รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพทุ ธศาสนา 191 191 เราต้องปรับให้เกิดความสมดลุ ในเรอ่ื งน้ีโดยการศกึ ษาท้ังที่บ้านและที่โรงเรียน ควรจะต้อง ปลูกฝังจิตสำนึกในการฝึกให้รู้จักให้สอนเด็กให้เกิดความสุขจากการให้และก่อให้เกิด ความเมตตาธรรม เมตตาหรือความรักนี้ หมายถึง ความปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นมีความสุข ด้วยการศกึ ษาอย่างนี้เราจะรู้จักมองคนอื่นเป็นเพื่อนมนุษย์ที่ร่วมสุขร่วมทุกข์ตกอยู่ภายใต้ กฎธรรมชาติเช่นเดียวกับเรา เน่ืองจากการให้เป็นการสนองความต้องการของเราที่อยาก เห็นคนอื่นมีความสุขทั้งสองฝ่าย คือทั้งเราและเขาหรือทั้งผู้ให้และผู้รับจึงต่างก็เป็น“ผู้ได้” และมีความสุขด้วยกัน โดยนัยนี้การให้ซึ่งธรรมดาถือว่าเป็น”การเสีย”ก็กลับกลายเป็น “การได้”ซึ่งทำให้เกิดความสุข ด้วยความสุขแบบประสานเช่นนี้ ความต้องการหาความสุข แบบเหน็ แกต่ ัวตา่ งๆก็จะลดนอ้ ยลง ทำให้ความตึงเครียดในสังคมลดน้อยลงไปด้วย 1.2 จริยธรรมแบบพอใจกับจริยธรรมแบบจำใจ มีความแตกต่างกันมากเม่ือ เข้ามาในจริยธรรมแห่งความเอื้อประสานและความสุข วิธีคิดของเราจะเปลี่ยนไปเม่ือตั้ง จิตคิดจะเอา เราจะมองคนอื่นเป็นคู่แข่งหรือเป็นเหยื่อ แต่เม่ือคิดจะให้เราจะมองเขาด้วย ความเข้าใจและเกิดความเมตตากรุณาความเข้าใจความหมายของถ้อยคำต่างๆ ที่สำคัญ ต่อชีวิตของคน เช่น คำว่า ความเสมอภาคและความสุข เป็นต้นก็เปลี่ยนไป เม่ืออยู่ใน ระบบแข่งขันคนจะมองความหมายของความเสมอภาคในแง่ของการป้องกันตัวเองและ การเรียกร้องสิทธิ์และโอกาสที่เท่าเทียมกันในการแสวงหาผลประโยชน์แก่ตน แต่ในระบบ ประชาธิปไตยที่ถูกต้องตามธรรม ความเสมอภาคกลายเป็นภาวะที่ช่วยให้เราเกิดมีโอกาส มากที่สุดที่จะร่วมมือสร้างสรรค์เอกภาพและประโยชน์สุขให้แก่สังคม ความสุขแบบ แกง่ แย่งแขง่ ขันก็เปลี่ยนมาเป็นความเสมอภาคแบบประสานกลมกลืนซึ่งกันและกัน 1.3 ในระดับสูงขึ้นไปกว่านั้นมนุษย์สามารถฝึกฝนพัฒนาตนให้รู้จักสร้าง ความสุขภายในขึ้นได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาวัตถุบำรุงบำเรอความสุขจากภายนอก การศกึ ษาที่ ไม่ถูกต้องทำให้คนเราเกิดความหลงผิด คิดไปว่าเขาจะมีความ สุขได้ก็ต่อเม่ือมีวัตถุเสพ จึงทำให้เขานำเอาเรี่ยวแรงความเพียรพยายามออกไปใช้ข้างนอก การพยายามหา ความสุขจากภายนอกแบบนี้ย่อมต้องมีความเครียดความทุกข์แฝงมาด้วยอย่างหลีกเลี่ยง ไม่ได้แต่ถ้าเรานำเอาความเพียรพยายามนั้นเข้ามาใช้ข้างในให้มากขึ้นบ้าง โดยบำเพ็ญข้อ ปฏิบัติต่างๆ เช่น การรู้จักมนสิการและการทำจิตภาวนา เราก็อาจจะได้พบกับความสุข แบบที่ประณีตและเป็นอิสระมากกว่าซึ่งเป็นความสุขที่เกิดจากจติ อันนิ่งสงบและปัญญาที่
192 Public Administration Science in Buddhism 192 รู้ความเป็นจริงแล้ว ความสุขแบบนี้ก็จะช่วยให้เราหลุดพ้นไปจากการกระทำทั้งหลาย ที่ เปน็ การเบียดเบียนและเหน็ แกต่ วั 1.4 ในข้ันสูงสุด การพัฒนาคนจะนำไปสู่การรู้แจ้งสัจธรรมและความเข้าใจทั่ว ตลอดถึงความสัมพนั ธ์อิงอาศยั กันและกันของสิง่ ทั้งหลายท้ังปวง ท้ังชีวิตของเรา ทั้งสงั คม และสิ่งแวดล้อมรอบตัว เม่ือปัญญารู้แจ้งสอดคล้องกับสัจธรรมแล้ว ก็จะเกิดความหลุด พ้นเป็นอิสระและเมื่อนั้นสภาวะแห่งความไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นไปตามเหตุปัจจัยของ สิ่งทั้งหลาย อันเป็นสามัญลักษณะของสังขารท้ังปวงในโลกนี้ ก็ไม่สามารถก่อให้เกิด ความเครียดความกดดันวุ่นวายใจและความทุกข์แก่เราได้อีกต่อไปนี้ก็คือการรู้แจ้งถึง สภาวะที่เป็นจริงของสิง่ ท้ังหลายทั้งปวงและต้องการตระหนกั รู้ถึงความสัมพันธเ์ น่ืองอาศัย กันของสิ่งท้ังหลายท้ังปวง เราก็ประสานประโยชน์ของทุกฝ่าย คือบคุ คล สังคม และระบบ นิเวศให้กลมกลืนและเกอื้ กูลซึง่ กนั และกนั 1.5 เม่ือเรามัวแต่วุ่นวายหาความสุข เราก็ไม่มีเวลาให้แก่ผู้อื่นพร้อมกันนั้น ความสุขกก็ ลายเป็นสิ่งที่ เราขาดแคลนอยู่ตลอดเวลาไม่มีในปัจจุบัน แต่รออยู่ข้างหน้าต้อง คอยตามหาด้วยความหวังว่าจะได้ในอนาคต ดังปรากฏว่าอาการหิวกระหายความสุขนี้ แพร่ระบาดไปท่ัวไม่ว่าจะในครอบครัวก็ตามในโรงเรียนก็ตาม ในที่ทำงานก็ตาม ท่ัวสังคม ไปหมด สภาพจิตใจที่ขาดแคลนความสุขอย่างน้ีเป็นกันอยู่ ดาษดื่น ปรากฏให้เห็นท่ัวไปใน สังคมของเราทกุ วนั นี้ 1.6 ความสงบเริ่มที่บ้าน เราจะต้องนำความรักและความสุขคืนมาให้แก่ ครอบครัว นำความเอื้ออาทรและความสุขที่แบ่งปันได้คืนมา ให้แก่โรงเรียนโดยสอนให้คน รู้จักความสุขแบบประสานที่ทุกคนมีส่วนร่วมคนมีความสุขก็แผ่ขยายระบายความสุขของ ตนออกไปแก่คนรอบข้างช่วยบรรเทาความแก่งแย่งชิงดีกันจงถามตนเองให้น้อยลงว่า ฉัน จะได้อะไร และจงถามตัวเองให้มากขึ้นว่า ฉันจะทำอะไรเพื่อให้ผู้อื่นได้บ้าง ในทำนอง เดียวกันพึงมองเห็นประโยชน์ที่ธรรมชาติให้แก่เราแทนที่จะเรียกร้องเอาจากมันมาก ยิ่งขึ้นไปอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อนพึงเรียนรู้ด้วยใจชื่นชมโดยจิตสำนึก มองเห็นคุณค่าที่ ธรรมชาติและผู้คนที่อยู่รอบข้างเราได้ช่วยเหลือเกื้อกูลให้เรามีชีวิตเป็นอยู่ด้วยดีในบัดนี้ ด้วยการฝึกฝนพัฒนาวิธีคิดแบบกตัญญูรู้สำนึกคุณอย่างนี้ ความเอื้ออาทรและความสุข เชน่ นนั้ จะประสานสอดคล้องกับความรู้ความเข้าใจที่หยง่ั ซงึ้ ลงไปถึงความเป็นเพื่อนรว่ มสุข
รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 193 193 ทุกข์กันของสรรพสัตว์ต่อหน้ากฎธรรมชาติ ในขั้นสุดท้ายเราจะบรรลุสันติภาพก็ด้วย ปญั ญาที่ประกอบด้วยกรุณาดงั กลา่ วมานี้ 1.7 ในความสัมพันธร์ ะหว่างมนษุ ย์ เราสามารถประนีประนอมกันได้ แม้แตจ่ ะ ก้าวพ้นการประนปี ระนอมไปสคู่ วามประสานกลมกลืนกนั ด้วยอาศยั ความรักและไมตรกี ็ได้ แต่เราไม่สามารถประนีประนอมกับสัจธรรมหรือความจริงได้เราจะสัมพันธ์กับความจริง หรอื สัจธรรมนนั้ ได้ดว้ ยความรแู้ ละปญั ญาเท่าน้ันเพราะฉะน้ันในการเกีย่ วข้องกับความจริง จึงควรจะต้องส่งเสริมการสากัจฉาและเสรีภาพในทางความคิด เราควรพัฒนาให้มี วัฒนธรรมที่ความรักใครไ่ มตรีและการร่วมมือกันเป็นมาตรฐานแหง่ ความสัมพันธ์ระหว่าง มนษุ ย์กบั สจั ธรรม 1.8 ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติในยุคสมัยที่ผ่านมานี้ โดยส่วน ใหญ่ได้ถูกกำหนดโดยวิทยาศาสตร์ ซึ่งไดรับอิทธิพลจากศาสนาและปรัชญาของตะวันตก ซึ่งทำให้มองมนุษย์แยกต่างหากจากธรรมชาติ วัตถุประสงค์ของวิทยาศาสตร์ก็คือ การที่ จะพิชิตและครอบครองธรรมชาติแล้วเอาธรรมชาติมาจัดสรรสนองต่อความต้องการใน การหาผลประโยชน์ ทัศนคติแบบเป็นปฏิปักษ์ต่อธรรมชาติเช่นนี้ ซึ่งได้ปรับแปรออกเป็น ปฏิบัติการในเชิงหาผล ประโยชน์แบบเห็นแก่ตัว โดยอาศัยเทคโนโลยีได้ก่อให้เกิดผลร้าย ต่อสภาพแวดล้อมอย่างร้ายแรง ดังที่เราประสบอยู่ทุกวันนี้ ถึงเวลาแล้วที่วิทยาศาสตร์ จะต้องกลับตัวเปลี่ยนท่าทีและนำอารยธรรมให้ก้าวหน้าไปในทิศทางใหม่ มนุษย์จะต้อง แสวงหาความรู้มิใช่เพื่อมุ่งแต่จะหาผลประโยชน์อย่างเห็นแก่ตัวแต่จะต้องแสวงหาความรู้ เพื่อเอามาเป็นประทีปส่องช่วยชี้ช่องทางให้เรามองเห็นวิธีที่จะได้ประโยชน์จากธรรมชาติ โดยไม่ต้องทำร้ายมันเทคโนโลยีจะต้องได้รับการกำหนดบทบาทให้ชัดเจนมากขึ้นโดยมุ่งที่ จะเป็นเคร่ืองช่วยให้มนุษย์สังคมและสิ่งแวดล้อมดำรงอยู่ร่วมกันได้อย่างย่ังยืนประสาน กลมกลืน 1.9 ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ต้องเริ่มที่ใจ ใจที่จะทำการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ สำเร็จก็คือจิตใจที่เข้าถึงความสงบ อิสรภาพและความสุขภายใน หากเราหวังจะสถาปนา สนั ติภาพในโลกนีใ้ ห้สำเร็จเราจะต้องฝึกฝนพัฒนาตาเองใหส้ ามารถประสบสันติสุขภายใน และความสุขที่เป็นอิสระด้วยความหลุดพ้น จากความใฝ่ทะยานหาสิ่งบำเรอสุข ความใฝ่ แสวงอำนาจและบรรดาทิฎฐิก่อให้เกิดความแก่งแย่งและแบ่งแยกทั้งหลาย ภาวะนี้จะ
194 Public Administration Science in Buddhism 194 สำเร็จได้ก็ต้องมกี ารฝกึ ฝนพัฒนาบุคคล ซึง่ กค็ ือภารกิจของการศกึ ษา (สุรินทร์ การะนนท์ และประสิทธิ์ กุลบญุ ญา.2543:126) 2. แนวคิดในการสง่ เสริมสันติภาพ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้กล่าวว่า สันติภาพจะเกิดขึ้นได้ต้องเริ่มที่บุคคล ก่อนเป็นอันดับแรก สันติภาพในระดับชาติหรือระดับนานาชาติ จึงจะเกิดขึ้นได้ ท่านได้ กล่าวถึงความหมายของสันติภาพว่าเป็นเช่นเดียวกับความสุข กล่าวคือ“บุคคลไม่มี ความสุข ยอ่ มไม่สามารถหาสันติได้เลยและจะไม่มีสันติถ้าปราศจากความสุข”ท่านได้แบ่ง ความสุขเป็น 2 ลกั ษณะ คอื ความสุขที่ข้ึนอย่กู ับวัตถุและความสุขที่ไมไ่ ด้ขึน้ กับวัตถุ ท่านได้ จำแนกอิสรภาพเป็น 4 ลักษณะ คืออิสรภาพทางการ หมายถึง อิสรภาพจากการขาด แคลนพื้นฐานของชีวิต อิสรภาพทางสังคม หมายถึง อิสรภาพจากความกดดันทางจิตใจ และอารมณ์ เช่น ความโลภ ความเศร้า ความโกรธและอิสรภาพทางปัญญา หมายถึง ความเป็นอิสระที่เกิดจากความเข้าใจในสัจธรรมแห่งธรรมชาติ ซึง่ อำนาจแหง่ เหตุผลได้รับ การปลดปล่อยจากการเห็นแกต่ วั และอคติเพือ่ ที่จะบรรลุอิสรภาพทีก่ ล่าวมา การพฒั นา 4 ลักษณะทีจ่ ำเปน็ คือ (พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยตุ ฺโต),2540:34) 2.1 การพัฒนาการ ไม่เพียงแต่ความแข็งแรงทางร่างกายและการมีสุขภาพดี เทา่ นั้น แต่รวมถึงการมีกายภาพที่สัมพันธ์กบั สิง่ แวดล้อมอย่างเหมาะสม การได้รบั ปัจจัยสี่ (อาหาร ที่อยู่อาศัย เคร่ืองนุ่งห่ม ยารักษาโรค) เป็นการใช้ปัจจัยสี่อย่างเหมาะสมอย่างที่ ควรจะเป็น เพื่อเกิดคุณคา่ แก่ร่างกายโดยไม่เกิดผลกระทบถึงตัวเองและผู้อื่น ตัวอย่างเช่น คุณค่าที่แท้จริงของอาหารคือการหล่อเลี้ยงสำหรับร่างกายแต่คุณค่าที่ผิด ได้แก่ การติด อยูก่ ับรสชาติที่อรอ่ ย สร้างความเสียหายให้คนหรอื สิง่ แวดล้อมได้ 2.2 การพัฒนาสังคมหรือการพัฒนาศีลธรรมการพัฒนาแห่งความตระหนัก ในสิทธิของผู้อื่นและสังคมอาจแปลความหมายในทางลบได้ว่า หมายถึง การละเว้นจาก พฤติกรรมที่จะเป็นการทำร้ายผู้อื่นหรือชุมชน ขณะที่ในทางบวก หมายถึง ความตั้งใจจริง หรอื การกระตนุ้ ให้มสี ่วนรว่ มในการให้ความชว่ ยเหลอื สังคมและชีวิตที่ถูกครรลองธรรม 2.3 การพัฒนาจติ ใจ ซึ่งประกอบด้วยคุณภาพสมรรถภาพและสุขภาพจิต คือ การพัฒนาจิตใจ หมายถึง การสร้างความดี เช่น เจตนารมณ์ที่ดี ความเอื้ออาทร ความ ซื่อสัตย์สุจริต ความเคารพและความถ่อมตน การพัฒนาหรือสุขภาพทางจิต หมายถึง การพัฒนาความสำนึก การแยกแยะการพิเคราะห์วินิจฉัยและความหนักแน่น การพัฒนา
รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพทุ ธศาสนา 195 195 สุขภาพจิตหมายถึง สันติและความใสสะอาดแห่งจิตใจ ซึ่งสามารถที่จะเอาชนะความ ซึมเศร้าและความทุกข์ได้ 2.4 การพัฒนาทางปัญญา ซึ่งมีอยู่หลายระดับด้วยกัน อาจจะหมายถึง ความรู้ทางวิชาการ (หมายถึง ความเข้าใจในวิชาศาสตร์ต่างๆ อย่างแท้จริงมากกว่าแค่ การสอบผ่าน) ในข้ันต่อมาก็คือการพัฒนาทางปัญญาที่ความรู้ต่างๆ นั้นเกิดขึ้น โดย ปราศจากอคติใดๆสามารถเชื่อมโยงกับแขนงวิชาการต่างๆความรู้ที่ปราศจากอคติ ต้องการสภาพทางจิตใจที่มีจิตสำนึกพร้อมที่จะเรียนรู้ในข้ันตอนก็คือ ความรู้ซึ่งบริสุทธิ์ และไม่มีอคติต่อข้อมูลความรู้ที่ได้รับและระดับสูงสุดแห่งความรู้ก็คือ ความเข้าใจ ธรรมชาติของโลกทีเ่ ป็นจริงเข้าใจเหตแุ ละผลที่เกิดจากเงอ่ื นไขเหลา่ นน้ั อย่างเหมาะสม การพัฒนาในสี่ระดับดังกล่าว ต้องอาศัยการศึกษาความเข้าใจในทางถูกต้อง เกี่ยวกับธรรมชาติแห่งสันติภาพ คือการวิเคราะห์เหตุผลและสาเหตุที่ก่อให้เกิดความไม่ สงบได้ให้แนวความคิดดังกล่าว สามารถส่งเสริมให้เกิดสันติภาพได้ โดยการประยุกต์พระ ธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจา้ มาใช้ในการแก้ปัญหาในปจั จุบนั และการนำเสนอธรรมใน ลักษณะใหม่ๆ เช่น ในทางเศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ การเมืองและยัง สามารถนำหลักทางวิทยาศาสตร์ไปใช้กับเนื้อหาที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เช่น จริยธรรมและ ศาสนา เปน็ ต้น สรุปความ พุทธวิธีวินิจฉัยปัญหาตามแนวอริยสัจ คือวิธีการทางพระพุทธศาสนา ตามหลัก อริยสัจ 4 ประการ ได้แก่ (1) ทุกข์ :ปัญหาเป็นขั้นตอนการกำหนดตัวปัญหาว่าเป็นปัญหา เร่ืองใด (2) สมุทัย :สาเหตุของปัญหาการวินิจฉัยถึงสาเหตุของปัญหาใน 2 อย่าง คือ มูลเหตุภายนอกและมูลเหตภุ ายใน (3) นิโรธ :การต้ังเป้าหมายเพือ่ หาแนวทางแก้ไขเพื่อให้ บรรลุเป้าหมาย (4) มรรค :วิธีการแก้ไขปัญหา คือการกำหนดวิธีการแก้ไขปัญหาให้ สอดคล้องกับสาเหตุภายนอกและภายในซึ่งวิธีการแก้ไขก็มีหลายวิธีการตามลักษณะของ ปัญหาและมลู เหตุของปญั หา เป็นต้น
196 Public Administration Science in Buddhism 196 การแก้ปัญหาการบริหารตามแบบอริยสัจ คือวิธีคิดแบบอริยสัจ หรือคิดแบบ แก้ปัญหา วธิ ีแห่งความดับทุกข์ วิธีคิดแบบอริยสัจ มีลกั ษณะ 2 ประการ คอื (1) เป็นวิธีคิด ตามเหตุและผลหรือเป็นไปตามเหตุและผล สืบสาวจากผลไปหาเหตุแล้วแก้ไขและทำการ ที่ต้นเหตุ คือ ทุกข์เป็นผล เป็นตัวปัญหาเป็นสถานการณ์ที่ประสบ นิโรธเป็นผล เป็นภาวะ สิ้นปัญหาเป็นจุดหมายซึ่งต้องการจะเข้าถึงมรรคเป็นเหตุและวิธีการ เป็นข้อปฏิบัติที่ต้อง กระทำในการแก้ไขสาเหตุ เพื่อบรรลุจุดหมาย คือภาวะสิ้นปัญหาอันได้แก่ความดับทุกข์ (2) เปน็ วิธีคิดทีต่ รงจดุ ตรงเรอ่ื ง มงุ่ ตรงต่อสง่ิ ทีจ่ ะต้องทำเป็นแนวปฏิบัติในการใชแ้ ก้ปัญหา วิธีสร้างสันติสุขตามหลักพระพุทธศาสนา สันติภาพจะเกิดขึ้นได้ต้องเริ่มทีบ่ ุคคล ก่อนเป็นอันดับแรก สันติภาพในระดับชาติหรือระดับนานาชาติจึงจะเกิดขึ้นได้จะต้องมี พัฒนาการ 4 ลักษณะ คือ (1) การพัฒนาการ (2) การพัฒนาสังคมหรือการพัฒนา ศลี ธรรม (3) การพฒั นาจิตใจ (4) การพัฒนาทางปัญญา การพัฒนาต้องอาศัยการศึกษา ความเข้าใจในทางที่ถูกต้องเกี่ยวกับธรรมชาติ แห่งสันติภาพ คือการวิเคราะห์เหตุผล และสาเหตุที่ก่อให้เกิดความไม่สงบ การประยุกต์ หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้ในการแก้ปัญหาในปัจจุบันสามารถนำสันติสุขมา สผู่ ปู้ ฏิบัติได้
10ตแานมแแวรนนโัฐววนปโพนร้มระม้ กะศกพาาาสทุ รรนธศศศศตกึกึาาาสษสษมนตาแาารรน์ัฐวปพรบระทะศพทาบสุท่ี ทนธศศทาาสสี่ 1นต0รา์ ความนำ ในการวิเคราะห์แนวโน้มรัฐประศาสนศาสตร์ มีประเด็นหลักในการวิเคราะห์ แนวโน้มหรือพัฒนาการของรัฐประศาสนศาสตร์ด้วยการศึกษาบทบาทของแรงผลักดัน และเง่ือนไขสำคัญที่มีอิทธิพลต่อรัฐประศาสนศาสตร์ใน 3 ประการคือ (1) โครงสร้างทาง อำนาจและนโยบายของรฐั (2) สภาพเงอื่ นไขทางเศรษฐกิจและ (3) อิทธิพลของวิชาการรัฐ ประศาสนศาสตร์ในลักษณะการวิเคราะห์ภาพรวม (macroscopic analysis) ในอนาคตจะมี การดำเนินงานใหเ้ ป็นไปตามนโยบายที่วางไว้โดยมุ่งเสาะหาหลักการและ วิธีการทีจ่ ะใช้ใน การปฏิบัติงานให้รัดกุมและมีประสิทธิภาพขึ้น รัฐประศาสนศาสตร์จึงเป็นเร่ืองของการ กำหนดวัตถุประสงค์ การวางแผนในการดำเนินงาน การแบ่งแยกหน้าที่และความ รับผิดชอบ การบังคับบัญชาตลอดจนการประเมินผลการปรับ ปรุงงานให้ดีขึ้นหรืออีกนัย หนึ่งคือ เป็นวิชาที่ว่าด้วยศิลปะและศาสตร์การบริหารราชการของประเทศ เพื่อมุ่งถึงการ ประหยัดและประสิทธิภาพเป็นสำคญั ทิศทางและแนวโน้มของรัฐประศาสนศาสตร์ ต้องมีการจัดรูปแบบองค์การระบบ ราชการแบบใหม่ การเปลี่ยนแปลงของรัฐประศาสนศาสตร์ในฐานะสาขาวิชา วิกฤต เอกลักษณ์และรัฐประศาสนศาสตร์ในอนาคต ในส่วนของรัฐประศาสนศาสตร์ในทาง พระพุทธศาสนาในอนาคต จะมีนำหลักธรรมใช้ในองค์การมากขึ้น โดยจะเน้นที่การปรับ พฤติกรรมของบุคคลในองค์การ เปน็ ต้น
198 Public Administration Science in Buddhism 198 ทิศทางและแนวโนม้ ของรฐั ประศาสนศาสตร์ 1. การเปลีย่ นแปลงการบริหารรฐั กิจ 1.1 สภาพสงั คมทีม่ ีความสลับซับซ้อนของการบริหารภาครฐั จะเผชิญหน้ากบั ความกดดันในการใหบ้ ริการสาธารณะอย่างตอ่ เนอ่ื ง 1.2 เพื่อตอบสนองความต้องการและความท้าท้าย ใหม่ๆรวมถึงความ หลากหลายในสังคมซึ่งในอนาคตภาครัฐจะมีการเปลี่ยนแปลง ในระบบราชการและ เทคนิคการจดั การ 1.3 ในอนาคตภาครฐั จะมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคญั คอื -การรวมตวั กันเปน็ สหภาพและการเจรจาตอ่ รองรว่ ม -การเน้นการประเมินผลและประสิทธิภาพการผลติ -การเพิ่มระดับความชำนาญเฉพาะด้านและความเปน็ วิชาชีพ 2.แนวโน้มของการบรหิ ารภาครัฐ ในการบริหารภาครัฐจำเป็นต้องแสวงหาองค์ความรู้ใหม่เพื่อนำไปใช้ในการ แก้ปัญหาและความท้าท้ายจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีแนวโน้มที่สำคัญ ดังน้ี 2.1 มกี ารเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและบทบาทของรัฐบาล 2.2 มีการปรับเปลีย่ นตามกระแสโลกาภวิ ตั น์ 2.3 มกี ารปรับเปลีย่ นกระบวนการและวิธีการทำงาน 2.4 มีการปรับเปลีย่ นระบบงบประมาณการเงินและการคลงั 2.5 มกี ารปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์วฒั นธรรมองค์กร 2.6 มกี ารปรับปรุงโครงสร้างบริหารราชการแผน่ ดิน 2.7 สร้างระบบบริหารบุคคลและระบบราชการให้มคี วามทันสมัย 2.8 เปิดโอกาสใหป้ ระชาชนมีสว่ นรว่ ม 2.9 การสรา้ งมาตรฐานทางจรยิ ธรรมแก่เจ้าหน้าทีข่ องรัฐ 3. การจัดรปู แบบองค์การระบบราชการแบบใหม่ 3.1 ระบบราชการถูกกำหนด ไห้มีการเปลี่ยนแปลงให้ตอบสนองต่อ วัตถปุ ระสงค์ทีห่ ลากหลายแต่ลดการขยายตัวของระบบราชการ
รัฐประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 199 199 3.2 เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบราชการที่เดิมยึดหลักคิดซึง่ เน้นลำดบั ข้ันบงั คับ บัญชา 3.3 ส่งผลใหอ้ งคก์ ารแนวใหม่เนน้ ค่านิยมใหม่ 3.4 เกิดการนำทฤษฎีที่ไม่มีลำดับข้ันการบังคับบัญชาแต่มีโครงสร้างมาใช้ทำ ให้องค์การมีการเปลี่ยนแปลหลังสมัยระบบราชการมีลักษณะ คือ (1) สายบังคับบัญชาถูก ยกเลิก (2) ยึดความสามารถในการบริหารมากกว่าอำนาจ (3) ใช้วิธีการบังคบั บญั ชาแบบ ประชาธิปไตย (4) เน้นการปรับตัวกับสถานการณ์ (5) องค์การมีโครงการแบบราบ (6) เน้นการทำงานแบบเป็นทีมและการตัดสินใจแบบกลุ่ม (7) องค์การมีหลักการปฏิบัติของ ตนเอง และ (8) มีการตดิ ต่อสือ่ สารอย่างเปิดเผย 4. การเปลี่ยนแปลงของรฐั ประศาสนศาสตรใ์ นฐานะสาขาวชิ า 4.1 ศาสตร์สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลง คือ (1) การให้ ความสำคัญกับการพฒั นาแนวคิดมนุษยนิยมในองค์การและการพัฒนาองคก์ ารและ (2) มี การศึกษาจริยธรรมในการบริหารมากขึ้นเพื่อแก้ปัญหาในเชิงจริยธรรมของเจ้าหน้าที่ของ รฐั 4.2 การบริหารภาครัฐเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านของแนวคิดและปฏิบัติ ซึ่งส่งผลให้ศาสตร์สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์มีการเปลี่ยนแปลง คือ (1) เน้นการศึกษา ที่ประยุกต์กับการปฏิบัติมากขึ้นและใช้การศึกษาแบบสหวิทยาการ (2) รัฐประศาสน ศาสตร์แยกตัวออกจากรัฐศาสตร์โดยมุ่งเน้นสร้างแนวทางการศึกษาแบบสหวิทยาการไม่ มุ่งเน้นการศึกษาในเชิงพฤติกรรม (3) เกิดสาขาใหม่ที่มีการศึกษาแบบบูรณาการ เช่น เศรษฐกิจการเมอื ง นโยบายการคลังและการบริหารโครงการ (4) เกิดหลกั สตู รการจดั การ ภาครัฐที่มีความยึดหยุ่นและความหลากหลาย (5) แนวคิดรัฐประศาสนศาสตร์แนวใหม่ (NPA) เข้ามามีอทิ ธิพลต่อการบริหารงานภาครัฐมากขึน้ เช่น ความเป็นธรรมในสังคม 5. วกิ ฤตเอกลักษณ์และรัฐประศาสนศาสตร์ในอนาคต ในอนาคตรัฐประศาสนศาสตรจ์ ะให้ความสำคญั กบั ความหลากหลายเพือ่ ลด วิกฤติเอกลกั ษณ์ 5.1 ภายหลังที่แนวคิดรัฐประศาสนศาสตร์ในความหมายใหม่ (NPA)ได้รับการ ยอมรับอย่างแพร่หลายแต่ยังพบข้อวิพากษ์ในเชิงแนวคิด ดังนี้ (1) การกระจายอำนาจแก่ ท้องถิ่นและประชาชนมีความขัดแย่งกับหลักการให้ความสำคัญของชาติ (2) การมีส่วน
200 Public Administration Science in Buddhism 200 ร่วมของประชาชนในทางปฏิบัติมีข้อจำกัด (3) การแยกการเมืองกับการบริหารออกจาก กันย้อนสู่กระบวนทัศน์ดั่งเดิม (4) ค่านิยมประสิทธิภาพถูกกลับนำมาใช้ในการประเมินผล การทำงานตามแนวคิดการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ซึ่งเดิมปฏิเสธแนวคิดดังกล่าว (5) การสร้างมาตรฐานทางวิชาชีพนำไปสู่การทำลายความหลากหลายของรัฐประศาสน ศาสตร์ และ (6) การยึดความสำคัญในการบริหารองค์การนำไปสู่การมุ่งเน้นการควบคุม มากกวา่ ผลลพั ธจ์ ากการดำเนินงาน 5.2 ในอนาคตนักรัฐประศาสนศาสตรจ์ ึงต้องการทักษะทีห่ ลากหลายตามการ เปลี่ยนแปลงของการบริหารภาครัฐในแต่ละระยะซึ่งควรมีบทบาทสำคัญ ดังนี้ (1) เป็นนัก จัดการองค์การ (2) เป็นผู้นำที่เข้าใจพฤติกรรมการบริหาร (3) เป็นผู้วิเคราะห์ปัญหาของ องค์การและหาหนทางแก้ไข (4) เป็นนักการเมืองที่รู้วิธีการสร้างความสนับสนุนทาง การเมืองแก่ตนเองและกลุ่มผลประโยชน์ (5) เป็นนักวิเคราะห์นโยบาย เป็นผู้ตัดสินใจ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์และนำมาใช้ในการบริหารการเปลี่ยนแปลง (6) เป็นผู้เชี่ยวชาญ ระหวา่ งประเทศโดยเข้าใจผลกระทบทางการบริหารจากเง่อื นไขเฉพาะของแตล่ ะประเทศ และ (7) เป็นนักปฏิรูปทีส่ ามารถพยากรณ์ปญั หาในอนาคตและหนทางในการรบั มือ แนวโน้มการศึกษาวิเคราะห์ทางรัฐประศาสนศาสตร์ในด้าน การเมอื งการปกครอง การวิเคราะห์แนวโน้มการศกึ ษาวิเคราะห์ทางรฐั ประศาสนศาสตร์ในด้านการเมอื ง การปกครอง สามารถวิเคราะหไ์ ด้หลายแนวทางข้ึนอยู่กับบริบทของการเมืองการปกครอง ในแต่ละยุค แตโ่ ดยทว่ั ไปแล้วสามารถวิเคราะห์ทางรัฐประศาสนศาสตร์ได้ 7 แนวทาง คือ 1. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แบบปรัชญาการเมือง (Political Philosophy) แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แบบนี้ ซึ่งรัฐประศาสนศาสตร์ที่ยังไม่ได้แยกมาจากรัฐศาสตร์ ถือได้ว่าเป็นแนวทางที่เก่าแก่ที่สุด โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากปรัชญาสมัยกรีกโบราณ สาระสำคัญของแนวทางการศึกษาวิเคราะห์แบบนี้เป็นการพิจารณาถึงรูปแบบการ ปกครองที่ดี มีความสัมพันธ์กับชีวิตที่ดีของมนุษย์ โดยมุ่งที่จะแสวงหาแนวทางการปรับ การดำรง ชีวิตของมนุษย์ให้ใกล้เคียงสอดคล้องกับคุณค่าหรืออุดมคติที่ดีงามตามทัศนะ ของนกั ปรัชญาการเมืองโบราณ แนวทางการวิเคราะห์ของนักปรชั ญาการเมืองโบราณเช่น
รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 201 201 เพลโต อริสโตเติ้ล เป็นต้น ล้วนแล้วแต่มีส่วนในการเสนอแนะแนวทางในการพิจารณาที่มี ผลสืบเน่ืองมาสู้นักรัฐศาสตร์ในสมัยปัจจุบัน ได้แก่ สเตราส์ (Leo Strauss) ที่เห็นว่า กิจกรรมทางการเมืองโดยธรรมชาติเป็นเร่ืองที่เกี่ยวกับค่านิยมและมีแนวโน้มที่จะเป็น แนวคิดพื้นฐานให้กับนักรัฐศาสตร์ได้ศึกษาเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของปรัชญาตะวันตกได้ใน อนาคตตอ่ ไป 2. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับรัฐ แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แบบนี้ เกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 จากอิทธิพลแนวคิดของมาเคียเวลลี่ (Machiavelli) ซึ่งมองสภาพความเป็นจริงทางการเมืองและได้สร้างทฤษฎีเกี่ยวกับชนช้ันนักปกครอง ขึ้นมาต่อมาในคริสต์ ศตวรรษที่ 20 แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เร่ืองรัฐนี้ได้รับการ ปรับปรงุ ไปตามบริบทของสงั คมโดยเน้นในเรื่องโครงสร้างแห่งกฎเกณฑท์ ี่เป็นทางการตาม รัฐธรรมนูญหรือมองรัฐในแง่กฎหมายมากขึ้น โดยเน้นถึงการกำเนิดรัฐและรูปแบบ ลักษณะของรฐั และเริม่ มแี นวทางการการบริหารที่หลากหลายมากขึ้น 3. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เชิงสถาบันการเมืองการปกครอง แนวทางแบบนี้ เน้นในเร่ืองของที่มาแห่งอำนาจและการแบ่งแยกอำนาจ โดยการศึกษากฎหมาย รฐั ธรรมนูญและรูปแบบการปกครองและสถาบันในการปกครองได้แก่ สถาบนั นิติบัญญัติ สถาบันฝ่ายบริหาร และสถาบันตุลาการ รวมท้ังเน้นไปทีก่ ารศึกษาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ ระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น คาร์ล ฟรีดริช (Carl J. Friedrich) ในหนังสือเรื่อง “Constitutional governent and politics” ตีพิมพ์ในปี 1937 กล่าวว่า แนวทางการวิเคราะห์ การเมอื งแบบนี้ มักถกู นำไปใช้ในการศกึ ษาการปกครองเปรียบเทียบ 4. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับอำนาจ แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แนวนี้ ได้ให้ความสำคัญของการเมืองว่าเป็นเร่ืองเกี่ยวกับอำนาจ อันเป็นการกำหนดการมีส่วน ร่วมในเรื่องอำนาจ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะที่มนุษย์พยายามไขว่คว้าให้ได้มาซึ่งอำนาจ เพื่อการตดั สินใจ และบังคับใหเ้ ป็นไปตามความต้องการของผมู้ ีอำนาจและในแนวคิดนี้ รัฐ มิใช่โครงสร้างที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์และกฎหมาย แต่เป็นโครงสร้างของกลุ่มต่างๆ ที่ แข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและเคร่ืองมือของรัฐและจะเห็นได้ว่าแนวทางการศึกษา แบบนี้เป็นเร่ืองที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับกลุ่มผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ ด้วย กระท่ังช่วง กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 แนวการศึกษาวิเคราะห์เชิงอำนาจได้ขยายความสนใจไปศึกษา
202 Public Administration Science in Buddhism 202 ถึงความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างบุคคลกับชุมชนมากขึ้น อันมีส่วนทำให้รัฐประศาสน ศาสตร์เข้าใกล้ชิดกับสังคมศาสตร์มากขึ้นไปโดยปริยาย 5. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับการตัดสินใจและนโยบายสาธารณะ แนวทางการศึกษาวิเคราะห์แนวนี้ มองว่ารัฐประศาสนศาสตร์เป็นเร่ืองที่เกี่ยวกับการ ตัดสินใจและเร่ืองนโยบายสาธารณะ ซึ่งได้ก่อรูปขึ้นมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 จุดสำคัญของแนวการศึกษาวิเคราะห์นี้กล่าวได้ว่าประกอบด้วย การเน้นที่กระบวนการ ตัดสินตกลงใจ (process of decision-making)และการเน้นที่เน้ือหานโยบาย (policy content) ภายหลังปี 1945 เม่ือวิธีการศึกษาเชิงพฤติกรรมศาสตร์ ได้รับความนิยมมากขึ้น ในวงการรัฐศาสตร์ ได้มีส่วนผลักดันให้แนวการศึกษาวิเคราะห์ที่เน้นกระบวนการตัดสิน ตกลงใจในแนวแรก บดบังความสำคัญของการเน้นในเร่ืองเนื้อหานโยบาย ซึ่งเป็นความ ต้องการที่จะหลีกเลี่ยงประเด็นเร่ืองการประเมินค่าและการเสนอแนะนโยบาย และ หลีกเลีย่ งประเดน็ ข้อถกเถียงถึงความเปน็ กฎเกณฑ์อันเป็นสากลเชิงศาสตร์ แต่กระน้ันก็ดี การศึกษาเนื้อหานโยบายก็ได้รับความสนใจจากนักรัฐศาสตร์บางส่วนมากมุ่งศึกษา ผลลัพธ์ตอ่ สงั คมของนโยบาย (policy outcomes) มากขึ้น 6. แนวทางการศึกษาวิเคราะห์เชิงระบบการเมือง แนวทางนี้ได้เริ่มใช้กันมาต้ังแต่ ช่วงกลางคริสต์ทศวรรษที่ 1950 โดยเป็นความมุ่งหมายที่จะมองการเมืองให้กว้างไปจาก การศึกษาเฉพาะเร่ืองของรัฐและเร่ืองของสถาบันทางการเมืองการปกครอง และเน้นใน ด้านการบริหารจัดการองค์การ ด้วยการพยายามสร้างทฤษฎีไปใช้ในการวิเคราะห์ การเมืองได้ไม่ว่าจะเป็นที่ใดในโลก โดนมุ่งเน้นศึกษาเร่ืองกระบวนการทางการเมือง การ ทำหนา้ ที่ตา่ ง ๆ ของระบบการเมอื ง มากกวา่ โครงสร้างหรอื สถาบันทางการเมือง 7. แนวทางการศึกษารัฐประศาสนศาสตร์เชิงพุทธ แนวทางนี้ได้ให้ความสำคัญ ด้านผู้นำที่มีคุณธรรม เพราะผู้นำเป็นผู้ขับเคลื่อนระบบต่างๆ ของการปกครอง โดยไม่ได้ ระบุว่าการปกครองแบบใดดีทีส่ ุด จะเห็นได้ว่า แม้จะเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยที่ โลกนิยมกัน ก็ยังไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ทางการเมืองได้ ถ้าผู้นำขาดซึ่งจิตสำนึก ไม่มีคุณธรรม ดังน้ันไม่ว่าจะเป็นการปกครองแบบระบบใดก็ตาม เช่น แบบอัตตาธิปไตย แบบโลกาธิปไตย และธรรมาธิปไตย แนวโน้มการให้ความสำคัญกบั คุณธรรมของผู้บริหาร หรือผู้นำ จึงมีแนวโน้มที่นักรัฐศาสตร์จะให้ความสำคัญที่ด้านที่จะศึกษารัฐประศาสน ศาสตร์แนวพุทธมากขึ้นไปอนาคตเพื่อแก้ปญั หาทางการเมอื งต่อไป
รฐั ประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา 203 203 ในปัจจุบันรัฐประศาสนศาสตร์ได้ก้าวเข้าสู่บริบทใหม่ของสังคมและการเมืองไทย อันได้ส่งผลให้รัฐประศาสนศาสตร์เองมีแนวโน้มเปลี่ยนไปด้วยการถูกมองและตีความใน ความหมายที่เปลี่ยนไปจากการมองรัฐและการเมืองในฐานะการสร้างภาวะสถาบัน เพื่อ ความม่ันคง ความมีเสถียรภาพ หรือความเป็นรัฐในความหมายเชิงผสมผสานทั้งเร่ือง ความมั่นคง การพัฒนาและการมีส่วนร่วมจากศูนย์กลางอำนาจ ไปสู่แนวคิดที่เน้นจากรัฐ เลื่อนไหลลงสู่ประชาสังคมและพลเมืองกล่าวถึงบทบาททางการเมืองของกลุ่มคนต่าง ๆ ในสังคม ไม่ใช่แต่เพียงการเมืองของผู้นำ นักการเมืองในรัฐสภาเท่าน้ัน รัฐประศาสน ศาสตร์แนวใหม่จะมองไปที่พฤติกรรมการเมืองที่เป็นจริงในชีวิตประจำวันและบูรณาการ กบั ศาสตร์ตา่ งๆได้ จนทำให้รฐั ประศาสนศาสตรข์ าดเอกลักษณ์ของตัวเอง ดังนั้น นักศึกษารัฐประศาสนศาสตร์ จึงต้องมีคุณสมบัติที่โดดเด่นหลายประการ ได้แก่ การมีจิตสำนึกแห่งการวิเคราะห์ (analytical mind) ที่สามารถเรียนรู้ เข้าใจและ วิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้น ในโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะในทางเศรษฐกิจสังคมการเมืองและ การบริหาร ปัญหาดังกล่าวนับวันจะมีความสลับซับซ้อน และเกี่ยวพันกับชีวิตของเรา จน แยกจากกันไม่ออกความสามารถในการวิเคราะห์อาจจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ในคนบาง คน ซึ่งเป็นพรสวรรค์แต่สำหรับคนส่วนมาก มักเป็นสิ่งที่สร้างข้ึนไม่ได้ ด้วยการฝึกฝนการ วิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง จนเป็นนิสัย ในการสร้างนิสัยแนวความคิด (conceptualization) ซึ่ง จะเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุด ของการวิเคราะห์ปัญหาในข้ันต่อไป การสร้าง แนวความคิดจะอาศัยทักษะแห่งการคิด การตั้งคำถาม การใช้ทฤษฎีการแสวงหาคำตอบ ด้วยข้อมูลและตรรกะเหตุผล ที่สอดคล้องต้องกนั รวมทั้งการวิเคราะหห์ าจุดดีและข้อออ่ น ของการสรา้ งแนวคิดของตวั เอง รฐั ประศาสนศาสตรใ์ นพระไตรปิฎก การศึกษารัฐประศาสนศาสตร์ในพระไตรปิฎกปัจจุบัน ได้มีนักวิชาการไทย พยายามที่จะตีความพระพุทธศาสนาออกเป็นหลากหลาย เช่น แนวประชาธิปไตยแนว สังคมนิยมแนวธรรมิกสังคมนิยมแนวปรัชญาการเมืองแนวธรรมาธิปไตยแนวพุทธประวัติ แนวนติ ิรฐั แนวมโนทัศน์ และแนวการบริหารจดั การภาครฐั
204 Public Administration Science in Buddhism 204 แนวคิดทั้งหมดนี้ เป็นแนวคิดที่พยายามแสวงหาความหมายและอธิบายศาสตร์ ทางพระพุทธศาสนา ให้มีความลุ่มลึก และเกิดความหลากหลายทางด้านวิชาการ นอกจากนั้นแล้วยังเป็นเร่อื งธรรมดาของศาสตร์ใหม่ ๆ อย่างทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตรใ์ น พระไตรปิฎก ก็จำต้องแสวงหาความเป็นอัตลักษณ์ของตนเองว่าจะมีรูปร่างหน้าตาเป็น อย่างไร และพร้อมที่จะพฒั นาต่อไปในอนาคตตอ่ ไป 1. การแสวงหาเอกลกั ษณ์ของศาสตร์ในปจั จบุ ัน แม้รัฐประศาสนศาสตร์เองก็พยายามแสวงหาเอกลักษณ์ความเป็นศาสตร์ของ ตัวเอง ทั้งนี้ สิทธิพนั ธ์ พุทธหุน ได้ให้ทัศนะเอาไว้ว่า 1.1 การศึกษาการเมืองโดยเน้นเรื่องของรัฐ คือมุ่งไปที่โครงสร้างของรัฐ แต่ทำ ให้เกิดปญั หาขึน้ มา ดังน้ี 1) สังกัปของรัฐดูค่อนข้างตายตัวคือรัฐบาลทำหน้าที่ในการรักษา กฎระเบียบและเป็นอิสระจากการควบคุมของชาติอื่น ไม่สามารถที่จะเข้ามาอธิบาย ปรากฏการณ์ทางการเมือง ตา่ ง ๆ ได้ เช่น การปฏิวตั ิ สงครามอาณานิคม 2) สังกัปของรัฐคอ่ นข้างจะเน้นไปในเชิงกฎหมายมากเกินไปคือพูดถึง กระบวนการนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ แต่ละเลยกระบวนการที่อยู่นอกเหนือ ทางการ เชน่ กลุ่มอิทธิพล กล่มุ ผลประโยชน์ สือ่ มวลชน ฯลฯ 3) การค้นพบสังกัปตลอดวิธีการทางการเมืองใหม่ๆ มากขึ้น สังกัปเดิมที่ ศึกษาการเมืองในแง่รัฐจึงถูกโจมตี แม้คำว่า รัฐ ก็ยังหาข้อยุติไม่ได้ว่าหมายถึงอะไรกันแน่ ความนยิ มในการศึกษาจงึ เสือ่ มลง 1.2 การเมือง คือเร่ืองที่เกี่ยวข้องกับอำนาจและหน้าที่ เพราะมุ่งไปที่คนและ สนใจศึกษาที่กระบวนการมากกว่าลักษณะนามธรรมของกฎเกณฑ์ต่างๆ แต่ในระยะหลัง กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น เพราะคำว่า อำนาจ นั้นยังหาข้อยุติไม่ได้ เพราะคำว่า อำนาจหน้าที่มีคำจำกัดความที่กว้างเกินไปทั้งไม่มีความสัมพันธ์กับการเมืองเลย เช่น อำนาจที่ผู้จัดการบริษัทใช้กับลูกน้อง อำนาจของพ่อที่มีต่อลูก อำนาจของพระศาสดาที่มี ต่อสาวก เปน็ ต้น 1.3 การเมือง คือเร่ืองของการแจกแจงสิ่งที่มีคุณค่าในสังคม โดยเชื่อว่า การเมืองเป็นเร่ืองของการขัดแย้งซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างพยายามที่จะใช้ทรัพยากรที่
รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพทุ ธศาสนา 205 205 ตนมีอยู่เพื่อได้มาซึ่งอำนาจ โดยมีอยู่สองกลุ่มคือพวกที่ไม่สนใจการเมือง กับพวกที่สนใจ การเมืองหรือสัตว์การเมือง (Political Animal) แต่การใช้อำนาจในการแจกแจงสิ่งที่มี คุณค่าอันเป็นเร่ืองของการเมืองนี้อาจเกิดขึ้นได้ในกลุ่มต่างๆ ที่ไม่ใช่กลุ่มการเมือง เช่น ครอบครัว โรงเรียน องค์กร ศาสนาและกลุม่ เศรษฐกิจ เปน็ ต้น 1.4 การเมือง คือเร่ืองของพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เป็นประเด็นสำคัญๆ ทาง การเมือง การศึกษาที่ให้ความสำคัญกับผู้นำที่สามารถในการตัดสินนโยบายเป็นประเด็น หลัก แต่ก็มีขอบเขตการศึกษาที่จำกัดเฉพาะกลุ่มผู้นำไม่กี่คนเท่าน้ัน (สิทธิพันธ์ พุทธหุน. 2536 :29) ถ้าจะการเปรียบเทียบโครงสร้างของสถาบันทางการเมืองการที่จะพยายามชี้ ประเด็นโดยการเปรียบเทียบหลักรัฐศาสตร์เข้ากับหลักพุทธศาสตร์นั้นอาจจะไม่ตรง ประเด็นมากนกั แตก่ พ็ อจะอนุโลมกนั ได้ ดังน้ี ท่ี ประชาธิปไตย พุทธศาสนา 1 สถาบันรฐั ธรรมนญู พระไตรปิฎก 2 สถาบันนิติบัญญัติ 3 สถาบันฝ่ายบริหาร พระวนิ ยั 4 สถาบนั ฝา่ ยตุลาการ สถาบนั สงฆ์ คณะพระวินัยธร 2. รัฐประศาสนศาสตร์ในพระไตรปิฎกในอนาคต ในอนาคตเป็นยุคที่เกิดสภาพไร้พรมแดนทั้งในเร่ืองของอาณาเขต, ประชากร, การค้า, การสื่อสาร แม้แต่การเมืองการปกครองก็ตกอยู่ในสภาวะเช่นเดียวกัน จึงควร ศึกษาทิศทางทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ในพระไตรปิฎกสำหรับอนาคตในประเด็นต่าง ๆ ดงั ต่อไปนี้ 2.1 ศกึ ษาเพื่อบูรณาการให้เป็นการเมอื งวิถีพุทธ หลักธรรมหรือคำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้ามีอยู่หลากหลายหมวดหมู่และมีชื่อแตกต่างกันไป แต่หากพิจารณาโดยรวม ยอดแล้วจะเห็นว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามุ่งที่จะเสนอแนวทางให้กับมนุษย์มีชีวิตอยู่ กบั สงั คมด้วยการเรียนรู้อย่างเทา่ ทนั และนำหลกั ธรรมมาประยกุ ต์ใช้ เชน่
206 Public Administration Science in Buddhism 206 1) อธิบายสภาวะธรรมชาติของชีวิต เชน่ สรรพสิ่งเกิดขึ้นมาได้อยา่ งไร คง อย่ไู ด้เพราะเหตุใด 2) อธิบายและสอนถึงวิธีการที่จะครองชีวติ อย่อู ย่างมีความสุข สอดคล้อง กับสภาวะธรรมชาติ การบรรเทาความทกุ ขอ์ ันเกิดจากสภาวะนานาประการ 3) อธิบายและสอนแนวทางการดำรงอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในสังคมต้ังแต่ ระดบั ปัจเจกชน จนถึงปวงชนระดบั ชาติและโลก 4) อธิบายและแนะนำแนวทางที่จะนำหลักธรรมคำสั่งสอนไปประยุกต์ใช้ ในการดำรงชีวิตประจำวันตามลักษณะปัญหา ตามระดับสติปัญญา และความประสงค์ ของแต่ละบุคคล เพื่อให้ทุกคนเกิดภาวะของการเรียนรู้แล้วบอกสอนด้วยการอยู่ร่วมกัน อย่างสันติสุขเหมือนพี่ น้อง โดยอาศัยภูมิรู้ภูมิธรรมมาเป็นวิถีชีวิตอย่างพุ ท ธ (มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช, 2534 :658) 2.2 เน้นเป้าหมายของรัฐตามทัศนะของพระพุทธศาสนา จะต้องประกอบไป ด้วยหลกั ของอัตถะหรอื ประโยชน์ 3 ประการ คือ (ข.ุ จู.30 /673 /333; 755 /389) 1) ทิฏฐธัมมิกัตถะ ประโยชน์เบื้องต้น หรือประโยชน์ในปัจจุบัน เป็น ประโยชน์ ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าที่จับต้องได้ในปัจจุบัน เช่น เร่ืองของปัจจัยพื้นฐานของชีวิต หรอื ในเร่อื งของโลกธรรม 8 ที่รฐั จะต้องสนองความต้องการของมนษุ ย์ในสงั คมใหไ้ ด้ 2) สัมปรายิกัตถะ ประโยชน์เบื้องหน้าหรือประโยชน์ในอนาคต เป็น ประโยชน์ที่มนุษ ย์เม่ือมีความพร้อมในประโยชน์ข้อแรกแล้วต้องการที่จะมุ่ง ความดีอัน สูงสุดแล้วปรารถนา เช่น เร่ืองของคุณค่าแห่งชีวิต, ชีวิตหลังความตาย, เร่ืองของบาป- บุญ-คณุ โทษ หรอื ความสงบสุขทางใจ เป็นต้น 3) ปรมัตถะ ประโยชน์ครอบคลุม หรือประโยชน์สูงสุด ในที่นี้เป็น ความหมายทางศาสนาที่มีเป้าหมายสูงสุดคือนิพพาน หรือความหลุดพ้นไม่ถูกการบีบคัน จากเหตุการณ์หรือบุคคลใดๆ เป็นต้น แต่ทางการเมืองประโยชน์สูงสุดของรัฐคือความ สงบร่มเย็นในรัฐหรือจะเรียกว่ารัฐในอุดมคติ ก็ได้ แม้ในทางพระพุทธศาสนาเม่ือคนไม่ ต้องการบรรลุธรรมก็ปรารถนาถึงยุคสมัยอุดมคติเหมือนกัน คือมนุษย์ในยุคของพระศรี อาริยเมตไตย หรอื ที่เรียกกนั วา่ ยคุ ศรอี าริย์ เปน็ ต้น 2.3 ขอบเขตของการศึกษา การจะพยายามศึกษาพระไตรปิฎกแล้ว เปรียบเทียบหรือประยุกต์หลักการต่าง ๆ โดยการเน้นถึงแนวทางต่าง ๆ น้ัน อาจจะไม่
รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา 207 207 สามารถทำได้สมบูรณ์แบบมากนัก แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาการศึกษาให้ครอบคลุมทั้ง 3 แนวทาง กล่าวคอื 1) การศกึ ษาโดยเน้นบุคคลเปน็ หลัก คือ การเข้าไปศกึ ษาตัวตนของบุคคล ที่เป็นผู้นำ หรือนักการปกครอง ทางด้านแนวคิดว่าจะมุ่งเน้นเป้าหมายตามแนวพุทธ ศาสนาหรือไม่พฤติกรรมการแสดงออกทั้งกาย-วาจา ว่าเป็นสุจริตกรรมมากน้อยแค่ไหน รวมไปถึงการแสดงภาวะผู้นำที่พรอ้ มและกล้าที่จะตดั สินใจในทิศทางที่ดีงาม เปน็ ต้น 2) การศึกษาโดยเน้นระบอบเป็นหลัก คือ การเข้าไปศึกษาค้นคว้าหา ระบอบการปกครองที่แท้จริงตามคัมภีร์ต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนา หรือรูปแบบจำลองที่ อาศัยศาสนาเป็นแนวทาง เช่น สังคมสงฆ์หรือเปรียบเทียบรัฐศาสนา อย่างรัฐอิสลามใน ประเทศตะวันออกกลาง เปน็ ต้น 3) การศกึ ษาโดยเน้นธรรมเปน็ หลัก คือ การตปี ระเด็นทางหลกั ธรรมทาง พระพุทธศาสนาให้กว้างกว่ามิติเดิม ๆ โดยไม่ติดยึดหรือผูกโยงกับแนวคิดการเมืองใดๆ เพียงแต่หลกั ธรรมข้อไหนสามารถประยุกต์ใช้กับระบอบการเมืองอะไร แนวคิดใดก็อนุโลม ประยกุ ต์ใช้เป็นประเดน็ ๆ ไป เชน่ คำวา่ สิทธิ, เสรีภาพ, ความเสมอภาค, อธิปไตย เปน็ ต้น ดังน้ัน แนวโน้มการศึกษารัฐศาสตร์ในพระไตรปิฎก จึงจำเป็นต้องอาศัย อัตถะ หรือประโยชน์ท้ัง 3 เป็นเป้าหมายโดยมีการศึกษาที่เน้นตัวบุคคล, ระบอบ และธรรม เป็น หลกั เพือ่ ให้เกิดความสงบสุขโดยถ้วนหน้า ตามอย่างพทุ ธวิธีที่แท้จริง รปู แบบการบริหารตามแนวพุทธ รูปแบบการบริหารตามแนวทางของพุทธ เป็นปัจจัยสำคัญ ในการสร้าง ความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการบริหาร พอจะยกตามนัยแห่งอธิไตยสูตร (ที.ปา. 11 /228 /231; 20 /895 /187) มี 3 ประการ คือ 1. อัตตาธิปไตย หมายถึง การถือตนเป็นใหญ่ คือถือเอาตนเองเป็นศูนย์กลางใน การตัดสินใจและฐานะศักดิ์ศรีตลอดถึงเกียรติภูมิของตนเป็นใหญ่ กระทำการด้วยความ ปรารถนาตนและสิ่งที่เนื่องด้วยตนเป็นประมาณ ถือเอาแต่ประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก 2. โลกาธิปไตย หมายถึง การถือโลกเป็นใหญ่ คือถือความนิยมของชาวโลกเป็น
208 Public Administration Science in Buddhism 208 ใหญ่หวั่นไหวไปตามเสียงนินทาและสรรเสริญ กระทำการด้วยความปรารถนาจะเอาใจใส่ หมู่ชนหาความนิยม หรือหว่ันกลัวเสียงกล่าวว่าเป็นประมาณ กระทำการบริหารด้วยการ เอาใจหมู่ชน หรือกลุ่มชน หรือบริหารด้วยความเกรงกลัว ไม่เป็นตัวของตัวเองในการ ตดั สินใจ 3. ธรรมาธิปไตย หมายถึง การถือธรรมเป็นใหญ่ คือถือหลักการ ความจริง ความถูกต้อง ความดีงาม เหตุผลเป็นใหญ่ กระทำการด้วยความปรารถนาสิ่งที่ได้ศึกษา ตรวจสอบตามข้อเท็จจริงและความคิดเห็นที่ได้รับฟังอย่างกว้างขวางแจ้งชัดและพิจารณา อย่างดีที่สุด เต็มชัดแห่งปัญญาจะมองเห็นได้ด้วยความบริสทุ ธิ์ใจวา่ เป็นไปด้วยชอบธรรม และเพื่อความดีงาม การจะทำอะไรจะต้องศึกษาค้นคว้าวิเคราะห์ข้อเทจ็ จริงเสียก่อน โดย อาศัยการมีส่วนร่วมและการรับฟังอย่างกว้างขวาง แล้วพิจารณารับฟัง อย่างกว้างขวาง จะมองเห็นว่าการบริหารดังกล่าวเป็นความชอบธรรมและเพื่อผลประโยชน์อันชอบธรรม ของประชาชน (พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตโฺ ต).2549 :41) จากการบริหารดังกล่าว ได้มีผลตรงกันกับแนวคิดของการบริหารโดย Resis Rikert ที่เขียนถึงหลักการบริหารแบบเผล็ดการ แบบคำพูดและการกระทำไม่ซ้ำกัน แบบ ปรึกษาและมีส่วนร่วม ซึ่งตามความเปน็ จริงแล้วการบริหารหรอื การทำงาน การมสี ่วนร่วม ได้เป็นปรัชญาพื้นฐานของชาวตะวันออก เช่นประเทศไทย ที่มีการทำงานโดยการลงแขก และขอแรงลงแขกให้ แบกหามอันเป็นหลกั การบริหารและการทำงานมาตลอด จะเห็นว่า การกระทำอะไรในทางพุทธศาสตร์นั้นเน้นการทำเป็นทีม (group) เช่น การฟังธรรม การรับเข้ามาเป็นสมาชิกของนักบวชต้องทำการสาบานตัวต่อพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์ คือผู้แนะนำการปฏิบัติ รวมท้ังสงฆ์ที่มาน่ังเป็นอันดับ ในการรับเข้า มาเป็นสมาชิกใหม่ขององค์การและเม่ือเข้ามาสู่กลุ่มแล้วจะต้องฉัน(รับประทาน)อาหาร เปน็ กลมุ่ รักษามารยาทในการฉันอาหาร เม่อื เวลาสวดมนต์ก็สวดพร้อมกัน ตื่นเช้าตร่ตู ้อง มาทำความสะอาดทีอ่ ยอู่ าศัย เวลาศกึ ษากศ็ ึกษาพร้อมเพรียงกัน หลักการดังกลา่ วเป็นหลักการของการทำงานรว่ มกันและมีส่วนร่วมมาก่อนทฤษฎี ตะวันตก นอกจาก น้ันยังเน้นหลัก การบ ริหารที่มีก ฎเกณ ฑ์เพื่อป้ องกั นค วามเสื่อมคือ 1) หม่ันประชุมกันเนืองนิตย์ โดยพบปะปรึกษาหารือกิจการงาน (ที่พึง รับผิดชอบตามลำดบั ของตน) อยา่ งสม่ำเสมอ
รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 209 209 2) พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำ กิจทั้งหลายที่พึงทำรว่ มกนั 3) ไม่ถืออำเภอใจใคร่ต่อความสะดวก บัญญัติวางข้อกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ อนั มิได้ตกลงบัญญัติไว้และไม่เหยียบย้ำล้มล้างที่ตกลงวางบัญญัติกันไว้แล้ว ถือปฏิบัติมั่น อยใู่ นบทบัญญตั ิใหญท่ ี่วางไว้เปน็ ธรรมนูญ 4) ท่านผู้ใดเป็นผู้ใหญ่มีประสบการณ์ยาวนาน ให้เกียรติเคารพนับถือท่าน เหลา่ นน้ั มองเห็นความสำคัญแหง่ ถ้อยคำของทา่ นเป็นสิ่งอันพึงรบั ฟัง. 5) ให้เกียรติและคมุ้ ครองกุลสตรี มิใหม้ ีการขม่ เหงบีบค้ันจติ ใจ 6) เคารพบูชาอนุสาวรีย์ประจำชาติ (เช่น ธงชาติและสัญลักษณ์) ไม่ปล่อย และละเลยพิธีเคารพบูชาอันพึงทำแก่สิ่งอันเตือนความทรงจำและกระตุ้นความดีงาม รว่ มกนั เหลา่ นั้นตามประเพณี. 7) จัดการให้ความอารักขา บำรุง คุ้มครอง อันชอบธรรมแก่บรรพชิต ท่านผู้ ทรงศีลทรงธรรมบริสทุ ธิ์ ซึ่งเป็นหลกั ใจและเป็นตวั อยา่ งทางศลี ธรรมของประชาชน เต็มใจ ต้อนรับและหวงั ให้ท่านอยเู่ ป็นสขุ ใน ส มั ย ปั จ จุ บั น ท า ง วิ ช า ก า ร บ ริ ห า ร มุ่ ง เน้ น ก า ร บ ริ ห า ร แ บ บ ป ร ะ ช า ธิ ป ไต ย (Democratic Management บางครั้งก็เรียกว่า Participative Management)ให้ทุกคนใน องค์การต่างๆมีส่วนร่วมในการบริหาร จนถึงขั้นที่มีตำราการบริหารสมัยใหม่เล่มหน่ึง (M. Scott Myers,1970) ในระบบประชาธิปไตย ประชาชนทุกคนเป็นผู้บริหาร คือ มีส่วนร่วมในการบริหาร ประเทศด้วยกันทั้งสิ้น เม่ือเป็นดังนั้นทุกคนควรศึกษาและฝึกฝนพัฒนาตนเองให้เป็น ผบู้ ริหารที่ดี ซึ่งมิใชเ่ รื่องยากแต่ประการใด ถ้าเราบริหารกันแบบมีธรรมในใจ ดังมีประเด็น สำคญั ๆ ทีจ่ ะได้นำเสนอต่อไปนี้ การพัฒนาตนเอง คนเราต้องพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครแก่เกินกว่าจะ พฒั นาตนเองได้ เพราะการพฒั นาตนเองเปน็ การเรียนรู้ สิง่ ที่เราควรพฒั นาตนเองให้เป็น ผบู้ ริหารที่ดี เริ่มต้นจากการบริหารร่างกายและการบริหารจิตของตนเองเสียก่อน จึงค่อย ไปบริหารงาน บริหารคนและทรัพยากรอืน่ ๆ ดังน้ี 1) การบริหารร่างกาย เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชากรไทยในยุคปัจจุบัน เพราะร่างกายที่มีสุขภาพดีจะส่งเสริมสุขภาพจิต ดังมีภาษิตชาวตะวันตกว่า “จิตใจที่
210 Public Administration Science in Buddhism 210 สมบูรณ์อยู่ในร่างกายที่แข็งแรง”หรือสุขภาพจิตเกี่ยวเนื่องกับสุขภาพร่างการน่ันเอง เรา จะต้องหาโอกาสเล่นกีฬาและออกกายบริหารท่ามือเปล่าให้สม่ำเสมอเป็นกิจวัตร ยิ่งกว่านั้น ร่างกายที่ดปี ราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ ดังพทุ ธ ภาษิตว่า“อโรคยา ปรมา ลาภา”แปลความวา่ “ความไมม่ โี รคเป็นลาภอันประเสริฐ เปน็ ต้น 2) การบริหารจิต เป็นเร่ืองสำคัญมาก วิธีการบริหารจิตในแง่มุมหนึ่งจะมี ลักษณะเป็นการชำระจิต การพัฒนาตนเองด้วยการพัฒนาจิตใจตามวิธีการทาง พระพุทธศาสนาน้ัน จะต้องหม่ันทำทุกวันอย่างน้อยวันละครั้ง เช่นเดียวกับการชำระ ร่างกาย วิธีการสำคญั ในการบริหารจติ ได้แก่ การทำบญุ 3 ทาง อันจะก่อให้เกิดพลงั จิต และพลังผลบุญกศุ ล ทำให้ผู้ทำบุญถกู วิธีไม่ตกไปในทีช่ ั่ว มองอีกแง่หนึ่ง การบริหารจิต เป็นการฝึกฝนการบังคับจิตมิให้เศร้าหมองด้วย อุปกิเลสจิตใจต้องการการบริหาร การพัฒนา เช่นเดียวกับร่างกาย แต่มีวิธีการแตกต่าง กัน การฝึกจิตไม่จำเป็นต้องออกแรงแต่ประการใด แต่ต้องใช้เวลาและความพยายามทาง จิต เพียงฝึกหัดควบคุมความคิดให้ถูกทางตามแนวพุทธธรรมเพียงวันละไม่กี่นาทีเท่านั้น ท่านจะรู้สึกสดใสและแจ่มใสขึน้ อยา่ งประหลาด เปรียบจติ เสมือนดวงแก้วที่ได้รบั การชำระ ให้สะอาด จติ ทีส่ ะอาด สงบ ย่อมนำสุขมาให้ การบริหารจิตเช่นนี้จะทำให้ความเป็นคนเจ้าทุกข์ หรือกลัดกลุ้มอยู่เสมอน้ันลด น้อยลงโดยลำดับ จนในที่สุดทา่ นอาจจะเก็บความทกุ ร้อนต่างๆ เข้าลิ้นชักเสียเม่ือไหรก่ ็ได้ ข้อสำคัญต้องหมั่นฝกึ จิตให้ปล่อยว่าง หรือหัดเก็บความทุกข์เข้าลิน้ ชักไว้เสมอ อย่างน้อย เม่ือเวลาก่อนนอน แล้วท่านก็จะได้ประจักษ์ผลแห่งการบริหารจิตนี้ด้วยตนเอง (สุชีพ ปุญญานภุ าพ,ม.ป.ป.:34) สรุปความได้ว่าแนวโน้มการศึกษารัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพุทธ จะมีการ นำเอาหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนามาใช้ในด้านการบริหารมากขึน้ โดยเน้นที่หลักการ บริหาร คือ 1) องค์ความรู้ (เรียนรู้) สิ่งที่เป็นความรู้ท่ัวไปหาได้ในตลาดวิชาการ องค์ ความรู้ขององค์กรเอง สะสมเองจากผลการปฏิบัติงาน นำความรู้จากคนอื่นโดยใช้ที่ ปรึกษา วางแผน เตรียมการ สร้างสง่ิ รทู้ ี่จะทำ การปลกู ฝงั ด้านคณุ ธรรมของผบู้ ริหาร 2) การปฏิบัติ (ทำตาม) ปฏิบัติตามองค์ความรู้จากแผนที่จะทำ ซึ่งมีการ กระทำ 3 ด้าน คือ (1) ทำทางกาย เช่น ทำด้วยมือ พูดสื่อสาร ความสุจริต (2) ทำทางใจ
รัฐประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพทุ ธศาสนา 211 211 เช่น การตั้งม่ันมุ่งเป้า การเตือนตนด้วยสติ การเพียรพยายามให้ของที่จะทำให้ดีขึ้นเร่ือยๆ (3) ทำทางปัญญา เช่น ความเห็นถกู ต้อง คิดแก้ปัญหาได้ 3) ผลลัพธ์ (ผลจากการปฏิบัติตามข้อ 2) (ดแู ลผล) เป้าหมายเทียบกบั ผล ดู การบรรลุผลบทเรียนที่ได้รับท้ังเชิงผลสำเร็จ และความล้มเหลว แล้วทำเป็นภูมิปัญญา องคก์ ร ผลลัพธ์เชิงธรุ กิจเทียบกับวิสัยทศั น์ ขั้นตอนท้ัง 3 นี้ จะต้องหมุนเป็นวัฎจักรและมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน จนกว่า จะสามารถบรรลุวิสัยทศั นห์ รอื วตั ถุประสงค์ทีต่ อ้ งการได้ สรปุ ความ ทิศทางและแนวโน้มของรัฐประศาสนศาสตร์ ต้องมีการจัดรูปแบบองค์การระบบ ราชการแบบใหม่ การเปลี่ยนแปลงของรัฐประศาสนศาสตร์ในฐานะสาขาวิชา วิกฤต เอกลักษณ์และรัฐประศาสนศาสตร์ในอนาคต ในส่วนของรัฐประศาสนศาสตร์ในทาง พระพทุ ธศาสนาในอนาคต จะมนี ำหลักธรรมใชใ้ นองค์การมากขึ้น โดยจะเน้นที่การปรับพฤตกิ รรมของ บุคคลในองค์การ รัฐประศาสนศาสตร์ เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับการบริหารกิจการงานของ รัฐ หรือการ บริหารงานสาธารณะ ซึ่งต้องมีการกำหนดกฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับ กฎหมายตลอกจนนโยบาย แผนงานต่าง ๆขึ้นมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินกิจการงาน ต่าง ๆ อย่างเป็นระบบการศึกษา สำหรับวิชารัฐประศาสนศาสตร์มีความคุณสมบัติที่ไม่ แตกต่างไปจากศาสตร์หรือสาขาวิชาอื่นๆกล่าวคือรัฐประศาสนศาสตร์น้ันมี “สถานภาพ” ของความเป็นศาสตร์หรือสาขาวิชาที่ขาดความเป็นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์เฉพาะตนที่ สะท้อนให้เหน็ ความเปน็ รัฐประศาสนศาสตร์ แนวโน้มการศึกษารัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพุทธ จะมีการนำเอาหลักธรรม ในทางพระพุทธศาสนามาใช้ในด้านการบริหารมากขึ้น โดยเน้นที่หลักการบริหาร คือ (1) องค์ความรู้ (เรียนรู้) สิ่งที่เป็นความรู้ทั่วไปหาได้ในตลาดวิชาการ องค์ความรู้ขององค์กร เอง สะสมเองจากผลการปฏิบัติงาน นำความรู้จากคนอื่นโดยใช้ที่ปรึกษา วางแผน เตรียมการ สร้างสิ่งรู้ที่จะทำ การปลูกฝังด้านคุณธรรมของผู้บริหาร (2) การปฏิบัติ (ทำ ตาม) ปฏิบัติตามองค์ความรู้จากแผนที่จะทำซึ่งมีการกระทำ 3 ด้าน คือ ทำทางกาย ทำทางใจและทำทางปัญญา (3) ผลลัพธ์ (ผลจากการปฏิบัติตามข้อ 2) (ดูแลผล)
212 Public Administration Science in Buddhism 212 เป้าหมายเทียบกับผล ดูการบรรลุผลบทเรียนที่ได้รับทั้งเชิงผลสำเร็จและความล้มเหลว แล้วทำเป็นภูมิปัญญาองค์กร ผลลัพธ์เชิงธุรกิจเทียบกับวิสัยทัศน์ ข้ันตอนท้ัง 3 นี้ จะต้อง หมุนเป็นวัฎจักรและมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันจนกว่าจะสามารถบรรลุวิสัยทัศน์หรือ วัตถุประสงคท์ ี่ตอ้ งการได้
รฐั ประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา 213 บรรณานกุ รม กมล อดลุ พันธุ์. ความหมายและขอบข่ายของการศึกษาบริหารรัฐกิจ ในกวี รักษช์ น (บรรณาธิการ), การบริหารรฐั กิจเบือ้ งตน้ , พิมพ์คร้ังที่ 9, กรงุ เทพมหานคร : สำนกั พิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง. โกวิทย์ วงศส์ ุรวัฒน. รัฐศาสตร์กบั การเมือง. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร,์ 2534. จำนง ทองประเสริฐ. พระพุทธศาสนากบั สังคมและการเมือง, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์บริษทั คอมแพคทพ์ ริน้ ท์ จำกดั , 2538. จำรสั จันทรแ์ สงศรี. หลักการบริหารงานสมัยใหมก่ ับหลกั การบริหารงานเชิงพุทธ ศาสตร์, (บทความพิเศษ), กรุงเทพมหานคร :สมาคมฟนั ดาบสมัครเล่นแห่ง ประเทศไทย,2552. ชยั อนนั ต์ สมทุ วณิช, รัฐ. กรุงเทพมหานคร; โรงพิมพ์จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย, 2535. ไชยวัฒน์ คำ้ ชแู ละคณะ.ธรรมาภิบาลการบริหารการปกครองที่โปร่งใสด้วยจริยธรรม. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพน์ ำ้ ฝน, 2545. ชมุ พร สังขปรีชา. ปรัชญาและทฤษฎีการเมืองว่าด้วยธรรมชาติมนษุ ย์. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, 2531. คณึงนติ ย์ จนั ทบตุ ร. การเคลือ่ นไหวของยุวสงฆ์ไทยรุ่นแรก พ.ศ.2477-2484, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพม์ หาวิทยาลัยธรรมศาสตร,์ 2528. ดนยั ไชยโยธา. พระมหากษตั รยิ ์กบั พระพุทธศาสนาในประวตั ิศาสตร์, กรุงเทพมหานคร : สำนกั พิมพ์โอเดียนสโตร,์ 2548. ติน ปรชั ญพฤทธิ์, รัฐประศาสนศาสตรเ์ ปรยี บเทยี บ:เครือ่ งมือในการบริหารประเทศ, พมิ พ์ครั้งที่ 2. กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั , 2535. ทวี ผลสมภพ. ปญั หาปรชั ญาในการเมืองของโลกตะวันออก. กรงุ เทพมหานคร : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2534. ทิศนา แขมมณี. การพฒั นาคุณธรรมจรยิ ธรรมจากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ, กรงุ เทพมหานคร :โรงพิมพ์เมธีทิปส์, 2546.
214 Public Administration Science in Buddhism 214 ประมวลสนุ ทรพจน์ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ.ศ.2502-2504, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพส์ ำนกั ทำเนียบนายกรฐั มนตร,ี 2507. ปรีชา ช้างขวญั ยืน.ทรรศนะทางการเมืองของพระพุทธศาสนา, กรุงเทพมหานคร : บริษัทสามัคคีสาสน์ จำกัด, 2540. ______.ความคิดทางการเมืองในพระไตรปิฎก,กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , 2538. ประสาน มฤคพิทกั ษ์. วธิ ีคิด วิธีทำงาน. พิมพ์ครั้งที่ 11, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ สยาม, 2549. ปีณติ สุภากุล. พุทธศาสนากบั การแกป้ ญั หาเศรษฐกิจ, วารสารเศรษฐศาสตร์ลานนา ดดั แปลงจากบทความประกอบบรรยายงานสัมมนาสปั ดาหพ์ ระพทุ ธศาสนา คณะศาสนศาสตร์แมคกิลวารี มหาวิทยาลยั พายพั , 2543. ผจญมาร, บันทกึ ชีวิต 5 ปีในห้องขงั ของพระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ),สำนักงานกลาง, กองการวิปสั สนาธุระ, วดั มหาธาตุ, กรุงเทพมหานคร :บณั ฑติ การพิมพ,์ 2530. พล.อ.เปรม ติณสลู านนท์. จริยธรรมของการบริหารภาครฐั , (ปาฐกถาพิเศษ), กรงุ เทพมหานคร: สถาบนั บัณฑิตพฒั นบริหารศาสตร์, (หนงั สือพมิ พ์มตชิ น รายวัน), ฉบบั วนั อาทิตยท์ ี่ 10 กรกฎาคม 2548. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน.กรงุ เทพมหานคร :โรงพิมพศ์ ริ ิวัฒนาอินเตอร์พริน้ , 2542. พระพรหมคุณาภรณ.์ (ป.อ.ปยตุ โฺ ต). พจนานุกรมพุทธศาสตร์. ฉบบั ประมวลธรรม, พิมพ์คร้ังที่ 12, กรงุ เทพมหานคร :โรงพิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, 2546. พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต). ธรรมนญู ชีวิต, กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพ์กรมการศาสนา, 2539. ______. พทุ ธธรรม, เล่มที่ 4, ฉบับปรบั ปรงุ และขยายความ, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , 2542. ______. พทุ ธธรรม, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2543.
รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพทุ ธศาสนา 221155 ______. พทุ ธธรรม. (ฉบบั เดิม) พิมพค์ รั้งที่ 20, กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพธ์ รรมสาร, 2545. ______. พุทธธรรมกับการบริหาร,กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพม์ หาจฬุ าลงกรณราช วิทยาลยั , 2542. ______. เศรษฐศาสตร์แนวพทุ ธ, กรุงเทพมหานคร : สํานักพิมพม์ ูลนธิ ิโกมลคีมทอง, 2538. ______. (ป.อ.ปยุตโฺ ต), รัฐกบั พระพุทธศาสนา ถึงเวลาชำระลา้ งหรอื ยงั , พิมพ์คร้ังที่ 4, กรุงเทพมหานคร : มลู นิธิพุทธธรรม, 2535. ______. การศึกษาเพื่อสันติภาพ, กรงุ เทพมหานคร :พิมพ์ที่บริษัทสหธรรมิกจำกัด, 2540. พระธรรมโกศาจารย์. (ประยรู ธมฺมจิตโต) พุทธวิธีการบริหาร, (พิมพพ์ ิเศษ 5 ธนั วาคม) กรงุ เทพมหานคร :โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2549. พระไพศาล วสิ าโล,บทความเร่อื ง:อนาคตสำหรับพทุ ธศาสนาในไทย,วิถีทรรศน์ชุด โลกาภิวตั น์ 11, พทุ ธวิบัติ วิกฤติศาสนายุคธนาธิปไตย,กรงุ เทพมหานคร : บริษัทอมรนิ ทร์พรินตร้งิ แอนพบั ลิชชิง่ จำกัด, 2542. พชั สิริ ชมพคู ำ. องคก์ ารและการจดั การ, กรุงเทพมหานคร : แมคกรอ-ฮิล, ป.ป.ป. เพ็ชรี รปู ะวิเชตร์, การเรียนรลู้ กั ษณะการจดั การ : การจัดการข้ามวัฒนธรรม, กรงุ เทพมหานคร : ดวงกมลพบั ลิชชิง, 2553. มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราช วิทยาลยั . กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพม์ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, 2539. มหามกฎุ ราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาบาลี, (ฉบับสยามรัฐ), กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลยั , 2525. สมบูรณ์ สุขสำราญ, พทุ ธศาสนากับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสงั คม, กรุงเทพมหานคร : สำนกั พิมพ์จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย, 2527. ______. เอกสารประกอบวิชาการหมายเลข 3 เร่อื ง“หนึง่ ศตวรรษพระพทุ ธศาสนาใน สงั คมไทย อ้างในพิพัฒน์ พสธุ ารชาติ. รัฐกับศาสนา, พิมพ์คร้ังที่ 2, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพศ์ ยาม, 2549.
216 Public Administration Science in Buddhism 216 สร้อยตระกูล (ติวยานนท)์ อรรถมานะ, สาธารณบรหิ ารศาสตร์, พิมพค์ รั้งที่ 3, กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, 2540. สิรวิ ฒั น์ คำวนั สา. พุทธศาสนาในอินเดีย, กรุงเทพมหานคร : พิทกั ษ์อกั ษร, 2545. แสวง อดุ มศร,ี การปกครองคณะสงฆไ์ ทย,กรุงเทพมหานคร :มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, 2533. ส. ศิวรกั ษ.์ แนวคดิ ทางปรัชญาการเมืองของอริสโตเติล.กรงุ เทพมหานคร :สำนกั พิมพ์ ศยาม, 2543. สชุ พี ปุญญานภุ าพ. พระไตรปิฎกฉบับสำหรบั ประชาชน. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพม์ หามกฏุ ราชวิทยาลยั , 2535. ______.การบรหิ ารทางจติ ใจ นวกะ 24 รำลึก,กรุงเทพมหานคร :โรงพิมพ์มหามกุฏราช วิทยาลัย ม.ป.ป., สุพัตรา สุภาพ. ปญั หาสังคม. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช, 2535. สิทธิพันธ์ พุทธหนุ . แนวการศึกษารัฐศาสตร.์ พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร : สำนกั พิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2543. สิรวิ ัฒน์ คำวันสา. ประวตั ิพระพทุ ธศาสนาในประเทศไทย, กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ สหธรรมิก, 2541. สิทธิพนั ธ์ พุทธหนุ . แนวการศึกษารฐั ศาสตร์. พิมพค์ ร้ังที่ 3. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2543. สุบรรณ จนั ทบุตร. จริยธรรมกบั ชีวิต, อบุ ลราชธานี: โรงพิมพ์ศริ ิธรรมออฟเซ็ท, 2547. สรุ ินทร์ การะนนทแ์ ละประสิทธิ์ กลุ บญุ ญา. ความจริงของชีวติ , คณะมนุษย์ศาสตรแ์ ละ สงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั อบุ ลราชธานี, 2543. สโุ ขทยั ธรรมาธิราช. มหาวิทยาลยั ,การบรหิ ารและการพฒั นาองคก์ ร,เอกสารการสอน, หน่วยที่ 1, พิมพ์ครั้งที่ 7, นนทบรุ ี : สำนักพิมพม์ หาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2541. เสถียร โพธินนั ทะ, ประวัติพระพทุ ธศาสนา, พิมพค์ รั้งที่ 4, กรงุ เทพมหานคร : สร้างสรรค์บุ๊ค, 2544. สุชพี ปญุ ญานุภาพ. http://www.cybervanaram.net/index.php/news11/310-2010.
รัฐประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพทุ ธศาสนา 221177 รัชนีกร บญุ หลง. ภมู ิศาสตรก์ ารเมือง. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์จฬุ าลงกรณ มหาวิทยาลยั , 2540. ราชบัณฑติ ยสถาน. พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542,กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพศ์ ริ ิวัฒนาอินเตอร์พริน้ , 2542. วนั ชยั มีชาติ. พฤติกรรมการบรหิ ารองคก์ ารสาธารณะ, กรุงเทพมหานคร : สำนกั พิมพ์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , 2548. วิเชยี ร วิทยอุดม. องค์การและการจดั การ, พิมพค์ รั้งที่ ๒, กรุงเทพมหานคร : ธนธัชการ พิมพ,์ 2551. วัชระ งามจิตเจรญิ . พุทธศาสนาเถรวาท, พิมพค์ รั้งที่ 3, กรงุ เทพมหานคร: สำนกั พิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2556. อษั ฎางค์ ปาณิกบตุ ร. แนวคดิ เกี่ยวกบั การปฏิรปู การเมือง. กรุงเทพมหานคร : บริษทั สุขมุ และบตุ ร จำกัด, 2540. อุทยั เลาหวเิ ชยี ร, รฐั ประศาสนศาสตร์ : ขอบข่ายสถานภาพและพัฒนาการใน ประเทศไทย, พิมพค์ รั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : แสงรงุ้ การพิมพ์, 2543. Herbert A. Simon, Administrative Behavior, New York : Macmillion Co., 1947. L.M. Prasad. Organizational Behaviour, Delhi : Sultan Chant & Son, 2001. M. Scott Myers, Every Emplotee a Manager : A More Meaningful Work Through Job Enrichment (New York : McGraw-Hill, 1970. Richard L. Daff. Organization Theory and Design, 4th. Edition, (Singapore : West Publishing Company, 1992. Vijay Sathe. Culture and Related Corporate Realities, Homewood, lll, : Richard K lrwin, 1985. http://main.dou.us/view_content.php?s_id=292&page=5 http://www.budmgt.com/budman/bm02/politicbud.html http://siwarut.kan2.go.th/myweb/administration.htm http://www.budmgt.com/budman/bm01/democ-in-bud.html http://main.dou.us/view_content.php?s_id=292&page=5)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229