Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore จิตวิทยาสำหรับครู

จิตวิทยาสำหรับครู

Description: ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจิตวิทยา จิตวิทยาการศึกษา ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจิตวิทยาพัฒนาการ พฤติกรรมการเรียนรู้ รูปแบบ การเรียนรู้ การจำ การลืมและการคิด เชาว์ปัญญา การแนะแนว การให้คำปรึกษาเบื้องต้น และจิตวิทยาสำหรับเด็กพิเศษ

Keywords: จิตวิทยา,ครู

Search

Read the Text Version

จติ วิทยาสำหรับครู ๔๑ Wittrock๑๓ ได้กล่าวถึงสาระของจิตวิทยาการศึกษาว่า \"จิตวิทยาการศึกษาเป็นการศึกษาสภาพปัญหา ทางการศึกษา จนทำให้ได้หลักการ รูปแบบ ทฤษฎี กระบวนการสอนวิธีการสอน การวิจัย การวิเคราะห์ทางสถิติ การประเมินผล และเทคนคิ วธิ ีการดำเนินการวัดผลทีเ่ หมาะสมกับกระบวนการทางความคดิ และอารมณ์ของผเู้ รียน ตลอดจนกระบวนการท่ีซับซ้อนทางสังคมและวัฒนธรรมของโรงเรียน\" จากสาระดังกล่าวเป็นการเน้นให้เห็นว่า จิตวิทยาการศึกษาเป็นศาสตร์ท่ีมีบทบาทหน้าท่ีเฉพาะตัว คือ การค้นหาแนวทางและวิธีการท่ีจะทำให้สามารถจัด การศกึ ษาไดส้ มกับลักษณะของผูเ้ รยี นและบรบิ ททง้ั หมดท่ีเก่ยี วข้องกบั การจดั การศึกษา อย่างไรก็ตาม การท่ีนักจิตวิทยาการศึกษาจะได้มาซ่ึงแนวทางและวิธีการท่ีเหมาะสมดังกล่าวต้องอาศัย ความรู้และวิธีการทางจิตวิทยาเข้ามาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง รวมทั้งจะต้องมีความรอบรู้ในหลากหลาย สาขาวิชาที่เก่ียวข้อง ไม่ว่าจะเป็นหลักและวิธีการสอน การวิจัยและสถิติ การวัดและการประเมิน ผล สังคมวิทยา และมานุษยวิทยา เป็นต้น จึงจะทำให้สามารถค้นหาแนวทางหรือวิธีการที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาและปรับปรุง พฒั นาผู้เรียนไดต้ ามศกั ยภาพของแตล่ ะบคุ คล ตลอดจนสอดคล้องกบั บรบิ ทที่เกีย่ วข้องได้อย่างลงตวั จะเห็นได้ว่าบทบาทหน้าท่ีที่สำคัญของจิตวิทยาการศึกษา คือ การหาหนทางและวิธีการที่เหมาะสม เพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียน นักจิตวิทยาการศึกษาจึงจำเป็นต้องศึกษาค้นคว้าเพ่ือหาหนทาง และวิธีการท่ีเหมาะสมดังกล่าว อย่างไรก็ตาม วิธีการศึกษาค้นคว้าทางจิตวิทยาการศึกษาต้องมีข้ันตอนและวิธี การศึกษาที่น่าเชื่อถือ เพื่อจะได้สามารถสรุป เป็นหลักการและทฤษฎีที่เหมาะสมในการนำไปใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ในช้ันเรียน สำหรับกระบวนการศึกษาค้นคว้าท่ีจะทำให้ได้คำตอบหรือทำให้สามารถสรุปเป็นทฤษฎีที่น่าเชื่อถือได้ ก็คือการวิจัย Woolfolk๑๔ กล่าวว่าหน้าที่หลักของจิตวิทยาการศึกษามี ๒ ประการคือ ๑) ดำเนินการวิจัยเพ่ือหา คำตอบที่เป็นไปได้ในการแกป้ ัญหาและพฒั นาผู้เรียน ๒) รวบรวมผลการศกึ ษาต่างๆเข้าด้วยกันเป็นทฤษฎีท่ีอธิบาย แนวคิดเกย่ี วกบั การเรียนการสอนและการพฒั นาผู้เรยี น เน่ืองจากบทบาทสำคัญของนักจิตวิทยาการศึกษาคือ การดำเนินการศึกษาวิจัย ดังน้ันในท่ีน้ีจะกล่าวถึง แนวคิดและวิธีการดำเนินการวิจัยแบบต่างๆ ที่นักจิตวิทยาการศึกษาใช้ในการค้นคว้าหาความรู้ หรือแก้ปัญหา ทเี่ กย่ี วกับการให้การศึกษาแก่ผู้เรียน อนั ไดแ้ ก่ การวจิ ยั เชิงบรรยายและการวจิ ัยเชิงทดลอง นอกจากบทบาทในการวิจัยเพ่ือหาคำตอบให้กับปัญหาที่พบในการเรียนการสอนแล้วนักจิตวิทยา การศึกษายังตอ้ งพยายามสรา้ งองค์ความรู้ให้กับสาขาของตน โดยการนำข้อมูลเก่ยี วข้องท้ังหมดท่ีได้จากการศึกษา ค้นคว้า วิจัย มาประมวลและสร้างเป็นหลักการ แนวคิด และทฤษฎีที่จะช่วยให้สามารถอธิบายและทำนาย พฤตกิ รรมท่เี ก่ยี วขอ้ งกับกระบวนการจัดการเรยี นการสอนของตนเองได้ จะเห็นได้ว่าทุกบทบาทของจิตวิทยาการศึกษาช่วยสนับสนุนการปฏิบัติงานของครูผู้สอนอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นการช่วยให้ครูผู้สอนเกิดความเข้าใจในตัวผู้เรียน ช่วยแก้ปัญหาในทุกข้ันตอนของกระบวนการจัดการ เรียนการสอน ช่วยให้สามารถค้นหาสาเหตุของพฤติกรรมปัญหาของผู้เรียนจนได้แนวทางในการปรับปรุงแก้ไข พฤติกรรมปัญหาดังกล่าวได้อย่างเหมาะสม เกิดการพัฒนากระบวนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งข้ึน โดยอตั โนมตั ิ ๒.๗ ประโยชนข์ องจติ วิทยาการศกึ ษา ๑๓ Wittrock M.C., “An empowering conception of educational psychology”,Educational Psychology, 27, 1992 p.129-142. ๑๔ Woolfolk, A.E., Educational psychology, 9th ed. Boston: pearson Education, Inc., 2004 p.11.

จิตวิทยาสำหรับครู ๔๒ ในยุคแรกที่จิตวิทยาการศึกษาเริ่มก่อตั้งขึ้น แนวคิด ทฤษฎี หลักการ และวิธีการศึกษาของจิตวิทยา การศึกษายังคงผูกติดอยู่กับศาสตร์ทางจิตวิทยา ในลักษณะของการนำความรู้และทฤษฎีทางจิตวิทยามาใช้ให้เกิด ประโยชน์ต่อการเรียนการสอนและการวัดพฤติกรรมผูเ้ รยี น ดังท่ี Thorndike๑๕ เขียนไว้ในบทความช่ือว่า The Contribution of Psychology to Education ท่ีตีพิมพ์ในวารสารจิตวิทยาการศึกษาเล่มแรก อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีแนวโน้มท่ีจิตวิทยาการศึกษาจะแยกตัว เป็นศาสตร์อิสระท่ีมีแนวคิด ทฤษฎีและการศึกษาวิจัยในสภาพการเรียนการสอนโดยเฉพาะ Berliner๑๖ กล่าวว่า ผู้ที่สนใจศึกษาจิตวิทยาการศึกษาไม่ควรคิดว่าส่ิงที่ตนเองศึกษาเป็นสาขาหน่ึงของจิตวิทยาหรือเป็นจิตวิทยา ประยุกต์ แต่ควรปฏิบัติตนในฐานะของนักจิตวิทยาการศึกษาอย่างเต็มภาคภูมิ มิใช่นักจิตวิทยาท่ีสนใจ ดา้ นการศกึ ษา และท่ีสำคญั จะต้องพยายามทำใหก้ ารศึกษาวิจยั ทเ่ี กีย่ วข้องกบั การเรยี นการสอนมีคุณค่า น่าเช่ือถือ เป็นทีย่ อมรับ และไดร้ บั การนำไปใช้ประโยชน์ในการแก้ปัญหาและการจดั การศึกษาอย่างแทจ้ ริง จากบทบาทของจิตวิทยาการศึกษาท่ีเกี่ยวข้องกับการศึกษาวิจัย และการประมวลข้อมูลเพื่อหาหลักการ และทฤษฎนี ้ีเอง ทำใหจ้ ิตวิทยาการศกึ ษาสร้างสรรค์ผลงาน (Output) ท่เี ป็นประโยชนม์ ากมายทั้งประโยชนท์ ไี่ ด้รับ โดยตรง อันได้แก่ การแก้ปัญหาที่เกิดข้ึนกับผู้เรียนในสภาพการณ์จริง และการได้มา ซึ่งทฤษฎีหรือองค์ความรู้ ที่จะทำให้เข้าใจพฤติกรรมต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องกับการจัดการศึกษา ซ่ึงทฤษฎีหรือองค์ความรู้นี้สามารถก่อให้เกิด ประโยชน์เก่ียวเน่ือง (Outcome) ตามมามากมาย เช่น การแก้ปัญหาที่เกิดข้ึนในการจัดการเรียนการสอน การคิดค้นนวัตกรรมที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ในกระบวนการเรียนการสอน รวมทั้งการให้ข้อเสนอแนะ ท่ีเป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการศึกษาเป็นต้น ซึ่งผลประโยชน์ท่ีเก่ียวเน่ืองดังกล่าวก็จะย้อนกลับมาทำให้เกิด ประโยชน์แก่ผู้เรียนในที่สุด สำหรับประโยชน์โดยตรงและประโยชน์เกี่ยวเน่ืองท่ีได้รับจากการศึกษาวิจัย ทางจติ วิทยาการศึกษาสามารถเขยี นเป็นไดอะแกรมได้ดงั นี้ จะเห็นได้ว่าจิตวิทยาการศึกษามีทฤษฎีและองค์ความรู้เก่ียวกับพฤติกรรมการเรียนการสอน รวมท้ัง มีผลการวิจัยสนับสนุนท่ีจะช่วยให้ผู้สอนสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในสภาพการณ์จริง ในชัน้ เรียนได้ ตลอดจนสามารถนำไปใชใ้ นการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่ขัดขวางการเรียนรู้ของผู้เรียนได้อยา่ ง มีหลักมีเกณ ฑ์ และมีแนวคิดที่สดีสนับสนุน ซึ่งจะทำให้ผู้สอนสามารถแก้ปัญ หาได้อย่างมีคุณ ภาพ และมีประสิทธิภาพกว่าการดำเนินการหรือการแก้ปัญหาตามสามัญสำนึกท่ีขาดทั้ง ความเที่ยงตรงและความ น่าเชอ่ื ถือ ๒.๘ ครูกับจติ วทิ ยาการศึกษา มีหลายคนที่เป็นครูโดยไม่ได้ผ่านการเรียนรู้ด้านจิตวิทยาการศึกษามาก่อน จึงอาจมีข้อสงสัยบางประการ เกิดข้ึน เช่น “ทำไมคนที่เรียนครูต้องเรียนจิตวิทยาการศึกษา” และ “ถ้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาการศึกษา จะเป็นครูได้หรอื ไม่” ซ่ึงจากประโยชน์ของจิตวิทยาการศกึ ษาข้างต้นก็พอจะทำให้สามารถตอบคำถามเหล่าน้ีได้ว่า จิตวิทยาการศึกษามีประโยชน์ต่อวิชาชีพครูเพียงไร ครูที่ไม่มีความรู้ด้านจิตวิทยาการศึกษา แต่มีความมุ่งมั่น ที่จะเป็นครูที่ดี อาจสามารถพัฒนาประสิทธิภาพการสอนของตนเองได้ โดยการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา และการลองผิดลองถูกจนค้นพบกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการสอน อย่างไรก็ตาม การได้ศึกษาเนื้อหาสาระ ๑๕ Thorndike (1910) อา้ งถึงใน Green, C.D., Classics in the history of psychology, [Online]. Sources: http://pragmatism.org/genealogy/dewey.htm.(Accessed 15th Suptember,2003). 1996 pp,3-7. ๑๖ Berliner,C.D. “Telling the stories of education psychology” Education Psychologist, 27(2),143-161,Lawrence Darlbaum Assoviates, Inc. .1992 pp,143-144.

จติ วิทยาสำหรบั ครู ๔๓ ของจิตวิทยาการศึกษากอ่ นประกอบวิชาชีพครู จะช่วยเตรยี มครูผ้สู อน ให้สามารถจดั กระบวนการเรยี นการสอนได้ อย่างมีประสิทธิภาพ และมองเห็นลู่ทางในการพัฒนาประสิทธิภาพการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง เนื้อหาสาระ ต่อไปนี้จะไม่ขอกล่าวถึงประโยชน์ของจิตวิทยาการศึกษาเพ่ิมเติมอีก แต่จะย้ำถึงความจำเป็นของจิตวิทยา การศึกษาต่อการเปน็ ครใู ห้กระจ่างย่งิ ขนึ้ จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มิใช่อยู่ที่เน้ือหาที่ผู้สอนนำมาเสนอให้ ผู้เรียนเพียง อย่างเดียวเพราะถึงแม้ผู้สอนจะมีความรู้และมีความเชี่ยวชาญในเน้ือ หาสาระน้ันๆ เป็นอย่างดีเพียงใดก็ตาม หรือเน้ือ หาสาระนั้นๆ ได้ถูกจัดเตรียมขึ้น มาอย่างดีเยี่ยมเพียงใดก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่า เม่ือผู้สอนนำไป ถ่ายทอดให้ผู้เรียน แล้วผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้เนื้อหาสาระน้ันๆ เข้าไปได้ทันทีโดยอัตโนมัติ เน่ืองจากยังมีปัจจัย ประกอบอื่นๆ อีกมากมายที่มีผลต่อการเรียนรู้หรอื การซมึ ซับเน้ือหาสาระน้ันๆ เพอื่ ก่อให้เกิดเป็นความรู้และทกั ษะ ขึ้น ในตัวผู้เรยี น Gagne๑๗ กล่าวถงึ องค์ประกอบทท่ี ำให้บุคคลเกิดการเรียนรู้วา่ จะต้องประกอบด้วย ๑) ผู้เรียน ๒) สถานการณ์ที่มาเราหรือกระตนุ้ ผ้เู รียน (Stimulus Situation) และ ๓) ผลการแสดงออกของผู้เรียนท่ีเกิดจากการ กระตุ้น (Response) โดยองค์ประกอบท้ัง ๓ จะต้องมีคุณลักษณะที่เหมาะสมจึงจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ท่ีดี เช่น ผู้เรียนจะต้องมีความพร้อม เนื้อหาหรือสถานการณ์ที่นำมาเสนอจะต้องมีความชัดเจนน่าสนใจและผล การเรยี นรทู้ ผี่ ูเ้ รยี นแสดงออกมาจะต้องถกู ต้องเหมาะสมตามที่ตอ้ งการให้เกดิ เป็นตน้ กันยา สุวรรณแสง๑๘ ไดก้ ล่าวถึงปจั จัยทม่ี ผี ลต่อการเรยี นรวู้ ่าจะต้องประกอบดว้ ยปัจจัยตอ่ ไปนี้ ๑. ผู้เรียน ซึ่งจะต้องคำนึงถึง เพศ อายุ วุฒิภาวะ และความพร้อมของผู้เรียนตลอดจน ประสบการณเ์ ดิม สตปิ ัญญา แรงจงู ใจ อารมณ์ และความบกพร่องทางกายบางประการ ๒. บทเรยี น ซึง่ ได้แก่ ความยากง่าย ความหมาย และการแบง่ เน้ือหา เปน็ ต้น ๓. วิธีเรียน วิธีสอน ได้แก่ การจัดกิจกรรม การใช้เคร่ืองล่อใจ การฝึกฝน การเสริมแรงเป็นต้น แสงเดือน ทวีสิน๑๙ ได้ระบุปัจจัยท่ีมีผลต่อการเรียนรู้ไว้เช่นเดียวกับกันยา สุวรรณแสง ว่าต้อง ประกอบด้วย ผู้เรียน บทเรียน (เน้ือ หาวิชาและแหล่งค้นคว้า) และวิธีเรียน วิธีสอนแต่ได้เพิ่มเติมในส่วนของการ คดิ วิเคราะห์และทักษะในการแกป้ ัญหาเข้าไปเป็นอีกองค์ประกอบหนึง่ Shulman๒๐ สรปุ ลกั ษณะของครูท่ีมีความเช่ียวชาญในการสอนวา่ จะตอ้ งมคี วามรใู้ นเร่ืองต่อไปน้ี ๑. ความรู้ในเนอื้ หาวิชาที่สอน ๒. วธิ ีการสอนทวั่ ๆ ไป เชน่ หลักการบริหารจดั การช้ัน เรยี น การวดั และประเมินผล เป็นตน้ ๓. โปรแกรมและวัสดอุ ุปกรณ์ทเ่ี หมาะสมกบั วิชาที่สอนตามหลักสูตร ๔. ความรู้เก่ียวกับการสอนเฉพาะสาขาวิชา เช่น วิธีการสอนท่ีเหมาะสำหรับนิสิตในสาขาวิชา วธิ กี ารสอนเฉพาะทีใ่ ชใ้ นการถ่ายทอดแนวคิดบางอยา่ ง เป็นต้น ๕. บุคลิกภาพและความเป็นมาของผู้เรียน ๖. ลักษณะของการจัดการเรียนการสอน เช่น เรียนเป็นคู่ เรียนเป็นกลุ่มย่อย เรียนเป็นทีม เรยี นเป็นชัน้ เรยี นปกติ เป็นต้น ๗. จุดมุ่งหมายของการสอน จะเห็นได้ว่า ในการทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ ต้องประกอบด้วยปัจจัยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพ ของเน้ือหาสาระหรือประสบการณ์ท่ีนำไปสอน คุณลักษณะและธรรมชาติของผู้เรียนเทคนิควธิ ีการเรียนของผู้เรยี น ๑๗ Gagne R. The conditions of learning, New Tork : Holt, Rinehart and Winston,Inc,1967, p.6. ๑๘ กนั ยา สุวรรณแสง, จติ วิทยาท่วั ไป, (กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ัทบำรงุ สาสน์, ๒๕๔๐), หน้า ๑๕๙-๑๖๕. ๑๙ แสงเดอื น ทวสี ิน, จิตวิทยาการศกึ ษา, พิมพค์ ร้งั ที่ ๒, (กรงุ เทพมหานคร : ไทยเส็ง, ๒๕๔๕), หน้า ๒๑. ๒๐ Shulman (อ้างถงึ ใน Woolfolk, A.E., Educational psychology, 9th ed. Boston: pearson Education, Inc., 2004, p.6.

จติ วทิ ยาสำหรับครู ๔๔ ตลอดจนเทคนิคและวิธีการสอนของครู รวมทั้งความรู้เก่ียวกับบริบทอ่ืนๆ ที่มีส่วนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม วัตถุประสงค์ที่วางไว้ ดังนั้น ครูจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ปัจจัยหรือองค์ประกอบของการเรียนรู้มากมาย ซึ่งเร่ืองราว ดังกล่าวจัดเป็นเน้ือหาสาระของจิตวิทยาการศึกษาแทบท้ังส้ิน เน่ืองจากจิตวิทยาการศึกษาเป็นการพยายามหา คำตอบ เพื่อที่จะอธบิ ายพฤติกรรมที่เก่ียวขอ้ งกับการเรียนการสอน จนได้มาซ่ึงหลักการ แนวคิด ทฤษฎี ที่สามารถ นำไปใช้ในการแก้ปัญหาพฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนในชั้นเรียนได้ หรือบทบาทของจิตวิทยาการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับ การวิจัยก็ทำให้ได้มา ซ่ึงการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน รวมท้ังทำให้ได้องค์ประกอบความรู้ ใหม่ๆ ที่ช่วยทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพย่ิงข้ึน ดังน้ั น ผู้สอนจำเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องมีความรู้ ทางจิตวิทยาการศึกษาควบคู่ไปกับความรู้ในสาขาวิชาเฉพาะท่ีตนเองสอน และท่ีสำคัญต้องสามารถศึกษาวิจัย และหรือนำความรู้ไปใชเ้ พอ่ื แก้ปญั หา หรือปรบั ปรุงหรอื เพ่ิมประสิทธิภาพการเรียนการสอนให้ดียิ่งข้ึน จึงอาจกล่าว อีกนยั หน่งึ ไดว้ า่ ผู้สอนควรต้องเปน็ ทง้ั ครแู ละนักจิตวิทยาการศึกษาในเวลาเดยี วกัน ๒.๙ ความแตกตา่ งระหว่างบุคคล ความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียนเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการเรียน ของผู้เรียนซง่ึ ผูส้ อนควรต้องทำความเข้าใจความแตกต่างในด้านตา่ งๆ ก่อนท่ีจะวางแผนการสอน เพ่ือปอ้ งกันไมใ่ ห้ ผู้เรียนหลายคนต้องประสบกับปัญหา เช่น การถูกดูถูกเหยียดหยามการถูกกีดกันจากกลุ่ม การเลือกปฏิบัติ ความกดดนั และความคาดหวังของผสู้ อน ความเบอ่ื หนา่ ยในส่งิ ท่ีเรียน เป็นต้น พฤติกรรมของมนุษย์มคี วามซับซอ้ น ยากที่จะทำความเข้าใจได้ง่ายๆจงึ มผี ู้พยายามจะทำความกระจ่างกับ พฤติกรรมของมนุษย์ด้วยการศึกษาค้นคว้ามาตั้งแต่บรรพกาล จนถึงปัจจุบัน มันก็ยังมีการศึกษาอย่างต่อเน่ือง โดยเฉพาะองค์ประกอบท่ีก่อให้เกิดพฤติกรรมของมนุษย์ ซ่ึงก็จะถูกสรุปกันเป็นส่วนใหญ่ว่า การเกิดพฤติกรรม ของมนุษย์เป็นผลกระทบขององค์ประกอบต่างๆ ในตัวมนุษย์ ซึ่งมีความแตกต่างกัน แล้วจึงถูกกล่อมเกลาด้วย สง่ิ แวดล้อม ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างบุคคล ดังคำกล่าวท่ีเราอาจได้ยินตามสถาบันการศึกษา “นิสิตที่น่ีร้อย พ่อพันแม่” ซึ่งก็หมายถึง นิสิตมาจากพ่อแม่ท่ีต่างกัน พันธุกรรมก็ไม่เหมือนกัน บางคร้ังพ่อแม่เดียวกัน พันธุกรรม เดียวกัน เจรญิ เตบิ โตข้นึ ส่ิงแวดล้อมอาจแตกตา่ งกัน บคุ คลท่มี พี ่อแมเ่ ดียวกนั หรอื แม้แต่ฝาแฝดก็แตกตา่ งกัน โดยภาพรวมมนุษยจ์ ะมคี วามคล้ายคลึงกัน เช่น ตื่นเต้น ดีใจ เมื่อถูกรางวัลใหญ่ของสลากกินแบ่งหรือโดน เข็มแทง จะรู้สึกเจ็บ แต่โดยรายละเอียดมนุษย์แต่ละคนมีความแตกต่างกัน ทั้งลักษณะภายนอก เช่น รูปร่าง ผวิ พรรณ ทา่ ทาง และลักษณะภายใน (ทางจติ ใจ) เชน่ ความต้องการ ทัศนคติ ความสนใจ ฯลฯ ๒.๙.๑ ประวัติการศกึ ษาความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล นักจิตวิทยาและนักการศึกษา มีการศึกษารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างบุคคลอย่างมี หลกั การ มรี ะบบ แบบแผน ซงึ่ กม็ จี ดุ ประสงคเ์ ดยี วกนั คือ ให้เข้าใจความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล ดังน้ี พลาโต (Plato, 427 – 347 ก่อน ค.ศ.) นักปรัชญาชาวกรีก ศึกษาเก่ียวกับมนุษย์และเขียนไว้ในหนังสือ The republic ว่า ไมม่ ีบุคคล ๒ คน ท่ีเกดิ มาเหมือนกันทกุ อยา่ ง (No two persons are born exactly alike) อริสโตเติล (Aristotle, 384 – 322 ก่อน ค.ศ.) นักปรัชญากรีกเช่นกัน ได้กล่าวไว้ว่า บุคคลมีความ แตกต่าง จากแนวความคดิ ของอรสิ โตเตลิ ทำให้เกดิ การศกึ ษาเร่ืองความแตกต่างของบคุ คลกวา้ งขวางข้ึน ในช่วงระยะแรกของครง่ึ หลังของศตวรรษที่ 19 นักจติ วิทยาส่วนใหญ่ ให้ความสนใจเกย่ี วกบั การค้นพบกฎ ท่วั ไปของธรรมชาตขิ องมนุษย์ ซ่ึงสามารถใชไ้ ดก้ บั ทุกคนมากกว่าทจ่ี ะสนใจเร่ือง ความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล ตอ่ มา วลิ เฮ็ลม์ แมกซ์ วุน้ ท์ (Wilhelm Max Wundt) นักจิตวิทยาชาวเยอรมนั เปน็ คนแรกทใี่ ห้ความสนใจ กับความแตกต่างของบุคคลจากแบบทดสอบความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลของ แคทแทล (Cattell) ซึ่ง “แคทแทลก็

จิตวทิ ยาสำหรบั ครู ๔๕ เป็นคนแรกท่ีใช้ mental test เพ่ือแยกแยะความแตกต่างของบุคคล แต่อย่างไรก็ตาม การศึกษาความแตกต่าง ของบคุ คลในระยะน้ีกไ็ ม่สามารถทีจ่ ะใหผ้ ลได้อย่างมนี ยั สำคัญ ปี ค.ศ. 1904 อัลเฟรด บิเนต์ (Alfread Binet) ได้พัฒนาแบบทดสอบทางสมอง เพื่อให้เห็นความแตกต่าง ระหว่างบคุ คลชดั เจนมากข้นึ ในปี ค.ศ. 1916 ลูอิส เทอร์แมน (Lewis Terman) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ท่ีมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้ดัดแปลงแก้ไขข้อทดสอบของบิเนต์ออกเผยแพร่ เรียกใหม่ว่า Standford Binet Test และเป็นที่รู้จักมาจน ปัจจุบันนี้ เม่ือเร่ิมสงครามโลกครั้งท่ี ๑ นักจิตวิทยาและนักการศึกษา เพิ่มความสนใจศึกษาวิจัยเรื่องความแตกต่าง ระหว่างบุคคล โดยเฉพาะเร่ือง สติปัญญา เพ่ือจะได้บุคคลที่มีความสามารถสำหรับดำเนินการ ให้ความสามารถ เหมาะสมกับงาน การศึกษาวิจัยความแตกต่างระหว่างบุคคลยังคงดำเนินอย่างต่อเน่ืองจนส้ินสุดสงครามโลก ครั้งท่ี ๒ ๒.๙.๒ ความหมายความแตกต่างระหวา่ งบุคคล นักจิตวิทยาและนักการศึกษาท่ีศึกษาความแตกต่างระหว่างบุคคล ส่วนใหญ่จะมุ่ งประเด็นศึกษา ไปท่ีรายละเอียดของความแตกต่างระหว่างบุคคล ฉะนั้น ความหมายของความแตกต่างก็จะมาจากข้อมูล ของความแตกต่างระหวา่ งบคุ คลทนี่ ักจิตวทิ ยาและนกั การศึกษาแตล่ ะท่านเขียนถึง ดงั น้ี ไบเอ็จและฮันด์๒๑ ได้กล่าวไว้ว่า ความแตกต่างระหว่างบุคคลก็คือ ส่วนท่ีมีความคล้ายคลึงกันและส่วนที่ ไมเ่ หมอื นกันของคน น้อมฤดี จงพยุหะ และคณะ๒๒ ได้ให้ความหมายไว้ว่า ความแตกต่างระหว่างบุคคล หมายถึง ความแตกต่างระหว่างท้ัง หมดโดยส่วนรวมของคนคนหนึ่ง แต่แตกต่างจากอีกคนหนึ่งในทุกๆ ด้าน ทั้งทางกาย อารมณ์ สังคมและสตปิ ัญญา กันยา สุวรรณแสง๒๓ ได้กล่าวไว้ว่า ความแตกต่างระหว่างบุคคล คือ แต่ละคนในโลกน้ีย่อมมี ความแตกต่างกันบ้างไม่มากก็น้อย ทั้ง ภายนอกคือ ทางกายและภายในคือ นิสัยจิตใจ สติปัญญา ความถนัด ความสามารถ ความสนใจ เจตคติ ความต้องการ อารี พันธ์มณี๒๔ ได้ให้ความหมายไว้ว่า ความแตกต่างระหว่างบุคคลว่าหมายถึง ลักษณะของบุคคลแต่ละ คน ซ่ึงไม่เหมือนกันแตกต่างกัน มีลักษณะหรือแบบไม่ซ้ำใครและไม่เหมือนใคร ความแตกต่างระหว่างบุคคล ทางกาย อารมณ์ สงั คมและสตปิ ัญญา ซ่งึ ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล ทำให้บุคคลมเี อกลกั ษณข์ องตน จากข้อมูลข้างต้นความแตกต่างระหว่างบุคคลสามารถสรุปได้ว่า หมายถึง ความไม่เหมือนกันหรือ ความคล้ายคลึงกันของบุคคลหรือลักษณะเฉพาะของบุคคลในทุกๆด้าน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ๒.๙.๓ ประเภทของความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล จากการศึกษาค้นคว้าในเรื่อง ความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักจิตวิทยาและนักการศึกษา ตั้งแต่สมัย อดตี จนถึงปัจจบุ ัน พบวา่ แต่ละคนมีความแตกตา่ งกนั ออกไปมากมาย พอสรุปรวมๆ เปน็ ๔ ประเภท ดังนี้ ๒๑ Biage & Hunt, M.L and Hunt,J.M., Hunt Phychological Foundation of Education, 5th ed. New York: Harper & Row, 1979, p.110. ๒๒ นอ้ มฤดี จงพยหุ ะ และคณะ, คู่มอื การศึกษาวชิ าจติ วทิ ยาการศึกษา, (กรงุ เทพมหานคร : มิตรสยาม,๒๕๑๖), หน้า ๑๒๐. ๒๓ กันยา สวุ รรณแสง, จติ วทิ ยาท่วั ไป, (กรงุ เทพมหานคร : บริษัทบำรุงสาสน์, ๒๕๔๐), หน้า ๖๙. ๒๔ อารี พันธม์ ณี, จิตวทิ ยาสร้างสรรค์การเรยี นการสอน, (กรุงเทพมหานคร : ใยไหม ครีเอทฟี กรปุ๊ , ๒๕๔๖), หนา้ ๓๑.

จติ วทิ ยาสำหรบั ครู ๔๖ ๒.๙.๓.๑ ความแตกตา่ งทางร่างกาย (Physical) ความแตกตา่ งทางร่างกาย หมายถึง ความแตกต่างของลักษณะทางร่างกายท่ีเห็นได้ชดั ตลอดจน ปาก จมูก หู ตา และอวยั วะตา่ งๆ ของร่างกาย ซงึ่ จะแตกต่างกนั ในแต่ละบุคคล วิลเลียม เชลดอน (William Sheldon) ซึ่งเป็นแพทย์ชาวอเมริกันได้ศึกษาลักษะความแตกต่าง ทางร่างกายของมนุษย์ เขาเชื่อว่าลักษณะของบุคคลมีพ้ืนฐานมาจากยีน (gene) ร่วมกับส่ิงแวดล้อมของมดลูก ลักษณะของรูปร่างยากต่อการเปลี่ยนแปลง การเปล่ียนแปลงอาจจะเปล่ียน เม่ือได้รับความกดดันจากสิ่งแวดล้อม เช่น ส่ิงแวดล้อมภายในครอบครัว ประเพณีวัฒนธรรม ตลอดจนการศึกษาที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งด้าน ความคิด และทัศนคติ เชลดอน แบ่งโครงสร้างทางร่างกายออกเป็น ๓ ประเภท คือ พวกอ้วน (Endomorphy) พวกสมส่วน (Mesomorphy) และพวกผอมบาง (Ectomorphy) จากนั้นเชลดอนได้ใช้วิธีการสัมภาษณ์ และสังเกต จากกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นเพศชายท้ังหมด โดยศึกษาเป็นเวลาหลายปี ผลจากการศึกษาครั้งน้ี เชลดอน พบว่า ลักษณะโครงสร้างทางร่างกายของมนุษย์มีความสัมพันธ์กับบุคลิกภาพ เขาจึงแบ่งประเภทของบุคลิกภาพ ตามลกั ษณะโครงสรา้ งทางรา่ งกาย (Constitutional types) ออกเปน็ ๓ ประเภท ดงั น้ี ๑. Endomorphy เป็นพวกที่มีโครงสร้างทางร่างกายอ้วนเตี้ย มีลักษณะตัวกลมเน้ือ มากไขมันมากร้อน ง่ายเคล่ือนย้ายไม่คล่องตัว ชอบการรับประทานและรับประทานจุชอบสนุกสนาน รักความสะดวกสบายมีมนุษย สัมพันธ์ดี ๒. Mesomorphy ลักษณะของคนแข็งแรงมีกล้ามเนื้อ เป็นมัดอย่างเห็นได้ชัด ชอบออกกำลังในกิจกรรม ตา่ งๆ ชอบการผจญภัยประเภทใช้กำลัง เปน็ คนกระตือรือร้น ตัดสนิ ใจเร็ว กลา้ หาญ ใจหนกั แน่น พูดตรง ไปตรงมา คอ่ นขา้ งก้าวร้าว ไม่ชอบอยู่ในท่ีแคบ ๓. Ectomorphy เป็นพวกที่มีลักษณะคนผอมไม่ค่อยมีกล้ามเน้ือ ไม่ชอบเข้าสังคม มีความสุขุมอยู่เป็นที่ ทาง มีระเบียบ บางครงั้ หยมุ หยิม ฉลาด มปี ฏิภาณไหวพรบิ มคี วามรับผิดชอบสงู ดงั แสดงในภาพท่ี ๒.๑ ภาพท่ี ๒.๑ แสดงลกั ษณะของบคุ คลท่ีมลี กั ษณะแบบ ท่มี า : http://www.puntofape.com/biotipos-porque-el-musculo-se-convierte-en-grasa-๔๐๘๕/ เครชเมอร์๒๕ ไดแ้ บง่ ลักษณะ ความแตกต่างของมนุษย์ออกเป็น ๔ ประเภท คอื ๑. แอสทีนิก ไทป์ (Asthenic Type) หรือเลพโตซัม ไทป์ (Leptosome Type) หมายถึง บุคคล ที่มีลักษณะผอมสูง ตัวยาว แขนขายาว เป็นคนช่างคิด เงียบเหงา เจ้าอารมณ์ จัดว่าเป็นพวกท่ีมีบุคลิกภาพแบบ เก็บตวั ๒๕ Kretschmer อ้างจาก อารี พันธมุ์ ณี, จติ วิทยาสรา้ งสรรคก์ ารเรียนการสอน, (กรงุ เทพมหานคร: ใยไหม ครเี อที ฟกรุป๊ , ๒๕๔๖), หน้า ๓๓.

จิตวทิ ยาสำหรบั ครู ๔๗ ๒. ปิคนิก ไทป์ (Pyknic Type) หมายถึง บุคคลท่ีมีรูปร่างอ้วน เต้ียหนา มักจะมีอารมณ์ เปล่ียนแปลงและออ่ นไหวงา่ ย สลับกันระหวา่ งความรา่ เรงิ และความเศร้า ๓. แอทเลอติก ไทป์ (Athletic Type) หมายถึง บุคคลท่ีมีลักษณะระหว่าง Asthenic และ Pyknic กล่าวคอื เปน็ คนที่มีรปู รา่ งแข็งแรง ชอบออกกำลังกาย ร่าเริง ชอบสนุกสนาน ๔. ดิสพลาสติค ไทป์ (Dysplastic Type) หมายถึง บุคคลท่ีมีลักษณะ รูปร่างไม่สอดคล้องกับ สติปัญญา มกั เปน็ คนทม่ี ีรปู รา่ งสูงใหญ่ แต่ระดับสตปิ ญั ญาคอ่ นขา้ งตำ่ และขโี้ รค ความแตกตา่ งทางด้านร่างกาย สามารถใช้เคร่ืองมือวดั ไดห้ ลายวธิ ี เชน่ เคร่ืองมือท่ีเรยี กว่า Hand Dynamometer เป็นเคร่ืองวัดแรงกดดันอันเล็กๆ มีเข็มชี้ระดับความแรง เพ่ือวัดดูกำลังของมือ หรืออาจจะใช้ เครื่องชง่ั น้ำหนกั เครือ่ งวดั ความสูง หรือเคร่ืองวดั อัตราการเตน้ ของหวั ใจเปน็ ต้น ๒.๙.๓.๒ ความแตกตา่ งทางอารมณ์ (Emotion) ความแตกต่างทางอารมณ์ คือ ความแตกต่างของบุคคลในความสามารถท่ีจะควบคุมพฤติกรรม ต่างๆ ขณะเกิดอารมณ์อย่างใดอย่างหน่ึง อารมณ์ที่บุคคลแสดงออกมานั้น มีระดับต่างๆ กัน เช่น อย่างเบาบาง อย่างรุนแรง ความแตกต่างทางอารมณ์ระหว่างหญิงกบั ชายจะปรากฏเห็นชัดมาก มาตั้งแต่วัยเด็กเล็กขึ้น ไปจนถึง ผู้ใหญ่ เด็กชายพัฒนาการทางด้านอารมณ์ได้ดีกว่าเด็กหญิง คือ หนักแน่น มั่นคงกว่า หญิงมักใจน้อย อารมณ์ อ่อนไหว แปรปรวนบอ่ ย โกรธงา่ ย รักง่าย เกลียดง่าย อิจฉา ข้ีอาย ขสี้ งสารหวั เราะง่าย ร้องไหง้ า่ ย อารมณ์ คือ ความหว่ันไหวของร่างกาย อารมณ์ไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เป็นสิ่งท่ีเกิดจาก การเรียนรู้เมื่อภายหลัง แต่ก็เป็นสิ่งท่ีซับซ้อนมาก จนบางอย่างยากท่ีจะเข้าใจได้ เช่น เยือกเย็น อิจฉาริษยา โมโห ฉุนเฉียว ขลาด อารมณ์ร้อน อารมณ์ขัน น้อยใจ ขยะแขยง เกลียด แต่ละคนมีอารมณ์ต่างๆ กัน อารมณ์สำคัญ อย่างกว้างๆ คือ อารมณ์รัก โกรธ กลัว อารมณ์พัฒนา งอกงามมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เร่ิมมีชีวิตจนถึงวัยชรา จึงไม่ต้อง สงสยั วา่ แต่ละคนย่อมจะมอี ารมณแ์ ตกตา่ งกัน เพราะทุกคนเรียนรู้ต่างกัน ภายใต้สภาพการณ์แวดล้อมที่ผิดแผกแตกต่างกัน มีความกดดัน มีความสัมพันธ์ทางครอบครัวไม่เหมือนกัน มีประสบการณ์ของชีวิตที่แตกต่างกัน ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบิดา มารดา ต้ังแต่วัยแรกเกิด การช่วยเสริมสร้างพัฒนาอารมณ์ต่างๆ ข้ึน มาทีละน้อย เริ่มจากความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย สขุ สบาย จะกลายมาเป็นความรกั ในท่ีสดุ ถ้าเร่ิมจากความผิดหวัง ความขดั แย้ง ความคับข้องใจจะกลาย มาเป็นความโกรธ เกลยี ด ๒.๙.๓.๓ ความแตกต่างทางสังคม (Social) มนุษย์จะมีพฤติกรรมของตนแตกต่างกับผู้อื่น เช่น ลักษณะการพูด การแต่งกายท่าทาง กิริยามารยาท การปรบั ตัว เป็นต้น ทั้งนี้เพราะแต่ละคนมาจากครอบครวั และส่ิงแวดล้อมท่แี ตกตา่ งกัน แม้วา่ จะอยู่ ในสังคมเดียวกัน ก็ยังมีความแตกต่างกัน ยิ่งสภาพแวดล้อมต่างกัน ก็ย่ิงมีความแตกต่างกันมาก เช่น คนท่ีเกิด และเติบโตในประเทศสหรัฐอเมริกา จะปรับตัวในสังคมได้ง่ายกว่าประเทศทางเอเชีย ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า เด็กที่ได้รับการเล้ียงดูต่างกัน ย่อมมีนิสัยสังคมต่างกัน ครอบครัวที่ม่ังค่ังสมบูรณ์มีแต่ความอบอุ่น สุขภาพจิต ย่อมจะดีกว่าครอบครัวท่ีมีปัญหา อยู่ในสภาพบ้านแตก (Broken Home) คนเราเกิดมา จะต้องอยู่ร่วมกันในสงั คม ต้ังแต่ยังเป็นเด็กเล็ก ก็มีความสัมพันธ์กับครอบครัวเครือญาติ คร้ันเด็กย่ิงเจริญวัยก็ย่ิงขยายวงกว้างออกไปสู่ โรงเรียน เพ่ือนบ้าน สู่โลกภายนอก คือ สังคมท่ัวไป ตลอดเวลาท่ีมีการสัมพันธ์ สังสรรค์ สังคม ซึ่งกันและกัน คนเราได้สัมผัส ได้พบประสบการณ์ต่างๆ กัน จึงสร้างแบบของการตอบสนองขึ้นมาต่างๆ กัน ไม่เหมือนกันท้ังน้ัน การตอบสนองนี้ถือเป็นเร่ืองลักษณะแตกต่างทางสังคมทั้งส้ิน ไม่มีใครประพฤติตอบสนองต่อเหตุการณ์ อย่างเดียวกันเหมือนกัน เพราะต่างมาจากรากฐาน ฐานะทางสังคมและการอบรมที่แตกต่างกัน พฤติกรรม การแสดงออก เช่น กริยา ท่าทาง ต่างกันออกไป เนื่องจากวฒั นธรรม ขนบประเพณี มารยาท ศลี ธรรมแตกต่างกนั

จิตวทิ ยาสำหรบั ครู ๔๘ การพบปะสังสรรค์หรือการสังคมซึ่งกันและกัน จะเป็นระหว่างบิดามารดากับบุตรระหว่างหมู่พี่น้อง ระหว่างเพ่ือนฝูง ร่วมเพศต่างเพศ ร่วมวัยและต่างวัยก็ตามย่อมจะสร้างแบบการตอบสนองต่อการสัมพันธ์สังคม นั้นๆ ขึ้นมาก ลูกจะเรียนรู้วิธีปฏิบัติต่อบิดามารดา เพื่อนรู้วิธีตอบสนองต่อเพื่อนสามีรู้การปฏิบัติต่อภรรยาและ โดยนยั กลบั กัน การตอบสนองพวกเหล่าน้ี เราจดั ใหอ้ ยู่ในเรื่องของความแตกต่างทางสงั คมทั้งสิน้ เนอื่ งจากแต่ละคนกเ็ กดิ มาคนละเวลา ภายใต้สงิ่ แวดล้อมทไ่ี มเ่ หมือนกัน มเี หตกุ ารณท์ จ่ี ะเกิดข้นึ แก่ชวี ิตผิด กัน การสร้างสรรค์การตอบสนองในทางสังคมจึงมีผลให้แตกต่างกันออกไป เด็กท่ีได้รับการเลี้ยงดูอย่างอดอยาก จะหวังว่าให้มีพฤติกรรมในสังคมเหมอื นเดก็ ที่ได้รบั การเลี้ยงดูอย่างดีไม่ได้ บุตรที่มารดาเอาใจใส่ทะนุถนอมไม่ยอม ใหแ้ ตะต้องทงั้ งานหนักงานเบา อยากได้อะไรกเ็ พียงแต่เสยี เวลาเอ่ยปาก โดยท่ีไมท่ ัน จะตอ้ งอ้อนวอนขอ ยอ่ มจะมี ลักษณะการเข้าคน เข้าสังคมผิดไปจากเด็กที่ถูกปกครองอย่างแบบทรราชย์ ไม่มีความคิดอะไรเป็นของตนเอง จะทำอะไรก็ตอ้ งอย่ใู นขอบเขตวสิ ยั และยอ่ มจะผดิ กับเด็กทถี่ กู เลย้ี งดแู บบทอดทง้ิ ผู้ท่ีเราเกี่ยวข้องคบหาสมาคมด้วยนั้น มาจากสังคมต่างๆ กนั มาจากครอบครัวที่ให้การเล้ียงดูมาผิดกันมา จากสิ่งแวดล้อมผิดกันด้วยลักษณะต่างๆ เหล่านี้ ย่อมจะมีผลขัดเกลาให้พฤติกรรมทางสังคม เป็นต้น เช่น การพูดจา การแต่งตัว การวางตัว การเชื่อมั่นในตัวเอง ความละอายต่อผู้คนมากๆ และอ่ืนๆ อีกมากมาย ผิดแผก แตกต่างกันออกไป และถ้าหากว่าลักษณะพฤติกรรมทางสังคมต่างๆ นั้น ได้กระทำจนเป็นนิสัยประจำตัวเสียแล้ว ก็ยากจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในทางสังคมนั้น เปล่ียนแปลงได้ และจะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เมื่อในวัยเด็ก อาจจะเป็นอย่างหนึ่ง ซ่ึงผิดแผกกับในวัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่ ความเจริญเติบโตทางอายุ ก็มีผลให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงทง้ั ทางกายและทางสงั คม ๒.๙.๓.๔ ความแตกตา่ งทางสติปญั ญา (Intelligence) สติปัญญาเป็นความสามารถทางสมองที่บุคคลแต่ละคนมีความแตกต่างกันไปไม่มากก็น้อย เมื่อบุคคลท่ีมีความแตกต่างทางเชาวน์ปัญญามาอยู่รวมกันและต้องเรียนรู้ในสิ่งเดียวกันจึงเป็นเร่ืองท้าทายสำหรับ ผู้สอนท่ีจะต้องทำให้ผู้เรียนท่ีมีความแตกต่างด้านความสามารถทางสมองดังกล่าวได้รับประโยชน์จากส่ิงที่เรียน ให้มากท่ีสุด ดังนั้น เรื่องราวของเชาวน์ปัญญาจึงเป็นหัวข้อหนึ่งที่ครูผู้สอนควรทราบ เพ่ือจะได้ทำความรู้จัก และเข้าใจความแตกต่างด้านน้ีของผู้เรียนให้มากขึ้น ในที่นี้จะขอกล่าวถึงความหมายของเชาวน์ปัญญา ลักษณะ และโครงสรา้ งของเชาวน์ปัญญา การวดั เชาวนป์ ัญญา และลักษณะเชาวน์ปัญญาของผ้เู รยี นแต่ละกมุ ตามลำดบั สติปัญญาเป็นความสามารถในการเรียนรแู้ ละปรับตวั ให้เข้ากับสิ่งแวดลอ้ มสติปัญญาเป็นพันธกุ รรม แม้ว่า จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ก็สามารถส่งเสริมสนับสนุนให้ดีข้ึน โดยการอบรมเลี้ยงดู การส่งเสริมด้านการศึกษา และกิจกรรมจากครอบครัว โรงเรยี นและสงั คม ซึ่งเป็นส่งิ แวดลอ้ มทส่ี ำคัญท่กี ่อใหเ้ กดิ ความแตกต่างของบุคคล ๒.๙.๔ ปัจจัยทม่ี ีอทิ ธพิ ลต่อความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล องคป์ ระกอบสำคัญที่ทำใหบ้ คุ คลแตกต่างกันมีอยู่ ๒ ประการ ดังน้ี ๒.๙.๔.๑ พนั ธุกรรม (Heredity) พันธุกรรม หมายถึง ลักษณะที่ได้รับการถ่ายทอดจากพ่อ-แม่ และบรรพบุรุษ โดยผ่านขบวนการ ทางชีววิทยา ตัวอย่างที่เรารู้จักกันดีคือ สีผิว ความสูง ลักษณะผม เป็นต้น ส่วนสภาพแวดล้อมน้ัน เรานับรวมต้ัง แต่สภาพแวดล้อมนับแต่การปฏิสนธิเป็นต้นมา นั่นคือสภาพแวดล้อมในครรภ์ หลังคลอดวัยทารก วัยเด็ก จนกระทงั่ สภาพแวดล้อมทเ่ี ขาเติบโตเปน็ ผู้ใหญ่ ลักษณะทางพันธุกรรมถูกถ่ายทอดโดยผ่านโครงสร้างท่ีคล้ายเส้นด้ายเล็กๆ ที่อยู่ในนิวเคลียส (Nucleus) ของเซลล์ (ดังแสดงในภาพที่ ๒.๒) ซึ่งเรียกวา่ โครโมโซม

จิตวทิ ยาสำหรับครู ๔๙ ภาพที่ ๒.๒ “เซลล์” ท่ีมา:http://www.thaigoodview.com/node/17529 ในแต่ละ “โครโมโซม” สามารถถ่ายทอดได้หลายลักษณะทางพันธุกรรม แต่ละหน่วยจะถ่ายทอดลักษณะ ทางพันธุกรรมเพียงลักษณะเดียว เราเรียกว่า “ยีน” (Gene) ดังน้ัน “ยีน”จึงเป็นหน่วยพื้นฐานของการถ่ายทอด ทางพันธุกรรม ตำแหน่งของ “ยีน” แต่ละตัวบน “โครโมโซม”เราเรียกว่า “โลกัส” (Locus) เมื่อนักวิทยาศาสตร์ ศกึ ษาลงไปในรายละเอียดแล้วก็พบว่า ท้ังยีนและโครโมโซม มีองค์ประกอบทางชีวเคมีเป็นกรด ที่เรียกวา่ ดีเอ็นเอ (DNA) ดงั แสดงในภาพที่ ๒.๓ ภาพท่ี ๒.๓ แสดงแบบจำลองของ DNA และโครโมโซม ทม่ี า:https://sites.google.com/site/biobiobiotech/chiw-molekul-khxng-sing-mi-chiwit/kharbohidert สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีจำนวนโครโมโซมไม่เท่ากัน “โครโมโซม” เหล่าน้ีจะอยู่กันเป็นคู่ๆ ซ่ึงในคนมี ๒๓ คู่ ในทุกๆ เซลล์ ยกเว้นเซลล์สืบพันธุ์ เซลล์สืบพันธ์ุมีการแบ่งตัวแบบพิเศษท่ีเรียกว่า “ไมโอซีส” (Miosis) ทำให้มี การแยกโครโมโซมแต่ละคู่ออกจากกัน ทำให้แต่ละเซลล์มีโครโมโซมเพียงคร่ึงหนึ่ง คือ มีเพียง ๒๓ โครโมโซม ดังน้ัน เม่ือมีการสืบพันธ์ุของเพศชายท่ีเราเรียกว่า “สเปอร์ม” (Sperm) จะมารวมกันกับเซลล์ สืบพันธุ์ของเพศ หญิง ท่ีเราเรียกว่า “ไข่”(Ovum) กลายเป็นเซลล์เซลล์เดียว โครโมโซมของท้ัง ๒ ฝ่าย ก็จะมาร่วมกันเป็น ๒๓ คู่ และแบง่ ตวั ออกเร่ือยๆ และค่อยๆ เปล่ยี นแปลง แยกแยะเปน็ อวัยวะต่างๆ จนเป็นทารกท่ีมลี ักษณะต่างๆครบถ้วน ดงั นนั้ ลูกซง่ึ จะมลี ักษณะของท้งั ฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่อยา่ งละครึง่ มารวมกัน โครโมโซมท้ัง ๒๓ คู่ของคน มีลักษณะดงั ในภาพที่ ๔ จะเห็นได้ว่าคู่สุดท้ายมีลักษณะพิเศษ ซึ่งจะทำหนา้ ท่ี กำหนดเพศว่าเป็นชายหรอื หญิง จึงเรียกว่า “โครโมโซม” ค่ขู องโครโมโซมเพศหญงิ มลี กั ษณะเหมอื นกันเรียกวา่ XX แต่ละคู่ของโครโมโซมเพศชายมีลักษณะต่างกันเรียกว่า XY ดังน้ัน เมื่อเราย้อนกลับไปทบทวน ถึงการผสมพันธ์ุ จะเห็นได้ว่าไข่ทุกใบจะประกอบด้วย โครโมโซม X แต่สเปอร์มจะประกอบด้วย โครโมโซม X หรือ Y ก็ได้ ถ้าสเป อร์ม X มารวมกับไข่ X ก็จะได้ทารกออกมาเป็นเพศหญิง (XX) ถ้าสเปอร์ม Y มารวมกับไข่ X ก็จะได้ทารกออกมา เป็นเพศชาย (XY)โครโมโซมของคน ๒๒ คู่แรกจะเหมอื นกัน ไม่ว่าในเพศไหน ส่วนคทู่ ่ี ๒๓ จะตา่ งกนั ตามภาพท่ี ๔ โครโมโซม คทู่ ่ี ๒๓ ก เป็นเพศหญิง คู่ท่ี ๒๓ ข เป็นเพศชาย ดงั แสดงในภาพที่ ๒.๔ และ ๒.๕

จติ วทิ ยาสำหรับครู ๕๐ ภาพที่ ๒.๔ แสดงการทโ่ี ครโมโซมแบ่งตัวจากบิดามารดาและมารวมกนั ในบุตร ทม่ี า:https://sites.google.com/site/marisa44638/khormosom-laea-kar-thaythxd- laksnaphanthukrrm/yin-laea-kar-khwbkhum-laksna-phanthukrrm ภาพที่ ๒.๕ แสดงโครโมโซมของมนุษย์ ทีม่ า:http://www.omsschools.com/school/school_teacher/index.php?id_teacher=475& lesson_id=428 ๒.๙.๔.๑.๑ ลักษณะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม มนุษย์เกิดมาย่อมมีลักษณะรูปร่าง สติปัญญา เหมือนกับบรรพบุรุษ โดยลักษณะเด่น หรือลักษณะข่มจะปรากฏให้เห็นก่อน ส่วนลักษณะด้อยหรืออ่อนจะยังไม่ปรากฏ แต่จะปรากฏออกมาในรุ่นหลังๆ ได้ โดยคุณลักษณะท่ีจะสืบทอดไปยังลูกหลานน้ัน จะต้องเป็นคุณลักษณะท่ีบรรพบุรุษได้สืบทอดมาจากรุ่นก่อน เช่นกัน ลักษณะอ่ืนที่ได้รับเพ่ิมเติมภายหลังหาได้ตกทอดไปถึงบุตรหลานไม่ ท้ังน้ีเพราะได้พิสูจน์แล้วว่า สิ่งที่ได้รับ เพม่ิ เติมภายหลงั มไิ ดม้ อี ทิ ธิพลตอ่ เซลล์สบื พนั ธุ์จึงไม่มผี ลต่อพนั ธกุ รรมเลย พ่อแม่มีความสามารถทางดนตรี ก็ใช่ว่าได้ถ่ายทอดความสามารถทางการเล่นดนตรีมาถึงลูกหลานไม่ คงจะมีแต่แนวโน้มที่จะทำให้ลูกหลานสนใจการเล่นดนตรี และทำตามอย่างพ่อแม่บ้าง ทั้งนี้เพราะเด็ก อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นน้ันเป็นท่ียอมรับกันว่าลักษณะต่อไปน้ีเป็นลักษณะท่ีถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ และเป็นที่ ปรากฏเดน่ ชดั ดังนี้ ๑. ลักษณะทางกาย ไดแ้ ก่ ๑.๑.ขนาดรา่ งกาย เช่น สงู เต้ยี อว้ น ผอม ผมหยิก จมูกโดง่ ๑.๒. เพศและลักษณะประจำเพศ ลกั ษณะประจำเพศ หมายถึง สิ่งท่ีทำใหห้ ญิงหรือชาย แตกต่างกันในเรื่องรูปร่างลักษณะ หน้าตา เสียง เช่น เพศหญิงมี หน้าอกใหญ่ เอวเล็ก สะโพกผาย เสียงแหลม เปน็ ต้น ๑.๓. ลักษณะของสตี าและสผี ม เช่น ตาสดี ำ ผมสนี ำ้ ตาล ๑.๔. ชนิดของกลุ่มเลือด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม A, B, AB หรือ O ลูกจะต้องมีกลุ่มเลือด เหมือนหรอื สอดคล้องกับพอ่ แม่หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสมอ ๑.๕. ลักษณะความผิดปกติและความบกพร่องทางร่างกาย เช่น ตาบอดสี เพดาน ปาก โหว่ ศีรษะล้าน นวิ้ เกนิ เป็นตน้ ๑.๖. การทำงานของต่อมไรท้ ่อ

จติ วทิ ยาสำหรับครู ๕๑ ๒. ลักษณะทางสตปิ ัญญา สติปัญญาของคนเราน้ัน มีองค์ประกอบสำคัญอยู่กับพันธุกรรม แต่ส่ิงแวดล้อมก็มีส่วนทำให้ สติปัญญาดีข้ึน หรือเลวลงได้ จากการศึกษาของก็อดดาร์ด (Henry E Goddard) ศึกษาครอบครัว ของกัลลิแกค (Kallikak) เป็นทหารมีภรรยา ๒ คน คนหนงึ่ เป็นหญงิ ปัญญาอ่อน ทำงานตามบาร์ ปรากฏว่าลูกเกิดมา สองในสาม คนเปน็ ปัญญาอ่อนประกอบอาชีพช้ัน ต่ำ เชน่ อาชญากร ขอทาน โสเภณี ส่วนหญิงภรรยาอีกคนเป็นคนปกติ มีลูก ทมี ีสตปิ ัญญาคอ่ นข้างสูงเปน็ ส่วนมากและประกอบอาชพี ดีเป็นท่ียอมรบั ของสงั คม ๓. โรคบางอยา่ ง สามารถา่ ยทอดทางพันธุกรรมได้ เช่น ๓.๑. โรคเบาหวาน โรคลมบา้ หมู ๓.๒. โรคโลหติ ไหลไมห่ ยดุ ๓.๓. โรคผิวสีเผอื ก ๓.๔. โรคท่ีทำใหส้ มองชา้ หรือปญั ญาอ่อน ๓.๕. โรคซ่ึงเกดิ จากการผิดปกตขิ องโครโมโซม ลั ก ษ ณ ะท่ี ได้ รับ ก ารถ่ าย ท อ ด ท างพั น ธุก รร ม เห ล่ า นี้ จ ะต้ อ งเป็ น ลั ก ษ ณ ะท่ี มี อ ยู่ ค งที่ ใน ยี น ส์ ของบุคคล ส่วนลักษณะที่เกิดข้ึน ภายหลัง เช่น ขาด้วนเพราะอุบัติเหตุ การผ่าตัดตาชั้น เดียวให้เป็นตาสองช้ัน เปน็ ลักษณะทไ่ี ม่สามารถจะถา่ ยทอดทางพนั ธกุ รรมได้ ๒.๙.๔.๒ ส่ิงแวดลอ้ ม (Environment) สิ่งแวดล้อม หมายถึง ทุกส่ิงทุกอย่างที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเรา เป็นส่ิงต่างๆ ที่อยู่รอบตัวที่มีผล ตอ่ ความแตกตางของมนุษย์ ส่งิ แวดล้อมมีสภาพท้ัง ดแี ละเลว คอื เป็นท้งั คณุ และโทษตอ่ เรา ส่ิงแวดล้อมมีทั้ง ส่ิงมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต ตัวอย่างเช่น สภาพดินฟ้าอากาศ พลังงาน มนุษย์สัตว์ พชื สิ่งของวัตถุ ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณตี ่างๆ ส่ิงแวดล้อมเป็นสิ่งที่กล่อมเกลาแต่ละบุคคลท่ีมาสัมพันธ์กับทุกคน อันได้แก่ อาหาร อากาศ สภาพท้องทีท่ างภูมิศาสตร์ ชนิดของบา้ นและเพอื่ นบา้ น โรงเรยี น ชมุ ชนและประเทศชาติ สง่ิ แวดลอ้ มนจี้ ะบ่งชถ้ี ึงการเห็น การได้ยิน การสัมผสั การไดก้ ลิน่ และการรูร้ สของแตล่ ะคน ส่ิงแวดล้อมมีความสำคัญสูงย่ิงต่อชีวิตมนุษย์ สิ่งแวดล้อมเป็นผลรวมท้ัง หมดของสิ่งเร้า ที่แต่ละ คนได้รับตั้ง แต่เกิดจนตาย ส่ิงแวดล้อมมีอิทธิพลต่อความแตกต่างของอินทรีย์อันนอกเหนือไปจากอิทธิพล ของพันธกุ รรม พระพุทธเจา้ ไดต้ รสั ถึงเรอื่ งการกำเนิดของคนและการกำเนิดชีวติ ไวด้ ังนี้๒๖ ๑. โชติ โชติปรายโน๒๗ สว่างมาแล้วสว่างไป หมายถึง บุคคลมีพันธุกรรมดีมาแต่กำเนิด เมอื่ มาอยใู่ นส่ิงแวดลอ้ มทด่ี ีก็จะชว่ ยใหค้ นๆ คนนัน้ มคี วามเจรญิ กา้ วหนา้ เกดิ การพฒั นาเต็มท่ี ๒. โชติ ตมปรายโน สว่างมาแล้วมืดไป หมายถึง บุคคลเกิดมามีพันธุกรรมดี แต่ตกอยใู่ น ส่งิ แวดลอ้ ม ทเ่ี ลว ก็ยอ่ มทำใหบ้ ุคคลนน้ั ถึงซ่ึงความเส่อื มได้ ๓. ตโม โชติปรายโน มดื มาแล้วสว่างไป หมายถึง บุคคลท่ีเกดิ มามีพันธุกรรมไม่คอ่ ยดีแต่ อย่ใู นสงิ่ แวดล้อมที่ดี ก็ชว่ ยให้บคุ คลนัน้ เจรญิ ก้าวหนา้ พฒั นาได้เตม็ ที่ ๔. ตโม ตมปรายโน มืดมาแล้วมืดไป หมายถึง บุคคลมีพันธุกรรมไม่ค่อยดีและยังอยู่ใน สิ่งแวดล้อมทเี่ ลว กต็ อ้ งถงึ ความเสื่อมอย่างแนน่ อน จะเห็นว่าส่ิงแวดล้อมอาจเป็นท้ัง ช่วยเร่งและถ่วงความเจริญงอกงามและพัฒนาการของเราได้ นั่นคือ สิ่งแวดล้อมเป็นเคร่อื งชช้ี ีวิตได้ ๒๖ สชุ า จนั ทน์เอม, จติ วทิ ยาวัยรุน่ , (กรุงเทพมหานคร : แพรพ่ ทิ ยา, ๒๕๒๑), หนา้ ๖๖. ๒๗ อัง.จตุ. (ไทย), ๒/๒๔๖.

จติ วทิ ยาสำหรบั ครู ๕๒ ๒.๙.๔.๒.๑ ส่ิงแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อเด็กในระยะอยู่ในครรภ์มารดาส่ิงแวดล้อม ที่มีอิทธิพลต่อเรามีอยู่ ๒ ชนิดคือ ส่ิงแวดล้อมก่อนเกิด ซ่ึงเป็นช่วยท่ีมีอิทธิพลต่อชีวิตในระยะอยู่ในครรภ์มารดา และสิง่ แวดล้อมหลังเกิดในระยะทเ่ี ดก็ อย่ใู นครรภม์ ารดานน้ั ส่ิงแวดล้อมทีม่ ีอทิ ธพิ ลตอ่ เด็กประกอบด้วยส่ิงต่อไปน้ี ๑) ส่วนของร่างกายของมารดาท่ีเด็กอาศัยหลอ่ เลี้ยงชีวติ เช่น ถุงน้ำคร่ำรกที่ติด กับผนังมดลูกของแม่ เช่ือมมาถึงสายสะดือของเด็กและเป็นหนทางท่ีเดก็ รบั เอาอาหาร คือ เลือดของมารดามาเลี้ยง รา่ งกาย สว่ นประกอบทส่ี ำคญั ๆ ที่กล่าวมาน้ีต้องอยใู่ นสภาพสมบูรณ์ แข็งแรงและไมม่ สี ่ิงเบยี ดเบียน ๒) อาหารของมารดา มารดาในระยะต้ัง ครรภ์ต้องการอาหารท่ีมีคุณค่า และถูกหลักอนามัย อาหารท่ีมีคุณค่าของมารดา จะกลายไปเป็นอาหารท่ีมีคุณค่าต่อเด็กด้วย มารดาที่ไม่ได้รับ คณุ ค่าอาหารเพียงพอ จะมีผลต่อร่างกายและจิตใจของเดก็ เชน่ เด็กอาจคลอดก่อนกำหนดเด็กเป็นโรคขาดอาหาร เลือดผดิ ปกติ อาหารทีม่ ารดาควรไดร้ ับเพ่อื สุขภาพของตนเองและของเด็กมี ดงั นี้ (๑) เน้อื นม ไข่ ถั่ว ให้ความเจริญเตบิ โตแก่เด็กและสร้างน้ำนมแม่ (๒) งา ปลาเล็ก กุง้ ยอดแค สะเดา สรา้ งกระดกู และฟนั ใหเ้ ดก็ (๓) ตบั ไข่แดง ผักกระถิน มะพร้าว น้ำตาล ป้องกนั โรคโลหติ จาง ชว่ ยสร้างเลอื ดของเด็ก (๔) ฟักทอง ตำลึง มันเทศ มะละกอสุก ผกั บุ้ง สร้างความเจริญ เติบโต บำรุงสายตาและเพ่ิมความตา้ นทานโรค (๕) ข้าวซอ้ มมือ ถั่ว กล้วย สร้างความเจรญิ บำรุงประสาทป้องกันโรค เหน็บชาแต่บางสิ่งบางอย่างก็เป็นพิษภัยแก่เด็กได้ เช่น ถ้ากินผงชูรสมากเกินไป เด็กอาจเป็นโรคเย่ือหุ้มสมอง อักเสบ หรือพิการได้ ๓) สุขภาพของมารดา มีอิทธิพลเหนือความเจริญของเด็ก มารดาที่เป็นโรค รา้ ยแรง เช่น ซิฟสิ ิส โลหิตเป็นพิษเหลา่ น้ียอ่ มจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเดก็ เด็กอาจไม่แข็งแรง พิการหรือตาย มารดาที่ตอ่ มไร้ทอ่ (Endocrine Gland) ทำงานไม่ได้ อาจจะไม่มีฮอรโ์ มนชนิดท่ีชว่ ยให้ทารกที่กำลังเจริญอยู่ยึดติด อยู่กับผนังมดลูกได้อย่างสงบสบาย แต่จะทำให้มดลูกบีบรัดตัว ซึ่งจะปรากฏเป็นการแท้งหรือเกิดการคลอดก่อน กำหนดได้ มารดาทีเ่ ป็นหัดเยอรมนั อาจทำใหเ้ ดก็ พกิ าร ตาบอด หูหนวกหรือเปน็ ปัญญาอ่อนได้ ๔) ยาท่ีมารดารับเข้าไป ยาบางชนิดอาจเป็นอันตรายแก่เด็กได้ เช่น มารดากิน ยาควินิน แก้มาลาเรียเข้าไปมากเด็กอาจหูหนวก ถ้ามารดาติดมอร์ฟีนลูกออกมาจะมึนงงเหมือนคนติดฝิ่น ยาทา ลิโดไมต์ (Thalidomide) ซงึ่ เป็นยาแก้แพ้จะทำใหเ้ ด็กคลอดใหม่มีรูปร่างผิดปกติ เช่น ไม่มแี ขนแต่มีมอื ไม่มีขาแต่มี เท้า หรือแขนลบี ขาลบี ๕) บุหรี่ มารดาท่ีสูบบุหร่ีเกินกว่าวันละ ๑๐ มวน อาจทำให้เด็กแท้งหรือคลอด ก่อนกำหนดได้ ถ้าคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักจะน้อยกว่าปกติ สติปัญญาก็เจริญช้า เคยมีการทดลองพบว่า เด็ก ในครรภ์ ๗ เดือน ซึ่งหัวใจเตน้ ปกติประมาณ ๑๔๐ คร้ังต่อนาที เม่ือมารดาสูบบุหรี่เข้าไปสัก ๒ – ๓ คร้ัง หวั ใจเด็ก ในครรภ์จะเต้นเร็วข้ึน เป็น ๑๘๐ ครงั้ ตอ่ นาที แตใ่ นบางรายกลบั เตน้ ชา้ ลงไปนาทลี ะ ๑๗ ครั้ง ๖) กัมมันตภาพรังสี เช่น มารดาได้รับรังสีเอ็กซ์ (X-Ray) อาจเป็นอันตราย ต่อเด็กในครรภ์ได้ เพราะเซลล์ต่างๆ ของเด็กมีความไวต่อรังสีมากกว่าเซลล์ของผู้ใหญ่และเซลล์ของเด็กมีน้อย อีก ทงั้ ยังอ่อนแออยมู่ าก ดังนัน้ การตายของเซลล์อันเน่อื งจากการรบั รังสที ำใหเ้ ด็กพิการได้ เชน่ มีรปู ร่าง แคระแกรน หัวเล็ก ปญั ญาอ่อน ลูกตาเล็ก การเจริญเตบิ โตของกระดูกผิดปกติ และเดก็ มีโอกาสเปน็ มะเรง็ โดยเฉพาะมะเร็งใน เม็ดเลือดสงู กว่าคนทัว่ ไป ๗) องค์ประกอบของโลหิต (Rh Blood Factor) ลักษณะโลหิตท่ีตรงข้าม ของมารดาและเดก็ (คือ มีกลุม่ เลือดคนละกลุ่ม) เชน่ เด็กได้รบั Rh บวกจากบดิ า Rh บวกจะมีโปรตีน แตใ่ นมารดา

จิตวิทยาสำหรับครู ๕๓ มี Rh ลบไม่มีโปรตีน ตามปกติแล้วเลือดของเด็กและเลือดของมารดาจะแยกกัน โดยรกเป็นเครื่องกั้น แต่บางคร้ัง จะมีเลือดของเด็กน้อยที่ผ่านรกออกไปได้ ทำให้มารดาได้รับโปรตีน เป็นสารแปลกปลอม ร่างกายมารดาจึงสร้าง สารต้าน (Anti - Bodies) ขึ้น มาต่อต้านทำให้เป็นพิษต่อเด็ก เพราะไปเป็นตัวลดออกซิเจนที่ไปเลี้ยงเด็ก และทำลายสมองของเดก็ ทำให้มีการแท้งเกิดขนึ้ ในระยะแรกๆ ของการตั้งครรภ์ ๘) อุบตั ิเหตุ เชน่ มารดาพลัดตก หกลม้ อาจเกิดการกระทบกระเทือนถึงเด็กใน ครรภไ์ ด้ เดก็ อาจแทง้ หรือเซลล์บางส่วนถกู ระเทอื นจนไม่สามารถเจริญเติบโตตามปกติได้ ๙) สารพิษต่างๆ มารดาที่ได้รับสารพิษจากสิ่งแวดล้อม เช่น พิษปรอทพิษสาร ตะก่ัว ก็จะถา่ ยทอดสารพิษนน้ั กบั เดก็ ในครรภ์ ทำใหเ้ ด็กพิการท้ัง ร่างกายและสมอง ๑๐) อารมณ์ของมารดา มารดาท่ีอารมณ์เครียดจะทำให้ต่อมอะดรีแนล (Adrenale) ผลิตฮอร์โมนผ่านสายรกเข้าสู่เด็กในครรภ์ เด็กนั้นอาจมีอาการโรคประสาทภายหลังได้และจากผล การคน้ คว้าทางแพทย์ ก็พบเพิ่มเติมว่า มารดามีครรภ์ท่ีกระทบกระเทือนใจอย่างแรงทำให้เด็กเกิดขาด้วนแขนด้วน ปากแหว่ง เพดานโหว่ เป็นใบ้ หูหนวก ท้ังนี้กล่าวได้ว่า อารมณ์ของมารดาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสารเคมี ในร่างกาย ทำให้เด็กในครรภ์เป็นเช่นน้ัน ไปด้วย ซึ่งมีผลต่อการตาย การพิการ และมีผลต่อสภาวะทางอารมณ์ ของเดก็ เมือ่ กำเนดิ ออกมาแล้ว ๑๑) การได้รับการดูแลจากแพทย์ แพทย์จะช่วยแนะนำแนวปฏิบัติที่เหมาะสม ในการบำรุงรักษาครรภ์ เช่น เร่ืองอาหาร ถ้าได้รับการดูแลจากแพทย์ดีพอ เด็กจะไม่แท้งจะไม่คลอดก่อนกำหนด ตลอดจนแพทย์จะช่วยดแู ลในการคลอดใหด้ ้วย ๑๒) ทัศนคติของบิดามารดาและบุคคลในครอบครัว ทุกคนต้องการเด็กมาเพิ่ม เป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัวหรือไม่บิดามารดามีความพร้อมท่ีจะมีเด็กหรือไม่ ฐานะทางเศรษฐกิจเอื้ออำนวยต่อ การมีเด็กหรือไม่ เร่ืองเหล่านี้ย่อมส่งผลต่อเด็กในครรภ์ได้เสมอ สามีภรรยาบางคู่อาจแต่งงาน ด้วยเหตุผลบาง ประการ เช่น ต้องการเป็นเพื่อนสนิท เป็นท่ีพึ่งของกันและกัน ต้องการให้คนอื่นรักตนแต่ผู้เดียว เม่ือจะมีเด็กมา ใหม่ก็อาจไมพ่ อใจทคี่ วามรกั ของตวั เองจะตอ้ งถูกแบง่ ออกไป ๑๓) อายุของมารดา อายุท่ีเหมาะสมในการเป็นมารดาคือ อายุ ๒๓ – ๒๙ ปี มารดาท่ีสูงอายุมักจะมีปัญหาเกี่ยวกับบุตร เช่น การตายของเด็กและมารดา การคลอดก่อนหรือหลังกำหนด ความบกพร่องของเด็ก ความแข็งแรงของร่างกายและสมองเด็ก การทำงานผิดปกติของต่อมต่างๆ ของเด็ก โดยเฉพาะการเกิดโรคสมองพิการ (Down’s Syndrome) ที่เกิดกับเด็กในครรภ์มารดาสูงอายุทำให้เด็กเจริญช้า มอี าการผิดปกติรา้ ยแรงทางประสาท สติปัญญาโงเ่ ขลามากมารดาท่ีมีอายุสงู มากมโี อกาสทำให้เด็กเป็นโรคนี้มาก ๑๔) การได้รบั ความกระทบกระเทือนในการคลอด ในขณะคลอด ถา้ มารดา มีกระดูกเชิงกรานเล็ก เด็กคลอดยากอาจต้องใช้คีมคีบหัวเด็ก หรืออาจใช้เครื่องดูดหัวเด็กออกมาอาจทำให้กระดูก ศีรษะของเด็ก ซ่ึงยังอ่อนได้รับความกระทบกระเทือนทำให้เด็กเป็นปัญญาอ่อนเป็นโรคลมชักได้และถ้าเด็กคลอด ยากต้องติดอยู่ที่กระดูกเชิงกรานของมารดาอยู่นานทำให้สมองขาดออกซิเจน ถ้าเกนิ ๓ นาที ก็จะทำใหเ้ ดก็ ปัญญา อ่อนได้เช่นกัน เด็กบางคนอาจเกิดการบาดเจ็บฉีกขาดหรือเกิดความผิดปกติระหว่างคลอดก็ย่อมกระทบกระเทือน ไดเ้ ชน่ กนั ๒.๙.๔.๒.๒ องค์ประกอบของส่ิงแวดล้อมท่ีมีอิทธิพลต่อความแตกต่างของบุคคล เมื่อเด็กคลอดจากครรภ์มารดาแล้ว ส่ิงแวดล้อมจะมีอิทธิพลตอ่ ความแตกต่างของบุคคล ทางบคุ ลิกภาพของเด็กอย่างมาก พฤตกิ รรมต่างๆ ของเดก็ จะแปรเปล่ยี นไปตามสิ่งแวดล้อมทอ่ี ยรู่ อบตัว ซง่ึ กลา่ วได้ เป็น ๔ ประการใหญ่ๆ ดงั น้ี ๑.สิง่ แวดล้อมทวั่ ๆ ไป

จติ วทิ ยาสำหรบั ครู ๕๔ ๑.๑ ดินฟ้าอากาศ สภาพทางภูมิศาสตร์มีส่วนช่วยปรับปรุงและ เปลี่ยนแปลงทั้ง ร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคมของคนได้มาก เช่น คนในเขตอบอุ่นมีร่างกายใหญ่โตกว่าคนใน เขตรอ้ น ขยนั ขันแขง็ กวา่ เปน็ ต้น ๑.๒ อาหาร มีอิทธิพลต่อความเจริญเติบโตท้ัง ด้านร่างกายอารมณ์ สังคม จิตใจ การได้รับสารอาหารที่มีคุณค่าต่างกัน การได้รับปริมาณอาหารแตกต่างกัน ย่อมส่งผลต่อพัฒนาการ ตลอดจนการเกิดโรคภัยไข้เจบ็ ต่างๆ ๑.๓ อุบัติเหตุ เด็กท่ีพลัดตกหกล้มศีรษะกระทบพ้ืน อย่างแรงย่อมทำ ใหส้ มองกระทบกระเทอื นกลายเปน็ คนปัญญาออ่ นไปได้ ๑.๔ เช้ือโรคต่างๆ เป็นตัวการสำคัญท่ีคอยบ่ันทอนความเจริญเติบโต ทุกด้านในตัวเด็ก เด็กควรต้องได้รับการฉีดยา ปลูกฝี หรือรับสารป้องกันโรคต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่มากมาย ถ้า ละเลยเดก็ อาจพิการ เสียชีวติ หรอื อาจพฒั นาการผดิ ปกติไปเลย ๒. สภาพทางบ้าน บ้านนับเป็นสถาบันสำคัญอันดับแรกที่เด็กจะได้รับประสบการณ์ ต่างๆท่ีส่งผล ตอ่ พฒั นาการของเขาโดยตรง สภาพทีค่ วรกลา่ วถึงมี ดงั นี้ ๒.๑ วิธีการอบรมเล้ียงดู เริ่มตั้ง แตก่ ารพิจารณาใหน้ มวา่ เด็กควรได้รับ นมแม่หรือนมขวด มีผลเสยี ต่างกนั อย่างไร โดยเน้นว่าวิธีการในการอบรมเลี้ยงดูที่สำคญั บิดามารดาตอ้ งทำให้เด็ก รู้สึกว่าตนได้รับความรกั ความอบอุ่น บดิ ามารดาต้องฝึกใหเ้ ดก็ มีความเป็นตัวของตนเอง ฝึกการพึ่งตนเองเมื่อโตขึ้น การให้รางวัลและการลงโทษเดก็ นนั้ ผ้ใู หญต่ ้องทำด้วยเหตุผล ไม่ใชอ้ ารมณ์และถ้าควบคุมดแู ลอย่างเข้มงวดกวดขัน จนเกินไปนน้ั อาจทำใหเ้ ดก็ มนี สิ ยั กา้ วรา้ ว ซง่ึ จะขัดขวางการพัฒนาวนิ ยั ทางสงั คมได้ ๒.๒ ความรักความเอาใจใส่ของบิดามารดา ทำให้เด็กเกิดความรู้สึก อบอุ่น ปลอดภัย มั่นคง ถ้าผู้ปกครองปล่อยปละละเลยทำให้เด็กรู้สึกว้าเหว่ ข้ีอ้อน หรืออาจท้อถอย เงียบขรึม สง่ ผลต่อพฒั นาการของเด็กอยา่ งมาก ๒.๓ การให้เสรีภาพให้เหมาะสมกับวัย มีการฝึกให้รับประทานเอง ฝกึ การขบั ถา่ ย การช่วยเหลอื ตวั เองในดา้ นตา่ งๆ การคบเพอ่ื น การตดั สินใจเลือกอาชีพ ๒.๔ จุดมุ่งหมายของบิดามารดา บิดามารดาไม่ควรปล่อยให้ชีวิตเด็ก เปน็ ไปตามบุญตามกรรม แต่ควรต้ัง จุดมุ่งหมายของชีวิตไว้บา้ ง โดยไม่ต้งั ไว้สูงเกินไปโดยให้คำนึงถึงความสามารถ และสติปัญญาของเด็ก ควรให้เดก็ มสี ่วนรว่ มในการเลือกเรยี นและการตดั สนิ ใจประกอบอาชพี ๒.๕ ฐานะทางเศรษฐกิจ บ้านท่ีมีฐานะทางเศรษฐกิจแตกต่างกัน มักจะมีวิธีการอบรมเล้ียงดูต่างกันด้วย เช่น ครอบครัวที่มีฐานะทางเศรษฐกจิ และสังคมต่ำมักใช้วธิ ีการลงโทษ เช่น การเฆีย่ นตี การกักขงั การดดุ ่า เป็นต้น ๓. สถานศึกษา โรงเรียนหรือสถานศึกษาเป็นสถาบันท่ีสำคัญรองลงมาจากบ้านในการให้ การศึกษา อบรมผู้เรียน บริบทของสถานศึกษาที่ต่างกันก็ย่อมส่งผลต่อผู้เรียนแตกต่างกันได้ เช่น โรงเรียนประจำ จังหวดั กบั โรงเรียนที่อย่หู ่างไกลจากตัวเมอื ง โรงเรียนรัฐบาล กับโรงเรียนเอกชน เป็นต้น ๓.๑ สถาบันทางสงั คมอื่นๆ ๑) สถาบันทางศาสนา ได้แก่ วัด ซึ่งเป็นสถาบันที่สำคัญ ในการอบรมศึกษาเล่าเรียนมาตั้ง แต่สมัยโบราณ ปัจจุบันวัดยังเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่วัฒนธรรม

จิตวทิ ยาสำหรับครู ๕๕ ขนบธรรมเนียมประเพณีแก่คนในท้องถิ่น บางวัดยังเป็นแหล่งให้การศึกษาอบรมแก่เด็กโดยตรง โดยการจัดตั้ง โรงเรียนสอนชนั้ ประถมและมธั ยม บางวัดอาจเปิดสอนชั้น เด็กเล็กก่อนวัยเรยี นอีกดว้ ย ๒) องค์กรและสมาคมต่างๆ เช่น ศนู ย์เยาวชน สถาน สงเคราะห์ ๓) สถาบันทางอาชพี ตา่ งๆ เชน่ โรงเรียน กลมุ่ อาชีพ ๔) สื่อมวลชน ได้แก่ หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ภาพยนตร์ ซ่ึงปัจจุบันสิ่งเหล่าน้ีเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตเด็กมากข้ึน ทุกวัน ทางบ้านและโรงเรียนควรมีบทบาทสำคัญในการ ส่งเสริมให้เด็กได้ดูภาพยนตร์ ดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ ตลอดจนอ่านหนังสือพิมพ์ อ่านวารสารที่มีประโยชน์และหัดให้ เดก็ ร้จู ักใช้วิจารณญาณเพอื่ เลือกแสวงหาความรู้จากสงิ่ เหล่าน้ีเพ่ือนำไปใชเ้ ปน็ ประโยชน์ตอ่ ชวี ติ ตนเองในภายหน้า ๒.๑๐ การสรา้ งบรรยากาศในชนั้ เรียน กระบวนการทางจิตวิทยาท่ีช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนให้เกิดประสิทธิภาพอีกประการหนึ่งท่ีขาด ไม่ได้คอื บรรยากาศในช้ัน เรียน เพราะถ้าผู้เรียนมีความสขุ อบอุน่ ใจ สนุกสนานมีความปลอดภัยทางจิต ปราศจาก ความกดดันต่างๆ มีสัมพันธภาพที่ดีกับครู กับเพ่ือนๆ ในชั้นเรียน ย่อมส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีและพร้อมท่ี จะพัฒนาศักยภาพของตน บรรยากาศในชั้น เรียนท่ีกล่าวถึงเป็นบรรยากาศทางจิตวิทยาที่มีความละเอียดอ่อน ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ ความจริงใจ การมีทักษะในการแสดงออกทางพฤติกรรม ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกภาพ ประจำตัว ท่าทีการส่ือสารท้ัง ทางวาจาและภาษากาย รวมทั้งมนุษยสัมพันธ์ ตลอดจนการเข้าใจปัญหาของผู้เรียน ซึ่งล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการนำมาใช้ในการสร้างบรรยากาศในช้ัน เรียนทั้งส้ิน ดังน้ัน ครูซ่ึงมีหน้าที่สำคัญ ในการส่งเสริมการเรียนรู้จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญ ด้วยการสนใจศึกษาความรู้จากหลักการ เทคนิค และกระบวนการทางจิตวิทยา เพ่ือนำมาใช้ในการสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจผู้เรียน รวมท้ังการฝึกฝน ตนเองให้มีทักษะในการแสดงออกทางพฤติกรรมที่เหมาะสมสามารถสื่อสารความต้องการ ความรู้สึกได้อย่าง มีประสทิ ธิภาพ อนั จะสง่ ผลดตี อ่ การสร้าง ๒.๑๐.๑ บรรยากาศในช้นั เรยี น ๑. ลักษณะบรรยากาศท่ีดีในชัน้ เรยี น บรรยากาศท่ีดีในช้ัน เรียนต้องเป็นบรรยากาศท่ีก่อให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น เป็นกันเอง ยอมรับ และส่งเสริมความสำคัญของผู้เรียน ให้ความรู้สึกเป็นอิสระและได้ใช้ความสามารถของผู้เรียนมาเป็นประโยชน์ ในกระบวนการจัดการเรียนการสอน ท่าทีและพฤติกรรมของครูจะต้องแสดงให้เห็นว่า มีความตระหนัก ในความรับผิดชอบท่ีมีต่อผู้เรียน ยกย่อง ยอมรับนับถือ ให้เกียรติและสนใจปัญหาของผู้เรียนอย่างจริงใจ เป็นบรรยากาศท่ีก่อให้เกิดความรู้สึกไว้วางใจซึ่งกันและกัน แต่ทั้งน้ีต้องคำนึงถึงการตอบสนองความต้องการ ของผู้เรียนเปน็ หลัก มากกว่าการตอบสนองความตอ้ งการของครูผสู้ อนแต่ฝา่ ยเดยี ว ๒. ความสำคญั บรรยากาศในช้ันเรยี น บรรยากาศในช้ัน เรียนที่ดี เป็นส่ิงที่จะเอื้ออำนวยและส่งเสริมประสิทธิภาพในการเรียนรู้ และการพัฒนาบุคลกิ ภาพของผเู้ รยี น จึงควรพิจารณาในเร่ืองต่อไปน้ี ด้านพัฒนาการเรียนรู้ การท่ีผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้และมีเจตคติท่ีดีต่อการเรียนข้ึ น อยู่กับคุณลักษณะของครูผู้สอนว่าจะสร้างบรรยากาศในช้ันเรียนให้เป็นไปในลักษณะใดครูผู้สอนจะเป็นผู้มีส่วน ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปในภาวะท่ีพึงประสงค์ได้ก็ต่อเม่ือครูได้ตระหนักในความสำคัญของการใช้ หอ้ งเรียนให้เป็นสถานท่ีปฏบิ ัติการทดลอง พัฒนาความรู้ความเข้าใจ ทักษะ ค่านิยมของผู้เรียน พยายามสนับสนุน ให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมให้กิจกรรมของกระบวนการเรียนการสอนอย่างเต็มท่ี สนุกสนานกับการเรียน มีชีวิตชีวา

จติ วทิ ยาสำหรับครู ๕๖ ในการเรียนมากกว่าท่ีจะเป็นผู้คอยรับคำส่ัง ฟังและจดตามเท่าน้ัน ซ่ึงนอกจากจะเป็นบรรยากาศท่ีไม่ท้าทายแล้ว ยังกอ่ ให้เกิดความเบ่ือหนา่ ยไมน่ ่าสนใจ ด้านตัวผู้เรียน บรรยากาศในช้ัน เรียนท่ีดีจะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จักตนเอง ด้านความสนใจ ความถนัด ความสามารถ เป็นโอกาสให้ได้ฝึกปฏิบัติ การควบคุมตนเอง การมีความสามารถพิจารณาเลือกสรร วิธีการในการแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม การที่ครูยอมรับนับถือให้เกียรติผู้เรียนในฐานะบุคคล มีเจตคติท่ีดี และมีความจริงใจต่อผู้เรียน ย่อมส่งผลให้ผู้เรียนยอมรับนับถือในตัวครูผู้สอนด้วยเช่นกัน ซ่ึงจะเห็นได้ว่า คณุ ลักษณะของครผู ้สู อนไม่ว่าจะเปน็ ความเช่ือคา่ นิยม ปรชั ญา อุดมคตขิ องครูทแ่ี ตกตา่ งกัน จะมีอิทธิพลและส่งผล ต่อผู้เรียนให้แตกต่างกันด้วย เช่น ผู้สอนที่ชอบวางอำนาจ ก้าวร้าว ชอบลงโทษ ติเตียน วิพากษ์วิจารณ์ผู้เรียน บรรยากาศในชั้นเรียนก็จะเป็นไปในทางลบ และจะนำมาซ่ึงความล้มเหลวในการเรียนการสอนและการพัฒนา ผู้เรียนใหม้ พี ฤตกิ รรมทพี่ ึงประสงค์ การนำแนวคิดด้านจิตวิทยาพัฒนาการมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนก็นับว่าสำคัญ โดยพิจารณาความเหมาะสมของระดับพัฒนาการในกลุ่มผู้เรียน ครูควรคำนึงถึงความสำคัญในการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ ใหม้ คี วามสมดลุ สอดคลอ้ งกับระดับความสามารถและพฒั นาการของผู้เรยี นทีจ่ ะนำไปสู่ความรับผิดชอบ การช่วยตนเอง ความสนใจ ซ่ึงจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้สำเร็จมีความสามารถในการควบคุม พฤตกิ รรมตนเองไดอ้ ย่างเหมาะสม มพี ฒั นาการทดี่ ตี ามวยั และประสบความสำเรจ็ ในท่ีสดุ จากการศึกษาโดยใช้กระบวนการทางสังคมเกี่ยวกับการเลี้ยงดูและฝึกอบรมเด็กของพ่อแม่ พบว่า การฝึกอบรมมีส่วนช่วยส่งเสริมแนะแนวทางตอ่ ครผู ู้สอนในการนำมาประยกุ ต์ใช้ในการจัดชั้น เรียน พ่อแม่ท่อี บรม เล้ียงดูลูกโดยให้ความรักและความอบอุ่น มีเหตุมีผล จะมีส่วนเสริมสร้างเด็กให้มีการพัฒนาและการปรับตัวได้ เป็นอย่างดี การที่ครูผู้สอนตระหนักรู้ถึงการยอมรับนับถือผู้เรียน ตามท่ีเขาควรจะเป็นในแต่ละบุคคล รวมทั้ง การควบคุม การบังคับ การเรียกร้องความมั่นคง การยืดหยุ่น ด้วยการปรับส่ิงเหล่านี้เป็นไปอย่างมีเหตุผล และเหมาะสม จะนำไปสู่การพัฒนาวุฒิภาวะของผู้เรียนได้อย่างดี และพฤติกรรมของผู้เรียนจะเป็นไปในทางบวก มากกว่าการเนน้ พฤติกรรมการเรียนการสอน ที่เขม้ งวดและการทำโทษ ดังน้ัน การสร้างบรรยากาศในชั้น เรยี นท่ีดี จะช่วยใหก้ ารเรียนร้ขู องผ้เู รียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และไดพ้ ัฒนาพฤตกิ รรมตนเองในดา้ นต่างๆ อีกด้วย ๓. องคป์ ระกอบของบรรยากาศในชน้ั เรยี น โดยท่วั ไปการเรยี นการสอนมีองค์ประกอบสำคัญทีเ่ ก่ยี วข้องกัน ๓ ประการ คือ ครูผ้สู อน ผู้เรยี น และปฏสิ ัมพนั ธร์ ะหวา่ งครผู ู้สอนกับผู้เรียน ครูผู้สอน เป็นองค์ประกอบท่ีสำคัญยิ่งในการจัดการเรียนการสอน เพราะจะเป็นผู้กำหนด บรรยากาศเกยี่ วกับการเรยี นการสอนแต่ละคร้ัง ให้เป็นไปในลักษณะอย่างไร ผเู้ รียน มีส่วนต่อบรรยากาศในชั้น เรยี นด้วยเชน่ กนั พฤติกรรมของผู้เรียนไม่ว่าจะเป็นความสนใจ ท่าทีของการแสดงพฤติกรรม แรงจูงใจ ความร่วมมือ การมีวินัย ความเชื่อมั่น การเห็นคุณค่าของตนเอง ตลอดจน การเคารพให้เกียรติผู้อ่ืนโดยเฉพาะกับครู เป็นผลมาจากการที่เด็กได้รับและเห็นตัวอย่างจากบุคคลแวดล้อม และที่สำคัญคือจากพฤติกรรมของครูที่มีต่อตัวเขาในขณะท่ีอยู่ในช้ัน เรียน หรือเป็นผลมาจากบรรยากาศ ในชั้น เรยี นนน่ั เอง ซง่ึ ท้ัง ครูและผูเ้ รียนมีส่วนสมั พันธซ์ ง่ึ กันและกนั ปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูผู้สอนกับผู้เรียน ตามที่กล่าวแล้ว ถ้าครูมีความสามารถในการสร้าง บรรยากาศในช้ัน เรียน มที ักษะในการแสดงออกทางพฤติกรรมและการส่ือสารทีเ่ หมาะสมมคี ณุ ภาพ เสมอต้นเสมอ ปลาย ย่อมส่งผลให้ผู้เรียนมีความรู้สึกท่ีดีต่อครู การเรียนรู้เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้เรียนจะนำมา ซึ่งความร่วมมือ ความเข้าใจและยอมรับซ่ึงกันและกัน อันจะเป็นพ้ืนฐานท่ีสำคัญต่อการมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวก บรรยากาศในชั้น เรียนย่อมราบรื่น

จติ วิทยาสำหรบั ครู ๕๗ จากองค์ประกอบท้ัง ๓ จะเห็นว่า ครูผู้สอนเป็นจุดเร่ิมต้นของการเกิดบรรยากาศในช้ันเรียน ท่ดี ี จงึ จะขอเน้นไปท่ีตวั ครผู ้สู อนเปน็ สำคัญ ลักษณะของครูผู้สอนท่ีส่งเสริมการเรียนรู้ให้เป็นไปได้ด้วยดีและมีประสิทธิภาพ มีหลายประการ เช่น มคี วามรู้ลมุ่ ลกึ ในเนือ้ หาวิชาที่สอนอย่างชดั เจน สามารถนำความรู้น้นั มาถ่ายทอดได้ มีเจตคตทิ ี่ดตี ่อการสอน ซ่ึงหมายถึงมีความปรารถนาดีต่อผู้เรียน รักวิชาที่สอนและรักการสอน มีความรู้สึกอยากสอน ส่วนองค์ประกอบ ที่สำคัญและจำเป็นท่ีจะส่งเสริมการเรียนรู้ ท่ีผู้สอนจะขาดไปเสียไม่ได้นอกเหนือจากความรู้ความสามารถในการ สอนแล้ว ครูจะต้องมีความเข้าใจเห็นอกเห็นใจผู้เรียนไม่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวด้วยวาจาและท่าทีต่อผู้เรียน ปฏิบัติต่อผู้เรียนด้วยความรู้สึกใกล้ชิด มีความห่วงใยผู้เรียน ยอมรับผู้เรียนอย่างที่เขาเป็น พยายามส่งเสริม ใหผ้ ู้เรยี นมสี ่วนรว่ มในการเรียนการสอน มคี วามสุขในการเรยี น ซง่ึ ทั้ง หมดล้วนแต่เปน็ พ้ืนฐานของการจัดการเรยี น การสอนทั้งสิ้นครูต้องใช้ห้องเรียนเป็นสถานที่ปฏิบัติการสำหรับผู้เรียนเก่ียวกับการพัฒนา และค้นพบตนเอง เปน็ สถานท่ีทีจ่ ะช่วยใหผ้ เู้ รยี นได้รบั ความรูเ้ ก่ยี วกบั ตนเอง สงั คม และสง่ิ แวดล้อม ดงั นั้น ห้องเรียนควรจะมีบรรยากาศท่เี อื้ออำนวยใหผ้ ู้เรียนได้รบั ประสบการณ์ทางบวกเพ่ือพัฒนา ตนเอง ให้มีทรรศนะอนั กว้างไกลต่อสังคมท่ีผู้เรียนพบปะและอาศัยอยู่ การสง่ เสริมบรรยากาศเหล่าน้ีให้เกิดข้ึนนั้น ผู้สอนจะต้องเป็นผู้ที่มีความเช่ือถือในความสามารถของผู้เรียนในฐานะเป็นบุคคลมีความรู้สึกไวต่อความคิดของ ผ้เู รยี น มีความกระตือรอื รน้ พร้อมที่จะช่วยเหลอื ผู้เรียนให้พัฒนาไปจนถงึ ขดี สุดของแตล่ ะบุคคล ๔. บทบาทของครูในการสรา้ งบรรยากาศในชัน้ เรียน สิ่งที่ครูผู้สอนต้องปฏิบัติเพื่อให้เกดิ บรรยากาศทสี่ ง่ ผลดตี ่อการเรยี นรไู้ ด้แก่ ๔.๑ การยอมรับผู้เรียนในฐานะบุคคล การที่ผู้สอนตระหนักว่าผู้เรียนแต่ละคนมี ลักษณะเฉพาะตน การยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคลนั้น ยงั ไม่เพียงพอ จะต้องแสดงออกทางด้านการปฏิบัติ ที่มีความรับผิดชอบต่อการกระทำ ซ่ึงแสดงให้เห็นการยอมรับน้ันด้วยบรรยากาศแห่งความไว้วางใจ คือ การให้ ความอบอุ่นและความจริงใจระหว่างครูและศิษย์ เน้นให้ผู้เรียนแต่ละคนพยายามค้นคว้าความจริงได้ด้วยตนเอง การค้นพบลักษณะเฉพาะของตนเองในวถิ ีทางทีค่ วรเปน็ ถ้าบรรยากาศในหอ้ งเรียนท่ีมีแต่การแข่งขัน ความก้าวรา้ ว ความกดดัน มีอคติการเอารัดเอาเปรียบ ส่ิงเหล่านี้ จะเป็นประสบการณ์ทางลบที่จะไม่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนา ไปในทิศทางที่พึงประสงค์ ไม่พัฒนาความรู้ความสามารถ การรู้จักแก้ปัญหา การเลือก การตัดสินใจ ความรบั ผิดชอบในการกระทำของตนเอง รวมทงั้ การไม่รู้จกั การเรียนรู้ด้วยตนเองและการชว่ ยตัวเอง ดังน้ัน ครูผู้สอนจะต้องแสดงพฤติกรรมที่มีความอบอุ่นเป็นตัวแทนของกลุ่มเพ่ือนและสังคม พฤติกรรมของครูจัดเป็นสิ่งแวดล้อมท่ีจะสร้างประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้ตระหนักและรับรู้ว่า เขาได้รับการยอมรับ ที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ชอบพอ เสริมสร้างการตอบสนองความต้องการที่จะนำไปสู่การพัฒนาลักษณะเฉพาะ ของแต่ละบุคคลซ่ึงเป็นส่ิงที่สำคัญและมีคุณค่า จากส่ิงที่กล่าวมาข้างต้น ครูผู้สอนจึงต้องมีความอดทน ใจกว้าง รับฟงั ความคิดเห็น พร้อมที่จะช่วยเหลอื สนบั สนนุ ผูเ้ รยี นอยเู่ สมอ ๔.๒ การสื่อสารแบบเปิด เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเรียนรู้ในการที่จะคิด วิเคราะห์ เลือกสรรท่ีจะพัฒนาส่ิงต่างๆ ด้วยตนเอง การสนับสนุนและพัฒนาตัวผู้เรียนที่จะเป็นตัวเองนั้นสิ่งจำเป็นพื้นฐาน ประการแรกคือ การสื่อสารแบบเปิดที่อยู่ในบรรยากาศของการยอมรับเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล อารมณ์ ความรู้สึก ค่านิยม พฤติกรรมและแนวคิดของแต่ละบุคคลที่มีภูมิหลังแตกต่างกัน รวมท้ังการฟัง อย่างมีประสิทธิภาพ บรรยากาศในช้ันเรียนที่ตอบสนองประสบการณ์เช่นนี้จะเกิดข้ึน ได้จากเนื้อหาสาระ กระบวนการเรยี นรู้ และกิจกรรมการเรียนการสอนท่ีส่งผลให้ผู้เรยี นเกดิ ความรสู้ กึ วา่ ตนเองมีคุณคา่ สามารถพฒั นา ตนเองได้ ช่วยเหลือตนเองได้ และพร้อมท่ีจะช่วยเหลือผู้อ่ืน ปัจจุบันการจัดการเรียนการสอนครูผู้สอนส่วนใหญ่ จะมุ่งเน้นถึงผลสัมฤทธิ์ทางด้านการเรียนหรือสาระความรู้ มากกว่าด้านความรู้สึก ค่านิยมท่ีควรจะปลูกฝังและ

จติ วิทยาสำหรับครู ๕๘ พัฒนาให้ผู้เรียน บรรยากาศในการเรียนเช่นนั้น อาจจะทำให้ผู้เรียนเบ่ือหน่าย มีความกดดันไม่สนุกกับบทเรียน และส่งผลใหไ้ มช่ อบวชิ าท่ีเรียนนนั้ ได้ในทีส่ ุด ๔.๓ การตระหนักถึงสิง่ ตอ่ ไปนี้อยู่เสมอ ในการจัดกระบวนการเรียนการสอนส่ิงที่ครูต้อง ตระหนักถงึ ได้แก่ ๔.๓.๑ การรว่ มมือและการแข่งขันของผเู้ รยี นภายในชน้ั เรยี น ประกอบดว้ ย ๑) บรรยากาศท่ีสง่ เสรมิ ให้ผเู้ รียนร่วมมอื กนั แก้ปญั หา ๒) การใหแ้ รงเสริมหรือรางวัล ๓) บรรยากาศทีผ่ ู้เรยี นต่างร่วมมอื กัน จะมีปฏสิ มั พนั ธ์ทด่ี ีต่อกัน มากกว่าในบรรยากาศทม่ี ีการแขง่ ขันกัน ผู้เรียนที่เรียนอ่อน ปานกลาง จะได้ประโยชน์มากท่ีสุดจากการรว่ มมือกับ ผูเ้ รียนอืน่ ๆ ส่วนผู้เรียนทเี่ รียนดีจะมีบทบาทในการช่วยเหลอื ผูอ้ ่ืน ๔.๓.๒ ลักษณะพฤติกรรมและบุคลิกภาพของครูผู้สอนจะมีอิทธิพลต่อการ เรียนรู้ของผูเ้ รยี น ๔.๓.๓ มีความร่วมมือระหว่างครูผู้สอนกับผู้เรียนโดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์การ เรียนเป็นหลกั สำคัญ ๔.๓.๔ ความรู้สึกและเจตคติของผู้เรียนที่มีต่อกลุ่มเพ่ือน ครูผู้สอน และโรงเรียนของผูเ้ รยี น จะเห็นว่าผู้สอนเป็นบุคคลท่ีมีบทบาทในการสร้างบรรยากาศของการเรียนรู้ ซ่ึงเป็นส่ิงสำคัญ ท่ีมีอิทธิพลและส่งผลต่อการเรยี นของผู้เรียนท้ังทางด้านความรู้ ความสามารถคุณลักษณะและค่านิยมเป็นการช่วย พฒั นาผ้เู รียนใหม้ ีทรรศนะอันกว้างไกล บรรยากาศในชั้น เรียนจะเป็นส่ิงท่ีช่วยส่งเสริมสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไป อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศทางจิตวิทยา ซ่ึงผู้สอนเป็นผู้มีส่วนกำหนดให้มีขึ้น หรือบรรยากาศทางกายภาพและทางสังคม ก็เป็นส่ิงจำเป็นที่ครูจะต้องคำนึงถึงด้วย เพราะจะสนับสนุนซ่ึงกัน และกนั ต่อกระบวนการเรยี นการสอนให้ดำเนนิ ไปอย่างมปี ระสิทธิภาพ ๕ เทคนิคการสรา้ งบรรยากาศทางจิตวทิ ยา วิธีการทางจิตวิทยาท่ีครูต้องเข้าใจและควรเรียนรู้เพ่ือนำไปใช้ฝึกฝนตนเอ งให้สามารถ และมีทักษะในการปฏบิ ตั ไิ ด้อย่างคล่องแคล่ว จนเป็นธรรมชาตขิ องนิสัยประจำตนอย่างกลมกลืนไดแ้ กเ่ ร่ืองตอ่ ไปน้ี ๕.๑ บรรยากาศแห่งความใกล้ชิด ผู้เรยี นทุกคนมีความต้องการที่จะได้รับการสัมผัสแตะ ต้องและความเอาใจใส่หรือความสนใจจากครูผู้สอนรวมทั้ง เพื่อนๆ ในชั้นเรียน และทุกๆคนมีความต้องการ ท่ีจะกระทำอย่างใดอย่างหน่ึงในช่วงเวลาท่ีแตกต่างกัน ความต้องการเหล่าน้ีเป็นความต้องการท้ังทางกาย และทางจิตใจ การกระทำใดๆ ก็ตามจะเปน็ ตัวบ่งช้ีทแี่ สดงความสนใจให้ปรากฏตอ่ ผู้อนื่ ผู้เรียนบางคนอาจต้องการ ความเอาใจใส่นี้มากกว่าคนอื่น เพื่อช่วยให้เขารู้สึกม่ันคงปลอดภัยทางด้านจิตใจ ซ่ึงครูผู้สอนอาจพิจารณา ใหค้ วามเอาใจใส่นี้ในรูปของการสัมผสั แตะตอ้ งทางกายโดยตรง หรือในรูปแบบของสญั ลกั ษณท์ ีส่ ่ือถึงความเอาใจใส่ เพื่อใหผ้ ู้เรยี นเกิดความรู้สึกใกล้ชดิ เช่น การมอง การยิ้มให้ การสบตา การใช้คำพดู การแสดงออกทางสีหน้าท่าทาง หรือด้วยการกระทำใดๆ ก็ตามที่เป็นการแสดงให้ผู้เรียนรู้สึกสัมผัสและรับรู้ว่ามีความใกล้ชิด ได้รับความเอาใจใส่ จากครผู ้สู อน การเอาใจใสท่ างบวกที่สอดคลอ้ งกับสถานการณ์ของอารมณ์ ความรู้สึกของผู้เรียน ก็จะทำให้ผู้เรียนมีความรู้สึกที่ดีมีชีวิตชีวา กระฉับกระเฉง และรู้สึกว่าตนมีความสำคัญ เป็นการเพิ่มพูนความรู้สึกทางด้านดีให้แก่ผู้เรียน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการรับรู้ของผู้เรียนอย่างน่าพึงพอใจ ความรู้สึก ท่ีตามมาก็คือความรู้สึกปรารถนาดีและความรู้สึกท่ีดีต่อตนเอง และผู้อื่น ถ้าครูผู้สอนให้ความสนใจสิ่งเหล่าน้ี

จติ วิทยาสำหรบั ครู ๕๙ อย่างจริงใจ และควบคู่ไปกับการเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่กระทำเกินกว่าปกติธรรมดาก็จัดเป็น การเสริมสร้าง พัฒนาการเรยี นรขู้ องผู้เรยี นได้มาก ดังน้ัน ส่งิ ท่ีครผู ้สู อนควรปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี ๕.๑.๑ การแสดงท่าทีและกิริยาที่งดงามต่อกัน การเริ่มต้นแบบไทยโดยการ กล่าวทกั ทาย การยิ้มและท่าทีทเี่ ป็นมติ ร ๕.๑.๒ การให้คำพูดทดี่ ีๆ ใช้ภาษาสุภาพ อ่อนโยนซึ่งกันและกันจะทำให้ผู้เรียน รสู้ ึกว่าครผู ้สู อนมีความปรารถนาดี ๕.๑.๓ ต้องมีความต้ัง ใจทีจ่ ะมีความคิดในสงิ่ ท่ดี งี ามต่อกนั มีความปรารถนาดี ท่จี ะเกื้อกูลกันเสมอ อันมาจากส่วนลกึ ของจิตใจ ๕.๑.๔ ต้องไม่ทำตนเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจ พึงระลึกอยู่เสมอว่า บางสิ่ง บางอย่างน้ัน บุคคลอื่นอาจจะประพฤติปฏิบัติได้ แต่เรากระทำไม่ได้เพราะเราเป็นครู มีความเช่ือม่ันในสิ่งท่ีดี ไม่ หลงตวั เอง อยา่ ลืมวา่ บคุ ลิกภาพไม่ไดห้ มายถึงความหล่อหรอื ความงาม แตห่ มายถงึ ภาพท่ปี ระทับใจผูเ้ รียน ๕.๑.๕ มีการช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน เพ่ือเป็นการสร้างสายใยแห่งไมตรีจิตท่ีดี ต่อกัน พรอ้ มท่จี ะชว่ ยผู้เรียนเสมอ ๕.๑.๖ มีความยืดหยุ่นในด้านความคิดเห็น เพราะการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ย่อม ขึ้น อยู่กับการปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูผู้สอนกับผู้เรียน และผู้เรียนกับผู้เรียน ดังนั้น การออมชอมกันบ้างในด้าน ความคิดเหน็ เป็นส่งิ ทจี่ ะเสรมิ สรา้ งบรรยากาศในการเรียนท่นี ่าสนใจ ๕.๒ บรรยากาศที่มีความอบอุ่น ครูผู้สอนจะต้องไม่ลืมว่าความอบอุ่นทางจิตใจ เป็นความรู้สึกพื้นฐานของผู้เรียนที่มีอิทธิพลและจะส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียน การท่ีครูผู้สอนมีความเข้าใจ ผู้เรียน มีความเป็นมิตร ช่วยชี้แนะเก่ียวกับการเรียนการสอนอย่างมีระบบเป็นขั้นตอน ทำให้ผู้เรียนรู้สึกว่า มีการช่วยเหลอื ซึง่ กันและกนั ทำใหร้ ้สู ึกอยากเรียน รักการเรยี น รักวิชาท่เี รยี น รวมทงั้ รักเพ่ือนร่วมชัน้ เรยี นดว้ ย ๕.๓ บรรยากาศท่ีมีการยอมรับนบั ถือ การยอมรบั ผู้เรียนอยา่ งที่เขาเป็นและตระหนักถึง ลักษณะเฉพาะ ข้อดีข้อจำกัดของแต่ละบุคคล รวมท้ัง ภูมิหลังของผู้เรียนท่ีมีความแตกต่างกัน เม่ือครูให้ความนับ ถอื ผู้เรียน หมายถึงว่าครมู ีความสนใจท่ีจะส่งเสรมิ ให้บุคคลนั้น ได้พัฒนากา้ วหน้าขึ้น มาดว้ ยตัวเองและด้วยวิธีการ ของเขาเอง การยอมรับนับถือต้องไม่เป็นการเห็นแก่ได้ ไม่ฉกฉวยโอกาสหรือการเอาเปรียบ จากผู้เรียน การที่ครู เห็นคุณค่าในตัวผู้เรียนว่าเป็นบุคคลท่ีสำคัญมากกว่าการเรียนการสอนนั้น เพราะว่าผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ใน สถานการณ์ท่ีแตกต่างกันรวมทั้ง เวลาท่ีใช้ในการเรียนรู้ด้วย ครูผู้สอนควรตระหนักดีว่า การสร้างความเช่ือมั่น ให้กับผู้เรียนนนั้ จะช่วยให้ผู้เรียนยอมรับนับถือตนเอง ซึง่ จะมีผลต่อการทำกิจกรรมต่างๆ ของผ้เู รียนตอ่ ไป ส่ิงท่ีครู ควรพฒั นาตนเองคอื ทักษะในการแสดงออกในการยอมรบั ซ่ึงมี ๓ ประการ ดงั น้ี ๕.๓.๑ การฟังด้วยความเข้าใจ เป็นการรับฟังความคิดเหน็ ของผู้เรียนดว้ ยความ ต้ัง ใจ ถ้าครูผู้สอนมิได้เข้าใจว่าผู้เรียนนั้น กำลังพูดว่าอะไร ครูก็คงไม่สามารถตอบสนองในทางยอมรับได้ นอกจากน้นั การรับฟังยังเป็นการแสดงออกถึงความจริงใจ และการให้ความสนใจเรือ่ งราวนั้นๆ การส่ือความหมาย ก็จะกระทำไดอ้ ย่างอสิ ระ และมคี วามไว้วางใจในตวั ผู้รบั ฟังมากขึ้น ๕.๓.๒ การแสดงถึงความอบอุ่นและความนิยมชมชอบ เป็นที่ยอมรับกัน โดยทั่วไปว่า ความอบอุ่นใจเป็นสิ่งท่ีจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาทางด้านจิตใจ ท้ัง ยังก่อให้เกิดความม่ันใจ และความรู้สึกว่าตนเองเปน็ ท่ียอมรับของบุคคลอื่น การกระตุ้นหรอื สนับสนุนความคิดของผเู้ รียน กระทำไดโ้ ดยการ แสดงความรู้สึกนิยมชมชอบอย่างลึกซ้ึงซ่ึงจะทำให้ผู้เรียนนั้น รู้สึกว่าสามารถจะแสดงความคิดเห็นของตนเองได้ อย่างเต็มท่ี รู้สกึ วา่ ตนเองมีความสำคัญและแสดงออกอย่างจริงใจในการท่ีจะเป็นตัวของเขาเอง การให้ความอบอุ่น และสนับสนุนเช่นนี้ มไิ ดห้ มายความว่าครูผู้สอนจะต้องเห็นดว้ ยกับการกระทำของผู้เรียนทุกประการ ดังนน้ั ครูควร

จติ วิทยาสำหรับครู ๖๐ จะเข้าใจว่า การเห็นด้วย ต่างกับการยอมรับ ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนนั้น ครูไม่จำเป็นต้องให้สมาชิก ในช้นั เห็นด้วยกับการกระทำของครูผู้สอนหรือสมาชิกในกลุ่มโดยปราศจากเหตุผลซ่ึงบรรยากาศ ของความเป็นมิตรท่ีแท้จริงก็จะเกิดข้ึน เมื่อสมาชิกในกลุ่มเต็มใจที่จะบอกถึงพฤติกรรมที่เขาไม่เห็นด้ วยน้ัน ในลักษณะที่การยอมรับกันยังคงมีอยู่ น่ันคือการแสดงความไม่เห็นด้วยในความคิดเห็นหรือการกระทำ แต่มิได้ หมายความวา่ ไมย่ อมรับในบุคคลนนั้ ๕.๓.๓ การสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้น จะทำให้สมาชิกในกลุ่มแสดงออกได้ อย่างเปิดเผย เพราะเขารู้สึกว่ามีผู้สนับสนุนเขา การส่ือความหมายให้ผู้อ่ืนรู้สึกว่าเขาเป็นที่ยอมรับ จะทำให้มี ความสัมพันธ์ใกล้ชิดยิ่งขึ้น การยอมรับนี้ถ้าผู้สอนทำให้เกิดข้ึน ได้รวดเร็วเพียงใด ก็ย่ิงกระตุ้นให้เกิดแรงบันดาลใจ แก่ผู้เรียนให้แสดงออกมากข้ึน เพียงน้ันครูที่มีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถนำหลักจิตวิทยามาใช้ในการทำ ความเข้าใจ ความต้องการของผู้เรียน ตามความแตกต่างระหว่างบุคคล ตอบสนองผู้เรียนได้อย่างสอดคล้อง เหมาะสม มีทกั ษะในการสอ่ื สารและสร้างมนุษยสัมพันธ์กับผู้เรยี นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยอ่ มสร้างบรรยากาศที่ดี ในการส่งเสริมการเรียนร้แู ละการพัฒนาบุคลิกภาพของผู้เรยี นใหม้ ีพฤตกิ รรมทพี่ ึงประสงคไ์ ด้อย่างมคี ุณภาพ ดังน้ัน ครูท่ีประสบความสำเร็จในการสอน จึงมกั มาจากครูทปี่ ระสบความสำเร็จในการสร้างบรรยากาศทีด่ ีในชน้ั เรียน สรปุ ท้ายบท จติ วิทยาการศกึ ษามาจากศาสตร์ ๒ ศาสตร์ คอื จติ วทิ ยาและการศึกษา ซึ่งมีแนวคดิ หลักการทแี่ ตกต่างกัน แต่สามารถที่จะนำมาเกื้อหนุนหรือสัมพันธ์กัน เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการปรับปรุงและส่งเสริมให้เกิดกิจกรรม การจัดกาเรียนรูใ้ ห้มีประสิทธิภาพ เมื่อครูมีความรู้ทางด้านจิตวิทยาและนำมาประยุกต์กับการสอนจะทำให้ผู้เรียน ได้รับประโยชน์ตามความเหมาะสมกับพัฒนาการของผู้เรียน จิตวิทยาการศึกษาจะต้องเก่ียวข้องกับพฤติกรรม ของผู้เรียน กระบวนการจัดการเรียนการสอน และมีนักจิตวิทยาได้ให้ความสนใจในการศึกษา โดยใช้กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ จึงทำให้จิตวิทยาการศึกษาเป็นวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาวิจัยเก่ียวกับการเรียนรู้ และพั ฒนาการ ของผ้เู รียน ในสภาพการเรียนการสอนหรือในช้ันเรยี น ดังน้ัน จิตวิทยาการศึกษา จึงมีบทบาทสำคัญในการจัดการเรียนการสอน ในการจัดการศึกษา หรือการสรา้ งหลักสูตรนั้น ต้องคำนงึ ถึง ความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล ธรรมชาตขิ องบุคคลและการสร้างบรรยากาศ ในชั้นเรียน จึงต้องมีความรู้ทางจิตวิทยาการศึกษา เพ่ือจะได้เข้าใจพฤติกรรมของผู้เรียนและกระบวนการจัดการ เรียนรู้

จิตวิทยาสำหรับครู ๖๑ ใบกจิ กรรมท่ี ๒.๑ ใหน้ สิ ติ แบง่ กลุ่ม ๕ กลุม่ ๆ ละ ๖ คน แลว้ ให้ระดมความคิดเหน็ ในประเด็นดังนี้ ๑. ความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล ๒. ปจั จัยทม่ี ีผลต่อความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล ๓. การยอมรับ และการไมย่ อมรับความแตกตา่ งระหว่างบุคคล จะสง่ ผลกระทบอย่างไรบ้าง หลังจากที่นิสิตระดมความคิดเห็นแล้วให้แต่ละกลุ่มเขียนสรุปประเด็นต่างๆ จากการระดมความคิดเห็นลง และนำเสนอหนา้ ชัน้ เรียน ใบกจิ กรรมที่ ๒.๒ หลังจากท่ีนิสิตแต่แต่ละกลุ่มได้ระดมสมองในประเด็น “ความแตกต่างระหว่างบุคคล”แล้ว ให้ช่วยกัน ในกลุ่ม/ทีม คิดกิจกรรม/เทคนิคในการสร้างบรรยากาศในช้ัน เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และให้นสิ ติ แต่ละกลุ่มนำเสนอหน้าชัน้ เรียนความแตกต่างระหวา่ งบุคคล เทคนิคในการสรา้ งบรรยากาศในชน้ั เรียน ความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล เทคนิคในการสรา้ งบรรยากาศในชั้นเรียน

จติ วทิ ยาสำหรบั ครู ๖๒ คำถามท้ายบท คำชี้แจง หลังจากท่ีนิสิตได้ศึกษาเก่ียวกับจิตวิทยาการศึกษาแล้ว ให้นิสิตตอบคำถามต่อไปน้ี โดยอาศัย หลกั วชิ าการ หลักความเป็นจรงิ และความคดิ เห็นของนิสติ ประกอบในการตอบคำถาม ๑. ใหน้ ิสติ อธบิ ายความเป็นมา และความหมายของจิตวิทยาการศึกษาพอสังเขป ๒. ใหน้ สิ ิตอธบิ ายคุณลกั ษณะ ขอบขา่ ย และบทบาทของจติ วทิ ยาการศึกษา ๓. จติ วิทยาการศกึ ษามีประโยชนต์ ่อการจดั การเรียนการสอนในสถานศกึ ษาอย่างไร ๔. ให้นิสติ อธบิ ายความแตกต่างระหว่างบุคคลมาให้เข้าใจ ๕. จงสรปุ ประเภทของความแตกตา่ งระหว่างบุคคลให้ชัดเจน ๖. จงอธิบายองคป์ ระกอบท่ีก่อให้เกดิ ความแตกต่างระหวา่ งบุคคลมาพอสงั เขป ๗. ครูมีบทบาทในการสร้างบรรยากาศในชั้น เรียนอย่างไร และถ้านิสิตเป็นครูผู้สอนในโรงเรียน จะสร้างบรรยากาศในชน้ั เรียนอย่างไร เพอื่ ใหน้ กั เรียนมีผลการเรยี นรทู้ ดี่ ี ๘. การสร้างบรรยากาศในชน้ั เรียนมอี งคป์ ระกอบอย่างไรบ้าง ๙. จงอธบิ ายเทคนคิ ในการสร้างบรรยากาศในชนั้ เรยี น พร้อมยกตวั อย่าง

จิตวทิ ยาสำหรับครู ๖๓ เอกสารอา้ งองิ ประจำบท กฤตวรรณ คำสม, เอกสารประกอบการสอนรายวิชาจิตวิทยาสำหรับครู, อุดรธานี : คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั อุดรธานี, ๒๕๕๗. กนั ยา สุวรรณแสง, จติ วิทยาท่วั ไป, กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ัทบำรงุ สาสน์, ๒๕๔๐. นอ้ มฤดี จงพยหุ ะ และคณะ, คมู่ อื การศึกษาวิชาจติ วทิ ยาการศึกษา, กรงุ เทพมหานคร : มติ รสยาม, ๒๕๑๖. นุชลี อุปภัย, จิตวิทยาการศึกษา,พิมพ์คร้ังที่ ๓, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๖. ศรวี รรณ จันทรวงศ์, จติ วทิ ยาเพือ่ การเรยี นรู้ เอกสารประกอบการสอน, อุดรธานี : สยามการพิมพ์, ๒๕๔๙. สรุ างค์ โค้วตระกูล, จติ วิทยาการศึกษา, พิมพ์ครงั้ ที่ ๙, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๕๓. แสงเดือน ทวีสิน, จติ วทิ ยาการศกึ ษา, พิมพ์ครง้ั ที่ ๒, กรงุ เทพมหานคร : ไทยเสง็ , ๒๕๔๕. อารี พันธม์ ณี, จติ วิทยาสรา้ งสรรคก์ ารเรยี นการสอน, กรงุ เทพมหานคร : ใยไหม ครเี อทีฟกรปุ๊ , ๒๕๔๖. Anderson, M., Educational psychology, [Online]. Sources : http://facultyweb.conrtland.edu/andersmd/whatis.html.(Accessed 9th march, 2004),1998. Biage, M.L and Hunt,J.M., Hunt Phychological Foundation of Education, 5th ed. New York: Harper & Row, 1979. Berliner,C.D. “Telling the stories of education psychology” Education Psychologist, 27(2),143-161,Lawrence Darlbaum Assoviates, Inc. .1992. Campbell,J. Understanding John Dewey:Nature and Cooperative intelligence, Peru, IL:Open Count Publishing Co., 1995. Cronbach, L.J., Essentials of Psychological Testing, 5th ed.New York: Harper&Row, 1990. Gagne'.R. The conditions of learning, New Tork:Holt, Rinehart and Winston,Inc,1967. Goodchild, L.F., “G. Stanley Hall and the study of higher education”, Review of Higher Education 20,no. 1:69-99,1996. Green, C.D., Classics in the history of psychology, [Online]. Sources: http://pragmatism.org/genealogy/dewey.htm.(Accessed 15th Suptember,2003).1996. Morrn L. Biage and Mourice P., Hunt Psychological Foundation of Education, 5th ed, New York : Harper & Row, 1979. Shook, J., John Dewey, [Online].Sources:http://psychclassics.yorku.ca/ Thorndike/education.htm.(Accessed 6th March,2004), 1998. Sprinthall, N.A.and Sprinthall,R.C., Educational psychology, 5th ed. New York:McGraw-Hill. 1990. Watson , Sr., R.I., Granville Stanley Hall.[Online].Sources:http://educ. southern.edu/tour/who/pioneers/hall.htm.(Accessed 6th March,2004), 2000. Wittrock, M.C., “An empowering conception of educational psychology”,Educational Psychology, 27,129-142,1992. Woolfolk, A.E., Educational psychology, 9th ed. Boston: pearson Education, Inc., 2004.

แผนบริหารการสอนประจำบทท่ี ๓ ความรทู้ ่ัวไปเกย่ี วกับจิตวิทยาพัฒนาการ จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม หลงั จากได้ศึกษาบทเรียนน้ีแลว้ นสิ ิตสามารถ ๑. อธิบายความหมายของพัฒนาการได้ ๒. อธบิ ายหลักของพฒั นาการของมนษุ ย์ได้ ๓. อธิบายวิธีการศึกษาพัฒนาการของมนษุ ย์ได้ ๔. อธิบายปัจจยั ทีม่ ีอทิ ธิพลต่อพัฒนาการของมนุษยไ์ ด้ ๕. อธบิ ายทฤษฎีเกยี่ วกบั การพฒั นาการของมนษุ ย์ได้ ๖. อธบิ ายคุณลกั ษณะของผเู้ รียนวยั ตา่ งๆ เนอ้ื หาสาระ เนื้อหาสาระในบทน้ีประกอบด้วย ๑.ความหมายของพัฒนาการ ๒.หลกั การพฒั นาการ ๓.วธิ ีการศึกษาพฒั นาการ ๔.ปัจจยั ที่มีอทิ ธิพลต่อพฒั นาการ ๕.ทฤษฎีเก่ียวกับพฒั นาการของมนุษย์ ๖.คณุ ลกั ษณะของผู้เรียนระดับต่างๆ กจิ กรรมการเรยี นการสอน สปั ดาหท์ ่ี ๔ ๑. ทบทวนความรเู้ ดิมในบทที่ ๒ โดยการซักถามและให้นิสิตอธบิ ายและแสดงความคิดเห็น ๒. อธิบายเน้ือหา และสรุปเน้ือหาสาระท่สี ำคญั ดว้ ย Microsoft Power-point ๓. อภิปราย แลกเปล่ียนความคดิ เห็น และซกั ถาม ๔. แบ่งกลุ่มนิสิตออกเป็น ๕ กลุ่ม ให้นิสิตระดมความคิดเห็นในหัวข้อ “ทฤษฎีพัฒนาการ ของนกั จติ วิทยา ” แลว้ นำเสนอหน้าชั้น ๕. แบ่งนิสิตเป็น ๕ กลุ่ม ให้ศึกษา ค้นคว้าพัฒนาการของผู้เรียนในระดับต่างๆ และนำเสนอ ในสัปดาหห์ นา้ สปั ดาหท์ ี่ ๕ ๑. ทบทวนความร้เู ดมิ ในสปั ดาหท์ ี่ ๔ โดยการซกั ถามและให้นิสติ อธบิ ายและแสดง ความคิดเหน็ ๒. ให้นสิ ิตแตล่ ะกลุ่มนำเสนองานท่ีได้รับมอบหมายในสปั ดาหท์ ่ี ๓ ๓. ให้นิสิตวิเคราะห์และเปรียบเทียบคุณลักษณะของผู้เรียนแต่ละระดับกับทฤษฎีพัฒนาการ ของนกั จิตวทิ ยา ๖. ใหต้ อบคำถามทา้ ยบทที่ ๓ และนำสง่ ในสัปดาห์หนา้ สอื่ การเรยี นการสอน ๑. เอกสารประกอบการเรียนการสอน “ความรทู้ ่ัวไปเกีย่ วกบั จติ วทิ ยาพฒั นาการ”

จิตวทิ ยาความเปน็ ครู ๖๖ ๒. การนำเสนอดว้ ย Microsoft Power-point และวีดทิ ัศน์ / คลิปวดี ีโอ ๓. ตำราหรือหนงั เสือเกีย่ วกับจิตวทิ ยา ไดแ้ ก่ ทพิ ย์ภา เชษฐเ์ ชาวลิต, จติ วทิ ยาพัฒนาการสำหรับพยาบาล, สงขลา : ชานเมือง การพิมพ์, ๒๕๔๑. นวลศริ ิ เปาโรหิตย์ และคณะ, จิตวทิ ยาพัฒนาการ, กรงุ เทพมหานคร : มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๒๑. พรรณทิพย์ ศิรวิ รรณบศุ ย์, ทฤษฎีจติ วิทยาพัฒนาการ, กรุงเทพมหานคร : สำนกั พมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั , ๒๕๓๐. ศรเี รอื น แก้วกงั วาน, จติ วิทยาพฒั นาการชีวิตทุกชว่ งวัย, กรงุ เทพมหานคร : สำนกั พิมพ์มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๔๐. สชุ า จนั ทนเ์ อม, จิตวิทยาพัฒนาการ, กรงุ เทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานิช, ๒๕๔๐. ๔.ใบกจิ กรรมกล่มุ ๒ กจิ กรรม ๔.๑ กิจกรรมกล่มุ หัวขอ้ “ทฤษฎีพัฒนาการของนักจิตวิทยา” ๔.๒ กจิ กรรมกลุ่มหวั ขอ้ “พัฒนาการของผ้เู รียน” แหล่งการเรยี นรู้ ๑. ห้องสมุดวทิ ยาลัยสงฆ์บุรรี ัมย์ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ๒. ห้องสมุดคณะครุศาสตร์ สาขาวิชาการสอนพระพทุ ธศาสนาและจิตวทิ ยาการแนะแนว ๓. แหลง่ การเรยี นรู้ทางอินเตอรเ์ นต็ เกย่ี วกบั จิตวทิ ยาการศึกษา ความแตกต่างระหว่างบุคคล และการสร้างบรรยากาศในช้ันเรยี น นิสิตสามารถสืบค้นข้อมลู ทีต่ ้องการผ่านเวบ็ ไซตต์ ่างๆ การวดั และการประเมินผล จุดประสงค์ เครอื่ งมือ/วธิ ีการ ผลท่คี าดหวัง ๑. อธบิ ายความหมายของ ๑.ซักถาม ๑. มีคะแนนการทำแบบฝึกหัด พัฒนาการได้ ๒.แบบฝกึ หัดทา้ ยบท ถูกต้อง ร้อยละ ๘๐ ๒. อธิบายหลกั ของพฒั นาการของ ๑. ซกั ถาม ๑. นิสิตมีคะแนนการทำ มนุษยไ์ ด้ ๒. แบบฝกึ หดั ท้ายบท แบบฝึกหัดถูกตอ้ ง ร้อยละ ๘๐ ๓. อธิบายวิธกี ารศึกษาพฒั นาการ ๑. ซกั ถาม ๑. นสิ ติ มีคะแนนการทำ ของมนษุ ยไ์ ด้ ๒. แบบฝึกหดั ทา้ ยบท แบบฝึกหัดถูกต้อง รอ้ ยละ ๘๐ ๔. อธิบายปจั จัยทมี่ ีอิทธิพลต่อ ๑. ซักถาม ๑. นสิ ิตมีคะแนนการทำ พัฒนาการของมนุษย์ได้ ๒. แบบฝึกหดั ทา้ ยบท แบบฝึกหดั ถูกต้อง รอ้ ยละ ๘ ๕. อธิบายทฤษฎีเก่ียวกบั การ ๑. สงั เกตพฤติกรรมการ ๑.นสิ ิตใหค้ วามร่วมมอื ในการทำ พฒั นาการของมนุษย์ได้ รว่ มกิจกรรม กิจกรรมกลมุ่ รอ้ ยละ ๑๐๐ ๒. สังเกตการณ์นำเสนอ ๒. นสิ ติ มีคะแนนการทำ หนา้ ช้ันเรยี น แบบฝึกหัดถูกตอ้ ง รอ้ ยละ ๘๐ ๓. แบบสงั เกตพฤตกิ รรม การทำงานกลุ่ม ๔. ผลงานกลุ่ม ๕. แบบฝึกหดั ทา้ ยบท ๖. อธิบายคณุ ลักษณะของผ้เู รียน ๑. ซกั ถาม ๑. นสิ ติ มคี ะแนนการทำงานกล่มุ

จิตวิทยาความเป็นครู ๖๗ วยั ต่าง ๆ ๒. นำเสนอหน้าชน้ั เรียน และการนำเสนอ ๓. แบบฝึกหัดท้ายบท ร้อยละ ๘๐ ๒. นสิ ิตมคี ะแนนการทำ แบบฝึกหัดถูกต้อง ร้อยละ ๘๐

จิตวทิ ยาความเป็นครู ๖๘ บทที่ ๓ ความรู้เบื้องต้นเก่ยี วกบั จติ วทิ ยาพัฒนาการ ๓.๑ ความนำ จิตวิทยาพัฒนาการ (development psychology) เป็นจิตวิทยาแขนงหนึ่งที่ม่งุ ศึกษามนษุ ย์ ทุกวัยตั้งแต่ปฏิสนธิจนกระท่ังวาระสุดท้ายของชีวิต ในทุกๆ ด้าน ทั้งด้านการเจริญเติบโตทางรา่ งกาย ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก เจตคติ พฤติกรรมการแสดงออก สังคม บุคลิกภาพ ตลอดจนสติปัญญา ของบุคคลในวัยต่างกัน เพื่อให้ทราบถึงลักษณะพื้นฐาน ความเป็นมา จุดเปลี่ยน จุดวิกฤตในแต่ละวัย กล่าวคอื ช่วยให้ทราบถึงกระบวนการเปลย่ี นแปลงของบคุ คลในวัยต่างๆ กัน จิตวิทยาพัฒนาการจงึ ถือ เป็นรากฐานของจติ วทิ ยาแขนงอน่ื ๆ การศึกษาจิตวิทยาพัฒนาการของมนุษย์จึงมีความสำคัญอย่างย่ิงท่ีช่วยให้ผู้ศึกษาเกิด ความเข้าใจบุคคลในลักษณะองค์รวมท้ังที่เป็นส่วนบุคคลและการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มสังคม เพื่อให้ เข้าใจถึงสาเหตุของพฤติกรรมปัญหา เข้าใจถึงระดับสติปัญญา ลักษณะอารมณ์ ความต้องการ ของบุคคลแต่ละวัย นอกจากน้ีการเข้าใจธรรมชาติของบุคคลแต่ละวัยช่วยให้เกิดการประสานงานกัน อยา่ งราบรืน่ และช่วยใหบ้ คุ คลปรับตัวเขา้ กันไดด้ ขี นึ้ การศึกษาพฤติกรรมต่างๆ มีความสัมพันธ์กับอินทรีย์อย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะพฤติกรรม ของมนุษย์น้นั ตัวมนุษย์เป็นอนิ ทรีย์ที่มลี ักษณะซับซ้อนน่าศึกษายง่ิ เรม่ิ ตั้งแต่การปฏิสนธิไปจนกระท่ัง เจริญเติบโตและตายในท่ีสุด พัฒนาการชีวิตมนุษย์จะทำให้เราเข้าใจถึงขั้นตอนและแบบแผน ของการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ในแต่ละช่วงชีวิต ตลอดจนทำให้เราเข้าใจถึงปัจจัยต่างๆ ท่ีมอี ทิ ธิพลต่อพัฒนาการของชวี ติ มนษุ ย์ พฒั นาการของมนุษย์ เป็นลักษณะในแนวทางดำเนินชวี ิตท่ีสมั พนั ธ์กับบุคคลและสิ่งรอบๆ ตัว ซ่ึงมีหลายความเชื่อว่าเป็นเพราะการอบรมเล้ียงดู สิ่งแวดล้อม การเจริญเติบโตของร่างกาย และพัฒนาการในช่วงชั้นต่างๆของชีวิตมนุษย์ อีกทั้ง ยังเน้นถึงสิ่งสำคัญคือการพัฒนาการของแต่ละ คนจะเป็นเอกลักษณ์ ซ่ึงก็หมายถึง การพัฒนาการของแต่ละบุคคลจะมีลักษณะแบบแผนเฉพาะตน ไม่เหมอื นกับคนอ่ืน แม้แต่ฝาแฝดเหมอื นทีอ่ อกมาจากไขใ่ บเดียวกนั ๓.๒ ความหมายของพฒั นาการ นักวิชาการหลายท่านใหค้ วามหมายของคำวา่ พัฒนาการ ดังน้ี สุชา จันทรเ์ อม๑ ได้ให้ความหมายไวว้ ่า พัฒนาการ หมายถึง ลำดับของการเปลีย่ นแปลงหรือ กระบวนการเปลี่ยนแปลง (process of change) ของมนุษย์ทุกส่วนท่ีต่อเน่ืองกันไปในระยะเวลา หน่ึงๆ ต้ังแต่แรกเกิดจนตลอดชีวิต การเปลี่ยนแปลงน้ีจะก้าวหน้าไปเร่ือยๆ เป็นข้ันๆ จากระยะหน่ึง ๑ สุชา จันทรเ์ อม, จติ วทิ ยาพฒั นาการ, ( กรุงเทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานิช, ๒๕๔๐),หน้า ๑.

จติ วทิ ยาความเปน็ ครู ๖๙ ไปสู่อกี ระยะหน่ึงเพ่ือท่ีจะไปสู่วุฒิภาวะ ทำให้มีลักษณะและความสามารถใหม่ๆ เกิดขึ้น ซ่ึงมีผลทำให้ เจรญิ กา้ วหนา้ ยิ่งขน้ึ ตามลำดบั ศรีเรือน แก้วกังวาล๒ ได้ให้ความหมายไว้ว่า พัฒนาการ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึน อยา่ งสมำ่ เสมอและต่อเนื่องท้ังท่ีสังเกตได้งา่ ย ชดั เจน และมองเห็นได้ยาก ไม่ชัดเจน ตั้งแตเ่ ร่ิมปฏิสนธิ จนกระท่ังวาระสดุ ท้ายของชีวติ ทพิ ย์ภา เชษฐเ์ ชาวลิต๓ ได้ให้ความหมายไว้วา่ พัฒนาการ หมายถงึ การเปล่ียนแปลงที่เป็นไป อย่างมีระเบียบแบบแผน มีข้ันตอน เกิดขึ้นอย่างต่อเน่ืองทั้ง ในด้านเจริญเติบโตงอกงามและถดถอย และเปน็ การเปล่ียนแปลงที่เป็นผลรวมของวุฒิภาวะและประสบการณ์ อัชรา เอิบสุขสิริ (๒๕๕๗:๒๗) ได้ให้ความหมายไว้ว่า พัฒนาการ หมายถึง การเปลี่ยนแปลง ทงั้ ด้านร่างกาย จติ ใจ อารมณ์ และสงั คม ภายใตอ้ ทิ ธพิ ลของพันธุกรรมและส่งิ แวดล้อม จากความหมายดังกล่าวพอสรุปความหมายของพัฒนาการได้ว่า พัฒนาการ(Development) หมายถึง กระบวนการเปล่ียนแปลง ในด้านต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตอย่างมีระเบียบแบบแผนท่ีมี ความต่อเน่ืองและเปน็ ขน้ั ตอน ตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงตาย ช่วยให้สามารถตอบสนองตอ่ สิ่งแวดล้อมอย่าง มีประสิทธิภาพซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นได้ทั้ง ด้านบวก คือเพ่ิมขึ้นและด้านลบ คือ ร่วงโรย หลุดล่วง สญู ส้ิน ขึ้นอยู่กบั ประสบการณท์ ไ่ี ด้รบั ซ่งึ นำไปสคู่ วามมวี ุฒิภาวะ สิ่งสำคัญของการพัฒนาการ คือ ระบบความเจริญเติบโต ซ่ึงก็เป็นส่ิงสำคัญที่เราจะต้องทำ ความเข้าใจ เพราะการเจริญเติบโตเป็นสว่ นหนึ่งของพฒั นาการ ความเจริญเตบิ โต (Growth)หมายถงึ กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางดา้ นขนาด รูปรา่ งสดั สว่ น กระดกู และกลา้ มเนอ้ื ที่มคี ณุ สมบตั ทิ างดา้ นบวก ในทกุ ๆ ดา้ น ซง่ึ ไมไ่ ดเ้ ป็นผลมาจากการเรียนรู้ ในการศึกษาพัฒนาการของมนษุ ย์ อาจแบ่งชว่ งชวี ิตของคนเราเปน็ วยั (Developmental Stages) ต่างๆ ดังน้ี วยั กอ่ นคลอด ชว่ งเวลา ๒๘๐ วนั ในครรภ์ วัยทารก แรกคลอด - ๒ ปี วยั เด็กตอนตน้ ๒ - ๕ ปี วยั เดก็ ตอนกลาง ๕ - ๑๒ ปี วัยรนุ่ ๑๒ - ๒๐ ปี วยั ผ้ใู หญ่ตอนต้น ๒๐ - ๔๐ ปี วยั กลางคน ๔๐ - ๖๐ ปี วัยชรา ๖๐ ปี เป็นตน้ ไป การแบ่งช่วงชีวิตของเราออกเปน็ วยั ตา่ งๆ โดยใชเ้ กณฑอ์ ายเุ ป็นเพยี งโดยประมาณเพอื่ สะดวก ในการศึกษา เพราะตามวัยหรือระดับอายุดังกล่าวจะมีกลุ่มพฤติกรรมท่ีเป็นลักษณะเฉพาะของวัย เกิดข้ึนและพัฒนาไป และเป็นพื้นฐานของพฤติกรรมหรือพัฒนาการในวัยต่อมาการเปล่ียนแปลงท่ี เกิดขนึ้ จากพฒั นาการ แบง่ เปน็ ๔ ด้าน ดงั น้ี ๒ ศรีเรอื น แก้วกังวาน, จิตวิทยาพฒั นาการชวี ติ ทกุ ชว่ งวัย, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพมิ พ์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๔๐), หนา้ ๒๑. ๓ ทพิ ยภ์ า เชษฐ์เชาวลติ , จติ วิทยาพฒั นาการสำหรบั พยาบาล, (สงขลา : ชานเมอื งการพมิ พ์, ๒๕๔๑), หนา้ ๑.

จิตวทิ ยาความเปน็ ครู ๗๐ ๑. ด้านรา่ งกาย ไดแ้ ก่ ความเจริญเตบิ โตทีเ่ กย่ี วกับร่างกายทง้ั หมด ๒. ด้านอารมณ์ ได้แก่ ความเจริญเตบิ โตทเี่ กี่ยวกับความสามารถในการควบคุม อารมณ์ ๓. ด้านสังคม ได้แก่ ความเจริญเติบโตที่เก่ียวกับความสามารถในการปรับตัวให้เข้า กบั บุคคลอน่ื รวมทั้ง สง่ิ แวดล้อมตา่ งๆ ในสงั คม ๔. ด้านสติปัญญา ได้แก่ ความเจริญเติบโตที่เก่ียวกับความคิดของบุคคล ทั้ง ในด้าน การคดิ อยา่ งมีเหตุผล คิดแกป้ ัญหาตา่ งๆ ที่เกดิ ข้นึ และคิดสรา้ งสรรคส์ ิง่ ใหมๆ่ ๓.๓ หลกั ทัว่ ไปของพัฒนาการ พัฒนาการของมนุษย์เร่ิมต้น ต้ังแต่ไข่ผสมกับอสุจิ ทำให้เกิดการปฏิสนธิของชีวิตใหม่จากนั้น กระบวนการพัฒนาการก็เร่ิมขึ้น และดำเนินการอย่างต่อเน่ือง ไม่หยุดน่ิง จนกว่าจะตายดังน้ัน สง่ิ มชี ีวิตทุกๆ อยา่ ง ไม่วา่ จะประกอบไปดว้ ยเซลล์ๆ เดยี วหรอื หลายเซลล์ก็ตามขบวนการเปลย่ี นแปลง มักจะเกิดข้ึนอย่างสม่ำเสมอและเป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผนการเปลี่ยนแปลง เช่นน้ีอาจกล่าวได้ วา่ เปน็ พัฒนาการ เฮอรล์ อกค์๔ กลา่ วว่า พฒั นาการของคนดำเนนิ ไปตามหลกั ทั่วไป ดงั น้ี ๑. พัฒนาการของมนุษย์จะดำเนินไปตามแบบแผนเป็นข้ันๆ ไม่กระโดดข้ามกันไม่ซับซ้อน และไม่มีการหยุดนิ่ง เช่น ความเจริญเติบโตของเด็ก จะเริ่มจากศีรษะก่อน แล้วจึงจะมีพัฒนาการไปสู่ สว่ นกลาง เช่น ยกศรี ษะไดก้ ่อนยกทรวงอก สามารถควบคมุ ลำตวั ได้กอ่ นแขนและขา ควบคุมแขนและ ขาไดก้ อ่ นมือและเท้า เปน็ ตน้ ๒. พัฒนาการของมนุษย์ เริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองเป็นส่วนรวมก่อนส่วนปลีกย่อย เช่น เด็ก จะเคล่ือนไหว มือแขนทั้ง สองข้างไร้ทิศทางก่อนจะหยิบหรือจับวัสดุส่ิงหนึ่งส่ิงใดไว้แน่นท้ังสองข้าง หรอื เดก็ จะถนดั ใช้มอื ทัง้ สองข้างจบั หรือหยบิ สิง่ ของก่อนท่ีจะถนดั ใช้มือขา้ งหนึ่งขา้ งใด ๓. พัฒนาการของมนษุ ย์จะดำ เนินไปพร้อมกันท้ัง ๔ ดา้ น และทุกด้านจะต้องมีความสัมพันธ์ ซ่ึงกันและกัน เช่น พัฒนาการทางกายและทางจิตใจ จะต้องสัมพันธ์กับพัฒนาทางอารมณ์และทาง สังคม เช่น เด็กวัย ๒ ขวบขึ้น สามารถพูดเป็นวลี หรือประโยคได้ ซึ่งระยะน้ีพัฒนาการทางสติปัญญา ได้เจริญมาจนสามารถจำเสียงและเข้าใจความหมายของเสียงน้ันไม่สับสนกัน อีกทั้ง เมื่อผู้ใหญ่ ตอบสนองการกระทำของเด็ก เดก็ จะแสดงอาการพึงพอใจ ๔. พัฒนาการของมนุษย์โดยปกติจะผ่านพัฒนาการตามลำดับข้ันดว้ ยอัตราไม่เท่ากนั บางคน เจริญรวดเร็ว ในข้ันหนึ่ง แต่บางคนเจริญเติบโตไปอย่างช้าๆ อย่างไรก็ตามเด็กทุกคนจะต้อง เจริญเติบโตถึงขีดสุดของตน ไม่ช้าก็เร็ว ฉะนั้นผู้ใหญ่ควรเข้าใจสมรรถภาพความสามารถ สภาวะ อารมณ์ การปรบั ตวั ของเดก็ แตล่ ะคนยอ่ มจะเจริญเตบิ โตแตกต่างกัน ๕. การพัฒนาการของมนุษย์จะเกิดในลักษณะท่ีต่อเนื่องกัน (Continuity) การพัฒนาการ เป็นกระบวนการท่ีเกิดต่อเนื่องกันตลอดเวลา กล่าวคือ พัฒนาการทุกด้านไม่ได้เกิดขึ้น ทันทีทันใดแต่ ต้องอาศัยเวลาในการพัฒนามาก่อน ตั้งแต่เด็กเริ่มปฏิสนธิ ตัวอย่างเช่น การพูด เด็กจะค่อยๆ พัฒนาการจากการเปล่งเสียง การพูดอ้อแอ้ การพูดเป็นคำๆ เป็นประโยค จนกระท่ังเด็กสามารถสื่อ ความหมาย โดยใชค้ ำพดู เมอื่ เด็กเข้าสังคมได้ ๔ Hurlock, A.E., Educational psychology, 9th ed. Boston: Pearson Education, Inc.,1972.

จิตวทิ ยาความเป็นครู ๗๑ ๖. ส่วนต่างๆ ของร่างกายจะมีอัตราการพัฒนาการแตกต่างกัน เช่น ขนาดของสมอง จะเจริญเติบโตรวดเร็วขึ้น เมื่ออายุ ๖ - ๘ ปี ส่วนร่างกายจะเจริญเติบโตเต็มท่ีในวัยรุ่น สำหรับ พัฒนาการทางสติปัญญาจะเจริญถึงขีดสุดในวัยหนุ่มสาว เป็นต้น ซึ่งโดยเฉล่ียแล้วสติปัญญา ของมนษุ ยจ์ ะเจรญิ เตบิ โตเตม็ ที่ เมือ่ อายุ ๑๖ - ๑๘ ปี ๗. พัฒนาการสามารถทำนายได้ แม้เราไม่สามารถท่ีจะหาเครื่องมือสำหรับวัดอัตราการ พัฒนาการ ได้แน่นอน แต่การพัฒนาในระยะแรกของเด็กแต่ละคน เป็นเครื่องชี้ให้เห็นแนวโน้ม ของการพัฒนาการในระยะต่อไปได้ เช่น วัยเด็ก ถ้าเด็กมีสุขภาพแข็งแรง ร่างกายเจริญเติบโต โครง ร่างของร่างกายใหญ่ ย่อมแสดงว่า ในระยะตอ่ ไปถ้าไม่มีอุปสรรคท่ีขดั ขวางการเจริญเตบิ โต เด็กคนนั้น ย่อมมีร่างกายแข็งแรง เจรญิ งอกงามมากกว่าเด็กท่ีมีพัฒนาการทางกายระยะแรกช้ากว่ากระบวนการ พัฒนาการเป็นส่ิงที่เกิดขึ้น กับบุคคลท่ัวไป ดังน้ัน จึงจำเป็นที่จะต้องเข้าใจธรรมชาติของการ พัฒนาการ เพื่อผทู้ ี่มสี ่วนเก่ียวขอ้ งกับเด็กจะได้สง่ เสริมให้เด็กมีพัฒนาการถึงขีดสุดและเพอื่ บดิ ามารดา ของเด็กจะได้ไม่เกิดความวิตกกังวลเก่ียวกับกระบวนการพัฒนาการของเด็กมากเกินไป ถ้าเผอิญเด็ก ในความดูแลมพี ัฒนาการท่เี ร็วหรือช้าไปกว่าปกติไม่มากนัก เพราะอย่างไรก็ตาม เด็กปกติย่อมสามารถ ผ่านพัฒนาการทุกข้ันไปได้อย่างสะดวก ถึงแม้พัฒนาการในแต่ละขั้น บางคร้ังผู้ใหญ่อาจคิดว่า เป็นปัญหา เช่น บางครั้งเด็กอาจแสดงพฤติกรรม เพื่อเรียกร้องความสนใจ เช่น การร้องกร๊ีดเมื่อไม่ พอใจ หรือเกิดจากภาวะปรับตัวที่ไม่สมบูรณ์ เช่น การแสดงอาการเก้งก้างของเด็กวัยรุ่น ซึ่งร่างกาย เจริญเติบโตเร็วเกินไป เป็นต้น พฤติกรรมเหล่าน้ีผู้ใหญ่ท่ีมีความรู้เรื่องการพัฒนาการที่เป็นเร่ืองปกติ ธรรมดาตามกระสวนของการพฒั นาการ ๓.๔ วิธศี ึกษาพัฒนาการของมนุษย์ ในการศึกษาพฒั นาการของมนษุ ย์ มวี ิธีทนี่ ยิ มใช้อยู่ ๒ วิธี คอื ๑. การศึกษาระยะยาว (Longitudinal method) วิธีนี้เป็นการศึกษาในช่วงระยะยาวนาน เป็นการศึกษาแบบตลอดชีวิต เช่น ศึกษาคนๆ หน่ึง ต้ังแตร่ ะยะวยั เด็ก วัยรนุ่ วัยผใู้ หญ่ จนถึงวัยชรา การศกึ ษาระยะยาวน้ีอาจจะใช้ระยะเวลา ๑๐ ปี หรือ มากกว่านั้นวิธีน้ีผู้ศึกษาต้องเลือกตัวอย่างท่ีต้องการศึกษาและติดตามพัฒนาการของลักษณะใด ลกั ษณะหนึ่ง โดยเฉพาะติดตามไปตามอายุต่างๆ ซ่ึงเป็นการสน้ิ เปลืองและเสยี เวลานานมาก อย่างไร ก็ตามลักษณะท่สี ำคญั ๆ ในด้านพัฒนาการก็ไดม้ าจากการศึกษาระยะยาวนี้ เช่นกัน ตัวอยา่ งการศึกษา เก่ียวกับความจำของเด็ก ของเพียเจต์ นักจิตวิทยาพัฒนาการ ชาวสวิส ก็อาศัยการศึกษาระยะยาว ข้อดี ของการศึกษาระยะยาว คือ ทำให้สามารถทราบสาเหตุท่ีแท้จริงของพฤติกรรมที่ต้องการศึกษา ขอ้ เสยี คอื สน้ิ เปลอื งเวลา และเงินทองมาก ๒. การศกึ ษาระยะสน้ั (Cross – section method) วธิ ีนี้เป็นการศึกษาเด็กเฉพาะชว่ งอายุที่น่าสนใจเป็นการสังเกตลักษณะบางลักษณะท่ีตอ้ งการ ศึกษาและสุ่มตัวอย่าง เพ่ือทำการศึกษา ตัวอย่างเช่น ต้องการศึกษาเกี่ยวกับความสามารถในการคิด และการสร้างความคิดรวบยอดของเด็กอายุต้ังแต่ ๔ – ๑๐ ปี ก็ให้เด็กอายุต้ัง แต่ ๔ – ๑๐ ปี ทำ แบบทดสอบ โดยให้อายุ ตามปี ปี ละกลุ่มทำแบบสอบถาม ซึ่งต้องใช้หลักทางสถิติ โดยการหา คา่ เฉลี่ยและนำมาเปรียบเทียบกนั และเปรียบเทียบกับมาตรฐาน แล้วจึงนำผลมาสรุปตคี วามหมายผล การทดลอง ซึง่ กท็ ำใหช้ ่วงเวลาทีใ่ ช้ในการศึกษาสั้นเขา้

จิตวทิ ยาความเปน็ ครู ๗๒ ข้อดี คือ ได้ข้อมูลที่พอจะเชื่อถือได้ และนำมาตั้ง เป็นกฎเกณฑ์ได้ เพราะได้จากกลุ่มเด็ก จำนวนมากในระดับอายุเดียวกัน สง่ิ สำคัญวธิ นี ี้ประหยดั ทัง้ เวลาและค่าใช้จ่าย ข้อเสีย คือ บางครั้งไม่สามารถจะบอกได้ว่า ข้อมูลเช่น สิ่งแวดล้อมมีส่วนกำหนดพฤติกรรม ของเดก็ หรอื ไม่ เพราะระยะเวลาในการศกึ ษาน้อยไป ๓.๕ ปจั จยั ท่ีมีอิทธพิ ลต่อพฒั นาการของมนุษย์ ๑. ปัจจยั ทางดา้ นชีวภาพ (Biological factors) อิทธิพลทางด้านชีววิทยาจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับความเจริญทางวุฒิภาวะ (maturation) ซ่ึงจะส่งผลไปถึงการเปล่ียนแปลงในแต่ละช่วงของชีวิต ในการพัฒนาเบ้ืองต้นน้ันความเจริญของเด็ก จะเป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผนที่สามารถทำนายได้เป็นข้ันตอน อย่างไรก็ดีแม้ว่าความเจริญ ทางด้านวุฒิภาวะจะมีแนวโน้มที่สูงข้ึน ไปทุกทีก็ตาม แต่ก็มิใช่จะเกิดในอัตราเดียวกันทั้ง หมดในทุก ช่วงของอายุ หมายความว่า กราฟของความเจริญทางวุฒิภาวะไม่ได้สูงข้ึนในอัตราส่วนที่เท่ากันกับ จำนวนของอายทุ ่ีสูงข้ึน เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการเจริญเติบโตจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้นหน่ึง มิได้เกิดข้ึนอย่างรวดเร็ว หรือทันทีทันใด ส่วนใหญ่แล้วพัฒนาการจะไปสะดุดอยู่ในช่วงว่างข้ันหน่ึงๆ เสมอเน่ืองจากขั้นท่ีเด็ก กำลังพัฒนาไปสู่น้ันมักจะเป็นช่วงท่ีสูงกว่าขั้นเก่าเสมอ เด็กจะพบว่า เขายังไม่มีความสามารถที่จะทำ ในสิ่งที่ใหมๆ่ ได้ แมว้ ่าเขาจะลองพยายามเทา่ ไรก็ตาม ตัวอยา่ งเช่น ในระยะแรกเกิดส่วนใหญจ่ ะพอใจ ท่ีมารดาป้อนอาหารใหเ้ ขา แตต่ ่อมาเมื่อเขามีความสามารถทจี่ ะหยบิ จับสงิ่ ของเองแลว้ เขามกั ต้องการ ตักอาหารใส่ปากเองและเขาก็จะพบความพยายามของเขาประสบความลำบากอย่างยิ่ง ในบางครั้ง อาหารจะไม่เข้าปากเลยก็มีหรืออีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ทั่วๆ ไปในช่วงพัฒนาการของเด็กที่เข้าสู่ข้ัน วัยรุ่นก็คือ เด็กวัยนี้จะมีความเจริญทางร่างกายได้อย่างชัดเจน แต่ความเจริญทางจิตใจเติบโตช้ากว่า ทางร่างกายมาก สิ่งท่ีเด็กคิดว่าเขาควรจะทำได้กับความสามารถท่ีแท้จริงมักจะเดินสวนทางกันอยู่ เสมอ ซ่ึงผลก็คือ แรงผลักดันที่ทำให้เด็กวัยน้ีเกิดความรู้สึกขัดแย้งใจ และต่อต้านกฎเกณฑ์ต่างๆ ไดง้ ่าย ๒. ปัจจยั ทางด้านสรรี วทิ ยา (Physical maturation) ในการศึกษาเร่ืองพัฒนาการ การเปล่ียนแปลงด้านสรีรวิทยาจะเป็นส่ิงที่เห็นได้อย่างชัดเจน ท่ีสุดนับแต่แรกเกิดเป็นต้นมา ในระยะน้ัน เด็กจะบังคับการเคลื่อนไหวตามท่ีเขาต้องการได้มากข้ึน ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง นอน ยืน เดิน กิจกรรมต่างๆ เหล่านี้จะต้องอาศัยความพร้อมทางสรีรวิทยาท้ังส้ิน กล้ามเน้ือ ระบบประสาทจะต้องทำงานผสานกันอย่างเป็นระเบียบแบบแผน ต่อมาเมื่อเด็กย่างเข้าสู่ วัยร่นุ กจ็ ะมกี ารเปลี่ยนแปลงอยา่ งรวดเรว็ อีกระยะหน่ึง ในชว่ งน้ีรา่ งกายจะมกี ารผลิตฮอร์โมนจากตอ่ ม ชนิดต่าง ๆ เพ่ือช่วยในการเจริญเติบโตและเตรียมพร้อมบุคคลในเร่ืองทางเพศอันจะนำสู่ขบวนการ สืบพนั ธุ์อย่างสมบูรณ์ต่อไป การเปล่ียนแปลงทางด้านสรีรวิทยาน้ีดำเนินไปตามกฎของการเจริญเติบโตตามธรรมชาติ โดยท่ีไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการเรียนรู้เลย การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายน้ีจะมีผลสะท้อนถึง การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ ซ่ึงในบางครงั้ อาจทำให้เกิดความสับสนกับบุคคลได้ง่ายๆ แต่อย่างไรก็ ตามการเปล่ียนแปลงเหล่านี้นับเป็นส่ิงจำเป็น และเกี่ยวข้องกับการปรับตัวโดยตรง เด็กจะต้องมี การปรับตัวคร้ังแล้วครั้งเล่า เพ่ือท่ีจะนำไปสู่สภาวะของความสมดุลของเขาเองขบวนการเหล่านี้

จติ วิทยาความเป็นครู ๗๓ อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งใจ และอึดอัดใจบ้างในระยะหน่ึง แต่เม่ือดูจากผลในระยะยาวแล้ว พัฒนาการทางสรีรวิทยาจะช่วยให้เด็กได้มีโอกาสเรียนรู้ในการทำกิจกรรมใหม่เข้าใจถึงสภาพ ความสามารถของเขาและใช้ให้เปน็ ประโยชนก์ ับตวั เขาให้ได้มากท่สี ดุ ๓. ปจั จัยทางดา้ นความคดิ สติปัญญา (Cognitive growth) เรื่องการเจริญทางด้านความคิด สติปัญญา การให้เหตผุ ล จัดเปน็ หัวใจสำคัญอกี ประการหนึ่ง ของการศึกษาพัฒนาการ นักจิตวิทยาไม่เพียงต้องการทราบว่าเด็กรู้อะไรบ้างเท่าน้ัน เขายังประสงค์ ที่จะทราบว่าสิ่งที่เด็กรู้นั้นรู้มาได้อย่างไรอีกด้วย และการศึกษาถึงความเจริญทางด้านความคิด ของบุคคลก็เช่นเดียวกับการศึกษาถึงพัฒนาการด้านอื่น กล่าวคือ ความคิดของเด็กจะมีการพัฒนา เป็นขั้นๆ ไปจากขั้นต่ำไปสู่ข้ันสูง เด็กจะคอ่ ยๆ มีความเข้าใจเก่ียวกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเขามากข้ึนทุก ที ทั้งในด้านคุณสมบัติและเชิงปริมาณโดยเฉพาะในด้านความคิดและการให้เหตุผล การเปล่ียนแปลง ในด้านนี้จะค่อยๆ เริ่มมาตั้ง แต่วัยเด็กตอนต้นเร่ือยไปจนถงึ วัยรุ่นตอนปลาย ฟรอยด์ นักจิตวทิ ยาชาว ออสเตรีย ได้แบ่งการพัฒนาทางความคิดของบุคคลออกเป็น ๓ ระดับกว้างๆ อาจเปรียบได้กับเครื่อง คอมพิวเตอร์ ๓ เครื่อง ทำงานกันคนละระดับจะทำหน้าที่ของตนไปพร้อมๆ กับขบวนการเรียนรู้ ท่ีเกิดขึ้น ในแต่ละข้ันของการเจริญเติบโตในเด็กเล็ก เคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่จะจัดอยู่ในระดับ ต่ำ หรือระดับแรกประกอบด้วย ชิ้นส่วนง่ายๆ ไม่สลับซับซ้อน ความคิดหรือข้อมูลท่ีส่งออกมาส่วน ใหญ่จะเป็นไปในรูปของสัญชาตญาณที่มีอารมณ์เป็นองค์ประกอบท่ีสำคัญ ฟรอยด์เรียกเครื่อง คอมพิวเตอร์ระดับนี้ว่า primary process thinking ความคิดต่างๆ จะประกอบด้วย อารมณ์ท่ีเกิด ในขณะน้ันความคดิ แต่ละอันจะเชอ่ื มต่อกนั อย่างง่ายๆ คอมพิวเตอร์จะยังไมส่ ามารถแยกขอ้ มลู ภายใน จากข้อมูลที่ส่งมาจากภายนอกได้ กล่าวคือ โลก “ภายใน” กับโลก “ภายนอก” จะไม่มีการแบ่งแยก กันอย่างเด็ดขาดชัดเจน กล่าวโดยสรุป การทำงานหรือขบวนการคดิ หาเหตุผลยังอยใู่ นข้ันแรกเร่ิมและ ยงั ไม่มปี ระสิทธภิ าพมากนกั เป็นที่น่าสังเกตว่าข้อมูลทางด้านอารมณ์ มิได้มีเฉพาะคอมพิวเตอร์ในข้ันน้ี เท่าน้ันอารมณ์ยัง ติดตามบุคคลไปในขั้นพัฒนาการที่สูงข้ึน ไปอีกด้วย จะเห็นได้จากในระยะต้นเด็กจะเรียนรู้ข้อมูล เก่ียวกับตนเองว่า เขาคือใคร สิ่งแวดล้อมเป็นเช่นไร และเขาควรปฏิบัติตนเช่นไรในสถานการณ์ หน่ึงๆ เขาจะเติบโตขึ้น มากับความคุ้นเคยต่อส่ิงที่เขาพบเห็นในวัยเด็ก และจะค่อยๆกลายเป็นส่วน หน่ึงของชีวิตเขา ซึ่งเด็กจะต้องเรียนรู้ท่ียอมรับมันโดยปริยาย อารมณ์สนองตอบของเด็กท่ีมีต่อ ส่ิงแวดล้อมจะติดตัวเขาไปในทุกระดับของพัฒนาการ ต่อเม่ือเด็กค่อยเจริญวัยขึ้นขบวนการใช้ ความคิดเร่ิมเปล่ียนไป คอมพิวเตอร์ในระดับต้นจะได้รับการแทนที่โดยคอมพิวเตอร์ระดับสูงกว่าเดิม หรอื ระดับที่ ๒ คอมพิวเตอรร์ ะดับน้ีจะมีลักษณะที่เหน็ เด่นชัดเจนกว่าข้ันต้น ก็คือ ความมีระเบยี บมาก ขน้ึ ในดา้ นโครงสร้าง ตลอดจนกระทั่งถึงการให้เหตผุ ลการจดั การกับข้อมูลก็กระทำอย่างรัดกุม เข้าใจ ปัญหาและวิจัยตามสภาพความเป็นจริง โดยเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีตมากข้ึน ซ่ึงผลก็คือ พฤติกรรมของเด็กจะค่อยๆ มีการเปล่ียนไปเช่นกัน การวางแผนและการดำเนินงานมีประสิทธิภาพ มากข้นึ ระยะท่ีสองน้ีเด็กจะมีอายุราว ๕ – ๗ ขวบ เด็กจะมีการแก้ไขปัญหาอย่างใกล้เคียงสภาพ ที่แท้จริง โดยใช้เทคนิคต่างๆ เข้าช่วย เริ่มเข้าใจในส่ิงที่ควรไม่ควรและหัดที่จะสร้างความรับผิดชอบ ให้ตนเองบ้างแล้ว ระยะสุดท้าย คือ ระยะของคอมพิวเตอร์ที่ ๓ หรือระดับท่ี ๓ ในช่วงนี้ความคิดอ่านจะมี ลักษณะคล้ายกับระดับที่ ๒ มาก แต่มีพิเศษกว่าท่ีว่าสามารถแสดงความเข้าใจและมีความคิดท่ี

จิตวทิ ยาความเปน็ ครู ๗๔ สลับซับซ้อนมากกว่าระดับท่ีสองในการแก้ไขปัญหาก็เช่นเดียวกัน สามารถเข้าใจถึงปัญหาประเภท นามธรรมของเขาได้ ระยะทีส่ ามน้ีจะเห็นปรากฏอยา่ งชัดเจนในวัยรุ่น ๔. ปัจจัยทางดา้ น สงั คมและวัฒนธรรม (Sociocultural – factors) อิทธิพลของสังคม และวัฒนธรรม จะมีบทบาทสำคัญที่จะกำหนดพฤติกรรมของบุคคล ให้เป็นไปตามขั้นของการเจริญเติบโต พัฒนาการทุกขั้น สังคมจะกำหนดแบบแผนการปฏิบัติของทุก คนในสงั คมนั้นๆ ซ่ึงจะมีผลสะทอ้ นไปถึงพัฒนาการทางจิตใจโดยตรงเด็กยิ่งโตข้ึน จะพบว่า เขาจะต้อง ไปเกีย่ วขอ้ งกับกิจกรรมทางสังคมมากข้นึ ทกุ ขณะกจิ กรรมเหล่านี้สังคมจะคาดหมายให้เขาปฏิบตั ิตาม และในการกระทำดังกล่าวบุคคลจะต้องปรับตนเองให้เปลี่ยนไปตามที่สังคมกำหนด เด็กจะต้องทำ กิจกรรมของข้ัน แรกตาม ท่ีสังคมกำหนดให้ได้ก่อนที่จะผ่านไปสู่ข้ัน สูงๆ อื่นๆ ความสามารถที่จะทำ ให้ได้ตามสังคมกำหนดนี้ จะต้องเกี่ยวกับความพร้อมทางสรีรวิทยา ชีววิทยา และทางสติปัญญา ประกอบกันไป ความสามารถในการทำกิจกรรมสังคมไม่สามารถเกิดโดดเดี่ยวได้ตัวอย่าง เช่น สังคม จะมีความหวังต่อนาย ก อายุ ๒๐ ปี ที่แต่งงานแล้ว กับ นาย ข อายุ ๒๐ ปี ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่เหมือนกัน นาย ก จะพบว่า เขามีหน้าที่หลายๆ ชนิด ท่ีจะต้องทำในฐานะบุคคลท่ีแต่งงานแล้ว นอกเหนือไปจากเม่ือคร้ังยังเป็นโสดอยู่ ถ้านาย ก สามารถทำได้ตามข้ันเหล่านี้ เขาจะรู้สึกสบายใจว่า เป็นสว่ นหน่ึงของสังคม แต่ถ้าหากเขามิได้ปฏิบตั ิตนตามข้ัน ท่ีทางสังคมกำหนดไว้ หรือถา้ ตนแตกต่าง ออกไปจากปทัสถานส่วนใหญ่ (norm) ของสังคม เขาจะประสบกับความรู้สึกกดดันและอึดอัดท่ีมีผล ตอ่ สุขภาพจิตของเขาอย่างย่งิ กล่าวโดยสรุป ปัจจัยทางสังคม และวัฒนธรรมจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการพัฒนาการ ของบคุ คลโดยตรง และจะเป็นสิ่งสำคัญในการชี้แนวใหพ้ ฤติกรรมของเขาดำเนินไปตามรปู แบบท่ไี ดร้ ับ ปฏิบัติจากชนส่วนใหญ่ของสังคม ๓.๖ ทฤษฎีเก่ียวกบั การพฒั นาการของมนุษย์ แนวความคิดทางทฤษฎีเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์มีหลากหลาย ทฤษฎีแต่ละทฤษฎีมี จุดเด่นแตกต่างกัน แต่ความคิดท่ีหลายหลากนั้นมีความเก่ียวพันจากพื้นฐานเดียวกัน ท่ีเช่ือว่า พัฒนาการของมนษุ ยเ์ ป็นกระบวนการต่อเนื่องในชว่ งชีวิต และมีลักษณะเดน่ เฉพาะในแต่ละวัย ๓.๖.๑ ทฤษฎีพัฒนาการของฟรอยด์ (Freud) ฟรอยด์ (Freud) เป็นจิตแพทย์ชาวออสเตรีย เป็นนักจิตวิทยาที่มีผลงานค้นคว้าทางจิตวิทยา เป็นจำนวนมาก ฟรอยด์เชื่อว่า ประสบการณ์และส่ิงแวดล้อมในวัยเด็กมีผลโดยตรงต่อพัฒนาการ และบคุ ลิกภาพของบคุ คลเมือ่ โตขน้ึ ฟรอยด์ แบ่งพฒั นาการของมนุษย์ทีม่ ีอทิ ธิพลต่อพฤตกิ รรม เปน็ ๕ ระยะด้วยกนั ดงั น้ี ระยะที่ ๑ ความสุขอยู่ทป่ี าก (Oral stage) อายุระหว่าง ๑ – ๒ ปี เป็นช่วงท่ีมีความสุขด้วยการกิน วัยน้ียังพึ่งตัวเองไม่ได้ ถ้าการเล้ียงดูของแม่ดีเหมาะสม หิวก็ได้กิน หนาวก็ได้รับความอบอุ่น การสัมผัสแตะต้องนำมา ซ่งึ ความสบาย ทำใหเ้ ดก็ เจรญิ เติบโตตามพฒั นาการได้ดี ช่วงนี้เด็กมีความสุขด้วยการดูด กอด การดูดถ้าเด็กได้รับความสุขทางด้านน้ี อย่างเพียงพอ ในท่ีสุดจะเลิกดูดไปเอง สำหรับเด็กที่ยังไม่เลิกดูดแม้ว่าจะโตแล้ว เป็นเคร่ืองชี้แนะ

