Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การพัฒนาทักษะการคิดเชิงกลยุทธ์สำหรับครู

การพัฒนาทักษะการคิดเชิงกลยุทธ์สำหรับครู

Description: หลักการ และกระบวนการคิด และการตัดสินใจในเชิงกลยุทธ์ วิธีการเจริญสติ และการเสริมสร้างคุณธรรมสำหรับครู โดยศึกษาจากเกมหมากล้อม โดยใช้ทักษะการคิด ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการเรียนรู้ และทักษะกระบวนการกลุ่ม

Keywords: พัฒนา ทักษะ การคิดเชิงกลยุทธ์

Search

Read the Text Version

การพัฒนาทกั ษะการคดิ เชงิ กลยุทธส์ าหรบั ครู ๔๕ 2. การตัดสินใจเก่ียวข้องกับทางเลือก การตัดสินใจเป็นความพยายามในการสร้าง ทางเลือก ให้ มากที่สุดเท่าที่ทาได้ ทางเลือกท่ีน้อยอาจปิดโอกาสความคิดสร้างสรรค์หรือทางเลือก ท่ีดีกว่าได้ ดังน้ัน ผู้บริหารจึงมีความจาเป็นต้องมีการฝึกฝนในการสร้างทางเลือกที่หลากหลาย และมี ความ สร้างสรรค์อีก ด้วย การตัดสินใจเกี่ยวข้องกับทางเลือก ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นการตัดสินใจที่ไม่ได้ กาหนดแนวทางการ ปฏิบัติไว้ล่วงหน้าเป็นการตัดสินใจท่ีแตกต่างออกไปจากสถานการณ์ปกติ ที่ไม่ได้ มี การกาหนดโครงสร้าง การตัดสินใจไว้ ดงั น้นั ผบู้ ริหารจึงตอ้ งคน้ หาแนวทางการตดั สนิ ใจ 3. การตัดสินใจเก่ียวข้องกับโครงสร้างขององค์การ ผู้บริหารในแต่ละระดับ จะมีบทบาท และหนา้ ทใ่ี นการตดั สนิ ใจที่แตกตา่ งกัน เช่น ผู้บริหารระดับสูงจะเก่ียวข้องกับการตัดสินใจ เชิงกลยุทธ์ ผู้บริหารระดับกลางจะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจด้านการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ บ ริ ห า ร ร ะ ดั บ ป ฏิ บั ติ จ ะ เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั บ ก า ร ตั ด สิ น ใ จ ใ น ก า ร ด า เ นิ น ง า น ใ ห้ ส า เ ร็ จ ต า ม ร ะ ย ะ เ ว ล า และเป้าหมาย ท่ีกาหนดไว้ การตัดสินใจเก่ียวกับโครงสร้างขององค์การเป็นการตัดสินใจในงานประจา โดยท่ัวไป จะเป็น กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ข้ันตอนการปฏิบัติ เป็นต้น เพ่ือให้ทุกคนทราบและถือปฏิบัติ ดังน้ัน ผู้บริหารจึง ต้องมีบทบาทในการกาหนดมาตรฐานและแนวทางการปฏิบัติไว้ล่วงหน้าในองค์การ 4. การตดั สินใจเกีย่ วขอ้ งกบั พฤตกิ รรมของบคุ ลากร การตดั สินใจจะมีผลกระทบต่อบุคคล กลุ่ม และทั้งองค์การ ซ่ึงพฤติกรรมของบุคคลแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน ดังน้ัน ผู้บริหารจะต้อง มีความ เข้าใจและมีจิตวิทยาท่ีเก่ียวข้องกับบุคคล กลุ่ม และองค์การที่ดี จึงจะทาให้การตัดสินใจ ประสบ ความสาเร็จได้ สาหรับการตัดสินใจที่มีลักษณะสร้างสรรค์ท่ีเป็นการตัดสินใจท่ีเกิดจาก ความคิดริเริ่ม ของ ผู้บังคับบัญชาเป็นสาคัญและเป็นการตัดสินใจโดยคนๆ เดียว ส่วนการตัดสินใจ โดยกลุ่มเป็นการ ตัดสินใจ ทม่ี คี วามสลับซบั ซอ้ นทไ่ี ม่สามารถตดั สนิ ใจโดยคนๆ เดียวได้ จึงตอ้ งอาศัย ความร่วมมือจากทุก ฝา่ ยก็ จาเปน็ ท่ีจะตอ้ งมีการตัดสินใจโดยกลมุ่ เพื่อแกไ้ ขปัญหาร่วมกนั จากการแบ่งประเภทของการตัดสินใจข้างต้น สรุปได้ว่าผู้บริหารท่ีทาการตัดสินใจเลือก ทางเลือกภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ น้ัน อาจต้องทาการตัดสินใจ ในลักษณะที่แตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับ ข้อมูลข่าวสารท่ีจะเกิดข้ึนท้ังในปัจจุบันและเหตุการณ์ในอนาคต สาหรับการแบ่งประเภทของการ ตัดสินใจจึงขึ้นอยู่กับข้อมูลท่ีมีอยู่เป็นสาคัญ อย่างไรก็ตามผู้ตัดสินใจ สามารถคาดคะเนสถานการณ์ ท้ังหมดท่ีจะเป็นไปได้ในอนาคตนั้น เป็นเพียงการระบุความเป็นไปได้ ของสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น ซง่ึ ผ้ตู ดั สินใจยงั ไม่ทราบถงึ ความแนน่ อนของสถานการณ์จะเกิดขึ้น และสถานการณ์ท้ังหมดนั้นก็มีเพียง สถานการณ์เดียวเท่านั้นท่ีจะเกิดขึ้น นอกน้ันอาจเป็นเพียง สถานการณ์ท่ีมีโอกาสเป็นไปได้แต่ไม่ได้ เกิดขึ้นจรงิ ก็ได้ 3.5 ข้ันตอนในการตดั สินใจ การตัดสินใจเป็นหน้าที่ของผู้บริหารท่ีเป็นกระบวนการ (Process) และต้องมีการพิจารณา ข้อมูลต่าง ๆ อย่างรอบคอบ จากนั้นจึงทาการกาหนดทางเลือกและเลือกทางท่ีดีที่สุดข้ึนมาและนาไปสู่ การปฏิบัติต่อไป ซึ่งแนวความคิดของนักวิชาการได้แบ่งขั้นตอนการตัดสินใจไว้มีลักษณะท่ีใกล้เคียงกัน โดยทั่วไปกระบวนการตัดสินใจจะมีความแตกต่างกันในด้านการจัดกลุ่มของแต่ละข้ันตอน สาหรับ กระบวนการตัดสนิ ใจ ไดม้ นี กั วชิ าหลายทา่ นได้เสนอเก่ยี วกับขั้นตอนของการตัดสนิ ใจ ดงั ตอ่ ไปนี้

การพัฒนาทกั ษะการคดิ เชิงกลยุทธส์ าหรบั ครู ๔๖ วิฑูรย์ ตันศิริมงคล๑๓ ได้กล่าวไว้ว่า AHP หรือ Analytic Hierarchy Process เป็น กระบวนการท่ีช่วยในการตัดสินใจในประเด็นของปัญหาท่ีมีความซับซ้อนให้มีความง่ายข้ึนโดยการ เลียนแบบกระบวนการตัดสินใจตามธรรมชาติของมนุษย์AHP แบ่งองค์ประกอบของปัญหาท้ังที่เป็น รูปธรรม และนามธรรม ออกมาเป็นส่วน ๆ หรือเรียกว่า กระบวนการตัดสินใจท่ีมีเหตุผล ที่ยอมรับกัน ท่วั โลก มีอยู่ 6 ขน้ั ตอนด้วยกนั คอื ข้ันที่ 1 ให้คาจากัดความประเด็นปัญหา ต้องเข้าใจประเด็นสาคัญหรือประเด็นหลัก ของปัญหาอย่างถ่องแท้และสร้างสรรค์กล้ายอมรับว่าปัญหาในโลกแห่งความ จริงมีความซับซ้อน หลกี เลี่ยง สมมติฐานทไี่ มถ่ ูกต้อง ไมล่ าเอียงหรือชอบพอใจทางเลอื กทางใดทางหนึ่ง ขั้นท่ี 2 กาหนดเกณฑ์หรือปัจจัยในการตัดสินใจทั้งท่ีเป็นรูปธรรมและนามธรรม เพราะว่าทางเลือกนั้นมีอยู่หลายทางด้วยกัน มีจุดเด่นจุดด้อยของทางเลือกแตกต่างกัน แต่ละคนก็มี ระดับความพึง พอใจในเกณฑ์ที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมไม่เหมือนกัน ดังนั้น เกณฑ์ในการตัดสินใจ จะเปน็ ตัวชีน้ าวา่ มีความพึงพอใจจะเลอื กทางไหน ขั้นท่ี 3 วินิจฉัยเปรียบเทียบเกณฑ์หรือปัจจัยในการตัดสินใจ เพราะว่าแต่ละคนมี ระดับความพึง พอใจไม่เท่ากัน จึงจาเป็นต้องมีการวินิจฉัยเปรียบเทียบหาลาดับความสาคัญของเกณฑ์ หรอื ปัจจัยตา่ ง ๆ ทีใ่ ชป้ ระกอบการตัดสินใจ ข้ันที่ 4 กาหนดทางเลือกเป็นการระบุถึงแนวทางในทางปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ในการตัดสินใจ เวลาคือตัวแปรท่ีสาคัญในการกาหนดทางเลือกการตัดสินใจท่ีชาญฉลาดจะไม่ใช้เวลา มาก เกินไปในการแสวงหาทางเลอื ก ขั้นที่ 5 วินิจฉัยเปรียบเทียบหรือจัดอันดับทางเลือกต่าง ๆ ภายใต้เกณฑ์ในการ ตดั สนิ ใจแตล่ ะเกณฑเ์ ปน็ ขนั้ ตอนที่ต้องใชค้ วามสามารถในการวินิจฉัยคาดการณ์ในสิ่งท่ีเกิดขึ้นในอนาคต ข้ันท่ี 6 คานวณทางเลอื กทดี่ ีที่สุดโดยพิจารณาจากลาดับความสาคัญเป็นเกณฑ์นาเอา ลาดับความสาคัญของแต่ละทางเลือกมาคูณกับลาดับความสาคัญของแต่ละเกณฑ์หรือปัจจัยนาผลคูณ มา รวมกัน ค่าน้าหนกั สูงสดุ ควรจะไดร้ บั คดั เลอื ก ธงชัย สันติวงษ์๑๔ ได้กล่าวไว้ว่า รายละเอียดขั้นตอนการตัดสินใจเพื่อแก้ปัญหานั้น ประกอบด้วยข้นั ตอนตา่ งๆ 8 ขน้ั ดงั น้ี 1. การคาดคะเนอนาคต เปน็ จุดเริม่ ต้นของการตัดสินใจ ก่อนที่จะตัดสินใจใดผู้บริหาร จะต้องมีการวิเคราะหค์ าดการณท์ ั้งจากดั ผลกระทบ ขอ้ ยุ่งยากตา่ งๆจะช่วยให้ผบู้ ริหารไดเ้ ตรยี ม 2. การวเิ คราะหป์ ญั หา การตอ้ งมีวิธวี เิ คราะห์ปัญหาใหเ้ หน็ ชดั เจน ทาได้โดย 2.1 การวิเคราะห์ดูสภาพงานทที่ผิดไปจากที่เคยเป็นอยู่ในอดีต เพือ่ ตรวจสอบถึงปัญหาซ่งึ อาจเกดิ ขนึ้ เช่น สภาพเครือ่ งจักร ตน้ ทนุ สงู พนักงานขาดความชานาญ 2.2 วิเคราะห์ดูผลต่างทางงบประมาณ การส่งสินค้าไม่ทันกาหนดเวลา หรือ ผลแตกตา่ งจาก แผนทวี่ างไว้ ๑๓ วฑิ ูรย์ ตันศริ มิ งคล, กระบวนการตดั สนิ ใจทไ่ี ดร้ บั ความนยิ มมากทส่ี ดุ ในโลก, (กรงุ เทพมหานคร : กราฟฟคิ แอนด์ ปริ้นต้งิ เซ็นเตอร์, 2542), หน้า 1 – 9. ๑๔ ธงชัย สนั ตวิ งษ์, การจดั การ, (กรงุ เทพมหานคร : สานกั พมิ พ์แห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, 2545), หนา้ 274 – 280.

การพัฒนาทักษะการคดิ เชิงกลยทุ ธส์ าหรับครู ๔๗ 2.3 การใช้วิธีรับฟังความเห็นจากบุคคลฝ่ายอื่น ๆผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับปัญหา ทีเ่ กดิ ขึ้นการมาตรการป้องกันส่ิงทอ่ี าจจะเกิดขน้ึ ไดก้ ่อนลว่ งหนา้ 3. การพัฒนาแนวทางแก้ปัญหา หลังจากวิเคราะห์สภาพปัญหาแล้ว ผู้บริหาร จะพัฒนาแนวทางแกป้ ญั หาค้นหาทางออก กาหนดกรอบ วางกรอบของปัญหาให้แคบลง จะช่วยให้การ ตัดสนิ ใจไดง้ ่าย สะดวกข้นึ 4. การเปรียบเทียบทางเลือกปัญหา การชั่งน้าหนักเปรียบเทียบทางเลือกผู้บริหาร จะต้องคน้ หา ขอ้ มูลประกอบการตัดสินใจให้ครบถ้วน จะช่วยให้สามารถวินิจฉัยคุณภาพทางเลือกเหล่า นัน่ เป็นสง่ิ ท่ีจาเปน็ ทจี่ ะชว่ ยใหส้ ามารถมองเหน็ ทางเลอื กได้ชัดเจน 5. การค้นหาข้อเท็จจริง เป็นรายละเอียดข้อมูลที่ผู้บริหารจะต้องค้นหาข้อมูล ข้อเท็จจริงทาให้ สามารถแยกแยะทางเลือกต่างๆ ท่ีมีอยู่หลายทางเป็นทางเลือกท่ีดีที่สุดเหมาะสม สอดคลอ้ งออกมาได้ 6. การวิเคราะห์ข้อมูล ในข้ันตอนน้ีคือ การวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ ของทางเลือก โดยละเอียด หรือข้อที่ควรมีการประเมินหรือวิเคราะห์อย่างจริงจัง คือ โอกาส แนวโน้ม ท่ีจะบรรลุ เป้าหมายความสาเร็จ ความพร้อมของงบประมาณ คน อุปกรณ์วิธีการ โอกาสด้านเวลา เงนิ ทุนสารอง สภาพคล่อง ผลที่คาดว่าจะได้รับ ความยากง่าย ผลกระทบ ที่มีต่องานด้านอื่นและบุคคล ทีเก่ยี วข้อง 7. การวิเคราะห์ผลท่ีจะเกิดขึ้น ผู้บริหารจะต้องถือหลักไม่ด่วนในการตัดสินใจ ควรเลือก ทางเลือกท่ีเห็นว่าดีที่สุด ข้อควรปฏิบัติคือผู้บริหารควรวิเคราะห์ผลที่จะเกิดขึ้น จึงต้องมี การคาดหมาย พิจารณาดูว่าจะมีผลอะไรเกิดขึ้นตามมาในระหว่างการตัดสินใจและหลักการตัดสินใจ สิง่ ทค่ี วรดูคอื ทัศนคตคิ วามเต็มใจ ความสามารถผู้ใตบ้ งั คบั บัญชา การปฏิบตั ติ ามขอ้ ตัดสินใจ ผลกระทบ กับหน่วยหรือ แผนกอ่ืน ชุมชน ส่ิงแวดล้อม ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลความพร้อมของผู้นาในการส่ัง การชว่ ยเหลือ 8. การควบคุมการตัดสินใจ ผู้บริหารจะต้องระมัดระวังให้การตัดสินใจดาเนินการไป อยา่ ง ราบร่ืน ไม่เกิดขอ้ ขอ้ แยง้ กาชบั ให้ทกุ อย่างดาเนนิ ไปอยา่ งสะดวกและต่อเนื่อง นอกจากน้ี ชนงกรณ์ กณุ ฑลบุตร๑๕ ไดก้ ล่าวถงึ รายละเอียดในขั้นตอนของการ ตัดสินใจเพื่อแก้ไขปัญหา 6 ขนั้ ตอน ดังน้ี 1. การกาหนดปัญหาและวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา สาหรับขั้นตอนแรกของการ ตัดสินใจ จะเป็นการกาหนดปัญหาและวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาให้เกิดความชัดเจนก่อนซ่ึงปัญหาท่ี เกิดขึ้นกับ องค์การบางคร้ังยากต่อการระบุว่ามาจากสาเหตุใด เช่น องค์การประสบปัญหาเก่ียวกับ ต้นทุน การผลิตท่ีสูงขึ้น ซึ่งอาจเกิดข้ึนจากหลายสาเหตุ ดังนั้นผู้บริหารจึงต้องทาการศึกษาวิเคราะห์ เพ่ือระบุ และกาหนด ปัญหาให้ชัดเจนว่าเกิดจากสาเหตุอะไร โดยท่ัวไปการแบ่งประเภทของปัญหา ได้แก่ ปัญหาท่ีเป็นมา ต้ังแต่อดีตและปัญหามีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นในอนาคต ปัญหาที่ทราบล่วงหน้า ว่า จะเกิดข้ึนและควร เตรียมการป้องกันหรือปัญหาเฉพาะด้านเป็นปัญหาท่ีเกิดจากสาเหตุเดียว และ สามารถแก้ไขสาเรจ็ ไดง้ ่าย เป็นต้น ๑๕ ชนงกรณ์ กณุ ฑลบตุ ร, แนวคดิ การบรหิ ารธรุ กจิ ในสถานการณป์ จั จบุ นั , ในหลกั การจัดการและองค์การ และการจดั การ, (พมิ พค์ ร้งั ที่ 2), (กรงุ เทพมหานคร : ศูนยห์ นังสือแหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย), 2547), หน้า 50 – 52.

การพฒั นาทักษะการคดิ เชิงกลยุทธ์สาหรับครู ๔๘ ดังนั้นการกาหนดปญั หาและวิเคราะหส์ าเหตุของปัญหาจงึ เป็น ขั้นตอนท่ีมีความสาคัญ มาก ท่สี ุดต่อการตัดสนิ ใจของผบู้ ริหาร 2. การกาหนดทางเลอื กตา่ งๆ ท่จี ะใชแ้ ก้ปัญหา เมื่อผู้บริหารสามารถกาหนดปัญหาได้ ชัดเจน แล้ว โดยจะต้องมีการกลั่นกรองข้อมูลต่างๆ ที่เก่ียวข้องกับปัญหาท้ังหมด เช่น ข้อมูลเก่ียวกับ สภาวะ แวดล้อมภายในและภายนอกองค์การเพ่ือค้นหาปัจจัยต่างๆ ที่เป็นองค์ประกอบของปัญหาท่ีมี ระดับ ความรุนแรงแตกต่างกัน ข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะถูกนามากาหนดเป็นทางเลือกเพื่อแก้ไข ปัญหา ทางเลือกที่กาหนดในขั้นตอนน้ีอาจมีหลายทางเลือก เช่น ทางเลือกในการแก้ปัญหาต้นทุน การผลิตท่ี สูงข้ึนอาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่การปรับวิธีการท างานของฝ่ายผลิต การฝึกอบรมทีมงานเพ่ือเพ่ิม ทักษะการ ผลิต การปรับปรุงการออกแบบผลิตภัณฑ์ เป็นต้น 3.การประเมินผลทางเลือกต่างๆ ท่ีได้ กาหนด หลังจากวิเคราะห์ปัญหา ทาการกาหนด ทางเลือกต่างๆ ท่ีจะใช้แก้ปัญหา จากนั้นจึงทาการ ประเมินผลทางเลือกต่าง ๆ ซ่ึงเป็นแนวทางการน า ปัญหาไปสู่การแก้ไข ในข้ันตอนน้ีผู้ตัดสินใจจะ วิเคราะห์และประเมินว่าทางเลือกใดสามารถแก้ไขปัญหา ได้ดีท่ีสุด ทางเลือกใดควรจะดาเนินการก่อน และหลัง มีการใช้กระบวนการชั่งน้าหนักเพ่ือพิจารณาถึง ผลดีและผลเสียในแต่ละทางเลือกด้วย นอกจากน้ีจะต้องพิจารณาด้วยว่าการตัดสินใจในทางเลือกหนึ่ง ย่อมส่งผลกระทบต่อปัญหาอ่ืน ๆ ตามมาได้ ดังนั้นควรวิเคราะห์และประเมินทางเลือกอย่างรอบคอบ สาหรับปัญหาท่ีเกิดข้ึนจะเป็นการ พิจารณาปัญหาจากภายในองค์การมากกว่าภายนอก เช่น บุคลากร อุปกรณ์ขาดแคลน แนวทางแก้ไข สามารถทาได้โดยการเพมิ่ บคุ ลากรการจดั ซ้ืออปุ กรณ์เพ่ิม เป็นต้น ดังภาพที่ 5.1 ขั้นตอนการตดั สนิ ใจ การกาหนดปัญหาและวิเคราะหส์ าเหตุของปญั หา การกาหนดทางเลอื กต่าง ๆ ท่ีจะใช้แกป้ ัญหา การกาหนดทางเลอื กตา่ ง ๆ ที่จะใชแ้ ก้ปญั หา การตดั สินใจเลอื กท่เี หมาะสมทีส่ ดุ ดาเนินการตามทางเลือกท่ีตดั สนิ ใจ ประเมินผลทเ่ี กิดจากทางเลอื กน้นั ๆ ภาพท่ี 5.1 ขน้ั ตอนในการตดั สินใจ ทมี่ า : ชนงกรณ์ กณุ ฑลบตุ ร (2547 : 50) จากภาพที่ 5.1 แสดงถึงข้ันตอนในการตัดสินใจ ได้แก่ ขั้นตอนการกาหนดปัญหาและ วเิ คราะห์ สาเหตขุ องปญั หา การกาหนดทางเลือกต่าง ๆ ที่จะใช้แก้ปัญหา การประเมินผลทางเลือกต่าง ๆ ท่ีได้ กาหนด การตัดสินใจเลือกที่เหมาะสมท่ีสุด การดาเนินการตามทางเลือกท่ีตัดสินใจ รวมทั้ง การ ประเมินผลท่เี กดิ จากทางเลอื กนัน้ ๆ ตามลาดบั

การพัฒนาทักษะการคดิ เชิงกลยทุ ธ์สาหรับครู ๔๙ 4. การตัดสินใจเลือกที่เหมาะสมท่ีสุด เป็นการนาเอาทางเลือกต่าง ๆ มาเปรียบเทียบ วา่ ทาง เลอื กใดจะเหมาะสมและเป็นไปได้มากกว่ากนั เช่น องค์การมีเงินทุนไม่เพียงพออาจใช้ทางเลือก ทเ่ี ป็นไป ได้มากทส่ี ุด คอื การกูย้ ืมจากภายนอก การนาเงินกาไรสะสมมาใช้ เป็นต้น 5. ดาเนินการตามทางเลือกท่ีตัดสินใจ เป็นการเลือกทางเลือกที่ดีสุดและมีความ เหมาะสมมากทส่ี ุด จากนั้นจงึ นาผลการตัดสนิ ใจสูก่ ารปฏบิ ตั ิและประเมนิ ผลตอ่ ไป 6. ประเมินผลท่ีเกิดจากทางเลือกน้ัน ๆ การประเมินผลเป็นการพิจารณาคุณค่า ของผลงานและความแตกตา่ งระหว่างผลการปฏิบัติงานกับเกณฑ์ และมาตรฐานท่ีได้เลือกจากทางเลือก ท่ตี ดั สินใจ ท้งั น้ี ผู้บรหิ ารต้องทาการเปรียบเทียบผลงานกับเกณฑ์ และมาตรฐานก่อนว่ามีความแตกต่าง กันหรือไม่ และ ความแตกต่างน้ันมีความสาคัญมากน้อยเพียงใด จะก่อให้เกิดความเสียหายหรือไม่มาก น้อยเพียงใด โดยตีค่าของความแตกต่างนั้นจากผลกระทบท่ีคาดว่าจะเกิดขึ้นว่าเป็นผลดีหรือผลเสียต่อ องค์การอย่างไร ดังนั้นจากขั้นตอนของการตัดสินใจดังกล่าวจึงสรุปได้ว่า ข้ันตอนของการตัดสินใจ ประกอบด้วย ขั้นตอนท่ีสาคัญ 6 ข้ันตอนคือ การกาหนดปัญหาและวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา การ กาหนดทางเลือกต่าง ๆ ที่จะใช้แก้ปัญหา การประเมินผลทางเลือกต่าง ๆ ท่ีได้กาหนด การตัดสินใจ เลือกท่เี หมาะสมท่สี ดุ ดาเนินการตามทางเลือกทีต่ ดั สินใจ และประเมนิ ผลที่เกิดจากทางเลือก 3.6 ตัวแบบการตัดสินใจทางการบรหิ าร นักวิชาการได้ทาการกาหนดตัวแบบการตัดสินใจไว้แตกต่างกันตามพื้นฐานของการตัดสินใจ ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน เช่น ความต้องการท่ีจะได้รับประโยชน์สูงสุด ความพึงพอใจสูงที่สุด ค่าใช้จ่าย ต่าที่สุด การตัดสินใจที่ไม่เกิดเผชิญมาก่อน การตัดสินใจท่ีมีความไม่แน่นอนเข้ามาเก่ียวข้อง หรือการ ตัดสินใจเพ่ือผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เป็นต้น สาหรับตัวแบบของการตัดสินใจทางการบริหารนั้น ปจั จุบนั มี อยู่ด้วยกันหลายประเภท ซึง่ นักการศึกษาหลายๆทา่ นไดม้ กี ารศกึ ษารปู แบบการตัดสินใจในแต่ รปู แบบ การตัดสินใจไว้ดังนี้ ศิรวิ รรณ เสรีรตั น์และคณะ๑๖ กล่าวถงึ รูปแบบของการตัดสนิ ใจ 2 รปู แบบ คอื 1. รูปแบบการตัดสินใจแบบมีเหตุผลเป็น กระบวนการตัดสินใจแบบมีเหตุผล (The Rational Decision Making Process) เปน็ โมเดลการตดั สนิ ใจแบบคลาสสิค 2. รูปแบบการตัดสินใจทางการบริหาร เป็นรูปแบบการตัดสินใจซึ่งสมมุติว่าผู้บริหาร โดยทว่ั ไปไม่สามารถตัดสินใจด้วยหลกั เหตุผล สุโขทัยธรรมาธริ าช๑๗ ได้กล่าวถงึ รูปแบบการตดั สนิ ใน 5 ตัวแบบ มีดงั นี้ 1. ตัวแบบการตัดสินใจโดยใช้เหตุผล ปัจจัยสาคัญของการตัดสินใจผู้บริหารควรใช้ หลักการ และเหตุผลในการตัดสินใจ ซ่ึงในบางสถานการณ์ที่ต้องทาการตัดสินใจอาจมีความไม่แน่นอน เกิดข้ึน เน่ืองจากผู้ทาการตัดสินใจ ขาดข้อมูลท่ีถูกต้องและครบถ้วน นอกจากน้ีความรอบคอบและ ๑๖ ศิรวิ รรณ เสรรี ตั นแ์ ละคณะ, องคก์ ารและการจดั การ, (กรุงเทพมหานคร : ธรรมสาร, 2545), หนา้ 134 – 136. ๑๗ สโุ ขทัยธรรมาธิราช, มหาวิทยาลยั , องคก์ ารและการจดั การ, (พิมพค์ ร้ังท่ี 6), (นนทบุรี : ชวน พมิ พ,์ 2548), หน้า 269 – 278.

การพัฒนาทักษะการคดิ เชิงกลยทุ ธส์ าหรับครู ๕๐ ความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ก็มีความสาคัญ ที่ผู้ทาการตัดสินใจต้องการอีกด้วย นั่นคือ ถ้าหากผู้บริหาร ไม่ตัดสินใจโดยใช้ เหตุผลแล้ว ผลการตัดสินใจ ก็ยากที่จะประสบผลสาเร็จลงได้ สาหรับตัวแบบการ ตดั สินใจโดยหลัก เหตุผล มดี ังน้ี 1.1 ตัวแบบเศรษฐศาสตร์ เป็นตัวแบบการตัดสินใจที่อยู่บนพ้ืนฐาน ของผลตอบแทน สูงสุด เช่น เกิดใช้ค่าใช้จ่ายต่าที่สุดเพื่อให้เกิดผลตอบแทนสูงสุด ซ่ึงแนวคิด การตัดสินใจดังกล่าว ได้รับ อิทธิพลจากแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ นั่นคือ เม่ือใดท่ีค่าใช้จ่ายลดลงแต่ ผลลพั ธ์ยงั คงเท่าเดิม หรอื รายได้ มากกว่ารายจ่ายจะมผี ลทาใหเ้ กิดกาไรสงู สดุ ด้วย 1.2 ตัวแบบวิทยาศาสตร์ สาหรับตัวแบบการตัดสินใจโดยใช้ตัวแบบ ทางวิทยาศาสตร์ เป็นแนวคิดท่ีเน้นหลักเหตุผลโดยใช้หลักการทางคณิตศาสตร์เข้ามาเก่ียวข้อง โดยพยายามแสวงหา แนวทางสู่ความสาเร็จโดยวิธีท่ีดีที่สุดก็จะทาให้เกิดการประหยัดในค่าใช้จ่าย รวมทั้งมีการนาศาสตร์ ในเชิงปริมาณหรือแบบทางคณิตศาสตร์ท่ีเกี่ยวกับปัจจัยเชิงปริมาณมาใช้ในการ ตัดสินใจ เช่น ความน่าจะเป็น ก็จะทาให้การตัดสินใจมีเหตุผลมากข้ึน ตราบใดที่โอกาสของผลดี มมี ากกว่าผลเสยี กค็ วร ทีจ่ ะตดั สินใจลงทุนหรือดาเนนิ การในด้านน้ัน ๆ การตัดสินใจโดยใช้หลักเหตุผลมีลักษณะที่สาคัญ คือ จะมีลักษณะที่เป็นการตัดสินใจ ท่ี มุ่งไปสู่ความสาเร็จตามเป้าหมายท่ีองค์การที่ได้กาหนดไว้ โดยปัญหาต่าง ๆ ต้องมีการถูกคาดคะเน และกาหนดแนวทางการแก้ไขไว้แล้ว ซ่ึงเป็นการตัดสินใจภายใต้เงื่อนไขของความแน่นอนในทุก ๆ ทางเลือก ถูกกาหนดให้เป็นผลลัพธ์ท่ีแน่นอน สาหรับเกณฑ์ในการตัดสินใจในทางเลือกใดน้ันผู้บริหาร อาจจะยึดหลักทางเลือกต่าง ๆ เช่น การให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูงสุด เป็นต้น ในการตัดสินใจ ดังกล่าวอาจ เปน็ แนวคดิ ของการใช้เหตุผลหรือค่านิยมในการประเมินผลทางเลือก ซ่ึงเป็น การตัดสินใจ ทม่ี งุ่ ไปสู่ ผลประโยชนส์ ูงสุดขององคก์ าร 2. ตัวแบบการตัดสินใจโดยความพึงพอใจ ตัวแบบการตัดสินใจโดยความพึงพอใจ เปน็ ตัวแบบท่มี งุ่ ในการลดข้อจากัดของตัวแบบ การในการตัดสินใจ โดยหลักเหตุผลที่ว่ามนุษย์เป็นผู้ท่ีมี เหตุผล โดยคานึงถึงประโยชน์สูงสุด กาไรสูงสุดเท่าท่ีจะเป็นไปได้ เป็นต้น แต่ความเป็นจริงแล้ว บางสถานการณ์ ผู้บริหารได้ตัดสินใจโดยที่ ไม่ก่อให้เกิดกาไรสูงสุด แต่สร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้ที่ เก่ียวข้องหรือบุคลากร ผู้บริหารที่ประสบ ปัญหาอาจมีความจาเป็นในการลดค่าใช้จ่าย จึงพยายาม แสวงหาแนวทางในการลด ต้นทุนโดยเฉพาะ การลดบุคลากรท่ีไม่จาเป็นออกไป ซึ่งอาจจะส่งผลเสีย ทันที คอื เกดิ คนวา่ งงานเป็น ปัญหาของสังคม 2.1การตัดสินใจเป็นเรื่องของการคาดการณ์ในส่ิงท่ีจะกระทาหรือเกิดขึ้นใน อนาคต ซึ่งแม้แต่ผู้ตัดสินใจจะยึดหลักเหตุผลและข้อเท็จจริงมากเพียงใดก็ตาม แต่ก็อาจเกิด ความผิดพลาดได้ รวมทั้งจากสถานการณ์ท่ีมีการเปล่ียนแปลงไป หรือการตัดสินใจไปกระทบ ผลประโยชนข์ องผู้อ่ืน ดังน้ัน จึงต้องมีการทบทวนและทาการตัดสินใจใหม่ อย่างไรก็ตามการ ตัดสินใจควรมีการดาเนินการอย่างเป็นกระบวนการที่มีความยืดหยุ่นและมีความต่อเนื่องสัมพันธ์กัน โดยกระบวนการดังกล่าว ข้ึนอยู่กับความ สมดุลระหว่างผู้ตัดสินใจ และผู้ท่ีได้รับผลกระทบจากการ ตัดสินใจน้นั 2.2การตัดสินใจและการบริหารเป็นเร่ืองที่เก่ียวข้องสัมพันธ์กันเป็นการ ดาเนินการเพ่ือรักษาสัมพันธภาพอันดีภายในองค์การให้เกิดข้ึนระหว่างผู้บังคับบัญชากับใต้ ผูบ้ งั คับบัญชา และ เป็นเพื่อเปน็ การผนึกกาลงั ของทกุ ฝา่ ยเพื่อสร้างกลยุทธ์เหนอื คู่แขง่ ขนั ได้

