ นบางกรณีผ้สู อนอาจเลือกผเู้ รียนทีม่ ีบุคลิกภาพไม่ตรง กับบทท่ีจะแสดง เพ่ือให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ในการแสดง แต่ผู้แสดงควรมีความเต็มใจท่ีจะแสดง เพื่อให้ การแสดงออกมาดีทสี่ ุด ๓. ผู้เรียนซ้อมการแสดง ใน การซ้อมการแสดงต้องมีการฝึกซ้อมการแสดงร่วมกัน และในบาง กรณีอาจจำเป็นจะต้องเปล่ียนตัวผู้แสดงคนใหม่ เพื่อให้การแสดงสมบทบาทและส่ือความหมายได้ถูกต้อง ส่วน ผู้เรียนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการแสดง ผู้สอนจะต้องแนะนำในการชมการแสดงว่า ควรสังเกตและให้ความสนใจที่ เรือ่ งอะไรบ้าง จุดไหนบ้าง ๔. ผู้เรียนแสดงและชมการแสดง ในขณะแสดง ผู้สอนและผู้ชมไม่ควรขัดการแสดงกลางคัน และควรให้กาลงั ใจผแู้ สดง ผชู้ มควรตงั้ ใจสังเกตการแสดงในเรอ่ื งราวทส่ี ำคญั ทีผ่ ู้สอนไดแ้ นะนำ ๕. อภิปรายการแสดง ในการอภิปรายต้องมุง่ ไปทีเ่ ร่อื งราวที่แสดงออกมา และการแสดงของผู้ แสดงวา่ สามารถแสดงไดส้ มจรงิ เพยี งใด ข้อดี ๑. ทำใหผ้ ู้เรยี นได้มปี ระสบการณ์จรงิ ๒. ผ้เู รยี นมสี ่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน ๓. นกั เรียนไดฝ้ กึ ทักษะตา่ ง ๆ เชน่ ทักษะการพูด การเขยี น การแสดงออก การจดั การ การ แสวงหาความรู้ และการทำงานเป็นกล่มุ เป็นตน้ ข้อจากดั ๑. ใช้เวลาในการจัดกิจกรรมมาก ๒. มคี า่ ใช้จา่ ยในการจัดกจิ กรรม ๓. ต้องอาศยั ความชำนาญในการเขยี นบท ๒. เทคนคิ การสอนโดใชบ้ ทบาทสมมติ (Role Playing) เทคนิคการสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ เป็นกระบวนการท่ีช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ตามวัตถุประสงค์ โดยการให้ผเู้ รียนสวมบทบาทในสถานการณซ์ ึ่งมีความใกล้เคียงกบั ความเป็นจรงิ และแสดงออก
ศาสตร์การสอน ๒๐๘ ตามความรู้สึกนึกคิดของตนและนาเอาการแสดงออกของผู้แสดง ท้ังทางด้านความรู้ ความคิด ความรู้สึก และ พฤตกิ รรมทส่ี งั เกตพบ มาเปน็ ขอ้ มูลในการอภปิ ราย เพอ่ื ให้ผเู้ รียนเกิดการเรยี นร้ตู ามวตั ถุประสงค์๔ วตั ถุประสงค์ ๑. เพอื่ ใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ ความเข้าใจในเรอ่ื งต่าง ๆ เกี่ยวกับบทบาทสมมติที่ตนแสดง ๒. เพอ่ื นนักเรียนได้มีสว่ นรว่ มในการจัดการเรยี นการสอน และฝกึ ทักษะตา่ ง ๆ องคป์ ระกอบสำคญั (ท่ีขาดไมไ่ ด้) ๑. มผี สู้ อนและผู้เรยี น ๒. มีสถานการณ์สมมติและบทบาทสมมติ ๓. มีการแสดงบทบาทสมมติ ๔. มกี ารอภปิ รายเก่ียวกับความรู้ ความคดิ ความรสู้ ึก และพฤติกรรมที่แสดงออกของผู้แสดง และสรุปการเรยี นรู้ที่ไดร้ บั ๕. มีผลการเรียนร้ขู องผเู้ รียน ขน้ั ตอนสำคัญ (ท่ขี าดไมไ่ ด้) ๑. ผสู้ อน/ผูเ้ รียน นำเสนอสถานการณ์สมมติและบทบาทสมมติ ๒. ผ้สู อน/ผเู้ รียนเลือกผูแ้ สดงบทบาทสมมติ ๓. ผูส้ อนเตรียมผู้สงั เกตการณ์ ๔. ผูเ้ รยี นแสดงบทบาท และสังเกตพฤตกิ รรมทแ่ี สดงออก ๕. ผสู้ อนและผ้เู รียน อภิปรายเกย่ี วกบั ความรู้ ความคิด ความความร้สู กึ และพฤติกรรมที่ แสดงออกของผู้แสดง ๖. ผู้สอนและผู้เรยี นสรุปการเรียนรทู้ ไ่ี ดร้ บั ๗. ผู้สอนประเมนิ ผลการเรียนรู้ของผู้เรยี น เทคนิคและข้อเสนอแนะต่างๆทใ่ี ช้ในการสอนโดยใชก้ ารแสดงบทบาทสมมติให้มีประสิทธิภาพ ๑. ผ้สู อน / ผเู้ รียนนำเสนอสถานการณส์ มมตแิ ละบทบาทสมมติ บทบาทสมมติที่กำหนดข้นึ ควร มีความใกล้เคียงกับความเป็นจริง ไม่มีบทให้ ผู้สวมบทบาทจะต้องคิดแสดงเอง หรืออาจให้บทบาทสมมติแบบ แก้ปัญหาซ่ึงจะกำหนดสถานการณ์ท่ีมีปัญหาหรือความขัด แย้งให้ และผู้สวมบทบาทแก้ปัญหาตามความคิดของ ตน ๒. ผู้สอน / ผู้เรียนเลือกผู้แสดงบทบาท ในการเลือกผู้แสดง ควรคำนึงถึงความเหมาะสมกับ ความสามารถของผู้เรียนกับบทท่ีจะแสดง แต่ในบางกรณีผู้สอนอาจเลือกผู้เรียนที่มีบุคลิกภาพไม่ตรงกับบทท่ีจะ แสดง เพื่อให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ในการแสดง แต่ผู้แสดงควรมีความเต็มใจที่จะแสดง เพื่อให้การแสดง ออกมาดีทีส่ ุด ๓. ผสู้ อนเตรียมผูส้ งั เกตการณ์หรอื ผชู้ ม ผูส้ อนควรแนะนำการชมวา่ ควรสงั เกตอะไร และควร บันทึกข้อมลู อย่างไร หรอื ผู้สอนอาจจดั ทำแบบสังเกตการณ์ให้ผู้ชมใช้ในการสังเกตดว้ ยกไ็ ด้ ๔. ผเู้ รียนแสดงบทบาท ผชู้ มและผูส้ อนสังเกตพฤติกรรมที่แสดงออก ๕. ผูเ้ รียนและผู้สอนอภิปรายรว่ มกัน เกย่ี วกบั ความรู้ ความคิด ความรู้สึก และพฤตกิ รรมที่ ข้อดี ๑. ผู้เรียนเกดิ ความเขา้ ใจความร้สู ึกและพฤติกรรมของผู้อ่ืน ๒. ผ้เู รียนเกดิ การเปล่ียนแปลงเจตคติและพฤติกรรมของตน ๔ ทศิ นา แขมมณี , อ้างแลว้ เรอ่ื งเดยี วกนั .
ศาสตรก์ ารสอน ๒๐๙ ๓. พัฒนาทกั ษะในการเผชญิ สถานการณ์ ตัดสนิ ใจและแก้ปัญหา ๔. เปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนมสี ่วนรว่ มในการเรยี นมาก ขอ้ จำกดั ๑. ใชเ้ วลาในการจดั กิจกรรมมาก ๒. ต้องอาศัยความสามารถของผู้สอนในการแก้ปัญหาเนื่องจากการแสดงของผู้เรียนอาจไม่ เป็นไปตามความคาดหมายของผู้สอน ผู้สอนจะต้องสามารถแก้ปัญหาหรอื ปรบั สถานการณ์และประเด็นให้ผู้เรียน เกิดการ เรยี นรู้ได้ ๓. เทคนคิ การสอนโดยใช้สถานการณจ์ ำลอง (Simulation) เทคนิคการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง เป็นกระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม วัตถุประสงค์ โดยการให้ผู้เรียนลงไปเล่นในสถานการณ์ที่มีบทบาท ข้อมูล และกติกาการเล่น ท่ีสะท้อนความเป็น จริง และมีปฏิสมั พันธ์กับสงิ่ ต่าง ๆ ที่อยู่ในสถานการณ์น้ัน โดยข้อมูลท่ีมีสภาพคลา้ ยกับข้อมูลในความเปน็ จริง ใน การตัดสินใจและแก้ปัญหาต่าง ๆ ซ่ึงการตัดสินใจน้ันจะส่งผลถึงผู้เล่นในลักษณะเดียวกันกับท่ีเกิดข้ึนใน สถานการณ์จรงิ ๕ วตั ถุประสงค์ ๑. ช่วยให้ผเู้ รยี นไดร้ สู้ ภาพความเปน็ จรงิ เกิดความเขา้ ใจในสถานการณ์ องคป์ ระกอบสำคัญ (ที่ขาดไม่ได้) ๑. มผี ูส้ อนและผู้เรียน ๒. มีสถานการณ์ ข้อมูล บทบาทและกตกิ า ทสี่ ะท้อนความเป็นจรงิ ๓. ผ้เู ลน่ ในสถานการณม์ ีปฏิสมั พนั ธก์ นั กบั ปัจจัยต่างๆในสถานการณ์นัน้ ๔. ผู้เล่นหรอื ผสู้ วมบทบาทมกี ารใชข้ ้อมลู ท่ีใหใ้ นการตัดสินใจ ๕. การตดั สินใจสง่ ผลตอ่ ผูเ้ ล่นในลักษณะเดียวกนั กบั ทเี่ กิดขึ้นในสถานการณ์จริง ๖. มีการอภิปรายเก่ยี วกบั สถานการณ์ ข้อมลู และกติกาของสถานการณว์ ิธกี ารเล่น พฤติกรรม การเลน่ ปละผลการเล่น เพื่อการเรยี นรู้ ๗. มผี ลการเรยี นร้ขู องผู้เรียน เทคนิคและขอ้ เสนอแนะตา่ งๆที่ใช้ในการสอนโดยใช้สถานการณจ์ ำลอง ให้มีประสิทธิภาพ ๑. ผู้สอนเตรยี มสถานการณ์จำลอง สถานการณ์จำลองโดยท่วั ไปมีอยู่ ๒ ลักษณะ คอื ๑) สถานการณ์จำลองแท้ จะเป็นสถานการณ์การเล่นท่ีให้ผเู้ รียนได้เล่น เพื่อเรยี นรู้จริง ๒) สถานการณ์จำลองแบบเกม มีลักษณะเปน็ เกมการเลน่ แตเ่ กมการเลน่ นมี้ ีลักษณะที่ สะทอ้ นความเปน็ จรงิ ในขณะทเ่ี กมธรรมดาทว่ั ๆ ไป อาจจะไมไ่ ดส้ ะทอ้ นความเป็นจริงอะไร ๒. ผู้สอนนำเสนอสถานการณ์จำลอง บทบาท ขอ้ มูล และกตกิ าการเล่น ใน การนำเสนอ ผสู้ อน ควรเริ่มด้วยการบอกเหตผุ ลและวัตถุประสงค์กว้าง ๆ แก่ผ้เู รยี นว่า การเล่นในสถานการณ์จำลองน้ีจะให้อะไรและ เหตใุ ดจงึ มาเล่นกัน ต่อไปจงึ ให้ภาพรวมทง้ั ของสถานการณ์จำลองท้ังหมด แล้วจงึ ให้รายละเอยี ดท่จี ำเป็น ๓. ผู้เรียนเลือกบทบาทที่จะเล่นหรือผ้สู อนกำหนดบทบาทให้ ผู้เรียนทุกคนควรได้รับบทบาทใน การเล่น ซ่ึงผู้เรียนอาจะเป็นผู้เลือกเองหรือผู้สอนกำหนดบทบาทให้ผู้เรียนบางคน ซึ่งจะชว่ ยให้เกิดการเรียนรูต้ รง ตามความต้องการ ๔. ผู้เรียนเล่นตามกติกาที่กำหนด ในขณะที่ผู้เรียนกาลังเล่นผู้สอนควรติดตามพฤติกรรมอย่าง ใกล้ชดิ และคอยใหค้ ำปรกึ ษาตามความจำเป็น ๕ ทศิ นา แขมมณี , อ้างแลว้ เร่อื งเดียวกัน.
ศาสตร์การสอน ๒๑๐ ๕. ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันอภิปราย ควรมุ่งไปประเด็นไปที่การเรียนรู้ความเป็นจริง อะไรเป็น ปจั จยั ทม่ี อี ทิ ธิพล ผูเ้ รียนควรได้เรยี นรจู้ ากการเลน่ ของตน ๖. ผสู้ อนและผ้เู รียนสรปุ การเรียนรู้ท่ีได้รบั จากการเล่น ข้อดี ๑. ผเู้ รยี นได้เรียนรเู้ รื่องทีม่ ีความซับซ้อน อย่างเข้าใจเน่ืองจากได้มปี ระสบการณด์ ้วยตัวเอง ๒. ผู้เรยี นมีส่วนร่วมในการเรยี นสงู ๓. ผเู้ รยี นมีโอกาสฝึกทักษะกระบวนการตา่ ง ๆ จำนวนมาก ขอ้ จำกดั ๑. ใช้ค่าใช้จา่ ยสูง และใช้เวลามาก ๒. ผู้สอนตอ้ งอาศัยการเตรียมการมาก ๓. ถ้าไม่มสี ถานการณ์จาลองตอ้ งสรา้ งสถานการณ์ขึน้ มาเอง ในการจัดการเรียนการการสอนจึงมีความจำเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องมีการบรรยาย อธิบาย และการยก กรณีศกึ ษา ให้เปน็ ท่ีเข้าใจอย่างงา่ ย จงึ จะทำให้นกั ศกึ ษาเรยี นรู้ได้อยา่ งเขา้ ใจมากยงิ่ ขึ้น เทคนิคการสอนดังกล่าวมี ดังน้ี ๑. เทคนคิ การสอนโดยใช้การบรรยาย (Lecture) ๒. เทคนิคการสอนโดยใช้กรณตี วั อยา่ ง (Case) ๑. เทคนิคการสอนโดยใชก้ ารบรรยาย (Lecture) วิธีสอนโดยใช้การบรรยาย คือ กระบวนการท่ีผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม วัตถุประสงค์ท่ีกำหนด โดยการเตรียมเน้ือหาสาระ แล้วบรรยาย คือ พูด บอก เล่า อธิบาย เนื้อหาสาระหรือส่ิงที่ ตอ้ งการสอนแกผ่ ู้เรียน และประเมินผลการเรยี นรูข้ องผู้เรยี นดว้ ยวิธใี ดวิธีหน่งึ วัตถปุ ระสงค์ วิธีสอนโดยใช้การบรรยายเป็นวิธีการท่ีมุ่งช่วยให้ผู้เรียนจำนวนมากได้เรียนรู้เน้ือหาสาระ หรือ ขอ้ ความรู้จำนวนมากพร้อมๆกันได้ในเวลาทจี่ ำกดั องค์ประกอบสำคญั (ที่ขาดไมไ่ ด้) ๑. มีผ้สู อนและผเู้ รยี น ๒. มีเนอื้ หาสาระ หรอื ข้อความรทู้ ่ีต้องการให้ผ้เู รยี นได้เรยี นรู้ ๓. มกี ารบรรยาย (พดู บอก เล่า อธบิ าย) โดยผู้สอน ๔. มีผลการเรียนรู้ของผ้เู รียนที่เกดิ จากการบรรยาย ขั้นตอนสำคัญ (ท่ขี าดไมไ่ ด้) ๑. ผูส้ อนเตรียมเน้ือหาสาระที่จะบรรยาย ๒. ผู้สอนบรรยาย (พูด บอก เลา่ อธิบาย) เนอื้ หาสาระทต่ี ้องการให้ผเู้ รียนไดเ้ รยี นรู้ ๓. ผู้สอนประเมินผลการเรียนรู้ของผูเ้ รยี น เทคนิคและขอ้ เสนอแนะตา่ งๆ ในการใชว้ ิธีสอนโดยใชก้ ารบรรยายให้มีประสิทธภิ าพ ๑. การเตรยี มการบรรยาย การบรรยายที่ดีต้องอาศัยการเตรียมการท่ีดี ผู้สอนจำเป็นต้องศึกษาจำเป็นต้องศึกษา เนื้อหาสาระท่ีจะบรรยายให้เข้าใจแจ่มแจ้งหากพบว่า มีจุดใดท่ีตนยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งหรือมีข้อสงสัย ควรศึกษา
ศาสตรก์ ารสอน ๒๑๑ ค้นคว้าให้กระจ่างก่อน ต่อจากน้ันควรคัดเลือกว่า เน้ือหาสาระใดมีความจำเป็นหรือมีประโยชน์ต่อผู้เรียนของตน เพยี งใด เนอ้ื หาใดไมจ่ ำเป็นอาจตดั ออก ต่อไปควรจัดลำดับเนอื้ หาสาระว่า สิ่งใดควรพูดก่อน พูดหลัง และจะเช่ือมโยงกันอย่างไร ในเน้ือหาสาระแต่ละส่วนมีส่วน ใดที่ยังคลุมเครือ ควรหาตัวอย่างประกอบหรือควรใช้ส่ือใดช่วย และควรแสวงหาเทคนิคในการนาเสนอสาระแต่ ละส่วนให้น่าสนใจ ท้าทายความคิดและเข้าใจได้ง่าย ซึ่งอาจจะเป็นการใช้คำถามกระตุ้น หรือการเล่า ประสบการณ์ที่แปลกใหม่ หรือนำเสนอปัญหาที่ท้าทายความคิดก่อนการบรรยาย ผู้สอนควรจะมีโครงร่าง (outline) สาหรับการบรรยาย และมีเอกสารประกอบการบรรยายแจกให้แกผ่ ูเ้ รยี น ๒. การบรรยาย เม่ือเร่มิ การบรรยาย ผู้บรรยายควรเรา้ ความสนใจของผเู้ รียน และพยายามรักษาความ สนใจนั้นให้คงอยู่ตลอดการบรรยายดว้ ยเทคนิคตา่ ง ๆ เชน่ ๒.๑ การใชป้ ัญหาเปน็ ส่งิ เร้า เชน่ ใชข้ ่าว เหตุการณ์สำคัญและกรณตี ัวอย่างต่าง ๆ ๒.๒ การใช้การทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรียน เพื่อช่วยใหผ้ เู้ รียนไดเ้ ห็นความสามารถ ของตนในเรื่องน้นั ๒.๓ การใชส้ ือ่ ประกอบ เช่น ใชแ้ ผ่นใส ภาพสไลด์ เทปเสียง วีดีทศั น์ ภาพยนตร์ คอมพวิ เตอร์ เปน็ ตน้ ๒.๔ การใช้การซักถามประกอบกับการบรรยาย ๒.๕ การใชก้ จิ กรรมประกอบการบรรยาย เช่น การอภิปรายกลุ่มย่อย การสาธิต การ แสดงบทบาทสมมติการเล่นเกม การทดลองปฏิบัติ เปน็ ตน้ ๒.๖ การยกตัวอยา่ งประกอบการอธบิ าย ๒.๗ การใช้อารมณข์ ัน ๒.๘ การเปิดโอกาสใหผ้ ้ฟู ังซักถาม และแสดงความคิดเหน็ ๓.การอภปิ รายซกั ถามและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรยี น ก่อนยุติการบรรยาย ผู้บรรยายควรสรุปสาระสำคัญของการบรรยาย และควรเปิด โอกาสให้ผู้ฟังซักถาม หรือเปิดอภิปรายแลกเปล่ียนความคิดเห็นกัน ต่อจากน้ันควรมีการทดสอบการเรียนรู้ของ ผ้เู รยี นในเร่ืองทีบ่ รรยายด้วยวิธีการตา่ ง ๆ เช่น การส่มุ ถามผ้เู รียน หรือการใหท้ ำแบบทดสอบ เป็นตน้ ขอ้ ดี ๑) เปน็ วธิ สี อนทใ่ี ชเ้ วลานอ้ ย เมือ่ เทียบกับวธิ ีสอนแบบอืน่ ๆ ๒) เปน็ วิธีสอนทีใ่ ช้กบั ผูเ้ รียนจานวนมากได้ ๓)เป็นวิธีสอนทสี่ ะดวก ไมย่ งุ่ ยาก ๔) เป็นวธิ สี อนท่ีถ่ายทอดเน้ือหาสาระได้มาก ข้อจำกดั ๑) เปน็ วธิ ีสอนท่ผี ู้เรียนมบี ทบาทน้อย จงึ อาจทำใหผ้ ู้เรยี นขาดความสนใจในการบรรยาย ๒) เปน็ วธิ สี อนทอี่ าศัยความสามารถของผ้บู รรยาย ถา้ ผ้บู รรยายไมม่ ีศลิ ปะในการบรรยายที่ ดงึ ดูดใจผเู้ รยี น ผู้เรียนอาจขาดความสนใจ และถ้าผู้สอนขาดการเรียบเรยี งเนื้อหาสาระอยา่ งเหมาะสม ผู้เรยี นอาจ เกิดความไมเ่ ข้าใจ และไม่สามารถซกั ถามได้ (ถา้ ผบู้ รรยายไมเ่ ปิดโอกาส) ๓) เป็นวธิ ีสอนทไี่ ม่สามารถสนองตอบความต้องการและความแตกต่างระหวา่ งบุคคล
ศาสตร์การสอน ๒๑๒ ๒. เทคนิคการสอนโดยใช้กรณตี ัวอยา่ ง (Case) เทคนิคการสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง เป็นกระบวนการท่ีช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม วัตถุประสงค์ โดยการให้ผู้เรียนศึกษาเรอ่ื งท่สี มมติขน้ึ จากความเปน็ จริง และตอบประเด็นคำถามเกี่ยวกบั เรอ่ื งน้ัน แล้วนำคำตอบและเหตผุ ลท่ีมาของคำตอบน้ันมาใช้เปน็ ขอ้ มูลในการอภปิ ราย เพ่อื ใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ วัตถุประสงค์ ๑. เพื่อเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นคิดวเิ คราะหแ์ ละเรียนรู้ความคิดของผู้อ่นื ๒. ชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นมมี ุมมองที่กว้างขน้ึ องคป์ ระกอบสำคญั (ท่ีขาดไมไ่ ด้) ๑. มีผสู้ อนและผ้เู รียน ๒. มกี รณีเรื่องทคี่ ลา้ ยกับเหตุการณ์จริง ๓. มปี ระเดน็ คำถามใหค้ ิดพจิ ารณาหาคำตอบ ๔. มคี ำตอบท่ีหลากหลาย คำตอบไมม่ ถี ูกผดิ อย่างชดั เจนหรอื แนน่ อน ๕. มีการอภิปรายเก่ียวกับสภาพการณ์ ปัญหา วิธแี ก้ปัญหาของผ้เู รยี น และสรุปการเรยี นรู้ท่ี ได้รบั ๖. มีผลการเรยี นรูข้ องผูเ้ รยี น ขนั้ ตอนสำคัญ (ทข่ี าดไมไ่ ด้) ๑. ผสู้ อน/ผู้เรียนนำเสนอกรณตี ัวอยา่ ง ๒. ผู้เรยี นศึกษากรณีตวั อยา่ ง ๓. ผเู้ รยี นอภิปรายประเดน็ คำถามเพ่ือหาคำตอบ ๔. ผสู้ อนและผู้เรียนอภิปรายคำตอบ ๕. ผู้สอนและผเู้ รยี นอภปิ รายเกีย่ วกับปัญหาและวิธกี ารแก้ปัญหาของผู้เรียน และสรุปการเรียนรู้ ที่ได้รบั ๖. ผู้สอนประเมินผลการเรียนรขู้ องผเู้ รียน เทคนิคและขอ้ เสนอแนะต่างๆทีใ่ ชใ้ นการสอนโดยใชก้ รณีตวั อยา่ ง ให้มีประสิทธภิ าพ ๑. ผู้สอน / ผู้เรยี นนาเสนอกรณีตวั อย่าง กรณีตัวอยา่ ง สว่ นใหญม่ ักเป็นเรื่องราวที่มีสถานการณ์ เป็นปัญหาขัดแย้ง ผู้สอนอาจใช้วิธีการตั้งประเด็นคำถามท่ีท้าทายให้ผู้เรียนคิดก็ได้ ใช้เร่ืองจริงหรือเรื่องจาก หนังสือพิมพ์ รวมท้ังส่ือต่าง ๆ ผู้สอนต้องเตรียมประเด็นคำถามสำหรับการอภิปรายเพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ที่ ต้องการ ในการเสนอทำได้หลายวิธี เช่น การพิมพ์เป็นข้อมูลมาให้ผู้เรียนอ่าน การเล่ากรณีตัวอย่างให้ฟัง หรือ นำเสนอโดยใช้ส่อื อนื่ ๒. ผเู้ รียนศึกษากรณตี ัวอย่าง ผสู้ อนควรแบ่งกลมุ่ ย่อยในการศกึ ษากรณตี ัวอยา่ ง ไมค่ วรให้ ผเู้ รยี นตอบประเดน็ คำถามทันที ๓. ผู้เรียนอภปิ รายประเดน็ คำถามเพ่ือหาคำตอบ ผ้เู รยี นแต่ละคนควรมีคำตอบของตนเตรียมไว้ ก่อน แล้วจึงรว่ มกันอภิปรายเป็นกลุม่ และนำเสนอผลการอภปิ รายระหว่างกลมุ่ ๔. ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายคำตอบ นำเสนอผลการอภิปรายระหว่างกลุ่ม คำถามสำหรับการ อภปิ รายน้ี ไม่มีคำตอบทีถ่ ูกหรือผิดอยา่ งชัดเจนแน่นอน แตต่ อ้ งการใหผ้ ูเ้ รียนเห็นคำตอบและเหตผุ ลที่หลากหลาย ทำให้ผู้เรียนมีมุมมองท่ีกว้างขึ้น ช่วยให้การตัดสินใจมีความรอบคอบข้ึน การอภิปรายควรมุ่งความสนใจไปท่ี เหตผุ ลหรอื ท่ีมาของความคดิ ท่ผี ้เู รยี นใชใ้ น การแก้ปัญหาเป็นสำคญั ๕. ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายเกีย่ วกบั ปญั หาของผู้เรยี น และสรปุ การเรยี นรู้ที่ไดร้ บั
ศาสตรก์ ารสอน ๒๑๓ ขอ้ ดี ๑. ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การคดิ อย่างมวี ิจารณญาณ และคิดแก้ปัญหา ๒. ผเู้ รยี นมมี มุ มองทีก่ วา้ งขึน้ ๓. ช่วยให้เกดิ ความพรอ้ มทจ่ี ะแก้ปัญหาเมือเผชญิ ปญั หาน้ันในสถานการณ์จรงิ ข้อจากดั แม้ปัญหาและสถานการณ์จะใกล้เคียงกับความเป็นจริง แต่ก็ไม่ได้เกิดข้ึนจริง ๆ กับผู้เรียน ความคดิ ในการแกป้ ญั หาจึงมักเป็นไปตามเหตุผลที่ถกู ท่ีควรซ่งึ อาจไมต่ รงกับการ ปฏิบัตจิ รงิ ได้ สรปุ ท้ายบท จากเทคนิคการจดั การเรยี นการสอนท้ัง ๕ เทคนิคนน้ั ผูส้ อนสามารถเลอื กเทคนิคการสอนที่เหมาะสมกับ ตวั ผู้สอน ตัวผู้เรียน และรายวิชาทจี่ ัดการเรียนการสอน ซ่ึงเทคนิคการจัดการเรียนการสอนเหล่านี้ เป็นส่วนหน่งึ ที่ จะช่วยให้ไม่เกิดความผิดพลาดในการสอน อีกท้ังยังช่วยให้งานสอนบรรลุตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ ก่อให้เกิดการ ทำงานมีประสิทธิภาพ และสามารถพัฒนางานสอนข้ึนไปอีก นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความช่ืนชม ศรัทธาจาก ผ้เู รียน เพราะผ้สู อนสามารถสอนได้กระฉับกระเฉง และถกู ต้องอีกด้วย
ศาสตร์การสอน ๒๑๔ คำถามท้ายบท ๑. แผนการหรอื โครงสร้างที่จัดทำเปน็ ลายลกั ษณ์อักษรเพอ่ื ใชใ้ นการปฏบิ ัติการสอนในรายวิชาใดวชิ าหนง่ึ เป็นการ เตรยี มการสอนอยา่ งเป็นระบบและเปน็ เคร่ืองมือที่ช่วยให้ครูพฒั นาการเรียนการสอนไปสู่จดุ ประสงค์การเรียนรู้ และจดุ มงุ่ หมายของหลกั สตู รได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ เกย่ี วข้องกับข้อใด ก. กำหนดการสอน ข. แผนการสอน ค. บันทึกการสอน ง. วธิ ีสอน ๒. Child Center ใครเปน็ ผ้คู ิดค้นและใช้คำนเี้ ป็นคนแรก ก. Carl R. Rogers ข. John Due ค. Benjamin S. Bloom ง. Thorn Dike ๓. การประเมนิ ผลการเรียนท่ีเนน้ ผเู้ รยี นเป็นสำคัญเนน้ อะไร ก. เนอื้ หา ข. ผลสัมฤทธิ์ ค. ผลงานและกระบวนการ ง. สติปญั ญา ๔. บทบาทของครูในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผูเ้ รยี นเป็นสำคัญตรงกบั ขอ้ ใด ก. Supporter ข. Helper and Advisor ค. Supporter and Encourager ง. ถกู ทกุ ข้อ ๕. เปน็ วิธีสอนทใ่ี ช้กรณีหรอื เร่อื งตา่ งๆ ทีเ่ กดิ ขนึ้ จรงิ มาดดั แปลง และใชเ้ ป็นตวั อยา่ งในการเรยี นใหก้ ารศึกษา วเิ คราะห์อภิปรายเพอ่ื สร้างความเข้าใจ และฝึกฝนหาทางแกป้ ัญหาน้นั มีความหมายตรงกับข้อใด ก. Case Study ข. Simulation ค. Action or Dramatization ง. Role – Play ๖. การสร้างสถานการณ์ให้ใกลเ้ คียงกบั ความเปน็ จริง แลว้ ให้ผู้เรยี นเขา้ ไปอยูใ่ นสถานการณ์นั้น และมปี ฏิกิรยิ า โต้ตอบกัน มีความหมายตรงกับขอ้ ใด ก. Case Study ข. Simulation ค. Action or Dramatization ง. Role – Play ๗. การเรียนร้ทู ีม่ คี วามหมายแก่ผู้เรยี น หมายความว่าอย่างไร ก. การเรยี นรทู้ ส่ี ามารถนำไปใช้ในชวี ติ ประจำวนั ข. ใช้เป็นเครอื่ งมือในการแสวงหาความรู้ และคำตอบต่างๆท่ีตนตอ้ งการ ค. การเรยี นรทู้ ีผ่ ู้เรียนค้นพบด้วยตนเอง มสี ่วนทำใหเ้ กิดความเข้าใจอย่างลกึ ซึง้ และจดจำไดด้ ี ง. การมีส่วนรว่ มในกิจกรรมการเรียนการสอน ๘. รูปแบบใดเป็นรูปแบบการจัดการเรยี นการสอนที่เนน้ ผู้เรียนเปน็ สำคญั ก. CIPPA MODEL ข. CIPP MODEL ค. Integration ง. ถูกท้ัง ก. และ ค. ๑๐. การจดั การเรียนการสอนปัจจุบันมุง่ เน้นให้เกิดสงิ่ ใดต่อผู้เรยี น ก. เกง่ มสี ุข ดี ข. ดี มสี ุข เก่ง ค. ดี เก่ง มสี ุข ง. มีสขุ ดี เกง่
ศาสตร์การสอน ๒๑๕ คำช้ีแจง นำข้อความต่อไปนี้ไปตอบคำถามข้อ ๑๑-๑๔ ก. CONSDTRUCT ข. INTERACTION ค. PHYSICALPARTCIPATION ง. APLICATION ๑๑. การใหผ้ เู้ รยี นนำความรู้ที่ได้ไปใช้ให้เกดิ ประโยชน์ในชวี ิตประจำวนั ๑๒. การใหผ้ ู้เรยี นสรา้ งความรูไ้ ดด้ ว้ ยตนเองโดยกระบวนการแสวงหาความรู้ แสวงหาข้อมูล ทำความเข้าใจ คิด วิเคราะหต์ คี วาม แปลความ สร้างความหมาย สังเคราะห์ข้อมลู และสรปุ ขอ้ ความรู้ ๑๓. การให้ผู้เรยี นมบี ทบาทมีส่วนร่วมในการเรียนร้ใู ห้มากทสี่ ุดไดม้ ีการเคล่ือนไหวรา่ งกาย โดยทำกจิ กรรม ลักษณะต่างๆ ๑๔. การใหผ้ ู้เรียนมปี ฏสิ มั พนั ธต์ ่อกัน เรยี นรูจ้ ากกนั แลกเปลยี่ นข้อมลู ความคิดและประสบการณ์ ๑๕. ตอ่ ไปนี้ขอ้ ใดเปน็ บทบาทหนา้ ที่ของครู ก. เตรียมการสอน ข. จัดทำแผนการสอน ค. จัดทำกิจกรรมการเรียนการสอน ง. ทุกขอ้ ทก่ี ล่าวมา ๑๖. ขอ้ ใดถูกต้องท่สี ดุ เมอื่ กลา่ วถงึ การจัดการเรียนรู้แบบบรู ณาการในรูปแบบขนาน ก. ครูคนเดียวสอนหลายวิชา ข. ครูหลายวชิ าสอนในหัวเร่ืองเดยี วกัน ค. ครูหลายคนตา่ งคนต่างสอนในวิชาของตนเอง ง. ครหู ลายคนชว่ ยกันสอนในวชิ าเดียวกัน ๑๗. เครือ่ งมือที่เหมาะสมกับการวดั พฤติกรรมด้านทกั ษะกระบวนการคือข้อใด ก .แบบสังเกต ข. แบบสัมภาษณ์ ค. แบบสำรวจรายการ ง. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ๑๘. จุดมงุ่ หมายที่สำคัญของการวัดผลและประเมินผลการเรียนคอื ข้อใด ก. ตดั สินผลการเรยี น ข. ปรบั ปรงุ การเรียนการสอน ค. คน้ หาข้อบกพร่องของนักเรยี น ง. แจ้งผลการเรยี นให้ผู้ปกครองทราบ ๑๙. การประเมินในข้อใดสำคัญที่สดุ ก. การแก้ไขพฒั นาผ้เู รียน ข. การพฒั นาระบบการให้ระดบั คะแนน ค. การพัฒนาและปรบั ปรุงหลักสตู ร ง. การตัดสินให้ผ่านและไม่ผ่านในการสอบปลายปี ๒๐. การศึกษาเป็นเครื่องมอื สำคญั ในการพัฒนาความรู้ ความคิด ความประพฤติ ทัศนคติ คา่ นยิ ม และคณุ ธรรม ของบุคคล เพื่อให้เป็นพลเมืองท่ดี ี มคี ุณภาพ และประสทิ ธิภาพ การพฒั นาประเทศชาติ กย็ ่อมได้โดยสะดวกและ ราบรืน่ ได้ผลทแ่ี น่นอน รวดเร็ว ก. ความสำคญั ของการศึกษา ข. ความหมายของการศกึ ษา ค. เปา้ หมายของการศกึ ษา ง. ความสมั พันธข์ องการศกึ ษากับการพฒั นา ประเทศ ๒๑. ขอ้ ใดเปน็ บทบาทที่สำคัญทส่ี ดุ ของการประเมนิ ผลต่อระบบการเรยี นการสอน ก .เพือ่ บ่งบอกประสิทธิภาพของหลักสตู ร ข. เพื่อบง่ บอกประสิทธภิ าพของครู ค. เพ่ือรบั รองผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น ง. เพือ่ ศึกษาพฤติกรรมการเรียนรขู้ องนักเรียน ๒๒. พฤติกรรมด้านจิตพสิ ยั ขั้นรบั รู้ สัมพนั ธส์ อดคล้องกับพฤตกิ รรมด้านพทุ ธพสิ ัยระดบั ใด ก. วเิ คราะห์ ข. นำไปใช้ ค. ประเมนิ ค่า ง. ความรู้ ความจำ
ศาสตร์การสอน ๒๑๖ ๒๓. ขอ้ ใดเปน็ ปัญหาของครู ท่สี ง่ ผลต่อการเรยี นการสอนน้อยท่ีสดุ ก. มชี ว่ั โมงสอนมาก และปฏบิ ัตภิ ารกิจซึ่งนอกเหนือการเรียนการสอน ข. ขาดการพฒั นาเทคนิคการสอน ค. ขาดการพฒั นาส่ือทส่ี นองความแตกต่าง ง. ครมู ขี วญั กำลังใจตำ่ เนือ่ งจากปญั หาค่าครองชพี ๒๔. วธิ ีการสอนแบบใดท่ีเกยี่ วขอ้ งกบั เวลามากทสี่ ดุ ก. ทดลอง ข. บรรยาย ค. สาธิต ง. บทบาทสมมุติ ๒๕. ข้อใดเป็นปัญหาการวดั ผลประเมนิ ผลมากท่สี ดุ ก. ครมู กั แยกการสอนกับการวัดผลออกจากกนั ข. ครเู นน้ การวดั ผลและประเมนิ ดา้ นเดยี ว คือความรู้ ความจำ ค. ครไู ม่ไดพ้ ฒั นาความรู้ ความสามารถด้านการวดั และประเมินผลงาน ง. ครูยังไม่เข้าใจแนวปฏบิ ัติเก่ียวกับการวดั ประเมินผล ๒๖. การจดั ประสบการณ์การเรียนร้ใู หแ้ กผ่ เู้ รียนชดั เจน และเหมาะสมทีส่ ุด ก. ครูมาลสี าธติ เรือ่ งการแปรงฟันโดยใช้หุ่นจำลอง ข. ครูวภิ าอภิปรายเรอื่ งการแปรงฟนั ใหก้ ับนกั เรียน ค. ครศู รีสมรใหเ้ ด็กชายแดงเล่าเรื่องการแปรงฟันให้เพ่ือนฟัง ง. ครอู รอุมาใหน้ กั เรยี นดูภาพขั้นตอนการแปรงฟนั ๒๗. เพราะเหตุใดการใช้สื่อการสอนจึงต้องมคี วามสัมพนั ธ์กบั เนือ้ หาของบทเรยี น ก. จะทำใหเ้ ด็กเกิดการเรยี นรู้ตามเนอื้ หาของบทเรยี น ข. สอ่ื สารสอนถกู กำหนดการใช้ส่ือการสอนไวแ้ ลว้ ค. เนื้อหาของบทเรียนกำหนดการใช้สอ่ื การสอนไวแ้ ล้ว ง. ส่อื การสอนจะต้องใชใ้ หเ้ ด็กเกดิ การเรยี นรู้ ๒๘. การเขียนแผนการสอนที่เหมาะสมท่สี ุดจดั ลำดับหัวขอ้ อย่างไร ก. จุดประสงค์ ความคิดรวบยอด เน้อื หา กจิ กรรม ข. ความคดิ รวบยอด จดุ ประสงค์ เน้อื หา กิจกรรม ค. จดุ ประสงค์ ความคดิ รวบยอด กจิ กรรม ง. ความคิดรวบยอด จุดประสงค์ กิจกรรม เน้ือหา ๒๙. จดุ มุ่งหมายเชงิ พฤติกรรม คอื จุดมงุ่ หมายท่ีเป็นอย่างไร ก. ระบวุ ่านกั เรียนร้อู ะไรบ้าง ข. ระบวุ ่าพฤติกรรมจะเปลยี่ นแปลงไปอย่างไร ค. ระบุวา่ นักเรียนจะมีเจตคติท่มี ตี ่อวิชาทีส่ อน ง. ระบุพฤติกรรมทสี่ ังเกตและวัดไดข้ องนักเรยี น ๓๐. ขอ้ ใดทไี่ ม่ใช่ลกั ษณะของจุดมุ่งหมายเชงิ พฤติกรรม ก. บวกลบเลขคู่และเลขคี่ได้ ข. อธบิ ายได้วา่ เลขคู่และเลขคี่ตา่ งกันอย่างไร ค. ทำแบบฝึกหดั วา่ ดว้ ยเรอื่ งเลขค่แู ละเลขคี่ได้ ง. เขา้ ใจในความแตกตา่ งของเลขค่แู ละเลขค่ี
ศาสตร์การสอน ๒๑๗ ๓๑. ผู้เรียนจะสนใจและอยากเรยี นมากข้ึนในเม่ือสิง่ ที่เรียนน้ันเป็นอย่างไร ก. มคี วามสวยงาม ข. เคลอื่ นไหวได้ ค. ผู้เรยี นเคยพบเหน็ มาแลว้ ง. มคี วามหมายต่อผเู้ รยี น ๓๒. ขอ้ ใดเป็นการสอนท่ีไมค่ ่อยเหมาะสม ก. สอนโดยวิธีแนะใหเ้ ดก็ รจู้ กั ตนเอง ข. ใหเ้ ด็กมสี ว่ นรว่ มในการจดั กิจกรรม ค. จดั กจิ กรรมให้ทุกคนทำเหมือนกนั ง. จัดให้มีกิจกรรมพฒั นาการของเด็ก ๓๓. การสอนท่ดี ีคำนงึ ถึงอะไรเปน็ สำคัญ ก. วัย ข. เพศ ค. สง่ิ แวดลอ้ ม ง. ความแตกต่างระหว่างบคุ คล ๓๔. การมหี ลกั และวิธสี อนท่ีดีให้ประโยชนใ์ นเรือ่ งใด ก. นักเรยี นสนใจเรยี น ข. ประหยดั เวลาในการสอน ค. นกั เรยี นเกิดความคดิ ริเรม่ิ ง. การเรยี นการสอนท่ีมีประสิทธภิ าพ ๓๕. ข้อใดไม่ใชจ่ ดุ ประสงค์ของการจัดบรรยากาศในห้องเรยี น ก. ความสวยงาม ข. สง่ เรมิ การเรยี นรู้ ค. มลี ักษณะคลา้ ยบา้ นของตน ง. สง่ เสรมิ การใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ๓๖. หลักการสำคัญทสี่ ุดในการจดั หอ้ งเรยี นคืออะไร ก. ความสะอาด ข. ประโยชน์ใช้สอย ค. ความเป็นระเบียบ ง. การพกั ผ่อนหย่อนใจ ๓๖. บรรยากาศในห้องเรียนหมายถึงอะไร ก. การจดั ตกแต่งห้อง ข. กิจกรรมการเรยี นการสอน ค. สง่ิ แวดลอ้ มทงั้ ส้นิ รอบตวั เดก็ ง. สง่ิ ของตา่ งๆ ทมี่ ีอยูใ่ นห้องเรียน ๓๘. จดุ มุ่งหมายท่สี ำคญั ของการวดั ผลและประเมินผลการเรยี นคอื ข้อใด ก. ตัดสนิ ผลการเรยี น ข. ปรับปรุงการเรยี นการสอน ค. คน้ หาขอ้ บกพร่องของนักเรียน ง. แจ้งผลการเรยี นใหผ้ ู้ปกครองทราบ ๔๐. วธิ ีการท่ีจะวดั พฤตกิ รรมแตล่ ะดา้ นให้ครอบคลุมและเหมาะสมน้ัน จะตอ้ งปฏิบตั ิอย่างไร ก. ใช้วธิ ีการวัดหลายๆวิธี ข. ใช้เครอ่ื งมือวดั หลายรูปแบบ ค. กำหนดจุดประสงค/์ เนื้อหาให้ชัดเจน ง. วิเคราะห์จดุ ประสงค/์ เนื้อหาทจ่ี ะวัด ๔๑. หลกั การสำคญั การสรา้ งบทเรียนคอื ข้อใด ก. การทดสอบกอ่ นสอน ข. การแบ่งเนื้อหาเปน็ ตอนๆ ค. การเสรมิ แรง ง. การเฉลยคำตอบ ๔๒. ส่ือประเภทใดท่เี หมาะสมกบั การพฒั นาจรยิ ธรรมหรอื คณุ ธรรมสำหรับเด็กระดับประถมศึกษา ก. เกมและเพลง ข. เกมการศกึ ษา ค. นทิ าน ง. รูปภาพ ๔๓. เรานำควรรูค้ วามสนใจ ไปใช้ในเรือ่ งใด ก. การจัดครเู ขา้ สอน ข. การทำโครงการสอน ค. การจดั ตารางสอน ง. การกำหนดคาบเวลาสอน
ศาสตร์การสอน ๒๑๘ ๔๔. ประสบการณ์ทีไ่ ดจ้ ากสื่อใด มีความเป็นรูปธรรมมากที่สุด ก. นิทรรศการ ข. การดสู ไลด์ ค. การสาธติ ง. ภาพประกอบ ๔๕. การสอนแบบบรรยายกับการสอนแบบสาธติ มีความแตกต่างกนั ในขั้นตอนใดมากท่สี ุด ก. ขนั้ นำ ข. ขนั้ สอน ค. ขั้นสรุป ง. ขนั้ ประเมินผล ๔๖. ข้อใดคือจุดมุง่ หมายของการสอน ก. เพ่ือใหเ้ ดก็ มีความรคู้ วามสามารถ ข. เพ่อื ให้เด็กนำไปใชไ้ ด้ ค. เพ่อื ให้เด็กเกิดการเปลย่ี นแปลงพฤติกรรม ง. เพ่อื ใหเ้ ด็กสามารถแก้ปัญหาชีวิตประจำวันได้ ๔๗. บุคลกิ ภาพเกดิ จากสว่ นประกอบใด ก. พันธกุ รรม-ประสบการณ์ ข. สง่ิ แวดล้อม-พันธุกรรม ค. การเรยี นรู้-พนั ธุกรรม ง. ประสบการณ์-สิ่งแวดลอ้ ม ๔๘. ข้อใดเปน็ แรงจูงใจภายใน ก. ความอยากรอู้ ยากเห็น ข. ความนิยมชมช่ืนจากครู ค. ความพงึ พอใจจากเพื่อนๆ ง. ความอยากทำงานใหส้ ำเรจ็ ๔๙. ถา้ ตอ้ งยับยงั้ พฤติกรรมของเดก็ ควรใช้วธิ ีการใด ก. ชมเชย ข. แนะนำ ค. ใหร้ างวลั ง. วา่ กลา่ วตกั เตอื น ๕๐. ข้อใดเป็นลกั ษณะของครูหลกั สูตรใหม่ ก. สอนให้มีความรู้ ความจำ นำไปใช้ ข. สอนใหม้ ีความรู้ ความเข้าใจ แกป้ ญั หา ค. สอนใหร้ ูจ้ ักคิด ปฏิบตั ิ แก้ปญั หาได้ ง. สอนใหม้ ีความรู้ ความเขา้ ใจ ปฏิบัติ เฉลยขอ้ สอบการจัดการเรียนการสอน ๑) ข ๒) ข ๓) ค ๔) ง ๕) ก ๖) ง ๗) ค ๘) ง ๙) ง ๑๐) ค ๑๑) ง ๑๒) ก ๑๓) ค ๑๔) ข ๑๕) ง ๑๖) ก ๑๗) ค ๑๘) ข ๑๙) ก ๒๐) ก ๒๑) ง ๒๒) ง ๒๓) ง ๒๔) ง ๒๕) ก ๒๖) ก ๒๗) ก ๒๘) ก ๒๙) ง ๓๐) ง ๓๑) ง ๓๒ ค ๓๓) ง ๓๔) ง ๓๕) ค ๓๖) ข ๓๗) ค ๓๘) ข ๓๙) ๔๐) ข ๔๑) ข ๔๒) ก ๔๓) ข ๔๔) ก ๔๕) ข ๔๖) ค ๔๗) ก ๔๘) ก ๔๙) ข ๕๐) ค ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.sobdai.com
ศาสตรก์ ารสอน ๒๑๙ เอกสารอ้างอิงประจำบท ทศิ นา แขมมณี, ศาสตร์การสอน : องคค์ วามรู้เพื่อการจดั กระบวนการเรียนรู้ที่มีประสทิ ธภิ าพ, กรุงเทพฯ : สำนักพมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๓. เทคนคิ การสอน. ออนไลน์ เข้าถึงได้จาก https://nokyung22ny.wordpress.com สบื ค้นเมอื่ ๑๕ มนี าคม ๒๕๕๙. Good, Carter V. Dictionary of Education. New York: McGraw-Hill Book.1973 ,p.56.
บทท่ี ๑๐ นวตั กรรมด้านการเรียนการสอน วตั ถปุ ระสงคก์ ารเรียนรปู้ ระจำบท เมอื่ ไดศ้ กึ ษาเนื้อหาในบทนแี้ ล้ว ผู้เรยี นสามารถ ๑. อธิบายรปู แบบการเรยี นการสอนได้ ๒. อธิบายรปู แบบการบูรณาการได้ ๓. อธิบายการสอนแบบศูนยก์ ารเรียนรู้ได้ ๔. อธิบายการสอนตามแนวพทุ ธวิธีได้ ขอบขา่ ยเนอื้ หา • รูปแบบการเรียนการสอน • รปู แบบการบูรณาการ • การสอนแบบศูนย์การเรียนรู้ • การสอนตามแนวพุทธวธิ ี
ศาสตร์การสอน ๒๒๑ ๑๐.๑ ความนำ นวัตกรรมการออกแบบการเรียนการสอนซึ่งจะกล่าวถึงในบทน้ี คือการออกแบบการเรียนการสอน แบบย้อนกลับ (backward design) ของวิกกินส์และแมคไทฮี๑ (Wiggins & McTighe) และการออกแบบการ เรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้ (constructivist design theory) สำหรับรูปแบบการออกแบบการ เรียนการสอนแบบย้อนกลับนั้นเป็นรูปแบบการออกแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดเชิงระบบรูปแบบหนึ่ง ซ่ึงมีความเหมาะสมกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐานที่เป็นหลักสูตรอิงมาตรฐานซ่ึงยึดมาตรฐานและ ตัวช้ีวัดเป็นเป้าหมายการเรียนรู้ จึงเป็นรูปแบบทไ่ี ด้รับการเผยแพร่นาไปใช้ในโรงเรียนอย่างกว้างขวาง สำหรับ การออกแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้เป็นการเรียนรู้ท่ีเน้นการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ มากกว่าการรับและจดจำความรู้ เพราะความเชื่อที่ว่า ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ไม่ใช่รับความรู้ตามที่มีผู้ ถ่ายทอดให้ เน้นการเรียนรู้จากสภาพจริง การเรียนรู้ร่วมกัน และการเรียนรู้ต่อเนื่องตลอด การเรียนรู้ตาม แนวคิดน้ีสามารถตอบโจทย์ความต้องการของสังคม ในการพัฒนาทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ ๒๑ ดังนั้น การออกแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎกี ารสรา้ งความรจู้ ึงเปน็ นวัตกรรมใหมท่ ่จี ะไดน้ ามากลา่ วถึงในบทน้ี ๑๐.๒ การออกแบบการเรยี นการสอนแบบยอ้ นกลับ การออกแบบการเรียนการสอนแบบย้อนกลับ (backward design) เป็นรูปแบบท่ีวิกกินส์และแมค ไทฮี๒ พัฒนาขึ้น รูปแบบการออกแบบการเรียนการสอนนี้เริ่มจากการกำหนดผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวังซึ่ง วเิ คราะห์จากมาตรฐานการเรยี นรู้และตัวช้ีวัดจากหลกั สูตรแกนกลางซึ่งเป็นหลักสูตรองิ มาตรฐาน การกำหนด หลักฐานหรือช้ินงานท่ีใช้ในการวัดผลและประเมินผลว่าผู้เรียนบรรลุผลการเรียนรู้หรือไม่ จากนั้นจึงกำหนด กิจกรรมการเรยี นรู้ในการพัฒนาผเู้ รยี น จะเห็นว่ากระบวนการออกแบบการเรยี นการสอนแบบยอ้ นกลบั นั้นเริ่ม จากจุดมุ่งหมายทางการศึกษาเช่นเดียวกับไทเลอร์ แต่มีกระบวนการดำเนินการที่ย้อนศรกับการออกแบบของ ไทเลอร์ ดงั แสดงในแผนภาพดงั น้ี ๑ Wiggins, G., & McTighe, J. Understanding by design 2nded. Upper Saddle River, New Jersey: Pearson Education, Inc. (2005 : p.56-58 ๒Wiggins & McTighe, อ้างแลว้ เรื่องเดยี วกนั .
ศาสตร์การสอน ๒๒๒ กระบวนการออกแบบการเรียนการสอนของรูปแบบไทเลอรแ์ ละแบบย้อนกลบั ท่ีมา: พมิ พันธ์ เดชะคปุ ต์ และพเยาว์ ยนิ ดีสุข, ๒๕๕๒, หนา้ ๓-๔ สิ่งที่เป็นความแตกต่างของการออกแบบการเรียนการสอนรูปแบบไทเลอร์หรือแบบด้ังเดิมและการ ออกแบบการเรียนการสอนแบบย้อนกลบั กค็ ือแนวคิดในการออกแบบ ซ่ึงการออกแบบการเรียนการสอนแบบ ดั้งเดิมใช้แนวคิดแบบนักออกแบบกิจกรรมที่คำนึงถึงกิจกรรมและประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียน บรรลุจุดประสงค์ของการเรียนรู้ ในขณะที่การออกแบบการเรียนการสอนแบบย้อนกลับใช้แนวคิดแบบนัก ประเมินผลท่ีคำนึงถึงผลงานหรือชิ้นงานท่ีใช้เป็นหลักฐานในการประเมินจุดประสงค์การเรียนรู้ จากน้ันจึงจัด กจิ กรรมการเรียนรทู้ ี่ใหผ้ ู้เรยี นได้สรา้ งผลงานหรือชน้ิ งาน ซึ่งท้ังสองแนวคิดมคี วามแตกต่างกนั ดังแสดง ดังนี้ คิดแบบนกั ประเมนิ ผล คดิ แบบนักออกแบบกิจกรรม หลักฐาน/ร่องรอยทีแ่ สดงวา่ ผู้เรียน มีความเข้าใจคืออะไร กจิ กรรมอะไรที่น่าสนใจและทำให้ผเู้ รียน ภาระงาน/สง่ิ ท่ีใหผ้ ู้เรยี นปฏบิ ัติ ซ่งึ เป็นจุดเน้น ผูกพนั กับหวั ข้อทเ่ี รียน ของหนว่ ยการเรยี นรู้คอื อะไร เราจะประเมนิ ได้อยา่ งไรว่าผเู้ รียนคนใดทมี่ ี ส่ือและแหล่งการเรียนรู้ที่ควรนำมาใชก้ บั ความเขา้ ใจท่แี ทจ้ ริงและคนใดทไ่ี ม่เข้าใจ หัวข้อทีเ่ รียนคืออะไร เกณฑ์ทค่ี วรนำมาใช้ในการประเมนิ ชิน้ งาน กจิ กรรมใดทคี่ วรใหผ้ ้เู รยี นทำในหอ้ งเรียน เปน็ อยา่ งไร กจิ กรรมใดท่ใี ห้ทำนอกหอ้ งเรียนและจะมอบหมาย อะไรเปน็ ส่ิงทผ่ี ู้เรยี นเข้าใจผดิ และจะตรวจสอบได้ งานอะไรบา้ งแก่ผู้เรยี น อยา่ งไร การประเมนิ และใหร้ ะดบั คะแนนแก่ผเู้ รียน ทาได้อยา่ งไรเพ่ือแจ้งผลใหผ้ ูป้ กครองรบั ทราบ กจิ กรรมที่มอบหมายใหผ้ ู้เรยี นทาน้ันใช้การ ไดด้ หี รอื ไม่ เพราะเหตุผลใด ทม่ี า: Wiggins & McTighe, 1998, p. 68 ๑๐.๓ หลกั การออกแบบการเรยี นการสอนแบบย้อนกลับ
ศาสตรก์ ารสอน ๒๒๓ การออกแบบการสอนแบบย้อนกลับมีหลักการท่ีครูต้องทำ หรือที่เรียกว่า หลัก ๖ ต้อง๓ ซ่ึงได้ เสนอแนะไว้ ไดแ้ ก่ ๑. ต้องเร่ิมต้นด้วยการสร้างหน่วยการเรยี นรู้บูรณาการเชิงมาตรฐานการเรียนรู้ (integrated unit of learning) ซึ่งอาจเป็นหน่วยการเรียนรู้บูรณาการภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้เดียวกัน (intradisciplinary integrated unit of learning) หรือหน่วยการเรียนรู้ระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้ (interdisciplinary integrated unit of learning) ๒. ต้องเนน้ ผลการเรียนร้ทู ่คี าดหวงั ตามวัตถุประสงคเ์ พื่อสร้างความเข้าใจทีค่ งทน พฒั นาทักษะการ คิดท่ัวไป และพัฒนาลักษณะที่เอื้อตอ่ การเปน็ ผู้เรยี นรู้ ผ้สู บื คน้ รวมทัง้ นักคิด ๓. ต้องเนน้ การประเมินผลการเรยี นรู้ทีม่ ีการประเมินการปฏบิ ัติ การทำกจิ กรรม การทดลองและการ ประเมนิ ผลงานช้ินงานและภาระงาน หรอื กลา่ วโดยสรปุ คือการประเมนิ ตามสภาพจริง ๔. ต้องจัดประสบการณ์การเรียนรู้เนน้ ผเู้ รยี นเป็นศูนยก์ ลาง โดยใชร้ ูปแบบการสอน วิธสี อนแนวการ สอนเป็นยทุ ธศาสตรก์ ารสอน ๕. ผเู้ รยี นต้องเปน็ ผสู้ รา้ งความรู้ดว้ ยตนเองโดยผ่านการทำกิจกรรม ๖. ต้องให้ผู้เรียนทำกิจกรรมที่เป็นการประยุกต์ใช้ความรู้หรือถ่ายโยงความรู้ ซ่ึงผลงาน/ ชิ้นงานที่ นักเรียนสร้างขึ้นจะเป็นหลักฐานหรือร่องรอยเชิงประจักษ์ของการใช้ความรู้โดยสรุป การออกแบบหลักสูตร ยอ้ นกลับยดึ หลกั การสำคัญทเี่ น้นผลการเรยี นรเู้ ป็นหลัก จากน้ัน จึงออกแบบการประเมินผลชิ้นงานหรือภาระงานที่เป็นหลักฐานแสดงผลการเรียนรู้และออกแบบกิจ กรรมการเรียนรใู้ นท้ายท่ีสดุ ๑๐.๓.๑ กระบวนการออกแบบการเรียนการสอนแบบย้อนกลบั ข้ันตอนการออกแบบการสอนแบบย้อนกลบั มี ๓ ขั้นตอน๔ ไดแ้ ก่ ๑. กำหนดผลการเรียนรู้ท่ีต้องการ (identify desired result) ในข้ันน้ี ผู้สอนจะต้อง วเิ คราะห์ว่าผลการเรียนรู้ท่ีหลักสูตรคาดหวังในหน่วยการเรียนรู้คืออะไร อะไรเป็นความรู้หรือสาระการเรียนรู้ สำคญั ท่ผี ู้เรียนควรรู้ ซ่ึงสามารถแบง่ ได้เป็น ๓ กลุ่ม ไดแ้ ก่ ๑) กลุ่มแรก คือ เนื้อหาส่วนใหญ่ที่มีคุณค่าในด้านที่ทำให้เกิดความคุ้นเคยในส่ิงที่ เรียนซงึ่ เปน็ รายละเอียดของเนอื้ หาสาระ ๒) กลุ่มที่สอง คือ เน้ือหาท่ีเป็นพื้นฐานท่ีควรรู้และควรทำได้ คือความรู้ที่เป็น ขอ้ เท็จจรงิ /ความคดิ รวบยอด/ หลกั การ และทกั ษะสำคญั ไดแ้ ก่ ทักษะทีเ่ ปน็ กระบวนการ กลวธิ ี และวิธีการ ๓) กลุ่มท่ีสาม คือ ความคิดหลักหรือหลักการสำคัญท่ีเป็นแก่นหรือสาระสำคัญของ หน่วยการเรยี นรู้ที่เป็นความเขา้ ใจท่ีคงทนฝังอยู่ในตัวของผู้เรียนเป็นเวลานาน ในขณะท่ีรายละเอียดอื่น ๆ น้ัน ผู้เรียนอาจลืมไปแล้วแต่ในส่วนน้ีผู้เรียนจำเป็นต้องเข้าใจอย่างแท้จริงและจดจาได้ ครูต้องให้ความสำคัญกับ เนื้อหาในส่วนนี้ และเป็นส่วนทจี่ ำเป็นต้องประเมินว่าผู้เรียนรู้จริงหรือไม่ วิกกินส์และแมคไทฮไี ดก้ ำหนดเกณฑ์ ในการพจิ ารณากลน่ั กรองความรู้ทีม่ คี ณุ คา่ สมควรแกก่ ารสรา้ งความเข้าใจ ดงั นี้ ๓ พิมพันธ์ เดชะคปุ ต์ และพเยาว์ ยนิ ดี. วิธวี ิทยาการสอนวทิ ยาศาสตรท์ วั่ ไป. กรุงเทพฯ: พฒั นาคุณภาพวิชาการ, ๒๕๕๒, หน้า ๑๑-๑๒. ๔ Wiggins & McTighe, อา้ งแลว้ เรือ่ งเดยี วกนั .
ศาสตร์การสอน ๒๒๔ ๑. เป็นความรูท้ ี่ผเู้ รียนสามารถนำไปใชไ้ ดใ้ นสถานการณ์ใหม่ทห่ี ลากหลายทัง้ ในเรอื่ ง ท่เี รยี นและเรอ่ื งอน่ื ๆ ๒. เป็นความรู้ทเ่ี ปน็ หัวใจสำคัญของหน่วยท่ีเรียน โดยผู้สอนจัดกิจกรรมใหผ้ ู้เรียนได้ เรยี นรู้อยา่ งเป็นกระบวนการและค้นพบหลักการ แนวคิดที่สำคัญนด้ี ้วยตนเองจงึ จะเปน็ ความรู้ทีค่ งทน ๓. เป็นความรู้ที่อาจจะไม่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนหรือค่อนข้างจะเป็นนามธรรม ซึ่ง ผูเ้ รียนเขา้ ใจคอ่ นข้างยากและมกั จะเข้าใจผิด แต่ความรูน้ เ้ี ป็นหัวใจของหน่วยการเรยี นรู้ ๔. เป็นความรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริงในการศึกษาค้นคว้า และเป็น ความรู้ที่สอดคล้องกับความสนใจของผู้เรียน จึงทำให้ผู้เรียนมีความสนใจ ต้ังใจทำกิจกรรมไม่เกิดความเบ่ือ หน่าย ๒. กำห นดห ลักฐานท่ีแสดงผลการเรียนรู้ (determine acceptable evidence of learning) คำถามสำคัญสาหรับผสู้ อนในขั้นตอนนี้ คือ ผู้สอนจะรู้ได้อย่างไรวา่ ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจตาม มาตรฐานหรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวังของหน่วยการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ การแสดงออกของผู้เรียนควรเป็น อย่างไร จึงจะยอมรับได้ว่า ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจตามที่กำหนดไว้ ดังน้ัน ผู้สอนจึงต้องประเมินผลการ เรียนรโู้ ดยตรวจสอบการแสดงออกของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย ครอบคลุมสิ่งท่ีวดั และสะสมผลการวัด ตลอดหน่วยการเรียนรู้ เพ่ือรวบรวมหลักฐานร่องรอยของความรู้และทักษะของผู้เรียน นอกจากนี้การวัด ประเมนิ ผลการเรียนรู้ทเี่ ป็นความเขา้ ใจคงทนของผู้เรียนในภาพรวมทเ่ี หมาะสม อีกวิธีหนึง่ คือการประเมินตาม สภาพจริง ซ่ึงควรจะเป็นการวัดจากช้ินงานท่ีผู้เรียนปฏิบัติ กระบวนการทำงานและการสะท้อนผลการเรียนรู้ จากผเู้ รยี นเองซ่ึงเปน็ การประเมนิ ตนเองของผ้เู รยี น ๓. ออกแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้และการเรียนการสอน (plan learning experiences and instruction) ในการออกแบบการจัดการเรียนรู้หรอื จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้นั้นผู้สอน จะตอ้ งพจิ ารณาดำเนนิ การในสิง่ ต่อไปนค้ี ือ ๑. กำหนดหลักฐานการแสดงออกของผู้เรยี นท่แี สดงใหเ้ ห็นวา่ ผู้เรยี นมีความรู้ ทักษะ และจติ พิสยั ตามเป้าหมายที่กำหนด ๒. กำหนดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้และมีทักษะตาม มาตรฐาน/ผลการเรียนร้ทู ่คี าดหวังของหน่วยการเรยี นรู้ ๓. กำหนดสื่ออุปกรณ์ และแหล่งการเรียนรู้ที่เหมาะสมท่ีจะทำให้ผู้เรียนพัฒนาตาม เปา้ หมายการเรยี นรู้ทกี่ ำหนด ๔. กำหนดจำนวนช่วั โมงที่ใชใ้ นการพฒั นาผ้เู รยี นในแตล่ ะชุดของกจิ กรรมการเรยี นรู้ ๕. จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้โดยนำข้อมูลจากการออกแบบการจัดการเรียนรู้ มา จดั ทำ แผนการจดั การเรียนรู้ ขั้นตอนการออกแบบย้อนกลับดังกล่าวข้างต้น สามารถสรุปให้เห็นภาพความสัมพันธ์ของ กระบวนการออกแบบกบั โครงสร้างของแบบแผน เกณฑใ์ นการออกแบบและผลลพั ธ์จากการออกแบบดังนี้ คาถามสำคัญ ขอ้ ควรคำนงึ เกณฑ์ในการออกแบบ ผลลพั ธจ์ าก ในการออกแบบ ในการออกแบบ การออกแบบ ความคิดที่คงทน ขั้นที่ ๑ มาตรฐานระดับชาติ งานตามสภาพจริง หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ อะไรคือสิ่งท่ีมีคณุ ค่า มาตรฐานระดับเขต งานท่มี ีวิชาการเปน็ ฐาน ครอบคลุมความเข้าใจ สมควรแก่การทำ มาตรฐานครู คงทนและคำถามสำคัญ
ศาสตร์การสอน ๒๒๕ ความเขา้ ใจ มคี วามเก่ียวข้อง ขน้ั ที่ ๒ อะไรคือหลักฐานของ - ลกั ษณะของความ มีความตรง หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ความเข้าใจ กำหนด เขา้ ใจ๖ ประการ มคี วามเช่อื มน่ั หลักฐานสำคญั ท่ีแสดงถึง ขัน้ ที่ ๓ ความเข้าใจที่คาดหวัง อะไรคือกจิ กรรมการ (สามารถอธบิ าย แปล มคี วามเป็นไปได้ เรยี นการสอนทสี่ ง่ เสรมิ ประสบการณ์การเรยี นรู้ ความเขา้ ใจ ความสนใจ ความประยุกต์ใช้ มีทัศนะ เปน็ งานตามสภาพจริง และการสอนที่พฒั นา และความดีเลิศ ความเขา้ ใจทคี่ าดหวงั ทห่ี ลากหลาย รบั รู้ มีความเปน็ กัลยาณมติ ร สง่ เสรมิ ความสนใจและ ความสามารถใน ความรู้สกึ รูว้ ิธคี ดิ และ การปฏบิ ัติไดจ้ ริง ปฏิบัติได้ด้วยตนเอง) - ประเภทของการวัด ประเมนิ ผล กจิ กรรมการเรยี นรู้ท่ใี ช้ ใหผ้ ู้เรียน การวิจัยเปน็ ฐาน - รู้เปา้ หมาย ยทุ ธศาสตรก์ ารเรียนรู้ - ผูกพนั สนใจ และการสอน - สำรวจและตรวจสอบ ความรู้และทักษะทสี่ ำคญั ความเขา้ ใจ - นาเสนอและ ประเมนิ ผล ทีม่ า: Wiggins & McTighe, 1998, p. 18. จากตารางข้างตน้ จะเห็นความเก่ียวพันของขั้นตอนการออกแบบย้อนกลับที่เร่ิมต้นด้วยคำถามสำคัญ ในแต่ละข้ันตอนของการออกแบบ นำไปสู่หลักฐานความสำเร็จที่เป็นโครงสร้างของการออกแบบ ในแต่ละ ขั้นตอน เกณฑ์ในการพิจารณาประเมินหลักฐานความสำเร็จและการออกแบบหน่วยการเรียนรู้ท่ีตอบคำถาม สำคัญของการออกแบบหลักสตู ร ๑๐.๓.๒ การออกแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้ นักออกแบบการเรียนการสอนในปัจจุบัน ได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีการสร้างความรู้ท่ีเช่ือว่า ความรู้เกิดจากการสร้างของแต่ละบุคคล ความรู้ที่แต่ละคนสร้างขึ้นย่อมมีเอกลักษณ์เฉพาะของบุคคลนั้น เพราะการแปลความหมายขึ้นอยู่กับประสบการณ์เดิมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นไปตามสภาพทางสังคมและ วัฒนธรรมท่ีแต่ละคนได้รับ ดังนั้นการสร้างความรู้จึงแบ่งได้ ๒ แนวทาง แนวทางแรกเช่ือว่าการสร้างความรู้ เป็นกระบวนการทางสติปัญญา (cognitive constructivism) ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล ซึ่งแต่ละ คนมีการสร้างความรู้ไม่เหมือนกัน ดังน้ันจึงเรียกการสร้างความรู้ในแนวทางนี้ว่าเป็นการสร้างความรู้ของ เอกัตบุคคล (individual constructivism) อกี แนวทางหนงึ่ เชื่อวา่ ปฏิสมั พันธ์ทางสังคม มีบทบาทสำคัญในการ พัฒนาความรู้ ดังนั้นจึงเรียกการสร้างความรู้ในแนวทางน้ีว่า การสร้างความรู้ที่มาจากสังคม (social constructivism) แนวคิดในการสร้างความรู้ท้ัง ๒ แนวทาง มีอิทธิพลต่อการออกแบบการเรียนการสอนใน ปัจจุบัน
ศาสตรก์ ารสอน ๒๒๖ แนวคิดการสร้างความร้ทู ้งั สองแนวทางมีความแตกต่างกัน๕ ดงั นี้ นกั ทฤษฎกี ารสรา้ งความรู้ในแนวการสร้างความรู้ของเอกัตบุคคลมีความเชือ่ ดงั นี้ ๑. ความรู้สรา้ งข้นึ จากประสบการณ์ ๒. การเรียนร้เู ปน็ ผลที่ไดจ้ ากการทบ่ี ุคคลแปลความหมายของความรู้ ๓. การเรยี นรู้เปน็ กระบวนการเชิงรุก การแปลความหมายอยูบ่ นพนื้ ฐานของประสบการณ์ ของแตล่ ะคน การเรียนรู้ตามแนวคิดนี้ เน้นท่ีกระบวนการทางสติปัญญาของแต่ละบุคคล และมีทัศนะต่อ การเรียนรู้ว่าเป็นเร่ืองของการจัดระเบียบของสติปัญญาใหม่ “learning as a matter of cognitive reorganization”๖ สาหรับการเรียนรู้ตามแนวการสร้างความรู้ทางสังคมนั้น เน้นที่กระบวนการทางสังคมและ วัฒนธรรมและมีทัศนะว่า การเรียนรู้เป็นการประนีประนอมความคิดเห็นจากมุมมองอันหลากหลายของบุคคล “learning is collaborative with meaning negotiated from multiple perspective”๗ ตามแนวคิดนี้ ความรู้เป็นส่ิงท่ีแลกเปล่ียนกันในชุมชนของผู้เรียน นักออกแบบการเรียนการสอนที่นาทฤษฎีการสร้างความรู้ ทั้งสองแนวทางไปใช้ในการออกแบบการเรียนการสอนจึงต่างให้ความสำคัญกับส่ิงแวดล้อมการเรียนรู้ที่เป็น บริบทจริง และเป็นชีวิตจริงในที่น้ีจะได้กล่าวถึง หลักการของการออกแบบการเรียนการสอน การประยุกต์ หลักการไปสู่กระบวนการออกแบบการเรียนการสอน และรูปแบบการออกแบบการเรียนการสอนที่อยู่บน พ้นื ฐานของทฤษฎกี ารสรา้ งความรู้ ดังมีรายละเอยี ดดังน้ี ๑๐.๓.๓ หลกั การออกแบบการเรยี นการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้ การออกแบบการเรียนการสอนที่นาเอาทฤษฎีการสร้างความรู้มาใช้นั้นจะผสมผสานแนวคิด การสร้างความรู้ท้ังสองแนวเข้าไว้ในการออกแบบ เน่ืองจากสภาพการเรียนรู้ท่ีเกิดข้ึนจริงน้ันแม้ว่านักเรยี นแต่ ละคนจะสร้างความรู้บนพื้นฐานประสบการณ์ของตนเอง ความรู้ท่ีสร้างข้ึนน้ันก็ได้รับอิทธิพลจากบริบททาง สังคมและวัฒนธรรมที่นักเรียนเป็นสมาชิกอยู่ดี อีกท้ังสภาพการเรียนรู้ท่ีเกิดขึ้นจริงในโรงเรียนน้ันนักเรียน จะต้องทางานร่วมกันและแลกเปล่ียนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน อันเป็นสภาพปกติของการเรียนการสอนใน ปัจจุบัน ดังนั้นการออกแบบการเรียนการสอนจึงควรนำหลักการท้ังสองแนวทางมาใช้ร่วมกันซ่ึงสรุปเป็น หลักการพ้ืนฐานไดด้ ังน้ี ๑. การเรียนรเู้ ป็นผลจากการแปลความหมายของประสบการณ์สว่ นบุคคล ๒. การเรียนรู้เปน็ ประสบการณเ์ ชิงรกุ เกดิ ขน้ึ ในสถานการณ์ท่เี ป็นจรงิ และผ้เู รยี นมีความเกี่ยวขอ้ ง ๓. การเรียนรู้เป็นกิจกรรมที่เกิดจากการแลกเปล่ียนความความคิดเห็นอันหลากหลายหลักการแต่ละ ขอ้ นามาประยกุ ต์ในการออกแบบการเรยี นการสอนดงั น้ี ๑. การเรียนรู้เป็นผลจากการแปลความหมายของประสบการณ์ส่วนบุคคล ตามหลักการนี้ ผู้เรยี นเป็นผ้พู ัฒนาความรขู้ องตนเอง ผู้สอนคอื ผอู้ านวยความสะดวกในการเรยี นรู้ ๑. การพัฒนาความรู้ด้วยตนเอง (self-knowledge) ในหลักการสร้างความรู้นั้น ความรู้ใหม่สร้างข้ึนจากพ้ืนฐานความรู้เดิมที่มีมาก่อน ซึ่งไม่ได้หมายความเฉพาะด้านสารสนเทศเท่านั้น แต่ยัง ๕ Smith, Judith M. Blended learning : an old friend gets a new name. Retrieved December 15, 2009: p. 20. ๖ Duffy, T. M. and D. J. Cunningham. Constructivism: Implication for the Design and Delivery of Instruction. in D. H. Jonassen (ed.). Handbook of Research for Educational Communications and Technology. New York : Macmillan Library Reference USA. 1996. pp. 170-195. ๗ Smith, Judith M. อ้างแล้ว เรอื่ งเดียวกัน.
ศาสตร์การสอน ๒๒๗ รวมถึงด้านค่านิยม ประสบการณ์และความเช่ือ รวมไปถึงทักษะในการสะท้อนความคิดของตนเอง ซ่ึงจำเป็น ต่อการสร้างความรู้ นอกจากนี้แล้วการที่บุคคลจะสร้างความรู้ของตนเองได้ ยังต้องมีความเข้าใจเก่ียวกับ วิธีการสร้างความรู้ หรือการรู้ว่าจะรู้ได้อย่างไร (knowing how to know) การสร้างความรู้ด้วยตนเองน้ี จำเป็นต้องอาศัยส่ิงแวดล้อมการเรียนรู้เป็นเงื่อนไขในการส่งเสริมการสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการ สร้างความรู้จะทำให้ผู้เรียนรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของความรู้ที่สร้างข้ึน สามารถควบคุมและรับผิดชอบต่อการ เรียนรู้ของตนเอง ดังน้ัน การออกแบบการเรียนการสอนตามหลักการนี้จึงเก่ียวกับการสร้างส่ิงแวดล้อมและ กจิ กรรมการเรยี นรู้ ซึ่งให้ผู้เรยี นเป็นผู้ควบคุมการเรียนรู้ของตนเอง ซ่ึงนับเป็นภารกิจทสี่ ำคัญของผู้เรียนที่มีวุฒิ ภาวะ ๒. การอำนวยความสะดวกต่อการเรียนรู้ (facilitating learning) นักออกแบบการ เรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้ มีความเช่ือว่าการสอนเป็นกระบวนการส่งเสริมการสร้างความรู้ มากกวา่ การถ่ายทอดความรู้๘ ดังนั้นผูเ้ รียนจึงไม่ควรอยใู่ นสภาพเฉอื่ ยชาหรอื เป็นเพยี งฝา่ ยรับความรู้ จดจำและ ระลึกข้อมูลเท่าน้ัน ตรงกันข้ามผู้เรียนควรมีความกระตือรือร้นในการคิด วิเคราะห์ เข้าใจและประยุกต์ใช้ สารสนเทศ ท้ังครูและนักออกแบบใช้เทคนิคหลากหลาย และใช้เทคโนโลยีในการสร้างสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ เชงิ รุก บรรยากาศทอ่ี านวยความสะดวกในการสรา้ งความรคู้ วรมลี กั ษณะดังน้ี ๑. อนุญาตให้ผู้เรียนมีอิสระในการตั้งคำถามและแสดงความคิดเห็นเพื่อ สร้างความหมายของตนเอง ผู้เรียนได้แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นกับเพ่ือนสมาชิกในห้องเรียนและได้ พัฒนาเจตคตทิ ี่ดีตอ่ การเรียนรู้ ๒. ผู้สอนส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนให้มากท่ีสุด แนะนำผู้เรียนใน การเช่ือมโยงประสบการณ์ใหม่ให้เข้ากับประสบการณ์เดิมท่ีมีอยู่ จัดให้มีการประเมินย่อยและให้ข้อมูล ย้อนกลับแกผ่ เู้ รียน เคารพความคิดของผูเ้ รียนและสนบั สนุนให้ผู้เรยี นมคี วามเป็นตวั ของตวั เอง ๓. ให้ผู้เรียนได้เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่มีลักษณะสร้างความผูกพัน มีความ ทา้ ทายเนน้ การสร้างความคดิ รวบยอดหลักและส่งเสรมิ การคิดระดับสงู ๒. การเรียนรู้เป็นประสบการณ์เชิงรุกเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เป็นจริงและผู้เรียนมีความ เกยี่ วข้อง การจัดการเรียนรตู้ ามทฤษฎกี ารสร้างความร้เู นน้ การเรยี นรู้เชงิ รุก กิจกรรมการเรียนรทู้ ่ีอยใู่ นบริบทที่ เป็นชีวิตจริง ๒.๑ การเรียนรู้เชิงรุก นักทฤษฎีการสร้างความรู้มีความคิดเห็นเร่ืองการค้นพบ ความรู้ซึ่งเป็นการเรียนรู้เชิงรุกแตกต่างจากนักทฤษฎีกลุ่มพุทธินิยม การเรียนรู้โดยการค้นพบตามทฤษฎีการ เรียนรู้กลุ่มพุทธินิยมน้ัน ครูมักเป็นผู้ตัดสินใจเก่ียวกับเน้ือหา ผู้เรียนค้นพบคำตอบท่ีครูรู้มาก่อนแล้ว ส่วนการ ค้นพบตามทฤษฎีการสร้างความร้นู ั้น ผู้เรียนต้องลงมือทำหลายสิ่งไม่เฉพาะแตเ่ พียงประมวลผลข้อมูลที่ครูเป็น ผู้นำเสนอ แต่ผู้เรียนจะต้องใช้วิธีการในการจัดการกับข้อมูลหลายอย่าง ตั้งแต่การรับรู้การใช้กระบวนการคิด ในการสังเกต เปรียบเทียบ จัดกลุ่มจัดประเภท ขยายรายละเอียดของสารสนเทศ การแปลความหมายของ ข้อมลู ตามความรู้และประสบการณ์เดิมท่ีมีมาก่อน การใช้กลวธิ ีเหล่าน้ีนอกจากจะช่วยสรา้ งความรู้ใหก้ ับผเู้ รียน แล้วยังช่วยพัฒนาโครงสร้างทางสติปัญญาและส่งเสริมการใช้กระบวนการประมวลสารสนเทศระดับสูงของ ผเู้ รียนอีกดว้ ย๙ ๘ Duffy & Cunningham, อา้ งแลว้ เรอ่ื งเดียวกัน. 1996, p.171. ๙ Richey, R. C., Klein, J. D., & Tracey, M. W. (2011). The instructional design knowledge base. New York: Taylor & Francis. 2011, p. 132.
ศาสตรก์ ารสอน ๒๒๘ ๒.๒ กิจกรรมการเรียนร้ทู ่ีอยู่ในบรบิ ทท่ีเป็นชีวิตจริง ทฤษฎีการสร้างความรู้ส่งเสริม การเรียนและการฝึกฝนในบริบทท่ีเป็นชีวิตจรงิ ซึง่ ช่วยให้การเรียนการสอนมีความนา่ สนใจและสร้างการจงู ใจ ในการเรียนรู้ให้กับนักเรียนได้มากข้ึน นอกจากน้ียังส่งเสริมการถ่ายโอนและการประยุกต์ใช้ความรู้ในการ แก้ปัญหาในสภาพจริง สมิทและราแกน๑๐ เรียกแนวทางการเรียนการสอนประเภทน้ีว่า “anchored instruction” ผลการเรียนรู้ที่เกิดขนึ้ จากแนวการสอนนี้ คือ การเรียนรู้ที่เป็นสภาพจริง หลักการของการสอน ตามแนวทางนี้ ก็คือกิจกรรมการเรียนการสอน จะต้องยึดอยู่กับเรื่องราวท่ีผู้เรียนให้ความสนใจ เช่น นิทาน การผจญภัย เหตุการณ์ ปัญหา หรือประเด็นท่ีผู้เรียนสนใจ สื่อที่ใช้ในการเรียนการสอนต้องมีอย่างพร้อมมูล เพ่ือให้ผู้เรียนได้สำรวจ สืบค้นเพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหาผู้เรียนใช้วิธีทำงานกลุ่มแบบร่วมมือรวมพลังเพื่อ สร้างความรู้และแก้ปัญหา แบรนส์ฟอร์ด๑๑ กล่าวถึง “anchored instruction” ว่าเป็นการเรียนรู้ท่ีใช้ เทคโนโลยีเป็นฐาน เน่ืองจากในปัจจุบันคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์สารสนเทศและการส่ือสาร ซ่ึงช่วยให้ผู้เรียน สามารถทำงานร่วมกันได้โดยผ่านอุปกรณ์การเชื่อมต่อต่าง ๆ และสามารถจำลองสถานการณ์จริงมาให้ผู้เรียน ได้เรียนรู้ได้โดยไม่ต้องรอให้เกิดเหตุการณ์จริง ตัวอย่างโปรแกรมการศึกษาที่สร้างขึ้นตามแนวคิดน้ีซ่ึงใช้กับ เครอื่ งคอมพวิ เตอร์ ได้แก่ ๑) “Jasper Woodbury Problem Solving” เป็นโปรแกรมผจญภัยเพ่ือเรียนรู้ความคิด รวบยอดทางคณิตศาสตร์ และการนาความคิดรวบยอดคณติ ศาสตร์ไปใช้ในการแก้ปัญหา ๒) “Young Sherlock Holms” เป็นโปรแกรมท่ีเรียนรู้ทักษะการเชื่อมโยงสาเหตุและผล การเรียนรู้สภาพชีวิตของชาวอังกฤษในยุควิคตอเรีย ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการอ่านจับใจความและเรียนรู้ ประวัติศาสตร์ การเรียนรตู้ ามสภาพจริง เช่น ปัญหาในชวี ิตประจำวัน สถานการณจ์ รงิ ท่ีเกดิ ข้ึนในสังคม สภาพเหลา่ นี้ มีลักษณะที่ซับซ้อน มีสาระสนเทศที่เก่ียวข้องมากมาย ทั้งที่เก่ียวข้องโดยตรงและไม่เกี่ยวข้อง ซ่ึงแตกต่างจาก การเรยี นรู้แบบดั้งเดิม ท่ีครูนำปัญหาจริงมาดัดแปลง และทำให้งา่ ยข้ึนโดยตัดมาเป็นส่วน ๆ ไม่ได้เชื่อมโยงกับ บรบิ ท การคน้ หาและระบุปัญหา ตลอดจนการแกป้ ัญหาตามสภาพจรงิ ข้ึนกับปัจจัยท่ีเก่ียวขอ้ งหลายอย่าง เช่น ความเช่ือและค่านิยมของผู้เรียน การมีส่วนร่วมในกิจกรรมและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืน อย่างไรก็ตามเราก็ สามารถจำลองกิจกรรมการเรียนรูต้ ามสภาพจริงมาใช้ได้โดยใช้ผ่านเครอื่ งคอมพิวเตอร์ ๓. การเรียนรู้เป็นผลจากการสำรวจของมุมมองทีห่ ลากหลาย หลักการน้ีมีรากฐานมาจากแนวคิดของ ไวก็อทสกี ซ่ึงกล่าวว่า การสร้างความรู้มีพื้นฐานมาจากสังคมและวัฒนธรรมที่บุคคลเป็นสมาชิก ดังน้ัน องคป์ ระกอบสำคัญของการออกแบบการเรียนการสอน จงึ เน้นส่ิงแวดลอ้ มการเรยี นร้ทู ่ีสมบูรณ์และส่ิงแวดล้อม การเรียนรู้แบบรวมพลัง เพ่ือให้ผู้เรียนได้มีโอกาสได้สำรวจและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดเห็นของสมาชิกใน สังคมอยา่ งหลากหลาย เพ่อื นำไปสูก่ ารประนีประนอมความคดิ เห็นและหลอมรวมเป็นความคิดของตนเอง ๓.๑ ส่ิงแวดล้อมการเรียนรู้ที่สมบูรณ์ หมายถึง สิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมแบบการเรียนรู้ที่ หลากหลายลักษณะ และตัวแทนของความรู้จากความคิดรวบยอดและกรณีศึกษาท่ีแตกต่างกัน ส่ิงแวดล้อม การเรียนรู้น้ีให้มุมมองและสารสนเทศท่ีสมบูรณ์ เช่น มีเครือข่ายความรู้ ปัจจัยนำเข้ามาจากแหล่งข้อมูล หลากหลาย สามารถตีความการสอนได้หลากหลาย ๓.๒ สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้แบบรวมพลัง ช่วยส่งเสริมผู้เรียนในการแลกเปล่ียนความคิดเห็น และร่วมกันสะท้อนการรับรู้ การเรียนรู้แบบรวมพลัง ไม่ใช่เพียงแค่แบ่งงานกันทำและนำไปสรุปร่วมกัน แต่ ๑๐Smith & Ragan, อา้ งแล้ว เร่ืองเดียวกัน. ๑๑ Bransford, J. D. Anchored instruction. Retrieved January 10, 2013, from http://www.instructionaldesign.org/theories/anchored-instruction.html. 2013.
ศาสตรก์ ารสอน ๒๒๙ หมายถึง การให้ผู้เรียนได้พัฒนา เปรียบเทียบ เข้าใจมมุ มองท่ีหลากหลายในประเด็นตา่ ง ๆดังนั้น กิจกรรมการ เรียนรู้แบบรวมพลัง จึงได้แก่ การแลกเปล่ียนความคิดเห็น การอภิปราย การโต้เถียง การสะท้อน และการ ประนีประนอมความคิดเห็น ส่ิงแวดล้อมนี้อาจเกิดขึ้นภายในกลุ่มเล็ก ๆ หรือการจัดชุมชนแห่งการปฏิบัติ ซึ่ง สามารถสร้างได้จากสิ่งแวดล้อมอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ห้องสนทนาทางเครือข่ายออนไลน์ เป็นต้น เร่ืองที่นำมา เรียนรู้อาจเป็นประเด็นความสนใจส่วนตัว การเรียนรู้ในลักษณะนี้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ข้ามกลุ่ม การ พัฒนาทางปัญญาเกิดจากการส่งต่อจากความคิดหนึ่งสู่ความคิดหนึ่ง จากความคิดสู่เครื่องมือ จากเครื่องมือสู่ ความคดิ ๑๐.๓.๔ กระบวนการออกแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎกี ารสร้างความรู้ กระบวนการออกแบบการเรียนการสอนมีข้ันตอนท่ีสำคัญ ๓ ขั้น ได้แก่ การวิเคราะห์ การ ออกแบบกลวิธีการเรียนรู้ และการประเมินผลการเรียนรู้ซ่ึงในแต่ละขั้นตอน ได้นำหลักการของการสร้าง ความรู้ไปใชใ้ นการดำเนินงานดงั น้ี ๑. การวิเคราะห์ การวิเคราะห์มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ได้ข้อมูลท่ีนำไปใช้ในการออกแบบ ซ่ึง กระบวนการออกแบบการเรียนการสอนเชิงระบบและการออกแบบตามแนวคิดการสร้างความรู้มีความ แตกตา่ งในการวเิ คราะห์ในสงิ่ ต่อไปนี้ ๑. การวิเคราะห์เป้าหมายการเรียนรู้ การออกแบบการเรียนการสอนเชิงระบบเน้น การกำหนดเป้าหมายการเรยี นรู้ท่ีเฉพาะเจาะจง และแตกเป้าหมายการเรียนรู้เป็นจุดประสงค์ย่อย ๆท่ีเรยี กว่า จดุ ประสงค์นำทาง เพ่อื ใช้เป็นแนวทางในการกำหนดเนื้อหา ทกั ษะ และเจตคติ ตลอดจนขั้นตอนการเรยี นการ สอนเพื่อใช้เป็นแนวทางในการกำหนดภาระงานย่อย ๆ สำหรับให้นักเรียนปฏิบัติเพื่อการเรียนรู้เนื้อหาที่เป็น ความคิดรวบยอด หลักการ ทฤษฎี ทักษะ และเจตคติตามเป้าหมายของการเรียนรู้ท่ีกำหนดไว้ ส่วนการ ออกแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการสร้างความรู้น้ัน เน่ืองจากมีความเชื่อว่าความร้มู าจากการสร้างไม่ใช่ การรับ ดังนั้นจึงกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้แบบท่ัวไป และแทนท่ีจะวิเคราะห์เนื้อหาการเรียนรู้เพ่ือจำแนก เป็นเน้ือหาย่อย ๆ ให้เชื่อมโยงสัมพันธ์กันดังท่ีนักออกแบบการเรียนการสอนเชิงระบบทำ แต่นักทฤษฎีการ สร้างความรู้จะพิจารณาว่า ผู้เรียนท่ีมีความรู้ประเภทนั้นต้องทำอะไรได้ในสภาพจริง ดังน้ันการออกแบบการ เรียนการสอนตามแนวคิดการสร้างความรู้ จะเน้นการวิเคราะห์บริบทการเรียนรู้มากกว่าเน้ือหา การเรียนรู้ โดยพิจารณาว่า ในสิ่งแวดล้อมจริงนั้นมีความรู้ ทักษะและความซับซ้อนของปัญหาเปน็ อยา่ งไร การวิเคราะห์นี้ เพื่อช่วยในการจัดเตรียมแหล่งข้อมูลและสารสนเทศต่าง ๆอย่างหลากหลาย ซ่ึงเป็นสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้ เพ่ือให้ผู้เรียนได้นำไปใช้ในการวิเคราะห์ปัญหา หรือวิเคราะห์ความคิดรวบยอดที่สัมพันธ์กับปัญหาตามสภาพ จริง ผู้เรียนเป็นผ้กู ำหนดเป้าหมายการเรยี นรู้ที่เหมาะสมและตรงกับความตอ้ งการของตัวเองในการเรียนรู้จาก สิ่งแวดล้อมที่เป็นสภาพจริง เป้าหมายการเรียนรู้จึงเป็นเป้าหมายเฉพาะตน ที่ผู้เรียนกำหนดขึ้นเองไม่ใช่ เป้าหมายการเรยี นรูร้ ่วมกนั ของกล่มุ ซึง่ ผูส้ อนเปน็ ผกู้ ำหนดให้ ๒. การวิเคราะห์ผู้เรียน การออกแบบการเรียนการสอนท้ังสองแนวคิดมีการ วิเคราะห์ผู้เรียน แต่การออกแบบการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบเน้นการวิเคราะห์คุณลักษณะสำคัญท่ีเป็น ปจั จัยทีม่ ผี ลต่อการบรรลจุ ุดประสงคก์ ารเรียนรเู้ ฉพาะ ได้แก่ คณุ ลกั ษณะท่ัวไป เชน่ เพศ อายุ ประสบการณ์ อาชีพ และภมู ิลำเนา เป็นตน้ แบบการเรยี นรู้ ทักษะและความรทู้ ี่มีมาก่อน แต่นักออกแบบการเรียนการสอน ตามแนวคิดการสรา้ งความรูส้ นใจมุมมองของผเู้ รยี นเป็นรายบคุ คลก่อนเขา้ ร่วมการเรียนรู้มากกว่าคุณลกั ษณะ ของกล่มุ ผู้เรยี นหรอื พนื้ ฐานท่ีมีมาก่อนของผูเ้ รียน ท่สี ำคัญคือความตระหนักของผเู้ รียนที่มีต่อความรู้ของตนเอง และความสามารถในกระบวนการสรา้ งความรู้
ศาสตรก์ ารสอน ๒๓๐ ๒. การออกแบบกลวิธีการเรียนรู้ กระบวนการออกแบบการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ และการออกแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการสร้างความรู้ต่างเห็นความส ำคัญของการเลือกกลวิธีการ เรียนการสอนให้เหมาะสมกับการเรียนรู้ของผู้เรียน ริชี เคลนและเทรซี๑๒ ได้สรุปกลวิธีของการออกแบบการ เรยี นการสอนตามแนวคิดการสร้างความรู้ไว้ ดงั น้ี ๑. การเรยี นรจู้ ากผทู้ ่ีมีความเชี่ยวชาญในเรือ่ งทีเ่ รียน (cognitive pprenticeships) โดยพยายามจดั สภาพแวดล้อมที่ให้ผเู้ รียนไดม้ ีโอกาสเรียนรู้จากผู้มีความรู้ ความเช่ียวชาญในเรื่องนน้ั เป็นอย่าง ดี หรือท่ีเรียกว่าเป็นผู้ทรงภูมิความรู้แทนท่ีจะเรียนกับผู้รู้ทั่ว ๆ ไปจากการเรียนการสอนธรรมดา นอกจากน้ี ควรให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านการทำงานในสภาพจริง ครูผู้สอนต้องทำหน้าที่เป็นผู้เช่ียวชาญในเร่ืองที่สอน และ ทำหน้าท่ีได้เหมือนกับโค้ชท่ีรู้ลึก รู้จริงท่ีสามารถชี้แนะการปฏิบัติให้กับผู้เรียนได้ด้วย มิใช่เพียงการถ่ายทอด ความรเู้ ท่าน้ัน ๒. การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (problem-based learning) หรือ PBL เป็น รูปแบบการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากปัญหาจริงที่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงมีความ ซับซ้อน เพราะไม่ใช่ปัญหาที่สร้างขึ้นมาเพ่ือการเรียนรู้ท่ีมีเป้าหมายแน่นอน ซึ่งผู้สอนเป็นผู้สร้างซึ่งมีการ ดดั แปลงให้ง่ายตอ่ การวิเคราะห์ แตป่ ัญหาที่เกิดขนึ้ จรงิ นัน้ มกั ไมม่ โี ครงสร้างชัดเจน การเรียนรูแ้ บบ PBL ครู ทำหนา้ ทด่ี ังน้ี ๑. สร้างส่ิงแวดล้อมการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมการศึกษาและการค้นพบของ ผู้เรียนโดยเตรียมแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ให้ผู้เรียนใช้ในการศึกษาค้นคว้าหาหลักฐานความรู้เพ่ือนำไปใช้ในการ แกไ้ ขปัญหา ๒. ต้งั คำถามทีช่ ว่ ยใหผ้ เู้ รียนทำความเข้าใจปัญหาไดอ้ ย่างชัดเจน และชี้ชวน ให้นักเรียนได้ต้ังคำถามที่น่าสนใจหรอื ที่อยากรเู้ พื่อนำไปสู่การค้นควา้ หาคำตอบ เพราะหลักการเรียนรทู้ ี่สำคัญ กค็ อื การตง้ั คำถามทถ่ี กู ตอ้ งมีความสำคญั กว่าการหาคำตอบ ๓. ครูช่วยให้นกั เรียนสามารถถอดบทเรียน (reflection) จากสิ่งท่ีไดเ้ รียนรู้ เพื่อสรปุ เป็นสาระและประสบการณ์การเรียนรทู้ เ่ี กิดข้ึน การเรียนการสอนจะต้องจัดให้ผู้เรียนได้วิเคราะห์ข้อมูล หลักฐานต่าง ๆ ด้วยเหตุผลได้เปรียบเทียบ ประเมินความเห็นต่าง ๆ ท่ีเป็นข้อโต้แย้ง การแปลความหมายของข้อมูลต่าง ๆ และนำมาประมวลให้เป็น ข้อสรุปของสารสนเทศท่ีได้จากการวิเคราะห์ และพิจารณาอย่างถ่ีถ้วนที่ใช้ในการตอบปัญหา การเรียนใน ลักษณะนี้ไม่มีคำตอบตายตัว แต่นักเรียนฝึกการใช้ความคิดอย่างเป็นระบบ ลึกซ้ึงถ่ีถ้วนและฝึกการคิดอย่าง สรา้ งสรรค์ ทำใหก้ ารเรยี นรมู้ ีความหมาย มคี ณุ ค่าเพราะคำตอบเกิดจากการสรา้ งของผู้เรยี น ๑. การใช้เทคนิคช้ีแนะช่วยเหลือ คำว่า “การช้ีแนะช่วยเหลือ” (scaffolding) เป็นคำศัพท์ท่ี วูด บรูเนอร์ และรอส๑๓ นักจิตวิทยากลุม่ พุทธนิ ิยม เป็นผู้นำมากล่าวถึงเป็นคนแรก เกี่ยวกับบทบาทของครูใน การส่งเสริม ช่วยเหลือในระหว่างกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียน โดยมี จุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ของตน และหลักการนี้สอดคล้องกับแนวคิดของไวก็อทสกี ท่ีอธิบายเก่ียวกับบทบาทของครู ผู้ใหญ่หรือผู้มีความรู้มากกว่าในการช่วยเหลือผู้เรียนที่อยู่ในช่องว่างของ พัฒนาการระหว่างสิ่งท่ีผู้เรียนรู้ หรือสามารถทำได้ด้วยตนเองตามลำพังกับสิ่งที่ผู้เรียนมีศักยภาพท่ีจะเรียนรู้ ๑๒ Richey, R. C., Klein, J. D., & Tracey, M. W. The instructional design knowledge base. New York: Taylor & Francis., 2011. p. 135-138. ๑๓ Wood, D. J., Bruner, J. D., & Ross, G. “The role of tutoring in problem solving.” Journal of Child Psychology and Psychiatry, 17 (2), 1976. P.89-100.
ศาสตรก์ ารสอน ๒๓๑ หรือสามารถทำได้เมื่อได้รับการช้ีแนะช่วยเหลือจากผู้รู้ ระยะห่างนี้เรียกว่า ZPD (zone of proximal development) การชี้แนะช่วยเหลือ จึงหมายถึงการช่วยผู้เรียนให้ข้ามพ้นช่องว่างน้ีไปได้ ซ่ึงเป็นการขยาย ความสามารถของผู้เรียนให้เพ่ิมขึ้น โดยให้ความช่วยเหลืออย่างเพียงพอ การช้ีแนะช่วยเหลือน้ีต้องทำใน ลักษณะท้าทายและให้อิสระผู้เรียน ในการคิดการชี้แนะช่วยเหลือนี้ทำได้หลายลักษณะ เช่น การอธิบาย การ ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง การใช้คำถาม การให้เอกสารแนะนำการให้ขอบเขตของเนื้อหาเพื่อส่งเสริมความเข้าใจ สาระความรู้ การบอกแหลง่ เรียนรู้ การใหค้ ำปรึกษา จัดให้มีการช้ีแนะเป็นรายบุคคล เป็นตน้ ตัวอย่างของการ ช้ีแนะช่วยเหลือ เช่น ครูให้แนวคำถามเพื่อกระตุ้นความใส่ใจของผู้เรียน เก่ียวกับหลักการหรือข้อความสำคัญ ในขณะท่ีผู้เรียนรวบรวมสารสนเทศที่จะนำไปใช้ในการแก้ปัญหา การส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักการวางแผน ควบคุมกิจกรรมการเรียนรู้หรือรู้จักการประเมิน สะท้อน และสรุปการเรียนรู้ของตนเองภายหลังเสร็จส้ินการ ทำโครงการ เป็นต้นการช้แี นะชว่ ยเหลือที่ใชส้ ามารถแบง่ ได้ ๒ ประเภท คือ ๑. soft scaffolding หมายถึง การช้ีแนะช่วยเหลือที่มีลักษณะยืดหยุ่น เป็นไปตาม สถานการณ์ ตามความต้องการของผู้เรียนในระหว่างการเรียนการสอน จุดอ่อนของการช้ีแนะช่วยเหลือใน ลักษณะน้ี คือ ถ้าในห้องเรียนมีนักเรียนจำนวนมาก ครูไม่สามารถชี้แนะช่วยเหลือนักเรียนได้อย่างทั่วถึง การ ชแ้ี นะช่วยเหลือตอ้ งประยกุ ตใ์ หเ้ หมาะกับนกั เรียนสว่ นใหญข่ องห้องเท่านนั้ ไมส่ ามารถเจาะลกึ เปน็ รายบคุ คล ๒. hard scaffolding หมายถึง การชี้แนะช่วยเหลือที่มีการวางแผนเตรียมการไว้ล่วงหน้า ก่อน เพราะครูรู้อยู่แล้วว่าเร่ืองที่สอนเป็นเร่ืองที่ยากและการชี้แนะช่วยเหลือเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอนใน ระหว่างการเรียนการสอนนอกจากประเภทของการชี้แนะช่วยเหลือข้างต้นน้ีแล้ว ยังแบ่งการชี้แนะช่วยเหลือ ตามวธิ ีการที่ใชใ้ นการชแ้ี นะชว่ ยเหลือ๑๔ ดังนี้ ๑. reciprocal scaffolding เป็นลักษณะการชี้แนะช่วยเหลือโดยให้นักเรียนทำงานเป็นกลุ่ม ต้ังแต่ ๒ คนขึ้นไป ซึ่งมีความรู้ ความถนัดแตกต่างกัน เพ่ือให้นักเรียนได้เรียนรู้จากความรู้ ประสบการณ์และ ความสามารถของกันและกัน และได้แลกเปล่ียนความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานของกลุ่ม ให้ประสบ ความสำเร็จ โดยมีครูหรือผู้มีความรู้มากกว่าให้คำแนะนาช่วยเหลือ การทำงานในลักษณะน้ีทำให้นักเรียนได้ พฒั นาความคดิ ในระดบั ท่ีสงู ข้ึน เพราะได้ทำงานกับคนทีม่ ีความรู้มากกวา่ ๒. technical scaffolding หมายถึง การใช้คอมพิวเตอร์แทนครูในการเป็นผู้เชี่ยวชาญผู้ เรียนไดร้ ับการชี้แนะช่วยเหลือผ่าน web-links, online-tutorial, help page เป็นตน้ ๒.๔ การร่วมมือ (collaboration) เป็นกลวิธีของการเรียนการสอนเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนทำงาน ร่วมกนั เทคนคิ วธิ ีท่นี ำมาใช้ เชน่ เพื่อนสอนเพ่ือน กลมุ่ อภิปราย การใช้ชุมชนแห่งการเรียนรู้เป็นต้น คำทีใ่ ช้ใน การเรียนรู้ลักษณะน้ี มี ๒ คำ ได้แก่คำว่า “การเรียนรู้แบบรวมกลุ่มหรือรวมพลัง”(collaborative learning) และ “การเรียนรู้แบบร่วมมือ” (cooperative learning) ทั้งสองคำมักใช้ในความหมายที่เหมือนกัน แต่คำว่า การเรียนรู้แบบรวมกลุ่มหรือรวมพลังนั้น ไม่เน้นการจัดโครงสร้างของกลุ่ม ดังนั้น ลักษณะของกลุ่มจึงมีความ ยืดหยุ่น ไมต่ ายตวั เหมือนการเรียนรู้แบบรว่ มมอื งานท่ีทำในกลุ่มการเรียนรู้แบบรวมกลมุ่ นี้ มลี กั ษณะเปิดกวา้ ง ไม่ระบุตายตัวว่า มุ่งผลการเรียนรู้ด้านความรู้หรือทักษะ ซึ่งต่างจากการเรียนรู้แบบร่วมมือซ่ึงออกแบบงานให้ ตรงกับผลการเรียนรู้ที่ต้องการ เนื่องจากทฤษฎีการสร้างความรู้เช่ือว่า การสร้างความรู้จากการแลกเปลี่ยน เรียนรู้มีประสิทธิภาพมากกว่าการสร้างความรู้โดยลาพัง จึงทำให้แนวโน้มของการออกแบบการเรียนการสอน ตามทฤษฎีการสรา้ งความร้นู ี้ สนใจการจดั การเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนร้เู ป็นกลุ่ม ผา่ นสอื่ ท่ีเป็นเครือขา่ ย คอมพิวเตอร์ (computermediated collaboration-CMC) ซ่ึงเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ส่ือสารผา่ นการสนทนา ๑๔ Yelland, N. J. & Masters, J. E. “Rethinking scaffolding with technology.” Computers in Education, 48 (3),2007. P.362-382.
ศาสตร์การสอน ๒๓๒ อภิปราย โตต้ อบได้อยา่ งอิสระ สะดวกและรวดเร็ว ดังนั้น CMC จึงเป็นการเรียนรู้ตามแนวคิดการสร้างความรู้ ซง่ึ เปน็ ทนี่ ิยมในปัจจุบัน ๓. การประเมินผลการเรียนรู้ การประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามแนวคิดการสร้างความรู้มี ลกั ษณะ ดังน้ี ๑. การประเมินผลอิสระจากเป้าหมาย (goal-free evaluation) เนื่องจากการประเมิน กระบวนการเรียนรู้ อาจเกิดอคติได้ ถ้าล่วงรู้เป้าหมายการเรียนรู้ล่วงหน้า ดังน้ัน การประเมินกระบวนการคิด ของผู้เรียนตามแนวคิดการสร้างความรู้ การประเมินจะใช้การถามคำถามให้ผู้เรียนอธิบายกระบวนการ แก้ปัญหาตามแนวทางที่ได้ตัดสินใจเลือกและให้ผู้เรียนหาเหตุผลสนับสนุนแนวคิดของตนเพ่ือยืนยันแนว ทางการแกป้ ัญหาที่ได้เลอื กไว้ ๒. การประเมินแบบปลายเปิด (open-ended assessment) เนื่องจากแนวคิดการสร้าง ความรู้เช่ือว่าการสร้างความรู้มาจากการสำรวจความคิดเห็น ที่แตกต่างหลากหลายเพื่อนำไปสู่การ ประนีประนอมต่อรองเพื่อลงข้อสรุป ดังนั้น จึงไม่มีคำตอบท่ีตายตัว แน่นอน ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว แต่มี ทางเลือกได้หลายแนวทางในการบรรลุเป้าหมาย การประเมินจึงเป็นแบบปลายเปิด เพ่ือตรวจสอบว่าผู้เรียนมี ความรู้ ความเข้าใจและสามารถนำความรไู้ ปใชเ้ พอื่ เป้าหมายการเรยี นรู้ของตนเองหรือไม่ ๓. การประเมินแบบไม่อิงเกณฑ์ นักออกแบบการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบนิยมการ ประเมินแบบอิงเกณฑ์ (criterion-referenced) แต่การประเมินตามแนวคิดการสร้างความรู้จะเป็นแบบไม่อิง เกณฑ์ แต่ใช้วิธกี ารประเมนิ หลายวิธรี ว่ มกัน ๑๐.๔ รูปแบบการออกแบบการเรยี นการสอนพื้นฐานจากทฤษฎกี ารสร้างความรู้ การออกแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้ ได้ปรับเปล่ียนกระบวนทัศน์ใหม่ที่ต่างไป จากการออกแบบการเรียนการสอนเชงิ ระบบ ซึ่งเน้นขั้นตอนที่แนน่ อนและพิสจู น์ประสิทธิภาพและประสิทธิผล ของการออกแบบการเรียนการสอนด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ ที่ได้จากการวิจัยทำให้สามารถสรุปอ้างอิง ผลการวิจัยไปสู่การนำไปใช้ในวงกว้างได้ แต่รูปแบบการออกแบบการเรยี นการสอน ตามกระบวนทัศน์ใหม่ซ่ึง เชือ่ ว่าผเู้ รยี นเป็นผูส้ ร้างความรู้นนั้ เปน็ รูปแบบท่ีเน้นการทบทวน ทำซ้ำเพอ่ื นำประสบการณ์หรือขอ้ ความรู้ใหม่ ที่ไดจ้ ากการดำเนินงานในระหว่างการพัฒนา มาใช้ในการปรับปรุงงานให้ดีข้ึนเรือ่ ย ๆ ซึ่งรูปแบบการออกแบบ การเรยี นการสอนน้ีมีช่ือเรยี กวา่ “recursive reflective instructional design model” ซ่ึงเป็นโครงการการ ออกแบบการเรียนการสอนซ่ึงริเริ่มท่ีศูนย์วิจัยอวกาศจอห์นสันของนาซา (NASA)๑๕ รูปแบบการออกแบบการ เรียนการสอนนไี้ ม่มีข้ันตอนที่ตายตัว มเี พยี งหลกั การ หรือแนวทางในการดำเนนิ งาน ดังน้ี ๑. เน้นบริบทของท้องถ่ิน (local context) ไม่เน้นการสรุปอ้างอิงผลการดำเนินงานจากบริบทหน่ึง ไปสู่บริบทอ่ืน เน่ืองจากมีความเช่ือว่า ไม่มีกฎของการจัดการเรียนรู้ใดท่ีสมบูรณ์ ซ่ึงสามารถนำไปอธิบาย พฤติกรรมและการเรียนรู้ของมนุษย์ได้อย่างแน่นอน การเรียนรู้เกิดขึ้นจากการแลกเปล่ียนเรียนรู้ความคิดเห็น และทัศนะท่ีหลากหลายจากผู้เก่ียวข้อง หลายฝ่ายและนำมาสังเคราะห์เพื่อให้ได้ส่ิงที่ดีที่สุด สำหรับผู้เรียนใน บริบทหน่ึง ๆ ดังนั้นการออกแบบการเรียนการสอนจึงเน้นที่การใช้ปัญหาหรือกรณีศึกษาในบริบทหน่ึง ๆใน ทอ้ งถน่ิ หรอื ชุมชนเป็นส่งิ แวดล้อมเพ่อื สรา้ งรูปแบบการเรยี นการสอน ๑๕ Tyler, R. W. Basic principles of curriculum and instruction. Chicago: The University of Chicago. 1949.p. 140.
ศาสตรก์ ารสอน ๒๓๓ ๒. กระบวนการออกแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้มีธรรมชาติท่ีไม่เป็นไปตาม ลำดับเส้นตรง (nonlinear) แต่มีลักษณะเป็นวัฏจักร เป็นการดำเนินงานที่ต้องย้อนกลับมาตรวจสอบและ ดำเนินงานซ้ำ (recursive) ตลอดกระบวนการ กว่าจะได้ผลผลิตขององค์ประกอบการเรียนการสอน เช่น จดุ ประสงค์การเรียนรู้ เน้ือหา และกิจกรรมการเรียนการสอน ซงึ่ จะค่อย ๆ เกิดข้ึนจากกระบวนการดำเนินการ มิได้เกิดข้ึนจากการกำหนดไว้ตั้งแต่แรก ดังเช่นการออกแบบการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบท่ีเป็นการ ดำเนนิ งานทเ่ี ปน็ ลำดบั (linear) ๓. ใช้กระบวนการสะท้อนประสบการณ์ (reflective) หรือมีผู้ใช้คำว่า “ถอดบทเรียน”(reflection หรือ AAR- after action review)๑๖ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์หลังปฏิบัติการทำให้ได้ความรู้ใหม่หรือบทสรุปท่ีได้ จากประสบการณ์และการลงมอื ปฏิบัตจิ รงิ ท้ังดา้ นผลงานและกระบวนการทำงานซึ่งนำมาใช้ในการพัฒนาและ ปรับปรุงการออกแบบการเรียนการสอนให้ดขี ้ึนจากเดิมเปน็ ลำดับจนเป็นทนี่ า่ พอใจ ๔. โดยธรรมชาติของการออกแบบการเรียนการสอนเป็นการทำงานแบบมีส่วนร่วม (participatory design) ดังนั้น ผู้ออกแบบการเรียนการสอนจะเป็นผู้ทำหน้าที่ อำนวยความสะดวกให้กับผู้ร่วมงานใน กระบวนการออกแบบ ใช้การทำงานเป็นทีมโดยผู้มีส่วนร่วมได้แก่ ผู้ใช้ ในที่น้ีหมายถึงครู ผู้เช่ียวชาญด้าน เนื้อหา ผู้มีส่วนได้รับผลได้ผลเสียของการออกแบบ เช่น ผู้ปกครอง ชุมชน เป็นต้น การดำเนินงานมีการ ปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในระหว่างการดำเนินการพัฒนาผลผลิต จะเห็นว่ารูปแบบการออกแบบการเรียนการ สอนตามแนวคิดการสร้างความรู้เป็นรูปแบบท่ีมีความยืดหยุ่นสูง เน้นที่กระบวนการพัฒนาท่ีสามารถ ปรับเปลี่ยนวิธีการได้ตามสภาพจริง การประยุกต์ทฤษฎีการสร้างความรู้ สู่การออกแบบการเรียนรู้ออนไลน์ การออกแบบการเรียนรู้เพื่อการฝึกอบรมในภาคธุรกิจ จะเน้นการบูรณาการการเรียนรู้และการทำงานเข้าไวใ้ น สถานการณ์เดียวกัน การศึกษาและการฝึกอบรมในปัจจุบัน จึงต้องจัดให้มีความยืดหยุ่นท้ังในด้านเวลาและ สถานที่เพ่ือตอบสนองความต้องการของผู้เรียนเป็นรายบุคคล คอมพิวเตอร์จึงเป็นอุปกรณ์ที่ตอบสนองความ ตอ้ งการในการเรียนรตู้ ามจดุ มุ่งหมายนี้ ได้เป็นอยา่ งดีท้ังนี้เพราะคอมพิวเตอรส์ ามารถสร้างการเรียนรู้ออนไลน์ ได้ใน ๒ ลักษณะ คือ การสรา้ งส่งิ แวดล้อมที่ส่งเสรมิ การเรียนรู้แบบร่วมมือ และการสร้างเครือข่ายทางสังคมที่ เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ ซ่ึงเป็นหลักการของการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีการสร้างความรู้ ซึ่งจะกล่าวใน รายละเอียด ดังน้ี ๑. การสร้างส่ิงแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือ (computer-supported collaborative learning environment-CSCL) เป็นการนำเสนอส่ิงแวดล้อมการเรียนรู้แบบร่วมมือ ซ่ึงรวมบริบททาง การศึกษา โดยจัดให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ผ่านการทำงานเป็นกลุ่มกับบริบทของเทคโนโลยีทาง การศึกษามารวมกันไว้ในเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ท่ีทำหน้าท่ีเป็นส่ือกลางประสานติดต่อและเป็นแหล่งเรียนรู้ใน เวลาเดียวกัน รูปแบบการเรียนรู้แบบ CSCL จึงเป็นการรวมการออกแบบ การพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีมา ใช้ในการส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือ ซ่ึงเป็นไปตามหลักการของทฤษฎีการสร้างความรู้ที่เน้นการมี ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การเรียนรู้ผ่านออนไลน์จึงเป็นส่ิงแวดล้อมการเรียนรู้ ที่ช่วยอำนวยให้ผู้เรียนสามารถ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างสมาชิกในกลุ่มได้อย่างกว้างขวาง และทำงานร่วมกันได้อย่างสะดวกด้วยการ สอ่ื สารผ่านคอมพวิ เตอร์ การเรียนรตู้ ามรูปแบบ CSCL มีความยืดหยุ่นตามเวลาและพืน้ ท่ี และท้าทายความคิด ในการแก้ปัญหา ทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ท้ังเน้ือหาและการทำงานร่วมกับผู้อ่ืน ซึ่งเป็นการเรียนรู้อย่างมี ความหมายสอดคล้องกับสภาพจริงในสังคม รูปแบบการเรียนรู้น้ีจึงเป็นที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายในการศึกษา ในระดบั อุดมศึกษา ๑๖ วิจารณ์ พานชิ . วถิ ีสรา้ งการเรียนร้เู พือ่ ศษิ ย์ในศตวรรษที่ 21 (พิมพค์ รง้ั ที่ 3). กรุงเทพฯ:มลู นิธสิ ดศรี-สฤษวงศ์. ๒๕๕๕, หน้า ๗๓.
ศาสตร์การสอน ๒๓๔ ๒ . การสร้างเครือข่ายท างสังคมท่ี เป็ นชุมชน แห่ งการเรียน รู้ (social network learning communities) ผลจากการพัฒนาเทคโนโลยีเครือข่ายทางสังคม (social network technology) อย่าง ต่อเนื่อง ทาให้เกิดชุมชนแห่งการเรียนรู้ท่ีเป็นสังคมออนไลน์ ทชี่ ่วยอำนวยความสะดวกและส่งเสริมการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนในด้านปฏิสัมพนั ธก์ บั ผู้อ่นื และการทางานแบบร่วมมือ โดยผ่านทางเครื่องมอื ที่สำคัญไดแ้ ก่ เว็บบลอ็ ก (weblogs) ออดิโอบล็อก (audio blogs) พ็อดคาสติง (podcasting) และวิกีส (wikis) เครื่องมือเหล่านี้ช่วย ส่งเสริมให้ผู้เรียนที่มีความสนใจในเร่ืองเดียวกัน สามารถรวมกลุ่มและได้ร่วมแลกเปล่ียนแสดงความคิดเห็นใน ระหว่างกันทำให้เกิดการแลกเปล่ียนเรียนรู้อย่างกว้างขวาง และนำไปสู่การมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาท่ี เกิดข้ึนจริงในสังคม ดังกรณีตัวอย่าง เครือข่ายที่รณรงค์คัดค้านการสร้างเข่ือนแม่วงก์ท่ีครอบคลุมพื้นท่ีป่าใน จังหวัดกาแพงเพชรและจังหวัดนครสวรรค์ การรณรงค์คัดค้านการสร้างเข่ือนแม่วงก์เกิดจากเครือข่ายองค์กร อนรุ ักษด์ ้านสิ่งแวดล้อมที่นำผลกระทบการสรา้ งเขื่อนแม่วงก์ท่มี ตี ่อปัญหาการทำลายป่าและไม้และสง่ิ แวดลอ้ ม มาเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ https://www.change.org/th ทำให้เกิดการแลกเปล่ียนเรียนรู้และเข้าใจปัญหา และผลกระทบการสร้างเข่ือนแม่วงก์อย่างกว้างขวาง และนำไปสู่การเข้าร่วมกิจกรรมการรณรงค์คัดค้านการ สร้างเข่ือนแม่วงกท์ ี่มผี ู้สนใจและเข้าร่วมปฏิบัตกิ ารรณรงค์อย่างทุ่มเท เสียสละเป็นจำนวนมากโครงการหน่ึงใน รอบปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ผลการเรียนรู้ท่ีเกิดข้ึนก็คือท ำให้คนในสังคมตระหนักถึงปัญ หาการท ำลาย ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม และได้ปลุกจิตสำนึกในการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อมของคนในสังคมเครือ่ งมือท่ี ใช้สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ในยุคแรก ได้แก่ อีเมล์ (e-mail) ห้องสนทนา (Chat room)และกระดานสนทนา (discussion board) แต่ในปัจจุบันซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาในยุคท่ีสองนี้ได้มีการพัฒนาให้เครื่องมือเหล่าน้ีมี ความยืดหยุ่นมากข้ึน และนำไปใช้ให้ตรงกับเป้าหมายการเรียนรู้ที่ต้องการมากข้ึน โดยเช่ือมต่อเคร่ืองมือการ สร้างเครือข่ายทางสังคมเหล่าน้ีเข้ากับโปรแกรมประยุกต์อื่น ๆท่ีเกี่ยวข้อง ทำให้การเรียนรู้ตามแนวคิดการ สร้างความรเู้ ป็นแนวโนม้ ใหมท่ ่ีจะเขา้ มามบี ทบาทในการเรยี นร้ขู องผู้เรียนในระบบเปิดมากขึน้ สรุปทา้ ยบท นวัตกรรมการออกแบบการเรียนการสอนในรอบทศวรรษ คือ การออกแบบการเรียนการสอน แบบ ย้อนกลับและการออกแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้การออกแบบการเรียนการสอนแบบ ยอ้ นกลับ เป็นการออกแบบที่ใช้แนวคิดเชิงระบบในการดำเนินงาน แต่มีการดำเนินการทเี่ ป็นกระบวนการย้อน ศร จากกระบวนการเชิงระบบท่ีเป็นแบบดั้งเดิมของไทเลอร์ การออกแบบการเรียนการสอนแบบย้อนกลับมี การดำเนินงาน ๓ ขั้นตอน คือ ขั้นท่ี ๑ การกำหนดเปา้ หมายการเรียนรู้ ขน้ั ท่ี ๒ การกำหนดหลกั ฐานที่แสดงว่า ผเู้ รียนบรรลเุ ป้าหมายการเรยี นรู้ ข้ันที่ ๓ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ การออกแบบการเรียนการสอน แบบย้อนกลับมีความเหมาะสมกับหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน ที่ยดึ มาตรฐานการเรยี นรเู้ ป็นตวั ต้ัง การออกแบบการเรยี นการสอนตามทฤษฎีการสร้าง หลักการสำคญั ของการออกแบบการเรียนรู้ตามทฤษฎีการ สร้างความรู้ คือ ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ของตนเอง ครูเป็นผู้อำนวยความสะดวก คือจัดสถานการณ์การ เรยี นรู้ และช่วยเหลอื ช้ีแนะการเรยี นรู้ การเรียนรเู้ ปน็ กจิ กรรมเชิงรุก ซ่ึงผเู้ รียนเป็นผู้ลงมือกระทำ และเปน็ การ เรียนรู้ในสภาพจรงิ การเรียนรู้เป็นกิจกรรมเชิงสังคม เกิดจากการแลกเปลีย่ นความคิดเห็นที่หลากหลายและหา ข้อสรุปจากความคิดเห็นเหล่านั้น แนวคิดของการสร้างความรู้นำไปใช้ในการออกแบบการเรียนการสอนที่มี ลกั ษณะสำคญั
ศาสตร์การสอน ๒๓๕ คำถามทา้ ยบท ๑. จงเปรยี บเทียบกระบวนการออกแบบการเรียนการสอนแบบด้ังเดิมของไทเลอรแ์ ละ การออกแบบการเรียนการสอนแบบย้อนกลับ ฯ ๒. การออกแบบการเรยี นการสอนแบบยอ้ นกลบั มีความเหมาะสมทจ่ี ะนำไปใช้กบั หลักสตู ร แกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐานหรอื ไม่ จงอภิปรายแสดงเหตผุ ล ฯ ๓. จงเปรียบเทยี บทฤษฎกี ารสรา้ งความรู้ตามแนวคิดของเพยี เจต์และไวก็อทสกี ทฤษฎีท้งั สอง มีผลตอ่ การออกแบบการเรียนร้ตู า่ งกนั อย่างไร ฯ ๔. การนาหลักการสรา้ งความรไู้ ปใชใ้ นการออกแบบการเรยี นการสอน มีผลตอ่ การออกแบบ องคป์ ระกอบของการเรียนการสอนต่อไปนอ้ี ยา่ งไร ฯ ๕.จงอธิบาย ๑. การกำหนดผลการเรยี นรู้ ๒. การออกแบบส่ิงแวดล้อมการเรียนรู้ ๓. การออกแบบส่อื การเรียนรู้ มีความหมายและข้ันตอนอย่างไร ฯ ๖.จงอธิบาย ๔. การออกแบบการวัดประเมินผลผู้เรยี น ๕. บทบาทของครูและนักเรียน ๖. การ ออกแบบกจิ กรรมการเรียนรู้ มคี วามหมายและขัน้ ตอนอย่างไร ฯ ๗. จงเปรยี บเทยี บกระบวนการออกแบบการเรยี นการสอนเชงิ ระบบและการออกแบบการเรยี นการ สอนตามแนวคิดการสร้างความรู้ ฯ ๘. จงอธบิ ายการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้โดยใชค้ อมพวิ เตอรเ์ ป็นสื่อกลาง ฯ ๙. แนวโนม้ ของการออกแบบการเรยี นการสอนในศตวรรษท่ี ๒๑ จะเปน็ อยา่ งไร จงอภิปราย และแสดงเหตผุ ล ฯ ๑๐. การเรียนการสอนท่ีมีพื้นฐานจากทฤษฎกี ารสร้างความรู้ หมายความวา่ อยา่ งไร และมวี ธิ กี าร ดำเนนิ อยา่ งไร ฯ
ศาสตร์การสอน ๒๓๖ เอกสารอา้ งอิงประจำบท พิมพนั ธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยนิ ดสี ขุ . (๒๕๕๒). กระบวนการออกแบบย้อนกลบั : การพฒั นา หลักสตู รและการออกแบบการสอนองิ มาตรฐาน. กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . วิจารณ์ พานชิ . (๒๕๕๕). วถิ สี รา้ งการเรยี นรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ ๒๑ (พิมพ์คร้ังที่ ๓). กรุงเทพฯ: มูลนิธสิ ดศรี-สฤษวงศ์. Bransford, J. D. (2013). Anchored instruction. Retrieved January 10, 2013, from http://www.instructionaldesign.org/theories/anchored-instruction.html. Duffy, T. M. & Cunningham, D. J. (1996). Constructivism: Implication for the design and Delivery of instruction. In Handbook of research for educational communications and technology. (pp. 170-198). New York: Simon & Schuster Macmillan. Richey, R. C., Klein, J. D., & Tracey, M. W. (2011). The instructional design knowledge base. New York: Taylor & Francis. Smith, P. L. & Ragan, T. J. (2005. Instructional design (3rd ed.). New Jersey: John Wiley & Sons. Wiggins, G. & McTighe, J. (1998). Understanding by design. Virginia: Association for Supervision and Curriculum Development. Wood, D. J., Bruner, J. D., & Ross, G. (1976). “The role of tutoring in problem solving” Journal of Child Psychology and Psychiatry, 17 (2), 89-100. Yelland, N. J. & Masters, J. E. (2007). “Rethinking scaffolding with technology” Computers in Education, 48 (3), 362-382.
บรรณานุกรม ก.พระไตรปิฎก มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาเตปิฏกํ ๒๕๐๐. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๕. . พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั . กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. ข.ภาษาไทย กษมา ศรีสุวรรณ. ปญั หาและแนวโนม้ การจัดการศึกษาไทยในอนาคต. นกั ศึกษาดุษฎบี ณั ฑติ การบรหิ ารการศึกษา, มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครศรีธรรมราช. การด์ เนอร์ (Gardner) . อ้างในทิศนาแขมมณี, ศาสตรก์ ารสอน : องคค์ วามรเู้ พื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ มีประสิทธภิ าพ, พมิ พ์ครงั้ ที่ ๕, กรุงเทพมหานคร : สำนกั พิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย ๒๕๔๕ เบญจพร ปัญญายง. คมู่ ือช่วยเหลอื เดก็ บกพร่องด้านการเรียนรู้, กรงุ เทพมหานคร : จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั ,๒๕๔๓. ปราชญา กลา้ ผจญ และสมศักด์ิ คงเทย่ี ง. หลักและทฤษฎีการบริหารการศึกษา, พิมพ์ครั้งท่ี ๒, กรุงเทพมหานคร : สำนักพมิ พม์ หาวิทยาลัยรามคำแหง,๒๕๔๕. กติ มิ า ปรีดีดิลก. ปรชั ญาการศกึ ษา เล่ม ๑, กรงุ เทพ ฯ : มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ, ๒๕๒๐. ชยั อนันต์ สมุทวณชิ . Good Governance กบั การปฏริ ูปการศึกษา – การปฏริ ปู การเมือง. ม.ป.พ. หนา้ ๑๑๐. ๒๕๔๒. ทองจนั ทร์ หงศล์ ดารมภ์. ม.ป.ป. การเรียนรโู้ ดยพึง่ ตนเอง(Self – directed learning). (อดั สาเนา). ทศิ นา แขมมณ.ี ศาสตรก์ ารสอน : องคค์ วามรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรยี นรทู้ มี่ ีประสิทธิภาพ. พิมพค์ รัง้ ที่ ๕, กรุงเทพมหานคร : สำนกั พิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ,๒๕๔๕. ,ศาสตรก์ ารสอน : องคค์ วามรูเ้ พื่อการจดั กระบวนการเรียนรู้ท่ีมีประสิทธภิ าพ,พิมพ์ครง้ั ท่ี ๑๖, กรงุ เทพมหานคร : ด่านสุทธาการพิพม,์ ๒๕๕๔. ธงชัย สมบรู ณ์. “มัดหม่ไี หม…ไทยอสี าน”ข่าวบณั ฑิตศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง.๔ (๓, สงิ หาคม, ๒๕๔๓) : ๙. ธำรง บวั ศร.ี ทฤษฎหี ลักสูตร : การออกแบบหลักสตู รและพฒั นา. กรงุ เทพฯ : ธนรัช.๒๕๔๒. บรรจง จันทรสา. ปรชั ญากับการศึกษา, กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช, ๒๕๒๗. ปทปี เมธาคณุ วฒุ ิ. หลกั สูตรอุดมศึกษา: การประเมนิ และการพฒั นา.พิมพ์ครั้งที่ ๑, กรุงเทพฯ : นิชนิ แอด เวอรไ์ ทชิ่ง กรุ๊ฟ.๒๕๔๓. ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์. จติ วทิ ยาการศึกษา, กรงุ เทพฯ: ศูนยส์ ่ือเสริมกรุงเทพ, ๒๕๕๑. ผดุง อารยะวญิ ญู. การศึกษาสำหรับเดก็ ทีม่ ีความต้องการพเิ ศษ, กรุงเทพมหานคร : สำนักพมิ พ์แว่นแกว้ ,๒๕๔๒. พงษ์ศักด์ิ แปน้ แกว้ , “พหปุ ัญญา (Multiple Intelligence)”. ศึกษาศาสตรส์ าร, มกราคม– มถิ ุนายน ,๒๕๔๖. รจุ ริ ์ ภสู่ าระ และจนั ทรานี สงวนนาม.การบริหารหลกั สูตรในสถานศกึ ษา,กรงุ เทพฯ: บุค๊ พอยท์.
ศาสตรก์ ารสอน ๒๓๘ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโฺ ต) . ธรรมกบั การพัฒนาชวี ิต, กรุงเทพ ฯ : สหธรรมมกิ ,๒๕๓๙. ไพฑรู ย์ สนิ ลารตั น์. ปรชั ญาการศกึ ษาเบอ้ื งต้น, กรุงเทพฯ : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๓. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕. ฉบับพิมพ์ คร้งั ท่ี ๕ กรงุ เทพมหานคร : บริษทั อักษรเจรญิ ทศั น์ อจท. จำกัด. ๒๕๒๕. วลั ลภา เทพหสั ดิน ณ อยุธยา. การพฒั นาการเรยี นการสอนทางอุดมศึกษา, กรงุ เทพมหานคร : ภาควชิ า อดุ มศึกษาจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั , ๒๕๔๓. สุวิทย์ มูลคำ และอรทยั มลู คำ. ๒๐ วิธจี ดั การเรยี นรู้, กรุงเทพมหานคร : ภาพพมิ พ์, ๒๕๔๕. สพุ ศิ บุญชูวงศ.์ หลักการสอน, กรงุ เทพมหานคร : ภาควชิ าหลักสูตรและการสอน คณะวิชาครศุ าสตร์ สถาบนั ราชภัฏเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ ในพระบรมราชปุ ถัมภ์, ๒๕๓๖. สมุ ิตร คณุ านกุ ร. หลักสตู รและการสอน, กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พช์ วนพิมพ์, ๒๕๒๘. สมุ าลี จันทรช์ ลอ. การวดั ผลและประเมนิ ผล, กรุงเทพมหานคร : ศนู ย์ส่อื เสริมกรุงเทพ, ๒๕๔๒. สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน. แนวทางการจดั การเรยี นรูต้ ามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษา ข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑, พิมพ์ครงั้ ที่ ๒, กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ชุมนมุ สหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด. ศนั สนยี ์ ฉัตรคุปต์. การเรียนรอู้ ยา่ งมคี วามสุข : สารเคมใี นสมองกับความสุขและการเรยี นรู้, ปทุมธานี : สกาย บคุ๊ ส์ ,๒๕๔๔. วิไล ตั้งจติ สมคิด. ปรชั ญาและหลักการศึกษานอกระบบ, อา้ งใน สุวนิ ทองปัน้ ,ปรัชญาการศึกษา, . ศกั ดา ปรางคป์ ระทานพร,ปรัชญาการศึกษาฉบับพน้ื ฐาน, กรุงเทพ ฯ : โอเดียนสโตร์,๒๕๒๖. สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาติ. รายงานการปฏริ ปู การศึกษาของสาธารณรัฐ ประชาชนจนี . กรงุ เทพมหานคร: บรษิ ัทธรรมสาร จำกัด. ๒๕๔๑. สิริ เปรมจิตต์, ประวัตศิ าสตร์โลก. พระนคร, โรงพพิ ม์ ส.ธรรมภัคดี,๒๔๙๙ , หนา้ ๕๒๔-๕๒๕. สุรชยั สกิ ขาบัณฑติ . เทคโนโลยกี ารศึกษา,กรุงเทพฯ: สถาบนั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ พระนครเหนอื , ๒๕๔๒. สุวิน ทองปน้ั ,ดร. ปรัชญาการศกึ ษา, ขอนแกน่ : มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ, ๒๕๔๕. อบรม สินภิบาล. ระบบการศึกษานานาชาติ, กรุงเทพมหานคร: โอ.เอส พร้นิ ตง้ิ เฮาส์, ๒๕๓๗. อรสา สุขเปรม. “การศึกษาในประเทศสาธาณรฐั ประชาชนจนี ”, วทิ ยาจารย์. ๙ (๒ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๔๐) : ๑๑๘ – ๑๒๑. ค.ภาษาอังกฤษ Adam Smith. The Wealth of Nations. London :David Campbell. 1991. Allen, R. and J. W. Santrock. Psychology:The Contexts of Behavior. USA.: Wm. C. Brown Communication. 1993. Altbach, P.G., Arnove, R.F. and Kelly, G.P. Comparative Education. U.S.A: Macmillan Pulishing Co., Inc., 1982. Anderson, Carvia B. Encyclopedia of Educational Evaluation. Sanfrancisco : JosseyBass. 1975.
ศาสตรก์ ารสอน ๒๓๙ Bloom, Benjamins. Human Characteristics and School Learning. New York : McGraw-Hill Book Company. 1976. Borich,Gary D. Effective Tgaching Methods. Columbus : Macmillan Publish Company. 1988. Cookson, P.W., Sadounik, A.R. and Semel, S.F., (ed.) International Handbook of Educational Reform. U.S.A.: Greenwood Publishing Group, Inc. 1992. Publishes, Inc. 1993.UNESCO. World Education Report 1998 : Framce: Darantiere, 1998. Erickson, Christopher; and Daniel J.B. Mitchell (2000). \"Labor Standards and International Trade: Background and Analysis.\" The Multilateral Trading System in a Globalizing World.Edited by Lee-Jay Cho and Yoon Hyung Kim.Seoul: KoreaDevelopment Institute. Gordon, R. “Balancing real-world problems with real-world results,” Phi DeltaKappan. 1998. Guzdial, M., Technological support for project-based learning. Yearbook (ASCD). 1998. Hilgard, E. R. and G. H. Bower. Theories of Learning. Englewood Cliffs, NJ: Prentice-Hall. 1975. Karlin, M.S. & Berger, R. Individualizing instruction: A Complete guide for diagnosis, planning, teaching and evaluation. New York: Parker. 1974. Khan, B.H. Web-based instruction. New Jersey: Educational TechnologyPublications. 1997. Semprevivo, Philop C. System Analysis. Definition, Process, and Design. Chicago:Science Research Association. 1976. Smith, P.L., and Ragan, T.J. Instructional design. Upper Saddle River, New Jersey : Merrill Prentice Hall,. 1999. Taylor J, Gaucher M. Medication selection errors made by pharmacy technicians filling unit dose orders. Am j Hosp pharm. 1986. Wong, D. L. Whaley & Wong’s. nursing Care of Infant and Children (6thed.). St. Louis:Mosby. 1999. ค.ออนไลน์ นายพิรยิ ะ ตระกูลสวา่ ง และคณะ. มโนทศั นส์ ำคญั เก่ียวกับการจัดการเรียนการสอน.ออนไลน์ เข้าถึงได้จาก http://www.seal2thai.org/sara/sara๐14.htm สืบค้นเมื่อ ๔ ธนั วาคม ๒๕๕๘. ปรัชญาการศกึ ษา, สืบค้นจากhttp://index.php?option=com.สืบค้นเมอื่ ๒๖ สงิ หาคม ๒๕๕๕. วชิ ากระวัดและประเมินผล.สถาบันการพลศึกษา.ออนไลน์ เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.ipecp.ac.th/ipecp/cgi-binn/webpili/unit๑/level๑-๑.html สืบคน้ เม่ือ ๑๕ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๙. สำนักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร.ออนไลน์ เข้าถึงได้จาก. http://www.sc.mahidol.ac.th/scpn/webscpn/index.php/2-uncategorised/47-21 สบื ตน้ เมือ่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙.
ศาสตร์การสอน ๒๔๐ วทิ ย์ วศิ ทเวทย.์ ลกั ษณะของปรัชญา, คน้ จากhttp://mediacenter.mcu.ac.th/budphilosophy. สืบคน้ เมือ่ ๒๖ สงิ หาคม๒๕๕๕. สุนทร ณ รังสี. การเกิดข้ึนของปรชั ญา, ค้นจาก http://purik.truelife.com/blog. สบื ค้นเมอ่ื ๒๖ สงิ หาคม ๒๕๕๕. อารยธรรมโรมัน.ออนไลน์ เข้าถงึ ได้จากhttps://panupong๐๘๘.wordpress.com. สบื คน้ เม่ือ ๔ ธนั วาคม ๒๕๕๘. .
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249