จติ วทิ ยาความเปน็ ครู ๗๕ ให้เห็นว่า การตอบสนองความสุขทางปากของเด็กยังไม่เหมาะสม อาจจะมากไป จนกระท่ังเด็กติด เป็นนิสัย หรือน้อยไปจนกระทั่งยังมีความต้องการอยู่ เน่ืองจากวัยน้ีเด็กยังช่วยตัวเองไม่ได้ ฉะนั้น การที่เด็กร้องแสดงว่าต้องการความช่วยเหลือ อย่าปล่อยให้เด็กร้องอยู่เช่นนั้น ควรเข้าไปหาทันที โดยเฉพาะในช่วง ๑ – ๒ ปี หากปล่อยให้เด็กร้องโดยไม่มีการตอบสนองจากผู้ใหญ่จะมีผลต่อ การพัฒนาบคุ ลกิ ภาพตอ่ ไป ในช่วงน้ีการตอบสนอง oral need คือ อาหาร การตอบสนองการกินของเด็กแต่ละ คนไม่เหมือนกัน การให้อาหารตามเวลาต้องให้ตามเวลาท่ีเด็กต้องการ การหย่านมเป็นส่ิงที่เด็ก ไม่พอใจเป็นอย่าง ที่สุด แต่จำเป็นต้องทำ เพราะเด็กมีฟันและนมของแม่มีคุณภาพไม่ดี ให้เด็กพบ สภาพน้ี เมื่อพร้อมอย่าทำ โดยเคร่งครัด จะต้องผ่อนปรน และจะตอ้ งพยายามเข้าใจธรรมชาติของเด็ก แม่ท่ีเคร่งครัดยดึ ตำรามากเกนิ ไปจะทำให้มีผลต่อการพัฒนาการ ในวัยนี้ถ้าการเล้ียงดูของแม่บกพร่อง จะเป็นผลเสียในระยะยาว ส่วนผลที่เกิดข้ึน เฉพาะหน้าคือ เด็กด้ือร้องไห้ กินยาก เหงา ซึม เม่ือวิเคราะห์โดยทฤษฎีจิตวิเคราะห์แล้วบอกว่า คนท่ีช่างกิน ช่างพูด หรือพูดจาว่าผู้อ่ืนในลักษณะท่ี ทำให้เจ็บแสบมากๆ เป็นลักษณะท่ีเรียกว่า “verbal sadism” น้ันสืบเนื่องจากการตอบสนอง ความสุขทางปาก เปน็ ต้น ระยะที่ ๒ ความสุขอยู่ท่ที วารหนัก (Anal stage) อายุ ๒ – ๓ ปี ระยะน้ีแหล่งของความสุขอยู่ท่ีการขับถ่าย แต่ระยะน้ีก็เป็นระยะท่ี ผู้ใหญ่จะต้องฝึกหัดเด็กให้รู้จักการขับถ่ายเช่นกัน เช่น ฝึกให้รักษาความสะอาด ฝึกให้รู้จักถ่ายเป็นท่ี ทางซึ่งจะก่อให้เกิดความคับข้องใจ ผู้ใหญ่ควรรู้จักผ่อนปรนไม่เข้มงวดกวดขันกัน เพราะหากเป็นไป อย่าง เข้มงวดกวดขันจะเกิดปัญหา เด็กจะพยายามควบคุมตนอย่างมาก กลายเป็นคนท่ีทำอะไร มีลักษณะ “เกินไป” เช่น เกี่ยวกับเรื่องความสะอาด การตรงต่อเวลา การเล็งผลเลิศ หรือบางคน ก็เป็นคนใจแคบ เห็นแก่ตัว เมื่อวิเคราะห์โดยทฤษฎีจิตวิเคราะห์แล้วบอกว่า เน่ืองจากปัญหา การขับถ่ายต้ัง แต่เด็กหรือคนที่มีอาชีพเป็นช่างป้ันเมื่อศึกษาย้อนหลังไปแล้วจะพบว่า มีความคับข้อง ใจเก่ยี วกบั การขับถา่ ยตง้ั แต่เลก็ เช่นกัน ระยะที่ ๓ ความสขุ อยู่กับความสนใจเรอื่ งอวัยวะเพศ (Phallic stage) อายุระหว่าง ๓ – ๖ ปี วัยนี้เด็กเร่ิมสนใจอวัยวะเพศ มีความพึงพอใจกับการได้จับ ต้องเนื่องจากเกิดความอยากรู้อยากเห็น ในขณะเดียวกันเกิดความสุข ความสบาย เป็นเรื่องปกติ ของเด็กวัยนี้ ไม่ควรท่ีผู้ใหญ่จะตกอกตกใจหรอื มกี ารหา้ มปรามอย่างเข้มงวดกวดขัน ควรค่อยเป็นค่อย ไป วัยนี้เด็กเรียนรู้ท่ีจะแยกเพศและเลียนแบบการเป็นผู้หญิงผู้ชาย ในช่วงระยะนี้ ครอบครัวใด มเี ร่ืองทะเลาะกันบอ่ ยๆ พอ่ เมาทบุ ตแี ม่ ส่ิงเหล่าน้ีจะมีผลต่อพฒั นาการด้านบุคลกิ ภาพ ต่อไป เช่น เด็กผู้หญิงอาจเกิดความรู้สึกเกลียดผู้ชายอย่างฝังใจ หรือเด็กผู้หญิงบางคนมีความรู้สึก ไมอ่ ยากเปน็ ผูห้ ญิงเพราะเปน็ ผหู้ ญิงแลว้ ถูกรังแก จึงพยายามทำตัวให้เข้มแข็งมบี ุคลกิ ภาพคล้ายผู้ชาย (Tomboy) ส่วนเด็กผู้ชายบางคนเห็นพ่อทารุณโหดร้าย เกิดความรู้สึกรังเกียจไม่อยากเป็นผู้ชาย ประกอบกับความสงสารแม่ จึงพยายามทำตัวให้นุ่มนวล มีลักษณะคล้ายหญิง (Sissy) สิ่งเหล่านี้ ล้วนมสี าเหตุความเปน็ มาจากวัยเดก็ ทง้ั สิน้ ฟรอยด์กล่าวว่า เด็กทุกคนจะมีพัฒนาการต่อไปได้ดีน้ัน ควรเป็นผู้ที่ประสบ ความสำเร็จในระยะต่างๆ ของชีวิต คือ เกี่ยวกับเร่ือง oral, anal และ phallic ซึ่งหมายความว่า ความสุข ความพอใจ ซึ่งได้รับในช่วงต่างๆ เหล่าน้ันเป็นไปอย่างเพียงพอ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเด็ก

จติ วทิ ยาความเปน็ ครู ๗๖ ไม่ได้รับการสนองตอบอย่างเหมาะสม อาจจะได้รบั ความพงึ พอใจมากไป หรือไดร้ ับความพึงพอใจนอ้ ย ไปหรือได้รับประสบการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่รุนแรง (Traumatic experience) ในช่วงใดช่วงหนึ่ง ดังกล่าวแล้ว จะก่อให้เกิดสภาพการติดตัน (Fixation) ในช่วงนั้นๆ ทำให้การพัฒนาการหยุดชะงักไม่ ดำเนินสู่ข้ัน ต่อไป ซึ่งทำให้มีผลต่อพัฒนาการด้านบุคลิกภาพ ซึ่งฟรอยด์ หมายความว่า คนจะมี บุคลิกภาพต่อไปอย่างไรน้ัน ได้รับอิทธิพลจากช่วงแรกของชีวิตเก่ียวกับเร่ืองนี้ พอจะสามารถทำนาย พฤติกรรมของคนโดยทั่ว ๆ ไปได้ว่า เกิดการติดตันในช่วงใด เช่น คนท่ีติดตันในช่วงoral stage จะกลายเป็นคนติดสุรางอมแงม หรือบางคนมีลักษณะเศร้าซึมหรือบางคนเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี จนเกินไป และบางคนเป็นคนท่ีมองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป สำหรับคนท่ีติดตันในช่วง anal stage จะกลายเป็นคนโลภ ขี้เหนียว เป็นคนก้าวร้าว หรือเป็นคนที่ด้ือแพ่งหรือเป็นคนที่เข้มงวดกวดกัน เคร่งครัด ส่วนท่ีติดตันในช่วง phallic stage มักจะเป็นคนชอบโอ้อวด หลงตนหรือเป็นคนท่ีทำ หยงิ่ ยะโส ขนั้ ที่ ๔ (Latency Stage) เปน็ พัฒนาการอีกก้าวหนึ่งของเด็ก มีช่วงอายุต้ัง แต่ประมาณ ๖ ปี ไปจนถงึ วยั ท่ีเด็ก เตรียมตัวจะเข้าสู่วัยรุ่น (Puberty) เป็นระยะท่ีเด็กเริ่มเรียนช้ันประถมศึกษา ระยะน้ีเป็นระยะที่เด็ก มีพัฒนาการทางด้านสังคม เด็กจะเริ่มให้ความสนใจต่อส่ิงแวดล้อมรอบๆ ตัวเขา เพื่อแสวงหาค่านิยม ทัศนคติ เพราะเด็กต้องการความรู้ ความเข้าใจและทักษะเพ่ือพัฒนาตนเองให้สอดคล้องกับงาน ทจี่ ะต้องทำต่อไปตลอดถงึ การปรับตวั ให้เข้ากับสังคม ขน้ั ท่ี ๕ (Genital Stage) ฟรอยด์เช่ือว่า พัฒนาการทางบุคลิกภาพส่วนใหญ่มีอิทธิพลมาจากในช่วง ๕ ปีแรก ของชวี ิต สำหรบั พัฒนาการในช่วงหลัง จากน้ันฟรอยด์ถือว่า เป็นส่วนเสริมแต่งให้บุคคลก้าวไปสคู่ วาม สมบูรณ์แห่งชีวิตมากข้ึน พัฒนาการในระยะ Genital นี้เริ่มต้ังแต่วัยรุ่นถึงวัยผู้ใหญ่ เมื่อบุคคลเข้าสู่ วัยรุ่น ความรู้สึกนึกคิด โดยเฉพาะในเรื่องเพศจะเปลี่ยนไปจากเดิม เด็กชายต้องการเลียนแบบพ่อ ในขณะที่เด็กหญิงจะเลียนแบบแม่ ค่านิยมทางสังคมต่างๆ จะไหลเข้าสู่จิตใจเด็กความพึงพอใจ และความสุขต่างๆ เป็นแรงขับมาจากวุฒิภาวะทางเพศ วัยรุ่นมีความสนใจเพศตรงข้าม มีแรงจูงใจ ท่ีจะรักผู้อ่ืน ความเห็นแก่ตัวจะลดน้อยลง สามารถช่วยตัวเองได้มากข้ึน และในเวลาเดียวกัน ก็ต้องการอิสระจากพ่อแม่มากข้ึน ด้วย หากการอบรมเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อมต่างๆเป็นไปด้วย ความราบร่ืน มีความเข้าใจซ่ึงกันและกันเป็นอันดี วัยรุ่นจะเติบโตข้ึนเป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีอนาคตแจ่มใส ตอ่ ไปภายหน้า ๓.๖.๒ ทฤษฎีพัฒนาการของอีรคิ สนั (Erikson) อีริค อีริคสัน (Erik Erikson) เป็นชาวเยอรมัน ภายหลังอพยพไปอยู่สหรัฐอเมริกา ได้ศึกษา แนวคิด ทางจิตวิเคราะห์จาก แอนนา ฟรอยด์ (Anna Freud) ลูกสาวของฟรอยด์ แต่มีความคิดเห็น ต่างจากฟรอยด์ ในประเด็นท่ีว่า บุคลิกภาพของมนุษย์พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตลอดชีวิตด้วยพลัง ทางสังคมมิใช่พลังทางเพศตามที่ฟรอยด์เสนอ อีรคิ สัน แบง่ พัฒนาการของมนุษย์เป็น ๘ ข้ัน แต่ละขั้น จะแสดงถึงบุคลิกภาพ ๒ แบบท่ีตรงกันข้าม พัฒนาการในข้ันแรกจะส่งผลถึงพัฒนาการในขั้นต่อไป ดว้ ย ๑. ขั้นสรา้ งความรู้สกึ ไวว้ างใจ - ความไมไ่ วว้ างใจ ความรัก ความเอาใจใส่ และความใกล้ชิดจากมารดาหรือพี่เลี้ยงเป็นอย่างดี เด็กจะเกิด ความรู้สึกไว้วางใจและความอบอุ่นมั่นคง ในทางตรงกันข้ามถ้าถูกทอดทิ้งและมิได้รับความรักจะเกิด

จิตวทิ ยาความเป็นครู ๗๗ ความรู้สึกไม่ไว้วางใจใคร ในวัยนี้เด็กจะเกี่ยวข้องกับผู้ใกล้ชิด ได้แก่ บิดา มารดา และหรือพ่ีเล้ียงเป็น สว่ นใหญ่ ๒. ขน้ั สร้างความร้สู ึกเป็นตวั ของตวั เอง - ความไม่มน่ั ใจในตนเอง ช่วงอายุ ๑ – ๔ ขวบ วัยนี้จะแสดงออกให้เห็นว่าตนเองมีความสามารถ มีความเป็นตัว ของตัวเอง ในทางตรงข้าม ถ้าเด็กมิได้รับความสำเร็จหรือความพอใจ เด็กจะเกิดความอายและกลัว การแสดงออกเกิดความไม่มัน่ ใจในตนเอง ในวยั เดก็ จะเกยี่ วข้องกบั บิดามารดาและหรอื พเี่ ลี้ยง ๓. ขั้นสรา้ งความคิดริเริ่ม - มีความรูส้ ึกผดิ ช่วงอายุ ๔ – ๕ ขวบ วัยนี้เด็กจะเลียนแบบสมาชิกในครอบครัวมคี วามคิดสร้างสรรค์ อยากรู้ อยากเห็น ทดลองส่ิงใหม่ๆ ถ้าทดลองแล้วผิดพลาดถูกผู้ใกล้ชิด ตำหนิ ติเตียนเด็กจะเกิดความขยาด และหวาดกลวั ในวัยน้ีเดก็ จะเก่ียวขอ้ งกับสมาชกิ ในครอบครัวและเดก็ ๆนอกบ้าน ๔. การสรา้ งความรู้รบั ผดิ ชอบ - ความรู้สึกต่ำต้อย ช่วงอายุ ๖ – ๑๒ ปี วัยน้ีเด็กจะเริ่มเกี่ยวข้องกับสังคมมากขึ้นตามลำดับ จะขยันเรียน ขยัน อ่านหนงั สือประเภทตา่ งๆ พูดคุยและอวดโชว์ความเดน่ และความสามารถของตนเพือ่ ให้เพื่อนยอมรับ ถา้ เด็กทำไม่ได้เขาจะผิดหวัง และมีความรู้สึกเป็นปมด้อย ย่ิงถ้าถูกผู้ใหญ่แสดงความเบื่อหน่าย ตำหนิ อยู่ตลอดก็จะเปน็ คนท่มี ีความรู้สึกตำ่ ต้อย ๕. ขนั้ สรา้ งความเป็นเอกลกั ษณ์ - ความสบั สนในบทบาท ช่วงอายุ ๑๓ – ๑๘ ปี วัยนี้เด็กจะสร้างเอกลักษณ์หรือบุคลิกภาพของตน โดยเลียนแบบจาก เพ่ือนๆ หรือผู้ใกล้ชิด ถ้ายังสรา้ งเอกลักษณ์ของตนไม่ได้จะเกิดความว้าวุ่นสับสนว้าเหว่ และหมดหวัง ๖. ข้นั สร้างความผูกพนั - การแยกตัว ช่วงอายุ ๑๙ – ๔๐ ปี เป็นวัยท่ีเปลี่ยนไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ต้องการติดต่อและสัมพันธ์กับ เพือ่ นต่างเพศ จนเป็นเพ่ือนสนิทและหรือเป็นเพื่อนคชู่ ีวติ ยอมที่จะเปน็ ผนู้ ำในบางขณะและเป็นผู้ตาม ในบางขณะ ถ้าผิดหวังจะแยกตนเองออกจากสังคม หรืออยู่ตามลำพัง ในวัยน้ีจะมีเพื่อนรัก เพ่ือน รว่ มงานและเพ่ือนสนทิ เป็นจำนวนมาก ๗. ขัน้ สรา้ งความเป็นประโยชนใ์ หก้ ับสงั คม - คดิ ถงึ แต่ตนเอง ชว่ งอายุ ๔๑ – ๖๐ ปี เป็นวัยที่มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว และจะพัฒนาเป็นผู้ใหญ่ที่ทำ ประโยชน์ให้กับสังคมด้วยความบริสุทธ์ิใจ ไม่มุ่งประโยชน์ส่วนตัว แต่ถ้าพบกับความล้มเหลวในชีวิต ก็จะท้อถอยเหนื่อยหน่ายในชีวิต คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัว แม้จะนำประโยชน์ทางสังคม ก็มักมปี ระโยชน์สว่ นตนแฝงอยู่เสมอ ๘. ข้ันสร้างบูรณาการในชีวิต - ความสน้ิ หวัง ช่วงอายุต้ังแต่ ๖๑ ปี ข้ึนไป เป็นวัยที่ต้องการความมั่นคงสมบูรณ์ในชีวิต จะภาคภูมิใจใน ความสำเร็จของชีวิตและผลงานของตน ถ้าผิดหวังจะเกิดความรู้สึกล้มเหลวในชีวิตและส้ิน หวัง เสียดายเวลาท่ีผา่ นไปไม่ยอมรบั สภาพของตน ๓.๖.๓ ทฤษฎพี ฒั นาการของกีเซล (Gesell’s Theory of Development) กีเซล นักจิตวิทยาพัฒนาการในเร่ือง วุฒิภาวะ เขาย้ำถึงความเกี่ยวพันระหว่างวุฒิภาวะ และการเจริญเติบโตของร่างกาย กีเซลเช่ือว่า พัฒนาการจะเกิดข้ึน อย่างเป็นระเบียบตามแบบแผน ตามธรรมชาติ ได้กำหนดเป็นขั้นๆ ไป และมีผลทางพฤติกรรม ซึ่งหมายถึง การเปลี่ยนแปลงทางด้าน วุฒิภาวะ การเกิดความพร้อมทางด้านวุฒิภาวะ จะก่อให้เกิดความพร้อมของร่างกาย ที่จะทำให้เกิด พฤติกรรมใหมแ่ ละเป็นตวั กำหนดพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กด้วย

จิตวทิ ยาความเปน็ ครู ๗๘ กีเซล เชื่อในแรงขับ ซึ่งเกิดภายในมนุษย์เป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่ต้องอาศัยแรงกระตุ้น จากภายนอก ประสบการณ์ไมม่ ีส่วนเกี่ยวข้องกับพัฒนาการ การที่เดก็ ในแต่ละวยั สามารถทำกิจกรรม ต่างๆ ได้นั้นเนื่องมาจากพัฒนาการทางด้านร่างกายพร้อมท่ีจะทำได้ทฤษฎีของกีเซล ได้วางมาตรฐาน สำหรบั การเจริญเติบโตตามช่วงอายตุ า่ งๆ เขาจงึ สรา้ งจากเกณฑม์ าตรฐานสำหรบั วดั พฤตกิ รรม การสร้างเกณฑ์มาตรฐานสำหรับวัดพฤติกรรมของเด็กในช่วงอายุต่างๆ น้ันสร้างการศึกษา ระยะยาวแล้วสร้างเป็นตารางพัฒนาการใช้มาตรฐานวัดพฤติกรรมเด็กท่ัวไปกีเซลได้แบ่งพัฒนาการ ออกเปน็ ๔ กลมุ่ ใหญ่ๆ ดังนี้ ๑.พฤตกิ รรมทางการเคลอื่ นไหว ครอบคลมุ ถึงการบงั คับอวัยวะต่างๆ ในรา่ งกายและ ความสมั พนั ธท์ างการเคลอ่ื นไหวท้ัง หมด ๒.พฤติกรรมทางการปรับตัว ครอบคลุมทางด้านความเชื่อมโยงของการใช้มือ และสายตาในการถอื วตั ถุ การเข้าถึงวตั ถุ การแก้ปัญหาในทางปฏิบัติ การสำรวจและการจดั ทำต่อวัตถุ ๓.พฤติกรรมทางด้านภาษา ครอบคลมุ ทางด้านการติดตอ่ สื่อสาร เช่น การแสดงออก ทางด้านใบหน้า การใช้อวยั วะตา่ งๆ การลากเสียง การใชภ้ าษาพูด รวมท้ัง ความเข้าใจจากการสื่อสาร ของคนอื่น ๔.พฤติกรรมทางด้านสังคม - ตัวบุคคล ครอบคลุมถึงการตอบสนองของเด็ก ต่อบุคคลอื่นในด้านวัฒนธรรมทางสังคม เช่น การเล้ียงดู การฝึกการขับถ่าย การตอบสนองต่อการ ฝึกหัดในสังคม เชน่ การเล่น การย้ิม การตอบสนองตอ่ วตั ถบุ างอย่าง เช่น กระจกเงา เปน็ ตน้ ๓.๖.๔ ทฤษฎพี ัฒนาการของเพยี เจต์ (Piaget Theory) เพียเจต์ (Piaget) เป็นศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้รับ ปริญญาเอกทางสัตว์วิทยา ในปี ค.ศ.1918 แต่กลับมาสนใจศึกษาทางจิตวิทยา เป็นผู้สร้างทฤษฎี พัฒนาการทางสติปัญญาและเน้นว่า ระดับสติปัญญาและความคิดริเร่ิมพัฒนาการจากการปะทะ อย่างต่อเน่ืองระหว่างบุคคลและสิ่งแวดล้อมการปะทะ(Interaction) หมายถึง กระบวนการปรับตัว ของอินทรีย์กับสิ่งแวดล้อมภายนอก ซ่ึงเป็นกระบวนการที่ต่อเน่ืองและปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา เพอ่ื จะก่อใหเ้ กดิ ความสมดลุ กบั ธรรมชาติ การปะทะและการปรบั ปรงุ จะต้องประกอบด้วย ๑.การดูดซึม assimilation หมายถึง การรับส่ิงแวดล้อมรอบตัว เพ่ือเป็น ประสบการณ์ของตน ซึ่งการรับรู้จะได้ผลเพียงใดย่อมขึ้น กับความสามารถในการรับรู้ ได้แก่ประสาท สัมผสั ต่างๆ ๒.การปรับขยายความรู้ใหม่ให้ เข้ากับความรู้เดิม accommodation เป็นกระบวน การรวบรวมแยกแยะส่ิงแวดล้อม เพื่อเปลี่ยนแปลงความคิดและเข้าใจสิ่งแวดล้อมตรงกับสภาพ ความเป็นจริงมากข้ึน โดยการนำประสบการณ์เดิมเข้าไปสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่ได้รับจนกระทั่งเกิด ความรูใ้ หมเ่ พิม่ ขนึ้ ๓.ความสมดุล equilibration ในการท่ีเด็กมี interaction กับสิง่ ใดก็ตามในคร้ังแรก เด็กจะพยายามทำความเข้าใจประสบการณ์ใหม่ ด้วยการใช้ความคิดเก่าหรือประสบการณ์เดิม (Assimilation) แต่เม่ือปรากฏว่าไม่ประสบความสำเร็จ เด็กจะต้องเปล่ียนความคิดเก่ียวกับส่ิงต่างๆ (Accommodation) จนกระทั่งในที่สุด เด็กสามารถผสมผสานความคิดใหม่น้ันให้กลมกลืนเข้ากับ ความคิดเก่า สภาพการณ์เช่นนี้ก่อให้เกิดความสมดุล equilibration ซึ่งทำให้คนสามารถปรับตัวเข้า กับสง่ิ แวดล้อมได้

จิตวทิ ยาความเป็นครู ๗๙ ข้ันของพฒั นาการทางสติปัญญา แบง่ เป็น ๔ ขน้ั ๑. ข้ันประสาทรบั รู้และการเคล่ือนไหว (แรกเกิด - พูดได้) เดก็ จะเรยี นรู้สิ่งแวดล้อม โดยการรบั รู้และการเคลือ่ นไหว เป็นจุดเริม่ ตน้ ในการรวบรวมประสบการณ์ เพื่อช่วยในการคดิ ระยะน้ี จะเรมิ่ สญั ลกั ษณข์ องวตั ถุ ๒. ขั้นเกิดสังกัปและความคิดแบบใช้การหยั่งรู้ (๒ - ๗ ปี) เป็นข้ัน ของความคิด ซ่ึงเป็นผลมาจากการรับรู้และการเคล่ือนไหว โดยจะเข้าใจสัญลักษณ์ท่ีมาแทนวัตถุจริง เข้าใจในส่ิง ซับซ้อนไดบ้ ้างแต่ยังขาดประสบการณใ์ นทางความคิด เป็นเหตุใหเ้ รอ่ื งทีค่ ิดผิดพลาดได้ ๓. ข้ันปฏิบัติการทางความคิดโดยใช้วัตถุหรือสิ่งที่มีตัวตน (๗ - ๑๑ ปี) ขั้น น้ีเด็ก จะเข้าใจความคงที่ของปริมาณ ขนาดน้ำหนัก และความสูงโดยไม่คำนึงถึงสภาวะแวดล้อม ในขณะเดียวกัน เด็กจะสามารถเปรียบเทียบปรมิ าณของน้ำได้ถูกต้อง ไมว่ า่ จะอยู่ในภาชนะลักษณะใด ๔.ขั้นปฏิบัติการทางความคิดนามธรรม (๑๒ ปี ขึ้น ไป) เด็กจะมีอิสระในทาง ความคิดใช้วิธีคิดแบบอนุมาน และสามารถคิดแบบ ตั้ง สมมุติฐานและคิดหาทางพิสูจน์ได้ เป็นพัฒนาการทางความคิดข้ันสงู สุด ข้ันของการพัฒนาทางสังคม เพียเจต์ แบง่ เป็น ๓ ระยะ ๑. ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง (Egocentrism) เป็นระยะที่ยึดว่าตนมีความสำคัญที่สุด มักจะพูดเรื่องของตนเอง โดยไม่รับรู้ผู้อ่ืนจะเข้าใจหรือไม่ วงสังคมในระยะน้ีจะแคบแค่ความสัมพันธ์ อยา่ งใกล้ชิดกบั บคุ คลในครอบครวั (วยั ทารกและวยั เดก็ ตอนตน้ ) ๒. พยายามเข้าสังคม (อายุ ๖ – ๑๒ ปี) เป็นระยะที่เร่ิมเข้าใจว่า การอยู่ร่วมกัน จำเป็นต้องมีการติดต่อและพ่ึงพาอาศัยกัน ลดการยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง โลกของเด็กขยายไป สู่เพ่ือนฝูง ครูและบุคคลอื่นๆ ท่ีเด็กมีโอกาสใกล้ชิด เป็นระยะสำคัญท่ีจะเป็นเครื่องช้ีบอกถึงอนาคต ทางสงั คม ๓. เกิดการยอมรับและมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน เป็นระยะพัฒนาขั้น สูงสุดทางสังคม รู้จักยอมรับนับถือผู้อื่น ยอมรับความคิดเห็นของผู้อ่ืน แทนการยึดความคิดของตนเองเป็นเกณฑ์ การเปล่ียนแปลงระยะนี้เริ่มตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยผู้ใหญ่ ระยะนี้มีท้ังเพศเดียวกันและต่างเพศ รวมทง้ั ต้องการทีจ่ ะรว่ มกิจกรรมกบั หม่คู ณะ ๓.๖.๕ ทฤษฎีพัฒนาการทางจรยิ ธรรมของโคลเบอรก์ โคลเบอร์ก (Kohlberg, Lawrence) นักจิตวิทยาชาวสหรัฐอเมริกาเชื่อว่า พัฒนาการทาง สติปัญญาเป็นรากฐานของพัฒนาการทางจริยธรรม เขาจึงขยายทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรม ของเปียเจต์ให้กว้างขวางยิ่งขนึ้ ละเอียดลออย่ิงข้ึน เขาได้ทำการวิเคราะหเ์ หตุผลเชิงจริยธรรม และวัด ระดับการพัฒนาการทางจริยธรรมของบุคคลในหลายสังคมและวัฒนธรรม แล้วสรุปการพัฒนาการ ทางจริยธรรมของมนุษย์ทั่วโลกแบ่งออกเป็นข้ันๆ ได้ ๖ ข้ัน โดยท่ีขั้น ต่ำจะพบมากในเด็กท่ัวโลก ส่วนขั้น สูงสุดจะพบแต่ในผู้ใหญ่บางคน ในบางวัฒนธรรมเท่านั้น พัฒนาการทางจริยธรรมจะเป็นไป ตามข้ัน จากขั้นที่หนึ่งไปตามลำดบั จนถึงข้ันท่ีหก โดยไม่มีการข้ามข้ัน เพราะการใช้เหตผุ ลในขั้นสูงขึ้น ไปจะเกดิ มขี ้ึน ไดด้ ้วยการมีความสามารถ ในการใชเ้ หตผุ ลในขั้นที่อยู่ตำ่

จติ วิทยาความเปน็ ครู ๘๐ กว่าเสียก่อน มนุษย์ทุกคนไม่จำเป็นต้องพัฒนาทางจริยธรรมไปถึงข้ัน สุดท้าย อาจจะหยุดชะงัก ท่ีขั้นใดข้ันหนึ่งก็ได้ โคลเบอร์กพบว่า ผู้ใหญ่ส่วนมากจะมีพัฒนาการทางจริยธรรมถึงขั้น ท่ี ๔ เท่านั้น และบางครั้งบคุ คลก็อาจจะย้อนกลับมาใชใ้ นขัน้ ต่ำๆ กไ็ ด้ เพราะอารมณ์ของคนเราไม่แน่นอน๕ ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบอร์ก ได้แบ่งพัฒนาการทางจริยธรรมออกเป็น ๓ ระดับ แต่ละระดับแยกออกเป็น ๒ ระยะหรอื ๒ ข้นั (Stage) ตามลกั ษณะการใหเ้ หตุผลทางจรยิ ธรรม ดงั นี้ ๑. ระดับก่อนกฎเกณฑ์ หรือก่อนที่จะมีจริยธรรม (Preconventional or Premoral level) เป็นระดับที่ต่ำสุดของการมีจริยธรรม จริยธรรมในระดับนี้ ของเด็กจะถูกควบคุมด้วยรางวัล และการลงโท ษและการตัดสินจริยธรรมจะมาจากเกณ ฑ์ ภายนอกโดยเฉพาะจากพ่ อแม่ ระบบนี้ เด็กจะตัดสินจริยธรรม โดยใช้ผลที่ตนได้รับเป็นเกณฑ์ในการประเมินจริยธรรม คือ ถ้าเขาถูกลงโทษ เขาจะคิดว่าเขาทำไม่ดี ถ้าได้รับรางวัลก็แสดงว่าเขาท ำดี เด็กท่ีอายุต่ำกว่า ๑๐ ปี โดยท่ัวไป จะมีจริยธรรมอยูใ่ นระดบั น้ีซง่ึ แบง่ ได้เปน็ ๒ ระยะ ดงั น้ี ข้ันท่ี ๑ หลักการหลบหลีกการลงโทษ เป็นหลักหรือเหตุผลของการกระทำ ซึ่งเด็ก ทมี่ ีอายุต่ำกวา่ ๗ ขวบใช้มาก เขาจะมีพฤติกรรมตา่ งๆ ในลักษณะมุ่งท่ีจะหลบหลีกไม่ให้ตนเองต้องถูก ลงโทษ เพราะกลัวว่าตนเองจะเจ็บหรือลำบาก เด็กจะยอมทำตามคำส่ังหรือกฎเกณฑ์ของผู้ใหญ่ เพราะไม่ต้องการให้ตนถูกลงโทษมากกว่าอย่างอ่ืน เช่น ยอมสีฟันหลังอาหารเพราะกลัวพ่อดุ หรือไม่ หยิบขนมกินกอ่ นได้รับอนุญาตเพราะกลวั แม่ตี ขน้ั ท่ี ๒ หลักการแสวงหารางวัล ผู้ที่มีจริยธรรมในขนั้ น้ีโดยทว่ั ไปจะมีอายรุ ะหว่าง ๗ – ๑ ๐ ปี เพราะจะมีพฤติกรรมทางจริยธรรมก็สาเหตุมาจากว่าต้องการได้ประโยชน์ เลือกกระทำ พฤติกรรมจริยธรรม ในส่วนท่ีจะนำความพอใจ ความสุข หรือประโยชน์มาสู่ตน เริ่มพยายามทำ เพื่อต้องการรางวัล และรู้จักการแลกเปลี่ยนกันแบบเด็กๆ คือ เมื่อเขาทำอะไรให้ฉัน ฉันก็ควรทำอะไร ตอบแทนเขาบ้าง โดยเฉพาะสิ่งทีท่ ำนั้น ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง หรือได้รบั รางวัล ในข้ันน้ีบุคคล ยังยึดตัวเองอยู่ (Egocentric) การจูงใจให้เด็กในวัยน้ีกระทำความดี จึงควรจะใช้วิธีให้สัญญาว่าจะให้ รางวัลหรือชมเชยมากกว่าการขู่เข็ญ ลงโทษ เด็กท่ีมีจริยธรรมอยู่ในข้ันนี้ จะมีแรงจูงใจท่ีจะกระทำส่ิง ทเี่ ป็นผลดีแก่ตน เช่น เด็กหญิงจะช่วยบดิ ารดน้ำต้นไม้ เพ่ือจะได้รับคำชมเชย เด็กชายจะถอดรองเท้า ไมย่ ำ่ ดนิ เปน็ เทือกเข้าบ้าน เพื่อมารดาจะได้พอใจ และหาขนมอรอ่ ยๆ ไว้ให้เขากนิ เปน็ รางวลั ๒. ระดับตามกฎเกณฑ์ (Coventional level) เป็นระดับจริยธรรมท่ีสูงขึ้น มาจากระดับแรก ผู้ที่มีจริยธรรมในระดับน้ีอายุโดยประมาณตั้ง แต่ ๑๐ – ๑๖ ปี จริยธรรมในระดับน้ีจ้ะเป็นไปตาม กฎเกณฑข์ องกลุ่ม ของสังคม เขาจะเขา้ ในกฎเกณฑ์ได้ดีขึ้น และเริ่มเปล่ียนจากการยึดตนเองเปน็ หลัก (Egocentric) มายึดเกณฑ์ของสังคมเป็นหลัก แต่ก็ต้องอาศัยการควบคุมจากภายนอกในการที่จะทำ ความดี ละเว้นความช่ัว แต่รู้จักแสดงบทบาทตามท่ีสังคมกำหนดได้ และรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราได้ แล้ว รู้จักเคารพกฎ และให้ความสำคญั แก่กลุ่ม ถ้าควบคุมความประพฤติอย่างรัดกุมเขาก็จะไม่คดโกง จรยิ ธรรมในระดับน้ีแบง่ ได้เปน็ ๒ ข้นั ต่อจากระดบั แรก ดงั นี้ ๕ ดวงเดือน พันธุมนาวนิ และ จรรจา สวุ รรณทัต, จติ วิทยาเบอ้ื งตน้ , (กรงุ เทพมหานคร : สถาบันวจิ ยั พฤตกิ รรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ ประสานมิตร, ๒๕๒๐), หน้า ๑๔.

