Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้

เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้

Published by supasit.kon, 2022-08-05 03:28:48

Description: เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการสอน รายวิชาเทคโนโลยสี ารสนเทศเพอ่ื การเรยี นรู้ (Information Technology for learning) ( GE40004 ) กนกพร ดวงสวุ รรณ กศ.ม. (เทคโนโลยีการศกึ ษา) สานักวชิ าศกึ ษาท่วั ไป มหาวิทยาลยั ราชภฏั อุดรธานี 2557

คานา เอกสารประกอบการสอน วิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ รหัสวิชา GE40004 จานวนหน่วยกิต 3(2-2-5) เล่มนี้เรียบเรียงขึ้นมาเพ่ือใช้ประกอบการเรียนการสอนตามหลักสูตรรายวิชา พ้ืนฐาน (บังคับเลือก) ซึ่งเป็นวิชาอยู่ในกลุ่มวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี สังกัดสานักวิชา ศึกษาทั่วไป เอกสารประกอบการสอนเล่มนี้เริ่มใช้ประกอบการเรียนการสอนกับนักศึกษาชั้นปีท่ี 1-4 ระดับปริญญาตรี เร่ิมตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557 เป็นต้นมา ผู้เขียนได้ทาการปรับปรุงและ แก้ไขมาโดยตลอด เอกสารประกอบการสอนเล่มน้ีมีเนื้อหาทั้งหมดจานวน 6 บทเรียน ซ่ึงมีเน้ือหา เกยี่ วกับเทคโนโลยีสารสนเทศโดยนาเสนอตามลาดับ คือ ลาดบั ที่ 1 ความรูเ้ บ้อื งต้นเกี่ยวกบั เทคโนโลยีสารสนเทศ ลาดับท่ี 2 ฐานข้อมลู และการจัดการข้อมูล ลาดับท่ี 3 ระบบสารสนเทศ ลาดบั ที่ 4 จริยธรรมและจรรยาบรรณในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ ลาดับท่ี 5 การสอื่ สารขอ้ มลู ลาดบั ท่ี 6 ระบบเครอื ข่ายและอินเทอรเ์ น็ต นอกจากนีแ้ ตล่ ะบทยังมกี ารสรุปเนื้อหา และมีแบบทดสอบในรูปแบบปรนัยและอัตนัย พร้อม เฉลย ในส่วนของคู่มือปฏิบัติการฝึกทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ ผู้เรียบเรียงได้กล่าวถึงเน้ือหาเก่ียวกับการ ใช้โปรแกรมระบบปฏิบัติการ (Windows7) และ โปรแกรมประยุกต์ข้อมูล (Microsoft Word 2010) โปรแกรมจัดเก็บข้อมูล (Microsoft Excel 2010) และโปรแกรมนาเสนอข้อมูล (Microsoft PowerPoint 2010) ในส่วนของแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องในรูปแบบภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ผู้เรียบเรียงได้แทรก รูปภาพและตารางข้อมูล และใช้คาศัพท์ที่เข้าใจง่ายโดยอ้างอิงคาศัพท์คอมพิวเตอร์ตามฉบับ ราชบณั ฑิตยสถานพุทธศักราช 2546 เพ่ือใหผ้ ูเ้ รยี นเขา้ ใจงา่ ยขึ้น ผู้เรยี บเรียงขอขอบพระคณุ เจ้าของงานเขียนทุกท่านที่ถูกอ้างอิงในเอกสารประกอบการสอนเล่ม นี้ ท้ังน้ีผู้เรียบเรียงไม่ได้ตั้งใจที่จะละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้ใด หากมีเนื้อหาสาระ ข้อความหรือรูปภาพ บางส่วน ท่ีผู้เรียบเรียงไม่ได้อ้างอิงถึง ผู้เรียบเรียงขออนุญาตมา ณ ที่นี้ ผู้เรียบเรียงจึงหวังว่าเอกสาร ประกอบการสอนเล่มน้ีจะเป็นประโยชน์แกผ่ ู้เรยี นและผูส้ นใจเป็นอย่างยง่ิ กนกพร ดวงสุวรรณ 1 กรกฏาคม 2557

สารบัญ (3) คานา หน้า สารบญั สารบัญตาราง (1) สารบญั รปู (3) แผนการบริหารการสอนประจาวิชา (7) แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 1 (8) บทที่ 1 ความรเู้ บ้ืองตน้ เก่ียวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ (13) 1 ความหมายของคอมพวิ เตอร์ 3 คุณสมบตั ขิ องคอมพิวเตอร์ 4 การนาคอมพวิ เตอรม์ าประยุกต์ใชง้ าน 4 ยุคของคอมพิวเตอร์ 4 ประเภทของคอมพิวเตอร์ 5 องคป์ ระกอบของคอมพวิ เตอร์ 12 หลักการทางานของคอมพิวเตอร์ 19 ผลกระทบจากการนาคอมพิวเตอร์มาใช้งาน 25 ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ 27 ความสาคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศ 29 คุณลักษณะของเทคโนโลยีสารสนเทศ 30 ประโยชน์ของเทคโนโลยสี ารสนเทศ 31 แนวโนม้ ของเทคโนโลยสี ารสนเทศในอนาคต 32 บทสรุป 39 แบบฝกึ หัดท้ายบท 41 เอกสารอา้ งอิง 43 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทที่ 2 46 บทที่ 2 ฐานขอ้ มลู และการจัดการข้อมูล ความหมายของข้อมลู 47 โครงสร้างแฟม้ ข้อมูล 49 ความหมายของฐานข้อมูล 50 การจดั การฐานข้อมลู 51 การประยกุ ต์ใช้ฐานข้อมูลในปัจจบุ ัน 52 การจดั โครงสร้างแฟ้มข้อมลู 57 58 60