การพัฒนาทักษะการคดิ เชงิ กลยุทธ์สาหรับครู ๕๑ 2.3 การบริหารที่ดีควรใช้หลักเหตุผลมากที่สุดแต่การตัดสินใจก็ไม่อาจใช้ หลักเหตุ ผลได้ ในทุกกรณีเราะมีทางเลือกจานวนมากที่คาดการณ์ผลท่ีจะเกิดขึ้นได้ยาก และเหตุการณ์ ในอนาคต ท่ีเป็นเร่ืองท่ีไม่แน่นอนและไม่อาจใช้เหตุผลประกอบการตัดสินใจได้อย่างสมบูรณ์ ผู้บริหาร จะตอ้ ง ใช้ การตัดสินใจโดยความพึงพอใจแทนการใช้หลักและเหตผุ ล 2.4 ผู้บริหารควรจัดโครงสร้างองค์การ เพื่อให้พนักงานได้ทราบถึงสภาวะ แวดล้อม จุดมุ่งหมายและจุดประสงค์ขององค์การอย่างชัดเจน จะทาให้ทุกคนม่ันใจได้ว่ามีผู้บริหาร มีการตดั สนิ ใจ โดยยึดจุดมงุ่ หมาย วตั ถุประสงคแ์ ละข้อมลู ขององคก์ ารเป็นพื้นฐานประกอบการตัดสินใจ 3. ตัวแบบการตัดสินใจโดยส่วนเพ่ิม ตัวแบบการตัดสินใจแบบส่วนเพ่ิม เป็นตัวแบบ ท่ีมีแนวคิดท่ีว่าการเปลี่ยนแปลงแบบ ค่อยเป็นค่อยไปจะนามาซ่ึงการเปลี่ยนแปลงท่ีสาคัญและ ไม่ก่อให้เกิด ผลเสียต่อองค์การ โดยทั่วไปพบว่า การตัดสินใจของบุคคลมักมีลักษณะอนุรักษ์นิยม การตัดสินใจในแต่ ละครั้งมักอาศัยการตัดสินใจ ครั้งก่อนเป็นหลักในการพิจารณาตัดสินใจครั้งใหม่ แตอ่ าจมีการปรบั ปรงุ แกไ้ ขเลก็ นอ้ ย เน่อื งจากความไม่แน่นอนในอนาคตและข้อจากัดด้านความสามารถ ของผู้ตดั สนิ ใจทจ่ี ะ ศกึ ษา และรวบรวม ขา่ วสารขอ้ มลู ใหม่ๆ ท้งั หมดไดใ้ นการตัดสินใจ ด้วยเหตุนี้ทางเลือกของการตัดสินใจ ท่ีมีความเส่ียงท่ี น้อยท่ีสุดและประหยัดท่ีสุด คือ การตดั สนิ ใจโดยใช้หลกั ฐานของการขอคร้งั กอ่ นเป็นสาคัญ สาหรับลักษณะของการตัดสนิ ใจโดยส่วนเพิ่ม มีดงั น้ี 3.1 ไม่กาหนดวัตถุประสงค์ ตัวแบบการตัดสินใจน้ีจะไม่มีการกาหนด วัตถุประสงคข์ ึน้ กอ่ นการกาหนดวตั ถุประสงค์และทางเลือกจะเป็นกิจกรรมที่ดาเนินไปพร้อม ๆ กับการ ตัดสนิ ใจเกี่ยวกบั แนวทางการปฏบิ ัตทิ จี่ ะเกิดข้ึนเมื่อได้มีการพิจารณาถึงทางเลือกและผลท่ีคาดจะได้รับ แล้ว โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งปญั หาทถ่ี ูกนามาพจิ ารณามีความสลับซับซ้อนมากเท่าใด องค์การก็จะต้องมีการ เปลย่ี นแปลง ดา้ นวตั ถปุ ระสงคเ์ พื่อให้ได้แนวทางแก้ปัญหาทเี่ หมาะสมต่อไป 3.2 เปน็ ทางเลอื กมากกว่าทฤษฎี เน่ืองจากการนาความรู้ท่ีเกี่ยวข้องมาแก้ไข ปัญหา เฉพาะด้านต่อเม่ือมีปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ผู้บริหารจะต้องตัดสินใจได้ดีขึ้น ถ้ามีการเปรียบเทียบทางเลือกหรือแนวปฏิบัติท่ีเป็นรูปธรรม ในเชิงทฤษฎีตัวแบบการตัดสินใจโดยส่วน เพ่ิมโดยส่วนเพ่ิมต้องอาศัยพ้ืนฐานของการปฏิบัติท่ีมีการปฏิบัติจริง และเคยปฏิบัติก่อน จึงเป็น หลักประกัน ถึงความมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดแน่นอนและไม่ต้องเสี่ยงต่อความล้มเหลว ในการตัดสินใจโดยส่วนใหญ่เป็นการตัดสินใจโดยใช้ฐานเดิม หรือประสบการณ์เดิม เป็นสาคญั เชน่ ในการทางานท่ีทาบ่อย ๆ จนเกิดความชานาญการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อยก็คือ การตัดสินใจโดยส่วนเพิ่ม อย่างไรก็ตามการตัดสินใจบางคร้ังอาจทาให้เกิดการสูญเสียไปโดยไม่จาเป็น กล่าวคือ ในกรณีจัดทางบประมาณประจาปีมักจะใช้วิธีการงบประมาณแบบส่วนเพ่ิม เช่น ในปีน้ี เพ่ิม ร้อยละ 5 จากปีที่ผ่านมาท้ัง ๆ ท่ีปีนี้โครงการใหญ่ๆ ไม่มีแล้วก็ควรจะลดงบประมาณลงได้และ ไม่ควร เพิ่มขน้ึ ทุกปี สาหรับองค์การธุรกิจจะใช้วิธีการงบประมาณฐานศูนย์ที่ใช้วิธีการเริ่มคานวณ งบประมาณ ใหม่ท้ังหมดในแต่ละปี ดังนั้นความต้องการงบประมาณจะมากหรือน้อยจึงไม่ข้ึนอยู่กับ ปีท่ีผ่านมา แต่ ขน้ึ อยกู่ ับปัจจัยดา้ นลูกคา้ การแข่งขนั เป็นสาคญั 4. ตวั แบบการตัดสินใจโดยความไม่แน่นอน ตัวแบบการตัดสินใจโดยความไม่แน่นอน หรอื ตวั แบบไมม่ โี ครงสร้างชดั เจน เป็นตวั แบบของการตัดสินใจท่กี ลา่ ววา่ ผ้บู รหิ ารควรสามารถตัดสินใจ ในอนาคตท่ีมีภาวะไม่แน่นอนได้อย่าง เหมาะสม ผู้บริหารจะต้องมีการสร้างแนวคิดที่เก่ียวกับแนว ทางการแก้ไขใหม่เพ่ือท่ีจะช่วยให้องค์การ สามารถปรับตัวให้สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะ

การพฒั นาทกั ษะการคดิ เชงิ กลยุทธ์สาหรบั ครู ๕๒ แวดล้อม ไดผ้ บู้ รหิ ารตอ้ งตดั สนิ ใจ ในภาวะทีม่ คี วามสลับซบั ซอ้ น มคี วามสามารถในการวิเคราะห์สภาวะ แวดล้อม ท่ีมีการเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งเป็นการตัดสินใจแบบไม่มีแผนงานไว้ล่วงหน้า สาหรับลักษณะ ของการตัดสินใจ บนความไม่แน่นอนเน่ืองจากในปัจจุบันสภาวะแวดล้อมมีการเปล่ียนแปลงอยู่ ตลอดเวลา ดังนั้นการ บริหารงาน จึงมุ่งไปสู่การปรับตัวให้เกิดความสอดคล้องและเหมาะสมกับสภาวะ แวดล้อมท่ีเปลี่ยนแปลง ไป เช่น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง เทคโนโลยี ลูกค้า คู่แข่งขัน เป็นต้น นอกจากนีส้ ภาวะแวดลอ้ มจะมีการเปลยี่ นแปลงที่รวดเร็ว ผู้บริหารจึงต้องใช้ความรู้ความสมา รถในการ แก้ปัญหาหรือวิกฤติการณ์ต่าง ๆ ให้ได้และพร้อมท่ีจะรับสถานการณ์ต่าง ๆ อยู่เสมอ การ แก้ปัญหาจะ ยุ่งยากสลบั ซับซอ้ น จาเปน็ ตอ้ งอาศยั บุคคลที่มีความรู้ในลักษณะสหวิทยาการเข้ามา ปฏิบัติ รวมทั้งต้อง ตระหนักถึงหลักของความไม่แน่นอน ดังนั้นการบริหารความไม่แน่นอน จาเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องนา แนวคิดการบริหารเชิงกลยุทธ์มาประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม ผู้ทาการตัดสินใจ นอกจากจะ ประเมิน สภาวะแวดล้อมภายในและภายนอกองค์การแล้ว ยังจาเป็นท่ีจะต้องกาหนดภารกิจ วิสัยทัศน์ นโยบาย และปรชั ญาการบรหิ ารให้สอดคลอ้ งความสาเร็จในอนาคตอีกดว้ ย 5. ตัวแบบการตัดสินใจโดยนวัตกรรมและการเรียนรู้ผู้บริหารจะต้องมุ่งการตัดสินใจ อย่างมี ประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินใจ เพ่ือผลิตผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจากการเรียนรู้ เพ่ือให้ได้ ผลิตภัณฑ์ในราคาที่เหมาะสม มีคุณภาพท่ีดีกว่า ผลิตได้เร็วกว่าและลูกค้าพึงพอใจเป็นสาคัญ นั่นคือ ต้อง เริ่มต้นท่ีลูกค้าเป็นสาคัญ ซ่ึงลูกค้าในอนาคต จะมีความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์ที่มีความ แตกต่าง ผลติ ภัณฑเ์ ดิม ๆ และล้าสมัยยอ่ มสามารถสร้าง ความเบอ่ื หน่ายและไมซ่ ื้อซ้า ดงั น้ันผู้บริหารจึงจาเป็น อย่างย่ิงที่จะต้องสร้างความแตกต่างหรือ ความแปลกใหม่ให้ เกดิ ข้ึนอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่มคี ูแ่ ขง่ ขัน จานวนเพ่ิมขึ้นความจาเป็นที่จะต้องมี ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจึง มีมากขึ้น มิฉะน้นั องค์การจะไม่สามารถ ก้าวไปสู่ความเป็นเลิศได้ ในการสร้าง ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมและ การเรียนรู้มีปัจจัยท่ีสาคัญ คือ แนวคิดน้ี ต้องอยู่ในความคิดของผู้บริหาร และบุคลากรตลอดเวลาโดย ค้นหาวิธีการใหม่ๆ เกี่ยวกับกลยุทธ์และแนว ทางการสร้างผลิตภัณฑ์ นวัตกรรม ผลจากการสร้าง ผลิตภณั ฑน์ วตั กรรมจะก่อให้เกดิ มูลค่าเพิ่มได้ ดงั น้ัน ผูบ้ รหิ ารระดับสูง จาต้องทาให้บุคลากรตระหนักว่า การสร้างวัตกรรมใหม่ และการเรียนรู้เป็นปัจจัยที่ทุก ฝ่ายต้องรับผิดชอบ ร่วมกันและต้องสร้างความ ผกู พันในการปฏิบตั ิให้เกดิ ขึ้น ภารดี อนนั ตน์ าวี๑๘ กล่าววา่ รูปแบบการตัดสินใจทส่ี าคัญมี 3 รูปแบบคอื 1. รูปแบบการตัดสินใจแบบมีเหตุผลหรือ เรียกว่า รูปแบบการตัดสินใจตาม แนวดงั้ เดมิ (The Classic Model) ทีเ่ น้นกลยุทธ์ท่ีก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นรูปแบบการตัดสินใจที่ ค่อนข้างเปน็ อดุ มคติ การทีจ่ ะตดั สินใจจะต้องเสาะหาข้อมูลเก่ียวทั้งหมด อย่างครบถ้วนมีข้อจากัดที่จะ นาไปใช้ 2. รูปแบบการตัดสินใจทางบริหาร เป็นรูปแบบที่เป็นกลยุทธ์ความพึงพอใจ เพอื่ หาทาง เลือกทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ ความพงึ พอใจมากกว่าทางเลอื กทจี่ ะใหป้ ระโยชน์สูงสุด ผู้บริหารจาเป็นต้อง ตดั สนิ ใจให้ทันท่วงที ขณะท่ีปัญหาบางประการอาจไม่เร่งด่วนและสามารถชะลอการตัดสินใจออกไปได้ ก่อน ๑๘ ภารดี อนันตน์ าวี, หลกั การ แนวคดิ ทฤษฎที างการบรหิ ารการศกึ ษา, (ชลบรุ ี : มนตร,ี มเิ กล กาไรซา บาล, 2551), หน้า 167 – 169.

การพฒั นาทักษะการคดิ เชงิ กลยุทธส์ าหรบั ครู ๕๓ 3. รูปแบบการตัดสินใจแบบผสมผสาน หรือกลยุทธ์แห่งการปรับเปลี่ยน เกิดขน้ึ เพ่ือช่วย ผู้บรหิ ารในกรณีทมี่ ขี อ้ มูลเพยี งบางสว่ น และไม่มีเวลาท่ีจะศึกษาหาข้อมูลมาได้เพียงพอ กับการตัดสินใจ ให้ทนั เวลา ธร สุนทรยทุ ธ๑๙ ไดก้ ลา่ วถึงรปู แบบการตดั สินใจไว้ 2 รูปแบบ คือ 1. รูปแบบการตัดสินใจแบบผสมผสาน โดยใช้ข้อมูลที่ดีที่สุดท่ีใช้หลายๆ ระดับการบริหารรูปแบบนี้ดูจะเป็นทางการ ผ่านคณะกรรมการต่างๆและเป็นระบบ ทฤษฎี ประสบการณแ์ ละขอ้ มูลเชิง เปรยี บเทียบ สามารถนามาใช้รวมกนั ได้ 2. รูปแบบการตัดสินใจแบบถังขยะบางคร้ังผู้บริหารมักตัดสินใจลงมือปฏิบัติ ไปก่อนที่จะคิด ดูเสมือนว่าการตัดสินใจแบบไม่มีเหตุผล อาจจะเกิดข้ึนในองค์การท่ีไม่มีความแน่นอน ขาดการมสี ่วนรว่ ม มีความคลุมเครือในการตดั สินใจ จากตวั แบบการตดั สินใจที่ได้เสนอมาขา้ งต้น จึงสรุปได้ว่าสาหรับการตัดสินใจสาหรับการสร้าง ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมมีกระบวนการ ท่ีสาคัญท่ีผู้บริหารต้องตัดสินใจ คือ การกาหนดวิสัยทัศน์ด้าน ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมว่าใน 5 - 10 ปี ข้างหน้าจะมีผลิตภัณฑ์อะไรท่ีแตกต่าง ไปจากเดิมและเหนือกว่า คู่แข่งขัน จากน้ันจึงทาการพัฒนากล ยุทธ์และการออกแบบเทคโนโลยี มีการสะสมแนวคิดผลิตภัณฑ์ นวัตกรรมให้มากข้ึน ในการพัฒนากล ยุทธ์สามารถตัดสินใจได้ว่าจะเลือก กลยุทธ์ในด้านความแตกต่าง กลยุทธ์ความเป็นผู้นาด้านต้นทุนที่ต่า กว่า กลยุทธ์มุ่งเน้นเฉพาะตลาด เป็นต้น ในการกาหนด กระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรม โดยการวิจัยและพัฒนาเพ่ือสามารถ สร้างความพึงพอใจให้แก่ ลูกค้าได้การค้นหาวิธีที่มีผลการ ดาเนินงานที่ดีกว่าหรือดีที่สุดในธุรกิจหรือ อุตสาหกรรมเดียวกันให้ พยายามทาความเข้าใจว่าองค์การ อื่น ๆ มีวิธีการอย่างไรในการปฏิบัติจนได้รับ ผลการดาเนินงานที่ดีเลิศ และพยายามประสานความคิด หรอื วธิ ใี นการปฏิบัติขององคก์ ารอนื่ ๆ 3.7 เทคนิคการตัดสนิ ใจเชงิ ปรมิ าณ เชงิ คณุ ภาพ และเทคนคิ การแก้ไขปัญหา 1. เทคนคิ การตัดสนิ ใจเชงิ ปริมาณเป็นเทคนิคท่ีใช้สถิติ ตัวเลข ตัวแบบทางคณิตศาสตร์ เข้ามา ใช้ในการตัดสินใจเพื่อให้การตัดสินใจถูกต้องและเหมาะสมกับสภาวะแวดล้อม สา หรับเทคนิค การ ตัดสินใจเชิงปริมาณท่ีสาคัญ ได้แก่ เทคนิคแขนงการตัดสินใจและเทคนิคผลตอบแทนที่คาดหวัง ส่วน เทคนิคการตัดสินใจเชิงปริมาณอ่ืน ๆ นอกจากเทคนิคแขนงการตัดสินใจและเทคนิคผลตอบแทน ท่ี คาดหวัง ได้แก่ การวิเคราะห์จุดคุ้มทุน โปรแกรมเส้นตรง การวิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็นต้น สาหรับ เทคนิคการตัดสินใจเชิงปริมาณใน จะนาเสนอเฉพาะเทคนิคด้านแขนง การตัดสินใจและ เทคนิค ผลตอบแทนทค่ี าดหวงั ๒๐ ดงั นี้ 1.1 แขนงการตัดสินใจ (Decision tree) แขนงการตัดสินใจเป็นเทคนิควิธีในการ ตดั สนิ ใจใน การเลือกทางเลือกท่ดี ที สี่ ดุ จากหลายๆ ทางเลือก โดยผู้บริหารจะทานายโอกาสท่ีจะเกิดข้ึน หรอื ความ น่าจะเปน็ ในแต่ละทางเลอื กที่ แตกต่างกนั เม่ือนาผลตอบแทนในแต่ละแขนงการตัดสินใจคูณ ๑๙ ธร สุนทรยทุ ธ, การบรหิ ารจดั การเชงิ ปฏริ ปู : ทฤษฎี วจิ ยั และปฏบิ ตั ทิ างการศกึ ษา, (กรุงเทพมหานคร : บริษทั เนติกุลการพิมพ์ จากดั , 2551), หนา้ 394 – 395. ๒๐ Gaither, N. and Frazier, G. Production and Operations Management, Thomson Learning, Sao Paulo, 2002.

การพัฒนาทักษะการคดิ เชิงกลยทุ ธ์สาหรับครู ๕๔ กับความ น่าจะเป็นในแต่ละแขนง การตัดสินใจ ผู้ตัดสินใจก็สามารถทราบผลของการตัดสินใจท่ีจะ เกิดข้ึนใน อนาคต แขนงการตัดสินใจเปน็ เทคนคิ หรือเคร่อื งมือท่ีช่วยให้ผู้บริหารสามารถทาการตัดสินใจ ใน สถานการณ์ที่ต้องเลือกทางเลือกใดทางเลือกหน่ึงและระบุความน่าจะเป็นในอนาคตด้วย โดยมูลค่า ของ ผลตอบแทนท่จี ะไดร้ ับน้นั ผบู้ ริหารจะนามาใช้ในการพิจารณาจากค่าคาดหวังสูงสุดท่ีจะได้รับ จาก ทางเลือกเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างย่ิงการตัดสินใจระยะยาวท่ีมีความสาคัญต่อองค์การอย่างสูง เนื่องจากองค์การจะต้องมีการลงทุนในด้านการเพิ่มแรงงาน เคร่ืองจักร เคร่ืองมือ อุปกรณ์ เป็นต้น ดังน้ันการ ตัดสินใจทางเลือกท่ีให้ประโยชน์ต่อองค์การสูงสุดจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม สาหรับกระบวนการในการนาแขนงการตดั สินใจมาใช้มีแนวทาง ได้แก่ มีการกาหนดทางเลือกท่ีต้องการ ตัดสินใจข้ึนมาก่อน อย่างน้อย 2 ทางเลือก จากนั้นจึงทาการกาหนดเหตุการณ์และความน่าจะเป็น ท่ีสามารถเกิดขึ้นได้ การกาหนดค่าทางเลือกต่างๆ เป็นตัวเงิน การคานวณค่าคาดหมายของแต่ละ ทางเลือกและการเลอื ก ทางเลือกท่ดี ีทสี่ ดุ ตามลาดบั 1.2ผลตอบแทนที่คาดหวัง (Payoff matrix) เป็นเทคนิคท่ีช่วยให้ผู้ตัดสินใจภายใต้ สถานการณ์ที่มีความเสี่ยง โดยกาหนดความ น่าจะเป็น (Probability) ให้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ผู้ตัดสินใจ สามารถคานวณผลตอบแทนที่คาดหวัง และตัดสินใจทางเลือกท่ีให้ผลตอบแทนสูงสุด จากเทคนิคการตัดสินใจเชิงปริมาณท่ีได้นาเสนอข้างต้น จึงสรุปได้ว่า เทคนิคการตัดสินใจเชิง ปริมาณ เป็นเทคนิคท่ใี ช้สถติ ิ ตัวเลข ตวั แบบทางคณติ ศาสตร์ เข้ามาใช้ในการตัดสินใจเพื่อให้การตัดสินใจ แขนง การตัดสินใจเป็นเทคนิควิธีในการตัดสินใจในการเลือกทางเลือกที่ดีท่ีสุด จากหลายๆ ทางเลือก โดยผูบ้ ริหารจะทานายโอกาสท่ีจะเกิดขน้ึ หรือความน่าจะเป็นในแต่ละทางเลือกท่ี และเป็นเทคนิคที่ช่วย ให้ผู้ตัดสินใจภายใต้สถานการณ์ท่ีมีความเสี่ยง โดยกาหนดความ น่าจะเป็นให้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ผู้ตดั สินใจ 2.การตัดสินใจเชิงคุณภาพ เป็นเทคนิคที่ไมได้นาตัวเลขหรือแบบทางคณิตศาสตร์มาช่วย ในการตัดสินใจแต่เป็นการใช้ทักษะความรู้ สติปัญญา และประสบการณ์ของผู้จัดทาการตัดสินใจ เป็น สาคัญ การตดั สินใจเชงิ คณุ ภาพ 4 เทคนิค ไดแ้ ก่ การระดมสมอง มติเอกฉันท์ เทคนิคเดลฟาย และกลุ่ม คุณภาพ รายละเอยี ด๒๑ ดงั น้ี 2.1 การระดมสมอง เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลท่ีเก่าแก่ท่ีสุดวิธีหนึ่งและมีประสิทธิผล ท่ี ก่อให้เกดิ ความคิดแปลกใหม่ เน่ืองจากเป็นเทคนิคท่ีช่วยกระตุ้นให้เกิดจินตนาการและก่อให้ความคิด ที่กว้างขวาง เป็นวิธีประสานความคิดโดยมุ่งแก้ไขปัญหาใดปัญหาหนึ่ง และทาให้เกิดความคิดดีๆ ที่หลากหลายมากขึน้ การระดมสมองท่ีดี จาเป็นต้องสนับสนุนให้บุคลากรเสนอความคิดเห็น โดย ไม่ถูก ขัดจังหวะถูกโต้แย้งหรืออธิบายความหมายเพ่ิมเติม โดยปล่อยให้คิดอย่างอิสระกระตุ้นให้มี ข้อคิดเห็น มากขน้ึ การระดมสมองมีหลักทส่ี าคัญ คือ จะไม่มีการตัดสินความคิดที่สมาชิกเสนอ ทุกความคิดจะไม่มี การนาไปวิพากษ์วิจารณ์หรือประเมินค่าก่อนจะนาความคิดท่ีเสนอออกมาทั้งหมดก่อน จะต้องมีการ ยอมรบั ความคดิ ทแี่ ปลกใหม่ และเป็นการใหไ้ ด้จานวนความคิดมากกว่าเน้นคุณภาพ ของความคิด ย่ิงได้ ความคดิ มากโอกาสไดค้ วามคิดดี ๆ ก็มมี ากเชน่ กัน 2.2 มติเอกฉันท์การตัดสินใจโดยท่ัวไปจะใช้หลักเสียงส่วนใหญ่หรือเสียงข้างมาก เป็นเกณฑ์ในการตัดสิน ในกรณีที่มีการใช้เสียงแบบพวกมากลากไปหรือคนส่วนมากอาจใช้เหตุผลสู้กับ ๒๑ สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช,มหาวิทยาลยั , องคก์ ารและการจดั การ, (พมิ พค์ รั้งท่ี 6), (นนทบุรี : ชวน พิมพ,์ 2548), หนา้ 283 – 285.

การพฒั นาทักษะการคดิ เชิงกลยทุ ธส์ าหรับครู ๕๕ คน ส่วนนอ้ ยไมไ่ ด้ ดังนั้นเพอื่ ให้มกี ารใช้เหตุผลอยา่ งไตรต่ รองก็ควรจะมีอภิปรายวิพากษ์วิจารณ์กันอย่าง รอบคอบทุกแง่มุมแล้ว พยายามที่หักล้างด้วยเหตุผลจนกระทั่งทุกฝ่ายทุกคนมีความเห็นเป็นแบบมติ เอก ฉนั ท์ หรือ การเห็นพอ้ งต้องกันจะทาใหไ้ ม่เกิดภาวะผู้ชนะและผู้แพ้แต่อย่างไร การตัดสินใจโดย มติ เอก ฉันท์มกี ารหลักสาคัญ คอื ใชเ้ หตผุ ลให้เสนอข้อคดิ เห็นของตนเองให้แจ่มแจ้งและมีเหตุผล ที่สุดและ ต้อง ฟังปฏิกิริยาจากคนอื่นๆ ด้วยไม่เน้นการแพ้ชนะ แต่เน้นชนะร่วมใจกัน คิดเห็น หลักการอภิปราย เหมอื นกันไม่เปล่ยี นใจงา่ ยๆ ใครที่คดิ มขี ้อมูลดกี ค็ วรจะเข้ารว่ มในการแสดงความ 2.3 เทคนิคเดลฟาย (Delphi technique) เป็นเทคนิคท่ีคิดค้นวิธีเสาะหาความ คิดเห็นของผู้เช่ียวชาญเพื่อใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจ โดยเสาะหาความคิดเห็นท่ีเป็นอันหน่ึงอัน เดียวกัน ของ กลุ่มคนเกย่ี วกับความเป็นไปในอนาคตในเรื่องเกี่ยวกับเวลา ปริมาณ และสภาพที่ต้องการ จะให้เป็น เน้น การเสาะหาความคิดเห็นด้วยการสอบถามแทนการเรียกประชุม มีหลักการท่ีสาคัญ คือ ผู้เชี่ยวชาญ ท่ีเข้า ร่วมใช้วิธีการเสนอความคิดเห็นโดยตอบสนองแบบสอบถาม ผู้เชี่ยวชาญท่ีเข้าร่วม โครงการ จะไม่ทราบ ว่ามีผู้ใดเข้าร่วมโครงการด้วยและไม่ทราบคาตอบของผู้เช่ียวชาญอ่ืน และ ผู้เชี่ยวชาญ จะทราบตาแหน่งของคาตอบของตนเมื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ทงั้ หมดและ มีสิทธิเปล่ียนแปลง ความคิดเห็นท่ีให้ไว้แต่เดิมแต่ต้องระบุเหตุผลประกอบ การดาเนินการ ของ เทคนิคเดลฟาย เริ่มจากผู้วิจัย คัดเลือกผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วมโครงการหลังจากน้ันออกแบบสอบถาม 4 รอบ ซ่ึงรอบแรกเป็นคานา คาตอบ ของผู้เชี่ยวชาญท้ังหมดมาให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนให้น้าหนัก รอบที่สาม เป็นการนาคาตอบของผู้เชี่ยวชาญท่ีได้แบบมาในรอบที่สาม มาเปรียบเทียบกับค่าน้าหนัก ของคาตอบ ของผู้เชีย่ วชาญทงั้ หมด เพอื่ ให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนได้ทบทวนคาตอบของตน ส่วนในรอบที่ สี่เป็น การนาคาตอบที่ได้รับจากรอบที่สามนาให้ผู้เช่ียวชาญทบทวนอีกคร้ังหน่ึง ซ่ึงคาตอบที่ได้รับจาก การวจิ ัยนผี้ ู้บริหารสามารถนาไปใชใ้ นการกาหนดเป็นแนวทางเพ่ือการตัดสินใจต่อไป 2.4 กลมุ่ คณุ ภาพ เป็นการตัดสินใจโดยใช้กลุ่มเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งโดยทั่วไปมักจะคุ้น ชื่อกัน ในรูปแบบกลุ่มควบคุมคุณภาพเป็นการตัดสินใจโดยกลุ่มคนขนาดเล็ก ในสถานที่เดียวกันและมี งาน ลักษณะเดียวกันมารวมตัวกันอย่างอิสระเพ่ือทากิจกรรมเดียวกับหารปรับปรุงงานอย่างต่อเน่ือง เพ่ือ พัฒนาตนเอง และพัฒนาซ่ึงกันและกันภายใต้รอบอานาจหน้าที่ของกลุ่มเป็นไปโดยสอดคล้องกับ นโยบายของหน่วยงานอันจะส่งผลให้มีการปรับปรุงคุณภพการปฏิบัติงานของหน่วยงาน หลักการที่ สาคัญของกลุ่มคุณภาพ คือ เป็นกลุ่มขนาดเล็กประมาณ 3 - 10 คน ทางานในสถานท่ีเดียวกัน และ ทางานในลักษณะเดียวกัน มีการรวมตัวอย่างเต็มใจและอิสระไม่มีการบังคับ มีการประชุมเพื่อแก้ไข ปัญหาประจา การประชุมดังกล่าวก่อให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาตนเองในกลุ่ม และเป็นการร่วมกัน ในการคิดและการตัดสินใจเพ่ือแก้ปัญหาของทีมงาน ซึ่งสอดคล้องต่อนโยบายของหน่วยงานตน การดาเนินงานของกลุ่มคุณภาพ มีข้ันตอนแรก คือ การค้นหาปัญหาและเลือกปัญหาท่ีจะดาเนินการ แลว้ รวบรวมขอ้ มลู ต้ังเปา้ หมายดาเนนิ การ วเิ คราะหส์ าเหตุ วางแผน แก้ไขตรวจสอบผลปรับปรุง แก้ไข มาตรฐานเสนอผลงาน และเร่ิมทากิจกรรมใหม่ในกระบวนการของกลุ่มคุณภาพสามารถสรุป เป็นวงจร คุณภาพ 4 ประการ คอื พีดซี เี อ (PDCA) ซง่ึ หมายถึง วางแผน (Plan) ปฏิบัติ (Do) จากเทคนิคการตัดสินใจเชิงคุณภาพที่ได้นาเสนอข้างต้น จึงสรุปได้ว่าการตัดสินใจเชิงคุณภาพ เปน็ เทคนิคท่ีไมไ่ ด้นาตวั เลขหรือแบบทางคณติ ศาสตร์มาช่วย ในการตัดสินใจแต่เป็นการใช้ทักษะความรู้ สติปญั ญา และประสบการณ์ของผู้จัดทาการตัดสินใจ โดยใช้วิธีการการระดมสมอง เป็นวิธีการรวบรวม ข้อมลู ท่ีเกา่ แก่ที่สุดวิธีหน่ึงและมีประสิทธิผลที่ ก่อให้เกิดความคิดแปลกใหม่ เนื่องจากเป็นเทคนิคที่ช่วย กระตุ้นให้เกิดจินตนาการและก่อให้ความคิด ที่กว้างขวางมติเอกฉันท์การตัดสินใจโดยท่ัวไปจะใช้หลัก

การพฒั นาทักษะการคดิ เชงิ กลยทุ ธส์ าหรบั ครู ๕๖ เสียงสว่ นใหญ่หรือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ ในการตัดสิน เทคนิคเดลฟาย เป็นเทคนิคที่คิดค้นวิธีเสาะหา ความคดิ เหน็ ของ ผเู้ ช่ียวชาญเพื่อใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจ โดยเสาะหาความคิดเห็นที่เป็นอันหน่ึง อันเดียวกัน ของกลุ่มคนเก่ียวกับความเป็นไปในอนาคตในเรื่องเก่ียวกับเวลา ปริมาณ และสภาพท่ี ต้องการกลุ่มคุณภาพ เป็นการตัดสินใจโดยใช้กลุ่มเข้ามามีส่วนร่วม ซ่ึงโดยทั่วไปมักจะคุ้นช่ือกัน ใน รูปแบบกล่มุ ควบคุมคณุ ภาพเป็นการตัดสนิ ใจโดยกลุม่ คนขนาดเล็ก 3. การคิดเพ่ือหาวิธีแก้ไขปัญหาน้ันผู้บริหารจะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่เพื่อหาวิธี ที่มีความแตกต่างและหลากหลายโดยควรจะวิเคราะห์หาสาเหตุท่ีแท้จริงเสียก่อน จากน้ันพยายาม ใช้ ความคิดสร้างสรรค์ท่ีจะหาวิธีแก้ไขไว้หลายๆ แนวทาง ซึ่งมีหลักการท่ีสาคัญ คือ พยายามคิดอย่าง สรา้ งสรรค์จากประสบการณแ์ ละความชานาญที่มอี ยู่ การใหค้ วามสาคัญกับทกุ แนวความคิดเพ่ือหา แนว ทางการแก้ไข หลีกเลยี่ งการวพิ ากษ์วิจารณห์ รือตัดสินความคิดเห็นใหม่ๆ ออกไป แต่ควรนาความคิดนั้น เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความคิดที่สร้างสรรค์ เพ่ือหาวิธีแก้ไขที่สืบเนื่องต่อจากความคิดน้ัน ถึงแม้ว่าจะคิด หาทางแก้ไขที่ได้ดีที่สุดแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ควรหยุดความพยายามท่ีจะคิดหาวิธีต่อไป นอกจากน้ีควร พยายามทาความเขา้ ใจเกย่ี วกบั วธิ ีแก้ไขทุกวิธีให้ชัดเจน เพราะจะช่วยทาให้ผู้บริหาร เกิดความคิดใหม่ๆ ขึน้ มาได้ ปญั หา หมายถึง อุปสรรคหรือปัจจัยท่ีก่อให้เกิดความขัดข้อง ตลอดจนทาให้ผลการดาเนินงาน ท่ีไม่สามารถบรรลุถึงจุดหมายท่ีกาหนดไว้ และเม่ือมีปัญหาหรืออุปสรรคเกิดข้ึนไม่ว่าปัญหาน้ัน จะมีความสาคัญหรือไม่ การที่จะให้ได้มาซึ่งแนวทางในการแก้ไขเพื่อท่ีให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้น้ัน ผู้บริหาร จะตอ้ งทาการวิเคราะหป์ ัญหาท่เี กิดขน้ึ คน้ หาสาเหตุ วิเคราะห์สถานการณ์ เปน็ ตน้ สาหรับการวเิ คราะห์ปัญหาเพือ่ หาวิธแี กไ้ ขอย่างเหมาะสมมี 2 วิธี ได้แก่การหาประเด็นท่ีสาคัญ ของปัญหา และการตี ประเด็นปญั หาใหแ้ ตก๒๒ ดังน้ี 3.1. การหาประเด็นที่สาคัญของปัญหา กระบวนการหาจุดสาคัญของปัญหา เร่ิมต้น ด้วย การตั้งคาถามขึ้นแล้วหาคาตอบที่คิดว่าจะเป็นสาเหตุ ดังนั้นการใช้คาถามท่ีเหมาะสมจึงมี ความสาคญั เพราะจะนาไปสกู่ ารแกป้ ัญหาอย่างตรงจุดด้วยการต้ังคาถาม การจับประเด็นหรือจุดสาคัญ ของปญั หา คอื การบบี ประเดน็ ปญั หาต่าง ๆ ให้แคบโดยการศึกษาลักษณะปัญหาอย่างถ่ีถ้วน การทาให้ ประเด็น ปัญหาแคบลงจากการรวบรวมส่ิงที่เกิดขึ้นและคิดว่าเป็นสาเหตุสาคัญ วิธีการรวบรวมส่ิงท่ี เกิดขนึ้ อาจทาโดยการใช้แบบแสดงความคิดเห็นข้อเสนอแนะของลูกค้า แบบรายงานผลการปฏิบัติงาน 3.2 การตีประเด็นปัญหาให้แตก วิธีการในการตีประเด็นปัญหาเพื่อสาเหตุของปัญหา ได้ อย่าง แท้จริง คือ การใช้แผนภาพประเด็นปัญหา วิธีการหาแผนภาพประเด็นปัญหา คือ การค่อยๆ แตก แขนง ประเด็นปัญหาที่มีอยู่ออกเป็นประเด็นย่อย ๆ โดยการต้ังคาถามไปสู่คาตอบใช่หรือไม่ใช่ ด้วย วิธีการ เช่นนี้จะทาให้สามารถแตกประเด็นปัญหาย่อย ๆ ได้จากประเด็นปัญหาย่อย ๆ สามารถ นาไปสู่ วิธีการ แก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม เช่น องค์การแห่งหนึ่งใช้แผนภาพประเด็นปัญหาเพ่ือตี ประเด็นปัญหา ของสินค้าซ่ึงกาลังเสื่อมความนิยมจากลูกค้า เนื่องจากราคาที่กาหนดไว้สูงกว่าสินค้า ประเภทเดยี วกัน กบั องค์การอ่นื ๆ ปัญหาที่เกิดข้นึ คอื จะลดตน้ ทนุ การผลิตสนิ ค้าน้ไี ดอ้ ยา่ งไร จากเทคนิคการแก้ไขปัญหาท่ีได้นาเสนอข้างต้น จึงสรุปได้ว่า สาหรับการแก้ไขปัญหา และการ ตัดสินใจ ประกอบด้วยการวิเคราะห์ในด้านต่างๆ เช่น การวิเคราะห์สถานการณ์ เป็นการ ๒๒ สุโขทยั ธรรมาธริ าช,มหาวทิ ยาลยั , องคก์ ารและการจดั การ, (พิมพค์ ร้ังท่ี 6), (นนทบุรี : ชวน พมิ พ,์ 2548), หน้า 38 – 42.

การพัฒนาทักษะการคดิ เชงิ กลยุทธส์ าหรบั ครู ๕๗ พิจารณาถึงงานที่ รับผิดชอบหรือปัญหาที่ต้องแก้ไข หากมีหลาย ปัญหาที่ต้องดาเนินการจัดลาดับ ความสาคัญเพอื่ ทจ่ี ะดูวา่ ตอ้ งทาอะไรกอ่ นและอะไรทาหลัง การวิเคราะห์ หาสาเหตุแห่งปัญหา เพื่อการ แก้ไขปัญหาให้ตรงสาเหตุ การวิเคราะห์วิธีแก้ปัญหา โดยปัญหาหนึ่ง อาจมีทางออกหลายทางต้อง วิเคราะห์แล้วเลือกวิธีที่เหมาะสม ในการแก้ไขปัญหา และ การวิเคราะห์ วิธีป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้น และเตรยี มการแก้ไขปัญหาในอนาคต สรปุ ท้ายบท บทบาทและหน้าที่ของผู้บริหารท่ีสาคัญได้แก่ หน้าที่ในการตัดสินใจซึ่งเป็นบทบาทท่ีมี ความสาคัญท่ีสุดและจาเป็นที่จะต้องทาการตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆ นั่นคือผู้บริหารไม่สามารถ หลีกเลี่ยงบทบาทและหน้าด้านการตัดสินใจ (Decision Making) ไปได้ ดังน้ันผู้บริหารจึงควรฝึกฝน เทคนิคด้านการตัดสินใจ เพ่ือเป็นการเพ่ิมพูนทักษะความสามารถด้านการตัดสินใจเพื่อช่วยให้สามารถ ปฏบิ ัตงิ านไดม้ ปี ระสิทธภิ าพมากข้นึ การตัดสนิ ใจ หมายถงึ กระบวนการที่ผู้บริหารใช้ในการแก้ไขปัญหา ขององค์การ ซ่ึงอยู่ บนพื้น ฐานข้อมูลข่าวสารท่ีได้รับจากโครงสร้างองค์การ พฤติกรรมของบุคคล และ กลุ่มในองค์การ จากน้ัน ผู้บริหารทาการค้นหาทางเลือกหรือแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมและดีท่ีสุดเพ่ือ การบรรลุ วัตถุประสงคแ์ ละ เป้าหมายขององคก์ ารที่ไดก้ าหนดไว้ การแบ่งประเภทของการตัดสินใจ สามารถแบ่งได้ คือ การตัดสินใจแบบโครงสร้าง การ ตัดสนิ ใจ แบบไม่เป็นโครงสร้าง และการตัดสินใจแบบกึ่งโครงสร้าง ซึ่งองค์ประกอบของการ ตัดสินใจมี 4 ประการ คือ ผู้ทาการตัดสินใจ เป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญท่ีสุด ประเด็นปัญหาท่ีต้อง ตัดสินใจ ทางเลือกต่าง ๆ ที่ บรรลุเป้าหมายได้ และสภาวการณ์ท่ีทาการตัดสินใจ สาหรับกระบวนการตัดสินใจ ไดแ้ ก่ การกาหนด ปัญหา และวิเคราะห์สาเหตขุ องปญั หา การกาหนดทางเลือกต่างๆ ท่ีจะใช้แก้ปัญหา การประเมินผลทางเลือกที่กาหนด การตัดสินใจ เลือกที่ เหมาะสมท่ีสดุ ดาเนินการตามทางเลือกท่ีตัดสินใจ และการประเมินผลท่ีเกิดจากทางเลือกน้ันๆ โดย ผู้บริหารสามารถใช้ตัวแบบของการตัดสินใจทางการบริหาร ได้แก่ ตัวแบบการตัดสินใจโดยใช้ เหตุผล ตัวแบบการตัดสินใจโดยความพึงพอใจ ตัวแบบการตัดสินใจโดยส่วนเพิ่ม ตัวแบบการตัดสินใจ โดย ความไม่ แน่นอน ตัวแบบการตดั สนิ ใจโดยนวัตกรรมและการเรยี นรู้ การตัดสินใจเชิงปริมาณที่สาคัญ เช่น เทคนิคแขนงการตัดสินใจและเทคนิคผลตอบแทน ที่ คาดหวงั คอื แขนงการตัดสินใจ (Decision Tree) และผลตอบแทนท่ีคาดหวัง (Payoff Matrix) ส่วน การ ตัดสนิ ใจเชงิ คุณภาพเป็นเทคนิคที่ไมได้นาตัวเลข หรือแบบทางคณิตศาสตร์มาช่วยในการ ตัดสินใจ แต่เป็น การใช้ทักษะความรู้ สติปัญญา และประสบการณ์ของผู้จัดทาการตัดสินใจเป็นสาคัญ การ ตัดสินใจเชิง คุณภาพ 4 เทคนิค ได้แก่ การระดมสมอง มติเอกฉันท์ เทคนิคเดลฟาย และกลุ่มคุณภาพ ในการวเิ คราะห์ปัญหาเพื่อหาวิธีแก้ไขอย่างเหมาะสมมี 2 วิธี ได้แก่ การหาประเด็นที่สาคัญ ของปัญหา และการตีประเด็นเกี่ยวกับปัญหาให้แตกฉาน ส่วนข้ันตอนของการตัดสินใจของ ผู้บริหารในการ แก้ไข ปัญหา มีขั้นตอน คือ การกาหนดขอบเขตของธุรกิจ การสร้างภาพเชิงกลยุทธ์ การเผชิญกับทางเลือก การดาเนนิ การอย่างมนั่ คง และการยึดมนั่ กับพืน้ ฐาน ตามลาดบั

การพฒั นาทกั ษะการคดิ เชิงกลยทุ ธ์สาหรบั ครู ๕๘ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท ชนงกรณ์ กณุ ฑลบุตร, หลกั การจดั การ: องค์การและการจดั การแนวคดิ การบรหิ ารธรุ กจิ ใน สถานการณ์ ปัจจบุ ัน, (พิมพ์ครงั้ ท่ี 2), กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย,2547. ธงชยั สนั ตวิ งษ์, กลยทุ ธ์และนโยบายธุรกจิ , กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานชิ ,2545. ธร สุนทรายุทธ, การบรหิ ารจดั การเชงิ ปฏริ ปู : ทฤษฎี วจิ ัย และปฏิบัตทิ างการศกึ ษา, กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั เนติกุลการพมิ พ์ จากดั , 2551. นงลกั ษณ์ สุทธวิ ฒั นพันธ์, การบรหิ ารงานงบประมาณ หลกั ทฤษฎี และวิเคราะห์เชิงปฏบิ ัติ, (พิมพค์ รง้ั ท่ี 5), กรงุ เทพมหานคร : หจก. เอมเทรดด้ิง, 2544. บรรยงค์ โตจินดา, องค์การและการจัดการ, (พิมพ์ครั้งที่ 3), กรุงเทพมหานคร : รวมสาส์น, 2548. ภารดี อนนั ตน์ าวี, หลักหาร แนวคดิ ทฤษฎที างการบรหิ ารการศกึ ษา, ชลบุรี : มนตรีมิเกล กาไรซาบาล. , 2551. วรพจน์ บษุ ราคมั วดี, องค์การและการจดั การ, ปทุมธานี : มหาวทิ ยาลัยราชภัฏวไลยลงกรณใ์ น พระบรมราชปู ถมั ภ์, 2552. วิฑูรย์ ตันศิริคงคล, กระบวนการตัดสนใจที่ไดรับความนิยมมากที่สุดในโลก, กรุงเทพมหานคร : กราฟฟคแอนดปร้นิ ตง้ิ , 2542. ศิริพร พงศ์ศรีโรจน์, องค์การและการจัดการ, (พิมพ์ครั้งท่ี 6), กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยธุรกิจ บัณฑติ ย์, 2540. ศริ วิ รรณ เสรรี ัตนแ์ ละคณะ, นโยบายธรุ กิจและการบรหิ ารเชิงกลยุทธ์, กรงุ เทพมหานคร : ธีระการพิมพ์ และไซเท็กซ์ จากัด, 2545. สมคิด บางโม, องคก์ ารและการจดั การ, (พมิ พ์ครั้งที่ 4), กรงุ เทพมหานคร : วิทยพัฒน์, 2548. สโุ ขทัยธรรมาธิราช, การจดั การเชิงกลยทุ ธ์, (พมิ พค์ รั้งที่ 3), นนทบรุ ี : มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช. 2546. ________, องค์การและการจดั การ, (พิมพค์ ร้งั ที่ 6), นนทบรุ ี : ชวนพมิ พ์, 2548. Gaither, N. and Frazier, G. Production and Operations Management, Thomson Learning, Sao Paulo, 2002.

บทที่ 4 วิธกี ารเจรญิ สตสิ าํ หรบั ครู 4.1 ความนาํ ในสังคมยุคปัจจุบันมีการเปล่ียนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ตามกระแสแห่งโลกาภิวัฒน์ จึงมีส่วน ทําให้วิถีชีวิตและจิตใจของผู้คนไวต่อการสัมผัสกับความทุกข์ และยากท่ีจะได้สัมผัสกับ สันติสุขอย่าง แทจ้ ริง เพราะแม้นวา่ วิทยาการจะสาดส่องโลกใหส้ ว่างไสว มีวัตถุเทคโนโลยีที่ ทันสมัยมากเพียงใดก็ตาม หากว่าด้านจิตใจของคนเราไม่ได้รับการอบรมพัฒนาควบคู่ไปด้วย ก็ย่ิงจะทําให้สังคมของเราระคนไป ด้วยความทุกข์ มีความขัดแย้งเกิดข้ึนในทุกซอกมุมของโลก และมีปัญหานานัปการตามมา ดังคํากล่าว ทว่ี ่า “พัฒนาอะไรก็ติด ถา้ จติ ไม่พัฒนา” ดังน้ัน การ พัฒนาด้านจิตใจจึงมีความสําคัญ และจําเป็นอย่าง ยิ่งแก่ทกุ คนทกุ สังคม ทค่ี วรตระหนกั รแู้ ละให้ ความใสใ่ จแลว้ น้อมนาํ ไปปฏบิ ัตใิ หม้ ากยิง่ ขนึ้ ในการพัฒนาจิตใจให้บรรลุสันติสุขเพ่ือชีวิตที่ดีงาม ตามคําสอนขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า คือ การศึกษาหลักธรรมจากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา และน้อมนําหลักธรรมน้ัน ๆ ไปปฏบิ ัติจริงในชีวติ ประจําวัน โดยเฉพาะเรอื่ งการฝึกเจริญสติ ทั้งตามหลักสมถกรรมฐาน และวิปัสสนา กรรมฐาน ซ่ึงเป็นมรรควิถีที่ฝึกอบรมเป็นพ้ืนฐานอย่างมั่นคงดีแล้ว ย่อมส่งผลให้ผู้ ฝึกปฏิบัติเกิดการ พัฒนาท้ังด้านร่างกาย จิตใจ และปัญญาตามลําดับ อันเป็นวิถีทางท่ีจะนําไปสู่ ความสุข สงบ การรู้แจ้ง อิสรภาพ และบรรลุถึงบรมสขุ อยา่ งแท้จรงิ อันเป็นจดุ ม่งุ หมายสูงสุด ในทางพระพทุ ธศาสนา การเจรญิ สติในทางพระพทุ ธศาสนาน้ันจะยึดหลกั การตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ท่ี ปรากฏในคัมภีร์ พระไตรปิฎก ซ่ึงถือว่าเป็นทางสายตรงและเป็นทางสายเอก ท่ีจะนําผู้ปฏิบัติไปสู่ จุดหมายสูงสุด คือ ความหลดุ พ้นจากกิเลสและกองทุกข์ท้ังปวงได้ ดังพระพุทธพจน์ว่า “ภิกษุ ทั้งหลาย ทางน้ีเป็นทางเดียว เพอ่ื ความบริสทุ ธิ์ของเหล่าสัตว์ เพ่อื ล่วงโสกะ และปรเิ ทวะ เพ่อื ดับทุกข์และโทมนัส เพ่ือบรรลุญายธรรม เพอื่ ทําใหแ้ จ้งนพิ พาน ทางน้ี คือ สติปฏั ฐาน ๔ ประการ๑ นอกจากน้ัน การฝึกเจริญสติตามหลักอานาปานสติ ก็เป็นวิธีการเจริญสติอีกอย่าง หนึ่งที่นิยม ฝึกปฏบิ ัตกิ ันเป็นส่วนมาก และพระพทุ ธองคก์ ็ทรงสรรเสริญมาก ทรงสนับสนุนบ่อยคร้ังให้ภิกษุท้ังหลาย ฝึกปฏิบัติ เพราะแม้แต่พระพุทธองค์เองก็ทรงใช้อานาปานสตินี้ เป็น วิหารธรรมท้ังก่อนและหลังการ ตรสั รู้ ดังพระพทุ ธพจนว์ ่า ภิกษุเหล่าใดเป็นพระเสขะยังไม่บรรลุอรหัตตผล ย่อมปรารถนาธรรมเป็นแดนเกษมจาก โยคะ อันยอดเย่ียมอยู่ อานาปานสติสมาธิที่ภิกษุเหลานั้นเจริญ ทําให้มากแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อความสิ้นไป อาสวะ ส่วนภิกษุเหล่าใดเป็นอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทํากิจที่ควรทําเสร็จแล้ว ปลงภาระได้ แล้ว บรรลปุ ระโยชน์ตนโดยลาํ ดบั แล้ว สิ้นภวสังโยชน์ หลดุ พ้นแล้ว เพราะรโู้ ดยชอบ อานาปานสติสมาธิ ที่ภิกษุเหล่านั้นเจริญ ทําให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพ่ือความอยู่เป็นสุขในขณะปัจจุบันและเพ่ือมีสติ มีสมั ปชัญญะ๒ ๑ ท่.ี ม. (บาล)ี ๑๐/๓๗๓/๒๘๘, ที.่ ม. (ไทย) ๑๐/๓๔๗๓/๓๐๑. “ส.ม. (บาล)ี /%d/๒๘๓-๒๘๒, ส.ม. (ไทย) G/ ๘๒/๔๖๕-๔๗๐. ๒ ส.ํ ม.(บาล)ี 19/987/281-282, สํ.ม. (ไทย) 19/987/469-470.

การพฒั นาทักษะการคดิ เชงิ กลยทุ ธส์ ําหรบั ครู ๖๐ และในยุคปัจจุบันพบว่า ติช นัท ฮันห์ พระมหาเถระชาวเวียดนาม นิกายเซน มหายาน เป็นพระภิกษุ ในพระพุทธศาสนาอีกท่านหนึ่ง ที่นําหลักการเจริญอานาปานสติอันเป็น คําสอนของพระพุทธองค์มา ประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตประจําวนั ได้อย่างโดดเด่นและเข้ากับยุคสมัย จน ได้กลายมาเป็นผู้นําทางจิตวิญญาณ ทมี่ ีบทบาทแกค่ นทั่วโลก ทา่ นเป็นผู้นําการปฏิบัติธรรมและ เผยแผ่พุทธธรรม ท่ีแสดงให้เห็นถึงศิลปะใน การใช้ชีวิตอย่างมีสติ ที่เรียบง่าย งดงาม และลึกซึ้ง ด้วยการพูดให้ฟัง ทําให้ดู อยู่ให้เห็น สุขสงบเย็นให้ ได้สัมผัส จนเป็นท่ียอมรับและแพร่หลาย ในระดับสากล นอกจากนั้น ท่านยังเป็นผู้นําแนวคิดเร่ือง พระพทุ ธศาสนาเพ่อื สังคม ผูซ้ ่งึ มี บทบาทและผลงานท่ีโดดเด่น อันเป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนท้ังโลกอีก ด้วย”๓ 4.2 แนวคดิ เกย่ี วกับการเจรญิ สติ ในทางพระพุทธศาสนาถือว่า ส่ิงท้ังหลายบรรดามีในโลกน้ีล้วนเสกสร้างมาจากจิต สูงท่ีสุดหรือ ตํ่าท่ีสุดก็คือจิต สุขที่สุดหรือทุกข์ที่สุดก็อยู่ท่ีจิต ความโกรธ เกลียด กลัวทั้งหลาย ล้วนเกิดมาจากจิต และบ่อเกดิ หรือตน้ ธารของความสุขทแ่ี ทแ้ ละความรกั ที่ยิ่งใหญก่ อ็ ยูท่ ่จี ิต เชน่ เดียวกัน ดังนั้น การควบคุม จิตหรือการฝกึ ฝนอบรมจิตจึงเป็นเรื่องท่ีสําคัญท่ีสุดของมวล มนุษย์” เพราะหากฝึกฝนอบรมจิตให้ดี ให้ เป็นปกติผ่องใสบริสุทธิ์ได้แล้ว ย่อมน้อมนํามาซึ่ง ความสุขท้ังทางร่างกายและจิตใจ ท้ังต่อตนเอง ครอบครัว สงั คม และสนั ติภาพของโลก หลักแห่งคําสอนในทางพระพุทธศาสนาจึงกล่าวไว้ว่า “ให้ละเว้นจากการทําบาป ทั้งปวง หม่ันทํากุศลให้ถึงพร้อม และที่สําคัญคือการทําจิตของตนให้ผ่องแผ้ว นี่คือคําส่ังสอน ของพระพุทธเจ้า ทั้งหลาย” ซ่ึงคําสอนข้อท่ีหน่ึงและข้อท่ีสองน้ัน เป็นคําสอนหลักท่ีมีปรากฏอยู่ ในทุกศาสนา แต่ข้อ ที่สาม คือการฝึกฝนอบรมจิตใจให้ผ่องแผ้วบริสุทธิ์ เป็นจิตท่ีอิสระหลุดพ้น จากความทุกข์กล่าวคือ พระนพิ พานน้ัน มปี รากฏเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น และมีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะฝึกปฏิบัติให้จิตได้ต่ืนรู้ ผ่องใส เบิกบานอย่าง ย่ังยืน และถาวรเช่นนั้นได้ น่ันคือ การฝึกเจริญสติ และแนวทางแห่งการเจริญสติเพ่ือตัดรากถอน โคนแห่ง ตัณหา มานะ ทิฏฐิให้ส้ินซาก เพ่ือชําแหลกความโลภ โกรธ หลงให้หมดสิ้นไปจาก จิตใจ หรือเพื่อความ หลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ทั้งปวงได้อย่างแท้จริง คือ การเจริญสติตาม หลักมหาสติปัฏฐาน ๔ ดังพระพุทธพจนว์ า่ “ภกิ ษุทง้ั หลาย ทางนเี้ ปน็ ทางเดียว เพ่อื ความบริสุทธ์ิของเหล่าสัตว์ เพ่ือล่วงโสกะและ ปริเทวะ เพื่อดับทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทําให้แจ้งนิพพาน ทางน้ี คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ คือ พจิ ารณาเหน็ กาย เวทนา จิต ธรรมท้งั หลายอยู่ มคี วามเพยี ร มี สัมปชัญญะ มีสติ กําจัดอภิชฌาและ โทมนัสในโลกได้”๔ ๓ พระไพศาล วิสาโล, “ติช นทั ฮนั ห์ มติ ใิ หมข่ องพทุ ธศาสนา\" คอลมั น์มองอย่างพุทธ - มติชน รายวนั (๑๘ ก.พ. ๕๐), อา้ งใน <http://www.thaiplurmvillage.org, (ตลุ าคม ๒๕๕๐). ๔ ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๓/๓๐๑, ส.ํ ม. (ไทย) ๑๙/๓๖๗/๒๑๐, คําบาลวี า “เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคโฺ ค สตฺตานํ วิสทุ ธฺ ยิ า โสกปรเิ ทวนํ สมติกกฺ มาย ทุกฺขโทมนสสฺ านํ อตฺถงคฺ มาย ญายสสฺ นพิ พานสฺส สจฺฉิ กริ ยิ าย, ยทิทํ จตตฺ าโร สตปิ ฏฐานา”, ที.ม. (บาล)ี ๑๐/๓๗๓/๒๔๘.

การพฒั นาทกั ษะการคดิ เชิงกลยุทธส์ ําหรบั ครู ๖๑ 4.3 ความหมายของสตแิ ละการเจรญิ สติ 4.3.๑ ความหมายตามแนวทางเถรวาท ในคัมภีร์อภิธรรมปิฎกได้กล่าวถึงความหมายของสติไว้ว่า “สติที่เกิดข้ึนเป็นไฉน สติ คือ การตามระลึก ความหวนระลึก กิริยาท่ีระลึก ความทรงจํา ความไม่เล่ือนลอย ความไม่ หลงลืม คือสติ ที่เปน็ อนิ ทรีย์ สตทิ ่เี ป็นพละ สัมมาสติ นี้ชื่อวา่ สตทิ ี่เกิดข้ึนในสมยั นน้ั ๆ”๕ พระพรหมคุณาภรณ์ ได้กล่าวถึงความหมายของสติไว้ว่า “สติ หมายถึง ความระลึกได้ นึกได้ ความไม่เผลอ การคุมใจไว้กับกิจ หรือกุมจิตไว้กับส่ิงท่ีเก่ียวข้อง [กายอยู่กับกิจ จิตอยู่กับงาน] จําการท่ี ทําและคําที่พูดแล้วแม้นานได้ นอกจากนี้ยังหมายถึง “ความระมัดระวัง ความ ตื่นตัวต่อหน้าที่ ภาวะที่ พร้อมอยู่เสมอในการคอยรับรู้ต่อสิ่งต่าง ๆ ท่ีเข้ามาเกี่ยวข้อง และตระหนัก รู้ว่าควรปฏิบัติต่อส่ิงนั้น ๆ อยา่ งไร”๖ ท่านพุทธทาสภิกขุ๗ กล่าวไว้ว่า “สติ แปลว่า แล่น การแล่น เป็นการแล่นมาของ ความรู้ แล่น มาแห่งความทรงจํา สติเป็นเครื่องขนส่ง หากเรามีปัญญามากหรือความจํามาก แต่ แล่นมาไม่ทันกับ เวลาที่มีเหตุการณเ์ กิดขึน้ นน่ั คือไมม่ ีสติ สติจึงเป็นเครื่องขนส่งความรู้ ความจํา มาใช้ให้ทนั เวลาท่เี กดิ ข้ึน พระโพธญิ าณเถระ๘ (หลวงพ่อชา สุภทฺโท) กล่าวไว้ว่า “สติ คือความระมัดระวัง รู้อยู่ว่าเด๋ียวน้ี เราทําอะไรอยู่ สติสัมปะชัญญะ คือรู้ตัวว่าเรากําลังทําอะไรอยู่ ระลึกได้ถึงความรู้สึก ที่เกิดในจิต ระลึก ไดว้ ่าเรากําลงั พดู หรอื กําลังทําอยู่ และต้องประกอบด้วยปัญญา หรอื มปี ัญญา เกดิ ร่วมด้วยเสมอ” หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ กล่าวไว้ว่า การเจริญสติ คือการมีสติกําหนดรู้ ดูกายเคล่ือนไหว ดูใจ นึกคิด ใหเ้ ปน็ ปัจจบุ ันอยา่ ง ต่อเนื่อง ซง่ึ ทาํ ไดใ้ นทุกอิริยาบถ เม่อื ความคิดเกิดขึ้นเรารู้เท่าทันความคิดนั้น ความคิดก็จะ หยุด จะไม่คิดต่อ ไม่ปรุงแต่งต่อให้เป็นทุกข์ เพราะเรารู้เท่าทันมันว่า ความคิดเกิดข้ึน ต้ังอยู่ ดับไป ดว้ ยตวั ของมนั เอง ทกุ ขก์ ็จะลดลงและหมดไปในที่สุด๙ พระญาณโปณิกเถระ๑๐ ได้ให้ความหมายของสติไว้ว่า สติ มีความหมายดั้งเดิมมาจากคําว่า ความทรงจํา ความระลึกได้ (สันสกฤต : สมฤติ) บางครั้งในคัมภีร์บาลีเดิมก็ใช้ในความหมายว่า การจํา เหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ แต่ท่ีใช้กันมาก มีความหมายเป็นปัจจุบัน หมายถึง ความใส่ใจ หรือความต่ืนตัว จาํ กัดลงไปหมายเอา เฉพาะความใส่ใจท่ีดี ท่ีฉลาดหรือทเ่ี ป็นกุศล ๕ อภิ.สง.ฺ (บาลี) ๓๔/๕๒/๒๙, อภ.ิ สง.ฺ (ไทย) ๓๔/๕๒/๓๖. ๖ พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยุตฺโต), พทุ ธธรรม ฉบบั ปรบั ปรงุ ขยายความ, พมิ พค์ รั้งที่ ๑๑, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์บริษทั สหธรรมิก จาํ กัด), ๒๕๔๙, หนา ๘๐๔. ๗ พทุ ธทาสภิกข,ุ สต,ิ พิมพค์ ร้ังท่ี ๒, (กรงุ เทพมหานคร : จักรานกุ ลุ การพมิ พ)์ , ๒๕๒๘, หน้า ๒๐-๒๑. ๘ พระโพธิญาณเถระ (ชา สุภทโฺ ท), 48 พระธรรมเทศนา,พมิ พค์ รั้งท่ี 5, ศนู ย์เผยแพรม่ รดกธรรม วนั หนอง ปุาพง, 2550, หนา้ 152. ๙ คําพอง สมศรีสุข, “การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ตามหลกั พทุ ธธรรม ศกึ ษากรณกี ารเจรญิ สตแิ บบ เคลอ่ื นไหว ของหลวงพอเทยี น จติ ตฺ สโุ ภ”,วทิ ยานพิ นธศิลปศาสตรมหาบณั ฑิต (บัณฑิตวทิ ยาลัย สถาบนั ราชภฎั เลย, ๒๕๔๖), หนา้ ๔๔. ๑๐ พระญาณโปณิกเถระ, หวั ใจกรรมฐาน, แปลโดย พลตรนี ายแพทย์ชาญ สุวรรณวภิ ชั , พมิ พ์ครงั้ ที่ ๗, (กรุงเทพมหานคร : สาํ นักพมิ พศ์ ยาม, ๒๕๔๘), หนา้ ๒.

การพัฒนาทกั ษะการคดิ เชิงกลยทุ ธ์สาํ หรบั ครู ๖๒ กันเต เฮเนโพลา คุณารัตนามหาเถระ๑๑ ได้อธิบายลักษณะของสติว่า “เป็นการเฝูาดู เป็นการ รู้ตัวในขณะปัจจุบัน เตือนให้เรารู้ว่ากําลังทําอะไรอยู่ สติ คือมองทุกส่ิงตามความเป็น จริงโดยไม่ต่อเติม สติเหน็ ทกุ ส่ิงตามธรรมชาติของปรากฏการณน์ ้ันๆ ทําให้เห็นว่าสรรพสิ่งย่อม เปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งเกิดขึ้น เปน็ ทกุ ข์ และทกุ ส่ิงไมจ่ ีรัง มิกลาส (Mikulas)๑๒ กล่าวไว้ว่า สติ (Mindfulness) หมายถึง “การตระหนักรู้ (Awareness) โดยได้อธิบายเพิ่มเติมว่า การตระหนักรู้ไม่ได้หมายถึงการคิด แต่หมายถึง การรู้ถึง ความคิดจากการ สงั เกตความคิดทีเ่ กิดขน้ึ โดยไม่มีการคิดตอ่ เนอื่ งเพ่ิมเตมิ เพียงแตด่ ูไปตาม ความคดิ ท่ีเกดิ ข้นึ เท่าน้ัน” สยาดอ อูบัณฑิตา (Sayadaw U Pandita)๑๓ ได้ให้ความหมายของสติในการปฏิบัติ กรรมฐาน ไว้ว่า “สติ หมายถึง พลังการเฝูาดู (Observing power) โดยได้อธิบายเพ่ิมเติมว่า สติน้ัน เป็นองค์แรก ของการตรัสรู้ มลี กั ษณะแนบชดิ อารมณ์ มหี นา้ ท่รี กั ษาอารมณ์\" 4.3.๒ ความหมายตามแนวทางมหายาน มหายานปญั จขนั ธศาสตร์ เปน็ คมั ภรี ใ์ นฝุายมหายาน กลา่ วถึงความหมายของสติไว้ ว่า “สติ คือ สภาพทีย่ ังจติ ให้ระลกึ ไดใ้ นอารมณเ์ นือง ๆ มคี วามจาํ ได้แมน่ ยาํ เป็นสภาวะ๑๔ ในคัมภีร์วิมลเกียรตินิทเทสสูตร ซ่ึงเป็นพระสูตรในฝุายมหายาน กล่าวไว้ว่า “ในการ โปรด สรรพสัตว์จึงกําจัดอาสวะกิเลส และในการกําจัดอาสวะกิเลสจึงมีสัมมาสติ คือมีสติไม่ให้ อกุศลกรรม เกิดขนึ้ และมสี ติทาํ กศุ ลกรรมไมใ่ ห้ดับไป๑๕ ศานติเทวะ กล่าวไว้ใน “ศกึ ษ-ฺ สมจุ ฺจย” หรือ คมั ภีรป์ ระมวลเร่ืองการฝึกจิต ว่า “สติ เป็นเคร่ือง ในการระวังรักษาตน๑๖” และกล่าวไว้ในคมั ภีร์โพธิจรุยาวตารว่า “สติจะช่วยระวังรักษา จิตให้เหมาะแก่ การทํากจิ ต่าง ๆ๑๗ อัศวโฆษ ได้กล่าวไว้ในโสนทนานันทกาพย์ว่า “สติ หมายถึง ความรู้ชัดว่ากําลังทํา อะไรอยู่ และเป็นเครือ่ งปูองกนั กเิ ลส เปรียบเหมือนยามรกั ษาประตูทไี่ มใ่ ห้ศตั รูเข้าไปในเมืองได้”๑๘ ๑๑ ดรู ายละเอยี ดใน ภนั เต เฮเนโพลา คุณารตั นา มหาเถระ, สตดิ ว้ ยภาษางา่ ย ๆ, แปลและเรยี บเรยี ง โดย ชวาลา เธียรธน,ู พิมพค์ รั้งท่ี ๓, (กรงุ เทพมหานคร:จนั วาณิชย,์ ๒๕๔๔), หนา ๖๖-๖๘. ๑๒ Mikulas, W, Minfulness, Self-control and personal growth, In Psychotherpy, meditation& health: A cognitive-behavioral perspective, cd. M.G. Kwee, (London: East-Wast, 1990), pp. 150-154. ๑๓ Sayadaw U Pandita, In This Very Life, (Boston : Wisdom publication, 1992), p. 99. ๑๔ พระอาจารยจนี ธรรมคณาการ, สารตั ถธรรมมหายาน, (กรงุ เทพมหานคร : ม.ป.ท. ๒๕๑๓), หนา ๕๗. ๑๕ เสถียร โพธินันทะ, วิมลเกยี รตินิทเทสสตู ร, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พมหามกฏุ ราช วิทยาลัย, ๒๕๒๑), หนา ๓๗. ๑๖ พระญาณโปนกิ เถระ, หัวใจกรรมฐาน, แปลโดย พลตรนี ายแพทย์ชาญ สวุ รรณวภิ ชั , พิมพ์ครั้ง ที่ ๗, (กรงุ เทพมหานคร : สาํ นักพมิ พศ์ ยาม, ๒๕๔๘), หนา้ ๒๖๗. ๑๗ ศานติเทวะ, วิถีชีวิตของพระโพธสิ ัตว์ (โพธิจรยุ าวตาร), (Santideva, A guide to the Bodhisata way of life), แปลโดย โสรัจจ์ หงศล์ ดารมณ,์ (กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๐), หนา้ ๒๖. ๑๘ พระญาณโปนิกเถระ, หวั ใจกรรมฐาน, หน้า ๒๖๕-๒๖๖.

การพฒั นาทกั ษะการคดิ เชงิ กลยทุ ธ์สําหรับครู ๖๓ องค์ทะไลลามะ๑๙ ผ้นู าํ ทางจติ วิญญาณ ประมุขแห่งธิเบต ตรสั ไว้ว่า “สตเิ ปน็ การจดจ่อ กับวตั ถุ หนง่ึ ๆ ที่ใชเ้ ปน็ วัตถแุ หง่ จิต” และ “การกําหนดความรู้ตัวในกิจตา่ ง ๆ เป็นปัจจัยเก้ือกลู ใหเ้ กิดสติ โดยที่ สตชิ ่วยพฒั นาจิตให้เปน็ หนึง่ เดยี ว” เชอเกยี ม ตรงปะ วชั ราจารยใ์ นพระพุทธศาสนาสายธิเบต กล่าวไว้ว่า “สติเป็นการจด จ่อกับส่ิง ตา่ งๆ อยา่ งทเี่ ปน็ อยู่” ๒๐ และ “เป็นกระบวนการท่ีเข้าไปสัมพันธ์กับสถานการณ์ชีวิตของ ปัจเจกบุคคล อย่างตรงไปตรงมา ชดั เจน และหมดจด”๒๑ จากการใหน้ ยิ ามของคาํ ว่า สติ ดังที่ปรากฏในความข้างต้นของท้ัง ๒ แนวทาง สรุป ความได้ว่า สติ หมายถึง ความระลึกรู้ในปัจจุบันขณะ การนึกได้หมายรู้ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ความไม่ประมาท ความใส่ใจ การตระหนักรู้ การกําหนดรู้ หรือการตื่นรู้กับกายท่ีเคล่ือนไหว กับใจท่ีนึกคิด กับจิตและ ธรรมทีป่ รากฏในขณะปัจจุบันนน้ั ๆ ส่วนคําว่า การเจริญ หรือ ภาวนา”๒๒ เป็นอีกความหมายหน่ึงของการพัฒนา๒๓ ซ่ึงหมายถึง “การฝึกให้เปน็ การทาํ ใหม้ ขี ึน้ ทําให้เกิดข้ึนบ่อยๆ ทําให้เติบโตและเจริญเพ่ิมพูน มากยิ่งข้ึน ซึ่งเป็นการ ฝึกฝนอบรมตามขอ้ ปฏบิ ตั ิของมรรค หรอื การลงมือปฏิบตั ติ ามมรรควิธีท่ีจะกําจดั เหตุแหง่ ทกุ ข์๒๔ ดังนน้ั การเจริญสติ จึงหมายถึง การฝึกสติหรือสร้างสติ คือความระลึกรู้ในปัจจุบันขณะ ความ รู้สึกตัวท่วั พร้อม ความไม่ประมาท ความใส่ใจ ความตระหนักรู้ การกําหนดรู้ ให้ เกิดขึ้นบ่อย ๆ ให้มีขึ้น ทุกขณะ และใหเ้ จริญงอกงามเพม่ิ พนู มากยิ่งขึน้ ตามมรรควธิ ที จ่ี ะกาํ จัดเหตุ แห่งทกุ ขใ์ ห้หมดสิน้ ไป 4.4 ความสาํ คญั ของการเจรญิ สติ ในสังคมที่สับสนวุ่นวายมากมายด้วยปัญหาอันนํามาซึ่งความทุกข์ แต่ผู้ที่มีสติย่อมมี ปัญญา สามารถที่จะเอาชนะปัญหาอุปสรรคเหล่านั้น พร้อมท้ังสามารถยกจิตใจให้อยู่เหนือความทุกข์ได้ ด้วย ๑๙ ทะไลลามะ, จักรวาลในหน่ึงอะตอม การหลอมรวมวิทยาศาสตร์กับจิตวิญญาณ (The Universe in single atom), แปลโดย เพชรรัตน์ พงษเ์ จริญสุข, (กรุงเทพมหานคร : สวนเงนิ มมี า, ๒๕๕๐), หนา้ ๑๕๘ ๒๐ ทะไลลามะ, มรรควธิ ีแหง่ การฝกึ ตน (How to practice), แปลโดย สุลกั ษณ์ ศวิ รกั ษ์, (กรุงเทพมหานคร : สวนเงนิ มีมา, ๒๕๔๕), หน้า ๕๑. ๒๑ ตรงปะ, ซี, มหาบูรพสูรย์ ปรีชาญาณแห่งชัมบาลา (Great easterth surn : The wisdoth of Sunbala), แปลโดย พจนา จันทร์สนั ติ (กรุงเทพมหานคร : มูลนธิ ิโกมลคีมทอง, ๒๕๔๖), หน้า ๑๒๕. ๒๒ \"คําวา่ ภาวนา แปลวา่ การเจรญิ การฝึกอบรม การทําให้มีขึ้น คือ การเกิดข้ึนบ่อยๆ ในสันดานของ ตน มี วิเคราะห์ศัพท์ว่า “ภาเวตพพาติ - ภาวนา ธรรมที่บัณฑิตท้ังหลาย จึงทําให้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และครั้ง หลังๆ ให้ ติดต่อกันเป็นนิตย์จนถึงเจริญขึ้น ฉะนั้น จึงช่ือว่า ภาวนา”, พระมหาไสว ญาณวีโร, คู่มือวิปัสสนาจารย์, กรงุ เทพมหานคร : สาํ นกั พิมพเ์ ลียงเชียง, ๒๕๔๕), หน้า ๑๖. ๒๓ คําว่า “ พฒั นา” คอื การทาํ ให้เจริญ พัฒนาการ หรือ development ในความหมายทว่ั ไป หมายถึง การ เปล่ียนแปลงไปสู่ภาวะท่ีดีขึ้น เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ต่อเน่ืองในทิศทางเดียวกัน, อ้างใน ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕, พิมพ์ครั้งที่ 5, (กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญทัศน์, ๒๕๓๕), หน้า 5๕. ๒๔ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต), พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงขยายความ, พิมพ์คร้ังที่ ๑๑, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์บริษทั สหธรรมิก จํากดั ), ๒๕๔๙, หนา้ ๒๐๒๓.

การพฒั นาทกั ษะการคดิ เชงิ กลยทุ ธส์ าํ หรบั ครู ๖๔ ความรู้เท่าทันและเข้าใจอย่างแท้จริง ดังน้ัน ในหลักพุทธธรรมจึงเน้นความสําคัญ ของสติเป็นอย่างมาก การดําเนินชีวิตหรือการปฏิบัติโดยมีสติกํากับอยู่เสมอ โดยมีช่ือเรียกเฉพาะ ว่า “อัปปมาทะ” หรือ ความไม่ประมาทน้ัน เป็นหลักธรรมสําคัญย่ิงสําหรับความก้าวหน้าในระบบ จริยธรรม เพราะเป็นตัว ควบคุมยับย้ังปูองกันไม่ให้มนุษย์หลงเพลินไปตามความชั่ว๒๕ และในขณะเดียวกัน ก็ช่วยให้ตระหนักรู้ ทีจ่ ะดาํ รงอยใู่ นทางแห่งความดียง่ิ ๆ ขึ้นไป ดังพระพทุ ธพจนว์ า่ “ภิกษุท้ังหลาย รอยเท้าของสัตว์ที่เท่ียวไปบนแผ่นดินท้ังหมดรวมลงในรอยเท้าช้าง รอยเท้าช้างชาวโลกกล่าวว่าเลิศว่ารอยเท้าเหล่านั้น เพราะเป็นรอยใหญ่ แม้ฉันใด กุศลธรรมทั้งหมด ก็ฉนั น้นั เหมือนกนั มีความไม่ประมาทเป็นมูล รวมลงในความไมป่ ระมาท ความไม่ประมาท บัณฑิตกล่าว ว่าเลิศกวา่ คณุ ธรรมเหลา่ นนั้ \"๒๖ พระโพธิญาณเถระ๒๗ กล่าวไว้ว่า “สตินี้เป็นสภาวธรรมอันหน่ึงซ่ึงช่วยให้ธรรมอันอ่ืน ท้ังหลาย เกิดข้ึน โดยพร้อมเพียง สตินี้คือชีวิต ถ้าขาดสติเมื่อใดก็เหมือนตาย ถ้าขาดสติเม่ือใดก็เป็น คนประมาท สติเป็นเหตุให้สัมปชัญญะและปัญญาเกิดขึ้นมาได้” และ “ผู้ใดมีสติทุกเวลา ผู้น้ัน จะได้ฟังธรรมของ พระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่วา่ จะยนื จะเดิน จะนั่ง หรอื จะนอน นน่ั เพราะวา่ เรามีสติ มคี วามรูส้ กึ ตวั หลวงปุูขาว อนาลโย กล่าวถึงความสําคัญของสติไว้ว่า “สติเป็นแก่นของธรรม แก่นของธรรม ท่ีแท้อยู่ท่ีสติ ครั้นมีสติแก่กล้าแล้ว ทําก็ไม่พลาด คิดก็ไม่พลาด กุศลธรรม ท้ังหลายจะเกิดข้ึน๒๘ ซึ่งสอดคล้องกับพระพุทธพจน์ว่า “เราไม่เห็นธรรมอ่ืนแม้อย่างหน่ึง ที่เป็น เหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่ เกิดข้ึนก็เกิดขึ้น หรือเป็นเหตุให้อกุศลธรรมท่ีเกิดขึ้นแล้วเสื่อมไป เหมือน ความไม่ประมาทน้ี เมื่อไม่ ประมาทแลว้ กศุ ลธรรมทยี่ ังไมเ่ กิดกเ็ กิดข้ึน และอกุศลธรรมทีเ่ กดิ ข้ึน แล้ว กเ็ ส่อื มไป๒๙ การฝึกเจริญสติยังเป็นปัจจัยสําคัญท่ีจะทําให้เกิดวิปัสสนาญาณ เป็นกุญแจไขไปสู่ ประตูแห่ง พุทธภาวะ เพ่ือการรู้แจ้งในรูปนามตามความเป็นจริง ช่วยให้สามารถสลัดทั้งซ่ึงความ ทุกข์ และการ สรา้ งสขุ ท่แี ท้แก่จิตใจไดด้ ้วย สตจิ ึงมีความสําคญั จําเปน็ ต้องใช้ในท่ีทุกสถานใน กาลทุกเมื่อ ดังพระพุทธ พจน์ว่า “สติเป็นธรรมเคร่ืองต่ืนอยู่ในโลก”๓๐ (สติปลุกให้ต่ืนจากทุกข์] “คนมีสติย่อมได้รับความสุข คนมสี ตมิ คี วามเจรญิ ทุกเมือ” และ “สตจิ าํ ต้องประสงค์ในทที่ กุ สถาน๓๑ นอกจากนนั้ สติยงั เปน็ บพุ นิมิตให้เกดิ วิถที างท่จี ะนําไปสู่ความพ้นทุกข์อกี ดว้ ย ดงั พระพุทธ พจนว์ า่ “ภกิ ษทุ ั้งหลาย เมื่อดวงอาทติ ย์กาํ ลงั จะอทุ ยั ย่อมมีแสงอรุณข้นึ มากอ่ น เปน็ บุพนิมิต ฉนั ใด อปั ปมาทสมั ปทา (ความถึงพร้อมดว้ ยความไมป่ ระมาท) ก็เป็นตวั นํา เปน็ บพุ นมิ ิตเพื่อความเกดิ ขน้ึ แหง่ อริยมรรคมีองค์ ๘ ฉันนนั้ ๓๒ ๒๕ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต), พทุ ธธรรม ฉบบั ปรบั ปรงุ ขยายความ, พิมพค์ ร้งั ที่ ๑๑, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์บริษทั สหธรรมิก จาํ กดั ), ๒๕๔๙, หน้า ๒๐๒๓. ๒๖ ส.ม. (บาลี) ๑๕/๑๘๐/๘๐-๔๑, ส.ม. (ไทย) ๑๕/๑๘๐/๒๕. ๒๗ พระโพธิญาณเถระ (ชา สุภทั โท), ๘๘ พระธรรมเทศนา, พิมพ์ครั้งที่ ๕, (ศนู ยเ์ ผยแผม่ รดก ธรรมวดั หนอง ปุาพง, ๒๕๕๐), หน้า ๑๖๐. ๒๘ พรสิทธิ์ อดุ มศลิ ปจ์ ินดา (ผรู้ วบรวม), โยนโิ สมนสกิ ารธรรม, พิมพค์ รง้ั ที่ ๑๕, (กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั พมิ พ์เฟือ่ งฟูา, ๒๕๔๓), หนา้ ๑๕. ๒๙ องเอกก (บาลี) ๒๐/๕๘/๑๐, อ.เอกก. (ไทย) ๒๐/๕๘/๑๑. ๓๐ สํ.ส. (บาล)ี ๑๕/๘๐/๕๑, ส.ํ ส. (ไทย) ๑๕/๘๐/๘๕. ๓๑ สํ.ม. (บาล)ี ๑๙/๒๓๔/๑๐๒, ส.ํ ม. (ไทย) ๑๙/๒๓๔/๑๗๔. ๓๒ ส.ํ ม. (บาลี) ๑๙/๕๐-๕๔/๒๓, สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๕๐-๕๔/๔๔.

การพัฒนาทักษะการคดิ เชิงกลยุทธ์สาํ หรับครู ๖๕ แม้คําสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้า ท่ีปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฏกรวม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์ กส็ รปุ ลงในความไมป่ ระมาท ทง้ั ในมหาปรินพิ พานสตู ร พระพุทธองค์ทรงตรัสไวว้ า่ “พวกเธอจงอย่าประมาท มีสติ มีศีลบริสุทธ์ิ มีความดําริมันคงดี รักษาจิตของตนไว้ ผูท้ ่ไี ม่ประมาทอย่ใู น ธรรมวินยั น้ี ละการเวียนวา่ ยตายเกดิ แลว้ จักทาํ ทสี่ ดุ แหง่ ทกุ ขไ์ ด”้ ๓๓ และในขณะที่จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระพุทธองค์ก็ทรงมีพระเมตตาตรัสย้ําถึง สติหรือ ความไม่ประมาท ด้วยพระวาจาอันมีในคร้ังสุดท้ายว่า “ภิกษุท้ังหลาย บัดนี้เราขอเตือน เธอทั้งหลาย สังขารท้ังหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงทําหน้าที่ให้สําเร็จด้วย ความไม่ประมาท เถิด”๓๔ จะเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงความสําคัญของสติ ด้วยการย่อคําสอน ที่ทรงประกาศตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา ลงในบทความไม่ประมาทเพียงบทเดียว ความไม่ประมาท หรือการมีสติ จึงมีความสําคัญมากท่ีสุด ต่อการดําเนินชีวิตของพุทธบริษัท เพ่ือ เป็นมรรคาในการเดิน ตามรอยบาทแห่งพระศาสดา เพ่ือความเจริญรุ่งเรืองไพบูลย์และผาสุก จนกว่าจะเข้าถึงความพ้นทุกข์ กลา่ วคือ พระนิพพาน นอกจากน้ัน การเจริญสติ หรือการดํารงตนอยู่ในความไม่ประมาท ยังมีความสําคัญ จําเป็นใน ฐานะที่ช่วยสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา ให้ดํารงอยู่ได้อย่างแท้จริง เพราะว่าความเจริญ งอกงามแห่ง พุทธธรรม หรือว่าการหย่ังรากฝังลึกแห่งพุทธศาสนาท่ีย่ิงใหญ่ คือการหยั่งรากฝังลึก ในจิตใจของมวล มนุษย์ ดังพระพุทธพจน์ว่า “เราไม่เห็นธรรมอื่นแม้อย่างหน่ึง ที่เป็นไปเพื่อ ความดํารงมัน ไม่เส่ือมสูญ ไม่หายไปแห่งสัทธรรม เหมือนความไม่ประมาทนี้ ความไม่ประมาทย่อมเป็นไปเพื่อความดํารงม่ัน ไม่เสื่อมสญู ไม่หายไปแห่งสัทธรรม”๓๕ ตรงกันขา้ ม หากผู้คนดาํ รงตนอย่างประมาทมัวเมา ไม่น้อมใจเข้า มาศึกษาพระสัทธรรมและฝึกปฏิบัติอย่าง จริงจัง ย่อมทําให้ขาดความเข้าใจ ไม่ลึกซึ้งในพระธรรมคํา สอน ทําให้ไม่เห็นคุณค่า ไม่ก่อให้เกิด ศรัทธา ไม่นํามาซ่ึงความเคารพ และเม่ือผู้คนไม่ศรัทธา ไม่เคารพ ในสง่ิ ใด สิ่งนัน้ ก็จะหมด ความหมายไป แม้สิง่ นั้นจะดงี ามแคไ่ หนก็ตาม ดังน้ัน การเจริญสติน้ีเองท่ีจะทําให้ผู้ปฏิบัติหรือพุทธบริษัทได้เกิดความเข้าใจเข้าถึง แก่นธรรม นอ้ มนาํ ให้เกิดเหน็ คุณค่าของคําสอนในทางพระพุทธศาสนา ทําให้เกดิ ศรัทธาความ เชื่อมั่นอย่างม่ันคงว่า วถิ ที างแห่งพุทธธรรมคอื วถิ ที างแห่งชวี ิต การดาํ รงชีวิตอยา่ งมสี ติทกุ ขณะ คือชีวิตท่เี ปย่ี มสุขและเบิกบาน อย่างแท้จริง ๓๓ ท.ี ม. (บาล)ี ๑๐/๑๘๕/๑๐๘, ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๘๕/๑๓๒. ๓๔ ท.ี ม. (บาลี) ๑๐/๒๑๘/๑๓๕, ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๑๘/๑๖๖. ๓๕ อง.ฺ เอกก. (บาล)ี ๒๐/๑๑๕/๑๘, อง.ฺ เอกก. (ไทย) ๒๐/๑๑๕/๑๘.

การพัฒนาทกั ษะการคดิ เชิงกลยุทธส์ ําหรบั ครู ๖๖ 4.5 ประเภทของการเจรญิ สติ การเจริญสติ (practising mindfulness) การเจริญจิตภาวนา (mental development or meditation) การปฏิบัตธิ รรม การบรหิ ารจติ หรอื ทรี่ ู้จักกนั ตามหลักท่ัวไปว่า การเจริญ กรรมฐาน หรือ กัมมัฏฐาน๓๖ ซ่ึงล้วนแต่หมายถึง แนวทางในการฝึกฝนอบรมพัฒนาจิต ตาม หลักคําสอนในทาง พระพุทธศาสนา ซ่ึงมีอยู่ ๒ อย่าง คือ การเจริญสมถะกรรมฐาน (concentration meditation) และ การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน (insight meditation) ดังพระพุทธ พจน์ว่า “ธรรม ๒ ประการนี้เป็นฝุาย วชิ ชา (เพื่อการสํารอกอวิชชา และทาํ ให้เกิดปญั ญาวมิ ตุ ิ) คือ ๑. สมถะ ๒, วิปัสสนา”๓๗ ในพระไตรปิฎก บาลีใช้คําว่า “วิชชาคิยธรรม” หมายถึง ธรรมอันเป็น ส่วนแห่งการรู้แจ้งสภาวธรรมตามความเป็นจริง โดยแบ่งออกเป็น ๒ อย่าง คือ สมถะ และ วิปัสสนา๓๘ และพระพุทธยังตรัสไว้อีกว่า “ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างน้ี เพ่ือความเป็นผู้ฉลาด ในการเข้าสมาบัติ เพื่อความฉลาดในการออกจากสมาบัติ ธรรม ๒ อยา่ งน้ี คือ ๑. สมถะ ๒. วปิ ัสสนา๓๙ 4.5.1 สมถกรรมฐาน คําว่า สมถะ แปลว่า สมาธิ (Concentration) หรือความสงบ (Tranquility) หมายถึง หลักหรือวิธีปฏิบัติเพื่อให้เกิดความสงบทางจิต หรือการทําจิตให้สงบเป็นสมาธิ ให้แน่วแน่ ม่ันคง๔๐ ใน พระไตรปิฎกได้อธิบายความหมายของสมถะไว้ว่า “สมถะท่ีเกิดข้ึนในสมัยน้ันเป็น ไฉน ความต้ังอยู่แห่ง จติ ความดาํ รงอยู่ ความต้ังมั่น ความไมช่ ดั ส่าย ความไม่ฟูุงซ่าน ความที จิตไม่ซัดส่ายสมถะ สมาธินทรีย์ สมาธิพละ สมั มาสมาธิ ในสมยั นัน้ น้ชี อื่ วา่ สมถะ๔๑. ดงั น้ัน การเจริญสมถกรรมฐาน (Concentration meditation) จงึ หมายถงึ การ ฝกึ อบรมจติ ให้เกดิ ความสงบจากนวิ รณ์ จนตัง้ ม่ันเปน็ สมาธถิ ึงขัน้ ได้ฌานระดบั ตา่ งๆ โดย จุดมงุ่ หมายของสมถะคือ ๓๖ คําว่า กัมมัฏฐาน รากศพั ท์เป็นภาษาบาลี แยกออกเป็น ๒ ศพั ท์ คอื กมมุ + ฐาน กมุม = การ กระทาํ หรือ การงาน ฐาน = ทต่ี ้ัง ดังมวี เิ คราะห์ศัพท์วา่ กริ ยิ า = กมุม การกระทาํ ช่อื ว่า กรรม, หรอื ตฏิ ฐิติ เอตุ ถาติ - ฐาน การ เจริญสมถะและวปิ สั สนา ย่อมต้ังอย่ใู นอารมณ์ มีกสณิ และรูปนาม เป็นต้น ฉะนนั้ อารมณ์ อันมีกสณิ รปู นาม จงึ ชือ่ ว่า ฐาน หมายถึง เปน็ ที่ตัง้ แหง่ การกระทาํ หรือการทํางานของจติ จดั เปน็ อารมณห์ รือ เปน็ อปุ กรณส์ าํ หรบั ฝึกอบรม ทางด้านจิตใจ, ในคมั ภรี ์มลู ฎกี า ทา่ นแสดงกัมมฏั ฐานไวด้ ังน้ี กมุมเมว วิเสสาธิ คมสุส ฐานนตุ ิ - กมุมฏฐาน การเจรญิ ภาวนาทงั้ ๒ อยา่ งนี้ เปน็ เหตกุ ารณ์ได้บรรลุฌาน มรรค ผล นพิ พานที่ เปน็ ธรรมพเิ ศษ ฉะนัน้ จงึ ชื่อวา่ กัมมัฏฐาน, อา้ ง ใน พระมหาไสว ญาณวีโร, คมู่ ือวปิ สั สนาจารย์ (กรุงเทพมหานคร : สาํ นักพิมพ์เลย่ี งเชียง, ๒๕๔๔), หน้า ๑๖-๑๗. ๓๗ องฺ.ทกุ . (ไทย) ๒๐/๓๒/๗๖. ๓๘ องฺ.ทุก. (บาลี) ๒๐/๓๒/๖๐. ๓๙ องฺ.ทกุ . (บาลี) ๒๐/๑๗๓/๙๐, องฺ.ทกุ . (ไทย) ๒๐/๑๗๓/๑๒๗. ๔๐ ความแนวแนหรือตั้งม่ันแหงจิตเรียกวาสมาธิ เม่ือสมาธิแนบสนิทเต็มท่ีแลว ก็จะเกิดภาวะจิตท่ี เรียกวา ฌาน ระดับข้ันตางๆ คือ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ รวมกันเรียกวา สมาบัติ ๘ ซึ่งภาวะจิตท่ีอยูในรูป ของฌานน้ัน เป็นภาวะที่ผองใส ไมมีความเศราหมองขุนมัว ไมมีสิ่งรบกวนใหสะดุดหรือติดของอยางใดๆ เรียกว่า เป็นภาวะท่ีจิตปราศจากนิวรณ และนอกจากฌานแลว สมถะยังมีผลพลอยไดที่สืบเนื่องมาจากฌานอีก คืออาจทําใหเกิดความสามารถพิเศษที่เรียกว่า อภิญญา ๕ อย่าง ไดแก แสดงฤทธิ์ได อ่านใจคนอื่นได ระลึกชาติ ได และมหี ทู ิพยตาทิพย, อางใน พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต), พทุ ธธรรม ฉบับปรับปรุงขยายความ,พิมพ์คร้ังที่ ๑๑, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์บรษิ ทั สหธรรมิก จํากดั ), ๒๕๔๙,หนา ๓๐๕. ๔๑ อภิ.สง.ฺ (บาล)ี ๓๔/๕๔/๓๐, อภ.ิ สงฺ. (ไทย) ๓๔/๕๔/๓๖.

การพัฒนาทกั ษะการคดิ เชิงกลยุทธ์สําหรบั ครู ๖๗ สมาธิ “หลกั การของสมถะ คือ กาํ หนดใจไวก้ บั สิง่ ใดส่งิ หน่ึง ที่เรยี กว่า อารมณ์) ใหแ้ นว่ แนจ่ นจติ นอ้ มดงิ่ อยู่ในสิ่งนัน้ สงิ่ เดยี ว๔๒ ธรรมที่เป็นอารมณ์ของสมถะ หรือธรรมอันเป็นฐานที่ตั้ง ท่ีเกิดของการเจริญสมถกรรมฐาน ในคัมภีร์วิมุตติมรรคของพระอุปติสสเถระท่านได้แบ่งอารมณ์ของ สมถกรรมฐานไว้ ๓๘ ประการ ดังนี้ (๑) กสณิ ๑๐ (๒) อสุภะ ๑๐ (๓) อนุสสติ ๑๐ (๔) อปั ปมญั ญา(พรหมวิหาร) (๕) อาหาเรปฏิบูลสญั ญา ๑ (6) จตธุ าตวุ ฏั ฐาน ๑ (7) อากญิ จญั ญายตนะ ๑ (๘) เนวสัญญานา สญั ญายตนะ ๑ ส่วนในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ของพระพุทธโฆษาจารย์ได้จําแนกอารมณ์สมถกรรม ฐานไว้ทั้งหมด ๔๐ ประการ๔๓ โดยเพ่ิมอากาสานัญจายตนะ ๑ และวิญญานัญจายตนะ ๑ ดังนนั้ ในการปฏิบัตสิ มถกรรมฐานนีจ้ ะถือเอาสิง่ ใดสิ่งหนง่ึ เปน็ อารมณ์กไ็ ดใ้ นบรรดา กรรมฐาน ๔๐ ซึ่งตอ้ งขึน้ อยูท่ จี่ ริตของแตล่ ะคน เช่น คนทีม่ ีโทสจรติ พระวิปัสสนาจารย์จะแนะนํา ให้เจริญพรหม วิหาร ๔ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ เมตตาพรหมวหิ าร ถ้ามีราคะจริตท่านจะแนะนําให้เจริญ อสภุ กรรมฐาน เปน็ ต้น 4.5.2 วปิ สั สนากรรมฐาน วิปัสสนา๔๔ (Insight) แปลว่า การเห็นแจ้ง หรือวิธีทําให้เกิดการเห็นแจ้ง รู้แจ้ง เห็นจริง หมายความว่าการฝึกฝนอบรมจิตให้มีปัญญา เกิดความเห็นแจ้งรู้ชัดในสิ่งท้ังหลาย ตรงต่อ สภาวะของมัน คือให้เข้าใจส่ิงท้ังหลายท้ังปวงตรงตามความเป็นจริง ในพระอภิธรรมปิฎกได้ อธิบาย ความหมายของวปิ ัสสนาไวว้ า่ วิปัสสนาที่เกิดขึ้นในสมัยน้ัน เป็นไฉน ปัญญา กริยาที่รู้ชัด การวิจัย ความเลือกสรร ความวิจัย ธรรม ความกําหนดหมาย ความเข้าไปกําหนดความเข้าไปกําหนดเฉพาะ ภาวะท่ีรู้ ภาวะที่ฉลาด ภาวะ ท่ีรู้ละเอียด ความรู้อย่างแจ่มแจ้ง ความคิดค้น ความใคร่ครวญ ปัญญาดุจแผ่นดิน ปัญญาเป็นเครื่อง ทําลายกเิ ลส ปญั ญาเป็นเครอ่ื งนําทาง ความเห็นแจ้ง ความรู้ดี...แสงสว่างคือปัญญา ความไม่หลงงมงาย สมั มาทิฏฐิ ในสมัยน้ัน นช้ี ื่อวา่ วปิ สั สนา๔๕ ดังน้ัน การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน (Insight meditation) หมายถึง การฝึกฝนอบรม จิตให้มี สตสิ ัมปชัญญะจนเกิดปญั ญาญาณ รูแ้ จ้งเหน็ แจ้งในสิ่งท้ังหลายตามความเป็นจริง กล่าวคือ การเห็นแจ้ง ในขันธ์ ๕ หรือรูปนาม ท่ีมาปรากฏทางทวารท้ัง ๖ โดยความเป็นไตรลักษณ์ ว่าไม่ เที่ยง ไม่ทน ไม่ใช่ ๔๒ พระพรหมคณุ าภรณ (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พทุ ธธรรม ฉบบั ปรบั ปรงุ ขยายความ, พิมพค์ รั้งที่ ๑๑, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์บริษทั สหธรรมิก จาํ กัด), ๒๕๔๙, หนา ๓๐๕. ๔๓ วิสทุ ธฺ ิ (ไทย) ๔๗/๑๘๒-๑๘๕. ๔๔ คําว่า วปิ สั สนา รากศัพท์เป็นภาษาบาลี จําแนกออกได้เป็น ๒ ศัพท์ คือ วิปสุส, วิ เป็นคํา อุปสัค แปลว่า “วิเศษ แจ้ง ต่าง”, ทิส ธาตุ แปลว่า “เห็น\" แปลง ทิส เป็น ๒ รูป คือ ทุกข และ ปสุส ประกอบกันด้วยปัจจัยและ วิภัตติเป็น ปสุสนา แปลว่า การเห็น โดยวิเศษ การเห็นแจ้ง การเห็นด้วยอาการต่างๆ หรืออาการหลายอย่าง ท้ังมี วิเคราะห์ศัพท์ว่า “วิเสเสน ปสุสตีติ = วิปสุสนา\" แปลว่า ธรรมชาติใดย่อมเห็นแจ้ง เป็นพิเศษ ฉะน้ัน ธรรมชาตินั้น ชอื่ วา่ วปิ สุสนา, พระมหาไสว ญาณวโี ร, คมู่ ือวิปสั สนาจารย์, หน้า ๒๕. ๔๕ อภสิ ง (บาลี) ๓๔/๕๕/๓๐, อภิสง (ไทย) ๒๔/๕๕/๓๖-๓๓.

การพัฒนาทักษะการคดิ เชิงกลยทุ ธ์สําหรบั ครู ๖๘ ตัวตน เรา เขา จนถอดถอนรากเหง้าของอวิชชา ความหลงผิด รู้ผิด ความยืด ติดในส่ิงท้ังหลายออกไป จากจติ ได้ นนั่ คอื การน้อมนาํ จิตเขา้ สวู่ มิ ุตต”ิ ๔๖ คือความหลดุ พน้ เป็น อิสระทีแ่ ท้จรงิ ส่วนธรรมอนั เปน็ อารมณ์ของวิปัสสนา หรอื ธรรมอันเป็นฐานท่ีตั้ง ที่เกิดของการ เจริญวิปัสสนา กรรมฐานน้ัน พระพุทธโฆษาจารย์ได้แสดงไว้ในคัมภีร์ปกรณ์วิสุทธิมรรคว่า “จําแนกออกเป็น ๖ หมวด เรียกว่าวิปัสสนาภูมิ 6 ได้แก่ ขันธ์ ๕, อายตน ๑๒, ธาตุ ๑๘, อินทรีย์ ๒๒, อริยสัจ ๔, ปฏิจจสมุปบาท ๑๒๔๗ เมื่อย่อลงแล้วเหลือเพียง ๒ อย่าง ได้แก่ รูปธรรมและนามธรรม หรือที่เรียกว่ารูปกับนาม กล่าวคือกายกับใจน้นั เอง กลา่ วโดยสรปุ จดุ มงุ่ หมายของสมถะตามหลกั พระพทุ ธศาสนาก็คือ ฌานหรือการ สร้างสมาธิ เพ่ือเป็นบาทฐานในการยกจิตขน้ึ สู่วปิ ัสสนา\"๔๘ สว่ นจดุ มุ่งหมายของวิปสั สนา ก็คือ จุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา นั้นคือการได้ญาณ๔๙ \"หรือวิชชา อันนําไปสู่วิมุตติ คือ การ หลุดพ้น โดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจากอาสวะกิเลสท้ังหลาย หรือการดับกิเลสดับทุกข์ทั้งปวงได้อย่าง สิ้นเชิง แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ก็ทรงใช้การเจริญสติปัฏฐาน ๔ ท่ีมี วิปัสสนาเปน็ สาระสาํ คญั เพ่อื การตรัสรู้ ๔๕๐ อย่างไรก็ตาม ถึงสมถกรรมฐานกับวิปัสสนากรรมฐานจะมีจุดมุ่งหมายท่ีต่างกัน แต่ การปฏิบัติ เพ่ือให้บรรลุถึงจุดหมายสูงสุดในทางพระพุทธศาสนา จําเป็นต้องอาศัยทั้งสองอย่างเป็น เครื่องช่วย เก้อื กูลสนับสนุนซ่ึงกันและกัน กล่าวคือ เบื้องต้นอาจเจริญสมถกรรมฐานให้จิตสงบ ตั้ง มั่นแน่วแน่ก่อน แลว้ คอ่ ยเจริญวิปัสสนากรรมฐานกไ็ ด้ หรอื อาจเจรญิ วิปัสสนากรรมฐานนําก่อน แล้วค่อยเจริญสมถกรรม ฐานก็ได้ หรืออาจเจริญทั้งสมถะและวิปัสสนากรรมฐานควบคู่กันไปก็ได้ แต่เมื่อถึงข้ันท่ีจะละกิเลสให้ได้ ทั้งสมถะและวิปัสสนาก็จะมารวมกันให้เกิดเป็นพลังแห่ง สติปัญญา เพื่อแผดเผากิเลสตัณหาให้หมดส้ิน ไป ดงั พระอานนทไ์ ด้กลา่ วถงึ ความเชือ่ มโยง สมั พันธข์ องการเจรญิ สมถะและวปิ สั สนาไว้วา่ “ภกิ ษใุ นธรรมวินยั นี้ เมื่อเธอเจริญวปิ สั สนาอนั มสี มถะนาํ หนา้ มรรคยอ่ มเกิด เธอเสพ เจริญ ทํา ให้มากซึ่งมรรค เม่ือเธอเสพ เจริญ ทําให้มากซึ่งมรรคนั้นอยู่ ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสัยท้ังหลายย่อม ๔๖ คําว่า วมิ ตุ ิ มชี อื่ เรยี กอีกอยา่ งว่า สมุจเฉวมิ ุตติ หรอื สมจุ เฉทวมิ ตุ ติ แปลว่า ดับกเิ ลส หรอื หลุดพ้น โดยเดด็ ขาด, พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต), พทุ ธธรรม ฉบบั ปรับปรุงขยายความ, หนา้ ๓๐๖. ๔๗ วสิ ุทธ์ิ (ไทย) ๘๓๑/๒๘๑. ๔๘ สมาธทิ ป่ี ระเสรฐิ ท่ีสุดกค็ ือสมาธทิ ชี่ ่วยใหต้ รัสรู้ หรอื สมาธิท่ชี ่วยให้เกดิ ปญั ญากาํ จดั กิเลสและ หลุดพน้ ได้ เรยี กวา่ สมาธิทเ่ี ปน็ องค์แห่งมรรค หรอื สมาธใิ นมรรค มรรคสมาธ)ิ หรือเรยี กชอื่ อยา่ งพเิ ศษว่า อานันตรกิ สมาธิ แปลวา่ สมาธิท่ีให้ผลตอ่ เนอื่ งไปทนั ที คอื ทาํ ให้บรรลุอรยิ ผลทนั ที ไมม่ ีอะไรคน่ั หรอื แทรก ระหวา่ งได้ สมาธชิ นดิ น้ีพระพทุ ธองค์ ทรงสรรเสรญิ วา่ ไม่มสี มาธิอ่ืนเทยี บเทา่ , ขุ.ข. ๒๕/๒/๖, ข.ส. ๒๕/๓๑๔) ๓๖๘, อ้างใน พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยตุ โต), พทุ ธธรรม ฉบับปรบั ปรงุ ขยายความ, พิมพค์ รั้งที่ ๑๑, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพบ์ ริษัท สหธรรมกิ จาํ กดั ), ๒๕๔๙, หน้า ๓๐๗. ๔๙ ญาณ หมายถึง ความรู้, ปรีชาหยั่งรู้หรือกําหนดรู้ด้วยอํานาจการบําเพ็ญวิปัสสนา คําว่า ญาณ ใน ความหมายเฉพาะท่ีเป็นการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เรียกว่า โพธิญาณ หรือสัมมาสัมโพธิญาณ มี ๓ อย่าง คือ (๑) ปุพเพนวิ าสานุสสติญาณ ความรู้แจ้งเป็นเหตุให้กับอุปาทานความคิดในอดีตได้, (๒) จุตูปปาตญาณ ความรู้แจ้งในการ เห็นความเกดิ ดับไปของอวชิ ชา การเกดิ ข้นึ ของวิชชาและการอุบัติของสัตว์โลก, (๓) อาสวักขยญาณ ความรู้แจ้งในการ ทําลายอาสวะกเิ ลสให้หมดส้นิ ไป ๕๐ ม.ม. (บาล)ี ๑๓/๑-๓/๓-๔), ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒-๓/-๔.

การพัฒนาทกั ษะการคดิ เชงิ กลยทุ ธส์ าํ หรับครู ๖๙ ส้ินสดุ ไป... เมือ่ เธอเจริญสมถะอันมีวิปัสสนานาํ หน้าอยู.่ ..ยอ่ มละสังโยชน์ได้ อนสุ ยั ทง้ั หลายย่อมส้ินสุดไป ... เม่อื เธอเจริญสมถะและวปิ ัสสนาควบคูก่ ัน ย่อมละสังโยชน์ได้ อนุสยั ทงั้ หลายย่อมสิน้ สุดไป๕๑ สรุปความว่า ในการปฏิบัติเพ่ือความพ้นทุกข์น้ัน จะอาศัยหลักสมถะหรือวิปัสสนา ก่อนก็ได้ หรืออาศัยทั้งสองหลักไปพร้อมๆ กันก็ได้ แต่การฝึกอบรมจิตเพ่ือให้ถึงที่สุดแห่งความ ทุกข์อย่างแท้จริง น้ัน สามารถยึดแนวทางการเจริญสติในสติปัฏฐาน ๔ อย่างเดียวก็ได้ เพราะว่าสติ ปัฏฐาน ๔ มีมิติท่ี ครอบคลุมทั้งสมถะ และวิปัสสนาอย่างพร้อมสรรพ แต่สาระสําคัญท่ีสุดของการเจริญสติปัฏฐาน ๔ คือ วิปสั สนา น่นั เพราะว่าวัฒนธรรมแหง่ การเจรญิ สมถะกรรมฐานน้นั รงุ่ เร่อื ง ขจรมีมาก่อนคร้ังพุทธกาล แต่ วัฒนธรรมแห่งการต่ืนรู้หรือตัววิปัสสนาญาณเท่าน้ัน ท่ีทําให้กําเนิด พระพุทธศาสนา และเป็นมรรคา ปฏบิ ัติเพ่ือกาํ จัดทุกข์ ดบั ทกุ ขไ์ ด้อย่างแท้จรงิ 4.5 ทฤษฎกี ารเจรญิ สติตามหลกั สตปิ ฏั ฐาน ๔ 4.๕.๑ ความหมายของสตปิ ฏั ฐาน พระพรหมคุณาภรณ์๕๒ กล่าวไว้ว่า สติ แปลว่า ธรรมชาติเคร่ืองระลึกหรือความเอาใจใส่ ไม่ ประมาทไม่เผลอ กําหนดรู้ส่ิง ท้ังหลายตามความเป็นจริง, ปัฏฐาน แปลว่า ที่ต้ัง หรือที่กําหนด ดังน้ัน สติปฏั ฐาน จงึ แปลวา่ ที่ต้ังอยู่ของสติ โดยนยั คือการมีสติกํากับอยู่เสมอ โดยหลักการคือการตั้งสติ หรือ ใช้สติกําหนดรู้ในฐานท้ัง ๔ คือ กาย เวทนา จิต และสภาวะธรรม ให้รู้เท่าทันตามความ เป็นจริงว่า สัก แตว่ ่าเป็นสิ่งน้ันๆ ไม่ใชส่ ตั ว์ บคุ คล ตวั ตน เราเขา อู ปณั ฑติ าภิวังสะ พระวปิ สั สนาจารย์แหง่ สหภาพเมยี นม่า กลา่ วไว้ว่า สตปิ ฏั ฐานเปน็ คาํ ผสมมา จากภาษาบาลี ๒ คํา คือ สติปัฏฐาน หรอื สต+ิ ป+(ฎ) ฐาน รากศพั ทม์ าจากคาํ ว่า สสรติ ซงึ่ แปลวา่ การจํา แตเ่ มื่อกล่าวโดยนยั ของจติ เจตสกิ สติ หมายถึง การระลกึ ได้ในอารมณ์ การจดจอ่ อยู่กบั ปัจจุบัน การระลึกรู้ ความต่ืนตัวทั่ว พร้อม และความใสใ่ จไมป่ ระมาท, ปฏั ฐาน แปลวา่ การสร้างขน้ึ การนาํ มาใช้ การทาํ ให้ ปรากฏขนึ้ และต้ังอยู่อย่างแนบแน่นมั่นคง เม่ือรวมทัง้ สองคําเขา้ ด้วยกนั แลว้ จึงเปน็ สติ ปัฏ ฐาน หมายถงึ การทําให้สติเกิดขน้ึ และดาํ รงอยู่อย่างแนบแน่นมั่นคง และแนบสนิทกับ อารมณท์ ่ีกําลงั กําหนดอยู่๕๓ ในคัมภีรว์ สิ ทุ ธมิ รรคแสดงไว้วา่ “สติ เยว ปฏฐาน = สติปฏฐาน แปลว่า สติน้ันเอง เป็นท่ีต้ัง ชื่อ วา่ สติปฏั ฐาน ดังน้ัน สตปิ ัฏฐาน หมายถงึ การต้งั แห่งสติ การระลึกรู้ทนั รปู นาม หรือขนั ธ์ ๕ อันเป็นฐาน ท่ีจะก้าวไปสูน่ ิพพาน๕๔ ๕๑ อ.จตกุ ก. (บาล)ี ๒๓/๑๗๐/๑๗๕, อง.จตุกก. (ไทย) ๒๑/๑๗๐/๒๓๒๗-๒๒๓๘. ๕๒ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต), พุทธธรรม ฉบบั ปรับปรงุ ขยายความ, พิมพค์ ร้ังที่ ๑๑, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์บริษทั สหธรรมิก จาํ กดั ), ๒๕๔๙, หน้า ๘๑๐. ๕๓ พระมหาไสว ญาณวโี ร, คมู่ อื วปิ สั สนาจารย,์ (กรุงเทพมหานคร : สาํ นักพมิ พ เลีย่ งเชียง, ๒๕๔๙), หน้า ๔๕-๕๐. ๕๔ พระมหาไสว ญาณวโี ร, คมู่ อื วปิ สั สนาจารย,์ หนา้ ๔๕-๕๐.

การพฒั นาทกั ษะการคดิ เชิงกลยุทธ์สําหรับครู ๗๐ พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาคอ)๕๕ พระมหาเถระฝุายวปิ ัสสนาแห่งสหภาพเมียนม่า อีกท่าน หนึ่ง ได้กล่าวถึงความหมายของสติปัฏฐานไว้ว่า “สติปัฏฐาน มาจาก สติ คือ การระลึกรู้ ปัฏฐาน คือ เขา้ ไปตงั้ ไว้ สตปิ ัฏฐาน จึงหมายถึง การระลึกรู้ท่ีเข้าไปตั้งไว้ในกองรูป(กาย) เวทนา จิต และสภาวธรรม อกี นัยหนงึ่ หมายถงึ การระลึกรอู้ ยา่ งมัน่ คงในกาย เวทนา จิต และ สภาวธรรม สรปุ ความวา่ สตปิ ฏั ฐาน ๔ (Four foundation of mindfulness) แปลวา่ ทตี่ ง้ั ของสติ ฐานใน การกําหนดรหู้ รือในการระลึกรู้ของสติ ๔ อยา่ ง หรือกลา่ วอีกนยั หนึ่ง คอื การมีสติกาํ หนด รู้ในรูปนาม หรือในฐานทั้ง ๔ ได้แก่ กาย (body) เวทนา (feeling) จิต (mind) และธรรม (mindobjects) ดงั น้ัน การฝกึ เจริญสตปิ ฏั ฐาน จงึ เป็นการใชส้ ติหรือนาํ จติ ไปกําหนดรู้ กาย เวทนา จิต และสภาวธรรม หรือ กําหนดรู้ในทุกอริ ิยาบถที่กําลังกระทําในปัจจุบัน ร้ทู นั อารมณ์ตา่ ง ๆ ท่ีบังเกดิ ขน้ึ อยเู่ นือง ๆ เพื่อพนิ ิจ พจิ ารณาให้รู้แจง้ ในรูปนามตามความเป็นจรงิ \\ 4.6 การเจรญิ สตติ ามหลกั สติปฏั ฐาน ๔ 4.6.1 กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน คําว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน แปลว่า ท่ีตั้งของสติในการกําหนดพิจารณากาย หรือ การมสี ตกิ าํ หนดพจิ ารณาตามดูกายเนือง ๆ ซ่ึงคําว่า รูปกาย กล่าวโดยนัยแห่งพระสูตร หมายถึง ที่รวม แห่งอาการ ๓๒ มีผม เล็บ ฟัน เป็นต้น มีมันสมองในกะโหลกศีรษะเป็นท่ีสุด เม่ือกล่าว โดยนัยแห่ง อภิธรรม ได้แก่ มหาภูตรูป ๔ และอุปาทายรูป ๒๔ เมื่อกล่าวโดยขันธ์ ได้แก่ รูป ขันธ์ โดยในหมวด กายานปุ สั สนาสตปิ ัฏฐาน ไดแ้ บ่งกายออกเปน็ ๖ หมวด ดังนี้ ๑. อานาปานปัพพะ วา่ ดว้ ยการพจิ ารณาลมหายใจ เขา้ ออก”๕๖ การเจริญอานาปานปพั พะ หรือการเจรญิ อานาปานสติกรรมฐาน คือ การเจริญสติโดย การใช้สติระลกึ ร้ใู นลมหายใจเข้า ลมหายใจออก โดยมหี ลักปฏบิ ตั ดิ งั น้ี เมื่อหายใจเข้ายาว ก็ร้ชู ัดวา่ เราหายใจเขา้ ยาว เมื่อหายใจออกยาว กร็ ูช้ ัดวา่ เราหายใจออกยาว เม่อื หายใจเข้าส้น กร็ ชู้ ัดว่า เราหายใจเขา้ ส้นั เมือ่ หายใจออกสั้น ก็ร้ชู ัดว่า เราหายใจออกส้ัน สาํ เหนยี ก๕๗วา่ เรากาํ หนดรกู้ องลมท้ังปวง หายใจเขา้ สาํ เหนียกวา่ เรากําหนดรู้กองลมท้งั ปวง หายใจออก สาํ เหนยี กวา่ เราระงบั กายสังขาร หายใจเขา้ ๕๕ พระโสภณมหาเถระ (มหาสสี ยาดอ, มหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร, แปลและเรียบเรยี งโดย พระคนั ธสาราภิวงศ์, พมิ พ์คร้งั ที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : ห้างห้นุ ส่วนจํากดั ไทยรายวันการพิมพ์, ๒๕๔๕.) หน้า ๒๔. ๕๖ ท.ี ม. (บาล)ี ๑๐/๓๔/๒๘๘-๒๔๕, ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๖๘/๓๐๒-๓๐๓. ดูเนอ้ื ความมหาสติ ปัฏฐานสูตรได้ เชน่ กันใน ม.ม. (บาล)ี ๑๒/๓๐๕-๑๓๔/๗๗-๕๓, ม.ม. (ไทย) ๑๒/๑๐๕-๑๓๘/๑๐๑-๑๓๑. ๕๗ คําว่า สําเหนียก หมายถงึ จดจํา คอยเอาใจใส่ กาํ หนดรู้ ใส่ใจคดิ ทจ่ี ะนาํ ไปปฏบิ ตั ิ ใสใ่ จ สงั เกตพจิ ารณา จบั เอาสาระ เพ่อื จะนาํ ไปปฏบิ ัตใิ ห้สาํ เร็จประโยชน,์ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยตุ โต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบบั ประมวลศพั ท์, พมิ พ์ครง้ั ที่ ๑๓, หน้า ๓๓๘.

การพฒั นาทักษะการคดิ เชิงกลยุทธ์สาํ หรับครู ๗๑ สําเหนยี กว่า เราระงับกายสงั ขาร”๕๘ หายใจออก การเจริญสติกําหนดรู้ลมหายใจเข้า ออก โดยนัยท้ัง ๔ นี้ พระพุทธองค์ทรงอุปมาว่า “เหมือน การที่ช่างกลึง หรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้เช่ียวชาญ เม่ือชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่า เรา ชักเชือกกลึง ยาว หรือเมื่อชักเชือกกลึงสัน ก็รู้ชัดว่า เราชักเชือกกลึงสั้น”๕๙ หมายถึงให้มีสติรู้ เฉพาะไม้กลึงกับคม ปลายจิ๋วเท่าน้ัน ในขณะเดียวกันนี้ การชักเชือกยาวหรือสั้นก็รู้ได้ ฉันใด ผู้ เจริญอานาปานสติก็รู้ได้ ฉันนั้น คือไม่ได้บังคับให้ลมหายใจส้ัน หรือบังคับให้ลมหายใจยาว เพียงแต่กําหนดรู้หรือเพียงระลึกรู้ ตามอาการทีม่ ันส้ันหรือยาวเทา่ นนั้ และคุณูปการที่สําคัญอย่างหนึ่งของลมหายใจ ก็คือเป็นส่ิงท่ีอยู่กับตัวเราตลอดเวลา เราจึง สามารถฝึกเจริญสติโดยใช้ลมหายใจเป็นอุปกรณ์ในการฝึกจิตได้ทุกเวลา ทุกโอกาส แม้ในระยะเวลา เพียงสั้นๆ ก็สามารถช่วยให้ผู้ปฏิบัติได้สัมผัสกับความสงบและผ่อนคลายได้ นอกจากนี้ ในหมวดอานา ปานสติ ยังได้แสดงครอบคลุมท้ัง ๔ หมวด คือ กาย เวทนา จิต และธรรม ไว้ใน อานาปานสติสูตรอีก ดว้ ย ซงึ่ จะไดก้ ลา่ วถึงในลําดับตอ่ ไป ๒. อริ ยิ าบถปพั พะ วา่ ดว้ ยการกําหนดร้กู ายในอริ ิยาบถใหญ่ทง้ั 4 การเจริญสติปัฏฐานด้วยวิธีกําหนดรู้อิริยาบถหลักใหญ่ ๔ อย่าง คือ การยืน การเดิน การนั่ง และการนอน กล่าวคือเมือกายกําลังเคลื่อนไหว หรือหยุดอยู่ในอาการอย่างไร ก็ให้รู้ชัด ใน อาการอย่างนั้น ๆ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ดังท่ีพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “ภิกษุท้ังหลาย ภิกษุเมื่อเดิน ก็รู้ชัดว่า เราเดิน เมือยืน ก็รู้ชัดว่า เรายืน เม่ือน่ึง ก็รู้ชัดว่า เรานั่ง หรือเมื่อนอน ก็รู้ชัดว่า เรานอน เม่ือดํารงกายอยโู่ ดยอาการใด ๆ กร็ ู้ชดั กาย ทด่ี ํารงอย่โู ดยอาการนั้น ๆ”๖๐ การยืน เดิน นั่ง นอนเป็นอาการที่มนุษย์และสัตว์เดรัจฉานน้ัน ได้กระทําอยู่ทั่วไป ในทกุ ๆ วัน เชน่ ในขณะเดินกร็ อู้ ยู่วา่ เดนิ ไม่ได้เผลอละเมอลุกขึ้นมาเดินก็จริงอยู่ แต่ถ้าเป็นการ เดินไป กับความเคยชินท่ีชนชาต่อความรู้สึกตัวที่แท้ หรือเป็นการเคล่ือนไหวไปกับความรู้สึกใน ระดับ สัญชาตญาณของการรักตัวกลัวตาย ท่ีประกอบไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนของตนอยู่ ลักษณะ อาการเช่นน้ีไม่จดั ว่าเป็นการเจรญิ สติปัฏฐานในหมวดอิรยิ าปัพพะ แต่การเคลื่อนไหวที่จัดว่าเป็นการเคล่ือนไหวแห่งสตินั้น ต้องประกอบไปด้วยการ กําหนดรู้หรือจิตที่ต่ืนรู้จากภายในจริง ๆ จึงจัดว่าการเจริญสติปัฏฐานในอิริยาบถใหญ่ท้ัง ๔ ดังที่ พระพุทธองค์ทรงเน้นยํ้าก็คือ “เมื่อกายดํารงอยู่ในอาการใดๆ ก็รู้ชัดท่ีกายดํารงอยู่ในอาการนั้น ๆ\" เพยี งแคเ่ ฝาู ดูอยเู่ นอื ง ๆ เพียงแคร่ ะลกึ รู้ในกายท่ีเคล่ือนไหวว่าสักเพียงแต่ว่าเป็นอาการของรูป หรือเป็น เพียงธาตุดิน นาํ้ ลม ไฟ เท่าน้ัน อย่าให้ความรู้สึกสําคัญผิดว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เกิดขึ้นใน จติ ได้ เม่อื ผ้ปู ฏิบตั มิ สี ตสิ มั ปชญั ญะกําหนดรอู้ ิรยิ าบถดว้ ยความรู้เท่าทันการเคลื่อนไหวหลัก ๆ ของกายจนชํานาญแล้ว เท่ากับเป็นการสร้างพื้นฐานเตรียมพร้อมที่จะกําหนดอิริยาบถย่อย และ ช่วย เกื้อกูลให้กําหนดในหมวดอ่ืน ๆ ได้ง่ายยิ่งข้ึน และช่วยเกื้อหนุนเพ่ือให้เกิดวิปัสสนาญาณ คือ ปัญญารู้ ๕๘ กายสงั ขาร หมายถงึ สภาพท่ปี รงุ แต่งร่างกาย การระงับกายสงั ขารในหมวดลมหายใจเขา้ ออก นี้ จึงเน้นที่ การผอ่ นลมหายใจใหล้ ะเอยี ดขึ้น, วิสุทธ.ิ (ไทย) ๒๒๒๑/๘๕๑-๕๕๓ ๕๙ ที.ม. (บาล)ี ๑๐/๓๙๔/๒๘๕, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๔๗๘/๓๐๓ ๖๐ ที.ม. (บาล)ี ๑/๓๗๕/๒๕๕-๒๓๕๐, ท.่ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๕/305.

การพัฒนาทักษะการคดิ เชิงกลยทุ ธ์สําหรบั ครู ๗๒ เห็นตามความเป็นจริงของอิริยาบถ ว่าไม่เที่ยงแท้แน่นอน คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ไม่ เป็นไปด่ังใจใคร ไมม่ ีตัวตน ไมใ่ ชส่ ัตว์ บคุ คล เรา เขา แต่อยา่ งใด ๓. สมั ปชญั ญะปพั พะ วา่ ด้วยการกาํ หนดรใู้ นอริ ยิ าบถย่อยต่าง ๆ การเจรญิ สตปิ ัฏฐานด้วยการกําหนดรู้ในอิรยิ าบถย่อยต่าง ๆ คือ ให้ฝกึ สตโิ ดยการใช้ สติสัมปชญั ญะกําหนดรตู้ วั ทัว่ พร้อม ในทุกกจิ กรรมท่ีกําลังกระทํา ในการเคล่ือนไหวทกุ อยา่ ง รวมทัง้ การ หยุดอยูใ่ นปจั จบุ นั ขณะ ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้วา่ “ภิกษุทําความรู้สึกตัวในการก้าวไป การถอยกลับ ทําความรู้สึกตัวในการแลดู การ เหลียวดู ทําความรู้สึกตัวในการเข้า การเหยียดออก ทําความรู้สึกตัวในการครองสังฆาฏิ บาตร และจีวร ทําความรู้สึกตัวในการฉัน การด่ืม การเคียว การลิ้ม ทําความรู้สึกตัวท่ัว พร้อมในการถ่าย อุจจาระและปสั สาวะ ทาํ ความรู้สกึ ตัวในการเดิน การยืน การน่ัง การ นอน การยืน การพูด การนึ่ง โดย การมีสติปรากฏอยู่เฉพาะหน้าว่า “กายมีอยู่” ก็เพียงเพ่ือ อาศัยเจริญญาณ เจริญสติเท่านั้น ไม่อาศัย (ตณั หาและทิฏฐิ)อยู่ และไมย่ ดึ ม่นั ถือมัน่ อะไรๆ ในโลก”๖๑ จะเห็นได้ว่าการเจริญสติในสัมปชัญญปัพพะ จัดเป็นการฝึกปฏิบัติท่ีครอบคลุมทั้ง อิริยาบถใหญ่และอิริยาบถย่อย ครอบคลุมทุกอิริยาบถของกายที่กําลังเคลื่อนไหว และทุกอาการ กิริยา ของกายที่หยุดอยู่ ซึ่งเป็นการฝึกเจริญสติท่ีละเอียดลุ่มลึกมากข้ึน และสอดคล้องกับการ เคล่ือนไหวใน วิถีชีวิตประจําวัน เช่น การล้างหน้า แปรงฟัน ซักผ้า อาบน้ํา การสวมใส่เส้ือผ้า การรับประทานอาหาร เป็นต้น จึงต้องอาศัยการประคับประคองของสติอย่างชิดใกล้ หรือเพียร เฝูาดูด้วยความใส่ใจมากย่ิงขึ้น ดังที่พระพุทธองคต์ รสั อุปมาไว้วา่ มีนางชนบทกัลยาณี ผู้งดงามและชํานาญในการขับร้องฟูอนรําคนหนึ่ง ได้มาขับร้อง ฟูอนรํา แสดงแก่ฝูงชน ขณะน้ันมีบุรุษคนหนึ่งถือหม้อดินที่มีน้ํามันเต็มเปี่ยมมา และมีบุรุษ อีกคนหน่ึงถือดาบ เดนิ ตามหลงั แล้วกลา่ วว่าขอให้เธอจงเดินผ่านนางรําผู้งดงามคนนี้ จง เดินผ่านฝูงชนที่กําลังดูการแสดง น้ี โดยอย่าให้นํ้ามันในหม้อดินหก หากน้ํามันในหม้อดิน หกเพียงหยดเดียว เราจะใช้ดาบที่เอื้ออยู่ฟัน ศีรษะของเธอ... การเจริญสติก็เหมือนกับการ ถือหม้อนํ้ามัน นักปฏิบัติต้องพยายามประคองสติของตน เอาไว้ให้อยู่กับสภาวธรรมใน ปัจจุบัน เหมือนบุรุษท่ีพยายามประคองหม้อน้ํามันไม่ให้หยดลง เขาต้อง พยายามเดินอยา่ งเชื่องช้า และไมเ่ หลียวดอู ารมณ์รอบขา้ ง๖๒ จึงสรุปในหมวดนี้ได้ว่า พระพุทธองค์มีเจตนาท่ีส่ือให้ผู้ปฏิบัติได้รับรู้และเข้าใจว่า ทุกเวลาทุก นาทแี ละทกุ สถานที่ ล้วนเปน็ โอกาสแหง่ การเจริญสติ ดงั น้ัน เมื่อผูป้ ฏบิ ัติใส่ใจ กําหนดรู้ในอิริยาบถต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ไม่สําคัญผิดว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา หากแต่ รับรู้ที่บริสุทธ์ิด้วยจิตที่เป็นกลาง ยอ่ มเก้ือกูลให้เกิดปญั ญาญาณมองเห็นความไม่เทยี่ ง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาในอิริยาบถนั้นๆ ได้อย่างแจ่ม แจ้ง กลา่ วคือ การระลกึ รถู้ ึงกายทเ่ี คลอ่ื นไหว กเ็ ปน็ กญุ แจไขไปสู่ความรแู้ จง้ ได้ ๔. ปฏิกลู มนสกิ ารปัพพะ การกาํ หนดรถู้ งึ กายวา่ เปน็ ของปฏิกูล การเจริญสติปฏั ฐานด้วยการใสใ่ จพจิ ารณา หรอื มองอยา่ งลกึ ซง้ึ ด้วยสติสัมปชัญญะว่า ในรา่ งกายนเี้ ต็มไปดว้ ยสงิ่ ปฏิกลู คอื ของไม่สะอาดอยมู่ ากมาย โดยมหี ลักปฏบิ ตั ิ ดงั ท่ีพระพทุ ธ องค์ตรัส ไวว้ ่า ๖๑ ท.ี ม. (บาล)ี ๑๐/๓๗๖/ไ๒๕๐, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๒๖/๓๐๕ ๖๒ ส.ม. (บาล)ี ๑๕/๓๘๖/๓๔๗-๑๘๘, ๙.ม. (ไทย) ๑๕/๓๘๖/๒๘๓-๒๘๔,

การพฒั นาทกั ษะการคดิ เชงิ กลยทุ ธส์ าํ หรับครู ๗๓ ใหพ้ ิจารณาเหน็ กายน้ี ตงั้ แต่ฝุาเทา้ ขน้ึ ไปเบอ้ื งบน ต้ังแตป่ ลายผมลงมาเบ้ืองล่าง มีหนงั หุม้ อยรู่ อบ เต็มไปด้วยสง่ิ ไมส่ ะอาดชนิดต่าง ๆ วา่ ในกายนี้มี ผม ขน เลบ็ ฟัน หนัง เนือ้ เอน็ กระดูก เยือ ในกระดูก ไต หวั ใจ ตบั พังผดื ม้าม ปอด ลําไส้ใหญ่ ลําไส้เล็ก อาหาร ใหม่ อาหารเกา่ ดี เสลด หนอง เลือด เหง่ือ มันขน้ น้าํ ตา เปลวมัน น้าลาย น้ามกู ไข ขอ้ มูตร๖๓ นอกจากพระพุทธองค์จะชใ้ี หเ้ หน็ ของไมส่ ะอาด ไม่งาม ดูน่าเกลียดในร่างกายน้แี ลว้ พระพทุ ธองคย์ ังทรงแสดงวธิ กี ารพิจารณาอย่างลึกซ้งึ ถงึ ความสกปรกของช้ินส่วนตา่ งๆ ท่ี ประกอบเข้า มาในร่างกายน้ี ดงั พระพุทธพจนว์ า่ “ภิกษุท้ังหลาย (เปรียบเหมือน) ถุงมีปาก ๒ ข้าง เต็มไปด้วยธัญชาติชนิดต่างๆ คือ ขา้ ว สาลี ข้าวเปลอื ก ถั่วเขยี ว ถ่ัวเหลอื ง เมลด็ งา ข้าวสาร คนตาด(ี ตาไม่บอด) เปิดถุงน้ัน ออก พิจารณา เห็นว่า น้ีเป็นข้าวสาร นี้เป็นข้าวเปลือก น้ีเป็นถั่วเหลือง นี้เป็นถ่ัวเขียว นี้ เป็นเมล็ดงา นี้เป็นข้าวสาร แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน พิจารณาเห็นกายน้ี ต้ังแต่ฝุาเท้าข้ึนไปเบื้องบน ต้ังแต่ปลายผมลงมา ขา้ งล่าง มีหนงั เปน็ ท่ีสดุ รอบ เป็นไปดว้ ยของไม่ สะอาดต่าง ๆ ว่ามอี ยู่ในกายน้ี”๖๔ เหตทุ พี่ ระพุทธเจา้ ทรงสอนให้พิจารณาอยา่ งนี้ เพราะคนทั่วไปโดยส่วนมากมัก มองเห็นร่างกาย น้ีโดยภาพรวม ไม่ได้แยกมองโดยความเป็นส่วนประกอบกันขึ้นจากช้ินส่วนต่างๆ จึงเห็นแต่ความเป็น กลุ่มกอ้ นทสี่ วยงามของร่างกาย อันปรากฏเหมือนเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขาจริงๆ จนเกิดความยึด ม่ันหลงใหล ติดอยู่ในรูปกายเพียงภายนอกที่ตนมี ตนเป็น แต่การเจริญ ปฏิกูลมนสิการจะช่วยให้ผู้ ปฏิบัติ ได้มีมนสิการพิจารณาร่างกายนี้อย่างลึกซึ้งว่า เป็นท่ีรวมแห่ง อวัยวะน้อยใหญ่ซึ่งล้วนแต่เป็นส่ิง ปฏิกูลไม่น่ายินดี มีความเกิดดับ ปรับเปล่ียนอยู่ตลอดเวลา ไม่มี เจ้าของตัวตนท่ีแท้จริง ดังคําท่ีวชิรา ภกิ ษณุ ี ผเู้ ข้าถงึ ความจรงิ ในขอ้ นี้กลา่ วไวว้ า่ “กองแห่งสงั ขารล้วนๆ นี้ บณั ฑิตจะเรียกวา่ สัตว์ไมไ่ ดเ้ ลย เม่อื ขนั ธ์ท้ังหลายมอี ยู่ การสมมติว่าสัตว์ก็มีได้ (ฉันใด) เหมือนคําว่ารถมีได้ เพราะประกอบสว่ นต่าง ๆ เข้าด้วยกัน (ฉันน้ัน) อนง่ึ ทุกขเ์ ท่านนั้ เกิดข้ึน ทกุ ข์เท่านนั้ ดาํ รงอยู่และ แปรผันไป นอกจากทกุ ข์ ไม่มีสง่ิ อื่นเกิดขึ้น นอกจากทกุ ข์ ไม่มีอะไรอ่นื ดับไป”๖๕ ๕. ธาตุมนสกิ ารปพั พะ การพิจารณาถงึ รา่ งกายโดยความเป็นธาตุ การเจริญสติปฏั ฐานดว้ ยการพิจารณาถงึ ร่างกายโดยความเปน็ ธาตุ ๔๖๖ ไดแ้ ก่ ธาตุดนิ ธาตุนา้ ธาตลุ ม ธาตุไฟ อยา่ งมีสติสัมปชญั ญะ โดยมีหลักปฏบิ ตั ิ ดังที่พระพุทธองคต์ รัสไวว้ ่า “ภิกษุทั้งหลาย ให้พิจารณาเห็นกายอันต้ังอยู่ ดํารงอยู่ตามปรกติน้ี โดยความเป็นธาตุ ว่า ในกายน้ีมีธาตุดิน ธาตุน้า ธาตุไฟ ธาตุลม เปรียบเสมือนคนฆ่าโคหรือลูกมือของคนฆ่าโค ผู้มี ความชํานาญ คนฆ่าโคแล้ว แบ่งอวัยวะออกเป็นส่วน ๆ นั่งอยู่ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง (คนฆ่าวัวย่อมไม่มี ความสําคัญมั่นหมายว่าเราขายแม่วัว แต่ย่อมมีความสําคัญว่าเราขายช้ินเน้ือ) แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น ๖๓ ท.ี ม. (บาลี) ๑๐/๓๔๗๗/๒๕๑, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๑๗/๓๐๖. ๖๔ ส.ส. (บาลี) ๑๕/๑๑/๑๖๓, ส.ส. (ไทย) ๑๕/๑๗๑/๒ ๒๘. ๖๕ สํ.ส. (บาล)ี ๑๕/๑๗๑/๑๖๓, ส.ํ ส. (ไทย) ๑๕/๑๗๑/๒๒๘. ๖๖ คําวา่ ธาตุ ในท่ีน้ี หมายถงึ ส่งิ ทท่ี รงสภาวะของมนั อยเู่ องธรรมดาตามเหตุปัจจัย

การพัฒนาทักษะการคดิ เชงิ กลยทุ ธส์ ําหรับครู ๗๔ เหมือนกัน ให้พิจารณาเห็นกายนี้ตามที่ต้ังอยู่ ตามท่ีดํารงอยู่โดยความเป็นธาตุว่า ในกายนี้ [ประกอบ ขึน้ มาจากธาตุ ๔ คอื มีธาตดุ ิน ธาตุน้า ธาตไุ ฟ ธาตุลม ฉันนัน้ ”๖๗ การเจริญธาตุมนสิการสติปัฏฐานน้ี เป็นการพิจารณาหรือมองอย่างลึกซ้ึงลงไปอีก ระดับหน่ึง โดยการยกเอาช้นิ สว่ นตา่ งๆ ตามท่ีกล่าวแล้วในปฏิกูลมนสิการ นํามากําหนดแยก พิจารณาให้เห็นแจ้งรู้ จริงว่าเป็นเพียงธาตุทั้ง ๔๖๘ เท่านั้น มิใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา มีความ เกิดดับไม่คงท่ี ทนอยู่ใน สภาพเดิม ไม่ได้ ไม่มีเจ้าของตัวตนท่ีแท้จริง บังบัญชาไม่ได้ แต่ย่อม เป็นไปตามเหตุปัจจัย พิจารณา เช่นนีจ้ นทําลายความยดึ มั่น ถือมัน่ ในกายนไี้ ด้ ดงั ท่ีพระพทุ ธองค์ ทรงตรสั แก่พระราหลุ ว่า ราหุล ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ที่อยู่ภายในตัวก็ดี ภายนอกตัวก็ดี ธาตุ เหล่านั้น ก็เป็นเพียงสักแต่ว่าธาตุเท่าน้ัน จึงพิจารณาเห็นธาตุเหล่าน้ัน ด้วยปัญญาที่ถูก ต้องตามความ เป็นจริงอยา่ งน้วี า่ นั้น ไม่ใช่ของเรา น่ันไม่เป็นของเรา นั้นไม่ใช่ตัวตน ของเรา เมื่อเห็นด้วยอย่างถูกต้อง ตามความเป็นจริงเช่นนี้ จิตย่อมเบื่อหน่าย คลายกําหนัดในธาตุเหล่านั้น เพราะเหตุที่ได้พิจารณาธาตุ ๔ ว่ามิใช่ตัวตน ไม่เป็นของท่ีเกี่ยว ข้องกับตัวตน ภิกษุน้ีเราจึงกล่าวว่า ตัดตัณหาได้แล้ว รื้อถอนสังโยชน์ เสยี ได้ กระทาํ ทส่ี ดุ แหง่ ทกุ ข์ได้แลว้ เพราะละมานะไดโ้ ดยชอบ๖๙ ๖. นวสวี ิกาปพั พะ ว่าด้วยการพจิ ารณาซากศพ 5 ลักษณะ เป็นการเจริญสติปัฏฐานด้วยการพิจารณาซากศพในปุาช้า 8 ลักษณะ แล้วน้อมมา พิจารณาอย่างลึกซ้ึงว่า ร่างกายที่เราอาศัยดํารงอยู่นี้ สักวันหนึ่งก็จะมีความเป็นไปอย่างน้ีเป็น ธรรมดา กจ็ ะมีภาวะอย่างนี้ ไมพ่ น้ ความเปน็ อยา่ งนไ้ี ปได้ ดังซากศพ 6 ลกั ษณะ ดังนี้ (๑) ซากศพทีเ่ ขาท้งิ ไว้ในปาุ ช้า เป็นศพท่ีตายแล้ว ๑ วันบ้าง ๒ วันบ้าง ๓ วันบ้าง เป็น ศพข้ึนอืด ศพเขยี วคลา้ ศพมีน้าเหลอื งเยิ้ม (๒) ซากศพท่ีเขาท้ิงไว้ในปุาช้า ซึ่งถูกกาจิกกินบ้าง แร้งจิกกินบ้าง ฝูงเหย่ียวจิกกินบ้าง ฝงู สุนขั กดั กินบ้าง ฝูงสนุ ขั จิ้งจอกกัดกนิ บา้ ง ฝงู สตั ว์เลก็ กดั กนิ บา้ ง (๓) ซากศพที่เขาท้ิงไว้ในปาุ ช้า เปน็ โครงกระดูกยังมเี น้ือและเลอื ด มีเอ็นซ่งึ รัดอยู่ (๔) ซากศพท่ีเขาทิ้งไว้ในปุาช้า ที่เป็นโครงกระดูก ไม่มีเนื้อแต่ยังมีเลือดเปื้อนเปรอะ มเี อ็นซงึ่ รัดอยู่ (๕) ซากศพท่ีเขาทิ้งไว้ในปาุ ช้า ทเี่ ป็น โครงกระดกู ไมม่ เี น้ือและเลอื ด แต่ยังมีเอน็ ซ่งึ รัดอยู่ (๖) ซากศพท่ีเขาท้ิงไวใ้ นปาุ ช้า ท่ีเปน็ โครงกระดูก ปราศจากเสน้ เอ็นจึงรดั แลว้ ชิ้นส่วน ของกระดูกกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง (7) ซากศพที่เขาทิ้งไวใ้ นปุาช้า ท่เี ปน็ ทอ่ นกระดกู มสี ีขาวเหมอื นสงั ข์ (๘) ซากศพท่ีเขาทิ้งไว้ในปุาช้า ท่เี ป็นท่อนกระดูกกองอยู่ด้วยกนั เกนิ กว่า ๑ ปี (9) ซากศพท่ีเขาทิ้งไว้ในปุาช้า ท่ีเป็นกระดกู ผุนั้นเปน็ ชนิ้ เล็กชิน้ นอ้ ย๗๐ ๖๗ ท.ี ม. (บาล)ี ๑๐/๓๗๘/๒๕๑-๒๕๒, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๗๘/๓๐๗-๓๐๘. ๖๘ คอื สภาพทแ่ี ขง็ และออ่ น เปน็ ธาตดุ นิ (ปฐวธี าต)ุ , สภาพท่ไี หลและเกาะกมุ เปน็ ธาตุนา้ํ (อาโปธาตุ), สภาพ ที่ร้อนมลี ักษณะเผาผลาญ เปน็ ธาตไุ ฟ (เตโชธาต)ุ , สภาพที่เคล่อื นไหวและค้าจุน เปน็ ธาตลุ ม (วาโยธาต)ุ , พระมหาไสว ญาณวีโร, ค่มู ือวิปัสสนาจารย,์ หน้า 66. ๖๙ อง.ขตกก (บาล)ี ๒๑/ตร๗/๑๘๘-๑๘๘, อง.จตกุ ก. (ไทย) ๒๓/๑๗/๒๕๕ ๗๐ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๘/๒๕๒-๒๕๔, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๔๗๕/๓๐๘๒๑๓.

การพัฒนาทกั ษะการคดิ เชงิ กลยทุ ธ์สําหรับครู ๗๕ การพจิ ารณากายานุปสั สนาสตปิ ัฏฐานในบรรพต่างๆ เป็นการกําหนดพิจารณาร่างกาย และอาการต่างๆ อันเกิดจากร่างกายของตนเองและผู้อ่ืนที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนในนวสีวิกาปัพพะนี้ เปน็ การนํานอ้ มสิ่งภายนอกทีไ่ ม่มชี วี ติ คือซากศพทเ่ี ขานาํ ไปท้ิงที่ปุาช้าซ่ึงอยู่ในสภาพลักษณะที่ แตกต่าง กันไปมาพิจารณา เมื่อผู้ปฏิบัติมีสติสัมปชัญญะ พิจารณาร่างกายอย่างแยบคายให้เห็นเป็น เหมอื นซากศพในปุาช้า ใหร้ ู้จรงิ เห็นแจง้ วา่ เป็นของไมส่ วยไม่งาม ไมใ่ ชส่ ัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ล้วนมี เกิดข้ึน ต้ังอยู่ เน่าเป่ือยผุพัง บังคับบัญชาไม่ได้ และย่อมดับสลายไปในท่ีสุด ย่อมเก้ือ ให้จิตเกิดการ ปล่อยวาง ไมย่ ดึ มัน่ ถอื มน่ั ในร่างกายนอี้ กี ตอ่ ไป นั่นคือ ลักษณะของการมองเป็น แล้วเห็นธรรม เป็นการ ใช้กายอันกว้างศอก ยาววา หนาคืบน้ีเปน็ อุปกรณ์แห่งการบรรลธุ รรม และข้อที่น่าสังเกตก็คือ ในการเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ พระพุทธองค์ทรงจัดกายานุปัสส นาสตปิ ฏั ฐานไวเ้ ปน็ หมวดแรก เพราะว่ากายน้ันเป็นรูปธรรมและเป็นส่วนที่หยาบ ผู้ปฏิบัติ อาจกําหนด ได้ง่ายกวา่ เวทนา จิต และสภาวธรรม ซึ่งเป็นนามธรรมส่วนที่ละเอียด เมื่อผู้ปฏิบัติ เกิดความชํานาญใน เบ้อื งต้นก่อนแลว้ กส็ ามารถจะกาํ หนดเวทนา จติ และธรรมไดส้ ะดวก คล่องแคลว่ มากขึ้น และการเจริญ สติในหมวดกายน้ีพระพุทธองค์ทรงเน้นเป็นพิเศษ ดังพระพุทธพจน์ว่า “ชนเหล่าใด มิได้เจริญกายคตา สติ ชนเหล่าน้ันชื่อว่าไม่ได้บรรลุอมตธรรม ชนเหล่าใด เจริญกายคตาสติ ชนเหล่านั้นช่ือว่าบรรลุ อมตธรรม๗๑ 4.6.๒ เวทนานุปสั สนาสตปิ ฏั ฐาน การพิจารณาเวทนาในเวทนา คําวา่ “เวทนา” แปลว่า อารมณ์ หรือความรู้สึก เวทนาในเวทนานุปัสสนาสติปัฏ ฐาน หมายถึง การเสพอารมณ์ ธรรมชาติท่ีเสวยอารมณ์ ธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์หรือความรู้สึก๗๒ ในอังคุตร นกิ าย ตกิ นบิ าต พระพุทธองคท์ รงจาํ แนกเวทนาไวต้ ามลักษณะอารมณ์ความรู้สึก ๓ ประการ คือ ๑. สุข เวทนา ความรู้สึกสุข (สบาย) ๒. ทุกขเวทนา ความรู้สึกทุกข์ (ไม่สบาย) ๓.อุเบกขาเวทนา ความรู้สึกไม่ สุขไมท่ กุ ข์ (เฉย ๆ)๗๓ ในการเจริญเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ให้ผู้ปฏิบัติมีสติสัมปชัญญะพิจารณา ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือเวทนาความรู้สึกสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ว่าเวทนานี้สักแต่ว่า เป็นเวทนาเท่านั้น ไม่ใช่กําหนดเพ่ืออยากให้เวทนานั้นๆ หายไป แต่กําหนดเพ่ือให้รู้แจ้งใน ลักษณะ พเิ ศษของเวทนาว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา เพียงแค่ระลึกรู้ รู้แล้วละ ปล่อยวาง ไม่ให้ยึดม่ันถือ ม่ันว่าเราสุข เราทุกข์ เราปวด เราได้ เราเสยี โดยมีวธิ ปี ฏบิ ัติอยู่ 9 อย่างดงั น้ี (๑) เมอ่ื เสวยเวทนาท่ีเป็นสุข กร็ ชู้ ดั วา่ กําลังเสวยเวทนาท่ีเปน็ สขุ (๒) เมื่อเสวยเวทนาท่ีเปน็ ทุกข์ กร็ ชู้ ดั วา่ กาํ ลงั เสวยเวทนาที่เปน็ ทกุ ข์ (๓) เมอ่ื เสวยเวทนาท่ีไม่ทุกขไ์ ม่สขุ กร็ ชู้ ดั วา่ กาํ ลังเสวยเวทนาท่ีไม่ทกุ ขไ์ มส่ ุข ๗๑ อง.เอกก (บาลี) ๒๐/boo/๘๖, องเอกก. (ไทย) ๒๐/๖๐๐/๕๘. ๗๒ พระมหาไสว ญาณวโี ร, คมู่ อื วปิ สั สนาจารย,์ (กรงุ เทพมหานคร : สาํ นักพิมพ์ เลย่ี งเชียง, ๒๕๔๙), หนา้ , ๒๑ ๗๓ เวทนาประการอื่นๆ ก็มี เชน่ เวทนา ๒ ประการ คือ เวทนาทางกาย และเวทนาทางใจ, เวทนา ๕ ประการ, ๖ ประการ, ๑๘ ประการ, ๓๖ ประการ, และเวทนา ๑๐๘ ประการ, คูรายละเอยี ดใน ส.สฬา (บาลี) ๑๘/ ๒๗๐/๒๑๒-๒๓๓, ส.สฬา (ไทย) ๑๘/๒๔๗๐/๓๐๒-๓๐๔.

การพัฒนาทกั ษะการคดิ เชิงกลยทุ ธส์ ําหรับครู ๗๖ (๔) เมือ่ เสวยเวทนาที่เปน็ สุขมีอามสิ ๗๔ กร็ ชู้ ดั วา่ กาํ ลงั เสวยเวทนาทเ่ี ป็นสุขมีอามสิ (๕) เมอ่ื เสวยเวทนาท่ีเปน็ สุขไมม่ อี ามสิ ๗๕ กร็ ูช้ ดั วา่ กําลังเสวยเวทนาท่ีเปน็ สขุ ไมม่ ี อามสิ (๖) เมอ่ื เสวยเวทนาเป็นทุกข์มอี ามิส๗๖ ก็ร้ชู ัดว่า กาํ ลังเสวยเวทนาเป็นทุกขม์ ีอามิส (๗) เม่ือเสวยเวทนาเปน็ ทกุ ข์ไมม่ อี ามิส๗๗ ก็รชู้ ดั ว่า กาํ ลังเสวยเวทนาเปน็ ทุกขไ์ ม่มี อามสิ (8) เมื่อเสวยเวทนาไมท่ ุกข์ไม่สุขมีอามิส๗๘ กร็ ชู้ ดั วา่ กาํ ลงั เสวยเวทนาไมท่ ุกข์ไม่สขุ ไมม่ ีอามสิ ๘๐ (9) เมือ่ เสวยเวทนาไมท่ ุกข์ไม่สขุ ไม่มีอามิส๗๙ กร็ ู้ชัดว่า กาํ ลังเสวยเวทนาไม่ทกุ ข์ ไมส่ ุข ในการเจริญสติพิจารณาให้เห็นความไม่เท่ียงของเวทนา ว่าเป็นสภาพท่ีเกิดขึ้นและดับ ไปนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงการจิตนาการท่ีตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่า ทุกสรรพส่ิงที่เกิดข้ึน ย่อมต้ังอยู่ และ เส่ือม สลายไปเป็นธรรมดา แต่เป็นการรู้แจ้งเห็นจริงด้วยประสบการณ์คือปัญญาญาณอย่างแท้จริง ดังท่ีพระ พุทธองค์ตรัสไว้วา่ ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาท้ังหลายภายในอยู่ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ทั้งหลาย ภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายท้ังภายในและภายนอก อยู่ พิจารณา เห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในเวทนาท้ังหลายอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับ ในเวทนาท้ังหลายอยู่ พิจารณาเห็นทั้งธรรมเป็นเหตุเกิดและธรรมเป็นเหตุดับในเวทนา ทั้งหลายอยู่ หรือว่าเข้าไปตั้งสติไว้ว่า เวทนาท้ังหลายมีอยู่ เพียงเพ่ือระลึกรู้ เพียงเพ่ือระลึกไว้เฉพาะเท่านั้น แท้ท่ีจริงแล้ว เธอเป็นผู้ท่ีตัณหา และทิฏฐิ อาศัยไม่ได้ และไม่ยึด มัน อะไรๆ ในโลกน้ี อย่างน้ีแล ช่ือว่าเป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนา ในเวทนาทง้ั หลายอยู่๘๑ 4.6.3 จติ ตานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน คอื การพจิ ารณาเหน็ จติ ในจติ คําว่า จิต หรือ จิตตะ ในจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง ธรรมชาติที่นึกคิด หรือ ธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์ ได้แก่ รู้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐพพะ และธรรมารมณ์ จิตที่ใช้เป็น อารมณ์ใน การเจรญิ สติปัฏฐานแบ่งเปน็ ๑๖ ประเภท ตามสภาวะของจติ โดยมวี ิธปี ฏิบตั ิ ดงั น้ี (๑) เมื่อจิตมรี าคะ ก็รู้ชดั ว่าจิตมรี าคะ ๗๔ สามิสสขุ (สุของิ กามคณุ ) คือ ความสุขท่ีเจือปนด้วยกเิ ลส โดยมสี งิ่ เร้าคอื กามคณุ ๕ ได้แก่ รปู เสียง กล่ิน รส โผฏฐพพะ ทน่ี ่าพอใจ ๗๕ นริ ามิสสขุ (สุขไมอ่ งิ กามคุณ) คอื ความสขุ หรอื ความปตี โิ สมนสั ทีเ่ กดิ ขึน้ แกผ่ ปู้ ฏบิ ตั ิ ในขณะ กําลังเจรญิ สมถะและวิปสั สนา ๗๖ สามสิ ทกุ ข์ (ทกุ ข์อิงกามคุณ) คือ ความทกุ ข์กายหรอื ทกุ ขใ์ จ จากความอยากเสพในกามคณุ ๕ ทีเ่ จือปน ด้วยกิเลสแลว้ ไมไ่ ดเ้ สพอย่างใจนึก ๗๗ นิรามิสทุกข์ (ทุกข์ไม่อิงกามคุณ) คือ ความทุกข์ ความเสียใจท่ีเกิดขึ้นในขณะเจริญสมถะและ วิปัสสนา ทีป่ ฏบิ ตั แิ ลว้ ไม่ประสบความก้าวหน้า กล่าวอกี นัยหนึง่ คือ ความทุกขท์ ่ีเกิดจากความอยากไดม้ รรคผล นัน้ เอง ๗๘ สามสิ อเุ บกขา (อเุ บกขาอิงกามคณุ ) คือ ความรสู้ กึ ท่เี ปน็ กลางต่อกามคณุ ๕ เพราะเสพสขุ น้นั จนชนิ ชา แต่เปน็ กลางในลักษณะท่ีมคี วามโลภแอบแฝงอยู่ ใจมลี กั ษณะทบึ เพราะปัญญาถกู ปิดก้ัน ๗๙ นริ ามิสอุเบกขา (อเุ บกขาไม่องิ กามคุณ) คอื ความวางเฉยในขณะตามรอู้ ารมณท์ างทวารทัง้ 5 ทีเ่ กดิ ข้ึนแก่ ผู้ปฏบิ ัติในขณะกําลงั เจรญิ สมถะและวิปัสสนา หรอื ทกี่ ําลงั จะขา้ มพน้ วิปัสสนปู กิเลสได้ ๘๐ ท.ี ม. (บาล)ี ๑๐/๓๘๐/๒๕๔, ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๐/๓๑๓. ๘๑ ที.ม. (บาลี) ๑๐/๓๘๐/๒๕๔, ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๐/๓๑๔.

การพัฒนาทกั ษะการคดิ เชิงกลยุทธ์สาํ หรบั ครู ๗๗ (๒) เมอ่ื จติ ปราศจากราคะ กร็ ู้ชัดว่าจิตปราศจากราคะ (๓) เมอื่ จิตมีโทสะ ก็รชู้ ดั ว่าจิตมโี ทสะ (๔) เมอ่ื จติ ปราศจากโทสะ ก็รู้ชัดว่า จิตปราศจากโทสะ (๕) เมอ่ื จติ มีโมหะ กร็ ชู้ ดั วา่ จิตมโี มหะ (๖) เม่ือจติ ปราศจากโมหะ กร็ ู้ชดั วา่ จติ ปราศจากโมหะ (7) เมอ่ื จิตหดหู ก็รูช้ ัดว่าจติ หดหู (๘) เมือ่ จิตฟุงู ซ่าน ก็รชู้ ดั วา่ จิตฟงุู ซ่าน (9) เมอื่ จติ เป็นมหัคคตะ๘๒ ก็ให้ร้ชู ดั วา่ จติ เป็นมหคั คตะ (๑๐) เมอ่ื จิตเปน็ อมหัคคตะ๘๓ กใ็ ห้รชู้ ัดว่าจิตเป็นอมหคั คตะ (๑๑) เมื่อจติ เป็นสอตุ ตระ๘๔ (จติ ใหญ่ จิตในฌาน) กใ็ ห้ร้ชู ัดวา่ จติ เปน็ สอุตตระ (๑๒) เมอ่ื จติ เปน็ อนุตตระ๘๕ ก็ใหร้ ชู้ ดั วา่ จติ เปน็ อนุตตระ (๑๓) เมอ่ื จติ เป็นสมาธิ๘๖ ก็ร้ชู ดั วา่ จติ เป็นสมาธิ (๑๔) เมอ่ื จิตไมเ่ ป็นสมาธิ๘๗ กร็ ู้ชดั ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ (๑๕) เมื่อจติ หลุดพ้น๘๘ กร็ ู้ชัดวา่ จิตหลดุ พน้ (๑๖) เมอื่ จติ ไมห่ ลุดพ้น๘๙ กร็ ้ชู ดั ว่าจติ ไมห่ ลดุ พน้ ๙๐ จิตมีธรรมชาติประภัสสร คือ ผ่องใสตามปกติเหมือนน้ําใสสะอาด แต่จิตนั้นต้อง ประกอบกบั นามธรรมท่ชี อื่ ว่า เจตสกิ คอื สภาวะปรุงแต่งจิต ดังนั้น จิตจึงเศร้าหมองด้วย อํานาจเจตสิก ฝุายอกุศล คอื โลภะ โทสะ และโมหะ เป็นต้น ท่ีมักทําให้จิตน้ีสูญเสียความเป็น กลางอยู่เสมอ กล่าวคือ มักหลอกให้หลง ย่ัวให้รัก มัดให้ติด และพอใจไม่พอใจตามการปรุงแต่ง ของแต่ละคน และเพ่ิมพูนข้ึน เร่ือยๆ จึงเหมอื นดังนา้ ใสสะอาดที่ขุ่นด้วยโคลนตม แต่ว่าในความ วุ่นก็ยังมีความว่าง ในนํ้าอุ่น ก็ยังมีน้ํา ใส “โคลนตมนั้นเกิดจากน้ํา ย่อมสะอาดด้วย ฉันใด กิเลสท้ังหลายเกิดจากจิต ย่อมหมดจดด้วยจิต ฉนั นน้ั ”๙๑ จิตท่ีไม่ได้อบรมย่อมทําให้เหล่าสัตว์ติดอยู่ในบ่วงกิเลส ส่วนจิตท่ีอบรมดีแล้ว ย่อม ส่งผลให้เป็นอิสระหลุดพ้นได้โดยแท้ ดังพระพุทธพจน์ท่ีว่า “จิตควบคุมยาก เปลี่ยนแปลงเร็ว ใฝุใน อารมณ์ตามท่ีใคร่ ฝึกจิตเช่นนั้นได้เป็นการดี เพราะจิตท่ีฝึกดีแล้ว นําสุขมาให้๙๒ “เราย่อมไม่เห็นธรรม ๘๒ ไดแ้ ก่ จติ ตัง้ ม่นั หรอื จติ ทีม่ อี านภุ าพมาก ๘๓ ได้แก่ จิตไม่ตัง้ มนั่ จติ ทเี่ ปน็ กามาวจร. ๘๔ คอื จติ ใหญ่ จติ ในฌาน หรอื จติ ทมี่ จี ิตอืน่ สูงกว่า ไดแ้ ก่ จิตท่เี ป็นกามาวจร. ๘๕ คือจติ ทีไ่ ม่มจี ติ อนื่ สงู กวา่ ไดแ้ ก่จติ ทเ่ี ปน็ รูปาวจรและจติ ทีเ่ ปน็ อรูปาวจร แมใ้ นจติ ๒ ประเภท น้นั รูปาวจร จิต เปน็ สอตุ ตระ คอื มจี ิตอืน่ ยิง่ ไปกวา่ อรูปาวจรจติ เท่านัน้ เป็นอนุตตระ คอื ไมม่ ีจติ อยา่ งอน่ื ยิ่งไปกวา่ ๘๖ ไดแ้ ก่ จิตเปน็ อัปปนาสมาธิ หรอื อุปจารสมาธิ ๘๗ ไดแ้ ก่ จิตเวน้ จากอปั ปนาสมาธิ หรอื อปุ จารสมาธิท้งั ๒ นั้น ๘๘ ไดแ้ ก่ จติ หลุดพน้ ด้วยตท้งั ควิมุตติ และวิกขมั ภนวมิ ุตติ ๘๙ คอื จติ ไม่หลดุ พน้ จากกเิ ลส ไดแ้ ก่ เว้นจากวมิ ุตตทิ ั้ง ๒ นน้ั ๙๐ ที.ม. (บาล)ี ๑๐/๓๘๑/๒๕๕, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๑/๓๑๔-๓๑๕. ๙๑ คําประพนั ธ์ของพระจนั ทมิ า ประเทศเมยี นมา่ ร,์ อา้ งใน พระโสภณมหาเถระ (มหาสสี ยาดอ), มหาสตปิ ฏั ฐานสูตร, หน้า ๒๔๗๖. ๙๒ ข.ธ. (บาลี) ๒๕/๓๕/๒๒, ข.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๕/๓๖,

การพฒั นาทักษะการคดิ เชงิ กลยทุ ธส์ ําหรับครู ๗๘ อื่นแม้อย่างหน่ึง ที่ได้เจริญแล้ว ย่อมเป็นไปเพ่ือประโยชน์มากเหมือนจิตนี้ ภิกษุท้ังหลาย จิตท่ีได้เจริญ แล้ว ยอ่ มเปน็ ไปเพอื่ ประโยชนม์ าก ดังนนั้ การเจรญิ จติ ตานปุ ัสสนาสติปฏั ฐานนี้ พระพุทธองค์จึงทรงเน้นให้ผู้ปฏิบัติ เจริญ สติโดยกําหนดพิจารณาสภาวจิตที่กําลังเกิดขึ้น ให้รู้ว่าจิตของตนในปัจจุบันขณะน้ันๆ ว่าเป็น อย่างไร เปน็ ตน้ ว่า จติ สขุ ไม่สขุ พอใจ ไมพ่ อใจ ตั้งมน่ั หรอื หว่นั ไหว ผอ่ งใส หรือขุ่นมัว ก็ เพียงแค่เฝูาดู เพียงแค่ ระลึกรูเ้ ฉย ๆ โดยไม่เขา้ ไปเปน็ หรอื ไมเ่ ข้าไปแสดงร่วมกับสภาวะจิตน้ันๆ หากแต่ให้พิจารณาว่า สภาวะ จิตทง้ั หลายท้ังมวลไม่ใช่เป็นของสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา แต่อย่างใด หากแต่ล้วนเกิดขึ้น ต้ังอยู่ และ ดบั ไป ตามเหตุตามปจั จัย เม่ือน้ันย่อมเกิดความเบื่อหน่าย คลายความยึดมั่นถือม่ัน เป็นจิตหลุดพ้นและ อสิ ระได้อยา่ งแท้จรงิ 4.6.4 ธมั มานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน การพจิ ารณารธู้ รรมในธรรม คําว่า ธรรม หมายถึง สภาวธรรมต่างๆ ที่เกิดข้ึนกับกาย เวทนา และจิต ในธัมมา นุปัสสนาสติปัฏฐานนี้มุ่งเน้นไปที่การพิจารณาสภาวธรรม (ธัมมารมณ์) คืออาการที่เกิดข้ึนภายใน จิตและภายนอกจิต โดยให้ตระหนักรู้ว่าเป็นเพียงสภาวธรรมท่ีเกิดขึ้นในขณะน้ันเท่าน้ัน ไม่เปิด โอกาส ให้ความรู้สกึ ทีเ่ ป็นตัวตน เรา เขา เกิดขึ้นในขณะเขา้ ไปเก่ียวข้อง ซ่งึ แบง่ เปน็ ๕ หมวด ดังต่อไปนี้ 4.6.4.๑ นวิ รณปัพพะ หมวดนวิ รณ์ ๕ ว่าด้วยการเจริญสติพิจารณานิวรณ์ที่เกิดขึ้นภายในจิต ซ่ึงหมายถึง อกุศลธรรมที่กีด ขวางการทาํ งานของจิต ไม่ใหก้ า้ วหนา้ ในกศุ ลธรรม เม่อื เกิดขึ้นมีผลทาํ ใหจ้ ติ ใจเศร้าหมอง บัน ทอนกําลัง แหง่ สติปญั ญา มีอยู่ ๕ อย่าง คอื (๑) กามฉนั ทะ ความพอใจในกามคุณ (๒) พยาบาท ความอาฆาตปองรา้ ย ความโกรธ ความเกลียด (๓) ถนี มิทธะ ความหดหูเซ่ืองซมึ ความง่วง (๔) อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ ความฟูุงซ่านราํ คาญใจ (๕) วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ โดยวิธีการปฏิบัติกับนิวรณ์ทั้ง ๕ นี้ ท่านให้ใช้ สติสัมปะชัญญะกาํ หนดพจิ ารณานิวรณภ์ ายในจิต ตามทเี่ ปน็ อยู่ในปจั จบุ นั ขณะนัน้ ๆ 4 ลักษณะ ดังนี้ (๑) ตัง้ สตกิ ําหนดรูว้ า่ นิวรณ์แตล่ ะข้อมีอยู่ในใจหรอื ไม่ (๒) ดังสตกิ าํ หนดรู้วา่ นิวรณแ์ ต่ละข้อทยี่ ังไม่เกิดขนึ้ จะเกิดข้ึนได้อย่างไร (๓) ตง้ั สตกิ ําหนดรู้วา่ นิวรณ์แตล่ ะข้อทเี่ กิดข้ึนแลว้ จะละได้อย่างไร (๔) ตัง้ สตกิ ําหนดรูว้ า่ นวิ รณ์แต่ละข้อท่ลี ะได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นอกี ได้อย่างไร๙๓ 4.6.4.๒ ขนั ธปพั พะ หมวดขนั ธ์ ๕ ว่าด้วยการเจริญสติปัฏฐาน โดยต้ังสติกําหนดพิจารณาธรรมคือเบญจขันธ์ หรือท่ี เรียกว่าอุปาทานขันธท์ ่กี ําลังดาํ เนนิ ไปอยใู่ นปจั จุบัน คําว่า ขันธ์ แปลว่า กองหรือหมวดหมู่แห่ง รูปธรรม และนามธรรม ทป่ี ระกอบกันขนึ้ จนเปน็ ชีวิต แบ่งออกได้เปน็ ๕ กอง ดังน้ี (๑) รูป ไดแ้ ก่ ร่างกายทกุ ส่วน (๒) เวทนา ได้แก่ การเสพอารมณ์หรอื ความรสู้ ึกที เป็นสขุ ก็ดี เป็นทกุ ข์ก็ดี ไมส่ ุขไม่ ทกุ ข์ก็ดี ๙๓ ท.ี ม. (บาล)ี ๑๐/๓๘๒/๒๕๖, ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๔๒/๓๑๖-๓๑๙.

การพัฒนาทักษะการคดิ เชิงกลยุทธส์ ําหรับครู ๗๙ (๓) สัญญา คือ การจําได้หมายรู้ แบ่งออกเป็น ๖ อย่าง คือ ความจําได้หมายรู้ในรูป (รูปสัญญา) เสียง (สัททสัญญา) กลืน (คันธสัญญา) รส (รสสัญญา) สิ่งท่ีถูกต้องสัมผัสได้ด้วยกาย ( โผฏฐพพสัญญา) และธรรมารมณส์ ิ่งท่ีถูกตอ้ งสัมผัสได้ด้วยใจ (ธัมม สญั ญา) (๔) สังขาร คือ สภาพที่ปรงุ แตง่ ใจให้ดหี รือชั่ว (๕) วิญญาณ คือ ความรู้แจง้ อารมณ์ ทางทวารท้ัง 6 คือ ความร้แู จง้ ตา หู จมูก ลน้ิ กาย และใจ โดยมีปฏิบตั ิ ดงั น้ี (๑) กาํ หนดรู้ขนั ธ์ ๕ แต่ละขันธค์ อื อะไร (๒) กําหนดรู้ขันธ์ ๕ แต่ละขนั ธเ์ กิดขน้ึ ได้อยา่ งไร (๓) กําหนดรู้ขันธ์ ๕ แตล่ ะขันธ์วา่ ดับลงได้อย่างไร๙๔ อนึ่งการใชส้ ติพจิ ารณาขันธ์ ๕ เป็นอารมณ์ เป็นการปรับทัศนคติใหม่ต่อขันธ์ ๕ ทั้ง ของตนเอง และของผู้อืน่ ว่า สง่ิ มีชวี ิตในโลกท่เี ขา้ ใจว่าเป็นคน สัตว์ ฯลฯ เป็นความจริงในระดับ สมมุติ แต่ความจริง ในระดับปรมัตถ์ท่ีลึกที่สุด ทุกสรรพส่ิงล้วนเป็นเพียงขันธ์ ๕ ท่ีเป็นรูปนามมา รวมตัวกันเข้า ผู้ปฏิบัติจึง ใช้สติสัมปชัญญะพิจารณาอย่างลึกซึ้งว่า สักแต่ว่าเป็นเพียงขันธ์เท่าน้ัน ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตน เราเขา และล้วนเป็นไปตามกระแสแห่งธรรมชาติ ท่ีมีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เม่ือพิจารณาเนืองๆ อยู่ เช่นนี้ ยอ่ มเก้อื กูลใหจ้ ิตเกิดการปล่อยวางเป็นอิสระจากตัณหา มานะ ทฏิ ฐิได้ และอนุสัยท่ีคอยสร้างทุกข์ ย่อมถูกขจัดโดยเด็ดขาด ส่งผลให้บรรลุความหลุดพ้น อย่างแท้จริง ดังพระพุทธพจน์ว่า “เมื่อภิกษุหย่ัง เห็นความเกิดข้ึน และดับไปแห่งขันธ์ท้ังหลาย แล้ว ย่อมได้สิ่งปราโมทย์ ซึ่งเป็นอมตธรรมของท่านผู้ รู้ ทงั้ หลาย๙๕ 4.6.4.๓ อายตนปัพพะ หมวดอายตนะ ๑๒ ว่าด้วยการเจริญสตโิ ดยกาํ หนดเอาธรรม คือ อายตนะ ๑๒ เปน็ อารมณ์ คาํ ว่าอายตนะ ในท่ีน้ี หมายถึง แดนทีเ่ ช่ือมต่อระหวา่ งโลกภายในกับโลกภายนอก แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ใหญ่ ๆ คอื (๑) อายตนะภายใน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ (๒) อายตนะภายนอก ได้แก่ รูป เสียง กล่ิน รส โผฏฐพพะ ธรรมารมณ์ อายตนะ ภายนอกเรียกอีกอยา่ งหน่ึงว่า อารมณ์ หมายถึง ธรรมชาติสําหรับให้จิตหน่วงเหน่ียวในขณะดําเนินชีวิต อยู่ อายตนะท้งั ๒ ประเภทนี้ ต้องทําหน้าทค่ี วบคกู่ นั ไปเป็นคู่ ๆ โดยให้มีสติสัมปชัญญะคอยกํากับในทุก ปัจจบุ ันขณะท่อี ายตนะ ภายในทาํ หน้าทเ่ี ก่ยี วขอ้ งหรือรับรอู้ ายตนะภายนอก โดยมีวธิ ีปฏิบัติ ดังนี้ (๑) ให้รชู้ ัดอายตนะภายในและอายตนะภายนอกแต่ละอย่าง ๙๔ ท.ี ม. (บาลี) ๑๐/๓๘๓/๒๕๓, ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๙๓/๓๑๘-๒๑๕. ๙๕ ข.ธ. ๒๕/๓๙๔/๔๒. อา้ งใน พระโสภณมหาเถระ (มหาสสี ยาคอ, มหาสติปฏั ฐานสตู ร, หนา้ 319

การพฒั นาทักษะการคดิ เชิงกลยทุ ธส์ ําหรบั ครู ๘๐ (๒) ให้รู้ชดั สังโยชน์๙๖ ท่เี กิดขึน้ เพราะอาศยั อายตนะนั้น ๆ (๓) ให้รสู้ ังโยชนท์ ่ียงั ไม่เกิดขนึ้ จะเกดิ ข้ึนได้อย่างไร (๔) ใหร้ สู้ ังโยชน์ที่เกิดข้นึ แลว้ จะละได้อยา่ งไร (๕) ให้รูส้ ังโยชนท์ ลี่ ะได้แลว้ จะไม่เกิดขนึ้ ต่อไปไดอ้ ย่างไร๙๗ วิธีปฏิบัติเมื่ออายตนะภายในกับอายตนะภายนอกสัมผัสกัน คือ เมื่อตาเห็นรูป หูได้ ยินเสยี ง จมกู ไดก้ ลน่ิ ลน้ิ ได้ลมิ้ รส กายได้สัมผัส ใจ ได้รับรู้ธัมมารมณ์ ก็ให้ตั้งสติสัมปชัญญะ กําหนดรู้ว่า เป็นเพียงการเห็นเท่านั้น หรือเป็นเพียงการได้ยินเท่าน้ัน เพียงเพื่อรู้ เพียงเพ่ืออาศัย ระลึกเท่าน้ัน อย่า ให้เกิดความรู้ท่ีเป็นตัวตนว่า เราเห็น เราได้ยิน เป็นต้น เกิดขึ้นในจิตใจ เพราะน่ันเป็นสาเหตุให้เกิด สังโยชน์ และเพ่ิมพนู สงั โยชน์ใหม้ มี ากยิ่งข้นึ เม่ือผู้ปฏบิ ตั ิรบั รอู้ ายตนะทัง้ หมดดว้ ยสติสมั ปชัญญะอยู่เนือง ๆ ทกุ ขณะ ไม่ปรุงเพ่ิมเสริมแต่ง หรือสําคัญมั่นหมายใด ๆ ก็ จะเป็นการตัดช่องทางที่สังโยชน์จะเกิดข้ึน และทาํ ให้สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้วอ่อนกําลังลงจนหมด ส้ินไปจากจิตได้ในท่ีสุด ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัส แกพ่ าหยิ ะวา่ พาหิยะ เม่ือใด เม่ือเธอเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็น เม่ือฟังเสียงก็สักแต่ว่าฟัง เมื่อรับรู้ อารมณ์ ก็สกั แตว่ ่ารับรู้ เมือ่ รู้แจง้ ธรรมารมณ์กส็ ักแตว่ า่ รู้แจ้ง เม่ือนนั้ เธอกจ็ ะไม่มี เม่ือใดเธอไม่มี เม่ือน้ัน เธอก็จะไม่ยึดติดในส่ิงน้ัน เมื่อใด เธอไม่ยึดติดในสิ่งนั้น เม่ือน้ัน เธอก็จะไม่มีใน โลกน้ี ไม่มีในโลกอ่ืน ไม่มใี นระหว่างโลกทง้ั สอง น้เี ปน็ ทีส่ ดุ แห่งทุกข์๙๘ 4.6.4.๔ โพชฌงั คปัพพะ หมวดโพชฌงค์ ๗ วา่ ดว้ ยการเจรญิ สติโดยตง้ั สติกาํ หนดพจิ ารณาธรรม คอื โพชฌงค์ท่ีกําลังเกิดข้ึนกับ จิต ในขณะปัจจุบันน้ันๆ คําว่า “โพชฌงค์” หรือ “สัมโพชฌงค์” ในที่นี้แปลว่า “องค์แห่งปัญญา เคร่ืองรู้ แจ้งธรรม” ซ่ึงเป็นองค์ธรรมฝุายกุศลที่เกิดข้ึนภายในจิตขณะที่กําลังเจริญสติปัฏฐาน เป็น ธรรมเกื้อกูล แก่การรู้แจ้งแห่งธรรม จงึ ควรอบรมใหเ้ กดิ มขี น้ึ ในจิตให้มาก ซง่ึ มีอยู่ 7 อย่าง๙๙ ดงั นี้ (๑) สติสมั โพชฌงค์ (ความระลึกได)้ หมายถงึ ความสามารถทวนระลึกนึกถงึ หรือ กุม จติ ไว้กบั ส่ิงท่ีกําลงั เกยี่ วข้องในปจั จุบันน้นั ๆ ซ่ึงในโพชฌงค์น้ี สติมีความหมายคลุมตงั้ แต่การมี สติกาํ กบั ตัว กํากับใจให้อยกู่ บั ส่ิงท่กี าํ หนดเฉพาะหน้า จนถึงการหวนระลึกรวบรวมเอาธรรมท่ีได้ สดับเล่าเรียน แล้ว หรอื สงิ่ ท่ีเกย่ี วข้องต้องใช้ต้องทาํ เพื่อไตรต่ รองพิจารณาธรรมน้ันๆ ได้ดว้ ย ปัญญา ๙๖ สังโยชน์ คือ ธรรมทีผ่ กู มัดสตั วไ์ วก้ ับทกุ ข์ มี ๑๐ อย่าง ดังนี้ ๑. สักกายทฏิ ฐิ คือ ความเห็น วา่ เปน็ ตวั ตน เป็นของตน, ๒, วิจกิ ิจฉา คอื ความลงั เลสงสัย, ๓. สลี ัพพตปรามาส คือ ความถอื มั่นศีลพรต การ ยึดมนั่ เหน็ ผิดว่า วิธีการหรือเครอ่ื งมือในการพฒั นาจิตเป็นเปาู หมาย หรือการประพฤตติ ามข้อปฏบิ ัติดว้ ยตณั หา ทิฏฐิ หรือความหลงงม งาย, ๔, กามราคะ คือ ความพอใจในกาม, ๕. ปฏฆิ ะ คอื ความกระทบกระทั่งในใจ, ความหงุดหงิดขดั เคอื ง, ๖. รปู ราคะ คือ ความตดิ ใจในอารมณแ์ หง่ รูปฌาน หรือในรูปธรรมอันประณตี , ๑๒. อรูป ราคะ คือ ความตดิ ใจในอารมณ์ แห่งอรูปฌาน หรือในอรูปธรรม, ๔. มานะ คือความสาํ คญั ตนว่าเปน็ น่ัน เปน็ นี่, 6. อทุ ธัจจะ คือ ความฟุูงซ่าน, ๑๐. อวชิ ชา คือ ความไมร่ ้จู ริง, ความหลง, อ.ทสก. ๒๔/๓/๒๑, อา้ งใน พระ พรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต), พจนานุกรม พุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม, พิมพค์ รง้ั ที่ ๑๓, (กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั เอสอาร์ พรนิ้ ติ้ง แมส โปรดกั ส์ จาํ กดั , ๒๕๔๔), หน้า ๒๘๓-๒๔๔. ๙๗ ที.ม. (บาล)ี ๑๐/๓๘๘/๒๕๔, ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๔/๓๑๕-๓๒๑. ๙๘ ข.อ.ุ (บาล)ี ๒๕/๑๐/๒๐๒-๒๐๓, ข.อ. (ไทย) ๒๕/๑๐/๑๘๖. ๙๙ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต) พทุ ธธรรม ฉบับปรับปรุงขยายความ, พิมพ์คร้ังท่ี ๑๑, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์บรษิ ทั สหธรรมิก จาํ กัด), ๒๕๔๙, หนา้ ๘๘๐.

การพฒั นาทกั ษะการคดิ เชงิ กลยทุ ธ์สําหรบั ครู ๘๑ (๒) ธัมมวจิ ยสัมโพชฌงค์ (ความเป็นธรรม) หมายถึง การใช้ปัญญาสอบสวน พิจารณา สิ่งท่ีสติกําหนดไว้ หรือธรรมท่ีสติระลึกรวบรวมนํามาเสนอ เพ่ือพิจารณาให้เห็นถึงการ เกิดข้ึน ตั้งอยู่ และดบั ไป ให้เกิดความเข้าใจตามสภาวะท่ีเปน็ สง่ิ ตลอดจนสามารมองเห็นอรยิ สจั จ์ (๓) วริ ยิ สมั โพชฌงค์ (ความเพยี ร) หมายถึง ความแกล้วกล้า เข้มแข็ง กระตือรือร้น ใน ธรรมหรอื ส่งิ ท่ปี ญั ญาเป็นได้ อาจหาญในความดี มกี ลงั ใจ บากบนั่ รุดไปข้างหน้า ไม่หดหู ไม่ท้อถอยหรือ ท้อแท้ (๔) ปีติสัมโพชฌงค์ (ความยืมใจ) หมายถึง ความเอิบอ่ิม ปราบปล้ืม ปรีย์เปรม ด่ืมดํา ซาบซ้ึง แชม่ ชน่ื ซาบซา่ น ฟูใจ (๕) ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ (ความสงบกายใจ) หมายถึง ความผ่อนคลายกายใจ สงบ ระงบั เรียบเย็น ไม่เครยี ด ไมก่ ระสับกระสา่ ย เบาสบาย (๖) สมาธิสัมโพชฌงค์ (ความมีใจดังน้ัน) หมายถึง ความมีอารมณ์เป็นหน่ึงเดียว จติ แนว่ แนต่ ่อสงิ่ ที่กาํ หนด ทรงตัว สมา่ํ เสมอ ไม่วอกแวก ไม่ฟุูงซา่ น (๗) อุเบกขาสัมโพชฌงค์ (ความวางเฉย) หมายถึง ความมีใจเป็นกลาง เพราะเห็น ตามความเป็นจริง สกั แตว่ า่ รู้ สกั แต่ว่าเหน็ นิง่ สงบ ไมส่ อดส่าย ไมแ่ ทรกแซง และในการเจริญธัมมานปุ ัสสนาสตปิ ัฏฐาน โดยกาํ หนดสมั โพชฌงคเ์ ปน็ อารมณ์ มวี ธิ ปี ฏิบตั ิ ดงั น้ี ๑. ร้ชู ดั ในขณะนั้นๆ วา่ โพชฌงค์ ๗ แตล่ ะอย่างมีอยใู่ นตนเองหรือไม่ ๒. ร้จู กั ในขณะนนั้ ๆ ว่า โพชฌงค์ ๗ แตล่ ะอยา่ งทีย่ ังไม่เกิด จะเกดิ ขน้ึ ได้อยา่ งไร ๓. รจู้ ักในขณะน้นั ๆ วา่ โพชฌงค์ ๗ แต่ละอย่างทีเ่ กิดขนึ้ แล้ว จะเจรญิ บรบิ รู ณ์ได้ อยา่ งไร๑๐๐ จะเห็นได้ว่าพระพุทธองค์ทรงยกเอาสติมาเป็นองค์แห่งการตรัสรู้อย่างแรก ใน โพชฌงค์ ๗ ซ่ึง เป็นองค์ประกอบที่สําคัญท่ีสุด ตรงกับสัมมาสติในอริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะถ้า ปราศจากสติเสียแล้ว ผู้ ปฏิบัติธรรมจะไม่อาจก้าวหน้าในหนทางแห่งการปฏิบัติได้ การเจริญสติ ระลึกรู้สภาวธรรมปัจจุบันจึง เป็นสิ่งที่สําคัญท่ีสุด เมื่อสติปรากฏนิวรณ์ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ แม้ โพชฌงค์อ่ืนก็ปรากฏโดยความเป็นผล ของสติ ดังความท่ีทา่ นกล่าวไวใ้ นจกั กวัตตสิ ตู รวา่ โพชฌงค์ ๗ เปน็ ธรรมท่ีปรากฏในโลก เม่ือมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นเท่านั้น เปรียบได้กับ รัตนะ ๒ คือจักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณีรัตน์ นางแก้ว คหบดีแก้ว และขุนคลังแก้ว พร้อมพระเจ้า จักรพรรดิ อนง่ึ ช้างแก้วเป็นตน้ นนั้ ปรากฏขึน้ เมอ่ื จักรแก้วปรากฏขึ้นก่อน ฉันใด โพชฌงค์ท้ังหลายย่อม ปรากฏ เมอ่ื มีสติปรากฏข้ึนก่อน ฉนั นั้น๑๐๑ ๑๐๐ ท.่ี ม. (บาลี) ๑๐/๓๘๕/๒๕๕, ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๕/๓๒๑-๓๒๓. ๑๐๑ ส.ํ ม. ๑9/๒๒๓/๙๘, อา้ งใน พระโสภณมหาเถระ (มหาสสี ยาคอ), มหาสติปฏั ฐานสตู ร, หนา้ 339.

การพฒั นาทกั ษะการคดิ เชิงกลยทุ ธส์ ําหรบั ครู ๘๒ เอกสารอา้ งองิ ประจาํ บท คาพอง สมศรสี ุข, “การพัฒนาคณุ ภาพชีวติ ตามหลกั พุทธธรรม ศกึ ษากรณกี ารเจริญสตแิ บบ เคล่อื นไหวของหลวงพอเทียน จิตฺตสโุ ภ”,วิทยานพิ นธศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต (บัณฑิต วทิ ยาลัย สถาบนั ราชภฎั เลย, ๒๕๔๖. ทะไลลามะ, จักรวาลในหน่ึงอะตอม การหลอมรวมวิทยาศาสตร์กับจิตวิญญาณ (The Universe in single atom), แปลโดย เพชรรัตน์ พงษ์เจรญิ สขุ , กรงุ เทพมหานคร : สวนเงนิ มีมา, ๒๕๕๐. พรสทิ ธิ์ อดุ มศิลป์จินดา (ผู้รวบรวม), โยนโิ สมนสกิ ารธรรม, พิมพ์ครง้ั ท่ี ๑๕, กรุงเทพมหานคร : สานกั พิมพเ์ ฟอ่ื งฟา้ , ๒๕๔๓. พระญาณโปณกิ เถระ, หวั ใจกรรมฐาน, แปลโดย พลตรนี ายแพทย์ชาญ สวุ รรณวภิ ชั , พิมพ์ครั้ง ท่ี ๗, กรุงเทพมหานคร : สานกั พมิ พ์ศยาม, ๒๕๔๘. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต), พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงขยายความ, พิมพ์ครั้งท่ี ๑๑, กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พบ์ รษิ ัท สหธรรมิก จากดั , ๒๕๔๙. พระโพธญิ าณเถระ (ชา สภุ ทฺโท), 48 พระธรรมเทศนา,พมิ พค์ ร้งั ท่ี 5, ศูนยเ์ ผยแพร่มรดกธรรม วดั หนองปุาพง, 2550. พระไพศาล วสิ าโล, “ตชิ นทั ฮันห์ มติ ิใหมข่ องพทุ ธศาสนา\" คอลัมน์มองอยา่ งพุทธ - มติชน รายวนั (๑๘ ก.พ. ๕๐), อ้างใน <http://www.thaiplurmvillage.org, (ตลุ าคม ๒๕๕๐). พระมหาไสว ญาณวีโร, คู่มอื วิปัสสนาจารย์, กรงุ เทพมหานคร : สานกั พิมพ์ เลย่ี งเชยี ง, ๒๕๔๙. พระโสภณมหาเถระ (มหาสีสยาดอ, มหาสติปฏั ฐานสตู ร, แปลและเรียบเรยี งโดย พระคนั ธสาราภวิ งศ์, พมิ พค์ รั้งที่ ๒, กรงุ เทพมหานคร : ห้างหุ้นสว่ นจากัด ไทยรายวนั การพมิ พ์, ๒๕๔๕. พระอาจารยจีนธรรมคณาการ, สารัตถธรรมมหายาน, กรงุ เทพมหานคร : ม.ป.ท. ๒๕๑๓. พทุ ธทาสภิกขุ, สติ, พิมพ์ครั้งท่ี ๒, กรงุ เทพมหานคร : จักรานกุ ลุ การพมิ พ์, ๒๕๒๘. ศานตเิ ทวะ, วิถีชีวติ ของพระโพธิสตั ว์ (โพธจิ รุยาวตาร), (Santideva, A guide to the Bodhisata way of life), แปลโดย โสรัจจ์ หงศ์ลดารมณ์, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แหง่ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๐. เสถยี ร โพธินนั ทะ, วิมลเกียรตนิ ิทเทสสตู ร, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพมหามกุฏราช วทิ ยาลยั , ๒๕๒๑. Mikulas, W, Minfulness, Self-control and personal growth, In Psychotherpy, meditation& health: A cognitive-behavioral perspective, cd. M.G. Kwee, London: East-Wast, 1990. Sayadaw U Pandita, In This Very Life, Boston : Wisdom publication, 1992.

บทท่ี 5 คุณธรรมของวชิ าชพี ครู 5.1 ความนา ในสงั คมโลกทอ่ี ดุ มไปด้วยการแข่งขัน ทาให้บางครั้งผู้คนเกิดความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เห็นแก่ ประโยชน์ส่วนตน จนขาดความยับยั้งชั่งใจ กระทาในส่ิงท่ีผิด ไม่คานึงถึงคุณธรรมจริยธรรม นาไป สู่หายนะของประเทศชาติ การศึกษา การอบรมและปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมจึงมีบทบาทสาคัญ ในการพฒั นาเยาวชนซ่งึ เป็นอนาคตของชาตใิ หเ้ ป็นคนดี มคี วามสมบรู ณ์พรอ้ ม ช่วยใหส้ งั คมประเทศชาติ สงบร่มเย็น ครูจึงต้องเป็นต้นแบบบุคคลคุณธรรมที่มีหน้าท่ีสอน ช้ีนาในสิ่งที่ถูกต้อง อบรมปลูกฝัง และ ขัดเกลาจิตใจ ให้เยาวชนสามารถพัฒนาด้านคุณธรรมจริยธรรมได้ด้วยตนเอง คุณลักษณะสาคัญของ ความเป็นครู คือครูต้องพัฒนาตนให้เป็นบุคคลที่ดีพร้อมท้ังความรู้และคุณธรรม(Morality/Virtue) ความประพฤติดคี วบคไู่ ปด้วย 5.2 ความหมายคณุ ธรรม พอรท์ เตอ๑ กล่าวว่า คุณธรรมเป็นปัจจัยในการดาเนินชวี ติ ของบุคคลในสังคม การดารงชีวิต อยใู่ นสงั คมไมเ่ พยี งแตใ่ หม้ ีชวี ิตอย่ไู ปวนั ๆ เทา่ นั้น ต้องมีการประเมินและเลือกสรรวิถีชีวิตของแต่ละคน ที่สังคมเห็นว่าดีหรือควรจะดี ปัจจัยในการเลือกนั้นเกี่ยวข้องกับระบบคุณธรรมของบุคคลในสังคมซ่ึง คณุ ธรรมของแต่ละบุคคลในสังคมหนึ่งอาจไมจ่ าเป็นต้องเหมือนกับบุคคลในอีกสังคมหนึ่ง สตัมพ์๒ ได้ให้ความหมายของคุณธรรมในเชิงปรัชญาว่า คุณธรรมเป็นการประพฤติปฏิบัติ เก่ียวข้องกบั สิ่งทเี่ รียกว่าถกู หรอื ผดิ ดหี รอื เลว พงึ ประสงค์หรือไม่พงึ ประสงค์ มคี ุณคา่ หรอื ไรค้ ุณคา่ กู๊ด๓ คุณธรรม คือ คุณภาพที่บุคคลได้กระทาตามความคิดและมาตรฐานของสังคมซ่ึง เกยี่ วข้องกบั ความประพฤตแิ ละศลี ธรรม และพระเทพวิสุทธิเมธี ได้อธิบายความหมายของคุณธรรมโดย แยกอธบิ ายความหมายเป็น 2 คา คือคาว่า “คุณ” หมายถึง ค่าที่มีอยู่ในแต่ละสิ่งซึ่งเป็นท่ีต้ังแห่งความ ยดึ ถอื ซง่ึ เป็นไปไดท้ ้งั ทางดแี ละทางร้าย ๑ Good, CarterV. (2014) Moral. [Online]. Availablefrom : ttp//onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1002/sce 37303 00256/abstract. [3 April 2014], 1980 p. 233ใ ๒ Stumpf, Samuel E. (1997). Philosophy history and problems. New York: PrenticeHall p. 3. ๓ Good, CarterV. (2014) Moral. [Online]. Availablefrom : http//onlinelibrary.wiley.com/doi/ 10.1002/sce 37303 00256/abstract. [3 April 2014], (2014 p,:1.

การพัฒนาทกั ษะการคดิ เชิงกลยทุ ธส์ าหรับครู ๘๔ พุทธทาสภิกขุ๔ อธิบายคาวา่ “ธรรม” มีความหมายคือ ธรรมชาติ เรามีหน้าที่ต้องเก่ียวข้อง ต้องเรียนรู้ ตอ้ งปฏบิ ตั ิ และต้องมีหนา้ ท่ีต้องปฏบิ ตั ิ คุณธรรมมาจากคาว่า “คุณ” และ “ธรรม” มารวมกันเป็นคุณธรรม จึงมีความหมายถึง ธรรมทเี่ ปน็ คุณสมบัตฝิ ุายดี เปน็ ท่ีตัง้ หรือเป็นประโยชน์แก่สันติสุข คุณธรรมเป็นส่วนที่ต้องอบรมหรือทา ให้เกิดขน้ึ พระธรรมปฏิ ก (ป.อ. ปยตุ โต)๕ และพระมหาอดิศร ถิระสโี ล๖ ได้ให้ความหมาย ของ คุณธรรมว่า ธรรมท่ีเป็นคุณความดีงาม ถูกต้อง ซึ่งเกิดจากความเข้าใจคุณค่าอันแท้จริงด้วยปัญญา คณุ ธรรมเป็นคณุ สมบัติทางกาย วาจา และใจ ท่ีเป็นคุณตรงกันข้ามกับที่เป็นโทษ ปลูกฝังอยู่ในอุปนิสัย อันดีงาม อยู่ในจิตสานึก อยู่ในความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอันเป็นเครื่องเหน่ียวร้ัง ควบคุมพฤติกรรมที่ แสดงออกสนองความปรารถนา รัตนวดี โชติกพนิช๗ ให้ความหมาย คุณธรรม คือ อุปนิสัยอันดีงามท่ีอยู่ในจิตใจของคน อยู่ ในความรู้สึกผิดชอบช่ัวดี ซึ่งเป็นส่ิงที่จะควบคุมพฤติกรรมท่ีแสดงออกสนองความปรารถนาคุณธรรม แบง่ ออกเปน็ 2 ลักษณะ คอื 1) คุณธรรมแบบทาส (Slave Virtue) เป็นลักษณะคุณธรรมที่ยึดถือและปฏิบัติตาม แบบอย่างของผู้ที่ทรงไวด้ ว้ ยคุณงามความดี เชน่ ถือแบบอย่างทีด่ จี ากผใู้ หญ่ ผบู้ งั คบั บญั ชา เป็นต้น 2) คุณธรรมแบบนาย (Master Virtue) เป็นลักษณะคุณธรรมที่ยึดถือและปฏิบัติตาม มโนธรรมของตนเองท่ีเห็นว่าถูกต้องดีงาม เช่น การให้ความยุติธรรมแก่ลูกน้อง หรือ บุคคล รอบข้าง เป็นต้น ประภาศรี สหี อาไพ๘ คุณธรรม หมายถึง หลักธรรมจริยาที่สร้างความรู้สึกชอบชั่วดีในทาง ศีลธรรม มีคุณงามความดีภายในจิตใจอยู่ในขั้นสมบูรณ์จนเต็มเป่ียมด้วยความสุข การเป็นผู้มีคุณธรรม คอื การปฏิบตั ิตนอยใู่ นกรอบอันดงี าม ยนต์ ชุม่ จิต๙ คุณธรรมมี 3 ประการ คอื 1) เปน็ คุณสมบตั ทิ ่เี ปน็ ความดคี วามถูกต้องซ่ึงมี อยู่ภายในจิตใจของบุคคล ช่วยทาให้พร้อมท่ีจะกระทาพฤติกรรมต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อตนเอง หรือผู้อ่ืน 2) เป็นหลักที่มนุษย์ถือเป็นแนวทางท่ีถูกต้องในการดาเนินชีวิต 3) เป็นหลักแห่งความ ประพฤติปฏิบัติและความรู้ความคิดที่ดีงามและเป็นธรรมชาติของความดี ลักษณะของความดี หรือ สภาพของความดที ีม่ ีอยู่ในตวั บคุ คลใดบุคคลหนง่ึ ๔ พทุ ธทาสภกิ ขุ, การศกึ ษาของโลกปัจจบุ ัน, (กรุงเทพมหานคร : ธนประดษิ ฐก์ ารพิมพ.์ 2529), หนา้ 89-90. ๕ พระธรรมปฏิ ก (ป.อ. ปยุตโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบบั ประมวลศัพท์. พิมพ์ครง้ั ที่ 8. กรุงเทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , 2538), หน้า 34. ๖ พระมหาอดิศร ถริ ะสโี ล, คุณธรรมสาหรับครู. พิมพค์ ร้ังท่ี ๑. กรุงเทพมหานคร : โอ. เอส.พรน้ิ ตงิ้ เฮา้ ส์. 2540) หนา้ , 56-57. ๗ รตั นวดี โชติกพนชิ , ความเป็นครู .พมิ พค์ รง้ั ที่ 4. กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์. 2550), หน้า 1. ๘ ประภาศรี สหี อาไพ, พื้นฐานการศกึ ษาทั้งศาสนาและจริยธรรม, พิมพค์ ร้ังที่ 4, (กรงุ เทพมหานคร : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2550), หนา้ 110. ๙ ยนต์ ช่มุ จิต, ความเปน็ ครู .พิมพค์ รั้งท่ี , (กรงุ เทพมหานคร : โอเดยี นสโตร์, 2550), หน้า 157.

การพฒั นาทักษะการคดิ เชงิ กลยทุ ธ์สาหรบั ครู ๘๕ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน๑๐ คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณงามความดี ความประพฤติท่ีดี การทาให้เกิดคุณงามความดี อุปนิสัยอันดีงามซ่ึงเป็นคุณสมบัติที่อยู่ภายในจิตใจของ บุคคล ได้แก่ ความเมตตากรุณา ความซ่ือสัตย์สุจริต ความเสียสละ ความเอ้ือเฟื้อ ความกตัญญู ความ พากเพยี ร ความเหน็ อกเหน็ ใจ ความละอายต่อความชั่วและความมุ่งม่ันกล้าหาญท่ีจะกระทาความดีทั้ง กายและใจเพ่ือใหเ้ กิดความสขุ แก่ตนเองและผู้ร่วมงาน ราชบัณฑิตสถาน๑๑ กล่าวถึง “คุณธรรม” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2542 ได้ให้ความหมายวา่ “สภาพคณุ งามความดี” จากนิยามดังกล่าว สรุปได้ว่า คุณธรรม หมายถึง หลักธรรมจริยาท่ีสร้างความรู้สึกชอบชั่วดี ภายในจติ ใจทเี่ ต็มเปีย่ มด้วยความสขุ ทาให้ประพฤติปฏิบตั ติ นอย่ใู นกรอบอนั ดีงาม 5.2 ความสาคญั ของคุณธรรมของวิชาชีพครู คุณธรรมเป็นเสมือนหลักการสาคัญท่ีให้ไว้สาหรับบุคคลหรือสังคมได้นาไปประยุกต์ใช้ใน การดารงชีวิต จะช่วยให้บุคคลปฏิบัติงานได้อย่างราบรื่น มีความสาเร็จในงานที่ทา เป็นคนดีของ ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ สาหรับครกู บั คณุ ธรรมนั้นจะต้องเป็นของคู่กัน หากครูขาดคุณธรรม เมอ่ื ใดกเ็ หมอื นกับนักบวชทีไ่ ร้ศลี ในฐานะท่ีครูเป็นผู้มีหน้าท่ีอบรมส่ังสอนเยาวชนให้เป็นคนดี มีคุณภาพ ครูจาเป็นต้องมี คุณธรรมเป็นอย่างย่ิง เพราะคุณธรรมจะช่วยให้ครูเป็นผู้มีความประพฤติที่ดีงาม มีการวางตัวดีและ เหมาะสมกับกาลเทศะ เป็นท่ีเคารพ และเป็นนา่ เชอื่ ถือของศิษย์ ผู้ประกอบวิชาชีพครูจึงจัดว่าเป็นบุคคล ที่ตอ้ งมคี ุณธรรมนาชวี ิต โดยความสาคญั ของคุณธรรมต่อผู้ประกอบวิชาชีพครนู น้ั พระมหาอดิศร ถิรสีโล๑๒ ได้จาแนกความสาคัญของคุณธรรม จริยธรรม สาหรับครูไว้ 4 ดา้ น ดังน้ี 1) ด้านตวั ครู คณุ ธรรมจริยธรรมมีความสาคญั สาหรบั ตวั ครูเองสรปุ ไดด้ ังน้ี 1.1) ช่วยทาใหค้ รูเจริญก้าวหน้าและมคี วามม่นั คงในงานอาชพี ครู 1.2) ไดร้ บั การยกยอ่ งสรรเสริญจากบคุ คลทั่วไป เป็นทเ่ี คารพรักใครข่ องศิษย์ 1.3) มีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข ไร้ภยันตรายใดๆ เพราะแวดล้อมด้วยความรัก ความนับถอื จากศิษย์และประชาชนท่ัวไป 1.4) ครอบครัวมีความอบอนุ่ มัน่ คง ฐานะทางเศรษฐกิจไม่ฝืดเคอื ง 2) ดา้ นสถาบันวิชาชพี ครู คณุ ธรรมจริยธรรมมคี วามสาคัญสรปุ ไดด้ ังนี้ 2.1) ทาใหช้ อ่ื เสียงของคณะครูเปน็ ทศ่ี รทั ธาเลอื่ มใสของปวงชน ๑๐ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน (2553 :1) ๑๑ ราชบณั ฑติ สถาน, ). สภาพคุณงามความดี [ออนไลน]์ . สืบคน้ จาก : http//rirs3.royin.go.th/new- search/word-search-all-x.asp. [1 สิงหาคม 2557], (2554 หนา้ 187. ๑๒ พระมหาอดศิ ร ถิรสโี ล,คุณธรรมสาหรบั ครู. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๑. กรงุ เทพมหานคร : โอ.เอส.พรนิ้ ติ้ง เฮ้าส.์ 2540), หนา้ 60-61.

การพัฒนาทักษะการคดิ เชิงกลยทุ ธส์ าหรบั ครู ๘๖ 2.2) งานวิชาชีพครูมีความเจริญก้าวหน้า เพราะทางานเต็มกาลังความสามารถ มีความคิดริเริ่มสรา้ งสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชนใ์ หม่ๆ อย่เู สมอ 2.3) สถานศึกษาได้รับการพัฒนาอยา่ งเต็มท่ี เพราะได้รับความร่วมมือช่วยเหลือจาก ประชาชนอย่างเตม็ กาลงั 3) ด้านสงั คมและชุมชน คณุ ธรรมจริยธรรมมคี วามสาคญั สรุปได้ดงั น้ี 3.1) สมาชิกของสงั คมเป็นคนดีมคี ุณธรรมสูง รูจ้ กั สทิ ธแิ ละหน้าท่ีอย่างถกู ต้อง 3.2) สงั คมมีสันติสขุ เพราะสมาชกิ ของสงั คมไดร้ ับการสง่ั สอนจากผู้มีคณุ ธรรม 3.3) สังคมได้รับการพัฒนาให้เจริญก้าวหน้า เพราะสมาชิกทุกคนมีคุณธรรมจึงต่าง กระทาหนา้ ทข่ี องคนอย่างเตม็ ความสามารถ 4) ด้านความมัน่ คงของชาติ คุณธรรมจรยิ ธรรมมคี วามสาคัญสรุปไดด้ งั น้ี 4.1) สถาบัน ศาสน์ กษัตริย์ มีความมน่ั คง เพราะประชาชนมคี วามรกั ความเข้าใจและเห็น ความสาคญั อยา่ งแท้จริง 4.2) ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมของชาติมีความม่ันคงถาวรเพราะครูอาจารย์ ไดอ้ บรมสัง่ สอนศษิ ย์ให้มีความรคู้ วามเขา้ ใจและปฏิบตั ไิ ด้อยา่ งถูกต้องเหมาะสม ศภุ านนั สทิ ธิเลศิ ๑๓ ไดส้ รุปความสาคญั ของคณุ ธรรมไว้ ดังนี้ 1) คุณธรรมช่วยหล่อหลอมให้เป็นคนที่มีความพอดี ไม่ขาดไม่เกินความพอดีนี้ก็คือการ เดินทางสายกลาง ความพอประมาณอยู่ระหว่างการโอ้อวดกับการถ่อมตน ความมัธยัสถ์เป็นคุณธรรมที่ อยู่ระหว่างความตระหน่ีกับความฟุมเฟือย ความกล้าหาญเป็นคุณธรรมที่อยู่กลางระหว่างความขี้ขลาด กับความบ้าบ่นิ 2) คณุ ธรรมช่วยใหเ้ ป็นคนทีร่ จู้ ักใชเ้ หตผุ ลและใช้ปัญญา คนท่มี คี ณุ ธรรมจะต้องทาทุกอย่าง ด้วยเหตุผล ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปัญญาเป็นคุณธรรมของวิญญาณส่วนที่เป็นเหตุผล และปัญญาเป็น เครือ่ งนาทางให้ทาในสงิ่ ท่ถี กู ต้อง 3) คุณธรรมช่วยให้เป็นคนกล้าหาญ ความกล้าหาญเป็นคุณธรรมที่สาคัญมากในการ ดารงชีวิตสว่ นบคุ คล เปน็ คุณธรรมของวิญญาณในส่วนท่ีมีอารมณ์ คนท่ีมีคุณธรรมจะกล้าทาในส่ิงที่ควร ทาและไมก่ ล้าทาในส่ิงท่ีไมส่ มควร ความกลา้ จะชว่ ยให้มนุษย์ยืนหยัดที่จะทาในสิ่งท่ีถูกต้องดีงามไม่ว่าจะ มีอุปสรรคเพียงใด 4) คุณธรรมชว่ ยให้เปน็ คนมีความยุติธรรม ความยุติธรรมเป็นคุณธรรมส่วนบุคคลที่มาจาก ลกั ษณะภายในจติ ใจ ประกอบด้วยเหตผุ ล อารมณแ์ ละความปรารถนาหรอื ความตอ้ งการ ผกา สัตยธรรม๑๔ กล่าวว่า คุณธรรมจรยิ ธรรมต่อผู้ประกอบอาชีพครูมีความสาคัญ ระหว่าง คุณธรรมของครูเปน็ สิง่ ที่จาเปน็ และสาคญั แกค่ รแู ละผ้เู ก่ยี วข้องดงั นี้ 1) คุณธรรมของครู ทาให้ครูเป็นผู้เป็นคนดี เพราะมีคุณสมบัติท่ีดีจากการปฏิบัติตาม คุณธรรมตา่ ง ๆ เหล่านนั้ ผ้ทู ่ีมคี ุณธรรมประจาใจยอ่ มเป็นทเ่ี คารพบูชาของผู้อ่นื ๑๓ ศุภานนั สทิ ธิเลิศ, เอกสารคาสอนรายวชิ าความเปน็ ครู, ( กรงุ เทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สวน สนุ ันทา, 2549), หน้า 250. ๑๔ ผกา สัตยธรรม, คุณธรรมของคร.ู พมิ พค์ ร้งั ที่ 2, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์พลอยเพลท, 2550), หน้า 32-33.

การพัฒนาทักษะการคดิ เชิงกลยทุ ธส์ าหรบั ครู ๘๗ 2) ผู้เป็นครูสามารถนาเอาคุณธรรมต่าง ๆ ที่ประพฤติปฏิบัติอยู่ไปอบรมสั่งสอน และ เป็นตวั อยา่ งทีด่ แี กศ่ ษิ ย์ 3) คุณธรรมของครู ทาให้เกิดศรัทธาเล่ือมใสจากใจของผู้เกี่ยวข้อง ก่อให้เกิดความ มน่ั คงวชิ าในอาชพี ครู 4) เป็นท่ีแน่ใจว่าประชาชนของชาติจะเป็นคนดีได้ตามท่ีครูได้ให้การอบรม ส่ังสอน แนะแนวและแนะนาให้ปฏิบตั ิคุณธรรมตามความเหมาะสม 5) คณุ ธรรมของครมู ผี ลต่อสภาพความเปน็ อยู่ของบุคคลในสังคม จากการเป็นพลเมือง ดีมีคุณธรรม ก็จะเป็นผลให้สังคมมีความสงบสุข เพราะทุกคนมีกิจกรรมควบคู่ไปกับความรู้ ทาให้ไม่ เบียดเบียน ฆา่ ฟนั กนั 6) ในสังคมท่ีมีคนดีมีคุณธรรมควบคู่กับความรู้ การพัฒนาประเทศชาติก็จะเจริญและ ก้าวหนา้ ขึน้ กว่าเดมิ ไม่มีปญั หาการกอบโกย คอยหาแตป่ ระโยชนส์ ว่ นตัว แต่จะเห็นแก่ส่วนรวมเป็นส่วน ใหญ่ และทาประโยชนใ์ หแ้ ก่ประเทศชาตอิ ยา่ งแท้จริง 7) ทาให้ครูสามารถประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะนาเอาคุณธรรม ทางดา้ นการสอนมาใช้ ทาให้การเรียนการสอนพัฒนาข้ึนกว่าครูที่ไม่มีคุณธรรมทางด้านการสอน เพราะ ไม่รู้ว่าจะสอนให้ดีให้เกิดความเข้าใจได้อย่างไร สอนอย่างใดทาให้เกิดปัญญาแก่ศิษย์ ทาให้เกิดการ พฒั นาในตวั เดก็ 8) การสอนให้เกิดคุณธรรมในตัวนักเรียน ย่อมก่อให้เกิดความม่ันคงในสถาบันต่างๆ ของชาติ และทาใหช้ าติม่นั คง 9) การถา่ ยทอดวฒั นธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาติ จะเกิดขึ้นได้ เพราะครูมี คุณธรรมในการอบรมสั่งสอนให้ศษิ ยไ์ ดร้ ับความรู้เก่ียวกับความสาคัญของวัฒนธรรมของชาติ เพื่อให้เกิด การสบื ทอดทางวฒั นธรรม สรุปได้ว่า คุณธรรมเป็นคุณงามความดีของบุคคลทุกอาชีพทุกคนที่ได้กระทาด้วยสานึกใน จิตใจ โดยมีเปูาหมายว่าเป็นการทาความดีหรือเป็นพฤติกรรมที่ดีเป็นท่ียอมรับของสังคม เช่น ความมี น้าใจ ความเสียสละ ความเกรงใจ ความยุติธรรม ความพอประมาณ ความมีเหตุผล ความรักท่ีมีต่อกัน ของเพอ่ื นมนษุ ย์ ความเหน็ อกเห็นใจเพื่อนมนษุ ย์ ความเปน็ กลั ยาณมิตร หรือการมมี ารยาทที่งดงาม โดย คณุ ธรรมก่อใหเ้ กดิ จรยิ ธรรมทีเ่ หมาะสม และคณุ ธรรมควรเปน็ สิ่งทป่ี ลูกฝังสร้างสมให้เกิดข้ึนและดารงไว้ ใหม้ ีอยูใ่ นตัวบคุ คล ซงึ่ มีความสาคญั และมีคุณประโยชน์ต่อบุคคลทุกคนทุกอาชพี คุณธรรมมีความสาคัญต่อครู คือ ครูท่ีมีคุณธรรมในตนเองจะเป็นหลักประกันคุณภาพของ ครูใหเ้ ปน็ ทยี่ อมรับ เช่ือถอื ศรทั ธาจากลูกศิษย์ ผปู้ กครองและบุคคลในชมุ ชนในสังคม 5.3 คุณธรรมของวิชาชพี ครู การเตรียมการสร้างภูมิคุ้มกันให้ประเทศอย่างย่ังยืน คือการพัฒนาครูให้มีคุณภาพท้ังความรู้ และคุณธรรม เมอ่ื ครูมคี ุณธรรมผู้เรียนก็กลายเป็นคนมีคุณธรรมไปด้วย ครูยุคใหม่ต้องฝึกฝนและพัฒนา ตนใหเ้ ป็นผู้มีคณุ ธรรมและความร้ตู ามแนวคดิ ตา่ ง ๆ ดงั น้ี

การพฒั นาทักษะการคดิ เชิงกลยุทธ์สาหรบั ครู ๘๘ 5.3.1 คุณธรรมของวิชาชีพครตู ามพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ วั เรืองวิทย์ ล่ิมปนาท๑๕ ได้ศึกษาพระราชกรณียกิจต่าง ๆของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแสดงให้เห็นถึงความเป็นครูที่มีลักษณะพิเศษ ด้วยทรงมีพระราชหฤทัยอันเป่ียมล้นไปด้วย ทศพธิ ราชธรรมและธรรมะที่มีส่วนช่วยส่งเสริมความเป็นครู จากรายงานการศึกษาค้นคว้าความเป็นครู สถติ ในหฤทัยราษฎร์ ได้รายงานผลการศกึ ษาวิจัยท่ีแสดงให้เห็นถึงทศพิธราชธรรมของพระองค์ เพ่ือเป็น แบบอย่างแกป่ ระชาชนชาวไทย สรปุ ไดด้ งั น้ี 1.1 ทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบาเพ็ญธรรมข้อนี้อย่างสม่าเสมอ ดังจะเห็นได้ จากการที่พระราชทานส่ิงของโดยตรงด้วยพระองค์เอง ในเวลาท่ีราษฎรประสบกับภัยธรรมชาติต่าง ๆ หรอื ทรงสง่ เสรมิ งามพัฒนาทั้งด้านการพัฒนาที่ดิน การชลประทาน การเกษตร การแพทย์ อันเป็นการ ส่งเสริมให้ราษฎรได้มโี อกาสอยดู่ ีกนิ ดี 1.2 ศีล ทรงศึกษาเกี่ยวกับศีลธรรมและพุทธศาสนาอยู่เสมอ รวมถึงการอบรมส่ังสอน ราษฎรของพระองค์เสมอ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่บัณฑิตเนื่องในโอกาส สาเรจ็ การศกึ ษาจากมหาวทิ ยาลัย พระองค์ทรงเน้นว่าการดาเนินชีวิตหรือทาการงานต่าง ๆ น้ัน จะต้อง ยดึ หลักศีลธรรมประกอบหลักวิชาการดว้ ย 1.3 บริจาคะ หรือการเสียสละ เป็นธรรมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติอย่าง สม่าเสมอทสี่ ุด ทงั้ นี้เพราะพระองค์ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อที่จะบาเพ็ญพระราชกรณียกิจ ทั้งปวง โดยมไิ ดท้ รงยอ่ ท้อตอ่ ความเหนือ่ ยยากตรากตราใด ๆ ทัง้ ส้ิน แม้จะเปน็ พนื้ ท่เี สย่ี งอนั ตรายกต็ าม 1.4 อาชชวะ หมายถงึ ความตรง ความซ่ือสัตย์ และความจริงใจในการทางาน ธรรมข้อน้ี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีความซื่อตรงและความจริงใจในการทางาน ทรงวางพระองค์เป็น กลาง ทรงรว่ มทกุ ข์ร่วมสุขกับราษฎรทุกหมู่เหล่า โดยมิเลือกเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ดังน้ันพระองค์จึง ไมเ่ คยทจ่ี ะแสดงใหเ้ ห็นถงึ พระอคติลาเอยี งใด ๆ ให้ปรากฏ 1.5 มทั ทวะ หมายถึง ความเป็นผู้อ่อนโยน มีสมั มาคารวะต่อผู้ใหญ่ แสดงความอ่อนโยนต่อ ผู้มีฐานะเสมอกันและต่ากว่า จะพบเห็นพระองค์ทรงบาเพ็ญธรรมข้อนี้เสมอ เช่น ภาพท่ีทรง ประคับประคองพระภิกษุที่สูงอายุ หรือในขณะที่เสด็จพระราชดาเนินทรงเย่ียมราษฎรก็จะไม่ถือ พระองค์ทรงมีพระราชอัธยาศัยอ่อนโยนสง่าและสงบ ทรงวางพระองค์อย่างสม่าเสมอตลอดมา จึงเปน็ ทเ่ี คารพรกั ใครข่ องราษฎรทุกหมูเ่ หล่า รวมถงึ ชาวต่างประเทศดว้ ย 1.6 ตบะ หมายถึง ความมีวิริยะหรือความเพียร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแสดง พระองค์ให้เหน็ ถึงธรรมข้อน้ี จะเห็นได้จากการที่ทรงมีความเพียรในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจท้ังทาง โลกและทางธรรม ในทางโลกพระองค์ทรงมีความเพียรในการทรงงานต่าง ๆ ด้วยมุ่งหวังที่จะให้ราษฎร ได้อยู่ดีกินดี ในทางธรรมพระองค์ทรงมีวิริยะในการปฏิบัติธรรมไม่ว่าจะเป็นการน่ังสมาธิทรงถืออุโบสถ ศีลอย่างเครง่ ครดั 1.7 อักโกธะ หมายถึง ความไม่โกรธ ธรรมข้อน้ีพระองค์ทรงแสดงให้เห็นอย่างดีในการ เสด็จพระราชดาเนินไปเยือนต่างประเทศเมื่อ พ.ศ. 2505 ณ ประเทศออสเตรีย ทรงถูกท้าทายจาก นักศึกษากลุ่มหน่ึงที่เป็นพวกหัวรุนแรง ได้ถือปูายมีข้อความให้ร้ายประเทศไทย พระองค์กลับไม่ได้ ๑๕ เรืองวทิ ย์ ลมิ่ ปนาท, ความเปน็ ครสู ถิตในหทยั ราช, (กรุงเทพมหานคร : รุ่งศิลปก์ ารพิมพ์ จากัด 2539), หนา้ 65-66.

การพัฒนาทกั ษะการคดิ เชิงกลยทุ ธส์ าหรบั ครู ๘๙ แสดงท่าทีว่ามีอารมณ์โกรธ แต่กลับให้ความเมตตาและกล่าวคาชี้แจงให้บุคคลเหล่าน้ันได้เข้าใจถึง ประเทศไทยให้ดีขึน้ เป็นการยากทจ่ี ะมผี ู้ใดควบคุมอารมณไ์ ดเ้ ช่นพระองค์ในสถานการณ์เชน่ น้นั 1.8 อวิหิงสา หมายถึง ความไม่เบียดเบียน เป็นธรรมที่จะช่วยให้คนอยู่ร่วมกันได้อย่าง มีความสุข คุณธรรมที่สอดคล้องในเรื่องการไม่เบียดเบียนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดารัสถึงบ่อยคร้ังมาก ทั้งน้ีเพราะธรรมดังกล่าวจะช่วยให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างมี ความสุข 1.9 ขันติหรือความอดทน ไม่ว่าจะเป็นการอดทนทางกาย จิตใจ ธรรมข้อน้ีคงเป็นสิ่ง ที่เห็นได้ไม่ยากนัก ท้ังนี้เพราะพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบาเพ็ญน้ัน ล้วนแตต่ อ้ งใชค้ วามอดทนทง้ั ทางกาย วาจา และใจทั้งส้ิน ซึ่งหมายถึงพระองค์ทรงเป็นผู้ให้เพียงอย่าง เดยี ว 1.10 อวิโรธนะ หมายถึง การโอนอ่อนผ่อนปรน การประสมประสานให้เกิดความสามัคคี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถในธรรมข้อนี้อย่างดี ในเวลา บ้านเมืองเกิดวิกฤตการณท์ างการเมือง สรุปไดว้ า่ คณุ ธรรมของวิชาชีพครูตามพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ หลกั ทศพิธราชธรรม ไดแ้ ก่ ทาน ศลี ปริจาคะ อาชชวะ มัททวะ ตบะ อักโกธะ อวิหิงสา ขันติ อวิโรธ นะ สมควรท่ีครูจะศึกษาและเรียนรู้เพ่ือดาเนินตามรอยพระบาท เพ่ือจะได้มีชีวิตที่ดี สังคมสงบสุข และ ประเทศชาติเจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะผู้ท่ีเป็นครู จาเป็นต้องยึดถือปฏิบัติเพ่ือประโยชน์ของตนเองและ ผอู้ ืน่ 5.3.2 คุณธรรมของวชิ าชพี ครูท่จี าเป็นสาหรบั สงั คมไทย คณุ ธรรม 4 ประการของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ภูมพิ ลอดลุ ยเดชมหาราช สานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน๑๖ กล่าวถึง คุณธรรม 4 ประการ เปน็ คณุ ธรรมทพ่ี ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันทรงนาเอาคาแปลของพระศาสนธรรมคาสั่ง สอนทางพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า ฆราวาสธรรม มารวมเป็นพระบรมราโชวาท เพื่อเป็นหลักให้ ประชาชนคนไทยทุกคนได้ศึกษา และนาไปปฏิบัติปลูกฝังให้เจริญงอกงามในจิตใจ จะช่วยให้ ประเทศชาติเกดิ ความสงบสุข รม่ เย็น ประกอบด้วย คุณธรรมประการที่ 1 คือ การรักษาความสัจความจริงใจต่อตัวเองท่ีประพฤติปฏิบัติ แต่สิ่งทเ่ี ป็นประโยชน์และเป็นคณุ ธรรม ความสัจ คือ สัจจะ ความจริงใจ เป็นคนพูดจริงทาจริงอย่างไรก็ปฏิบัติอย่างนั้นเป็น ปกตินิสัย เป็นที่ยอมรับของสังคม ซึ่งตรงข้ามกับคนไม่มีสัจจะความจริงใจ เป็นคนใจคอโลเล พูดไม่จริง ทาไม่จริง เป็นคนปากกับใจไม่ตรงกัน ดังคาพังเพยที่ว่า เม่ือไม่ทาดังปากว่า และจะเอาหน้าไปไว้ท่ีไหน คนทไี่ ม่มสี จั จะอยใู่ นจิตใจเปน็ บคุ คลท่ีไร้ค่า เปน็ บคุ คลที่สงั คมไม่ปรารถนา คณุ ธรรมประการที่ 2 คือ การรจู้ กั ขม่ ใจตนเอง ใหป้ ระพฤติและปฏบิ ัติอย่ใู นความสัจ ความดีน้ัน คณุ ธรรมขอ้ น้แี ยกไดเ้ ปน็ 2 ประการ คือ ๑๖ สานกั งานคณะกรรมการขา้ ราชการพลเรอื น, แนวคดิ ทฤษฎดี า้ นจรยิ ธรรม. คู่มือ : การพฒั นาและ สง่ เสรมิ การปฏิบตั ติ ามมาตรฐานทางจรยิ ธรรมข้าราชการพลเรือนสาหรับ คณะกรรมการจรยิ ธรรม [ออนไลน์]. สบื ค้นจาก : http://www.ocsc.go.th/ocsc/th/ uplo ads/file/ethic/f6.pdf. [15 สิงหาคม 2557]. 2551, หนา้ 1.

การพฒั นาทักษะการคดิ เชงิ กลยุทธส์ าหรบั ครู ๙๐ 1) รู้จักข่มใจตนเอง ให้ประพฤติและปฏิบัติอยู่ในความสัจความดีน้ันการข่มใจ หมายถึง การรจู้ กั บังคบั ตนเอง ไมใ่ หโ้ ลภอยากได้ในทางทุจริตผิดศีลธรรม ไม่ให้โกรธเคืองคิดอาฆาตพยาบาทจอง เวร ไมห่ ลงงมงาย คนทีม่ คี วามข่มใจจะเปน็ คนเก็บอารมณ์เก่ง ไม่แสดงอาการผดิ ปกติออกนอกหน้า ตาม คาพงั เพยท่ี ว่า เกบ็ นา้ ใจขุน่ ไวข้ า้ งในนานา้ ใสไวข้ า้ งนอก 2) การฝึกใจ หมายถึง การรู้จัดฝึกฝนตนเองรู้จักฝึกตัวฝึกใจปรับปรุงแก้ไขตัวเอง ให้ เหมาะสมกบั ภาวะและสถานะของตน อกี ประการหน่ึงคือการหยุดใจ เป็นการรู้จักยับยั้งใจไม่ถลาลงไปสู่ ความช่ัว ความผิด ความเสียหาย คณุ ธรรมประการท่ี 3 คือ การอดทน อดกล้นั และอดออม ที่จะไม่ประพฤตลิ ว่ งความทุจริต ไม่วา่ จะดว้ ยเหตปุ ระการใด เป็นคณุ ธรรมทส่ี ามารถแยกได้เป็น 6 อย่าง ได้แก่ 1) การอดทนท่จี ะไมป่ ระพฤตลิ ว่ งความสัจ ไมว่ ่าจะเปน็ ดว้ ยเหตปุ ระการใด 2) การอดทนท่ีจะไมป่ ระพฤตลิ ว่ งความสจั สจุ ริต ไมว่ า่ จะเปน็ ดว้ ยเหตปุ ระการใด 3) การอดกล้ันทจ่ี ะไมป่ ระพฤตลิ ่วงความสัจ ไม่ว่าจะเป็นเหตุประการใด 4) การอดกลน้ั ทจี่ ะไมป่ ระพฤติล่วงความสจุ รติ ไม่วา่ จะเป็นด้วยเหตปุ ระการใด 5) การอดออมท่ีจะไม่ประพฤติลว่ งความสัจ ไมว่ ่าจะเป็นด้วยเหตปุ ระการใด 6) การอดออมทีจ่ ะไม่ประพฤติล่วงความสจุ รติ ไม่ว่าจะเป็นดว้ ยเหตุประการใด การอดทน อดกลั้น อดออม ก็เพ่ือให้พ้นจากสภาพท่ีเลว และให้ได้มาซึ่งสภาพท่ีดีไม่ว่า จะเป็นด้วยเหตุประการใด ๑.การอดทน ที่จะไม่ประพฤติล่วงความสัจสุจริต ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุ ประการใด ๒. การอดกล้ัน ที่จะไม่ประพฤติล่วงความสัจ ไม่ว่าจะเป็นเหตุประการใด ๓. การอดกลั้น ท่ี จะไม่ประพฤติล่วงความสุจริต ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุประการใด ๔. การอดออม ที่จะไม่ประพฤติล่วง ความสัจ ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุประการใด ๕. การอดออม ท่ีจะไม่ประพฤติล่วงความสุจริต ไม่ว่าจะเป็น ดว้ ยเหตปุ ระการใด๖.การอดทน อดกลน้ั อดออม กเ็ พอ่ื ใหพ้ น้ จากสภาพทเี่ ลว และใหไ้ ดม้ าซึง่ สภาพที่ดี คุณธรรมประการที่ 4 การรู้จักละความชั่ว ความทุจริต และรู้จักสละประโยชน์ส่วน น้อยของตน เพื่อประโยชน์สว่ นใหญ่ของบ้านเมอื ง คณุ ธรรมข้อนีเ้ ปน็ การสอนให้ละวาง 2 อย่าง คอื 1) ละวางความชั่ว 2) ละวางความทุจริตและสละประโยชน์ส่วนน้อยของตน เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของ บ้านเมือง การละวาง หมายถึง การละท้ิง ไม่ใส่ใจอารมณ์ท่ีมารบกวนให้เรากระทาช่ัว ให้เรากระทา ทจุ ริตซง่ึ ทาให้เสียความจริงใจ สละวัตถุและสละอารมณ์ การเสียสละวัตถุหรือส่ิงของธรรมดา เราอยู่ใน สังคมต้องรู้จักการเสียสละในคราวที่ควรจะเสียสละ ต้องรู้จักแบ่งปันแก่คนที่สมควรจะให้การแบ่งปัน เปน็ การแสดงความมีน้าใจ การเสียสละอารมณ์เป็นการปลดเปลื้องอารมณ์ในสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาอันจะ ทาให้บุคคลอืน่ เกิดความขัดใจ ไม่พอใจ เพ่อื ประโยชนส์ ว่ นใหญ่ของบ้านเมือง คือถ้าหากเราเสียสละแล้ว ไม่ว่าวัตถุก็ดี อารมณ์ก็ดี ส่ิงเหล่าน้ีจะก่อให้เกิดความสุขสงบของบุคคล สังคม ก็ย่อมท่ีจะทาให้ บ้านเมอื งเกิดความสงบสขุ ร่มเย็นดว้ ยแล้ว เรากค็ วรที่จะปฏบิ ัติ สรุปได้ว่า คุณธรรม 4 ประการที่ครูทุกคนควรจะศึกษาและน้อมนามาปฏิบัติ มีอยู่ 4 ประการ ประการแรกคือ การรักษาความสัจ ความจริงใจต่อตัวเองที่จะประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งท่ีเป็น ประโยชน์ และเป็นธรรม ประการท่ีสองคือ การรู้จักข่มใจตนเอง ฝึกใจตนเอง ให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ใน ความสัจความดีนั้น ประการที่สามคือ การอดทน อดกล้ัน และอดออมที่จะไม่ประพฤติล่วงความสัจ สุจริต ไม่ว่าด้วยเหตุประการใด ประการท่ีสี่คือ การรู้จักละวางความชั่ว ความทุจริต และรู้จักสละ

การพฒั นาทักษะการคดิ เชิงกลยทุ ธส์ าหรบั ครู ๙๑ ประโยชน์ส่วนน้อยของตน เพ่ือประโยชน์ส่วนใหญ่ของบ้านเมือง คุณธรรม4ประการนี้ ถ้าครูแต่ละคน พยายามปลูกฝังและบารุงให้เจริญงอกงามขึ้นโดยทั่วกันแล้ว จะช่วยให้ประเทศชาติบังเกิดความสุข ความรม่ เย็น และมีโอกาสท่จี ะปรบั ปรุงพัฒนาให้มั่นคงกา้ วหนา้ ตอ่ ไปได้ดังประสงค์ 5.3.3 คุณธรรมพืน้ ฐาน 8 ประการของครู กระทรวงศกึ ษาธิการ(กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2550) ประกาศนโยบายเร่งรัดการปฏิรูป การศึกษา โดยยึดคุณธรรมนาความรู้ สร้างความตระหนักสานึกในคุณค่าปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ความสมานฉันท์ สันติวิธี วิถีประชาธิปไตย พัฒนาคนโดยใช้คุณธรรมเป็นพ้ืนฐานของกระบวนการ เรียนรู้ท่ีเชอื่ มโยงความร่วมมอื ของสถาบันครอบครวั ชมุ ชน สถาบนั ศาสนา และสถาบันการศึกษา โดยมี จุดเน้นเพื่อพัฒนาเยาวชนให้เป็นคนดี มีความรู้และอยู่ดีมีสุข เพื่อให้การขับเคล่ือนดังกล่าวมีความ ชัดเจนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และสามารถนาไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นธรรม ครูควรมี 8 คุณธรรม พื้นฐาน ประกอบด้วยขยัน ประหยัด ซ่ือสัตย์ มีวินัย สุภาพ สะอาด สามัคคี มีน้าใจ โดยมีรายละเอียด ดงั นี้ 1) ขยัน คือ ความต้ังใจเพียรพยายาม ทาหน้าที่ การงานอย่างต่อเนื่อง สม่าเสมอ อดทน ความขยันต้องปฏิบตั คิ วบคู่กับการใชส้ ติปญั ญาแก้ปญั หาจนเกิดผลสาเรจ็ ผ้ทู มี่ คี วามขยันคอื ผทู้ ี่ตงั้ ใจทาอย่างจริงจังต่อเนื่องในเร่ืองที่ถูกที่ควรเป็นคนสู้งานมี ความพยายามไมท่ ้อถอย กลา้ เผชญิ อปุ สรรค รักงานทีท่ า ตง้ั ใจทาอย่างจริงจงั 2) ประหยัด คือ การรู้จักเก็บออม ถนอมใช้ทรัพย์สินส่ิงของแต่พอควรพอประมาณให้ เกิดประโยชนค์ มุ้ ค่า ไม่ฟุมเฟือย ฟุูงเฟอู ผทู้ มี่ ีความประหยัดคือ ผู้ทีด่ าเนินชวี ติ ความเปน็ อยูท่ ่เี รียบงา่ ย ร้จู กั ฐานะการเงิน ของตน คิดก่อนใช้ คิดก่อนซื้อ เก็บออม ถนอมใช้ทรัพย์สินสิ่งของอย่างคุ้มค่า รู้จักทาบัญชีรายรับ- รายจา่ ย รายออมของตนเองอย่เู สมอ 3) ซ่ือสัตย์ คือ ประพฤติตรงไม่เอนเอียงไม่มีเล่ห์เหล่ียม มีความจริงใจ ปลอดจาก ความร้สู ึกลาเอยี ง หรอื อคติ ผ้ทู ่มี คี วามซอื่ สตั ย์คือ ผู้ทม่ี คี วามประพฤติตรงทั้งตอ่ หนา้ ที่ ตอ่ วิชาชพี ตรงตอ่ เวลา ไมใ่ ชเ้ ลห่ ก์ ล คดโกง ท้ังทางตรงและทางออ้ ม รบั รูห้ นา้ ทข่ี องตนเองและปฏบิ ัติอยา่ งเต็มท่ีถูกต้อง 4) มีวินัย คือ การยึดมั่นในระเบียบแบบแผนข้อบังคับและข้อปฏิบัติ ซ่ึงมีท้ังวินัยใน ตนเองและวินัยตอ่ สังคม ผมู้ วี นิ ัยคือ ผูท้ ปี่ ฏบิ ัติตนในขอบเขต กฎ ระเบยี บ ของสถานศกึ ษา สถาบนั / องคก์ ร/สงั คมและประเทศ โดยทตี่ นเองยินดีปฏิบตั ติ ามอยา่ งเตม็ ใจและตง้ั ใจ 5) สภุ าพ คือ เรียบร้อย ออ่ นโยน ละมุนละมอ่ มมกี ริ ิยามารยาทท่ีดงี าม มีสมั มาคารวะ ผทู้ ่ีมีความสุภาพคือ ผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนตามสถานภาพ และกาลเทศะ ไม่ก้าวร้าว รนุ แรง วางอานาจข่มขผู่ อู้ น่ื ทง้ั โดยวาจาและท่าทาง แต่ในเวลาเดียวกันยังคงมีความม่ันใจในตนเอง เป็น ผูท้ ่มี มี ารยาท วางตนเหมาะสมตามวฒั นธรรมไทย 6) สะอาด คือ ปราศจากความมัวหมองท้ังกาย ใจ และสภาพแวดล้อม ความผ่องใส เป็นทเ่ี จริญตา ทาใหเ้ กิดความสบายใจแกผ่ ้พู บเหน็ ผู้ทมี่ ีความสะอาดคือ ผู้รักษาร่างกาย ที่อยู่อาศัยสิ่งแวดล้อมถูกต้องตามสุขลักษณะ ฝึกฝนจิตใจมใิ หข้ ่นุ มวั จึงมีความแจม่ ใสอยู่เสมอ

การพฒั นาทักษะการคดิ เชงิ กลยทุ ธ์สาหรบั ครู ๙๒ 7) สามัคคี คือ ความพร้อมเพียงกัน ความกลมเกลียวกัน ความปรองดองกัน ร่วมใจ กนั ปฏิบัติงานให้บรรลผุ ลตามท่ีต้องการ เกิดงานการอย่างสร้างสรรค์ ปราศจากการทะเลาะวิวาทไม่เอา รัดเอาเปรียบกัน เป็นการยอมรับความมีเหตุผล ยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางความคิด ความ หลากหลายในเร่อื งเชือ้ ชาติ ความกลมเกลียวกนั ในลกั ษณะเช่นนีเ้ รยี กอีกอย่างวา่ ความสมานฉนั ท์ ผู้ท่ีมคี วามสามคั คีคือ ผทู้ ่ีเปดิ ใจกว้าง รับฟังความคิดเห็นของผู้อ่ืน รู้บทบาทของตน ทั้งในฐานะผู้นาและผู้ตามท่ีดี มีความมุ่งม่ันต่อการรวมพลังช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน เพ่ือให้การงานสาเร็จ ลุล่วง แก้ปญั หาและขจดั ความขัดแย้งได้ เป็นผู้มีเหตผุ ล ยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรม ความคดิ ความเช่อื พร้อมทจ่ี ะปรบั ตัวเพ่ืออยูร่ ว่ มกนั อย่างสันติ 8) มีน้าใจ คือ ความจริงใจท่ีไม่เห็นแก่เพียงตัวเองหรือเรื่องของตัวเอง แต่เห็นอกเห็น ใจเห็นคุณค่าในเพ่ือนมนุษย์ มีความเอ้ืออาทร เอาใจใส่ ให้ความสนใจในความต้องการ ความจาเป็น ความทกุ ขส์ ขุ ของผอู้ ่นื และพรอ้ มทีจ่ ะใหค้ วามช่วยเหลือเก้ือกลู กนั และกัน ผู้ทมี่ นี ้าใจคอื ผูใ้ ห้และผอู้ าสาชว่ ยเหลือสังคม รจู้ ักแบ่งปนั เสยี สละความสุขส่วนตน เพื่อทาประโยชน์แก่ผู้อื่น เข้าใจ เห็นใจผู้ที่มีความเดือดร้อน อาสาช่วยเหลือสังคมด้วยแรงกาย สติปัญญา ลงมอื ปฏบิ ตั กิ ารเพอื่ บรรเทาปญั หา หรอื ร่วมสร้างสรรคส์ ง่ิ ดีงามใหเ้ กดิ ข้นึ ในชุมชน สรุปได้ว่า ครูต้องมีจิตสานึกและวิญญาณของความเป็นครูโดยยึดหลัก 8 คุณธรรม พื้นฐานคือ ขยัน ประหยัด ซ่ือสัตย์ มีวินัย สุภาพ สะอาด สามัคคี และมีน้าใจ เพ่ือการพัฒนาไปสู่ ความกา้ วหนา้ อย่างมั่นคง ทางานใหเ้ ตม็ กาลงั เต็มความสามารถ และเต็มเวลาทาให้การเมือง เศรษฐกิจ สังคม พฒั นามีความเจริญก้าวหนา้ เปน็ สงั คมคุณธรรมนาความรู้ ชีวิตของคนในชาติจะสงบสุข 5.3.4 คณุ ธรรมของวชิ าชพี ครตู ามหลักพทุ ธธรรม หลักธรรมคาสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจานวนมากมาย ทั้งน้ีเพ่ือให้พุทธ- บริษัทเลือกไปปฏิบัติ และในอดีตผู้ทาหน้าที่เป็นครูของสังคมคือ พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นผู้มีจริยวัตรครอง ตนในศีลในธรรม ในทางพระพุทธศาสนาจึงยกย่องครูเป็นปูชนียบุคคล เป็นผู้กระทาหน้าที่ยกระดับ วิญญาณของมนุษย์ให้สูงขึ้น ในปัจจุบันครูเป็นวิชาชีพท่ีมีหลักวิชาเฉพาะทาง มีการกาหนดบทบาท หน้าท่ี ภาระงานความรับผดิ ชอบท่ีชัดเจน และครูยังได้รับการยอมรับให้เป็นแบบอย่างที่ดี เป็นผู้มีจิตใจ สูงและเจริญด้วยธรรม หากจะกล่าวถึงคุณธรรมของครูตามแนวพระพุทธศาสนา หรือตามหลักพุทธ ธรรม สามารถจาแนกคุณธรรมของครูออกเปน็ ประเภทต่าง ๆ ตามลักษณะงานของครดู งั ตอ่ ไปนี้ 5.3.4.1 คณุ ธรรมของครูเพอ่ื เพิม่ ประสิทธิภาพในการทางาน ในการทางานของครู ซึ่งเป็นงานอบรมสั่งสอนศิษย์นับเป็นงานท่ีหนัก ฉะน้ันในการ ทางานเพื่อใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพของงานให้มากย่ิงข้ึน ครูต้องมีคุณธรรมตามหลักพุทธธรรมท่ีเรียกว่า อิทธิ- บาท 4 และอินทรยี ์ 5 หรือพลธรรม 5 หลกั คุณธรรมในการทางาน ดังมรี ายละเอยี ดดังน้ี 1) อิทธิบาท 4 แปลตามคาศัพท์ อิทธิ แปลว่า ฤทธ์ิ หรืออานาจหรือความสาเร็จ บาท แปลว่า การก้าวไป หรือการดาเนินไปสู่ ฉะน้ัน อิทธิบาท จึงหมายถึง การดาเนินไปสู่ความสาเร็จ ซง่ึ ประกอบดว้ ยองค์ธรรม 4 ประการ คอื 1.1) ฉันทะ คือ ความยินดี พอใจในวิชาชีพครู มีความรักความศรัทธาท่ีจะเป็น ครูเมื่อผู้ประกอบวิชาชีพครู เป็นครูด้วยใจรัก มีความชอบ ย่อมมีความต้ังใจในการทาหน้าที่ครู โดยมี ความต้ังใจในการสอน มีการเตรียมการสอนท่ีเหมาะสมกับเด็กตามวัยและความแตกต่างของเด็ก มีการ

การพฒั นาทกั ษะการคดิ เชิงกลยุทธ์สาหรับครู ๙๓ สอนที่น่าสนใจ สนุกสนาน ทาให้เด็กมีความรู้และคุณธรรม เพราะครูจะสั่งสอนด้วยความรัก ความเมตตา ความหวงั ดี 1.2) วิรยิ ะ คือ ความเพยี รพยายามในการประกอบวิชาชีพครู โดยมีความเพียร พยายามที่จะสอนเด็กให้ได้ผลท้ังทางวิชาการความรู้ และคุณธรรม โดยครูจะไม่ย่อท้อในงานที่หนัก จะใช้ความขยัน ใช้ความเพียร ใช้ความพยายาม ในการพัฒนาศิษย์ให้เป็นคนท่ีมีความรู้ ความสามารถ ควบคูก่ บั มคี ณุ ธรรม 1.3) จิตตะ คือ การเอาใจฝักใฝุในความเป็นครู คิดเสมอว่าครูเป็นอาชีพสาคัญ ในการพัฒนาตนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์จึงมีจิตเอาใจใส่ในการทางานให้เกิดผลดีแก่ศิษย์ ต้ังใจใน การศึกษาคน้ ควา้ วิชาการทด่ี ที ี่เหมาะสมทจ่ี ะฝกึ ฝนให้ศิษย์มีการพัฒนาในทุกด้าน กล่าวย่อ ๆ ก็คือ มีจิต ฝักใฝใุ นการทาหนา้ ทขี่ องครใู ห้ดที ่สี ุด 1.4) วิมังสา คือ การหมั่นตริตรอง คิดพิจารณาด้วยหลักเหตุและผลในการทา หน้าท่ีครูว่าทาได้ดี มีประสิทธิภาพหรือไม่ มีงานอะไรท่ีต้องทาเพิ่มเติมเพื่อการพัฒนาเด็กให้เกิด ประสิทธิผลท่ีดีข้ึนมีส่ิงใดท่ียังไม่ค่อยดี ต้องมีการพัฒนาปรับปรุงแก้ไข ก็พยายามแสวงหาแนวทางท่ี เหมาะสมในการแกไ้ ขส่งิ นน้ั เชน่ คน้ หาวธิ ีการสอนแบบใหม่ ๆ ท่ีเหมาะสมกับเด็กในยุคปัจจุบันโดยการ วจิ ัย สรุปได้ว่า ผู้ประกอบวิชาชีพครู ถ้าได้ใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการดาเนินชีวิตในหน้าท่ีการงาน ย่อมทาให้เป็นครูแท้จริง เป็นครูท่ีมีคุณภาพ มีคุณธรรมเพราะเป็นครูด้วยใจรัก ขณะเดียวกันมีความ เพียรพยายาม เอาใจใส่ นึกคิดตริตรอง เพื่อการพัฒนางานในหน้าที่อยู่เสมอ ย่อมส่งผลสาเร็จให้เกิด ตามท่ีปรารถนา คุณธรรมอิทธิบาท 4 น้ียังสามารถใช้ได้กับบุคคลทุกอาชีพ ทุกหน้าท่ี การงาน เพ่อื ความสาเรจ็ แหง่ งานนนั้ ๆ 2) พละธรรม 5 แปลตามคาศัพท์ แปลว่า เป็นใหญ่ในหน้าที่ หรือเป็นธรรมท่ีเป็น กาลัง กล่าวคือ องค์ธรรมนี้ช่วยในการทาหน้าท่ีให้ประสบความสาเร็จ ประกอบด้วยองค์ธรรม 5 ประการ คอื 2.1) ศรทั ธาพละ คอื ศรทั ธา ความเชือ่ 2.2) วริ ยิ ะพละ คือ วิรยิ ะหรอื ความเพยี ร 2.3) สติพละ คือสติ ความระลกึ ได้ 2.4) สมาธพิ ละ คือ สมาธหิ รอื ความต้งั ใจม่นั 2.5) ปัญญาพละ คอื ปญั ญา ความรอบรู้ ดังรายละเอยี ดดังนี้ 2.5.1) ศรัทธาพละ คือ ความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญา โดยครูต้องมีความ เชอ่ื ในทางทีช่ อบ เช่ือในส่ิงทค่ี วรเชอื่ เช่น เชื่อว่าทาดไี ดด้ ี ทาช่ัวไดช้ ั่ว เชอื่ เร่อื งกฎแห่งกรรมซึ่งเป็นความ เชื่อเกยี่ วกับหลักเหตแุ ละผล ซ่งึ ความเช่อื เหล่าน้ีเมื่อเกิดขึ้นในใจของบุคคลแล้ว จะเป็นพลังเป็นกาลังให้ ทาแต่ความดี ละเว้นความชั่ว จะเป็นพลังในการต้านอกุศลกรรม ความเช่ือในหน้าที่การงานของครู ได้แก่ ความเช่ือท่ีว่าเด็กนักเรียนทุกคนมีศักยภาพท่ีพัฒนาได้ ความรักในวิชาชีพครูจะทาให้ครูทา หนา้ ทีข่ องความเป็นครอู ย่างสมบรู ณ์ เปน็ ต้น 2.5.2) วิริยะพละ คือ ความพากเพียรพยายามในการทาอะไร ๆ ก็ตาม ถ้าทาบ่อย ๆ ทาติดต่อ บากบั่นอย่างสม่าเสมอย่อมทาให้เกิดพลัง ถ้าครูมีความเพียรในทางที่ชอบ เช่น เพียรเลิกละความช่ัว เพียรระวังไม่ให้ความชั่วเกิดขึ้น เพียรทาความดีสม่าเสมอ และเพียรรักษา

การพฒั นาทักษะการคดิ เชิงกลยทุ ธส์ าหรบั ครู ๙๔ ความดีไวต้ ่อเนอ่ื งยอ่ ม ทาให้ครปู ระสบผลสาเร็จในสง่ิ ทีป่ รารถนา บคุ คลทป่ี ระกอบวชิ าชีพครูจาเป็นต้อง ใช้ความเพียรพยายามอย่างมากในการอบรมสง่ั สอนเพ่ือพฒั นาผ้เู รยี น 2.5.3) สตพิ ละ คอื ความระลึกได้ กลา่ วคือ ครูต้องมีความระลึกความรู้สึกตัว ในการกระทา การพูด การคิด โดยสามารถพิจารณาได้ว่าเหมาะสมหรือไม่ กับตนเอง กับบุคคลอ่ืน กับ สถานการณ์ กับกาลังที่ตนมีอยู่ โดยความมีสติ จะเป็นกาลัง เป็นพลังในการทาการงานทั้งปวง ให้ ประสบความสาเร็จ ความมีสติจะเป็นพลังในการต่อต้านความประมาท ความมีสติเป็นส่ิงจาเป็นมาก สาหรบั วิชาชพี ครเู พราะเปน็ วชิ าชพี ท่ีต้องพบปะผู้คนเป็นจานวนมาก ท้ังยังต้องเป็นตัวแบบแก่ผู้เรียนอีก ด้วย 2.5.4) สมาธิพละ คือ ความมุ่งม่ันหรือความตั้งใจเป็นองค์ธรรมท่ีทาให้จิตตั้ง มั่นในอารมณ์เดียว ทาให้จิตมีพลัง มีความหนักแน่นม่ันคงในส่ิงท่ีเป็นกุศล พลังสมาธินี้จะเป็นกาลังใน การต่อต้านความฟุูงซ่านมิให้เกิดข้ึนภายในจิตใจตนเอง ทาให้มีความมุ่งมั่นท่ีจะทางานให้สาเร็จ แม้มี อปุ สรรคในงาน ความมงุ่ ม่นั ตงั้ ใจของกาลงั สมาธกิ จ็ ะมีส่วนชว่ ยใหก้ าจัดอุปสรรคได้ ทาให้งานสาเร็จดังที่ ตัง้ เปูาหมายไว้ 2.5.5) ปัญญาพละ คือ ความรอบรู้ ความเข้าใจสภาพธรรม ความรอบรู้ของ ครู นอกจากความรอบร้ดู ้านวิชาการแลว้ กค็ วรมีความรอบรูว้ ่าอะไรดี อะไรช่ัว อะไรควรทา อะไรไม่ควร ทา อะไรจริง อะไรเท็จ อะไรเป็นประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์ ซึ่งความรอบรู้นี้จะเกิดจากการสั่งสม การอบรมจนเกดิ ปัญญา กอ่ ให้เกดิ มีพลงั ขน้ึ มา ทาใหเ้ กิดความสงบและเป็นสขุ สรุปได้ว่า ธรรมทั้ง 5 ประการน้ี จะต้องปรับให้เสมอกันจึงมีผลในทางปฏิบัติ คือ ศรัทธากับ ปัญญาต้องเท่ากัน วิริยะกับสมาธิต้องเท่ากัน โดยมีสติเป็นตัวกลาง ในการปฏิบัติหน้าท่ีครูให้ประสบ ความสาเร็จได้ผลดีน้ันครูต้องศรัทธาที่จะเป็นครู โดยมีความเชื่อว่าอาชีพน้ีเป็นอาชีพดีมีประโยชน์แก่ สงั คมและส่วนตวั ทไ่ี ด้ใหค้ วามรู้ สรา้ งคนใหเ้ ปน็ คนดี มีความเพยี รทจ่ี ะแสวงหาความรู้และอบรมสั่งสอน ศิษยใ์ หม้ ีทัง้ ความร้แู ละคณุ ธรรม มีสตริ ูต้ วั วา่ ทาอะไรอยู่ เหมาะสมกับการประกอบวิชาชีพน้ีหรือไม่ มีสติ ทจี่ ะทางานด้วยความตงั้ ใจทจ่ี ะทาตวั ดีเป็นตัวอย่างแก่ศิษย์ มีสมาธิคือความมุ่งมั่นตั้งใจในการสอน สอน ได้ตามจุดมุ่งหมายท่ีวางไว้ มีสติท่ีจะไม่ทาสิ่งไม่ดี และมีปัญญาคือความฉลาดรอบรู้ในวิชาการและ วชิ าชีพ รู้วา่ จะทาการสอนอย่างไรใหไ้ ดผ้ ลดีแกเ่ ด็ก 3) หลักคุณธรรมในการทางาน ครูต้องสัมพันธ์กับบุคคลต่าง ๆ ครูจึงต้องมีลักษณะ นิสยั ท่ดี ที ค่ี วรประพฤตปิ ฏบิ ตั ิในการประกอบอาชีพให้การทางานประสบความสาเร็จมีดังนี้ 3.1) ความมสี ตสิ ัมปชญั ญะ หมายถึง การควบคุมตนเองใหพ้ ร้อม มีสภาพตื่นตวั ฉับไวในการรับรู้ทางประสาทสัมผัส การใช้ปัญญาและเหตุผลในการตัดสินใจที่จะประพฤติปฏิบัติใน เรื่องต่าง ๆ ได้อย่างรอบคอบ เหมาะสม และถูกตอ้ ง 3.2) ความซอ่ื สัตย์สุจรติ หมายถงึ การประพฤตปิ ฏบิ ตั ิอยา่ งตรงไปตรงมาทงั้ กาย วาจา และใจ ไม่คดิ คดทรยศ ไม่คดโกง และไม่หลอกลวงใคร 3.3) ความขยันหมั่นเพยี ร หมายถึง ความพยายามในการทางานหรอื หน้าทขี่ อง ตนเองอยา่ งแข็งขัน ดว้ ยความมุ่งมั่นเอาใจใส่อยา่ งจริงจังพยายามทาเร่ือยไปจนกว่างานจะสาเรจ็ 3.4) ความมีระเบียบวินัย หมายถงึ แบบแผนที่วางไวเ้ พ่ือเปน็ แนวทางปฏบิ ตั แิ ละ ดาเนนิ การใหถ้ ูกลาดับ ถูกท่ี มคี วามเรยี บร้อย ถกู ต้องเหมาะสมกับจรรยาบรรณ ข้อบังคับ ข้อตกลง กฎหมาย และศลี ธรรม 3.5) ความรับผดิ ชอบ หมายถงึ ความเอาใจใสม่ ุ่งมัน่ ตั้งใจต่องานหนา้ ที่ด้วย