จติ วทิ ยาความเปน็ ครู ๘๑ ข้ันท่ี ๓ หลักการทำตามท่ีคนอ่ืนเห็นว่าดี ผู้ท่ีมีจริยธรรม ในขั้นนี้จะมีอายุประมาณ ๑๐ – ๑๓ ปี เขาจะคาดหวังวา่ สง่ิ ท่ีเขาทำไปน้ัน คนอืน่ จะต้องเหน็ ว่าดี หรอื คาดว่าคนอน่ื เขาวา่ ดีหรือ ถูกต้อง เขาจึงจะทำพฤติกรรมนั้น บุคคลท่ีมีจริยธรรมในขั้นนี้มีลักษณะไม่เป็นตัวของตัวเอง ชอบ คล้อยตามการชักจูงของผอู้ ื่น โดยเฉพาะเพ่ือน เพ่ือให้เป็นท่ีชอบพอของเพื่อน ถ้าอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี เขาก็จะเปน็ ผู้มจี ริยธรรมท่ดี ีได้ ขั้นท่ี ๔ หลักการทำตามหน้าที่ ผู้ที่จะมีจริยธรรมในข้ันน้ีได้ จะมีอายปุ ระมาณ ๑๓ - ๑๖ ปี บุคคลท่ีมีจริยธรรมในขั้นนี้จะรู้ถึงบทบาทและหน้าที่ของตน และสามารถทำตามหน้าท่ีของตน ตามกฎเกณฑ์ท่ีสังคมกำหนด เขาจะเคารพกฎเกณฑ์ของกลุ่ม เคารพกฎหมาย บุคคลที่มีจริยธรรม ในข้ันนี้ถือว่ามีจริยธรรมท่ีดีพอควร ถ้าคนส่วนใหญ่ในสังคมใดมีจริยธรรมถึงข้ันน้ีแล้ว สังคมนั้นก็สงบ สุขและร่มเย็นเด็กวัยรุ่นในขั้นน้ี จะตระหนักถึงบทบาท และหน้าที่ของตนเองในกลุ่มต่างๆ และมีศรัทธาต่อกฎเกณฑ์ของกลุ่มมากพอสมควร ฉะนั้น จึงจำเป็นที่ผู้ที่เป็นพ่อแม่ ครผู ู้ปกครองจะได้ ดูแลแนะนำให้เด็กวัยรุ่นของตนได้เข้ากลุ่มที่ดี เพื่อเด็กจะได้ทำตามกฎเกณฑ์ท่ีดีท่ีเป็นประโยชน์ ตอ่ สงั คม ๓. ระดับเหนือกฎเกณฑ์ ทฤษฎี (Post Conventional level) เป็นระดับจริยธรรมสูงสุด โดยท่ัวไป ผู้ที่มีจริยธรรมข้ันนี้ได้ จะมีอายุประมาณ ๑๖ ปีขึ้น ไป คือ ความสามารถทางความคิด การตัดสินใจเป็นผู้ใหญ่ ได้โดยสมบูรณ์ การตัดสินคุณธรรม จริยธรรมต่างๆ จะมาจากเหตุผลภายใน (Internal reasoning) ใช้มาตรฐานของสงั คมเป็นเกณฑ์ของพฤติกรรมมากกว่าจะใชก้ ารคิดสำนึกของ ตนหรือความตอ้ งการของงานเป็นหลักในการตัดสินบุคคลในระดับน้ี จงึ มีหลกั ประจำใจ และปฏบิ ัติไป ตามอุดมคติของตน ซ่ึงถือเป็นจริยธรรมข้ัน สูงสุดท่ีจะปรากฏได้ในบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์ (หมายถึงเป็นผู้ใหญ่ที่มีระดับความคิดสูงและจริยธรรมสูง มิใช่เป็นผู้ใหญ่ท่ีสูงแต่อายุอย่างเดียว) จรยิ ธรรมในระดบั นี้แบ่งเป็น ๒ ข้ัน เชน่ กนั คือ ขัน้ ที่ ๕ หลักการทำตามคำมัน่ สัญญา ผู้ท่ีมจี ริยธรรมในขั้นน้ีจะมีลักษณะ มีเหตุมีผล มีหลักการมากกว่าการใช้อารมณ์ ถือความสำคัญของส่วนรวมมากกว่าส่วนตน นับถือสิทธิ และให้ความเสมอภาค ความยุติธรรมแก่ผู้อื่น จะไม่ทำพฤติกรรมให้ขัดต่อสิทธิของผู้อื่น สามารถ ควบคุมบังคับจิตใจของตัวเองมิให้หลงใหลไปกับสิ่งยั่วยุได้ คือ ถือคำม่ันสัญญาและปณิธานของตน ไม่หว่ันไหวไปกับสิ่งยั่วยุต่างๆ มีความเคารพตนเองและต้องการให้ผู้อ่ืนเคารพตนด้วย ผู้ที่มีจริยธรรม ในข้ันนี้ได้ จะมีอายุตั้ง แต่ ๑๖ ปี ข้ึนไป บางคนเรียกผู้ท่ีมีจริยธรรมในขั้นนี้ว่า “ผู้มีธรรม (ความรบั ผดิ ชอบ) อย่ใู นหัวใจ” (Ethics of responsibility) ข้ันที่ ๖ หลักการทำตามอุดมคติสากล ผู้ที่มีจริยธรรมในข้ันนี้ ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ โดยสมบูรณ์ เป็นจริยธรรมขั้น สูงสุด มีการยืดหยุ่นจริยธรรมอยู่เหนือกฎเกณฑ์ใดๆ ท้ัง ปวงสามารถ และกล้าทำลายสิ่งหน่ึงสิ่งใด เพื่อส่ิงท่ีดีกว่าได้ จะไม่ยอมทำในสิ่งท่ีไม่ถูกต้องอย่างแน่นอนมักจะทำ พฤติกรรมต่างๆ เพ่ือจุดมุ่งหมาย ในบั้นปลาย อันเป็นอุดมคติที่ย่ิงใหญ่ มีความเสียสละและยุติธรรม อย่างยิ่ง แม้ชีวิตก็อาจสละได้เพื่ออุดมคติน้ันๆ นอกจากนี้ยังมีหลักธรรมประจำใจอย่างสมบูรณ์ และถูกตอ้ ง มีความรู้สกึ ผิดชอบชั่วดสี ูง เชน่ มีหิริ โอตตัปปะ คอื ความละอายแก่ใจตนเองในการทำชั่ว แม้เพียงแต่คิดเท่านั้น ก็จะละอายใจแล้วและมีความเกรงกลัวต่อบาป เพราะมีความเช่ือในหลักสากล วา่ ความเลวน้ัน ถ้าบุคคลกระทำแล้ว แม้จะรอดพ้นไม่ถูกผูใ้ ดลงโทษ แต่โทษที่ได้รับน้ันก็คือ ผู้กระทำ ความเลวนั้นจะมีจิตใจต่ำลง

จิตวทิ ยาความเปน็ ครู ๘๒ จากทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบอรก์ พอสรุปได้ ดังแสดงไว้ในตารางท่ี ๓.๑ ตารางที่ ๓.๑ แสดงข้นั พฒั นาการทางจรยิ ธรรมของโคลเบอร์ก ข้ันการใช้เหตผุ ลเชงิ จรยิ ธรรม ระดับของจรยิ ธรรม ขั้น ท่ี ๑ หลักการหลบหลกี การถูกลงโทษ (๒ - ๗ ปี) ๑. ระดบั กอ่ นกฎเกณฑ์ ( ๒ - ๑๐ ปี ) ข้นั ท่ี ๒ หลกั การแสวงหารางวลั (๗ - ๑๐ ปี) Precoventional level ขั้น ที่ ๓ หลักการทำตามที่ผู้อ่ืนเห็นวา่ ดี (๑๐ – ๑๓ ปี) ๒. ระดับกฎเกณฑ์ ( ๑๐ - ๑๖ ปี ) ขน้ั ท่ี ๔ หลักการทำตามหนา้ ท่ที างสังคม(๑๓ – ๑๖ ปี) Coventional level ขั้น ท่ี ๕ หลักการทำตามคำม่ันสัญญา (๑๖ ปีขึ้น ไป) ๓. ระดบั เหนอื เกณฑ์ ( ๑๖ ปีขนึ้ ไป) ขนั้ ท่ี ๖ หลกั การอุดมคติสากล (ผ้ใู หญ่สมบูรณ์) Post Conventional level ๓.๖.๖ ทฤษฎพี ฒั นาการของบรเู นอร์ (Bruner) บรูเนอร์ (Jerome Bruner) เป็นศาสตราจารย์ทางจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ทฤษฎี ของเขา มีส่วนคล้ายกับทฤษฎีของเพียเจต์อยู่มาก จะต่างกันก็คือ บรูเนอร์เน้นความสัมพันธ์ระหว่าง วัฒนธรรม (ส่ิงแวดล้อม) กับพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่งเพียเจต์ไม่เอ่ยถึง บรูเนอร์เชื่อว่ามนุษย์ สามารถใช้วัฒนธรรมเป็นเครื่องขยายความสามารถของตนให้มากย่ิงข้ึน ซึ่งทำให้คนรุ่นหลังมีความรู้ ความก้าวหน้าย่ิงกว่าคนรุ่นแรกข้ึนไปเป็นลำดับ เป็นเหตุให้มนุษย์ก้าวจากสมัยหิน มาสู่สมัย วทิ ยาศาสตรท์ ี่มีเทคโนโลยกี ้าวหน้าในเวลาไม่นาน เมอ่ื เปรยี บเทียบกับอายุของมนุษย์ ซง่ึ เกดิ มาในโลก นี้หลายๆ พนั ปี บรูเนอร์ สนใจในพฤติกรรมของเด็กต้ัง แต่วัยทารก ปรากฏการณ์ที่ค้นพบคือ ทารกเรียนรู้ โลกรอบๆ ตน นับแต่แรกเกิด เขาทดลองกับวัตถุในระดับสายตาของเด็กเมื่อเขาค่อยๆ เคลื่อนวัตถุ ดวงตาของเด็กทารก จะเคลื่อนตามวัตถุที่ตนจับจ้อง แม้แต่การเคล่ือนไหวของมือข้างหนึ่งไป ประสานงานกับมืออีกข้างหนึ่ง เพื่อจับส่ิงของเอาไว้ จากการศึกษาและสังเกตอย่างใกล้ชิด เขาสรปุ ได้ ว่า กว่าการประสานงานระหว่างตากับมือจะเป็นไปอย่างคล่องแคล่วก็ต้องกินเวลาเรียนรู้อย่างน้อย ๒ ปี ระยะเวลาการเรียนรู้นี้เอง ก่อให้เกิดกระบวนการที่ทำให้มนุษย์ก้าวหน้ากว่าบรรพบุรุษทำให้มี การศึกษาคน้ ควา้ มากข้ึน ขณะเดียวกันมีการศึกษาพฤติกรรมของเด็กท่ีไม่ได้เติบโตขึ้น มาในสังคมมนุษย์ เช่น เด็ก ที่พลัดเข้าไปในฝูงสัตว์ ปรากฏว่าเด็กประเภทนี้ไม่รู้จักใช้มือในการหยิบวัตถุอย่างถูกต้อง ใช้วิธีการ ตะปบส่ิงของกับใชม้ ือ ในการวง่ิ และเดินเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ยงั ไม่รูจ้ กั ใช้มอื ในการหยิบจับภาชนะ หรืออาหารอย่างถูกต้อง แต่ใช้วิธีปากกัดหรือลิ้นเลียเท่านั้น ซึ่งแสดงว่า การเรียนรู้ต้องอาศัยพื้นฐาน ทางร่างกายและวัฒนธรรม ในการเจริญเติบโตและการอบรมเลี้ยงดูแนวคิดของบรูเนอร์เก่ียวกับ หลกั การสอนบรูเนอร์ไดเ้ สนอหลักการท่ีเกีย่ วกับการสอนไว้ ๔ ประการ ๑.หลักการเกย่ี วกบั โครงสรา้ งของความรู้ บรูเนอร์ เน้นว่าการจัดแจงเรียบเรียงเน้ือ หาหรือโครงสร้างของความรู้เป็นสิ่งจำเป็นมาก ท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนได้มองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างความรู้หรือประสบการณ์เดิม กับ ความรู้ หรอื ประสบการณ์ใหม่ๆ ครูจะต้องหาวิธีการสอนท่ีจะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เข้าใจถึงโครงสร้างพื้ นฐานหรือการจัดแจง เรียบเรียงความรู้ต่างๆ ให้อยู่ในรูปที่มีความสัมพันธ์กัน และให้สอดคล้องกับพัฒนาการทางสติปัญญา ให้มากทสี่ ุด

จิตวิทยาความเป็นครู ๘๓ ๒. หลกั การเรียนเกี่ยวกับแรงจงู ใจ บรูเนอร์เช่ือว่า กิจกรรมทางการใช้สติปัญญาจะประสบผลสำเร็จอย่างเต็มท่ีก็ต่อเมื่อผู้เรียน มคี วามพอใจหรือมแี รงจูงใจเท่าน้ัน บรูเนอร์ให้ความเห็นว่า ธรรมชาติของเดก็ มีความอยากรอู้ ยากเห็น อย่แู ลว้ ครูจะหาวิธีการให้เด็กสนใจต่อการเรียนรู้ ด้วยการสร้างแรงจูงใจภายในให้เกิดขึ้น ในตัวเด็ก ๓. หลกั การเก่ยี วกบั ความพร้อม บรูเนอร์ เน้นว่า การที่คนจะเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นผู้สอนจะต้องจัดรูปแบบ ของกิจกรรม ทักษะและฝึกหัดให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความเจริญงอกงามทางสติปัญญา ของเด็ก เด็กจงึ มแี รงจูงใจและความพรอ้ มทจ่ี ะเรยี นรู้ ๔. หลักการเกย่ี วกับการคิดแบบ Intuition บรูเนอร์เช่ือว่า การเรียนของเด็กโดยใช้การคิดแบบ Intuition มีความสำคัญ เพราะเป็น เทคนคิ การหาเหตุผลของสติปัญญา อาจเป็นการคาดคะเน หรือการเดาอยา่ งมีหลักวิชา ซ่ึงอาจจะเป็น ข้อสรุปที่สมเหตุสมผลหรือไม่ก็ได้ บรูเนอร์ เน้นว่าการคิดแบบน้ีเป็นการคิดท่ีนำไปสู่ความคิด สร้างสรรค์ บรเู นอร์สรุปทฤษฎพี ัฒนาการของมนษุ ย์ ไว้ดงั นี้ วธิ ีทีค่ นจะเกิดการเรียนรูใ้ นสงิ่ ใดสงิ่ หนง่ึ มีอยู่ ๓ วิธี คอื ๑. โดยการกระทำส่งิ นั้น ๒. โดยการรบั รู้ภาษาและจนิ ตนาการ ๓. โดยการใชค้ วามหมายทางสัญลกั ษณ์ เชน่ ภาษา ขน้ั ของพฒั นาการทางสตปิ ญั ญาของบรูเนอร์ บรูเนอร์แบง่ พัฒนาการทางสตปิ ัญญาและการคิดออกเป็น ๓ ข้นั ดังนี้ ๑. ขั้น การกระทำ (Enactive stage) เป็นขั้นที่เด็กจะเรียนรู้จากการกระทำการ เรยี นรู้จะผ่านทางการแสดงออก การเลยี นแบบ หรือการลงมือกระทำกบั วตั ถุ ๒. ขั้น จินตนาการ (Iconic stage) เป็นขั้น ท่ีเด็กจะเรียนรู้เก่ียวกับความคิดรวบ ยอด กฎ และหลักการ การเรียนรู้จะเกี่ยวข้องกับความจริงมากข้ึน เขาจะเกิดความคิดจากการรับรู้ เปน็ ส่วนใหญ่อาจมจี นิ ตนาการบา้ งแตย่ ังไมส่ ามารถคดิ ได้ลึกซึ้งนัก ๓. ขั้น สัญลักษณ์ (Symbolic) เป็นขั้น ที่เด็กเรียนรู้ความสัมพันธ์ของส่ิงของ สามารถเกิดความคิดรวบยอดในส่ิงต่างๆ ที่ซับซ้อนได้มากข้ึน สามารถเข้าใจความสัมพันธ์ของสิ่งของ ต่างๆ ได้ เป็นขั้นท่ีใกล้เคียงกับพัฒนาการ ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยรูปธรรมและปฏิบัติการคิด ด้วยนามธรรมของเพียเจต์ เน่ืองจากผลของการศึกษาของบรูเนอร์ เขาสรุปผลว่า สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม จะเป็นส่ิงสำคัญในการเร่งความเจริญงอกงามทางสติปัญญา ซ่ึงในการศึกษาของเขาได้เน้นให้เห็นถึง บทบาทของการสอนในโรงเรียนภาษา และองค์ประกอบอื่นๆ ซึ่งมีอิทธิพลต่อความงอกงาม ทางสตปิ ญั ญาและการคิด สำหรับเร่ืองของความสัมพันธ์ระหว่างภาษาและการคิดของสมองนั้ นยังเป็นเรื่องที่ ขดั แย้งกันของนักวิชาการที่ทำการศึกษาเรื่องน้ีอยู่ และยังไม่สามารถตกลงกันได้ จึงเกิดเป็นแนวคิดที่ แตกตา่ งกนั อยู่ ๒ ฝา่ ย คอื

จิตวทิ ยาความเปน็ ครู ๘๔ ฝ่ายแรก เชื่อว่า การคิดกับภาษา (พูด) เป็นสิ่งเดียวกัน ผู้ที่คิดเก่งย่อมใช้ภาษา(พูด) ได้เกง่ หรอื ผทู้ ีใ่ ชภ้ าษา (พดู ) ไดด้ ยี ่อมมีความสามารถในการคิดสูง ฝ่ายที่สอง มีความคิดตรงกันข้าม กลุ่มนี้เช่ือว่า การคิดเกิดขึ้น เป็นอิสระจากภาษา ภาษา เป็นเพยี งพาหะที่จะนำการคิดที่เกิดขึน้ ให้สมบรู ณแ์ ลว้ จึงแสดงออกมา สำหรับบรูเนอร์ เขาสนับสนุนฝ่ายแรก เพราะเขาก็เชื่อว่า ภาษาเป็นองค์ประกอบท่ีสำคัญ ของการคิด ส่วนเพียเจต์ สนับสนุนฝ่ายหลัง เขาเช่ือว่า ภาษาเป็นส่ิงท่ีใช้เพียงการแลกเปลี่ยน และการสอื่ สารความคดิ แตไ่ มไ่ ดช้ ว่ ยส่งเสริมให้เกิดความกา้ วหน้าหรอื พัฒนาความคิด นอกจากนบี้ รเู นอรย์ ังถือว่า การเรยี นรู้ของบุคคลจะมปี ระสิทธภิ าพเพยี งใด ขึ้นอยู่กบั กิจกรรม ทางสมอง ในความสามารถสร้างความคิดรวบยอดในสิ่งท่ีเรียนรู้ได้เพียงใด หรือความสามารถ ในการจัดเข้าพวก หรือจัดประเภทในสิ่งท่ีจะเรียนได้แค่ไหน ซ่ึงบรูเนอร์ ให้ความคิดเห็นว่า มนุษย์ มีความสามารถอย่างน่าอัศจรรย์ ในการแยกแยะสิ่งตา่ งๆหรือสามารถจัดส่ิงต่างๆเขา้ พวกกันไดอ้ ยา่ งดี เช่น สามารถรวมสีต่างๆ เข้าเป็นแนวเดียวกัน เรียกเป็นสีใหม่ หรือแยกคนออกเป็นชั้ น สังคม จากบุคลิกภาพท่ีคล้ายกัน การนับถือศาสนา เช้ือชาติ ขนาด อายุ ฯลฯถ้ามนุษย์ไม่มีความสามารถ ที่จะจัดสง่ิ ต่างๆ เขา้ พวกไดแ้ ลว้ มนษุ ย์กอ็ าจไม่เกดิ ความคิดหรือการเรยี นรู้ข้นึ ได้ ๓.๘ คณุ ลกั ษณะของผเู้ รียนวยั ตา่ งๆ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่อยู่ร่วมกัน มีการปะทะสัมพันธ์พูดคุย สังสรรค์ การรู้จักซ่ึงกันและกัน ก็จะทำให้เกิดสัมพันธภาพท่ีดี ในขบวนการเรียนการสอนก็เช่นกัน การรู้จักกันและกันก็จะช่วยให้ กระบวนการเรียนรู้ มีประสิทธิภาพ จึงเป็นส่ิงจำเป็นที่ผู้สอนต้องรู้ว่าผู้เรียนของตนมีคุณลักษณะ อย่างไร ๑. คุณลักษณะของผู้เรยี นระดบั อนุบาลศึกษา ผู้เรียนระดับอนุบาลศึกษา อาจจะเรียกได้ว่า เป็นวัยเด็กตอนต้น หรืออีกชื่อหนึ่งว่า วัยเด็ก กอ่ นเข้าโรงเรียน วัยเด็กระดับอนุบาลเป็นวัยที่มีอายุระหว่าง ๒–๖ ปี ลักษณะท่ีสำคัญของพัฒนาการ ในวัยน้ี คือ เด็กมีความสามารถในการที่จะช่วยเหลือตนเองได้ดีมากข้ึน ไม่ว่าจะเป็นกิจการดูแลความ สะอาดของร่างกาย การแตง่ กาย และสภาพความเป็นอยทู่ ัว่ ไป ๑.๑ ลักษณะท่วั ไปทสี่ ำคญั ของเด็กระดบั อนุบาล ลกั ษณะทว่ั ไปท่สี ำคัญของเด็กระดบั อนุบาลมีหลายประการ ดงั น้ี ๑.๑.๑ เป็นช่วงระยะเวลาของการเตรียมตัวเข้าสู่โรงเรียน แต่โรงเรียน ดังกล่าว จะมีความแตกต่างไปจากโรงเรียนทั่วๆ ไป เพราะเน้นการให้เด็กเรียนรใู้ นการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เน้นในการปรับตัวเข้ากับสังคมที่แตกต่างจากบ้าน ซ่ึงที่บ้านเด็ก ไม่ต้องมีกฎเกณฑ์ ระเบียบท่ีต้อง ปฏบิ ตั ติ ามการเรียนในระดบั น้ีจะเน้นการเล่นมากกว่าการเรยี นเชงิ วชิ าการ ๑.๑.๒ เป็นช่วงระยะเวลาของการเตรียมตัวเข้ากลุ่มเพ่ือน เป็นช่วง ระยะเวลาที่มีความสำคัญ เพราะเด็กจะต้องมีการเรียนรู้พ้ืนฐานต่างๆ ตามพฤติกรรมทางสังคม ซึ่งก็จะเป็นการช่วยให้เด็กสามารถจัดระบบในชีวิตของตนตามสังคม เพื่อให้สามารถปรับตนได้ง่าย ตอ่ ไปในอนาคต

จิตวิทยาความเป็นครู ๘๕ ๑.๑.๓ เป็นช่วงระยะเวลาของการสำรวจค้นคว้า เด็กวัยนี้จะมีความสุข ความพอใจที่จะสำรวจส่ิงแปลกๆ ใหม่ๆ เขาจะสนใจสิ่งที่เขาเห็นว่าคืออะไร สนใจบุคคลและส่ิง รอบตัวว่ามีความร้สู กึ เป็นอยา่ งไร ๑.๑.๔. เป็นช่วงระยะเวลาของการเกิดปัญหา ในระยะนี้เด็กจะมีลักษณะ ไม่ยอมเช่ือฟัง ชอบปฏิเสธบ่อยครั้ง บางคร้ังเด็กจะมีลักษณะงอแง เจ้าอารมณ์ หรืออาจจะมี ความหวาดกลัวและริษยามากขึ้น ๑.๑.๕ เป็นชว่ งเวลาของการต่อต้าน ในช่วงน้ีเด็กจะต่อต้านความช่วยเหลือ จากพอ่ แม่และบุคคลอื่นทม่ี ีอายมุ ากว่า ๑.๒ พฒั นาการทางด้านรา่ งกาย วยั นี้เดก็ หญิงและเดก็ ชายจะมพี ัฒนาการทางด้านความเจริญเติบโตของร่างกายแบบ เดียวกันอัตราการเจริญเติบโตทางความสูงจะเพ่ิมมากโดยเฉลี่ยจะเพ่ิมประมาณปีละ ๓ นิ้ว น้ำหนัก จะเพิ่มข้ึน โดยเฉลี่ย ๓–๕ ปอนด์ สัดส่วนของใบหน้า มีลักษณะเล็ก ส่วนที่มองดูใหญ่คือ อวัยวะส่วน คางเพราะ ขากรรไกร เปน็ ส่วนทม่ี พี ฒั นาเรว็ กว่าสว่ นอ่นื ๆ เสน้ ผมจะมีสีท่ชี ัดเจนย่งิ ขึ้น อายุ ๓ – ๔ ปี ฟันน้ำนมของเด็กจะเร่ิมหลุด และฟันถาวรข้ึน มาแทนที่ การงอก ของฟันแทท้ ข่ี ้ึน มาแทนฟันน้ำนม จะชว่ ยทำใหก้ ารพดู ของเดก็ มพี ัฒนาการทด่ี ีข้ึน อายุ ๔ – ๕ ปีเดก็ จะมีรูปร่างดีขึ้น หนา้ ทอ้ งแบนราบ อกกว้างขึ้น เอวมองชดั เจนข้ึน เด็กในวัยนี้สามารถใช้มือทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างแคล่วคล่อง เช่น สามารถกิน อาหารเอง แต่งตัวเอง เช่น หวีผม อาบน้ำ ทีแรกอาจจะต้องมีผู้ช่วยเหลือบ้าง แต่ต่อไปจะทำได้เอง เด็กอายุ ๓ ขวบ สามารถใช้ค้อนตอกตะปูลงบนไม้ได้ ปั้นดินน้ำ มันเป็นรูปต่างๆได้ นอกจากนั้น เด็ก วัยน้ียังชอบเล่นโยนลูกบอลและรับลูกบอล ความสามารถจะเพิ่มขึ้นเร่ือยๆ เม่ือเด็กอายุ ๖ ขวบ กส็ ามารถทีจ่ ะทำสิ่งตา่ งๆ ด้วยมือได้มากขึ้นเป็นต้น การใช้ขาได้แคล่วคล่องขึ้น นอกจากเดินได้อย่างมั่นคงแล้ว เด็กจะสนใจกิจกรรม ต่างๆ ที่ต้องใช้ขา เช่น กระโดดสูง กระโดดไกล การว่ิง การเล่นเกมต่างๆ ที่ต้องใช้ทักษะการว่ิง การปนี ป่าย การถีบจกั รยานสามล้อสำหรับเดก็ เปน็ ต้น ๑.๓ พฒั นาการทางสตปิ ัญญา การที่เด็กจะมีความสามารถส่ือสารติดต่อกับผู้อ่ืนได้ เด็กจะต้องมีความเข้าใจในส่ิง ท่ีตนเองพูดก่อน โดยปกติเด็กจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับคำต่างๆ ได้ โดยการแสดงออกทางสีหน้า และลักษณะท่าทาง นอกจากน้ีความเข้าใจของเด็กยังข้ึน อยู่กับการฟัง ซ่ึงจากการศึกษาพบว่า เด็กที่ มีระดับสติปัญญาสูง จะมีความต้ังใจในการฟังมากกว่าเด็กท่ีมีระดับสติปัญญาต่ำ ซ่ึงในเรื่องนี้มีการ ค้นพบวา่ เด็กท่มี รี ะดบั สติปัญญาสงู จะเป็นเด็กท่มี าจากครอบครวั ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี หรืออีกนัย หนึ่งก็คือ ครอบครัวท่ีไม่ค่อยมีปัญหาทางเศรษฐกิจหรือไม่มีเลย นอกจากการฟังแล้ว เด็กจะสามารถ เรียนรแู้ ละจดจำความหมายใหม่ๆ เพ่ิมขนึ้ ในวัยนี้เดก็ จะสามารถจำศัพท์ได้เพมิ่ ขึน้ รวดเร็ว รู้จกั คำมาก ขึ้น สามารถใช้ภาษาได้กว้างขวางขึ้น ในตอนแรกๆ เด็กจะใช้ประโยคส้ันๆ มีเพียง ๓ – ๔ คำ แต่เมื่อ อายุประมาณ ๔ ขวบ จะสามารถพูดประโยคได้ยาวขึ้น พออายุ ๕ ปี เด็กจะสามารถเรียกชื่อคำต่างๆ ได้โดยไม่มีการผิดพลาด แต่ในเรื่องพัฒนาการทางภาษาน้ี อาจจะมีพฤติกรรมที่ผิดปกติไปบ้างใน ระยะแรกๆ ดังนี้ ๑.๓.๑.การพูดไม่ชัด เด็กเล็กๆ บางคนออกเสียงคำต่างๆ ได้อย่างชัดเจน แต่บางคนก็พูดไม่ชัด พ่อแม่ต้องให้โอกาสเด็กได้ฝึกพูดมากๆ คอยแก้ไขให้ และถ้าเด็กบางคนพูดไม่

จิตวิทยาความเป็นครู ๘๖ ชัดเจนเกินอายุท่ีสมควรแล้ว พ่อแม่ไม่ควรแสดงความรู้สึกให้เด็กเห็น จะต้องอดทนรอเพราะ พัฒนาการของเด็กแตล่ ะคนไม่เหมือนกัน เดก็ บางคนพดู ชัดได้เรว็ บางคนพดู ชดั ได้ชา้ กว่าคนอ่ืน ๑.๓.๒.การพูดติดอ่าง คือ การพูดซ้ำ พยางค์ เดก็ วัย ๒ – ๓ ขวบ มักจะพูด ซ้ำ แบบติดอ่าง เพราะเพ่ิงหัดพูด พ่อแม่ไม่ควรวิตกกังวลจนเกินไป ต้องยอมรับข้อบกพร่องของเด็ก และชว่ ยฝึกใหเ้ ด็กหัดพดู มากๆ กจ็ ะหายไปเอง ถ้าพ่อแมเ่ คร่งครัดจนเกินไป เด็กจะเกดิ ความวติ กกังวล และเกิดความเครยี ดยิ่งข้ึน ทำใหเ้ ปน็ ผลร้ายทางจิตใจแก่เด็กได้ ๑.๔ พัฒนาการทางอารมณ์ เด็กวัยน้ีมักเจ้าอารมณ์ อาจเนื่องจากความหงุดหงิด เพราะไม่ได้นอนกลางวันหรือ กนิ อาหารไมพ่ อกบั ความต้องการของรา่ งกายก็ได้ ทำให้โมโหร้าย อจิ ฉารษิ ยาอยา่ งไมม่ ีเหตผุ ล อย่างไร กต็ ามเด็กแต่ละคนมีอารมณ์ไม่เหมือนกัน เนอื่ งจากสุขภาพต่างกัน สิ่งแวดล้อมต่างกัน และการเล้ียงดู ที่แตกต่างกัน ฉะนั้นอาจกล่าวได้ว่า อารมณ์ของเด็กแต่ละคนจะถูกควบคุมตามสภาพแวดล้อม ซ่ึง จะเป็นประสบการณ์ที่เด็กแต่ละคนได้รับมา อารมณ์ของเด็ก เช่น ความกลัว ความตกใจ ความโกรธ ความรำคาญใจ และความคับข้องใจ จะเพ่ิมขึ้น ซ่ึงบุคคลใกล้ชิด จะมีส่วนต่ออารมณ์ของเด็ก ถ้าเด็ก ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ต่างๆ ได้ ก็จะมีผลต่อลักษณะบุคลิกภาพของเด็กเม่ือเติบโตข้ึนสำหรับ อารมณท์ ่ีปรากฏชดั เจนในเดก็ ระดับอนุบาลศึกษา ดังน้ี ๑.๔.๑. ความโกรธ ความโกรธจะเป็นอารมณ์ที่เกดิ ขึ้น บ่อยคร้ังที่สุดและจะ เป็นเร่อื งธรรมดาสำหรบั วัยเด็กตอนต้น ทั้งนี้เพราะเด็กจะตอ้ งเผชญิ กับลักษณะหรือสถานการณ์ตา่ งๆ อย่างมากมาย ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ก่อให้เกิดความโกรธแต่ตัวเด็ก หรือในบางคร้ัง เด็กอาจจะใช้ ความโกรธให้เป็นประโยชนเ์ พอ่ื ให้ได้มาในส่ิงที่ตนปรารถนา ลกั ษณะความโกรธของเด็กวยั น้ีเกดิ ข้นึ ได้ เนื่องจากมีความขัดแย้งในการเล่นส่ิงของ การขับถ่าย การแต่งกาย มีความสับสนในกิจกรรมต่างๆ หรือถกู ขัดขวางมใิ ห้ทำกิจกรรมในสิ่งทต่ี นปรารถนา นอกจากนั้นสภาพแวดล้อมทางสังคมท่ีอยู่จะมีผลทำให้เด็กเกิดความโกรธได้ง่าย และอาจจะเกิดความโกรธได้บ่อยครั้ง ลักษณะการแสดงออกซึ่งความโกรธของเด็กน้ันจะเป็นลักษณะ การแสดงออกโดยการลงมือลงเทา้ และจะเกิดข้ึน บอ่ ยคร้งั สำหรบั ครอบครวั ท่ีมีพ่นี อ้ งหลายคน ลักษณะอาการโกรธแบบลงมือลงเท้า หมายถึง ลักษณะการร้องไห้ของเด็ก มีการ ร้องกรีด กระทืบเท้า เตะ กระโดดไปมา ต่อต้าน ขว้างสิ่งของลงบนพื้น บีบจมูก เดินขากระเผลก บางคร้งั อาจจะนงั่ หรือนอนลงบนพ้ืน และทำรา้ ยตัวเอง เชน่ ดงึ ผม ตหี นา้ อกของตัวเองเปน็ ต้น ลักษณะอาการโกรธของเด็กวัย ๓ – ๔ ขวบ จะมีลักษณะอาการโกรธแบบลงมือลง เท้า แต่เม่ืออายุ ๔ ขวบ ความโกรธของเด็กจะมีการแสดงออกโดยมุ่งตรงไปยังสิ่งที่ทำให้ตนโกรธไม่ว่า จะเป็นบุคคลหรือส่ิงของก็ตาม นอกจากน้ัน ลักษณะการแสดงออกของความโกรธแบบอื่นๆ ยัง ประกอบดว้ ย ลกั ษณะ หน้าบึ้งครนุ่ คิด และรอ้ งไห้ ๑.๔.๒.ความกลัว วัยเด็กตอนต้นนี้ เด็กจะมีความรู้สึกกลัวต่อสิ่งต่างๆ มากกวา่ วัยเด็กออ่ น โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ เด็กท่ีมีระดับสตปิ ญั ญาดีจะมคี วามสามารถในการแยกแยะและ จดจำเหตกุ ารณ์ต่างๆ ทกี่ ่อให้เกิดอันตรายได้ดี ในระยะแรกของความกลัวน้ี เด็กจะมคี วามรู้สึกกลัวใน สิ่งท่ีไม่มีเหตุผลมากกว่าสิ่งท่ีมีเหตุผล เมื่อเด็กมีอายุมากข้ึน การตอบสนองของเด็กที่มีต่อความกลัว ย่อมจะมากข้ึน ตามอายุของเด็ก รูปแบบของการสนองตอบในเร่ืองความกลัวโดยทั่วไปน้ัน จะมี

จิตวทิ ยาความเป็นครู ๘๗ ลักษณะของการว่ิงหนีจากเหตุการณ์ หรือหลบซ่อน หรือพยายามหลีกเล่ียงจากสถานการณ์ที่ ก่อให้เกดิ ความกลัว ตามปกติ ความกลัวของเด็กจะเกิดข้ึนได้โดยการวางเง่ือนไข การเลียนแบบและการ จดจำเหตุการณ์ต่างๆ ที่ก่อใหเ้ กดิ ความกลัวหรือเป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าพอใจน่นั เอง เช่น เม่ือเด็กได้ ยินเสียงที่น่ากลัวทางวิทยุ ถ้าเด็กได้ยินเสียงทางวิทยุอีกจะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกกลัวได้เช่นกัน นอกจากน้ันแล้วความกลัวของเด็กอาจจะเกิดเนื่องมาจากการเลียนแบบบคุ คลทเี่ ด็กใกล้ชดิ เมอื่ ผู้ใหญ่ กลัวเด็กจะกลัวตามไปด้วย เช่น กลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า เนื่องมาจากเด็กเห็นมารดามีความกลัว เด็กก็จะแสดงอาการกลัวตามไปด้วยความกลัวของเด็กจะสามารถลดลงได้จะลงได้เมื่อเด็กนั้น มีอายุ มากขนึ้ และมคี วามวติ กกงั วลเกดิ ข้ึน มาแทนทต่ี ัวอย่างเช่น เมือ่ เด็กเกดิ ความร้สู ึกไมม่ ัน่ คงจากทางบ้าน เด็กจะมีความรู้สึกกระวนกระวายใจมาก เมื่อเด็กเกิดความกังวลใจ ผลก็คือ ความกลัวของเด็ก จะลดลงจนถงึ เดก็ จะไม่มีความกลัวในสิง่ ใดเลย ๑.๔.๓. ความอิจฉาริษยา ความอิจฉาริษยาเป็นความโกรธท่ีพุ่งไปสู่บุคคล อาจจะเน่ืองมาจากสถานภาพทางสังคม อารมณ์อิจฉาริษยาจะเกิดขึ้น เมื่อเด็กมีอายุ ๒ – ๕ปี หรือ เมื่อเด็กมีน้องใหม่ในวัยเด็กตอนต้น การแสดงถึงลักษณะความอิจฉาริษยาจะมีการแสดงออกโดยตรง คือ เดก็ จะตอ่ ต้านกบั บคุ คลทีต่ นเกดิ ความอิจฉาริษยา เช่น ตีน้องเพราะตนรษิ ยาน้อง เปน็ ตน้ แต่ในบางครั้งการแสดงออกซึ่งความอิจฉาริษยาน้ัน จะเป็นลักษณะที่มี พฤติกรรมย้อนกลับไปสู่แบบวัยเด็กอีกคร้ังหน่ึง เช่น การดูดนิ้ว การปัสสาวะรดที่นอน การซุกซน ผิดปกติ มีลักษณะปฏิเสธต่อการกินหรืออาจจะมีการแสดงออกในลักษณะความเจ็บป่วยทางร่างกาย บางครงั้ อาจจะมีการแสดงออกในลักษณะของความหวาดกลัว ๑.๔.๔. ความอยากรู้อยากเห็น ในวัยเด็กน้ีเด็กจะมีความอยากรู้อยากเห็น ในทุกส่ิงไม่ว่าจะเป็นส่ิงของในบ้านเรือนร้านค้า และอะไรก็ตามที่เด็กจะสามารถมองเห็นได้ทุกอย่าง จะเป็นสิ่งท่ีเด็กต้องการเรียนรู้ท้ัง สิ้น ตัวอย่างเช่น เด็กอาจจะมีความสงสัยในเร่ืองรูปร่างของตนว่า ทำไมจึงมีความแตกต่างไปจากผู้ใหญ่ หรืออวัยวะร่างกายของคนเรานั้นสามารถทำงานได้อย่างไร เปน็ ตน้ ด้วยเหตุน้ีเอง วัยเด็กตอนต้นจึงจัดว่าเป็นวัยเจ้าปัญหา(Questioning age) โดยท่ี เด็กจะมีการตั้ง คำถามต้ัง แต่ปีท่ี ๒ – ๓ เรื่อยไปจนกระทั่งปีท่ี ๖ ของอายุเด็ก ถ้าเด็กคนใดก็ตาม ได้รับคำอธิบายในคำถามจะทำให้เด็กเกิดความพอใจ และเด็กจะไม่พอใจเมื่อไม่ได้รับคำอธิบาย และจะมผี ลทำให้ความอยากร้อู ยากเหน็ ของเด็กลดลงไป สำหรับเด็กท่ีฉลาดจะเป็นเด็กท่ีมีความสามารถในการจดจำและสังเกตส่ิงต่างๆ ได้ ดีกว่าเด็ก ที่ไม่ฉลาด เมื่อเด็กฉลาดมีความสามารถเช่นนั้นทำให้เด็กพยายามท่ีจะซักถามในส่ิงที่ตน สงสัยได้ดีอีกด้วย ยิ่งไปกว่าน้ันผลท่ีได้รับจากการศึกษาพบว่า เด็กที่มีความม่ันคงทางอารมณ์ จะเป็นเด็กท่ีมีความอยากรู้ อยากเห็นมากกว่าเด็กท่ีไม่มีความม่ันคงทางอารมณ์และในเรื่องเพศ ของเด็กก็เช่นกัน เด็กหญิงจะมีความสนใจหรือมีความสงสัยในส่ิงต่างๆ น้อยกว่าเด็กชายเพราะพ่อแม่ มกั จะเขม้ งวดเอากบั เด็กหญงิ มากกวา่ เด็กชาย ๑.๔.๕.ความร่าเริง วัยเด็กตอนต้นนี้เด็กจะมีความรู้สึกท่ีเป็นสุขเป็นอย่าง มาก ความสุขของเด็กท่ีเกิดข้ึน น้ีอาจจะอธิบายได้ในลักษณะความร่าเริงของเด็ก และโดยทั่วไป ของเด็กวัยนี้จะมีความรู้สึกสนุกสนานมาก สาเหตุท่ีทำให้เด็กมีความรู้สึกเป็นสุขได้น้ันเนื่องมาจาก ลกั ษณะทางร่างกายมคี วามแข็งแรงมีสุขภาพดี มองเห็นสถานการณ์ท่ีไม่กลมกลนื ต่างๆ เกดิ เสียงดงั ข้ึน

จติ วทิ ยาความเป็นครู ๘๘ มาอย่างทันทีทันใด หรือมีการเลียนคำพูดของบุคคลอื่น ซึ่งส่ิงเหล่าน้ีจะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกร่าเริง ได้ นอกจากนั้น อาจจะเกิดขึ้น ได้ตอ่ เม่ือมีบุคคลอ่ืนมาเล่นด้วย แม้แต่เป็นสัตว์เลี้ยงก็ตามจะทำให้เกิด ความสุขได้ การตอบสนองที่จะเป็นเคร่ืองแสดงว่าเด็กมีความร่าเริงคือ การยิ้ม การหัวเราะ การปรบมือ การกระโดดขึ้น-ลง การกอดรัดวัตถุหรือบุคคลที่ทำให้เด็กมีความสุข ฉะนั้ น การแสดงออกซึ่งอารมณ์ร่าเริงน้ี ข้ึนอยู่กับลักษณะความเข้มของส่ิงเร้าท่ีมาเร้า รวมทั้งข้ึนอยู่กับ ความกดดันทางสงั คมอกี ดว้ ย ๑.๔.๖.ความรัก วัยเด็กอนุบาลน้ี เด็กจะไม่เพียงแต่รักในบุคคลเท่านั้น แต่เด็กจะมีความรักต่อสัตว์หรือวัตถุที่เขาเล่นอยู่อีกด้วย เด็กวัยน้ีจะแสดงความรักอย่างเปิดเผย เชน่ เดียวกับอารมณ์อนื่ ๆ เขาจะกอดจูบลบู คลำบุคคลหรอื วัตถุท่เี ขารัก อยากอย่ใู กล้ๆ ตลอดเวลา ๑.๕ พัฒนาการทางสังคม เด็กในวยั นี้จะเริม่ เบอื่ หน่ายผู้ใหญ่ จะพยายามเล่นกับเพือ่ นในวยั เดียวกนั และจะเร่ิม เล่นกันเป็นกลุ่มในช่วงอายุ ๓ – ๖ ปี เด็กจะมีการคบเพื่อนมากข้ึน การรับรองเห็นชอบจากเพ่ือน กลายมา มีความสำคัญมากกว่าที่ได้รับจากผู้ใหญ่ การรับรองเห็นชอบจากเพื่อนๆ จะมีส่วนช่วย กระตนุ้ ใหเ้ ด็กมพี ฤตกรรมทเ่ี ป็นทีย่ อมรับของสงั คมตอ่ ไป ดังนั้นช่วงอายุ ๓ – ๖ ปี นับว่าเป็นช่วงท่ีมีความสำคัญสำหรับพัฒนาการทางสังคม เพราะจะเปน็ การฝึกให้เด็กมีการเขา้ สงั คม ในลกั ษณะใดลักษณะหน่ึง บางคนอาจจะมลี กั ษณะของการ เป็นผู้นำแต่เด็กบางคนอาจจะมีลักษณะอิสระ ลักษณะท่ีปรากฏในวัยเด็กอนุบาลน้ีจะมีผล ต่อพัฒนาการทางสังคมในระยะต่อมาของชีวิต ในวัยนี้จะมีพฤติกรรมทางสังคมเกิดข้ึนหลายอย่าง ท่ีสำคัญ ได้แก่ ๑.๕.๑. ความดื้อรั้น ความด้ือรั้นเกิดเป็นปกติกับเด็กอายุ ๒ – ๓ ปี และพฤติกรรมน้ี จะค่อยๆ ทวีขึ้น ในระหว่างเดก็ อายุ ๓ – ๔ ปี ซ่ึงเด็กแต่ละคนจะแสดงอาการดื้อร้ัน ในรูปที่แตกต่างกัน บางคนแสดงออกด้วยการชอบทำอะไรตรงกันข้ามกับที่ต้องการให้เขาทำ บางคน แสดงออกด้วยการเงียบ ไม่โต้ตอบ ทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่เข้าใจ ไม่ไยดี และไม่นำพา แต่สำหรับเด็ก ทีม่ กี ารปรับตวั ไดด้ ี จะเรยี นรทู้ ่จี ะโอนออ่ นและใหค้ วามร่วมมอื กบั ผู้อ่นื ๑.๕.๒.ความก้าวร้าว ความก้าวร้าวจะเป็นพฤติกรรมที่เกิดข้ึน กับเด็กวัยน้ี เมื่อเด็กมีความคับข้องใจ หรือถูกลงโทษอย่างรุนแรง เม่ืออายุ ๔ – ๕ ปี เด็กจะมีการแสดง ความก้าวร้าว โดยทางวาจามากกว่าการแสดงออกทางร่างกาย ๑.๕.๓.การทะเลาะวิวาท เด็กวัยนี้เป็นวัยของการทะเลาะวิวาท เพราะเด็ก ยังขาดประสบการณ์ในการเล่นกับเพื่อนอย่างดี เมื่อโกรธก็จะแย่งของเล่นท่ีเด็กอื่นกำลังเล่นไปเสีย และมักจะร้องไห้ ทุบตีกัน เตะ ต่อย กัดกัน เป็นต้น วัย ๓ ขวบเป็นวัยท่ีชอบทะเลาะกันมากท่ีสุด หลังจากน้ัน เมื่อเด็กอายุมากกว่า ๓ ปี ไปแล้ว เด็กจะมีการปรับตัวทางสังคม ซ่ึงจะมีผลทำให้การ ทะเลาะวิวาทของเด็กลดน้อยลง อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการทะเลาะวิวาทของเด็กวัยนี้ก็นับว่า มีประโยชน์ไม่น้อย เพราะการทะเลาะวิวาทจะเป็นวิธีการท่ีสอนให้เด็กรู้จักปฏิบัติและมีการปรับตัว เพ่ือท่ีจะอย่ใู นสงั คมต่อไป ๑.๕.๔.การคบเพ่ือน เพ่ือนของเด็กวัยน้ีส่วนมากเป็นพ่ีน้อง หรือผู้ใหญ่ ในครอบครัวเดียวกัน การคบเพ่ือนของเด็กจะคบแบบเป็นเพ่ือนเล่นมากกว่าเพื่อนแท้ เด็กมัก จะเปล่ียนเพื่อนเล่นเม่ือความสนใจในการเล่นเปลี่ยนไป ฉะนั้น ความสัมพันธ์ในเร่ืองการเล่นของเด็ก

จติ วิทยาความเป็นครู ๘๙ ขณะที่อยู่ในครอบครัวนั้น จะมีความสำคัญต่อบทบาทในการปรับตัวนอกบ้านของเด็ก เด็กที่มีเพ่ือน ซ่งึ มีวุฒิภาวะระดับเท่ากันและมีอายไุ ลเ่ ลี่ยกันจะมีส่วนช่วยทำให้ปรับตัวในสังคมได้ดี และในการเลอื ก คบเพอื่ นของเด็กในวยั น้ีจะไม่มีการเลอื กคบเพื่อนตามสถานะทางเศรษฐกจิ และสงั คม ๒. คณุ ลักษณะของผู้เรยี นระดบั ประถมศกึ ษา ผู้เรียนระดับประถมศึกษา อาจเรียกได้ว่าวัยเด็กตอนกลาง เป็นวัยที่มีอายุตั้งแต่ ๖ ปีขึ้นไป จนถึง ๑๐ ปี เด็กในวัยน้ีจะมีความพรอ้ มมากขึ้น และสนใจสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตนเองมากข้นึ ช่วงน้ีเด็ก ต้องปรับตัวให้เข้ากับบุคคลในครอบครัว หรือเพ่ือนเล่นที่อยู่บ้านใกล้เคียง เด็กในวัยน้ีจะเรียนอยู่ใน ระดับประถมศึกษา โรงเรียนจึงนับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงคร้ังใหญ่ในชีวิตที่ออกไปสู่สังคมนอกบ้าน การปรับตัวในสงั คมใหม่มีมากขนึ้ ระยะนี้เดก็ จะเข้าใจภาษาที่ผู้อ่ืนพูดมากขึน้ และตนเองก็สามารถใช้ คำใหม่และแปลกมากขึน้ พัฒนาการทางรา่ งกาย อารมณ์ จิตใจและสงั คม กเ็ ติบโตข้ึน เด็กวัยน้ีจงึ ต้อง มกี ารปรบั ตวั มากขนึ้ ๒.๑ พฒั นาการทางกาย เดก็ เมื่ออายุครบ ๖ ปี ขึน้ ไป อัตราการเจรญิ เตบิ โตจะลดลงไป ชว่ งที่ร่างกาย เปลยี่ นแปลงเป็นไปอยา่ งช้าๆ ๒.๑.๑ ร่างกายของเด็กจะขยายทางส่วนสูงมากกว่าส่วนกว้าง แขนขายาว ออก กล้ามเน้ือ แขนขา ทำงานประสานกันดีขนึ้ ๒.๑.๒ รูปรา่ งเปลยี่ นแปลงเข้าลกั ษณะผูใ้ หญ่มากขึน้ ๒.๑.๓ อวัยวะภายในและระบบการหมุนเวียนของโลหิตเจริญเติบโตเต็มที่ ยกเว้นหัวใจคงเจริญช้ากว่าอวยั วะอน่ื ๆ ๒.๑.๔ ฟนั แทข้ นึ้ แทนที่ฟันน้ำนม ๒.๑.๕ สมองหนกั เกือบเต็มที่ ๒.๑.๖ อวัยวะเพศเตบิ โตชา้ รวมถงึ กลา้ มเน้ือ ตาหรือมือมกี ารพัฒนาการช้า และมอี ัตราการเจริญเตบิ โตไม่เทา่ กนั ในเด็กแต่ละคน นอกจากน้ีวัยเด็กตอนต้นมีพลังงานมากข้ึน จึงมักไม่ใคร่อยู่นิ่ง ชอบทำกิจกรรม และทำอย่างรวดเรว็ ไม่คอ่ ยระมัดระวงั ทำใหป้ ระสบอบุ ัตเิ หตุบอ่ ยคร้ัง ๒.๒ พฒั นาการทางอารมณ์ ความต้องการของเด็กวัยน้ีกว้างขวางมาก และเมื่อหาทางตอบสนองความต้องการ ไม่ได้ ก็เกิดอารมณ์ตึงเครียด แต่ถ้าตอบสนองความต้องการได้สำเร็จก็จะมีอารมณ์แจ่มใสเบิกบาน มีแรงจูงใจ ที่จะทำกิจกรรมต่างๆ ต่อไป เด็กวัยน้ีมีความต้องการความรัก ความอบอุ่น ความมั่นคง ปลอดภัย และเอาใจใส่จากครู นอกจากครูแล้วเด็กยังมีเพ่ือนเพ่ิมข้ึน ซ่ึงในระยะแรก การแสวงหา การยอมรับจากครูและเพ่ือน อาจเปน็ วิธีการท่ีไมน่ ่ิมนวล เพราะยังไม่ร้จู ักคิดควบคุมความรสู้ ึกยังไม่ได้ มักจะแสดงความเอาแต่ใจตัว ทะเลาะววิ าทกันตอ้ งการเป็นผู้ชนะ ระยะปีหลังๆ พอเด็กปรับตัวเข้ากับ โรงเรียน การเรยี นดีขึ้น รจู้ ักควบคมุ อารมณ์ รู้จักยับยั้งใจไม่แสดงความรู้สึกออกมาเป็นพฤตกิ รรมไม่ดี ทันที นัน่ คือ เดก็ สามารถปรบั ตวั ปรบั ใจไดแ้ ลว้ จึงเปลี่ยนพฤตกิ รรมเปน็ เหมาะสมยงิ่ ขึน้ ๒.๓ พัฒนาการทางสังคม วัยเด็กตอนกลางน้ีแม้ว่าครอบครัวจะยังคงมีอิทธิพลต่อเด็กอยู่ แต่เด็กก็ออกมาพบ กับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น มีสังคมกว้างขวางขึ้น เพราะอยู่ในโรงเรียนย่อมมีความสัมพันธ์กับบุคคลหลาย วยั หลายประเภท เด็กจะมีความสามารถในการสรา้ งสมั พนั ธภาพกับบคุ คลตา่ งๆ ท่ีโรงเรียนได้ดเี พียงไร

จิตวทิ ยาความเป็นครู ๙๐ ขึ้นอยู่กับการอบรมท่ีได้จากทางบ้านเป็นสำคัญ ถ้าทางบ้านให้โอกาสเด็กได้เล่นกับเด็กอื่นๆ และคอย แนะให้เด็กมีพฤติกรรมที่ถูกต้องแล้ว เด็กก็จะสามารถปรบั ตัวเข้ากับเพื่อนได้เป็นอย่างดี ไม่ขลาดอาย เพื่อนหน้าใหม่ ถ้าปล่อยให้เด็กว้าเหว่และเล่นแต่กับเพ่ือนสมมุติอยู่เสมอทำให้เด็กปรับตัวเข้ากับผู้อ่ืน ได้ยาก เม่ือเข้าโรงเรียนเพราะเพื่อนเล่นสมมุติไม่มีชีวิตจิตใจไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบที่จะสอนให้เด็กรู้ว่า ตนควรจะทำอะไร อย่างไรก็ตามการสังคมของเด็กวัยนี้ก็ยังไม่กว้างขวางมากนัก แม้จะเร่ิมเข้ากลุ่ม เพื่อนบ้างแล้วก็ตาม แต่ก็เป็นกลุ่มเพื่อนเด็กๆ ท้ังการเล่นก็ยังคงเป็นการเล่นท่ีต่างคนต่างเล่น เพียงแต่อยู่รวมกลุ่มเท่าน้ันวิธีการเล่นก็เปลี่ยนอยู่เสมอส่วนมากมักเอาแต่ใจตัวต้องการเอาชนะเพื่อน ต้องมีผู้ใหญ่คอยชว่ ยแนะนำอยู่ด้วย การเล่นจึงจะเป็นไปได้อย่างราบร่นื เม่ือเจริญวัยข้ึน มีการเรียนรู้ ท่ีจะปรับตัวให้เพ่ือนฝูงยอมรับได้ดีขึ้น รู้จักยอมรับฟังและทำตามความคิดเห็นของผู้อ่ืนได้ เด็กวัยน้ี ยงั เล่นรวมกันทง้ั เดก็ หญิงและเดก็ ชายและชอบเล่นกิจกรรมท่ีมีการเคล่ือนไหวทงั้ ตวั เช่น วง่ิ ไล่จบั กัน ต่อเม่ือเข้าวัยเด็กตอนปลายชอบเล่นเป็นทีมและชอบกิจกรรมที่มีกฎเกณฑ์มากขึ้นให้ความร่วมมือกับ หม่คู ณะดีข้ึน เพราะเปน็ วัยรวมหมรู่ วมพวก เด็กชอบเลียนแบบกัน ทำอะไรเหมือนๆ กนั ๒.๔ พัฒนาการทางสตปิ ญั ญา พัฒนาการทางสติปัญญา หมายถงึ ความสามารถท่ีจะกิจกรรมทางสมองให้บรรลุผล ตามที่ตนต้องการได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ คนท่ีมีเชาวน์ปัญญาสูงจะสามารถปรับตัวเองให้เข้ากับ สถานการณ์ใหม่ๆได้ และรู้จักวางโครงการให้ตรงจุดประสงค์กับงานที่ตนทำอยู่ การที่จะช่วยให้เด็ก สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ ได้ดีเพียงใดนั้น ก็จะต้องจัดให้เด็กได้ทำกิจกรรมหลายๆ อยา่ งอยูเ่ สมอ ซ่ึงจะเป็นทางให้เกดิ การเรยี นรอู้ ันเปน็ ทางเพ่ิมพูนความงอกงามทางปัญญา ๒.๕ องค์ประกอบที่จะชว่ ยให้เกดิ พัฒนาการทางสติปญั ญา ๒.๕.๑ สิ่งเร้า สิ่งเร้าเป็นสิ่งสำคัญท่ีจะกระตุ้นให้เด็กมีกิจกรรมต่างๆหรือ มีประสบการณ์ ใหม่เพ่ือการเรียนรูไ้ ด้ ซึ่งได้แก่ ความสนใจ ความต้องการ ทัศนคติของบิดามารดาที่มี ต่อเด็ก ส่ิงเร้าต่างๆ เหล่านี้จะทำให้เด็กมีความพร้อมท่ีจะทำกิจกรรมต่างๆ และเข้าใจตัวเองได้ว่ามี ความสามารถมากนอ้ ยเพยี งใดในการทำกจิ กรรมนั้นๆ ๒.๕.๒. แรงจูงใจ เด็กวัยนี้ช่วงความสนใจยังอยูใ่ นระยะส้ันและมคี วามสนใจ ในส่ิงใหม่ๆ เกิดข้ึน ความสนใจท่ีมีมากคือ สนใจในการเล่น โรงเรียนควรจะได้จัดให้มีการเล่น ผสมผสานกับการเรียนให้เหมาะสม นอกจากน้ัน ยังสนใจสัตว์เลี้ยง ภาพระบายสี เพลง นิทาน เม่ืออ่านออกแล้วก็สนใจ การอ่านชอบอ่านหนังสือนิทาน นิยายเร่ืองนางฟ้า อ่านเรื่องการ์ตูน และ ผจญภัย เร่ืองทางวิทยาศาสตร์ ผู้ใหญ่ไม่ควรเร่งเร้าให้เด็กสนใจในส่ิงที่ผู้ใหญ่พอใจมากเกินไป ตอ้ งให้เด็กมอี สิ ระและตดั สินใจด้วยตนเอง พั ฒ น าการ ท างส ติ ปั ญ ญ าข อ งเด็ ก ใน วัย น้ี เกิ ด จ าก การ ท่ี เด็ ก ได้ เรี ย น รู้ สิ่ งให ม่ ๆ ในโรงเรียน โดยเฉพาะจากการอ่านหนังสือประเภทต่างๆ การได้เห็นภาพยนตร์และโทรทัศน์ ทำให้ รู้จักค้นคว้าลงมือทำเอง เหล่านี้เป็นมูลเหตุสำคัญทำให้เด็กสามารถพ่ึงตนเองได้มากขึ้น เรื่อยๆ พัฒนาการทางปัญญาที่เห็นชัดคือ มีจินตนาการสูงขึ้น เพราะได้รากฐานจากการอ่าน มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ทจี่ ะคิดทำและประดษิ ฐส์ ิ่งตา่ งๆ ทัง้ ที่เปน็ งานอดิเรกและกิจกรรมในช้ันเรียน ๓ คุณลกั ษณะของผเู้ รยี นระดบั มัธยมศึกษา ผเู้ รียนระดับมธั ยมศกึ ษาจะมี ๒ ระดับ คอื มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย เด็กมัธยมศึกษาตอนต้นอายปุ ระมาณ ๑๐ ปีขึ้น ไป ถงึ ๑๔ ปี

จิตวิทยาความเปน็ ครู ๙๑ เด็กมัธยมศึกษาตอนปลายอายุประมาณ ๑๔ – ๑๘ ปีลักษณะของเด็กระดับมัธยมศึกษานั้น ในช่วงน้ีเด็กส่วนใหญ่จะยังคงสูงข้ึนและน้ำหนักเพ่ิมขึ้น อย่างสม่ำเสมอ ถ้าเด็กคนใดมีกระบวนการ เจรญิ เติบโตเรว็ กจ็ ะเขา้ สรู่ นุ่ หนุม่ สาวเร็ว ๓.๑ พัฒนาการทางร่างกาย ๓.๑.๑ แสดงวฒุ ภิ าวะทางเพศ ๑) เด็กหญิง ๒) สะโพกขยายออก ทรวงอก จะค่อยๆ เพ่ิมข้ึน มีขนข้ึนที่อวัยวะ เพศและมีระดู (ขึน้ อยกู่ ับอตั ราพฒั นาการเรว็ ช้าของเด็กหญิง) ๓) เด็กชาย ๔) กล้ามเนอ้ื ใหญม่ ากกว้างขึ้น ๕) มขี นตามแขนและหนา้ แข้ง ๖) เสยี งห้าวขนึ้ และเปลี่ยนเม่อื อายุ ๑๔ ปี เต็ม มีน้ำอสจุ ิ เคลือ่ นไหวในเวลาหลับ ๓.๑.๒ ความสูงจะพุง่ ขนึ้ อย่างรวดเรว็ น้ำหนกั จะเพิ่มตามตัวไปดว้ ย ๓.๑.๓ ในชว่ งอายุ ๑๐ – ๑๔ ปี ๑) ส่วนสงู เดก็ ชาย – อตั ราการเพ่มิ สว่ นสูง ๖ – ๘ ช.ม./ปี เด็กหญงิ – อัตราการเพม่ิ สว่ นสงู ๕ – ๖ ช.ม./ปี ๒) นำ้ หนักตัว เด็กชาย – นำ้ หนักตัวจะเพม่ิ ๕ – ๖ กก./ปี เดก็ หญิง – น้ำหนกั ตวั จะเพ่ิม ๔ – ๕ กก./ปี ๓) กล้ามเน้ือ น้ำหนักของกล้ามเนื้อ ในร่างกายประมาณร้อยละ ๔๐ ของน้ำหนักตัว เด็กชายจะมีกล้ามเน้ือ ขนาดใหญ่ และแข็งแรงกว่าเด็กชาย เด็กในวัยนี้เป็นวัย ที่มสี ขุ ภาพดีทส่ี ดุ ในชีวิตท้ังน้ีเพราะเดก็ มีประสบการณ์การเรยี นรู้ท้งั ในช้ันเรียน ทำใหม้ ีความต้านทาน โรคติดต่อได้ มีความสนใจกีฬาที่ต้องใช้กำลังใช้ความว่องไว ถ้าเด็กออกกำลังกลางแจ้ง สม่ำเสมอ เด็กจะมีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง สมส่วนคล่องแคล่ว เด็กวัยน้ีชอบการผจญภัยและการต่อสู้ เด็กวัย นี้จงึ ประสบอุบตั ิเหตุบอ่ ยครัง้ แต่ก็สง่ ผลดใี ห้เด็กมคี วามอดทนมากข้ึน ๓.๒ พฒั นาการทางอารมณ์ เด็กวัยน้ีมีความกังวลใจ เรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่ของบุคคลในครอบครัวมาก ท่ีสดุ นอกจากน้ีเด็กยงั กลวั ความผดิ หวังในการเรยี น และกลัวการเสยี หนา้ ในหมเู่ พ่ือนฝูงความต้องการ เด็กวยั นี้ มคี วามต้องการเพ่มิ ข้นึ จากวัยเด็กตอนกลางหลายอยา่ งดงั น้ี ๑. ความต้องการเลน่ กีฬาท่ีช่วยพัฒนาทักษะ ๒. ต้องการอาหารทมี่ ีคุณค่า ๓. ต้องการพักผ่อนอย่างพอเพยี ง ๔. ตอ้ งการแนะนำใหเ้ ข้าใจสภาวะความเจริญเตบิ โตตามธรรมชาติ ๕. ตอ้ งการไดร้ บั รองความสามารถ และการได้เขา้ เป็นสว่ นหนง่ึ ของกล่มุ ๖. ต้องการความรัก ความอบอุ่น และความยกย่องชมเชยจากผ้ใู หญ่


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook