รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 9911 ศทู ร ก็เชน่ เดียวกันคือ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินยั ทีต่ ถาคตประกาศ แล้ว ย่อมละชื่อและตระกูลเดิมเสีย ถึงซ่ึงอันนับว่าสมณะเชื้อสายศากยบุตร เหมือนกนั ”(วินย.จุล.7/460/226-229) พุทธพจน์นี้แสดงให้เห็นว่า ทุกคนที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาเป็น พระภิกษุเสมอเหมือนกันหมด การอยู่ร่วมกันของคนที่เท่าเทียมกันนี้อาจก่อให้เกิด ปัญหาในการบังคับบัญชาภายในองค์กร เพราะเหตุที่ว่าเม่ือสมาชิกถือตัวว่า เท่า เทียมกับคนอื่นก็จะไม่มีใครเชื่อฟังใครหรือยอมลงให้ใคร ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “การอยู่ร่วมกันของคนที่ไม่เสมอกันนำทุกข์มาให้”(ขุ.ขุ.25/31) ถ้าเป็นเช่นน้ันการ บังคับบัญชาภายในองค์กรก็มีไม่ได้ พระพุทธเจ้าจึงทรงกำหนดให้พระภิกษุต้อง เคารพกันตามลำดบั พรรษา ผู้บวชทีห่ ลงั ต้องแสดงความเคารพตอ่ ผู้บวชก่อน เม่ือสาวกมีจำนวนมากข้ึน พระพุทธเจ้าทรงจัดองค์กรในพระพุทธศาสนา ออกเปน็ พุทธบรษิ ัท 4 คือ ภกิ ษุ ภกิ ษุณี อุบาสกและอุบาสิกา ในส่วนของภกิ ษุบริษัท และภิกษุณีบริษัท พระพุทธเจ้าทรงมอบความเป็นใหญ่ให้แก่คณะสงฆ์ ดังจะเห็นได้ จากการที่ทรงกระจายอำนาจให้คณะสงฆ์ดำเนินการให้การอุปสมบท เม่ือมีกิจจาธิ กรณ์หรือกิจการที่จะต้องทำร่วมกัน คณะสงฆ์สามารถบริหารจัดการเอง หรือเม่ือมี กรณีความขดั แย้งเกิดขนึ้ ในคณะสงฆ์ พระพทุ ธเจ้ากท็ รงมอบอำนาจให้คณะสงฆ์เป็น ผจู้ ัดการแก้ปัญหา พระพุทธเจ้าทรงดำรงตำแหน่งเป็นธรรมราชาคือผู้บริหารสูงสุด ในองค์กร พระพุทธศาสนาดังพุทธพจน์ที่ว่า“เราเป็นพระราชาน่ันคือเป็นธรรมราชาผู้ยอด เยี่ยม”(ม.ม.13/609) พระพุทธเจ้าทรงแต่งต้ังพระสารีบุตร ให้เป็นพระธรรมเสนาบดี มีฐานะเป็นรองประธานบริหารอยู่ในลำดับถัดจากพระพุทธเจ้าและเป็นอัครสาวก ฝ่ายขวา รับผิดชอบงานด้านวิชาการ ส่วนพระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกฝ่ายซ้าย รับผิดชอบด้านบริหาร พระอานนท์ เป็นเลขานุการ ส่วนพระองค์และทรงแต่งต้ัง สาวกท้ังฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์เป็นเอตทัคคะ คือผู้ชำนาญที่รับภาระงานด้าน ต่างๆเช่น พระมหากัสสปะเป็นผู้ชำนาญด้านธุดงค์ พระปุณณะมันตานีบุตร เป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านการแสดงธรรม ภิกษุณีปฏาจาราเป็นผู้ชำนาญด้านวินัย จิตตคหบดี
92 Public Administration Science in Buddhism 92 เป็นผู้ชำนาญด้านการแสดงธรรม (อง.เอก.20/146/28) การแต่งตั้งเอตทัคคะนี้เป็น ตัวอย่างของการกระจายอำนาจและการใช้คนให้เหมาะสมกบั งานในพระพทุ ธศาสนา ประเพณีปฏิบัติในสมยั ปัจจบุ นั ทีพ่ ระมหากษตั รยิ ท์ รงพระราชทานสมณศกั ดิ์ แก่พระสงฆ์ผมู้ ีความชำนาญในด้านตา่ งๆก็สอดคล้องกับการแต่งต้ังเอตทัคคะในคร้ัง พุทธกาลนั่นเอง ส่วนการที่มหาวิทยาลัยท้ังหลายถวายปริญญากิตติมศักดิ์แก่ พระสงฆ์ในสมัยปัจจุบนั ก็พออนโุ ลมใหเ้ ป็นการยกยอ่ งพระเถระเป็นเอตทัคคะในด้าน ตา่ งๆได้เหมอื นกนั 3. การจัดองคก์ รทางสงั คม ใน พ ร ะ สู ต ร นี้ จ ะ เห็ น ว่ า พ ร ะ พุ ท ธ เจ้ า ท ร ง จั ด ร ะ บ บ อ ง ค์ ก ร ห รื อ ก ลุ่ ม ผลประโยชน์ ไว้ในหลากหลายรูปแบบ จัดโดยอาศัยอาชีพบ้าง กำเนิดบ้าง หรือคติ หรือหนทางที่ไปบ้าง แล้วแต่จะมองในแง่มุมไหน ทั้งนี้ก็เพ่ือให้สามารถปรับใช้และ ยดื หยนุ่ ต่อระบบกล่มุ องค์กรนน้ั ๆ เชน่ 1) การจัดระบบองค์การโดยอาศยั กลุ่มชน คืออาชีพ 8 ประการ การ จัดองค์การโดยอาศัยกลุ่มชนหรืออาชีพนี้ ก็เพื่อที่จะให้ง่ายต่อการจำแนกคนว่า มา จากสายอาชีพอะไร มีพ้ืนฐานทางการเรียนรู้ การศึกษา ฐานะ วรรณะ ความเชื่อ อย่างไร ซึ่งมที ั้งหมดจำนวน 8 กลุ่ม ดังนี้ (1) กลมุ่ ขัตตยิ บรษิ ัท พวกผปู้ กครอง นักการเมือง (2) กลมุ่ พราหมณบ์ รษิ ัท พวกครูอาจารย์ มีอาชีพทางการศกึ ษา (3) กลมุ่ คหบดีบริษัท พวกพอ่ ค้าทำงานทางด้านเศรษฐกิจ (4) กลมุ่ สมณบริษทั พวกนักบวช (5) กลมุ่ จาตุมหาราชบรษิ ทั พวกเทพ (6) กล่มุ ดาวดึงสบริษัท พวกเทพทีม่ ีพระอินทร์เป็นผู้นำ (7) กลุ่มมารบรษิ ทั กลุ่มผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ (8) กลมุ่ พรหมบริษัท กลุ่มของพระพรหม
รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 9933 2) การจัดระบบองคก์ ารโดยอาศยั กำเนิด หรือทีม่ าของสิ่งมชี ีวติ ตา่ งๆ ว่ามีทีม่ าอย่างไรบ้าง มีทั้งหมดอยู่ 4 กลมุ่ ดงั นี้ (1) กำเนิดอณั ฑชะ เกดิ ในไข่ เช่น เป็ด ไก่ นก เป็นต้น (2) กำเนิดชลาพชุ ะ เกดิ ในครรภ์ เชน่ คน ช้าง มา้ โค เปน็ ต้น (3) กำเนิดสงั เสทชะ เกดิ ในเถ้าไคลหรอื ทีช่ ้ืนแฉะ เช่น หนอน เป็นต้น (4) กำเนิดโอปปาติกะ เกดิ ผุดข้ึน เชน่ เทวดา พรหม เป็นต้น 3) การจดั ระบบองคก์ ารโดยอาศยั คติหรือทางไป (เป้าหมาย) การจัด องค์การโดยอาศัยคติ ใครจะมีคติอย่างไรล้วนข้ึนอยู่กับกรรมเป็นตัวกำหนดหนทาง เดินทั้งสิน้ หรือหนทางทีไ่ ปมีท้ังหมด 5 แนวทาง ซึง่ แนวทางท้ัง 5 ประการ ดงั นี้ (1) นรก คือทคุ ติภพภูมทิ ี่ไม่เจริญ (2) ดิรัจฉาน คือทุคติภพภมู ทิ ีไ่ ปทางขวาง (3) เปรตวสิ ัย คอื ทุคติภพภมู ิผู้ละไปแล้ว (4) มนษุ ย์ คือสุคติภพภมู ผิ มู้ ีจิตใจสงู (5) เทวดา คอื สคุ ติภพภูมิแหง่ เทพ นอกจากน้ันแล้ว ยังมีแผนพัฒนาสังคมโดยถือเอาพฤติกรรมที่มนุษย์แสดง ออกมาเปน็ ตวั ชี้วัดว่าทำอย่างนจี้ ะมีวิถีชีวิตไปสู่สิง่ นี้เหมือนกับกำหนดวิสัยทศั น์เอาไว้ เชน่ “เรากำหนดรู้ใจของบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติ อย่างนั้น เป็นอย่างน้ันและดำเนินทางน้ันแล้ว หลังจากตายแล้วจักไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ต่อมาเราเห็นเขาหลังจากตายแล้วไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เสวยทกุ ขเวทนา โดยส่วนเดียวอันแรงกล้าเผ็ดร้อนด้วยตาทิพย์อันบริสทุ ธิ์เหนือ มนษุ ย”์ (ม.ม.(ไทย) 12/154/153) นอกจากน้ัน ยังมีการเปรียบเทียบลงลึกให้เห็นภาพในหนทางไปของสัตว์ ต่างๆว่าถ้ากลุ่มชนหรือองค์กรใดมีแนวคิดอย่างนี้ จะได้รับผลและเป้าหมายอย่างนี้ เปน็ ต้นว่า
94 Public Administration Science in Buddhism 94 “หลุมถ่านเพลิงลึกมากกว่าช่วงตัวบุรุษเต็มไปด้วยถ่านเพลิงที่ปราศจาก เปลวและควัน ลำดับนั้นบุรุษผู้มีร่างกายถูกความร้อนแผดเผาครอบงำเหน็ดเหนื่อย สะทกสะท้านหิวกระหาย เดินมุ่งมายังหลุมถ่านเพลิงน้ัน โดยหนทางสายเดียวบุรุษผู้ มีตาดีเห็นเขา้ แล้วจะพึงกลา่ วอย่างนี้ว่า บุรุษผู้เจรญิ นีป้ ฏิบัติอย่างนี้เป็นอยา่ งนั้นและ ดำเนินทางนั้นจกั มาถึงหลมุ ถ่านเพลิงน้นี น่ั แล ต่อมาบรุ ุษผมู้ ีตาดนี ั้นจะพงึ เห็นเขาผตู้ ก ลงในหลุมถ่านเพลิงนั้น เสวยทุกขเวทนาโดยส่วนเดียวอันแรงกล้า เผ็ดร้อนแม้ฉันใด เราก็ฉนั นั้นเหมือนกนั กำหนดรใู้ จของบุคคลบางคนในโลกนีด้ ้วยใจอยา่ งนีว้ า่ บุคคลนี้ ปฏิบัติอย่างนั้น เป็นไปอยา่ งนั้นและดำเนินทางน้ันแล้ว หลังจากตายแล้วจกั ไปเกิดใน อบายทุคติ วินิบาต นรก ต่อมาเราเห็นเขาหลังจากตายแล้วเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เสวยทุกขเวทนา โดยส่วนเดียวอันแรงกล้าเผ็ดร้อน ด้วยตาทิพย์อัน บริสุทธิ์เหนือมนุษย์”(ม.ม.(ไทย) 12/154/153-154) และยังได้เปรยี บเปรยหรอื ชี้ให้เห็น ถึงแนวทางปฏิบัติเหมือนมีแผนที่หรือเข็มทิศหรือสูตรสำเร็จอื่นๆอีก เช่น บุคคล ปฏิบตั ิอย่างนี้ ต้องดำเนินไปสู่ดิรจั ฉาน...เปรตวสิ ยั , มนษุ ยภูมิ โลกสวรรค์ เป็นลำดบั 4. แนวนโยบายทีท่ รงใชก้ ารสร้างศรทั ธา นอกจากน้ันพระพุธองค์ยังชี้ให้เห็นว่าทฤษฎีต่างๆก็ดีแนวทางต่างๆก็ดี มิใช่ ว่าพระองค์จะปฏิเสธหรือมีอคติว่าผิดแต่ที่พระองค์ทรงรู้ธรรมและเข้าใจ เพราะ พระองคท์ รงทดสอบทดลองมาด้วยตวั ของพระองคเ์ อง เช่น พระพุทธองค์เคยเป็นอเจลกะ คือประพฤติเปลือยกาย ทำตัวเป็นผู้ไม่มี มารยาท เม่ือ เขาเชิญให้ไปรับอาหารก็ไม่ไป เขาเชิญให้หยุดรับอาหารก็ไม่หยุดฯลฯ ไม่กินปลา ไม่กินเนื้อ ไม่ดื่มสุราเมรยั รับอาหารในเรือนหลังเดียว ยังชีวิตด้วยข้าวคำ เดียว รับอาหารบนเรือน 2 หลัง ยังชีพด้วยข้าว 2 คำฯลฯ รับอาหารในเรือน 7 หลัง ยังชีพด้วยข้าว 7 คำ เป็นต้น ก็ไม่สามารถบรรลุธรรมด้วยการบำเพ็ญตบะหรือจะ ทรงทำการทดลองทฤษฎีประพฤติถือสิ่งเศร้าหมอง การทดลองทฤษฎี ประพฤติ รังเกียจ การทดลองทฤษฎีประพฤติเปน็ ผู้สงดั การทดลองทฤษฎีความบรสิ ทุ ธิไ์ ด้ด้วย
รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา 9955 อาหาร การทดลองทฤษฎีความบริสุทธิ์มีได้ด้วยสังสารวฏั เป็นต้น พระองค์ก็ไม่ทรง ค้นพบเป้าหมายของชีวิต จึงทรงเลิกการทดลองในทฤษฎีเหล่าน้ันเสียแล้ว พระองค์ ทรงใช้นโยบายใหม่ คือ อริยมรรค คือองค์ 8 นั้นเอง พระสูตรนี้เมื่อศึกษาแล้ว ทำให้เห็นแนวคิดการจัดการองค์กรแนวพุทธได้ อย่างชัดเจน เช่น จัดองค์กรโดยยึดอาชีพ กำเนิด คติเป็นหลัก ก็เพื่อทรงสอนให้คน อินเดียในยุคพุทธกาลได้รู้ว่าวรรณะ 4 ของพราหมณ์น้ันเมื่อเทียบรายละเอียดแล้ว พระพทุ ธองคท์ รงวิเคราะห์เจาะลึกมากกว่า แนวคิดของพระพุทธเจ้าจึงเหมาะสมกับ สถานการณ์และเหตุการณ์ในยุคสมัยนั้นๆที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ การแสดงภาวะผู้นำ ของพระพทุ ธเจ้าและการแก้ปัญหาสงั คมด้านต่างๆด้วยพทุ ธวิธี เป็นต้น การปกครองตามแนวมหาปรินิพพานสตู ร มหาปรินิพพานสูตร (ที.ม.(ไทย) 10/131-240/77-180) เป็นสูตรที่ว่าด้วย แนวคิดการเมืองการปกครอง มีเนื้อหาที่ยาวมาก โดยบันทึกเหตุการณ์ช่วงสุดท้าย ของพระชนม์ชีพของพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงพบปะแสดงธรรมโปรดแก่บุคคลระดับ ต่างๆ จนถึงมีการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ในหนังสือเล่มนี้จะขอคัดและวิจารณ์ เฉพาะตอนที่เห็นว่าเกี่ยวกับการเมืองการปกครองเท่าน้ัน เพ่ือเป็นแนวทางใน การศกึ ษาเก่ยี วกบั ปกครองในทางพระพุทธศาสนาตอ่ ไป 1. ความเปน็ มาของมหาปรินิพพานสตู ร มหาปรินิพพานสูตร เร่ิมต้นด้วยปัญหาทางการเมืองระหว่างแคว้นมคธกับ แคว้นวัชชี ซ่ึงเป็นปัญหาสำคัญระหว่างแคว้น โดยพระเจ้าอชาตศัตรูแห่งมคธ ต้องการจะผนวกแคว้นวัชชีเข้าในอำนาจการปกครอง โดยเข้าโจมตีหลายครั้งแต่ยัง ไม่สามารถจะชนะแคว้นวัชชีได้ จึงใช้ให้ วัสสการพราหมณ์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าซ่ึง พระองค์ทรงประทับอยู่ที่เขาคิชฌกูฏ ในเขตกรุงราชคฤห์ เพื่อทูลถามถึงพระสุขภาพ
96 Public Administration Science in Buddhism 96 และเล่าความประสงค์ให้ทรงทราบและฟังดูว่าพระพุทธองค์จะทรงพยากรณ์ว่า อย่างไร วัสสการพราหมณ์ได้ทำตามรับสั่งแต่พระพุทธเจ้าไม่ตรัสตอบโดยตรงแต่ ทรงหันไปถามพระอานนท์ถึงธรรมะที่ชาววชั ชีปฏิบัติ 7 ขอ้ ว่าเคยได้ยนิ บ้างไหม พระ อานนทท์ ลู รบั ว่าเคยได้ยินธรรม 7 ประการ (วัชชีธรรม) ของชาววชั ชีน้ัน คือ 1) จะหม่ันประชมุ กนั เป็นประจำ 2) จะพร้อมเพรียงกันประชุมพร้อมเพียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกัน ทำกิจของชาววัชชี 3) จะไม่บญั ญัติสิ่งที่มไิ ด้บญั ญัติไวจ้ ะไม่ถอนสิง่ ที่บัญญัตไิ ว้แล้วจะปฏิบัติ ใน วัชชีธรรมอันเป็นของโบราณ 4) จะเคารพเชือ่ ฟงั ชาววัชชีผู้แก่เฒา่ 5) จะไมล่ ่วงเกนิ ขม่ เหงกลุ สตรที ีม่ ีสามีและกุลกุมารที ีย่ ังไม่มีสามี 6) จะเคารพนับถือเจดีย์ของวัชชีทั้งภายในและภายนอกไม่ละทิง้ พธิ ีกรรม อนั เป็นธรรมเนียมทีเ่ คยทำมา 7) จะจัดการรักษาคุ้มครองโดยชอบธรรมแก่พระอรหันต์ของชาววัชชี และจะต้องใส่ใจว่าพระอรหันต์ทีย่ งั ไม่มากก็ขอให้มาทีม่ าแล้วกข็ อใหเ้ ปน็ สุข คร้ันแล้วได้ตรสั วา่ ถ้าหากชาววชั ชียึดถือปฏิบัติตามหลักเหล่านีอ้ ยู่กจ็ ะมีแต่ ความเจริญไม่มีความเสือ่ ม วัสสการพราหมณ์ทูลรับว่าเพยี งปฏิบตั ิตามข้อใดข้อหนึ่ง ก็หวังความเจริญได้แล้ว จะป่วยกล่าวไปไยถึง 7 ข้อ พระเจ้าอชาตศัตรูไม่ควรทำ สงครามกับชาววัชชี นอกจากจะใช้วิธีปรองดองทางการทูต เว้นไว้แต่จะใช้วิธียุยงให้ แตกความสามัคคีกนั จึงจะยึดได้สำเร็จ หลังจากวัสสการพราหมณ์มหาอำมาตย์กลับไปแล้ว จึงตรัสให้เรียกประชุม สงฆ์แล้วทรงแสดงอปริหานิยธรรม (ธรรมไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม) สำหรับภิกษุ ทั้งหลายนบั รวมแล้ว 31 ข้อ แต่ที่นิยมกล่าวถึงมากที่สุด คืออปริหานิยธรรมนยั แรกที่ มี 7 ข้อ ดงั นี้ (อง.ฺ สตตฺ ก.23/21/23,24) 1) หมัน่ ประชมุ กนั เนืองนิตย์ 2) พร้อมเพรยี งกันประชมุ และพร้อมเพรยี งกนั เลิกประชมุ
รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 9977 3) ไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติไว้ ไม่เพิกถอนสิ่งที่พระองค์ บัญญตั ไิ ว้แล้วจกั เตม็ ใจประพฤติตามที่ทรงบัญญัติไวท้ ุกประการ 4) สกั การะเคารพนับถือ บูชาภกิ ษผุ ู้บวชก่อน เปน็ เถระในสงฆ์ 5) ไมต่ กเป็นทาสของตณั หาอนั จะนำไปสภู่ พใหม่ 6) ยนิ ดีพอใจในเสนาสนะปา่ (หรือเสนาสนะอันสงัด) 7) เขาไปตั้งสติไว้ว่าเพ่ือนพรหมจรรย์ผู้มีศีลที่ยังไม่มาขอให้มาที่มาแล้ว ขอใหอ้ ยู่เป็นสขุ จากการที่พระเจ้าอชาตศัตรูแห่งแคว้นมคธ มีพระประสงค์จะยึดแคว้นวชั ชี ได้ทรงยกทัพเข้าตีหลายคร้ังแต่ไม่สำเร็จสักที จึงรับส่ังให้วัสสการพราหมณ์ ซ่ึงเป็น อำมาตย์ผู้ใหญ่ของพระองค์ทำทีไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วทูลเล่าความแข็งแกร่ง ของวัชชีให้ทรงทราบทำนองให้ไปขอคำปรึกษาหรือฟังท่าทีจากพระพุทธองค์ดูว่าจะ ทรงว่าอย่างไรบ้าง พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสตอบแต่หันไปตรัสถามพระอานนท์แทน เกย่ี วกับธรรมทีท่ ำใหช้ าววัชชีแข็งแกรง่ 7 ประการ เปน็ เพราะวสั สการพราหมณ์ เป็น คนฉลาดสมเป็นอำมาตยใ์ หญ่แห่งแคว้นมคธ พอได้ฟังก็ได้ความคิดตา่ งๆ ทีพ่ วกวัชชี เข้มแข็ง ตีอย่างไรก็ไม่แตกน้ันเป็นเพราะมีความสามัคคีกันดีทางเดียวทีจะตีแตกได้ ต้องหาอุบายทำลายความสามัคคีของพวกลิจฉวีซึง่ เปน็ ผู้ปกครองแคว้นวัชชีให้ได้ ข้อนี้นับเป็นความฉลาดของวัสสการพราหมณ์ เอง ไม่ใช่เป็นเพราะ พระพุทธเจ้าทรงชี้นำหรือบอกใบ้ให้ไปตีแต่ประการใด เพราะพระพุทธเจ้านั้นทรงมี พระมหากรุณาต่อทุกฝ่ายอยู่แล้ว คำสอนของพระองค์ล้วนมุ่งให้สรรพสัตว์รักใคร่ ปรองดองกันฉันพ่ีน้อง ไม่ใช่สอนให้ไปฆ่าฟันหรือรุกรานกัน ส่วนใครฟังแล้วจะ ตีความหรอื คิดเป็นอยา่ งอืน่ แล้วนำไปใช้ในแง่ลบในแงเ่ บยี ดเบียนคนอืน่ ก็เป็นความผดิ ของผู้นั้นเอง ในการวางกลยุทธ์เพ่ือเอาชนะชาววัชชีต้องกล่าวย้อนไปถึงสุนิธ พราหมณแ์ ละวัสสการ พราหมณอ์ ำมาตยใ์ หญแ่ คว้นมคธ กำลงั สร้างเมืองใหมท่ ีป่ าฎ ลิคาม เพื่อเป็นเมืองหน้าดา่ นป้องกันชาววชั ชีและได้ทูลนิมนตพ์ ระผมู้ ีพระภาคเจ้ากับ ภกิ ษสุ งฆฉ์ ันภตั ตาหาร ณ ทีน่ ั้นด้วย เมื่อฉนั เสร็จแล้วทรงอนุโมทนา มหาอำมาตย์ทั้ง
98 Public Administration Science in Buddhism 98 สอง ตามส่งเสด็จและตั้งชื่อประตูที่เสด็จผ่านว่า“ประตู-ท่าน้ำกันผี”ตั้งชื่อท่าน้ำที่ เสด็จข้ามตรงแมน่ ้ำคงคาว่า“ทา่ นำ้ โคตม” หลังจากกลับจากเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้ว วสั สการพราหมณ์เข้าถวายรายงาน แด่พระเจ้าอชาตศัตรู เตรียมวางแผนทำลายความสามัคคีและเตรียมสร้างเมือง ยุทธศาสตร์ไว้ที่ปาฎลิคาม ซ่ึงอยู่ตรงชายแดนระหว่างแคว้นมคธกับวัชชี ตรงน้ันมี แม่น้ำคงคาก้ันอยู่พอดีขณะน้ันพระพุทธเจ้ากับภิกษุสงฆ์ผ่านมาพอดี มหาอำมาตย์ ทั้งสองจึงทูลนิมนต์ให้ฉันที่นั่นและตกลงกันไว้ว่าจะใช้พระนาม (สกุล/โคตร) ของ พระพุทธเจ้าตั้งชื่อทุกจุดที่เสด็จผ่านถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ฉลาดมาก การที่มหา อำมาตย์ท้ังสองนิมนต์ให้ฉันและตั้งชื่อเช่นนั้น เป็นการทำแบบตัดไม้ข่มหนาม คือ เพ่ือจะขู่พวกวัชชีโดยอ้อมว่า อย่าได้คิดแหยมกับพวกข้านะโว้ย นี่เห็นไหมขนาด พระพุทธเจ้ากับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ยังเสด็จมาฉันและอวยชัยให้พรเลย นับเป็น ปฏิบัติการทางจิตวิทยา ที่อำมาตย์ใหญ่ท้ังสองคิดกันเอง ไม่เกี่ยวกับพระพุทธองค์ และภกิ ษุสงฆแ์ ตป่ ระการใด 2. สงครามระหว่างแควน้ มคธกับแคว้นวชั ชี สาเหตุของสงครามระหว่างแคว้นมคธกับแคว้นวัชชี เกิดจากแย่งชิง ทรัพยากรทางธรรมชาติระหว่างสองแคว้น ทำให้กลายเป็นข้อพิพาทมาอย่าง ยาวนาน จนกลายเป็นศึกสงครามระหว่างแคว้นในที่สุด ในอรรถกถาสุมังคลวิสาสินี กล่าวไว้ว่า สาเหตุของศึกสงครามครั้งนี้สืบเนื่องมาจากกรณีข้อพิพาทเร่ือง ทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่า (มหคฺฆภณฺ ฑํ) ซ่ึงหากแปลตามตัวอักษร คำว่า \"มหคฺฆภณฺฑํ\"คือสิ่งที่มีค่ามาก น่าจะได้แก่ แร่ธาตุทองคำ ที่ไหลมาจากเชิงเขามา สะสมอยู่ในบริเวณเลียบริมชายฝั่งแม่น้ำคงคา ใกล้หมู่บ้านอันเป็นท่าข้าม ที่เป็น ดินแดนกันชนระหว่างทั้งสองแคว้น พระเจ้าอชาตศัตรูทรงทราบว่าสิ่งของมีค่านั้น ไหลมาถึงท่าที่เป็นเขตแบ่งดินแดนกันนั้น พระองค์ทรงตระเตรียมกำลังคนที่จะไปสิ่ง ยึดครองของมีค่ามากน้ัน แต่พวกเจ้าลิจฉวีแห่งแคว้นวัชชีมีความพร้อมเพรียงและ
รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพทุ ธศาสนา 9999 เตรียมการได้รวดเร็วกว่า สามารถเก็บของมีค่ามากเหล่านั้นไปเสียท้ังหมด เหตกุ ารณ์เปน็ เช่นนี้เป็นประจำทกุ ปี ทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูทรงคับแค้นพระทัยและ ผกู อาฆาตต่อเจ้าลิจฉวี มีความประสงคท์ ีจ่ ะกำจดั ให้สิน้ ซาก (ที.อ.(บาลี) 2/115-116) ข้อสังเกตในเร่ืองทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่านี้ มีการสันนิษฐานไปต่างๆกัน เชน่ ข้อสันนิษฐานที่สำคญั เช่น พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโฺ ต) ได้แสดงความเห็นวา่ ที่ ภูเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ริมแม่น้ำ มีพืชชนิดหนึ่งซ่ึงมีกลิ่นหอมมาก ถึงวาระที่น้ำชะลงมาก็ พาเอากลิ่นหอมนี้ลงมาในแม่น้ำ จึงเป็นที่ที่มีซ่ือเสียงอย่างมาก ทรัพยากรดังกล่าว น่าจะเป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นหอมมากดังกล่าว ในการแย่งชิงพืชชนิดนี้เป็นเพียง เหตุการณ์หนึ่งและเป็นเพียงเหตผุ ลหนึ่งของข้อพิพาทระหวา่ งมคธกับวชั ชี น่าจะเป็น การแย่งชิงอำนาจมากกว่าโดยเฉพาะ พระเจ้าอชาตศัตรูที่เกรงพวกวัชชีที่มีความ เข้มแข็ง ถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อมคธเป็นเร่ืองธรรมดาที่คนมีอำนาจก็ต้องพยายาม หาวิธีรุกรารหรือปราบปรามอีกฝ่ายให้ได้ เพ่ือแสดงความย่ิงใหญ่ของตน (พระธรรม ปิฎก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), 2539:9) แต่หลักฐานบางแห่ง เช่น บันทึกจากวรรณคดีของศาสนาเชน ได้กล่าวถึง สาเหตุสำคัญของสงครามครั้งนี้ คือ เป็นเร่ืองของศักดิ์ศรีระหว่างมคธกับวัชชี ใน เร่ืองของช้างประจำเมือง ชื่อว่าไสยนาคและสร้อยคอไข่มุกอันมีราคามหาศาล จำนวน 18 สายที่พระเจ้าพิมพิสาร ซ่ึงเป็นพระบิดาของพระเจ้าอชาตศัตรู ได้มอบ ช้างและสร้อยคอไขม่ กุ ให้แกเ่ จ้าชายหัลละและเบหลั ละ ซึ่งเปน็ พระโอรสของพระองค์ เมื่อเจ้าชายทั้งสองนำช้างมงคลและสร้อยไข่มุกหนีไปหาพระเจ้าตา คือพระเจ้าเจฏ กะแห่งแคว้นวัชชี ก็ทำให้พระเจ้าอชาตศัตรู ซ่ึงต่อมาได้ปลงพระชนม์พระเจ้าพิม พิสารและข้ึนครองราชย์แทน ได้ทวงของเหล่านั้นจากวัชชีแต่พระเจ้าเจฏกะทรง ปฏิเสธ ทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูแคว้นมคธต้องประกาศสงครามกับแคว้นวัชชี (ดนัย ไชยโยธา,2548 :25) ด้วยเหตุผลดังกล่าว พระเจ้าอชาตศัตรูทรงพิโรธและเคียดแค้นมาก จึง รับส่ังให้เตรียมกองทัพให้พร้อมไว้ แต่ยังหวั่นเกรงฝ่ายแคว้นวัชชี เพราะว่าเจ้าลิจฉวี ทั้งหลายเป็นผู้มีความชำนาญการและช่ำชองในการยิงธนูอย่างแม่นยำ จึงหาวิธีการ
100 Public Administration Science in Buddhism 100 โดยรับสั่งให้วัสสการ พรหมณ์ไปกราบทูลพระพุทธเจ้า เพ่ือดูท่าทีของพระพุทธเจ้า ดังกลา่ วได้กลา่ วมาแล้วนั้น 3. วิธีปฏิบตั ติ ่อพระพุทธสรีระเมื่อพระองค์ปรนิ ิพพาน เป็นช่วงที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงวิธีปฏิบัติต่อพระพุทธสรีระเมื่อ พระองค์ปรินิพพานแล้วว่า ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกันกับพระบรมศพของพระเจ้า จกั รพรรดิส์ ุทศั น์ คือให้ห่อพระศพด้วยผ้าใหม่แล้วห่อทับด้วยสำลี 500 ชั้น แล้วใส่ใน รางเหล็กเติมน้ำมันปิดด้วยรางเหล็กทำจิกาธาน (เชิงตะกอน) ด้วยของหอมแล้วทำ การเผา บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในทาง 5 แพรง่ จากน้ันทรงแสดงถึงบุคคลทเี่ มื่อ สิ้นชีวิตแล้วควรสร้างสถูปไว้ 4 ประเภท คือ (1) พระพุทธเจ้า (2) พระปัจเจกพุทธเจ้า (3) สาวกของพระพทุ ธเจ้า (4) พระเจ้าจักรพรรดิ์ บางคนอาจสงสัยว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงห่วงแม้กระท่ังพระศพของ พระองค์ถึงได้สั่งเสียให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ในเม่ือพระองค์เป็นพระอรหันต์ตัดกิเลส ตัณหาต่างๆได้สิ้นเชิงแล้วทำไมถึงยังให้คนวุ่นวายกับการจัดงานศพเหมือนพระเจ้า จักรพรรดิ ประเด็นนี้ไม่ใช่เร่ืองแปลก เพราะคนระดับพระพุทธเจ้าหรือพระเจ้า จักรพรรดิ์นั้นไม่ใช่คนธรรมดา แต่เคยทำคุณูปการมากมายแก่โลก เมื่อทรง สิ้นพระชนม์แล้ว ผู้ที่เคารพนับถือมีอยู่มากมาย ใครจะทำพระศพแบบสามัญชนได้ หรืออาจทำให้ย่ิงใหญ่แค่ไหนก็ได้ เพราะมีผู้จะจัดการให้ใหญ่โตได้ทุกเมื่อ ด้วยเหตุนี้ เพ่ือป้องกันคำครหาที่คนภายนอกอาจกล่าวได้ว่า สาวกของพระองค์ไม่รู้เร่ืองรู้ ระเบียบเกี่ยวกับงานศพ จัดด้อยไปบ้าง จัดใหญ่โตเกินขอบเขตบ้าง พระองค์จึงตรัส บอกวิธีที่เหมาะสมให้จะเห็นอีกว่าพระเจ้าจกั รพรรดิ์มีศักดิเ์ ทียบกบั พระอรหนั ต์ในแง่ ทีค่ วรสรา้ งสถปู ให้ แสดงว่าทัศนะทางพระพุทธศาสนาน้ันถือว่า พระเจ้าจกั รพรรดิ์ที่ ดีจะต้องมที ้ังพระปรชี าสามารถในด้านปกครองและทรงศลี ทรงธรรมอยา่ งสูงไม่น้อย กวา่ พระอรหนั ต์
รฐั ประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพทุ ธศาสนา 101101 4. การเลือกกรุงกุสินาราเปน็ ที่ปรนิ ิพพาน จากการที่พระอานนท์กราบทูลว่าอย่าปรินิพพานในกรุงกุสินารานี้เพราะ เป็นเมืองเล็กน้อยเป็นกิ่งเมืองขอให้เสด็จไปปรินิพพานที่เมืองใหญ่ๆ เช่น เมือง ราชคฤห์ เมืองสาวัตถี เมืองโกสัมพี เมืองพาราณสี เป็นต้น แต่ตรัสตอบว่ากุสินารา เคยเป็นราชธานีที่ย่ิงใหญ่มา ก่อนมีนามว่า กุสาวดี ซ่ึงมีพระเจ้าจักรพรรดิ์พระนาม วา่ มหาสุทัศนท์ รงปกครอง เคยเจริญรุ่งเรอื งมาแล้ว จากน้ันตรัสสั่งให้พระอานนท์ไป แจ้งขา่ วทีจ่ ะปรินิพพานแกพ่ วกเจ้ามลั ละซ่งึ พากนั เศรา้ โศกและมาเฝา้ ในราตรีนั้น เหตุผลที่พระพุทธองค์ทรงอ้างแก่พระอานนท์ว่าถึงกุสินาราจะเล็ก แต่เคย รงุ่ โรจนแ์ ละย่งิ ใหญใ่ นคร้ังอดีตประเด็นนี้น่าจะมีเหตผุ ล ดังน้ี 1) พวกมัลละในกรุงกุสินารา มีการปกครองโดยระบอบสามัคคีธรรม เชน่ เดียวกับแคว้นวัชชีและศากยะ ซง่ึ เปน็ บ้านเกิดของพระองค์ ธรรมเนียมของชนเผา่ เหล่ านี้เม่ือ บ รรพ บุ รุษ ตายแล้วนิยม เผาแล้วเอ ากระดู กบ รรจุส ถู ป หรือ เจ ดีย์ไว้ สักการบูชาพระองค์จึงทรงเลือกที่จะปรินิพพานในแคว้นนี้ เพราะมีระบอบการ ปกครองและธรรมเนียมปฏิบัติต่อศพเหมือนกัน ดีกว่าจะเลือกไปปรินิพพานที่เมือง ใหญ่อืน่ ๆซง่ึ แม้จะมีพระราชามหากษตั รยิ น์ ับถือมากแต่กม็ ีธรรมเนียมประเพณีคนละ อยา่ ง 2) ถือเป็นการสงเคราะห์แคว้นเล็กๆอย่างมัลละในฐานะเป็นพันธมิตร ทางการเมือง การปกครองได้มีโอกาสบำเพ็ญบุญครั้งย่ิงใหญ่ เพราะนอกจากจะได้ ร่วมจัดงานพระศพของพระพุทธเจ้าแล้ว ยังได้ต้อนรับพุทธบริษัททั้งคฤหัสถ์และ บรรพชิตทีไ่ ด้เดินทางมาร่วมงานพระศพเปน็ จำนวนมากอีกด้วย 3) เป็นการประกาศให้ชาวชมพูทวีปได้ตระหนักว่า แม้กุสินาราจะเป็น เมืองเล็กก็สามารถจดั งานระดบั โลกได้ เพราะอาศยั ความสามคั คีปรองดองตามแบบ ฉบับของรัฐที่ปกครองด้วยระบอบสามัคคีธรรม ถือเป็นการช่วยโปรโมทแคว้นเล็กๆ อยา่ งมลั ละได้ดียง่ิ ในฐานะเป็นเจ้าภาพใหญ่
102 Public Administration Science in Buddhism 102 เม่ือถวายพระเพลิงแล้วเหล่ากษัตริย์และพราหมณ์จากแคว้นต่างๆมาขอ พระบรมสารีริกธาตุ ครั้งแรกพวกเจ้ามัลละจะไม่ยอมแบ่งให้ เหล่ากษัตริย์และ ตัวแทนจากเมืองต่างๆไม่พอใจจะทำสงครามแย่งชิงเอา แต่โทณพราหมณ์จึงพูด เกลี้ยกล่อมใหเ้ หน็ แก่ความสงบในที่สุดก็ตกลงกันได้จึงแบ่งให้ไปตามความเหมาะสม ต่างก็นำกลับไปก่อสถปู บรรจแุ ล้วทำการฉลองในรฐั ของตน พวกมัลละในเมืองกุสินารา คงจะลืมตัวไปว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานที่บ้าน ของตนก็ต้องเปน็ สมบัติของตนเทา่ นั้นจะไม่ยอมแบง่ ใหใ้ คร เมื่อเปน็ เช่นนี้สงครามแย่ง พระบรมสารรี ิกธาตุเกอื บจะระเบิดข้นึ ดีแต่วา่ ได้คนอย่างโทณะพราหมณ์มาใช้วิวาท ศิลปแ์ ก้สถานการณไ์ ว้ได้ โดยโทณะพราหมณไ์ ด้กล่าวดังนี้ “ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ขอพวกท่านจงฟังคำสำคัญของข้าพเจ้า พระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายทรงสรรเสริญขันติธรรม การจะมาประหัตประหารกัน เพราะแย่งส่วนแห่งพระสรีระของพระองค์ผปู้ ระเสรฐิ เช่นนี้ไมด่ ีเลย ขอให้พวกเรายอม พร้อมใจกันแบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น 8 ส่วนเถิด พระสถูปบรรจุพระบรม สารรี กิ ธาตุจะได้แพร่หลายไปในทิศต่างๆชนผเู้ ลือ่ มใสในพระพทุ ธเจ้ามีอยูจ่ ำนวนมาก จะได้สักการบชู า” การทูตอันมีเหตุผลของโทณพราหมณ์ช่วยยุติสงครามซ่ึงกำลังจะเกิดข้ึนได้ กษัตริย์และตัวแทนจากเมืองทั้ง 7 ต่างก็ตกลงยอมแบ่งจนได้จำนวนเท่าๆกัน แล้ว นำมาสรา้ งสถปู บรรจไุ ว้สกั การบูชาในเมอื งของตน ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ พวกที่มาขอพระบรมสารีริกธาตุจากท้ัง 7 เมือง นั้นส่วนใหญ่เป็นรัฐที่ปกครองด้วยระบอบสามัคคีธรรมและมีธรรมเนียมเผาแล้วเก็บ กระดูกไว้บูชาท้ังนั้น ยกเว้นพระเจ้าอชาตศัตรูแห่งแคว้นมคธพระองค์เดียว ที่ ปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตยในจำนวน 7 เมืองทีว่ ่านั้น ได้แก่ 1) เมืองกบิลพสั ด์ุ แคว้นศากยะ 2) เมืองโกลิยะ เมืองรามคาม (พน่ี ้องกนั กบั แคว้นศากยะ) 3) กษตั รยิ ก์ ลู ิ จากเมืองอลั ลกปั ปะ 4) เมืองไพสาลี จากแคว้นวชั ชี
รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 101303 5) พระเจ้าอชาตศัตรู จากแคว้นมคธ 6) เจ้าผู้ครองนครเวฏฐทีปกะ 7) พวกมัลละะจากเมืองปาวา (เมืองหลวงอีกแห่งหนึ่งของแคว้นมลั ละ) ทีเ่ อ่ยนามมานีค้ งจะเปน็ เชื้อสายเดียวกันกับพระพุทธองค์หรอื อย่างน้อยก็ใช้ ระบอบปกครองเหมือนกันทีถ่ อื ประเพณีเซ่นไหวบ้ รรพบุรุษหรอื คำสำคัญของตระกูล เหมือนๆกนั แต่ละแคว้นได้รับพระบรมสารรี กิ ธาตุแล้ว ก็ได้กลับไปที่เมืองของตนเอง และได้สร้างสถปู เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เพอ่ื ให้ประชาชนได้สักการบชู าตอ่ ไป สรปุ ความ การปกครองเป็นแนวคิดที่นำไปสู่ทางปฏิบัติทุกขั้นตอนของการปฏิบัติต้อง อาศัยความสามารถเฉพาะตัวของผู้บริหารเข้าช่วย ซ่ึงถือว่าเป็นศิลปะของผู้บริหาร ซง่ึ แตล่ ะคนยอ่ มมีศิลปะที่แตกต่างกัน ถ้าผปู้ กครองมคี วามสามารถเฉพาะตัวสงู รจู้ ัก ใช้ศิลปะในการปกครองทั้งในแง่ของการใช้อำนาจ การใช้หลักมนุษย์ การใช้ความ ร่วมมือและมีคุณ ธรรม ย่อมมีส่วนส่งเสริมสนับสนุนให้นักปกครองประสบ ความสำเร็จได้ แนวคิดการปกครองในพระพุทธศาสนา ก็สามารถที่จะศึกษาทฤษฎี ทางการเมืองการปกครองที่มีอยู่ในพระไตรปิกฏ คือ การปกครองตามแนวอัคคัญ สูตร จักกวัตติสูตร กูฏทันตสูตร มหาสีหนาทสูตรและมหาปรินิพพานสูตรและที่ เก่ยี วกับการเมืองการปกครองในพระพทุ ธศาสนา คือ 1) รัตนะ 7 ประการ ซ่ึงถือเป็นสมบัติคู่บุญบารมีและแสดงถึงพระปรีชา สามารถของพระเจ้าจักรพรรดิแต่ละพระองค์หากไม่มีบุญบารมีและพระปรีชา สามารถรตั นะเหล่านีก้ จ็ ะอนั ตรธานไปได้ 2) ความยากจนมีผลกระทบต่อการปกครอง เพราะทำให้เกิดปัญหา ตา่ งๆข้นึ เช่น การลกั ขโมย การประหตั ประหารกนั การโกหก ใสค่ วามกนั เปน็ ต้น
104 Public Administration Science in Buddhism 104 3) ผู้ปกครองที่ดีไม่ใช่เพียงแค่มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของ บ้านเมืองเท่านั้น แต่ต้องรู้จักจัดการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจหรือปัญหาปากท้องของ ราษฎรด้วย 4) เศรษฐกิจ การเมืองและศีลธรรม ต้องไปด้วยกันเสมอ เพราะ เศรษฐกิจเป็นฐานให้กับการเมือง และการเมืองก็เป็นฐานให้เกิดความสงบสุข เมื่อ เกดิ ความสงบเรยี บรอ้ ย ผู้คนจะมีเวลาให้กบั ศีลธรรมมากข้นึ 5) ผู้ปกครองที่ประสบความสำเร็จด้านการปกครองบ้านเมืองแล้ว มกั จะหันหนา้ เข้าหาความสขุ ความสงบด้านจิตใจเสมอ ดั งนั้ น ค ำส อ น ที่ เกี่ ย วกั บ ก า รเมื อ งก ารป ก ค รอ งจึ งมี ป ราก ฏ ใน พระพุทธศาสนามากมาย ที่จะสามารถศึกษาแนวการปกครองที่มีอยู่ในทาง พระพุทธศาสนา เพ่ือที่จะได้นำมาเป็นแนวทางในการปกครองตนเองปกครองสังคม ตลอดจนประเทศชาติ ยอ่ มนำพาไปสสู่ นั ติสุขสันติภาพอยา่ งแท้จรงิ ได้
5พทุ ธวิธี บทที่ 5 การบพรุทิหธาวรอิธงีกคาก์ รรบริหบาทรทอ่ีงค์กร ความนำ การบริหารจดั การในทางพระพุทธศาสนา จุดเริ่มตน้ คือการบริหารคณะสงฆ์ของ พระพทุ ธองค์ ซึ่งมีมาแล้วตั้งแต่พทุ ธกาล หลักทีใ่ ช้คือพระธรรมวินัยเม่ือพระพุทธเจ้าเสด็จ ดับขันธป์ รินิพพานแล้ว เกิดความไม่เรียบร้อยขึ้น จึงได้มีการทำปฐมสังคายนาขึน้ ที่เมืองรา ชคฤห์ โดยมีพระมหากัสสปเถระเป็นประธาน การบริหารคณะสงฆ์ก็เรียบร้อยมาได้ระยะ หนง่ึ ตอ่ มากเ็ กิดถือลัทธิต่างกนั เกิดความไม่เรียบร้อยขึ้นอกี เป็นเช่นน้ตี ลอดมา เม่ือพระพุทธศาสนาล่วงมาได้ประมาณ 200 ปีเศษพระเจ้าอโศกมหาราช ได้ ครอบครองอาณาจักรอินเดียอย่างกว้างขวางพระองค์เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้ยก พระพุทธศาสนาเป็นประธาน มูลเหตุทีท่ ำสังคายนา คือ พวกเดียรถีย์ ได้ปลอมตนเข้าบวช เป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา เพื่อแสวงประโยชน์ส่วนตนเป็นอันมาก เกิดความไมเ่ รียบร้อย ขึ้นในสังฆมณฑล พระเจ้าอโศกมหาราช จึงทรงอาราธนาพระโมคคัลลีบุตร เป็นประธาน สังคายนาพระธรรมวินยั ที่เมอื งปาตลีบุตร เมื่อพ.ศ.236 วางระเบียบพระธรรมวินัยให้รวม ลงเป็นอย่างเดียวกนั สงั ฆมณฑลจงึ เกิดความเรียบร้อยสืบตอ่ มา เม่ือพระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ออกไปยังประเทศต่างๆการบริหารสังฆมณฑลจึง ต้องอนุโลมไปตามแบบแผนประเพณีของประเทศน้ันๆในบางส่วนเพื่อ ให้พุทธจักรและ อาณาจักรเปน็ ไปด้วยดีท้ังสองฝ่าย พระภกิ ษุสงฆ์จึงมีกฎหมายที่พึงปฏิบตั ิอยู่สามประเภท คือพระวินยั จารีตและกฎหมายแผ่นดิน จงึ มีการนำหลักการบริหารสงฆ์ของพระพุทธองค์ มาประยุกต์ให้เข้ากับหลักการบริหารสมัยใหม่ จึงได้มีการแยกออกเป็นด้านต่างๆ ตาม ความนยิ มสอดคล้องตามยุคสมยั
106 Public Administration Science in Buddhism 106 พทุ ธวิธใี นการบริหารองค์กร การบริหารในพระพุทธศาสนาเริ่มมีขึ้นเป็นรูปธรรม 2 เดือน นับจากวันที่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นคร้ังแรกแก่พระปัญจวัคคีย์ ซึ่งทำให้เกิดสังฆ รัตนะขึ้น เม่ือมีพระสังฆรัตนะเป็นสมาชิกใหม่เกิดขึ้นในพระพุทธ ศาสนาอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ต้องบริหารคณะสงฆ์ โดยวิธีการที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ในการบริหารกิจการ คณะสงฆ์ ซึ่งดำรงสืบตอ่ มาจนถึงปัจจุบนั เป็นเวลากว่า 2,500 ปี เป็นข้อมูลให้เราได้ศกึ ษา เร่ืองพุทธวิธีบริหาร นอกจากนี้ยังมีพุทธพจน์ที่เกี่ยวเนื่องกับการบริหารกระจายอยู่ใน พระไตรปิฎก การศกึ ษาพทุ ธพจนเ์ หล่าน้ันกจ็ ะทำให้ทราบถึงพทุ ธวิธีบริหาร การศึกษาพุทธวิธีบริหารในคร้ังนี้ ขอใช้หน้าที่ของนักบริหารเป็นกรอบในการ พิจารณาหน้าที่ (Function) ของนักบริหารมีอยู่ 5 ประการ (พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมมฺ จิตโฺ ต),2549 : 3) ตามคำยอ่ ในภาษาองั กฤษว่า POSDC P คือ Planning หมายถึง การวางแผนเป็นการกำหนดแนวทางดำเนินงานใน ปัจจุบัน เพื่อความสำเร็จที่จะตามมาในอนาคต ผู้บริหารที่ดีต้องมีวิสัยทัศน์เพื่อกำหนด ทิศทางขององคก์ าร O คือ Organizing ห มายถึง การจัดองค์กรเป็ นการกำห นดโคร งสร้าง ความสัมพันธ์ของสมาชิกและสายบังคบั บัญชาภายในองค์กร มกี ารแบ่งงานกันทำและการ กระจายอำนาจ S คือ Staffing หมายถึง งานบุคคลเป็นการสรรหาบุคลากรใหม่การพัฒนา บคุ ลากรและการใชค้ นใหเ้ หมาะสมกับงาน D คือ Directing หมายถึง การอำนวยการเป็นการสื่อสารเพื่อให้เกิดการ ดำเนินการตามแผน ผบู้ ริหารตอ้ งมมี นษุ ยสัมพนั ธท์ ีด่ แี ละมีภาวะผนู้ ำ C คือ Controlling หมายถึง การกำกบั ดแู ลเปน็ การควบคมุ คุณภาพของการ ปฏิบตั ิงานภายในองคก์ รรวมท้ังกระบวนการแก้ปญั หาภายในองค์กร พุทธวิธีบริหารของพระพุทธเจ้าสามารถที่จะนำใช้ประยุกต์ในประเด็นที่เกี่ยวกั บ พุทธวิธีการวางแผน พุทธวิธีการจัดองค์กร พุทธวิธีการบริหารงานบุคคล พุทธวิธีการ อำนวยการและพทุ ธวิธีการกำกับดแู ล ลำดบั ตอ่ ไป
รัฐประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 107 107 พุทธวิธใี นการวางแผน หลังจากตรัสรู้ในวันเพ็ญเดือน 6 ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชาพระพุทธเจ้าทรง ประทับอยู่ ลำพังพระองค์เดียว ในช่วงนี้ยงั ไม่มีการบริหารในพระพุทธศาสนา การบริหารเกิดขึ้นเม่ือ มีสมาชิกใหม่เข้ามาในพระพุทธศาสนา เหตุการณน์ ี้เกิดขนึ้ หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ 2 เดือน น่ันคือ เม่ือพระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนาแก่พระปัญจวัคคีย์ในวันอาสาฬหบูชา ท่านอัญ ญาโกณ ฑัญ ญ ะได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วขอบวชเป็นพระภิ กษุรูปแรกใน พระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงประทานการอุปสมบทแก่ท่านอัญญาโกณฑัญญะ ด้วย พุทธดำรสั ว่า “เธอจงเป็นภกิ ษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพือ่ ทำที่สดุ แหง่ ทกุ ข์โดยชอบเถิด”(วินย. (ไทย), 4/18/19,20.; วิ.มหา.(ไทย), 1/18/23.) จะเห็นได้ว่าในพุทธดำรัสนี้ มีการกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการอุปสมบทไว้ ชดั เจนว่า “เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำทีส่ ดุ แห่งทกุ ขโ์ ดยชอบเถิด”น่ันหมายถึงว่า มี การกำหนดวัตถุประสงค์ส่วนตัวเพื่อให้สมาชิกใหม่ได้ปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน พระพุทธเจ้าทรงประสงค์ให้ผู้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนายึดเป้าหมายเดียวกัน คือ พระพุทธเจ้ามุ่งปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นทุกข์ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในโอกาสอื่นว่า “พรหมจรรย”์ (การบวช) นีไ้ ม่ได้มีไว้สำหรับแสวงหาลาภสกั การะและคำสรรเสริญ ไม่ได้ มีไว้เพียงเพื่อศีล สมาธิ และปัญญาเท่าน้ัน แต่มีไว้เพื่อเจโตวิมุตติหรือความหลุดพ้นแห่ง จิต (ม.มู.(ไทย),12/352/373.) ในพุทธวิธีเกี่ยวกับวางแผนนี้ สิ่งที่สำคัญมากคือผู้บริหารต้องมีวิสัยทัศน์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้บริหารต้องมีจักขุมาแปลว่า มีสายตาที่ยาวไกล คือมองการณ์ไกล (องฺ.เอก.(ไทย), 20/459/133,134) วิสัยทัศน์ช่วยให้ผู้บริหารสามารถวาดภาพจุดหมาย ปลาย ทางได้ชัดเจนและใช้ส่ือสารให้สมาชิกภายในองค์กรยอมรบั และดำเนินไปสูจ่ ุดหมาย ปลายทางน้ันองค์กรท้ังหมด กจ็ ะถูกขับเคลื่อนไปด้วยวิสัยทัศน์นี้ พระพุทธเจา้ ทรงกำหนด จุดหมายปลายทางในพระพุทธศาสนาไว้ว่า การประพฤติปฏิบัติธรรมทุกอยา่ งมีเป้าหมาย สูงสุดอยู่ที่จุดเดียวคือวิมุตติ (ความหลุดพ้นทุกข์) ดังพุทธพจน์ที่ว่า “เปรียบเหมือน มหาสมุทรมีรสเดียว คือรสเค็ม ฉันใด ธรรมวินัยนี้ก็มีรสเดียวคือ วิมุตติรส ฉันนั้น”(วินย. (ไทย), 7/462/227.)
108 Public Administration Science in Buddhism 108 การถือเอาความหลุดพ้นทุกข์เป็นวัตถุประสงค์ส่วนตัวสำหรับสมาชิกทุกคนใน พระพุทธศาสนานี้ ใช้ได้กับผู้ยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ แต่เม่ือสมาชิกนั้นเป็น พระ อรหันต์ได้ เจโตวิมุตติ หลุดพ้นทุกข์แล้ววัตถุประสงค์ของเขาก็เปลี่ยนไป น่ันคือแทนที่จะ ดำเนินชีวิต เพื่อความหลุดพ้นทุกข์ส่วนตัว พระอรหันต์จะดำเนินชีวิตเพื่อช่วยคนอื่นให้ หลุดพ้นทุกข์ ดังจะเห็นได้ว่าเม่ือพ้นพรรษาแรก มีภิกษุผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ 60 รูป พระพทุ ธเจ้าทรงวางแผนเพื่อประกาศพระศาสนาแล้วสง่ พระสาวกเหลา่ น้ันให้แยกย้ายกัน ไปในทิศทางต่างๆด้วย พระดำรัสว่า“ภิกษุท้ังหลาย เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็น ของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ แม้พวกเธอก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวงท้ังที่เป็นของทิพย์ ท้ัง เป็นของมนุษย์ เธอทั้งหลายจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนเุ คราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์เกื้อกลู และความสุขแกเ่ ทวดาและมนษุ ย์ทั้งหลาย แตอ่ ย่าไปทางเดียวกนั สองรูป แม้เราเองก็จะไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคมเพื่อแสดงธรรม” (สํ.ส. (ไทย),15/428/148,149.) เนื่องจากพระสงฆ์มีจำนวนจำกัด พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญชาให้แต่ละรูปไปตาม ลำพังผู้เดียว สว่ นพระองค์เองทรงเลือกไปประกาศธรรมแกเ่ จ้าลัทธิในแคว้นมคธ คือ ชฏิล สามพี่น้องที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม พระพุทธเจ้าทรงใช้เวลา 2 เดือนปราบพยศชฏิลสาม พี่น้องและบริวาร จนทำให้พวกเขาหันมาบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา จากนั้นได้ เสด็จไปเทศน์โปรดพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระราชาแห่งแคว้นมคธ พระเจ้าพิมพิสารและ ประชาชนชาวมคธ พอเห็นว่าชฏิลสามพี่น้องที่พวกตนนับถือ ได้ยอมเป็ นสาวกของ พระพุทธเจ้าแล้ว ก็คลายทิฐิมานะหนั มาต้ังใจฟังธรรม ในที่สุดก็ได้ดวงตาเหน็ ธรรมและหัน มานับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงใช้เวลาไม่นานนับจากวันตรัสรู้ ก็สามารถ วางรากฐานพระพุทธศาสนาในแคว้นมคธ ซึ่งเป็นหนึ่งในแคว้นมหาอำนาจสมัยน้ัน นี่เป็น ผลมาจากการวางแผนประกาศ พระศาสนาในเบือ้ งตน้ ของพระพุทธเจา้ ถ้าพระพุทธเจา้ ไม่ประสบความสำเร็จในการประกาศพระศาสนาโดยที่หาผบู้ รรลุ ธรรมตามอย่างพระพุทธองค์ไม่ได้สักคนเดียว พระพุทธเจ้าก็เป็นเพียงพระปัจเจกพุทธะ คือ ผู้ตรัสรู้เฉพาะตนที่ไม่สามารถสอนคนอื่นให้ตรัสรู้ตามได้ จึงไม่ใช่นักบริหาร แต่เพราะ เหตุที่พระพุทธเจ้าทรงสามารถสอนให้คนอื่นตรัสรู้ตามได้พระองค์จึงเป็นพระสัมมา สมั พุทธะผู้สามารถจัดตั้งองคก์ รพระพทุ ธศาสนาและเป็นนกั บริหารกิจการพระศาสนา
รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพทุ ธศาสนา 109 109 ในการวางแผนเพื่อประกาศพระศาสนาดังกล่าวมานั้น พระพุทธเจ้าทรงกำหนด วัตถุประสงค์สำหรับให้สมาชิกในองค์กรทุกคนถือปฏิบตั ิแบบเดียวกัน น่ันคือให้สมาชิกยึด ความหลุดพ้นทุกข์ส่วนตัวหรือความหลุดพ้นทุกข์ของคนอื่นเป็นเป้าหมายของการดำเนิน ชีวิต การปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นทุกข์ส่วนตัว เรียกว่า อัตตหิตสมบัติ การปฏิบัติเพื่อ ความหลุดพ้นทกุ ขข์ องคนอื่น เรียกว่า ปรหติ ปฏิบัติ พระพทุ ธเจ้าทรงมีทั้งอตั ตหติ สมบัติ ทีเ่ กิดจากพระปญั ญาคณุ และปรหติ ปฏิบตั ิที่ เกิดจากพระกรุณาคุณ จึงทรงวางรากฐานในการประกาศพระศาสนา ด้วยการแสดง โอวาทปาฏิโมกข์ แก่พระอรหนั ต์ 1,250 รูป ในวนั มาฆบชู าหลงั จากตรสั รู้ได้ 9 เดือน โอวาท ป าฏิ โม กข์ ห ม ายถึง ค ำส อน ที่ เป็ น ห ลัก สำคั ญ ในก ารเผยแผ่ พระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระอรหันต์ เพื่อให้ใช้เป็นแนวทางในการ ดำเนินงานต่อไป ในโอวาทปาฏิโมกข์นี้ มีการกำหนดให้นิพพานหรือความหลุดพ้นทุกข์เป็น เป้าหมายสูงสุดในการปฏิบัติธรรมให้ยึดหลัก 3 ประการ คือไม่ทำชั่วท้ังปวง ทำดีให้ถึง พร้อมและทำจิตให้ผ่องใส (ขุ.ขุ.(ไทย), 25/24/33-35.) นอกจากนี้ยังกำหนดวิธีการ ประกาศพระพุทธศาสนาว่าให้เผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยขันติ หรือความอดทน ไม่ให้ใช้ การว่าร้ายหรือการเข่นฆ่ าป ระหัตป ระหาร เพื่ อบี บ บังคับ ให้คนหันมานับ ถือ พระพุทธศาสนา ด้วยเหตนุ ้ี พระพทุ ธศาสนาจึงได้เชือ่ วา่ เป็นศาสนาแหง่ สนั ติภาพ จะเห็นได้ว่าในการวางแผนเพื่อบริหารองค์กรของพระพุทธเจ้านั้น มีการใช้ วิสัยทัศน์กำหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์และพันธกิจขององค์กรคณะสงฆ์ไว้อย่างชัดเจน องค์กรพระพุทธศาสนาเจริญเติบโตมาได้เพราะผลจากวิสยั ทัศน์ของพระพุทธเจา้ พุทธวิธใี นการจัดองคก์ ร ใน ก า ร รั บ ส ม า ชิ ก ใ ห ม่ เข้ า ม า บ ว ช เป็ น พ ร ะ ภิ ก ษุ ใ น พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า จ ะ มี ก า ร กำหนดให้สมาชิกทุกคนเริ่มต้นจากศูนย์ นั่นคือ ไม่มีการอนุญาตให้นำชาติ ช้ัน วรรณะ หรือตำแหน่งหน้าที่ในเพศฆราวาสเข้ามาในองค์กรคณะสงฆ์ ดังพุทธพจน์ที่ว่า“เปรียบ เหมือนแม่น้ำใหญ่บางสายคือ แม่น้ำคงคา แม่น้ำยมนา แม่น้ำอจิรวดี แม่น้ำสรภูและ แม่น้ำมหี ไหลถึงมหาสมุทรแล้วย่อมละนามและโคตรอันเดิมเสีย ถึงซึ่งอันนับว่า มหาสมุทรเหมือนกัน วรรณะ 4 เหล่าคือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ก็เช่น เดียวกัน
110 Public Administration Science in Buddhism 110 คือ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละชื่อและ ตระกูลเดิมเสียถึงซึ่งอันนับว่าสมณ ะเชื้อสายศากยบุตรเหมือนกัน” (วินย.จุล. (ไทย),7/460/226-229.) โดยมีพทุ ธวิธีในการจดั องคก์ ร ดงั นี้ 1. ทุกคนที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาเป็นพระภิกษุเสมอเหมือนกันหมด การ อยู่ร่วมกันของคนที่เท่าเทียมกันนี้อาจก่อให้เกิดปัญหาในการบังคับบัญชาภายในองค์กร เพราะเหตุที่ว่าเมื่อสมาชิกถือตัวว่า เท่าเทียมกับคนอื่นก็จะไม่มีใครเชื่อฟังใครหรือยอมลง ให้ใคร ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า“การอยู่ร่วมกันของคนที่ไม่เสมอกันนำทุกข์มาให้”(ขุ.ขุ. (ไทย),25/31.)ถ้าเป็นเช่นน้ัน การบังคับบัญชาภายในองค์กรก็มีไม่ได้ พระพุทธเจ้าจึงทรง กำหนดให้พระภิกษตุ ้องเคารพกันตามลำดับพรรษา ผู้บวชที่หลังต้องแสดงความเคารพต่อ ผบู้ วชก่อน 2. เม่ือสาวกมีจำนวนมากขึ้นพระพุทธเจ้าทรงจัดองค์กรในพระพุทธศาสนา ออกเป็นพุทธบริษัท 4 คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในส่วนของภิกษุบริษัทและ ภกิ ษุณีบริษัท พระพุทธเจ้าทรงมอบความเป็นใหญ่ให้แก่คณะสงฆ์ ดังจะเห็นได้จากการที่ ทรงกระจายอำนาจให้คณะสงฆ์ดำเนิน การให้การอุปสมบท เม่ือมีกิจจาธิกรณ์หรือ กิจการที่จะต้องทำร่วมกัน คณะสงฆ์สามารถบริหารจัดการเอง หรือเม่ือมีกรณีความ ขัดแย้งเกิดขึ้นในคณะสงฆ์ พระพุทธเจ้าก็ทรงมอบอำนาจให้คณะสงฆ์เป็นผู้จัดการ แก้ปัญหา 3. พระพุทธเจ้าทรงดำรงตำแหน่งเป็นธรรมราชา คือผู้บริหารสูงสุด ในองค์กร พระพุทธศาสนาดังพุทธพจน์ที่ว่า“เราเป็นพระราชานั่นคือ เป็นธรรมราชาผู้ยอดเยี่ยม”(ม. ม.(ไทย),13/609) พระพุทธเจ้าทรงแต่งตั้งพระสารีบุตรให้เป็นพระธรรมเสนาบดีมีฐานะ เป็นรองประธานบริหาร อยู่ในลำดับถัดจากพระพุทธเจ้าและเป็นอัครสาวกฝ่ายขวา รับผิดชอบ งานด้านวิชาการ พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกฝ่ายซ้าย รับผิดชอบด้าน บริหาร พระอานนท์เป็นเลขานุการส่วนพระองค์และทรงแต่งต้ังสาวกทั้งฝ่ายบรรพชิตและ คฤหัสถ์เป็นเอตทัคคะ คือผู้ชำนาญที่รับภาระงานด้านต่างๆ เช่น พระมหากัสสปะเป็นผู้ ชำนาญด้านธุดงค์ พระปุณณ ะมันตานีบุตรเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแสดงธรรม ภกิ ษุณีปฏาจาราเป็นผู้ชำนาญด้านวินัย จิตตคหบดีเป็นผู้ชำนาญด้านการแสดงธรรม (อง. เอก. (ไทย),20/146/28.) การแต่งต้ังเอตทัคคะนี้เป็นตัวอย่างของการกระจายอำนาจ และ การใชค้ นใหเ้ หมาะสมกับงานในพระพทุ ธศาสนา
รัฐประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 111 111 ในสมัยปัจจุบันประเพณีปฏิบัติที่พระมหากษัตริย์ทรงพระราชทานสมณศักดิ์แก่ พ ร ะส งฆ์ ผู้ มี ค ว าม ช ำ น า ญ ใน ด้ า น ต่ า งๆ ก็ ส อ ด ค ล้ อ งกั บ ก า รแ ต่ งต้ั งเอ ต ทั ค ค ะใน ค ร้ั ง พทุ ธกาลนั่นเอง ส่วนการที่มหาวิทยาลัยท้ังหลาย ถวายปริญญากิตติมศักดิ์แกพ่ ระสงฆ์ใน สมัยปัจจุบัน ก็พออนุโลมให้เป็นการยอกย่องพระเถระเป็นเอตทัคคะในด้านต่างๆ ได้ เหมอื นกัน พทุ ธวิธใี นการบริหารงานบุคคล การบริหารงานบุคคลในพระพุทธศาสนาเริ่มตั้งแต่การรับคนเข้ามาบวช ที่ต้องมี การกลัน่ กรองโดยคณะสงฆ์พระพุทธเจา้ ทรงมอบความเป็นใหญ่ให้คณะสงฆ์ในการใหก้ าร อุปสมบทแก่กุลบุตร ตามแบบญัตติจตุตถกรรม พระสงฆ์ผู้เป็นประธาน ในพิธีอุปสมบท เรียกว่า พระอุปัชฌาย์ การรับคนเข้ามาอุปสมบทต้องได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ จากคณะสงฆ์ที่ประชุมพร้อมกันในอุโบสถที่ประกอบพิธีอุปสมบท ถือว่าเป็นพุทธวิธี กล่ันกรองบุคคลที่จะเข้าสู่องค์กรสงฆ์และการบริหารงานบคุ คล ดังน้ี 1. เม่ือบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาแล้ว พระบวชใหม่จะต้องได้รับการฝึกหัด อบรมและการศึกษาเล่าเรียนจากพระอุปัชฌาย์ โดยอยู่ภายใต้การปกครองดูแลของท่าน จนกว่าจะมีพรรษาครบ 5 จึงเรียกว่านิสัยมุตตกะคือผู้พ้นจากการพึ่งพาพระอุปัชฌาย์ ดังน้ันกระบวนการฝึกอบรมพระบวชใหม่จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง กระบวนการนี้ ก่อให้เกิดระบบโรงเรียนในวัด ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาที่ สำคญั ในอินเดีย เชน่ มหาวิทยาลยั นาลนั ทา 2. ระบบการศึกษาในพระพุทธศาสนาเป็นเคร่ืองมือที่สำคัญในการพัฒนา บคุ ลากร ตราบใดที่บคุ ลากรนั้นยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์เขาผู้นั้น ก็ต้องได้รับการศึกษา อบรมตลอดไป เรียกว่าเป็นเสขะคือ ผู้ยังต้องศึกษาต่อเม่ือสำเร็จการศึกษาเป็นพระ อรหันต์แล้ว จึงเรียกว่าเป็นอเสขะ คือ ผู้ไม่ต้องศึกษากระบวนการจัดการศึกษาใน พระพุทธศาสนายึดหลักไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเปน็ การฝึกอบรม (Training) ที่ เน้นภาคปฏิบัติมากกวา่ จะเป็นการเรียนการสอนในทางทฤษฎี (Teaching) เม่ือกล่าวในเชิง บริหารเราต้องยอมรับว่า พระพุทธศาสนาให้ความสำคัญแก่การจัดการศึกษาอบรมเพื่อ พัฒนาบุคลากรเป็นอยา่ งยิ่ง ด้วยเหตุนี้ พระพุทธศาสนาจงึ ชื่อว่าเปน็ ศาสนาแห่งการศึกษา
112 Public Administration Science in Buddhism 112 การศึกษาอบรมในพระพุทธศาสนายึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ดังจะเห็นได้จากการ จัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับพัฒนาการและวุฒิภาวะของผู้เรียน โดยที่ พระพุทธเจ้าทรงเทียบความพร้อมในการศึกษาเล่าเรียนของบุคคลเข้ากับบัวสี่เห ล่าและ ทรงจำแนกประเภทของบุคคลที่จะเข้ารับการศึกษาอบรมไปตามจริต 6 และที่สำคัญมาก ก็คือ พระพุทธเจ้าทรงมุ่งให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ดังพุทธพจน์ที่ว่า “ตุมฺเหหิ อาตปฺปํ อกขฺ าตาโร ตถาคตา เธอทั้งหลายต้องทำความเพียรเผากิเลสเอง พระตถาคตเจ้า เป็นแต่ผู้บอกทาง”(ข.ุ ขุ.(ไทย),25/30/43,44.) บุคลากรที่ได้รับการพัฒนาแล้วก็จะได้รับการจัดสรรภาระหน้าที่ให้ปฏิบัติงาน ภายในองคก์ รตามความรู้ความสามารถ ดังทีพ่ ระพุทธเจ้าทรงแตง่ ตั้งเป็นเอตทัคคะในด้าน ตา่ งๆ ดงั กล่าวมาแล้ว 3. การบริหารงานบุคคลในพระพุทธศาสนามีระบบการให้รางวัลและการลงโทษ ซึ่งเทียบได้กับการใช้พระเดชพระคุณในสมัยปจั จบุ ันน่ันคือ ใครทำดีกค็ วรได้รบั การยกย่อง ใครทำผิดก็ควรได้รับการลงโทษดังพระบาลีว่า“นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหาร หํ ข่มคนที่ควรข่ม ยกย่องคนที่ควรยกย่อง”(ขุ.ชา.(ไทย),27/2442/440.) เราจะเข้าใจระบบ การให้รางวัลและการลงโทษได้ดีจากเร่ืองต่อไปนี้ในเกสีสูตร ดังนี้ (อง.จตุกฺก. (ไทย), 21/111/132-134.) วั น ห นึ่ ง ส า ร ถี ผู้ ฝึ ก ม้ า ชื่ อ น า ย เก สี เข้ า ไ ป เฝ้ า พ ร ะ พุ ท ธ เจ้ า แ ล้ ว ทู ล ถ า ม ว่ า พระพุทธเจ้าทรงมีวิธีฝึกคนอย่างไร พระพุทธเจ้าทรงย้อนถามว่านายเกสีมีวิธีฝึกม้า อย่างไร นายเกสีกราบทูลว่า เขาใช้ 3 วิธีคือวิธีนุ่มนวล วิธีรุนแรง วิธีผสม ผสาน คือ มีทั้ง น่มุ นวลและรุนแรง พระพุทธเจ้าตรัสถามวา่ ถ้าใช้ 3 วิธีแลว้ ไมไ่ ด้ผลจะทำอย่างไร นายเกสีกราบทูลว่า ถ้าฝึกไม่ได้ผลก็ฆ่าม้าทิ้งเสีย เพราะปล่อยไปก็ทำให้เสียชื่อ สถาบันเกสีวิทยา พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระองค์ทรงใช้ทั้ง 3 วิธีฝึกคนเหมือนกันคือ ใช้วิธี นุ่มนวลกับคนที่ควรให้กำลังใจ ใช้วิธีรุนแรงกับคนที่ควรตำหนิห้ามปราม และใช้วิธี ผสมผสานกบั คนที่ควรยกย่องเมือ่ ถึงคราวตอ้ งยกย่องและตำหนิเม่อื ถึงคราวต้องตำหนิ นายเกสีถามว่า ถ้าใช้ 3 วิธีแล้วไม่ได้ผลจะทำอย่างไร พระพุทธเจ้าตรสั ว่า กม็ ีการฆ่าทิ้งเหมอื นกนั นายเกสีทลู ถามวา่ การฆ่าไม่สมควรสำหรับสมณะมิใช่หรอื
รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 113 113 พระพุทธเจ้าทรงอธิบายว่าในวินัยของพระอริยะเจา้ การฆ่า หมายถึง การเลิกว่า กล่าวสั่งสอน คนที่พระพุทธเจ้าเลิกว่ากล่าวส่ังสอน ย่อมหมดโอกาสเจริญเติบโตในทาง ธรรมจะเห็นได้วา่ พระพทุ ธองค์กม็ ียุทธวิธีในการบริหารงานบคุ คลได้เปน็ อย่างดี พุทธวิธใี นการอำนวยการ การอำนวยการให้เกิดการดำเนินงานในพระพุทธศาสนาต้องอาศัยภาวะผนู้ ำเป็น สำคัญ ท้ังน้ีเพราะไม่มีระบบการใช้กำลังบงั คบั ใหป้ ฏิบัติตามผนู้ ำในพระพุทธศาสนา การที่ สมาชิกจะทำตามคำสั่งของผู้บริหารหรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับภาวะผู้นำในผู้บริหารเป็นสำคัญ อะไรคือความแตกต่างระหว่างผู้บริหารกับผู้นำ ดังนี้ (1) ผู้บริหาร คือ ผู้ที่ทำให้คนอื่น ทำงานตามที่ผู้บริหารต้องการ และ(2) ผู้นำ คือ ผู้ที่ทำให้คนอื่นต้องการทำงานตามที่ผู้นำ ต้องการ 1. พุทธวิธีในการอำนวยการของผู้บริหารต้องมีภาวะผู้นำ คือมีความสามารถ ในการจูงใจให้คนเกิดความต้องการอยากปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บริหาร บุคคลที่จะเป็น ผบู้ ริหารตอ้ งมคี ุณสมบตั ิสำคญั 2 ประการ คือ 1) อัตตหิตสมบัติ หมายถึง ความเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติส่วนตัวที่เหมาะ กับการเป็นผู้นำ 2) ปรหิตปฏิบัติ หมายถึง ความมีน้ำใจในการปฏิบัติงานเพื่อส่วน รวมและ องค์กรของตนพระพุทธเจ้าทรงเพียบพร้อมด้วยอัตตหิตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ จึง สามารถใช้ภาวะผนู้ ำบริหารกิจการพระพุทธศาสนาให้สำเร็จลุลว่ งไปด้วยดี อัตตหติ สมบัติ ที่สำคัญในการบริหารของพระพุทธเจ้าก็คือ ความสามารถในการสื่อสารกับคนท่ัวไป ใน การส่ือสารเพื่อการบริหารแตล่ ะคร้ังพระพุทธเจ้าทรงใชห้ ลัก 4 ส. (ที.สี.(ไทย),9/198/144.) ซึ่งมีคำอธิบายเชงิ ประยุกตเ์ ข้ากับการบริหาร ดงั ต่อไปนี้ (1) สันทัสสนา (แจ่มแจ้ง) หมายถึง อธิบายขั้นตอนของการดำเนินงานได้ อยา่ งชดั เจนแจ่มแจ้งช่วยใหส้ มาชิกปฏิบัติตามได้งา่ ย (2) สมาทปนา (จงู ใจ) หมายถึง อธิบายให้เข้าใจและเห็นชอบกับวิสยั ทัศน์จน เกิดศรทั ธาและความรสู้ ึกว่าต้องฝันให้ไกลและไปให้ถึง
114 Public Administration Science in Buddhism 114 (3) สมตุ เตชนา (แกล้วกล้า) หมายถึง ปลกุ ใจใหเ้ กิดความเชอ่ื มน่ั ในตนเอง และมีความกระตือรอื ร้นในการดำเนินการไปสู่เป้าหมาย (4) สัมปหังสนา (ร่าเริง) หมายถึง สร้างบรรยากาศในการทำงานรว่ มกนั แบบ กัลยาณมติ รซึ่งจะสง่ เสริมใหส้ มาชิกมีความสุขในการทำงาน ความสามารถในการจูงใจคนของพระพุทธเจ้าตรงกับพระสมัญญาว่า ตถาคต หมายถึง คนที่พูดอย่างไรแล้วทำอย่างนั้น พระพุทธเจ้าทรงมีภาวะผู้นำสูงมากเพราะทรง สอนให้รู้ (ยถาวาที) ทำให้ดู (ตถาการ)ี และอย่ใู หเ้ หน็ (ยถาวาที ตถาการ)ี 2. การส่ังการแต่ละคร้ังของพระพุทธเจา้ เปน็ ท่ียอมรับไดง้ ่าย เพราะไมท่ รงใช้ วิธีเผด็จการแต่ทรงใช้วิธีการแบบธรรมาธิปไตยดังที่พระพุทธเจ้าทรงจำแนกแรงจูงใจใน การทำความดี ซึ่งเรียกวา่ อธิปไตย 3 ประการ ดงั น้ี (อง.ฺ ทุก.(ไทย), 20/479/165-167.) (1) อัตตาธิปไตย หมายถึง การทำความดีเพราะยึดผลประโยชน์หรือความ พอใจของตนเป็นทีต่ ้ัง (2) โลกาธิปไตย หมายถึง การทำความดีเพราะต้องการให้ชาวโลกยกย่องน่ัน คือ ยึดทัศนะหรอื คะแนนนยิ มจากคนอน่ื เปน็ ทีต่ ั้ง (3) ธรรมาธิปไตย หมายถึง การทำความดีเพื่อความดี ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ นนั่ คือยึดธรรมคอื หนา้ ทีเ่ ป็นสำคญั แม้พระพุทธเจ้าจะประกาศว่า พระองค์เป็นธรรมราชาแต่ก็ไม่ทรงใช้อำนาจ เบ็ดเสร็จโดยลำพังพระองค์เองตามแบบราชาธิปไตย ในสมัยน้ันพระพุทธเจ้าทรงกระจาย อำนาจในการบริหารให้กับคณะสงฆ์ดังกล่าวมาแล้ว ทั้งนี้เพราะแรงจูงใจในการบริหาร ของพระพุทธเจ้าผู้หมดกิเลสแล้ว ย่อมไมใ่ ช่เพื่อความยิง่ ใหญ่สว่ นพระองค์ การบริหารของ พระพุทธเจ้าจึงไม่ใช่อัตตาธิปไตย นอกจากนี้ พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงบริหารกิจการพระ ศาสนาไปตามคำนินทาและสรรเสริญของชาวโลก การบริหารของพระองค์จึงไม่ใช่ โลกาธิปไตย พุทธวิธีบริหารเป็นธรรมาธิปไตย เพราะพระพุทธเจ้าทรงยึดธรรมคือ หลักการสร้างประโยชน์สุขเพื่อส่วนรวมเป็นสำคัญ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสถึง หลักการ บริหารของพระองค์ไว้ว่า “พระตถาคต อรหันต์สัมมาสัมพทุ ธเจ้าเป็นผทู้ รงธรรม เป็นธรรมราชาทรง อาศัยธรรม สักการะธรรม เคารพธรรม ยำเกรงธรรม มีธรรมเป็นธง มีธรรมเป็น
รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 115 115 ตรา เป็นธรรมาธิปไตย ทรงจัดการรักษาป้องกันและคุ้มครองท่ีเป็นธรรม”(องฺ.เอก. (ไทย), 20/453/125,126.) เพราะเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงยึดหลักธรรมาธิปไตยนี้เอง จึงไม่มีการตั้งใครเป็น ศาสดาสืบต่อจากพระพุทธองค์ ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระ อานนท์ทูลถามว่า จะทรงตั้งใครเป็นศาสดาสืบต่อจากพระองค์หรือไม่ พระพุทธเจ้าตรัส ตอบว่าจะไม่ทรงตั้งใครเป็นศาสดาสืบต่อจากพระองค์ ทั้งนี้เพราะทรงประสงค์จะให้คณะ สงฆ์ปกครองกันเองโดยยึด พระธรรมวินัยเป็นหลักในการปกครองดังที่พระพุทธเจ้าตรัส วา่ “ธรรมและวินยั ที่เราแสดงแล้วบญั ญัติแล้วจะเปน็ ศาสดาของพวกเธอเมื่อเราล่วงลับไป” (ที.ม.(ไทย), 10/177/160-182.) ภายหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วไม่นาน พระมหากัสสปะได้ปฏิบัติตาม พุทธพจน์นี้โดยเรียกประชุมพระอรหันต์ 500 รูป เพื่อสังคายนาพระธรรมวินัยให้เป็น หมวดหมู่สำหรับใช้เป็นหลักอ้างอิงในการบริหารกิจการพระศาสนา นับแต่น้ันมาการ บริหารกิจการ พระศาสนากย็ ึดพระธรรมวินยั ในพระไตรปิฎกเป็นหลกั โดยมีคณะสงฆ์เป็น องคก์ รบริหารสูงสุดสบื ต่อจนทุกวนั นี้ พทุ ธวิธใี นการกำกับดแู ล การกำกับดูแลเป็นการควบคุมสมาชิกภายในองค์กรให้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อบรรลุผล ตามวตั ถุประสงค์ที่วางไว้ พระพุทธเจา้ ทรงให้ความสำคัญแก่การกำกบั ดูแลคณะสงฆ์เป็น อย่างยิ่ง ดงั ต่อไปนี้ คือ 1. พระพุทธเจา้ ทรงบญั ญัติพระวินัย การบญั ญตั ิพระวินยั เพือ่ ให้พระสงฆ์ใช้เป็นมาตรฐานควบคมุ ความประพฤติให้เป็น แบบเดียวกัน พระพุทธเจ้าทรงให้เหตุผลในการบัญญัติพระวินัย 10 ประการ คือ (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต),2546:327) (1) เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ คือ เพื่อความเรียบร้อยดีงามแห่งสงฆ์ ซึ่งได้ ทรงชี้แจงให้มองเห็นคุณโทษแห่งความประพฤติน้ันๆ ชัดเจนแล้วจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ขนึ้ ไว้โดยความเห็นรว่ มกัน (for the comfort of the excellence of the unanimous Order) (2) เพือ่ ความผาสุกแห่งสงฆ์ (for the comfort of the Order)
116 Public Administration Science in Buddhism 116 (3) เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก คือเพื่อข่มบุคคลผู้ไร้ยางอาย (for the control of shameless persons) (4) เพือ่ ความอย่ผู าสกุ แห่งเหล่าภิกษุผมู้ ีศลี ดีงาม (for the living in comfort of well-behaved monks) (5) เพื่อปิดก้ันอาสวะท้ังหลายอันจะบังเกิดในปัจจุบัน คือเพื่อป้องกันไม่ให้ เกิดความเสื่อมเสียทั้งในปัจจุบัน (for the restraint of the cankers in the present; for the prevention of temporal decay and troubles) (6) เพื่อบำบัดอาสวะทั้งหลายอันจะบังเกิดในอนาคต คือเพือ่ ป้องกันไม่ให้เกิด ความเสื่อมเสียในอนาคต (for warding off the cankers in the hereafter; for protection against spiritual decay and troubles) (7) เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส (for the confidence of those who have not yet gained confidence) (8) เพื่อความเลื่อมใสยิ่งขึ้นไปของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว (for the increase of the confidence of the confident) (9) เพื่อความตง้ั ม่ันแหง่ สทั ธรรม (for the lastingness of the true doctrine) (10) เพื่ออนุเคราะห์วินัย คือ ทำให้มีบทบัญญัติสำหรับใช้เป็นหลักเกณฑ์จัด ระเบียบของหมู่หรือเพื่อความม่ันคงแห่งพระพุทธศาสนา (for the support of the discipline) การบัญญัติพระวินัย เป็นเคร่ืองช่วยให้พระสงฆ์มีวินัยในตนเองและมีเกณฑ์ใน การประเมินตนเอง เม่ือเห็นว่าตนทำผิดพลาดไปจากมาตรฐานความประ พฤติที่ พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้และความผิดพลาดนั้นไม่ร้ายรางถึงขนาดต้องถูกขับออกจาก หมู่คณะหรือขาดจากความเป็นพระภิกษุพระสงฆ์แต่ละรูปจะสารภาพความผิดพลาดต่อ เพือ่ นพระสงฆ์ด้วยกัน พิธีสารภาพเรียกว่า การแสดงอาบัติซึ่งลงท้ายด้วยคำมั่นสัญญาว่า จะไมท่ ำผดิ อย่างนนั้ อีกต่อไป เพื่อเป็นเคร่ืองเตือนใจให้พระสงฆ์ปฏิบัติตามพระวินัยที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว พระพุทธเจ้าทรงกำหนดให้พระภิกษุนำศีลสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้เหล่า น้ันมาสวดให้กัน และกันฟังทุกกึ่งเดือนในวันพระ 15 ค่ำ ประเพณีปฏิบัตินี้เรียกว่า การสวดปาฏิโมกข์ ใน
รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา 117 117 ตอนจบของศีลสิกขาบทแต่ละข้อ ผู้สวดก็จะถามที่ประชุมสงฆ์ว่า“กจฺจิตฺถ ปริสุทฺธ ท่าน ทั้งหลายบริสุทธิใ์ นศลี สิกขาบทนีแ้ ล้วหรอื ”(วินย.มหาวิภงคฺ .(ไทย), 1/300/437.) ยิง่ ไปกว่าน้ัน พระพุทธเจ้ายังได้ทรงบัญญัติให้พระภิกษุทำการปวารณาต่อคณะ สงฆ์ในวันออกพรรษา การปวารณาหมายถึงการอนุญาตให้ว่ากลา่ วตกั เตือนซึ่งกันและกัน ด้วยคำว่า“ท่านผู้เจริญข้าเจ้าขอปวารณาต่อสงฆ์ เพราะเห็นก็ดี เพราะได้ยินก็ดี เพราะ สงสัยก็ดี ขอท่านท้ังหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวข้าพเจ้า เม่ือข้าพเจ้าเห็นว่า ผดิ พลาด ก็จักแก้ไขปรบั ปรุงตวั เอง (วินย.มหา.(ไทย),4/226/259-261.) ทั้งหมดที่กล่าวมานี้แสดงว่า พระพุทธเจ้าทรงกำหนดวิธีการในการกำกับดูแล เพือ่ ให้พระสงฆ์มีวนิ ัยในตนเอง มีการประเมินตนเองและมีการกระจายอำนาจให้คณะสงฆ์ กำกบั ดแู ลกันเอง 2. เมือ่ มีในกรณีที่เกดิ ขอ้ พพิ าทขดั แยง้ การอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากของคณะสงฆ์ ในบางครั้งย่อมมีในกรณีที่เกิดข้อ พิพาทขัดแย้ง ซึ่งเรียกว่า“อธิกรณ์”ขึ้นในองค์กรสงฆ์ อันเนื่องมาจากพระสงฆ์บางรูปไม่ ยอมรับการกำกับดูแลน้ัน พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติวิธีระงับอธิกรณ์ ซึ่งเรียกว่า อธิกรณ สมถะ 7 ประการดงั น้ี คือ (วินย.มหา.(ไทย),2/503/332.) (1) สัมมุขาวินัย คือ วิธีระงับข้อพิพาทในที่พร้อมหน้าคณะสงฆ์ พร้อมหน้า บุคคล พร้อมหน้าวัตถุและพร้อมหน้าธรรม ประชุมพร้อมกันพิจารณาข้อกล่าวหาของฝ่าย โจทก์และคำแก้ตา่ งของฝา่ ยจำเลยแล้วตดั สิน โดยยึดหลักพระธรรมวินยั (2) สติวินัย คือ ระงับอธิกรณ์โดยเอาสติขึ้นเป็นหลักในกรณีที่มีผู้โจท พระ อรหนั ต์ด้วยลีลวิบัติ สงฆ์จะสวดประกาศสมมติให้แก่ผเู้ ป็นพระอรหนั ต์น้ันว่า“ทา่ นผู้นี้มีสติ สมบรู ณ์” เปน็ การบอกให้รวู้ า่ ใครจะโจทพระอรหนั ต์ดว้ ยอาบตั ิไม่ได้ (3) อมูฬหวินัย คือ ระงับโดยยกประโยชน์ให้ว่าต้องอาบัติใน ขณะเป็นบ้าใน กรณีที่มีผู้โจทภกิ ษุน้ันด้วยอาบัติที่ต้องในขณะเป็นบ้า สงฆ์จะสวดประกาศสมมติเพื่อไมใ่ ห้ ใครๆโจทด้วยอาบตั ิ (4) ปฏิญญาตกรณะ คือ วิธีการระงับอธิกรณ์โดยปรับอาบัติตามคำรับ สารภาพของจำเลย การแสดงอาบัติกถ็ ือวา่ เป็นปฏิญญาตกรณะ เชน่ เดียวกัน (5) เยภุยยสิกา คือ วิธีระงับข้อพิพาทโดยให้ที่ประชุมสงฆ์ออกเสียงชี้ขาด ฝ่ายทีไ่ ด้รับเสียงสนับสนุนข้างมากเปน็ ฝ่ายชนะ
118 Public Administration Science in Buddhism 118 (6) ตัสสปาปิยสิกา คือ วิธีระงับอธิกรณ์โดยตัดสินลงโทษแก่ผู้ กระทำผิด เมื่อสงฆพ์ ิจารณาตามหลกั ฐานพยานแล้วเห็นว่ามีความผดิ จริง แมเ้ ธอจะไม่รับสารภาพ (7) ติณวัตถารกะ คือ วิธีระงับข้อพิพาทด้วยการประนีประนอมยอมความ โดยที่คู่กรณีตกลงเลิกรากันไปไม่ต้องมีการชำระสะสางให้มากเร่ืองเหมือนเอาหญ้ามา กลบทบั ปัญหาไว้ กระบวนการกำกับดูแลความประพฤติของพระสงฆ์ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้น้ัน เป็นหลักประกันความม่ันคงและความบริสุทธิ์ผุดผ่องของคณะสงฆ์ ดังที่พระพุทธเจ้าตรัส ไว้ ว่า“เปรียบเหมือนมหาสมุทรไม่ร่วมกับซากศพที่ตายแล้วนั้นไปสู่ฝ่ัง ซัดขึ้นบกโดยพลัน บุคคลใดเป็นผู้ทุศีล มีธรรมลามก มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ สงฆ์ย่อมไม่ ร่วมกับบคุ คลน้ัน ย่อมประชุมกนั ยกเธอออกไปเสียโดยพลนั ถึงแมเ้ ธอนงั่ ในท่ามกลางภิกษุ สงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้นเธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ”เป็นต้น (วินย.จุล. (ไทย),7/457/227.) สรุปความ พระพุทธศาสนาอธิบายความสัมพันธ์ของการบริหารจัดการเกี่ยวข้องกับคนและ สิ่งแวดล้อม โดยคำนึงถึงคุณธรรมและจรยิ ธรรมที่มีคณุ ค่าพบได้ในสงั คมมนษุ ยห์ รอื ปัจจัย แห่งสังคมในกระบวนการอาศัยซึ่งกันและกัน การพิจารณาด้วยเหตดุ ้วยผล รู้จักโลก รู้จัก ธรรมชาติ เพราะมนุษยเ์ ท่าน้ันทีจ่ ะเปน็ ผทู้ ี่บริหารจดั การองค์การทีด่ ีได้ สำหรับในสว่ นของ หลักการบริหารสมัยใหม่จะเน้นเทคนิคและวิธีการ โดยแสวงหากำไร และการแข่งขันให้ องค์กรบรรลุ สู่เป้าหมาย ตามแบบของทุนนิยม แต่หากผู้บริหารจะนำหลักการบริหารเชิง พทุ ธศาสตร์เข้ามาประกอบหรือบูรณาการให้เข้ากับการบริหารงานในปจั จุบนั ก็ถือว่าเป็น แนวทางใหม่ หรือเข้าสู่มิติของการบริหารงาน ที่ย่ังยืน มีความมั่นคง และสร้างความเป็น ธรรมตอ่ บุคคลหรอื สังคมที่เกีย่ วข้องกบั องค์กรอยา่ งชาญฉลาด รวมท้ังสร้างประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ต่อการบริหารงานอย่างยั่งยืนและมั่นคง รวมท้ังจะเป็นหลักการของนัก บริหารในการบริหารจดั การองค์กรของตนอยา่ งมีระบบ โดยที่ยังมีคณุ ธรรมมาประกอบใน การพิจารณาบริหารจัดการในองค์กรใหม้ ีประสิทธิภาพยิ่งขึน้
รัฐประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 119 119 การบริหารองค์กรในทางพระพุทธศาสนา พระพทุ ธองค์ทรงมีพุทธวิธีบริหารโดย ยึดหลักธรรมาธิปไตยเป็นสำคัญด้วยเหตุผลที่ว่า ผู้บริหารเองต้องประพฤติธรรมและใช้ ธรรมเป็นหลักในการบริหาร พุทธวิธีบริหารจึงไม่เป็นทั้งเปน็ อัตตาธิปไตยและโลกาธิปไตย พทุ ธวิธีบริหารของพระพุทธเจ้าสามารถที่จะนำใช้ประยุกตใ์ ช้ในการบริหารบ้านเมืองในยุค ปัจจุบันได้เป็นอย่างดียิ่ง คือ (1) พุทธวิธีการวางแผน พระพุทธเจ้าได้ทรงวางแผนเพื่อ ประกาศพระศาสนา (2) พุทธวิธีการจัดองค์กร ในการรับสมาชิกใหม่เข้ามาบวชเป็น พระภิกษุในพระพุทธศาสนา ไม่มีการอนุญาตให้นำชาติ ช้ัน วรรณะหรือตำแหน่งหน้าที่ใน เพศฆราวาสเข้ามาในองค์กรคณะสงฆ์ (3) พุทธวิธีการบริหารงานบุคคล การบริหารงาน บุคคลในพระพุทธ ศาสนาเริ่มตั้งแต่การรับคนเข้ามาบวช ที่ต้องมีการกลั่นกรองโดยคณะ สงฆท์ รงมอบความเปน็ ใหญใ่ ห้คณะสงฆใ์ นการให้การอปุ สมบทแก่กุลบุตร (4) พทุ ธวิธีการ อำนวยการ การอำนวยการให้เกิดการดำเนินงานในพระพุทธศาสนาต้องอาศัยภาวะผู้นำ เป็นสำคญั (5) พุทธวิธีการกำกับดูแล การกำกับดูแลเป็นการควบคุมสมาชิกภายใน องคก์ รให้ปฏิบตั ิหน้าที่เพื่อบรรลุผลตามวตั ถปุ ระสงค์ที่วางไว้ พระพุทธเจ้าทรงการบญั ญัติ พระวนิ ัยเพื่อให้พระสงฆ์ใช้เปน็ มาตรฐานควบคุมความประพฤติให้เปน็ แบบเดียวกนั พุทธวิธีบริหารของพระพุทธเจ้าท้ัง 5 ประการ ผู้บริหารสามารถนำไป ประยุกต์ใช้กับการบริหารได้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้เป็นอย่างดี และผู้บริหารที่ดีต้อง เป็นธรรมาธิปไตย ยอมเสียสละประโยชน์สุขส่วนตนและเพื่อประโยชน์สุขที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่น คือประโยชน์สุขสว่ นรวม
120 Public Administration Science in Buddhism 120 ฝากธรรมยำ้ เตียน เกง่ กล้า เพราะจำเป็นตอ้ งสู้ รู้ เพราะเคยพลาด ฉลาด เพราะเคยผิด คดิ เป็น เพราะทกุ ข์ สขุ เพราะผ่านวกิ ฤติ
บทที่ 6 หลกั ธรหรลมกั ธรรมสำหรบั 6ส�ำหรบั การบริหารจกดั ากราบรภราิหคารรฐั จัดกบาทรทภี่าครฐั ความนำ การรู้จักเลือกหลักธรรมที่เหมาะสมเพื่อนำไปบริหารจัดการก็เปรียบเหมือนกับ ธรรมโอสถที่เหมาะสม นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน การเลือกหลักพุทธธรรมเพื่อนำมา บริหารจัดการได้อย่างเหมาะสม ย่อมทำให้ผบู้ ริหารย่อมบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เม่ือเรา ต้ังเป้าหมายว่าจะเป็นนักบริหารที่เก่งและดี เราควรเลือกพุทธธรรมอะไรบ้าง ที่จะนำมา เป็นหลกั ในการบริหารจัดการให้ประสบความสำเรจ็ ได้เป็นอย่างดียิง่ โดยเฉพาะหลักธรรม ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารตน การบริหารคนและการบริหารงาน ถึงแม้ว่าหลักพุทธธรรม ในพระพุทธศาสนาที่ใช้สำหรับการบริหารจัดการอาจมีอยู่มาก แต่ก็พอจะสามารถ ประมวลได้ เช่น ธรรมเป็นโลกบาล คือ คุ้มครองโลก ธรรมอันทำให้งาม ธรรมที่มีอุปการ มาก กุศลมูล คือพื้นฐานแห่งจริยธรรมฝ่ายดี ฆราวาสธรรม เป็นหลักธรรมสำหรับ ฆราวาส พรหมวิหารธรรม คือ ธรรมเป็นเคร่ืองอยู่ของผู้ใหญ่ สังคหวตั ถุ คือ ธรรมเคร่ือง ยึดเหนี่ยวน้ำใจ สำหรับผูกไมตรีเป็นจรรยาบรรณด้านมนุษยสัมพันธ์ ตลอดจนเป็นวิธีคิด แบบโยนิโสมนสิการล้วนแลว้ แต่มคี วามสำคัญต่อการบริหารจัดการทั้งสนิ้
122 Public Administration Science in Buddhism 122 ลกั ษณะพทุ ธธรรมสำหรบั การบริหารจดั การ พทุ ธธรรมสำหรับการบริหารทีค่ วรจะนำมาประพฤติเพื่อให้การบริหารจัดการให้ งานมปี ระสิทธิภาพและประสิทธิผลสำเร็จ พอทีจ่ ะสามารถแยกเป็น 2 ลกั ษณะ คือ 1. จริยธรรมตามหลกั นิติรฐั หลักการที่ว่า การบริหารงานใดได้ดำเนินการถูกต้องตามตัวบทกฎหมาย ถือว่า การบริหารงานน้ันถูกต้องตามหลักจริยธรรมแนวคิดนี้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจมีปัญหา เรื่องความไมค่ รอบคลมุ เพราะกฎหมาย มกั จะเกิดขนึ้ ภายหลังจากที่เกิดปัญหา และเพือ่ มิ ให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นซ้ำอีก จึงออกกฎหมายมาบังคับใช้ ดังนั้น กฎหมายที่มีอยู่ใน ปัจจุบัน จึงไม่เพียงพอในการกำกับพฤติกรรมการบริหารงานให้อยู่ในกรอบของจริยธรรม ได้ นอกจากน้ัน จริยธรรมตามหลักนิติรัฐยังมีจุดอ่อน กล่าวคือ ผู้มีอำนาจอาจจะ ละเว้นไม่ออกกฎหมายเพื่อลิดรอนสิทธิของกลุ่มตนเองก็ได้ สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงจุดอ่อน เช่น นักการเมืองไม่จดทะเบียนกับคู่สมรส เพื่อหลีก เลี่ยงข้อกฎหมายที่ระบุว่าคู่สมรส (สามี/ภรรยา) ของนักการเมืองต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินต่อสาธารณะ นักการเมืองหรือ ข้าราชการระดับสูงสั่งการด้วยวาจาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติในเร่ืองที่ไม่ถูกต้อง โดย ตนเองไม่ต้องมีความรับผิดชอบ การกำหนดตำแหน่งทางการเมืองที่มีอยู่นอกกรอบ กฎหมาย เช่น ตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีตำแหนง่ น้ีมิใช่ตำแหน่งทางการเมืองตามกฎหมาย ผู้ ดำรงตำแหน่งจึงไม่ต้องเปิดเผยทรพั ยส์ ินตอ่ สาธารณะ 2. จรยิ ธรรมตามมาตรฐานจริยธรรม ยึดหลักความพยายามแสวงหาว่าด้วยความดีที่ยึดถือควรเป็นอย่างไร แล้ว นำมาใช้เป็นมาตรฐานจริยธรรมกำหนด เป็นแนวทางปฏิบัติ (ประสาน มฤคพิทักษ์, 2549:59) จริยธรรมตามมาตรฐานจริยธรรมจึงมีความครอบคลุมกว้างขวางกว่า จริยธรรมตามหลักนิติรัฐ อย่างไรก็ตาม จริยธรรมตามมาตรฐานจริยธรรมมีจุดอ่อนที่ สำคัญ คือขาดบทบังคับการลงโทษเมื่อมีการละเมิด เป็นความแตกต่างจากจริยธรรมตาม หลักนิติรัฐ ความจริงแล้วจริยธรรมของการบริหารมีมาตั้งแต่โบราณกาลในสมัย สมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีหลักธรรมของพระเจ้าแผ่นดินเรียกว่า ทศพิธราชธรรม น่ันคือ
รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา 123 123 จริยธรรมในการปกครองราชอาณาจักร หลักธรรมหรือคำส่ังสอนของพระพุทธเจ้านั้น ถึงแม้ว่าจะมีมาต้ังแต่สมัยพุทธกาล แต่ทุกหลักธรรมยังคงทัน สมัยอยู่เสมอ สามารถ นำไปประยุกต์ใช้เป็นเคร่ืองดำเนินชีวิตและแนวทางในการบริหารงานได้เป็นอย่างดี ที่เป็น เช่นนี้ก็เพราะหลักธรรมดังกล่าวเป็นความจริงที่ สามารถพิสูจน์ได้ที่เรียกว่า“สัจธรรม” คุณธรรมจริยธรรมที่ถือว่าเป็นหน้าที่นี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า“หน้าที่ทางศีลธรรม”ทุก สังคมหรือทุกวัฒนธรรมย่อมกำหนดหน้าที่ทางศีลธรรมไว้สำหรับบุคคลอย่างน้อยก็เม่ือ อยู่ในบางสถานะหรือในบางสถานการณ์ หน้าที่ทางศีลธรรมต่างจากหน้าที่ตามกฎหมาย ปฏิบัติได้เห็นผลได้อย่างแท้จริงอยู่ที่เราจะนำหลักธรรมข้อใดมาใช้ให้เหมาะสมกับตัวเรา มากที่สุด (พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ ฺโต), 2545:64) ในอีกด้านหนึ่ง ก็ต้องระวังผู้ที่ใช้ศีลธรรมเป็นเคร่ืองมือสร้างประโยชน์ให้แก่ ตนเอง เช่น สร้างภาพว่าตนเอง เป็นคนมีคุณธรรมหรือใช้คุณธรรมบางข้อเป็นเคร่ือง ปกปิดความผิดที่ร้ายแรง การบริจาคเงินนั้นเป็นของดีที่น่าอนุโมทนา แต่คนที่บริจาคเงิน มากๆ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนดีเสมอไป ในสังคมที่เชิดชูคุณธรรมมักมีคนที่ชอบทำบุญ เอาหน้าท้ังๆที่เบื้องหลังนั้นสกปรก เราจึงไม่ควรชื่นชมใครเพียงเพราะเขาขยันบริจาคเงิน เท่าน้ัน หากควรดูพฤติกรรมอื่นๆประกอบด้วย ค่านิยมที่ยกย่องเชิดชูคนทำบุญเอาหน้า ไม่เพียงแต่จะเปิดโอกาสให้คนช่ัวขึ้นมามีหน้ามีตาในสังคมเท่านั้น หากยังจะบีบค้ันให้คน ยากจนต้องเป็นหนี้สินหนักขึ้น เพื่อจะได้มีเงินมาทำบุญมากๆหรือหมดเน้ือหมดตัวไปกับ งานบวชและงานศพเพียงเพือ่ จะได้ไมน่ ้อยหน้าคนอื่นเขา หลักธรรมสำหรบั การครองตน การนำหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนามาเป็นเคร่ืองกำกับในการบริหารงาน ทุกด้าน ย่อมเป็นการประสานแนวคิดในเชิงจริยธรรมของสังคม ให้มีการบริหารงานที่มี ประสิทธิภาพมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างการเลือกใช้พุทธธรรมที่เหมาะแก่การบริหารจัดการ กม็ ีส่วนสำคัญที่จะทำให้องคก์ รน้ันประสบผลสำเรจ็ หลักพุทธธรรมในพระพุทธศาสนาที่ใช้ สำหรับการบริหารจัดการสำหรับครองตน อาจมีอยู่มากแต่ก็พอจะสามารถประมวลได้ ดงั น้ี คือ
124 Public Administration Science in Buddhism 124 1. ธรรมเป็นโลกบาล เป็นธรรมคุ้มครองโลกที่ได้ชื่อว่า คุ้มครองโลกเพราะว่าเป็นธรรมสนับสนุน ชาวโลกให้รู้จักยับย้ังจิตและละอายตนเองไม่กล้าทำทุจริตปรุงแต่งอัธยาสัยและใจให้ บริสุทธิ์ท้ังประกอบด้วยการปลูกสวัสดิภาพและสันติอันถาวรและได้ชื่อว่า “เทวธรรม” เพราะเป็นแก่นแห่งมนุษยธรรม และทำให้จิตมนุษย์สูงเยี่ยงเทวดา แบ่งเป็น 2 อย่าง คือ (ขุ.ขุ.(ไทย),25/220/229.) 1) หิริ ความละอายแก่ใจ ต่อหน้าไม่ทำบาปลับหลังไม่กล้าประพฤติชั่ว ไม่ พัวพันทุจริตไม่ยอมเกี่ยวข้องคดีละเมิดกฎหมายและผิดศีลธรรมใจสูง ไม่นำพาสิ่งยั่วยวน ใฝ่ตำ่ 2) โอตตัปปะ ความเกรงกลัว ใจเกลียดพฤติกรรมชั่ว กลัวเกรงโทษผิดและ ทุกขภ์ ยั ไมเ่ สีย่ งทำผิดท้ังในทีล่ บั และทีแ่ จ้ง ผู้ที่นำหลั กธรรม เป็ นโล กบ าลไป ใช้ใน ก ารบ ริหารย่ อ ม ทำให้บุค ค ลนั้น มีค วาม สำนึกในหน้าที่และมีความรับผิดชอบต่อส่วนตนและส่วนรวม ด้วยความสุจริตใจจริงใจ และชอบด้วยศีลธรรมวางตนเปิดเผยตรงไปตรงมา สมเหตุสมผล ทั้งไม่เป็นพิษภัยต่อใคร ท้ังสิน้ 2. ธรรมอนั ทำให้งาม ธรรมอันทำให้งาม ที่ได้ชื่อว่าทำให้งามเพราะว่าผู้ที่มีหลักหลักธรรมนี้ย่อมทำให้ เป็นคนที่มีบุคลิกงาม สู้ทรหด บุกบั้นอย่างเด็ดเดี่ยว กล้าเผชิญหน้าต่ออุปสรรคและ ภยนั ตราย มีอัธยาสัยใจงาม น้ำใจอดทน เยือกเย็น ยิ้มรับการหยามหมิน่ และอดกล้ันสิ่งย่ัว ยแุ ละเย้ายวน มีลักษณะเป็น 2 อย่าง คือ (อง.เอก.(ไทย), 20/410/105.) 1) ขันติ คือความอดทนต่อทุกข์ยากลำบากตรากตรำในการประกอบกิจเลีย้ ง ชีพ และต่อภัยธรรมชาติต่างๆ เช่น หนาวร้อนและสตั ว์ร้ายเบียดเบียน อดกล้ันตอ่ คำกล่าว ล่วงเกิน อดใจตอ่ สง่ิ ยัว่ ยวนตา่ งๆ เปน็ ต้น 2) โสรัจจะ คือความสงบเสง่ียม น้ำใจองอาจ สู้ทนไม่วู่วามคุมสติอารมณ์ คงที่ ไม่หว่ันไหวเพราะรักและไม่หว่ันไหวเพราะชังน้ำใจหนักแน่นมั่นคง ไม่สะทกสะท้าน เป็นต้น
รัฐประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพทุ ธศาสนา 125 125 ผู้ที่นำหลักธรรมนี้ไปใช้ย่อมเป็นการสร้างนิสัยที่ดีงามสนใจเลือกเฉพาะงานที่ สุจริต ต้องตามประเพณีนิยม และเที่ยงธรรมสมเหตสุ มผล มีความตั้งใจประกอบภารกิจที่ กำลังทำ แม้จะยาก ด้วยความอดทนจริงจังแบบหนักเอา เบาสู้ด้วยความกล้าหาญ ย่อม ทำให้ชนะปัญหาและอุปสรรคตา่ งๆได้ 3. ธรรมมีอปุ การะมาก ทีไ่ ด้ชื่อว่าเป็นธรรมมอี ุปการะมากเพราะว่า เป็นคุณธรรมทีเ่ สริมสร้างทางดำเนิน ชีวิตให้ก้าวหน้าและสูงส่ง ตลอดจนเป็นคุณธรรมที่ส่งเสริมการศึกษาและปฏิบัติงานให้ สำเรจ็ เรียบร้อยรอบคอบ มี 2 อยา่ ง คือ (อง.เอก. (ไทย), 20/424/107.) 1) สติ ความระลึกได้ นึกถึงตนเองอยู่ตลอดเวลาโดยละเอียดถี่ถ้วน คือ ไม่ พล้ังเผลอ จนไม่รู้สกึ ตวั 2) สัมปชัญญะ ความรู้ตัว คือควบคุมกระแสจิตให้จดจ่อปรากฏปกติและ สม่ำเสมอด้วยระมัดระวังตลอดเวลา ผู้มีคุณธรรมนี้ย่อมทำให้เป็นผู้มีจิตที่ม่ันคง สามารถกลายเป็นขุมพลังและทรง อิทธิพลเหนือสภาพแวดล้อม โดยผ่านการนึกและอบรมอันถูกต้องตามระเบียบขั้นตอน คือ ก่อนจะทำ จะพูดจะคิดต้องไตร่ตรองเหตุผลอย่างรอบคอบและชอบธรรมทุกครั้ง ใจ มุ่งจดจ่อต่อสิ่งนั้นโดยสม่ำเสมอและมั่นคง ตรวจทานและปรังปรุงเพื่อเหมาะสมอยู่ ตลอดเวลา 4. กุศลมูล กุศลมลู คือ พ้ืนฐานแห่งจริยธรรมฝ่ายดี หรอื อาจจะเรียกว่า เป็นรากเหง้าต้นตอ ของส่งิ ดี ควรปลกู สร้างให้เกิดขึน้ ในจิตสนั ดานมี 3 อยา่ ง คือ (ที.ปา.(ไทย),11/394/292.) 1) อโลภะ ความไม่อยากได้ เช่น ไม่อยากได้ของเขาคิดแต่เสีย สละเกื้อกูล ผอู้ ืน่ สำนกึ ในสิทธิมนุษยชน ไม่เหน็ แก่ได้ กลับมีน้ำใจเสียสละโอบอ้อมอารี 2) อโทสะ ความไม่คิดประทุษร้ายไม่มีความขัดเคือง มีเมตตาประจำใจ ข่ม อารมณ์ ไม่วู่วาม รู้จกั ใหอ้ ภัยไม่ถือโทษและมีน้ำใจ เมตตาปรานี 3) อโมหะ ความไม่หลง ความรู้แจ้ง ความเข้าใจตามความเปน็ จริง มีปัญญา รอบคอบ เข้าใจเหตุผล และเฉลียวฉลาดทันตอ่ เหตุการณ์
126 Public Administration Science in Buddhism 126 เป็นหลกั ธรรมที่ปลูกจติ สำนึกให้มนษุ ยม์ ีคุณธรรมโดยไม่ปล่อยให้ความ เหน็ แก่ตัว ฝงั รากหย่ังลงลึกในจิตใจทำใหเ้ ป็นคนมีจิตใจกว้างขวาง รู้จกั เสียสละบำเพญ็ ประโยชน์ ทำ ให้ไม่เป็นคนประมาท ไม่หลงผิด เป็นคนมีเหตุผล รู้เท่าทันเหตุการณ์ช่วยเหลือตนเองและ ผอู้ ืน่ ได้ 4. ฆราวาสธรรม ธรรมสำหรับฆราวาส หรือจะเรียกว่าเป็นธรรมสำหรับการครองเรือนของ คฤหสั ถ์ ก็ได้ มี 4 อยา่ ง ดงั น้ีคอื (ส.ํ ส. (ไทย), 15/845/298.) 1) สัจจะ ความจรงิ ใจ ได้แก่ ความซือ่ ตรง ซื่อสัตย์จรงิ ใจพดู จริง ทำจรงิ 2) ทมะ คอื การฝึกฝนข่มจติ ได้แก่ การยับยั้งชง่ั ใจ ปรับอารมณ์โดยนึกเอา ใจเขามาใส่ใจเรา การรู้จักควบคุมจิตใจ ฝึกหัดดัดนิสัยแก้ไขข้อบกพร่อง ปรับปรุงตนเอง ให้เจรญิ ก้าวหน้าด้วยสติปญั ญา 3) ขันติ คือ ความอดทน ได้แก่ ความอดทนต่อความลำบากตรากตรำ ความเจ็บใจ อดทนสู้ในการประกอบสัมมาชีพ อดทนต่ออุปสรรคและอดกลั้นสิ่งสะเทือน ใจ 4) จาคะ คอื ความเสียสละ ความเปน็ ผู้มีจิตใจกว้างขวางเอือ้ เฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ คบั แคบเห็นแกต่ วั แบ่งปันสิ่งของของตน อดออมถนอมน้ำใจ หลักธรรมนี้จะเป็นฐานรองรับและเป็นหลักประกันของเกียรติฐานะและเกียรติ คณุ เป็นหลักการครองชีวิตของคฤหสั ถ์ เป็นเครื่องเสริมสร้างไมตรี ทำใหเ้ กิดสมั พันธ์อันดี ในสังคมในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ด้วยดี และมีความก้าวหน้าและประสบความสุขความ เจริญ
รัฐประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 127 127 หลักธรรมสำหรบั การครองคน วิธีการบริหารจัดการสำหรับการครองคน คือต้องรู้จักการจัดการงานโดยใช้ ทรัพยากรและบริหารคนอย่างคุ้มค่า โดยเลือกบุคคลที่เหมาะสมกับงาน จึงจะทำให้งานมี ความสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลการบริหารงาน เพื่อให้สำเร็จตาม เป้าหมาย ต้องเลือกบุคคลแล้วยังต้องมีเทคนิคการบริหารงานอย่างมีวัตถุประสงค์ด้วย การกำหนดเป้าหมายทีช่ ัดเจน ดังน้ี คือ 1) ต้องมีการกำหนดวัตถปุ ระสงคง์ านให้ชดั เจน 2) ต้องชีแ้ จงทำความเข้าใจ เกีย่ วกบั งานกับทีมงานให้ชดั เจน 3) กำหนดขั้นตอน เวลา และการใช้ทรัพยากร ผลงานทีต่ อ้ งการให้ชดั เจน 4) บริหารงานใหส้ ำเร็จตามเป้าหมาย ในบางครั้งความยุ่งยากในเร่ืองของการสื่อให้ทีมงาน ให้เข้าใจวัตถุ ประสงค์งาน กับทีมงาน บางโครงการที่เป็นงานยาก เจ้าหน้าที่มีความรู้ไม่เพียงพอที่จะเข้าใจเป้าหมาย งานว่าทำเพื่ออะไรหรือเข้าใจ ก็ไม่ใส่ใจเป้าหมายวัตถุประสงค์ของงาน จำเป็นต้องชี้แจง อย่างต่อเน่ืองและพากเพียรที่จะชี้แจงบ่อยๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกันโดยมุ่งให้งาน สำเร็จ การจัดวางบุคลากรให้เหมาะสมกับงาน บางโครงการเป็นงานยุ่งยาก สลับซับซ้อนต้องการคนที่มีความรู้ ความชำนาญในงานบางครั้งก็มีแต่เจ้าหน้าที่ใหม่ไม่มี ประสบการณห์ รอื ไม่เอาใจใสง่ านท้ังที่เป็นงานสำคัญมากการมอบ หมายงานใหต้ รงกับคน จึงสำคัญมากต่อการที่จะให้งานประสบความสำเร็จ ต้องไปแสวงหาข้อมูลบุคลากรอื่น จากเพื่อนร่วมงาน นิสัยการทำงานและสภาพครอบครัวที่เอื้อให้งานสำเร็จหรือไม่ ตรงนี้ ต้องมีภาวะผู้นำในการมอบหมายงานให้รอบคอบ ยตุ ิธรรม เฉลีย่ สัดสว่ นงานให้เหมาะสม ในการบริหารจัดการงานทุกอย่าง จึงจำเป็นที่จะต้องมีแนวทางในการทำงาน ร่วมกัน หรือหลักปฏิบัติ ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา การใช้หลักธรรม ในทางพระพทุ ธศาสนามาชว่ ยในการบริหารจัดการในปัจจุบนั จึงถือวา่ มีความจำเป็นอย่าง ยิ่ง สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารคนได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าหลักธรรมสำหรับ การบริหารน้ันอาจจะมีหลากหลาย แต่ในที่นี้จะนำเสนอไว้พอเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ได้แก่
128 Public Administration Science in Buddhism 128 1. พรหมวิหารธรรม เป็นธรรมเป็นเคร่ืองอยู่ของผู้ใหญ่ ธรรมประจำใจอันประเสริฐ มี 4 อย่าง คือ (ที. ม.(ไทย), 10/184/179.) 1) เมตตา ความรักใคร่ปรารถนาจะให้เป็นสุข เมตตา แปลว่า ความรัก ความปรารถนาดี มไี มตรีจติ คดิ จะช่วยให้ทกุ คนในโลกนีป้ ระสบประโยชน์และความสุขโดย ทั่วกัน จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของเมตตาน้ันอยู่ที่การฝึกอบรมจิตใจของเราเองเป็นสำคัญ คือฝึกจิตใจใหม้ ีความเยือกเยน็ 2) กรุณา ความสงสาร คิดจะช่วยให้พ้นทุกข์ กรุณา แปลว่า ความสงสาร คือ คิดจะช่วยเหลือผอู้ ื่นให้พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน ได้แก่ ใฝ่ใจที่จะปลดเปลื้อง บำบัดความทุกข์ยากเดือดร้อนของคนและสัตว์ทั้งปวง จึงเป็นคุณธรรมสำคัญที่จะทำให้ คนเป็นนักเสียสละพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้ความสุข เช่น เม่ือเกิด วาตภยั อุทกภยั หรอื อัคคีภัย 3) มุทิตา คือความพลอยยินดีในเม่ือเห็นผู้อื่นได้ดี มุทิตาได้แก่ ความชื่นบาน กลา่ วคือ ความพลอยยินดีด้วย ในเมือ่ เห็นผู้อ่ืนได้ดี ข้อนี้เปน็ หลกั ธรรมของผทู้ ี่มลี ักษณะใจ กว้างขวางยินดตี อ่ ความดขี องผู้อ่นื 4) อุเบกขา ความวางใจเป็นกลางความวางเฉยไม่ดีใจไม่เสียใจ เม่ือผู้อื่นถึง ความวิบัติอุเบกขา ได้แก่ การวางใจเป็นกลาง โดยพิจารณาข้อเท็จจริง กล่าวคือ ในการ ตัดสินใจเรอ่ื งใดๆ จะต้องพิจารณาใครค่ รวญด้วยปัญญา มเี หตุผลอย่างถูกต้อง ด้วยความ เที่ยงธรรม พรหมวิหารธรรมทั้ง 4 ประการนี้ เป็นธรรมเคร่ืองอยู่อย่างประเสริฐซึ่งจัดเป็น หลักธรรมประจำใจและกำกับความประพฤติ เป็นธรรมจำเป็นอย่างหนึ่งในสังคมไทย ซึ่ง ในปัจจุบันนี้อำนาจวัตถุนิยมบีบรัดให้ต้องเป็นคนใจแคบเห็นแก่ตัว การฝึกฝนให้สามารถ รกั และเมตตาแมแ้ ก่ศัตรขู องเราได้ ย่อมจะได้ชื่อวา่ เป็นชาวพทุ ธทีแ่ ท้จริง 2. อคตธิ รรม อคติธรรม ได้ชื่อว่าเป็นอุปสรรคของความยุติธรรม พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า คนที่ให้ความยุติธรรมแก่ผู้อื่นไม่ได้ ก็เพราะลำเอียงในสิ่งที่ทรงเรียกว่า อคติ ซึ่งแปลว่า
รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา 129 129 ทางผิดหรือความลำเอียงไม่มีความเที่ยงธรรม มี 4 ประการ คือ (อง.จตุกฺก.(ไทย),21/17- 19/ 20.) 1) ฉันทาคติ คือ ความลำเอียงเพราะรกั ใคร่กนั หรอื ชอบพอกนั คือ ทำใหเ้ สีย ความยุติธรรม ผู้เป็นหัวหน้าหรือผู้บังคับบัญชาจะมีฉันทาคติ เพราะลุอำนาจแก่ความรัก ใคร่ชอบใจคนใกล้ชิดหรือเป็นพวกของตน เช่น คนที่ตนรักทำความผิดสมควรจะลงโทษก็ ไมล่ ง คนทีต่ นรักไม่สมควรที่จะได้รบั การยกยอ่ งกย็ กยอ่ ง เปน็ ต้น 2) โทสาคติ คือ ความลำเอียง เพราะโกรธหรือไม่ชอบกันทำลายความ ยุติธรรมเพราะลอุ ำนาจแก่ความเกลียดชังไม่ชอบใจ 3) โมหาคติ คือ ความลำเอียงเพราะหลง คือโง่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่รู้หรือ สะเพร่า เช่น ครลู งโทษนักเรียนที่ทะเลาะวิวาทกัน โดยไม่ได้สอบสวนให้ละเอียดวา่ ใครผิด ใครถูกใครผิดมากผิดน้อยเพียงฟังคำบอกเล่าของนักเรียนบางคน ซึ่งอาจพูดไม่จริงหรือ สันนิษฐานเอาเอง แล้วลงโทษเท่ากันหมดทุกคน ทำให้นักเรียนที่ไม่ผิดไม่ได้รับความเป็น ธรรม เป็นต้น 4) ภยาคติ คือความลำเอียงเพราะความกลัวในการให้คุณให้โทษ เช่น อาจารย์เป็นกรรมการพิจารณาให้ทุนนักเรียนดีเด่น นักเรียนผู้สมัครเป็นบุตรของ ผบู้ งั คับบญั ชาด้วยคนหนึง่ และผบู้ ังคบั บัญชาได้ฝากฝังให้ชว่ ยดูและจงึ พิจารณาให้ได้รบั ทุน ท้ังๆที่เรียนก็เท่าๆกับคนอื่นหรือสู้คนอื่นไม่ได้ ทั้งนี้เพราะกลัวผู้บังคับบัญชาจะกลั่นแกล้ง หรอื หาเรื่องไมข่ ึ้นเงนิ เดือนให้ เป็นต้น 3. สังคหวตั ถุ เป็นธรรมเคร่ืองยึดเหนี่ยวน้ำใจ สำหรับผูกไมตรีเป็นจรรยาบรรณด้านมนุษย สมั พันธ์ สามารถครองใจคนได้ มี 4 ประการ ได้แก่ (อง.จตุกฺก.(ไทย), 21/32/ 37,38.) 1) ทาน หมายถึงการให้ (โอบอ้อมอารี) นักบริหารที่ดีต้องมีน้ำใจรู้จัก เอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่ ให้ทานแก่เพื่อนร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชา การให้ทานจะช่วยให้ผูกใจ คนอื่นไว้ได้ ดังพุทธพจน์ที่ว่า“ทโท คนฺถติ มิตฺตานิ ผู้ให้ย่อมผูกใจมิตรไว้ได้”ผู้ให้สิ่งดีย่อม ได้รับสิ่งที่ดีตอบแทน ดังพระบาลีที่ว่า“มนาปทายี ลภเต มนาปํ ผู้ให้สิ่งที่น่าพอใจย่อม ได้รับสิง่ ทีน่ า่ พอใจ”นักบริหารอาจให้ทานได้ 3 วิธี ดังนี้ คือ
130 Public Administration Science in Buddhism 130 ก .อ า มิ ส ท า น ห ม า ย ถึ ง ก า ร ให้ สิ่ งข อ งแ ก่ เพื่ อ ร่ ว ม งา น แ ล ะ ผู้ใต้บังคับบัญชา ในยามที่เขาตกต่ำหรือมีความเดือดร้อน ดังภาษิตอังกฤษที่ว่า“เพื่อนแท้ คือเพื่อนที่ช่วยเหลือในยามตกยาก”การให้รางวัลหรือขึ้นเงินเดือนก็จัดเข้าในอามิสทาน ด้วย ข.วิทยาทาน คือ ธรรมทาน หมายถึง การให้คำแนะนำหรือสอนวิธีการ ทำงานทีถ่ กู ต้อง รวมถึงการจดั หลักสตู รพัฒนาบคุ ลากรหรอื สง่ ไปศกึ ษาและดงู าน ค.อภัยทาน หมายถึง การให้อภัยเม่ือเกิดข้อผิดพลาดในการทำงานหรือ ล่วงเกินซึ่งกันและกัน การให้อภัยไม่ทำให้ผู้ให้ต้องสูญเสียอะไร เป็นการลงทุนราคาถูกแต่ ได้ผลตอบแทนราคาสูง นั่นคือ ได้มิตรภาพกลับคืนมาและมีคนสนองงานเพิ่มขึ้นอีกคน หน่ึง มีภาษิตจีนว่า“มีมิตร 500 คน นับว่ายังน้อยเกินไปมีศัตรู 1 คน นบั ว่ามากเกินไป”อับ ราฮัม ลนิ คอล์น กล่าวว่า“วิธีทำลายศตั รูทีด่ ที ี่สุดคือเปลี่ยนศตั รูให้เป็นมิตร”เราจะทำอยา่ ง น้ันได้ก็ต่อเมื่อเรารู้จักการให้อภัย 2) ปิยวาจา หมายถึงการพูดถ้อยคำไพเราะอ่อนหวานนักบริหารที่ดีจะรู้จัก ผูกใจคนด้วยคำพูดอ่อนหวาน คำพูดหยาบกระด้างผูกใจใครไม่ได้ ตามปกติคนเราจะมัด สิ่งของต้องใช้ของอ่อน เช่น เชือกหรือลวดมัด ในทำนองเดียวกัน เราจะมัดใจคนได้ก็ด้วย ถ้อยคำออ่ นหวาน 3) อัตถจริยา หมายถึงการทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น (สงเคราะห์ ประชาชน) ตรงกบั คำพงั เพยทีว่ า่ อยู่บ้านท่านอย่านง่ิ ดูดาย ป้ันวัวควายให้ลกู ท่านเล่น นักบริหารทำอัตถจริยาได้หลายวิธี เช่น บริการช่วยเหลือยามเขาปว่ ยไข้หรือเปน็ ประธานในงานพิธีของผอู้ ยใู่ ต้บงั คับบัญชา เป็นต้น 4) สมานัตตา หมายถึง การวางตัวสม่ำเสมอ (วางตัวพอดี) เม่ือนับริหารไม่ ทอดทิ้งผู้ร่วมงานทั้งหลาย เขาจึงสามารถสร้างทีมงานขึ้นมาได้ นั่นคือถือคติว่า“มีทุกข์ รว่ มทุกข์ มีสขุ รว่ มเสพ”นกั บริหารต้องกล้ารับผิดชอบในผลการตดั สินใจของตน ถ้าผลเสีย ตกมาถึงผู้ปฏิบัติตามคำสั่งของตน นักบริหารต้องออกมาปกป้องคนน้ัน ไม่ใช่หนีเอาตัว รอดตามลำพงั สังคหวัตถุ 4 ประการนี้ เป็นหลักธรรมที่สร้างความผาสุกแก่เพื่อนมนุษย์ ส่งเสริมเศรษฐกิจสงั คมให้คล่องตัวสรา้ งความเยื่อใยไมตรจี ติ กระชับมนษุ ยสมั พนั ธ์
รัฐประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพทุ ธศาสนา 131 131 4. สัปปุริสธรรม เป็นธรรมอันเป็นสมบัติของคนดีผู้มีสกุลวางตัวพอดีพอเหมาะแก่สมาคมสมแก่ กาลเทศะสถานที่ มี 7 อยา่ ง ดังน้ี (อง.สตฺตก.(ไทย), 23/65/114-117.) 1) ธัมมัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักเหตุ รู้ชัดถึงเหตุแห่งความทกุ ข์ เดือดร้อน และบอ่ เกิดแห่งความผาสกุ เช่น รู้จักว่า สิง่ นเี้ ปน็ เหตแุ ห่งสุข สิ่งนีเ้ ปน็ เหตุแห่งทุกข์ 2) อัตถัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักผล รู้ซึ้งถึงความเจริญสุขและทุกข์โทษ สืบมาแต่บาปทุจรติ เชน่ รู้จักวา่ สขุ เป็นผลแหง่ เหตอุ ันน้ี ทุกขเ์ ปน็ ผลแห่งเหตุอันน้ี 3) อัตตัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักตนว่า เราว่าโดยชาติตระกูล ยศศักดิ์ สมบัติ บริวาร ความรู้และคุณธรรมเพียงเท่านี้ แล้วประพฤติตนให้สมควรแก่ที่เป็นอยู่ อยา่ งไร 4) มัตตัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้ประมาณ ในการแสวงหาเคร่ืองเลี้ยงชีวิต แตโ่ ดยทางทีช่ อบ และรู้จักประมาณในการบริโภคแตพ่ อควรแกฐ่ านะในการบริโภค 5) กาลัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักกาลเวลาอันสมควรในอันประกอบกิจ นั้นๆ จัดสรรกิจการใหถ้ ูกจงั หวะของกาลเวลา 6) ปริสัญญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักชุมชนและกิริยาที่จะต้องประพฤติต่อ ชุมชนน้ันๆว่า หมู่นี้เม่ือเข้าไปหา จะต้องทำกิริยาอย่างนี้ จะต้องพูดอย่างนี้ เข้าใจปรับ บุคลิกภาพของตนเองให้สอดคล้องกับสมาคมทุกระดับชั้น 7) ปุคคลปโรปรญั ญุตา คือ ความเป็นผู้รู้จักเลือกบคุ คลวา่ ผนู้ ีเ้ ปน็ คนดีควร คบ ผู้นี้เป็นคนไม่ดี ไม่ควรคบ อ่านอัธยาสัยคนออกด้วยจิตของตน ถ่อมตัวหรือยกย่อง ผอู้ ื่นสมแก่กรณี 5. ทศพิธราชธรรม ทศพิธราชธรรม เป็นหัวข้อธรรมะที่มีผู้สนใจกันมากเพราะเป็นธรรมะของ ผู้ปกครองโดยทั่วไป มิได้เจาะจงว่าต้องเป็นของพระมหากษัตริย์เท่านั้น ธรรมะในข้อนี้ เป็นได้มีการบัญญัติขึ้นก่อนสมัยพุทธกาล อาจกล่าวได้ว่าเป็นปรัชญาทางการเมืองการ ปกครองของโลกตะวันออก ที่วางกรอบปฏิบัติหรือธรรมนูญของผู้มีอำนาจปกครองให้มี ความเป็นไปโดยธรรมและยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชนจนเกิดความชื่นชมยินดี ซึ่ง ความจริงแล้วไม่ได้จำเพาะเจาะจงสำหรับพระเจ้าแผ่นดินหรือผู้ปกครองแผ่นดินเท่าน้ัน
132 Public Administration Science in Buddhism 132 บุคคลธรรมดาที่เป็นผู้บริหารระดับสูงในทุกองค์กรกพ็ ึงใช้หลักธรรมเหล่านี้ มี 10 ประการ คือ (ขุ.ชา.(ไทย), 28/240/61.) 1) ทาน การให้ คือ สละทรัพย์สิ่งของบำรุงเลี้ยง ช่วยเหลือประชาราษฎร์ และบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ นอกจากเสียสละทรัพย์สิ่งของแล้วยังหมายถึง การให้ น้ำใจแก่ผู้อน่ื ด้วย 2) ศีล ความประพฤติดีงาม คือ สำรวมกายและวจีทวารประกอบแต่การ สุจริตรักษากิตติคุณให้ควรเป็นตัวอย่าง และเป็นที่เคารพนับถือของประชาราษฎร์ มิให้มี ข้อที่ใครจะดูแคลนประพฤติแต่สิ่งที่ดีงาม ท้ังกาย วาจา และใจ ให้ปราศจากโทษ ทั้งใน การปกครอง อันได้แก่ กฎหมายและนติ ิราชประเพณีและในทางศาสนา 3) ปริจจาคะ การบริจาค คือ เสียสละความสุขสำราญ ตลอดจนชีวิตของ ตนเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง การเสียสละ ความสุขสว่ นตน เพื่อความสขุ สว่ นรวม 4) อาชชวะ ความซื่อตรง คือ ซื่อตรงทรงสัตย์ปฏิบัติภารกิจโดยสุจริตมี ความจริงใจ ไม่หลอกลวงประชาชน มีความซื่อตรงในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง ดำรงอยู่ใน สัตย์สจุ ริต 5) มัททวะ ความอ่อนโยน คือ มีอัธยาศัยไม่เย่อหยิ่ง หยาบคายกระด้างมี ความงามสง่าเกิดแต่ท่วงทีกิริยาสุภาพนุ่มนวลละมุนละไม ให้ได้ความรักภักดีแต่มิขาดยำ เกรงการมีอัธยาศัยอ่อนโยน เคารพในเหตุผลที่ควร มีสัมมาคารวะต่อผู้อาวุโสและ ออ่ นโยนตอ่ บคุ คลทีเ่ สมอกันและตำ่ กวา่ 6) ตปะ ความทรงเดช คือ แผดเผากิเลสตัณหามิให้เข้ามาครอบ ครองย่ำยี จิตระงับยับยั้งข่มใจได้ ไม่ยอมให้หลงใหลหมกมุ่นในความสุขสำราญและความปรนเปรอ มีความเป็นอยู่สม่ำเสมอหรืออย่างสามัญ มุ่งมั่นแต่จะบำเพ็ญเพียรทำกิจให้บริบูรณ์หรือ ความเพียร มีความอตุ สาหะในการปฏิบัติงาน โดยปราศจากความเกียจครา้ น 7) อักโกธะ ความไม่โกรธ คือ ไม่เกรี้ยวกราด ลุอำนาจความโกรธจนเป็น เหตุให้วินิจฉัยความและกระทำการต่างๆผิดพลาดเสียธรรม มีเมตตาประจำใจไว้ระงับ ความเคืองขุ่นวินิจฉัยความและกระทำการด้วยจิตอันราบเรียบเป็นตัวของตนเองหรือ ความไมแ่ สดงความโกรธใหป้ รากฏ ไมม่ ุ่งรา้ ยผู้อน่ื แมจ้ ะลงโทษผทู้ ำผดิ ก็ทำตามเหตุผล
รัฐประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 133 133 8) อวิหงิ สา ความไม่เบียดเบียน คือ ไมบ่ ีบค้ันกดขี่ เช่น เก็บภาษีขูดรีดหรือ เกณฑ์แรงงานเกินขนาด ไม่หลงระเริงอำนาจขาดความกรุณา หาเหตุเบียดเบียนลงโทษ อาชญาแก่ประชาราษฎร์ผู้ใดเพราะอาศัยความอาฆาตเกลียดชัง การไม่เบียดเบียน หรือ บีบค้ัน ไมก่ อ่ ทุกข์หรือเบียดเบียนผู้อ่นื 9) ขันติ ความอดทน คือ อดทนต่องานที่ตรากตรำ ถึงจะลำบากกายน่า เหน่ือยหน่ายเพียงไรก็ไม่ท้อลอย ถึงจะถูกยั่วถูกหยันด้วยคำเสียดสีถากถางอย่างใด ก็ไม่ หมดกำลังใจไม่ยอมทิ้งกรณีที่บำเพ็ญโดยชอบธรรมการมีความอดทนต่อสิ่งท้ังปวง รกั ษา อาการ กาย วาจา ใจใหเ้ รียบร้อย 10) อวิโรธนะ ความไม่คลาดธรรม คือ วางองค์เป็นหลักหนักแน่นใน ธรรม คงที่ไม่มีความเอนเอียงหวั่นไหวเพราะถ้อยคำที่ดีร้ายลาภสักการะหรืออิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ใดๆสถิตมั่นในธรรมทั้งส่วนยุติธรรมคือความเที่ยงธรรมก็ดี นิติธรรมคือ ระเบียบแบบแผนหลักการปกครอง ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามก็ดี ไม่ ประพฤติใหเ้ คลือ่ นคลาดวิบัติไป ทศพิธราชธรรมทั้ง10ประการนี้ เป็นคุณธรรมของพระมหากษัตริย์ในระบอบ ป ระชาธิป ไตย นำมาใช้เพ ราะหลัก วิชาก ารท างรัฐศาสตร์ก็ รั บ รองต้องกั นว่าเน่ืองจาก พระมหากษัตริย์ทรงเป็นกลางในทางการเมือง ไม่ทรงฝักใฝ่เป็นข้างเดียวกับพรรค การเมอื งใดหรือบุคคลใดในทางการเมือง ดังนั้น คุณ ประโยชน์อันสำคัญ ที่สุดที่พระมหากษัตริย์จะทรงทำให้แก่ ประเทศชาติและเป็นเร่ืองยากที่ผู้อื่นจะสามารถทำได้ คือ การประสมประสานสร้างความ สามัคคีในชาติ เป็นธรรมดาที่ผลประโยชน์ทางการเมืองอาจทำให้เกิดความแตกแยกใน ระหว่างพรรคการเมือง หรือการแก่งแย่งแข่งดีในระหว่างบุคคลสำคัญของชาติ แต่ พระมหากษตั ริย์ทรงเป็นที่เคารพสักการะของทุกพรรคทุกฝ่ายและเป็นที่เชื่อมัน่ ได้ว่า ทรง ยึดมั่นตอ่ ผลประโยชนข์ องประเทศชาติเปน็ ใหญ่
134 Public Administration Science in Buddhism 134 หลักธรรมสำหรบั การครองงาน การนำพุทธธรรมสำหรับการครองงานนั้น จะต้องมีความรอบรู้เกี่ยวกับคน รว่ มงาน นกั บริหารต้องรู้วา่ ใครมีความสามารถในด้านใด เพื่อจะได้ใช้งานให้เหมาะกับงาน และต้องรอบรู้เกี่ยวกับงานในความรับผิดชอบเพื่อประโยชน์ในการวางแผนบรรจุบุคลากร อำนวยการและติดตามประเมินผล ความรเู้ รื่องงานมี 2 ลกั ษณะ คือ รู้เท่าและรู้ทนั รู้เท่า คือ ความรู้รอบด้านเกี่ยวกับงานว่ามีขั้นตอนอย่างไรและมีส่วนเกี่ยวข้อง กับคนอ่ืนๆ อย่างไร และยังหมายถึงความรู้เทา่ ถึงการณใ์ นเมื่อเห็นเหตุแล้วคาดว่าผลอะไร จะตามมา แล้วเตรียมการป้องกันไว้ เหมือนคนขับรถลงภูเขาที่เขาชินกับเส้นทางว่าที่ใดมี เหวหรือเป็นทางโค้งอันตราย แล้วขับอย่างระมัดระวังเม่ือถึงที่นั้น ความรู้เท่าจึงช่วยให้มี การป้องกันไว้กอ่ น รู้ทัน คือ หมายถึงความรู้เท่าทันสถานการณ์ เม่ือเกิดปัญหาขึ้นก็สามารถ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ดังกรณีของคนทีข่ ับรถลงจากภูเขาแล้วรถเบรกแตก เม่อื เจอกับ ปญั หาเชน่ น้ัน เขาตัดสินใจฉับพลันว่าจะทำอย่างไร น้ันเปน็ ความรู้ทันเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะ หน้า ความรู้เกี่ยวกับงานจงึ ได้แก่ ความรู้เท่าและความรู้ทัน รู้เท่าเอาไว้ป้องกัน รทู้ ันเอาไว้ แก้ไข เป็นต้น (พระธรรมโกศาจารย์ (ประยรู ธมฺมจิตฺโต), 2549:51) พุทธธรรมสำหรับการครองงานมีหลากหลาย ขึ้นอยู่กับผู้บริหารที่จะนำมา ประยุกตใ์ ช้ในการบริหารแต่ละงาน พอทีจ่ ะสามารถนำมาเพื่อเปน็ แนวทางได้ ดังน้ี 1. สจุ รติ เป็นความประพฤติชอบ ประกอบด้วยมนุษยธรรม ทำด้วยกาย วาจาและใจ สุจริต คือ พฤติกรรมบริสุทธิ์ ประกอบแต่ประโยชน์สุข เป็นธรรมพึงกระทำโดยแท้ มี 3 อยา่ ง ดงั น้ี (อภ.ิ สํ.(ไทย), 34/840/290.) 1) กายสุจริต ความประพฤติชอบด้วยกาย คือ เว้นจากการทรมาน เบียดเบียนหรือทำลาย ฆ่าสิ่งมีชีวิตให้ถึงตาย เว้นจากการประพฤติเยี่ยงโจร ลักขโมย ทรัพย์สินของผู้อื่นและเว้นจากการล่วงประเวณีทางเพศ ฝืนจารีตนิยมและไม่ชอบด้วย กฎหมาย
รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 135 135 2) วจีสุจริต ความประพฤติชอบด้วยวาจา คือ เว้นจากการพูดเท็จ หลอกลวงทำให้คนอื่นหลงเชื่อ เว้นจากการพูดส่อเสียด ยุยงฝ่ายนี้ให้เข้าใจผิดฝ่ายโน้น แกล้งให้สองฝ่ายบาดหมางกัน เว้นจากการพูดคำหยาบ เยาะเย้ย เสียดสี เพื่อให้ผู้ฟัง เดือดร้อนและแค้นใจและเว้นจากการพดู เพ้อเจอ้ ใช้ภาษาพลอ่ ยๆเหลวไหลไม่เหมาะสมแก่ บคุ คลและสถานที่ 3) มโนสุจริต ความประพฤติชอบด้วยใจ คือ เว้นจากความคิดโลภ เหน็ แก่ ตัว ดิ้นรนเพื่อต้องครอบครองสิ่งของผู้อื่น เว้นจากการพยาบาทปองร้ายจองเวรผูกเวร หมายจะผลาญชีวิตและทำลายชีวิตผู้อื่นและเห็นชอบตามทำนองคลองธรรมมีความ คิดเหน็ ทีถ่ ูกต้อง 2. อิทธิบาท อิทธิบาท แปลว่า บาทฐานแหง่ ความสำเร็จ หมายถึง ส่งิ ซึง่ มีคุณธรรม เครื่องให้ ลุถึงความสำเร็จตามที่ตนประสงค์ ผู้หวังความสำเร็จในสิ่งใดต้องทำตนให้สมบูรณ์ เรียกวา่ อิทธิบาทซึ่งจำแนกไว้เป็น 4 อย่าง คือ (อภ.ิ วิ.(ไทย), 35/505/294.) 1) ฉันทะ คือความพอใจ ในฐานะเป็นสิ่งที่ตนถือว่า ดีที่สุดที่มนุษย์เราควร จะได้ ข้อน้ี เปน็ กำลงั ใจ อนั แรกที่ทำให้เกิดคุณธรรม ข้อต่อไปทกุ ข้อ 2) วิริยะ คือความพากเพียร หมายถึง การกระทำที่ติดต่อไม่ขาดตอนเป็น ระยะยาวจนประสบความสำเร็จคำนีม้ ีความหมายของความกล้าหาญเจอื อยู่ด้วยสว่ นหนึง่ 3) จิตตะ คือ ความไม่ทอดท้ิงสิ่งนั้น ไปจากความรู้สึกของตัว ทำสิ่งซึ่งเป็น วัตถุประสงค์นั้นให้เด่นชัด อยู่ในใจเสมอ คำนี้รวมความหมายของคำว่า สมาธิ อยู่ด้วย อยา่ งเต็มที่ 4) วิมังสา คือ ความสอดส่องในเหตุและผลแห่งความสำเร็จ เกี่ยวกับ เร่ืองน้ันๆให้ลึกซึ้งยิ่งๆขึ้นไปตลอดเวลา คำนี้รวมความหมายของคำว่าปัญญาไว้อย่าง เต็มที่บุคคลเม่ือประกอบด้วยคุณธรรม 4 อย่างนี้แล้ว ย่อมประสบความสำเร็จในสิ่งที่ไม่ เหลือวิสัยของมนุษย์ ซึ่งโดยตรงแล้ว หมายถึง ความดับทุกข์โดยสิ้นเชิงตลอดจนสามารถ นำไปประยุกตใ์ ช้ในการบริหารจัดการได้เปน็ อย่างดี
136 Public Administration Science in Buddhism 136 3. โยนิโสมนสิการ โยนิโสมนสิการ หมายถึง การทำในใจให้แยบคาย กล่าวคือการพิจารณาอย่าง รอบคอบถี่ถ้วน ทางพุทธศาสนาถือว่ามีคุณค่าเท่ากับความไม่ประมาทหรือ\"อัปมาท\" ซึ่ง เป็นแหลง่ รวมแห่งธรรมฝา่ ยดีหรอื \"กุศลธรรม\" (ส.ํ ม.(ไทย),19/464/129.) นอกจากน้ัน ยังจัดเป็นธรรมะข้อหนึ่งในกลุ่มธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญด้วย ปัญญาและเป็นธรรมะมีอุปการะมากแก่มนุษย์ (อง.จตุกกฺ .(ไทย), 12/268, 269/332.) การ ใช้ความคิดถูกวิธี ความรู้จักคิด คิดเป็น คือ ทำในใจโดยแยบคาย การใช้ความคิดถูกวิธี คือ การกระทำในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณาสืบค้นถึงต้นเค้า สาวหาเหตผุ ล จนตลอดสายแยกแยะออกพิเคราะห์ดดู ้วยปัญญาที่คิดเป็นระเบียบและโดย อุบายวิธีให้เห็นสิ่งน้ันๆหรือปัญหาน้ันๆตามสภาวะและตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย (พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต, 2546:30) วิธีโยนิโสมนสิการ พอประมวลเป็นแบบ ใหญ่ได้ 10 วิธี ดงั ต่อไปนี้ 1) วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย วิธีนี้เป็นวิธีคิดตามแบบของหลัก ปฏิจจสมุปบาทเป็นแบบพืน้ ฐาน โดยพิจารณาปัญหาหาหนทางแก้ไขด้วยการค้นหาสาเหตุ และปจั จยั ต่างๆทีส่ มั พันธ์ มีอยู่ 2 แนว คือ ก. คิดแบบปัจจัยสัมพันธ์ โดยถือหลักว่า สิ่งทั้งหลายย่อมต้องอาศัยซึ่ง กันและกันจึงเกิดขึ้นพร้อมกัน เช่น“เม่ือสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึง เกิดข้ึน เมือ่ ส่งิ น้ไี มม่ ี สิ่งนีจ้ งึ ไม่มีเพราะสิง่ นีด้ ับ สิง่ นีจ้ งึ ดับ” ข. คิดแบบสอบสวนหรือต้ังคำถาม เช่น อุปาทานมีเพราะอะไรเป็น ปัจจัยฯ เม่ือคิดแบบโยนิโสมนสิการจึงรู้ได้ด้วยปัญญาว่า อุปาทานมีเพราะตัณหาเป็น ปัจจัย ตัณหามีเพราะอะไรเป็นปัจจัย เม่ือคิดแบบโยนิโสมนสิการ จึงรู้ด้วยปัญญาว่า ตัณหามีเพราะเวทนาเป็นปจั จัย 2) วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ หรือกระจายเนื้อหาเป็นการคิดที่มุ่ง ให้มองและรู้จักสิ่งทั้งหลายตามสภาวะของมันเองเป็นวิธีคิดแบบวิเคราะห์เป็นการคิด พิจารณาที่แยกแยะโดยถือเอานามรูปเป็นหลัก คือไม่มองสัตว์บุคคลตามสมมุติบัญญัติว่า เป็นเขาเป็นเราเป็นนายน่ันนายนี่ แต่มองตามสภาวะแยกออก ไปว่าเป็นนามธรรมและ รปู ธรรมกำหนดส่วนประกอบท้ังหลายที่รวมกันอยู่แต่ละอย่างว่า อย่างน้ันเป็นรูป อย่างนี้
รฐั ประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา 137 137 เป็นนาม เม่ือแยกแยะออกไปแล้วก็มีแต่นามกับรูปหรอื นามธรรมกบั รปู ธรรม ในเวลาที่พบ เห็นสัตว์และสิ่งต่างๆ ก็จะมองว่าเป็นเพียงกองแห่งนามธรรมและรูปธรรมเป็นกระแส ความคิดที่คอยช่วยต้านทานไม่ให้หลงใหลติดยึดสมมุติบัญญัติมากเกินไป ให้มองเห็นเป็น เพียงสภาวะว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์เปน็ คน 3) วิธีคิดแบบสามัญลกั ษณ์ หรือวิธีคิดแบบรู้เทา่ ทันธรรมดา หมายถึง การ รู้เท่าทันความเป็นไปของสิ่งท้ังหลาย เช่น มีการเกิด เปลี่ยนแลงและดับสลายไปในที่สุด เป็นต้น เป็นการรู้เท่าทันว่าสิ่งท้ังหลายที่เป็นธรรมชาติย่อมเกิดจากเหตุปัจจัยและขึ้นต่อ เหตุปัจจยั เชน่ เดียวกนั วิธีคิดแบบนีแ้ บ่งได้เป็น 2 ขั้นตอน คือ ขั้นท่ีหนึ่ง คือ รู้เทา่ ทันและยอมรับความจริง ข้ันท่ีสอง คือ การคิดแก้ไขและทำการไปตามเหตุปัจจัยเป็นการปฏิบัติ ด้วยปญั ญากลา่ วคือ เมือ่ รแู้ ละเข้าใจเหตุปจั จัยแล้วกจ็ ัดการที่ด้วยเหตปุ จั จัยน้ัน 4) วิธีคิดแบบอรยิ สจั หรอื คิดแบบแก้ปญั หาเป็นวิธีคิดทีส่ ามารถขยายให้ ครอบคลุมวิธีคิดแบบอืน่ ๆได้ทั้งหมดมวี ิธีคิด 2 วิธี ดังน้ี คอื ก.วิธีคิดตามเหตุผล เป็นการสบื สาวจากผลไปหาเหตุแลว้ แก้ไขทีเ่ หตุ ข.วิธีคดิ ทต่ี รงจุดตรงเรื่อง เปน็ การคิดอยา่ งตรงไปตรงมา นำเอาสิง่ หรือ เรื่องที่ตอ้ งเกี่ยวข้องมาใช้ในการแก้ปัญหาไมน่ ำสิง่ หรอื เรือ่ งทีใ่ ช้ปฏิบตั ิไมไ่ ด้เข้ามาเกีย่ วข้อง 5) วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ เป็นวิธีคิดตามหลักการและความมุ่ง หมาย คือพิจารณาให้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างธรรม (หลักการ) กับอรรถ (ความมุ่ง หมาย) หมายถึงหลักความจริง หลักความดีงาม หลักการปฏิบัติหรือหลักที่จะนำไปใช้ ปฏิบัติรวมท้ังหลักคำสอนที่จะให้ประพฤติปฏิบัติและการทำการได้ถูกต้อง ส่วนความมุ่ง หมายก็หมายถึงจุดหมายหรือประโยชน์ที่ต้องการหรือสาระที่พึงประสงค์ ความเข้าใจ ถูกต้องในเร่อื งหลักการและความมงุ่ หมายจะนำไปสกู่ ารปฏิบัติทีถ่ ูกต้อง 6) วิธีคิดแบบคุณโทษและทางออก วิธีคิดแบบนี้เป็นการคิดที่ใช้หลักว่า จะต้องพิจารณาปัญหาให้ครบทุกด้าน ได้แก่ ด้านดี (อัสสาทะ) ด้านเสีย (อทีนนวะ) ต่อจากนั้นจงึ หาทางออก (นิสสรหะ) หรอื ทางแก้ปัญหา 7) วิธีคิดแบบคุณ ค่าแท้ -คุณ ค่าเทียม วิธีคิดแบบนี้ใช้กันมากใน ชีวิตประจำวัน เพราะเกี่ยวข้องกับการบริโภคใช้สอยปัจจัย 4 คำว่าคุณค่าแท้ หมายถึง
138 Public Administration Science in Buddhism 138 ประโยชน์ของสิ่งทั้งหลายในแง่ที่สนองความต้องการของชีวิตโดยตรงหรือที่มนุษย์นำมาใช้ แก้ปัญหาของตนเพื่อความดีงามความดำรงอยู่ด้วยดีของชีวิตหรือเพื่อประโยชน์สุขท้ังของ ตนและของผู้อื่น คุณค่านี้อาศัยปัญญาเป็นเคร่ืองตีค่าหรือวัดราคาจะเรียกว่าคุณค่าที่ สนองปัญญากไ็ ด้ เช่น คุณค่าของอาหารอย่ทู ี่ประโยชน์ของมันสำหรับหล่อเลีย้ งร่างกายให้ ดำรงชีวิตอยู่ได้ มีสุขภาพดี เป็นอยู่อย่างผาสกุ มีกำลังเกื้อกลู แก่การบำเพ็ญกิจหน้าที่ ส่วน คุณค่าเทียมนั้นหมายถึง ประโยชน์ในแง่การปรนเปรอการเสพเสวยเวทนา อาศัยตัณหา เป็นเคร่ืองวัดคุณค่าหรือวัดราคาจะเรียกว่าคุณค่าตอบสนองตัณหาก็ได้ เช่น อาหารที่มี คุณคา่ ที่ความเอรด็ อรอ่ ยเสริมความสนุกสนานเปน็ เครื่องแสดงฐานะความหรหู รา เปน็ ต้น 8) วิธีคิดแบบอุบายปลุกเรา้ คุณธรรม เป็นวิธีคิดที่ส่งเสริมชักนำไปในทางที่ ดีงามและเป็นประโยชน์ เป็นการขัดเกลาและบรรเทาปัญ หาในเหตุการณ์ หรือ ประสบการณ์เดียวกัน คนหนึ่งอาจคิดปรุงแต่งไปในทางดีงามเป็นประโยชน์ อีกคนหนึ่ง อาจปรุงแต่งไปในทางไม่ดีไม่งามเป็นโทษเนื่องจากการฝึกฝนอบรมและประสบการณ์ที่ได้ สะสมมา นอกจากนี้แม้แต่บุคคลเดียวกัน มองสิ่งของอย่างเดียวกันหรือมีประสบการณ์ เดียวกัน แตต่ ่างขณะต่างเวลาก็อาจคิดแตกตา่ งออกไปกไ็ ด้ 9) วิธีคดิ แบบเปน็ อยู่ในขณะปจั จุบัน วิธีคิดแบบนบี้ างทีเรยี กว่า วธิ ีคิดแบบ มีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์และมีข้อที่ต้องทำความเข้าใจเป็นพิเศษคือ การที่มีผู้เข้าใจผิด เกี่ยวกับความหมายของการเป็นอยู่ในปัจจุบันหรือมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ความคิดที่ เป็นอยู่ในปัจจุบัน หมายถึง การคิดในแนวทางของความรู้หรือคิดด้วยอำนาจปัญญา การ คิดแบบนี้ถือว่า ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้หรือเป็นเร่ืองที่ล่วงไปแล้ว หรือเป็น เรื่องของกาลภายหน้าก็จัดเข้าไปเป็นการปัจจุบันท้ังสิ้น ความคิดถึงอดีตและอนาคตตาม แนวทางของปัญญาที่เป็นเร่ืองของกิจในปัจจุบันจะช่วยให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติช่วย ให้การปฏิบัติในปัจจุบันถูกต้องได้ผลดียิ่งขึ้นและสนับสนุนให้มีการตระ เตรียมวางแผน ล่วงหนา้ นบั ว่าเปน็ วิธีคิดทีม่ ีประโยชนม์ าก 10) วิธีคิดแบบวิภัชชวาท แปลว่า แยกแยะจำแนกหรือแจกแจง การพูด แยกแยะหรือแสดงคำสอนแบบวิเคราะห์ลักษณะสำคัญของการคิดและการพูดแบบนี้คือ การมองและแสดงความจริง โดยแยกแยะออกให้เห็นแต่ละแง่แต่ละด้านครบทุกแง่ทุก ด้าน วิธีคิดที่เป็นแบบโยนิโสมนสิการท้ัง 10 วิธีนี้ มีขั้นตอนการทำงานที่แบ่งออกได้เป็น สองช่วง คือช่วงรับรู้อารมณ์ หรือประสบการณ์จากภายนอกและช่วงคิดค้น พิจารณา
รฐั ประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา 139 139 อารมณ์หรือเร่อื งราวที่เก็บเข้ามาภายในแล้ววิธีคิดท้ัง 10 วิธีนีต้ ่างก็อาศัยกันและกันรบั กัน และสัมพันธ์กัน วิธีการศึกษาเผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหาชีวิตหรือการบริหารจัดการ จงึ ต้องบูรณาการความคิดเหลา่ นี้ รู้จักเลือกรูปแบบวิธีคิดมาผสมกลมกลืนกัน เพื่อนำไปสู่ การสรา้ งแนวปฏิบตั ิอย่างถูกต้องตรงกับความจรงิ ในทางสายกลาง วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการเป็นวิธีคิดที่มีประโยชน์มากเพราะสามารถนำมาใช้ใน การบริหารจัดการ ตลอดจนประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ทุกเวลาและจะเป็นเร่ืองที่เร้า ให้เกิดกศุ ลธรรม เช่น ความรู้สึกเมตตากรุณาและความเสียสละเป็นต้น อันจะเป็นผลดีแก่ ความเจริญงอกงามของตน ผู้ใดก็ตามเมื่อเข้าใจหลักการนี้แล้ว อาจใช้โยนิโสมนสิการแก้ ได้ แมแ้ ตท่ ศั นคติและจิตนสิ ยั ไม่ดีที่สรา้ งมาเป็นเวลานานจนชินได้เป็นอย่างดี สรปุ ความ การรู้จักเลือกหลักธรรมที่เหมาะสมเพื่อนำไปใช้ในการบริหารจัดการก็เปรียบ เหมือนกับธรรมโอสถที่เหมาะสมนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน การเลือกหลักพุทธธรรมเพื่อ นำมาบริหารจัดการได้อย่างเหมาะสมย่อมทำให้ผู้บริหารบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ (1) หลักธรรมสำหรับการครองตนเพื่อใช้ในการบริหารจัดการน้ัน ในทางพระพุทธศาสนา อาจจะมีอยู่มาก การที่จะนำมาใช้ในการบริหารจัดการให้ประสบผลสำเร็จน้ัน ข้ึนอยู่กับแต่ ละบุคคลว่าจะเลือกหลักธรรมหมวดใดที่สามารถเข้ากับจริตของตนเองและวิธีการบริหาร ที่เหมาะสม (2) หลักธรรมสำหรับการครองคน ในการบริหารจัดการงานทุกอย่าง จึง จำเป็นที่จะต้องมีแนวทางในการทำงานร่วมกัน หรือหลักปฏิบัติระหว่างผู้บังคับบัญชากับ ผู้ใต้บังคับบัญชา การใช้หลักธรรมในทางพระพุทธศาสนามาช่วยในการบริหารจัดการใน ปัจจุบันจึงถือว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารคนได้เป็น อย่างดี (3) หลักธรรมสำหรับการครองงาน การจะนำพุทธธรรมสำหรับการครองงานน้ัน จะต้องมีความรอบรู้เกี่ยวกับคนร่วมงาน นักบริหารต้องรู้ว่าใครมีความสามารถในด้านใด เพื่อจะได้ใช้งานให้เหมาะกับงาน และต้องรอบรู้เกี่ยวกับงานในความรับผิดชอบเพื่อ ประโยชน์ในการวางแผนบรรจุบุคลากร อำนวยการและติดตามประเมินผล ความรู้เร่ือง งานมี 2 ลกั ษณะ คอื รู้เท่าและรู้ทัน
140 Public Administration Science in Buddhism 140 ฝากธรรมยำ้ เตียน เกง่ กล้า เพราะจำเป็นตอ้ งสู้ รู้ เพราะเคยพลาด ฉลาด เพราะเคยผิด คดิ เป็น เพราะทกุ ข์ สขุ เพราะผ่านวกิ ฤติ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229