Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บาลีไวยากรณ์เบื้องต้น

บาลีไวยากรณ์เบื้องต้น

Description: ปาลิ (อักษรโรมัน : Pāli) นั้น ไม่ปรากฏที่มาที่ชัดเจน และเป็นที่ถกเถียงเรื่อยมาโดยไม่มีข้อสรุป เดิมเป็นภาษาของชนชั้นต่ำ สำหรับชาวพุทธโดยทั่วไปเชื่อว่า ภาษาบาลีมีกำเนิดจากแคว้นมคธ ในชมพูทวีป และเรียกว่าภาษามคธ หรือภาษามาคธี หรือภาษาปรากฤตแบบมคธ หรือมาคธิกโวหาร ซึ่ง "มาคธิกโวหาร" พระพุทธโฆสาจารย์พระอรรถกถาจารย์นามอุโฆษมีชีวิตอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 10 อธิบายว่าเป็น
" สกานิรุตติ" คือภาษาที่พระพุทธเจ้าตรัส

Search

Read the Text Version

พุทฺธวจนํ ปาเลตีติ ปาลี ภาษาที่รักษาไว้ซึ่งพระพุทธวจนะ บาลีไวยากรณ์เบื้องต้น ภ า ษ า ที่ ใ ช้ พู ด กั น ใ น รั ฐ ม ค ธ โ ด ย ผ ศ . ด ร . ทิ พ ย์ ขั น แ ก้ ว

ความรู้เบื้องต นายทพิ ย์ ขัน Email-teentip@ 08-2180

ต้นภาษาบาลี นแก้ว ป.ธ.9 @hotmail.com 0-4576

ความเป็ นมาข ในพระพทุ ธศาสนาพระพทุ ธเจา้ ทรงว ข้นั ปริยตั ิ ข้นั ปฏิบตั ิ และ ข้นั ปฏิเวธ ข้นั ปริยตั ิ ไดแ้ ก่ การศึกษาทางทฤษฎีค เป็นพ้ืนฐานโดยแจ่มแจง้ เสียก่อนวา่ ค มีอะไรบา้ ง ถา้ จะนามาปฏิบตั ิจะทาอย อยา่ งไร ข้นั ปฏบิ ัติ คือการนาเอาพระธรรมวนิ ยั ข้ันปฏิเวธ เป็นข้นั ที่แสดงถึงผลของก พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้

ของภาษาบาลี วางแผนการศึกษาไวเ้ ป็น ๓ ข้นั คือ คือ การศึกษาพระธรรมวินยั ใหม้ ีความรู้ คาสอนของสมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ยา่ งไร และเมื่อปฏิบตั ิแลว้ จะไดผ้ ล ยมาปฏิบตั ิดว้ ยกาย วาจา ใจ การปฏิบตั ิตามพระธรรมคาสง่ั สอนของ

ความเป็ นมาของ สาหรับการศึกษาท่ีเรียกวา่ “คนั ถธุระ” ชนมอ์ ยนู่ ้นั พระพทุ ธเจา้ ทรงสง่ั สอนส ธรรมเทศนา คาสง่ั สอนท่ีพระพทุ ธเจา้ ตามที่พระองคจ์ ะทรงโปรดประทานพ เป็นประจาทุกวนั ผทู้ ่ีฟังกม็ ีท้งั พระภิก น้นั เมื่อไดฟ้ ังพระสทั ธรรมเทศนาของ สทั ธิวิหาริกและอนั เตวาสิกต่อกนั ไป เรียกวา่ คนั ถธุระ หรือการศึกษาพระป “นวงั คสตั ถุศาสน์” แปลวา่ คาสอนขอ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวตุ

งภาษาบาลี (ต่อ) ” น้นั ในสมยั ท่ีพระพทุ ธเจา้ ยงั ทรงพระ สาวกเป็นประจาทุกวนั ดว้ ยการแสดงพระ าทรงแสดงน้นั ทรงแสดงดว้ ยพระโอฐ พระสทั ธรรมเทศนาแก่พทุ ธบริษทั ซ่ึงมี กษุสงฆแ์ ละคฤหสั ถ์ สาหรับพระภิกษุสงฆ์ งพระพทุ ธเจา้ แลว้ กน็ ามาถ่ายทอดแก่ การศึกษาคาสอนของพระพทุ ธเจา้ น้ี ปริยตั ิธรรม ซ่ึงมี ๙ ประการ เรียกวา่ องพระศาสดามีองคเ์ กา้ ซ่ึงไดแ้ ก่ สุตตะ ตตกะ ชาดก อพั ภูตธรรม และเวทลั ละ

คาสง่ั สอนของพระพทุ ธเจา้ ดว้ ยภาษ พระไตรปิ ฏก เป็นหลกั ฐานช้ันหน่ึง เรียกวา่ บ คาอธิบายพระไตรปิ ฏกเป็นหลกั ฐานช้ันสอง คาอธิบายอรรถกถา เป็นหลกั ฐานช้ันสาม เรีย คาอธิบายฏีกา เป็นหลกั ฐานช้นั ส่ี เรียกวา่ อนุ นอกจากน้ี ยงั มีหนงั สือท่ีแต่งขนึ้ ภายหลงั เป็น พระพทุ ธศาสนาโดยเฉพาะ หนงั สือประเภทน กา” และหนงั สือท่ีอธิบายเร่ืองปลีกยอ่ ยต่างๆ ประเภทน้ี เรียกวา่ “โยชนา” หนงั สือท้งั สอง จะเห็นไดว้ า่ คาสอนที่อยใู่ นคมั ภีร์เหล่าน้ี คาส ที่สุด เพราะเป็นหลกั ฐานช้นั แรกสุด คาสอนท ธรรมขนั ธ์

าท่านจารึกไวใ้ นคมั ภีร์ต่างๆ ษาบาลี บาลี เรียกวา่ อรรถกถา หรือ วณั ณนา ยกวา่ ฎกี า นฏีกา นทานองอธิบายเร่ืองใดเรื่องหน่ึงท่ีมีในคมั ภีร์ น้ี เรียกวา่ “ทปี นี” หรือ “ทปี ิ กา” หรือ “ปทปี ิ ๆ ท่ีมีในคมั ภีร์ทางพระพทุ ธศาสนา หนงั สือ งประเภทน้ีจดั เป็นคมั ภีร์อรรถกถา สอนที่อยใู่ นพระไตรปิ ฏกเป็นหลกั ฐานสาคญั ท่ีอยใู่ นพระไตรปิ ฏกน้นั มีถึง ๘๔,๐๐๐ พระ

พระธรรมวนิ ยั แ หมวดท่ีหน่ึง พระวนิ ยั วา่ ดว้ ยเรื่อง มารยาท ของภิกษุสงฆ์ มีท้งั ขอ้ หา้ ม ระเบียบเรียบร้อยในหมู่สงฆ์ มี ๒๑ หมวดท่ีสอง พระสูตร วา่ ดว้ ยเร่ืองร องคท์ รงสงั่ สอนและทรงสนทนากบั ต่างๆ ที่ทรงสอนเปรียบเทียบเป็นอ ธรรมขนั ธ์ และ

แบ่งเป็น 3 หมวด ระเบียบ กฎ ขอ้ บงั คบั ควบคุมกิริยา มและขอ้ อนุญาต ท้งั น้ี เพ่อื ความเป็น ๑,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์ ราว นิทาน ประวตั ิศาสตร์ ทพ่ี ระพทุ ธ บบุคคลท้งั หลายอนั เก่ียวกบั ชาดก อุปมาอุปไมย เป็นตน้ มี ๒๑,๐๐๐ พระ

พระธรรมวนิ ยั แบ่ง หมวดท่ีสาม พระอภิธรรมวา่ ด เฉพาะคาสอนท่ีเป็นแก่น เป็น ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขนั ธ์ คาสอนท้งั ๘๔,๐๐๐ พระธรร ธรรมวินยั เป็นส่ิงสาคญั มากท แทนองคพ์ ระศาสดา ดงั พทุ ธพ เสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพานวา่ “ด บญั ญตั ิไวแ้ ลว้ แสดงแลว้ แก่เ เป็ นศาสดาของพวกเธอเม่ือเร

งเป็น 3 หมวด (ต่อ) ดว้ ยธรรมข้นั สูง คือ วา่ ดว้ ยเร่ือง นปรมตั ถ์ ในรูปปรัชญาลว้ นๆ มี รมขนั ธน์ ้นั เรียกวา่ “ธรรมวินยั ” ที่สุดของชาวพทุ ธ เพราะถือเป็นสิ่ง พจนท์ ่ีตรัสกบั พระอานนทก์ ่อนจะ ดูก่อนอานนท์ ธรรมวนิ ยั อนั ใดที่เรา เธอท้งั หลาย ธรรมะและวนิ ยั น้นั จกั ราล่วงลบั ไปแลว้ ”

วเิ คราะห์ ค พทุ ฺธวจน ปาเลตีติ ปาลี แปลโดยพย พระพทุ ธวจนะ เพราะเหตุน้นั ภาษ ภาษาท่ีรักษาไวซ้ ่ึงพระพทุ ธวจนะ คาวา่ บาลี มาจากคาวา่ ปาลี ซ่ึงว รักษา ลง ณี ในนามกิตกป์ ัจจยั ๆ ที่เ ลบ ณ ทิ้งเสีย

คาวา่ “บาลี” ยญั ชนะวา่ ภาษาใดยอ่ มรักษาไวซ้ ่ึง ษาน้นั ชื่อวา่ ปาลี แปลโดยอรรถวา่ วิเคราะห์มาจาก ปาล ธาตุ ในความ เนื่องดว้ ย ณ

อกั ข อกั ขระท่ีใชใ้ นภาษาบาลี มี 41 ตวั แบ่งอ 1.พยญั ชนะ มี 33 ตวั 2.สระ มี 8 ตวั พยญั ชนะ 33 ตวั แบ่งเป็น 2 ประเภท พยญั ชนะวรรค มี 25 ตวั คือ กขคฆ จฉชฌ ฏฐ ฑฒ ตถทธ ป ผ พภ พยญั ชนะอวรรค มี 8 ตวั คือ ย ร ล ว

ขรวธิ ี ออกเป็น 2 ส่วน คือ ท คือ ง เรียกว่า ก วรรค ญ เรียกว่า จ วรรค ณ เรียกว่า ฏ วรรค น เรียกว่า ต วรรค ม เรียกว่า ป วรรค ส ห ฬ (อ)

อกั ขรว สระ มี 8 ตวั คือ อ อา อิ อี อุ แบ่งเป็น 3 เสียง คือ -เสียงส้นั เรียกวา่ รัสสสร -เสียงยาว เรียกวา่ ทีฆสระ -สระผสม เรียกวา่ สังยตุ ตส หมายเหตุ สงั ยตุ ตสระ คือ เสียงที่เกิดจ -อ ผสมกบั อิ จะมีรูปเป็นส -อ ผสมกบั อุ จะมีรูปเป็นส

วธิ ี (ต่อ) อู เอ โอ ระ คือ อ อิ อุ ะ คือ อา อี อู สระ คือ เอ โอ จากการเอาสระเหล่าน้ีมาผสมกนั สระ เอ สระ โอ

อกั ขรว ความสมั พนั ธ์ของพยญั ชนะแล – พยญั ชนะ เรียกวา่ นิสสิต เพรา อ่านออกเสียงไดน้ ้นั จะตอ้ งนาไ เสียงได้ – สระ เรียกวา่ นิสสยั เพราะทาห ออกเสียงได)้ ฉะน้นั ท้งั พยญั ชน กนั และกนั

วธิ ี (ต่อ) ละสระ าะโดยปกติจะไม่มีเสียง การจะทาให้ ไปประกอบกบั สระ จึงจะอ่านออก หนา้ ท่ีใหพ้ ยญั ชนะอาศยั อยู่ (ทาให้ นะและสระ จึงตอ้ งมีการพ่งึ พาอาศยั

การอ่านภ หลกั การอ่านภาษาบาลี 1.พยญั ชนะท่ีเป็นตวั พยญั ชนะโด การอ่านออกเสียงสระ อะ เช่น ก งะ เป็นตน้ 2.พยญั ชนะท่ีไม่ไดอ้ าศยั สระและ ( . ) หรือจุดวางกากบั อยใู่ ตพ้ ยญั ถดั มาจะทาหนา้ ที่เป็นตวั สะกดเ จะมีไมห้ นั อากาศกากบั อยดู่ ว้ ยเ ธมั มญั ญู สรณงฺกโร อา่ นวา่ สะ

ภาษาบาลี ดดๆ ยงั ไม่ไดอ้ าศยั สระอยู่ จะมี ก ข ค ฆ ง อา่ นวา่ กะ ขะ คะ ฆะ ะพยญั ชนะตวั ถดั มาจะมีตวั พินทุ ญชนะตวั ถดั มาน้นั พยญั ชนะตวั เมื่ออ่านออกเสี ยงเป็ นภาษาไทยก็ เช่นกนั เช่น ธมฺมญฺญู อา่ นวา่ ะระณงั กะโร

การอ่านภาษ 3.พยญั ชนะท่ีอาศยั สระอยู่ และพ หรือจุดวางกากบั อยใู่ ตพ้ ยญั ชน เป็นตวั สะกดธรรมดา เช่น ภิกฺข ปกฺโกเป 4.คาท่ีมี ตฺวา ตฺวาน เป็นตวั สะกด อา่ นออกเสียง ตฺ ซ่ึงเป็นตวั สะก เสียง ตฺ (ตะ)ดว้ ย ซ่ึงจะมีการออ ทตฺวา อ่านวา่ ทดั ตะวา ทตฺวาน ตะ ออกคร่ึงเสียง)

ษาบาลี (ต่อ) พยญั ชนะตวั ถดั มาจะมีพินทุ (.) นะ ตวั ถดั มาน้นั กใ็ หอ้ ่านออกเสียง ขสุ ฺส อา่ นวา่ ภิกขสุ สะ ปนฺติ อา่ นวา่ ปักโกเปนติ ด ซ่ึงวางกากบั อยสู่ ุดทา้ ย จะตอ้ ง กดของ คาหนา้ ตฺ น้นั ใหอ้ อก อกคร่ึงเสียง (ออกเสียงส้นั ๆ) เช่น น อ่านวา่ ทดั ตะวานะ (ตฺ อา่ นวา่

การอ่านภาษ 5.กรณีท่ี ต ไม่มีพินทุ (.) หรือจุดอยใู่ เตม็ เสียงตามปกติเหมือน การอ่านอ ทตวา อ่านวา่ ทะ ตะ วา ส 6.ยงั มีศพั ทท์ ี่ทาหนา้ ท่ีเป็นตวั สะกดแล โดยออกเสียงคร่ึงเสียง เช่น สกฺยปุตฺโต อ่านวา่ สกั กะยะปุตโต ตุณฺหี อ่านวา่ ตุนนะฮี ตสฺมา อ่านวา่ ตสั สะมา

ษาบาลี (ต่อ) ใต้ เหมือนขอ้ 4 กใ็ หอ้ ่านออกเสียง ออกเสียงในขอ้ 1 เช่น สุตวา อ่านวา่ สุ ตะ วา ละตอ้ งออกเสียงในตวั ของมนั เองดว้ ย ต

การอ่านภาษ 7.กรณีที่มี ร อยทู่ า้ ย ใหอ้ ่านออกเสียง พฺรหฺมา อ่านวา่ พฺราหฺมโณ อ่านวา่ กายนิ ฺทฺริยานิ อ่านวา่ 8.พยญั ชนะท่ีมีพนิ ทุ (.)หรือจุดวางกา ตวั สะกด ทาหนา้ ท่ีคลา้ ยควบกล้า เพ ตวั แระ กใ็ หอ้ ่านออกเสียงพยญั ชนะ เทฺวสหายกา อ่าน ทฺวารานิ อ่านวา่

ษาบาลี (ต่อ) งเป็นเสียงควบกล้า เชน่ พรามา พราหมะโณ กายนิ ทริยานิ ากบั ไว้ แต่ไม่ไดท้ าหนา้ ท่ีเป็น พียงแต่มีจะพินทุวางไวห้ นา้ พยญั ชนะ ะท่ีมีพนิ ทุกากบั ดว้ ย เช่น นวา่ ทะเวสะหายะกา ทะวารานิ

การอ่านภาษ 9.พยญั ชนะท่ีไม่ไดอ้ าศยั สระอยแู่ ต่มีน นิคคหิตน้นั จะตอ้ งอ่านเป็น องั เช่น อห อ่านวา่ อะห ตฺว อ่านวา่ ตะว อรห อ่านวา่ อะร 10.พยญั ชนะท่ีอาศยั สระอยู่ และมีนิค นิคคหิตน้นั จะตอ้ งอ่านเป็น ง เช่น กาเร

ษาบาลี (ต่อ) นิคคหิต (อ)วางกากบั อยขู่ า้ งบน น หงั วงั ระหงั คคหิต (อ) วางกากบั อยขู่ า้ งบน ปสฺสึ อ่านวา่ ปัสสิง รสึ อ่านวา่ กาเรสิง

การอ่านภาษ 11.พยญั ชนะท่ีอาศยั อยใู่ น เอยฺย กใ็ ห กเรยฺย อ่านวา่ กะไ ปจฺเจยฺย อ่านวา่ ปัจไ 12.พยญั ชนะที่อาศยั อยใู่ น อิยฺย กใ็ ห บนกดกนั แลว้ จึงออกเสียง เช่น นิยฺย 13.พยญั ชนะตวั ฑ ในภาษาบาลี ให ปิ ณฺฑาย อ่านวา่ ปิ ณ ปณฺฑิโต อ่านวา่ ปัน

ษาบาลี (ต่อ) หอ้ อกเสียง ไอยะ ส้นั เช่น ไรยะ ไจยะ หอ้ อกเสียง อี โดยใชฟ้ ันล่างและฟัน ยาเทมิ อ่านวา่ นียาเทมิ หอ้ อกเสียง ด ในภาษาไทย เช่น ณดายะ นดิโต

โครงสร้างบา 1.นาม 2.อพั 1.ลิงค์ 2.วจนะ 3.วภิ ตั ติ 4.อายตนิบาต 1. อุปสคั 2. 5.การันต์ 6.กติปยศพั ท์ 7.มโนคณะศพั ท์ 3.ปัจจยั ในอ 8.สังขยา9.สพั พนาม 4.กติ ก์ 5.ส 1. นามกิตก์ 2.กิริยากิตก์ 1.กมั มธารยสมาส 2.ท 4.ทวนั ทวสมาส 5.อพั 6.พหุพพหิ ิสมาส 7.ส 7.สมัญญาภธิ าน 8. 1.สระ 2.พยญั ชนะ 3.ฐานกรณ์ของอกั ขระ 1. สนธิก 4.เสียงของอกั ขระ 5.พยญั ชนะสังโยค 3.พยญั ช 6.อฑั ฒสระ

าลีไวยากรณ์ พยยศัพท์ 3.อาขยาต .นิบาต 1.วภิ ตั ติ 2.กาล 3.บท 4.วจนะ อพั ยยศพั ท์ 5.บุรุษ 6.ธาตุ 7.วาจก 8.ปัจจยั สมาส 6.ตัทธิต ทิคุสมาส 3.ตปั ปุริสสมาส 1.สามญั ญตทั ธิต 2.โคตตตทั ธิต พยยภี าวสมาส 3.ตรัตยาทิตทั ธิต 4.ราคาทิตทั ธิต สมาสทอ้ ง 5.ชาตาทิตทั ธิต 6.สมุหตทั ธิต 7.ฐานตทั ธิต 8.พหุลตทั ธิต .สนธิ 9.เสฏฐตทั ธิต 10.ตทสั สตั ถิตทั ธิต 11.ปกติตทั ธิต 12.ปูรณตทั ธิต กิริโยปกรณ์ 2.สระสนธิ 13.สงั ขยาตทั ธิต 14.ภาวตทั ธิต ชนะสนธิ 4.นิคคหิตสนธิ 15.อพั ยยตทั ธิต

นา นามศัพท์ แบ่งเป็ น 3 คือ 1. นามนาม 1.1 สาธารณนาม 1.2 อสาธาร 2. คุณนาม 2.1 ปกติ 2.2 วิเสส 2.3อติว 3. สัพพนาม 3.1 ปุริสสพั นาม 3.2 วิเสสน ลงิ ค์ แบ่งเป็ น 3 คือ 1. ปุ ลงิ ค์ เพศชาย 2. อติ ฺถีลงิ ค์ เพศหญิง 3. นปุ สกลงิ ค์ มิใช่เพศชาย มิใช่เพ

าม รณนาม วเิ สส นสัพพนาม พศหญิง

นาม วจนะ คือ คาพดู แบ่งเป็ น 2 คือ 1. เอกวจนะ คาพดู สาหรับออกช 2. พหุวจนะ คาพดู สาหรับออกช วภิ ตั ติ คือ คาพดู ท่ีจดั เป็นลิงคแ์ ล 7 วภิ ตั ติ คือ 1. ปฐมาวภิ ตั ติ 2. ทุติยาวภิ ตั ติ 3. ตติยว 5. ปัญจมีวภิ ตั ติ 6. ฉฏั ฐีวิภตั ติ 7. สตั ตม

(ต่อ) ชื่อของส่ิงเดียว ช่ือของมากกวา่ ส่ิงเดียว ละวจนะน้นั ตอ้ งอาศยั วภิ ตั ติอุปถมั ภ์ มี วิภตั ติ 4. จตุตถวิภตั ติ มีวิภตั ติ

นาม อายตนิบาต แปลว่า คาเช่ือมเนื้อค ดงั น้ี ป. ท่ี 1 อ. (อนั วา่ ) ทุ. ที่ 2 ซ่ึง, สู่, ยงั , สิ้น, ตลอด, กะ, ต. ที่ 3 ดว้ ย, โดย, อนั , ตาม, เพราะ จ. ที่ 4 แก่, เพอ่ื , ต่อ ปัญจ. ที่ 5 แต,่ จาก, กวา่ , เหตุ ฉ. ที่ 6 แห่ง, ของ, เม่ือ ส. ท่ี 7 ใน, ใกล,้ ที่, คร้ันเม่ือ, ในเพ อาลปนะ แน่ะ, ดูก่อน, ขา้ แต่

(ต่อ) ความให้ตดิ กนั ประจาหมวดวิภตั ติท้งั 7 เฉพาะ ะ, มี, ดว้ ยท้งั พราะ, เหนือ, บน, ณ

นาม การันต์ แปลว่า สระทสี่ ุดแห่ง 1.ปุ ลิงค์ มีการันต์ 5 คือ อ, 2.อิตฺถีลิงค์ มีการันต์ 5 คือ อา, อ 3.นปุ สกลิงค์ มีการันต์ 3 คือ อ กติปยศพั ท์ แปลวา่ ศพั ทจ์ านว มโนคณศพั ท์ ศพั ท์ 12 มี มน สงั ขยา คือ ศพั ทท์ ี่เป็นเครื่องก 1. ปกติสังขยา นบั ตามลาดบั 2

(ต่อ) งศัพท์ แบ่งเป็น 3 คือ อิ, อี, อุ, อู อิ, อี, อุ, อู อ, อิ, อุ วนเลก็ ๆนอ้ ยๆมีวธิ ีแจกเฉพาะตน ศพั ทเ์ ป็นตน้ เรียกวา่ มโนคณะ กาหนดนบั นามนาม แบ่งเป็น 2 คือ 2. ปูรณสงั ขยา นบั เป็นช้นั ๆ

นาม สัพพนาม คอื เป็นช่ือสาหรับใ ไม่ใหเ้ ป็นการซ้าๆซากๆ แบ่ง 1.ปุริสสพั พนาม ศพั ทส์ าหรับ มาแลว้ ขา้ งตน้ เพ่อื จะไม่ใหเ้ ป ในอาขยาต เป็น 3 คือ ต ศพั ท 2.วเิ สสนสพั พนาม คลา้ ยๆกบั แบ่งเป็น 2 คือ 1. อนิยม ศพั ทท์ 2. นิยม ศพั ทท์ ่ีใชแ้ ทน

(ต่อ) ใชแ้ ทนนามนามท่ีออกช่ือมาแลว้ เพ่อื จะ งเป็น 2 คือ บใชแ้ ทนชื่อคนสตั วส์ ิ่งของที่ออกช่ือ ป็นการซ้าๆซากๆ นบั ตามบุรุษที่ท่านจดั ไว้ ์ ตุมฺห ศพั ท์ อมฺห ศพั ท์ บคุณนาม แต่มีวิธีแจกไม่เหมือนคุณนาม ท่ีใชแ้ ทนบ่งบอกไม่ชดั เจน นบ่งบอกชดั เจน

อกั ษรย่อ 1. อุ. อุทาหรณ์ 2. ปุ. ปุ ลิงค์ 3. อิตฺ. อิตฺถีลิงค์ 4. นปุ. นปุ สกลิงค์ 5. เอก. เอกวจนะ 6. พหุ. พหุวจนะ 7. ป. ปฐมาวิภตั ติ 8. ทุ. ทุติยาวภิ ตั ติ 9. ต. ตติยาวภิ ตั ติ 10. จ. จตุตถีวภิ ตั ติ (ทีฆะ

อในบาลี 11. ปญฺ. ปัญจมีวิภตั ติ 12. ฉ. ฉฏั ฐีวภิ ตั ติ 13. ส. สตั ตมีวภิ ตั ติ 14. อา. อาลปนะ 15. ท. ท้งั หลาย 16. ป. ปฐมบุรุษ 17. ม. มธั ยมบุรุษ 18. อุตฺ. อุตตมบุรุษ 19. วิ. วิเคราะห์ ะ ทาใหย้ าว, รัสสะ ทาใหส้ ้นั )

วภิ ตั ➢ คาพดู ทท่ี ่านจดั เป็ นลงิ ค์ และวจนะน้ัน วภิ ตั ตนิ ้ัน มี 14 ตัว แบ่งเป็ นเอกวจนะ 7 พ เอก. พหุ. อ ป. สิ โย ทุ. อ โย ต. นา หิ จ. ส น ปญฺ. สฺมา หิ ฉ. ส น ส. สฺมึ สุ อ. สิ โย (เพมิ่ เตมิ )

ตติ น ต้องอาศัยวภิ ัตตอิ ปุ ถัมภ์ พหุวจนะ 7 อายตนิบาต (คาแปลประจาหมวด) อ. (อนั ว่า) ซึ่ง สู่ ยงั สิ้น กะ ตลอด เฉพาะ ด้วย โดย อนั ตาม เพราะ มี ด้วยท้งั แก่ เพื่อ ต่อ แต่ จาก กว่า เหตุ แห่ง ของ เม่ือ ใน ใกล้ ที่ คร้ันเมื่อ ในเพราะ เหนือ บน ณ แน่ะ ดูก่อน ข้าแต่

การแจก ➢ ปลุ งิ ค์การันต์ 5 คือ อ อิ อี อุ อู อ การันต์ในปุ ลงิ ค์ แจกอย่าง ปุริส (บุรุษ เอก. พหุ. ป. ปุริโส ปรุ ิส ทุ. ปุริส ปุริเส ต. ปุริเสน ปุริเส จ. ปุริสสฺส ปรุ ิสาย ปรุ ิสตฺถ ปุริส ปญฺ. ปรุ ิสสฺมา ปุริสมฺหา ปรุ ิสา ปรุ ิเส ฉ. ปุริสสฺส ปุริส ส. ปรุ ิสสฺมึ ปรุ ิสมฺหิ ปุริเส ปรุ ิเส อ. ปรุ ิส ปรุ ิส