Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา

รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา

Published by supasit.kon, 2022-06-08 08:59:59

Description: รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา

Search

Read the Text Version

รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา 41 41 โปรดเบญจวัคคีย์ด้วยอนัตตลักขณสูตรวนั ต่อมาได้พระยสเป็นสาวก ทรงจำพรรษาที่เมอื ง พาราณสี แคว้นกาสี (ปจั จุบนั อย่ใู นรฐั อตุ รประเทศ) พรรษาที่ 2 เสด็จเสนานิคม เพื่อโปรดชฎิฎ 3 พี่น้อง ในตำบลอุรุเวลกัสสปะ นทีกัสสปะ คยากัสสปะกับศิษย์ 1,000 คน ตรัสอาทิตตปริยายสูตรที่คยาสีสะ เสด็จเมือง ราชคฤห์แห่งแคว้นมคธ พระเจ้าพิมพิสาร ทรงถวายสวนเวฬุวันแต่พระสงฆ์ได้ สารีบุตร และโมคคัลลานะเป็นสาวก อีก 2 เดือนต่อมาพระองค์ได้เสด็จกบิลพัสดุ์ทรงพำนักที่นิโคร ธาราม ได้สาวกมากมาย เช่น นันทะ ราหุล อานนท์ อุบาลี เทวทัต และพระญาติอื่นๆ อนาถปิณฑิกะอาราธนาสู่กรุงสาวัตถีแห่งแคว้นโกศล ถวายสวนเชตะวันแด่คณะสงฆ์ทรง จำพรรษาทีน่ ่ี พรรษาที่ 3 นางวิสาขาถวายบุพพาราม ณ กรุงสาวัตถี ทรงจำพรรษาที่นี่ พรรษาที่ 4 ทรงจำพรรษาที่เวฬุวัน ณ กรุงราชคฤหแ์ ห่งแคว้นมคธ พรรษาที่ 5 โปรดพระราชบิดาจนบรรลุอรหัตผล ทรงไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่าง พระญาติฝ่ายสักกะกับพระญาติฝ่ายโกลิยะเกี่ยวกับการใช้น้ำในแม่น้ำโรหินี ทรงบวชพระ นางปชาบดีโคตมีและคณะเปน็ ภิกษุณี พรรษาที่ 6 ทรงแสดงยมกปาฎิหาริย์ในกรุงาสวัตถี ทรงจำพรรษาบนภูเขามังกลุ บรรพต พรรษาที่ 7 ทรงเทศนาและจำพรรษาที่กรุงสาวัตถี ระหว่างจำพรรษาเสด็จขึ้น สวรรค์ชนั้ ดาวดงึ ส์โปรดพระมารดาด้วยพระอภธิ รรม พรรษาที่ 8 ทรงเทศนาในแคว้นภคั คะ ทรงจำพรรษาในสวนเภสกลาวนั พรรษาที่ 9 ทรงเทศนาในแคว้นโกสัมพี พรรษาที่ 10 คณะสงฆ์แห่งโกสัมพีแตกแยกอย่างรุนแรง ทรงตักเตือนไม่เช่ือฟังจึง เสด็จไปประทับและจำพรรษาในป่าปาลิเลยยกะ ช้างเชือกหนึ่งมาเฝ้าพิทักษ์และรับใช้ ตลอดเวลา พรรษาที่ 11 เสด็จกรุงสาวัตถี คณะสงฆ์แห่งโกสัมพีปรองดองกันได้ ทรงจำ พรรษาในหม่บู ้านพราหมณช์ ื่อเอกนาลา พรรษาที่ 12 ทรงเทศนาและจำพรรษาที่เวรญั ชา เกิดความอดอยากรุนแรง พรรษาที่ 13 ทรงเทศนาและจำพรรษาบนภเู ขาจาลิกบรรพต พรรษาที่ 14 ทรงเทศนาและจำพรรษาที่กรงุ สาวตั ถี ราหุลอุปสมบท

42 Public Administration Science in Buddhism 42 พรรษาที่ 15 เสด็จกรงุ กบิลพัสดุ์ สุปปพทุ ธะถูกแผน่ ดินสูบเพราะขดั ขวางทางผ่าน พรรษาที่ 16 ทรงเทศนาและจำพรรษาที่อาลวี พรรษาที่ 17 เสดจ็ กรุงสาวตั ถี กลบั มาอาลวีและทรงจำพรรษาที่กรุงราชคฤห์ พรรษาที่ 18 เสด็จอาลวี ทรงจำพรรษาบนภเู ขาจาลิกบรรพต พรรษาที่ 19 ทรงเทศนาและจำพรรษาบนภเู ขาจาลิกบรรพต พรรษาที่ 20 โจรองคุลีมาลกลับใจเปน็ สาวก ทรงแต่งต้ังให้พระอานนทร์ บั ใช้ ใกล้ชิดตลอดกาล ทรงจำพรรษาที่กรงุ ราชคฤห์ ทรงเริ่มบัญญัติพระวินัย พรรษาที่ 21-44 ทรงยึดเอาเชตะวนั และบุพพารามในกรุงราชคฤห์เป็นศูนย์เผยแผ่ และที่ประทับจำพรรษา เสด็จพร้อมสาวกออกเทศนาโปรดเวไนยสัตว์ตามแวน่ แคว้นต่างๆ โดยรอบ พรรษาที่ 45 และสุดท้าย ปรากฎในมหาปรินิพพานสูตร มหาสุทัสนสูตรและ ชนวสภสูตร ความว่าพระเทวทัตปองร้ายพระพทุ ธเจา้ บริเวณเขาคิชฌกฎู ใกล้กรุงราชคฤห์ ถึงกับพระบาทห้อโลหติ ทรงได้รับการบำบัดจากหมอชีวก วสั สการเข้าเฝ้า เสด็จอัมพลัฎฐิ กา นาลันทาและปาฎลิคามตามลำดับ ทรงข้ามแม่น้ำคงคาที่โตมดิตถ์ เสด็จต่อไปยังโกฎิ คาม นาทิคามและเวสาลี ทรงพำนักในสวนของนางคณิกาอัมพปาลี เสด็จจำพรรษาที่เวฬุ วนั ทรงเรม่ิ ประชวร และ 3 เดือนตอ่ มาเสดจ็ สปู่ รินิพพานในเมอื งกสุ ินาราแห่งแคว้นมลั ละ การจดั กลุ่มเกณฑ์ของพุทธศาสนา หลั งการป รินิพ พ านของพ ระพุ ท ธ เจ้าพุ ท ธศาส นาได้เกิ ด การเป ลี่ยนแป ล งจน กลายเป็นนิกายต่างๆ ซึ่งเมื่อจำแนกโดยการใช้การจัดกลุ่มเปน็ เกณฑ์ เราสามารถจดั พุทธ ศาสนาออกเป็น 6 กลมุ่ ซึง่ มคี วามคาบเกี่ยวกัน ดงั น้ี คือ 1. พุทธศาสนาดั้งเดิม หมายถึง พุทธศาสนาที่เป็นคำสอนด้ังเดิมของ พระพุทธเจ้าซึ่งอาจจัดอย่างคร่าวๆได้ว่าเป็นพุทธศาสนาต้ังแต่แรกก่อตั้งจนมาถึงการ สังคายนาครงั้ ที่ 2 2. พุทธศาสนาเถรวาท (หรือสถวีรวาทในภาษาสันสกฤต) หมายถึง พุทธ ศาสนาที่สืบทอดไปจากพุทธศาสนาดั้งเดิม เป็นพุทธศาสนาที่ยึดคำสอนของพุทธศาสนา

รัฐประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพทุ ธศาสนา 43 43 ด้ังเดิมเป็นหลัก จัดเป็นพุทธศาสนาแบบอนุรักษ์นิยม กล่าวอีกอย่างก็คือพุทธศาสนาเถร วาทเป็นพุทธศาสนาด้ังเดิมที่พัฒนามาจนเกิดคำสอนและคำอธิบายใหม่เพิ่มเติมจากเดิม ซึ่งอาจกำหนดระยะเวลาอย่างคร่าวๆ ได้ว่าเริ่มต้นเม่ือเกิดการแตกแยกนิกายหลัง สังคายนาคร้ังที่ 2 ปัจจุบัน คำว่า \"พุทธศาสนาเถรวาท\" ยังใช้แทน \"พุทธศาสนาหินยาน\" คือใชห้ มายถึงพุทธศาสนาทุกนิกายทีอ่ ยู่ในกลุ่มหนิ ยานดว้ ย 3. พุทธศาสนาหินยาน หมายถึงพุทธศาสนาเถรวาทและพุทธศาสนานิกายย่อย อื่นๆ ที่แยกไปจากพุทธศาสนาเถรวาทที่มีนิกายสรวาสติวาทและนิกายเสาตรานติกะ เป็น ต้น ซึ่งในปัจจุบันนิยมใช้คำว่า \"เถรวาท\" แทนคำว่า \"หินยาน\" คำว่า \"เถรวาท\" จึงใช้ใน 2 ความหมายคือ ในความหมายแรกหมายถึงพุทธศาสนานิกายต่างๆที่แยกตัวไปจาก พระพุทธศาสนาเถรวาทมีนิกายสรวาสติวาท เป็นต้น นอกจากนั้น นักประวัติศาสตร์พุทธ ศาสนายังนิยมใช้คำว่า \"หินยาน\" หรือ \"สาวกยาน\" หมายถึงพุทธศาสนาทั้ง 18 นิกายอีก ด้วย เพราะต้องการให้ต่างจากพวกมหายาน 4. พุทธศาสนาอาจริยวาท หมายถึงพุทธศาสนาทุกนิกายที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับ พุทธศาสนาเถรวาทซึ่งมีนิกายมหาสังฆิกะเป็นนิกายแรก และหมายรวมถึงพุทธศาสนา มหายานที่เกิดข้ึนภายหลงั ด้วย แต่นักวิชาการตะวนั ตกไม่คอ่ ยนิยมใช้คำนี้ 5. พุทธศาสนามหายาน หมายถึงพุทธศาสนาที่มีความเป็นมาคลุมเครือจน นักวิชาการสันนิษฐานต่างกันไป แต่ผู้เขียนเห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานที่ว่าพุทธศาสนา มหายานน่าจะพัฒนาไปจากนิกายต่างๆ คือทั้งจากนิกายในกลุ่มของเถรวาทและนิกายใน กลุม่ ของอาจริยวาททีเ่ กิดขึน้ หลังการสังคายนาครั้งนี้ 2 เป็นพุทธศาสนาที่จดั อยู่ในกลุ่มอา จริยาวาทและตรงข้ามกับกลุ่มเถรวาท นิกายที่สำคัญในกลุ่มนีค้ ือ มาธยมิก (ศูนยวาท) โย คาจาร (วิชญาณวาท) วัชรยาน (มนตรยาน) เซน และสุขาวดี คัมภีร์สำคัญของพุทธ ศาสนามหายาน คือ พระสูตรต่างๆ มีปรัชญาปารมิตาสูตร เป็นต้น ที่บันทึกไว้ด้วยภาษา สันสกฤต (ซึ่งต่อมามีการแปลบันทึกเป็นภาษาจีน) ตรงข้ามกับพุทธศาสนาเถรวาทที่ส่วน ใหญ่บันทึกด้วยคำสอนด้วยภาษาบาลี (ยกเว้นบางนกิ ายอย่างสรวาทสติวาทและเสาตราน ติกะที่ใช้ภาษาสันสกฤต) และคัมภีร์ที่เรียกว่า \"ศาสตร์\" ที่นักปราชญ์ของมหายานแต่ง ขึน้ มาอธิบายพระสูตรของมหายาน ปัจจบุ ันเน่อื งจากพุทธศาสนาอาจริยวาทเหลือแตก่ ลุ่ม ของมหายานและนิยมใช้ \"มหายาน\" มากกว่า\"อาจริยวาท\" คำว่า\"พุทธศาสนาอาจริยวาท\" และ\"พุทธศาสนามหายาน\" จงึ ดจู ะมีความหมายเทา่ กนั จดั เปน็ คำไวพจนข์ องกนั และกนั

44 Public Administration Science in Buddhism 44 6. พุทธศาสนาสาวกยาน หมายถึง พุทธศาสนากลุ่มเถรวาทและกลุ่มมหาสังฆิ กะหรือพุทธศาสนิกกายต่างๆ นอกจากนิกายมหายาน ที่นิยมเรียกว่า\"พุทธสาสนา 18 นิกาย\" เป็นชื่อที่นักประวัติศาสตร์พุทธศาสนิยมใช้เรียกพุทธศาสนาที่มีใช่นิกายมหายาน ซึ่งอีกคำที่นิยมใช้ในความหมายนี้เหมือนกันคือ\"หินยาน\"เป็นต้น (วัชระ งามจิตเจริญ, 2556) พฒั นาการพุทธศาสนาแบบเถรวาท สำหรับในประเทศไทย เม่ือกล่าวคำว่า\"พระพุทธศาสนาเถรวาท\" หรือ\"พุทธ ศาสนา\" คนท่ัวไปจะเข้าใจว่าหมายถึงพุทธศาสนาเถรวาทซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติไทยมา แต่คร้ังโบราณ เพราะคนไทยนิยมเรียกพระพุทธศาสนานิกายมหายานว่า \"พุทธศาสนา มหายาน\" โดยตรงและกล่าวถึงพระพุทธศาสนาเถรวาทที่เป็นศาสนาของชาวไทยส่วนใหญ่ โดยย่อว่า\"พุทธศาสนา\"เพือ่ ให้เข้าใจพุทธศาสนาเถรวาทได้ดียิ่งข้ึน ผู้เขียนขอกลา่ วถึงความ เปน็ มาพุทธศาสนาเถรวาทโดยยอ่ ดังตอ่ ไปนี้ พุทธศาสนาที่ก่อต้ังขึ้นโดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือที่นิยมเรียกโดย ย่อว่า \"พระพุทธเจ้า\" น้ัน ได้รับการสืบทอดมาเป็นลำดับโดยพระสาวกของพระองค์ จนกระทั่งหลังจากพุทธปรินิพพานได้ราว 100 ปี จึงเกิดจากการแตกแยกนิกายอย่าง ชัดเจนหลังการสังคายนาครั้งที่ 2 ในการแตกแยกครั้งน้ันได้แตกออกเป็น 2 นิกายหรือ 2 กลุ่มก่อน คือกลุ่มของพระยสกากัณฑบุตรและกลุ่มของภิกษุวัชชีบุตร โดยเรียกกลุ่มแรก ว่านิกาย\"เถรวาท\" (\"สถวีรวาท\" ในภาษาสันสกฤต) เพราะเป็นกลุ่มที่อนุรักษ์แนวคิดของ กลุ่มพระเถระผู้ทำสังคายนาครั้งแรกที่มีพระมหากัสสปเถระเป็นประธาน ซึ่งพยายาม รักษาคำสอนด้ังเดิมไว้ให้มากที่สุด และเรียกกลุ่มหลังว่าเป็นนิกาย\"อาจริยาวาท\"เพราะ เป็นกลุ่มของภิกษุที่ถือเอาแนวคิดของอาจารย์ของตนเป็นหลัก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เป็นนิกาย \"มหาสังฆิกะ\"เพราะเป็นกลุ่มของภิกษุผู้มีจำนวนมาก ต่อมานิกายท้ังสองนี้ได้ เกิดการแตกแยกนิกายต่ออีกซึ่งนิยมถือกันว่ามีถึง 18 นิกาย แต่ในความเป็นจริงน่าจะมี มากกว่าน้ัน เพราะยังปรากฏชื่อนิกายอื่นๆอีกหลายนิกาย หลังจากน้ัน จึงเกิด\"ขบวนการ มหายาน\" ทีพ่ ัฒนามาจนเกิดนิกายที่เป็นมหายานอยา่ งชัดเจนนิกายแรกคือนิกายมาธยมก

รฐั ประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา 45 45 หรือ มาธยมกะ (ผู้นับถือนิกายนี้เรียกว่า \"มาธยมิก\"หรือ\"มาธยมิกะ\") ซึ่งนิยมเรียกอีก อยา่ งหนึง่ ว่านกิ ายศนู ยวาท (หรอื \"สุญญวาท\"ในภาษาบาล)ี ในราวพุทธศตวรรษที่ 7 อย่างไรก็ตาม กำเนิดของมหายานค่อนข้างคลุมเครือทำให้นักวิชาการสันนิษฐาน กำเนิดของมหายานต่างกันไป แต่เดิมทัศนะที่ได้รับการยอมรับค่อนข้างมากคือทัศนะที่ว่า มหายานกำเนิดมาจากนิกายมหาสังฆิกะที่เจริญอยู่ทางตอนใต้ของอินเดีย ทัศนะนี้เห็นว่า ช่ือ\"มหายาน\" น่าจะมาจากคำว่า \"มหาสังฆิกะ\" (Hazra 1981,41) กล่าวอีกอย่างคือ ชื่อ นิกายทั้งสองมีคำว่า \"มหา\" ที่แปลว่า \"ใหญ่\" อยู่ในนิกายเหมือนกันและอุดมการณ์พระ โพธิสัตว์ของมหายานก็น่าจะมาจากมหาสังฆิกะโดยได้รับอิทธิพลจาก คนพื้นเมืองของ อินเดียใต้ที่มิใช่ชาวอารายัน ตามทัศนะนี้มหายานถือกำเนิดช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษ (Gomez 1989,72) ซึง่ อยใู่ นราวพทุ ธศตวรรษที่ 6 ทัศนะที่สองเกี่ยวกับกำเนิดของมหายานได้รับความนิยมรองลงมาคือ ทัศนะที่ถือ ว่า มหายานถือกำเนิดมาจากนิกายสรวาสติวาทที่เจริญอยู่ทางตอนเหนือของอินเดีย ใน ราวคริสต์ศตวรรษที่ 2-3 หรือราวพุทธศตวรรษที่ 7-8 เพราะเชื่อว่าต้นกำเนิดมหายาน ได้รับอิทธิพลมาจากคัมภรี ม์ หายานศรัทโธตปาท มีความเชือ่ จากแนวคิดเรื่องพระโพธิสตั ว์ ของสรวาสติวาท แต่ในปัจจบุ ัน นกั วิชาการหลายท่าน ไม่คอ่ ยเห็นด้วยกับทัศนะทั้งสองดังที่กลา่ วมา หลยุ ส์ โอ โกเมช (Luis O. Gomez) เห็นว่า การกำเนิดของมหายานนา่ จะเป็นกระบวนการที่ ค่อยเป็นค่อยไปและมีความซับซ้อนโดยเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาในดินแดนมากกว่าหนึ่ง ของอินเดีย (Gomer 1989,72) ซึ่งแสดงว่า มหายานน่าจะกำเนิดขึ้นมาโดยได้รับอิทธิพล จากพุทธศาสนาหลายนิกาย สิริวฒั น์ คำวนั สา นักวิชาการด้านโบราณคดีและพุทธศาสนา ของไทย ก็มีทัศนะในทำนองเดียวกันนี้ โดยพยายามชี้ให้เห็นว่า พุทธศาสนามหายานไม่ได้ กำเนิดจากมหาสังฆิกะหรือสรวาสติวาทนิกายใดนิกายหนึ่ง แต่เกิดจากกับตัวเองมาจาก พุทธศาสนาทั้ง 18 นิกาย โดยมาปรากฏตัวอยา่ งชัดเจนในสมยั ท่านนาคารชนุ (หรือนาคาร ชนุ ะ) สิริวัฒน์ คำวันสา ยังเห็นว่ามหายานใกล้ชิดกับเถรวาทมากกว่ามหาสังฆิกะ โดย ให้เหตุผลไว้หลายประการ เช่น ท่านเฮี่ยนจังหรือเสวียนจ้ัง ได้บันทึกไว้เรื่องราว พ.ศ.1178 ว่าที่พุทธคยามีภิกษุนับพันจำพรรษาอยู่ ล้วนเป็นมหานิกายนิกายสถวีรวาท (เถรวาท) ซึ่ง เอส. ดัตต์ (S.Dutt) ตคี วามหมายของหมูภ่ ิกษมุ หายานที่ยงั ปฏิบัติตามวินยั ของเถรวาทและ

46 Public Administration Science in Buddhism 46 มหายานก็รับเอาแนวคิดเรื่องพระโพธิสัตว์แบบใหม่จากสรวาสติวาท สิริวัฒน์ คำวันสา ก็ ไม่ได้โต้แย้งอะไรมากนักเพียงแต่อ้างทัศนะของเสถียร โพธินันทะและคอร์น (Kern) มา ยืนยันว่า ท่านอัศวโฆษ อาจไม่มีตัวจริงและถึงมีตัวจริงอยู่ คัมภีร์มหายานศรัทโธตปาท ศาสตร์ก็ไม่ใช่ผลงานของท่าน น่าจะเป็นผลงานที่นักปราชญ์จีนแต่งขึ้นแล้วยกให้เป็น ผลงานของท่านอศั วโฆษมากกวา่ คมั ภรี ์เลม่ นีจ้ งึ ไม่น่าจะเป็นคัมภรี เ์ ลม่ แรกของมหายาน อย่างไรก็ตาม เหตผุ ลของสิริวัฒน์ คำวันสา คงพอจะบอกได้แค่วา่ มหายานรบั เอา แนวคิดมาจากนิกายทั้ง 18 ตามหลักฐานที่มีอยู่ เราคงสรุปได้เพียงว่า มหายานกำเนิดขึ้น จากการรับเอาแนวคิดจากพุทธศาสนาหลาย นิกายแล้วนำมาดัดแปลงสร้างแนวคิดของ ตนขึ้นมาใหม่ โดยผ่านกระบวนการที่ใช้เวลาหลายร้อยปี โดยน่าจะเริ่มต้นต้ังแต่ราวพุทธ ศตวรรษที่ 5 หรอื ราวหน่ึงศตวรรษก่อนคริสต์ศักราชเปน็ ช่วงที่เกิดพุทธศาสนานิกายต่างๆ แล้วและพระสูตรมหายานก็สันนิษฐานกันว่า เริ่มแต่งกันในช่วงน้ันเน่ืองจากพระสูตร มหายานที่ถือว่าเป็นเล่มแรกสุดคือคัมภีร์อัษฏาสาหสริกาปารมิตาสูตรน่าจะแต่งขึ้นราว 100 ปีก่อนคริสตกาล (Hajime 1989, 222) ซึ่งพระสูตรมหายานเหล่านี้ มีความเกี่ยวข้อง กับพุทธศาสนาหลายนิกายที่เกิดขึ้นก่อนหน้ามหายาน ทำให้น่าเชื่อถือ มหายานก่อตัวขึ้น โดยรับเอาแนวคิดมาจากนิกายต่างๆมากกว่าจะเป็นเพียงนิกายใดนิกายหนึ่งโดยเฉพาะ หลั งจ าก น้ั นเริ่ม เกิ ด ค ณ ะส งฆ์ ม หาย าน และเกิ ดนิ ก า ย มาธ ย มก ะขึ้นในราวป ล าย พุ ท ธ ศตวรรษที่ 7 ถึงตน้ พุทธศตวรรษที่ 8 (สิรวิ ัฒน์ คำวนั สา, 2545 :228) อนึ่ง นักวิชาการบางท่านอย่างนากามูระ ฮาจิเมะ (Nakamura Hajime) มี ความเห็นต่างจากสิริวัฒน์ คำวันสา เล็กน้อยว่า ขบวนการมหายานน่าจะเริ่มต้นจากกลุ่ม ต่างๆ ของศาสนิกที่มาทำกิจกรรมรอบพระสถูปต่อมากลุ่มเหล่านี้จึงกลายมาเป็นองค์กร หรือกลุ่มที่มีระเบียบประกอบด้วยสมาชิกซึ่งมีทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ซึ่งเรียกตนเองว่า\" พระโพธิสัตว์\"และเปลี่ยนจากการบูชาพระสถูปมาเป็นการสร้างวัด เพื่อใช้สวดพระสูตร คล้ายเถรวาท (Hajime 1989, 216) ทัศนะของฮาจิเมะมีความน่าเชื่อถืออยู่พอสมควร เพราะขบวนการมหายานใหค้ วามสำคัญแกพ่ ระโพธิสัตวท์ ี่เป็นคฤหสั ถอ์ ย่างมาก ดังจะเห็น ได้จากกรณีของวิมลเกียรติอุบาสกที่ปรากฏในคัมภีร์วิมลเกียรตินิรเทศสตู ร หลังจากเกิดพุทธศาสนานิกายมหายานแล้ว\"นิกายหินยาน\"(คนไทยนิยมใช้คำว่า \"หิน\" แทนคำเดิมคือ \"หีน\" เพื่อเลี่ยงการพ้องเสียงคำที่ไม่สุภาพในภาษาไทย) ที่แปลว่า \"ยานพาหนะช้ันเลว\" เพื่อยกย่องนิกายมหายานพร้อมกับดูหมิ่นนิกายเถรวาทไปในตัว

รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 47 47 เพ ราะคำว่า\"มหายาน\"แป ลว่ายานพ าหนะที่ยิ่งให ญ่ อย่างไรก็ตามเน่ืองจาก พระพุทธศาสนาเถรวาทมีท้ังนิกายเดิมทีม่ าแต่คร้ังพุทธกาลหรอื กล่าวอีกอยา่ งคือสืบทอด มาจากพระเถระที่มีพระมหากัสสปะเป็นประธานและนิกายที่แตกย่อยออกไป เช่น นิกาย สรวาสติวาท (สัพพัตถิกวาท) และนิกายเสาตรานติกะ (สุคคันติกวาท) จึงมีผู้ใช้คำว่า \"หินยาน\" เพื่อเรียกนิกายเถรวาททุกนิกายรวมกัน กล่าวอีกอย่างคือใช้เป็นชื่อของนิกาย ใหญ่ และใช้คำว่า \"เถรวาท\" เพื่อเรียกนิกายที่สืบทอดมาตั้งแต่คร้ังพุทธกาล ซึ่งก็คือพุทธ ศาสนาที่แพร่หลายอยู่ในประเทศไทย ประเทศเมียนมาร์ (พม่า) และประเทศลังกาใน ปัจจุบัน แต่เน่ืองจากคำว่า \"หินยาน\" มีความหมายในเชิงลบ ชาวพุทธศาสนาเถรวาทไม่ นิยมใช้คำนี้ในการเรียกนิกายของตน และองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกก็มีมติใน การประชุมครั้งใหญ่ครั้งที่ 1 เม่ือพ.ศ.2493 ให้ใช้คำว่า \"เถรวาท\" แทนคำว่า \"หินยาน\" (สุ ชีพ ปุญญานุภาพ 2536, 195) แต่ในบริบทที่มีการพาดพิงถึงนิกายมหายาน นักวิชาการ ด้านประวัติศาสตร์พุทธศาสนานิยมเรียกนิกายท้ัง 18 ว่าเป็น\"สาวกยาน\"หรือ\"หินยาน\" คำ ว่า \"หินยาน\" จึงมีความหมายอีกอย่างหนึ่งคอ่ นข้างพิเศษ อย่างไรก็ตาม เราอาจกล่าวโดย สรุปได้ว่า คำว่า \"เถรวาท\" เป็นชื่อรวมของทุกนิกายย่อยในนิกายเถรวาท และเป็นชื่อของ นิกายที่สืบทอดมาตั้งแต่คร้ังพุทธกาล ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นนิกายย่อยนิกายหนึ่งในนิกาย เถรวาทเช่นกัน ซึ่งต่างจากพุทธศาสนามหายานที่ไม่มีนิกายเฉพาะนิกายใดนิกายหนึ่งที่มี ชื่อเรียกว่า\"มหายาน\"คำว่า \"มหายาน\" เป็นเพียงชื่อรวมของนิกายย่อยที่จัดอยู่ในกลุ่ม มหายานเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นักวิชาการบางท่านให้คำอธิบายความหมายของชื่อ \"เถรวาท\" และ \"หินยาน\" ต่างจากกัน เช่น เอ.แอล.เฮอร์มัน (A.L. Herman) อธิบายว่า ในตอนแรกที่เกิด การแยกนิกายเป็นมหาสังฆิกะและเถรวาทน้ัน เถรวาทหรือสถีรวาทก็คือนิกายของพระ มหาเถระ ที่ต่อมากกลายเป็นพุทธสาสนาฝ่ายใต้ (Southern Buddhism) ตรงข้ามกับนิกาย มหาสังฆิกะที่มีอิทธิพลต่อพุทธศาสนาฝา่ ยเหนือหรือนิกายมหายาน และหลังจากเกิดจาก การแตกแยกภายหลังสังคายนาคร้ังที่ 3 เถรวาทหรือหินยาน หมายถึงพุทธศาสนาฝ่ายใต้ ที่แยกตัวไปจากนิกายวิภัชชวาท เม่ือราว 150ปีก่อนคริสต์ศักราชโดยมีนิกายเถรวาท ซึ่ง เกิดก่อนั้นเป็นบรรพบุรุษห่างๆ และเป็นพุทธศาสนาที่แพร่หลายอยู่ในเอเชียใต้และเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ (Herman 1983, 107) เฮอร์แมน บอกด้วยว่า เราสามารถใช้คำว่า \"เถร วาท\" \"หินยาน\"และ\"พุทธศาสนาฝ่ายใต้\"แทนกันได้ แสดงว่าเถรวาท มี 2 ความหมาย ใน

48 Public Administration Science in Buddhism 48 ความหมายแรกหมายถึงพุทธศาสนาที่เกิดจากการแตกแยกในคร้ังแรกสมัยสังคายนาคร้ัง ที่ 2 และในความหมายที่สอง หมายถึงพุทธศาสนาเถรวาทยุคหลังที่พัฒนาขึ้นจากเดิม และไปเจริญแพร่หลายทางด้านใต้ของอินเดีย จนได้รับการเรียกขานว่าเป็นพุทธศาสนา ฝ่ายใต้หรือ\"ทักษิณนิกาย\" ส่วนคำว่า \"หินยาน\" หมายถึงพุทธศาสนาฝ่ายใต้หรือเถรวาท เพียงอย่างเดียว แต่ในที่แห่งอื่น เฮอร์มัน กลับอธิบายว่า \"หินยาน\" หมายถึงพุทธศาสนา ฝ่ายใต้ 3 นิกายใหญ่คือ สรวาสติวาท เสาตรานติกะและเถรวาท ซึ่งแสดงว่า \"หินยาน\" มี ความหมายกว้างกว่า \"เถรวาท\" คำอธิบายและการใช้คำ 2 คำนี้ ของเฮอร์มันดูสับสน คำอธิบายนี้จะแยก \"เถรวาท\" ออกเป็นเถรวาทเก่าและเถรวาทใหม่ ซึ่งในความเป็นจริง เถรวาทใหม่ก็คือเถรวาทเก่าที่มีการพัฒนามาเป็นลำดับนั้นเอง การแยกเป็น 2 นิกาย ความหมายน่าจะทำให้เข้าใจได้ความว่ามีพุทธสาสนาเถรวาท 2 นิกาย ซึ่งต่างจากความ เชื่อถือกันอยู่โดยท่ัวไปว่าพุทธศาสนาเถรวาทมีอยู่นิกายเดียวคือนิกายที่ พระเจ้าอโศก มหาราชทรงส่งสมณทูตให้นำไปเผยแพร่ในที่ต่างๆ มีลังกาและสุวรรรภูมิ เป็นต้น การ อธิบายที่กล่าวมาในตอนแรกจึงนา่ จะทำให้เข้าใจได้ง่ายกว่าและถูกกว่า อีกคำอธิบายหนึ่งที่ดูจะพอเข้ากันได้กับคำอธิบายที่ของอังเดร บาโร (Andre Bareau) ที่เห็นว่า ในการแตกแยกครั้งแรกน้ันเกิดพุทธศาสนา 2 นิกายคือ มหาสังฆิกะ และสถีวีรวาท ต่อมาในราวสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช นิกายวาตสีปุตรียะและนิกายสรวา สติวาท ตอ่ มาในราวสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช นิกายวาตสีปุตรียะและนิกายสรวาสติวาท ได้แยกตัวออกมาจากสถวีรวาท สถวีรวาทเดิมที่เหลืออยู่ได้เปลี่ยนชือ่ ใหม่เป็น \"วิภัชชวาท\" หรือ \"วิภัชชวาทิน\" ในกลางศตวรรษที่สามก่อนคริสตกาลวิภัชชวาทไปต้ังม่ันอยู่ในอินเดีย ใต้และลังกาได้เปลี่ยนชื่อเป็น \"เถรวาท\" หรือ \"เถรวาทิน\" วึ่งเป็นรุปแบบภาษาบาลีของคำ ว่า \"สถวีรวาท\" เพื่อแสดงการยอมับภาษาบาลีเป็นภาษาบันทึกคัมภีร์และยืนยันคำสอน ของตนวา่ เป็นคำสอนของเดิมแท้ (Bareau 1989, 197-198) คำอธิบายนี้แสดงว่า\"เถรวาท\" และ\"วิภัชวาท\" กค็ ือนิกายเดียวกับ \"สถวีรวาท\" ที่สืบทอดมาจากพุทธศาสนาดั้งเดิมนั่นเอง เปลีย่ นแตช่ ือ่ เดิมเท่านั้น คำอธิบายดังกล่าวมานี้จึงไม่ขัดกับการอธิบายไว้ เพียงแต่ต่างตรงที่ในตอนแรกใช้ ชื่อ\"สถวีรวาท\"แทนที่จะเป็น\"เถรวาท\"ตั้งแต่ต้น ในเอกสารเกี่ยวกบั ประวัติพระพุทธศาสนา โดยทั่วไป ไมป่ รากฏการใช้ชื่อ \"สถวีรวาท\"และ\"เถรวาท\" ต่างกนั ในลักษณะเชน่ นี้ ส่วนเร่อื ง ที่สถวีรวาทเกิดการแตกแยกจนเกิดนิกายวิภัชวาทและเถรวาทตามลำดับก็ดี หรือเปลี่ยน

รฐั ประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา 49 49 ชื่อนิกายเป็นวิภัชชวาทและเถรวาทตามลำดับก็ดี ไม่ปรากฎในเอกสารรุ่นเก่าอย่างคัมภีร์ ทวีปวงศ์ คัมภีร์มหาวงศ์ และคัมภีร์สมันตปาสาทิกา เราควรยึดแนวที่อธิบายมาแล้วเป็น หลัก เพราะแม้ในรายละเอียดเกี่ยวกับการแยกนิกายมีหลายมิติที่ต่างกันไปก็ตาม แต่ตาม มติส่วนใหญ่นิกายเถรวาทก็คือนิกายเดียวกับนิกายสถวีรวาท (เพียงแต่นักวิชาการบางคน นิยมเรียกพุทธศาสนาที่แตกต่างกันครั้งแรกเป็น \"สถวีรวาท\"และ\"มหาสังฆิกะ\" ต่อมา หลังจากแตกแยกเป็น 18 นิกายจึงนิยมเรียกสถวีรวาทเป็นเถรวาท) และความสืบเนื่องมา จนถึงปัจจุบัน ส่วน\"วิภัชชวาท\"หรือ\"วิภัชชวาทิน\"น่าจะเป็นเพียงชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งของ นิกายเถรวาทเท่านั้นดังที่ อิรากาวา อากิรา (Hirakawa Akira) อธิบายว่า นิกายเถรวาทใน ลงั กาเข้าใจว่า พทุ ธศาสนาเป็นวิภัชชวาท คือสอนให้จำแนกแยกแยะ (discrimination) ไม่ให้ ยึดติดสิ่งใดเพียงสิ่งเดียว หากยืนยันว่าเข้าใจความจริงโดยการมองเพียงคร้ังเดียว ก็จะมี ข้อโต้แย้งตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น จึงต้องเข้าใจความเป็นจริงโดยการจำแนก แยกแยะระหวา่ งดา้ นลบกบั ด้านบวกนิกายเถรวาทจงึ มีช่อื เรียกอีกอยา่ งหนึ่งว่า \"นิกายวิภัช ชวาทิน\" แต่บางตำราอธิบายต่างออกไปเล็กน้อยว่า พวกเถรวาทเป็นที่รู้จักกันในศรีลังกา ว่าเป็นพวก \"เถรวาทิน-วิภัชชวาทิน\" ซึง่ ก็ไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกนั เพราะเป็นไปได้ว่าในกรณี ที่มีชื่อเรียกสำหรับอะไรบางอย่างสองชื่อ บางคนอาจเรียกชื่อใดชื่อหนึ่งเพียงชื่อเดียว แต่ บางคนเรียกท้ังสองชื่อปนกนั น่ันคือ บางคนอาจเรียกว่า\"เถรวาท\" หรอื \"เถรวาทิน\" บางคน อาจเรียก\"วิภัชชวาท\"หรือ\"วิภัชชวาทิน\"และบางคนอาจเรียกว่า \"เถรวาทขวิภัชชวาท\" หรือ \"เถรวาท-วิภัชชวาทิน\"และประเด็นสำคัญก็คือตามทัศนะเหลา่ นี้ พุทธศาสนาเถรวาทก็เป็น อันเดียวกบั พุทธศาสนาวิภชั ชวาทนน่ั เอง อนึ่งพุทธสาสนาเถรวาทเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า\"ทักษิณนิกาย\"ซึ่งแปลว่า\"นิกายฝ่าย ใต้\" เพราะเป็นนิกายที่แพร่หลายอยู่ทางตอนใต้ของอินเดีย แต่นักวิชาการบางท่านอธิบาย ต่างออกไปว่าที่เรียกเช่นน้ันเพราะเป็นพุทธศาสนาที่นับถือกันในประเทศที่ตั้งอยู่ทาง ภาคใต้ของอินเดีย เช่น ไทย ลังกาและพม่า ส่วนพุทธศาสนามหายานบางครั้งเรียกว่า\" อุตตรนิกาย\" ซึ่งแปลว่า\"นิกายฝ่ายเหนือ\" เพราะเป็นนิกายที่เจริญอยู่ทางตอนเหนือของ อินเดีย แต่นักวิชาการบางท่านอธิบายว่าที่เรียกเช่นน้ันเพราะเป็นพุทธศาสนาที่นับถือกัน อยู่ในประเทศทางทิศเหนือของอินเดีย เช่นจนี เกาหลีและญี่ป่นุ คำอธิบายทีต่ ่างกันนี้ไม่ทำ ให้เกิดความขดั แย้งอะไรเพราะเกี่ยวกับสถานที่ทางภมู ิศาสตร์คือภาคใต้และภาคเหนอื ของ อินเดียเหมอื นกัน แตเ่ ทา่ ที่สังเกตเหน็ นักวิชาการนยิ มคำอธิบายแรกมากกวา่

50 Public Administration Science in Buddhism 50 ปัจจุบันพุทธศาสนาเถรวาทนิกายย่อยอื่นๆได้สูญสลายไปหมดแล้วคงเหลือแต่ พทุ ธศาสนาเถรวาทที่สืบทอดมาแต่คร้ังพุทธกาล และถือกนั ว่าเป็นพุทธศาสนาที่รักษาคำ สอนด้ังเดิมหรอื มีคำสอนดั้งเดิมของพระพุทะเจ้าและพระสาวกไว้ในพระไตรปิฎกที่ถือเป็น คมั ภีรห์ ลักนิของนิกาย แต่เน่ืองจากได้มกี ารพัฒนาหรอื เพิ่มเติมและจัดรูปแบบคำสอนใหม่ ด้วย จึงนิยมแยกพุทธศาสนาเถรวาทจากพระพุทธศาสนาคร้ังพุทธกาลที่นิยมเรียกว่า\" พุทธศาสนาดั้งเดิม\"(early Buddhism)หรือบางคนเรียกว่า\"พุทธศาสนาดึกดำบรรพ์\" (primitive Buddhism) โดยนักปราชญ์รว่ มสมัยส่วนใหญ่เหน็ ว่าคำสอนของพระพทุ ธศาสนา ด่ังเดิมส่วนใหญ่อยู่ในพระวินัยปิฎกและพระสุนตันตปิฎก ส่วนคำสอนที่ปรากฏในพระ อภิธรรมปิฎกและในคัมภีร์ช้ันรองลงมาคือคัมภีร์อรรถกถาและคัมภีร์ฏีกา เป็นต้น เป็น แนวคิดของพระพุทธศาสนาเถรวาท แต่ชาวพุทธโดยทั่วไปมีความเชื่อว่า พระอภิธรรม ปิฎกก็เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเหมือนในปิฎกอื่น ซึ่งประเด็นที่ว่า พระอภิธรรมปิฎก เป็นพุทธพจน์หรือไม่ ยังเป็นปัญหาที่ถกเถียงกันมาจนถึงปัจจุบัน เหตุผลสำคัญที่ทำให้ นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นว่า คำสอนในพระอภิธรรมปิฎกไม่ใช่พุทธพจน์ มีเพียงบางส่วน โดยเฉพาะบทมาติกาที่เปน็ พทุ ธพจนแ์ ท้ ก็คือคมั ภรี ์กถาวตั ถุอนั เปน็ หน่ึงในอภธิ รรมปิฎก 7 คัมภีร์ เป็นคัมภีร์ที่รจนาขึ้นในคราวสังคายนาคร้ังที่ 3 และในพระไตรปิฎกไม่ปรากฏเร่ือง พระพุทธเจ้าเสด็จไปทรงแสดงพระอภิธรรมปิฎกโปรดพระพุทธมารดาในสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ อีกท้ังพระอภิธรรมปิฎกของพุทธศาสนานิกายอื่นโดยเฉพาะนิกายสรวาสติวาท ในขณะทีพ่ ระวนิ ยั ปิฎกและพระสุตตันตปิฎกเหมอื นกนั มาก พุทธศาสนาเถรวาทที่พัฒนามาจากพุทธศาสนาดั้งเดิมจึงมีความต่างจากพุทธ ศาสนาดั้งเดิมอยู่พอสมควร เพราะได้มีการปรับปรุงและเพิ่มเติมคำสอนบางอย่างเข้ามา อีก เช่น คำสอนเร่ืองขณิกวาท อีกทั้งความเชื่อหรือเน้ือเร่ืองบางตอนในคัมภีร์รุ่นหลัง พระไตรปิฎก มีบางเร่ืองก็ดูจะได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิความเชื่ออื่น เช่น ในเร่ืองเทวาสุ รสงคราม อันเป็นเรื่องพระอินทรร์ บกับพวกอสูร ที่ปรากฏในคมั ภีรอ์ รรถกถาธรรมบทดจู ะ ได้รับอิทธิพลมาจากความเชื่อของพวกอิหร่านและอินเดีย ซึ่งแต่เดิมคือพวกอารยันที่ แยกกันเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ไปต้ังรกรากในอิหร่านนับถืออสูรหรืออาหุระ (อิหร่านโบราณ ออกเสียงตัว \"ส\" เป็น\"ห\") ส่วนกลุ่มที่นับถือพระอินทร์หรืออิทระ ได้มาต้ังรกรากอยู่ใน อินเดีย คนสองกลุ่มนี้เชื่อว่า พระเจ้าของตนเป็นศัตรูกับพระเจ้าของอีกฝ่าย จึงเกิดความ เชอ่ื เรื่องพวกเทวดาที่มพี ระอินทร์เปน็ หวั หนา้ รบกับพวกอสรู (เสถียร โพธินันทะ, 2544 :5)

รัฐประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 51 51 ในเร่ืองนี้ สิริวัฒน์ คำวันสา เห็นต่างออกไป เถรวาทรับเอาเร่ืองเทวาสุรสงครามมาจาก มหาสังฆิกะ ซึ่งในเรื่องนี้คงมีหลักฐานด้านวรรณคดีมาตัดสินซึ่งคงทำได้ค่อนข้างยาก แต่ อย่างน้อยก็พอจะกล่าวได้ว่าเร่ืองเทวาสุรสงครามนี้มาจากลัทธิความเช่ืออื่นไม่ใช่เถรวาท แท้ นอกจากเถรวาทจะมีอิทธิพลตอ่ มหายานแล้ว มหายานก็มีอิทธิพลตอ่ เถรวาทด้วย เช่นกัน ดงั จะเห็นได้วา่ \"อาการวัตตสูตร\" ซึ่งเปน็ พระสูตรทีร่ จนาขึ้นภายหลงั ไม่ใชพ้ ระสตู ร ในพระไตรปิฎก เพราะเป็นพระสูตรที่มีโครงร่างคล้ายพระสูตรมหายาน เพราะจะพูดถึง ความเป็นมาและความศัก ดิ์สิทธิ์ของพระสูตรรวมทั้งเนื้อหาก็มีลักษณ ะยอย่อง พระพุทธเจ้าเหมือนกับในพระสูตรมหายาน ยิ่งไปกว่านั้น เม่ือพุทธศาสนาเถรวาทแพร่ไป ในประเทศต่างๆก็มีแนวคิดและแนวปฏิบัติที่ต่างกันออกไปดังจะนำมากล่าวโดยย่อใน หัวข้อ \"พุทธศาสนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้\" ซึ่งจะกล่าวถึงพุทธศาสนาเถรวาทใน ประเทศศรีลังกา พม่าและไทย พฒั นาการของพุทธศาสนาแบบมหายาน 1. พฒั นาการของมหายาน ในขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนมชีพอยู่หรอื แม้แต่หลังจากเสด็จดับ ขันธปรินิพพานแล้วใหม่ๆ รูปแบบของนิกายมหายานยังไม่ได้เกิดขึ้น ถึงแม้ในต้นพุทธ ศตวรรษที่ 2 พระพุทธศาสนาจะเริม่ แยกเปน็ 2 นิกาย คือ เถรวาท (หรอื สถวีรวาทิน) และ อาจาริยวาท (หรือมหาสังฆิกะ) หรอื แม้แต่ในพุทธศตวรรษที่ 3 พระพุทธศาสนาจะได้แตก ออกเป็น 18 นิกาย แล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นนิกายมหายานแต่อย่างใด เพียงแต่ถือ ว่าเป็นความคิดของคณาจารย์ที่ไม่ตรงกัน แต่ก็ยอมรับว่าคงมีการก่อตัวที่เป็นมหายาน ในช่วงนี้ จนเม่ือพุ ทธศตวรรษ ที่ 6 (ประมาณ พ .ศ.500 เศษ ๆ) พระอัศวโฆ ษ (ASHVAGOSA) ภกิ ษุชาวเมืองสาเกตในสมัยพระเจา้ กนิษกะแต่งคัมภรี ์ศรัทโธตปาทศาสตร์ ขนึ้ นกิ ายมหายานซึง่ เป็นกระแสที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเปน็ เวลานานจึงปรากฏรูปร่างชัดเจนขึ้น ในพุทธศตวรรษนีแ้ ละมีพฒั นาการตอ่ ไปอย่างรวดเรว็

52 Public Administration Science in Buddhism 52 พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสกับพระอานนท์วา่ \"ดูกรอานนท์ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ถ้า สงฆ์ต้องการก็จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างก็ได้\"(มหาปรินิพพานสูตร 10/141) ทำให้ เกิดมีปัญหาว่า แค่ไหนเรียกว่าเล็กน้อย เป็นเหตุให้พระภิกษุบางรูปไม่เห็นด้วยและไม่ ยอมรบั สังคายนามาต้ังแต่คร้ังแรกและเหตุการณ์เชน่ นี้เกิดขึ้นกับหลายสังคายนา มีกลุ่มที่ แยกตัวทำสังคายนาต่างหากเปน็ การแตกแยกทางลัทธิและนิกายและไม่ควรถือว่าเป็นการ แบ่งแยกศาสนาแต่ประการใด ไม่อาจกำหนดได้แน่ชัดลงไปว่า พระพุทธศาสนานิกาย มหายานเริม่ ถือกำเนิดขึน้ ต้ังแต่เมื่อใด ที่แน่ชดั ก็คือ พระเจ้ากนิษกะมหาราช กษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์กุษาณะ (ศต.1 แห่งคริสต์ศักราช) ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกองค์แรก ของนิกายมหายาน ได้ทรงปลูกฝังพระพุทธศาสนามหายานลงมั่นคงในราชอาณาจักรของ พระองค์และทรงส่งธรรมทูตออกเผยแพร่ยังนานาประเทศ เปรียบได้กับพระเจ้าอโศกของ ฝา่ ยเถรวาท ฝ่ายมหายานมิได้ปฎิเสธพระไตรปิฎก หากแต่ถือว่ายังไม่พอ เนื่องจากเกิดมีความ สำนึกรว่ มขึ้นมาว่า นามและรูปของพระพุทธเจ้าเป็นโลกุตระ ไม่อาจดับสูญ ส่ิงที่ดบั สญู ไป โดยการเผาเป็นเพียงภาพมายา พระธรรมกายของพระองคอ์ ันเปน็ ธาตุพุทธะบริสุทธิ์ยังคง อยู่ต่อไป มนุษย์ทุกคนมีธาตุพุทธะร่วมกับพระพุทธเจ้า หากมีกิเลสบดบังธาตุพุทธะก็ไม่ ปรากฏ กิเลสเบาบางลงเท่าใดธาตุพุทธะก็จะปรากฏมากขึ้นเท่านั้น มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ และมีความสามารถเป็นพระโพธิสัตว์ได้เชน่ เดียวกับพระพุทธเจ้า หากได้ฝึกฝนชำระจิตใจ จนบริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยเมตตาบารมี พระโพธิสัตว์จึงมีมากมาย พระโพธิสัตว์ทุกองค์ย่อม เสริมงานของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระโพธิสัตว์จึงมีน้ำหนักเท่ากับพระไตรปิฎก เม่ือ สำนึกเช่นนี้ ฝ่ายมหายานจึงมีคัมภีร์ในระดับเดียวกับพระไตรปิฎกเพิ่มขึ้นอีกมากและ อาจจะเพิ่มต่อไปได้อีก หากยอมรับหรือมีศรัทธาต่อพระโพธิสัตว์ไม่เท่ากัน ความสำนึก และการแสดงออกก็ย่อมจะผิดเพี้ยนกันออกไปได้ ทำให้มีลัทธิต่างๆ มากมายในนิกาย มหายานและอาจจะเกิดใหม่ต่อไปได้อีก แต่ท้ังนี้ก็มิได้หมายความว่าเกิดการแตกแยกใน ศาสนาหรือนิกาย เพราะทุกลัทธิย่อมถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนามหายาน ด้วยเหตุผลเช่นนี้แหละฝ่ายมหายานจึงภูมิใจว่านิกายของตนใจกว้าง เป็นยานใหญ่ สามารถบรรทุกคนได้มากและบันดาลใจให้ผู้มีจิตศรัทธาบำเพ็ญเมตตาบารมีได้อย่าง กว้างขวาง อย่างทีม่ ลู นธิ ิหวั เฉียวแหง่ ประเทศไทยพิสูจนต์ ัวเองใหเ้ หน็ อยู่

รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา 53 53 2. บอ่ เกิดของนิกายมหายาน เม่ือพิจารณาถึงบ่อเกิดของพุทธศาสนามหายานแล้ว พบว่ามีสาเหตุหลักอยู่ 2 ประการได้แก่ สาเหตุภายในพระพุทธศาสนา คือการแตกเป็นนิกายต่างๆและสาเหตุ ภายนอกพระพุทธศาสนา คือ การรกุ รานของศาสนาพราหมณ์ 2.1 สาเหตุภายในพระพุทธศาสนา การแตกเป็นนิกายต่างๆ มีจุดเริ่มต้นมาจากการแตกความสามัคคีกันในหมู่ สงฆด์ ้วยเหตุ 2 ประการ คือ (1) แตกกันด้วยทิฏฐสิ ามัญญตา มีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องธรรม (2) แตกกนั ด้วยสีลสามญั ญตา มคี วามเคร่งครดั ในการรักษาพระวนิ ยั ไม่ เทา่ กัน ซึ่งแม้เม่ือพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว หากแต่ ระงับลงได้ในที่สุด ดังเช่นกรณีการทะเลาะวิวาทของภิกษุเมืองโกสัมพี ซึ่งแยกเป็นสองฝัก สองฝ่าย คือ ฝ่ายพระวินัยธร 500 รูปและฝ่ายพระธรรมกถึก 500 รูป เกิดการขดั แย้งกัน เกี่ยวกับเร่ืองที่เป็นอาบัติและไม่เป็นอาบัติ เร่ืองมีอยู่ว่า พระธรรมกถึกเหลือน้ำชำระไว้ ในวัจจกุฎี พระวินัยธรเห็นเข้าจึงบอกว่า\"เป็นอาบัติ\"คร้ันพระธรรมกถึกจะปลงอาบัติ พระ วินัยธรกลับบอกว่า\"ถ้าไม่มีเจตนาก็ไมเ่ ป็นอาบตั ิ\" แต่พอลับหลัง พระวินัยธรกลบั บอกพวก ศิษย์ของตนว่า\"พระธรรมกถึกต้องอาบัติ ก็ไม่รู้ว่าเป็นอาบัติ\" พระธรรมกถึกทราบเรื่องจึง เกิดการทะเลาะวิวาทกัน จะเห็นว่าแม้ประเด็นเล็กๆแต่ต่างฝ่ายต่างถือทิฏฐิว่าตนเองถูก อีกฝ่ายผิดและโจมตีกัน ก็อาจนำไปสู่การแตกแยก เป็นผลเสียหายต่อพระพุทธศาสนา อย่างใหญ่หลวงได้ หรืออย่างกรณีของพระเทวทัตที่มีความคิดแปลกแยก คิดตั้งตนเป็น ใหญ่ด้วยการปกครองคณะสงฆ์เสียเอง จึงได้ตั้งกฎที่ภิกษุจะต้องประพฤติ 5 ข้อ เรียก ว่าปัญจวัตถุประกาศให้บริษัทของตนประพฤติแล้วนำเหล่าสานุศิษย์เข้าเฝ้าพระสัมมาสัม พุทธเจา้ ทูลขอใหอ้ อกพระพทุ ธบญั ชาเปน็ กฎสำหรบั พระภิกษุทกุ ๆรปู คือ 1) ภกิ ษุพึงเปน็ ผอู้ ยู่ปา่ เป็นวัตรตลอดชีวิต รปู ใดไปสลู่ ะแวกบ้าน รปู น้ันมีโทษ 2) ภกิ ษุพึงถือเทีย่ วบิณฑบาตเปน็ วตั รตลอดชวี ิต รูปใดรบั นิมนต์ รปู นั้นมโี ทษ 3) ภิกษุพึงถือการนุ่งห่มผ้าบังสกุ ุลเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดรับผ้าจากคฤหบดี รปู นั้นมีโทษ

54 Public Administration Science in Buddhism 54 4) ภิกษุพึงถือการอยู่โคนไม้เป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดเข้าสู่ที่มุงที่บัง รูปนั้นมี โทษ 5) ภกิ ษไุ ม่พึงฉันของสดคาวมปี ลาเน้ือเปน็ ต้นตลอดชวี ิต รูปใดฉนั รูปนั้นมโี ทษ แต่พระบรมศาสดาทรงเห็นว่าเป็นการประพฤติเคร่งเกินไป จึงไม่ทรงอนุญาต ตามที่ขอทรงประสงค์ให้ภิกษุปฏิบัติไดัตามอัธยาศัย ภิกษุปฏิบัติได้ก็เป็นการดี ถ้าไม่ ประสงค์ก็สามารถปฏิบัติตามที่เห็นสมควรแก่สมณะ นับแต่นั้นมาพระเทวทัตกับบริวารก็ แยกทำสังฆกรรมอีกส่วนหนึ่งไม่ร่วมกับใครๆภายหลังเม่ือสำนึกผิด จึงได้กลับมาขอขมา ตอ่ พระบรมศาสดา แตม่ ายังไม่ทันถึงกม็ รณภาพเสียกอ่ น เมื่อพิจารณาสภาพความเป็นอยู่ของภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีการจัดแบ่งเป็นกลุ่มเป็นสำนัก อาจารย์ต่างๆตามอัธยาศัยของตน ดังน้ันโอกาสที่จะแตกแยกกัน ก็ย่อมจะมีมากเป็น ธรรมดา แต่ทว่าในยคุ สมยั พุทธกาลนั้น นอกจากจะมีพระพุทธเจ้าเป็นผู้ปกครองดแู ลสงฆ์ ท้ังหมดแล้ว ยงั มีพระอัครสาวกท้ังสองคือพระสารีบตุ รและพระโมคคลั ลานะ รวมทั้งเหล่า สาวกองค์สำคัญ เช่น พระอานนท์ พระอนุรุทธะ พระมหากัสสปะและพระมหากัจจายนะ เป็นต้น คอยกำกับดูแลเหล่าลูกศิษย์ของตน (สัทธิวิหาริกและอันเตวาสิก) และประการ สำคัญคือ เหล่าพระสาวกสาวิกาในยุคน้ัน เป็นผู้ที่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์กันเป็น จำนวนมาก ดังน้ันแม้ว่าจะเกิดการแตกความสามัคคีขึ้นบ้าง เหตุการณ์เหล่านั้นก็สามารถ สงบลงได้โดยเรว็ และจะไม่บานปลายใหญโ่ ตถึงขึน้ ที่จะต้องแบ่งแยกเป็นนิกายแตอ่ ย่างใด แต่ภายหลังจากที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ความสมัคร สมานสามคั คีในหมู่สงฆ์ก็มีอันเปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้เป็นเพราะภิกษุสงฆ์มีระดับสภาวธรรม ที่ต่างกัน มีพื้นฐานครอบครัว สังคม ภาษา การศึกษาที่แตกต่างกัน รวมถึงอาศัยอยู่ใน สถานทีอ่ ันต่างภูมิประเทศและต่างวฒั นธรรมกัน ด้วยพื้นฐานที่ตา่ งกันดงั กล่าว จึงทำใหค้ ณะสงฆ์มีความแตกตา่ งกันในหลายๆด้าน ทั้งในทางความเห็น (ทิฏฐิสามัญญตา) และข้อวัตรปฏิบัติ (สีลสามัญญตา) ความแตกต่าง กันนี้ เกิดขนึ้ ตั้งแตค่ รั้งที่เหล่าภิกษุสงฆ์ได้กระทำการสังคายนาพระธรรมวินัยคร้ังแรก โดย มีพระมหากัสสปะเป็นประธานและพระปุราณะไม่ยอมรบั ในสิกขาบท 8 ข้อที่เกี่ยวกับการ ขบฉันดังได้กล่าวมาแล้ว แม้ว่าพระมหากัสสปะจะทักท้วงอย่างไร แต่พระปุราณะและ เหลา่ บริวารกไ็ ม่ยอมรับ ยังคงประพฤติตามทีต่ นได้รู้ได้รบั ฟังมาจากพระพุทธองคเ์ ท่านั้น

รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา 55 55 เมื่อกาลล่วงไป 100 ปีหลังพุทธปรินิพพาน การขัดแย้งก็เริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจน เป็นรูปธรรม จากกรณีภิกษุแตกกันออกเป็น 2 ฝ่าย อันเนื่องจากความเห็นขัดแย้งกันใน เรื่องวัตถุ 10 ประการ โดยพวกหน่ึงเห็นว่าวตั ถุ 10 ประการนี้ชอบด้วยพระธรรมวินัย ส่วน อีกพวกหนึ่งเห็นว่าไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัย จึงเกิดการโต้เถียงกันอย่างรุนแรง อันเป็น มลู เหตุให้เกิดการสงั คายนาคร้ังที่ 2 ขณะทีอ่ ีกฝา่ ยทีไ่ ม่ยอมรบั การทำสงั คายนา ได้แยกตัว เป็นอิสระไปทำสังคายนาในที่แห่งหนึ่งต่างหาก เหตุการณ์นี้ส่งผลต่อพระพุทธศาสนา โดยตรง เพราะทำใหพ้ ระพุทธศาสนาแตกแยกออกเป็น 2 นิกายอยา่ งเป็นทางการเป็นคร้ัง แรก คือ เถรวาท (หรอื สถวีรวาทิน)และอาจาริยวาท (หรอื มหาสังฆิกะ) การแตกแยกในคร้ังนี้ได้ตอกย้ำให้เห็นถึงเค้าโครงของการแบ่งพระพุทธศาสนา เป็นเถรวาทและมหายานชัดเจนขึ้น โดยหลังจากนั้นไม่นาน ในช่วงสังคายนาคร้ังที่ 3 พระพุทธศาสนาก็แบ่งออกเป็น 18 นิกายอย่างชัดเจนและต่อมาได้พัฒนามาเป็นนิกาย 3 สายหลกั คือ สายหนิ ยาน สายมหายานและสายวชั รยาน เป็นต้น 2.2 สาเหตภุ ายนอกพระพทุ ธศาสนา ในสมัยพุทธกาลนั้น การประกาศศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้รับการ ต่อต้านจากพวกคณาจารย์เจ้าลัทธิต่างๆ เช่น ลัทธิครทู ้ัง 6 เป็นต้น มีหลายครั้งที่เกิดการ ประวาทะของพระพุทธองค์กับเจ้าลัทธิหรือเหล่าสานุศิษย์ลัทธิต่างๆ โดยเฉพาะจาก ศาสนาพราหมณ์ เพราะในสมัยน้ันประชาชนนับถือศาสนาพราหมณ์กันเป็นส่วนใหญ่ ทำ ให้ พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า ก ล า ย เป็ น ที่ ส น ใ จ ข อ ง ป ร ะ ช า ช น แ ล ะ มี ผู้ หั น ม า ย อ ม รั บ นั บ ถื อ พระพุทธศาสนากันมากมายและขยายศรัทธาออกไปในวงกว้าง สร้างความส่ันสะเทือน จนถึงขั้นรากฐานกับศาสนาพราหมณ์และเจ้าลัทธิท้ังหลาย พระพุทธศาสนาจึงถูกต่อต้าน โจมตีและบอ่ นทำลายอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตผุ ลสำคญั ที่เป็นแรงจูงใจ ดงั น้ี (1) พระพทุ ธศาสนาไม่ยอมรับคัมภรี พ์ ระเวท (อไวทิกวาทะ) (2) พระพุทธศาสนามีคำสอนและแนวทางปฏิบัติที่เน้นศีล สมาธิ ปัญญา ทำให้ผู้ปฏิบัติสามารถเข้าถึงสัจธรรมความจริงได้ด้วยตนเอง แตกต่างไปจากที่พวก พราหมณ์และคณาจารยท์ ้ังหลายสอนกันอย่ใู นสมัยนั้น (3) พระพุทธเจ้าปฏิเสธระบบวรรณะที่พวกพราหมณ์บัญญัติขึ้น ไม่ ยอมรบั ฐานะของพวกพราหมณท์ ีใ่ ครๆ ตา่ งยกย่องว่าสงู ส่ง (4) การเจริญเติบโตอยา่ งรวดเร็วของพระพุทธศาสนา

56 Public Administration Science in Buddhism 56 ดังนั้น พวกพราหมณ์ได้พยายามทุกวิถีทางในการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา เพื่อหาทางดึงศาสนิกกลับคืน แต่ผลปรากฏว่าไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจาก พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ไปอย่างกว้างขวาง เป็นที่ยอมรับของประชาชนและได้รับการ อุปถัมภ์จากกษัตริย์อย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชแห่ง ราชวงศเ์ มารยะหรอื โมริยะ แต่ครั้นเม่ือราชวงศ์เมารยะดับสูญ อำมาตย์ปุษยมิตรแห่งราชวงศ์ศุงตะก็ได้ ปกครองอนิ เดียสืบต่อมา กษตั ริย์พระองคน์ ีท้ รงเลือ่ มใสในศาสนาฮินดูมาก เพราะทรงเป็น พราหมณ์มาก่อน ดังน้ันคนในวรรณะพราหมณ์จึงมีโอกาสได้ขึ้นเป็นใหญ่ ศาสนา พราหมณ์ซึ่งรอจังหวะที่จะทำลายพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว จึงถือโอกาสอาศัยอำนาจทาง การเมืองทำลายพระพุทธศาสนาและฟื้นฟูลัทธิศาสนาของตนเป็นการใหญ่ แม้แต่พระเจ้า ปุษยมิตรเองก็แสดงพระองค์ว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ ถึงกับมีการ กวาดล้างพระพุทธศาสนา ทำร้ายคณะสงฆ์และทำลายวัดวาอารามของพระพุทธศาสนา โดยตั้งรางวัลให้แก่ผู้ตัดศีรษะพระภิกษุ ฟื้นฟูการบูชายัญโดยโปรดให้ทำพิธีอัศวเมธ (การ ฆ่ามา้ บชู ายญั ) เพื่อจูงใจให้ประชาชนมานบั ถือศาสนาพราหมณ์เพิ่มมากขึ้น การพยายามกวาดล้างพระพุทธศาสนาของพระเจ้าปุษยมิตร แม้ไม่อาจทำลาย พระพุทธศาสนาให้หมดไป แต่ก็ทำให้พระพุทธศาสนามิอาจรุ่งโรจน์อยู่ ณ ศูนย์กลางเดิม แต่ไปรุ่งเรืองอยู่บริเวณทางตอนเหนือของอินเดีย ในแคว้นสวัส (Swat Valley) แคว้นมถุรา (Mathura) และแคว้นคันธาระ (Candara) เปน็ ต้น ศาสนาพราหมณ์จึงใช้วิธีการใหม่ คือ การกลืนพระพุทธศาสนาไว้ภายใต้ระบบ ศาสนาฮินดู (Assimilation)หรือกล่าวง่ายๆว่า พยายามเปลี่ยนพระพุทธศาสนาทั้งหมดให้ เปน็ ศาสนาฮินดูนน่ั เอง ตวั อย่างที่เห็นเด่นชดั คือ การแตง่ มหากาพย์ขึน้ 2 เรื่อง คอื มหาภา รตะและรามายณะ จนเป็นที่แพร่หลายและได้รับความนิยมของประชาชนเป็นอันมาก โดยเฉพาะเร่ืองราวจากคัมภีร์ภควัทคีตา มหากาพย์ท้ังสองนี้สามารถดึงดูดผู้คนให้มา ศรัทธาเลื่อมใสในพระผู้เป็นเจ้าและทำให้ศาสนาพราหมณ์เผยแพร่เข้าสู่มวลชนได้อย่าง รวดเร็ว นอกจากนี้ พวกพราหมณ์ยงั ได้พัฒนาความเช่ือด้านต่างๆอีกหลายอยา่ ง เชน่ การ สร้างตรีมูรติให้เป็นที่พึ่งสูงสุดตามอย่างพระรัตนตรัย การสร้างวิหาร การสร้างเทวาลัย

รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพทุ ธศาสนา 57 57 สำคัญ เป็นต้น เป็นเหตุให้ศาสนาพราหมณ์ยุคใหม่หรือศาสนาฮินดู ยิ่งขยายวงกว้าง ออกไปเป็นศาสนาที่มอี ิทธิพลต่อวิถีชีวติ ของชาวอินเดียอยา่ งยิง่ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้คณาจารย์คนสำคัญในสมัยน้ันมิอาจนิ่งดูดายอยู่ได้ ต่างเห็นความจำเป็นที่ต้องทำการปฏิรูปวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเสียใหม่ เพื่อให้คำ สอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสิ่งทันสมัยทันเหตุการณ์ สามารถที่จะแข่งกับศาสนา พราหมณใ์ หมท่ ี่กำลงั เฟื่องฟูอย่ใู นขณะนน้ั ได้ พระพุทธศาสนามหายานจึงได้ก่อตัวขึ้น โดยมีกลุ่มสำคัญที่เป็นต้นกำเนิดของ มหายาน คือ นกิ ายมหาสังฆิกะและกิง่ ของกลุ่มของนิกายมหาสังฆิกะ ซึ่งเรียกรวมว่าคณะ อันธกะมีศูนยก์ ลางใหญ่อยู่ตอนใต้ของอนิ เดียในแว่นแคว้นอันธระ การก่อกำเนิดเป็นนิกายมหายานดังกล่าว เป็นการเกิดแบบค่อยเป็นค่อยไป โดย การเห็นพ้องกันจากคณะสงฆ์นิกายมหาสังฆิกะ ผสมกับชาวพุทธหนุ่มสาวในขณะนั้น ที่มี ความเห็นวา่ จะต้องปรบั ปรุงวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเสียใหม่ โดยการปรับปรุงแก้ไข คติธรรมในพระพุทธศาสนาขึ้นหลายประการเพื่อให้พระพุทธศาสนาเข้าถึงหมู่ชนสามัญ โดยทวั่ ไป ดังนั้น นิกายมหายานจึงได้รับการทำนุบำรุงอยู่ภายใต้อาณาจักรของกษัตริย์ ราชวงศ์ศาตวาหนะแห่งอันธระ กษัตริย์ทุกพระองค์ในราชวงศ์นี้เป็น มิตรกับ พระพุทธศาสนาและหลายพระองค์ทรงทำนบุ ำรุงพระพทุ ธศาสนาอย่างจริงจังเร่ือยมา จน ในราวพทุ ธศตวรรษที่ 6 นิกายมหายานก็ได้ปรากฏให้เห็นเดน่ ชัด เป็นนิกายใหญ่ๆ 2 นิกาย คื อ นิ ก า ย ม า ธ ย มิ ก ะ แ ล ะ โย ค า จ า ร (http://main.dou.us/view_content.php?s_id= 292&page=5) สรปุ ความ หลังการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าพุทธศาสนาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงจน กลายเป็นนิกายต่างๆ เราสามารถจัดพุทธศาสนาออกเป็น 6 กลุ่มซึ่งมีความคาบเกี่ยวกัน ดังน้ี คือ 1. พุทธศาสนาดั้งเดิม หมายถึง พทุ ธศาสนาทีเ่ ป็นคำสอนดั้งเดิมของพระพทุ ธเจ้า ต้ังแตแ่ รกกอ่ ต้ังจนมาถึงการสังคายนาครั้งที่ 2

58 Public Administration Science in Buddhism 58 2. พุทธศาสนาเถรวาท (หรือสถวีรวาทในภาษาสันสกฤต) หมายถึง พุทธศาสนา ที่สืบทอดไปจากพุทธศาสนาดั้งเดิม เป็นพุทธศาสนาที่ยึดคำสอนของพุทธศาสนาดั้งเดิม เปน็ หลัก จดั เปน็ พุทธศสานาแบบอนรุ กั ษ์นิยม 3. พุทธศาสนาหินยาน หมายถึงพุทธศาสนาเถรวาทและพุทธศาสนานิกายย่อย อื่นๆ ที่แยกไปจากพุทธศาสนาเถรวาทที่มีนิกายสรวาสติวาทและนิกายเสาตรานติกะ เป็น ต้น ซึง่ ในปจั จุบนั นิยมใชค้ ำวา่ \"เถรวาท\"แทนคำวา่ \"หินยาน\" คำวา่ \"เถรวาท\" 4. พุทธศาสนาอาจริยวาท หมายถึง พุทธศาสนาทุกนิกายที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับ พุทธศาสนาเถรวาทซึ่งมีนิกายมหาสังฆิกะเป็นนิกายแรก และหมายรวมถึงพุทธศาสนา มหายานทีเ่ กิดข้ึนภายหลงั ด้วย แตน่ ักวิชาการตะวนั ตกไมค่ อ่ ยนิยมใช้คำนี้ 5. พุทธศาสนามหายาน หมายถึงพุทธศาสนาที่มีความเป็นมาคลุมเครือจน นักวิชาการสันนิษฐานต่างกันไป ข้อสันนิษฐานที่ว่าพุทธศาสนามหายานน่าจะพัฒนาไป จากนิกายต่างๆ คือทั้งจากนิกายในกลุ่มของเถรวาทและนิกายในกลุ่มของอาจริยวาทที่ เกิดขึ้นหลังการสังคายนาครั้งนี้ 2 เป็นพุทธศาสนาที่จัดอยู่ในกลุ่มอาจริยาวาทและตรง ข้ามกบั กลุ่มเถรวาท 6. พุทธศาสนาสาวกยาน หมายพุทธศาสนากลุ่มเถรวาทและกลุ่มมหาสังฆิกะ หรอื พุทธศาสนิกกายต่างๆ นอกจากนิกายมหายาน ที่นิยมเรียกว่า\"พุทธสาสนา 18 นิกาย\" เป็นชื่อที่นักประวัติศาสตร์พุทธศาสนิยมใช้เรียกพุทธศาสนาที่มีใช่นิกายมหายาน ซึ่งอีกคำ ทีน่ ยิ มใช้ในความหมายนี้เหมือนกนั คือ\"หนิ ยาน\"ดังได้กล่าวมาแล้ว

4แนทวาคแงดินพทวรฤะคพษดิ ุทฎทธีทศฤาาษสงพนฎารี ะพบุทบทธทศท่ีาทสนี่ 4า ความนำ แนวคิด ทฤษฎีในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหลักคำสอนที่เกี่ยวข้องกับมวล มนุษย์ในทุกด้านของชีวิต พระพุทธเจ้าก่อนที่จะทรงผนวชและได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัม พุทธเจ้าได้ทรงศึกษาเพื่อเตรียมตัวจะเป็นกษัตริย์ปกครองบ้านเมืองจนสำเร็จการศึกษา 18 ศาสตร์ ดังน้ัน หลักคำสอนที่เกี่ยวกับแนวคิด ทฤษฎีจึงมีปรากฏในพระพุทธศาสนา มากมายที่จะสามารถศึกษา เพื่อแนวทางในการนำมาประยกุ ตใ์ นการบริหารจดั การ ในปัจจุบันแนวคิดหรือทฤษฎีในพระพุทธศาสนา จะมาจากกรอบความคิดที่ ต้องการศึกษาทฤษฎีทางการบริหารจัดการที่ปรากฏในทางพระพุทธศาสนา คำว่าทฤษฎี คือความเห็นอย่างหนึ่งที่อธิบายถึงสิ่งต่างๆตามความรู้ความเข้าใจของผู้แสดงความ คิดเห็นที่แสดงออกมาโดยสอดคล้องกับกฎแห่งความจริง ซึ่งสามารถนำไปพิสูจน์ทดลอง เพือ่ หาคณุ ค่าแห่งความจริงและความเช่ือม่ัน ในการบริหาจัดการภาครัฐหรือการปกครอง คือการใช้อำนาจรัฐตามกฎหมายเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการปกครองประเทศเป็น ส่วนรวม การบริหารจัดการภาครัฐจึงเป็นแนวคิดที่นำไปสู่ทางปฏิบัติ ทุกขั้นตอนของการ ปฏิบัติต้องอาศัยความสามารถเฉพาะตัวของผู้บริหารเข้าช่วย ซึ่งแต่ละคนย่อมมีศิลปะที่ แตกต่างกัน ถ้าผู้บริหารมีความสามารถเฉพาะตัวสูง รู้จักใช้ศิลปะในการบริหาร ท้ังในแง่ ของการใช้อำนาจ การใช้หลักมนุษยธรรม การใช้ความร่วมมือและมีคุณธรรม ย่อมมีส่วน สง่ เสริมสนับสนนุ ใหน้ ักบริหารประสบความสำเรจ็ ได ้

60 Public Administration Science in Buddhism 60 รูปแบบการปกครองรัฐตามแนวพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงปกครองคณะสงฆ์ในสมัยพุทธกาลทรงจัดตั้งวางระเบียบต่างๆ ก็เพื่อให้พุทธบริษัท คือ พระสงฆ์และประชาชนได้ประโยชน์จากพระธรรมวินัยที่พระองค์ ได้ทรงส่ังสอน เพราะฉะน้ันพระพุทธเจ้าจึงทรงจัดระเบียบพระสงฆ์ และวัดวาอารามให้ มั่นใจว่าพุทธบริษัททุกคนจะได้พระธรรมวินัยไปอยา่ งดีที่สุด เรียกว่าพระธรรมวินัยจะเป็น เป้าหมายของการปกครองคณะสงฆ์และก็เป็นหลักเป็นเกณฑ์ในการจัดการปกครองนั้น ด้วย เพราะหลักพระธรรมวินัยคือหลักในการพัฒนา กาย วาจาและใจ ของพระสงฆ์ให้ บรรลุเป้าหมายสูงสุดของเพศบรรพชิต การปกครองตามหลักพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงแบ่งประเภทการใช้อำนาจในการปกครองไว้ 3 ประเภท (ที.ปา. (ไทย) 11/305/274.) คือ 1) อัตตาธิปไตย คือ การถือตนเป็นใหญ่ 2) โลกาธิปไตย คอื การถือโลกเปน็ ใหญ่ 3) ธรรมาธิปไตย คือ การถือธรรมะ คือ ความดงี ามถกู ต้องเป็นใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการปกครองใดๆคือแบบอัตตาธิปไตยหรือโลกาธิปไตย สิ่งที่ขาด ไม่ได้ คือจะต้องมีธรรมาธิปไตยในการปกครองนั้นๆจึงจะสามารถทำให้การปกครองนั้นๆ บรรลุเป้าหมายของการปกครองได้การแบ่งอำนาจทำนองเดียวกันนี้ ก็มีอยู่ในระบอบการ ปกครองอื่นๆที่มิใช่ประชาธิปไตย ความเป็นประชาธิปไตยของการแบ่งแยกอำนาจใน ระบอบประชาธิปไตยนั้น อยู่ที่การคานอำนาจระหว่างกัน เพื่อให้ประชาชนได้รับความ ปลอดภัยจากรัฐและควบคุมการปฏิบัติงานของรัฐ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งประชาชน เป็นผู้บัญญัติ ลำพังการแบ่งแยกอำนาจจะถือว่าเป็นลักษณะประชาธิปไตยไม่ได้ หากแต่ เป็นความจำเป็นทางสังคมที่จะต้องคำนึงถึงกฎเกณฑ์การทำตามกฎเกณฑ์และการตัดสิน ปัญหาด้วยกฎเกณฑ์ซึ่งเป็นเร่ืองที่มีอยู่ทุกสังคม การที่จะตัดสินว่าการแบ่งอำนาจเช่นนี้ แสดงความเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ต้องดูลักษณะอื่นประกอบซึ่งจะได้นำมาพิจารณา เป็นด้านๆ ต่อไป

รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพทุ ธศาสนา 6611 1. อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจนิติบัญญัติในทางพระพุทธศาสนานั้น คงต้องยอมรับว่าพระพุทธองค์ทรง บัญญัติพระวินัย เพื่อสังคมสงฆ์โดยเฉพาะและมีจุดมุ่งหมายเฉพาะดังได้กล่าวมาแล้ว จะ นำมาใช้เป็นกฎหมายของสังคมท่ัวไปไม่ได้ ยิ่งสังคมที่สลับซับซ้อนและกว้างขวางอย่างใน ปัจจุบัน ยิ่งใช้ไม่ได้ หากจะนำมาใช้ก็คงต้องตีความหลักการและเจตนารมณ์ขึ้นใหม่เป็น การเฉพาะ แต่การพิจารณาเรื่องนีก้ ท็ ำให้มองเหน็ ประเด็นยอ่ ยๆหลายประเด็น คือ 1) วิธีบัญญัติพระวินัย แม้ว่าจะทรงทำอย่างเปิดเผยคือต่อหน้าสงฆ์ต่อหน้า วัตถุและบคุ คลที่เป็นเหตุให้บัญญัติพระวินัยและบัญญัติด้วยความเป็นธรรม แตก่ เ็ ปน็ พุทธ บัญญัติ มิใช่พระสงฆ์บัญญัติ (เว้นแต่จะตีความว่าการบัญญัติต่อหน้าสงฆ์คือสงฆ์เป็นผู้ บัญญัติ) โดยวิธีการแล้วไม่ต่างกับการบัญญัติกฎหมายในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ น่ันคือ อำนาจมิได้อยู่ที่สงฆ์ แล้วสงฆ์ใช้อำนาจน้ันบัญญัติพระวินัย หากวิธีการเช่นนี้มาใช้ ในสังคมก็เทา่ กบั ขาดลักษณะสำคญั ของประชาธิปไตย คือประชาชนปกครองตนเอง 2) การที่เราถือว่าพระวินัยเป็นสิ่งที่ดีและเป็นความชอบธรรมก็โดยนัยการ มองโลกแบบพุทธ คอื เข้าใจชีวิตและจุดหมายในการดำเนินชีวิตแบบพุทธและวินัยดังกล่าว สนับสนุนการดำเนินชีวิตเช่นนั้นประการหนึ่ง อีกประการหน่ึงเราถือว่าพระพุทธองค์เป็นผู้ ตรัสรู้และกอปรด้วยพระเมตตาคุณ พระปัญญาคุณและพระวิสทุ ธิคุณเป็นธรรมราชาองค์ แรกในหมู่สงฆ์ พระวินัยที่ทรงบัญญัติจึงเป็นธรรม หลักข้อนี้มีความเชื่อมั่นในองค์ผู้ บัญ ญั ติพระวินัยเป็นพื้น จึงนำไปเปรียบกับการใช้อำนาจนิติบัญ ญั ติในระบอบ ประชาธิปไตยไม่ได้ เพราะในระบอบนั้น การที่ประชาชนต้องรักษาอำนาจนี้ไว้ก็เพราะ ความไม่มั่นใจ ความไม่ไว้วางใจความกลัวว่ารัฐจะเบียดเบียนประชาชนได้ การออก กฎหมายเองกเ็ พื่อคุ้มครองตนเองจากการใช้อำนาจของฝา่ ยบริหาร ระบอบนี้จงึ ขัดแย้งกับ สมบูรณาญาสิทธิราชยเ์ พราะในระบอบดังกล่าวผู้ปกครองอาจไมเ่ ปน็ ธรรมได้ แต่เหตผุ ลนี้ ใช้ไม่ได้สำหรับพระพุทธองค์ ปัญหาคงจะอยู่ที่ว่าหากไม่มีวิธีสร้างธรรมราชาในปัจจุบัน ประชาชนควรไว้วางใจให้ใครสักคนหนึ่งทำหน้าที่ออกกฎหมายหรือว่าควรป้องกันกับ ตนเองตามวิธีนติ ิบญั ญัติในระบอบประชาธิปไตย 3) ข้อดีทางสังคมที่เห็นได้ชัดก็คือ พระวินัยนั้นใช้กับพระภิกษุทุกรูปทุกองค์ เสมอกัน ทำให้เกิดความเสมอภาค ซึ่งกเ็ ป็นลกั ษณะสำคญั อย่างหนึง่ ของประชาธิปไตยข้อ นีน้ ับวา่ สำคัญสำหรับสังคมสมยั พุทธกาล เพราะผทู้ ี่เข้ามาบวชอาจมาจากวรรณะตา่ งๆคือ

62 Public Administration Science in Buddhism 62 พราหมณ์ กษัตริย์ ไวศยะและศูทร ซึ่งมีธรรมเนียมและวิธีประพฤติต่างกัน จำเป็นต้องให้ ละเว้นสิ่งเดียวกัน และกระทำในสิ่งที่ทรงมีพุทธานุญาติเหมือนๆกัน มิฉะนั้นจะเกิดการดู ถกู ดูหมิ่นกันเองและจากคนภายนอก เม่ือหลักการนี้ขยายไปถึงพุทธบริษัทจำพวกอื่นก็จะ เกิดลักษณะสังคมพุทธ คือ สังคมที่ยอมรับความเสมอภาคของบุคคล โดยยกย่องบุคคล ตามคุณงามความดีที่กระทำซึ่งจะทำให้สังคมใหม่นี้ต่างกับสังคมที่เกิดจากศาสนา พราหมณ์ซึ่งยอมรับ กันอยู่ในสมัยน้ัน ความเสมอภาคดังกล่าว ยังทำให้เกิดความเป็น อันหนึ่งอันเดียวกันของสังคมอีกแง่หนึ่ง นอกจากเร่ืองการยึดมั่นในธรรมเป็นที่ตั้ง ความ เสมอภาค ทางกฎหมายนี้แม้ในปัจจุบันก็ถือว่าสำคัญ เพราะเป็นหลักแห่งความยุติธรรม และความเคารพในศกั ดิศ์ รแี ห่งความเป็นมนษุ ย์ของบุคคลเท่าเทียมกนั 2. อำนาจบริหาร ในส่วนที่ว่าด้วยอำนาจบริหารนั้น เม่ือแรกการปกครองของสงฆ์เองลักษณะ เช่นนี้นับว่าขัดกับประชาธิปไตย ซึ่งต้องแยกฝ่ายปกครองหรอื ฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายนิติ บญั ญัติเพื่อให้มีการคานอำนาจกัน จะได้ไมส่ ามารถใช้อำนาจกฎหมายมาข่มเหงประชาชน ได้ แต่ข้อนี้ก็เช่นเดียวกับเร่ืองอำนาจนิติบัญญัติ คือพระพุทธองค์เป็นผู้ยึดธรรมตาม หลักการนี้ เป็นไปได้ที่จะทรงใช้อำนาจอย่างไม่เปน็ ธรรม แตถ่ ้าผู้ปกครองไม่ตั้งม่ันในธรรม หรือเพียงสามารถแสดงให้เห็นว่าต้ังมั่นในธรรมท้ังๆที่โดยแท้จริงแล้วมิได้ต้ังมั่นในธรรม หรอื ผปู้ กครองระดับสงู อาจมีธรรม แตร่ ะดับล่างๆลงไปไม่ยึดธรรม ซึ่งสง่ิ เหล่านีเ้ ป็นสภาพ จริงในปัจจุบันการแยกอำนาจการปกครองออกจากนิติบัญญัติก็ย่อมทำให้ประชาชน ปลอดภัยกว่า เราจะเห็นได้ว่าคริสต์ศาสนาสมัยกลางก็อาศัยธรรม คือคัมภีร์ไบเบิลและ พระเจ้าเป็นหลักปกครอง แต่การยึดมั่นในศรัทธาของตนก็ทำให้เกิดการทำร้ายผู้ที่มี ความเหน็ แตกต่างกับตนอยา่ งโหดร้ายได้ ข้อควรสังเกตในเร่ืองนี้อีกประการหนึ่ง คือพระพุทธองค์ทรงเห็นความ เปลี่ยนแปลงในสิ่งท้ังปวง การอธิบายหลักการทางการเมือง เช่น กำเนิดรัฐก็ทรงแสดงให้ เห็นว่ารัฐค่อยๆวิวัฒนาการขึ้นโดยธรรมชาติ จากไม่มีครอบครัวก็มีครอบครัว จากมี ครอบครัวเปน็ ชมุ ชนใหญ่ซึง่ มีความขัดแย้งกันแล้วในทีส่ ุดมีผู้ปกครอง คือ มหาชนสมมตใิ น การปกครองสงฆ์ก็ทรงเปลี่ยนแปลงหลักไปตามธรรมชาติของความเจริญขึน้ ทุกระยะแห่ง คณะสงฆ์ เร่ิมต้ังแตท่ รงตั้ง พระอัครสาวกขึน้ แบ่งเบาภาระบางอย่าง อนุญาตให้พระสาวก ให้อุปสมบทแทนพระองค์ได้ อนุญาตสงฆ์ให้ทำกิจกรรมสำคัญ เช่น ให้อุปสมบท กราน

รฐั ประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา 6633 กฐินกำหนดเขตสีมา การระงับอธิกรณ์และยังทรงกำหนดที่ประชุมสงฆ์ให้มีขนาดแตกต่าง กันตามสภาพที่ทรงเห็นว่าจำเป็นด้วย พระพุทธองค์ทรงเห็นความเปลี่ยนแปลงเป็นสัจ ธรรมและทรงพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง หลักข้อนี้ นำมาปฏิบัติได้ยากในปัจจุบัน เพราะพุทธองค์มิได้ทรงเปลี่ยนแปลงจนเป็นการทำลาย หลักธรรมสำคัญหากแต่เปลี่ยนเพื่อเอื้อประโยชน์แก่การเข้าถึงหลักธรรมน้ัน แต่คนที่ยัง ด้อยปัญญาและมีกิเลสมักจะเปลี่ยนแปลงจนเลยเถิดและเปลี่ยนตามความเห็นของตน มากกว่าจะทำเพื่อหลักการอันเป็นธรรมอย่างแท้จริง ลำพังบริหารตามกฎทีต่ ายตัวก็เลี่ยง กฎกันอยู่แล้ว หากเปลีย่ นกฎงา่ ยๆด้วยข้อบกพรอ่ งจะเกิดข้ึนเปน็ ทวีคณู ข้อที่เกีย่ วกับการบริหารอีกประการหนึ่งที่มักกลา่ วถึงและอ้างกันว่าเป็นลักษณะ ประชาธิปไตย ก็คือวิธีการที่จะให้ได้มติโดยการประชุม คือ สังฆกรรม มีการกำหนดองค์ ประชุมว่าสังฆกรรมใดประกอบด้วยพระภกิ ษกุ ี่รูป สถานที่ประชุมหรอื สีมาใด ยอมรับสิทธิ อันเท่าเทียมกันของผู้เข้าประชุมและมติเอกฉันท์ เว้นแต่บางกรณี เช่น การระงับอธิกรณ์ หากมีความเห็นแตกตา่ งกนั กถ็ ือเอาเสียงขา้ งมาก นอกจากข้อกำหนดในเร่ืองดังกล่าวแล้ว ก็มักอ้างถึงอปริหานิยธรรมบ้าง สา ราณียธรรมบ้าง เป็นข้อสนับสนุนความเป็นประชาธิปไตยได้ สังคมอินเดียโบราณซึ่งเป็น แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และสังคมอื่นๆ เช่น สังคมโรมันโบราณก็ดี ล้วนมีสภาและมี การประชุม ยอมรับเสียงข้างมากของที่ประชุม สังคมคอมมิวนิสต์ก็มีการประชุมและ ยอมรับเสียงข้างมาก แต่สังคมเหล่าน้ันก็หาเป็นประชาธิปไตยไม่ การถือว่าเสียงข้างมาก ในรัฐสภาของประเทศประชาธิปไตย เป็นเคร่ืองหมายของประชาธิปไตยนั้น เป็นเพราะ สมาชิกเป็นตัวแทนของประชาชน สภาของพวกลิจฉวีหรือมัลละก็มิใช่เป็นเคร่ืองหมายของ ประชาธิปไตย เพราะเป็นสภาของอภิชน การที่ถือว่าพุทธศาสนาเป็นประชาธิปไตยยิ่งกว่า ประชาธิปไตยอื่น เพราะถือเสียงเอกฉันท์ไม่ใช่ถือเสียงข้างมากยังไม่เป็นเหตุผล การถือ เสียงเอกฉันท์น้ันแสดงวา่ ต้องมีข้อยึดที่ตายตัว หากเป็นเรื่องความเห็นแล้ว จะหาเสียงเอก ฉันท์ได้ยากต้องใช้เสียงส่วนใหญ่กิจกรรมต่างๆของสงฆ์นั้นล้วนมีธรรมอันชัดเจนเป็นหลัก ความถกู ต้อง จงึ ถกู ตามธรรมมิใช่เรื่องความเห็นเฉพาะตัว ดังนั้นอะไรทีถ่ ูกสงฆ์ท้ังหมดพึง เห็นว่าถูก ถ้ามีผู้ค้านแสดงว่ายังไม่ถูกในบางส่วน ต้องพิจารณากันใหม่ให้รอบคอบ เม่ือ รอบคอบแล้วก็ควรได้ความเห็นที่ตรงกันหมด สังคมชนิดนี้ถ้าจะเรียกว่า ธรรมาธิปไตย ก็ ยงั มิได้หมายถึงการถือธรรมเปน็ จุดหมาย แต่หมายความว่ามีธรรมที่กำหนดไว้ตายตัวเป็น

64 Public Administration Science in Buddhism 64 เคร่ืองตัดสิน สองความหมายนี้ ต่างกันมากความหมายแรกน้ันระบอบการปกครองอื่นก็ อาจเป็นธรรมาธิปไตยได้ เพราะมุ่งความชอบธรรมทั้งสิ้น แต่ความหมายหลังนั้นต้องเป็น ของพระพุทธองค์เท่าน้ัน แม้ศาสนาอื่นที่มีคำสอนต่างกัน เช่น มีพระเจ้าก็ไม่อาจเป็น ธรรมาธิปไตยได้ เว้นแต่จะตีความว่าพระเจ้าในศาสนาต่างๆกับธรรมชาติหรือธรรมใน พุทธศาสนาคือสง่ิ เดียวกัน กล่าวโดยสรุปการใช้อำนาจบริหารตามลักษณ ะการปกครองสงฆ์ของ พระพุทธเจา้ น้ัน เหน็ ว่าไม่เกี่ยวกบั ประชาธิปไตย แต่เป็นเพราะความตายตัวของธรรมและ การขยายตัวของพระพุทธศาสนาเป็นเหตุ ความตายตัวของธรรมะทำให้เกิดความต้องการ มติเอกฉันท์ส่วนการขยายตัวของพระพุทธศาสนา ทำให้เกิดความจำเป็นที่สงฆ์จะต้องทำ สังฆกรรมเนื่องจากพระพุทธองค์มิได้เสด็จอยู่ในเวลาน้ันและอาจเป็นความจำเป็นที่ทรง เลง็ เหน็ ถึงอนาคตของพระศาสนาเมอ่ื พระองค์เสด็จดับขันธป์ รินิพพานแล้วดว้ ยก็เป็นได้ 3. อำนาจตุลาการ อำนาจตุลาการในระบอบประชาธิปไตยเป็นอำนาจที่แยกออกมาจากนิติบัญญัติ และบริหารก็เพื่อให้ประชาชนสามารถรักษาสิทธิเสรีภาพของตนได้ ในกรณีที่รัฐบาลหรือ ฝ่ายบริหารไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย หากอำนาจตุลาการอยู่ในมือของฝ่าย บริหารแล้วก็จะกลายเป็นอำนาจที่กดขี่ประชาชนให้ทำตามความต้องการของฝ่ายบริหาร โดยไม่ชอบธรรมได้ เพราะฝ่ายบริหารกลายเป็นผู้ตีความกฎหมายเอง ก็ย่อมจะตีความ เข้าข้างตัว อันที่จริงอำนาจนี้จะเทียบกับการระงับอธิกรณ์ในสังคมสงฆ์ไม่ได้ เพราะสังคม สงฆ์นั้นมีขอบเขตแคบกว่า และการดำเนินชีวิตของสงฆ์ก็ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน แต่ถึง กระนั้นเมื่อยคุ สมัยเปลี่ยนไป ยศศักดิ์ก็ดี ทรัพย์สินและผลประโยชน์อื่นๆกด็ ี ก็ยังทำให้เกิด ความไม่ดีไม่งามต่างๆ ขึน้ ในวงการสงฆ์ ธรรมวินัยก็ดี ผู้ปกครองคณะสงฆ์ก็ดี ไม่สามารถ จัดการเร่ืองราวต่างๆ ให้ท่ัวถึงได้ บางครั้งก็ขาดความเอาใจใส่ ความขยันขันแข็งที่จะ จัดการอำนาจตุลาการในพระพุทธศาสนาน้ันมีลักษณะเป็นการรักษาระเบียบและสังคม ของสงฆ์มากกว่าที่จะเน้นที่ตัวบุคคล แต่อำนาจตุลากรในฝ่ายโลกนั้นนอกจากจะเพื่อ รักษาสังคมแล้วยังเป็นการคุ้มครองบุคคลด้วยอำนาจตลุ าการในพระพุทธศาสนาน้ันทำให้ พระเป็นพระเหมือนกันหมด แต่อำนาจตุลาการทางโลกพยายามให้คนรักษาความเป็นตัว ของตัวเองซึ่งตา่ งกบั ผอู้ ืน่ ให้ได้มากที่สดุ คือมเี สรีภาพมากที่สดุ

รฐั ประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพทุ ธศาสนา 6655 ในเร่ืองอำนาจตุลาการนั้น มักจะมีผู้อ้างวิธีระงับอธิกรณ์ซึ่งมี 3 ชั้น ว่า เหมือนกับศาลซึ่งมีศาลช้ันต้น ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา แต่การที่มีศาลและมีศาล 3 ชั้น น้ันก็ไม่ใช่เคร่ืองแสดงว่าเป็นศาลแบบประชาธิปไตย ศาลในระบอบประชาธิปไตยมี ความหมายเฉพาะต่างจากศาลในระบอบอื่นๆศาลในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ดี ระบอบเผดจ็ การก็ดีระบอบคอมมิวนิสต์ก็ดี เป็นเพียงองค์กรหนึ่งของฝ่ายบริหารและผู้อยู่ ใต้อำนาจของฝ่ายบริหาร ส่วนศาลในระบอบประชาธิปไตยน้ันเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจ ตุลาการ มิได้อยู่ใต้อำนาจฝ่ายบริหาร เพราะระบบการแยกอำนาจของระบอบ ประชาธิปไตยมีจุดมุ่งหมายสำคัญอย่างหนึ่งคือป้องกันมิให้ฝ่ายบริหารหรือรัฐซึ่งมีอำนาจ ในกรบริหารบ้านเมือง ใช้อำนาจนั้นกดขี่ข่มเหงประชาชน ในระบอบอื่นๆศาลอาจป้องกัน การข่มเหงกันเองระหว่างประชาชนได้ แต่ป้องกันรัฐข่มเหงประชาชนไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ ประเทศประชาธิปไตยจึงภูมิใจกับความเป็นอิสระของอำนาจตุลาการ ซึ่งใช้ผ่านทางศาล เรือ่ งสังคมสงฆ์ไม่ใช่สงั คมประชาธิปไตยและธรรมาธิปไตย ไม่ใช่เรื่องของระบอบการเมือง นั้น การที่สังคมสงฆ์มีสภาไม่ใช่เป็นเคร่ืองแสดงความเป็นประชาธิปไตยเพราะไม่ใช่สภา จากการเลือกตั้งโดยประชาชนสภาพในระบอบอื่นๆ ที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยก็มีการใช้เสียง ข้างมากกต็ ามหรอื เสียงเอกฉันทก์ ็ตาม ก็มีในระบอบการปกครองแม้ที่เผด็จการที่สุด เสียง ข้างมากในสภาจะถือเป็นเสียงของประชาชน ก็เม่ือสภาจากการเลือกต้ังโดยประชาชน การที่มีกระบวนการพิจารณาความและตัดสินความในองค์กรสงฆ์ก็ไม่ใช่เคร่ืองแสดงว่ามี ศาลแบบประชาธิปไตย อย่างมากก็เป็นศาลแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือแบบเผด็จ การ เราจะเอาคณะสงฆไ์ ทยไปเทียบกบั ประเทศไทย แล้วมองพระสังฆราชเปน็ ประมุข และมหาเถรสมาคมเป็นคณะรัฐมนตรีมีพระวินัยเป็นกฎหมายและคณะกรรมการวินิจฉัย อธิกรณ์เป็นศาลไม่ได้ คณะสงฆ์เองก็อยู่ใต้กฎหมายไทยการที่รัฐให้อิสรภาพแก่คณะสงฆ์ นั้นไม่ใช่ว่าให้คณะสงฆ์แยกเป็นอิสระเหมือนเป็นอีกประเทศหนึ่ง ไม่เหมือนรัฐวาติกันของ คริสต์ศาสนาแม้พระมหากษัตริย์แต่โบราณจะยกที่ให้เป็นธรณีสงฆ์ก็ไม่ได้หมายความว่า ยอมใหแ้ บง่ แยกรัฐ ถ้าจะเทียบให้ถูกแล้วน่าจะเทียบกับข้าราชการพลเรือน ซึ่งมีกฎหมายเฉพาะ ควบคุมองค์กรข้าราชการพลเรือนเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายบริหาร ข้าราชการมีวินัย ข้าราชการเป็นหลักปฏิบัติ เม่อื ทำผิดวินัยก็มีระเบียบให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึน้ สอบสวน

66 Public Administration Science in Buddhism 66 ตัดสินและลงโทษ ทั้งหมดเป็นกระบวนการของฝ่ายบริหาร แต่คณะกรรมการดังกล่าวก็ ไม่ใช่ศาลเป็นแต่เพียงผู้รบั มอบหน้าที่ให้ดำเนินการไปตามระเบียบ หากการตัดสินไม่เป็นที่ พอใจอาจจะทำคดีขึน้ ฟ้องร้องตอ่ ศาลได้อกี เปน็ ต้น ดังน้ัน การปกครองสงฆ์ก็เป็นส่วนหนึ่งของอำนาจบริหาร พระวินัยเป็นสิ่งที่ พระพทุ ธเจา้ ทรงบญั ญัติเมอ่ื เกิดอธิกรณ์ผู้ทีร่ บั มอบหนา้ ทีใ่ ห้สอบสวนและวินิจฉัยทำหนา้ ที่ ตามระเบียบการปกครอง ซึ่งเป็นเร่ืองของฝ่ายบริหาร หาใช่เป็นอำนาจตุลาการไม่ ที่มี ผู้เรียกกันว่าศาลสงฆ์จึงไม่ถูกต้อง เร่ืองที่วินิจฉัยกันถ้าเข้าไปเกี่ยวข้องกับกฎหมาย บ้านเมืองก็ต้องไปสิ้นสุดกันที่ศาลตามระบอบประชาธิปไตย คือ ฝ่ายตุลาการของรัฐ พระ ทำผิดอาญาแผ่นดินก็ต้องไปขึ้นศาลรัฐ ศาลสงฆ์ไม่มีความหมายอะไรมากนัก เหมือน ข้าราชการทำผิดคอื อาญา แมจ้ ะสอบสวนทางวินัยแล้วกต็ ้องขึน้ ศาล การปกครองตามแนวอัคคญั ญสตู ร อคั คัญญสูตร (ที.ปา.(ไทย)11/111-140/83-102.3) เป็นสูตรว่าด้วยการกำเนิดรัฐ ซึ่งมีความเป็นมา คือ สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ ปราสาทของนางวิสาขา ใน วัดบุพพาราม ที่กรุงสาวัตถี ได้มีสามเณรวาเสฏฐะและสามเณรภารทวาชะไปเฝ้า พระพุทธเจา้ เม่ือไปถึงพระพุทธเจ้าทรงตรัสถามว่า “วาเสฏฐะและภารทวาชะ เธอท้ังสอง มีชาติตระกูลเป็นพราหมณ์มาบวชเป็นบรรพชิต พวกพราหมณ์ไม่ด่าไม่บริภาษเธอท้ังสอง หรือ”สามเณรทั้งสองตอบว่า“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์ด่าบริภาษข้าพระองค์ ทั้งสองด้วยคำเหยียดหยามอย่างสมใจว่าพราหมณ์เท่าน้ันเป็นวรรณะที่ประเสริฐที่สุดเป็น วรรณะที่ขาว เป็นวรรณะที่บริสุทธิ์ สว่ นวรรณะอื่นเลวไม่บริสุทธิ์ เพราะพราหมณ์เป็นบตุ ร เป็นโอรสอันเกิดจากโอษฐ์ของพระพรหมและพระพรหมเป็นผู้สร้างขึ้น เจ้าทั้งสองได้ละ จากวรรณะที่ประเสริฐ เข้าไปอยู่ในวรรณะที่เลวทรามคือสมณะโล้น เป็นคนรับใช้เป็นคน วรรณะต่ำ ซึ่งถือว่าเกิดจากพระบาทของพระพรหม ส่วนพราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้เกิดทาง ช่องคลอดของนางพราหมณีท้ังน้ัน ยังกล่าวอย่างนี้ว่าวรรณะที่ประเสริฐที่สุด คือ พราหมณ์เทา่ น้ัน เปน็ ทายาทของพระพรหม”เป็นต้น

รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 6677 ความเป็นจริงไม่ว่าจะวรรณะไหนในวรรณะทั้ง 4 ท้ังกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ และศูทร ถ้าประพฤติช่ัวก็ถือว่าเป็นธรรมดำ มีวิบากดำ วิญญูชนติเตียน แต่ถ้าหาก ประพฤติดีก็เป็นธรรมขาว มีวิบากขาว วิญญูชนสรรเสริญการที่พระพุทธองค์ได้ตรัสกับ สามเณรวาเสฏฐะและสามเณรภารทวาชะทั้งสองรูป ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่พระพุทธองค์ ได้กลา่ วถึงการกำเนิดของรัฐตลอดจนวิวัฒนาการของรฐั และการปกครองของรัฐ เป็นต้น 1. แนวคิดทางสังคมและการเมืองตามอัคคัญญสตู ร พระพุทธเจ้าแม้จะทรงถูกหล่อหลอมด้วยแนวความคิดคติของพราหมณ์มา ตั้งแต่พระองค์ยังทรงพระเยาว์ก็ตาม แต่พระองค์กลับมองสังคมในยุคน้ันในแง่ของ ความเสมอภาคทางสังคมที่แตกต่าง โดยพระองค์เห็นว่าความเสมอภาคทางการ ประพฤติปฏิบตั ิเหนือกวา่ แหลง่ กำเนิดของมนษุ ย์ โดยมีมมุ มองที่ใหม่ ดังน้ี 1) ความเสมอภาคของบุคคลทางการกำเนิด ถ้าพราหมณ์อ้างตัวว่าตน เป็นพราหมณ์ที่ประเสริฐที่สุด ส่วนวรรณะอื่นเลว วรรณะพราหมณ์เท่าน้ันบริสุทธิ์ วรรณะอื่นไม่บริสุทธิ์ วรรณะพราหมณ์เท่านั้น เป็นบุตรเป็นโอรสเป็นทายาทของ พระพรหม แต่โดยธรรมชาติแล้วไม่ว่าวรรณะไหนก็เกิดมาจากช่องคลอดของหญิง ทั้งนั้น จงึ ไมม่ วี รรณะไหนประเสรฐิ กว่ากัน หรอื ดีเด่นไปกว่ากนั โดยทางกำเนิด 2) ความเสมอภาคของบุคคลทางการประพฤติ พระพุทธองค์ทรงชี้เร่อื ง กรรม คือการกระทำเป็นตัวชี้วัดว่า ไม่ว่าจะเป็นวรรณะไหนก็ตามทั้งกษัตริย์ , พราหมณ์,แพศย์หรือศูทร ถ้าเป็นผู้ฆ่าสัตว์, ลกั ทรัพย์, ประพฤติผิดในกาม, พูดเท็จ, อยากได้ของของเขา, มีจิตพยาบาท, มีความเห็นผิด ก็เป็นคนไม่ดีทั้งนั้น ในทางตรง ขา้ ม ถ้าประพฤติตนเปน็ ผู้ไม่ฆ่าสตั ว์, ไม่ลักทรพั ย์,ไมป่ ระพฤติผดิ ในกามคุณ,ไม่พูดจา โกหกฯลฯ แม้จะเกิดมาจากวรรณะหรอื ชนช้ันไหนก็ตาม ยอ่ มจะเป็นคนที่ดีมีศีลธรรม เสมอกันหมด ไม่มีข้อยกเว้น 3) พัฒนาการแห่งสังคมมนุษย์ (ชนช้ันทางสังคม) เพ่ือที่จะให้เห็นภาพที่ ชัดเจนในการกำเนิดแห่งสังคมรัฐและการวิวัฒนาการในอัคคัญสูตร (ที.ปา.(ไทย) 11/119-121/88-90.4) ได้กล่าวไว้ ดงั นี้

68 Public Administration Science in Buddhism 68 “สมัยหนึ่ง คร้ันเวลาล่วงเลยมาช้านานโลกนี้เสื่อม เหล่าสัตว์ส่วนมาก (ผู้ที่ ทำคุณงามความดีมาพอสมควร) ไปเกิดในพรหมโลกช้ันอาภัสสร จะนึกคิดอะไรก็ สำเร็จได้ตามใจปรารถนามีปีติเป็นภักษา (อาหาร) มีรัศมีซ่านออกมาจากร่างกาย เทีย่ วสัญจรไปมาในอากาศ เมื่อเวลาล่วงเลยมาช้านาน โลกนีเ้ จรญิ ขึ้น เม่อื โลกกำลัง เจริญข้ึน เหล่าสัตว์ส่วนมากก็จุติจากพรหมโลกมายังโลกมนุษย์ ซ่ึงสมัยนั้นทั่ว จักรวาลนี้เป็นน้ำ ไม่มีดวงจันทร์ ไม่มีดวงอาทิตย์ ไม่มีดวงดาวนักษัตร ไม่มีกลางคืน ไม่มีกลางวัน ไม่มีกึ่งเดือน เดือน ปี หรือฤดูกาลแม้เพศชายหรือหญิงก็ไม่ปรากฏ เพียงแต่รู้จักว่าเป็นสัตว์เท่าน้ัน ต่อมาเกิดง้วนดินลอยอยู่บนน้ำจับตัวอยู่เป็นฝาอยู่ ข้างบน มีลักษณะเหมือนน้ำนม (ที่บุคคลเคี่ยวให้แห้งแล้วให้เย็นสนิท)สมบูรณ์ด้วย สี,กลิ่นและรส สัตว์หนึ่งมีนิสัยโลภ ลองใช้นิ้วช้อนข้ึนมาชิมดู จึงเกิดความอยากสัตว์ นอกนั้นก็พากันทำดู รสง้วนดินก็แผ่ซ่านไปจึงเกิดความอยากในรสข้ึน จึงเป็นเหตุให้ รัศมีหายไป เม่ือรัศมีหายไป จึงเกิดมีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ข้ึน เมื่อมีแสงสว่างจึง ปรากฏดวงดาวนักษัตรข้ึนแล้วปรากฏมีกลางคืน, กลางวัน พัฒนามาเป็นกึ่งเดือน, หนึง่ เดือน, ปีและฤดูกาลต่างๆ”เป็นต้น 2.2 กำเนิดและวิวัฒนาการแห่งรฐั ในอัคคัญญสูตร ได้พูดถึงวิวัฒนาการแห่งรัฐที่เป็นข้ันตอนเร่ิมจากการเกิด ปัญหาข้ึนในสังคม เป้าหมายและวิธีการแก้ปัญหาและเกิดเป็นสัญญาประชาคมข้ึน แตท่ ้ังนีข้ ้นึ อยทู่ ี่เป้าหมายทีม่ ีคุณธรรมเป็นพ้ืนฐาน โดยมีวฒั นาการแห่งรฐั ดงั นี้ 1) พัฒนาการของสังคมมนุษย์ ครอบครัว/หมู่บ้าน/รัฐ แนวคิดของ พระพุทธศาสนา มนุษย์มีจิตบริสุทธิ์มาแต่เดิม คือมาจากอาภัสสรพรหม แต่ถึง กระน้ันก็ตามมนุษย์เมื่อถูกสภาพแวดล้อมและความไม่พอใจในสภาพเป็นอยู่ของตน จึงมีการลิ้มลองของแปลกใหม่ จึงทดลองและละเมิดกฎเกณฑ์ขั้นพ้ืนฐานของสังคม จึ ง เกิ ด ค ว า ม ท ะ ย า น อ ย า ก ก่ อ ให้ เกิ ด ปั ญ ห า ไม่ มี ที่ สิ้ น สุ ด ท้ า ย ที่ สุ ด ก็ มี ก า ร ส ร้า ง ครอบครัวขนึ้ มา แม้ข้อความตอนนี้จะบ่งบอกถึงการอยู่รวมกันเป็นชมุ ชนหรือหม่บู ้าน

รัฐประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพทุ ธศาสนา 6699 กันมาก่อนแต่การอยู่รวมกันเป็นครอบครัวหรือการสร้างบ้านเรือนเป็นหลังๆพ่ึงเกิด หลงั จากคนในชมุ ชนจับคูก่ ันเปน็ ครอบครัวข้นึ เมื่อมีการจบั คแู่ ละสร้างบ้านเรือนมาก ข้ึนๆก็พัฒนาการเป็นหมู่บ้านและรัฐข้ึนในที่สุด เนื่องจากมีการกักตุนอาหารเพ่ือวัน ข้างหน้าและมีการเข้าจับจองปักเขตแดนเพื่อทำการเกษตรกันข้ึน“เพราะบาปอกุศล ธรรมปรากฏข้าวสาลีของพวกเราจึงมีรำห่อเมล็ดบ้าง มีแกลบหุ้มเมล็ดบ้าง ต้นที่ถูก เกี่ยวแล้วก็ไม่กลับงอกข้ึนอีก ความพร่องได้ปรากฏให้เห็น จึงได้มีข้าวสาลีเป็น หยอ่ มๆทางที่ดี เราควรแบ่งขา้ วสาลีและปักปันเขตแดนกันเถิด คร้ังน้ัน สัตว์ทั้งหลาย จึงพากนั แบง่ ข้าวสาลีและปักปนั เขตแดนกัน”(ที.ปา.(ไทย)11/128/95) 2) กำเนิดแห่งรัฐ (Origin of the State) เมื่อมนุษย์อยู่รวมกันมากข้ึนมัก เกิดปัญหาทางสังคม เหตุเพราะเป็นเร่ืองที่เก่ียวกับสวัสดิภาพและชีวิตของมนุษย์ใน การอยู่รวมกัน การที่มนุษย์มีความจำเป็นต้องอยู่ร่วมกัน มีความสัมพันธ์ต่อกัน มนุษยจ์ ะต้องรวู้ ่าตนมีสิทธิและหน้าที่อยา่ งใดบ้างตอ่ สังคม (สพุ ัตรา สภุ าพ,2535:3) ปัญหาที่เกิดข้ึนในสังคม ชุมชน ทำให้มีการพัฒนาการของรัฐซ่ึงพอที่จะประมวลมา ได้ ดงั นี้ (1) การเหยียดผิวพรรณ (Apartheid) มีการดูถูกและการไม่เคารพ สิทธิของกันและกัน จนทำให้ความดีงามร่วมกันหายไป มนุษย์เดิมมีปีติเป็นภักษา (อาหาร) ต่อมาจึงมีความติดใจในรสของง้วนดิน จึงกินเข้าไปทำให้กายหยาบข้ึน จึง ทำให้บางจำพวกผิวพรรณดีงาม บางจำพวกผิวพรรณงาม บางจำพวกผิวพรรณไม่ งาม จึงทำใหเ้ กดิ ปัญหาขอ้ นี้ข้นึ จึงกอ่ ให้เกดิ มานะถือตวั ข้ึนมาจากน้ันงว้ นดินที่เคยมกี ็ หายไป เกิดมีสะเกด็ ดินข้นึ แทน รา่ งกายกห็ ยาบข้นึ อีกสะเก็ดดินกห็ ายไป จึงเกดิ เครือ ดินข้นึ มาแทน ร่างกายก็หยาบขนึ้ มีการดูถูกกันข้ึนอีกเครอื ดินกห็ ายไป ในที่สุดกเ็ กิดมี ขา้ วสาลีข้นึ มาแทน วิถีชีวิตช่วงนี้จะเป็นการหากินแบบสัตว์ทั่วๆไป คือไม่มีการสะสมอาหาร เม่ือมีความต้องการอาหารตอนเช้าก็ไปเก็บข้าวสาลีมากิน พอตกตอนเย็นก็ไปเก็บ ข้าวสาลีมากินใหม่ ณ จุดนี้เองจึงทำให้มนุษย์มือไวอวัยวะเพศปรากฏที่แตกต่างกัน

70 Public Administration Science in Buddhism 70 กล่าวคือปรากฏวา่ มีเพศชายหญิงข้นึ มา ต่างฝ่ายต่างเพ่งกันในที่สุดจึงเกิดมีการเสพ เมถุนกันข้ึน (2) ผ ล ป ระโย ชน์ (Benefit) เม่ื อ ม นุ ษ ย์ มี ค วาม ต้ อ งก ารที่ จ ะ สะดวกสบาย หรือมีความเห็นแก่ตัวและมีความโลภเกิดข้ึน จึงคิดที่จะสะสมอาหาร โดยการออกไปเพียงครั้งเดียวแต่เก็บข้าวสาลีมาท้ังตอนเช้าและตอนเย็นจึงเป็นที่มา ของผลประโยชน์ ซ่ึงเร่ืองของ “ผลประโยชน์”นี้เอง นักวิชาการบางท่านที่มอง พัฒนาการทางการเมืองว่าเป็นผลที่เกิดข้ึนมาจากผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกันระหว่าง ชนช้ันนี้เองและมีแนวโน้มว่าจะตีความหมายของคำว่า“ชนชั้น”ในแง่เป็นสถานภาพ ทางเศรษฐกิจ และตีความหมายของคำว่า“ผลประโยชน์”ในแง่ทีเ่ ป็นผลประโยชน์ทาง เศรษฐกิจมากเกินไป (สิทธิพันธ์ พุทธหุน, 2543 :21) ในที่สุดก็มีการเอาอย่างและ เกิดการแข่งขันกันข้ึนจากการที่ออกไปหาอาหารคร้ังเดียวสามารถบริโภคได้ 1 วันก็ เป็น 2, 3, 4, 5, 6, 7 วันตามลำดับ จนข้าวสาลีที่เกิดเป็นเองที่เกิดข้ึนตามธรรมชาติ เป็นสมบัติของส่วนรวม เมื่อมนุษย์ต้องการบริโภคจึงไปเก็บเอามากินตามความ ต้องการ ไม่มีการแย่งชิงกัน เมื่อมีบุคคลที่เก็บงำของส่วนกลางไว้ส่วนตนมากเกินไป จึงเกิดปัญหาขาดแคลน มนุษย์จึงมีพันธสัญญาต่อกันที่จะกำหนดเขตแดนพร้อมกับ ตกลงกนั วา่ ผืนดินแห่งนเี้ ป็นของใครและมีการปักเขตแดนกันขึน้ (3) การลักขโมย (Larceny) เม่ือมนุษย์เร่ิมการแบ่งเขตแดนกันและมี การเพาะปลูก มีคนที่ข้ีเกียจเก็บงำของตนไว้แต่ลักขโมยของผู้อื่น เม่ือมีการจับตัว ผู้กระทำความผิดได้ ก็มีการลงโทษ ซ่ึงปัญหาทั้งหมดนี้หากแต่มนุษย์ทุกคนเข้าใจ และเข้าถึงสภาวะของชีวติ ที่จริงแล้ว ก็จะพบว่ามนุษยท์ ุกคนล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่ง ของปัญหาทั้งสิ้น เมื่อมีการทำผิดกันซ้ำๆ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีเวลาเพียงพอที่จะ คอยจับคนผิดมาลงโทษจงึ ทำให้เกิดการมสี ว่ นรว่ มของประชาชนและมมี ติทจี่ ะสรรหา ผทู้ ี่ทำหน้าที่แทนข้นึ (4) เป้าหมายแห่งรัฐ (State target) เม่ือเกิดปัญหาข้ึนในสังคม ประชาชนหวังความสันติสุขขึ้นในชุมชน จึงได้แต่งต้ังผทู้ ำหน้าที่ในด้านการดูแลรกั ษา ทรพั ยส์ นิ และพจิ ารณา ตำหนิและขบั ไล่บคุ คลผู้ทำผดิ ก่อน หากมองในทศั นะปรชั ญา

รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา 7711 การเมืองตะวันตกอย่าง อริสโตเติล ถือว่า“รัฐ”เป็นสิ่งสูงสุดสำหรับสังคมมนุษย์ แม้วา่ เขาจะยอมรับว่ามอี ย่างอืน่ อกี นอกจากรฐั ก็ตาม แตเ่ ขาเหน็ ว่าสำหรบั มนุษยแ์ ล้ว การรวมตัวกันข้ึนน้ัน สิ่งสำคัญอันดับแรก คือ ครอบครัวหรือวงศ์ตระกูล ถัดมา จากนั้นกห็ ม่บู ้านแล้วรวมตัวกันจนเป็นรฐั ในทีส่ ุด จะเห็นว่าการที่มหาชนได้ปรึกษาหารือกันนั้นแสวงหาเป้าหมายของรัฐหรือ สังคมหรือหน่วยงาน บุคคล คณะบุคคล หรือองค์กรที่จะมาขจัดปัญหาที่เกิดข้ึนใน สังคม ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าการรวมตัวกันของครอบครัวและหมู่บ้านต่างๆ เข้า ด้วยกันเพื่อคุณธรรมด้วยการมุ่งผลบ้ันปลายเพื่อให้บังเกิดความสมบูรณ์ และดำรง อยู่ได้อย่างพ่ึงตัวเองได้โดยตลอด (ส.ศิวรักษ์, 2543:53) ซึ่งจุดประสงค์สุดท้ายของ การสร้างรัฐตามพระสูตรนั้นมีเหตุผลอยู่ 2 ประการ คือ ผู้ปกครองชุมชนจะต้องมี หน้าที่ในการดูแลนาขา้ วสาลี คือใครตอ้ งการข้าวสาลี ขัตติยะ (ผปู้ กครอง) กจ็ ะเป็นผู้ อนุญาตหรือใครแอบขโมย ขัตติยะจะเป็นผู้จับกุมผู้นั้นมาลงโทษ ประการที่สอง คือ สร้างความสุข ความยินดีใหก้ ับผู้อยู่ใต้ปกครองอันเนื่องมาจากการแก้ปัญหาข้อแรก ได้สำเร็จ นี้คือวัตถุประสงค์เร่ิมแรกของการสร้างระบบการปกครองของชุมชน โบราณ (ทวี ผลสมภพ, 2534 :63) ในทีน่ ้ีคอื การแตง่ ตั้งประมขุ หรอื ผู้นำขนึ้ มา (5) วิธีการสรรหา (Recruitment) การเลือกผู้แทนหรือบุคคลผู้จัดการ ปัญหาในสมัยน้ันใช้วิธีการสรรหาเพ่ือแต่งต้ัง โดยเลือกเอาจากบุคคลผู้มีรูปร่างดี พฤติกรรมดี เข้าสู่ระบบ“ครั้นแล้วสตั ว์ทั้งหลายจงึ เขา้ ไปหาทา่ นทมี่ ีรปู งดงามกวา่ น่าดู กว่าน่าเลื่อมใสกว่า น่าเกรงขามกว่า แล้วจึงได้กล่าวดังนี้ว่า มาเถิดท่านผู้เจริญ ขอ ท่านจงว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าว จงติเตียนผู้ที่ควรติเตียน จงขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่โดย ชอบเถดิ และพวกเราจักแบ่งปันขา้ วสาลีใหแ้ กท่ ่าน” 3) องค์ประกอบแห่งรัฐ (State Organization)รัฐตามแนวคิดปรัชญา การเมืองถือว่ามีความสำคัญอยู่มิใช่น้อย หากพิจารณาถึงองค์ประกอบของรัฐตาม คติของชาวตะวันตกจะพบคำว่ารัฐหรือประเทศน้ันมีอยู่ถึง 4 ประการ คือ ประชากร (Population) ดินแ ดน (Territory) รัฐบ าล (Government) และอำน าจอธิป ไต ย (Sovereignty) (โกวิทย์ วงศ์สรุ วฒั น, 2534 :30)

72 Public Administration Science in Buddhism 72 เมื่อพิจารณาตามองค์ประกอบแห่งรัฐจะเห็นได้ว่า รัฐในอัคคัญสูตรในทาง พระพุทธศาสนาเปรียบเทียบกับองค์ประกอบแห่งรัฐในทฤษฎีตะวันตกและพอจะ ประมวลได้ ดงั นี้ คือ (1) ประชากร (Population) แม้อัคคัญ สูตรจะไม่ได้ระบุจำนวน ประชากรที่ชัดเจนว่ามีอยู่จำนวนเท่าใด แตห่ ากพิจารณาจากข้อความดังต่อไปนี้ คือ “สัตว์เหล่านั้น”,“สัตว์ทั้งหลาย”,“หมู่บ้าน”,“พวกเรา”เป็นต้น ก็จะเห็นร่องรอยของ การมีประชากรที่มีจำนวนมากอยู่มิใช่น้อย ประชากรดังกล่าวนี้อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เปน็ ชมุ ชนได้ (2) ดินแดน (Territory) ในพระสูตรไม่ได้ระบุสถานที่หรือแผนที่ว่าคือ จุดไหนส่วนไหนของโลกหรือเป็นชมพูทวีปแต่อย่างใดเพียงแต่เรียกรวมๆว่าโลกนี้ เท่านั้น อย่างไรก็ตามประชากรได้อพยพมาจากที่อื่น (พรหมโลก) แล้วเข้ามาต้ังถิ่น ฐานขนึ้ ที่แน่นอนมีการสรา้ งบ้านเรือน นิคมข้นึ และทีส่ ำคัญมกี ารปักเขตแดนพ้ืนทีก่ าร ทำมาหากินกนั อยู่ (3) รัฐบาล (Government) คือผู้ได้รับมอบอำนาจในการบริหาร จดั การบ้านเมืองให้เกิดความสงบเรยี บร้อย ในพระสูตรได้ระบุชดั เจนวา่ มีการสรรหา บุคคลผู้เป็นผู้นำ หรือต่อมาเรียกว่า กษัตริย์ หรือมหาสมมติหรือราชาข้ึนมา เพ่ือ ปกครองคุ้มครองรักษาโดยประชาชนได้จ่ายภาษีที่เรียกว่าส่วนแบ่งคือ ข้าวสาลีให้ ทั้งนี้รัฐบาลมีหน้าที่กำหนดนโยบายของรัฐและต้องดำเนินการให้เป็นผลสำเร็จตาม นโยบายที่วางเอาไว้รัฐบาลต้องสามารถปกครองดินแดนทุกส่วนของรัฐ อาณาเขต ประชาชนและรัฐบาลจะต้องมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้นความสัมพันธ์นี้ในแต่ ละรัฐจะแตกต่างกันไป มีลักษณะเฉพาะของตนเองซ่ึงทำให้รัฐแต่ละรัฐไม่เหมือนกัน (รัชนีกร บุญหลง,2540:23) ก็คืออำนาจในการปกครองจะมีที่มาและการใช้ที่ แตกต่างกนั ดงั นี้ คอื ทีม่ าของอำนาจ (Power) การได้มาซ่งึ อำนาจหน้าที่ของผู้ปกครองแม้จะไม่มี การเลือกตั้งหรือมีผู้สมัครรับเลือกตั้งที่สังกัดพรรคการเมือง เข้ามาเสนอตัวเพ่ือ

รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 7733 ทำงานให้กับสังคมก็ตาม แต่วิธีการสรรหาก็ถือว่าเป็นแนวทางที่ดีที่สุดของระบอบ การเมืองการปกครองที่มผี คู้ นอาศัยอยู่จำนวนยงั ไม่มากเทา่ ใดนัก การใช้อำนาจ (Exercise of Power) การใช้อำนาจในระยะเร่ิมต้นไม่มีอะไร ยุ่งยากและซับซ้อน เพราะการบัญญัตกิ ฎหมายหรอื นิติบัญญัติ มหาชนเป็นผู้ร่วมกัน ตราขนึ้ สว่ นอำนาจทางการบรหิ ารและตลุ าการเปน็ หน้าที่ของกษัตรยิ ์หรือผทู้ ีม่ หาชน แต่งตั้งท้ังนเี้ มื่อประชาชนพร้อมใจกนั แตง่ ต้ังอำนาจหน้าที่ให้แล้วปกครองย่อมจะต้อง ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด จึงทำให้เห็นถึงองค์ประกอบสำคัญของอำนาจ หน้าที่ 2 ประการ คือ ตำแหน่ง (Position) ที่ได้รับมอบหมายและบทบาท (Role) ของ บุคคลผใู้ ช้อำนาจน้ัน (4) อธิปไตย (Sovereignty) คือความเป็นใหญ่ในการจัดการบริหาร บ้านเมือง เมื่อประชาชนแต่งตั้งข้ึนให้อยู่ในตำแหน่งก็ย่อมจะมอบอำนาจและสิทธิ์ บางส่วนให้กับผู้นำ แม้ผู้นำกษัตริย์ในยุคแรกจะไม่มีความชัดเจนเท่าปัจจุบัน แต่ รัฐบาลก็มีเสถียรภาพอยู่มากมิใช่น้อยหากจะว่าไปแล้วอำนาจอธิปไตยหรือรัฐบาล แม้กระท่งั ความหมายของรฐั พระพุทธเจ้าไมไ่ ด้มองเป็นประเดน็ สำคญั พระพุทธองค์ มิได้ตรัสความหมายของรัฐเอาไว้โดยตรง แตเ่ ท่าที่ได้ประมวลจากบริบทของคำสอน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดทางการเมือง ทำให้พอสรุปได้ว่า“รัฐ”ในทัศนะของ พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าสถานที่ค้นหาสัจธรรมและการอยู่ดีกินดีของ ประชาชน ท้ังน้ีพระพุทธเจ้าทรงมุ่งถึงเป้าหมายทางสังคมเป็นสำคัญมากกวา่ รูปแบบ ของรัฐหรือการปกครองในพระสูตรไม่ได้ระบุรูปแบบของรัฐเอาไว้ว่าเป็นแบบไหน หากแต่ระบุถึงความเป็นมาโดยภาพรวมของรัฐเท่าน้ัน เมื่อจะอนุมานหรือเทียบเคียง ได้ ดังนี้ (1) รัฐเดีย่ ว เป็นการปกครองที่มีผู้นำ สูงสุดอยทู่ ี่พระมหากษัตรยิ ห์ รือรัฐบาล กลาง โดยมีเสนาอำมาตย์และปโุ รหิตเปน็ ผคู้ อยชว่ ยเหลือในการบริหารบ้านเมืองเป็น ลำดับชั้นลงมา (2) ระบอบราชาธิปไตย ผนู้ ำในยุคนั้นสมัยน้ัน มีผู้นำที่เรยี กว่า\"ราชา\" ที่มีการสืบทอดอำนาจทางการเมืองโดยกลุ่มคนในวรรณะเดียวกันหรือครอบครัว เดียวกนั เป็นต้น

74 Public Administration Science in Buddhism 74 2.3 ระบบกฎหมายและการลงโทษ โทษหรอื อาญานั้น ในพระสตู รได้ทำเป็นขนั้ เปน็ ตอนจากโทษเบาหรือลหโุ ทษ ก่อนแล้วเพิม่ เปน็ โทษหนกั ข้นึ เปน็ ครโุ ทษตามลำดบั เมื่อมกี ารจับตัวผู้กระทำความผดิ ได้ ก็มีการลงโทษ การจบั กุมและการลงโทษ ในคร้ังน้ันไมม่ ีกระบวนการทีซ่ ับซอ้ นแต่ เป็นการจับและพิจารณาโดยชุมชนที่ทุกคนในชุมชนมีส่วนร่วม ซ่ึงมีลำดับถึง 3 ขนั้ ตอนด้วยกัน คือ คร้ังที่หนึง่ มกี ารตกั เตือน สัง่ สอนก่อน ครั้งทีส่ อง เรยี กมาทำทณั ฑ์บน คร้ังที่สาม ลงทณั ฑ์ ท้ังนี้เนื่องจากเป็นมติของชุมชนที่ใช้ร่วมกันจึงเป็นการลงโทษตามความผิด การลงโทษครงั้ ที่ 1, 2 เป็นลหุโทษ (โทษเบา) สว่ นครั้งที่ 3 เป็นครโุ ทษ (โทษหนกั ) ทีม่ ี ความชัดเจนในวิธีการในเรื่องดังกล่าว ปรีชา ช้างขวัญยืน กล่าวว่ากฎหมายตรงนี้ไม่ ชัดเจน กล่าวคืออัตตาทำให้เกิดการพิพาทการลงโทษและความไม่เป็นธรรม คนจึง แกไ้ ขข้อบกพร่องนโี้ ดย การตดั อัตตา วิธีหนึ่งก็คือหาความถกู ต้องหรือธรรมเป็นหลัก ข้อนี้จะเป็นที่มาของสถาบันที่สำคัญอีกสถาบันหนึ่ง คือกฎหมาย ซึ่งจะทำให้รัฐเป็น รัฐที่สมบูรณ์ แต่กฎหมายก็ยังไม่ปรากฏชัดเจนในตอนนี้ ยังคงต้องอาศัย ความสามารถของบคุ คลซง่ึ สว่ นรวมยอมรับคือมหาชนสมมติ ซ่งึ เป็นที่มาของสถาบนั กษัตริย์หรือผู้ปกครองรัฐ กระบวนการทางการเมืองซ่ึงปรากฏในตอนนี้ ก็คือ การมี ผปู้ กครองซึ่งมาจากการเลือกตง้ั เปน็ ต้น (ปรชี า ช้างขวญั ยนื , 2540 :22) โดยสรุปแล้วในอคั คัญญสูตรนี้ ถือว่าเป็นสูตรที่ว่าด้วยการกำเนิดแห่งรัฐ ที่ พระพุทธเจ้าทรงได้ชี้ให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นและพัฒนาการ จากสัตว์ผู้ประเสริฐจากอา ภัสสรพรหมสู่สามัญด้วยกระบวนการของการกระทำที่ลองผิดลองถูกด้วยอำนาจ ของกิเลส ในที่สุดก็พัฒนาเป็นบ้านเรือน ชุมชน เมือง จนมีรูปแบบการปกครองแบบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์และที่สำคัญระบบกฎหมายและการลงโทษที่เหมาะสำหรับ

รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพทุ ธศาสนา 7755 คนที่มีจำนวนน้อย และพระสูตรนี้เองเป็นการล้มล้างความเชื่อในระบบวรรณะของ ศาสนาพราหมณ์ที่มมี ากอ่ นพทุ ธกาล การปกครองตามแนวจกั กวตั ติสูตร จักกวัตติสูตร (ที.ปา.(ไทย) 11/80-110/58-82.) เป็นสูตรที่ว่าด้วยอุดมรัฐ ตามแนวพุทธซ่ึงผู้นำรัฐไหนปฏิบัติตามได้ย่อมเป็นจักรพรรดิได้ เมื่อคร้ังที่ พระพุทธเจ้า ทรงประทับอยู่ ณ เมืองมาตุลา แคว้นมคธ พระองค์ทรงปรารภกับ เหล่าพระภิกษุถึงสิง่ ตา่ งๆ แล้วตรัสว่า เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะมีตนเป็นที่พึ่ง ไม่ มีสิ่งอื่นเป็นที่พ่ึง จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พ่ึง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พ่ึงเธอจง ประพฤติธรรมอันเป็นโคจร (อารมณ์กัมมัฏฐาน) ซึ่งเป็นวิสัยอันสืบเนื่องมาจากบิดา ของตน เมื่อเธอทั้งหลายประพฤติแล้วมารจะไม่ได้โอกาส จะไม่ได้อารมณ์ ภิกษุ ท้ังหลายบุญนี้ย่อมเจริญข้ึนได้อย่างนี้เพราะการสมาทานกุศลธรรมเป็นเหตุ ซ่ึงใน พระสูตรนี้จะได้กล่าวถึงความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ต้องดำรงตนอย่างไร และจะ ประพฤติตนอยา่ งไรใหไ้ ด้เปน็ พระเจ้าจกั รพรรดิทีด่ ี โดยจะได้กล่าวเอาเฉพาะประเด็น ที่มีความสำคัญ ดังนี้ 1. ความเป็นมาของความเป็นพระเจ้าจกั รพรรดิ ความเปน็ มาของความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เรือ่ งเคยมีมาแล้วได้มีพระเจ้า จักรพรรดิพระนามว่า ทัฬหเนมิ ผู้ทรงธรรมครองราชย์โดยธรรม ทรงเป็นใหญ่ใน แผ่นดินมีมหาสมุทรท้ังสี่เป็นขอบเขต มีราชอาณาจักรมั่นคงสมบูรณ์ด้วยแก้ว 7 ประการ ได้แก่ (1) จักรแก้ว (2) ช้างแก้ว (3) ม้าแก้ว (4) มณีแก้ว (5) นางแก้ว (6) คหบดีแก้ว (7) ขนุ คลงั แกว้ พระองค์มีพระราชโอรสมากกว่า 1,000 องค์ ซึ่งล้วนแต่กล้าหาญพระองค์ ทรงชนะโดยธรรม ไมต่ ้องใช้อาญาไม่ต้องใช้ศาสตราครอบครองแผน่ ดินนีม้ ีสาครเป็น

76 Public Administration Science in Buddhism 76 ขอบเขตเมื่อเวลาล่วงไปหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี ทรงตรัสสั่งว่า ถ้าจักรแก้ว อันเป็นทิพย์ถอยเคลื่อนจากที่ตั้ง พึงบอกแก่เราทันที เมื่อเวลาล่วงเลยไปราชบุรุษ กราบทูลเรื่องจักรแก้วเคลื่อนถอยจากที่ต้ัง พระองค์จึงทรงรับส่ังให้พระกมุ าร ผเู้ ป็น พระราชโอรสองค์ใหญ่มาตรัสว่า ลูกเอ๋ย ทราบว่าจักรแก้วอันเป็นทิพย์ของพระเจ้า จักรพรรดิ พระองค์ได้ถอยเคลื่อนจากที่ตั้ง จะทรงพระชนม์อยู่ไม่นาน กามทั้งหลาย อนั เป็นของมนษุ ย์พอ่ ก็บรโิ ภคแล้ว บัดนีเ้ ปน็ เวลาทีพ่ อ่ จะแสวงหากามท้ังหลายอันเป็น ทิพย์ ลูกจงปกครองแผ่นดิน ส่วนพ่อจะโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต (ดาบส) หลังจากนั้นพระองค์จึงตรัสสอนพระราช โอรส ในการให้ได้มาซ่ึงจักรแก้วอันเป็นทิพย์ โดยการอาศัยธรรม สักการธรรม เคารพธรรม นับถือธรรม บูชาธรรม นอบน้อมธรรม มีธรรมเป็นธงชัย มีธรรมเป็น ยอด มีธรรมเป็นใหญ่ และเม่ือกษัตราธิราชผู้ได้รับมูรธาภิเษกแล้วทรงประพฤติ จักรวรรดิวัตรอันประเสริฐอยู่ สนานพระเศียรในวันอุโบสถ 15 ค่ำ รักษาอุโบสถศีล เมื่อจักรแก้วอันเป็นทิพย์ปรากฏ ก็ทรงตามจักรแก้วอันเป็นทิพย์หมุนไปในทิศต่างๆ พระราชาน้อยใหญ่ต่างเข้ามาสวามิภักดิ์ ทรงปราบแผ่นดินโดยมีมหาสมุทรเป็น ขอบเขต แม้พระเจ้าจักรพรรดิองค์ที่ 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ก็ทรงกระทำตามเช่นน้ัน แต่ทรงทำบางประการและทรงละเลยบางประการ จนเกิดปัญหาต่างๆ มากมาย ตามมา เช่นทรงประพฤติธรรมแต่ไม่สงเคราะห์ประชาชนด้วยทรัพย์ จึงเกิดความขัด สนข้นึ ต่อมาจึงเกิดอทินนาทาน (การลักขโมย),ปาณาติบาต (การฆ่าสัตว์), มุสาวาท (พูดเท็จ), ปิสุณาวาจา (พูดส่อเสียด), กาเมสุมิจฉาจาร (ประพฤติผิดในกาม), ผรุส วาจา (การพูดคำหยาบ), สัมผัปปลาปะ (การพูดเพ้อเจ้อ), อภิชฌา (ความเพ่งเล็ง อยากได้ของเขา), พยาบาท (ความคิดร้าย),มิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ก็เกิดข้ึน เม่ือ มากข้ึนอายุคนก็สั้นลงๆตามลำดับ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว มนุษย์เหล่านั้นจึงปรึกษากัน แล้วพากันละชั่วประพฤติดี โลกจึงเจริญข้ึนอีกครั้ง แล้วจึงถึงยุคของพระศรีอริย เมตไตรย เหตุที่พระพุทธองค์ทรงตรสั ปรารภในเร่อื งนี้ทรงเห็นถงึ ความไม่แน่นอนของ

รัฐประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 7777 ชีวิตแม้จะม่ังมีหรือย่ิงใหญ่แค่ไหนก็ตาม หากไม่พ่ึงตนเองเสียแล้วก็ไม่ประสบ ผลสำเรจ็ ได้ 2. องคป์ ระกอบของพระเจ้าจักรพรรดิ ในอดีตพระเจ้าจักรพรรดิพระนามว่า ทัฬหเนมิ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ ย่ิงใหญ่โดยเฉพาะอย่างย่ิง พระองค์ทรงคุณลักษณะหรือเคร่ืองหมายของความเป็น จักรพรรดิทีส่ ำคญั 4 ประการ คือ 1) ทรงธรรม (เปน็ ผมู้ ีคุณธรรม) 2) ครองราชย์โดยธรรม 3) มีมหาสมุทรทั้ง 4 เป็นขอบเขต 4) ราชอาณาจักรม่ันคง โดยมีรัตนะ 7 ประการ คือเคร่ืองหมายซ่ึง ประกอบไปด้วย (1) จกั รแก้ว แสนยานุภาพอันเป็นสัญลักษณข์ ององคจ์ ักรพรรดิ (2) ช้างแกว้ เปน็ พาหนะคู่บารมี (3) ม้าแก้ว เปน็ พาหนะคบู่ ารมี (4) มณีแก้ว คือทรัพยส์ นิ ที่เป็นต้นทนุ ของจักรพรรดิที่มีขึ้นเกิดข้ึนด้วย พระบารมที ี่ทรงประพฤติปฏิบัติด้วยพระองค์ (5) นางแก้ว หมายถึง มเหสีผู้พร้อมไปด้วยความงดงามทางกาย วาจา ใจ และสามารถพดู โน้มน้าวจิตใจผคู้ นได้ (6) คหบดีแก้ว หมายถึง คหบดี พ่อค้า นายทุน ที่สร้างความเจริญ ทางด้านเศรษฐกิจและเสียภาษีใหก้ ับรัฐเปน็ ผู้ม่ังค่ังและสมบูรณ์แบบ (7) ปริณายกแก้ว เสนาอำมาตย์ที่มีความรู้ความสามารถสูง เป็น ทหารคู่ใจคู่ราชบัลลังกไ์ ด้

78 Public Administration Science in Buddhism 78 ในรัตนะท้ัง 7 ว่าจักรแก้วมีลักษณะคล้ายวงล้อ มีกง มีดุม มีซ่ีหนึ่งพันซ่ี เวลาถูกลมพัดจะบังเกิดเสียงดนตรีไพเราะยวนใจ เม่ือพระเจ้าแผ่นดินผู้ครองราช สมบัติอยู่ในราชธานีจะได้เสวยความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิที่ย่ิงใหญ่ข้ึน จักรแก้วจะ ปรากฏขึน้ ทางทิศตะวันออกของราชธานี มีความสูงประมาณยอดไม้ มีแสงสวา่ งพวย พุ่งออกจากจักรแก้วประมาณหนึ่งโยชน์ โคจรม่งุ หนา้ ไปยังราชธานี ชาวเมืองเห็นจักร แก้วน้ันแล้วคิดว่าเป็นดวงจันทร์ดวงที่สองปรากฏเพราะจักรแก้วจะปรากฎในวันข้ึน 15 ค่ำ เมื่อจักรแก้วโคจรถึง พระนครจะเวียนรอบพระนคร 7 รอบแล้วหยุดอยทู่ ีด่ ้าน ทศิ เหนือของพระราชวังลอยอยู่สูงประมาณกำแพงเมือง ช้างแก้ว เรียกว่าหัตถีรัตนะ จะเกิดข้ึนเป็นช้างคู่บุญของพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นช้างมาจากตระกูลอุโบสถ มี ร่างกายขาวปลอด คอและปากมีสีแดงอ่อนๆนมเล็บและปลายงวงมีสีแดงแย้ม สามารถเหาะไปในอากาศได้ พระเจ้าจักรพรรดิทรงใช้ช้างเผือกคู่บุญนี้ตรวจดูโลกได้ ทั่วถึงภายในอาหารเช้า, ม้าแก้ว เรียกว่า อัสสรัตนะ เป็นม้ามาจากตระกูลสินธพ มี นามว่า วลาหกอัศวราช ร่างกายขาวล้วน ศีรษะดำ เท้าแดง กลีบเท้าแดงมีผมเป็น พวงดุจหญ้าปล้อง มีฤทธิ์เหาะไปในอากาศได้ พระเจ้าจักรพรรดิทรงใช้อัศวราชตัวนี้ ตรวจดูความเรียบร้อยของโลกได้ท่ัวถึงภายในอาหารเช้า คือ เสด็จออกตอนเช้าตรู่ เสร็จสิ้นการตรวจตราแล้วกลับมาเสวยพระกระยาหารเช้าได้ทัน, แก้วมณี เป็นแก้ว ประเภทแก้วไพฑูรย์เกิดเอง ยาว 4 ศอก 8 เหลี่ยม สุกใสแวววาว แสงสว่างของแก้ว ทำให้บริเวณภายในหนึ่งโยชน์มีแสงสว่างเหมือนกลางวัน, นางแก้ว เรียกว่า อิตถี รัตนะ เป็นสตรีรูปร่างงาม ชวนมองชวนชม ผิวพรรณผุดผ่องย่ิงนัก ไม่สูง-ไม่ต่ำ-ไม่ ผอม-ไม่ดำ-ไม่ขาวเกินไป ไม่มีหญิงมนุษย์ใดเทียมเท่า แต่ไม่เสมอกับความงามของ พวกทิพย์ ผิวกายละเอียดอ่อนเหมือนปุยนุ่น กายเปลี่ยนไปตามฤดูคือฤดูหนาวกาย จะอบอุ่น ฤดูร้อนกายจะเย็น กลิ่นตัวหอมเหมือนกลิ่นจันทร์ กลิ่นปากเหมือนกลิ่น ดอกบัว ทรงตื่นก่อน นอนทีหลังพระสวามี, ขุนคลังแก้ว เรียกว่าคหบดีรัตนะ เกิดมา เพื่อหาทรัพย์สมบัติให้พระเจ้าจักรพรรดิโดยมีตาทิพย์สามารถมองเห็นทรัพย์สมบัติ ฝังอยู่ในที่ต่างๆทั่วแผ่นดินได้และปริณายกแก้ว เรียกว่า ปริณายกรัตนะ คือ

รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพทุ ธศาสนา 7799 ผู้ปกครองบ้านเมืองตามพระราชโองการ ท่านผู้นี้จะบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชน แทนพระเจ้าจักรพรรดิโดยความเทีย่ งธรรม (ทวี ผลสมภพ, 2534:72) 3. รปู แบบการสืบทอดอำนาจทางการเมือง การปกครองในจักกวัตติสูตรมีความชัดเจนมาก ในเร่ืองของรูปแบบการ ปกครองอย่าง สมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์เมื่อถึงเวลาต้องสละราช สมบัติ ในพระสูตรนี้ระบุว่าเม่ือจักรแก้วเคลื่อนไปนั้นก็เป็นสัญญาณที่พระเจ้า จักรพรรดิจะต้องหมดวาระการดำรงตำแหน่งหรือหมดอายุขัย โดยเรียกพระราช โอรสองค์ใหญ่แล้วตรสั มอบให้เปน็ แบบธรรมราชาในพระสตู รระบเุ อาไว้วา่ “ลำดบั นั้น ท้าวเธอส่ังเรียกพระกมุ ารผู้เปน็ พระราชโอรสองคใ์ หญ่มาตรัสว่า ลูกเอ๋ย ทราบว่าจักรแก้วอันเป็นทิพย์ของพ่อถอยเคลื่อนจากที่ตั้งแล้ว ก็พ่อได้ยินมา ว่า จักรแก้วอันเป็นทิพย์ของพระเจ้าจักรพรรดิพระองค์ใดถอยเคลื่อนจากที่ต้ัง ณ บัดนี้ พระเจ้าจักรพรรดิ พระองค์น้ันจะทรงพระชนม์อยู่ได้ไม่นาน กามทั้งหลายอัน เปน็ ของมนษุ ย์พ่อกไ็ ด้บริโภคแล้ว บัดนี้เปน็ เวลาที่พอ่ จะแสวงหากามทั้งหลายอันเป็น ทิพย์ มาเถิดลูกเอ๋ย ลูกจงปกครองแผ่นดินอันมีมหาสมุทรเป็นขอบเขตนี้ ส่วนพ่อจะ โกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต (ที.ปา. (ไทย)11/80-110/16) เนื้อหาพระสูตรตรงนี้ๆได้กล่าวไว้ว่า ถึงวันธัมมัสวนะ (วันพระ) ทั้งพระเจ้า แผ่นดินและประชาชนต่างก็ถือศีลอุโบสถเข้าวัดฟังธรรม ในแผ่นดินของพระราชาผู้ ทรงธรรมนีไ้ ม่มีการฆ่าไม่มีการสู้รบ ไมม่ ีการแก่งแย่ง ทุกคนเปน็ เหมือนพี่น้อง ทุกคน รหู้ น้าที่ของตนแม้แต่พระเจ้าแผน่ ดินที่ครองราชย์อยู่ เม่ือเหน็ ว่าครองราชย์สมบัติมา พอสมควร ก็จะเสด็จลงจากบัลลังก์ ออกผนวช แสวงหาความหลุดพ้นในที่สุด23ซ่ึง เป็นรูปแบบเฉพาะของระบบการปกครองแบบจักรพรรดิ

80 Public Administration Science in Buddhism 80 4. พระราชสมบตั ิที่ไม่สามารถถา่ ยโอนใหก้ นั ได้ แม้การปกครองจะเป็นแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อำนาจโอนจากพ่อสู่ลูก แต่กระนั้นรัตนะทั้ง 7 ประการมิได้โอนมาด้วย เพราะถือว่าเป็นสิ่งเฉพาะของพระ จักรพรรดิแต่ละองค์ การให้บังเกิดคงอยู่ต่อไปต้องสรา้ งเอง โดยการประพฤติปฏิบัติ ตามคำแนะนำของกษัตรยิ พ์ ระองค์กอ่ นวา่ “ลูกเอ๋ย เมื่อจักรแก้วอันเป็นทิพย์อันตรธานไปแล้ว เจ้าอย่าเสียใจและอย่า แสดงความเสียใจให้ปรากฏเลย ด้วยว่าจกั รแก้วอันเป็นทิพย์หาใชเ่ ป็นทรัพย์สมบัติที่ เปน็ มรดกสืบมาจากบิดาของเจ้าไม่ ขอให้ลูกประพฤติจกั รวรรดิวัตรอันประเสรฐิ เถิด ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีผลได้แล คือ เมื่อลูกประพฤติจักรวรรดิวัตรอันประเสริฐสนาน พระเศียรในวันอุโบสถ 15 ค่ำรักษาอุโบสถ ประทับอยู่ช้ันบนปราสาทหลังงาม จัก ปรากฏจักรแก้วอันเป็นทิพย์ซ่ึงมีกำ 1,000 ซ่ี มีกง มีดุมและมีส่วนประกอบครบทุก อย่าง” (ที.ป. (ไทย)11/83/61-62) เม่ือได้เป็นจักรพรรดิแล้ว ความเป็นจักรพรรดิ จะคงอยู่ได้ก็ด้วยการที่ พระมหากษตั ริย์ได้กระทำการดังตอ่ ไปนี้ คอื 1) ให้อาศยั ธรรม สักการธรรม เคารพธรรม นับถือธรรม บชู าธรรม นอบ น้อมธรรม มธี รรมเปน็ ธงชัย มีธรรมเป็นยอด มีธรรมเปน็ ใหญ่ 2) ให้จัดการรักษาป้องกันและคุ้มครองชนภายใน (หมายถึงพระมเหสี พระราชโอรส พระราชธิดา), กำลังพล, กษัตริย์ ที่ตามเสด็จ (รับใช้), พราหมณ์และ คหบดี,ชาวนิคมและชนบท,สมณพราหมณ์,สตั ว์จำพวกเนื้อและนกโดยธรรม 3) หา้ มไม่ใหท้ ำผดิ แบบแผน (จารตี ประเพณี) 4) สงเคราะหผ์ คู้ นที่ขาดทุนทรัพย์ 5) ให้เข้าหาสมณพราหมณ์ผปู้ ฏิบตั ิดีปฏิบตั ิชอบ คำสอนในจักกวัตติสูตรนี้ แสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์ทรงเห็นว่า ลำพัง การรกั ษาความสงบของสังคมอันเป็นหน้าทีข่ องมหาชนสมมติ ซึ่งปรากฏในอัคคัญญ สูตรนั้นไม่เพียงพอเพราะในที่สุดจะรักษาความสงบน้ันไว้ไม่ได้ ต้องทำหน้าที่ทำนุ

รฐั ประศาสนศาสตรต์ ามแนวพระพุทธศาสนา 8811 บำรุงประชาชนมิได้อดอยากเร่ืองการเลี้ยงชีพหรือเศรษฐกิจเป็นเร่ืองหลักที่ ผปู้ กครองจะต้องจัดการใหด้ ี หากทำเร่ืองนี้ไม่ดีแล้วศีลธรรมซ่ึงเป็นหลักสำคัญแห่งชีวิตของมนุษย์ก็ พลอยเสือ่ มสลายไปด้วย กล่าวคือ เศรษฐกิจไม่ใชจ่ ุดหมายที่สงู สุดของชีวิต ศีลธรรม (ต่างหาก) เป็นจุดหมาย แต่ถ้าขาดการจัดการทางเศรษฐกิจที่ดีแล้วรัฐก็พาคนไปถึง จดุ หมายของชีวติ ไม่ได้ ในความเป็นจริงแล้ว ในเร่ืองของความเสื่อมแห่งรัฐในทำนองนี้นั้น โสครา ตีส ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับรัฐหรือสังคมการเมืองที่ดีที่ไม่ยุติธรรมถึง 4 รูปแบบ ซ่ึงเป็น การค่อยๆเสื่อมลงเร่ือยๆ (gradual degeneration) ของรัฐที่ยุติธรรมและคนที่ ยุตธิ รรมและชุมพร สังขปรีชา ได้อธิบายว่า นครรฐั หรอื อาณาจกั รที่ยุติธรรมจะเสือ่ ม ลงสืบเนือ่ งมาจากความเสื่อมโทรมตกตำ่ (decay) เป็นชะตากรรมหรือวัฏสงสารของ สรรพสิ่งอันเป็นอมตะเป็นนิรันดรท้ังหลายท้ังปวง แต่เหตุผลเฉพาะของความเสื่อม โทรมเช่นนั้น ก็มิอาจอธิบายให้ทราบแน่ชัดได้เพียงแต่จะสามารถแสดงให้เห็นเป็น ความเชือ่ ถือในรูปของจำนวนเชิงเรขาคณิต คือ 1) ขั้นตอนแรก ของความเสื่อมโทรม คือ รัฐที่ถือเอาเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และความรงุ่ โรจนเ์ ป็นที่ตงั้ เปน็ จดุ มุ่งหมาย (timocracy) โดยมีสปารต์ า้ เป็นตัวอย่าง 2) ขั้นตอนที่สอง หรือรัฐที่กำ ลังเสื่อมโทรมลงคือ รัฐคณาธิปไตย (oligarchy) เปน็ รฐั ที่อำนาจเปน็ ของคนกลุ่มน้อยไมก่ ีค่ น 3) ขั้นที่สาม คือ รัฐประชาธิปไตย (democracy) คือการปกครองของ ประชาชนโดยตรงหรือโดยอ้อมผา่ นตวั แทนที่มาจากการเลือกตงั้ ทีแ่ ปรเปลีย่ นไปเป็น ฝงู ชนหมู่มากทีไ่ ร้เหตุผล 4) ขั้นที่สี่ คือ รัฐทรราชย์ (Tyranny) คือการปกครองของผู้ปกครองที่มี อำนาจเผดจ็ การทีก่ ดข่แี ละไมย่ ุตธิ รรม (ชมุ พร สงั ขปรชี า, 2531:60) สรุปได้ว่าพระสูตรนี้ เป็นพระสูตรที่ว่าด้วยอุดมคติรัฐตามแนวพุทธซ่ึงผู้นำ รฐั ไหนปฏิบตั ิตามได้ดังนี้ ย่อมเปน็ จักรพรรดิได้ คือ (1) เป็นผู้ทรงธรรม (2) มีรัตนะ 7 ประการ (3) รักษาจารีตประเพณีที่ดีงาม (4) มีสังคหวัตถุ 4 ประการ (5) หม่ันตรวจ

82 Public Administration Science in Buddhism 82 ตรา,ป้องกนั รักษาอาณาประชาราษฎร์ ธรรมท้ัง 5 ขอ้ นี้ ผนู้ ำเม่อื ปฏิบัติแล้วจึงจะถือ ว่าเป็นอุดมบุรุษ ส่วนระบอบการปกครองบ้านเมืองก็จะเป็นอุดมรัฐไปด้วย หากดู ตามพระสูตรนี้แล้ว ผู้นำเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ คือต้องเปน็ ผู้ปฏิบัติตามธรรมเท่าน้ัน แต่ถ้าระบอบการปกครองเป็นแบบจักรพรรดิ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าผนู้ ำจะต้องเป็นพระ เจ้าจกั รพรรดิตามหรือไม่อยา่ งไร การปกครองตามแนวกฏู ทนั ตสูตร ความเป็นมาของกูฏทันตสูตร (ที.สี. (ไทย) 9//323-358/125-150) คือสูตร ว่าด้วยเศรษฐศาสตร์การเมือง เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเสด็จจาริกไปแคว้นมคธพร้อม ภกิ ษุ 500 รูป พระองค์เสด็จถึงหมู่บ้านขาณุมัต ทรงประทับในสวนอัมพลัฏฐกิ า ใกล้ หมู่บ้านขาณุมัต ซึ่งมีพราหมณ์ชื่อว่า กูฏทันตะปกครองหมู่บ้านซ่ึงหมู่บ้านแห่งนี้เป็น ทีอ่ ุดมสมบูรณ์พรั่งพร้อมไปด้วยประชากร สัตว์เลี้ยงพืชพันธธุ์ ัญญาหาร น้ำ หญ้า ที่ พระเจ้าพิมพสิ าร ทรงพระราชทานปูนบำเหน็จให้ เมื่อชาวบ้านได้ทราบข่าวการเสด็จ มาคร้ังนีจ้ ึงได้พากันเข้าเฝ้า เวลานั้นพราหมณก์ ฏู ทนั ตะกำลังเตรียมการบูชายญั กไ็ ด้ เข้าเฝ้าพร้อมกับชาวบ้านด้วยจุดประสงค์เพ่ือต้องการทูลถามถึงยัญสมบัติ 3 ประการ องคป์ ระกอบ 16 ซึ่งตนยงั ไมร่ ู้ชดั พระพุทธเจ้าตรัสว่า พราหมณ์เร่ืองเคยมีมาแล้วว่า พระเจ้ามหาวิชิตราช ทรงเป็นผู้ม่ังคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีพืชพันธ์ุธัญญาหารเต็มท้องพระคลัง วัน หนึ่งทรงดำริที่จะทำการบูชามหายัญ พราหมณ์ปุโรหิต (โพธิสัตว์) จึงกราบทูลว่า บ้านเมืองของพระองค์ยังมีเสี้ยนหนาม มีการเบียดเบียน โจรยังปล้นบ้าน ปล้นนิคม ปล้นเมืองหลวง ดักจี้ในทางเปลี่ยวถ้าพระองค์จะทรงปราบปรามด้วยการประหาร จองจำ ปรบั ไหม ตำหนิโทษหรอื เนรเทศ จะมีโจรกลับเขา้ มาเบียดเบียนบ้านเมืองของ พระองคใ์ นภายหลังได้ ดังน้ัน พระองค์ควรปรบั วิธกี ารใหม่ คอื 1) ควรพระราชทานพชื พันธแุ์ ละอาหารให้แก่เกษตรกร 2) ควรพระราชทานต้นทนุ ให้แก่ผทู้ ำพาณิชยกรรม

รฐั ประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพทุ ธศาสนา 8833 3) ควรพระราชทานอาหารและเงินเดือนแกข่ ้าราชการ เมือ่ ทรงทำอย่างนีแ้ ล้ว พลเมืองจกั ขวนขวายในหน้าที่การงานของตน ไม่พา กันเบียดเบียนบ้านเมืองของพระองค์ และจักมีกองพระราชทรัพย์อย่างย่ิงใหญ่ บ้านเมืองก็จะอยรู่ ่มเยน็ ไม่มีเสี้ยนหนาม ไม่มีการเบียดเบียน ประชาชนจะชื่นชมยินดี ต่อกัน มคี วามสขุ กับครอบครัว อยู่อยา่ งไมต่ ้องปิดประตบู ้าน เปน็ ต้น 1. แนวคิดทางการปกครองในกูฏทนั ตสตู ร กูฏทันตสูตรเป็นพระสูตรที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐศาสตร์การเมือง เป็นพระ สูตรหนึ่งที่ทำให้เห็นถึงวิถีชีวิตความคิด วิธีการจัดการกับปัญหาและที่สำคัญคือ รปู แบบการปกครองถือว่าเป็นรูปแบบพิเศษในสมัยพุทธกาล โดยเฉพาะรูปแบบการ กระจายอำนาจและตำแหน่งในการปกครองของท้องถิน่ โดยมีรายละเอียด ดงั นี้ 1) การกระจายอำนาจ ถือว่าเป็นลักษณ ะพิเศษบางประการที่ ผู้ปกครองมอบให้ ในสมัยน้ันรูปแบบการปกครองท้องถิ่นหรือแบบพิเศษ เรียกว่า พรหมไทย คือหมายความว่าพระราชาทรงมอบรางวัลพิเศษให้ (พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), 2543:182) หรือของอันพรหมประทานของให้ที่ประเสริฐสุด ซ่ึง หมายถึง ที่ดินหรือบ้านที่พระราชทานบำเหน็จให้ ซ่ึงในที่นี้ก็คือทรงมอบหมู่บ้านชื่อ ขาณุมัต เป็นการแยกปกครองอิสระต่างหากจากแคว้นมคธ โดยพระเจ้าพิมพิสาร พระราชทานปูนบำเหน็จให้ ทีนี้ถ้ามองในแง่ของการกระจายอำนาจ (Decentralize) ซ่งึ รฐั บาลกลางได้มอบอำนาจให้ไปจดั การท้องถิ่น ตลอดจนการดำเนินการปกครอง และจัดทำกิจกรรมต่างๆด้วยตัวเอง (อัษฎางค์ ปาณิกบุตร, 2540:79) ซ่ึงเง่ือนไข ความอุดมสมบูรณ์ของชุมชนเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถปกครองตนเองได้ด้วย ดังพระ ดำรสั ว่า “สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจารกิ ไปในแคว้นมคธ พรอ้ มด้วยภิกษุสงฆ์ หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป เสด็จถึงหมู่บ้านพราหมณ์ชาวมคธชื่อขาณุมัตประทับอยู่ ในสวนอัมพลัฏฐิกาใกล้หมู่บ้านขาณุมัต สมัยน้ันพราหมณ์กฏู ทันตะปกครองหมู่บ้าน

84 Public Administration Science in Buddhism 84 ขาณุมัตซ่ึงมีประชากรและสัตว์เลี้ยงมากมาย มีพืชพันธุ์ธัญญาหารและน้ำหญ้าอุดม สมบูรณ์ เปน็ พระราชทรพั ย์ทีพ่ ระเจ้าพมิ พสิ าร ได้ทรงพระราชทานปนู บำเหนจ็ ใหเ้ ป็น พรหมไทย (ส่วนพิเศษ)”(ที.สี.(ไทย) 9/323-358/125) 2) ตำแหน่งทางการปกครองท้องถิ่น จะเห็นว่าชุมชนขาณุมัต เป็น ชุมชนที่เจริญและได้รับการพัฒนาพอสมควรโดยมีพราหมณ์กูฏทันตะเป็นผู้ดูและ ปกครองแต่ที่สำคัญมีอำมาตย์ที่ปรึกษา ซ่ึงอาจจะจำลองมาจากการปกครอง ส่วนกลาง แต่อำมาตย์ในที่นี้มีหน้าที่ปรึกษาติดต่อประสานงาน ไม่ได้เป็นตำแหน่ง บริหาร เหมอื นตำแหน่งปลัดในองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในปัจจุบนั แต่เป็น ตำแหน่งที่คล้ายกัน ซ่ึงเป็นเลขาของพราหมณ์กูฏทันตะ ซึ่งในพระสูตรมีตอนที่สือ่ ให้ เหน็ ถงึ เนือ้ ความนี้ว่า “พราหมณ์กูฏทันตะ จึงเรียกอำมาตย์ที่ปรึกษามาส่ังว่า พ่ออำมาตย์ ถ้า อย่างน้ันท่านจงไปหาพราหมณ์และคหบดีชาวบ้านขาณุมัต คร้ันแล้วจงบอกอย่างนี้ วา่ ท่านขอรับพราหมณ์กฏู ทนั ตะพูดว่า ขอท่านผู้เจริญท้ังหลายจงรอกอ่ น พราหมณ์ กูฏทันตะจะไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดมด้วย”(ที.สี. (ไทย) 9/329/126) 2. การมีสว่ นรว่ มของชุมชน การมีส่วนร่วมของชุมชนในการแสดงความคิดเห็นต่างๆที่ผู้ปกครองได้ กำหนดออกมาและมีผลกระทบท้ังโดยตรงและโดยอ้อม ประกอบไปด้วยการคัดค้าน นโยบาย การเสนอแนวทางพฒั นาและการทำประชาวิจารณ์ ดังนี้ 1) การคัดค้านนโยบาย (Appeal) แม้พระเจ้ามหาวิชิตราช จะทรงเป็น มหากษัตรยิ ์แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทรงมีพระราชอำนาจเตม็ ที่ ก็ต้องได้รบั การ รับรองจากเสนาอำมาตย์ก่อน จะเห็นว่าพราหมณ์ปุโรหิตเป็นเสมือนองคมนตรี เจ้า พธิ ีกรรมเสนาธิการในคนๆ เดียว แต่มีสิทธิในการเสนอความคิดเห็นโดยมสี ่วนรว่ มใน กระบ วนการท างการเมืองทุ กมิติอันเป็ นสิท ธิข้ันพ้ื นฐาน (Basic Rights or Fundamental Rights) และสิทธิของพลเมือง (Citizens Rights) (วัชรา ไชยสาร,

รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพทุ ธศาสนา 8855 2545:8) ทั้ งนี้ พ ระอ งค์ ท รงให้ ป ระชาชน มี ส่ วน ร่วม ท างก ารเมื อ ง (Political Participation) และกิจกรรมของประชาชนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกดดันหรือโน้มน้าวให้ รัฐบาลผู้นำผู้กำหนดนโยบาย ผู้มีอำนาจหรืออิทธิพลต่อทุกกระบวนการทางการ เมืองการปกครอง มีความเห็นหรือตัดสินใจ ซึ่งในที่นี้พราหมณ์ปุโรหิตได้เป็นตัวแทน แสดงทัศนะที่ไม่เห็นด้วยเป็นอย่างย่ิง ในเร่ืองดังกล่าวนี้ได้คัดค้านการบูชายัญ แบบเดิมๆทีเ่ คยปฏิบัติมาโดยกล่าวว่า “บ้านเมืองของพระองค์ยังมีเสี้ยมหนาม มีการเบียดเบียน โจรยังปล้นบ้าน ปล้นนิคม ปล้นเมืองหลวง ดักจี้ในทางเปลี่ยวเมื่อบ้านเมืองยังมีเสี้ยนหนาม พระองค์ จะโปรดให้ฟ้ืนฟูพิธีกรรมข้ึนจะชื่อว่าทรงกระทำสิ่งไม่สมควร ”(ที.สี. (ไทย) 9/338/131) เหตทุ ีค่ ัดค้านเพราะการทำการบชู ายัญตอ้ งใชเ้ คร่อื งประกอบมากมายอีกท้ัง ค่าใช้จ่ายก็มหาศาลในการเตรยี มการ นอกจากน้ันแล้วยังไม่ประกอบด้วยบุญ คือยัง มีการนำชีวติ ของสัตว์หลากหลายชนิดเขา้ มาทำพธิ ีกรรมอีกเปน็ จำนวนมาก 2) การเสนอแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน พราหมณ์ปุโรหิตได้แสดง วิสัยทัศน์ในการเสนอแนวทางในการพัฒนาบ้านเมืองให้มีความเจริญก้าวหน้าและ เกิดสันติสุขอย่างยั่งยืน โดยปฏิวัติความคิดที่จะทำลายล้างอาชญากร มาเป็นการ ส่งเสรมิ อาชีพหรือที่เรียกวา่ เศรษฐศาสตร์การเมือง (Political Economics) ให้กับผู้คน ในภายใต้การปกครองซ่ึงวิธีการดังกล่าวนี้ มีการ สำรวจข้อมูลในเชิงการวิจัยและ นำมาพัฒนา (Development) บ้านเมืองให้เกิดผลในเชิงรูปธรรมย่ิงข้ึน ผังภูมิปฏิรูป การเมืองใหมข่ องพระเจ้ามหาวิชิตราช ดังนี้

86 Public Administration Science in Buddhism 86 พระมหากษัตรยิ ์ กลุม่ เจ้าเมอื ง กลุม่ อำมาตย์ กล่มุ คหบดี กลมุ่ พราหมณ์ ประเทศราช ราชบริพารผู้ใหญ่ มหาศาล มหาศาล กลุม่ ชาวนาชาวไร่ ประธานพิธี กล่มุ พอ่ ค้าย่อย บูชามหายัญ อาชพี อิสระ กล่มุ ขา้ ราชการช้นั ผู้นอ้ ย แผนภาพ 4.1 ผังภูมิปฏิรูปการเมืองใหม่ของพระเจา้ มหาวิชิตราช แผนภาพต่อไปนี้คือ ยุทธศาสตร์ของพราหมณ์ที่ปรึกษาของพระเจ้ามหา วิชิตราช กราบทูลถวายเพ่ือให้ทรงประกอบพิธีบูชามหายัญแบบใหม่ที่ไม่ต้องงมงาย กับความเชื่อและประเพณีเดิมในการทำพิธีบูชาสิ่งศักดิ์โดยการฆ่าสัตว์เป็นการใหญ่ ตรงกนั ข้ามเป็นการปฏิรูปการปกครองโดยคำนึงถึงเป้าหมายคือประชาชนใน 3 กลุ่ม ระดบั ลา่ ง ซึง่ เปน็ ประชาชนส่วนใหญข่ องประเทศที่ยากจน ลำบากยากแค้นในการทำ มาหากิน ที่ภาษาปัจจุบันเรียกว่าปัญหารากหญ้า ซ่ึงถือว่าเป็นต้นแบบยุทธศาสตร์ การปฏิรปู เศรษฐกิจการเมืองแบบย่งั ยนื พราหมณ์ปุโรหติ จึงเสนอแนวทางในการแกป้ ญั หาแบบเบด็ เสรจ็ เด็ดขาดอกี 3 ประการ คือให้แจกพันธุ์พืชอาหารให้กับพลเมือง ให้แจกทุนในการค้าขายและให้ เงินเดือนแก่ขา้ ราชการ ซึ่งจะเหน็ ได้วา่ การเมืองเศรษฐกิจ สงั คม ยอ่ มผูกพันกนั อยา่ ง ชัดเจนกล่าวคือ ด้านการเมือง เมื่อผู้นำต้องการให้เกิดความผาสุกหรือการกินดีอยู่ดีของ ปวงชน ต้องวางนโยบายคอื กำหนดทิศทางโดยเน้นเศรษฐกจิ เปน็ ตัวนำ

รฐั ประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพทุ ธศาสนา 8877 ด้านเศรษฐกิจ แม้จะไม่ใช่เป้าหมายอันสูงสุดแต่ก็เป็นปัจจัยเกื้อหนุนมิใช่ น้อยที่จะผลักดันคนให้ก้าวเดินได้ ปุโรหิตได้วางเร่ืองเศรษฐศาสตร์การเมืองไว้ 3 ประการคอื (1) ทุนด้านการเกษตร ซ่งึ เปน็ อาชีพหลกั ของชมุ ชนและคนส่วนใหญ่ (2) ทุนด้านพาณิชย์ ซ่ึงเป็นกลไกรับและส่งระบบสินค้าสู่เมืองน้อย ใหญ่เพื่อใหร้ ะบบคล่องตวั มากยิง่ ข้นึ (3) ทุนด้านกำลังใจ ให้ข้าราชการรับเงินเดือน ซ่ึงเป็นการบำรุงขวัญ ให้กับผู้ใต้บังคบั บญั ชาจะได้ทุ่มเทในการทำงานตอ่ ไป พราหมณ์ปุโรหิต จึงได้แนะกลยทุ ธ์และวิธีการในการจำจัดเสี้ยนหนามแบบ ถอนรากถอนโคนเอาไว้เป็นหลกั การอีก ดงั นี้ (1) ขอให้พระองค์พระราชทานพันธ์ุพืชและอาหารให้แก่พลเมืองผู้ ขะมักเขม้นในการทำเกษตรกรรมและการเลี้ยงปศสุ ตั วใ์ นบ้านเมืองของพระองค์ (2) ขอให้พระองค์พระราชทานด้านทุนให้แก่พลเมืองผู้ขะมักเขม้นใน ด้านการพาณิชยกรรมในบ้านเมืองของพระองค์ (3) ขอให้พระองค์พระราชทานอาหารและเงินเดือนแก่ข้าราชการที่ ขยนั ขนั แขง็ ในบ้านเมืองของพระองค์ 3) ผลของการพัฒนา เม่ือทำได้ดังนี้แล้ว ย่อมจะก่อให้เกิดประโยชน์ นานัปการต่อประชาชน ผใู้ ต้การปกครองและรัฐบาลที่จะได้รับผลกลับย้อนคืนมาใน รปู แบบอื่นๆอีก 7 ประการ คือ (1) ประชาชนจะขยนั (อุตสาหกรรม) (2) ไม่เป็นโจร ปล้นชิงทรพั ย์, ลกั ขโมย (3) เกบ็ ภาษีอากรได้มากขึน้ (4) สังคมจะสงบสุข (5) ประชาชนจะมีความสามคั คี (6) ครอบครวั จะไมแ่ ตกแยก (7) อยู่อยา่ งปลอดภัยในชีวิตและทรัพยส์ นิ จะเห็นได้ว่า การแก้ปัญหาหรือวิธีการพัฒนาอย่างยั่งยืนน้ันมีส่วนประกอบ ของการศึกษาวิจัยมาอย่างดีและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้บ้านเมืองมี

88 Public Administration Science in Buddhism 88 ความปกติสุขย่ิงกว่าเดิมอีกหลายเท่า จนทำให้นึกถึงการปกครองในยุคของพระศรี อารยิ เมตไตย์ ดงั พระสูตรระบุวา่ “พลเมืองเหล่านั้นจักขวนขวายในหน้าที่การงานของตนไม่พากันเบียดเบียน บ้านเมืองของพระองค์และจักมีกองพระราชทรัพย์อย่างย่ิงใหญ่บ้าน เมืองก็จะอยู่ ร่มเย็น ไม่มีเสี้ยนหนามไม่มีการเบียดเบียนประชาชนจะชื่นชมยินดีต่อกัน มีความสุข กับครอบครวั ”ที.สี. (ไทย)9/338/132) 4) การทำประชาวิจารณ์ (Vote) เมื่อได้จัดการบ้านเมืองให้สงบสุข สมบูรณ์ตามคำแนะนำของพราหมณ์ปุโรหิตแล้ว จึงคิดจะบูชามหายัญให้ได้ ดังน้ัน พราหมณ์ปุโรหิตจึงแนะนำให้แสวงหาความร่วมมือกับบุคคลสำคัญต่างๆเหมือนกับ การทำประชาวิจารณ์ก่อนกับเหลา่ ขา้ ราชบรพิ าร ดงั นี้ “ถ้าอย่างนั้น ขอพระองค์โปรดรับส่ังให้เชิญเจ้าผู้ครองเมืองในนิคมและอยู่ ในชนบทท่ัว พระราชอาณาเขตของพระองค์ โปรดรับสั่งให้เชิญพราหมณ์มหาศาลที่ อยู่ในนิคมและอยู่ในชนบทท่ัวพระราชอาณาเขตของพระองค์ โปรดรับสั่งให้เชิญ อำมาตย์ราชบริพารที่อยู่ในนิคมและอยู่ในชนบททั่วพระราชอาณาเขตของพระองค์ โปรดรับสั่งให้เชิญพราหมณ์มหาศาลที่อยู่ในนิคมและอยู่ในชนบททั่วพระราชอาณา เขตของพระองค์ และโปรดรับส่ังให้เชิญคหบดีผู้ม่ังคั่งอยู่ในนิคมและอยู่ในชนบทท่ัว พระราชอาณาเขตของพระองค์ มาปรึกษาว่า ท่านผู้เจริญท้ังหลาย เราปรารถนาจะ บูชามหายัญ ขอพวกท่านผู้เจริญจงร่วมมือกับเราเพ่ืออำนวยประโยชน์สุขแก่เรา ตลอดกาลนาน” (ที.สี (ไทย) 9/339/132) ดังน้ัน อาจกล่าวได้ว่า กูฏทั นตสูตรเป็ นพ ระ สูตรที่ เกี่ยวข้องกับ เศรษฐศาสตร์ การเมือง เป็นพระสูตรหนึ่งที่ทำให้เห็นถึงวิถีชีวิตความคิด วิธีการ จัดการกับปัญหาและที่สำคัญคือ รูปแบบการปกครอง ถือว่าเป็นรูปแบบพิเศษใน สมัยพุทธกาล โดยเฉพาะรูปแบบการกระจายอำนาจและตำแหน่งในการปกครอง ของท้องถิน่ เปน็ ต้น

รัฐประศาสนศาสตร์ตามแนวพระพุทธศาสนา 8899 การปกครองตามแนวมหาสีหนาทสตู ร มหาสีหนาทสูตร (ม.ม.(ไทย)12/146-162/141-165) เป็นสูตรว่าด้วยการจัด องค์กรในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงประทับ ณ ราวป่าด้านทิศตะวันตกภายนอก พระนครเขตกรุงเวสาลี ได้ทรงตรัสมหาสีหนาทสตู ร ดังน้ี 1. ความเป็นมาของมหาสีหนาทสูตร สมัยน้ันโอรสของเจ้าลิจฉวีพระนามว่า สุนักขัตตะ ลาสิกขาจากพระธรรม วินัย (สึกจากความเป็นพระ) ได้ไม่นาน ได้กล่าวในท่ามกลางที่ประชุม ณ กรุงเวสาลี โดยตำหนิพระพุทธเจ้าว่าไม่มีญาณทัสสะที่ประเสริฐสามารถวิเศษย่ิงกว่าธรรมของ มนุษย์ สมณโคดมแสดงธรรมที่ประมวลมาด้วยความตรกึ ที่ไตร่ตรองด้วยการคิดค้น แจ่มแจ้งได้เอง ธรรมที่สมณโคดมแสดงธรรมเพื่อประโยชน์แก่บุคคล ย่อมนำไปเพื่อ ความสิ้นทกุ ขโ์ ดยชอบสำหรบั บุคคลผู้ปฏิบตั ิตามธรรมน้ัน พระสารีบุตรเถระเข้าไปบิณ ฑบาต ได้สดับคำเช่นน้ัน จึงกราบทูล พระพุทธเจ้าๆจึงได้ตรัสว่าสารีบุตร โอรสเจ้าลิจฉวีพระนามว่าสุนักขัตตะ เป็นโมฆะ บุรษุ มกั โกรธ คิดว่าจักกลา่ วติเตียน แตก่ ลบั กล่าวสรรเสรญิ คณุ ตถาคตอยนู่ ั้นแล ลำดบั น้ัน พระพุทธเจ้าจึงตรสั ถึงคุณและองค์ธรรมที่เจ้าลิจฉวีพระนามวา่ สุ นกั ขตั ตะ จะไมม่ ีโอกาสได้ทราบ เช่น ทรงเป็นพระอรหันต์ ทรงสามารถแสดงอิทธิพล ได้ ทรงสดับเสียงทิพย์ได้ ทรงรู้ใจสัตว์ได้ หลังจากน้ัน พระพุทธเจ้าจึงตรัสกำลังแห่ง ตถาคต 10 ประการ (ม.ม. (ไทย)11/148/144), เวสารชั ชญาณ (ญาณเปน็ เหตุให้แกล้ว กล้า) 4 ประการ, บริษัท 8,กำเนิด 4, คติ 5, ทรงรู้เห็นการไปทุคติและสุคติของ บุคคล, พรหมจรรย์มีองค์ 4, การบำเพ็ญตบะ,การประพฤติถือสิ่งเศร้าหมอง, การ ประพฤติรังเกยี จ,ความประพฤติเป็นผู้สงดั , ลัทธิที่วา่ ความบรสิ ุทธิ์มีได้เพราะอาหาร, ลัทธิที่ว่าความบริสุทธิ์มีได้เพราะสังสารวัฏ, สัตว์ผู้ไม่หลงเป็นต้น เป็นหลักธรรมที่

90 Public Administration Science in Buddhism 90 พระพทุ ธองค์ได้ทรงตรัสไว้ในมหาสีหนาทสตู รและเป็นที่มาของการจัดองคก์ รสงฆใ์ ห้ มีความเรียบร้อยในกาลตอ่ มา 2. การจัดองคก์ รในมหาสีหนาทสูตร ในมหาสีหนาทสูตรนี้ หากจะเทียบเคียงแนวคิดเรอ่ื งของการจัดองค์กรแล้ว จะเหน็ ถงึ ความคล้ายคลึงกนั อยูไ่ มน่ ้อยคำวา่ “องคก์ ร”หรือ“องคก์ าร”คือกลมุ่ สงั คมที่ มีคนต้ังแต่สองคนข้ึนไปมาร่วมกระทำกิจกรรม เพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างใด อย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างร่วมกัน โดยมีรูปแบบหรือโครงสร้างความสัมพันธ์ในการ กระทำกิจกรรมรว่ มกันอย่างน้อยรปู แบบของความสัมพนั ธ์จะต้องปรากฏขึ้นชัว่ ระยะ หนึ่ง ซ่ึงนานพอที่จะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน (มานพ สวามิชัย, 2537:1) ส่วนคำว่า “บริษัท”คือ กลุ่มคน, หมู่คน, คณะหรือการรวมกันของหมู่ชนซ่ึงคำดงั กล่าวนี้อาจจะ มีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า องค์กรหรือองค์การ ดังพระดำรัสว่า สารีบุตรกำลัง ของตถาคต 10 ประการนี้ ตถาคตมีแล้ว เป็นเหตุให้ปฏิญญาฐานะที่องอาจบันลือสี หนาทประกาศพรหมจักรในบริษัท หากมองในแง่ของทฤษฎีแล้ว คำวา่ บริษทั ในพระ สูตรนีก้ ็ไมเ่ ป็นอะไรไปมากกว่ากลุ่มชนทีม่ ีกรรม พฤติกรรม วิบากกรรมที่แตกตา่ งกัน ไป ซ่ึงไม่ใช่องค์การในลักษณะของระบบที่ถือว่า องค์การเป็นระบบของสังคมที่ ประกอบไปด้วยระบบย่อยๆหรือส่วนประกอบต่างๆ เช่น มีวัตถุประสงค์ กิจกรรม หรืองานที่ต้องทำในองค์กรโครงสร้าง คนที่ทำงาน ทรัพยากร เทคโนโลยีและ สิ่งแวดล้อม เชน่ อิทธิพลทางการเมืองเปน็ ต้น ในด้านพทุ ธวิธีการจัดองคก์ รทีเ่ ห็นชดั เจน คือ การรบั สมาชิกใหม่เข้ามาบวช เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา จะมีการกำหนดให้สมาชิกทุกคน เร่ิมต้นจากศูนย์ นน่ั คือ ไม่มีการอนุญาตให้นำชาติช้ันวรรณะหรือตำแหน่งหนา้ ทีใ่ นเพศฆราวาสเข้ามา ในองค์กรคณะสงฆ์ ดังพทุ ธพจน์ที่วา่ “เปรยี บเหมือนแม่น้ำใหญ่บางสายคือ แม่น้ำคง คา ยมนา อจิรวดี สรภู มหี ไหลถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและโคตรอันเดิมเสีย ถึงซ่ึงอันนับว่ามหาสมุทร เหมือนกันวรรณะ 4 เหล่าคือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook