Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา

รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา

Published by supasit.kon, 2022-06-08 08:59:59

Description: รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา

Search

Read the Text Version

7คณุ ขธองรนรกั มรฐัแปลระะศจาครสุณิยนธศธารรสรรตมมรแ์ ละบบจทรททิยที่ธรี่ ร7ม ของนกั รัฐประศาสนศาสตร์ ความนำ คุณธรรมและจริยธรรมเป็นหลักสำคัญของนักบริหาร ที่จะทำให้การบริหาร ประสบความสำเร็จ หรือไม่น้ันขึ้นอยู่กับผู้นำเป็นหลักที่จะสามารถนำเอาหลักธรรมที่ สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการบริหารได้ เช่น ถ้าเป้าหมายของเรา คือเป็นเศรษฐีเรา ต้องปฏิบัติธรรมที่เรียกว่า“หัวใจเศรษฐี”หรือเรียกว่าทิฏฐธัมมิมิกัตถประโยชน์ 4 ประการ ถ้าต้องการความสำเร็จในชีวิตหรือในหน้าที่การงาน เราต้องปฏิบัติธรรม คือ อิทธิบาท 4 ประการ การเลือกข้อธรรมมาปฏิบัติเพือ่ ใหบ้ รรลุเป้าหมายทีเ่ ราต้องการเช่นนี้ จัดเป็นการ ประยุกต์ธรรมมาใช้ประโยชน์ในชีวิตจริง คำถามที่ตามมาก็คือ เม่ือเราตั้งเป้าหมายว่าจะ เป็นนักบริหารที่เก่งและดี เราควรปฏิบัติธรรมอะไรบ้าง เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ เราต้อง ทราบก่อนว่า นักบริหารทำหน้าที่อะไรและเป้าหมายอยู่ที่ไหน จากนั้นเราจึงจะสามารถ กำหนดข้อธรรมที่ช่วยให้นักบริหารปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทนี้จึงได้ กล่าวถึงความหมายของคุณธรรมและจริยธรรม ตลอดจนกรอบแนวคิดคุณธรรมสำหรับ นักบริหาร เพื่อจะได้เป็นแนวทางในนำหลักธรรมที่เหมาะสมมาใช้ในการบริหาร และ หลักธรรมสำหรับส่งเสริมในการบริหาร ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้ประโยชน์ในการ บริหารงานได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ

142 Public Administration Science in Buddhism 142 ความหมายของคุณธรรมและจริยธรรม 1. ความหมายของคุณธรรม คำว่า คุณธรรม เป็นคำสมาส มีลักษณะเป็นคำนามตรงกับภาษา อังกฤษว่า “Merit”มีความหมายตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ว่าหมายถึง สภาพคุณงาม ความดี เปน็ สิ่งทีท่ าํ ให้เกิดประโยชน์ตอ่ ผู้ที่ถือครองอยู่ เปน็ ต้น เม่ือนําคําว่า“คุณธรรม”ไปประกอบกับลักษณะนามที่เป็นบุคคล เช่น ครู นักเรียน ข้าราชการ นักธุรกิจ ความสุขและมากด้วยกัลยาณมิตร เนื่องคุณงามความดีที่ บุคคลนั้นมีอยู่เป็นสิง่ ทีไ่ ม่เกิดโทษ ไม่เป็นผลเสียแก่ผู้ที่ถือครองใน ทางตรงกันข้ามกลบั เป็น สภาวะที่ทําใหบ้ ุคคลไม่เบียดเบียนตนเองเกิดประโยชน์ต่อผอู้ ื่น คณุ ธรรมจงึ เป็นสิ่งที่มีคา่ มี ประโยชน์ยิง่ สําหรับผู้ทีถ่ ือครอง“คุณธรรม”มีความหมายใกล้เคียงกบั คาํ วา่ “จริยธรรม”ซึ่ง หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ ศีลธรรมกฎศีลธรรมที่เป็นความดีความงามเป็น สิ่งที่ควรกระทำโดยปกติ เรามักจะคิดอย่างคนท่ัวๆไปว่า“จริยธรรม”และ“คุณธรรม”เป็น สิ่งเดียวกัน คือ เป็นความดีความงาม เป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติ คำสองคำนี้จึงใช้ทดแทนกัน ใน บางคร้ังอย่างไรก็ตามเม่ือนําคํา 2 คํานี้ ไปเทียบเคียง กับภาษาอังกฤษจะพบว่า คำว่า คุณธรรมจะตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า “Merit” ส่วนคําว่า จริยธรรม จะตรงกับคํา ภาษาอังกฤษว่า“Ethics”เม่ือพิจารณาจากความหมายแล้ว จะเห็นว่าคําว่า“Merit”เป็น คุณสมบัติภายในของบคุ คลแตล่ ะคนที่จะนำไปใช้ตามความเหมาะสม 2. ความหมายของจรยิ ธรรม คำว่า“จริยธรรม”จะตรงกับคําภาษาอังกฤษว่า“Ethics”แยกออกมาเป็น (จริย+ ธรรม) ซึ่งคำว่า“จริย”หมายถึง ความประพฤติหรือกิริยาที่ควรประพฤติ ส่วนคำว่า “ธรรม”มีความหมายหลายประการ เช่น คุณความดี, หลักคำสอนของศาสนา, หลัก ปฏิบัติ เม่ือนำคำทั้งสองมารวมกันเป็น \"จริยธรรม\" จึงมีความหมายตามตัวอักษรว่า“หลัก แห่งความประพฤติ”หรือ“แนวทางของการประพฤติ”พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2535 ให้คำนิยามว่า\"จริยธรรม\"คือ ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ, ศีลธรรม, กฎ ศลี ธรรม

รัฐประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 143 143 จริยธรรม จึงหมายถึง กิริยาหรือความประพฤติที่ดี ที่เป็นธรรมที่ถูกต้อง เป็น การกระทำความดีเป็นการกระทำที่ทำให้ผู้กระทำและผู้อื่นได้ประโยชน์โดยเสมอภาคซึ่ง กนั และกันจริยธรรมตามความเห็นของนักปราชญ์โบราณ (Plato) แบ่งคณุ ธรรมออกเป็น 4 ประการ คือ 1) ปญั ญาหรอื ปรีชาญาณ (Wisdom) 2) ความกล้าหาญ (Courage) 3) การรู้จักประมาณ / เดินสายกลาง (Temperance) 4) ความยุติธรรม (Justice) Socrates แบ่งคุณธรรมออกเป็น 5 ลกั ษณะ คอื 1) ความรู้ (Wisdom) 2) การปฏิบตั ิหน้าทีท่ างศาสนา (Deity) 3) ความกล้าหาญ (Courage) 4) การควบคมุ ตนเอง (Self-control) 5) ความยตุ ิธรรม (Justice) โดยท่ัวไปจริยธรรมมักอิงอยู่กับศาสนา ท้ังนี้เพราะคำสอนทางศาสนามีส่วน สร้างระบบจริยธรรมให้สังคมส่วนจริยธรรมของสังคมไทยขึ้นอยู่กับระบบศีลธรรมของ พุทธศาสนาศาสนาพุทธกำหนดหลักในการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน (สุบรรณ จันทบุตร. 2549:23) ไว้อย่างไร นั่นหมายความว่าได้กำหนดหลักจริยธรรมไว้ให้ปฏิบัติอย่างน้ัน แต่ ท้ังนี้มิได้หมายความว่า จริยธรรมอิงอยู่กับหลักคำสอนทางศาสนาเพียงอย่างเดียวแท้ที่ จริงน้ันจริยธรรมหย่ังรากอยู่บนขนบธรรมเนียมประเพณี โดยนัยนี้ บางคนเรียกหลักแห่ง ความประพฤติอันเน่ืองมาจากคำสอนทางศาสนาว่า \"ศีลธรรม\"และเรียกหลักแห่งความ ประพฤติอันพัฒนามาจากแหลง่ อืน่ ๆว่า \"จริยธรรม\"จริยธรรมไม่แยกเดด็ ขาดจากศลี ธรรม แต่จริยธรรมจะมีความ หมายกว้างกว่าศีลธรรม เพราะศีลธรรมเป็นหลักคำสอนทาง ศาสนาที่ว่าด้วยความประพฤติปฏิบัติชอบ ส่วนจริยธรรม หมายถึง หลักแห่งความ ประพฤติปฏิบัติชอบ อันวางรากฐานอยู่บนหลักคำสอนของศ าสนาปรัชญาและ ขนบธรรมเนียมประเพณี อีกท้ังจริยธรรมมิใช่กฎหมาย ท้ังนี้เพราะกฎหมายเป็นสิ่งบังคับ ให้คนทำตามและมีบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน ดังนั้น สาเหตุที่คนเคารพเชื่อฟังกฎหมาย เพราะกลัวถูกลงโทษ ในขณะที่จริยธรรมไม่มีบทลงโทษ ดังนั้นคนจึงมีจริยธรรมเพราะมี

144 Public Administration Science in Buddhism 144 แรงจูงใจ แต่อย่างไรก็ตามกฎหมายก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับจริยธรรมในฐานะเป็นแรงหนุน จากภายนอกเพื่อให้คนมีจริยธรรมจากนิยามที่ยกมาน้ัน สามารถประมวลสรุปความได้ว่า จริยธรรม คือแนวทางของการประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นคนดี เป็นประโยชน์สุขของตนเอง และส่วนรวม จริยธรรมก็คือ สิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวมนุษย์ โดยธรรมชาติ ซึ่งจะต้องพัฒนาขึ้น โดยอาศัยกฎเกณฑ์ความประพฤติที่มนุษย์ควรประพฤติที่ได้จากหลักการทางศีลธรรม หลักปรัชญาวัฒนธรรม กฎหมายหรือจารีตประเพณี เพื่อประโยชน์สุขแก่ตนเองและสังคม นอกจากนี้จริยธรรมยังใช้เป็นแนวทางประกอบการติดสินใจเลือกความประพฤติ /การ กระทำที่ถกู ต้องเหมาะสมในแต่ละสถานการณด์ ้วย ลักษณะที่จดั เปน็ คณุ ธรรมและจริยธรรม ลักษณะการปฏิบัติและลักษณะความคิดที่จัดเป็นคุณธรรมนั้นมีสภาพเป็นอยู่ มากมาย จึงได้มีการจัดกลุ่มคุณธรรมหลักขึ้น เพื่อสะดวกในการทำความเข้าใจลักษณะ คุณธรรมในระดับต่างๆดังลักษณะคุณธรรมที่ได้รวบรวม มาจากผลการประชุมทาง วิชาการเกี่ยวกบั จริยธรรมไทย ในส่วนของนโยบายและการพัฒนาระยะยาวด้านจริยธรรม ดังนี้ (ทิศนา แขมมณี. 2546 :42) 1) การรกั ความจรงิ การไม่พดู ปดและไมฉ่ ้อฉล การรกั ษาคำมัน่ สญั ญา 2) การไม่เบียดเบียนกนั การรักษาสิทธิและความชอบธรรมของผอู้ ืน่ 3) ความละอายใจต่อการกระทำความผิดหรอื ความชัว่ ใดๆ 4) ความรู้จักพอ ความไมโ่ ลภ ไม่หลงและการจดั การชีวิตตนโดยสนั โดษ 5) การรู้จกั บงั คบั ใจตนเอง 6) ความรับผดิ ชอบต่อสังคม 7) ความเสมอภาค 8) ความเสียสละ 9) ความซื่อสัตย์ 10) ความกล้าหาญ 11) การมีแนวความคิดกว้าง 12) ความสามคั คี

รัฐประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 145 145 13) ความเข้าใจในศาสนาและการใช้หลักธรรมะเปน็ เครือ่ งยึดเหนีย่ วใจ 14) ความมเี มตตา กรณุ า และการให้อภัย 15) ความพากเพียรและอดทน 16) การรู้จักค่าของการทำงาน 17) การรู้จักค่าของทรัพยากร 18) ความมสี ติสัมปชัญญะ 19) การรู้จักใช้ปญั ญาแก้ไขปญั หา 20) การมีสัมมาอาชีวะ 21) การมีคารวะธรรม 22) การมีสามัคคีธรรม 23) การมีปัญญาธรรม 24) ความไมป่ ระมาท 25) ความกตญั ญกู ตเวที 26) การรักษาระเบียบวินยั 27) การประหยดั 28) ความยุติธรรม 29) การมีมรรคองค์ 8 ซึง่ จัดเปน็ 3 สาย คือ ศีล สมาธิและปญั ญา ในข้อเท็จจริงจะเห็นได้ว่า การจัดลักษณะคุณธรรมและจริยธรรมทีก่ ลา่ วมาน้ันมี บางส่วนที่ซ้ำซ้อนกัน นอกจากนั้นคุณธรรมและจริยธรรมยังใช้เป็นแนวทางประกอบการ ติดสินใจเลือกความประพฤติ/การกระทำที่ถูกต้องเหมาะสมในแตล่ ะสถานการณ์ด้วย เพื่อ นำไปประยกุ ตใ์ นชวี ิตประจำวนั และเป็นเครื่องวัดความเป็นมนุษยท์ ี่สมบรู ณ์ กรอบแนวคิดคุณธรรมสำหรบั นกั บริหาร พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ได้กล่าวถึง กรอบแนวคิดคุณธรรม สำหรับนักบริหาร (พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตโต), 2549 :53) เพื่อเป็นหลัก แนวคิดและแรงจูงใจในการบริหารจัดการในองค์กรให้มีประสิทธิภาพคุณธรรมที่ควรมี สำหรบั นักบริหารจดั การ คือหลกั ของอธิปไตย 3 ประการ พละ 4 ประการ พละหรอื กำลัง

146 Public Administration Science in Buddhism 146 แห่งคุณธรรมช่วยทำให้นักบริหารปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ หลักของพรหมวิหาร ธรรม 4 ประการ เป็นคุณธรรมสำหรับผู้ใหญ่ คือ เน้นการวางตัวให้เป็นที่เคารพนับถือ เป็นที่พึ่งของสังคมได้และหลักธรรมที่ชื่อว่า สามารถเป็นเคร่ืองเหนี่ยวน้ำใจ เป็น จรรยาบรรณด้านมนุษยสัมพันธ์ เกิดเสน่ห์มหานิยมชนะใจคน หรือครองใจของผู้ร่วมงาน ได้เป็นอย่างดี คือ สังคหวัตถุ 4 ประการ สามารถสร้างเป็นกรอบแนวคิดคุณธรรมสำหรับ นักบริหาร เพื่อความเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ดังภาพ ดังนี้สำหรับนักบริหาร เพื่อความเข้าใจง่าย ยิ่งข้นึ ดงั แผนภาพ ตอ่ ไปนี้ คุณธรรมสำหรับนักบริหาร อัตตาธปิ ไตย ธรรมาธิปไตย โลกาธปิ ไตย พละ 4 ปญั ญาพละ วริ ิยพละ อนวัชชพละ สงั คหพละ เรอ่ื งความรู้ พรหมวิหาร สงั คหวตั ถุ สุตมยปัญญา รู้ตน สสงั ขาริกะ ละอบายมุข เมตตา ทาน จินตามยปญั ญา รู้คน อสงั ขาริกะ มีศลี 5 ปิยวาจา ภาวนามยปัญญา รู้งาน กรณุ า อัตถจริยา มทุ ิตา อุเบกขา สมานตั ตตา แผนภาพที่ 1 กรอบแนวคิดคุณธรรมสำหรบั นกั บริหาร การบริหารในบางคร้ังต้องใช้ท้ังพระเดชและพระคุณ ซึ่งทำให้ได้ท้ังน้ำใจคนนัก บริหารยึดธรรมเป็นหลกั ในการบริหาร พระพุทธเจ้าทรงจำแนกไว้อาจจะมีอยู่มากมาย แต่ เพื่อเปน็ แรงจูงใจในการทำความดี และจะนำเสนอไว้พอเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ดงั น้ี

รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพทุ ธศาสนา 147 147 1. อธิปไตย อธิปไตย 3 ประการ ดังนี้ คือ (องฺ.ตกิ . (ไทย), 20/479/186.) 1) อตั ตาธิปไตย (supremacy of self; self-dependence) ความมตี นเป็นใหญ่ ถือตนเป็นใหญ่ กระทำการด้วยปรารภตนเป็นประมาณ การทำความดี เพราะยึด ผลประโยชน์หรอื ความพอใจของตนเปน็ ทีต่ ง้ั โดยไมค่ ำนึง ถึงบคุ คลอืน่ 2) โลกาธิปไตย (supremacy of the world or public opinion) ความมีโลก เปน็ ใหญ่ ถือโลกเป็นใหญ่ กระทำการด้วยปรารภ นิยมของโลกเป็นประมาณ การทำความ ดีเพราะต้องการให้ชาวโลกยกย่อง น่ันคือยึดทศั นะหรอื คะแนนนยิ มจากคนอน่ื เปน็ ที่ตั้ง 3) ธรรมาธิปไตย (supremacy of the Dharma or righteousness) ความมี ธรรมเปน็ ใหญ่ ถือธรรมเป็นใหญ่ กระทำการด้วยปรารภความถูกต้องเป็นจริงสมควรตาม ธรรม เป็นประมาณการทำความดีเพื่อความดี ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ นั่นคือยึดธรรมคือ หนา้ ที่เป็นสำคัญ แม้พระพุทธเจ้าจะประกาศว่า พระองค์เป็นธรรมราชา แต่ก็ไม่ทรงใช้อำนาจ เบ็ดเสร็จโดยลำพังพระองค์เองตามแบบราชาธิปไตย ในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าทรงกระจาย อำนาจในการบริหารให้กับคณะสงฆ์ดังกล่าวมาแล้ว ทั้งนี้เพราะแรงจูงใจในการบริหาร ของพระพุทธเจ้าผู้หมดกิเลสแล้ว ย่อมไม่ใช่เพื่อความยิง่ ใหญ่สว่ นพระองค์ การบริหารของ พระพุทธเจ้าจึงไม่ใช่อัตตาธิปไตย นอกจากนี้ พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงบริหารกิจการพระ ศาสนาไปตามคำนินทาและสรรเสริญของชาวโลก การบริหารของพระองค์จึงไม่ใช่ โลกาธิปไตย พุทธวิธีบริหารเป็นธรรมาธิปไตย เพราะพระพุทธเจ้าทรงยึดธรรมคือ หลักการสร้างประโยชน์สุขเพื่อส่วนรวมเป็นสำคัญดังที่พระพุทธเจ้าตรัสถึง หลักการ บริหารของพระองค์ไว้ว่า “พระตถาคตอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงธรรมเป็นธรรมราชา ทรงอาศัย ธรรม สักการะธรรม เคารพธรรม ยำเกรงธรรมมีธรรมเป็นธง มีธรรมเป็นตรา เป็น ธรรมาธิปไตย ทรงจัดการรักษาป้องกันและคุ้มครองที่เป็นธรรม”เป็นต้น (องฺ.ติก. (ไทย), 20/453/125, 126.)

148 Public Administration Science in Buddhism 148 2. พลธรรม พละ คือธรรมเป็นกำลัง เป็นหลักธรรมที่ทรงอำนาจให้พลังทางจิตใจส่งเสริมให้ การบริหารงานมีความสำเร็จ อันเป็นพลังทำให้ดำเนินชีวิตด้วยความม่ันใจ ไม่หว่ันต่อภัย ทุกอยา่ ง ควรมีอยใู่ นใจ มี 4 ประการ คือ (องฺ.สตฺตก.(ไทย), 23/209/333-335) 1) ปัญญาพละ (power of wisdom) กำลังความรู้หรือความฉลาด หมายถึง กำลังแห่งความรอบรู้ความรู้มีหลายระดับ นักบริหารต้องมีปัญญา คือ ความรู้เกี่ยวกับ งานในหน้าที่และบุคคลที่เกี่ยวข้อง นักบริหารต้องทำหน้าที่บริหารตนบริหารคนและ บริหารงาน ด้ังนั้นเขาต้องมีความรอบรู้เกี่ยวกับตนเองและคนอื่น งานในความรับผิดชอบ น้ันคอื นักบริหารตอ้ งมคี วามรู้ 3 เรื่อง ได้แก่ รู้ตน รู้คนและรู้งาน (1) รู้ตน หมายความว่า นักบริหารต้องรู้จักความเด่นและความด้อย ของตนเอง การรู้ความเด่นก็เพื่อทำงานที่เหมาะกับความสามรถของตนตามปกตินัก บริหารมักมองเป็นความผิดพลาดของลกู น้องได้ง่าย แต่มองข้ามความผดิ พลาดของตน ดัง พุทธพจน์ที่ว่า “ความผิดพลาดของคนอื่น เห็นได้ง่าย แต่ความผิดพลาดของตนเองเห็นได้ อยาก” (2) รู้คน หมายความวา่ ความรอบรู้เกี่ยวกับคนร่วมงานนักบริหารต้อง รู้ว่าใครมีความสามารถในด้านใด เพื่อจะใช้คนให้เหมาะสมกับงานนอกจากน้ัน นักบริหาร ต้องรู้จกั จริตของคนรว่ มงาน เพือ่ ใช้งานทีเ่ หมาะสมกับจริตของเขา (3) รู้งาน หมายความว่า ความรอบรู้เกี่ยวกับงานในความรับผิดชอบ เพื่อประโยชน์ในการวางแผนบรรจุบุคลากร อำนวยการและติดตามประเมินผล ความรู้ เรือ่ งงานมี 2 ลกั ษณะ คือ รู้เท่าและรู้ทนั ดังน้ีคอื รู้เท่า คือ ความรู้รอบด้านเกี่ยวกับงานว่ามีข้ันตอนอย่างไรและมี ส่วนเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆอย่างไรและยังหมายถึงความรู้เท่าถึงการณ์ในเม่ือเห็นเหตุแล้ว คาดว่าผลอะไรจะตามมาแล้วเตรียมการป้องกันไว้ เหมือนคนขับรถลงจากภูเขาที่เขาชิน กับทางว่าที่ใดมีเหวหรือเป็นทางโค้งอันตราย แล้วขับอย่างระมัดระวังเม่ือถึงที่นั้นความ รู้เท่าจงึ ช่วยใหม้ ีการป้องกนั ไว้ก่อน รู้ทัน คือ ความรู้เท่าทันสถานการณ์ เมื่อเกิดปัญหาขึ้นก็สามารถ แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ดังกรณีของคนที่ขับรถลงจากภูเขาแล้วรถเบรคแตก เม่อื เจอกับ สภาพปัญหาเช่นน้ัน เขาตัดสินใจฉับพลันว่าจะทำอย่างไร นั้นเป็นความรู้ทันเพื่อแก้ปัญหา

รฐั ประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพทุ ธศาสนา 149 149 เฉพาะหน้า ดังนั้นความรู้เกี่ยวกับงานจึงได้แก่ ความรู้เท่าและความรู้ทัน (พระธรรมโกศา จารย์ (ประยรู ธมมฺ จิตโต), 2549 : 52) 2) วิริยพละ (power of energy or diligence) กำลงั แห่งความ เพียร หมายถึง กำลังแห่งความเพียรหรอื ความขยัน คนมีความขยันต้องมีกำลังใจเข้มแข็ง อาจกล่าวได้ว่า วิรยิ พละก็คือกำลงั ภายในน่ันเอง นักบริหารที่มีกำลงั ปญั ญาแต่ขาดกำลงั ใจมักถือนโยบาย หลบภัยหนีปัญหาเหมือนกับนักมวยประเภทหนีลูกเดียวฉันใด ประชาชนก็เบื่อผู้บริหารที่ เอาแต่หลบภัยหนีปัญหา นักบริหารที่ดีต้องเป็นคนกล้าตัดสินใจ กล้าได้กล้าเสีย ไม่กลัว ความอยากลำบากที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า เขาจะถือคติว่า“ล้มเพราะก้าวไปข้างหน้า ดีกว่า ยืนเต๊ะเท้าอยู่กับที่”ใครที่ไม่ก้าวไปข้างหน้าจะกลายเป็นคนล้าหลัง ถ้าทำผิด พลาดก็ถือว่า ผิดเป็นครู ใครที่ถนอมตัวจนไม่กล้าทำอะไรเลยจัดเป็นคนขลาด เขาควรฟังคำเตือนของน โปเลียน (Napoleon) ที่ว่า..“คนที่ไม่ทำอะไรผิดคือไม่ทำอะไรเลย” ผู้ทำการใหญ่ย่อมต้อง เจออปุ สรรค เหมือนต้นไม้สูงใหญ่มกั จะเจอลมแรง นักบริหารจะต้องไม่หลบเลี่ยงหน้าที่ที่ ลำบากยากเย็นถือภาษิตที่ว่า“ว่าวที่ขึ้นสูงเพราะมีลมต้าน คนจะขึ้นสูงเพราะเผชิญ อปุ สรรค”แม้แต่พระพุทธเจ้ายังตอ้ งรบกับมารก่อนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ดังคำกล่าวที่ว่า “มารไม่มี บารมีไม่แก่”ไม่มีความสำเร็จอันใดได้มาโดยไม่ต้องลงทุนลงแรง พระพุทธเจ้า ตรัสวา่ .“วิรเิ ยน ทกุ ขมจฺเจติ คนจะล่วงทกุ ข์ได้เพราะความขยัน” 3) อ นวัชชพ ละ (power of faultlessness, blamelessness or cleanliness) กำลังการงานที่ไม่มีโทษหรือความสุจริต แปลว่า กำลังแห่งการงานที่ไม่มีโทษหรือข้อ เสียหาย หมายถึง นักบริหารต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ดังพุทธพจน์ที่ว่า “ธมฺมญฺจเร สุจริตํ บุคคลควรปฏิบัติธรรม (หน้าที่) ให้สุจริต”ชีวิตคนเราเปรียบเหมือนเรือ หรือนาวาชีวิตที่แลน่ ไปในท้องมหาสมทุ ร เรือส่วนมากอับปางก่อนถึงจุดหมายเพราะมีรูร่ัว ให้น้ำทะเลไหลเข้าข้างในเรือจึงจมลงอย่างรวดเร็ว เหมือนนักบริหารหลายคนเสียอนาคต เพราะถูกจับได้วา่ ทจุ รติ ตอ่ หนา้ ที่หรอื มีประวตั ิดา่ งพร้อย นาวาชีวติ ของพวกเขามีรรู ัว่ 4) สังคหพละ (power of sympathy or solidarity) กำลังการสงเคราะห์หรือ มนุษย์สัมพันธ์ แปลว่า กำลังแห่งการสงเคราะห์ ซึ่งเป็นธรรมที่สำคัญมากสำหรับนัก บริหารผู้ทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยคนอื่นนักบริหารจะสามารถผูกใจเพื่อนร่วมงานและ ผู้ใต้บังคับบัญชาไว้ได้จะต้องมีสังคหวัตถุธรรม 4 ประการ ได้แก่ (องฺ.จตุกฺก.(ไทย), 21/32/37,38.)

150 Public Administration Science in Buddhism 150 (1) ทาน (gift; charity; benefaction) หมายถึง การให้ (โอบอ้อมอารี) นัก บริหารที่ดีต้องมีน้ำใจรู้จกั เอือ้ เฟื้อเผ่อื แผ่ให้ทานแก่เพื่อนร่วมงานและผใู้ ต้บังคับบัญชาการ ให้ทานจะชว่ ยใหผ้ ูกใจคนอื่นไว้ได้ (2) ปิยวาจา (kindly or salutary speech) หมายถึง การพูดถ้อยคำไพเราะ อ่อนหวานนักบริหารที่ดีจะรู้จักผูกใจคนด้วยคำพดอ่อนหวาน คำพูดหยาบกระด้างผูกใจ ใครไม่ได้ ตามปกติคนเราจะมัดสิ่งของต้องใช้ของอ่อน เช่น เชือกหรือลวดมัดในทำนอง เดียวกัน เราจะมัดใจคนได้กด็ ้วยถ้อยคำ (3) อัตถจริยา (friendly aid; doing good; life of service)หมายถึง การทำ ตัวให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น (สงเคราะห์ประชาชน) ตรงกับคำพังเพยที่ว่า อยู่บ้านท่านอย่า นิ่งดูดายปั้นวัวควายให้ลูกท่านเล่น นักบริหารทำอัตถจริยาได้หลายวิธี เช่น บริการ ช่วยเหลอื ยามเขาป่วยไข้หรอื เปน็ ประธานในงานพิธีของผู้อยใู่ ต้บังคับบญั ชา เปน็ ต้น (4) สมานัตตา (equality; impartiality; participation) หมายถึง การวางตัว สม่ำเสมอ (วางตัวพอดี) เม่ือนับริหารไม่ทอดทิ้งผู้ร่วมงานทั้งหลาย เขาจึงสามารถสร้าง ทีมงานขึ้นมาได้ น่ันคือถือคติว่า“มีทุกข์ร่วมทุกข์ มีสุขร่วมเสพ”นักบริหารต้องกล้า รับผิดชอบในผลการตัดสินใจของตนถ้าผล เสียตกมาถึงผู้ปฏิบัติตามคำส่ังของตน นัก บริหารตอ้ งออกมาปกป้องคนนั้น ไม่ใชห่ นเี อาตัวรอดตามลำพงั พละหรือกำลังแห่งคุณธรรม ท้ัง 4 ประการนี้ ช่วยทำให้นักบริหารปฏิบัติหน้าที่ อย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือนักบริหารจะสามารถวางแผนในการจัดองค์การแต่งต้ัง บุคลากรอำนวยการและควบคุมได้ดีต้องมีความฉลาด ขยัน สุจริตและมนุษย์สัมพันธ์ ยิ่ง เขามีคุณธรรมทั้ง 4 ข้อนี้ เพิ่มมากขึ้นเท่าใดก็ยิ่งทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น ตรงกันข้าม ถ้าใครคนใดขาดคุณธรรมทั้ง 4 ประการ แม้เพียงบางข้อเขาก็เป็นนักบริหารที่ ดีไมไ่ ด้เชน่ กนั 3. พรหมวิหารธรรม พรหมวิหารธรรม (holy abiding; sublime states of mind) คือ ธรรมเคร่ืองอยู่ อย่างประเสริฐ, ธรรมประจำใจอันประเสริฐ, หลักความประพฤติที่ประเสริฐบริสุทธิ์, ธรรมที่ต้องมีไว้เป็นหลักใจและกำกับความประพฤติ จึงจะชื่อว่าดำเนินชีวิตหมดจดและ ปฏิบัติตนตอ่ มนษุ ย์สตั ว์ทั้งหลายโดยชอบ มี 4 อยา่ ง คือ (ที.ม.(ไทย), 10/184/179.)

รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา 151 151 1) เม ต ต า (loving-kindness; friendliness;goodwill) คื อ ค ว า ม รั ก ใค ร่ ปรารถนาจะให้เป็นสุข เมตตา แปลว่า ความรัก ความปรารถนาดี มีไมตรีจิตคิดจะช่วยให้ ทุกคนในโลกนีป้ ระสบประโยชน์และความสุขโดยทั่วกนั 2) กรุณา (compassion) คือความสงสาร คิดจะช่วยให้พ้นทุกข์ กรุณา แปลว่า ความสงสาร คือคิดจะช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์เดือดร้อน ได้แก่ ใฝ่ใจที่ ปลดเปลือ้ งบำบัดความทุกขย์ ากเดือดรอ้ นของคน 3) มุทิตา (sympathetic joy; altruistic joy) คือ ความพลอยยินดีในเม่ือเห็น ผู้อื่นได้ดี มุทิตา ได้แก่ ความชื่นบาน กล่าวคือ ความพลอยยินดีด้วย ในเม่ือเห็นผู้อื่นได้ดี ข้อนี้เป็นหลักธรรมของผู้ที่มีลักษณะใจกว้างขวางยินดีต่อความดีของผู้อื่น นับได้ว่าเป็น การกระทำบุญหรือความดีอย่างหนึ่ง เช่น นักกีฬาแข่งขันกีฬา เม่ือฝ่ายตรงข้ามชนะก็ แสดงออกซึ่งความยินดีที่ชนะไม่อิจฉาริษยาหรือกลั่นแกล้ง คุณธรรมข้อนี้ยังหมายถึงการ ให้การสนับสนุนแก่ผสู้ ร้างสรรคป์ ระดษิ ฐ์สิ่งตา่ งๆเพื่อประโยชนแ์ กส่ ังคมด้วย 4) อุเบกขา (equanimity; neutrality; poise) ความวางใจเป็นกลางความวาง เฉยไม่ดีใจไม่เสียใจ เม่ือผู้อื่นถึงความวิบัติอุเบกขา ได้แก่ การวางใจเป็นกลาง โดย พิจารณาข้อเท็จจริงกล่าวคือ ในการตัดสินใจเร่ืองใดๆ จะต้องพิจารณาใคร่ครวญด้วย ปัญญา มีเหตุผลอย่างถูกต้องด้วยความเที่ยงธรรม สามารถใช้สติปัญญาพิจารณา ข้อเท็จจริงอย่างถูกต้องประกอบด้วยเหตุผลแล้วปฏิบัติลงไปด้วยความเยือกเย็นสุขุม รอบคอบ สามารถดำรงมัน่ รกั ษาความถูกต้องหรอื ความยตุ ิธรรมไว้ได้ พรหมวิหารธรรมทั้ง 4 ประการนี้ เป็นธรรมเคร่ืองอยู่อย่างประเสริฐซึ่งจัดเป็น หลักธรรมประจำใจและกำกับความประพฤติ เป็นธรรมจำเป็นอย่างหนึ่งในสังคมไทย ซึ่ง ในปัจจุบันนี้อำนาจวัตถุนิยมบีบรัดให้ต้องเป็นคนใจแคบเห็นแก่ตัว การฝึกฝนให้สามารถ รักและเมตตาแม้แก่ศัตรูของเราได้ ย่อมจะได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธที่แท้จริงตามหลักธรรม ของพระพุทธศาสนาที่ว่า“พึงแผ่เมตตาให้แม้แต่โจรผู้กำลังตัดหรือเลื่อยอวัยวะ เช่น แขน หรือขาของตน ใครมีความโกรธต่อโจรผู้กำลังกระทำการดังกล่าวนั้น ก็ไม่ชื่อว่าเป็นสาวก ของเรา

152 Public Administration Science in Buddhism 152 หลกั ธรรมสำหรบั ส่งเสริมในการบริหาร หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่เป็นคุณธรรมส่งเสริมการบริหารและส่งเสริม นักการปกครองในการสร้างความเป็นธรรมในสงั คมในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ ทรงแสดงหลกั ธรรมสำหรับสง่ เสริมในบริหารและการปกครองไว้มาก แตใ่ นที่นี้จะนำเสนอ ไว้พอเปน็ แนวทางในการปฏิบัติ ได้แก่ 1. อปรหิ านิยธรรม อปริหานิยธรรม ได้ชื่อว่า ธรรมอันเป็นเหตุไม่ให้เกิดความเสื่อม พระพุทธเจ้าได้ ทรงสอนธรรมะที่จะปกป้องกันไม่ให้เกิดความเสื่อมขึ้น ท้ังในศาสนาจักรและอาณาจักร คือท้ังฝ่ายบ้านเมืองและฝ่ายคณะสงฆ์ เรียกว่า อปริหานิยธรรม แปลว่า ธรรมไม่เป็นที่ต้ัง แห่งความเสื่อมธรรมที่เปน็ ไปเพือ่ ความเจรญิ ฝ่ายเดียว ทรงแสดงไว้ 7 ประการ สำหรับหมู่ ชนท้ังฝา่ ยบ้านเมืองและฝา่ ยคณะสงฆ์ จงึ แยกเป็น 2 ฝา่ ย ได้แก่ 1) ฝ่ายบ้านเมือง บ้านเมืองใดก็ตามหากผู้คนปฏิบัติไม่เหมาะสมอาจทำให้ เกิดความหายนะคือความเสื่อมได้วิธีป้องกันมิให้เกิดความเสื่อมขึ้นในบ้านเมืองที่ พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ซึ่งเรียกว่า อปริหานิยธรรม 7 ประการ คือ (องฺ.สตฺตก.(ไทย), 23/20/19-23.) (1) หม่ันประชุมกันเนืองนิตย์ การประชุมเป็นการปรึกษาหารือเพื่อแก้ไข ปัญหาของบ้านเมืองร่วมกัน เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันและควร ยอมรบั ในเหตุผลทีถ่ กู ต้องและเป็นประโยชน์ เพื่อนำไปเป็นหลักบริหารบ้านเมือง (2) พร้อมเพรียงกันประชุมเลิกประชุม และทำกิจที่ควรทำการประชุม ปรึกษากันนั้นหากไม่พร้อมเพรียงกันนั้น ข้อตกลงที่มีขึ้นอาจมาเป็นที่ยอมรบั ของผู้ที่ไมเ่ ข้า ประชุมก็ได้ การตรงต่อเวลาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญเม่ือเลิกประชุมก็ต้องเลิกพร้อมกัน มิฉะน้ัน จะเกิดปัญหาตามมาได้ เช่น ความคิดเห็นของบางคนไม่ได้รับพิจารณาหรือพิจารณาแล้ว ไม่ยอมรับ เปน็ ต้น (3) ไม่บัญญัติหรือเลิกล้มข้อบัญญัติตามอำเภอใจ ความสงบของ บ้านเมืองจะเกิดขึน้ ได้ต้องอาศัยระเบียบและกฎเกณฑ์และประชาชนร่วมมอื กันปฏิบัติตาม กฎเกณฑ์นั้น ไม่ล้มเลิกหรือร่างระเบียบกฎเกณฑ์ขึ้นมาเอง โดยปราศจากการยอมรับของ ผอู้ ืน่ เพราะกฎเกณฑ์เป็นสิง่ ที่ตอ้ งปฏิบัติรว่ มกัน

รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพทุ ธศาสนา 153 153 (4) เคารพและรับฟังความคิดเห็นของผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เป็นคนที่เกิดก่อนเรา ผ่านประสบการณ์มามากได้ทำคุณประโยชน์นานัปการให้แก่บ้านเมืองและยังช่วยรักษา บ้านเมอื งให้อยู่รอดมาได้จนปจั จุบนั ชนรุ่นหลงั จงึ ควรให้ความเคารพและเชื่อฟังคำส่ังสอน ของท่าน การรับฟังคำส่ังสอนของผู้ใหญ่นับเป็นสิ่งที่ดีไม่เสียหายอย่างไร แต่จะยึดถือ ปฏิบัติหรือไม่อย่างไร ขึ้นอยู่กับการใช้ปัญญาไตร่ตรอง พิจารณาความเหมาะสมหรือ ทดลองปฏิบัติดู เพราะการรับฟังแล้วนำมาไตร่ตรองน้ันมีแต่ผลดีเด็กบางคนมักจะมองว่า ผใู้ หญ่มีความคิดล้าสมัยไมท่ ันเหตุการณ์โดยหาได้คิดว่า การเปลี่ยนแปลงที่เร่งร้อนเกินไป อาจเกินความเสียหายจนเกินกวา่ จะแก้ไขได้การฟงั คำทักท้วงของผใู้ หญ่แล้วรู้จักใช้ปัญญา ตดั สินจึงมีแตผ่ ลดีท้ังตอ่ ตวั เราและส่วนรวม (5) ไม่ข่มเหงหรือฉุดคร่าสตรีที่ถือว่าเป็นเพศที่อ่อนแอ เป็นตัวแทนของ ความสวยงาม บุรุษจึงควรให้เกียรติและให้การทะนุถนอมการที่ผชู้ ายที่แขง็ แรงกว่าทำร้าย สตรีด้วยการฉุดคร่าอนาจาร ถือเป็นภัยที่ร้ายแรงของสังคม เพราะนอกจากจะทำให้ ผเู้ สียหายได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตหรือทำให้จติ เสื่อมโทรมแล้ว ยังทำให้คนรักไม่ว่าจะเป็น พ่อแมญ่ าติพี่นอ้ งพลอยได้รบั ความเจบ็ ปวดและกระทบกระเทือนใจไปด้วย (6) เคารพสักการบูชาเจดีย์ปูชนียสถานปูชนียวัตถุ ตลอดจนอนุสาวรีย์ ต่างๆ ด้วยความเอาใจใส่ไม่ปล่อยปละละเลยทั้งด้านการเคารพและพิทักษ์รักษาเพื่อเป็น การแสดงออกซึ่งความกตญั ญูกตเวทีต่อบุพพการี ผทู้ ำคุณประโยชนไ์ ว้ตอ่ บ้านเมือง (7) ให้ความอารักขาแก่พระอรหันต์ พระอรหันต์ในที่นี้ หมายรวมถึง บรรพชิตผู้ทรงธรรมและปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดีของคนท่ัวไป นอกจากนั้นยังสั่งสอนคน ให้ต้ังอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม เราจึงช่วยกันรักษาท่านไว้ไม่ทำลายหรือปล่อยให้ผู้อื่นมา ทำลายท่าน 2) ฝ่ายคณะสงฆ์ อปริหานิยธรรมของภิกษุหรือภิกขุ ธรรมอันไม่เป็นที่ตั้ง แห่งความเสื่อม เป็นไปเพื่อความเจริญฝ่ายเดียวสำหรับภิกษุสงฆ์ มีอยู่ 7 ประการ ดังนี้ คือ (องฺ.สตตฺ ก.(ไทย), 23/21/23, 24.) (1) หมนั่ ประชุมกนั เนืองนิตย์ (2) พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุมพร้อมเพียงกันทำ กิจที่สงฆ์จะต้องทำ ข้อนี้แปลอีกอย่างว่า :พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันลุกขึ้น จัดการแก้ไข สิ่งเสียหาย เหตุไม่งาม พร้อมเพรียงกันทำกิจทีส่ งฆจ์ ะต้องทำ

154 Public Administration Science in Buddhism 154 (3) ไม่บัญญัติสิ่งทีพ่ ระพทุ ธเจา้ ไม่ทรงบัญญัติ ไมล่ ้มล้างส่ิงที่พระองค์ทรง บญั ญัติไว้ สมาทานศกึ ษาอยใู่ นสิกขาบทท้ังหลายตามทีพ่ ระองคท์ รงบญั ญตั ิไว้ (4) เคารพและรบั ฟังถ้อยคำของภิกษุผใู้ หญ่ สังฆบิดร สังฆปริณายก ภกิ ษุ เหล่าใดเป็นผู้ใหญ่เป็นสังฆบิดรเป็นสังฆปริณายก เคารพนับถือภิกษุเหล่าน้ันเห็นถ้อยคำ ของทา่ นวา่ เปน็ สิ่งอันควรรับฟงั (5) ไม่ตกอยูใ่ ต้อำนาจของกิเลสตัณหา ไม่ลอุ ำนาจตัณหาคือความอยากที่ เกิดข้ึน (6) ยินดีในชวี ิตงา่ ยๆ ยินดีในเสนาสนะปา่ (7) ใจกว้างยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ และปรารถนาดีต่อสมาชิกเก่าต้ังสติ ระลึกไว้ในใจวา่ เพื่อนพรหมจารีท้ังหลาย ผู้มีศีลงามซึ่งยังไม่มา ขอให้มาทีม่ าแล้วขอใหอ้ ยู่ ผาสุก 2. อิทธิบาท อิทธิบาท คือ คุณเคร่ืองให้ถึงความสำเร็จ, คุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จแห่ง ผลที่มุง่ หมาย มีอยู่ 4 อย่าง คือ (ที.ปา.(ไทย), 11/231/204.) 1) ฉันทะ (will; aspiration) ความพอใจ คือ ความต้องการที่จะทำ ใฝ่ใจรักจะ ทำสงิ่ นน้ั อย่เู สมอและปรารถนาจะทำให้ได้ผลดยี ิง่ ๆ ขนึ้ ไป 2) วิรยิ ะ (energy; effort; exertion) ความเพียร คือ ขยันหมั่นประกอบสิ่งนั้น ด้วยความพยายาม เข้มแขง็ อดทน เอาธุระไมท่ ้อถอย 3) จิตตะ (thoughtfulness; active thought) ความคิด คือต้ังจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำ และสิ่งนั้นดว้ ยความคิด เอาจิตฝกั ใฝไ่ มป่ ล่อยใจใหฟ้ ุ้งซา่ นเลื่อนลอยไป 4) วิมังสา (investigation; examination; reasoning; testing) ความไตร่ตรอง หรือทดลอง คือหมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผลและตรวจสอบข้อ ยิ่งหย่อนในสิง่ ทีท่ ำนนั้ มีการวางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรงุ 3. ทิฏฐธมั มิกัตถสังวตั ตนิกธรรม ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม คือ ธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน, หลักธรรมอันอำนวยประโยชน์สุขข้ันต้นมี 4 อย่าง คือ (องฺ.สตฺตก.(ไทย),23/144/256- 260.)

รฐั ประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพทุ ธศาสนา 155 155 1) อฏุ ฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหม่ัน คือ ขยนั หมัน่ เพียรในการปฏิบัติ หน้าที่การงาน ประกอบอาชีพอันสุจริต มีความชำนาญ รจู้ ักใช้ปญั ญาสอดส่อง ตรวจตรา หาอุบายวิธี สามารถจัดดำเนินการให้ได้ผลดี 2) อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษา คือรู้จักคุ้มครองเก็บรักษาโภค ทรัพย์และผลงานอันตนได้ทำไว้ด้วยความขยันหมั่นเพียรโดยชอบธรรม ด้วยกำลังงานของ ตน ไม่ใหเ้ ป็นอันตรายหรือเสอ่ื มเสีย 3) กัลยาณมิตตตา คบคนดีเป็นมิตร คือรู้จักกำหนดบุคคลในถิ่นที่อาศัย เลือกเสวนาสำเหนียกศึกษาเยี่ยงอย่างท่านผู้ทรงคุณมีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญา เป็น ตน้ 4) สมชีวิตา มีความเป็นอยู่เหมาะสม คือรู้จักกำหนดรายได้และรายจ่าย เลี้ยงชีวติ แต่พอดี มิใหฝ้ ดื เคืองหรอื ฟมู ฟาย ให้รายได้เหนอื รายจา่ ยมปี ระหยดั เก็บไว้ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ เป็นหลักธรรมในพุทธศาสนา เป็นหลักธรรมสำหรับ ส่งเสริมในการบริหาร เพราะทำให้เกิดประโยชน์ในปัจจุบัน บ้างเรียกว่า หัวใจเศรษฐี \"อุ อา กะ สะ\" อาจเรียกสั้นๆว่า ทิฏฐธัมมิกัตถะ ธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน หลักธรรมอันอำนวยประโยชน์สุขขั้นต้น เพื่อประโยชน์สุขสามัญที่มองเห็นกันในชาตินี้ ที่ คนทว่ั ไปปรารถนา มี ทรัพย์ ยศ เกียรติ ไมตรี เป็นตน้ สรุปความ คุ ณ ธ ร ร ม แล ะจ ริย ธ ร ร ม ที่ ถื อ ว่ าเป็ น “ห น้ าที่ ท างศี ล ธ ร ร ม ”ทุ ก สั งค ม ห รือ ทุ ก วัฒนธรรมย่อมกำหนดหน้าที่ทางศีลธรรมไว้ หน้าที่ทางศีลธรรมต่างจากหน้าที่ตาม กฎหมาย เพราะไม่มีการตราเป็นข้อบังคับหรือลายลักษณ์อักษร แต่ถือเป็นธรรมเนียม ปฏิบัติ ผู้ที่ละเมิดหรือละเลยแม้จะไม่ถูกลงโทษตามกฎหมาย แต่ก็ถูกตำหนิ ติเตียนจาก สังคม ลักษณะที่จัดเป็นคุณธรรมและจริยธรรม ในทางพระพุทธศาสนาจะเน้นที่การ ปฏิบตั ิ คือการมีมรรคองค์ 8 ประการ ซึ่งจัดเปน็ 3 ส่วน คือ ศีล สมาธิ และปัญญา ใช้เป็น แนวทางประกอบการติดสินใจเลือกความประพฤติ การกระทำที่ถูกต้อง มคี วามเหมาะสม

156 Public Administration Science in Buddhism 156 ในแต่ละสถานการณ์ด้วยเพื่อนำไปประยุกต์ในชีวิตประจำวัน และเป็นเคร่ืองวัดความเป็น มนษุ ยท์ ีส่ มบรู ณ์ กรอบแนวคิดคุณธรรมสำหรับนักบริหาร คือ คุณธรรมที่ควรมีสำหรับนักบริหาร จัดการ คือหลักของอธิปไตย 3, พละ 4, พละคือกำลังแห่งคุณธรรมช่วยทำให้นักบริหาร ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ พรหมวิหารธรรม 4 ประการ เป็นคุณธรรมสำหรับ ผู้ใหญ่ คือเน้นการวางตัวให้เป็นที่เคารพนับถือ เป็นที่พึ่งของสังคมได้และสังคหวัตถุ 4 ประการ ชื่อว่าสามารถเป็นเคร่ืองเหนี่ยวน้ำใจ เป็นจรรยาบรรณด้านมนุษยสัมพันธ์ หรือ ครองใจของผู้ร่วมงานได้เป็นอย่างดี สามารถเป็นกรอบแนวคิดคุณธรรมสำหรับนักบริหาร ได้เปน็ อย่างดี หลักธรรมสำหรับส่งเสริมในการบริหาร คือคุณธรรมที่เป็นเคร่ืองส่งเสริมการ บริหาร ตลอดจนการปกครองในการสร้างความเปน็ ธรรม ได้แก่ อปริหานิยธรรม 7 อย่าง คือ ธรรมไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม ธรรมที่เป็นไปเพื่อความเจริญฝ่ายเดียว ทั้งฝ่าย บ้านเมืองและฝา่ ยคณะสงฆ์ อิทธิบาท 4 คือคุณเครอ่ื งให้ถึงความสำเรจ็ และทิฏฐธัมมิกัตถ 4 อย่าง คือธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน เป็นหลักธรรมอันอำนวยประโยชน์สุข ขั้นต้นและที่สำคัญผู้บริหารต้องเป็นผู้มีจิตใจกว้างขวาง หม่ันสอดส่องดูแลความทุกข์สุข ของผู้อยใู่ ต้บงั คับบัญชาอย่างสม่ำเสมอ

องค์กรสงฆ์กับการบรหิ าร บทที่ 8 8องค์กรสงฆ์กับกบาทรทบ่ีริหาร ความนำ องค์กรทกุ องคก์ รต่างมีลักษณะบางประการที่คล้ายคลึงกัน เช่น มกี ฎเกณฑ์และ ระเบียบแบบแผน มีการกำหนดตำแหน่งหน้าที่ที่ชัดเจน ในกรณี องค์กรในทาง พระพุทธศาสนาทีพ่ ระพุทธเจ้าได้ทรงกอ่ ต้ังขนึ้ คือพระพทุ ธศาสนาแล้ว กว่าจะเป็นปึกแผ่น บริหารงานได้สะดวกนั้น ต้องพิจารณาเร่ืองจุดแข็งและจุดอ่อนของศาสนาตรงกันข้ามใน สมัยนั้น คือท้ังศาสนาพราหมณ์และลัทธิต่างๆมากมาย ในด้านการบริหารและการ ปกครองก็ทรงมีความจำเป็นต้องอิงผปู้ กครองแคว้นใหญ่ เช่น พระเจ้าพิมพิสารแห่งแคว้น มคธและพระเจ้าปเสนทิโกศลแห่งแคว้นโกศล เมื่อแคว้นมหาอำนาจทั้งสองเป็นพุทธแล้ว ในการที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็ถือว่าเป็นเร่ืองง่าย โดยในด้านสังคมพระพุทธเจ้าก็ ทรงใช้จุดอ่อนของศาสนาพราหมณ์ที่ยึดถือระบบสังคมอยกู่ ับวรรณะ 4 คือ การแบง่ ชั้นชั้น ออกเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร พระพุทธเจ้าทรงคัดค้านและประกาศให้ถือหลัก คุณธรรมจริยธรรมเป็นเคร่ืองตัดสินบุคคล ทำให้ชาวชมพูทวีปซึ่งเบื่อหน่ายระบบสังคม แบบชนช้ัน หันมานับถือพระพุทธศาสนามากยิ่งขึน้ ตามลำดบั แนวทางที่พระพุทธเจ้าได้ทรงปฏิบัติมาและได้รับผลดีนั้นองค์กรสงฆ์ไทยควรจะ ยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติ โดยเฉพาะการรุกรานของศาสนาอื่นๆท้ังโดยตรงและโดยอ้อม ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในยุคโลกาภิวัฒน์ที่องค์กรสงฆ์ต้องเรียนรู้เฝ้าระวัง และปรับตัวใหไ้ ด้กับสภาพแวดล้อมต่างๆที่กำลงั เกิดข้ึนในยุคปัจจบุ นั ดังน้ันในบทนี้ จะได้กล่าวถึงวัฒนธรรมองค์กรในพระพุทธศาสนา อุดมการณ์ ของรัฐกับความเชื่อทางพระพุทธศาสนา สถานะของพระสงฆ์กับการบริหารและปกครอง ของรัฐ อำนาจรัฐในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ และปัญหาการปกครองสงฆ์ตาม พระราชบัญญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 เพื่อเปน็ แนวทางในการศกึ ษาตามรายละเอียดต่อไป

158 Public Administration Science in Buddhism 158 วัฒนธรรมองคก์ รในพระพทุ ธศาสนา วัฒนธรรมองคก์ รในทางพระพุทธศาสนาน้ันเปน็ การสร้างรูปแบบตามหลกั ธรรม คำสอนแห่งพระพุทธศาสนา เป็นการกำหนดแนวทางปฏิบัติให้แก่สมาชิกในองค์กร ไม่ว่า จะเป็นการกำหนดบรรทัดฐาน ขนบธรรมเนียมหรือหลักปฏิบัติ เช่น กุลบุตรผู้ที่จะเข้ามา บวชในทางพระพุทธศาสนา จะต้องมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์หรือการนำหลักธรรมมาเป็น เคร่ืองมือในการบริหารองค์กร เพื่อปลูกฝังความคิดและค่านิยมให้บุคคลในองค์กรให้เกิด ประโยชนแ์ กบ่ ุคคลและองค์กรนั้นๆเปน็ ต้น วัฒนธรรมองค์กรเป็นกรอบของการทำงานประการหน่ึงที่ประพฤติกันอยภู่ ายใน องค์กร เพื่อให้สมาชิกขององค์กรได้ปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน เป็นการกำหนดข้อ สมมติฐานขึ้น เช่น ความเชื่อ ค่านิยมและระเบียบข้อบังคับหรือบรรทัดฐานที่สมาชิกของ องคก์ รปฏิบตั ิรว่ มกัน (Charles O’Reilly, 1989 : 9) 1. ความหมายของวฒั นธรรมองค์กร คำว่า วัฒ นธรรมองค์กร สามารถแยกออกเป็นสองคำ คือ วัฒ นธรรม (Culture)แ ล ะ อ ง ค์ ก ร (Organization)วั ฒ น ธ ร ร ม ค ว า ม ต า ม พ จ น า นุ ก ร ม ฉ บั บ ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 ให้ความหมายไว้ว่า วัฒนธรรม หมายถึง พฤติกรรม (behavior) และสิ่งที่คนหมู่มากได้ผลิตหรอื สร้างขึน้ มาด้วยกันและมีการเรียนรู้จากกันและ กัน (leam and share) ร่วมใช้หรือปฏิบัติตามกันอยู่ในหมู่พวกของตนสำหรับองค์กร หมายถึง กลมุ่ คนต้ังแต่สองคนขึน้ ไป มาทำงานร่วมกนั ภายในขอบเขตระยะเวลาและมีที่ทำ การอย่างชัดเจนเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ต้ังไว้ร่วมกัน นักวิชาการให้ความหมายวัฒนธรรม องค์กรไว้อย่างหลากอย่าง สามารถที่จะประมวลความหมายตามความเห็นของ นกั วิชาการ ดงั น้ี 1) วิเชียร วิทยอุดม กล่าวว่า วัฒนธรรมองค์กร คือ ส่วนหนึ่งของ สภาพแวดล้อมภายในซึ่งประกอบกันขึน้ เป็นข้อสมมติฐาน ความเช่อื และคุณค่า ซึง่ สมาชิก ขององค์กรมีส่วนร่วมและใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ วัฒนธรรมจะอิงถึง ความหมายร่วมกันและใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่และอธิบาย ให้เห็นคุณลักษณะ เฉพาะของกล่มุ (วิเชยี ร วิทยอุดม, 2551 :95)

รฐั ประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพทุ ธศาสนา 159 159 2) วันชยั มีชาติ กล่าวว่า วฒั นธรรมองค์กรเป็นสิ่งสร้างขึ้นในองค์กร ซึ่งมี ท้ังสิ่งที่แสดงออกมาอย่างชดั เจนสามารถจบั ต้องได้และสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในวฒั นธรรม เป็น ระบบคุณค่า ความเชื่อ ร่วมกันขององค์กร ซึ่งจะกำหนดพฤติกรรมของสมาชิกในองค์กร ทั้งในเร่ืองการปรับตัวขององค์กรต่อสภาพแวดล้อมและกระบวนการในการทำงานของ องคก์ ร (วันชัย มีชาติ, 2548: 271) 3) พัชสิริ ชมพูคำ กล่าวว่า วัฒนธรรมองค์กร หมายถึง ภาพรวมท้ังหมด ขององค์กรไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์ ธรรมเนียมปฏิบัติ คำพูดที่คนในองค์กรใช้ รูปแบบ พฤติกรรม ตลอดจนพิธีกรรมที่ทำให้องค์กรมีลักษณะเฉพาะ เป็นความเชื่อความเข้าใจ ร่วมกันที่คนในองค์กรมีส่วนร่วมกัน เป็นสิ่งที่ทำให้คนในองค์กรรู้ว่า อะไรบ้างที่ควรทำ อะไรบ้างไมค่ วรทำ (พชั สริ ิ ชมพูคำ, ป.ป.ป.: 45) 4) แอล.เอ็ม.ประสาด (L.M.Prasad) ให้คำนิยามไว้ว่า วัฒนธรรมองค์กร หมายถึง ข้อกำหนดที่สมาชิกขององค์กรต้องปฏิบัติร่วมกัน ซึ่งเป็นข้อสมมติฐานที่เป็น รูปแบบเฉพาะอันเป็นรูปลกั ษณภ์ ายในมลี ักษณะที่ใช้เป็นแนวปฏิบัติ เชน่ ค่านิยม ความเชื่อ ทศั นคติ ความรสู้ ึกนึกคิด อาจจะเปน็ บคุ ลิกสว่ นบุคคล (L.M. Prasad, 2001 :94) 5) ริชาร์ด แอล. ดาฟฟ์ (Richard L. Daff) ให้ความหมายวัฒนธรรมไว้ว่า เป็นชุดของค่านิยม ความเชื่อความเข้าใจและวิถีคิด (way of thinking) ร่วมกันของคนใน องค์กรและถ่ายทอดให้สมาชิกใหม่ วัฒนธรรมจะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของ องค์กรเกิดความผูกพันและเป็นส่วนหนึ่งของค่านิยมและความเชื่อขององค์กร (Richard L.Daff,1992 :317) 6) วิเจย์ สาเธ (Vichay Sathe) ให้ความหมายวัฒนธรรมองค์กรไว้ว่า เป็น ระบบค่านิยม ความเชื่อและพฤติกรรมร่วมกันของคนในองค์กร ซึ่งจะเกี่ยวกับการจัด โครงสร้างในการสร้างบรรทัดฐานของกลุ่ม วัฒนธรรมจะช่วยให้บุคคลรู้ว่า เขาจะต้องทำ อะไรและตอ้ งประพฤติหรอื มีพฤติกรรมอย่างไร (Vijay Sathe,1985 :15) จากความหมายที่กล่าวมาแล้ว พอจะสรปุ ได้ว่า วัฒนธรรมองค์กรเป็นแนวทางที่ ได้กำหนดขึ้นมาให้สมาชิกในองค์กรปฏิบัติ อยู่ในรูปแบบของความเช่ือ ค่านิยม ความคิด และการกระทำ เพื่อให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ มีการประพฤติปฏิบัติสืบต่อกันมาจากรุ่น หนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่น เป็นหนึ่งเดียวด้านการปฏิบัติ วัฒนธรรม

160 Public Administration Science in Buddhism 160 องค์กรเป็นจุดร่วมที่สมาชิกใหม่จะต้องปรับตัวให้มีแนวปฏิบัติเหมือนสมาชิกคนอื่นๆและ เปน็ แนวทางในการแก้ปญั หาที่เกิดขึน้ และป้องกนั ปัญหาที่จะเกิดข้ึนภายหลัง 2. ความสำคญั ของวฒั นธรรมองค์กร ความสำคัญของวัฒนธรรมองค์กร เป็นการบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ขององค์กร ด้านความเชื่อ ค่านิยม ความคิดและการกระทำ ซึ่งได้ถ่ายทอดกันมา เช่น ตราธรรมจักร เป็นสัญลักษณ์แห่งพระพุทธศาสนา ตราครุฑเป็นเคร่ืองหมายที่ใช้ในหน่วยงานราชการ ไทย มีหลายสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าน่ันคือวัฒนธรรมองค์กร จะเป็นตำนานเร่ืองเล่าขาน สัญลักษณ์ บรรทัดฐาน อุดมการณ์ วีรบุรุษกำหนดขึ้นมาเพื่อเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ องค์กร สมาชิกขององค์กรจะต้องร่วมกันประพฤติปฏิบัติและมีการปฏิบัติสืบทอดไป เรื่อยๆรุ่นหลังที่ตามมาก็ต้องปฏิบัติเช่นเดียวกัน วัฒนธรรมองค์กรจะต้องมีความเข้มแข็ง ถ้าวัฒนธรรมอ่อนแอจะกอ่ ให้เกิดปัญหาด้านพฤติกรรมและการปฏิบัติงานของพนักงานไว้ ความสำคัญของวัฒนธรรม ดังน้ี (พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), 2538:19) 1) วัฒนธรรมเป็นรูปแบบที่สื่อสารสำหรับคนหมู่ใหญ่ หมายถึง เป็น รูปแบบแห่งวิถีชีวิตของสังคม เพราะมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันนี้ อยู่กันอย่างไร มีรูปแบบปรากฏ ในการเปน็ อยูข่ องคนอย่างไร นัน่ คือวัฒนธรรม 2) วัฒนธรรมจะดีต้องพร้อมทั้งสาระและรูปแบบ หมายความว่า เนื้อหา ถ้าไม่มีรูปแบบช่วยหรือว่าสัจธรรมและจริยธรรม ถ้าไม่มีวัฒนธรรมช่วย คนหมู่ใหญ่ก็จะ ไม่ได้รับประโยชน์จากสัจธรรมและจริยธรรมที่เป็นเน้ือหาสาระนั้น ในทางตรงกันข้าม ถ้า รปู แบบน้ันไม่มสี าระหรอื มีแตไ่ มส่ ื่อสาระอยา่ งได้ผล กไ็ มไ่ ด้รับประโยชน์อีกเชน่ เดียวกัน 3) วัฒนธรรมมีความต่อเนื่องเป็นกระแส หมายถึง เป็นสิ่งที่มีการสั่งสม ถ่ายทอดแล้วก็ต่อเน่ืองไป ไม่หยุดนิ่งตายอยู่กับที่ เป็นการสืบเนื่องมาจากอดีตสู่ปัจจุบัน และเป็นที่จะต้องสืบตอ่ ไปในอนาคต วัฒนธรรมองค์กรเป็นสิ่งที่มีบทบาท มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและการปฏิบัติงาน ของพนักงานทุกคนในองค์กร ถ้าทำงานอย่างรอบคอบจะมีผลกระทบในทางบวกต่อ ความสำเร็จขององค์กรในทางตรงกันข้าม ถ้าทำงานขาดความระมัดระวังจะเป็น ผลกระทบในทางลบองค์กรเกิดความล้มเหลว เพ็ชรี รูปะวิเชตร์ ได้แยกความสำคัญของ วัฒนธรรมองคก์ รไว้ (เพ็ชรี รปู ะวิเชตร์, 2553:88) ดงั นี้

รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 161 161 1) วัฒนธรรมองค์กรมีอิทธิพลต่อความประพฤติ การปฏิบัติของบุคคลใน องค์กรว่าควรทำอย่างไร ไม่ควรทำในสิง่ ที่ทำให้องค์กรมีผลในเรื่องของความก้าวหน้าหรือ ล้าหลัง 2) วัฒนธรรมองค์กรสามารถสะท้อนความคิด ความรู้สึกการตัดสินใจ การวางแผนการจัดทำยุทธศาสตร์ขององค์กร 3) วัฒนธรรมองค์กรช่วยในการหล่อหลอมให้บุคคลในองค์กรมีความ เข้าใจกฏกติกาในการอยรู่ ว่ มกันและการปฏิบัติในทิศทางเดียวกนั 4) วฒั นธรรมการสะท้อนความเป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะองค์กร วัฒนธรรมองค์กรเป็นท้ังกฎกติกา ขนบธรรมเนียมประเพณีขององค์กร ซึ่งเป็น รูปแบบให้บุคคลในองค์กรประพฤติปฏิบัติและเป็นตัวบ่งชี้ที่แสดงถึงความคิด ความรู้สึก การตัดสินใจ ความมุ่งมัน่ ต่ออนาคตและความเปน็ เอกลกั ษณ์ขององคก์ ร เป็นตวั กำหนดให้ บุคคลในองค์กรมีความภาคภูมิใจท้ังต่อตนเองและองค์กร ถ้าองค์กรไม่มีวัฒนธรรมเป็น ของตนเองก็จะขาดรูปแบบในการประพฤติและองค์กรนั้นคงจะดำรงอยู่ไม่ได้นานที่กล่าว มานีแ้ สดงให้เห็นถึงความสำคัญของวัฒนธรรมองคก์ ร 3. วัฒนธรรมองค์กรของสงฆไ์ ทย พระสงฆ์ไทยเป็นฝ่ายเถรวาทแห่งพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นฝ่ายที่เคร่งครัดทาง พระวินัย พระสงฆ์ไทยได้กำหนดระเบียบแบบแผนขนบธรรมเนียมพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับ พระพุทธศาสนาได้ยึดหลักของพระวินัยเป็นเกณฑ์ รวมถึงพิธีกรรมการบวชกุลบุตร ผู้ทีจ่ ะ เข้ามาบวชเป็นพระภิกษุน้ันจะต้องดำเนินการอย่างไร พิธีกรรมการบวชได้กำหนดบรรทัด ฐานไว้ ดงั น้ี ผู้ที่จะทำการบวชให้กุลบุตรที่เรียกว่าอุปัชฌาย์ กำหนดแม้กระท้ังพรรษาว่า ผู้ที่ จะเปน็ อุปัชฌาย์นั้นจะต้องมีพรรษาเท่านั้นขึ้นไป และต้องผ่านการอบรบเกี่ยวกับหลักการ ปฏิบัติหรือหน้าที่การอุปัชฌาย์ จะต้องสอบผ่านขั้นตอนการอบรมด้วย ได้รับการแต่งตั้ง เป็นทางการจึงจะทำหน้าที่อุปัชฌาย์หรือสามารถบวชให้กุลบุตรได้ องค์กรสงฆ์มีแนวทาง ปฏิบตั ิเปน็ แนวเดียวกนั ท้ังประเทศและเรียกวา่ “วัฒนธรรมองคก์ รแห่งคณะสงฆ์ไทย” ผู้ที่เข้ามาบวชจะต้องต้ังอยู่ให้หลักเกณฑ์ต่อพฤติกรรมและการปฏิบัติ จะต้อง เป็นบุคคลที่มีอาการครบ 32 ประการ ไม่วิกลจริตสามารถปฏิบัติศาสนกิจได้ พิธีกรรม ในทางพระพุทธศาสนาก็เป็นวัฒนธรรมองค์กรพุทธ ซึ่งประกอบด้วยรูปแบบการประพฤติ

162 Public Administration Science in Buddhism 162 ปฏิบัติสืบๆต่อกันมา เป็นการแสดงถึงลักษณ ะแห่งพระพุทธศาสนาและช่วยให้ พระพุทธศาสนามีอายยุ ืนยาวมาถึงปจั จบุ ัน ดังนั้น จะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมองค์กรนั้น เป็นการสร้างสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรม องค์กร เพื่อให้มีรูปแบบตามหลักธรรมคำสอนแห่งพระพุทธศาสนา เป็นการกำหนด รูปแบบพฤติกรรมและแนวทางปฏิบัติให้แก่สมาชิกในองค์กร แม้องค์กรสงฆ์แห่ง พระพุทธศาสนาก็ได้กำหนดบรรทัดฐาน ขนบธรรมเนียมหรือหลักปฏิบัติ กุลบุตรผู้ที่จะ บวชในพระพุทธศาสนาจะต้องมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ และบวชเสร็จแล้วพระอุปัชฌาย์ ต้องสอนภิกษุใหมใ่ ห้รู้บุพกิจหรือเรียกว่าอนุศาสน์ให้พระภิกษุใหมไ่ ด้ทราบ กิจที่จะต้องทำ และกิจที่ไม่ควรทำ ตามหลักบริหารแล้วสิ่งที่กล่าวมานั้นเรียกว่า วัฒนธรรมองค์กรของ องคก์ รสงฆใ์ นพระพทุ ธศาสนา เป็นรปู แบบทีอ่ งคก์ รสงฆจ์ ะต้องปฏิบัติเปน็ แนวเดียวกนั อุดมการณ์ทางการเมอื งกับความเช่ือทางพระพุทธศาสนา อุดมการณ์ทางการเมืองของไทยมีลักษณะเฉพาะ คือมีความเกี่ยวข้องกับชาติ ศาสนาพุทธและพระมหากษัตริย์ การทำความเข้าใจอุดมการณ์ทั้งสามอย่างเป็นสิ่งที่ขาด ไม่ได้จากประวัติศาสตร์ต้ังแต่ก่อนยุคสุโขทัยเป็นต้นมา จนถึงยุคที่มีการตรา พระราชบัญ ญั ติคณ ะสงฆ์ พ.ศ.2505 ขึ้นมาใช้กับสถาบันสงฆ์ไทย ถือว่าเป็น พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ที่เกิดขึ้นภายใต้อุดมการณ์รัฐ โดยรวมศูนย์กลางภายใต้ผู้นำ เผด็จการ ที่เอาสถาบันสงฆ์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์ของรัฐ โดยผ่านทาง พระราชบญั ญัติคณะสงฆเ์ ปน็ เครื่องมอื ในการควบคมุ คณะสงฆ์ ถึงอย่างไรก็ตาม อุดมการณ์ของสงั คมไทยนั้นเป็นอุดมการณ์ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ กันอย่างแนบแน่นระหว่างรัฐ จะเห็นได้ว่าตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของประเทศไทย ไม่ว่าจะมีการปกครองในรูปแบบใด อุดมการณ์ทางพระพุทธศาสนาก็ได้ถูกตีความในการ เสริมสร้างความชอบธรรมทางการเมืองในกลุ่มต่างๆในสังคมยุคน้ันๆ นอกจากนี้ การ ควบคุมของรัฐไทยที่มีต่อคณะสงฆ์ก็มีเพิ่มมากขึ้นและการปราบปรามอย่างเป็นระบบต่อ แนวคิดและพฤติกรรมทางศาสนาที่ผิดแผกไปจากแนวทางที่กำหนดไว้ ได้หล่อหลอม สถานะภาพของสถาบันพระพุทธศาสนา ให้มีเอกลักษณ์ดังเช่นที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ประวัติศาสตร์ของอดุ มการณ์ทางพระพุทธศาสนาของไทย จงึ เปน็ ประวตั ิศาสตร์ของความ

รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 163 163 พยายามของกลุ่มต่างๆที่จะเข้ามาควบคุมการตีความคำสอนทางพระพุทธศาสนาเพื่อใช้ เป็นสญั ลกั ษณ์ในการสร้างความชอบธรรมทางการเมอื งให้กบั กลมุ่ ของตน เป็นเรื่องยากที่เราจะปฏิเสธวา่ ความม่นั คงของพระพุทธศาสนาทีม่ ีมานานตลอด ประวัติศาสตร์นั้น ต้องอาศัยอำนาจรัฐค่อยข้างมาก ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธได้ยาก เช่นกัน ว่า ผู้ปกครองในยุคต่างๆที่ผ่านมาได้อาศัยคำสอนทางพระพุทธศาสนาและสถาบันสงฆ์ เป็นรากฐานในการธำรงค์อำนาจของรัฐ ถ้าเราจะย้อนกลับ ไป มองภาพ ของ พระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าจะทรงวางพระองค์ไว้ในระยะห่างจากรัฐ พอสมควร แม้ว่าพระองค์จะเทศนาโปรดเหล่าบรรดาเจ้าแคว้นหรือรัฐต่างๆและทรง คุ้นเคยกับเจ้าผู้ครองอาณาจักรใหญ่ๆ เช่น พระเจ้าพิมพิสารแห่งแคว้นมคธและพระเจ้าป เสนทิโกศล แห่งแคว้นโกศล แต่ก็ทรงระมัดระวังที่จะไม่ให้ความน่าเคารพนับถือของ พระองค์ไปมีผลกระทบต่ออำนาจการปกครองของบรรดาเจ้านครรัฐ การวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องการปกครองก็ทรงกระทำอย่างระมัดระวัง พระองค์อาจจะเคยเสนออุดมการณ์ทาง การเมืองสำหรับเจ้านครรัฐ แต่ทรงเสนอโดยอ้อมมากกว่าจะเป็นการเสนอผ่านผู้ปกครอง โดยตรง สำหรับพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ก็มีพัฒนาการด้านคำสอนที่น่าสนใจ กล่าวคือ ความพยายามที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับรัฐ ทำให้พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาผลิต วรรณกรรมที่ยกย่องเชิดชูพระมหากษัตริย์เป็นโพธิสัตว์ โดยอาศัยเค้าความคิดใน พระไตรปิฎก เช่น ในอัคคัญสูตรและธัมมิกราชสูตร ผ่านข้ันตอนทางประวัติศาสตร์ ในยุค สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชและบรรดากษัตริย์ราชวงศ์ต่างๆในลังกา พระสงฆ์ก็ได้ผลิต ปรัชญาการเมืองที่ให้ความสำคัญอย่างสูงส่งกับผู้ปกครอง อย่างที่รู้จักกันในนามแห่ง “ธรรมราชา”ในการปกครองตามแนวคิดเร่อื งธรรมราชานี้ กษัตริยไ์ ด้รบั การยกย่องให้เป็น พระโพธิสัตว์ อนั เปน็ การผูกพันรัฐกบั พระพุทธศาสนาเข้าเป็นอันหน่ึงอันเดียวกนั ความคิด ที่วา่ “พระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนปู ถัมภก”ซึ่งจะต้องทรงทำนุบำรงุ พระพุทธศาสนา ให้เจรญิ รงุ่ เรืองท้ังในด้านศาสนวตั ถุและศาสนบุคคลรวมท้ังด้านการศกึ ษาด้วย นอกจากพระพุทธศาสนาเองจะได้รับอานิสงส์จากการเข้าไปผูกพันตนเองกับรัฐ แล้ว เราคงต้องยอมรับว่า บรรดาผู้ปกครองก็ได้ประโยชน์จากพระพุทธศาสนาไม่น้อย การยกยอ่ งใหพ้ ระมหากษตั รยิ ์เป็นพระโพธิสตั วก์ ็เป็นเครื่องหมายที่บ่งบอกอยใู่ นตัวอยแู่ ล้ว ว่ารัฐกับพระพุทธศาสนาแยกกันไม่ได้ มองในแง่บวก อุดมการณ์ของรัฐก็เป็นจุดสะท้อน

164 Public Administration Science in Buddhism 164 ความสำคญั ของพระพุทธศาสนาตอ่ การปกครองของไทยในอดีตและความสามารถในการ ฝงั รากลึกลงในจิตใจของคนไทย จนกลายเป็นอุดมการณ์และเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของ คนไทย แต่เม่ือเทียบกับอุดมการณ์ด้านประชาธิปไตยแล้ว ถือว่าระบอบประชาธิปไตยยัง ไม่สามารถที่จะฝังรากลึกลงในวิถีชีวิตของคนไทยได้ อุดมการณ์การปกครองแบบธรรม ราชายังคงฝังแน่นในความคิดของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนากับรัฐแยกจากกัน ไม่ได้และมีความผกู พันกัน เหมอื นกับที่พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ ฺโต) ได้ให้ความเห็น ว่าในประเทศที่มีเอกภาพทางศาสนา รัฐกับศาสนาก็ไม่ควรแยกกัน รัฐสามารถเข้ามา ผูกพันกับศาสนาได้ ถ้าผูกพันให้ถูกต้องพอดีกับความชอบธรรมก็จะทำให้เกิดผลดี คือมี ความสามัคคีเป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกัน ในแง่นีถ้ ้าหากไม่สัมพันธ์กัน อาจจะกลบั มีผลเสีย คือ จะเกิดการแตกแยกกัน เปน็ ต้น ลกั ษณะความสัมพันธ์ที่ถกู ต้องพอดีกับความชอบธรรมนั้น เป็นอยา่ งไร พระพรหมคณุ าภรณ์ ได้กลา่ วไว้วา่ “รัฐต้องเอาคนไม่ดีที่เข้ามาบวชออกไป รัฐก็ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องชำระล้างโดย จบั พระสึก ในการจับพระสึกก็ให้ทางฝ่ายคณะสงฆ์เป็นผู้วินิจฉัยเสียก่อนว่า ผู้นี้ผนู้ ั้นเป็น ใคร มีลักษณะอย่างไรที่เป็นพระแท้หรือพระไม่แท้ ใครมีความเข้าใจหรือไม่มีความเข้าใจ หลักการของพระพุทธศาสนา เม่ือฝ่ายศาสนาหรือฝ่ายสงฆ์วินิจฉัยแล้ว รัฐก็ช่วยในด้าน อำนาจที่จะนำคนเหลา่ นนั้ ออกไปจากวงการศาสนา” พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)ได้อ้างจารีตของพระมหากษัตริย์ในอดีต เช่น สมเด็จพระนารายณ์และพระเจ้าตากสิน ที่ทรงชำระพระศาสนาให้บริสุทธิ์โดยการกำจัด คนไม่ดีออกไปจากพระศาสนา ที่ปรากฏชัดเจนในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 คือการอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ามาดำเนินการในการบังคับพระให้สึก เม่ือต้องคำ วินิจฉัยหรือมีความผิดตามที่พระราชบัญญัติคณะสงฆ์กำหนดไว้ เป็นต้น (พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต, 2535 :30) แต่ถ้ามองตามสภาพความเป็นจริงในสังคมปัจจุบันแล้ว อุดมการณ์ของรัฐและ ความผูกพันของรัฐสมัยใหม่กบั พระพุทธศาสนามีความเปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะว่าฐานะ ของรัฐในปัจจุบันเม่ือเทียบกับพระมหากษัตริย์ในอดีตย่อมมีความแตกต่างกันมาก รัฐใน ระบอบประชาธิปไตยถูกต้ังขึ้นด้วยความยินยอมของประชาชน การที่รัฐจะออกกฎหมาย ใดๆ เพื่อบงั คับใช้กับประชาชนจะต้องอยู่ในกรอบที่ไม่ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งผิดกับการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่พระมหากษัตริย์ย่อมทรงมีพระ

รัฐประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพทุ ธศาสนา 165 165 ราชอำนาจที่จะกระทำสิ่งต่างๆตามที่พระองค์ทรงเห็นว่าสมควรได้ ขอบเขตอำนาจของ กษัตริย์จงึ เป็นขอบเขตที่กว้างขวางกว่าที่รัฐในระบอบประชาธิปไตยจำทำได้ ดังน้ันยอ่ มไม่ สามารถจะนำธรรมเนียมการปฏิบัติของพระมหากษัตริย์ในอดีตมาเป็นมาตรฐาน เพื่อ คาดหวังใหร้ ัฐในปัจจุบันทำหน้าที่ชำระล้างพระศาสนาให้บริสุทธิ์เหมือนอย่างทีเ่ คยเป็นมา แตก่ อ่ นได้ เปน็ ต้น สถานะของพระสงฆ์กับการบริหารของภาครฐั สถานะของพระสงฆ์ในระบอบการเมืองการปกครองของไทย มีสถานะที่พิเศษ โดยเฉพาะในด้านที่รัฐออกกฎหมายเพื่อมาบังคับใช้กับพระสงฆ์ คือกฎหมายที่ห้าม พระสงฆ์เข้าร่วมกระบวนการทางการเมือง เช่น การเลือกต้ังผู้แทนตามระบบ ประชาธิปไตยน้ัน อาจจะถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนภายในรัฐก็ได้ เพราะว่า พระสงฆ์ในฐานะสมาชิกหนึ่งของรัฐไทย ไม่ได้มีสถานะอะไรพิเศษที่แตกต่างไปจาก ประชาชนท่ัวไป กฎหมายใดๆที่ใช้กับประชาชนท่ัวไปก็ต้องสามารถใช้กับพระสงฆ์ด้วย พระสงฆ์จึงไมค่ วรจะได้รบั การปฏิบตั ิที่แตกตา่ งจากประชาชนทว่ั ไปในสงั คมไทย ปัญหาที่น่าจะเป็นประเด็นถกเถียงกันได้ในที่นี้ก็คือ พระสงฆ์หรือนักบวช ไม่ว่า จะในพระพุทธศาสนาหรือศาสนาอื่นใดก็ตาม มีสถานะพิเศษแตกต่างจากประชาชนทั่วไป ของรัฐหรือไม่ ตามจารีตประเพณีของคนไทยในทางปฏิบัติ เราจะปฏิบัติต่อพระสงฆ์หรือ นักบวชแตกต่างออกไปจากคนทั่วไป เพราะโดยหลักการน่าจะถือได้ว่า พระสงฆ์มีสถานะ พิเศษในด้านจริยธรรมและจุดมุ่งหมายของการดำรงชีวิต แต่ในฐานะพลเมืองของรัฐ พระสงฆ์ควรจะได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างออกไปอย่างนั้นหรือไม่? ถ้าจะพิจารณาอย่าง จริงจังในประเด็นที่ว่าพระสงฆ์ มีสถานะแตกต่างจากประชาชนทั่วไปภายในรัฐหรือไม่ แต่ โดยอาศัยหลักทฤษฎีสากลนิยมทางกฎหมายแบบตะวันตกคือหลักความเท่าเทียมกันของ กฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นใครในสังคมก็ต้องอยู่ใต้กฎหมายเดียวกัน และหลักการที่ใช้เป็น เหตุผลของกฎหมายที่ใช้กับพระสงฆ์จะต้องเป็นหลักการเดียวกันของกฏหมายธรรมดาที่ ใช้กับประชาชนท่ัวไป สิ่งที่เราอาจจะต้องถกเถียงกันอย่างมากก็คือ พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาหรือ นักบวชในศาสนาอื่นใดก็ตาม เม่ือยอมตนเข้าไปอยู่ในศาสนาแล้ว ซึ่งมีจุดหมายของพิเศษ

166 Public Administration Science in Buddhism 166 ของการดำรงอยู่ของแต่ละศาสนา พระได้สละความเป็นพลเมืองของรัฐน้ันๆหรือไม่ พระสงฆ์ในสมัยพุทธกาลในยุคที่อาณาเขตของรัฐไม่มีเส้นแบ่งชัดเจนอย่างสมัยปัจจุบัน พระสงฆ์อาจจะไม่ได้สังกัด“รัฐ” พระสงฆ์สามารถจาริกไปในทุกทีทุกแห่งเพื่อประโยชน์ ของมหาชนเป็นหลัก การยอมตนอยู่ภายใต้รัฐใดรัฐหนึ่งอาจจะทำให้เกิดความไม่สบายใน การดำรงเพศบรรพชิตและในการประกาศศาสนา แต่ในยุคที่มีการขีดเส้นแบ่งอาณาเขต ชัดเจนอย่างสมัยปัจจุบัน อาจจะมีข้อปฏิบัติที่แตกต่างออกไปได้ คำถามคืออะไรคือสิ่งที่ ถูกต้องที่สุดสำหรับการดำรงเพศบรรพชิต การเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง เช่น การ เลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรน้ัน เม่ือพระสงฆ์ตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองใด การเมืองหนึ่ง กเ็ ป็นไปได้ทีจะมองว่าพระสงฆ์ได้มีความลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่ง จะต้องมีผลกระทบต่อสถาบันสงฆ์หรอื พระสงฆ์อย่างแน่นอนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง คำถามก็ คือ พระสงฆ์ควรจะให้ความสำคัญกับสังกัดใดแน่ ระหว่างคนของพระพุทธศาสนากับคน ของรัฐและรัฐต้องการให้พระสงฆ์มีสถานะอย่างไร ดูเหมือนว่าประเด็นนี้ยังไม่มีการ ถกเถียงกัน การที่พระสงฆ์ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในทางการเมืองจะเป็นการผูกพันรัฐกับ ศาสนาเข้าด้วยกันหรือไม่ ในเชิงสัญลักษณ์การที่พระสงฆ์ต้องเข้าร่วมกิจกรรมทางการ เมืองในลักษณะของการเลือกต้ังตัวแทนก็คือ การผูกพันศาสนาไว้กับรัฐ ระหว่างการเป็น พลเมืองของรัฐและการเป็นสมาชิกของพระพุทธศาสนาอะไรเป็นสิ่งที่สำคัญกว่ากัน ประเด็นที่สำคัญคือการบังคับใช้กฏหมายของรัฐจะต้องไม่มีความลำเอียง ถ้าเราเชื่อใน ความสากลของหลักกฏหมาย ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ถ้ากฎหมายให้พระสงฆ์มีสิทธิ เลือกตั้งได้ สิ่งที่จะต้องพิจารณาคือสถานภาพของพระสงฆ์ในสังคมการเมืองจะเป็น อย่างไรและพระสงฆ์จะกำหนดสถานะตัวเองในสังคมสมัยใหม่อย่างไร เป็นสิ่งที่ต้อง พิจารณาอย่างครอบรอบเพื่อให้สถานของพระสงฆ์มีความสอดคล้องกับการปกครองของ รฐั ในสมัยใหม่ได้อยา่ งเหมาะสม ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพระพุทธศาสนา เป็นความสัมพันธ์ที่พึ่งพาอาศัยซึ่ง กันและกัน โดยเฉพาะสถาบันพระพุทธศาสนามีความสำคัญต่อประเทศอย่างใหญ่หลวง พุทธศาสนามีอิทธิพลตอ่ การดำรงชีวิต ความรู้สึกนึกคิดของคนไทยมาเปน็ เวลาช้านาน จึง เป็นหน้าที่ของรัฐหรือรัฐบาลที่จะให้ความคุ้มครองและอุปถัมภ์ตอ่ สถาบันทางพุทธศาสนา ให้คงคู่ประเทศไทยต่อไป แต่การคุ้มครองอุปถัมภ์นี้ต้องปราศจากการบังคับและการ ลงโทษ เพราะว่าการที่รัฐจะเข้ามาคุ้มครองพระสงฆ์ก็ต้องมีเหตุผลรองรับกล่าวคือ รัฐ

รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 167 167 เล็งเห็นว่าพระสงฆ์เป็นผู้ที่ทำหน้าที่จรรโลงพระพุทธศาสนา อันเป็นผลดีต่อวัฒนธรรมอัน ดีงามของสังคมไทย รัฐยอ่ มสามารถจะให้การสนับสนนุ พระสงฆใ์ นด้านต่างๆได้ อย่างไรก็ ตามรัฐก็ไม่ควรที่จะถือสิทธิ์ออกกฎหมายควบคุมให้พระสงฆ์ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย อยา่ งเคร่งครัด เพราะอ้างเป็นการคุ้มครองพุทธศาสนา เพราะว่ารัฐไม่สิทธิ์ที่ทำเช่นนั้น ข้อ นจี้ ะเป็นเกีย่ วข้องกับประเดน็ เสรีภาพทางศาสนา การนบั ถือศาสนาต้องเป็นเร่อื งของความ สมัครใจไม่ใช่การบีบบังคับ รัฐจะไม่มีสิทธิในการออกกฏหมายใดๆมาบังคับให้ต้องปฏิบัติ ตามหลักศาสนา ความคิดที่ว่ารัฐไม่สามารถบีบบังคับให้คนนับถือศาสนานี้วางอยู่บนฐาน คติที่ว่า“ความเชื่อข้ันสูงสุดของศาสนาต่างๆไม่ใช่ความเชื่อที่มนุษย์ท่ัวไปจะพิสูจน์ให้เห็น เป็นจริงอย่างแน่นอนได้”ความเชื่อทางศาสนาเป็น“คุณค่า”ประการหนึ่งในบรรดาคุณค่า ทั้งหลายที่รัฐไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องเพราะ“คุณค่า”เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วย ประสาทสัมผัส ความชอบความศรัทธาในคุณค่าต่างๆจึงถูกมองว่าเป็นเรื่องรสนิยม ซึ่งจะ บังคับกันไม่ได้ ถ้าหากว่ารสนิยมดังกล่าวไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน รัฐเองไม่สามารถทำ หน้าที่ตัดสินคุณค่าใดๆว่าเป็นสิ่งที่ควรหรือไม่ควรสำหรับประชาชนภายในรัฐ ดังน้ัน สถานภาพของพระสงฆ์มีบางส่วนที่แตกต่างจากบุคคลทั่วไปภายรัฐ รัฐต้องพิจารณาให้ รอบคอบก่อนที่จะออกกฎหมายต่างๆมาเพื่อบังคับใช้ ต้องให้มีความเหมาะสมกับ สถานภาพและความเป็นอยูต่ ามความเป็นจริงและใหเ้ หมาะสมกบั ยุคสมยั ด้วย อำนาจรัฐในพระราชบัญญตั ิคณะสงฆ์ รัฐบาลในแต่ละยุคจะอาศัยกลไกหรือความเชื่อทางพระพุทธศาสนา เพื่อ ถ่ายทอดอุดมการณ์ทางการปกครองให้กับประชาชนในประเทศ อันเป็นการสร้าง ฐานรองรับความชอบธรรมของตนเองแล้ว รัฐบาลยังมีกลไกที่สำคัญอีกประการหนึ่งใน การบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามความต้องการของตน กลไกน้ันคือ“การออกกฎหมาย” รัฐเป็นเพียงผู้เดียวที่ทำหน้าที่ออกกฎหมายรวมท้ังควบคุมดูแลระบบการลงโทษผู้ทำผิด กฏหมาย นอกจากนั้นกฏหมายยังมีผลต่อความรู้สึกนึกคิดของประชาชนอย่างลึกซึ้ง เพราะที่ไม่เป็นธรรมจะทำให้ประชาชนในประเทศต้องยอมสยบอยู่ใต้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม และเมื่อเวลาผา่ นไปนานเข้า ผู้คนส่วนใหญ่ก็พากนั เชื่อวา่ กฎหมายที่ใช้อยู่นั้นเป็นกฎหมาย ที่เป็นธรรม ท้ังๆที่ความเปน็ จรงิ แล้วหาเปน็ เช่นนน้ั ไม่

168 Public Administration Science in Buddhism 168 สมบูรณ์ สุขสำราญ ได้อธิบายลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันสงฆ์กับรัฐ ว่า“แม้ว่าในทางสัญลักษณ์ สถาบันทางศาสนาจะเป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณและผู้กุม อำนาจรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ประชาธิปไตยหรือเผด็จ การ จะได้รับความชอบธรรมในอำนาจปกครองในฐานะผู้ทำนุบำรุงและคุ้มครองพระ ศาสนา แต่ในความสัมพันธ์เชิงอำนาจนั้น สถาบันพุทธศาสนาเป็นส่วนที่อยู่ภายใต้การ ควบคมุ ของอำนาจการเมอื งตลอดมา (สมบูรณ์ สขุ สำราญ, 2549 :275) ในประเด็นนี้จึงจะได้เปรียบเที ยบกฎหมายที่ใช้กับพระสงฆ์ซึ่งเรียกว่า พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ซึ่งตราขึ้นระหว่างปี พ.ศ.2445-2505 โดยที่พระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ในประเทศไทยสามารถแบ่งได้เป็น 3 ฉบับ (ไม่นับรวมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535)ได้แก่ พระราชบัญญัติลักษณะปกครองสงฆ์ ร.ศ.121 (พ.ศ. 2445) พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2484 และพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 โดยมีรายละเอียด ดงั น้ี 1. พระราชบญั ญตั ลิ ักษณะปกครองสงฆ์ ร.ศ.121 พระราชบัญญัติลักษณะปกครองสงฆ์ ร.ศ.121 (พ.ศ.2445) ซึ่งถูกตราขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ประเทศไทยในขณะน้ันมีการปกครอง ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นับเป็นพระราชบัญญัติฉบับแรกที่จัดรูปการปกครองสงฆ์ ให้เป็นแบบแผน การตราพระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นผลสืบเนื่องจากจัดการเล่าเรียนในหัว เมือง พ.ศ.2441 เนื่องจากขณะน้ันเป็นยุคหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองให้ เป็นสมัยใหม่ ภัยคุกคามจากจักรวรรดินิยมตะวันตก ทำให้พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวดำเนินการปฏิรูปการปกครองครั้งใหญ่ โดยรวมอำนาจการ ปกครองเข้าสู่ส่วนกลางและเปลี่ยนโครงสร้างการปกครองให้เป็นระบบทันสมัยตามแบบ สากล การที่จะสำเร็จลลุ ่วงต้องอาศัยกำลังข้าราชการทีร่ ับการศึกษาในแนวใหม่รองรับ นโยบาย ปัญหาที่รัฐบาลประสบคือการขาดแคลนข้าราชการที่มีคุณสมบัติดังกล่าวและ ประชาชนส่วนมากขาดการศึกษาโงเ่ ขลา ซึ่งนบั เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ปัญหา ประการหลังเป็นอันตรายตอ่ ความม่ันคงของประเทศโดยเฉพาะในช่วงที่ประเทศไทยตกอยู่ ใต้การคุกคามของมหาอำนาจตะวันตก เพราะประชาชนอาจถูกชักจูงให้หลงผดิ ได้ ปัญหา สำคัญอีกประการ คือข้อจำกัดของงบประมาณด้านการศึกษา แต่ด้วยพระปรีชาญาณของ

รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพทุ ธศาสนา 169 169 พระองค์ ทรงรำลึกถึงคุณประโยชน์ของสถาบันสงฆ์และวัดซึ่งเป็นแหล่งวิทยาการในสมัย โบราณ จึงได้อาราธนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯกรมพระยาวชิรญาณวโรรส (เม่ือคร้ังยัง ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าน้องยาเธอกรมหม่ืนวชิรญาณวโรรส) ให้เป็น ผอู้ ำนวยการศึกษาหัวเมืองตามวัดต่างๆทั่วราชอาณาจักร โดยมีสมเด็จฯกรมพระยาดำรง ราชานุภาพ (เม่ือครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าน้องยาเธอกรมหม่ืนดำรงราชานุ ภาพ) เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ทำนุบำรุงอุดหนุนให้ดำเนินไปให้สะดวก (คณึง นิตย์ จันทบุตร, 2528 :6) การดำเนินการศึกษาในส่วนภูมิภาค คร้ังน้ันสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระ ยาวชิรญาณวโรรส ทรงประสบอุปสรรคหลายประการ อุปสรรคที่สำคัญคือการขาด อำนาจในการควบคุมการบริหารของสงฆ์ อุปสรรคประการต่อมาคือทรงไม่พอพระทัยที่ จะอยู่ใต้บังคับของกระทรวงธรรมการและใคร่ขอยกการบริหารพระสงฆ์ไว้ต่างหาก จึงได้ ทรงทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงความจำเป็นที่จะต้องจัดให้มีการ ปกครองคณะสงฆ์แยกออกไปตา่ งหาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัว จงึ ทรง เห็นควรที่จะจดั การปกครองสงฆ์ให้เข้าระเบียบ เพื่ออนุวัตรตามการปกครองแผ่นดิน โดย มุ่งให้การปกครองคณะสงฆ์เป็นระบบศูนย์รวมอำนาจ เพื่อสร้างเอกภาพของการบริหาร คณะสงฆ์ ความเป็นระเบียบในการบริหารคณะสงฆ์จะอำนวยความมั่นคงให้เกิดแก่ ราชอาณาจักรและจะยังประโยชน์ด้านการศึกษาและศีลธรรมจรรยาของประชาชน ประกอบกับกฎหมายคณะสงฆ์ที่มีอยใู่ นขณะนั้น ไม่อาจจะควบคุมวัตรปฏิบัติและวินัยของ พระสงฆ์ได้อย่างทั่วถึง เพราะยังไม่ปรากฏบทลงโทษภิกษุสงฆ์ที่ทำผิด จากปัญหาสาเหตุ ดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ตราพระราชบัญญัติการ ปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 และประกาศใชเ้ มื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2445 นอกจากนี้ การตราพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ร.ศ.121 มีจุดมุ่งหมาย สำคัญคือ กำหนดโครงสร้างการปกครองสงฆ์ใหม่ให้สอดคล้องกับโครงสร้างการปกครอง ของอาณาจักร กล่าวคือ แบ่งส่วนบริหารออกเป็นสังฆมลฑลมีเจ้าคณะมลฑล ที่ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ังจากพระราชาคณะเป็นผู้ปกครองดูแลกิจกรรมคณะสงฆ์ใน บริเวณนั้น เช่นเดียวกับข้าหลวงเทศาภิบาล ซึ่งทำหน้าที่ปกครองประชาชนและบริหาร ราชการแผ่นดินในมลฑลน้ัน รองจากมลฑลลงมา คือเมืองหรือจังหวัด มีเจ้าคณะจังหวัด

170 Public Administration Science in Buddhism 170 หรือเจ้าคณะเมืองเป็นผู้ปกครอง นอกจากนี้ยังมีเจ้าคณะแขวง เจ้าคณะตำบลและเจ้า อาวาสตามลำดบั โดยใหเ้ ป็นระบบศนู ยร์ วมอำนาจที่มหาเถรสมาคม พระราชบัญญัติฉบับนี้ยังนับเป็นพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับแรก ที่ทำให้การ รับรองการแบ่งแยกนิกายสงฆ์ น่ันคือการแบ่งนิกายสงฆ์เป็ นธรรมยุติกนิกายและ มหานิกาย โดยที่การตราพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 มิได้มี ความมุ่งหมายที่จะสร้างความเสมอภาคในการปกครองสงฆ์ กระบวนการตรา พระราชบัญญัติมิได้เกิดจากการประชุมหรือการปรึกษาหารือในกลุ่มคณะสงฆ์ท้ังสอง นิกาย แต่เป็นเพียงการตกลงร่วมกันเองในกลุ่มผู้นำซึ่งเป็นฝ่ายธรรมยุตตกนิกาย อัน ประกอบด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระสมณเจ้าฯกรม พระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าฯ ในระหว่างการผนวชถึง 27 พรรษา พระองค์ได้สถาปนานิกายศาสนาใหม่ขึ้น เรียกว่าธรรมยุติกนิกาย ทรงให้เหตุผลในการสถาปนานิกายขึ้นใหม่ว่าเพื่อปฏิรูป พระพุทธศาสนาให้บริสุทธิต์ ามพระธรรมวินยั ของพระพุทธองค์ การก่อต้ังธรรมยุติกนิกาย ของพระองค์นำผลดีมาสู่พระองค์และพระพุทธศาสนา แต่ขณะเดียวกันการก่อต้ัง ธรรมยตุ ิกนิกายกน็ ำความยงุ่ ยากมาสูส่ ถาบันสงคไ์ ทยด้วยเชน่ กนั ปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ความไม่เสมอภาคของพระราชบัญญัติลักษณะการ ปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 กล่าวคือ การกำหนดสิทธิพิเศษแก่ธรรมยุติกนิกายในการ ปกครองตนเองไม่ต้องขึ้นกับเจ้าคณะอื่นๆ นอกจากนี้ยังระบุให้ธรรมยุติกนิกายมีสิทธิใน การปกครองพระมหานิกายได้ ทำให้วัดธรรมยุติไม่ว่าจะอยู่ในกรุงหรือหัวเมืองไม่ต้องขึ้น ต่อเจ้าคณะท้องถิ่นมหานิกาย แต่ให้ขึ้นตรงต่อเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติกนิกายแทน นอกจากนี้คณะธรรมยุติยังมีสิทธิชำระอธิกรณ์กันเองในคณะ โดยไม่ต้องขึ้นตรงต่อกรม ธรรมการหรือกรมสังฆารี เช่น คณะสงฆ์นิกายอื่น การให้อภิสิทธิ์แก่ภิกษุธรรมยุติในการ ปกครองตนเอง จะไม่เกิดปญั หาใหต้ ้องท้วงติง ถ้าภิกษุมหานิกายซึ่งเปน็ พระสงฆ์ส่วนใหญ่ จะได้สิทธิในการปกครองตนเองอย่างเท่าเทียมกัน แต่ภิกษุมหานิกายบางคณะต้องขึ้นกับ ภิกษุฝ่ายธรรมยุติ จึงกลายเป็นปัญหาให้ภิกษุมหานิกายต้องท้วงติงว่า เพราะเหตุใดภิกษุ ธรรมยุติจึงปกครองภิกษุมหานิกายได้ ขณะภิกษุฝ่ายมหานิกายมิได้มีสิทธิในการปกครอง ภิกษุฝ่ายธรรมยุติ ความขัดแย้งต่างๆระหว่างมหานิกายและนิกายธรรมยุติดังกล่าวนี้ ได้

รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา 171 171 ถูกเก็บกดมาพร้อมที่จะปะทุในเวลาต่อมาเน้ือหาของพระราชบัญญัติลักษณ ะปกครอง คณะสงฆ์ ร.ศ.121 นี้ สามารถสรปุ ได้วา่ 1) พระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ัง ถอดถอน สมณศักดิ์ และตำแหน่งบริหาร ต้ังแต่ระดับพระราชาคณะจังหวดั ขึ้นไป 2) มหาเถรสมาคมปกครองและบริหารกิจการคณะสงฆ์สนองพระ ปรมาภไิ ธยขององคพ์ ระมหากษตั รยิ ์ 3) หน่วงงานของรัฐโดยเฉพาะกระทรวงธรรมการ ควบคุมวางระเบียบ เกี่ยวกับการบริหารทรพั ย์สินของวัดและศาสนสมบัติทั้งปวง กระทรวงมหาดไทยดูแลการ ต้ังวัดและศาสนสถาน เปน็ ต้น 4) มีบทลงโทษพระภิกษุสงฆ์ เช่น พระภิกษุที่ประพฤติล่วงละเมิดพระ ธรรมวินยั เป็นอาจณิ , ไม่สังกัดอยู่ในวัดๆหน่งึ หรอื ไม่มีวัดเป็นทีอ่ ยหู่ ลักแหล่งให้พระภิกษุรูป นั้นสละสมณเพศตามหลักเกณฑแ์ ละวธิ ีการทีก่ ำหนด 2. พระราชบญั ญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ.2484 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2484 ถูกตราขึ้นในสมัยที่จอมพล ป.พิบูล สงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี อันเป็นผลสืบเน่ืองมาจากการที่ประเทศไทยมีการ เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย เม่ือปี พ.ศ.2475 จากอิทธิพลของ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองในช่วงทศวรรษดังกล่าว เป็นช่วงที่ความคิด ด้านประชาธิปไตยกำลังเฟื่องฟู ในช่วงน้ัน พระภิกษุสามเณรแสดงความสนใจต่อความคิด นี้มาก จนถึงขนาดเดินมาสังเกตการณ์นอกวัด มีการอภิปรายปัญหาการเมืองในวัดอย่าง ดาษดื่มความต่ืนตัวของพระสงฆ์ในเมืองไทยเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยมี สูงมาก จนกระทั่งมีพระสงฆ์จำนวนหนึ่งเขียนจดหมายถึงรัฐบาลแสดงความยินดีและชื่น ชมรูปแบบการปกครองใหม่ พระสงฆ์ทางมหานิกายบางกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ระบบการ ปกครองของคณะสงฆ์ที่เป็นอยู่ในลักษณะรวมศูนย์และมีความไม่เสมอภาคระหว่าง พระสงฆ์สองนิกาย จึงได้เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับรูปแบบการ ปกครองระบอบประชาธิปไตย ในที่สุดก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่สำคัญเหตุการณ์หนึ่งคือ เม่ือ เดือนกุมภาพันธ์ 2476 มีตัวแทนจากพระสงฆ์จากมหานิกายจำนวนหนึ่งจาก 12 จังหวัด เดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร ยื่นฎีกาต่อนายกรัฐมนตรีขอให้ปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์

172 Public Administration Science in Buddhism 172 ให้เป็นประชาธิปไตย หลังจากนั้นอีก 8 ปีรัฐบาลก็ได้ยกเลิกพระราชบัญญัติลักษณะการ ปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 และมีการตราพระราชบัญญตั ิคณะสงฆ์ พ.ศ.2484 ในที่สดุ อย่างไรก็ดี เราไม่ควรด่วนสรุปพลังของการเรียกร้องของพระสงฆ์ดังกล่าวว่า เป็นสาเหตุหลักในการก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เน่ืองจากในทศวรรษ 2480หลวงวิจิตร วาทการและรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม มิได้เน้นความสำคัญของสถาบันพุทธ ศาสนามากนัก เนือ่ งจากอุดมการณท์ ี่หลวงวิจิตรวาทการ ต้องการปลูกฝังให้แก่ประชาชน ในตอนน้ันคือ“อุดมการณ์ชาตินิยม”ทำให้ไม่สามารถเน้นหนักไปที่สถาบันพุทธศาสนาได้ เพราะอาจเป็นอุปสรรคต่อการสร้างเอกภาพทางความรู้สึกนึกคิดของประชาชน นโยบาย ชาตินิยมที่เน้นอยนู่ ้ันจะต้องทำให้คนทีน่ ับถือศาสนาอื่นๆไม่ว่าจะเป็นศาสนาอิสลาม คริสต์ และอื่นๆ เข้ามารวมกันไว้ในชาติเดี่ยวกันให้ได้ การเน้นไปที่พระพุทธศาสนาอาจทำให้เสีย ความกลมเกลียวระหวา่ งคนต่างศาสนาได้ แม้แต่สมัยของจอมพล ป.พิบูลสงคราม จะมีการสร้างวัดซึ่งในปัจจุบันใช้ชื่อว่า “วัดพระศรีมหาธาตุ”ซึ่งเริ่มโครงการในปีพ.ศ.2483 แต่รัฐบาลกลับต้ังชื่อว่า“วัด ประชาธิปไตย”เท่ากับต้องการเน้นความสำคัญของประชาธิปไตยมากกว่า โดยพยายาม เชื่อมโยงพุทธศาสนาเข้าระบอบประชาธิปไตย (สายชล สัตยานุรักษ์, 2544 :299) ดัง ความตอนหนึ่งในโครงการ“สรา้ งวดั ประชาธิปไตย”วา่ “พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประเสริฐสุด...เป็นศาสนาที่ทันสมัยอยู่เสมอและยิ่ง ประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตยด้วยแล้ว พระพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาที่เหมาะสม ด้ ว ย ป ร ะ ก า ร ทั้ ง ป ว ง เพ ร า ะ พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า เป็ น ห ลั ก ข อ ง ก า ร ป ก ค ร อ ง ร ะ บ อ บ ประชาธิปไตย”(กจช.ศธ.0701.46/2“สร้างวัดประชาธิปไตย”วัดพระศรีมหาธาตุ พ.ศ. 2483-2496) ดังน้ัน ปัจจัยห ลั กที่ น่าจะพิ จารณ าว่าเป็ นเห ตุของการเป ลี่ยนแป ล ง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์คร้ังนี้ อย่างหนึ่งน่าจะเกิดจากความต้องการความชอบธรรม ทางการเมืองของรัฐบาล เนอ่ื งจากอุดมการณ์และวตั ถุประสงค์หลักที่คณะผู้เปลี่ยนแปลง การปกครองเมอ่ื ปี พ.ศ.2575อ้างสนบั สนุนการปฏิบัติการปกครองของพวกตนก็คือ การที่ จะสร้างความชอบธรรมของสถาปนาระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทย ในการที่จะสร้าง แ ล ะเผ ย แ พ ร่ อุ ด ม ก าร ณ์ ป ร ะชาธิ ป ไต ย ให้ เข้ าถึ งป ร ะชาชน ก็ น่ าจ ะส ร้าง แ ล ะป ลู ก ฝั ง ประชาธิปไตยในทุกส่วนของสังคมด้วย เน่ืองจากพระสงฆ์เป็นสถาบันที่ประชาชนทั่วไปให้

รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพทุ ธศาสนา 173 173 การเคารพนับถือ ดังน้ันจึงสมควรจะสร้างประชาธิปไตยในสถาบันสงฆ์เพื่อให้ประชาชน เห็นเป็นแบบของความประพฤติทีค่ วรปฏิบัติตาม โครงสร้างสำคญั ของการปกครองและบริหารการคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ พ.ศ.2483 นี้เป็นการจำลองตามรูปแบบการปกครองของฝ่ายอาณาจักรตาม หลักการประชาธิปไตยนั่นคือการมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นประมุขของคณะสงฆ์ โดยมี พระมหากษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้งมีการยุบเลิกมหาเถรสมาคมและแบ่งแยกการปกครอง ออกเป็น 3 สว่ น ได้แก่ 1) สงฆสภา ประกอบด้วยพระสงฆ์ 45 รูป ซึ่งแต่งต้ังโดยสมเด็จพระสงฆ์ ราชตามพระสมณศกั ดิแ์ ละความรู้ ทำหนา้ ทีร่ ่างสังฆาณัติกติกาสงฆห์ รอื กฎหมายสงฆ์ 2) สงฆ์มนตรี ทำหน้าที่เหมือนคณะรัฐมนตรีมีอำนาจในการบริหารคณะ สงฆ์ โดยมี สังฆนายก ทำหน้าที่เหมือนนายกรัฐมนตรี ท้ังหมดแต่งต้ังโดยสมเด็จ พระสงั ฆราช 3) คณะวินัยธร ทำหน้าที่เหมือนเป็นตุลาการสงฆ์ มีหน้าที่วินิจฉัยและ ระงับอธิกรณต์ ่างๆ 4) การบริหารกิจการสงฆใ์ นสว่ นภมู ิภาคไมไ่ ด้มีการเปลีย่ นแปลงมากนัก ถึงแม้ว่ารูปแบบใหม่ของการปกครองคณะสงฆ์นี้จะมีการแบ่งแยกแต่มิได้ หมายความว่าคณะสงฆ์จะมีอสิ ระหรอื มีอำนาจที่จะบริหารกิจการสงฆ์อยา่ งเปน็ อิสระจาก การควบคุมของรัฐ เน่ืองจากพระมหากษัตริย์ทรงแต่งต้ังสมเด็ จพระสงฆราชตาม คำแนะนำของคณะรัฐมนตรี สมเด็จพระสงฆ์ราชทรงเป็นผู้แต่งต้ังสมาชิกสงฆ์สภาและสง ฆมนตรีร่วมกับรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ มรี ัฐมนตรีกระทรวงศกึ ษาธิการในฐานะเป็น ผู้รักษาการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติเป็นผู้มีอำนาจในการออกกฎกระทรวงระเบียบ ต่างๆ เพื่อให้การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติเป็นไปโดยเรียบร้อย เป็นผู้ลงนามรับสนอง พระราชบัญชาแต่งตั้งประธานและรองประธานสงฆสภา เป็นผู้เสนอญัตติ เพื่อการ อภิปรายและมีสิทธิเข้าร่วมประชุมแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมด้วย นอกจากนี้ยังมี อำนาจที่จะกำหนดวนั ปิดเปิดการประชุมสงฆสภาตลอดจนเรียกประชมุ วาระพิเศษ การดำเนินการบริหารกิจการคณะสงฆ์ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 ดูเหมือนจะดำเนินไปด้วยดี แต่จริงๆแล้วหาเป็นเช่นน้ันไม่ เนื่องจากความขัดแย้ง ระหว่างมหานิกายและธรรมยุติกนิกายทีม่ ีมาแต่กอ่ นแล้ว ยังไม่ได้รบั การแก้ไข ยกตวั อยา่ ง

174 Public Administration Science in Buddhism 174 เช่น ถึงแม้ว่าจะมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2484 แล้ว พระเถระผู้ ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆมนตรี นับต้ังแต่ พ.ศ.2484-2492 ท้ัง 3 รูป ล้วนแต่เป็นพระ เถระจากธรรมยุติกนิกาย จนต้องมีการร้องเรียนถึงนายกรัฐมนตรี จึงได้มีการประชุมกัน ในคณะสงฆ์ จนทำให้พระเถระจากมหานิกายได้รับการเลือกเป็นสมเด็จพระสังฆมนตรี องค์ถัดไป นอกจากนี้สัดส่วนของตัวแทนพระสงฆ์จากมหานิกายและธรรมยุตในสังฆสภา และสังฆมนตรีก็มีความแตกต่างกันมาก กล่าวคือ มีตัวแทนพระสงฆ์จากมหานิกายน้อย กว่าตัวแทนสงฆ์ของธรรมยุตมาก ความขัดแย้งเหล่านี้ทำให้เกิดความวุ่นวายในคณะสงค์ อย่างรุนแรง จนทำให้กลายเป็นข้ออ้างให้ฝ่ายอาณาจักรใช้เป็นเหตุผลสร้างความชอบ ธรรมแก่รัฐบาลที่จะเข้าไปแทรกแซงและเปลี่ยนแปลงการบริหารคณะสงฆ์เสียใหม่ เม่ือ พ.ศ.2505 เปน็ ต้น 3. พระราชบญั ญัตคิ ณะสงฆ์ พ.ศ.2505 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติที่ใช้กันอยู่ใน ปัจจุบัน เป็นผลของการเปลีย่ นแปลงทางการเมืองใหม่ในชว่ งหลัง พ.ศ.2500 ซึ่งเป็นช่วงที่ มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยไปเป็นเผด็จการทหาร โดยมี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้นำ เม่ือจอมพลสฤษดิ์ยึดอำนาจก็ทำลายรูปแบบ ประชาธิปไตยและสถาปนาเผด็จการทางทหารแล้วอุดมการณ์“พัฒนา”ก็เข้ามาแทนที่ อดุ มการณ“์ ประชาธิปไตย” การพัฒนาจะบรรลผุ ลได้ จอมพลสฤษดิ์เชอ่ื ว่าการปกครองจะต้องมผี ปู้ กครองที่ เข้มแข็ง รวมอำนาจ ตัดสินใจเด็ดขาด มีกำลังอำนาจหน้าที่ สามารถใช้อำนาจในเชิงบงั คับ ได้อย่างเด็ดขาด แบบเดียวกับ“พ่อขุน”รูปแบบและวิธีการปกครองของจอมพลสฤษดิ์ จึง ตรงกันข้ามและเป็นปฏิปักษ์ต่อรูปแบบและวิธีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่าง สิ้นเชิง ดังน้ันภายใต้การปกครองแบบเผด็จการทหารของจอมพลสฤษดิ์ ความม่ันคง ความเป็นระเบียบความสงบเรียบร้อยของทุกส่วนประกอบสังคมจึงเป็นที่ต้องการและเป็น เง่ือนไขสำคัญ ที่จะพัฒ นาประเทศ พร้อมกันนี้ทรัพยากรของชาติไม่ว่าจะเป็น ทรัพยากรธรรมชาติหรือทรัพยากรมนุษย์โดยไม่จำกัดประเภทและสถาบันจารีตนิยมทุก สถาบันไม่ว่าจะเป็นสถาบันศาสนาหรือสถาบันอื่นใดจะถูกระดมมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ การพัฒนา สถาบันศาสนาก็ไม่ได้ยกเว้น โดยเฉพาะสถาบันสงฆ์เป็นทรัพยากรที่มี ศักยภาพเพื่อการพัฒนาสูง เพราะเป็นที่เคารพนับถือเชื่อฟังเป็นผู้นำทางจิตใจและด้าน

รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพทุ ธศาสนา 175 175 กิจกรรมในท้องถิ่น แต่การที่สถาบันสงฆ์จะเป็นทรัพยากรเพื่อ“การพัฒนา”ตามแนวทาง ขอ งจอมพ ลสฤ ษ ดิ์ และที่ สำคั ญ ที่ สุด จะผดุ งรัก ษ าแล ะสื บ ท อด พ ระศาส นาให้บ ริสุ ท ธิ์ สามารถเป็นหลักศีลธรรมของธรรมชาติ เพื่อใช้ต่อต้านแนวคิดทางการเมืองแบบ คอมมิวนิสต์ในเวลาน้ัน จอมพลสฤษดิ์เชื่อว่าสถาบันสงฆ์จะต้องมีระเบียบและอยู่ในกรอบ วินัยอย่างเคร่งครัด กรอบวินัยในที่นี้ มิได้หมายถึงพระธรรมวินัยในพระพุทธศาสนา แต่ หมายถึงวินัยที่จอมพลสฤษดิค์ าดหวังให้พระสงฆ์ต้องปฏิบัติ (เหมือนกับเร่อื งระเบียบวินัย และความประพฤติของประชาชนที่จอมพลสฤษดิ์เป็นผตู้ ัดสินเองว่าค่านิยมทางสังคมแบบ ใดทีส่ มควรปฏิบตั ิ แบบใดที่ไม่ควรปฏิบตั ิ) นอกจากนี้เหตุผลอีกข้อหนึ่งที่ทำให้จอมพลสฤษดิ์ ต้องการตราพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ขึน้ ใหม่ ก็เพราะจอมพลสฤษดิ์ไม่พอใจพฤติกรรมของพระเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่งคือ พระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) (ผจญมาร,บันทึกชีวิต 5 ปีในห้องขังของพระพิมล ธรรม,2530:39) พระเถระรูปนี้ ดำรงตำแหน่งสังฆมนตรีว่าการองค์กรปกครอง เป็นเจ้า อาวาสวัดมหาธาตุ เป็นพระสงฆ์จากมหานิกายที่มีผลงานโดดเด่นในการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาเหนือพระสงฆ์รูปอื่นในสมัยเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานทางด้านการ เจริญวิปัสสนาธุระจนได้ก้าวสู่ฐานะทางบริหารคณะสงฆ์ในเวลาอันรวดเร็ว แต่พระพิมล ธรรม (อาจ อาสโภ) กลับมีพระเถระผู้ไม่หวังดีรูปอื่น ท้ังที่เป็นมหานิกายและ ธรรมยุติกนิกายต้องการสกัดวิถีทางของพระพิมลธรรมให้หลุดไปจากเวทีแห่งอำนาจใน การปกครองคณะสงฆ์ จึงได้รายงานพฤติกรรมต่างๆของพระพิมลธรรม ที่จะทำให้จอม พลสฤษดิ์ไม่พอใจ ยกตัวอย่างเช่น กล่าวหาว่าพระพิมลธรรมเป็นคอมมิวนิสต์บ้าง เป็น บคุ คลที่สนิทสนมกับจอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นศัตรูทางการเมืองของจอมพลสฤษดิ์ บ้าง เปน็ ต้น แต่ที่จอมพลสฤษดิ์ไม่พอใจพระพิมลธรรมที่สุด น่าจะเป็นเหตุการณ์ที่จอม พลสฤษดิ์เดินทางไปตรวจราชการในเขตอีสาน แล้วมีประชาชนและพระสงฆ์มาต้อนรับไม่ มากเท่าที่ควร ผดิ กับพระพิมลธรรมทีม่ ีเดินทางไปภาคอีสานแล้ว มีประชาชนและพระสงฆ์ มาต้อนรับและอำนวยความสะดวกอย่างคับคั่ง จึงทำให้จอมพลสฤษดิ์มองพระพิมลธรรม ในแง่ลบเมื่อมีพระเถระหลายรูปมาพูดให้ร้ายพระพิมลธรรมมากเข้า ในที่สุดจอมพลสฤษดิ์ ก็มีความต้องการให้พระพิมลธรรมสึก ซึ่งตรงกับพระประสงค์ของพระสังฆราชในตอนนั้น เช่นกัน แต่ติดขัดที่พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2484 ในเวลานั้นทำให้พระสังฆราชทรง

176 Public Administration Science in Buddhism 176 ไม่สามารถจะส่ังให้พระพิมลธรรมสึกได้เพราะตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ การที่จะทำ เช่นน้ันได้ต้องใช้มติร่วมกันของสังฆสภาเสียก่อน เมื่อเป็นเช่นน้ันจอมพลสฤษดิ์ จึงมีความ ไม่พอใจต่อพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ฉบับปีพ.ศ.2484 เพิ่มขึ้น จึงต้องการตรา พระราชบัญญัติฉบับใหม่เพี่อให้พระสังฆราชและมหาเถรสมาคมมีอำนาจเด็ดขาดที่จะ กระทำสิง่ ใดกไ็ ด้ เหมอื นกับตนและรฐั บาลในเวลาน้ัน (แสวง อดุ มศร,ี 2533:279) ต่อมาพระพิมลธรรมได้ถูกถอดสมณศักดิ์ ถูกสัง่ ให้สึกโดยพระบัญชาของสมเด็จ พระสังฆราช ดว้ ยข้อหาเสพเมถนุ ธรรมทางเวจมรรค (การรว่ มเพศทางทวารหนกั ) และถูก ขังคุกในเดือนเมษายน ปีพ.ศ.2505 ด้วยข้อหามีการกระทำเปน็ คอมมิวนิสต์และกระทำผิด ต่อความม่ันคงของชาติ (นั่นคือท่านโดนกล่าวโทษท้ังทางโลกและทางธรรมพร้อมกัน) หลังจากน้ันไม่นาน จอมพลสฤษดิ์ ก็ประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2484 และตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับใหม่ในเดือนธันวาคม พ.ศ.2505 (ต่อมาภายหลัง พระพิมลธรรมก็ได้รับการตัดสินให้เป็นผู้บริสุทธิ์ หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในคุกห้าปี ท่านได้ ครองเพศเป็นบรรพชิตอีกครั้งหนึ่งและได้สมณศักดิ์คืนมาในสมัยที่หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมชเป็นนายกรัฐมนตรี กรณีพระพิมลธรรมดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นจุดดำจุดหนึ่งใน ประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ไทย และเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของการแทรกแซงคณะสงฆ์ จากรฐั บาลไทย) จอมพลสฤษดิ์ มีทศั นะว่าการจัดองค์กรสงฆ์เพื่อการพัฒนานั้นจะต้องคล้อยตาม โครงสร้างการปกครองและการบริหารของอาณาจักร ในเมื่อรปู แบบประชาธิปไตยในฝ่าย อาณาจักรไม่เอื้อต่อการพัฒนา มีแต่ก่อให้เกิดความแตกแยกภายในสังคมและก่อให้เกิด ความอ่อนแอในชาติ เปน็ จดุ อ่อนให้ลัทธิและขบวนการต่างชาติ โดยเฉพาะคอมมิวนิสต์เข้า มาบ่อนทำลายแทรกแซง ขัดขวางการพัฒนา เป็นอันตรายยิง่ ตอ่ มิ่งขวญั ของชาติ อันได้แก่ สถาบันพระมหากษัตริย์และศาสนา ในเม่ือรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยมี จุดออ่ นเช่นนี้ การจดั การบริหารกิจการคณะสงฆจ์ งึ ไม่ควรจะตามแบบอย่าง ที่น่าสนใจประการหนง่ึ คือจอมพลสฤษดิ์เคยพูดถึงเหตผุ ลที่ตนตอ้ งทำการปฏิวัติ รัฐบาลชุดก่อนว่า“ท่านจะมองเห็นภาพอย่างชัดเจนว่าในระยะเวลานั้น (ก่อน พ.ศ.2501) เป็นความแตกแยกอย่างรุนแรง การกล่าวร้ายใส่โทษ ความต้องการที่จะเห็นแต่เร่ือง ย่งุ ยากความคิดโน้มเอียงไปทางร้ายความตั้งใจที่จะประหารทำลายซึ่งกันและกัน ได้แสดง ออกมาทุกวิถีทาง จนกระท่ังรัฐบาลสมัยนั้นต้องยอมรับว่า ไม่สามารถบริหารงานของ

รฐั ประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพทุ ธศาสนา 177 177 ประเทศชาติต่อไปได้และจำต้องลาออก ฉะน้ันแผนอันดับแรกของการปฏิวตั ิ คือ ต้องขจัด กวาดล้างพฤติกรรมต่างๆอันเป็นเหตุแห่งความแตกร้าวและสร้างความสามัคคีให้คนใน ชาติข้นึ มาให้จงได้”(ประมวลสุนทรพจนข์ องจอมพลสฤษดิ์ ธนะรชั ต์, 2507: 16) เหตุผลที่จอมพลสฤษดิ์ใช้ในการทำปฏิวัติ ดูจะสอดคล้องกับเหตุการณ์ในคณะ สงฆ์ขณะน้ันอย่างน่าประหลาดใจ (โดยเฉพาะการทะเลาะเบาะแว้งกันในหมู่พระเถระ ในสังฆสภา รวมทั้งการใส่ร้ายพระพิมลธรรม) ที่เป็นเหตุทำให้จอมพลสฤษดิ์ตัดสินใจ ยกเลิกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2484 เน่ืองจากสภาในสภาสงฆ์ตอนนั้นมีความ วุ่นวายมากไม่วา่ จะเกิดจากพระเถระระหว่างมหานิกายและธรรมยุตหรอื พระเถระระหวา่ ง มหานิกายด้วยกันเองเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้จอมพลสฤษดิ์รู้สึกไม่พอใจจนต้องยุบสภา สงฆ์ดังกลา่ ว น่าเสียดายที่การปกครองสงฆ์ในช่วงน้ันจะต้องจบลงด้วยการโค่นล้มกันอย่าง เอาเป็นเอาตาย ระหว่างพระเถระผู้ใหญ่ด้วยกัน บุพเจตนาที่นำไปสู่การโค่นล้มกันและกัน ดังกล่าว ย่อมเป็นการยากที่จะชี้ชัดลงไป ได้ว่า เกิดจากพ ระเถระผู้ใหญ่ ฝ่าย ธรรมยุติกนิกายหรือมหานิกาย แต่ก็มีรายชื่อพระเถระผู้ใหญ่ท้ังสองนิกายเข้าไปเกี่ยวข้อง กับการโค่นล้มกันในครั้งนี้หลายท่าน”(ดูเหมือนความวุ่นวายในสังฆสภาก็มีไม่น้อยไปกว่า ความวนุ่ วายในรฐั สภาก่อนหน้าจะถูกจอมพลสฤษดิ์ทำการปฏิวัติ) ดังนั้น จอมพลสฤษดิ์จึงต้องการจัดองค์กรสงฆ์ โดยมีโครงสร้างการบริหารและ การปกครองเหมือนฝ่ายอาณาจักร ซึ่งก็คือแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จที่ตัวเองใช้อยู่นั่นเอง ดังนั้นรูปแบบของการปกครองสงฆ์แบบใหม่ก็เลยเป็นการรวมอำนาจไว้ที่สมเด็จ พระสงั ฆราชและมหาเถรสมาคม สำหรบั โครงสรา้ งส่วนอื่นน้ันให้ยกเลิกไป (หมายความว่า การถกเถียงต่อสู้กันในสังฆสภาจะหมดสิ้นไป เพราะสมเด็จพระสังฆราชและมหาเถร สมาคมมีอำนาจสูงสุดที่จะตัดสินใจเรื่องทุกอย่างได้โดยไม่มีการค้านอำนาจจากพระสงฆ์ กลุ่มอ่นื อีกต่อไป) ด้วยเหตุผลอนั เน่ืองมาจากความวุ่นวายภายในคณะสงฆ์เองและอิทธิพลของการ เปลี่ยนแปลงการเมอื งภายใต้การนำของจอมพลสฤษดิ์ ที่ต้องการยึด รปู แบบการปกครอง สงฆ์ใหม้ ีลักษณะรวมศูนย์เหมือนลักษณะการปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสรจ็ ของประเทศ ไทยในสมัยน้ัน จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงการบริหารกิจการคณะสงฆ์อีกครั้งหนึ่งรูปแบบ

178 Public Administration Science in Buddhism 178 การบริหารคณะสงฆใ์ หม่นีจ้ ะมีลักษณะคล้ายกับรูปแบบคณะสงฆ์ในพระราชบัญญัติคณะ สงฆ์ ร.ศ.121 กล่าวคือ 1) ยกเลิกสังฆสภา คณะสังฆมนตรีและคณะวินัยธร อำนาจที่องค์กรท้ัง สามเคยเป็นผู้ใชแ้ ยกจากกนั ให้สมเด็จพระสงั ฆราชและมหาเถรสมาคมเป็นผใู้ ช้ 2) สมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นประมุขของคณะสงฆ์ไทยและเป็นประธาน มหาเถรสมาคม มหาเถรสมาคมประกอบด้วยพระสมณศักดิ์ระดับสมเด็จพระราชาคณะ ทุกรูปและพระราชาคณะจำนวน 4-8 รูปและมีอธิบดีกรมการศาสนาเป็นเลขานุการ โดย ตำแหน่งโครงสร้างของคณะสงฆ์สองส่วนนี้ เป็นองค์กรบริหารกิจการคณะสงฆ์ทุกด้าน เช่นเดียวกับหัวหนา้ รัฐบาลเผด็จการที่รวมอำนาจไว้กบั ตน 3) การบริหารกิจการคณะสงฆ์ในสว่ นภมู ิภาคน้ัน คงไมม่ ีการเปลี่ยนแปลง จะเห็นได้ว่า ตลอดเวลาไมก่ ี่ปีทีผ่ ่านมานี้ ได้มีท่านผรู้ ู้และบุคคลที่เกี่ยวข้องมากมายในแวด วงพุทธศาสนาของประเทศเราได้ออกมาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ข้อบกพร่อง ต่างๆ ของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ถึงแม้จะมีการแก้ไขพระราชบัญญัติคณะ สงฆเ์ พิม่ เติม พ.ศ.2535 ซึง่ เปน็ พระราชบัญญตั ิทีใ่ ชอ้ ยู่จนถึงในปัจจบุ นั ปัญหาการบริหารคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ปัญหาการปกครองสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ได้มี นักวิชาการหลายท่านที่ได้แสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์ข้อบกพร่องและปัญหา ของการปกครองคณะสงฆ์หลายประการ สามารถทีจ่ ะประมวลได้ดงั น้ี 1. ปัญหาเรือ่ งโครงสรา้ งของคณะสงฆ์ การที่พระราชบัญญัตินี้ไปกำหนดโครงสร้างขององค์กรสงฆ์ ทำให้โครงสร้าง ขององค์กรสงฆ์มีลักษณ ะที่ตายตัว ไม่ยืดหยุ่นแก้ไขได้ยากเพราะอยู่ในรูปของ พระราชบัญญัติ ทำให้โครงสร้างขององค์กรสงฆ์ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความ สลับซับซ้อนและความหลากหลายของสังคมในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้ อัน

รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพทุ ธศาสนา 179 179 เป็นผลทำให้การทำงานขององคก์ รสงฆ์ขาดประสิทธิภาพ ขาดพลวัตรและไม่อาจบรรลุถึง เป้าหมาย (goal) ทีต่ งั้ ไว้ได้ พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต ได้ให้ความเห็นต่อโครงสร้างการ ปกครองคณะสงฆ์ในปัจจุบันว่า“มหาเถรสมาคมเป็นองค์กรสูงสุดที่ดูแลรับผิดชอบคณะ สงฆ์ท้ังหมด เหมือนรัฐบาลตรงที่ทำหน้าที่การปกครองส่วนกลาง แต่ไม่มีกระทรวงที่จะ บริหารงานหรือแปลงนโยบายให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้ มหาเถรสมาคมจึงได้แค่การออก กฎ คำส่ังและมติ (ตามข้อเสนอของกรมการศาสนา) ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่นำผลสรุปดังกล่าว ไปปฏิบัติก็คือ เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด ลงไปถึงเจ้าคณะอำเภอและเจ้าคณะตำบล จนที่สุดก็เจ้าอาวาส (โดยการประสานงานของกรมการศาสนา) ขณะที่การปกครองอยู่ใน ความดูแลของพระเถระไม่ถึง 30 รูป ซึ่งมาจากการแต่งตั้ง การบริหารส่วนภูมิภาคก็รวม ศนู ย์อยทู่ ี่เจ้าคณะภาคและเจ้าคณะจังหวัด ซึ่งรับผดิ ชอบกิจการทั้งหลายในพื้นที่แตผ่ ู้เดียว ไม่ได้ทำงานเป็นคณะไม่มีคณะทำงานหรือองค์กรรองรับเพื่อสนับสนุนการบริหารงานและ ไม่มีองค์กรที่จะสอบทานการทำงานในทำนองเดียวกันเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบลและ เจ้าอาวาสก็มีอำนาจสูงสุดในเขตการปกครองและวัดของตนแต่ผู้เดียว การรวมศูนย์เช่นนี้ นับว่าไร้ประสิทธิภาพอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงจะขาดเคร่ืองมือหรือกลไกลที่สนองงานให้ เกิดผลจริงจัง (output) แล้วยังขาดการร่วมคิดและโอกาสรับรู้ข้อมูลที่หลากหลาย (input) พระสังฆาธิการจำนวนมากงานล้นมือและหมดเวลาไปในงานประชมุ งานเอกสาร อาจารย์ ปริยัติหรือพระนักพัฒนา เม่ือได้เป็นพระสังฆาธิการระดับตำบลก็แทบจะทิ้งงานดังกล่าว ไป ทำใหเ้ หินห่างจากชุมชน เพราะถกู งานในระบบราชการสงฆ์ดึงไป หนักเข้าก็คิดแต่จะไต่ เต้าเอาดีในทางสมณศักดิ์ ถึงกล่าวได้ว่าระบบราชการของคณะสงฆ์นี้เป็นระบบที่ทอน กำลงั ไมเ่ ฉพาะพลังงานเท่าน้ัน หากยงั รวมถึงความคิดสรา้ งสรรค์ด้วย... การปกครองสงฆ์ควรมีความยืดหยุ่นด้วยการกระจายอำนาจไปยังระดับล่าง พร้อมกับเพิม่ พูนหรอื ซึมซับรบั เอาความรเิ ริม่ สร้างสรรค์ด้วยการเปิดรับการมสี ว่ นร่วมของ พระสงฆ์ระดับตา่ งๆให้มากขึน้ หลักการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมดังกล่าว ย่อมมี ความหมายว่ามหาเถรสมาคมไม่อาจเป็นอย่างเดิมต่อไปได้ อย่างน้อยก็ไม่ไช่มาจากการ แต่งต้ัง โดยตัดสินใจในหมู่คนไม่กี่คนและโดยถือเอาสมณศักดิ์เป็นเกณฑ์ ยิ่งกว่าการการ คำนึงถึงคุณสมบัติอย่างอื่น มหาเถรสมาคมหรือองค์กรบริหารส่วนกลาง หากจะพาพระ ศาสนาไปรอดได้จะต้องมี Accountability หรือความรับผิดชอบต่อพระสงฆ์ส่วนรวมมาก

180 Public Administration Science in Buddhism 180 ขึ้น น่ันหมายความว่าควรมีกรรมการอย่างน้อยก็ครึ่งค่อน ที่มาจากการเลือกต้ังของสภา สงฆ์ระดับชาติและมีวาระการทำงานที่แน่นอน โดยเอาความสามารถเป็นเกณฑ์ยิ่งกว่า สมณศักดิ์ แต่หากต้องการคงมหาเถรสมาคมในลักษณะเดิมเอาไว้ คือประกอบด้วยพระผู้ ทรงสมณศักดิ์ระดับสูง มหาเถรสมาคมก็ควรเป็นเพียงแค่คณะที่ปรึกษา มีลักษณะอย่าง กิตติมศักดิ์ไม่มีอำนาจในการบริหาร หากแต่อยู่ในฐานะเคารพสักการะของชาวพุทธท้ัง มวลไป ซึ่งก็จะเปน็ การเหมาะสมกับกิจนิมนต์ที่ท่านทำอยู่แล้วในทุกวนั นไี้ ม่ว่างานเปิดป้าย ฝงั ลูกนิมิตหรอื เปิดงานพุทธาภเิ ษก (พระไพศาล วิสาโล, 2542 :41) 2. ปัญหาเรือ่ งสมณศกั ด์ิ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับนี้ กรมการศาสนาจะหารือร่วมกับมหาเถร สมาคมซึ่งเป็นผู้พิจารณาคัดเลือกพระที่ควรได้รับตำแหน่ง จากน้ันกรมการศาสนาก็จะ เส น อ ร าย ชื่ อ ที่ ผ่ าน ก า รพิ จ า รณ า ข อ งม ห าเถ รส ม าค ม ต่ อ รั ฐ ม น ต รีว่ า ก า ร กระทรวงศึกษาธิการและรัฐมนตรีจะนำรายชื่อนี้เสนอต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงโปรดเกล้าแตง่ ต้ังตอ่ ไป การที่กรมการศาสนาซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการคัดเลือก สมณศักดิ์ของสงฆ์นี้ ได้ก่อให้เกิดเสียงครหามากมาย ว่าพระสงฆ์มีการวิ่งเต้นเร่ืองสมณ ศักดิ์กับเจ้าหน้าที่ในกรมการศาสนาเป็นประจำทุกปี เน่ืองจากสมณศักดิ์ได้กลายมาเป็น ตำแหน่งทางการปกครองสงฆ์ไป เพราะเกี่ยวข้องโดยตรงกบั ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช และตำแหน่งพระราชาคณะซึง่ ประกอบกนั เปน็ มหาเถรสมาคม ศาสตราจารย์ ดร.สมบูรณ์ สขุ สำราญ ได้วิจารณไ์ ว้ว่า“นอกจากการมีสมณศักดิ์ สูงจะเป็นบันไดไปส่ตู ำแหนง่ ในคณะสงฆ์แล้ว การมีสมณศกั ดิ์ยงั หมายถึงการได้รับนิตยภัต (คือเงินเดือนประจำสำหรับเป็นค่าภัตตาหารของพระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์อีกด้วย) ควบคู่ไป กับโอกาสที่จะได้รับเลือกใหด้ ำรงตำแหนง่ ทางการบริหารและการได้รับนิตยภัตแล้ว สมณ ศกั ดิ์ยงั แสดงถึงเกียรติ ความมงั่ คัง่ และอำนาจ ดังน้ัน สมณศักดิ์จึงเป็นบันไดแก่พระสงฆ์ที่จะสร้างความสัมพันธ์กับฆราวาสที่ อยู่ในฐานะสูงทางสังคม ไม่ว่าจะเชิงในทางอำนาจทางการเมืองหรือเศรษฐกิจ บรรดา พระสงฆ์ที่มีสมณศักดิ์ มักจะได้รับนิมนต์ให้ประกอบพิธีทางศาสนาในรัฐพิธีหรือพิธีหลวง มากกว่าพระที่ไม่มีสมณศักดิ์ บุคคลที่มีฐานะทางสังคมสูงก็นิยมนิมนต์พระสงฆ์สมณศักดิ์ ระดับพระครูขึน้ ไป หากมิใชบ่ รรดาเกจอิ าจารย.์ ..นอกจากนี้ความสัมพนั ธ์ระหว่างพระสงฆ์

รัฐประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 181 181 ที่มีสมณศักดิ์กับรัฐและบุคคลที่มีฐานะทางสังคมสูงในเชิงอุปถัมภ์ จึงนำมาซึ่งความรู้จัก ภักดีต่อผอู้ ุปถัมภ์ การแข็งข้อหรือแม้แต่การไม่ให้ความร่วมมือกับกลไกของรัฐที่สำคัญคือ รัฐบาล ย่อมเกิดขึ้นโดยการนำของพระสงฆ์สมณศักดิ์ได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลรูปแบบ ใด สมบรู ณาญาสิทธิราช ประชาธิปไตย หรอื เผดจ็ การทหารฯลฯ ส่วนพระไพศาล วิสาโล มีความเห็นในเรือ่ งน้ีวา่ “จำเปน็ ต้องแยกสมณศักดิ์ (หาก ยังสมควรมีอยู่ในอนาคต) ออกจากตำแหน่งบริหารคณะสงฆ์ รัฐอาจจะยังคงมีบทบาทใน การแต่งตั้งสมณศักดิ์ต่อไป แต่ลำดับชั้นของสมณศักดิ์ไม่ควรเกี่ยวข้องกับตำแหน่งบริหาร ด่ังปัจจุบัน อันที่จริงไม่เพียงตำแหน่งบริหารเท่านั้น แม้แต่การพิจารณาสมณศักดิ์ในทาง ปฏิบัติก็ควรให้เป็นอิสระจากอิทธิพลของรัฐด้วยหรือลดบทบาทรฐั ให้น้อยลงไป ทางเลือก หนึ่งก็คือให้มีคณะกรรมการชุดหนึ่งซึ่งทำหน้าที่พิจารณาสมณศักดิ์โดยเฉพาะ โดยให้ ประกอบด้วยตัวแทนจากบุคคลในวงการต่างๆ ซึ่งแต่งตั้งโดยรัฐ เป็นการดึงอำนาจในการ พิจารณาสมณศักดิ์ออกจากมือพระ ลดอิทธิพลพระ และลดอิทธิพลของรัฐ แต่เป็นการ เพิม่ บทบาทของสังคมขนึ้ มาแทน อันเป็นการสอดคล้องกับธรรมเนียมเดิมทีใ่ หช้ าวบ้านเป็น คนแต่งตั้งสมณศักดิ์แก่พระ (มิใช่พระแต่งตั้งกันเองหรือบรรยายคุณสมบัติของตนเอง เพื่อให้พระสังฆาธิการระดับบนพิจารณาอย่างปัจจุบัน) วิธีนี้รัฐจะยังคงมีบทบาทในเร่ือง สมณศักดิ์อยู่ เพราะมติของคณะกรรมการดังกล่าวจะนำไปสู่การประกาศแต่งต้ังสมณ ศกั ดิ์ โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ เท่ากับธรรมเนียมแต่งตั้งสมณ ศักดิ์โดยพระมหากษัตริย์ยังไม่สูญหายหากปรับให้เข้ากับยุคสมัย องค์กรของสังคมใน ระดับจังหวัดก็น่าจะมีส่วนในการเสนอชื่อพระในจังหวัดที่มีวัตรปฏิบัติและผลงานสมควร แกก่ ารยกย่องโดยประสานงานกับฝ่ายคณะสงฆ์ทกุ ระดับและองค์กรของสังคมระดับล่างๆ โดยมีกรรมการระดับชาติเป็นผู้ทำหน้าที่พิจารณาและเสนอให้รัฐเป็นผู้แต่งตั้งอย่างเป็น ทางการ วิธีนี้จะทำให้สมณศักดิ์เป็นเคร่ืองหมายของเกียรติยศที่ทรงคุณค่าแก่สังคม ส่วนรวมอย่างแท้จริง มิใช่เกิดจากการวิ่งเต้นและตัดสินกันโดยคำนึงถึงเส้นสายและ ผลประโยชนใ์ นวงแคบๆเท่าน้ัน

182 Public Administration Science in Buddhism 182 3. ปัญหาของเนื้อหาในพระราชบัญญตั คิ ณะสงฆ์ จะเห็นได้ว่า เม่ือเราได้ศึกษาเนื้อหาในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 นี้ แล้วจะพบได้ว่ารัฐได้ออกกฎหมายเข้ามาควบคุมกิจกรรมของพระสงฆ์มากกว่าจะเป็น เพียงการอปุ ถัมภ์หรอื คุ้มครอง ยกตัวอย่าง เช่น 1) หมวด 1 สมเด็จพระสังฆราช กำหนดขั้นตอนในการสถาปนา พระสงั ฆราชซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของคณะสงฆ์ 2) หมวด 2 มหาเถรสมาคม กำหนดการสถาปนาพระเถรสมาคมซึ่งเป็น พระผู้ใหญท่ ี่มหี นา้ ที่บริหารของคณะสงฆ์ 3) หมวด 3 การปกครองคณะสงฆ์ กำหนดระเบียบการปกครองของคณะ สงฆ์ 4) หมวด 4 นิคหกรรมและการสละสมณเพศ กำหนดข้ันตอนและระเบียบ ในการทำนิคหกรรมและการสละสมณเพศเพื่อสึกพระสงฆ์ที่ทำผิดพระธรรมวินัยและ กฏหมาย 5) หมวด 5 วัด กำหนดวิธีการสร้างจัดตั้ง การรวม การย้าย การยุบเลิก วัดฯลฯ 6) หมวด 6 ศาสนสมบัติ กำหนดระเบียบการบริหารทรัพย์สินต่างๆเช่น ศาสนสมบตั ิ ข้อกำหนดท้ัง 6 หมวดในพระราชบญั ญตั ิน้ีเป็นการอุปถมั ภ์คุ้มครองหรือเป็นการ ควบคุมคณะสงฆ์ ? ถ้าเป็นการควบคุมก็แสดงว่าพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505นี้มี ขอบเขตเกินกว่าแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐซึ่งระบุในรัฐธรรมนูญ มาตรา 73 ว่า“รัฐต้อง ให้ความอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น...”การเข้ามาควบคุมคณ ะ สงฆ์ตามที่ระบุในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 นี้จึงถือได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิ และเสรีภาพของประชาชน แน่นอนสถาบันทางพุทธศาสนาเป็นสถาบันหลักคู่กับประเทศไทยมานาน สถาบันพุทธศาสนา มีความสำคัญต่อประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง พุทธศาสนามีอิทธิพล ต่อการดำรงชีวิต ความรู้สึกนึกคิดของคนไทยมาเป็นเวลานาน อย่างที่มีคนเคยกล่าวว่า “การที่บอกคนๆนี้เป็นคนไทยก็คือบอกว่าคนๆนี้เป็นชาวพุทธน่ันเอง”จึงเป็นหน้าที่สำคัญ ของรัฐบาลที่จะให้ความคุ้มครองและอุปถัมภ์ต่อสถาบันหลักแห่งนี้ไว้ให้อยู่คู่กับประเทศ

รัฐประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพทุ ธศาสนา 183 183 ไทยต่อไป แต่การคุ้มครองอุปถัมภ์นี้จะต้องทำไปโดยปราศจากการบังคับและการลงโทษ กล่าวคือ การช่วยเหลือของรัฐบาลต่อพระสงฆ์จะต้องทำไปในรูปแบบของสวัสดิการที่ให้ เปล่า โดยไม่มีการบังคับว่าพระสงฆ์ทกุ รูปจะต้องยอมรับการช่วยเหลือของรัฐบาลหรือถ้า ไมย่ อมรบั ก็จะต้องถกู ลงโทษ รัฐบ าลสามารถเสนอแนะรูป แบ บ การป กครองของคณ ะส งฆ์ ที่เหมาะสมกับ สภาพของคณะสงฆ์ในเวลาน้ัน เสนอให้กับมหาเถรสมาคมได้ โดยรัฐบาลเพียงแต่ทำตน เป็นผู้ให้คำปรึกษา แตไ่ ม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลที่จะออกกฎหมายมาบังคับ อีกท้ังไม่ใช่หน้าที่ ของรัฐบาลที่จะควบคุมดูแลความประพฤติของพระสงฆ์ให้อยู่ในพระธรรมวินัยอย่าง เคร่งครัด ถึงแม้ว่าการกระทำเช่นน้ันจะเกิดจากความต้องการของรัฐบาลที่จะพิทักษ์ ปกป้องพระศาสนาซึ่งเป็นเร่ืองที่น่าสรรเสริญยกย่องอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ดีรัฐบาลจะต้อง ไม่ลืมวา่ เรื่องการนบั ถือศาสนาเป็นเรื่องส่วนตวั ของประชาชน การที่รัฐบาลเข้ามาก้าวก่าย ในเร่ืองความประพฤติของพระสงฆ์ก็เหมือนกับรัฐบาลกำลังเข้ามาก้าวก่ายเร่ืองส่วนตัว ของประชาชนมากเกินขอบเขตของรัฐบาลในการปกครองระบอบประชาธิปไตยไปแล้ว ดังน้ัน เน้ือหาในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ที่ดีจะต้องเป็นพระราชบัญญั ติที่มี เนื้อหาระบุถึงสิ่งต่างๆที่รัฐต้องกระทำ เพื่อเป็นการคุ้มครองอุปถัมภ์และส่งเสริมพระสงฆ์ ซึง่ ถือเปน็ ผู้ทีท่ ำประโยชน์ใหแ้ ก่ประเทศชาติ รวมทั้งการคุ้มครองอปุ ถัมภ์ต่างๆนี้จะต้องทำ ไปโดยปราศจากการบังคับนั่นคือกฎหมายมาตราต่างๆในพระราชบัญญัตินี้ จะต้องมีแต่ การให้ความชว่ ยเหลอื และไมม่ ีการลงโทษ สรุปความ วัฒนธรรมองคก์ รในทางพระพทุ ธศาสนาน้ันเป็นการสร้างรูปแบบตามหลักธรรม คำสอนแห่งพระพุทธศาสนา เป็นการกำหนดแนวทางปฏิบัติให้แก่สมาชิกในองค์กร ไม่ว่า จะเป็นการกำหนดบรรทัดฐาน ขนบธรรมเนียมหรือหลักปฏิบัติ เช่น กุลบุตรผู้ที่จะเข้ามา บวชในทางพระพุทธศาสนาจะต้องมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์หรือการนำหลักธรรมมาเป็น เคร่ืองมือในการบริหารองค์กร เพื่อปลูกฝังความคิดและค่านิยมให้บุคคลในองค์กรให้เกิด ประโยชน์แก่บุคคลและองค์กรน้ันๆในด้านอุดมการณ์ ทางการเมืองของไทยมี ลักษณะเฉพาะคือมีความเกีย่ วข้องกับชาติ ศาสนาพุทธและพระมหากษัตริย์ การทำความ

184 Public Administration Science in Buddhism 184 เข้าใจอุดมการณ์ท้ังสามอย่างเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ จากประวัติศาสตร์ต้ังแต่ก่อนยุคสุโขทัย เป็นต้นมา เป็นอุดมการณ์ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นระหว่างรัฐ ไม่ว่าจะมีการ ปกครองในรูปแบบใด อุดมการณ์ทางพระพุทธศาสนาก็ได้ถูกตีความในการเสริมสร้าง ความชอบธรรมทางการเมืองในกลุ่มต่างๆในสังคมยุคน้ันๆ ประวัติศาสตร์ของอุดมการณ์ ทางพระพุทธศาสนาของไทย จึงเป็นประวัติศาสตร์ของความพยายามของกลุ่มต่างๆที่จะ เข้ามาควบคุมการตีความคำสอนทางพระพุทธศาสนาเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ในการสร้าง ความชอบธรรมทางการเมอื งให้กบั กลมุ่ ของผู้ที่มอี ำนาจทางการเมอื ง สถานะขององค์กรสงฆ์ในระบอบการเมืองการปกครองของไทย มีสถานะทีพ่ ิเศษ โดยเฉพาะในด้านที่รัฐออกกฎหมายเพื่อมาบังคับใช้กับพระสงฆ์ เช่น กฎหมายที่ห้าม พระสงฆ์เข้าร่วมกระบวนการทางการเมือง คือ การเลือกตั้งผู้แทนตามระบบ ประชาธิปไตยน้ัน อาจจะถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชนภายในรัฐก็ได้ เพราะว่า พระสงฆ์ในฐานะสมาชิกหนึ่งของรัฐไทย ไม่ได้มีสถานะอะไรพิเศษที่แตกต่างไปจาก ประชาชนท่ัวไป กฎหมายใดๆที่ใช้กับประชาชนทั่วไปก็ต้องสามารถใช้กับพระสงฆ์ด้วย พ ร ะ ส ง ฆ์ จึ ง ไ ม่ ค ว ร จ ะ ไ ด้ รั บ ก า ร ป ฏิ บั ติ ที่ แ ต ก ต่ า ง จ า ก ป ร ะ ช า ช น ท่ั ว ไ ป ใ น สั ง ค ม ไ ท ย ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพระพุทธศาสนาเป็นความสัมพันธ์ที่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

9การทแากงตร้ปาฐักมัญปแารหนระวาศแพทากสทุาป้นธงศรศญั ฐัาาสสปหนตราาระ์ ศาบสบทนทศท่ีาทสตี่ 9ร์ ตามแนวพทุ ธศาสนา ความนำ การแก้ปัญหาท่ัวไปจะเริ่มจากการศึกษาปัญหาที่กำลังปรากฏเรื่องใดเร่ืองหนึ่งใน ขณะนั้น แล้วเจาะลึกหาความจริงเกี่ยวกับเร่ืองนั้น เช่น ระบบการบริหารภาครัฐของ เมืองไทยปัจจบุ ัน มีปัญหาอะไรบ้าง เมอ่ื พบปัญหาตรงไหน กน็ ำเสนอวิถีทางในการแก้ตรง น้ัน ดงั นั้นการแก้ปัญหาที่ย่งั ยืน ควรมีแนวคิดทีต่ ้ังอยบู่ นฐานของพระพทุ ธศาสนา เมอ่ื มอง ถึงกฎอิทัปปัจจยตา สรรพสิ่งล้วนดำรงอยู่โดยการอิงอาศัยกัน ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถ ดำรงอยู่อยู่ได้อย่างโดดเดี่ยวเป็นอิสระ การบริหารภาครัฐก็เช่นเดียวกัน การแก้ไขปัญหา ควรศึกษาโลกในมุมกว้างก่อน แล้วจึงมองย้อนมาเพื่อวิเคราะห์ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น การ เข้าใจกระแสโลกจะช่วยใหเ้ ราตระหนักรู้วา่ จะปฏิรูประบบการเมอื งไปในทิศทางใด เป้าหมายสำคัญพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวกบั มนษุ ย์ คือการฝึกอบรมมนุษย์การขัด เกลาสัญชาตญาณแห่งความเป็นสัตว์ที่ยังอยู่ในตัวมนุษย์ ซึ่งสัญชาติญาณดังกล่าว เป็น แรงขับภายในที่ทำให้เกิดปัญหาสังคม โดยควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ไม่ให้ไปละเมิด สิทธิ์อันชอบธรรมของผู้อื่น ในบางคนล้วนเป็นตัวอย่างที่แสดงถึงพฤติกรรมที่เกิดจากการ ขาดจิตที่สำนึกต่อชีวิตทางสังคม ประเด็นนี้เองที่ทำให้เกิดผู้นำทางสังคมที่คอยทำหน้าที่ ดูแลทุกข์สุขของสมาชิกในสังคมพร้อมกับกำหนดบรรทัดฐานและระบอบการบริหารและ การปกครองตามแนวคิดของพระพทุ ธศาสนา ถ้าผู้ปกครองทุกระดับมีธรรมะหรือใช้ธรรมะเป็นหลักในแก้ปัญหาการบริหาร บ้านเมืองและเป็นหลักประกันได้ว่าประเทศชาติจะมีความม่ันคงเจริญรุ่งเรืองและพัฒนา ก้าวไกลเปน็ อารยะประเทศอย่างแท้จริง

186 Public Administration Science in Buddhism 186 พุทธวิธวี ินิจฉยั ปัญหาตามแนวอรยิ สจั พระพุทธศาสนาเน้นการแก้ปัญหาด้วยการกระทำของมนุษย์ตามหลักของ เหตุผล ไม่หวังการอ้อนวอนจากปัจจัยภายนอก เช่น เทพเจ้า รุกขเทวดา ภูตผีปีศาจ เป็น ต้น จะเห็นได้จากตัวอย่างคำสอนในคาถาธรรมบท แปลความว่า มนุษย์ทั้งหลายถูกภัย คุกคามแล้ว พากันถึงเจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าภูผา ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่พึ่งแต่สิ่งเหล่าน้ันไม่ใช่ สรณะอันเกษม การวินิจฉัยถึงปัญหานี้สามารถทำได้หลายวิธี แต่ในที่นี้ขอนำวิธีการทาง พระพุทธศาสนาตามหลักอริยสัจ 4 ประการ (อภิ.วิ.(ไทย), 35/145/127.) ที่ใช้เป็นประเด็น ของการวนิ ิจฉยั และแก้ไขปญั หาตา่ งๆโดยมีขั้นตอนการดำเนินการตอ่ ไปนี้ 1. ทุกข์ : ปัญหา เป็นข้ันตอนการกำหนดตัวปญั หาว่าเป็นปัญหาเร่อื งใด เนื่องจาก ปัญหาจริยธรรมทางการเมืองการปกครองนั้นเกิดความกว้างซึ่งจะไม่ขอกล่าวไว้ตรงนี้ หลังจากน้ันต้องศึกษาถึงลกั ษณะของปัญหาขอบเขตของปัญหาเพือ่ หาความเช่ือมโยงหรือ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้และผลกระทบของปัญหาว่ามีผลกระทบต่อใครหรือสิ่งใด ใน ด้านไหน อยา่ งไรเพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของปญั หาที่ตอ้ งรบี แก้ไขโดยดว่ น 2. สมุทัย :สาเหตุของปัญหา การวินิจฉัยถึงสาเหตุของปัญหาทางจริยธรรมทาง การเมอื งนนั้ เราสามารถวินิจฉัยได้ใน 2 ประเดน็ หลัก คือ 1) มูลเหตุภายนอก หมายถึง แรงจูงใจหรือสิ่งที่เร้าภายนอกที่กระตุ้นให้ผู้ ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครองตกอยู่ภายใต้อำนาจของแรงขับหรือกิเลสแล้วแสดง พฤติกรรมที่สร้างปัญหาขึ้นมามีหลายปัจจัยขึ้นอยู่กับปัญหานั้นเกี่ยวกับนโยบายกับ จริยธรรมข้อใด ตัวอย่าง เช่น สินบน การให้ส่วยเป็นแรงจูงใจให้เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติ หนา้ ที่โดยมิชอบ เปน็ ต้น 2) มูลเหตุภายในหมายถึงแรงขับหรือกิเลสที่ผลักดันให้เกิดพฤติกรรมที่ สร้างปัญหาขึ้นมา เช่น ความโลภทำให้ข้าราชการหรือนักการเมืองบางคนคอร์รัปช่ันหรือ รับส่วย เป็นต้น 3. นิโรธ :ภาวะที่ไร้ปัญหาเป็นขั้นตอนของการตั้งเป้าหมายเพื่อหาแนวทางแก้ไข เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น กล่าวโดยสรุป ก็คือปัญหาหมดไปหรือปัญหาได้รับการแก้ไขซึ่ง ถือวา่ เป็นเร่อื งสำคญั ทีเ่ ราจะต้องทำให้สำเร็จเพื่อความสุขของคนทั้งชาติ

รฐั ประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา 187 187 4. มรรค : วิธีการแก้ไขปัญหาเป็นขั้นตอนของการกำหนดวิธีการแก้ไขปัญหาให้ สอดคล้องกับสาเหตุภายนอกและภายในซึ่งวิธีการแก้ไขก็มีหลายวิธีการตามลักษณะของ ปัญหาและมูลเหตุของปัญหา การแกป้ ญั หาการบริหารตามแบบอริยสัจ วิธีคิดแบบอริยสัจหรือคิดแบบแก้ปัญหา เรียกตามโวหารทางธรรมได้ว่า วิธีแห่ง ความดับทกุ ข์ จัดเปน็ วิธีคิดแบบหลักอย่างหนึ่ง 1. วิธีคดิ แบบอรยิ สัจ วิธีคิดแบบอริยสัจ เป็นวิธีคิดที่เป็นเหตุเป็นผล มีลักษณะที่สำคัญโดยท่ัวไป 2 ประการ คือ (พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), 2542:10) 1.1 เป็นวิธีคิดตามเหตุและผล เป็นไปตามเหตุและผลสืบสาวจากผลไปหาเหตุ แล้วแก้ไขและทำการที่ต้นเหตุ จดั เป็น 2 คู่ คือ คู่ที่ 1 ทุกข์เป็นผล เป็นตัวปัญหาเป็นสถานการณ์ที่ประสบซึ่งไม่ต้องการ สมุทยั เปน็ เหตุทีม่ าของปัญหาเป็นจุดทีจ่ ะต้องกำจัดหรอื แก้ไขจึงจะพ้นจากปัญหาได้ คู่ที่ 2 นิโรธเป็นผล เป็นภาวะสิ้นปัญหาเป็นจุดหมายซึ่งต้องการจะเข้าถึง มรรคเป็นเหตุเป็นวิธีการ เป็นข้อปฏิบัติที่ต้องกระทำในการแก้ไขสาเหตุ เพื่อบรรลุ จดุ หมายคือ ภาวะส้ินปญั หาอนั ได้แกค่ วามดบั ทุกข์ 1.2 เป็นวิธีคิดที่ตรงจุดตรงเรื่อง ตรงไปตรงมา มุ่งตรงต่อสิ่งที่จะต้องทำต้อง ปฏิบัติต้องเกี่ยวข้องของชีวิต ใช้แก้ปัญหาไม่ฟุ้งซ่านออกไปเร่ืองฟุ้งเฟ้อที่สักว่าคิดเพื่อ สนองตัณหามานะทิฏฐิ ซึง่ ไมอ่ าจนำมาใช้ปฏิบตั ิไมเ่ กีย่ วกบั การแก้ไขปัญหา 2.หลักการหรอื สาระสำคัญของวธิ ีคิดแบบอรยิ สจั หลักการหรือสาระสำคัญของวิธีคิดแบบอริยสัจคือ การเริ่มต้นจากปัญหาหรือ ความทุกข์ที่ประสบ โดยกำหนดรู้ ทำความเข้าใจกับปัญหาคือความทุกขน์ ้ันใหช้ ดั เจน แล้ว สืบค้นหาสาเหตุเพื่อเตรียมแก้ไข ในเวลาเดียวกันกำหนดเป้าหมายของตนเองให้แน่ชัดว่า คืออะไร จะเป็นไปได้หรือไม่และเป็นไปได้อย่างไร แล้วคิดวิธีปฏิบัติที่จะกำจัดสาเหตุของ ปญั หาโดยสอดคล้องกับการที่จะบรรลจุ ุดหมายที่กำหนดไว้นั้น ในการคิดตามวิธีนี้ จะต้อง

188 Public Administration Science in Buddhism 188 ตระหนักถึงกิจหรือหน้าที่พึงปฏิบัติต่ออริยสัจแต่ละข้ออย่างถูกต้องด้วย เพื่อให้มองเห็น เค้าความในเรื่องน้จี ะกล่าวถึงหลักอริยสจั และวิธีปฏิบัติ ดงั น้ี ข้นั ท่ี 1 ทุกข์ คือสภาพปัญหาความคับข้อง ติดขดั กดดัน บีบค้ัน บกพรอ่ ง ที่ เกิดมีแก่ชีวิตหรือที่คนได้ประสบ ซึ่งเม่ือว่าอย่างกว้างที่สุดก็คือภาวะที่สังขารหรือนามรูป หรอื ขันธ์ 5 หรอื โลกและชีวติ ตกอยใู่ นอำนาจของกฎของธรรมชาติ เป็นของไม่เที่ยงแท้คงที่ ถูกเหตุปัจจัยต่างๆกดดันบีบค้ันและขึ้นต่อเหตุปัจจัย ไม่มีตัวตนที่จะอยู่ในอำนาจ ครอบครองบังคับได้จริงน่ันเอง สำหรับทุกข์นี้เรานี้เรามีหน้าที่เพียงกำหนดรู้ คือทำทำ ความเข้าใจและกำหนดขอบเขตให้ชัด เหมือนอย่างแพทย์กำหนดรู้หรือตรวจให้รู้ว่าเป็น อากรของโรคอะไร เป็นที่ไหน หน้าที่นี้เรียกว่า ปริญญา เราไม่มีหน้าที่เอาทุกข์มาครุ่นคิด มาแบกไว้หรอื คิดขัดเคืองเป็นปฏิปกั ษก์ บั ความทกุ ข์ หรอื หว่ งกังวลอยากหายทกุ ข์อยากแก้ ทุกข์ได้ แต่เราก็แก้ทุกข์ด้วยความอยากไม่ได้ เราต้องแก้ด้วยรู้มันและกำจัดเหตุของมัน ดังนี้จะอยากไปก็ไม่มีประโยชน์ มีแต่โทษเพิ่มขึ้น ขั้นนี้นอกจากกำหนดรู้แล้วก็เพียงวางใจ วางท่าทีแบบรู้เท่าทันคติธรรมดาอย่างที่กล่าวแล้วในข้ันที่ 1 ของวิธีที่สาม เม่ือกำหนดรู้ ทุกข์หรือเข้าใจปัญหา เรียกว่าทำปริญญาแล้วก็เป็นอันปฏิบัติหน้าที่ต่อทุกข์หรือปัญหา เสร็จสิน้ พึงก้าวไปส่ขู ้ันที่สองทนั ที ข้ันท่ี 2 สมุทัย คือเหตุเกิดแห่งทุกข์หรือสาเหตุของปัญหา ได้แก่เหตุปัจจัย ต่างๆ ที่เข้าสัมพันธ์ขัดแย้งส่งผลสืบทอดกันมาจนปรากฏเป็นสภาพบีบค้ัน กดดัน คับข้อง ติดขัด อดึ อดั บกพร่องในรูปตา่ งๆแปลกๆกนั ไป อันจะต้องค้นหาให้พบแล้วทำหน้าที่ต่อมัน ให้ถูกต้องคือ ปหาน ได้แก่ กำจดั หรือละเสีย ตัวเหตแุ กนกลางที่จะยืนพื้นหรอื ยืนโรงกำกับ ชีวิตอยู่ควบคู่กับความทุกข์พื้นฐานของมนุษย์ พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ ท้ังระดับตัว แสดงหน้าโรง คือตัณหาและระดับเต็มกระบวนหรือเต็มโรง คือ การสัมพันธ์สืบทอดกัน แห่งเหตุปัจจัยตามหลักปฏิจจสมุปบาท เม่ือประสบทุกข์หรือปัญหาจำเพาะแต่ละกรณีก็ ต้องสืบสาวหาสาเหตุและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ใช้วิธีคิดแบบที่ 1 ถ้าเป็นปัญหาเกี่ยวกับ ปัจจัยด้านมนุษย์ ก็พึงนำเอาตัวเหตุแกนกลางหรือเหตุยืนโรงมาพิจารณาร่วมกับปัจจัย เฉพาะกรณีด้วย เม่ือสืบค้นวิเคราะห์และวินิจฉัยจับข้อมูลเหตุของปัญหา ซึ่งจะต้องกำจัด หรอื แก้ไขแล้ว ก็เปน็ อนั เสรจ็ สิน้ การคิดขนั้ ที่สอง ขั้นท่ี 3 นิโรธ คือ ความดับทุกข์ความพ้นทุกข์ภาวะไร้ทุกข์ ภาวะพ้นปัญหา หมดหรือปราศจากปัญหาเป็นจุดหมายที่ต้องการ ซึ่งเรามีหน้าที่ สัจฉิกิริยาหรือประจักษ์

รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพทุ ธศาสนา 189 189 แจ้ง ทำให้เป็นจริง ทำให้สำเร็จหรือบรรลุถึง ในข้ันนี้จะต้องกำหนดไว้ว่าจุดหมายที่ ต้องการคืออะไร การที่ปฏิบัติอยู่นี้หรือจะปฏิบัติเพื่ออะไรมีจุดหมายรอง หรือจุดหมาย ลดหลนั่ แบง่ เปน็ ข้ันตอนในระหวา่ งได้อย่างไรบ้าง ขั้นท่ี 4 มรรค คือทางดับทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์หรือวิธีแก้ไข ปัญหา ได้แก่วิธีการแก้ไขปัญหา ได้แก่วิธีการและรายละเอียดสิ่งที่จะ ต้องปฏิบัติ เพื่อ กำจัดเหตุปัจจัยของปัญหา ให้เข้าถึงจุดหมายที่ต้องการ ซึ่งเรามีหน้าที่ภาวนา คือปฏิบัติ หรือลงมือทำ ส่ิงที่พึงทำในขั้นของความคิด ก็คือกำหนดวางวิธีการ แผนการและรายการ สิ่งที่จะต้องทำ ซึ่งจะช่วยให้แก้ไขสาเหตุของปัญหาได้สำเร็จโดยสอดคล้องกับจุดหมายที่ ต้องการ ข้ันท่ี 5 วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ หรือคิดตามหลักการและความมุ่ง หมาย คอื พิจารณาให้เข้าใจ ความสมั พันธ์ระหว่างธรรมกบั อรรถหรือหลักการกบั ความมุ่ง หมายเป็นความคิดที่สำคัญมากในเมื่อจะลงมือปฏิบตั ิธรรมหรอื ทำการตามหลักการอย่าง ใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้ได้ผลตรงตามความมุ่งหมายไม่กลายเป็นการกระทำที่เคลื่อนคลาด เลือ่ นลอยหรอื งมงาย คำวา่ ธรรมแปลวา่ หลกั หรือหลกั การ หลักการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ 4 นี้ มีคุณค่าเด่นที่สำคัญที่สามารถสรุปได้ ดังน้ี คือ 1. เป็นวิธีการแห่งปัญญา ซึ่งดำเนินการแก้ไขปัญหาตามระบบแห่งเหตุผล เป็น ระบบวิธีแบบอย่าง ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาใดๆ ก็ตาม ที่จะมีคุณค่าและสมเหตุผล จะต้อง ดำเนนิ ไปในแนวเดียวกนั เช่นน้ี 2. เป็นการแก้ปัญหาและจัดการกับชีวิตของตน ด้วยปัญญาของมนุษย์เอง โดย นำเอาหลักความจริงที่มีอยู่ตามธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ ไมต่ อ้ งอา้ งอำนาจดลบนั ดาลของ ตวั การพิเศษเหนอื ธรรมชาติ หรอื สิง่ ศกั ดิ์สิทธิใ์ ด ๆ 3. เป็นความจริงที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนทุกคน ไม่ว่ามนุษย์จะเตลิดออกไป เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่ห่างไกลตัวกว้างขวางมากมายเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าเขายัง จะต้องมีชีวิตของตนเองที่มีคณุ ค่าและสมั พันธ์กบั สิ่งภายนอกเหล่านั้นอย่างมีผลดีแล้ว เขา จะต้องเกีย่ วข้องและใชป้ ระโยชนจ์ ากหลักความจรงิ น้ีตลอดไป

190 Public Administration Science in Buddhism 190 4. เปน็ หลกั ความจริงกลาง ๆ ที่ตดิ เนื่องอยูก่ บั ชีวิตหรอื เป็นเรือ่ งของชีวิตเองแท้ ๆ ไม่ว่ามนุษยจ์ ะสร้างสรรคศ์ ิลปวิทยาการ หรือดำเนินกิจการใด ๆ ขนึ้ มา เพื่อแก้ปัญหาและ พฒั นาความเป็นอยขู่ องตน และไมว่ ่าศลิ ป-วิทยาการ หรอื กิจการต่าง ๆ นน้ั จะเจริญขึ้น เสื่อมลง สญู สลายไป หรอื เกิดมีใหม่มาแทนอยา่ งไรกต็ าม หลกั ความจรงิ น้ีก็จะคงยืนยง ใหมแ่ ละใช้เปน็ ประโยชน์ได้ตลอดทุกเวลา วิธีสร้างสันติสุขตามหลักพระพุทธศาสนา การจัดการบริหารสังคมให้เป็นไปในรูปแบบตามหลักพุทธธรรม โดยยึดแนวทาง ธรรมาธิปไตย โดยมุ่งให้การศึกษาเพื่อชีวิตที่เน้นความรู้คู่คุณธรรม จึงทำให้สังคมดำเนิน ไปสู่ความสันติสุข ด้วยการวางหลักสัปปุริสธรรม หรอื คุณสมบัติของคนดี เป็นแนวปฏิบัติ ให้กับบุคคลในสังคมทุกฐานะ ไม่ว่าจะเป็นประชาชน นักบริหาร นักการปกครอง นักการเมือง เพื่อพัฒนาชีวิตของทุกๆ คนในสังคม จึงควรมีวิธีสร้างสันติสุขตามหลัก พระพุทธศาสนา ดงั น้ี 1. สันตภิ าพเกิดจากอสิ รภาพและความสขุ จริยธรรมของบุคคลในสังคมปัจจุบันมีความลดน้อยลงมาก เพราะว่าปัญหาและ ความขัดแย้งต่างๆ เกิดจากการแข่งขันกันอย่างไม่มีขอบเขต จึงควรให้คนรู้จักการควบคุม ตนเองโดยที่ไม่ล่วงละเมิด“ลัทธิมนุษยชน”ของคนอื่น เพราะฉะนั้นเขาจึงมีชีวิตอยู่ในสังคม ที่รักษาความสงบไว้ได้ด้วยการวางกฎกฎเกณฑ์ข้อบังคับ แต่จริยธรรมใดก็ตามที่ต้องใช้ ความกลัวและความจำใจจำยอมเป็นพื้นฐาน ย่อมเป็นจริยธรรมที่ไม่อาจวางใจได้ จริยธรรมที่มีลักษณะแบบห้ามสั่งบังคับนั้นเป็นจริยธรรมที่ไม่เพียงพอ ในทางตรงข้าม จริยธรรมที่แท้จริงต้องมีพื้นฐานมาจากความประสานกลมกลืนและความสุข ชนเหล่าใดมี สันติภายในจิตใจและมีความสุขที่เป็นอิสระ ชนเหล่าน้ันย่อมไม่ลุ่มหลงเอาทรัพย์และ อำนาจเป็นเคร่ืองบำรุงบำเรอความยิ่งใหญ่ของตน แต่ทรัพย์และอำนาจนั้นจะกลายเป็น เครื่องมอื ทีใ่ ช้สำหรับใช้สร้างสรรค์ประโยชน์สขุ แก่เพื่อนมนุษย์ จริยธรรมในทางสร้างเสริม แต่เช่นน้ันคือส่งิ ทีต่ ้องการในยุคสมัยปจั จุบันของพวกเรา ดงั น้ี 1.1 การให้การศึกษาส่วนใหญ่มกั เป็นไปในทางที่จะสนับสนุนใหเ้ กิดความรู้สึก อยากได้อยากเอาเด็กๆ ร่ำเรียนกนั ไปในแนวทางที่จะมองหาวัตถุบำรุงบำเรอเป็นจุดหมาย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook