พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า กั บ ก า ร ศึ ก ษ า BUDDHISM AND EDUCATION โดย ทิพย์ ขันแก้ว ISABEL MERCADO
๑ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย Mahachulalongkornrajavidyalaya University หลกั สูตรพทุ ธศาสตรบณั ฑติ ตำรารายวิชา หมวดวชิ าพระพุทธศาสนาประยุกต์ รหัสวชิ า ๒๐๐ ๑๒๒ พระพทุ ธศาสนากับการศกึ ษา Buddhism and Education กองวิชาการ สำนกั งานอธิการบดี มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย ปงี บประมาณ ๒๕๕๖
๒ พระพุทธศาสนากับการศกึ ษา (Buddhism and Education) ผู้แต่ง คณาจารย์ มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั บรรณาธิการ พระครูพพิ ธิ วรกิจจานกุ าร, นายบญุ สง่ ธรรมศิวานนท์ จดั รปู เล่ม นายสมบรู ณ์ เพ่งพศิ พิสจู น์อกั ษร ดร.ศศวิ รรณ กำลงั สินเสรมิ นายสชุ ญา ศิรธิ ญั ภร ออกแบบปก นายพิจติ ร พรมลี พมิ พค์ รั้งที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ จำนวนพิมพ์ ๒,๐๐๐ เลม่ ลิขสทิ ธ์ิ ลขิ สิทธขิ์ องมหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั หา้ มการลอกเลยี นไมว่ า่ ส่วนใดๆ ของหนังสือเล่มน้ี นอกจากจะไดร้ บั การอนญุ าตเปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษรเทา่ น้นั ขอ้ มูลทางบรรณานุกรมของหอสมดุ แห่งชาติ คณาจารย์ มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั พระพุทธศาสนากบั การศึกษา = Buddhism and Education.พระนครศรีอยุธยา : มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๔. ๑๕๗ หน้า ๑.พระพุทธศาสนากับการศึกษา ๒.พุทธศาสนา – การศึกษาและการสอน. ๑.ชื่อเรอื่ ง. 294.31171 ISBN: 978-974-364-967-7 จดั พิมพโ์ ดย : มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เลขที่ ๗๙ หมู่ ๑ ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา ๑๓๑๗๐ โทร ๐๓๕ ๒๔๘ ๐๑๓ โทรสาร ๐๓๕ ๒๔๘ ๐๑๓ จัดพิมพโ์ ดย : มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย เลขท่ี ๑๑-๑๗ ถนนมหาราช แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพ ๑๐๒๐๐ โทร ๐-๒๖๒๓ – ๖๓๒๔, โทรสาร ๐-๒๖๒๓ – ๖๓๒๓
๓ คำปรารภ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีโครงการจัดทำและพัฒนาหลักสูตรเพื่อการเรียนรู้ พระพทุ ธศาสนาของมหาวิทยาลัย ซ่ึงมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเนอ้ื หารายวิชาในหมวดวิชาพระพุทธศาสนา ประยุกต์ ให้เป็นท่ียอมรับและใช้ร่วมกันได้ พัฒนารูปแบบของหนังสือ และตำราให้มีเอกลักษณ์ร่วมกัน สวยงาม คงทน น่าสนใจต่อการศึกษาค้นคว้า มีเน้ือหาสาระไปพัฒนาสื่อการศึกษาและเผยแพร่ในรูปแบบ ต่างๆ ท้ังส่ือส่ิงพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ระบบคลังข้อสอบ พัฒนาบุคลากรและผลงานด้านวิชาการของ มหาวทิ ยาลยั ให้แพรห่ ลาย และเปน็ เวทเี สนอผลงานทางวิชาการของคณาจารย์ของมหาวิทยาลัย โครงการนเ้ี กดิ ข้นึ มาไดจ้ ากความรว่ มมอื รว่ มใจกันของคณาจารยม์ หาวทิ ยาลัย จากทกุ สว่ นงาน ท้ัง ส่วนกลาง วทิ ยาเขต วทิ ยาลยั สงฆ์ ร่วมกนั พฒั นาเอกสารการสอนหรือตำราในหมวดวิชาพระพุทธศาสนา ประยกุ ต์ ดว้ ยวิริยะอตุ สาหะแรงกล้า พัฒนางานทางวชิ าการให้มเี นือ้ หาสาระถูกตอ้ ง เพยี บพร้อมดว้ ยอรรถ และพยัญชนะ เปน็ ทีย่ อมรบั ของสงั คม หนังสอื พระพุทธศาสนากับการศึกษาเล่มน้ี มเี น้ือหาสาระ ๗ บท มุ่งหมายให้ศกึ ษาระบบ การศกึ ษาในพระพทุ ธศาสนาต้งั แต่สมยั พุทธกาลถึงยคุ เสื่อมของพระพุทธศาสนาในอนิ เดีย ศกึ ษาพระธรรม วนิ ยั โดยระบบมุขปาฐะถึงยุคจารกึ เปน็ ตัวอักษร การเกิดข้ึนและพัฒนาการของมหาวิทยาลัยพระพุทธ ศาสนา บทบาทของพระสงฆ์ทีม่ ตี ่อการศึกษาในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตั้งแต่อดตี ถึงปัจจุบัน ขออนโุ มทนาขอบคณุ คณะกรรมการดำเนนิ งานโครงการจดั การและพัฒนาหลักสตู ร คณาจารย์ และเจ้าหนา้ ท่ีของมหาวทิ ยาลัยทกุ รูปทุกคน ทไี่ ด้เสียสละเวลาพัฒนาเนอ้ื หารายวิชาเล่มน้ีให้เกดิ ข้ึน อนั จะ เป็นประโยชนส์ มบตั ิของมหาวทิ ยาลัยสืบไป หวังเปน็ อย่างยิ่งวา่ หนังสือเลม่ น้คี งอำนวยประโยชน์เชงิ วชิ าการดา้ นพุทธศาสตร์และครศุ าสตร์แก่คณาจารย์ นิสิต นักศกึ ษา และประชาชนผู้สนใจทัว่ ไป (พระพรหมบัณฑติ ) อธกิ ารบดีมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
๔ คำนำ หนังสอื เล่มน้ี ได้พฒั นาข้ึนตามโครงการจัดทำและพัฒนาหลักสูตร เร่ืองการจัดทำต้นฉบบั รายวิชา พระพุทธศาสนาประยุกต์ ปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๖ ของกองวิชาการ สำนกั งานอธิการบดี มหาวทิ ยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยมีวัตถุประสงค์ ดังน้ี (๑)เพ่ือพัฒนาเน้ือหารายวิชาวิชาแกนพุทธศาสนา ประยุกต์หลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิตให้เป็นที่ยอมรับและใช้ร่วมกันได้ในคณะ วิทยาเขต วิทยาลัยสงฆ์ ห้องเรียน หน่วยวิทยบริการ และสถาบันสมทบ (๒) เพื่อพัฒนารูปแบบของเอกสารประกอบการสอน หนังสือ ตำรา ให้มีเอกลักษณ์ร่วมกัน ท้ังมีความคงทน สวยงาม น่าสนใจต่อการศึกษาค้นคว้า (๓) เพ่ือนำ เน้ือหาสาระไปพัฒนาสื่อการศึกษาและเผยแพร่ในรูปแบบส่ือส่ิงพิมพ์ หรือส่ืออิเล็กทรอนิกส์ (๔) เพื่อ เสริมสร้างทักษะของคณาจารย์ในการสร้างผลงานทางวิชาการอย่างมีคุณภาพรองรับการป ระกันคุณภาพ การศึกษาของมหาวิทยาลัย (๕) เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยให้เป็นที่ ยอมรบั ทว่ั ไปท้งั ในประเทศและระดับสากล พระพุทธศาสนากับการศึกษา เป็นวิชาหน่ึงในหมวดวิชาพระพุทธศาสนาประยุกต์ มุ่งหมายให้ ศึกษาระบบการศึกษาในพระพุทธศาสนาต้ังแต่สมัยพุทธกาลถึงยุคเสื่อมของพระพุทธศาสนาในอินเดีย ศึกษาพระธรรมวินัย โดยระบบมุขปาฐะถึงยุคจารึกเป็นตัวอักษร การเกิดขึ้นและพัฒนาการของ มหาวิทยาลัยพระพุทธ ศาสนา บทบาทของพระสงฆ์ท่ีมีต่อการศึกษาในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชีย ต้งั แตอ่ ดีตถงึ ปจั จบุ ัน คณะผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือพระพุทธศาสนากบั การศึกษาเล่มน้ี จะเป็นประโยชน์ในเชิง วิชาการด้านพุทธศาสตร์และครุศาสตร์แก่คณาจารย์ นิสิต นักศึกษา และประชาชนผู้สนใจทั่วไป จึง ขอขอบคุณทุกท่านท่ีได้มีส่วนร่วมทำหนังสือเล่มน้ีให้มีความสำเร็จ สมบูรณ์ เป็นรูปเล่ม อน่ึง ห ากมี ข้อบกพร่อง ผิดพลาดประการใดเกิดข้ึนในส่วนต่างๆ ของหนังสือพระพุทธศาสนากับการศึกษาเล่มน้ี ขอ อภยั มา ณ โอกาสน้ี คณะกรรมการพฒั นาเน้ือหารายวชิ าพระพุทธศาสนากบั การศกึ ษา เมษายน ๒๕๕๖
๕ คณะกรรมการดำเนนิ งานโครงการจดั การและพัฒนาหลักสตู ร เรื่อง การจดั ทำตน้ ฉบับรายวิชาพระพทุ ธศาสนาประยกุ ต์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย ปีงบประมาณ ๒๕๕๔ คณะกรรมการดำเนินงาน คณะกรรมการพัฒนาเน้ือหารายวชิ า ทปี่ รกึ ษา “พระพุทธศาสนากับการศกึ ษา” พระธรรมโกศาจารย,์ ศ.ดร. ประธานกรรมการ ประธานกรรมการ พระครโู สภณพุทธิศาสตร์ พระศรคี ัมภีรญาณ, รศ.ดร. รองประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, รศ. ดร. พระมหาสมบรู ณ์ สธุ มโฺ ม กรรมการ บรรณาธกิ าร พระมหาสรุ ยิ า วรเมธี, ผศ. ดร. พระครูพพิ ิธวรกจิ จานุการ พระครสู ังฆรกั ษก์ ิตติพงศ์ สริ วิ ฑฺฒโน นายบญุ ส่ง ธรรมศิวานนท์ พระมหาสทุ ัศน์ ติสฺสวาที พระมหาศรที นต์ สมจาโร กรรมการ พระมหาชำนาญ มหาชาโน พระมหาสทุ ติ ย์ อาภากโร ดร. พระมหาประยรู โชติวโร พระทิพย์ สิรธิ มโฺ ม พระมหาสุพจน์ สเุ มโธ พระสมหุ ์ศกั ดิด์ า วิสุทธฺ ญิ าโณ พระฐติ ะวงษ์ อนตุ ฺตโร ผศ.ดร.สมชัย ศรนี อก พระมหาราชัน จติ ฺตปาโล พระสุทนิ เขมวํโส ผศ.ดร.ปฏภิ าณ์ มหรรธนาธิบดี ผศ.ดร.สมทิ ธพิ ล เนตรนิมิตร ผศ.ดร.สมศักดิ์ บุญปู่ ผศ.ดร.ชวาล ศิริวัฒน์ ผศ.ปฐมพงศ์ ทนิ บรรเจดิ ฤทธ์ิ ผศ.ภัทรพล ใจเยน็ ผศ.รวโี รจน์ ศรคี ำภา ผศ.ดร.สริ วิ ัฒน์ ศรีเครือดง ผศ.ดร.โกนิฏฐ์ ศรีทอง ผศ.อานนท์ เมธวี รฉตั ร นายพิธพบิ ลู ย์ กาญจนพพิ ธิ นายอดุลย์ คนแรง นายรังษี สทุ นต์ นายเกษม แสงนนท์ นายทวี เทศมาศ นายสนธิญาณ รกั ษาภกั ดี นายเนาวรตั น์ หอมขจร กรรมการและเลขานุการ นายชนิศร์ ชเู ลอ่ื น นายสชุ ญา ศริ ิธญั ภร นายกำพล สกุ ันโท กรรมการและผู้ชว่ ยเลขานกุ าร นายสุเทพ สารบรรณ พระมหานพดล เตชธมโฺ ม พระมหาสุระศกั ดิ์ ธีรวโํ ส เลขานุการ นายสมคิด นันตะ๊ พระมหาธติ ิ อนุภทโฺ ท นายสนิ ชยั วงษจ์ ำนง นายอักษราวิชญ์ โฉมศรี นายสมบูรณ์ เพง่ พิศ ผู้ช่วยเลขานุการ นายทิพย์ ขันแก้ว นายจิระศักดิ์ ธารสขุ กระจา่ ง นายชำนาญ เกิดชอ่ คณะบรรณาธิการ นางสาวฐาณชิ ญาณ์ มคั วลั ย์ ผ้รู ่วมผลติ รศ.ชษุ ณะ รงุ่ ปัจฉมิ ดร.นลนิ ี ณ นคร ผศ.ศศิธร ชตุ ินันทกุล ดร.สังวรณ์ งัดกระโทก
๖ สารบญั ๑ คำปรารภ ๒ คำนำ ๓ รายนามคณะกรรมการดำเนนิ งานโครงการ ๘ ๑๑ บทที่ ๑ ระบบการศึกษาในพระพุทธศาสนาสมยั พุทธกาล ๑๓ ๑.๑ ความนำ ๑๗ ๑.๒ ความหมายของการศึกษาในพระพุทธศาสนา ๓๒ ๑.๓ ความสำคัญของการศึกษาในพระพทุ ธศาสนา ๓๓ ๑.๔ จดุ มุง่ หมายของการศึกษาในพระพทุ ธศาสนา ๓๔ ๑.๕ เป้าหมายของการศึกษาในพระพทุ ธศาสนา ๓๖ ๑.๖ รูปแบบหรอื วิธีของการศึกษาในสมยั พุทธกาล ๑.๗ ประโยชน์ของการศึกษาในพระพทุ ธศาสนา ๓๗ สรปุ ทา้ ยบท คำถามทา้ ยบท ๓๘ เอกสารอ้างอิงประจำบท ๓๘ ๔๗ บทที่ ๒ ระบบการศกึ ษาในพระพทุ ธศาสนาหลงั พุทธกาลถึงยุคเสอื่ มในอินเดีย ๕๓ ๒.๑ ความนำ ๕๕ ๒.๒ พัฒนาการของระบบการศึกษาในพระพุทธศาสนา ๕๗ ๒.๓ ยคุ เสอื่ มของระบบการศึกษาในพระพุทธศาสนา ๕๙ ๒.๔ สาเหตุความเส่อื มของระบบการศึกษาในพระพุทธศาสนา ๖๐ ๒.๕ ผลกระทบจากความเส่ือมของระบบการศึกษาในพระพทุ ธศาสนา สรุปทา้ ยบท ๖๑ คำถามทา้ ยบท เอกสารอา้ งองิ ประจำบท ๖๒ ๖๒ บทท่ี ๓ การศกึ ษาพระธรรมวินยั โดยระบบมุขปาฐะ ๖๔ ๓.๑ ความนำ ๖๘ ๓.๒ ความหมายของการศึกษาพระธรรมวนิ ัยระบบมุขปาฐะ ๗๑ ๓.๓ ความสำคญั ของการศึกษาพระธรรมวินัยระบบมุขปาฐะ ๓.๔ จุดมงุ่ หมายของการศึกษาพระธรรมวินัยระบบมุขปาฐะ ๓.๕ ลักษณะของการศกึ ษาพระธรรมวินยั ระบบมุขปาฐะ
๗ ๓.๖ ข้อดแี ละข้อจำกัดของการศกึ ษาพระธรรมวินัยระบบมุขปาฐะ ๗๒ สรปุ ท้ายบท ๗๓ คำถามท้ายบท ๗๔ เอกสารอา้ งองิ ประจำบท ๗๕ บทที่ ๔ การศกึ ษาพระธรรมวนิ ยั ยุคจารึกเปน็ อกั ษร ๗๖ ๔.๑ ความนำ ๔.๒ ความเปน็ มาและความสำคญั ของการจารกึ พระธรรมวินยั เปน็ อกั ษร ๗๗ ๔.๓ แนวคดิ ในการศกึ ษาพระธรรมวินยั ยุคจารกึ เป็นอักษร ๗๗ ๔.๔ ลักษณะของการศึกษาพระธรรมวินยั ยคุ จารกึ เปน็ อักษร ๘๑ ๔.๕ การรวบรวมหลักคำสอนเปน็ หมวดหมู่ ๘๒ ๔.๖ การศึกษาพระไตรปิฎกในยคุ จารกึ เปน็ อกั ษร ๘๖ สรปุ ทา้ ยบท ๘๗ คำถามท้ายบท ๘๙ เอกสารอา้ งอิงประจำบท ๙๐ ๙๑ บทท่ี ๕ การเกิดขึ้นและพัฒนาการของมหาวิทยาลัยในพระพทุ ธศาสนา ๕.๑ ความนำ ๙๒ ๕.๒ แนวคิดของการเกดิ ข้นึ ของมหาวิทยาลัยในพระพุทธศาสนา ๕.๓ การเกิดขึ้นของมหาวิทยาลัยในพระพุทธศาสนา ๙๓ ๕.๔ พัฒนาการของมหาวิทยาลยั พระพุทธศาสนาในประเทศไทย ๙๓ ๕.๕ พัฒนาการของมหาวทิ ยาลัยพระพุทธศาสนนในโลกปจั จุบนั ๙๖ สรปุ ทา้ ยบท ๑๐๑ คำถามท้ายบท ๑๐๖ เอกสารอา้ งองิ ประจำบท ๑๐๙ ๑๑๐ บทท่ี ๖ บทบาทพระสงฆต์ ่อการศึกษาในประเทศไทย ๑๑๑ ๖.๑ ความนำ ๖.๒ ความหมาย ๑๑๒ ๖.๓ บทบาทพระสงฆ์ต่อการศกึ ษาสมัยก่อนสุโขทยั ๑๑๓ ๖.๔ บทบาทพระสงฆต์ ่อการศกึ ษาสมยั สโุ ขทยั และลา้ นนา ๑๑๓ ๖.๕ บทบาทพระสงฆ์ตอ่ การศึกษาสมัยอยธุ ยา ๑๑๘ ๖.๖ บทบาทพระสงฆ์ตอ่ การศึกษาสมัยกรงุ ธนบุรี ๑๒๐ ๖.๗ บทบาทพระสงฆ์ตอ่ การศึกษาสมัยกรุงรัตนโกสนิ ทร์ถึงปจั จุบัน ๑๒๒ ๑๒๓ ๑๒๔
๘ สรปุ ทา้ ยบท ๑๓๑ คำถามทา้ ยบท ๑๓๒ เอกสารอา้ งองิ ประจำบท ๑๓๓ บทท่ี ๗ บทบาทพระสงฆต์ ่อการศึกษาในภูมภิ าคเอเชีย ๑๓๕ ๑๓๖ ๗.๑ ความนำ ๑๓๗ ๗.๒ บทบาททว่ั ไปและบทบาทดา้ นการศึกษาของพระสงฆ์ ๑๓๙ ๗.๓ บทบาทพระสงฆต์ ่อการศกึ ษาในภมู ภิ าคเอเชยี ๑๕๕ ๗.๔ วเิ คราะห์แนวโน้มบทบาทของพระสงฆ์ต่อการศึกษาในประชาคมโลก ๑๕๘ สรปุ ท้ายบท ๑๖๐ คำถามทา้ ยบท ๑๖๑ เอกสารอา้ งองิ ประจำบท ๑๖๓ บรรณานุกรม ภาคผนวก ๐๐ รายละเอียดของรายวชิ า “พระพุทธศาสนากบั การศกึ ษา” ๐๐ คณะกรรมการผู้พฒั นาเน้ือหารายวิชา “พระพทุ ธศาสนากบั การศึกษา”
คำนำ หนังสือเล่มน้ี ได้พัฒนาข้ึนตามโครงการจัดทำและพัฒนาหลักสูตร เร่ืองการจัดทำต้นฉบับรายวิชา พระพุทธศาสนาประยุกต์ ปงี บประมาณ พ.ศ.๒๕๕๖ ของกองวิชาการ สำนกั งานอธกิ ารบดี มหาวิทยาลยั มหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ (๑)เพื่อพัฒนาเน้ือหารายวิชาวิชาแกนพุทธศาสนาประยุกต์ หลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิตใหเ้ ป็นท่ียอมรับและใช้ร่วมกนั ได้ในคณะ วิทยาเขต วิทยาลยั สงฆ์ หอ้ งเรียน หน่วย วิทยบริการ และสถาบันสมทบ (๒) เพื่อพัฒนารูปแบบของเอกสารประกอบการสอน หนังสือ ตำรา ให้มี เอกลักษณ์ร่วมกัน ท้ังมีความคงทน สวยงาม น่าสนใจต่อการศึกษาค้นคว้า (๓) เพื่อนำเนื้อหาสาระไปพัฒนา ส่ือการศึกษาและเผยแพร่ในรปู แบบส่ือสิง่ พมิ พ์ หรือสือ่ อิเลก็ ทรอนิกส์ (๔) เพ่ือเสริมสรา้ งทกั ษะของคณาจารย์ ในการสร้างผลงานทางวิชาการอย่างมีคุณภาพรองรับการประกันคุณการศึกษาของมหาวิทยาลัย (๕) เพ่ือ เผยแพรผ่ ลงานทางวิชาการของคณาจารยข์ องมหาวิทยาลยั ใหเ้ ปน็ ที่ยอมรับท่วั ไปท้ังในประเทศและระดบั สากล พระพุทธศาสนากับการศึกษา เปน็ วชิ าหนงึ่ ในหมวดวิชาพระพุทธศาสนาประยุกต์ ทก่ี ำหนดใหศ้ ึกษา ความหมายและความเป็นมาเกย่ี วกบั หลักการ วธิ กี าร กระบวนการสอนของพระพุทธเจ้า รวมทงั้ การพัฒนาจิต และเจรญิ ปัญญา คณะผูเ้ ขียนหวังเป็นอย่างย่งิ วา่ หนังสอื พระพุทธศาสนากบั การศึกษาเลม่ นี้ จะเปน็ ประโยชน์ในเชงิ วชิ าการด้านพทุ ธศาสตร์และครศุ าสตร์แก่คณาจารย์ นิสติ นกั ศึกษา และประชาชนผสู้ นใจทวั่ ไป จงึ ขอขอบคุณ ทุกทา่ นทไ่ี ด้มสี ว่ นร่วมทำหนังสือเล่มนี้ให้มีความสำเร็จ สมบูรณ์ เปน็ รูปเล่ม อนึง่ หากมีข้อบกพร่อง ผดิ พลาด ประการใดเกิดขึน้ ในสว่ นต่างๆ ของหนงั สือพระพทุ ธศาสนากับการศึกษาเลม่ นี้ ขออภัยมา ณ โอกาสน้ี คณะกรรมการพฒั นาเนื้อหารายวิชาพระพุทธศาสนากบั การศกึ ษา เมษายน ๒๕๕๖
สารบญั ๑ คำนำ ๒ ๓ บทที่ ๑ ระบบการศกึ ษาในพระพุทธศาสนาสมยั พุทธกาล ๘ ๑๑ ๑.๑ ความนำ ๑๓ ๑.๒ ความหมายของการศึกษาในพระพุทธศาสนา ๑๗ ๑.๓ ความสำคัญของการศึกษาในพระพุทธศาสนา ๓๒ ๑.๔ จดุ ม่งุ หมายของการศึกษาในพระพุทธศาสนา ๓๓ ๑.๕ เปา้ หมายของการศึกษาในพระพทุ ธศาสนา ๓๔ ๑.๖ รปู แบบหรอื วธิ ีของการศึกษาในสมยั พุทธกาล ๓๕ ๑.๗ ประโยชนข์ องการศึกษาในพระพุทธศาสนา สรปุ ท้ายบท ๓๖ คำถามท้ายบท เอกสารอา้ งอิงประจำบท ๓๗ ๓๗ บทที่ ๒ ระบบการศกึ ษาในพระพุทธศาสนาหลงั พุทธกาลถึงยุคเสือ่ มในอินเดีย ๔๖ ๕๒ ๒.๑ ความนำ ๕๔ ๒.๒ พฒั นาการของระบบการศึกษาในพระพุทธศาสนา ๕๖ ๒.๓ ยคุ เส่อื มของระบบการศึกษาในพระพทุ ธศาสนา ๕๘ ๒.๔ สาเหตคุ วามเสือ่ มของระบบการศึกษาในพระพทุ ธศาสนา ๕๙ ๒.๕ ผลกระทบจากความเสื่อมของระบบการศึกษาในพระพุทธศาสนา สรุปทา้ ยบท ๖๐ คำถามทา้ ยบท เอกสารอา้ งอิงประจำบท ๖๑ ๖๑ บทท่ี ๓ การศกึ ษาพระธรรมวินัยโดยระบบมุขปาฐะ ๖๓ ๖๗ ๓.๑ ความนำ ๗๐ ๓.๒ ความหมายของการศึกษาพระธรรมวินัยระบบมุขปาฐะ ๗๑ ๓.๓ ความสำคญั ของการศึกษาพระธรรมวนิ ยั ระบบมุขปาฐะ ๗๒ ๓.๔ จุดมงุ่ หมายของการศึกษาพระธรรมวินยั ระบบมขุ ปาฐะ ๗๓ ๓.๕ ลกั ษณะของการศึกษาพระธรรมวนิ ัยระบบมุขปาฐะ ๓.๖ ข้อดแี ละข้อจำกัดของการศกึ ษาพระธรรมวนิ ยั ระบบมุขปาฐะ สรุปท้ายบท คำถามทา้ ยบท
เอกสารอ้างอิงประจำบท ๗๓ บทท่ี ๔ การศึกษาพระธรรมวินยั ยคุ จารึกเป็นอักษร ๗๕ ๔.๑ ความนำ ๗๖ ๔.๒ ความเป็นมาและความสำคัญของการจารึกพระธรรมวินัยเป็นอักษร ๗๖ ๔.๓ แนวคดิ ในการศกึ ษาพระธรรมวินยั ยคุ จารึกเปน็ อักษร ๘๐ ๔.๔ ลกั ษณะของการศึกษาพระธรรมวินัยยุคจารึกเป็นอกั ษร ๘๑ ๔.๕ การรวบรวมหลกั คำสอนเปน็ หมวดหมู่ ๘๕ ๔.๖ การศึกษาพระไตรปิฎกในยุคจารกึ เปน็ อกั ษร ๘๖ สรปุ ทา้ ยบท ๘๘ คำถามทา้ ยบท ๘๙ เอกสารอา้ งอิงประจำบท ๙๐ บทท่ี ๕ การเกิดขึน้ และพัฒนาการของมหาวทิ ยาลัยในพระพุทธศาสนา ๙๑ ๕.๑ ความนำ ๙๒ ๕.๒ แนวคิดของการเกิดขึน้ ของมหาวิทยาลยั ในพระพุทธศาสนา ๙๒ ๕.๓ การเกิดขึ้นของมหาวทิ ยาลยั ในพระพุทธศาสนา ๙๕ ๕.๔ พัฒนาการของมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ๑๐๐ ๕.๕ พัฒนาการของมหาวิทยาลยั พระพทุ ธศาสนนในโลกปจั จุบัน ๑๐๕ สรุปทา้ ยบท ๑๐๘ คำถามท้ายบท ๑๐๙ เอกสารอ้างองิ ประจำบท ๑๑๐ บทที่ ๖ บทบาทพระสงฆต์ ่อการศกึ ษาในประเทศไทย ๑๑๑ ๖.๑ ความนำ ๑๑๒ ๖.๒ ความหมาย ๑๑๒ ๖.๓ บทบาทพระสงฆต์ อ่ การศกึ ษาสมัยก่อนสโุ ขทยั ๑๑๗ ๖.๔ บทบาทพระสงฆต์ ่อการศึกษาสมยั สุโขทัยและล้านนา ๑๑๙ ๖.๕ บทบาทพระสงฆต์ อ่ การศึกษาสมัยอยุธยา ๑๒๑ ๖.๖ บทบาทพระสงฆ์ตอ่ การศกึ ษาสมัยกรุงธนบรุ ี ๑๒๒ ๖.๗ บทบาทพระสงฆ์ต่อการศกึ ษาสมัยกรงุ รัตนโกสนิ ทร์ถงึ ปจั จบุ ัน ๑๒๓ สรุปทา้ ยบท ๑๓๐ คำถามท้ายบท ๑๓๑ เอกสารอา้ งองิ ประจำบท ๑๓๒ บทท่ี ๗ บทบาทพระสงฆต์ ่อการศึกษาในภูมิภาคเอเชีย ๑๓๔ ๗.๑ ความนำ ๑๓๕
๗.๒ บทบาททวั่ ไปและบทบาทดา้ นการศกึ ษาของพระสงฆ์ ๑๓๖ ๗.๓ บทบาทพระสงฆต์ ่อการศึกษาในภูมภิ าคเอเชยี ๑๓๘ ๗.๔ วิเคราะห์แนวโนม้ บทบาทของพระสงฆต์ ่อการศึกษาในประชาคมโลก ๑๕๔ สรปุ ท้ายบท ๑๕๗ คำถามท้ายบท ๑๕๙ เอกสารอา้ งอิงประจำบท ๑๖๐ บรรณานกุ รม ๑๖๒
๑ บทที่ ๑ ระบบการศึกษาในพระพทุ ธศาสนาสมยั พุทธกาล พระมหาสมบูรณ์ สุธมฺโม ผศ.รวีโรจน์ ศรีคำภา วตั ถปุ ระสงค์การเรียนประจำบท เมอ่ื ไดศ้ กึ ษาเนอื้ หาในบทน้แี ล้ว ผศู้ กึ ษาสามารถ ๑. ระบคุ วามหมายการศึกษาในพระพทุ ธศาสนาได้ ๒. อธบิ ายความสำคัญของการศึกษาในพระพุทธศาสนาได้ ๓. บอกจดุ มงุ่ หมายการศึกษาในพระพทุ ธศาสนาได้ ๔. วเิ คราะห์เป้าหมายของการศึกษาในพระพุทธศาสนาได้ ๕. สรุปรปู แบบหรือวิธกี ารศกึ ษาในสมยั พุทธกาลได้ ๖. บอกประโยชน์ของการศกึ ษาในพระพุทธศาสนาได้ ขอบข่ายเนอ้ื หา • ความหมายการศกึ ษาในพระพทุ ธศาสนา • ความสำคัญของการศึกษาในพระพทุ ธศาสนา • จุดมุ่งหมายการศกึ ษาในพระพุทธศาสนา • เปา้ หมายของการศกึ ษาในพระพุทธศาสนา • รปู แบบหรือวิธีการศึกษาในสมัยพุทธกาล • ประโยชน์ของการศึกษาในพระพุทธศาสนา
๒ ๑.๑ ความนำ การศึกษาสมัยพุทธกาลโดยมากผู้เข้ามาบวชในสำนักของพระพุทธเจ้าแล้วจะอยู่ในสำนัก พระพุทธเจ้าโดยตรง หรือในสมัยหลังๆ จะอยู่ในสำนักพระมหาเถระอ่ืน ๆ และเมื่อได้ระยะเวลา พอสมควรพากันออกไปอยู่ป่าลึก ๆ จึงขอกัมมัฏฐานจากพระอุปัชฌาย์อาจารย์ หรือจากสมเด็จพระ สัมมาสมั พทุ ธเจ้าดว้ ยมุขปาฐะ สาเหตุสำคัญท่ีพราหมณ์ท้งั หลายในสมยั พทุ ธกาลละทิ้งความเช่ือเดิมท่ีสืบทอดกันมาหลาย พันปี แล้วหันมานับถือพระพุทธศาสนามีหลายประการที่สำคัญท่ีสุดคือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าเป็นสัจธรรมอันจริงแท้แน่นอนที่ผู้ปฏิบัติสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเองในยุคนั้นมีผู้ปฏิบัติจนเข้าถึง ธรรมเป็นพระอริยบุคคลมากมาย ซ่ึงสามารถเป็นพยานยืนยันคำสอนได้เป็นอย่างดี นอกจากน้ีเหล่า พราหมณ์ให้การยอมรับในบุคลิกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในฐานะที่ทรงเป็นมหาบุรุษจึงตั้งใจฟัง คำสอนของพระองค์ พุทธวิธีการสอนธรรมก็มีส่วนอย่างมากในการเปลย่ี นแปลงความเชือ่ ของคนใน สังคมอินเดีย พระองค์ทรงสอนโดยยึดตามจริตผู้เรียนหรือในปัจจุบันเรียกว่าสอนโดยยึดผู้เรียนเป็น ศูนย์กลาง (Child Center) อีกประการหนึ่ง คำสอนของเหล่าพราหมณ์อาจารย์มีความขัดแย้งกันเอง จึงทำใหพ้ ราหมณ์จำนวนไมน่ ้อยเสอ่ื มศรทั ธาหันมานบั ถือพระพุทธศาสนา ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่พระสงฆ์สาวกเป็นประจำทุก วนั นอกจากน้ัน พทุ ธกิจประจำวันอีกประการหน่ึงคือ ทรงสอดส่องดูเวไนยสัตว์ทีพ่ ระองค์ควรไปแสดง ธรรม เพื่อให้ผู้นั้นได้สำเร็จมรรคผล ตามควรแก่อุปนิสัยของเวไนยสัตว์นั้น ๆ นอกจากพระภิกษุสงฆ์ แล้ว บรรดาพุทธศาสนิกชนก็พากันไปฟังธรรมจากพระพุทธองค์โดยตรงในตอนเย็นเป็นประจำทุกวัน พระภิกษุรูปใดหรือหมู่คณะใดฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้า ซึ่งบางครง้ั ทรงแสดงแต่โดยย่อ ยัง ไมเ่ ข้าใจแจ่มแจ้ง ก็พากันไปไต่ถามพระเถระผทู้ รงคุณวุฒใิ ห้อธิบายโดยพิสดารให้ฟงั พระเถระดังกลา่ ว มีพระสารีบตุ ร พระมหากัจจายนะ และพระมหากสั สปะ เป็นต้น แล้วทรงจำไว้ เม่อื มีโอกาสก็กราบทูล ถามพระพุทธเจ้าว่า พระธรรมเทศนาเร่ืองนั้น ๆ พระมหาเถระองค์นั้น ๆ ได้อธิบายโดยพิสดารเป็น อย่างน้ัน ๆ พระพุทธองค์ก็ทรงรับรองวา่ คำอธิบายน้ันถกู ต้อง แม้พระองค์จะอธิบาย ก็จะอธิบายอย่าง นัน้ การศึกษาคำสอนของพระพุทธเจา้ น้ีเรียกว่า การศึกษาพระปริยัติธรรม คำสอนของพระพทุ ธเจา้ มอี งค์ ๙ ประการ เรยี กวา่ นวังคสตั ถุศาสน์ ได้แก่ สตุ ตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อทุ าน อติ วิ ตุ ตกะ ชาดก อพั ภตู ธรรม และเวทัลละ การศึกษาพระปริยัติธรรม กเ็ พ่ือรกั ษาพุทธวจนะให้ดำรงอยู่ พระพทุ ธเจา้ ใช้ ภาษามคธ หรอื เรียกกันโดยทัว่ ไปว่า ภาษาบาลี ใน การแสดงพระธรรมเทศนา เนอื่ งจากเปน็ ภาษาที่คนท่ัวไปในมัชฌมิ ประเทศ ใช้กนั อยู่อยา่ งแพร่หลาย ดงั น้นั แมว้ ่าจะมกี ารแปลพระธรรมวนิ ัย ออกเปน็ ภาษาต่าง ๆ ในระยะต่อมา แต่ต้องไมท่ ้ิงพุทธวจนะ เดมิ ทีเ่ ป็นภาษาบาลี เพอื่ จะไดไ้ ว้เป็นหลักฐาน ในการตรวจสอบความหมายท่ีแท้จริง ป้องกันความ วิปลาสคลาดเคลื่อนจากการแปลความหมายไปสูภ่ าษาตา่ ง ๆ
๓ ๑.๒ ความหมายของการศึกษาในพระพุทธศาสนา คำว่า “ศกึ ษา” ซง่ึ เปน็ ภาษาสนั สกฤต แตพ่ อเปน็ ภาษาบาลี กลายเป็น “สิกขา” เม่ือแยก ศัพท์ออกมา มาจากคำว่า สะ+อกิ ขะ+อา สะ ในภาษาบาลี แปลว่า ตวั เอง อิกขะ แปลวา่ มอง, พจิ ารณา, เห็น ส่วนคำวา่ \"การศึกษา\" แปลมาจากภาษาองั กฤษวา่ \"Educatoin\" ซึง่ มรี ากศพั ทม์ า จากภาษาละตินสองคำคือ \"Educare\" กับ \"Educate\" คำแรก แปลว่า \"เล้ียงดู\" (Bring up) คำหลงั แปลวา่ \"ทำให้เกิด\" (Bring Forth)๑ ดงั น้นั การศกึ ษาจึงหมายถึง ทำให้เกิดและเลยี้ งดู การศกึ ษาจึงไม่ได้หมายถึงเพียงการแสวงหาความรู้ หรอื ประสบการณ์ แตย่ ังหมายถึงการพัฒนานสิ ัย (Habits) เจตคติ (Attitudes) และทักษะ (Skills) ใหเ้ กิดและไดร้ ับการดูแลให้ก้าวหนา้ ในทาง สร้างสรรค์ จึงจะช่วยใหม้ นุษย์แตล่ ะคนมชี วี ิตทสี่ มบรู ณแ์ ละมีคุณคา่ ตามแนวความคิดน้ถี ือว่า การศกึ ษาเป็นเพียงการพัฒนาส่ิงที่มอี ยู่แลว้ นน้ั ใหเ้ จริญงอกงาม ขึน้ เท่านนั้ ผู้สอนจงึ มีฐานเป็นเพียง (Guide) คือผชู้ ีแ้ นะแนวทางเท่านั้น ตรงกับที่พระพทุ ธเจ้าตรสั ว่า ตถาคตเป็นเพียงผบู้ อกเท่านัน้ เร่อื งปฏบิ ัติหรือไมน่ ัน้ เป็นเรื่องของทา่ น ดงั นั้น การศึกษา ก็คือความเจริญงอกงาม เพราะเป็นกระบวนการดึงออกและพฒั นาให้ เจรญิ งอกงามข้ึน ถ้าการศึกษาเปน็ การใสเ่ ข้า การศึกษาจะมลี กั ษณะเปน็ ๑. คงที่ คือ ความรจู้ ะไมม่ ีการพัฒนาข้นึ จะมีเฉพาะที่อาจารยบ์ อกเท่าน้นั อาจารย์หมด ความรกู้ ็เป็นอันว่าจบกนั เท่าน้ัน ๒. ขาดหายไป คือ ยิ่งนานวันเข้าความรูท้ ี่มอี ยู่ก็จะหดหายไปทีละน้อย ๆ เพราะตกหลน่ หรือจะเป็นเพราะเหตผุ ลอะไรกแ็ ลว้ แต่ ในทีส่ ุดอาจจะหมดไปเลยก็ได้ การศึกษาไม่คงที่และไม่หดหายไปน้ัน เพราะความรู้ไม่ได้เกิดจากการถา่ ยทอดจากคนหน่ึง ไปสอู่ ีกคนหน่ึง แต่เป็นการดึงเอาความรู้ทีแ่ ต่ละคนมีอย่อู อกมาแล้วพฒั นาขึ้น จนมีการเจรญิ งอกงาม ไปตามลำดับและจะพฒั นาไปจนไมม่ ที ่สี น้ิ สดุ จึงทำให้มนุษยค์ ิดค้นสิง่ ใหม่ๆ ได้เร่ือย ๆ และคิดสิง่ ที่ ยากยงิ่ ขึน้ ไปตามลำดับ ดังนั้น การสอนท่ีถกู ต้องจึงเป็นการสอนให้คนรจู้ กั คิด มิใชส่ อนให้จำ ความคิดมีเหตุมีผล เปน็ เรือ่ งของ \"ปัญญา\" ซ่งึ จะไม่มกี ารลมื และจะพฒั นาต่อไป สว่ นความจำนั้นเป็นเรื่องของ \"สญั ญา\" ซง่ึ อาจจะลมื เม่ือไรกไ็ ด้ การคิดนัน้ จะก่อให้เกิดการพฒั นา กลา่ วคอื เมื่อมนุษยพ์ อคดิ เป็น กจ็ ะคิดคน้ สิง่ ใหม่ ๆ อย่างตอ่ เนอ่ื ง และจะเป็นไปในลกั ษณะนตี้ ลอดไป จนกวา่ จะเปลย่ี นแนวคิดทางการศึกษา ใหม่ นักทฤษฎีบางคนให้คำอธิบายคำว่าการศึกษาต่างออกไปว่า \"Educate\" มาจาก \"E\" หมายถึง ออกจาก (Out of) และ \"Ducs\" หมายถึง \"นำออก\" (To lead forth) หรือ \"ถอดออก\" (To Extract out) ตามนัยความหมายนี้ การศึกษา คือ การนำออกหรือถอดซึ่งส่ิงท่ีดีที่สุดออกมา จากมนุษย์ ตรงกับทพ่ี ลาโตก้ ล่าววา่ ๑ สนทิ ศรสี ำแดง, พระพทุ ธศาสนากับการศกึ ษา, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลยั , ๒๕๔๗, หนา้ ๓.
๔ \"หน้าที่ของการศกึ ษาคือนำมนษุ ย์ออกจากถ้ำสู่โลกแห่งความสว่าง การศกึ ษาไม่ใช่การเอา ความรู้ยัดใส่เข้าไปในจิตของมนุษย์ ซ่ึงคิดว่าเขาไม่มี ไม่ใช่การเอาแสงสว่างใส่ลงไปในตาที่บอด แต่ เป็นการดึงเอาความรใู้ นจิตของเขาออกมา ให้เขาออกจากโลกของความเปลยี่ นแปลง โลกของตัณหา (Appetite) ซึง่ เป็นเหตใุ หจ้ ิตใจมืดบอด การศึกษาจึงเป็นเรื่องการเปล่ยี นแปลงวญิ ญาณของมนุษยใ์ ห้ ออกจากโลกของมายาสูโ่ ลกของความจริง\"๒ ดังน้ัน พลาโต้ (Plato) กล่าวว่า \"การศึกษา\" คือ การเปล่ียนแปลงความคิดหรือวิญญาณ ของมนุษย์\" (Education is conversion of human's soul) น่นั คือ พัฒนาไปในทางที่ดีขึน้ จาก โลกมืดไปส่โู ลกทีส่ ว่าง โลกมืด คือ โลกแห่งประสาทสัมผัส ได้แก่ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ เป็นประเภท ความจำและยังเป็นประสบการณ์ท่ีเป็นมายา ยังไม่เป็นสิ่งแน่นอน ยังไม่เป็นจริง (แตใ่ ช้เป็นฐานของ ความจริงได้) โลกสว่าง คือ โลกแห่งสติปัญญา โลกแห่งความจริง เป็นเรื่องของความคิด คือ การคิดเป็น ทำเป็นและแก้ปญั หาเปน็ ความหมายนี้ สนั นิษฐานว่า ความรูท้ ุกอย่างรวมอยู่ในผเู้ รียน มีแต่วิธีการเท่านนั้ จะต้อง คน้ ใหพ้ บ เพอ่ื ไขกอ๊ กคือสมอง แลว้ ความร้จู ะไหลออกมาเอง ขอ้ สนับสนนุ เพ่ิมเตมิ ทัศนะน้ี คอื ความเชื่อทว่ี ่า เมอื่ การศึกษาทำหน้าที่ถูกต้อง จิตอัน บริสทุ ธ์ิ จะมองเหน็ ความดีงาม และความสมบูรณ์ที่ซ่อนแฝงอยู่มากมาย มหาตมะคานธี กย็ อมรบั แนวคดิ นี้ เม่ือเขากลา่ ววา่ โดยอาศัยการศึกษา สิ่งท่ดี ีที่สดุ ใน ตวั เดก็ จะถูกดงึ ออกมารอบดา้ น ท้ังดา้ นร่างกาย จติ และวิญญาณ ทศั นะขา้ งต้นอาจเปน็ การมองสุดโตง่ และไม่อาจเปน็ จริงโดยสมบูรณ์ ความจรงิ เราไม่อาจ ดงึ อะไรออกมาได้ เวน้ แต่เราได้ใสส่ ่งิ ใดส่งิ หนึง่ เข้าไปก่อน เดก็ ไมใ่ ช่บ่อน้ำบาดาลท่ีพอเราเอาท่อใสเ่ ข้า ไปแล้ว นำ้ จะไหลออกมาเอง เด็กเหมือนธนาคารใช้ A.T.M. ทเี่ ราจะตอ้ งใส่เงนิ เขา้ ไปก่อนจึงจะกด ออกมาได้ อาจมเี ด็กอจั ฉริยะ แสดงลกั ษณะของความเปน็ ผูม้ คี วามสามารถพิเศษออกมาสกั ครง้ั สอง คร้ัง แตก่ ็ไมเ่ สมอไป เวน้ ความรู้ และประสบการณท์ ีเ่ ราใหแ้ ก่เดก็ แลว้ เราไมอ่ าจดงึ ส่ิงท่ดี ที สี่ ดุ ในตัว เขาออกมาได้๓ การศกึ ษา ในภาษาบาลใี ชค้ ำว่า \"สกิ ขา\" แปลว่า ทำให้แห้ง หมายถึงการทำกิเลส สิ่ง ช่วั ร้ายใหห้ ายไป แต่เมื่อพจิ ารณาตามรปู ศัพท์อาจแยกออกพจิ ารณาได้ ๒ ความหมาย คือ ๑. เป็นเคร่อื งมือให้มองเห็นตัวเอง (สยํ เตน อิกฺขตตี ิ สกิ ฺขา : Self evidence) คือ การเขา้ ใจคณุ ภาพของตวั เอง ร้วู ่าตวั เองมีพลงั มีศกั ยภาพแค่ไหนเพยี งไร มีความสามารถอยา่ งไร และควรใชอ้ ย่างไรเปน็ ตน้ พูดให้สัน้ คือ รูว้ า่ ตัวเองในทกุ ๆ ดา้ น เชน่ ในการประกอบอาชีพ ตอ้ งรู้ วา่ ตัวเองมีความรู้ ความถนดั ความสามารถในด้านใดก็ประกอบอาชีพในด้านนนั้ เปน็ ต้น การ มองเห็นตวั เองน้ี จะทำให้มนษุ ย์รจู้ ักตัวเอง และสามารถนำตวั เองเขา้ ไปสัมพันธ์กบั ส่ิงตา่ ง ๆ ได้ อย่างเหมาะสม หน้าท่ีของการศึกษาตามความหมายนคี้ ือ การชว่ ยให้คน้ พบตวั เอง ๒ Grube, G.M.A., Plato Thought, Balon Press, Boston 1958, P. 52. ๓ สนทิ ศรีสำแดง, พระพทุ ธศาสนากับการศึกษา, (อา้ งแลว้ ), หน้า ๔-๕.
๕ ๒. เป็นเครื่องมือทำให้มองเห็นความจริง (สจฺจํ เตน อิกฺขตีติ สิกฺขา : Self- realization) คือ มีความเข้าใจในสภาพของตนและสิง่ ต่าง ๆ อย่างแจม่ แจง้ ชดั เจน หรือการมองเห็น ความจริงตามเป็นจริง ดงั นัน้ การศึกษาตามแนวความคดิ ทั้งสองความหมายนี้ จึงม่งุ มาท่ตี ัวผู้เรยี น คอื สอนให้ ผเู้ รียนรจู้ ักตัวเองและสภาพแวดลอ้ มอยา่ งถกู ตอ้ ง การศึกษาในยุคใหมจ่ ึงใชร้ ะบบยึดผู้เรยี นเปน็ ศูนย์ กลาง (Student Center) การเรยี นการสอน เพื่อพัฒนานักเรียนให้เขา้ ใจตวั เองมากท่ีสดุ เท่าทจี่ ะทำได้ พทุ ธศาสนาสอนให้มนุษย์เข้าใจตนเอง ดงั พระพุทธพจน์ทว่ี ่า \"ทนฺโต เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ\"๔ แปลวา่ ผู้ฝึกฝนอบรมดีแล้ว เป็นผู้ประเสริฐทีส่ ดุ ซ่ึงหมายถงึ การรู้จกั และเข้าใจตนเองอย่างแทจ้ รงิ พระเทพเวที (ป.อ.ปยุตฺโต) ให้นิยามความหมายคำว่า การศึกษา หรือ สิกขา แปลว่า การฝึกฝนพัฒนาคน การฝึกฝนพัฒนาคนน้ัน อิงอาศัยความเชื่อท่ีว่า มนุษย์มีศักยภาพที่พัฒนาได้ หรือว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่ประเสริฐได้ด้วยการฝึกฝนพัฒนา เม่ือฝึกฝนพัฒนาด้วยไตรสิกขาให้ดำเนิน ชีวิตตามวิถีแลว้ ในท่ีสดุ กบ็ รรลจุ ุดมุ่งหมายแหง่ ชีวิตที่ดีงาม เป็นสัตวท์ ่ีประเสริฐ มีคณุ สมบัติที่สมบูรณ์ มีท้ังปัญญาหยั่งรู้สัจธรรม ดำเนินชีวิตด้วยสันติสุข กล่าวได้ว่า พระพุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาแห่ง การศกึ ษาเรอื่ งของพระพทุ ธศาสนา เปน็ เรอื่ งของการศึกษาทงั้ สน้ิ ๕ มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ คำว่า การศึกษา หมายความว่า กระบวนการเรียนรู้เพ่ือความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม โดยการถ่ายทอด ความรู้ การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์ จรรโลงก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อม สังคมการเรียนรู้ และปัจจัยเก้ือหนุนให้บุคคล เรยี นรู้อยา่ งตอ่ เนอ่ื งตลอดชีวิต๖ ๑.๒.๑ หลกั การศกึ ษาในพระพทุ ธศาสนาแบง่ เปน็ ๓ หลักใหญ่ ๑.ศีล (Morality) คือ ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกกาย วาจา ได้แก่ วินัย กฎหมาย ระเบียบกติกาต่าง ๆ ทางพุทธศาสนาถือว่า การศึกษาระเบียบวินัย หรือศีลต้องมาก่อน คือ ถือ ระเบียบวินัยเป็นหลักเน้นความประพฤตสิ ่วนบคุ คล คือปลูกฝังความมีวินัยก่อน ๒.สมาธิ (Concentration) คือ เคร่ืองมือในการทำจิตใจให้หนักแน่น ทำให้รู้จัก ตวั เองมากข้ึน เป็นการสอนให้มีจิตใจหนักแน่น คือ สมาธิ เพอ่ื ฝึกจิตไม่ให้ท้อถอย มีจิตใจม่ันคง ไม่ หวั่นไหวในการงานและอปุ สรรคทงั้ หลาย ๓.ปัญญา (Wisdom) คือ แนวทางท่ีใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิต สอนให้รู้จัก ตัวเอง คือ ปัญญา เน้นการเข้าใจตัวเองและโลกภายนอกให้ถูกต้องตรงกับความจริง เพ่ือจะได้ปฏิบัติ ๔ ข.ุ ธ.(บาลี) ๒๕/๕๗ ๕ พระเทพเวที (ป.อ.ปยุตฺโต), ลักษณะแห่งพระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิพุทธธรรม, ๒๕๓๒), หนา้ ๔๖. ๖ กระทรวงศึกษาธิการ, พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๖ ตอนที่ ๗๔ ก. หนา้ ๒, ๑๙ สงิ หาคม ๒๕๔๒.
๖ หรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ รอบข้างได้อย่างถูกต้อง (ให้รู้ทั้งอัตวิสัยและภววิสัย๗)๘ ปัญญาตาม แนวคดิ น้แี บ่งเป็น ๓ คอื ๑.สชาตปิ ัญญา (IQ : Intelligence Quotient) เป็นปัญญาท่ีติดตัวมา ต้ังแตเ่ กิดไมจ่ ดั เป็นความรแู้ ตเ่ ปน็ เชาวน์ เป็นความปราดเปรียวของระบบสมอง (IQ) ปัญญานถ้ี งึ แม้ จะไม่ใชค่ วามรู้ แต่ใช้เปน็ พน้ื ฐานในการเรียนและการทำงานต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คนท่ี มีไอควิ (IQ) สูง คือ คนมีไอควิ ระหวา่ ง ๑๒๐ - ๑๔๐ เปน็ คนที่เปน็ อจั ฉริยะ (Gifted) คนธรรมดา หรอื พวกเนยยะ (Educables) มไี อคิวอยู่ในระหวา่ ง ๙๐ - ๑๒๐ คนไอคิวต่ำ (Trainables) มีไอ ควิ ระหว่าง ๗๐ - ๙๐ สว่ นคนปญั ญาอ่อน (Moron) จะมไี อคิวระหวา่ ง ๕๐ - ๗๐ สำหรับคนท่มี ีไอ คิวต่ำมากเรยี กวา่ คนปัญญาน่มิ (Ediot) จะมีไอคิวระหว่าง ๒๕ - ๕๐ เป็นคนทชี่ ว่ ยเหลอื ตวั เอง ไม่ได้เลย ต้องมีคนคอยชว่ ยเหลืออยตู่ ลอดเวลา สหชาตปิ ญั ญาน้ี แต่ละคนจะมีไม่เทา่ กัน ๒.นปิ ากปญั ญา (Professional Knowledge) เปน็ ปัญญาทใ่ี ช้ประกอบ อาชพี คอื ความร้ทู ใี่ ช้ประกอบอาชพี ได้ เชน่ ความรดู้ ้านบัญชี การตลาด เลขานุการ คอมพิวเตอร์ เปน็ ตน้ ความรู้ชนดิ นี้ต้องศึกษาจงึ จะมีไดแ้ ละสามารถจะเรียนทันกนั ได้ เพราะใคร ๆ กส็ ามารถจะ เรียนกันได้และความรชู้ นดิ นี้ไม่ใชค่ วามรู้ท่เี ปน็ ศาสตรบ์ ริสทุ ธิ์ (Pure Science) แต่เป็นศาสตรป์ ระยกุ ต์ (Applied Science) ๓.วิปสั สนาปญั ญา (Intuitive Knowledge) เป็นความรู้เพ่ือความรู้ เปน็ ความรู้ เพื่อทำลายกิเลส (Knowledge for Knowledge's sake) บาลีเรียกว่า \"ยถาภตู ญาณทัศนะ\" ๑.๒.๒ ขัน้ ตอนการศกึ ษาในสมยั พุทธกาลนัน้ แบ่งเปน็ ๓ สว่ น ๑. ข้ันปรยิ ตั ิ เป็นการศึกษาพระธรรมวนิ ยั ให้มีความรู้ความเขา้ ใจในพระธรรมคำสัง่ สอน ของพระพุทธเจา้ รวมทง้ั พระวินยั คอื ขอ้ บัญญตั ติ ่าง ๆ ท่ีจะต้องประพฤติ ให้มีความรคู้ วามเขา้ ใจอย่าง แทจ้ ริง เพ่ือจะไดน้ ำมาประพฤติปฏิบตั ิได้อย่างถูกต้องตรงทาง และยงั สามารถแนะนำสงั่ สอนผู้อืน่ ให้มี ความรคู้ วามเข้าใจ ในพระพุทธศาสนาทีถ่ กู ต้อง ปริยัติเป็นความรู้ท่ีเกิดขึ้นจากการฟัง การอ่าน การคิด และใคร่ครวญความหมาย ส่วนประกอบ ความสัมพันธ์ กฎและกระบวนการของชีวิต ซึ่งพระพุทธเจ้าได้แสดงไว้อย่างละเอียด ลึกซ้ึงและเป็นระบบ สาระความสำคัญของพระพุทธศาสนาน้ันเป็นความเข้าใจในเหตุปัจจัยและผลท่ี ต่อเนื่องกันเป็นวัฏจักรอย่างมิขาดสาย อนั ได้แก่ ปฏจิ จสมุปบาท พุทธศาสนกิ ชน พยายามศึกษาและ ฝกึ หัดอบรมตน เพื่อให้สามารถตัดวงจรนีไ้ ด้ก็จะบรรลุซง่ึ ความดับ สงบ เย็น คอื พระนิพพาน การท่ี จะเข้าถึงพระนิพพานได้นั้น ต้องอาศัยหลักอริยสัจจ์ ๔ ขันธ์ ๕ ไตรลักษณ์ กรรม และ มัชฌิมาปฏิปทา ซ่ึงผู้ศึกษาได้ศึกษาจนรู้ความเป็นจริง ต้องเป็นผู้รู้ในเรื่องของทุกข์ เหตุของทุกข์ ๗ หมายเหตุ ภวนสิ ยั ตรงกับ คำวา่ objective หมายถึงสิง่ ทดี่ ำรงอยอู่ ยา่ งเป็นเอกเทศ เปน็ อิสระ โดยไมข่ น้ึ การรับรู้ของเรา ยกตวั อยา่ งเชน่ กฎแรงความโนม้ ถ่วงเป็นกฎทางภววิสยั เป็นกฎทางภววสิ ัยท่ีดำรงอยู่ ไม่ว่าเราจะ รับรมู้ นั หรือไม่กต็ าม ๘ สนทิ ศรีสำแดง, พทุ ธศาสนากบั การศกึ ษา : ภาคทฤษฎีแหง่ ความร้,ู (กรงุ เทพมหานคร : นลี นารา การพิมพ์, ๒๕๓๔), หน้า ๑๕๒ - ๑๕๕.
๗ การดับทุกข์ และหนทางท่ีนำไปสู่ความดับทุกข์ท้ังสิ้น ต้องมีความเข้าใจเร่ืองขันธ์ ๕ อันได้แก่ รูป (กาย) เวทนา (ความรู้สึก) สัญญา (ความเข้าใจ) สังขาร (ความคิด) และวิญญาณ (ความรู้) ต้อง เข้าใจเรือ่ งของกรรมที่เปน็ กศุ ลและอกุศล ตอ้ งเขา้ ใจลกั ษณะ ๓ ประการของชีวิต คือ อนจิ ฺจํ ทุกขฺ ํ อนตฺตา และ พาหุสจจฺ เป็นผไู้ ด้สดับตรับฟังมาก สปิ ปฺ ญฺจ ชำนาญในศลิ ปะวิชาชีพ วนิ โย จ สุสิกฺขโิ ต มีวินัยท่ีได้ศึกษาดี และ สุภาสิตา จ ยา วาจา กล่าววาจาดีงาม เป็นการศึกษาเพ่ือให้เกิดสัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นชอบ ผู้ศึกษาจะไม่หยุดหรือพึงพอใจอยู่เพียงแค่น้ี จะต้องฝึกหัดอบรมตนต่อไป เป็น เรอื่ งของการปฏิบัติ ๒. ข้ันปฏบิ ัติ เปน็ การนำเอาพระธรรมวินยั ที่ได้ศกึ ษามาจนรอบรู้ และเข้าใจถ่องแท้ดแี ล้ว มาประพฤติปฏิบตั ิด้วยกาย วาจา และใจ ในสองข้อแรก สว่ นใหญ่กจ็ ะเปน็ ไปในกรอบของพระวินัย คอื ศีลนน่ั เอง ส่วนขอ้ ที่สามเป็นการเจรญิ ภาวนา อนั ไดแ้ ก่การฝึกสัมมาสมาธิ ซึ่งเปน็ สมาธิใน พระพุทธศาสนา มิใช่สมาธโิ ดยทัว่ ไป รายละเอียดในการนำไปสู่สัมมาสมาธิมีอยู่พร้อมมูล และชดั เจน แล้วในพระไตรปิฎก เม่ือไดส้ ัมมาสมาธิในระดบั ท่จี ะนำไปใชป้ ฏิบตั วิ ิปสั สนาได้ โดยนอ้ มนำไปสกู่ ารทำ วิปัสสนาอันเป็นอบุ ายให้เกดิ ปญั ญา ที่ได้รเู้ หน็ ความเป็นไปต่าง ๆ ของโลกตามความเปน็ จริง การปฏบิ ัติเปน็ การศึกษาท่แี ท้จรงิ มอี งค์ประกอบ ๓ ประการ เรียกว่าไตรสิกขา ซึ่งเป็น กระบวนการศกึ ษาตามแนวพุทธ เป็นกระบวนการแก้ปัญหาอยา่ งถกู ต้องด้วยการทำลายอวชิ ชาและ ตัณหา สร้างเสริมปญั ญา ฉันทะ กรุณา แบ่งเปน็ ๓ ขัน้ ตอนใหญ่ ๆ๙ คอื ๑.อธศิ ลี สิกขา เป็นการฝกึ อบรมในดา้ นความประพฤติ ระเบียบวนิ ัย ฝึกหดั อบรมควบคมุ กายและวาจา เพ่ือใหผ้ ูศ้ ึกษาพูดดี (สมั มาวาจา) และดำรงชพี ดว้ ยดี (สมั มาอาชีวะ) ๒.อธจิ ติ สิกขา (สมาธิ) เป็นการฝกึ อบรมทางจิตใจ การปลูกฝังคุณธรรม สร้างเสริมคุณภาพ และสมรรถภาพของจติ คอื การฝกึ หัดอบรมใหจ้ ติ และความคิดมีความแน่วแน่ ต้ังใจและปลอดโปรง่ ทงั้ น้ีโดยมคี วามเพยี ร (สัมมาวายามะ) ประกอบด้วยความระลึกรู้ (สัมมาสติ) และจิตท่ีตัง้ ม่ันแนว่ แน่ มัน่ คง (สมั มาสมาธ)ิ ๓.อธิปญั ญาสกิ ขา เป็นการฝกึ อบรมทางปัญญา ใหเ้ กิดความร้คู วามเข้าใจสิ่งท้ังหลาย ตามเปน็ จริง ร้คู วามเป็นไปตามเหตปุ ัจจยั ท่ที ำให้แก้ไขปญั หาไปตามแนวทางเหตผุ ล รเู้ ท่าทันโลกและ ชวี ติ จนสามารถทำจติ ใจใหบ้ รสิ ุทธ์หิ ลุดพ้นจากความยึดถอื ม่นั ในสง่ิ ต่าง ๆ ดับกเิ ลสดับทุกขไ์ ด้ อยูด่ ว้ ย จติ ใจเปน็ อิสระผ่องใสเบิกบาน คือ การฝกึ หัดอบรมให้เกิดความรู้แจ้ง ซงึ่ เปน็ ความรรู้ ะดบั สูงที่ ประจกั ษ์ด้วยการฝึกฝนตนเองอยา่ งแทจ้ รงิ จนเกดิ ความเห็นทตี่ รงกบั สจั จะความจริง (สัมมาทฏิ ฐิ) และความดำริในทางที่ชอบ (สมั มาสงั กปั ปะ) การปฏิบตั หิ รือการฝึกหดั อบรม กาย วาจา ใจ จึงเปน็ การศึกษาท่ีแทต้ ามนัยแห่ง พระพุทธศาสนามีลักษณะเป็นสัมมาญาณ คอื ความรู้อันชอบยง่ิ และเป็นภาวิตญาณ คือความรทู้ ่ี เหนือสญั ชาตญาณ จำเปน็ ต้องศึกษาฝกึ หัดอบรมดว้ ยตนเองจึงจะบรรลไุ ด้ โดยการปฏิบตั ติ ามหลัก กมั มฏั ฐาน ๒ ดงั นี้ ๑.สมถกัมมฏั ฐาน กรรมฐานเปน็ อุบายสงบใจ ๒.วิปัสสนากัมมฏั ฐาน กรรมฐานเปน็ อุบายเรอื งปัญญา ๙ สนิท ศรีสำแดง, พระพุทธศาสนากบั การศกึ ษา, (อา้ งแล้ว), หนา้ ๔๙ - ๕๒.
๘ ๓.ขั้นปฏเิ วธ เป็นข้นั ทีแ่ สดงผลของการประพฤติปฏบิ ัติตามพระธรรมวินยั ในระดับตา่ ง ๆ ในเร่ืองต่าง ๆ ตามลำดบั จนถงึ ข้ันทำท่สี ดุ แหง่ ทุกข์ อันเป็นจุดหมายสงู สุดในพระพุทธศาสนา การศึกษาตามนัยแหง่ พระพุทธศาสนา มิไดห้ ยุดอยู่เพียงแค่ความรู้และการปฏิบตั เิ ท่านน้ั หากยังก้าวต่อไปถงึ ความเข้าใจและการคดิ วเิ คราะห์ถึงผลของปริยตั ิและปฏิบตั ิอีกด้วย คอื เป็นขนั้ กา้ ว ของปฏิเวธ๑๐ การศึกษาตามหลักของพระพุทธศาสนา ถ้าผศู้ กึ ษาหยดุ อยู่เพียงขั้นสมั มาทฏิ ฐิ และสมั มา ญาณเทา่ นั้น ยังอาจจะวา่ ยวนอยใู่ นห้วงแห่งปญั หาท้ังปวง ดงั นัน้ การศกึ ษาและการฝึกหัดอบรมตน จงึ ต้องสงู ขึ้นจนสามารถยกระดบั จติ ของตนใหห้ ลุดพน้ จากความเป็นทาสของอวิชชาและกิเลส เป็น มนษุ ย์ท่สี มบูรณห์ มดปัญหาทั้งปวงของชวี ิต ซึ่งหมายถึงการทไ่ี ดห้ ลดุ พน้ ส้นิ เชิง (สัมมาวิมตุ ติ) การศึกษาและการฝกึ หัดอบรมตนจงึ เป็นกระบวนการต่อเน่ือง มเี หตุ ปจั จยั และผลที่ ผสมผสานสอดคลอ้ งกนั อยา่ งได้สดั ส่วนสมดุล นำไปสู่เปา้ หมายอนั สงู สุดของมนุษย์ คือ “อิสรภาพ” ซึ่งเปน็ ทง้ั อสิ รภาพของตนกับการปะทะสัมพนั ธก์ บั สงิ่ แวดล้อม และอสิ รภาพภายในจติ ใจของตนเอง จิตของผ้มู ีอิสรภาพ ย่อมสงบ เยน็ ดบั ความรมุ่ ร้อนขนุ่ มัว รู้ถึงส่ิงควรละเว้นและเพม่ิ พูน สง่ิ ท่ีเป็นกุศลการศึกษาเชน่ นจี้ ึงเปน็ แนวการศึกษาทนี่ ักศึกษาสมยั ใหม่ควรหันมาวิเคราะห์รายละเอยี ด ของสาระเหล่านี้ และนำไปใชใ้ ห้เหมาะสม พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการวิเคราะห์ กล่าวคือ เชี่ยวชาญในการวิเคราะหท์ ้ังความ เป็นจริงและข้อธรรมได้ดีเยี่ยมเป็นพิเศษ เช่น วิเคราะห์จิตได้ละเอียดน่าอัศจรรย์ใจ วิเคราะห์ธรรมะ ออกเป็นข้อ ๆ อย่างละเอียดสุขุมและประสานสัมพันธ์กันเป็นระบบท่ีแน่นแฟ้น หากจะพยายาม อธิบายธรรมะข้อใดสักข้อหน่ึง ก็จะต้องอ้างถึงธรรมะข้ออื่นๆ เก่ียวโยงไปท้ังระบบ วิธีการวิเคราะห์ ธรรมะอย่างนี้ บางสำนักของศาสนาฮินดูได้เคยทำมาบ้าง แต่ก็ไม่สามารถทำได้เด่นชัดอย่างธรรมะที่ สอนกันในพระพุทธศาสนา จึงควรยกย่องได้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการวิเคราะห์ และเมื่อ กล่าวเช่นน้ีก็มิได้หมายความว่าพระพุทธศาสนาไม่สนใจด้านอื่นๆ ทั้งมิได้หมายความเลยไปถึงว่า ศาสนาอื่นๆ ไม่ร้จู กั วิเคราะห์ หามิได้ ตอ้ งการหมายเพียงแต่วา่ พระพุทธศาสนาเดน่ กว่าศาสนาอ่นื ๆ ใน ด้านวิเคราะห์เท่าน้ัน และถ้าหากศาสนาต่างๆ จะพึ่งพาอาศัยกันพระพุทธศาสนานี่แหละสามารถให้ ตัวอย่างในการวิเคราะห์ข้อธรรมะได้อย่างดีเยี่ยม ในขณะที่ศาสนาอื่นๆ อาจจะบริการด้านอ่ืนๆ ท่ีได้ ปฏบิ ัติมาอย่างเดน่ ชัด เชน่ ศาสนาพราหมณใ์ นเรื่องจารตี พธิ ีกรรม ศาสนาอิสลามในเร่ืองกฎหมาย เป็น ตน้ แต่วา่ สมาชิกแตล่ ะคนของแต่ละศาสนาจะสนใจร่วมมือกนั ในทางศาสนามากน้อยเพยี งใด ๑.๓ ความสำคญั ของการศกึ ษาในพระพุทธศาสนา การศึกษาพระพทุ ธศาสนาในสมัยพุทธกาล การศกึ ษา คือ การมองตน การพจิ ารณาตน การควบคมุ ตน จนกระทงั่ การพัฒนาตน โดยความหมายของการศึกษา คอื การพัฒนาและปลกู ฝงั นสิ ยั ๑๐ พิทรู มลวิ ลั ย์และไสว มาลาทอง, ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา, พมิ พค์ ร้งั ท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พก์ ารศาสนา, ๒๕๓๓), หนา้ ๖๗.
๙ ใฝร่ ู้ ใฝ่ดีใหก้ ับผเู้ รยี น อุดมการณ์ของการศึกษาคือ ย่งิ ศึกษาย่ิงต้องรูจ้ ักตัวเอง ร้จู ักตน ควบคมุ ตน แลว้ พัฒนาตนให้ได้ การศึกษาจึงมีความสำคัญต่อมนุษย์ เพราะสอนมนุษย์ให้รู้จักตัวตนของตน ดังคำกล่าว ทว่ี ่าการศึกษาคือชวี ิต และชีวิตคือการศึกษา คำกล่าวเช่นนีย้ ังคงเป็นความจริงอยู่ตลอดไป ชีวิตมนุษย์ ตั้งแต่เร่ิมปฏิสนธิในครรภ์มารดาเร่ิมมีการศึกษาบ้างแล้ว การศึกษาของมนุษย์จะเริ่มอย่างจริงจังก็ ต่อเมื่อชีวิตได้เร่ิมลืมตาดูโลก และจะต้องศึกษาอยู่ตลอดไปจนกว่าชีวิตจะจากโลกนี้ไป การศึกษาจึงมี ความสำคัญต่อบุคคล สังคม ประเทศชาติ และต่อโลกเป็นอย่างย่ิง อาจจะกล่าวได้ว่า “ตราบใดท่ีโลก ยังมีมนุษย์ไม่สิ้นสุดการศึกษาต้องอาศัย” เหตุที่เป็นเช่นน้ีเพราะมนุษย์ที่อาศัยโลกอยู่จะต้องอาศัย กระบวนการทางการศึกษาสำหรบั การพฒั นาตน เมื่อสมาชกิ ของสังคมได้รับการพัฒนาอย่างมีคณุ ภาพ แล้ว สงั คมและประเทศชาติรวมทง้ั โลกด้วยก็จะได้รับการพฒั นาต่อไปด้วย ทางพระพุทธศาสนาถือวา่ การศึกษาเป็นไปเพ่อื พัฒนาคนให้เป็นผ้มู ชี วี ติ ทดี่ งี าม สามารถ ดำเนินชีวิตได้อยา่ งถกู ต้องและเกื้อกูลแก่สงั คม การศึกษาคือการพฒั นามนุษย์ใหเ้ จรญิ ข้ึน มนษุ ย์ท่ยี งั ไมพ่ ัฒนาจะต้องอาศัยตัณหามานำชีวิตใหด้ ิน้ รน เพ่ือสนองความตอ้ งการทางด้าน ตา หู จมกู ลนิ้ และ กาย หรืออายตนะท้ังหลาย เพราะมนษุ ยย์ ังมีอวชิ ชา ไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชว่ั อะไรเปน็ ประโยชน์ อะไร ไม่ใช่ประโยชนอ์ ย่างแทจ้ รงิ จงึ ยงั ต้องเอาความรู้สึกชอบไม่ชอบ เกลียด กลวั หรือปรารถนา มาเปน็ เครอื่ งนำชวี ิตก่อน เมื่อมองดูเหน็ อะไรสนองความรสู้ ึกที่ดีท่ีสบายใหค้ วามสุขทาง หู ตา จมูก ลน้ิ กาย กพ็ อใจ ตอ้ งการไดส้ ่ิงเหลา่ นี้ มนุษยท์ ย่ี ังไม่พัฒนาจงึ อยู่ดว้ ยตัณหา แต่เมื่อมนษุ ย์มีปัญญาพอแลว้ กจ็ ะ อย่ดู ว้ ยสติปญั ญา ดงั เช่น การเปลีย่ นพฤตกิ รรมและวิถชี ีวิตจากการกนิ อยเู่ พียงเพอื่ อร่อยลิ้นและโกห้ รู มาสู่การกนิ พอดีดว้ ยปญั ญา หรอื เสรมิ คณุ ภาพชวี ิตให้มีสุขภาพและสามารถดำเนนิ ชวี ติ ท่ีดงี ามอย่าง ผาสุก อนั เรียกว่า โภชเนมัตตัญญุตา๑๑ การทมี่ นุษยอ์ ยูด่ ีดว้ ยปัญญา เป็นเครื่องพสิ จู น์ความสำเร็จของการศึกษา เพราะ การศึกษาคือการพฒั นามนุษย์ใหม้ ีชวี ติ ทีเ่ ป็นอยดู่ ้วยปญั ญา ไม่ตอ้ งอาศยั ตัณหามาชกั จูง การศกึ ษาใน พระพทุ ธศาสนาจึงเปน็ ไปเพ่อื ประโยชน์ ๓ ประการ ในชีวติ นี้อย่างแทจ้ ริง คอื ประโยชนใ์ นปัจจบุ นั ท่ี ประกอบไปดว้ ยกามสุข ประโยชน์ในภพหนา้ ท่ีสูงข้ึนไปคือสูงกวา่ ประโยชนใ์ นภพนี้ และประโยชน์ อย่างย่งิ คือพระนิพพาน สรุปความได้ว่า \"การศึกษา\" มีความสำคญั มากต่อการพัฒนาบคุ ลากรตลอดจนไปถึงเป็น พ้ืนฐานของการพฒั นาสว่ นอ่ืน ๆ ดว้ ย เพราะไม่วา่ จะทำการพฒั นาสว่ นใดต้องเริ่มมาจากการพฒั นาคน เสยี กอ่ น ดงั น้นั การพัฒนาคนสามารถทำไดห้ ลาย ๆ รปู แบบ อย่างที่สำคัญท่ีสุดของการพัฒนาคนคือ การให้การศกึ ษา ดังนั้นการพัฒนาประเทศต้องพฒั นาควบคู่ไปกับการพฒั นาคน โดยต้องคำนงึ ถึง การศกึ ษาเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างย่งิ การศึกษาในพระพุทธศาสนา เป็นการศกึ ษาทีม่ ่งุ เนน้ ให้ผู้ ศึกษาเข้าใจธรรมชาติ ของโลกและชวี ิตทีแ่ ทจ้ รงิ และฝกึ ให้ผู้ศึกษาสามารถดำเนนิ ชีวิตไดอ้ ยา่ งถูกต้อง เหมาะสม ต้ังแตร่ ะดับการดำเนินชวี ติ ประจำวนั ของคนท่ัวไป คือ การกนิ อยู่ ดู ฟัง จนถงึ ระดบั การ ดำเนินชวี ติ ของนักบวชผูม้ ุ่งมีชวี ิตที่บริสทุ ธิ์ และในทุกระดับยงั ผลใหผ้ ู้ศกึ ษาเองมคี วามสุขพร้อม ๆ กบั ชว่ ยให้คนรอบข้างและสงั คมมคี วามสุขพรอ้ มกนั ไปด้วยอย่างชัดเจน ๑๑ ข.ุ ม.(ไทย) ๑๙๙/๕๘๔.
๑๐ การศึกษา คือ การสร้างคนใหม้ ีความรู้ มีความสามารถ มีทกั ษะพน้ื ฐานทจ่ี ำเปน็ มีลกั ษณะ นิสัยจติ ใจทีด่ งี าม มีความพร้อมทจ่ี ะตอ่ สเู้ พื่อตนเองและสังคม มีความพร้อมทจี่ ะประกอบการงาน อาชพี ได้ การศกึ ษาชว่ ยใหค้ นเจรญิ งอกงาม ท้ังทางปัญญา จิตใจ ร่างกาย และสงั คม การศกึ ษาจงึ เปน็ ความจำเป็นของชีวิตอีกประการหนึ่ง นอกเหนือจากความจำเป็น ด้านท่ีอยู่อาศัย อาหารเคร่อื งนุ่งห่ม และยารกั ษาโรค การศึกษาจึงเปน็ ปจั จัยที่ ๕ ของชีวติ เปน็ ปจั จัยทีจ่ ะช่วยแกป้ ญั หาทุก ๆ ด้านของ ชีวิตและเป็นปจั จยั ท่ีสำคัญทส่ี ุดของชีวติ ในโลกท่ีมีกระแสความเปล่ียนแปลงทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์และ เทคโนโลยี อยา่ งรวดเรว็ และส่งผลกระทบให้วถิ ดี ำรงชีวิตต้องเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วเชน่ เดยี วกัน การศกึ ษาย่ิงมีบทบาทและความจำเป็นมากข้ึนดว้ ย การศึกษาทีจ่ ะชว่ ยใหท้ กุ คนมชี วี ติ ที่ดี มคี วามสขุ จะต้องมลี ักษณะ ทส่ี ำคัญดังนี้ ๑.เปน็ การศึกษาที่ให้ความรู้ และทักษะพื้นฐานที่จำเปน็ อย่างเพยี งพอ เชน่ ความรแู้ ละ ทักษะ ทางดา้ นภาษา การคิดคำนวณ ความเข้าใจหลักการทางวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เป็นตน้ สภาพปจั จบุ ัน มคี วามจำเป็นตอ้ งสนับสนนุ ใหท้ ุกคนได้รบั การศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐานอย่างน้อย ๑๒ ปี จงึ จะ เพียงพอกบั ความต้องการและความจำเป็นที่จะยกระดบั คุณภาพชวี ิตให้ดีข้ึน ๒.การศึกษาทำให้คนเป็นคนฉลาด เป็นคนมีเหตุผล คิดเป็นแก้ปัญหาเป็น และ รู้จักวิธี แสวงหาความรเู้ พือ่ พัฒนาตนเอง และเพ่ือการงานอาชพี ๓.การศึกษาต้องสร้างนิสัยที่ดีงาม ให้เกิดข้ึนกับผู้เรียนโดยเฉพาะนิสัยรักการเรียนรู้ และ นสิ ัยอน่ื ๆ เชน่ ความเป็นคนซือ่ สตั ย์ ขยนั อดทน รับผดิ ชอบ เป็นตน้ ๔.การศึกษาต้องสร้างความงอกงามทางร่างกาย มีสุขภาพพลามัยที่ดี รู้จักรักษาตนให้ แขง็ แรง ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ และสารพิษ ๕.การศึกษาต้องทำให้ผู้เรียนไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นความสำคัญของประโยชน์ส่วนรวม ให้ความร่วมมือกับผู้อ่ืนในสังคม อยู่รวมกับผู้อ่ืน ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยสร้างสังคมที่สงบเป็นสุข รักษา สิง่ แวดล้อมใหย้ ัง่ ยนื ๖.การศึกษาต้องทำให้คนมีทักษะการงานอาชีพที่เพียงพอกับการเข้าสู่การงานอาชีพ รู้จัก การ ประกอบอาชีพและรู้จักพัฒนาการงานอาชีพ ท้ัง ๖ ประการ เป็นพื้นฐานทางการศึกษาที่จำเป็น ท่ีคนจะต้องได้รับรู้อย่างท่ัวถึงทุกคน ถ้าทุกคนได้รับอย่างครบถ้วนเพียงพอก็จะทำให้เกิดทักษะ ลักษณะและนิสัยท่ีพึงประสงค์ได้ การศึกษาจึงไม่ใช่สิ่งจำเป็นเพียงสำหรับคนบางคน แต่เป็นส่ิงจำเป็น สำหรับคนทุกคนโดยเฉพาะผู้ท่ีขาดความพร้อมในปัจจัยต่าง ๆ เพ่ือการดำรงชีวิตท่ีมีคุณภาพ ย่ิงมี ความจำเปน็ มากท่สี ดุ ๑.๓.๑ ระบบการศึกษาในพระพทุ ธศาสนา เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงได้รับการศึกษาเหมือนสามัญชน แต่ทรงมีพระปรีชาสามารถ พเิ ศษเหนือคนอน่ื ทรงศึกษาศิลปศาสตร์ครบถึง ๑๘ ประการ และมีความเช่ยี วชาญพิเศษเม่ือเสด็จ ออกมหาภิเนษกรมณ์ (บวช) ทรงเร่ิมการศึกษากับอาจารย์อาฬารดาบส และอาจารย์อุททกดาบส ได้รับความรู้ในระดับหน่ึง ยังไม่เป็นท่ีพอพระทัยของพระองค์ เนื่องจากมีความประสงค์มากยิ่งข้ึนไป กว่านั้น จึงทรงออกแสวงหาสัจธรรมด้วยพระองค์เอง ทรงใช้วิธีการลองผิดลองถูกอยู่เป็นเวลานาน ในท่ีสุดทรงบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ นับแต่น้ันมาทรงประกาศพระพุทธศาสนา ทรง
๑๑ วางรากฐานการศึกษาพระพทุ ธศาสนาโดยใช้เวลา ๔๕ ปี เมื่อทรงพิจารณาเห็นว่ามั่นคงดีแล้วจึงเสด็จ ดับขันธปรินิพพาน การที่พระพุทธองค์ทรงเชื่อม่ันพระพุทธศาสนามั่นคงดีแล้วเพราะทรงเห็นว่าส่ิงท่ี เป็นแก่นสาร เพื่อต้องการธำรงศาสนาได้ทรงรับการจัดสรรไว้อย่างเป็นระบบแล้วนั่นเอง ระบบ การศึกษาทีท่ รงจดั ไว้มี ๓ อย่าง คอื ๑.ปริยตั ิสัทธรรม คอื คำส่ังสอนที่จะต้องเลา่ เรียน ไดแ้ ก่ พระพทุ ธพจน์ ๒.ปฏบิ ัตสิ ทั ธรรม คือ ปฏปิ ทาซ่งึ จะต้องปฏิบัติ ได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ ๓.ปฏิเวธสทั ธรรม คือ ผลท่จี ะพงึ บรรลดุ ว้ ยการปฏิบตั ิ ได้แก่ มรรค ผล นิพพาน๑๒ ใน ๓ อยา่ งนี้ ปรยิ ตั สิ ทั ธรรมถอื เป็นแก่นพ้ืนฐานที่จะธำรงศาสนาไว้ได้ เปน็ เกณฑ์กำหนด ว่า พระพุทธศาสนายงั มนั่ คงดหี รือไม่ เมอ่ื ปรยิ ัตยิ ังอยู่ พระพุทธศาสนาช่ือวา่ ยงั มั่นคงอยู่ ความจริง ข้อปฏิบัตทิ ัง้ หมดในพระพทุ ธศาสนา เรยี กวา่ สกิ ขา ซึง่ แปลวา่ การศกึ ษา ชวี ิตของพระภิกษุ สามเณรจึงอยู่ดว้ ยการศึกษามาแตค่ รั้งพุทธกาล วดั เป็นศูนยก์ ารศึกษามาแต่ครง้ั พุทธกาล เปน็ การศกึ ษาของมวลชนอย่างแทจ้ รงิ เพราะเปดิ โอกาสให้คนทุกระดับชนั้ ทุกเพศทุกวัย คำวา่ วดั ซึ่งนยิ ม ใชอ้ ยู่ในปัจจบุ นั ตรงกับคำว่า วิหาร ในสมัยพุทธกาล เช่น เวฬวุ นั วหิ าร เชตวันวหิ ารเปน็ ต้น ๑.๔ จดุ มงุ่ หมายของการศึกษาในพระพุทธศาสนา การเผยแผ่หลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์มจี ดุ ม่งุ หมายท่ีสำคัญ ทีส่ ุดเพ่ือตอ้ งการให้พทุ ธบริษัท ๔ ไดบ้ รรลุความดสี งู สุดตามอปุ นิสยั และสตปิ ัญญาของตนที่สามารถ เข้าถงึ ธรรมได้ การแสดงธรรมแตล่ ะคร้ังทรงตรวจสอบคุณสมบัติของเวไนยสัตวท์ ี่มอี ธั ยาศยั จะบรรลุ มรรค ผล และนพิ พานดว้ ย จูตปู ปาตญาณหรือทิพยจักขุในช่วงเวลาจวนสว่างซง่ึ เปน็ หน่ึงในพุทธกจิ ท้ัง ๕๑๓ ตลอด ๔๕ พรรษา โดยอาศัยความการุณยใ์ นหมสู่ ัตวด์ ้วยพระมหากรณุ าคุณ ซึง่ ถา้ มองในแง่ ของผสู้ อนคือพระพุทธองค์และผู้ศึกษาคือพุทธสาวกแลว้ ยอ่ มมีจุดมุ่งหมายของการศกึ ษา พระพุทธศาสนาพอที่จะแยกให้เหน็ อยา่ งชัดเจนได้ ๒ ประการ คือ ระดับโลกิยะและระดับโลกุตตระ ดงั จะอธิบายตามลำดับดังนี้ ๑.๔.๑ ระดับโลกิยะ คือ การบรรลุความดีงามในระดับพ้ืนฐานท่ีบุคคลได้อาศัยอยู่ในสังคมได้ อยา่ งปกตสิ ขุ โดยอาศัยหลักศีลธรรมพื้นฐาน เช่น หลักการครองตน ด้วยการประพฤติในหลกั ธรรมต่าง ๆ เช่น ความกตัญญูกตเวที ความอดทน ความขยัน ความละอายต่อบาป(หิริ)ความเกรงกลัวต่อบาป (โอตตัปปะ) ประพฤติตนตามหลักฆราวาสธรรม ๔ ศีล ๕ เว้นจากอบายมุข ๔ และอบายมุข ๖ เป็น ๑๒ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, จากนาลนั ทาถึงมหาจฬุ าฯ, พิมพ์คร้งั ท่ี ๓, (พมิ พเ์ น่ืองใน พธิ ีเปดิ ปา้ ยมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั อยุธยา ๓ ธันวาคม ๒๕๕๓), กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๓), หนา้ ๑ - ๒. ๑๓ พทุ ธกจิ ประจำวัน ๕ ประการของพระพุทธองค์ คือ ๑. ปพุ พณเฺ ห ปณิ ฑฺ ปาตญฺจ เวลาเช้าเสด็จ บณิ ฑบาต ๒. สายณเฺ ห ธมฺมเทสนํ เวลาเย็นทรงแสดงธรรม ๓. ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ เวลาคำ่ ประทานโอวาทแกเ่ หลา่ ภกิ ษุ ๔. อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหนํ เทีย่ งคืนทรงตอบปญั หาเทวดา และ ๕. ปจจฺ สุ เฺ สว คเต กาเล ภพฺพาภพเฺ พ วโิ ลกนํ จวนสว่างทรงตรวจพจิ ารณาสตั ว์ทส่ี ามารถและยงั ไมส่ ามารถบรรลุธรรมอันสมควรจะเสดจ็ ไปโปรดหรอื ไม่ (ท.ี ส.ี อ. (บาล)ี ๑/-/๔๖-๔๘, องฺ.เอกก.อ. (บาล)ี ๑/๕๓/๕๖-๖๑).
๑๒ ตน้ เพือ่ ใหต้ นสามารถดำเนนิ ชีวติ อยใู่ นสงั คมอย่างมีความสขุ ตามอัตภาพ ประการตอ่ มา หลกั การครอง คน ด้วยการประพฤติในหลักธรรม เช่น สังคหวัตถุ ๔ พรหมวิหาร ๔ อคติ ๔ ทิศ ๖ เป็นต้น เพ่ือให้ สามารถทำงานร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน และการครองงาน ด้วยการประพฤติในหลักธรรม เช่น อิทธิบาท ๔ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ๔ เว้นจากมิจฉาวณิชชา ๕ เป็นต้น เพ่ือให้การประกอบสัมมาชีพมีความม่ันคงเจริญก้าวหน้านำมาซ่ึงความอยู่ดีกินดีไม่มีความ ลำบากเดอื ดรอ้ นในการหาเลี้ยงชีพ การศึกษาที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรลุความดีระดับโลกิยะน้ี อาศัยการสร้างตน ครอบครัว และ สังคมให้เป็นปึกแผ่นแน่นหนา มีความดีงามที่อาศัยหลักธรรมพ้ืนฐานทางพระพุทธศาสนาในการ ประพฤติปฏิบัตดิ ้วยความเออื้ เฟื้อเผอ่ื แผ่ เห็นอกเห็นใจ และพ่ึงพาอาศยั ซ่ึงกันและกนั อันเปน็ ผลท่ีเกิด จากความเจริญในธรรมอยู่เป็นนิตย์ การคิด พูด และกระทำในส่ิงหนึ่งสิ่งใดย่อมเป็นไปเพื่อความสันติ สุข และประโยชนส์ ุขเปน็ ท่ตี ง้ั ๑.๔.๒ ระดับโลกตุ ตระ คือ การบรรลคุ วามดีงามในระดับสงู สดุ ในพระพุทธศาสนา หรอื เรยี ก อีกอยา่ งหนงึ่ วา่ ระดบั พ้นโลก หรอื เหนอื โลก คือ มรรค ผลและนพิ พาน นั่นเอง จดุ มงุ่ หมายในประการ นี้ พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงบำเพ็ญพระองค์เปน็ แบบอยา่ ง จงึ ไดช้ ่ือว่า อรหนั ตสัมมาสัมพุทธเจา้ และทรง วนิ จิ ฉยั ในคุณความดขี องเวไนยสตั ว์ ท่ีเกิดมาในโลก บางเหลา่ บางพวก ก็มีอธั ยาศัยทีจ่ ะบรรลคุ วามดี ในระดบั สงู ที่ได้ จึงไดแ้ สดงพระธรรมเทศนาที่เป็นไปเพื่อบรรลุมรรค ผล และนิพพาน ตามจริตของแต่ ละท่านจนรูแ้ จง้ แทงตลอดในอรยิ สัจ ๔ สามารถบรรลคุ วามดีเปน็ พระอรยิ บุคคล ไดแ้ ก่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี-พระอนาคามี-และพระอรหนั ต์ บุคคลทปี่ ฏบิ ัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ไดค้ รบถว้ น สามารถดับสมุทัยไดเ้ ป็นบางสว่ นหรือ ทง้ั หมด ท่านเรียกว่าพระอริยบุคคล แปลวา่ “บคุ คลผปู้ ระเสริฐ” แบ่งเปน็ ๔ ช้นั ตามปริมาณกเิ ลสที่ ละได้ และตามคุณภาพจิตชั้นสูงทเี่ กิดข้นึ คือ ถ้าละกิเลสได้น้อยเกิดคุณภาพจิตช้นั สูงนอ้ ยกจ็ ักเปน็ ชน้ั หนึ่ง ถา้ ละได้มากเกิดคณุ ภาพจิตสูงมากกเ็ ป็นอกี ชั้นหน่ึง ๑.พระโสดาบัน (The stream - winner) แปลว่า ผู้ถึงกระแสแห่งนิพพานแล้วเป็นบางส่วน พระโสดาบนั สามารถละสงั โยชน์ได้ ๓ คอื ๑. สกั กายทิฏฐิ ความเห็นว่ากายเป็นของตน กายในที่นท้ี ่านหมายถงึ ชวี ิตร่างกายซึ่ง ประกอบด้วยร่างกาย (รูป) และจิตใจ (นาม) ด้วย หมายถึงการยึดถือว่าขันธ์เป็นของตนเอง พระโสดาบันไม่เห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นตัวตน เป็นเพียงกระแสธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้น ต้ังอยู่ และดับไปตาม ธรรมชาตขิ องมนั ๒. วิจิกิจฉา ความสงสัยในธรรมชาติของชีวิตในเป้าหมายสูงสุดของชีวิต และใน หนทางไปสู่เป้าหมายสูงสุดน้ัน พระโสดาบันหมดความสงสัยในส่ิงเหล่านี้ จึงมีศรัทธามั่นคงในพระ รัตนตรยั และปฏบิ ัติจรงิ ในศลี ในธรรม ๓. สีสัพพตปรามาส ความหลงใหลในความเช่ือและการปฏิบัติที่มิใช่ทางไปสู่ความ ดบั ทุกข์ เช่น ขนบธรรมเนียมประเพณี พธิ กี รรม และข้อวตั รปฏบิ ตั ิที่ไมม่ เี หตผุ ลต่าง ๆ การละสังโยชน์ได้เพียง ๓ เกดิ ประสบการณ์ทางจิตที่ละกเิ ลสไดเ้ ป็นบางสว่ น แตย่ ัง ดำรงเพศเป็นฆราวาส ยังบริโภคกาม สามารถเดินทางต่อไปสู่พระอรหันตภูมิ ไม่มีวันถอยหลัง สิน้ ชีพแลว้ จะเกิดอีกอยา่ งมากเพียง ๗ ชาติเทา่ น้ัน
๑๓ ๒.พระสกิทาคามีหรือพระสกทาคามี (The once - returner) ได้แก่ พระอริยบุคคล ท่ีละ สังโยชน์ ๓ เบ้ืองต้นได้เช่นเดียวกับพระโสดาบัน แต่ยังสามารถบรรเทาโลภะ โทสะ โมหะ ลงได้อีก ด้วยและเกิดประสบการณ์ทางจิตชั้นสูงกว่าพระโสดาบัน ยังดำรงอยู่ในฆราวาสวิสัย สิ้นชีพแล้ว จะ เกดิ เป็นมนุษยอ์ กี เพยี งชาตเิ ดียวเทา่ น้ัน จงึ เรียกวา่ “ผู้มาอกี ครั้งเดยี ว” ๓. พระอนาคามี (The non - returner) ได้แก่พระอริยบุคคลที่สามารถละสังโยชน์เบื้องต่ำ ได้ครบทัง้ ๕ ประการ คอื ๓ อยา่ งแรกดงั กล่าวน้ัน และอีก ๒ อย่าง คือ ๔.กามราคะ ความกำหนดยนิ ดใี นกาม ๕.ปฏิฆะ ความขัดเคืองใจเมือ่ ประสบกับสง่ิ ท่ีไม่น่าพอใจ การละกิเลสได้ถึง ๕ ประการ เกิดประสบการณ์ทางจิตช้ันสูง ๕o เปอร์เซ็นต์ ตามปกติมัก บำเพ็ญตนเป็นอนาคาริกแบบใดแบบหน่ึง รักษาศีล ๘ ได้บริบูรณ์ เพราะหมดความยินดีในกามแล้ว ส้นิ ชีพแล้ว จะเกิดในพรหมโลกช้ันสุทธาวาสและจะปรินิพพานที่นั่น จึงเรียกว่าอนาคามี แปลว่า ผู้ ไม่กลับมา ๔.พระอรหันต์ (The worthy one, the noble one) เป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุด สามารถ ละสงั โยชนช์ ้นั สูงได้อีก ๕ อยา่ ง รวมเป็น ๑o อยา่ ง คือ ๖.รปู ราคะ ความยินดใี นรูปธรรมอันละเอยี ดและความพอใจในรปู ภพ ๗.อรูปราคะ ความยนิ ดีในอรปู ธรรมอนั ละเอียดและความพอใจในรปู ภพ ๘.มานะ ความสำคญั ตน ความตคี า่ โดยการนำตนเขา้ ไปเทยี บกับคนอื่น ๙.อุทธจั จะ ความฟุง้ ซา่ น ๑o. อวชิ ชา ความไมร่ แู้ จง้ การละกเิ ลสไดถ้ ึง รอ้ ยเปอร์เซ็นต์ เกิดประสบการณ์ทางจิตชัน้ สูง รอ้ ยเปอรเ์ ซ็นต์ บำเพ็ญ ตนเปน็ นักบวชอย่างเดียว ปรนิ พิ พานแล้วไมเ่ กิดในภพใดภมู ิใดอีก ๑.๕ เปา้ หมายของการศกึ ษาในพระพุทธศาสนา การศึกษาท่ีถึงพร้อมด้วยความถูกต้องและดีงามตามกรอบของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และ ปัญญา จะเห็นว่ามีความเชื่อมโยงและนำไปสู่ความสุข สงบ และร่มเย็นตามสัมมาปฏิบัติและอัตภาพ ของตนซึ่งเป็นเปา้ หมายท่ีสำคัญในทางพระพุทธศาสนา เม่ือกลา่ วโดยละเอียดจะสามารถแยกประเด็น เปา้ หมายของการศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาท่ีสมบรู ณ์ใหผ้ ศู้ ึกษาไดเ้ หน็ อย่างชัดเจน ๘ ประเดน็ ดงั น้ี ๑.เป้าหมายด้านการดำรงชีพ (Livelihood) การดำรงชีวิตเป็นเร่ืองท่ีสำคัญพื้นฐาน ท่ี พระพุทธศาสนาให้ตระหนักอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การเข้ามาบรรพชาอุปสมบทกุลบุตร ดังท่ี พระอุปัชฌาย์บอกอนุศาสน์แก่พระภิกษุบวชใหม่ให้เป็นข้อวัตรปฏิบัติว่า “ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย”ฯ (การบรรพชา อยู่ได้ดว้ ยการบิณฑบาต ท่านต้องขยัน ตลอดชีวิต) นั่นแสดงว่า การดำรงชีวิตให้สามารถปฏิบัติธรรมและหน้าท่ีให้เป็นไปโดยชอบได้นั้น ต้อง อาศัยการบริโภคที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม และยังปรากฏในหลักอริยมรรคมีองค์ ๘ ข้อ ๕ คือ
๑๔ สัมมาอาชีวะ๑๔อันเป็นทางดำเนินชีวิตท่ีดีงามของอารยชนทั้งหลาย อีกทั้งงดเว้นจากการประกอบ อาชีพที่ทุจริตผิดศีลธรรม ๕ ประการ คือ ให้เว้นขาดจากมิจฉาวณิชชา ๕๑๕ คือ การค้าขายท่ีผิดหลัก ศีลธรรม ๕ ประการ คือ ๑. ค้าอาวุธ (สตฺถวณิชฺชา) ๒. ค้ามนุษย์ (สตฺตวณิชฺชา) ๓. ค้าเนื้อสัตว์ (มสํ วณิชชฺ า) ๔. คา้ ของเมา (มชฺชวณิชชฺ า) และ ๕. คา้ ยาพิษ (วิสวณิชฺชา) แมใ้ นการแสวงหาทรัพย์สนิ เงินทองเพอื่ การครองตนเป็นคนดี ทรงตรัสถงึ หลกั ธรรมท่ีทำให้ ชีวิตมคี วามมัน่ คงเป็นปกึ แผน่ คือ ทฏิ ฐธมั มิกัตถประโยชน์๑๖ อันเป็นปัจจัยที่เอ้ืออำนวยให้ ชวี ิตประจำวันมคี วามอยูด่ ีกินดไี ม่ลำบากเดือดร้อน ๔ ประการ คือ ๑.ถึงพรอ้ มดว้ ยความหมัน่ (อุฏฐาน สมั ปทา) ๒.ถงึ พร้อมดว้ ยการรกั ษา (อารักขสัมปทา) ๓.การคบคนดเี ปน็ มิตร (กัลยาณมิตตตา) ๔.การประพฤตติ นเสมอต้นเสมอปลาย (สมชวี ิตา) และทรงเน้นการเล้ียงชพี ท่ีมคี วามซ่ือสัตย์สุจริต ไม่ บิดเบือนจากหลักมนษุ ยธรรม เช่น ในแงข่ องการบัญญัติหลักศีล ๕ ทค่ี รอบคลมุ ในส่วนของกายและ วาจา รวมทงั้ คุณธรรมประจำใจอีกมากมายหลายข้อ เชน่ หิริ ความละอายแก่ใจ โอตตัปปะ ความเกรง กลวั ตอ่ บาป สติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตวั เป็นตน้ ล้วนแลว้ แตม่ ุ่งเนน้ สอนให้การดำเนนิ ชวี ิตบรรลเุ ปา้ หมายด้านน้ที ัง้ สิ้น ๒.เปา้ หมายดา้ นการพัฒนาบุคลิกภาพ (Development of Personality) การพฒั นา บคุ ลิกภาพเป็นเรื่องสำคัญในการปฏิสัมพนั ธ์กบั บุคคลท่วั ไป บคุ คลทม่ี ีบุคลิกภาพดีย่อมมีความมนั่ ใจใน การทำหนา้ ท่ีด้วยความอาจหาญชาญชัย เชน่ ทรงตรัสถึงธรรมทท่ี ำใหง้ าม คือ ขันติ ความอดทน กบั โสรจั จะ ความเสง่ียม กล่าวคือ เม่ือมคี วามสงบน่ิง สุขุมหรือเยือกเย็นในสิง่ ที่ทำคำทพี่ ูด ไม่แสดงกรยิ า อาการหนุ หันพลนั แลน่ ไปตามอารมณ์ที่มากระทบก็เปน็ ความสง่าของตนประการหนงึ่ ดงั ภาษิตทีว่ า่ น้ำขนุ่ ไว้ในนำ้ ใสไวน้ อก หรอื ในการปฏบิ ัตหิ น้าท่ีทต่ี ้องเก่ยี วขอ้ งกับบุคคลต่าง ๆ ทีม่ ีฐานะทางสงั คม ทรงตรสั แสดงไว้ในหลักทิศ ๖๑๗ และหลกั เวสารัชกรณธรรม ๕๑๘ เป็นต้น ๓.เป้าหมายด้านสติปัญญา (Intellectual Development) เป้าหมายด้านสติปัญญาเป็น เร่ืองสำคัญที่สุดในหลักการทางพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นสชาติกปัญญา นิปากปัญญา หรือ วิปัสสนาปัญญา ท้ังน้ี สชาติกปัญญาเกิดขึ้นด้วยอานุภาพของกรรมเก่า ที่ได้บำเพ็ญไว้ในกาลก่อน นิปากปัญญาเกิดข้ึนด้วยการเสาะแสวงหาจากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ รวมทั้งการดูแลเร่ืองโภชนาการเพื่อ เสริมสร้างทักษะทางปัญญาจนเกิดความชำนาญและนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ ส่วนวิปัสสนา ปญั ญา ซงึ่ เป็นปญั ญาขน้ั สูงสุดนนั้ นำไปใช้ในการดำเนนิ ชีวิตที่มจี ุดมุ่งหมายปลายทางเพ่ือให้มที ุกข์นอ้ ย หรือท่สี ุดคอื ความพ้นทุกขน์ ั่นเอง พระพทุ ธศาสนามีหลักคำสอนที่ทรงมุ่งเน้นเรื่องสติปัญญา เช่น ในหลกั ของอริยมรรคมีองค์ ๘ ได้ตรัสถึงลำดับ คือ ๑.สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) ๒.สัมมาสังกัปปะ(ดำริชอบ) ที่มีความสำคัญ เบอ้ื งต้นก่อนทีจ่ ะไปสู่อรยิ มรรคข้อต่อไป ได้แก่ ๓.สัมมาวาจา (เจรจาชอบ) ๔.สมั มากัมมนั ตะ (การงาน ๑๔ ท.ี ม. (บาลี) ๑๐/๒๙๙/๓๔๘. ๑๕ อง.ฺ ปญฺจก. (บาลี) ๒๒/๑๗๗/๒๓๓. ๑๖ องฺ.อฏฺฐก. (บาลี) ๒๓/๑๔๔/๒๘๙. ๑๗ ดรู ายละเอยี ดใน ท.ี ปา. (บาลี) ๑๑/๑๙๘-๒๐๔/๒๐๒-๒๐๖. ๑๘ ดูรายละเอียดใน องฺ.ปญจฺ ก. (บาลี) ๒๒/๑๐๑/๑๔๔.
๑๕ ชอบ) ๕.สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีพชอบ) ๖.สัมมาวายามะ(ความเพียรชอบ) ๗.สัมมาสติ (ระลึก ชอบ) และ ๘.สมั มาสมาธิ (ต่งั ใจม่นั ชอบ) ตามลำดับ ๔.เป้าหมายในการพฒั นาร่างกาย (Physical Devlopment) การเป็นอยขู่ องชวี ิตที่เปน็ ปกติ โดยปราศจากโรคภัยไข้เจบ็ น้ันเป็นของยาก ดงั พทุ ธภาษิตว่า “กจิ ฺฉํ มจฺจาน ชีวิตํ”๑๙ การดแู ลรกั ษา รา่ งกายให้สมบูรณ์แข็งแรงน้ัน เปน็ ความจำเปน็ พนื้ ฐานท่ีควรตระหนักให้มาก โดยเฉพาะสงั คมปจั จุบัน น้ีภาวะโภชนาการที่มแี ง่มุมให้ขบคิดกันวา่ กระแสความสะดวกรวดเรว็ ออกมาเป็นอาหารและเคร่ืองดื่ม ทีจ่ ำหน่ายตามห้างร้านตา่ ง ๆ โดยผา่ นชอ่ งทางการโฆษณาประชาสัมพันธ์กนั อย่างคึกโคมน้ี อาจจะ ส่งผลดีและผลเสยี ตอ่ สขุ ภาพของผู้บริโภคอยา่ งใดอย่างหน่ึง ตวั อยา่ งเช่น พระพุทธศาสนาไดก้ ลา่ วถงึ ปัจจยั ที่สง่ เสรมิ ให้มคี วามสขุ ทีเ่ หมาะสมเปน็ เบ้ืองตน้ เรยี กว่า สปั ปายะ ๔ ไดแ้ ก่ ๑.-เสนาสนะสัปปายะ ท่ีอยู่อาศยั ท่ีสะดวกสบายปราศจากแหล่งเพาะเช้ือโรค สะอาด ปราศจากมลพิษต่าง ๆ ๒. อาหารสัปปายะ มีอาหารท่อี ดุ มสมบูรณ์ มีคุณค่าตามหลกั โภชนาการ ๓.-บุคคลสัปปายะ มบี ุคคลท่ีอบรมสง่ั สอน แนะนำตกั เตอื นและพึ่งพาอาศยั ท่เี ป็น กัลยาณมิตร ๔. ธรรมสปั ปายะ มธี รรมะทีไ่ ด้นำมากล่อมเกลาจิตใจให้แจ่มใส แช่มชน่ื เบกิ บานอยู่เสมอ เป้าหมายในการพัฒนากายที่เห็นได้ชัดเจนมากท่ีสุดท่ีเป็นหลักทางพระพุทธศาสนา คือ การ ประพฤติตามหลักศีล ในระดับเบ้ืองต้น มุ่งเน้นที่กายและวาจา แล้วเจริญกุศลข้ึนสู่ระดับสมาธิเป็น เบ้ืองกลาง ทำให้เกิดความสงบสงัดจากกิเลส มีนิวรณ์ ๕ เป็นต้น และปัญญาเป็นเบื้องปลาย ทั้งนี้ เป้าหมายที่บุคคลจะบรรลุความดีระดับไหนก็แล้วแต่ย่อมเริ่มต้นจากสิ่งที่ง่ายไปหายาก ส่ิงที่หยาบไป หาละเอียด จากรูปธรรมไปหานามธรรม นั่นคือ จากศีลไปสู่สมาธิและปัญญาท่ีมีความสัมพันธ์กัน ตามลำดับนัน่ เอง ๕.เป้าหมายในการพัฒนาศีลธรรม (Moral Development) ศีลธรรมและจริยธรรมเป็นสิ่งท่ี สำคญั ท่สี ุดอกี ประการหนึ่งทที่ ำให้มนษุ ยชาติมีความแตกต่างจากสัตวเ์ ดรัจฉาน การฝึกฝนอบรมตนเอง ใหป้ ฏบิ ัติตามหลกั ศลี ธรรม เพอ่ื ยกฐานะความดีให้เป็นท่ีปรากฏเปน็ แบบอยา่ งท่ีดแี ก่คนทงั้ หลาย อันจะ สง่ ผลให้ตนเองมีความสุขและเจริญในชีวิตน้ัน ทางพระพุทธศาสนามุ่งเน้นเป็นสำคัญ ดังพุทธสุภาษิตท่ี ตรัสว่า ทนฺโต เสฏฺโฐ มนุสฺเสสุ แปลว่า ในหมู่มนุษย์ ผู้ฝึกตนแล้วเป็นผู้ประเสริฐสุด๒๐มีหลักธรรมท่ีมุ่ง หมายให้ผู้ปฏิบัติบรรลุความดีในประเด็นน้ีมากมาย เช่น พระพุทธองค์ตรัสสอนหลักการอยู่รวมกันใน สิงคาลกสูตร๒๑ว่า ผู้เจริญแล้วควรละเว้นกรรมกิเลส ๔ ไม่กระทำความชั่วโดยฐานะ ๔ ไม่เดินสู่ปาก ทางแห่งความเส่อื ม ๖ เมอ่ื เขาปราศจากความชัว่ ๑๔ ประการแล้ว เปน็ ผู้ปกปดิ ทิศ ๖ ชื่อวา่ ปฏิบัติเพ่ือ ชัยชนะในโลกทั้ง ๒ (โลกนี้และโลกหน้า)เม่ือตายไปก็จะเข้าถึงสุคติ ในการพัฒนาตนเองให้สามารถ พึง่ ตนเองได้อย่างย่ังยืนบนพ้ืนฐานของความดีน้ัน เรม่ิ จากความกตัญญูกตเวที อนั เป็นเครอ่ื งหมายของ ๑๙ ข.ุ ธ. (บาล)ี ๒๕/๓๙/๑๘๒. ๒๐ ขุ.ธ. (บาล)ี ๒๕/๕๗. ๒๑ ท.ี ปา. (บาลี) ๑๑/๑๗๔-๒๐๕.
๑๖ คนดี ดังพุทธภาษิตที่ตรัสว่า นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญฺญูกตเวทิตา๒๒ แปลว่า ความกตัญญูกตเวทีเป็น เคร่ืองหมายของคนดี เปน็ ต้น หลักธรรมท้ังปวงเป้าหมายที่สำคัญคือมีความประสงคใ์ ห้ได้พระพฤติตน ใหเ้ รียบร้อยไม่บกพร่องอีกท้ังในดา้ นกฎหมายระเบียบข้อบังคับของบา้ นเมอื งและสงั คม ชุมชน หมู่บา้ น กล่าวในภาพกวา้ ง ๆ คือ มีความดีงามทบ่ี ่มเพาะไวท้ ัง้ ภายนอกและภายใน ไมว่ ่าจะอยู่ในฐานะเช่นใด ๖.เป้าหมายด้านพัฒนาความรู้สึกซาบซ้ึงในด้านศิลปะ (Aesthetic Development) เป้าหมายที่เกี่ยวกับความรู้สึกซาบซ้ึงในศิลปะน้ี ดังที่ทรงตรัสไว้ในมงคลสูตร ข้อ ๘ สิปฺปญฺจ แปลว่า ให้ศึกษาศิลปวิทยา ให้เชี่ยวชาญ จนเกิดความชำนาญและแตกฉาน ดังบทประพันธ์ของพระยา ศรสี ุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ท่วี ่า ...อันความรู้ร้กู ระจ่างแต่อย่างเดียว แตใ่ ห้เช่ียวชาญเถิดคง เกิดผล อาจจะชักเชิดชูฟูสกนธ์ ถึงคนจนพงศ์ไพร่คงได้ดี...หรือในการแสดงพระธรรมเทศนาของพระ พุทธองค์น้ัน มีความถูกต้อง ชัดเจน ไพเราะ บริสุทธ์ิ บริบูรณ์ทั้งอรรถะและพยัญชนะ ในเบื้องต้น (อาทิกัลยาณัง) ในท่ามกลาง (มัชเฌกัลยาณัง) ในที่สุด (ปริโยสานกัลยาณัง) ก็นับวา่ เป็นศิลปะท้ังส้ิน แม้ในการยกย่องพระสาวกท่ีมีความโดดเด่นให้เป็นเอตทัคคะคือเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายด้านศิลปะ คือ พระอานนท์๒๓ เอตทัคคะคือเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ด้านแสดงด้วยถ้อยคำอันไพเราะ คือ พระโสณ กุฏิกัณณะ๒๔ เอตทัคคะคือเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ด้านพูดเสียงไพเราะ คือ พระลกุณฏกภัททิยเถระ๒๕ เอตทัคคะคือเลศิ กว่าภกิ ษุทั้งหลาย ด้านจดั เสนาสนะ คือ พระทัพพมัลลบตุ รเถระ๒๖ เปน็ ต้น การสร้างสรรค์จรรโลงจติ ใจใหม้ คี วามรู้สึกซาบซง้ึ ในศลิ ปะทางพระพุทธศาสนานี้ เปา้ หมายท่ี สำคัญคือการสร้างสุนทรยี ภาพทางด้านจติ ใจให้เป็นคนสุภาพอ่อนโยน มีความผ่อนคลายในการดำเนิน ชีวติ อนั เป็นแนวทางทีส่ งเคราะหเ์ ข้าในหลักแห่งมชั ฌิมาปฏิปทาหรอื ทางสายกลางนนั่ เอง ๗.เปา้ หมายด้านการพัฒนาวิญญาณ (Spiritual Development) มนุษย์มวี ญิ ญาณธาตุ คอื ธาตแุ หง่ ความใฝ่รู้ เพื่อพฒั นาความคดิ และการกระทำของตนใหส้ ูงข้ึนกวา่ สตั ว์เดรัจฉาน จนถงึ ขัน้ สงู สดุ คือบรรลุมรรค ผล และนิพพาน จากปถุ ุชนเปน็ อริยบุคคล พูดง่ายคือ มุ่งสอนให้พัฒนาวิญญาณ จากหยาบ ใหป้ านกลาง และละเอียดประณตี ตามลำดบั เช่น จากศลี เป็นอธิศลี จิต เป็นอธจิ ติ และ ปญั ญา เปน็ อธิปัญญา เป็นต้น ทรงตรัสแสดงมหาสตปิ ัฏฐาน ๔ ความม่งุ หมายในท่ีสดุ เมื่อพิจารณาใน กาย เวทนา จติ และธรรมแลว้ หยงั่ กระแสจิตลงสพู่ ระไตรลกั ษณแ์ ล้ว คลายความยึดมั่นถือมั่นใน บคุ คล ตัวตน เราเขา สักแตว่ า่ เปน็ รูปนาม มีการปรุงแตง่ เปล่ียนแปลง ไม่คงทปี่ รากฏตามสภาพของ มนั และย่อมเปน็ ไปตามเหตุปัจจยั กถ็ ือวา่ เป็นหวั ใจของการพฒั นาวญิ ญาณธาตุทง้ั สน้ิ ดา้ นวิญญาณน้ีแม้ จะบรรลคุ วามดสี งู สุดคือพระนิพพานแลว้ ก็ยงั เปน็ หนา้ ทท่ี ่พี งึ ปฏบิ ตั อิ ยู่ เช่น พระอรหนั ตเ์ จา้ ใน สมยั กอ่ น เวลาพระพุทธเจ้าแสดงพระธรรม กม็ าฟังกัน ความจริงไม่ฟังกไ็ ด้แลว้ แตท่ ่านถือว่าเปน็ ๒๒ พระมหาสทุ ัศน์ ตสิ สฺ รวาทีและคณะ.คู่มือนักธรรมและธรรมศึกษาชน้ั ตรี,กรุงเทพฯ : โรงพิพม์ ไทยรายวันการพิมพ.์ ๒๕๕๒,หนา้ ๒๐๗. ๒๓ ข.ุ เถร.(ไทย) ๒๖/๑๐๑๗-๑๐๕๓/๕๐๖-๕๑๑, ขุ.อป.(ไทย) ๓๒/๖๔๔-๖๖๓/๙๘-๑๐๐ ๒๔ ขุ.เถร.(ไทย) ๒๖/๓๖๕-๓๖๙/๔๐๑ ๒๕ ขุ.เถร.(ไทย) ๒๖/๔๖๖-๔๗๒/๔๑๙, ขุ.อป.๓๓/๑-๓๓/๒๘๙-๒๙๓ ๒๖ ข.ุ อป.(ไทย) ๓๓/๑๐๘-๑๔๙/๒๕๒-๒๕๗
๑๗ หนา้ ที่ทจี่ ะต้องไปกระทำ เพื่อเปน็ ตวั อยา่ งแกผ่ นู้ ้อยท้ังหลาย ให้เหน็ วา่ แม้ท่านจะบรรลุมรรคผลแล้ว เป็นพระอรยิ บคุ คลผูห้ า่ งไกลจาก“ขา้ ศกึ ” คือกเิ ลสแลว้ แต่ก็ยังไปทำหนา้ ที่ฟงั คำสอนของพระพทุ ธเจ้า เปน็ การปฏิบัติเป็นตวั อย่างน่ันเอง๒๗ ๘.เปา้ หมายในดา้ นพฒั นาการเมืองการปกครอง(Political and Administrational Development) ในด้านการปกครองนจ้ี ะไม่เน้นท่ีตวั บุคคล ไมเ่ น้นทีร่ ะบบ แต่เนน้ ทจี่ รยิ ธรรมทาง การเมือง ด้วยเหตผุ ลท่ีว่า บุคคลมีความเป็นตัวตน มีอคติ มีความอ่อนไหว มกั โน้มเอียงตามอำนาจ จติ ใจของตนเอง ระบบการปกครองทีป่ ระกอบข้นึ จากคนที่ใช้อำนาจขาดจริยธรรม ย่อมเกิดความรัก โลภ โกรธ หลงอาฆาต พยาบาท เบียดเบียน และหลงมัวเมาจนเป็นความหายนะตอ่ บ้านเมืองอย่าง มหาศาล แต่จรยิ ธรรมท่เี ป็นหลักธรรมาธิปไตย คือ การยดึ เอาความถูกต้อง ชอบธรรม และยุตธิ รรม เป็นสำคญั นนั้ จะพฒั นาสงั คมสว่ นรวมให้สามารถผดงุ ความดีงามไว้สงู สุด ก่อให้เกิดความพึงพอใจและ ประโยชนส์ ขุ อยา่ งแทจ้ รงิ และสามารถทำให้การบรหิ ารบ้านเมืองน้ันบรรลเุ ปา้ หมายดา้ นการปกครอง อยา่ งแทจ้ ริง พระพุทธศาสนาได้แสดงหลักธรรมท่ีวา่ ดว้ ยการปกครองไว้หลายข้อ เช่น อคติ ๔๒๘ สงั คหวัตถุ ๔๒๙ พรหมวหิ าร ๔๓๐ อปรหิ าณิยธรรม ๗๓๑ ทศพธิ ราชธรรม ๑๐๓๒ จกั รวรรดวิ ัตร ๑๒๓๓ เปน็ ต้น ซง่ึ นกั ปกครองทุกระบอบสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ีของตนให้สามารถยืนหยดั อย่บู น พืน้ ฐานของความดีที่จะทำใหเ้ กดิ ความสงบสุขร่มเย็นและเป็นเอกภาพในการปกครองอย่างแท้จริง ๑.๖ รปู แบบหรือวิธีของการศึกษาในสมัยพทุ ธกาล การศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบหรือวิธีการศึกษาในสมัยพุทธกาลท่ีผ่านมานั้น ทำให้เราทราบถึง พัฒนาการการจัดการศึกษาในสมัยพุทธกาลได้เป็นอย่างดี อันจะเป็นสิ่งท่ีทำให้เกิดความเข้าใจใน บทบาทของสถานภาพบุคคลที่เป็นผู้สอนและผู้เรียนไปในตัว ดังน้ัน จึงขอประมวลรูปแบบหรือวิธี การศกึ ษาในสมยั พทุ ธกาลไวเ้ ปน็ หวั ข้อทีส่ ำคัญ ดังน้ี ๒๗ พระพรหมมังคลาจารย์ (หลวงพอ่ ปัญญานนั ทะภิกขุ), จงเปน็ อยู่อย่างผชู้ นะ, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพพ์ ระพุทธศาสนาประกาศ, ๒๕๕๓), หนา้ ๗. ๒๘ ท.ี ปา.(บาล)ี ๑๑/๑๗๖/๑๙๖,๒๔๖/๒๔๐, องฺ.จตกุ ฺก.๒๑/๑๗/๒๓. ๒๙ ที.ปา.(บาลี) ๑๑/๑๔๐/๑๖๗,๒๖๗/๒๔๔, องฺ.จตุกกฺ .๒๑/๓๒/๔๒,๒๕๖/๓๓๕. ๓๐ ท.ี ม.(บาลี) ๑๐/๑๘๔/๒๒๕,ท.ี ปา.๑๑/๒๒๘/๒๓๒,อภ.ิ สํ.๓๔/๑๙๐/๗๕,วสิ ทุ ธฺ ิ.๒/๑๒๔ ๓๑ ที.ม.(บาลี) ๑๐/๖๘/๘๖, อง.ฺ สตฺตก.๒๓/๒๐/๑๘. ๓๒ ขุ.ชา.(บาล)ี ๒๘/๒๔๐/๘๖. ๓๓ ที.ปา.(บาล)ี ๑๑/๓๕/๖๕
๑๘ ๑.๖.๑ รปู แบบการศกึ ษาอาจริยวัตร เป็นการปฏิบตั ทิ ่เี ปน็ ธรรมเนยี มท่ีศิษยจ์ ะพงึ ปฏิบตั ติ ่ออาจารย์ของตนด้วย ความเคารพและด้วยความจริงใจ ดังพระวินัย ได้แสดงไวอ้ ยา่ งละเอียด ดังน้ี ดกู รภกิ ษุท้ังหลาย อนั เตวาสิก พงึ ประพฤตชิ อบในอาจารย์ วิธีประพฤตชิ อบในอาจารย์น้นั ดังตอ่ ไปน้ี อนั เตวาสกิ พึงลกุ แตเ่ ช้าตรู่ ถอดรองเทา้ หม่ ผ้าเฉวียงบ่า แล้วถวายไมช้ ำระฟนั ถวายนำ้ ล้างหนา้ ปูอาสนะไวถ้ า้ ยาคูมี พงึ ลา้ งภาชนะแลว้ น้อมยาคเู ข้าไปถวาย เมื่ออาจารยด์ ่ืมยาคแู ลว้ พึง ถวายน้ำรบั ภาชนะมา ถอื ต่ำๆ อยา่ ใหก้ ระทบกัน ล้างใหส้ ะอาดแล้วเก็บไว้ เม่อื อาจารย์ลุกแลว้ พงึ เกบ็ ผ้าอาสนะถ้าที่นน้ั รกพึงกวาดเสีย ถ้าอาจารย์ประสงค์จะเขา้ บ้าน พงึ ถวายผ้านุง่ พึงรับผา้ นุ่งผลัดมา พงึ ถวายประคตเอวพงึ พบั ผา้ สังฆาฏิใหเ้ ป็นชั้นถวาย พึงล้างบาตรแล้วถวายพร้อมทั้งนำ้ ด้วยถา้ อาจารย์ปรารถนาใหเ้ ป็นปัจฉา สมณะ พึงปกปดิ มณฑลสาม นุง่ ให้เปน็ ปริมณฑลแล้วคาดประคตเอว หม่ สงั ฆาฏิทำเป็นช้นั กลัดดุม ล้างบาตรแล้วถอื ไป เปน็ ปจั ฉาสมณะของอาจารย์ ไม่พงึ เดินใหห้ ่างนกั ไม่พึงเดินให้ชิดนัก พงึ รับวัตถทุ ่ี เน่อื งในบาตรเมอ่ื อาจารย์กำลังพดู ไม่พงึ พดู สอดข้นึ ในระหว่าง อาจารย์กล่าวถ้อยคำใกลต้ ่ออาบตั ิ พึง ห้ามเสยี เมอื่ กลับ พึงมาก่อนแลว้ ปูอาสนะที่นงั่ ฉนั ไว้ พึงเตรียมน้ำลา้ งเทา้ ตงั่ รองเท้ากระเบอื้ งเช็ดเท้าไว้ พึงลกุ ข้ึนรับบาตรและจวี ร พึงถวายผ้าน่งุ ผลัด พึงรบั ผ้านงุ่ มา ถา้ จวี รชุ่มเหงอ่ื พึงผ่งึ แดดไวค้ รหู่ นง่ึ แต่ ไมพ่ ึงผ่ึงทงิ้ ไวท้ ่แี ดดพึงพับจวี ร เมอ่ื พบั จวี ร พึงพับจวี รให้เหลื่อมมมุ กนั ๔ นว้ิ ดว้ ยต้ังใจมใิ หม้ ีรอยพบั ตรงกลาง พงึ ทำประคตเอวไว้ในขนดอนั ตรวาสก ถา้ บิณฑบาตมแี ละอาจารย์ประสงค์จะฉนั พึงถวายนำ้ แลว้ น้อมบณิ ฑบาตเข้าไปถวายพงึ ถาม อาจารย์ดว้ ยนำ้ ฉัน เมื่ออาจารย์ฉันแลว้ พงึ ถวายนำ้ รับบาตรมา ถือต่ำๆ อย่าให้กระทบลา้ งให้สะอาด เช็ดใหแ้ ห้ง แลว้ ผง่ึ ไวท้ ี่แดดคร่หู นงึ่ แตไ่ ม่พงึ ผงึ่ ทิ้งไวท้ ี่แดดพึงเก็บบาตรจีวร เมือ่ เก็บบาตร พึงเอามือ ข้างหนง่ึ จบั บาตร เอามือข้างหน่ึงลูบคลำใต้เตยี งหรือใตต้ ั่ง แล้วจึงเก็บบาตร แต่ไม่พึงเกบ็ บาตรไวบ้ น พน้ื ท่ไี มม่ ีส่งิ ใดรองเม่อื เกบ็ จวี ร พึงเอามือข้างหนงึ่ ถือจวี ร เอามือขา้ งหนึ่งลบู ราวจีวร หรือสายระเดียง แลว้ ทำชายไวข้ า้ งนอก ทำขนดไวข้ ้างใน แล้วจึงเกบ็ จวี รเม่ืออาจารย์ลุกแล้ว พึงเกบ็ อาสนะ เกบ็ น้ำล้าง เทา้ ตงั่ รองเท้า กระเบื้องเชด็ เท้าถา้ ทนี่ ัน้ รก พงึ กวาดท่นี ั้นเสีย ถา้ อาจารย์ใคร่จะสรงน้ำ พึงจัดนำ้ สรงถวาย ถ้าต้องการน้ำเย็น พึงจดั นำ้ เยน็ ถวายถ้า ต้องการนำ้ ร้อน พึงจัดน้ำร้อนถวาย ถา้ อาจารยป์ ระสงคจ์ ะเขา้ เรือนไฟ พงึ บดจุณ แช่ดิน หรือถือต่ัง สำหรับเรอื นไฟ แลว้ เดนิ ตามหลังอาจารยไ์ ป ถวายตั่งสำหรับเรือนไฟแล้ว รับจวี รมาวางไว้ ณ ที่ควร สว่ นขา้ งหน่ึงพงึ ถวายจุณ ถวายดนิ ถา้ อุตสาหะอยู่ พึงเข้าเรือนไฟ เมื่อเขา้ เรือนไฟ พงึ เอาดินทาหน้า ปดิ ทั้งข้างหน้าขา้ งหลัง แล้วเขา้ เรือนไฟ ไม่พึงนง่ั เบยี ดภกิ ษุผูเ้ ถระ ไมพ่ ึงหา้ มกนั อาสนะภกิ ษุใหม่ พึงทำ บริกรรมแก่อาจารยใ์ นเรือนไฟเม่ือออกจากเรอื นไฟ พงึ ถือตัง่ สำหรับเรอื นไฟ แล้วปดิ ท้ังข้างหนา้ ท้ังขา้ ง หลงั ออกจากเรือนไฟพงึ ทำบริกรรมแก่อาจารยแ์ มใ้ นนำ้ อาบเสร็จแล้ว พงึ ขนึ้ มาก่อน ทำตวั ของตนให้ แห้งนำ้ นุ่งผา้ แลว้ พึงเชด็ นำ้ จากตวั ของอาจารย์ พึงถวายผ้านุ่ง พงึ ถวายผา้ สังฆาฏิ ถือเอาต่ังสำหรับ เรอื นไฟมากอ่ น แลว้ ปูอาสนะไว้ เตรยี มนำ้ ล้างเท้า ตั่งรองเท้า กระเบื้องเช็ดเทา้ ไว้ พงึ ถามอาจารยด์ ้วย นำ้ ฉนั
๑๙ ถ้าประสงค์จะเรยี นบาลี พงึ ขอให้อาจารยแ์ สดงบาลีขนึ้ ถ้าประสงคจ์ ะสอบถามอรรถกถาพงึ สอบถามอาจารย์อยู่ในวิหารแห่งใด ถา้ วิหารแหง่ น้นั รก ถ้าอตุ สาหะอยู่ พึงปัดกวาดเสียเมื่อปัดกวาด วิหาร พึงขนบาตรจีวรออกก่อนแล้ววางไว้ ณ ที่ควรสว่ นข้างหน่งึ พงึ ขนผา้ ปูนั่งและผ้าปนู อน ฟูก หมอน ออกวางไว้ ณ ที่ควรสว่ นขา้ งหนึ่งเตยี งต่ัง อนั เตวาสกิ พึงยกต่ำๆ อยา่ ใหค้ รดู สี อย่าใหก้ ระทบ กระแทกบานและกรอบประตูขนออกใหเ้ รยี บร้อย แล้วต้งั ไว้ ณ ท่คี วรส่วนข้างหนึ่ง เขยี งรองเตยี ง กระโถน พนักองิ พึงขนออกต้ังไว้ ณ ท่ีควรสว่ นข้างหนง่ึ เคร่ืองปูพ้นื พึงสังเกตที่ปูไว้เดมิ แล้วขน ออกวางไว้ ณ ท่ีควรส่วนข้างหน่ึง ถ้าในวิหารมีหยากเย่ือ พึงกวาดแตเ่ พดานลงมาก่อน กรอบหนา้ ต่างและมมุ ห้องพึงเชด็ เสีย ถ้าฝาเขาทำบรกิ รรมด้วยน้ำมัน หรอื พนื้ เขาทาสีดำขึน้ รา พึงเอาผ้าเชด็ น้ำบดิ แลว้ เชด็ เสยี ถ้าพืน้ เขามิได้ ทำ พงึ เอาน้ำประพรมแล้วเชด็ เสีย ระวงั อย่าให้วหิ ารฟงุ้ ดว้ ยธลุ ี พงึ กวาดหยากเยอื่ ท้ิงเสยี ณ ท่ีควรส่วน ข้างหน่ึงเครื่องลาดพ้นื พงึ ผ่ึงแดด ชำระ เคาะ ปัด แล้วขนกลับปไู วต้ ามเดิม เขียงรองเตียงพงึ ผึง่ แดด ขัด เช็ด แลว้ ขนกลบั ตั้งไว้ที่เดมิ เตยี งตั่งพึงผง่ึ แดดขดั สี เคาะเสยี ยกต่ำๆ อย่าให้ครูดสี กระทบ กระแทกบานและกรอบประตู ขนกลบั ไปให้ดีๆ แลว้ ตั้งไว้ตามเดมิ ฟูก หมอนผา้ ปูนง่ั ผ้าปูนอน พงึ ผ่งึ แดดทำใหส้ ะอาด ตบเสีย แล้วนำกลบั วางปูไวต้ ามเดิม กระโถนพนักองิ พึงผ่ึงแดด เชด็ ถเู สยี แลว้ ขน กลับตงั้ ไวต้ ามเดมิ พงึ เก็บบาตรจวี ร เม่อื เกบ็ บาตร พึงเอามือข้างหน่ึงจับบาตร เอามือข้างหนึ่งลบู คลำใต้ เตยี งหรอื ใต้ต่ัง แล้วจงึ เก็บบาตร แต่ไม่พงึ เกบ็ บาตร บนพ้ืนทไ่ี ม่มสี ่งิ ใดรองเมื่อเก็บจวี ร พึงเอามือขา้ ง หน่งึ ถือจีวร เอามือข้างหนึง่ ลูบราวจีวรหรือสายระเดยี งแลว้ ทำชายไวข้ ้างนอก ทำขนดไว้ขา้ งใน แล้ว เก็บจวี ร ถ้าลมเจอื ด้วยผงคลี พัดมาแตท่ ศิ ตะวนั ออก พึงปิดหน้าต่างดา้ นตะวันออก ถา้ พดั มาแต่ทศิ ตะวนั ตก พึงปดิ หน้าตา่ งด้านตะวนั ตก ถา้ พัดมาแต่ทศิ เหนือ พงึ ปิดหน้าตา่ งด้านเหนือถ้าพดั มาแตท่ ิศใต้ พึงปดิ หนา้ ต่างด้านใต้ ถา้ ฤดูหนาวพึงเปิดหน้าต่างกลางวัน ปิดกลางคืนถ้าฤดรู อ้ น พงึ ปิดหน้าตา่ ง กลางวนั เปดิ กลางคนื ถ้าบริเวณ ซมุ้ นำ้ โรงฉัน โรงไฟ วจั จกฎุ ี รก พึงปดั กวาดเสีย ถ้าน้ำฉนั นำ้ ใชไ้ มม่ ี พึงจัดต้ังไว้ ถ้านำ้ ในหม้อชำระไม่มี พงึ ตักน้ำมาไวใ้ นหม้อชำระ ถ้าความกระสันบังเกดิ แก่อาจารย์ อันเตวาสกิ พึงชว่ ยระงับ หรือพงึ วานภิกษุอืน่ ใหช้ ว่ ยระงับ หรอื พึงทำ ธรรมมีกถาแก่อาจารยน์ นั้ ถ้าความรำคาญบังเกิดแก่อาจารย์ อันเตวาสกิ พึงชว่ ยบรรเทา หรือพึงวานภกิ ษอุ น่ื ให้ช่วยบรรเทา หรอื พงึ ทำธรรมีกถาแก่อาจารย์นน้ั ถ้าความเห็นผิดบังเกดิ แก่ อาจารย์ อนั เตวาสิกพึงใหส้ ละเสยี หรือพงึ วานภกิ ษุอนื่ ให้ช่วย หรือพงึ ทำธรรมีกถาแก่อาจารย์น้นั ถา้ อาจารย์ต้องอาบตั ิหนัก ควรปรวิ าสอันเตวาสิกพงึ ทำความขวนขวายว่าด้วยอบุ ายอย่างไร หนอ สงฆพ์ ึงให้ปรวิ าสแก่อาจารย์ ถา้ อาจารย์ควรชกั เขา้ หาอาบัติเดมิ อันเตวาสิกพึงทำความขวนขวาย วา่ ดว้ ยอุบายอยา่ งไรหนอ สงฆพ์ ึงชักอาจารยเ์ ขา้ หาอาบตั ิเดิม ถา้ อาจารย์ควรมานัต อันเตวาสกิ พึงทำ ความขวนขวายวา่ ดว้ ยอุบายอย่างไรหนอ สงฆ์พงึ ใหม้ านัตแก่อาจารย์ ถา้ อาจารยค์ วรอัพภาน อันเตวา สกิ พึงทำความขวนขวายวา่ ด้วยอุบายอย่างไรหนอสงฆพ์ ึงอัพภานอาจารย์ ถ้าสงฆป์ รารถนาจะทำ กรรมแก่อาจารย์ คือ ตัชชนียกรรม นิยสกรรม ปัพพาชนียกรรมปฏิสารณยี กรรม หรืออุกเขปนียกรรม อันเตวาสิกพึงทำความขวนขวายว่า ดว้ ยอุบายอยา่ งไรหนอสงฆไ์ ม่พึงทำกรรมแก่อาจารย์ หรือสงฆพ์ ึง นอ้ มไปเพื่อกรรมสถานเบา หรืออาจารย์น้ันถูกสงฆ์ลงตัชชนียกรรม นยิ สกรรม ปพั พาชนยี กรรม ปฏิ
๒๐ สารณยี กรรม หรืออุกเขปนียกรรมแลว้ อันเตวาสกิ พงึ ทำความขวนขวายว่า ด้วยอบุ ายอยา่ งไรหนอ อาจารยพ์ ึงประพฤตชิ อบ พงึ หายเย่อหยง่ิ พึงประพฤติแกต้ ัว สงฆ์พึงระงบั กรรมน้นั เสีย ถา้ จีวรของอาจารย์จะตอ้ งซกั อนั เตวาสิกพึงซัก หรือพึงทำความขวนขวายว่า ดว้ ยอุบาย อย่างไรหนอ ใครๆ พึงซักจวี รของอาจารย์ ถ้าจวี รของอาจารย์จะต้องทำ อันเตวาสกิ พึงทำหรอื พึงทำ ความขวนขวายวา่ ดว้ ยอุบายอย่างไรหนอ ใครๆ พงึ ทำจีวรของอาจารย์ ถา้ น้ำย้อมของอาจารยจ์ ะตอ้ ง ต้ม อันเตวาสิกพงึ ตม้ หรือพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอใครๆ พึงต้มน้ำยอ้ มของ อาจารย์ ถ้าจีวรของอาจารย์จะต้องย้อม อนั เตวาสิกพงึ ย้อม หรือพงึ ทำความขวนขวายวา่ ด้วยอบุ าย อย่างไรหนอ ใครๆ พงึ ย้อมจีวรของอาจารย์ เมื่อย้อมจวี รพงึ ย้อมพลิกกลบั ไปกลับมาให้ดีๆ เม่ือหยาด นำ้ ยอ้ มยงั หยดไม่ขาดสาย ไม่พึงหลกี ไปเสยี อันเตวาสิกไม่บอกลาอาจารย์ก่อน ไม่พึงใหบ้ าตรแกภ่ ิกษุบางรูป ไม่พงึ รบั บาตรของภิกษุ บางรูป ไม่พึงให้จีวรแก่ภกิ ษุบางรปู ไมพ่ ึงรับจวี รของภิกษุบางรปู ไม่พึงให้บรขิ ารแก่ภกิ ษบุ างรูปไม่พึง รบั บรขิ ารของภกิ ษุบางรปู ไม่พงึ ปลงผมให้ภิกษุบางรปู ไม่พึงให้ภิกษบุ างรูปปลงผมให้ไม่พงึ ทำบริกรรม แก่ภกิ ษบุ างรปู ไม่พึงให้ภิกษุบางรูปทำบริกรรมให้ ไม่พึงทำความขวนขวายแก่ภิกษบุ างรูป ไมพ่ งึ ส่งั ให้ ภิกษบุ างรูปทำความขวนขวาย ไม่พึงเปน็ ปัจฉาสมณะของภกิ ษุบางรปู ไม่พึงพาภิกษุบางรปู ไปเปน็ ปัจฉา สมณะ ไมพ่ งึ นำบณิ ฑบาตไปให้ภกิ ษุบางรปู ไม่พงึ ให้ภิกษุบางรปู นำบิณฑบาตมาให้ ไม่บอกลาอาจารย์ ก่อน ไม่พึงเข้าบ้าน ไม่พงึ ไปปา่ ช้า ไม่พึงหลีกไปสู่ทิศถา้ อาจารย์อาพาธ พงึ พยาบาล จนตลอดชีวิต พึง รอจนกว่าจะหาย๓๔ ๑.๖.๒ รูปแบบการศกึ ษาอุปัชฌายวัตร เป็นธรรมเนยี มหรือข้อปฏบิ ัติทีส่ ทั ธวิ ิหารกิ พงึ กระทำตอ่ อุปัชฌาย์ของตน ถือ เป็นหน้าทท่ี ส่ี ทั ธวิ ิหาริกปฏิบัติตอ่ พระอปุ ชั ฌาย์ พระวนิ ัย ไดแ้ สดงไว้อย่างละเอยี ด ดังนี้ ดกู รภกิ ษุท้ังหลาย สัทธิวิหารกิ พึงประพฤติชอบในอุปัชฌายะ วธิ ีประพฤตชิ อบในอปุ ชั ฌายะ นั้นมีดงั ต่อไปน้ี สัทธิวิหาริกพงึ ลุกแต่เชา้ ตรู่ ถอดรองเทา้ หม่ ผา้ เฉวยี งบ่า แลว้ ถวายไม้ชำระฟันถวายนำ้ ล้าง หน้า ปูอาสนะไว้ ถ้ายาคูมี พงึ ล้างภาชนะแลว้ นอ้ มยาคูเขา้ ไปถวาย เมือ่ อปุ ัชฌายะดื่มยาคูแลว้ พงึ ถวายนำ้ รบั ภาชนะมา ถือต่ำๆ อย่าใหก้ ระทบกนั ลา้ งให้สะอาดแล้วเกบ็ ไว้ เม่ืออุปัชฌายะลุกแล้ว พงึ เก็บอาสนะถา้ ที่นนั้ รก พึงกวาดทน่ี ั้นเสีย ถา้ อุปชั ฌายะประสงค์จะเขา้ บา้ น พงึ ถวายผ้านุ่ง พึงรับผ้านงุ่ ผลดั มา พงึ ถวายประคตเอวพึง พบั ผา้ สังฆาฏิเป็นชนั้ ถวาย พึงลา้ งบาตรแลว้ ถวายพร้อมทงั้ น้ำด้วย ถ้าอปุ ัชฌายะปรารถนาจะใหเ้ ป็น ปจั ฉาสมณะ พงึ ปกปดิ มณฑล ๓ นุ่งให้เปน็ ปริมณฑลแลว้ คาดประคตเอว หม่ สังฆาฏิ ทำเปน็ ชัน้ กลัด ดมุ ลา้ งบาตรแล้ว ถือไป เป็นปัจฉาสมณะของอปุ ัชฌายะ ไมพ่ ึงเดนิ ให้ห่างนัก ไม่พึงเดินให้ชิดนัก พึง รับวัตถทุ เ่ี น่ืองในบาตร เมือ่ อปุ ัชฌายะกำลังพูด ไมพ่ ึงพดู สอดขน้ึ ในระหวา่ ง อปุ ัชฌายะกล่าวถ้อยคำใกลต้ ่ออาบัติ พึงหา้ มเสยี เมื่อกลบั พงึ มาก่อน แล้วปอู าสนะทนี่ ัง่ ฉันไว้ พึงเตรียมน้ำล้างเทา้ ตัง่ รองเท้า กระเบ้ืองเชด็ เทา้ ไว้ พงึ ลุกขึ้นรับบาตรและจีวร พึงถวายผ้านงุ่ ผลัด พงึ รับผ้านุ่งมา ถา้ จีวรชมุ่ เหงอื่ พึงผ่ึงแดดไวค้ รู่ ๓๔ ว.ิ นย. (ไทย) ๔/๗๘/๑๐๗-๑๑๒.
๒๑ หนึ่ง แตไ่ ม่พงึ ผึง่ ทง้ิ ไวท้ แี่ ดด พึงพบั จวี ร เม่อื พบั จีวร พึงพับให้เหลอ่ื มมุมกัน ๔ น้ิว ด้วยต้งั ใจมใิ ห้มรี อย พับตรงกลางพึงทำประคตเอวไวใ้ นขนดอนั ตรวาสก ถา้ บิณฑบาตมีและอุปชั ฌายะประสงคจ์ ะฉัน พึงถวายนำ้ แล้วน้อมบิณฑบาตเขา้ ไปถวาย พึงถามอุปัชฌายะดว้ ยน้ำฉัน เมือ่ อุปัชฌายะฉันแล้ว พงึ ถวายนำ้ รับบาตรมา ถอื ต่ำๆ อยา่ ใหก้ ระทบ ลา้ งใหส้ ะอาด เชด็ ใหแ้ ห้งแล้ว ผึ่งไว้ท่ีแดดครหู่ น่ึง แต่ไมพ่ ึงผงึ่ ทงิ้ ไว้ท่ีแดด พงึ เก็บบาตรจวี ร เมอื่ เก็บ บาตร พงึ เอามือขา้ งหนึง่ จับบาตร เอามือข้างหน่งึ ลบู คลำใตเ้ ตียงหรือใต้ตงั่ แล้วจึงเกบ็ บาตร แตไ่ ม่พงึ เก็บบาตรไว้บนพ้นื ท่ีไมม่ ี สงิ่ ใดรอง เมื่อเกบ็ จีวร พงึ เอามือข้างหน่งึ ถอื จีวร เอามือขา้ งหนงึ่ ลูบราวจวี ร หรอื สายระเดยี ง แล้วทำชายไว้ขา้ งนอก ทำขนดไว้ข้างใน แล้วจงึ เก็บจีวร เม่อื อปุ ัชฌายะลุกแลว้ พึง เกบ็ อาสนะ เกบ็ น้ำล้างเทา้ ตั่งรองเท้า กระเบ้ืองเชด็ เทา้ ถา้ ทีน่ ้นั รก พงึ กวาดทนี่ ้ันเสยี ถา้ อุปชั ฌายะใคร่จะสรงน้ำ พึงจดั น้ำสรงถวาย ถา้ ต้องการน้ำเย็น พงึ จัดนำ้ เยน็ ถวาย ถา้ ตอ้ งการน้ำร้อน พงึ จัดน้ำร้อนถวาย ถ้าอุปชั ฌายะประสงคจ์ ะเข้าเรือนไฟ พงึ บดจณุ แชด่ ิน ถอื ตง่ั สำหรับเรอื นไฟแลว้ เดนิ ตามหลงั อปุ ชั ฌายะไป ถวายต่ังสำหรบั เรอื นไฟแลว้ รับจีวรมาวางไว้ ณ ทคี่ วร ส่วนขา้ งหน่งึ พึงถวายจณุ ถวายดนิ ถ้าอตุ สาหะอยู่ พึงเข้าเรือนไฟ เมื่อเขา้ เรือนไฟ พงึ เอาดนิ ทาหนา้ ปดิ ทง้ั ข้างหน้า ข้างหลงั แล้วเขา้ เรือนไฟ ไม่พงึ นงั่ เบยี ดภิกษผุ เู้ ถระ ไม่พึงหา้ มกนั อาสนะภิกษุใหม่ พึง ทำบริกรรม แก่อุปชั ฌายะในเรอื นไฟ เมื่อออกจากเรือนไฟ พึงถือตัง่ สำหรับเรือนไฟ แลว้ ปิดทั้งข้างหน้า ทง้ั ข้างหลงั ออกจากเรอื นไฟ พึงทำบริกรรมแก่อุปชั ฌายะแม้ในน้ำ อาบเสร็จแล้ว พงึ ขน้ึ มาก่อน ทำตวั ของตน ให้แห้งนำ้ นงุ่ ผา้ แล้ว พึงเช็ดนำ้ จากตัวของอปุ ัชฌายะ พึงถวายผ้านงุ่ พงึ ถวายผ้าสงั ฆาฏิ ถอื ตั่ง สำหรับเรอื นไฟมาก่อน แล้วปอู าสนะไว้ เตรียมนำ้ ลา้ งเท้า ตัง่ รองเท้า กระเบื้องเช็ดเท้าไว้ พงึ ถาม อปุ ชั ฌายะดว้ ยนำ้ ฉนั ถ้าประสงค์จะเรยี นบาลี พึงขอให้อุปัชฌายะแสดงบาลขี น้ึ ถา้ ประสงค์จะสอบถามอรรถกถา พึงสอบถามอุปัชฌายะอยใู่ นวิหารแห่งใด ถ้าวิหารแหง่ น้ันรก ถ้าอุตสาหะอยู่ พงึ ปัดกวาดเสยี เม่ือปัด กวาดวหิ าร พึงขนบาตรจีวรออกก่อน แลว้ วางไว้ ณ ทีค่ วรส่วนขา้ งหน่ึง พึงขนผา้ ปนู ่ัง และผ้าปูนอน ฟกู หมอน ออกวางไว้ ณ ที่ควรสว่ นขา้ งหนึง่ เตียงต่ังสัทธิวหิ าริกพึงยกต่ำๆ อยา่ ให้ครดู สี อย่าให้ กระทบกระแทกบานและกรอบประตู ขนออกใหเ้ รยี บร้อย แลว้ ตงั้ ไว้ ณ ท่คี วรส่วนขา้ งหนงึ่ เขยี งรอง เตียง กระโถน พนักองิ พงึ ขนออกตง้ั ไว้ ณ ทีค่ วรสว่ นขา้ งหนงึ่ เครอื่ งปูพื้น พงึ สังเกตที่ปูไว้เดมิ แลว้ ขน ออกวางไว้ ณ ที่ควรสว่ นขา้ งหนง่ึ ถ้าในวหิ ารมีหยากเยือ่ พึงกวาดแต่เพดานลงมากอ่ น กรอบหน้าตา่ งและมมุ หอ้ งพึงเช็ดเสยี ถ้าฝาเขาทำบริกรรมดว้ ยนำ้ มัน หรอื พ้นื เขาทาสีดำขน้ึ รา พึงเอาผา้ ชบุ นำ้ บดิ แลว้ เชด็ เสยี ถา้ พนื้ เขามิได้ ทำ พงึ เอานำ้ ประพรมแลว้ เช็ดเสยี ระวังอย่าใหว้ หิ ารฟุ้งดว้ ยธุลี พึงกวาดหยากเยอื่ ทิ้งเสีย ณ ท่ีควรส่วน ขา้ งหน่งึ เคร่ืองลาดพนื้ พงึ ผึ่งแดด ชำระ เคาะปดั แลว้ ขนกลบั ปไู ว้ตามเดิม เขียงรองเตียงพงึ ผึ่งแดด ขัด เช็ด แลว้ ขนกลบั ตง้ั ไวท้ ี่เดิม เตยี งตง่ั พงึ ผ่ึงแดดขดั สี เคาะเสยี ยกตำ่ ๆ อย่าใหค้ รดู สี กระทบ กระแทกบานและกรอบประตู ขนกลับไปใหด้ ีๆ แลว้ ตั้งไว้ตามเดมิ ฟูก หมอน ผ้าปูน่งั ผ้าปนู อน พึงผึ่ง แดด ทำใหส้ ะอาด ตบเสยี แลว้ นำกลบั วางปูไวต้ ามเดิม กระโถน พนักอิง พึงผึง่ แดด เชด็ ถเู สียแล้วขน กลับตั้งไวต้ ามเดมิ พึงเก็บบาตรจวี ร เมอื่ เก็บบาตร พึงเอามือข้างหนง่ึ จับบาตร เอามอื ข้างหนึ่งลูบคลำ ใตเ้ ตียงหรอื ใต้ต่ังแลว้ จงึ เก็บบาตร แตไ่ ม่พงึ เก็บบาตรบนพื้นท่ีไม่มีสิง่ ใดรอง เมื่อเกบ็ จีวร พงึ เอามือข้าง
๒๒ หนึ่งถือจวี ร เอามอื ขา้ งหนงึ่ ลูบราวจีวรหรอื สายระเดียง แลว้ ทำชายไว้ข้างนอก ทำขนดไว้ข้างใน แลว้ เก็บจวี ร ถ้าลมเจอื ด้วยผงคลีพดั มาแต่ทศิ ตะวนั ออก พงึ ปิดหน้าตา่ งดา้ นตะวนั ออก ถ้าพัดมาแต่ทิศ ตะวันตก พึงปิดหน้าต่างด้านตะวนั ตก ถา้ พัดมาแต่ทิศเหนือ พงึ ปิดหน้าต่างด้านเหนอื ถ้าพัดมาแตท่ ิศใต้ พึงปิดหน้าต่างดา้ นใต้ ถ้าฤดูหนาวพึงเปิดหน้าตา่ งกลางวัน กลางคนื พึงปดิ ถ้าฤดูร้อน พึงปิดหน้าต่าง กลางวนั กลางคนื พึงเปิด ถา้ บรเิ วณ ซุม้ น้ำ โรงฉนั โรงไฟ วจั จกฎุ ี รก พงึ ปดั กวาดเสยี ถ้าน้ำฉนั น้ำใช้ไม่ มพี งึ จัดตั้งไว้ ถา้ น้ำในหม้อชำระไม่มี พึงตักน้ำมาไวใ้ นหม้อชำระ ถา้ ความกระสนั บังเกิดแกอ่ ปุ ัชฌายะ สทั ธิวหิ ารกิ พงึ ช่วยระงบั หรือพงึ วานภกิ ษุอ่ืนใหช้ ่วยระงับ หรือพึงทำธรรมกถาแก่อุปัชฌายะน้นั ถา้ ความรำคาญบงั เกดิ แก่อุปัชฌายะ สทั ธวิ หิ ารกิ พงึ ช่วยบรรเทา หรอื พึงวานภกิ ษุอน่ื ใหช้ ่วย บรรเทา หรอื พึงทำธรรมกถาแก่อปุ ชั ฌายะนน้ั ถา้ ความเห็นผดิ บงั เกดิ แกอ่ ปุ ชั ฌายะ สัทธิวหิ าริกพงึ ให้ สละเสีย หรอื พงึ วานภกิ ษอุ นื่ ใหช้ ่วย หรือพงึ ทำธรรมกถาแก่อุปัชฌายะน้ัน ถ้าอุปัชฌายะต้องอาบตั ิหนักควรปรวิ าส สทั ธิวิหาริกพงึ ทำความขวนขวายวา่ ดว้ ยอุบาย อยา่ งไรหนอ สงฆพ์ ึงให้ปริวาสแกอ่ ุปชั ฌายะ ถา้ อปุ ัชฌายะควรชักเข้าหาอาบตั ิเดิม สทั ธิวหิ ารกิ พึงทำ ความขวนขวายวา่ ด้วยอบุ ายอยา่ งไรหนอ สงฆ์พงึ ชกั อุปัชฌายะเขา้ หาอาบตั ิเดิม ถ้าอุปชั ฌายะควร มานัต สทั ธิวิหาริกพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอบุ ายอย่างไรหนอ สงฆพ์ ึงใหม้ านตั แก่อุปชั ฌายะ ถ้า อุปัชฌายะควรอัพภาน สัทธวิ ิหารกิ พงึ ทำความขวนขวายว่า ดว้ ยอบุ ายอย่างไรหนอ สงฆ์พงึ อัพภาน อปุ ัชฌายะ ถ้าสงฆ์ปรารถนาจะทำกรรมแก่อุปัชฌายะ คือ ตชั ชนียกรรม นิยสกรรม ปัพพาชนียกรรม ปฏิสารณยี กรรม หรอื อุกเขปนยี กรรม สทั ธวิ หิ ารกิ พึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอบุ ายอยา่ งไรหนอ สงฆไ์ ม่พึงทำกรรมแก่อปุ ัชฌายะ หรือสงฆ์พงึ น้อมไปเพ่ือกรรมสถานเบา หรืออปุ ัชฌายะน้นั ถูกสงฆ์ ลงตัชชนยี กรรม นิยสกรรม ปพั พาชนยี กรรม ปฏสิ ารณยี กรรม หรืออกุ เขปนียกรรมแล้ว สัทธิวหิ ารกิ พงึ ทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบายอย่างไรหนอ อุปชั ฌายะ พงึ ประพฤติชอบ พึงหายเย่อหยิ่ง พงึ ประพฤติแกต้ วั สงฆ์พงึ ระงับกรรมนน้ั เสยี ถา้ จีวรของอุปัชฌายะจะต้องซัก สทั ธวิ หิ าริกพึงซัก หรือพึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอุบาย อยา่ งไรหนอ ใครๆ พึงซกั จีวรของอปุ ัชฌายะ ถา้ จีวรของอุปัชฌายะจะต้องทำ สทั ธิวิหาริกพึงทำ หรือ พึงทำความขวนขวายว่า ด้วยอบุ ายอยา่ งไรหนอ ใครๆ พึงทำจีวรของอุปชั ฌายะถ้านำ้ ย้อมของ อปุ ัชฌายะจะต้องต้ม สทั ธวิ หิ ารกิ พึงต้ม หรอื พงึ ทำความขวนขวายว่า ด้วยอบุ ายอยา่ งไรหนอ ใครๆ พึง ต้มน้ำยอ้ มของอปุ ัชฌายะ ถ้าจวี รของอุปชั ฌายะจะตอ้ งย้อม สัทธวิ ิหาริกพึงย้อม หรอื พึงทำความ ขวนขวายว่า ดว้ ยอุบายอย่างไรหนอ ใคร ๆ พึงย้อมจีวรของอุปชั ฌายะเมอ่ื ย้อมจวี ร พงึ ย้อมพลิก กลับไปกลบั มาให้ดีๆ เมอ่ื หยาดนำ้ ยอ้ มยังหยดไม่ขาดสาย ไม่พึงหลกี ไปเสีย สัทธิวิหาริกไมบ่ อกอปุ ัชฌายะกอ่ น ไม่พงึ ใหบ้ าตรแก่ภิกษบุ างรูป ไม่พึงรบั บาตรของภิกษุ บางรปู ไม่พึงให้จวี รแก่ภิกษบุ างรูป ไม่พึงรับจีวรของภิกษุบางรูป ไม่พึงให้บริขารแก่ภิกษุบางรูป ไม่พึง รับบรขิ ารของภิกษบุ างรปู ไมพ่ ึงปลงผมให้ภกิ ษุบางรปู ไม่พงึ ให้ภิกษบุ างรปู ปลงผมให้ ไมพ่ งึ ทำ บริกรรม ไม่พึงให้ภกิ ษบุ างรูปทำบรกิ รรมให้ ไม่พงึ ทำความขวนขวายแก่ภิกษุบางรปู ไม่พึงสง่ั ให้ภกิ ษุ บางรูปทำความขวนขวาย ไมพ่ ึงเปน็ ปัจฉาสมณะของภิกษุบางรปู ไม่พึงพาภิกษุบางรูปไปเปน็ ปจั ฉา สมณะ ไมพ่ ึงนำบณิ ฑบาตไปใหภ้ กิ ษุบางรปู ไมพ่ ึงให้ภกิ ษุบางรปู นำบิณฑบาตมาให้ ไม่ลาอุปชั ฌายะ
๒๓ ก่อน ไม่พึงเขา้ บา้ น ไม่พงึ ไปปา่ ช้า ไม่พงึ หลีกไปส่ทู ิศ ถา้ อปุ ัชฌายะอาพาธ พงึ พยาบาลจนตลอดชีวิต พึงรอจนกว่าจะหาย.๓๕ ๑.๖.๓ รปู แบบการศกึ ษาอนั เตวาสิก ภกิ ษผุ ้อู ยู่ในภายในความดูแล ใช้เรียกภิกษุผ้อู าศยั กับอาจารยห์ รอื ภิกษุผู้มใิ ช่ พระอุปัชญาย์ของตน ในพระวนิ ัย ได้แสดงรายละเอียด ไว้ดงั นี้ ดูกรภกิ ษุทงั้ หลาย อาจารยพ์ ึงประพฤติชอบในอันเตวาสิก วธิ ีประพฤติชอบในอนั เตวาสิกนั้น ดงั ตอ่ ไปนี้ ดูกรภกิ ษทุ งั้ หลาย อาจารย์พึงสงเคราะห์ อนุเคราะห์อนั เตวาสิก ดว้ ยสอนบาลีและ อรรถ กถา ด้วยให้โอวาทและอนศุ าสน์ ถ้าอาจารยม์ บี าตร อนั เตวาสกิ ไม่มีบาตร อาจารย์พึงให้บาตรแก่อนั เต วาสิก หรอื พึงทำความขวนขวายว่า ดว้ ยอบุ ายอยา่ งไรหนอ บาตรพึงบังเกดิ แกอ่ ันเตวาสิก ถา้ อาจารยม์ ี จีวร อันเตวาสิกไม่มีจวี ร อาจารยพ์ งึ ใหจ้ วี รแก่อันเตวาสิก หรอื พึงทำความขวนขวายวา่ ด้วยอุบาย อยา่ งไรหนอ จวี รพึงบงั เกดิ แก่อนั เตวาสกิ ถา้ อาจารย์มบี ริขาร อันเตวาสิกไมม่ บี ริขาร อาจารย์พึงให้ บริขารแก่อนั เตวาสกิ หรือพึงทำความขวนขวายว่า ดว้ ยอุบายอยา่ งไรหนอ บริขารพึงบังเกิดแก่อนั เตวา สกิ ถา้ อันเตวาสกิ อาพาธ อาจารย์ลกุ แต่เช้าตรู่ แลว้ พงึ ให้ไม้ชำระฟนั ให้น้ำล้างหนา้ ปูอาสนะไว้ ถา้ ยาคู มี พึงล้างภาชนะ แลว้ นำยาคูเข้าไปให้ เมื่ออนั เตวาสกิ ดมื่ ยาคูแล้ว พงึ ให้นำ้ รับภาชนะมา ถือตำ่ ๆ อย่า ใหก้ ระทบกัน ลา้ งใหส้ ะอาดแลว้ เกบ็ ไว้ เมอื่ อันเตวาสกิ ลุกแลว้ พึงเก็บอาสนะ ถ้าท่นี ้นั รก พึงกวาดทีน่ นั้ เสยี ถ้าอันเตวาสิกประสงค์จะเข้าบ้าน พงึ ให้ผ้านุง่ พึงรับผา้ นุ่งผลดั มา พึงใหป้ ระคตเอว พึงพบั ผ้า สังฆาฏเิ ปน็ ช้นั ให้ พงึ ลา้ งบาตรแล้วให้พร้อมทั้งนำ้ ด้วย พึงปูผา้ อาสนะท่นี ัง่ ฉนั ไว้ ดว้ ยกำหนดในใจว่า เพยี งเวลาเท่านี้ อันเตวาสกิ จักกลบั มา นำ้ ลา้ งเทา้ ตง่ั รองเทา้ กระเบื้อง เชด็ เทา้ พงึ เตรียมต้งั ไว้ พึงลกุ ข้นึ รับบาตรและจวี ร พงึ ให้ผ้านงุ่ ผลัด พึงรับผา้ นุ่งมา ถ้าจีวรชมุ่ เหงือ่ พึงผง่ึ แดดไวค้ รหู่ นึ่ง แตไ่ มพ่ งึ ผึ่ง ทิ้งไว้ท่แี ดด พึงพบั จวี ร เมื่อพับจวี ร พึงพบั ใหเ้ หลื่อมมมุ กัน ๔ นิว้ ด้วยต้งั ใจมิใหม้ รี อยพับตรงกลาง พึง ทำประคตเอวไวใ้ นขนดอันตรวาสก ถ้าบิณฑบาตมี และอนั เตวาสกิ ประสงคจ์ ะฉัน พึงให้น้ำแลว้ นำ บณิ ฑบาตเขา้ ไปให้ พึงถามอันเตวาสกิ ดว้ ยนำ้ ฉนั เมื่ออันเตวาสิกฉันแล้ว พงึ ให้นำ้ รบั บาตรมา ถือตำ่ ๆ อยา่ ใหก้ ระทบ ล้างให้สะอาด เชด็ ให้แห้ง แล้วผงึ่ ไว้ท่ีแดดครู่หน่งึ แต่ไม่พงึ ผึง่ ทิ้งไวท้ ี่แดด พงึ เก็บบาตร จีวร เมือ่ เกบ็ บาตร พึงเอามอื ขา้ งหนง่ึ จับบาตร เอามือขา้ งหนง่ึ ลบู คลำใต้เตียงหรือใต้ตัง่ แล้วเกบ็ บาตร แตไ่ ม่พึงเก็บบาตรไว้บนพ้นื ที่ไม่มีส่งิ ใดรอง เมอ่ื เกบ็ จีวร เอามือข้างหนง่ึ ถือจีวร เอามือข้างหนึ่งลูบราว จวี รหรือสายระเดียง แลว้ ทำชายไว้ข้างนอก ทำขนดไว้ขา้ งใน แล้วจึงเกบ็ จีวร เมอ่ื อนั เตวาสกิ ลกุ แล้ว พึงเก็บอาสนะ เกบ็ นำ้ ลา้ งเท้า ต่งั รองเท้า กระเบื้องเช็ดเทา้ ถา้ ทนี่ ัน้ รก พงึ กวาดที่นน้ั เสยี ถ้าอนั เตวาสกิ ใครจ่ ะสรงนำ้ พงึ จัดน้ำสรงให้ ถา้ ตอ้ งการน้ำเย็น พึงจัดนำ้ เยน็ ให้ ถา้ ต้องการนำ้ รอ้ น พึงจัดน้ำร้อนให้ ถ้าอนั เตวาสิกประสงค์จะเข้าเรือนไฟ พึงบดจุณ แช่ดนิ ถือตง่ั สำหรับเรือนไฟไป ใหต้ ง่ั สำหรบั เรือนไฟ แล้วรับจวี รมาวางไว้ ณ ท่คี วรสว่ นข้างหน่งึ พึงใหจ้ ุณ ให้ดิน ถา้ อุตสาหะอยู่ พงึ เข้าเรือนไฟ เม่ือเข้า เรือนไฟ พงึ เอาดินทาหน้า ปิดทั้งข้างหน้า ท้ังขา้ งหลัง แล้วเข้าเรือนไฟ ไม่พงึ น่งั เบียดภกิ ษผุ ้เู ถระ ไม่พงึ หา้ มกันอาสนะภิกษุใหม่ พงึ ทำบรกิ รรมแก่อนั เตวาสิกในเรือนไฟ ๓๕ วิ.นย. (ไทย) ๔/๖๖/๘๒-๘๗.
๒๔ เมือ่ ออกจากเรือนไฟ พึงถอื ต่งั สำหรับเรอื นไฟ แลว้ ปดิ ทั้งข้างหน้าท้ังขา้ งหลงั ออกจากเรือน ไฟ พึงทำบรกิ รรมแก่อนั เตวาสกิ แม้ในนำ้ อาบเสร็จแลว้ พึงขึ้นมาก่อน ทำตวั ของตนให้แห้งนำ้ นุ่งผ้า แล้วพึงเช็ดน้ำจากตัวของอันเตวาสิก พงึ ใหผ้ า้ น่งุ พึงให้ผ้าสังฆาฏิ พงึ ถือตง่ั สำหรับเรือนไฟมาก่อน แล้ว ปูอาสนะไว้ เตรยี มน้ำลา้ งเท้า ตั่งรองเท้า กระเบอ้ื งเชด็ เท้าไว้พงึ ถามอนั เตวาสิกดว้ ยน้ำฉัน อันเตวาสกิ อยู่ในวิหารแห่งใด ถา้ วิหารแห่งนน้ั รก ถา้ อตุ สาหะอยู่ พงึ ปดั กวาดเสียเมอ่ื ปดั กวาดวหิ าร พึงขนบาตรจวี รออกกอ่ น แลว้ วางไว้ ณ ท่คี วรส่วนข้างหนง่ึ พงึ ขนผา้ ปนู ั่งและผ้าปูนอน ฟูก หมอน ออกวางไว้ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เตยี งตง่ั อาจารย์พงึ ยกตำ่ ๆ อยา่ ให้ครูดสี อยา่ ใหก้ ระทบ กระแทกบานและกรอบประตูขนออกใหเ้ รียบร้อย แล้วตั้งไว้ ณ ทค่ี วรส่วนข้างหนึ่ง เขียงรองเตียง กระโถน พนักองิ พึงขนออกวางไว้ ณ ที่ควรส่วนขา้ งหน่ึง เคร่อื งปูพน้ื พึงสงั เกตทีป่ ูไว้เดิม แลว้ ขน ออกวางไว้ ณ ท่ีควรสว่ นข้างหนงึ่ ถา้ ในวิหารมหี ยากเยื่อ พึงกวาดแต่เพดานลงมาก่อน กรอบหน้าต่างและมุมหอ้ ง พงึ เช็ดเสีย ถ้าฝาเขาทำบรกิ รรมด้วยน้ำมัน พื้นเขาทาสีดำขน้ึ รา พงึ เอาผ้าชบุ นำ้ บดิ แลว้ เช็ดเสยี ถ้าพนื้ เขามิได้ทำ พงึ เอานำ้ ประพรมแล้วเชด็ เสีย ระวงั อยา่ ใหว้ ิหารฟงุ้ ด้วยธลุ ี พึงกวาดหยากเยื่อทิ้งเสยี ณ ท่คี วรสว่ นข้าง หนึ่ง เครอ่ื งลาดพนื้ พงึ ผง่ึ แดด ชำระ เคาะ ปัดเสีย ขนกลบั ปไู วต้ ามเดมิ เขียงรองเตียง พึงผ่งึ แดด ขัด เชด็ เสยี ขนกลับตั้งไวท้ ่ีเดมิ เตยี งตง่ั พึงผ่งึ แดด ขดั สี เคาะเสียยกต่ำๆ อย่าใหค้ รดู สี อย่าใหก้ ระทบ กระแทกบานและกรอบประตู ขนกลบั ไปให้ดีๆ แล้วตั้งไวต้ ามเดิม ฟูก หมอน ผา้ ปูน่ัง ผ้าปูนอน พงึ ผ่ึง แดด ทำให้สะอาด ตบเสีย แล้วนำกลบั วางปไู วต้ ามเดมิ กระโถน พนกั อิง พงึ ผ่งึ แดด เชด็ ถูเสยี แล้วขน กลบั ตง้ั ไวต้ ามเดิม พงึ เก็บบาตรจีวร เมื่อเกบ็ บาตร พึงเอามอื ข้างหนงึ่ จับบาตร เอามือข้างหนึ่งลูบคลำ ใต้เตียงหรือใตต้ ่ัง แล้วจงึ เก็บบาตร แตไ่ ม่พงึ วางบาตรบนพื้นท่ไี ม่มีสงิ่ ใดรองเมื่อเก็บจวี ร พึงเอามือขา้ ง หน่ึงถือจีวร เอามอื ขา้ งหนงึ่ ลูบราวจวี ร หรอื สายระเดียงแลว้ ทำชายไวข้ า้ งนอก ทำขนดไว้ขา้ งใน แล้ว จึงเก็บจีวร ถา้ ลมเจอื ด้วยผงคลพี ัดมาแต่ทศิ ตะวันออก พึงปดิ หน้าตา่ งดา้ นตะวันออก ถ้าพดั มาแต่ทิศ ตะวันตก พงึ ปดิ หนา้ ต่างด้านตะวันตก ถา้ พดั มาแตท่ ิศเหนือ พงึ ปิดหนา้ ต่างด้านเหนือถา้ พัดมาแตท่ ิศ ใต้ พึงปิดหน้าตา่ งด้านใต้ ถ้าฤดูหนาวพึงเปิดหน้าตา่ งกลางวัน ปิดกลางคนื ถ้าฤดูรอ้ น พึงปิดหน้าต่าง กลางวัน เปิดกลางคืน ถ้าบรเิ วณ ซุ้มน้ำ โรงฉนั โรงไฟ วจั จกฎุ ี รก พึงปัดกวาดเสีย ถ้าน้ำฉนั น้ำใช้ไม่มี พงึ จดั ตัง้ ไว้ ถา้ นำ้ ในหม้อชำระไม่มี พงึ ตักน้ำไวใ้ นหม้อชำระ ถ้าความกระสนั บังเกดิ แก่อนั เตวาสิก อาจารย์พึงชว่ ยระงบั หรอื พึงวานภกิ ษุอื่นใหช้ ่วยระงบั หรอื พงึ ทำธรรมีกถาแก่อนั เตวาสิกน้ัน ถา้ ความรำคาญบงั เกดิ แก่อนั เตวาสกิ อาจารย์พงึ บรรเทา หรอื พึงวานภิกษุอื่นให้ช่วยบรรเทา หรือพึงทำธรรมีกถาแก่อนั เตวาสกิ นนั้ ถ้าความเหน็ ผิดบังเกดิ แก่อนั เตวา สกิ อาจารย์พึงใหส้ ละเสีย หรือพงึ วานภกิ ษอุ ืน่ ให้ชว่ ย หรอื พึงทำธรรมกี ถาแกอ่ ันเตวาสิกน้นั ถ้าอนั เต วาสิกต้องอาบัติหนกั ควรปริวาส อาจารย์พงึ ทำความขวนขวายวา่ ด้วยอบุ ายอยา่ งไรหนอ สงฆพ์ ึงให้ ปริวาสแกอ่ ันเตวาสกิ ถา้ อนั เตวาสกิ ควรชกั เข้าหาอาบตั เิ ดิม อาจารย์พึงทำความขวนขวายวา่ ดว้ ย อบุ ายอย่างไรหนอ สงฆ์พึงชักอันเตวาสิกเข้าหาอาบัตเิ ดิม ถ้าอันเตวาสิกควรมานัต อาจารย์พึงทำความ ขวนขวายว่า ดว้ ยอุบายอย่างไรหนอสงฆ์พงึ ให้มานัตแกอ่ ันเตวาสกิ ถา้ อันเตวาสิกควรอัพภาน อาจารย์ พงึ ทำความขวนขวายว่าด้วยอุบายอยา่ งไรหนอ สงฆ์พึงอพั ภานอนั เตวาสิก.
๒๕ ถา้ สงฆ์ปรารถนาจะทำกรรมแก่อนั เตวาสิก คือ ตชั ชนยี กรรม นิยสกรรม ปพั พาชนียกรรม ปฏสิ ารณยี กรรม หรืออกุ เขปนยี กรรม อาจารยพ์ งึ ทำความขวนขวายวา่ ด้วยอุบายอย่างไรหนอสงฆ์ไม่ พึงทำกรรมแกอ่ นั เตวาสกิ หรอื สงฆ์พึงนอ้ มไปเพ่ือกรรมสถานเบา หรืออันเตวาสกิ นน้ั ถกู สงฆล์ ง ตัชชนยี กรรม นิยสกรรม ปัพพาชนียกรรม ปฏิสารณียกรรม หรอื อุกเขปนยี กรรมแล้ว อาจารยพ์ ึงทำ ความขวนขวายว่า ดว้ ยอบุ ายอย่างไรหนอ อนั เตวาสิกพึงประพฤตชิ อบ พงึ หายเย่อหยิง่ พงึ ประพฤติ แก้ตวั สงฆพ์ ึงระงบั กรรมนน้ั เสีย. ถ้าจีวรของอันเตวาสกิ จะต้องซัก อาจารย์พึงบอกว่า เธอพงึ ซักอย่างนี้ หรือพึงทำความ ขวนขวายว่า ดว้ ยอบุ ายอย่างไรหนอ ใครๆ พึงซกั จีวรของอันเตวาสกิ ถา้ จวี รของอันเตวาสิกจะต้องทำ อาจารยพ์ ึงบอกว่า เธอพึงทำอย่างน้ี หรือพงึ ทำความขวนขวายวา่ ดว้ ยอุบายอย่างไรหนอใครๆ พงึ ทำ จีวรของอันเตวาสกิ ถ้านำ้ ย้อมของอนั เตวาสกิ จะต้องต้ม อาจารย์พึงบอกว่า เธอพึงตม้ อย่างนี้ หรอื พงึ ทำความขวนขวายวา่ ดว้ ยอุบายอย่างไรหนอ ใครๆ พึงต้มน้ำย้อมของอนั เตวาสกิ ถา้ จวี รของอันเตวาสิกจะตอ้ งย้อม อาจารย์พึงบอกวา่ เธอพึงย้อมอย่างน้ี หรือพงึ ทำความ ขวนขวายวา่ ด้วยอบุ ายอยา่ งไรหนอ ใครๆ พึงย้อมจีวรของอันเตวาสกิ เมอื่ ย้อมจีวรพึงยอ้ มพลิก กลับไปกลบั มาให้ดีๆ เมื่อหยาดน้ำยอ้ มยังหยดไมข่ าดสาย ไมพ่ ึงหลีกไปเสยี ถา้ อันเตวาสิกอาพาธ พงึ พยาบาลจนตลอดชีวติ พึงรอจนกว่าจะหาย๓๖. ๑.๖.๔. รปู แบบการศกึ ษาสัทธวิ หิ าริก หนา้ ทขี่ องอปุ ัชฌาย์พงึ ปฏบิ ตั ิต่อสัทธวิ หิ ารกิ โดยชอบ พระวินยั ได้แสดง รายละเอยี ดไว้ ดูกรภิกษทุ ้งั หลาย อปุ ชั ฌายะพงึ ประพฤติชอบในสัทธวิ ิหารกิ วิธีประพฤติชอบใน สัทธิวหิ ารกิ น้นั มีดงั ตอ่ ไปน้ี ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปชั ฌายะพงึ สงเคราะห์ อนเุ คราะห์ สทั ธิวหิ ารกิ ดว้ ย สอนบาลแี ละอรรถกถา ดว้ ยใหโ้ อวาทและอนุศาสนี ถา้ อุปชั ฌายะมบี าตร สทั ธวิ หิ ารกิ ไม่มบี าตร อุปัชฌายะพึงให้บาตรแกส่ ทั ธวิ ิหาริก หรอื พึง ทำความขวนขวายว่า ดว้ ยอุบายอย่างไรหนอ บาตรพึงบังเกิดแกส่ ทั ธวิ ิหาริก ถา้ อุปัชฌายะมจี ีวร สทั ธวิ ิหาริกไมม่ จี ีวร อปุ ัชฌายะพึงให้จวี รแกส่ ัทธวิ หิ าริก หรือพึงทำความขวนขวายวา่ ด้วยอบุ าย อยา่ งไรหนอ จวี รพึงบงั เกิดแก่สทั ธิวิหารกิ ถ้าอปุ ัชฌายะมีบริขาร สัทธิวหิ ารกิ ไม่มีบริขาร อุปชั ฌายะ พึงใหบ้ รขิ ารแกส่ ัทธวิ หิ ารกิ หรอื พึงทำความขวนขวายว่า ดว้ ยอุบายอย่างไรหนอ บริขารพงึ บงั เกดิ แก่สทั ธิวิหาริก ถา้ สทั ธิวหิ าริกอาพาธ อปุ ัชฌายะพงึ ลกุ แต่เช้าตรู่ แลว้ ให้ไมช้ ำระฟัน ให้น้ำลา้ งหนา้ ปอู าสนะไว้ ถ้ายาคูมี พึงล้างภาชนะแล้ว นำยาคูเข้าไปให้ เมือ่ สัทธวิ หิ ารกิ ดื่มยาคูแล้ว พงึ ให้น้ำ รบั ภาชนะมา ถือตำ่ ๆ อย่าให้กระทบกนั ล้างให้ สะอาดแล้วเกบ็ ไว้ เมื่อสัทธหิ าริกลุกแลว้ พึงเก็บอาสนะ ถา้ ทน่ี ั้นรก พึงกวาดท่ีน้ันเสยี ถ้าสัทธวิ หิ ารกิ ประสงค์จะเข้าบ้าน พึงใหผ้ า้ นุง่ พงึ รบั ผ้าน่งุ ผลัดมา พงึ ใหป้ ระคตเอวพึงพับ สงั ฆาฏิเป็นชัน้ ให้ พึงลา้ งบาตรแลว้ ใหพ้ รอ้ มทงั้ นำ้ ดว้ ย พงึ ปูอาสนะที่น่ังฉนั ไว้ ด้วยกำหนดในใจว่าเพียง เวลาเทา่ น้ี สทั ธิวหิ ารกิ จักกลับมา นำ้ ล้างเทา้ ตั่งรองเท้า กระเบ้ืองเช็ดเทา้ พึงเตรยี มต้ังไว้ พึงลกุ ขึ้นรับ บาตรและจวี ร พึงให้ผา้ นุง่ ผลัด พึงรับผ้านุ่งมา ถ้าจวี รช่มุ เหงื่อ พึงผง่ึ แดดไว้ครหู่ น่ึง แต่ไมพ่ ึงผ่งึ ทิง้ ไว้ที่ ๓๖ ว.ิ นย. (ไทย) ๔/๗๙/๑๑๒-๑๑๖.
๒๖ แดดพึงพับจวี ร เมื่อพบั จวี ร พงึ พับให้เหลือ่ มมมุ กัน ๔ นว้ิ ด้วยตั้งใจมใิ หม้ รี อยพับตรงกลาง พึงทำ ประคตเอวไว้ในขนดอันตรวาสก ถา้ บิณฑบาตมี และสัทธิวหิ าริกประสงคจ์ ะฉนั พึงให้น้ำแลว้ นำบิณฑบาตเขา้ ไปให้พงึ ถาม สทั ธวิ ิหาริกดว้ ยนำ้ ฉัน เม่อื สัทธวิ หิ ารกิ ฉันแลว้ พงึ ให้น้ำ รับบาตรมา ถือตำ่ ๆ อยา่ ให้กระทบ ลา้ งให้ สะอาด เชด็ ใหแ้ ห้ง แล้วพึงผึ่งไวท้ แ่ี ดดครหู่ นึ่ง แตไ่ ม่พงึ ผ่ึงทิง้ ไว้ที่แดดพงึ เก็บบาตรจวี ร เมือ่ เกบ็ บาตร พงึ เอามือข้างหนึง่ จบั บาตร เอามือข้างหน่ึงลบู คลำใต้เตยี งหรอื ใต้ตั่งแล้วจึงเกบ็ บาตร แต่ไม่พึงเก็บ บาตรไว้บนพ้นื ทไี่ ม่มีสงิ่ ใดรอง เมอ่ื เก็บจีวร พงึ เอามอื ข้างหน่ึงถือจวี ร เอามือข้างหนง่ึ ลบู ราวจวี ร หรือสายระเดยี งแลว้ ทำ ชายไวข้ ้างนอก ขนดไวข้ า้ งในแลว้ จึงเกบ็ จวี ร เมอ่ื สทั ธวิ ิหารกิ ลกุ แลว้ พงึ เกบ็ อาสนะ เก็บนำ้ ลา้ งเทา้ ตั่ง รองเทา้ กระเบ้ืองเช็ดเท้าถ้าท่ีนน้ั รก พงึ กวาดท่นี ้นั เสีย ถา้ สทั ธิวิหารกิ ใคร่จะสรงน้ำ พงึ จดั น้ำสรงให้ ถ้าต้องการนำ้ เยน็ พึงจัดน้ำเยน็ ให้ ถ้าต้องการ นำ้ รอ้ น พึงจดั น้ำร้อนให้ ถ้าสัทธิวหิ าริกประสงคจ์ ะเขา้ เรือนไฟ พึงบดจณุ แชด่ ิน ถือตง่ั สำหรับเรือนไฟ ไปแล้วใหต้ ่ังสำหรับเรือนไฟ แลว้ รับจีวรมาวางไว้ ณ ท่ีควรส่วนขา้ งหนงึ่ พงึ ใหจ้ ุณ ใหด้ นิ ถา้ อุตสาหะอยู่ พึงเข้าเรอื นไฟ เมือ่ เขา้ เรือนไฟ พึงเอาดนิ ทาหนา้ ปิดทง้ั ขา้ งหน้าท้งั ข้างหลัง แล้วเขา้ เรอื นไฟ ไม่พึงน่งั เบยี ดภกิ ษุผู้เถระ ไม่พึงหา้ มกนั อาสนะภิกษใุ หม่ พงึ ทำบริกรรมแก่สัทธิวิหารกิ ในเรือนไฟ เม่อื ออกจากเรือนไฟ พึงถอื ตั่งสำหรบั เรอื นไฟ แลว้ ปดิ ท้งั ข้างหน้าทั้งข้างหลงั ออกจากเรือน ไฟ พึงทำบริกรรมแก่สทั ธวิ หิ ารกิ แม้ในน้ำ อาบเสรจ็ แล้วพึงขึน้ มาก่อน ทำตัวของตนให้แหง้ น้ำ นุง่ ผา้ แล้วพึงเชด็ นำ้ จากตวั ของสัทธิวหิ าริก พงึ ให้ผ้านงุ่ พึงให้ผ้าสังฆาฏิ พึงถอื ต่ังสำหรบั เรอื นไฟมากอ่ น แลว้ ปูอาสนะไว้ เตรยี มนำ้ ล้างเท้า ตง่ั รองเท้า กระเบอื้ งเชด็ เทา้ ไว้พงึ ถามสัทธิวหิ ารกิ ด้วยน้ำฉัน สัทธวิ ิหาริกอยใู่ นวิหารแหง่ ใด ถ้าวหิ ารแห่งนนั้ รก ถ้าอตุ สาหะอยู่ พึงปดั กวาดเสยี เม่อื ปัด กวาดวหิ าร พึงขนบาตรจวี รออกก่อนแล้ววางไว้ ณ ที่ควรส่วนขา้ งหน่ึง พงึ ขนผ้าปนู ่งั และผ้าปูนอน ฟูก หมอน ออกวางไว้ ณ ทค่ี วรส่วนข้างหน่ึง เตยี งตง่ั อปุ ัชฌายะพงึ ยกต่ำๆ อยา่ ให้ครดู สี อย่าให้กระทบกระแทกบานและกรอบประตขู น ออกใหเ้ รียบรอ้ ย แลว้ ตั้งไว้ ณ ทีค่ วรส่วนขา้ งหน่งึ เขียงรองเตยี ง กระโถน พนักอิงพึงขนออกวางไว้ ณ ทีค่ วรส่วนข้างหนง่ึ เครื่องปูพ้ืน พึงสงั เกตทปี่ ไู วท้ เี่ ดิม แลว้ ขนออกวางไว้ ณ ที่ควรสว่ นข้างหน่ึง ถา้ ในวหิ ารมีหยากเย่อื พึงกวาดแต่เพดานลงมาก่อน กรอบหน้าต่างและมุมห้อง พงึ เช็ดเสยี ถา้ ฝาเขาทำบริกรรมดว้ ยน้ำมัน หรอื พน้ื เขาทาสดี ำข้นึ รา พงึ เอาผา้ ชบุ น้ำบิดแลว้ เชด็ เสยี ถา้ พืน้ เขามิได้ ทำ พึงเอาน้ำประพรมแลว้ เชด็ เสยี ระวังอย่าให้วหิ ารฟ้งุ ด้วยธลุ ี พึงกวาดหยากเยอ่ื ท้ิงเสยี ณ ที่ควรส่วน ข้างหนงึ่ เครือ่ งลาดพ้นื พึงผึง่ แดด ชำระ เคาะ ปัดแลว้ ขนกลับปไู ว้ตามเดิม เขยี งรองเตยี ง พึงผ่ึง แดด ขดั เชด็ แลว้ ขนกลบั ไวใ้ นที่เดมิ เตียงต่ัง พงึ ผึ่งแดด ขัดสี เคาะเสยี ยกต่ำๆ อย่าให้ครดู สี อย่าให้ กระทบกระแทกบานและกรอบประตู ขนกลับไปใหด้ ีๆ แล้วตง้ั ไว้ตามเดมิ ฟกู หมอน ผา้ ปนู ่ัง ผา้ ปนู อน พงึ ผงึ่ แดด ทำใหส้ ะอาด ตบเสยี แลว้ นำกลับวางปูไว้ตามเดมิ กระโถนพนักอิง พงึ ผ่งึ แดด เชด็ ถเู สีย แลว้ ขนกลับต้ังไว้ตามเดิม
๒๗ พึงเก็บบาตรจีวร เมือ่ เก็บบาตร พงึ เอามอื ข้างหนึง่ จบั บาตร เอามือข้างหนึ่งลูบคลำใต้เตยี ง หรือใต้ตง่ั แลว้ จงึ เกบ็ บาตร แต่ไม่พึงวางบาตรบนพนื้ ท่ีไม่มีสิ่งใดรอง เมื่อเกบ็ จีวร พึงเอามือขา้ งหนง่ึ ถือ จวี ร เอามอื ข้างหนึง่ ลูบราวจวี รหรือสายระเดยี งแล้วทำชายไวข้ า้ งนอก ทำขนดไวข้ า้ งในแล้วจึงเก็บจวี ร ถา้ ลมเจอื ด้วยผลคลีพัดมาแต่ทิศตะวันออก พงึ ปิดหน้าต่างด้านตะวนั ออก ถา้ พดั มาแตท่ ิศ ตะวันตก พึงปดิ หน้าต่างด้านตะวนั ตก ถา้ พัดมาแต่ทศิ เหนือ พงึ ปิดหนา้ ต่างดา้ นเหนือถ้าพดั มาแตท่ ิศใต้ พึงปดิ หนา้ ต่างด้านใต้ ถ้าฤดูหนาว พงึ เปิดหนา้ ตา่ งกลางวนั พึงปิดกลางคืน ถา้ ฤดูร้อน พึงปิดหนา้ ตา่ ง กลางวัน พงึ เปิดกลางคืน ถา้ บรเิ วณ ซมุ้ นำ้ โรงฉนั โรงไฟ วัจจกฎุ ี รก พึงปดั กวาดเสีย ถ้านำ้ ฉนั น้ำใช้ไม่มีพงึ จัดตงั้ ไว้ ถ้าน้ำในหม้อชำระไมม่ ี พงึ ตักน้ำมาไวใ้ นหม้อชำระ ถา้ ความกระสันบังเกดิ แก่สัทธิวิหาริก อปุ ชั ฌายะพึงชว่ ยระงบั หรอื พึงวานภกิ ษอุ ืน่ ใหช้ ่วย ระงบั หรือพงึ ทำธรรมกถาแกส่ ัทธิวหิ าริกนน้ั ถา้ ความรำคาญบังเกดิ แก่สัทธิวหิ ารกิ อุปัชฌายะพงึ บรรเทา หรอื พึงวานภิกษอุ ่นื ให้ช่วยบรรเทา หรือพึงทำธรรมกถาแกส่ ทั ธิวหิ ารกิ นัน้ ถ้าความเห็นผิด บังเกิดแก่สทั ธวิ ิหาริก อุปัชฌายะพงึ ใหส้ ละเสยี หรือพงึ วานภิกษุอน่ื ให้ช่วย หรอื พงึ ทำธรรมกถาแก่ สัทธิวิหารกิ นั้น. ถ้าสัทธิวหิ ารกิ ต้องอาบัตหิ นัก ควรปรวิ าส อุปัชฌายะพึงทำความขวนขวายวา่ ดว้ ย อุบายอย่างไรหนอ สงฆ์พงึ ให้ปริวาสแกส่ ัทธิวิหาริก ถ้าสัทธิวิหารกิ ควรชักเขา้ หาอาบัติเดมิ อปุ ชั ฌายะ พึงทำความขวนขวายวา่ ดว้ ยอุบายอย่างไรหนอ สงฆ์พึงชกั สัทธวิ หิ าริกเขา้ หาอาบัตเิ ดมิ ถา้ สัทธวิ ิหาริก ควรมานัต อุปัชฌายะพงึ ทำความขวนขวายวา่ ดว้ ยอุบายอยา่ งไรหนอ สงฆ์พึงให้มานัตแก่สัทธวิ หิ าริก ถ้าสัทธิวหิ าริกควรอัพภาน อุปชั ฌายะพึงทำความขวนขวายวา่ ดว้ ยอบุ ายอย่างไรหนอ สงฆพ์ ึงอัพภาน สทั ธวิ ิหารกิ ถา้ สงฆป์ รารถนาจะทำกรรมแกส่ ัทธวิ หิ าริก คอื ตชั ชนยี กรรม นยิ สกรรม ปพั พาชนยี กรรม ปฏสิ ารณยี กรรม หรอื อุกเขปนยี กรรม อุปัชฌายะพึงทำความขวนขวายวา่ ดว้ ยอบุ ายอย่างไรหนอสงฆ์ ไม่พึงทำกรรมแก่สทั ธวิ ิหารกิ หรอื สงฆ์พึงน้อมไปเพ่ือกรรมสถานเบา หรือสทั ธิวหิ าริกน้ันถกู สงฆล์ ง ตัชชนียกรรม นยิ สกรรม ปพั พาชนยี กรรม ปฏิสารณยี กรรม หรอื อุกเขปนยี กรรมแล้วอุปชั ฌายะพึงทำ ความขวนขวายวา่ ดว้ ยอบุ ายอยา่ งไรหนอ สัทธวิ หิ ารกิ พึงประพฤติชอบพึงหายเย่อหย่งิ พึงประพฤติแก้ ตัว สงฆพ์ ึงระงบั กรรมนั้นเสีย ถา้ จีวรของสทั ธิวิหาริกจะต้องซัก อปุ ชั ฌายะพงึ บอกวา่ ท่านพึงซักอยา่ งนี้ หรือพงึ ทำความ ขวนขวายว่า ดว้ ยอุบายอย่างไรหนอ ใครๆ พึงซักจีวรของสัทธวิ ิหารกิ ถา้ จวี รของสทั ธวิ หิ าริกจะต้องทำ อุปัชฌายะพึงบอกว่า ท่านพึงทำอยา่ งนี้ หรือพงึ ทำความขวนขวายวา่ ดว้ ยอุบายอยา่ งไรหนอ ใครๆ พงึ ทำจวี รของสทั ธิวหิ าริก ถ้าน้ำย้อมของสัทธิวิหารกิ จะต้องต้มอปุ ัชฌายะพงึ บอกว่า ทา่ นพงึ ตม้ อยา่ งน้ี หรือพึงทำความขวนขวายวา่ ด้วยอบุ ายอยา่ งไรหนอใครๆ พงึ ตม้ นำ้ ย้อมของสัทธิวหิ าริก ถ้าจวี รของ สัทธิวิหารกิ จะตอ้ งย้อม อปุ ชั ฌายะพงึ บอกวา่ ท่านพงึ ย้อมอยา่ งน้ี หรือพึงทำความขวนขวายวา่ ด้วยอุบายอย่างไรหนอ ใครๆ พึงย้อมจีวรของ สัทธวิ ิหาริก เมอื่ ย้อมจวี ร พึงยอ้ มพลกิ กลบั ไปมาใหด้ ๆี เมอื่ หยาดนำ้ ย้อมยงั ไม่ขาดสาย ไม่พงึ หลกี ไป เสยี . ถ้าสทั ธวิ ิหารกิ อาพาธ พึงพยาบาลจนตลอดชีวติ พงึ รอจนกว่าจะหาย๓๗. ๓๗ วิ.นย. (ไทย) ๔/๖๗/๘๘-๙๒
๒๘ ๑.๖.๕ รปู แบบการศึกษาไตรสกิ ขา เป็นกระบวนการพฒั นากาย จิต และปญั ญาทพ่ี ระพทุ ธองค์ทรงบญั ญัติและ แสดงไว้แก่เหลา่ พทุ ธสาวกเมื่อประกาศพระศาสนานับตัง้ แต่ครั้งพุทธกาลแลว้ ไตรสิกขาเปน็ หลกั การท่ี สำคัญท่ีสดุ ที่ชว่ ยเสริมสร้างพัฒนาบุคคลทุกระดับท่ีมีกาย จิต และปัญญาทีห่ ยาบ กระด้าง ให้ปาน กลางและละเอยี ดประณตี ยง่ิ ข้ึนจนบรรลเุ ปน็ พระอรยิ บคุ คลระดบั ต่าง ๆ ซงึ่ มีอยู่ ๓ ระดบั ได้แก่ ๑. ระดบั ศีล ๒.ระดบั สมาธิ ๓.ระดับปญั ญา ดังจะอธิบายตามลำดบั ดงั น้ี ๑.ระดบั ศีล ได้แก่ ระดบั การพฒั นาการศึกษาท่มี ุ่งเน้นด้านกาย และวาจา ให้เรียบร้อย ศีลซึง่ เป็นรากฐานสำคญั ของการพัฒนาพฤติกรรมของบุคคลให้รู้จักสร้างคณุ คา่ ใหแ้ กต่ นเองไม่ใหม้ กี าร เบยี ดเบียนซ่ึงกันและกัน พระพทุ ธองค์ทรงบัญญตั ศิ ีลในระดับต่าง ๆ เรมิ่ ตงั้ แตศ่ ีล ๕ ศีล ๘ ศลี ๑๐ ศลี ๒๒๗ และศีล ๓๑๑ เพอื่ เป็นบรรทดั ฐานแห่งหลกั มนุษยธรรม ใหอ้ ยู่รว่ มกนั อย่างมิตรไมตรี มคี วาม เอ้อื เฟ้ือเผอ่ื แผต่ ่อกนั เพราะศีลจะคอยควบคุมอาการกริยาท่ีก่อให้เกิดความเดอื ดร้อนและบัน่ ทอน เสรภี าพใหเ้ ป็นปกติได้ ศลี จึงเป็นหลักการทส่ี ำคญั อย่างหนึง่ ท่ีเปน็ เคร่ืองกล่นั กรองความประพฤติของ บุคคลใหม้ ีความพร้อมที่จะพัฒนาบุคคลในระดบั สูง ยิ่งข้นึ ตอ่ ไป รปู แบบการศึกษาในข้นั ศลี นี้ จงึ เปรียบเหมือนหลกั สูตรแรกท่ผี ูเ้ รียนต้องทำความเขา้ ใจและ ศึกษาใหส้ ำเร็จมิฉะนน้ั แล้วจะไมส่ ามารถศกึ ษาในข้นั ทส่ี งู กว่าได้อย่างแนน่ อน เหลา่ สาวกกเ็ ช่นกนั ถ้าไม่ สามารถปฏบิ ัติตามศลี ได้ ก็ไม่สามารถพัฒนาตนเองเปน็ อริยสาวกไดเ้ ชน่ กนั ๒.ระดบั สมาธิ ได้แก่ ระดบั การพฒั นาการศึกษาที่มุ่งเนน้ ให้เกิดความต้งั ม่นั ของจิตให้เป็นกศุ ล ทเ่ี ต็มเป่ียม ระดบั ของสมาธทิ า่ นจดั ไว้ ๓ ระดับ๓๘คือ ขณิกสมาธิ (สมาธชิ ว่ั ขณะ) อปุ จารสมาธิ (สมาธิจวนจะแน่วแน่) และอัปปนาสมาธิ (สมาธิอันแน่วแน่) การพฒั นาจติ ใจใหเ้ จริญตามระดับน้ี เป็น ทท่ี ราบกนั วา่ มีสมรรถภาพถึงข้ันระดบั ฌานเลยทีเดยี ว ทั้งน้ี ตอ้ งก้าวข้ามกเิ ลสอย่างหยาบ มีโลภ โกรธ หลง เปน็ ตน้ และกเิ ลสอย่างกลาง มีนิวรณ์ ๕ เป็นต้นด้วย อย่างไรกต็ ามรูปแบบการศึกษาในพระพทุ ธศาสนาในระดับนี้ ยังเป็นความดีงามในระดบั กลาง ทย่ี งั ต้องพัฒนาให้เจริญยิ่งขน้ึ เพื่อบรรลุผลสำเร็จตามกระบวนการของไตรสิกขา ดงั จะกลา่ วในระดับ ตอ่ ไป ๓.ระดบั ปญั ญา ได้แก่ ระดับการพัฒนาการศึกษาทีม่ งุ่ เนน้ ด้านปัญญาอันเกิดจากการเจริญ จติ ภาวนา อนั หมายถงึ ภาวนามยปัญญา หรอื การเจริญวปิ สั สนากัมมฏั ฐานน่นั เอง ท้งั น้ีเพ่อื ใหเ้ กดิ ความรู้แจ้งแทงตลอดในกองสังขารท้งั ปวง รกู้ ารเกิดดับ รู้เหตุรู้ผลในสภาวะตา่ ง ๆ จนสามารถหย่งั กระแสจิตเข้าส่พู ระไตรลักษณ์ขึ้นสพู่ ระนพิ พาน ซึง่ เปน็ เป้าหมายสงู สดุ ในการศกึ ษาตามหลกั ไตรสิกขา ภาวนามยปัญญานี้ เปน็ ผลสืบเนือ่ งมาจากการเจรญิ สมาธิท่กี ล่าวแล้วในขอ้ ๒ นน่ั เอง ดังพระบาลวี ่า “ สมาธึ ภิกขฺ เว ภาเวถ สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ๓๙. แปลว่า ภกิ ษุทั้งหลาย เธอท้ังหลาย จงเจรญิ สมาธิเถดิ ภกิ ษผุ ู้มจี ิตต้ังม่ันแล้ว ย่อมเหน็ ตามความเปน็ จริง” ๓๘ ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๗/๑๙๘-๑๙๙ ๓๙ สํ.สฬา.(บาล)ี ๑๘/๑๔๗,สังคณี.อ.๒๐๗,วสิ ุทธ.ิ ๑/๑๘๔
๒๙ รปู แบบการศึกษาแบบไตรสิกขา อันเกดิ จากการศรทั ธาคือความเช่อื และปสาทะคือความ เส่อื มใสในพระพทุ ธเจ้าและพระธรรมในเบ้ืองตน้ พระพุทธองคท์ รงประทานบวชให้ดว้ ยวธิ ี เอหิภิกขุอุปสัมปทา ตอ่ มาเมอ่ื มีพระอริยสงฆเ์ พ่มิ ขนึ้ เหล่าสาวกกท็ ำความเล่อื มใสตอ่ พระอรยิ สงฆ์นั้น ดว้ ย จึงชื่อว่าเลอ่ื มใสในพระรัตนตรัย และได้ศึกษาอบรมตนเองด้วยหลกั ไตรสิกขาดังกล่าว ๑.๖.๖ การเรยี นการสอนในพระพทุ ธศาสนา หลกั สูตรการศกึ ษาในพระพุทธศาสนา แบง่ เป็น ๒ ฝ่าย คอื ๑.คนั ถธุระ๔๐ เป็นการศึกษาพระธรรมวินัยอนั เปน็ คำส่งั สอนของพระพุทธเจ้า ได้แก่ การศกึ ษาคำส่ังสอนของพระพทุ ธเจ้า คอื การศกึ ษาภาคทฤษฎีในวชิ าการต่างๆ กลา่ วคือ เรียนจากครู ดูจากตำรา สดบั ปาฐะน่นั เอง ๒.วิปสั สนาธุระ เป็นการเรยี นรกู้ มั มัฏฐานอันเปน็ เครื่องมือหรืออบุ ายฝึกหัดจติ ใจของ ตนเองให้สะดาดผ่องแผ้ว ปราศจากกิเลสอาสวะทั้งปวง ได้แก่ การศึกษาเล่าเรียนกรรมฐานอันเป็น เคร่ืองมือหรืออุบายฝึกหัดจิตใจตนเองให้สะอาด ปราศจากอาสวะกิเลสท้ังหลาย คือการศึกษา ภาคปฏิบัติจากผลการเรียนรู้แล้วนำมาปฏิบัติให้เกิดมรรคผลรู้แจ้งในหลักธรรมคำสอนของ พระพุทธศาสนา ตามกระบวนคือ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ฉะน้ัน การศึกษาจึงทำให้คนมีความรู้ ฉลาดรู้ทันคน รู้ทันเหตุการณ์ โดยเฉพาะการศึกษาในพระพุทธศาสนาถือว่ามีความสำคัญอย่างย่ิงผู้มี การศึกษาคือผู้เจริญ การศึกษาเป็นกระบวนการรองรับคนให้มีศักยภาพสูง สามารถทำการเผยแผ่สั่ง สอนคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงความรู้ทุกสรรพศาสตร์แล้วนำศาสตร์แห่ง ความรู้เหล่านนั้ มาเป็นเคร่ืองมอื ในการเผยแผ่ทำให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแหง่ ความร้นู นั่ เอง หลงั จากพระพุทธองค์เสดจ็ ดับขนั ธปรินิพพานแลว้ พระสงฆผ์ ู้เปน็ พุทธสาวกไดป้ ระชมุ กัน สงั คายนาพระธรรมวนิ ัย เพ่ือรวบรวมคำสงั่ สอนของพระพุทธองคท์ ี่ได้ตรัสร้สู งั่ สอนไวใ้ หเ้ ป็นหมวดหมู่ โดยกำหนดจำนวน ๘๔,๐๐ พระธรรมขนั ธ์ เรยี กวา่ พระไตรปฎิ ก จัดเปน็ หลักสตู รการเรยี นการ สอนให้กับพทุ ธบรษิ ัท โดยแบ่งออกเปน็ ๓ หมวด คือ ๑. พระวินัยปฎิ ก มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์ ๒. พระสุตตนั ตปฎิ ก มี ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ๓. พระอภธิ รรมปฎิ ก มี ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ พระสงฆส์ าวกสมยั นัน้ ก็ศึกษาท่องจำกันดว้ ยปาก เป็นคณะ ๆ คณะละหมวดบา้ ง สอง หมวดบ้าง จนถงึ สังคายนคร้งั ท่ี ๕ จึงมกี ารจารึกลงในใบลานไว้เปน็ หลกั ฐานด้วยภาษาบาลีหรือ ภาษามคธ ทง้ั นี้ ดว้ ยเลง็ เห็นว่า ในกาลภายหน้าจะไม่มผี ทู้ รงจำพระไตรปฎิ กได้ท้ังหมด จึงถอื วา่ พระไตรปิฎกนน้ั คือ หลักสตู รการเรยี นการสอนในสมยั นัน้ ๔๐ ธ.อ.(บาลี) ๑/๗
๓๐ ๑.๖.๗ จดุ ประสงคข์ องการเรียนการสอนในพระพทุ ธศาสนา การศกึ ษาพระพุทธศาสนามีจุดประสงค์ใหผ้ ู้ศึกษาบรรลนุ ิพพาน ภาวะบริสุทธแิ์ ห่ง จิตซงึ่ เปน็ จดุ หมายสงู สุด ประเด็นน้ีเหน็ จากการแบง่ บุคคลผู้เข้ามาสพู่ ระพุทธศาสนาเป็น ๒ กลุ่ม คือ ๑.ผมู้ ภี ารกจิ ยังตอ้ งศึกษา เรียกวา่ เสขะ ๒.ผสู้ ำเรจ็ การศกึ ษาแล้ว เรียกว่า อเสขะ๔๑ ทั้งเสขะและอเสขะ ล้วนเปน็ พระอริยบุคคลมีภูมิธรรมสูงสง่ เสขบคุ คล ซึ่งมีถงึ ๗ สว่ น นัน้ ระดบั สงู สดุ จำกัดกเิ ลสได้ ๕ ส่วน คอื ความเหน็ ว่าเป็นตวั ของตน (สกั กายทฏิ ฐ)ิ ความลังเลสงสยั (วจิ ิกิจฉา) ความถือม่ันศีลพรต (สลี พั พตปรามาส) ความกำหนัดในกาม (กามราคะ) ความหงุดหงดิ ขัดเคือง (ปฏฆิ ะ) ส่วนอเสขบุคคล กำจดั กเิ ลสไดท้ ้ังหมด โดยกำจดั ๕ สว่ น และกำจัดเพิม่ ได้อีก ๕ สว่ น คือ ความติดใจในรูปฌาน (รูปราคะ) ความติดใจในอรปู ฌาน (อรปู ราคะ) สำคัญตนวา่ เป็น นั่นเปน็ นี่ (มานะ) ฟุ้งซา่ น (อุทธัจจะ) และความไม่รู้ (อวชิ ชา) เพราะฉะนั้น ไมว่ า่ จะเปน็ การศึกษาฝ่ายคันถธรุ ะ หรอื วิปัสสนาธุระ มีจุดประสงค์สงู สดุ เพียงหนึง่ เดยี ว คือ บรรลนุ ิพพาน ภาวะบรสิ ุทธิ์แหง่ จติ ประเดน็ ท่นี ่าพิจารณา คือ การศึกษา พระพุทธศาสนาด้ังเดิมไม่ไดข้ ้ึนอยู่กับข้อเขยี นตำรา แตเ่ น้นความทรงจำ ถ่ายทอดกนั ปากต่อปาก (มขุ ปาฐะ) ในวัดหน่งึ จะต้องมภี ิกษอุ ย่างน้อยหนึ่งรปู ทรงจำพระปาตโิ มกข์ได้ ๑.๖.๘ รูปแบบการเรียนการสอนพระพุทธศาสนา รปู แบบการเรียนการสอนสมัยแรก ๆ ทพ่ี ระพทุ ธศาสนาแพร่หลายไปทว่ั อินเดียมีผู้ นิยมเขา้ มาบรรพชาอุปสมบทในพระพทุ ธศาสนาเป็นจำนวนมาก การเรียนการสอนยังไมม่ ีการอา่ น การเขียนเหมือนในปัจจบุ นั การศึกษาจงึ ต้องทำโดยวธิ สี อนปากเปล่าและให้ศิษย์ท่องจำไว้ ความจริงขอ้ น้ีพสิ ูจน์ได้ จากพระวินัยปิฎก คือในพระวินยั ปฎิ ก ไม่ได้กล่าวถึงหนงั สอื ว่าเป็นบริขารของภิกษุเลย การเขียน หนงั สอื นอกจากท่ีจารึกบนแผน่ ทองแดงซงึ่ ใช้ในราชการสมยั นั้นมขี นึ้ ภายหลงั ประมาณพ.ศ. ๔๐๐ หรือประมาณครสิ ต์ศตวรรษที่ ๑ สำหรับการศึกษาในสมัยนนั้ อาจารยส์ อนศิษย์กลมุ่ เล็ก ๆ อยา่ ง เปน็ กนั เอง เราทราบความจริงไดจ้ ากรปู แกะสลัก พิพิธภณั ฑท์ างโบราณคดีท่เี มอื งมถุราในรูปนน้ั จะ เหน็ อาจารย์ถือร่มกั้นบนศีรษะดว้ ยมือซ้าย สอนศิษย์กลุม่ หน่ึงซ่งึ น่ังราบอยู่ขา้ งหน้าบนพื้นดินในท่ี กลางแจ้ง การสอนของอาจารย์ คอื การนำพระวนิ ัย นิทานสาธก (นทิ านท่ีอาจารยเ์ ล่าเอาเอง) ชาดก (นิทานที่พระพุทธเจ้าตรสั ไว้) คาถาและพระสตู รตา่ ง ๆ การที่ศิษยจ์ ำคำส่ังสอนไวไ้ ดน้ ั้นก็ อาศัยการท่องบน่ บ่อย ๆ และบางคร้ังบางคราว กม็ ารวมท่องพรอ้ ม ๆ กนั เปน็ หมู่ ๆ (สังคตี )ิ ความ ประสงคข์ องการท่องพร้อม ๆ กนั กค็ อื เพื่อใหจ้ ำแม่นย่ิงขึ้นและเป็นการทดสอบกนั ในตวั กลา่ วส้นั ๆ คำสอนท่ใี ชส้ อนภกิ ษใุ หม่แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คอื ธรรมะและวนิ ัย ใน วัดใหญ่ ๆ มที า่ นผูเ้ ชีย่ วชาญทงั้ สองสาขา ซ่ึงเรยี กว่าพระสุตนั ตกิ ะและพระวินัยธร นอกจากนย้ี งั มี ทา่ นผูเ้ ชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องอีก เชน่ พระมาตกิ าธร คือผู้เช่ยี วชาญในมาติกาหรือหัวข้อ ๔๑มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, จากนาลนั ทาถึงมหาจฬุ าฯ, (อ้างแล้ว), หน้า ๔.
๓๑ การศึกษาของพระภิกษุในยุคแรก ๆ นน้ั มปี รากฏอยใู่ นคัมภีรพ์ ระพทุ ธศาสนา เชน่ ใน ตอนท่ีกล่าวถึงพิธีปวารณา ซ่ึงทำในวนั ออกพรรษาเราไดท้ ราบวา่ พิธนี ้ีจะต้องรวบรัดทำ เพราะในคนื ก่อน ๆ พระภกิ ษุใชเ้ วลาในการศึกษาสนทนาธรรมท่องจำโดยมิได้หลับนอนเลย การสนทนาธรรมหรอื การแสดงธรรมเป็นลกั ษณะสำคัญของการศึกษาในสมัยนั้น นอกจาก นี้ยงั มีการบรรยายธรรมะล้วน ๆ อย่างละเอยี ดลกึ ซึ้ง ซึง่ เราเรียกวา่ \"อภิธรรม\" คำสนทนาและคำ บรรยายเหล่านี้ รวบรวมไว้เปน็ หนงั สอื จำนวนมาก รวมท้ังอภธิ รรมปฎิ กนั้นดว้ ย การสนทนาธรรมกัน นนั้ ไมใ่ ชเ่ พียงทำใหจ้ ิตใจผ่องใสอยา่ งเดยี ว ยงั เป็นการฝกึ หดั ตัวเองใหเ้ ป็นผู้สามารถในการโตต้ อบกับ คนภายนอกศาสนา และสามารถวิจารณ์คดั คา้ นธรรมปฏิรูป ในขณะที่อาจารย์อภปิ รายโตต้ อบกันอยู่ นั้น ศิษย์ก็คอยสดบั ศึกษาไปดว้ ย และบางครั้งอาจารยต์ ั้งปญั หาข้นึ ให้ศิษย์ช่วยกันอภิปราย เพื่อหา ความชำนาญ ทก่ี ลา่ วมานเี้ ปน็ วธิ ีการศึกษาแบบพระพทุ ธศาสนา ทีป่ รากฏในพระวินัยปิฎก ซง่ึ เป็นการ แสดงวา่ ผเู้ ข้ามาบวชในพระพทุ ธศาสนาแลว้ จะต้องเร่ิมศึกษาต้งั แตว่ ันแรกแหง่ การบวชไปจนตลอด ชวี ติ ไมม่ ีวนั หยุด นอกจากในโอกาสจำเปน็ เทา่ นน้ั อีกประการหนึ่ง การอภปิ รายโต้ตอบกันนนั้ เทา่ กบั เปน็ การใหเ้ สรีภาพอย่างกวา้ งขวางแก่ภิกษุในพระพุทธศาสนา ทุกท่านต้องใชค้ วามคดิ ตอ้ งหา เหตุผล ตอ้ งตดั สินใจเร่อื งทั้งปวงทเี่ กีย่ วกับธรรมวินยั ด้วยตนเอง ในกรณีท่ีภิกษุโตแ้ ย้งกนั จนตกลงกนั ไม่ไดม้ บี ทบัญญัตใิ หส้ งฆ์เป็นผพู้ ิจารณาตดั สิน โดยถือเสยี งข้างมากเปน็ ประมาณ แต่การวินิจฉัยของ สงฆน์ นั้ ก็หาไดข้ ดั ขวางความเช่อื ถอื สว่ นบุคคลไม่ ผู้ท่ีมีความเห็นขดั แย้งจะไปตั้งคณะขึ้นใหม่ก็ได้ เสรีภาพดังกล่าวมานเ้ี ปน็ การสนับสนุนส่งเสรมิ ความคิดอสิ ระ และสมรรถภาพทางสติปัญญา ซ่ึงเปน็ ลกั ษณะเดน่ ของประวัตศิ าสตร์พระพุทธศาสนา แต่ก็เป็นการทำให้พระพทุ ธศาสนาแยกเป็นนิกายเล็ก นิกายนอ้ ยมากมาย การเกิดขึ้นของนิกายเหล่านน้ั แสดงวา่ ภิกษมุ ีแนว ความคดิ ใหม่ ๆ อย่เู รอ่ื ย ๆ ตามหลกั พระพุทธศาสนา คฤหสั ถท์ ีเ่ ปน็ สตรีจะถูกกำหนดบทบาทให้อยใู่ นฐานะเป็นผู้ให้ ความอุปถัมภ์มากกว่าที่จะเขา้ เป็นนกั บวช วิถชี ีวติ ของสมณะต้องจารึกไปในโลกกว้าง ตอ้ งอดทนต่อ ความลำบาก ตอ้ งต่อสกู้ บั สภาพแวดล้อมทีไ่ ม่เอ้ืออำนวย ขอ้ นี้น่าจะเปน็ เหตผุ ลหนง่ึ ท่ีพระพุทธเจ้าไม่ ทรงบวชใหส้ ตรีในยุคแรก เหตผุ ลต่อมา น่าจะเปน็ เพราะพระองค์ไม่ประสงค์จะใหภ้ ิกษุใกล้ชดิ สตรีมากเกินไป ภกิ ษุ สงฆก์ ับภกิ ษุณสี งฆ์ แมโ้ ดยหลักการแล้วจะพำนักอยูแ่ ยกกนั เปน็ สดั ส่วน แต่มีกิจกรรมหลายอยา่ งที่ ตอ้ งติดต่อสมั พันธ์กัน มีบทบัญญัติแหง่ พระวินัยหลายข้อทีส่ ะท้อนพุทธประสงค์ข้อน้ี เช่น ภิกษพุ ดู เกี้ยวหญงิ ต้องอาบัตสิ ังฆาทเิ สส ภิกษจุ ับตอ้ งกายหญงิ ต้องอาบตั สิ งั ฆาทิเสส ภกิ ษุนอนในที่มุงบัง เดยี วกันกบั สตรีแม้คนื แรก ต้องอาบตั ิปาจิตตยี ์ เป็นต้น พระพทุ ธเจ้าไมไ่ ด้ให้เหตุผลอะไรในการตรสั ห้ามพระนางมหาปชาบดีออกบวช พระองค์ เพียงแตต่ รสั วา่ “อย่าเลยโคตมี เธออย่าชอบใจการที่มาตุคามได้ออกจากเรือน บวชเปน็ บรรพชติ ใน ธรรมวินัยทตี่ ถาคตประกาศไว้เลย”๔๒ เหตผุ ลทพ่ี ระพุทธเจ้าไมป่ ระสงคจ์ ะใหส้ ตรีบวชเป็นภิกษณุ ี เห็นไดช้ ัดเจนทส่ี ุดคือเหตุผลทางกายภาพ พระองค์ไดต้ รสั กับพระอานนทว์ า่ ๔๒ อง.ฺ อฏฺฐก.(ไทย) ๒๓/๕๑/๒๒๗/๓๓๑-๓๓๓
๓๒ “อานนท์ ธรรมวินัยท่ีมีมาตุคามออกจากเรอื นบวชเป็นบรรพชิต จะไม่ตัง้ อยู่ไดน้ าน เปรียบ เหมอื นตระกูลหนึ่งท่ีมีสตรมี าก มีบรุ ุษนอ้ ยจะถูกโจรปล้นทรพั ย์ทำร้ายได้งา่ ย”๔๓ อย่างไรก็ตาม ในท่สี ุดพระพุทธเจา้ กท็ รงอนญุ าตใหส้ ตรีเข้ามาบวชเป็นภกิ ษณุ ีได้ เพราะ ทรงตระหนักถึงความจริงและทรงเหน็ ด้วยกบั คำกราบทูลถามของพระอานนท์ที่วา่ มาตุคาม ออกจาก เรอื นบวชเปน็ บรรพชิตในพระธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศไว้ จะสามารถทำให้แจง้ โสดาปตั ตผิ ล สกทาคามผิ ล อนาคามิผล หรอื อรหตั ผลได้หรือไม่ พระพทุ ธองคต์ รสั ตอบวา่ สามารถบรรลุได้ จะ เห็นว่าเหตผุ ลทางกายภาพดังกลา่ วไมใ่ ชป่ ระเดน็ สำคัญทีส่ ดุ แตเ่ ป็นประเด็นรองท่ีผอ่ นผันได้ สตรีจงึ มี โอกาสไดร้ บั การศึกษาพระพทุ ธศาสนาเหมอื นกบั บรุ ษุ ทั้งผ้ทู ่เี ขา้ มาบวชเปน็ ภกิ ษุณแี ละผดู้ ำเนินชวี ิต คฤหัสถท์ วั่ ไป แสดงว่าพทุ ธบรษิ ทั และศาสนิกของศาสนาอ่นื มีโอกาสได้รบั การศกึ ษาจากพระสงฆ์ เหมือนกนั คอื พระพทุ ธดำรัสว่าพวกเธอจงเท่ียวไปเพ่ือประโยชนส์ ขุ แกช่ นจำนวนมาก เพ่อื อนเุ คราะห์ ชาวโลกเป็นตน้ ๑.๗ ประโยชนข์ องการศึกษาในพระพทุ ธศาสนา ถา้ จะกลา่ วถึงประโยชน์ของการศึกษาในพระพุทธศาสนานั้น นับวา่ เปน็ เรื่องใหญ่มาก เพราะเปน็ เร่ืองท่ผี ้ศู กึ ษาและปฏบิ ัติต่างมีความเหน็ พ้องตอ้ งกนั ว่ามีมากมายมหาศาลเหลือเกิน ถา้ หาก จะเปรยี บเทียบกบั ประโยชนข์ องการศึกษาศาสตร์แขนงอนื่ ใดในโลกน้ยี อ่ มไม่มีอีกแลว้ ดงั น้ัน ในหัวข้อ นี้ จึงขอสรปุ เพ่ือใหส้ อดคล้องกบั ประโยชน์ ๓ ตามลำดบั ดังน้ี ๑.ทิฏฐธมั มกิ ตั ถประโยชน์๔๔ ได้แก่ ธรรมท่เี ปน็ ไปเพื่อประโยชน์ในปัจจุบนั หรือ หลักธรรมอันอำนวยประโยชน์สุขข้ันตน้ ๔๕ ประกอบด้วย อุฏฐานสมั ปทา ถงึ พร้อมดว้ ยความหม่นั อา รกั ขสมั ปทา ถงึ พรอ้ มดว้ ยการรกั ษา กัลยาณมิตตตา ถึงพร้อมดว้ ยการคบคนดีเปน็ มติ ร และสมชวี ิตา การใชจ้ ่ายในชีวิตท่เี หมาะสม ผลจากการศกึ ษาพระพทุ ธศาสนาก่อใหเ้ กดิ ประโยชนด์ ังกลา่ วเป็น เบ้อื งต้นแกบ่ ุคคลท่ีประพฤติดีปฏบิ ตั ชิ อบ ท้งั นี้ อาจสรุปได้ว่า ประโยชน์ในข้ันนี้ คือ การมคี รอบครัวที่ เปน็ ปกึ แผ่น มีฐานะการเงนิ การงานทีม่ ่ันคง มคี วามสุขตามอัตภาพน่นั เอง ๒.สัมปรายิกัตถประโชน์๔๖ ไดแ้ ก่ ธรรมที่เป็นไปเพอ่ื ประโยชนเ์ บื้องหนา้ ธรรมเป็น เหตใุ ห้สมหมาย หรือหลักธรรมอันอำนวยประโยชน์สุขข้ันสูงขึน้ ไป๔๗ ประกอบดว้ ย สัทธาสมั ปทา ถงึ พรอ้ มด้วยศรัทธา สลี สมั ปทา ถงึ พร้อมดว้ ยศลี จาคสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการเสยี สละ และปญั ญา สัมปทา ถึงพร้อมด้วยปัญญา หลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนาย่อมมีอานสิ งสต์ ่อผ้ทู ่ีมีศรัทธา อย่างถูกต้อง นั่นคือ มีความเชื่ออยา่ งเปน็ เหตุเป็นผลตามความเป็นจริง มศี ีลเปน็ อาภรณห์ อ่ หมุ้ กาย ๔๓ องฺ.อฏฐฺ ก. (ไทย) ๒๓/๕๑/๓๓๔-๓๓๗. ๔๔ อง.ฺ อฏฺฐก. (ไทย) ๒๓/๑๔๔/๒๘๙. ๔๕ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม, พมิ พค์ รงั้ ที่ ๑๒ (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๖), หนา้ ๑๑๖. ๔๖ อง.ฺ อฏฐฺ ก. (บาลี) ๒๓/๑๔๔/๒๙๒. ๔๗ เร่อื งเดียวกัน หนา้ ๑๔๖.
๓๓ และวาจา มกี ารเสยี สละสิ่งที่เปน็ ข้าศึกแก่ความสงบ และพรอ้ มกันนี้มีปัญญาเป็นเคร่อื งกำกบั ในส่ิงท่ี กระทำ ถอ้ ยคำที่พูดเสมอ จะเป็นเหตปุ ัจจัยให้ผู้ท่ไี ด้ประพฤติปฏบิ ตั ิมีความร่มเยน็ เป็นสุขอยทู่ ุกเมอ่ื ๓.ปรมัตถประโยชน์ ไดแ้ ก่ สภาวะท่ีมอี ยู่โดยปรมัตถ์ หรอื สิ่งที่เปน็ จริงโดย ความหมายสงู สดุ ๔๘ ในทนี่ ี้ หมายถึง สภาวะที่ส้ินกเิ ลสและทุกข์ทง้ั ปวง หรือสภาวะทป่ี ราศจากตัณหา อันเปน็ ประโยชนส์ ูงสุดท่ผี ศู้ ึกษา(ไตรสิกขา) ได้รับจากพระพุทธศาสนา สรุปท้ายบท การศึกษาในพระพทุ ธศาสนาในสมยั พุทธกาล เปน็ การศกึ ษาเพื่อมองตน พิจารณาตน และความควบคมุ ตน จนกระทง่ั การพัฒนาตนให้เจริญด้วยการปฏบิ ตั ิให้หลุดพน้ จากอำนาจของอวชิ ชา และกเิ ลส โดยมีขั้นตอนการศึกษา ๓ สว่ นใหญ่ ๆ คอื ๑.ขนั้ ปริยตั ิ เป็นการศึกษาพระธรรมวนิ ัยหรอื หลกั คำสงั่ สอนของพระพุทธเจา้ ใหม้ คี วามรู้ ความเขา้ ใจอย่างแทจ้ ริง จะไดน้ ำความรู้ท่ีไดศ้ ึกษามาแล้วนัน้ นำไปปฏิบตั ิได้อย่างถูกต้องและแนะนำ สงั่ สอนผอู้ ืน่ ใหม้ ีความรคู้ วามเขา้ ใจที่ถูกต้องเช่นเดยี วกัน ๒.ขน้ั ปฏบิ ัติ เปน็ การนำเอาความรู้ความเขา้ ใจทไ่ี ด้ศึกษาอยา่ งถูกต้องแล้วน้ัน มา ประพฤติปฏบิ ัตติ น ดงั นี้ ๑.๒ ทางกาย คอื การประพฤติกายสุจรติ ด้วยการไม่ไปเข่นฆา่ ทำร้ายเบียดเบยี น ผ้อู นื่ ใหไ้ ด้รับความเดือดร้อน ไมล่ ะโมบโลภมากจนเปน็ เหตไุ ปลักขโมย จ้ปี ลน้ แย่งชิงเอาทรัพยข์ อง ผอู้ น่ื มาเป็นของตน และไมล่ ่วงละเมิดประเวณี ข่มขนื กระทำชำเรา หรอื ทำลายลบหลเู่ กยี รติและ วงศต์ ระกลู ของผู้อ่ืน ๒.๒ ทางวาจา คอื ไมพ่ ูดเท็จ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียดและไม่พูดเพ้อเจ้อ กลา่ วแตว่ าจาทีถ่ ูกตอ้ ง ไมโ่ กหกหลวงลวงใหผ้ ู้อนื่ หลงเชอื่ จนเกดิ ความเสยี หาย ๒.๓ ทางใจ คือ ไมล่ ะโมบ ไมเ่ พ่งเลง็ คดิ หาทางเอาแต่ได้ ไม่คิดร้ายม่งุ เบยี ดเบยี น หรือเพง่ ในแงท่ ี่จะทำลาย มีความเหน็ ถูกเป็นสมั มาทิฏฐิ เข้าใจหลกั กรรมว่า ทำดมี ีผลดีตอบแทน ทำชัว่ มีผลช่ัวตอบแทน รเู้ ทา่ ทนั ความจรงิ ท่เี ป็นธรรมดาของโลก ชีวิต มองเหน็ ความเปน็ ไปตามเหตุ ปัจจยั ๓.ข้นั ปฏเิ วธ เปน็ ขัน้ ทแ่ี สดงผลของการประพฤติปฏบิ ตั ิ ฝกึ หดั อบรมตนให้สูงข้ึนจน สามารถยกระดับจิตของตนให้หลดุ พน้ จากความเปน็ ทาสของอวิชชาและกเิ ลส เป็นมนุษยท์ ีส่ มบูรณ์ หมดปัญหาโดยสิ้นเชงิ ๔๘ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), อา้ งแล้ว เรือ่ งเดียวกัน, หน้า ๑๒๑.
๓๔ คำถามท้ายบท ๑.ตามทัศนะของพระเทพเวที (ป.อ.ปยุตโฺ ต) ไดใ้ ห้นิยามความหมายของการศกึ ษาในพระพุทธศาสนาไว้ วา่ อย่างไร จงอธบิ าย ? ๒.หลกั การศึกษาพระพุทธศาสนาในสมยั พทุ ธกาลมลี กั ษณะอย่างไร จงอธิบาย ? ๓.ในสมัยพทุ ธกาล แบง่ ขนั้ ตอนการศึกษาออกเป็นก่ีสว่ น แตล่ ะสว่ นมีข้ันตอนปฏบิ ัติอย่างไร? ๔.พระพุทธศาสนามีความสำคัญตอ่ ผู้ศกึ ษาและปฏิบตั ิอย่างไรเม่ือผปู้ ฏบิ ัตถิ กู ต้องแล้วจะเกิดผลตอ่ การปฏบิ ัติอยา่ งไร? ๕.คมั ภีรพ์ ระไตรปิฎก ได้กล่าวถงึ ระบบการศกึ ษาไว้อย่างไร จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง? ๖.จดุ ม่งุ หมายของการศึกษาในพระพุทธศาสนามกี ่รี ะดบั แต่ละระดับมแี นวปฏบิ ตั ิอย่างไร? ๗.เปา้ หมายของการศึกษาในพระพุทธศาสนาไดว้ างแนวทางเพอ่ื พัฒนาบุคคลใหเ้ กดิ สติปัญหาอยา่ งไร จงอธบิ าย? ๘.สทั ธวิ ิหารกิ พงึ ปฏิบัติตอ่ พระอปุ ชั ฌาย์ในเร่อื งถวายอาหารบิณฑบาตไวอ้ ยา่ งไร จงอธิบาย? ๙.การศกึ ษาตามหลกั ไตรสกิ ขามกี ระบวนการพัฒนา กาย จติ และปญั ญา อย่างไร? ๑๐.จดุ ประสงค์ของการเรยี นการสอนในพระพทุ ธศาสนา มุ่งให้ผูเ้ รียนรู้เขา้ สพู่ ระพุทธศาสนาอย่างไร? ๑๑.ผ้ทู ี่ศกึ ษาพระพทุ ธศาสนา จะไดร้ บั ประโยชนแ์ หง่ การศึกษาอยา่ งไรบ้าง? ๑๒.พระพทุ ธเจา้ ทรงมวี ิธใี นการเผยแผ่หลักคำสอนของพระองค์อยา่ งไร จงอธบิ าย?
๓๕ เอกสารอ้างองิ ประจำบท กระทรวงศึกษาธิการ. พระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒. ราชกจิ จานุเบกษา เลม่ ๑๑๖ ตอนท่ี ๗๔ ก. หน้า ๒, ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๒. พระเทพเวที (ป.อ.ปยตุ โฺ ต). ลกั ษณะแหง่ พระพุทธศาสนา. กรุงเทพมหานคร : มูลนิธพิ ุทธธรรม, ๒๕๓๒. สนิท ศรีสำแดง. พระพุทธศาสนากบั การศึกษา. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์มหาจฬุ าลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๔๗. . พุทธศาสนากับการศกึ ษา : ภาคทฤษฎีแห่งความรู้. กรงุ เทพมหานคร : นลี นาราการพิมพ,์ ๒๕๓๔. สมบรู ณ์ พรรณาภาพ. ประวตั ิและปรชั ญาการศึกษาไทย. กรงุ เทพมหานคร : สำหนักพมิ พ์ โอเดยี นสโตร,์ ๒๕๒๔. Grube, G.M.A. Plato Thought, Balon Press, Boston 1958. พิทูร มลวิ ลั ย์ และ ไสว มาลาทอง. ประวตั ิศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา. พิมพค์ รงั้ ท่ี ๒, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพก์ ารศาสนา, ๒๕๓๓. พระธรรมปฎิ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต).พจนานกุ รมพทุ ธศาสตรฉ์ บบั ประมวลธรรม. พมิ พค์ ร้ังที่ ๑๐.กรุงเทพฯ: บรษิ ัทส่ือตะวนั จำกดั , ๒๕๔๕. มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั . โรงพมิ พ์ มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙. . พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาเตปฏิ กํ ๒๕๐๐. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์มหา จฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕. . จากนาลันทาถงึ มหาวิทยาลัยจุฬาฯ. พิมพ์คร้ังท่ี ๓, พิมพเ์ น่ืองในพิธีเปิดป้ายมหาวทิ ยาลัย มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย อยุธยา ๓ ธันวาคม ๒๕๔๓. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๓. เสถียร โพธินันทะ. ประวัติศาสตรพ์ ระพทุ ธศาสนา ฉบับมุขปาฐะ ภาค ๑. กรุงเทพมหานคร : โรงพิพมม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๑๔.
๓๖ บทท่ี ๒ ระบบการศึกษาในพระพทุ ธศาสนาหลงั พุทธกาลถึงยคุ เสื่อมในอนิ เดีย ผศ.ดร.ชวาล ศิริวัฒน์ อาจารยส์ มคิด นันต๊ะ วัตถปุ ระสงคก์ ารเรียนประจำบท เมอ่ื ได้ศึกษาเน้อื หาในบทนแี้ ล้ว ผ้ศู กึ ษาสามารถ ๑. อธิบายพฒั นาการของระบบการศกึ ษาในพระพทุ ธศาสนาได้ ๒. อธิบายยุคเส่อื มของระบบการศึกษาในพระพุทธศาสนาได้ ๓. ระบุสาเหตคุ วามเส่ือมของระบบการศึกษาในพระพทุ ธศาสนาได้ ๔. วิเคราะห์ผลกระทบจากความเสื่อมของระบบการศกึ ษา ในพระพทุ ธศาสนาได้ ขอบขา่ ยเนอ้ื หา • พฒั นาการของระบบการศึกษาในพระพทุ ธศาสนา • ยคุ เสอื่ มของระบบการศึกษาในพระพุทธศาสนา • สาเหตคุ วามเสือ่ มของระบบการศกึ ษาในพระพุทธศาสนา • ผลกระทบจากความเสอ่ื มของระบบการศกึ ษาในพระพทุ ธศาสนา
๓๗ ๒.๑ ความนำ ในบทนี้ได้กล่าวถึงระบบการศึกษาพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะยุคพุทธกาล และยุคหลัง พุทธกาล ระบบการศึกษาในยุคนี้เปลี่ยนแปลงจากยุค พุทธกาลท่ีพระสงฆ์ต้องศึกษาอบรมอยู่กับพระ อุปัชฌาย์ถืออุปัชฌายวัตร หรือศึกษาอบรมอยู่กับอาจารย์ ถืออาจาริยวัตรในสมัยหลังพุทธกาล พระสงฆ์ท่ีเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาก็จะต้องศึกษาอบรม เกี่ยวกับข้อปฏิบัติสำหรับพระภิกษุบวช ใหม่ ต่างศกึ ษาอบรมอยู่ในสำนักของพระมหาเถระอ่ืนๆ และเมื่อได้ระยะเวลาพอสมควรก็พากันออกไป อยู่ตามป่าลึกๆ โดยขอกัมมัฏฐานจากพระอุปัชฌาย์ หรือจากพระอาจารย์ด้วยมุขปาฐะตลอดจนลำดับ การเปล่ียนแปลงของการศึกษาในยุคของฝ่ายเถรวาท มหายาน การศึกษาหลังจากพระเจ้าอโศก มหาราชจนกระท่ังถึงการศึกษาในยุคของมหาวิทยาลัยนาลันทาท่ีกำลังรุ่งเรืองและสุดท้ายก็เกิดการ เปล่ียนแปลงรูปแบบของการศึกษาทำให้เกิดการล่มสลายของระบบการศึกษาด้วยสาเหตุหลาย ประการ ๒.๒ พฒั นาการของระบบการศึกษาในพระพทุ ธศาสนา พระพุทธดำรัสที่ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร ตอนหนึ่งท่ีทรงตรัสกับพระอานนท์วา่ \"ดูกร อานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างน้ีว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้วพระศาสดาของพวกเรา ไม่มกี ็ข้อน้ี พวกเธอไมพ่ ึงเห็นอย่างนัน้ ธรรมและวินัยอนั ใด เราแสดงแล้ว บญั ญัตแิ ล้วแก่พวกเธอ ธรรม และวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา\"๑ พระพุทธดำรัสนี้เป็นสิ่ง ยืนยัน อย่างชัดเจนว่า พระผู้มีพระภาคทรงให้ความสำคัญกับธรรมและวินัยที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้ดี แล้ว อย่างสงู ยิ่ง ทรงยกธรรมและวินัยน้ันไว้ในฐานะศาสดาแทนพระองค์เอง น่ันหมายความว่าเมื่อ พระผู้มี พระภาคเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ธรรมและวินัยถือเป็นส่ิงแทนพระศาสดาและเป็นตัวพระ ศาสนาท่ีแท้จริงที่พุทธบริษัทจะต้องช่วยกันรักษาให้ดำรงคงอยู่สืบไป แต่เหตุการณ์หลังพุทธ ปรินิพพาน มีความคิดเห็นแตกแยกมากขึ้นในหมู่ภิกษุด้วยกันเอง รวมกับความขัดแย้งทางแนวคิด กับ ลทั ธิรว่ มสมัยอ่ืนๆ แต่ความขัดแย้งก็ไม่รนุ แรงจนถึงข้ันเป็นการแยกตวั ออกไปเป็นนกิ าย เป็นเหตใุ ห้ ใน เวลาต่อมา พระสารีบุตรจึงได้แสดงวิธีการสังคายนาร้อยกรองพระธรรมวินัยไว้เป็นแบบแผน โดยได้ รวบรวมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ มีพระมหากัสสปเถระเป็นประธานและเป็นผู้ ซกั ถาม มีพระอุบาลีเป็นผู้ตอบข้อซักถามเก่ียวกับพระวินัย มีพระอานนท์เป็นผู้ตอบข้อซักถามเก่ียวกับ พระธรรม ร่วมกันร้อยกรองพระธรรมวินัยทถ่ี ูกต้องไวเ้ ป็นหลักฐาน สำหรบั ยึดถือเปน็ แบบแผนต่อไป ระบบการศึกษาเริ่มต้นจากท่ีในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ หลักธรรมคำสอนต่าง ๆ ของ พระองค์ยังมิได้จัดเป็นหมวดหมู่หรือเป็นระเบียบแบบแผน อีกท้ังยังไม่มีพระไตรปิฎกสำหรับบันทึก พระธรรมคำสอน จนกระทั่งมีการบันทึกให้เป็นรูปแบบของระบบการศึกษาเริ่มแรกคือการศึกษา ๑ ที.ม.๑๐/๑๔๖-๑๔๘.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178