(4) สารบัญ (ต่อ) หนา้ บทที่ 2 ฐานขอ้ มลู และการจัดการข้อมูล (ตอ่ ) 62 บทสรุป 63 แบบฝึกหัดทา้ ยบท 66 เอกสารอา้ งอิง 67 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทที่ 3 69 บทท่ี 3 ระบบสารสนเทศ 69 70 ความหมายของระบบสารสนเทศ 71 คุณลกั ษณะของระบบสารสนเทศในยุคปจั จบุ ัน 71 องคป์ ระกอบของระบบสารสนเทศ 71 ความสาคญั ของระบบสารสนเทศ 73 ประโยชน์ของระบบสารสนเทศ 74 ปัจจยั ในการนาระบบสารสนเทศมาประยุกต์ใชใ้ นงานธรุ กิจและภาครฐั 75 ขนั้ ตอนการผลติ สารสนเทศ 83 ประเภทของระบบสารสนเทศ 85 ระดับการปฎิบัติงานของบุคลากรในระบบสารสนเทศ 86 บทสรุป 91 แบบฝึกหัดท้ายบท เอกสารอ้างอิง 91 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 4 93 บทที่ 4 จรยิ ธรรมและจรรยาบรรณในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ 93 ความหมายของจริยธรรม 94 จริยธรรมในสงั คมยคุ ปัจจบุ นั 99 กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ 100 พระราชบญั ญัตวิ า่ ด้วยการกระทาความผดิ เกีย่ วกบั คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 106 อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ 107 การรกั ษาความปลอดภยั ของระบบสารสนเทศ 108 ข้อควรระวังและแนวทางป้องกันการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ 112 บทสรปุ 113 แบบฝึกหดั ทา้ ยบท 116 เอกสารอ้างอิง

สารบญั (ต่อ) (5) แผนบรหิ ารการสอนประจาบทที่ 5 หน้า บทที่ 5 การสอ่ื สารข้อมลู 117 119 ความหมายของการส่ือสารข้อมูล 119 ความหมายของเทคโนโลยี 119 องคป์ ระกอบของการส่ือสารข้อมูล 119 ความหมายของระบบเครือข่าย 121 ทศิ ทางการส่งข้อมลู 122 ตวั กลางการสอ่ื สาร 123 การประยุกต์ใชง้ านระบบเครือข่าย 127 ประเภทของระบบเครือข่าย 134 เครือข่ายไร้สาย 135 สถาปัตยกรรมของระบบเครอื ขา่ ย 138 การส่งผา่ นข้อมลู 139 สอ่ื กลางสง่ ข้อมูล 141 อปุ กรณท์ ใี่ ช้งานบนระบบเครือขา่ ย 152 คุณลักษณะของระบบเครอื ขา่ ยส่อื กลางส่งข้อมลู 156 ชนดิ ของสัญญาณข้อมูล 159 โครงสรา้ งเครอื ข่ายคอมพิวเตอร์ 160 รูปแบบการประมวลผลข้อมูลในเครือข่าย 163 บทสรปุ 165 แบบฝกึ หัดทา้ ยบท 167 เอกสารอา้ งอิง 170 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทที่ 6 บทท่ี 6 ระบบเครือขา่ ยและอนิ เทอรเ์ น็ต 171 ความหมายของอินเทอร์เน็ต 171 ความเปน็ มาของอินเทอรเ์ น็ต 171 อนิ เทอรเ์ น็ตในประเทศไทย 171 การแทนชอ่ื ทีอ่ ยู่ของระบบอนิ เทอรเ์ น็ต 174 การเช่ือมต่อระบบอินเทอร์เน็ต 176 เครือขา่ ยอินทราเนต็ (Intranets) และเอก็ ซ์ทราเนต็ (Extranets) 179 เวิลด์ไวดเ์ วบ็ 180 โปรแกรมเวบ็ เบราเซอร์ 182 บรกิ ารบนอนิ เทอรเ์ น็ต 183 185

(6) หน้า สารบญั (ต่อ) 203 205 บทท่ี 6 ระบบเครือข่ายและอินเทอรเ์ นต็ (ตอ่ ) 206 การคน้ หาขอ้ มูลโดยใชเ้ วบ็ เบราเซอร์ 208 เวบ็ เพจศนู ยร์ วม 210 บทสรุป 212 แบบฝึกหดั ทา้ ยบท 213 เอกสารอ้างอิง 224 226 บรรณานุกรม ภาคผนวก ภาคผนวก ก. เฉลยแบบฝกึ หัดทา้ ยบทตอนที่ 1 ภาคผนวก ข. คูม่ ือปฏบิ ตั ิการคอมพิวเตอร์

สารบัญตาราง (7) ตารางที่ หนา้ 1.1 บุคลากรทีม่ อี าชีพที่เก่ียวขอ้ งกับเทคโนโลยีสารสนเทศ 23 1.2 ชื่อโดเมนแทนประเภทขององค์การ 177 1.3 ชือ่ โดเมนแทนประเภทขององค์กร 178 1.4 ชอื่ โดเมนแทนประเทศ 178 1.5 ชื่อโดเมนย่อยแทนประเภทขององค์การ 179 1.6 จานวนผ้ปู ระกอบการจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนกิ ส์ 179

(8) หน้า สารบญั รูป 6 6 รูปที่ 7 1.1 ชารล์ ส์ แบ็บเบจ กับเครือ่ ง Analytical Engine 7 1.2 เครอื่ ง Tabulating Machines 7 1.3 เครื่อง ENIAC 8 1.4 เคร่ือง UNIVAC 8 1.5 บตั รเจาะรูและเทปกระดาษ 8 1.6 หลอดสูญญากาศ (ยุคที่ 1) 9 1.7 ทรานซิสเตอร์ (ยคุ ท่ี 2) 10 1.8 เครอ่ื ง IBM 1401 10 1.9 เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (IBM System/360) 11 1.10 ไมโครคอมพวิ เตอร์ (IBM-PC) 12 1.11 คอมพิวเตอรย์ ุคที่ 5 13 1.12 ซเู ปอรค์ อมพวิ เตอร์รุ่น Roadrunner 13 1.13 เมนเฟรมคอมพวิ เตอร์ 14 1.14 คอมพิวเตอร์เวร์กสเตชัน่ 14 1.15 มินิคอมพวิ เตอร์ 15 1.16 เดสก์ทอ็ ปพีซี กบั ทาวเวอร์พซี ี 15 1.17 ออลอินวันพีซี 16 1.18 คอมพิวเตอร์โนต๊ บุ๊ค 16 1.19 แท็บเลต็ คอมพวิ ตอร์แบบ Convertible 17 1.20 แท็บเล็ตคอมพิวตอร์แบบ Slate 18 1.21 อัลตรา้ บ๊กุ 18 1.22 เปรียบเทียบขนาดของอลั ตร้าบุค๊ และเน็ตบุ๊ค 19 1.23 แท็บเลต็ 20 1.24 อุปกรณ์พีดีเอ 22 1.25 เทคโนโลยี Converging 27 1.26 ส่วนประกอบของฮาร์ดแวร์ 29 1.27 ชนดิ ของซอฟต์แวร์ 33 1.28 หลักการทางานของคอมพิวเตอร์ 34 1.29 แสดงความสัมพันธข์ องข้อมูลและสารสนเทศ 34 1.30 หอ้ งสมุดดิจิทลั 1.31 อินเทอร์เนต็ ทวี ี 1.32 การใช้คอมพวิ เตอร์ตามบ้านพักอาศัย

สารบัญรูป (ตอ่ ) (9) รปู ที่ หนา้ 1.33 การใช้คอมพวิ เตอร์กบั การศึกษา 1.34 การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์กบั การงานด้านต่างๆ 36 1.35 การทาธรุ กรรมรูปแบบต่างๆ 37 1.36 ตัวอยา่ งการใชง้ าน m-Commerce 38 2.1 แสดงโครงสร้างข้อมลู แฟ้มขอ้ มลู นักศึกษา 38 2.2 แสดงตวั อย่างฐานข้อมลู ลงทะเบียน 51 2.3 แสดงการรวบรวมข้อมลู ฐานข้อมูลและระบบลงทะเบยี น 51 2.4 แสดงการจัดเก็บข้อมูล 51 2.5 แสดงแบบจาลองฐานข้อมูลลาดับขั้น 52 2.6 แสดงแบบจาลองฐานข้อมลู แบบเครือขา่ ย 54 2.7 แบบจาลองฐานข้อมลู แบบเชงิ สัมพันธ์ 55 2.8 แบบจาลองฐานข้อมูลเชงิ วัตถุ 55 2.9 แบบจาลองฐานข้อมลู มัลติไดแมนชัน 56 2.10 ตัวอย่างประมวลผลข้อมูลแบบกลมุ่ 56 2.11 ตัวอยา่ งการประมวลผลข้อมูลแบบทันที 59 3.1 องคป์ ระกอบของระบบสารสนเทศคอมพวิ เตอร์ 59 3.2 ระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ (MIS) 71 3.3 ตัวอยา่ งรายงานที่ไดจ้ ากระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ 76 3.4 ระบบสนบั สนนุ การตดั สินใจ (DSS) 77 3.5 ระบบสารสนเทศสาหรับผู้บริหารระดับสูง (EIS) 78 3.6 ตัวอยา่ งการประยกุ ต์ใช้ Al ดา้ นศาสตรห์ ุน่ ยนต์ 80 3.7 การทางานของระบบผเู้ ช่ียวชาญ (ES) 80 3.8 ความสัมพนั ธ์ของระบบสารสนเทศแบบต่างๆ 81 3.9 ระดบั ของผุ้ใชส้ ารสนเทศ 83 4.1 ตัวอย่างสแปมเมล 84 4.2 ตัวอยา่ งขอ้ ตกลงการใช้ซอฟต์แวร์ 95 4.3 เว็บไซต์สาหรบั ดาวน์โหลด Shareware และ Freeware 98 4.4 กฎหมายเทคโนโลยีของไทย 98 4.5 ตัวอยา่ งอุปกรณ์เพื่อใช้รักษาความปลอดภยั 99 4.6 การป้องกนั ระบบดว้ ย Firewall 107 4.7 ตวั อย่างฟิชช่ิง 108 5.1 องค์ประกอบของการส่ือสาร 111 120

(10) หนา้ สารบญั รปู (ต่อ) 121 122 รปู ที่ 123 5.2 การสอื่ สารข้อมูลด้วยโทรศัพท์ 124 5.3 ทศิ ทางการสง่ ข้อมูล 124 5.4 สายคู่บิดเกลียวแบบมชี ั้นโลหะห่อหุ้ม 125 5.5 สายโคแอกซยี ล 126 5.6 สายใยแก้วนาแสง 126 5.7 การสือ่ สารขอ้ มูลด้วยแสงอินฟราเรด 127 5.8 เสาสง่ สญั ญาณไมโครเวฟ 127 5.9 การสอ่ื สารผา่ นดาวเทยี ม 128 5.10 โทรศัพท์เซลลลู าร์ 129 5.11 โทรศัพทแ์ บบดาวเทียม 130 5.12 การนาระบบ GPS มาประยกุ ตใ์ ชง้ านทางด้านต่างๆ 130 5.13 การนาระบบตรวจสอบมาใช้เพื่อตดิ ตามยานพาหนะ 131 5.14 อปุ กรณ์ Slingbox 132 5.15 การประชุมทางไกลด้วยเทคโนโลยี Videoconferencing 132 5.16 Videoconferencing มาประยกุ ต์ใชก้ ารเรียนการสอนแบบทางไกล 133 5.17 ระบบการแพทยท์ างไกล 133 5.18 ระบบเครอื ข่าย LAN , Man และ WAN 134 5.19 ตัวอยา่ งระบบเครือข่ายแบบไร้สาย (WLAN) 136 5.20 การเช่อื มตอ่ ของระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์แบบแมน (MAN) 137 5.21 การเชื่อมตอ่ ของระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์แบบแวน (WAN) 137 5.22 ตวั อย่างบลูทูธ 138 5.23 ตวั อยา่ งไว-ไฟ 139 5.24 การประยุกตใ์ ช้ไวแมกซ์ 140 5.25 ระบบเครือข่ายแบบไคลแอนเซริ ์ฟเวอร์ 141 5.26 ระบบเครอื ขา่ ยแบบเพยี ร์ทูเพยี ร์ 142 5.27 สญั ญาณแอนะล๊อกและดิจิตอล 142 5.28 เปรยี บเทียบรปู แบบการสง่ ข้อมูลแบบอนกุ รมและแบบขนาน 142 5.29 สายคู่บิดเกลยี ว (cat 5) 143 5.30 ปลัก๊ เช่อื มตอ่ แบบ RJ-45 และ RJ11 144 5.31 สายโคแอกเชยี ลและหัวเช่ือมต่อ BNC 5.32 โครงสร้างภายในของสายไฟเบอรอ์ อปติกและหวั เชอ่ื มต่อชนดิ ตา่ งๆ 5.33 สเปกตรัมคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้

สารบัญรูป (ตอ่ ) (11) รูปท่ี หนา้ 5.34 เสารบั สง่ คลื่นโทรศพั ท์เคล่ือนที่ (Cell Tower) 145 5.35 แสดงการทางานของโทรศัพท์เซลลูลาร์ 145 5.36 การสอ่ื สารดว้ ยคลน่ื ไมโครเวฟระหว่างสถานแี ละดาวเทียม 146 5.37 ตราสัญลักษณ์ Wi-Fi Zone 148 5.38 ชุดหูฟังพรอ้ มไมโครโฟนแบบไร้สาย 150 5.39 อุปกรณต์ ่างๆ ท่ีมีการเชอ่ื มต่อถึงกันแบบไรส้ ายด้วยเทคโนโลยีบลทู ธู 151 5.40 Wi-Fi Wireless USB Adapter 151 5.41 Wi-Fi Direct 152 5.42 การด์ ระบบเครือข่ายชนิดต่างๆ 153 5.43 เครื่องทวนสัญญาณ (Repeater) บนระบบเครือข่ายแลน 153 5.44 อปุ กรณท์ วนสญั ญาณ (Range Extender) 154 5.45 อุปกรณ์สวติ วง่ิ ฮับ 155 5.46 Wireless ADSL Router 155 5.47 อปุ กรณ์เกตเวย์ (Gateway) 156 5.48 โทโพโลยแี บบบัส 157 5.49 โทโพโลยแี บบดาว 157 5.50 โทโพโลยแี บบวงแหวน 158 5.51 โทโพโลยแี บบวงแมช 158 5.52 สญั ญาณดจิ ทิ ลั 159 5.53 แสดงการแปลงสญั ญาณ 160 5.54 โครงสรา้ งระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์แบบบสั 160 5.55 โครงสร้างระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์แบบวงแหวน 161 5.56 โครงสร้างระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์แบบดาว 162 5.57 โครงสร้างระบบเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์แบบแมช 162 5.58 โครงสรา้ งระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์แบบผสม 163 5.59 การประมวลผลข้อมูลท่ีศนุ ย์กลาง 163 5.60 การประมวลผลข้อมูลแบบไคลเอนต์/เซริ ์ฟเวอร์ 164 6.1 หมายเลขไอพีและระบบชื่อโดเมน 175 6.2 เครอื ขา่ ยไทยสาร 175 6.3 ระบบชอื่ โดเมน 177 6.4 การเชอื่ มตอ่ อินเทอร์เน็ต 180

(12) หน้า สารบญั รูป (ตอ่ ) 181 181 รปู ที่ 182 6.5 ระบบเครอื ข่ายอนิ ทราเน็ต 183 6.6 ระบบเครอื ขา่ ยเอ็กซ์ทราเน็ต 184 6.7 ตัวอย่างเวบ็ เพจ 184 6.8 ตัวอย่างภาษา HTML 185 6.9 ตวั อยา่ งโปรแกรมเวบ็ เบราเซอร์ 186 6.10 ตวั อย่างโปรแกรมเวบ็ เบราเซอร์สาหรับพดี ีเอ 187 6.11 บริการบนอนิ เทอร์เนต็ 188 6.12 ตวั อย่างอเี มล 189 6.13 การสนทนาออนไลนผ์ า่ นโปรแกรม Microsoft MSN Messenger 190 6.14 rการสนทนาออนไลน์ดว้ ย Microsoft NetMeeting 190 6.15 ตัวอยา่ งการใช้ Telnet 191 6.16 การดาวนโ์ หลด และอับโหลด 194 6.17 การขนถ่ายไฟล์ (FTP) 194 6.18 เทคโนโลยีอนิ เทอร์เน็ต 197 6.19 ตัวอย่างธรุ กจิ แบบคลกิ และมอร์ต้า 198 6.20 ตวั อยา่ งธรุ กจิ แบบคลกิ และคลิก 198 6.21 ตวั อย่างธุรกจิ แบบ B2C 199 6.22 ธุรกจิ กับลกู ค้า 199 6.23 การจดทะเบียนการคา้ 200 6.24 การประมูลสินค้า 201 6.25 การคานวณและชาระภาษีออนไลน์ 202 6.26 ตวั อยา่ งหนา้ ร้าน 203 6.27 ตวั อย่างระบบตะกร้ารบั คาสงั่ ซ้ือ 206 6.28 ตัวอยา่ งระบบการชาระเงิน 207 6.29 กระบวนการทางพาณิชย์อิเลก็ ทรอนิกส์ 6.30 ตวั อย่างเว็บไซตท์ ่ีช่วยค้นหาข้อมูล 6.31 ตวั อยา่ งเว็บศนู ย์รวม (Portal Web)

(13) แผนบริหารการสอน (Course Syllabus) รายวิชา เทคโนโลยสี ารสนเทศเพอ่ื การเรยี นรู้ (Information Technology for learning) รหัสวิชา GE40004 จานวนหน่วยกติ 3 (2-2-5) คาอธบิ ายรายวิชา ศึกษา วิเคราะห์ความสาคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ และระบบสารสนเทศเพ่ือการสืบค้น และแสวงหาความรู้ในสังคมยคุ ตวั เลข และยุคแห่งปัญญา ที่มีผลต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์ การ ใช้งานเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ การใช้โปรแกรมระบบและโปรแกรมประยุกต์ การจัดเก็บและนาเสนอ ข้อมูล การสื่อสารและแลกเปล่ียนข้อมูลสารสนเทศบนระบบเครือข่าย การเคารพสิทธิทางปัญญา คุณธรรม จริยธรรมในสงั คมสารสนเทศ วัตถุประสงค์รายวิชา เมอ่ื นักศึกษาเรยี นรายวชิ าน้ีแล้ว นักศึกษาจะเกิดการเรียนรู้ ความสามารถ และ สมรรถนะที่ ต้องการในด้านต่างๆ 1. เพื่อให้ผู้เรียนมีพื้นฐานความรู้ ความเข้าใจ ความหมายความสาคัญของเทคโนโลยี สารสนเทศในยคุ ปัจจุบัน 2. เพื่อให้ผู้เรียนนาความรู้เรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีได้รับไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน ได้ 3. เพอ่ื ให้ผู้เรยี นสามารถวิเคราะห์กระบวนการจดั การสารสนเทศได้อยา่ งเป็นระบบ 4. เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายและการทางานของระบบสารสนเทศสาหรับองค์กรในยุค ปจั จบุ ัน 5. เพื่อให้ผูเ้ รยี นเข้าใจความหมายของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และวิเคราะห์ ประยุกต์ใช้ งานระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ได้ 6. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการติดต่อส่ือสารข้อมูลบนระบบ เครอื ข่ายในยคุ ปัจจบุ ัน 7. เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายเร่ืองการติดต่อส่ือสารบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในยุค ปัจจบุ นั 8. เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศใน สงั คม 9. เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้งานระบบปฏิบัติการและโปรแกรมประยุกต์ในยุค ปจั จบุ นั ได้

(14) แผนการสอน สปั ดาหท์ ่ี หวั ข้อ/รายละเอียด จานวนชั่วโมง 1-2 แนะนารายวิชาและอธิบายแผนการสอน 4 ชั่วโมง บทที่ 1 ความร้เู บ้ืองตน้ เกี่ยวกับเทคโนโลยี สารสนเทศ 4 ชวั่ โมง 1. ความหมายของคอมพิวเตอร์ 6 ช่วั โมง 2. คณุ สมบตั ิของคอมพิวเตอร์ 6 ชว่ั โมง 3. การนาคอมพิวเตอรม์ าประยุกต์ใช้งาน 4. ยุคของคอมพิวเตอร์ 5. ประเภทของคอมพวิ เตอร์ 6. องคป์ ระกอบของคอมพิวเตอร์ 7. หลกั การทางานของคอมพิวเตอร์ 8. ผลกระทบจากการนาคอมพิวเตอร์มาใช้งาน 9. ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ 10. ความสาคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ 11. คณุ ลักษณะของเทคโนโลยีสารสนเทศ 12. ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศ 13. แนวโน้มของเทคโนโลยีสารสนเทศ คูม่ อื ปฏิบัตกิ ารคอมพิวเตอร์ (Windows 2007) 3-5 บทท่ี 2 ฐานข้อมูลและการจัดการข้อมลู 1. ความหมายของข้อมูล 2. โครงสร้างข้อมลู 3. ความหมายของฐานข้อมูล 4. การจัดการฐานข้อมูล 5. การประยุกต์ใช้ฐานข้อมลู ในปัจจุบนั 6. ลักษณะการประมวลผลข้อมูล 7. การจดั โครงสร้างแฟ้มข้อมูล คมู่ อื ปฏบิ ัติการคอมพิวเตอร์ (Microsoft Word 2010)

(15) สัปดาหท์ ี่ หัวขอ้ /รายละเอียด จานวนช่ัวโมง 6-7 บทท่ี 3 ระบบสารสนเทศ 4 ชว่ั โมง 1. ความหมายของข้อมูลและสารระบบสารสนเทศ 2. คุรลกั ษณะของระบบสารสนเทศในยุคปัจจุบัน 6 ช่วั โมง 3. องค์ประกอบของระบบสารสนเทศ 6 ช่วั โมง 4. ความสาคญั ของระบบสารสนเทศ 5. ประโยชน์ของระบบสารสนเทศ 4 ช่ัวโมง 6. ปัจจัยในการนาระบบสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ใน 40 นาที งานธุรกจิ และภาครฐั 6 ชัว่ โมง 7. ข้นั ตอนการผลิตสารสนเทศ 8. ประเภทของระบบสารสนเทศ 9. ระดับการปฏบิ ตั ิงานของบุคลากรในระบบ สารสนเทศ คู่มอื ปฏบิ ัติการคอมพิวเตอร์ (Microsoft Excel 2010) 8-9 บทที่ 4 จรยิ ธรรมและจรรยาบรรณในการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศ 1. ความหมายของจรยิ ธรรม 2. จรยิ ธรรมในสังคมยุคปัจจบุ นั 3. กฎหมายเทคโนโลยสี ารสนเทศ 4. พระราชบญั ญัติว่าดว้ ยการกระทาความผดิ เกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 5. อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ 6. การรักษาความปลอดภัยของระบบสารสนเทศ 7. ข้อควรระวังและแนวทางการป้องกันการใช้ เครือข่ายคอมพวิ เตอร์ ค่มู อื ปฏิบตั ิการคอมพิวเตอร์ (Microsoft Excel 2010) หมายเหตุ : สอบกลางภาค บทที่ 1-4 10-13 บทที่ 5 การสื่อสารข้อมูล 1. ความหมายของการส่ือสารข้อมูล 2. ความหมายของเทคโนโลยี 3. องคป์ ระกอบของการสื่อสารข้อมูล 4. ความหมายของระบบเครือข่าย

(16) สปั ดาหท์ ่ี หัวข้อ/รายละเอยี ด จานวนชั่วโมง 14-16 บทท่ี 5 การส่ือสารขอ้ มูล (ต่อ) 5. ทศิ ทางการส่งข้อมูล 6 ชวั่ โมง 6. ตวั กลางการสอื่ สาร 6 ชั่วโมง 7. การประยุกต์ใช้งานระบบเครือขา่ ย 8. ประเภทของระบบเครือข่าย 6 ช่วั โมง 9. เครือข่ายไรส้ าย 10. สถาปัตยกรรมของระบบเครอื ขา่ ย 11. การสง่ ผา่ นข้อมลู 12. สื่อกลางส่งข้อมูล 13. อุปกรณ์ที่ใช้งานบนระบบเครือข่าย 14. ชนดิ ของสัญญาณข้อมูล 15. คณุ ลักษณะของระบบเครอื ขา่ ย 16. ชนดิ ของระบบเครือข่าย 17. โครงสร้างเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ 18. รปู แบบการประมวลผลข้อมลู ในเครือข่าย คู่มอื ปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ (Microsoft PowerPoint 2010) บทท่ี 6 ระบบเครือขา่ ยและอินเทอรเ์ น็ต 1. ความหมายของอินเทอร์เน็ต 2. ความเป็นมาของอนิ เทอร์เน็ต 3. อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย 4. การแทนชื่อที่อยู่ของระบบอินเทอร์เน็ต 5. การเช่ือมต่อระบบอนิ เทอร์เน็ต 6. เครอื ข่ายอินทราเน็ต (Intranets) และ เอ็กซ์ทราเนต็ (Extranets) 7. เวิลด์ไวด์เว็บ 8. โปรแกรมเว็บเบราเซอร์ 9. บรกิ ารบนอินเทอรเ์ นต็ 10. อนิ ทราเนต็ (Intranets) และ เอก็ ซท์ ราเน็ต (Extranets) 11. การคน้ หาข้อมูลโดยใช้เวบ็ เบราเซอร์ 12. เวบ็ เพจศูนย์รวม คูม่ ือปฏบิ ัตกิ ารคอมพิวเตอร์ (Microsoft PowerPoint 2010)

(17) สัปดาห์ที่ หวั ขอ้ /รายละเอียด จานวนชั่วโมง 17 สอบปลายภาค บทที่ 5-6 1.30 ชั่วโมง เรียนทฤษฎี สัปดาหล์ ะ 2 ช่ัวโมง 32 ช่ัวโมง หมายเหตุ เรยี นปฏิบตั ิ สัปดาหล์ ะ 2 ช่ัวโมง 32 ช่ัวโมง - วธิ สี อนและกจิ กรรม 1. ผู้สอนใหผ้ เู้ รียนศึกษาเอกสารประกอบการสอน 2. ผสู้ อนบรรยาย อธิบายเน้ือหาแตล่ ะบท 3. ผสู้ อนสาธติ ขั้นตอนการใชง้ านโปรแกรมในคู่มือปฏบิ ัติการคอมพิวเตอร์ 4. ผ้สู อนมอบหมายใหผ้ ้เู รยี นฝึกปฏิบัติการใช้งานโปรแกรมในคู่มือปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ เพ่ือนาไปสรา้ งช้นิ งานสง่ งานเดี่ยว 5. ผู้สอนศกึ ษา เรียนรู้ ข้อมูล แลกเปลยี่ นความคิดเห็น เพ่ือเปน็ การฝึกวิเคราะห์ สงั เคราะห์ ในแต่ละบท เพ่ือนาเสนอหน้าช้ันเรยี น งานเดีย่ วและงานกลุ่ม 6. ผู้สอนมอบหมายใหผ้ ้เู รียนทาแบบฝึกหัดท้ายบทเรียนแตล่ ะบท ส่ือการเรยี นการสอน 1. แผนการสอนประจารายวชิ า 2. เอกสารประกอบการสอน วชิ า เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ 3. E-learning รายวิชา เทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือการเรียนรู้ 4. โปรแกรมในคมู่ ือปฏิบตั ิการคอมพวิ เตอร์ 5. เคร่อื งคอมพวิ เตอร์ 6. แบบฝึกหดั ทา้ ยบทเรยี น และ คาถามทา้ ยบทเรยี น 7. สอื่ อเิ ล็กทรอนิกสต์ ่างๆ ไดแ้ ก่ วีดีทศั น์ บทความเทคโนโลยสี ารสนเทศ และเวบ็ ไซต์ การวัดผลและประเมินผล 70 คะแนน 1.คะแนนระหว่างภาคเรยี น 45 คะแนน กจิ กรรมและใบงาน 20 คะแนน คะแนนสอบกลางภาค 5 คะแนน คะแนนดา้ นคณุ ธรรมและจริยธรรม 30 คะแนน 2. คะแนนสอบปลายภาค

(18) การประเมนิ ผลใชเ้ กณฑ์ ดงั นี้ ระดบั คะแนน ผลการเรียน หมายถงึ ค่าระดับคะแนน 80 - 100 A ดเี ยย่ี ม 4.0 75 - 79 B+ ดมี าก 3.5 70 - 74 B 3.0 65 - 69 C+ ดี 2.5 60 – 64 C ดพี อใช้ 2.0 55 - 59 D+ พอใช้ 1.5 50- 54 D อ่อน 1.0 0- 49 F อ่อนมาก 0.0 ตก นโยบายในการเขา้ เรยี นและการสอบ 1. ผู้เรียนต้องเข้าช้ันเรียนทุกครั้ง นอกจากมีเหตุจาเป็น เช่น เจ็บป่วย หรือ มีกิจธุระท่ีสาคัญซ่ึง จะตอ้ งแจง้ ใหผ้ ูส้ อนทราบ 2. ผูเ้ รียนต้องมรี ะเบยี บวินัย ตรงต่อเวลา ความรับผิดชอบในการเรียนงานที่ได้รับมอบหมายให้สาเร็จ ลลุ ว่ งตามวัตถปุ ระสงค์ และระยะเวลาทก่ี าหนด 3. ผเู้ รยี นต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ ขอ้ บงั คับ ข้อตกลงในรายวชิ าอยา่ งเคร่งครัด 4. ผูเ้ รียนตอ้ งแต่งกายให้เหมาะสม เรยี บร้อย ตามกฎระเบยี บและข้อบังคับต่างๆ ของมหาวทิ ยาลยั 5. การสอบตอ้ งดาเนินไปตามระเบียบของมหาวทิ ยาลยั

แผนบรหิ ารการสอนประจาบทที่ 1 เนือ้ หา 4 ชว่ั โมง บทที่ 1 ความร้เู บื้องต้นเก่ยี วกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ 4 ชัว่ โมง 1. ความหมายของคอมพิวเตอร์ 2. คณุ สมบัติของคอมพวิ เตอร์ 3. การนาคอมพิวเตอรม์ าประยุกต์ใช้งาน 4. ยุคของคอมพวิ เตอร์ 5. ประเภทของคอมพิวเตอร์ 6. องคป์ ระกอบของคอมพิวเตอร์ 7. หลักการทางานของคอมพิวเตอร์ 8. ผลกระทบจากการนาคอมพวิ เตอร์มาใชง้ าน 9. ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ 10. ความสาคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ 11. คุณลกั ษณะของเทคโนโลยีสารสนเทศ 12. ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศ 13. แนวโนม้ ของเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต คมู่ ือปฏบิ ัตกิ ารคอมพิวเตอร์ (Windows 2007) (รายละเอียดอยู่ในภาคผนวก ข. คู่มอื ปฏบิ ตั ิการคอมพิวเตอร)์ จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 1. เพอ่ื ให้ผูเ้ รียนสามารถบอกความหมายของคอมพวิ เตอร์ได้ 2. เพื่อให้ผ้เู รียนสามารถจาแนกคณุ ลักษณะของเทคโนโลยีสารสนเทศได้ 3. เพื่อให้ผู้เรยี นสามารถบอกยุคของคอมพิวเตอร์ได้ 4. เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนสามารถบอกประเภทของคอมพิวเตอร์ได้ 5. เพื่อใหผ้ เู้ รยี นยกตัวอยา่ งสว่ นประกอบของคอมพิวเตอร์ได้ 6. เพ่อื ใหผ้ ้เู รยี นสามารถจาแนกข้อดีข้อเสียของการใชค้ อมพวิ เตอร์ได้ 7. เพ่ือใหผ้ เู้ รียนสามารถอธบิ ายการทางานของคอมพิวเตอร์ได้ 8. เพ่ือให้ผเู้ รยี นสามารถนาเสนอความคิดในรปู แบบเขยี นแผนภาพ (Mind Mapping) เกย่ี วกับขนั้ ตอนการใช้งานเคร่ืองคอมพิวเตอร์พอสังเขปได้ 9. เพอื่ ให้ผเู้ รียนสามารถอธิบายความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศได้ 10. เพ่อื ใหผ้ ู้เรยี นสามารถบอกความความสาคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศได้ 11. เพอ่ื ให้ผู้เรียนสามารถแบ่งแยกความแตกต่างของลักษณะของเทคโนโลยีสารสนเทศได้ 12. เพอ่ื ให้ผเู้ รียนสามารถจาแนกคณุ ลกั ษณะของเทคโนโลยสี ารสนเทศได้ 13. เพ่ือใหผ้ เู้ รยี นสามารถนาความรู้เรื่องประโยชน์ของเทคโนโลยสี ารสนเทศไปประยกุ ตใ์ ช้ ในชวี ิตประจาวันได้

2 ความรู้เบือ้ งตน้ เกีย่ วกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ 14. เพ่อื ใหผ้ ู้เรยี นสามารถอธบิ ายเขียนเรียงความแสดงความคิดเหน็ เกย่ี วกับแนวโน้มของ เทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคตได้ วิธสี อนและกิจกรรม 1. ผู้สอนใหผ้ ู้เรียนศกึ ษาเอกสารประกอบการสอน 2. ผ้สู อนบรรยาย อธิบายเนอ้ื หาแตล่ ะบท 3. ผสู้ อนสาธติ ข้ันตอนการใชง้ านโปรแกรมในคู่มอื ปฏิบตั ิการคอมพวิ เตอร์ 4. ผู้สอนมอบหมายใหผ้ เู้ รียนฝึกปฏบิ ัติการใช้งานโปรแกรมในคมู่ อื ปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ เพ่อื นาไปสรา้ งชิ้นงานส่งงานเดีย่ ว 5. ผสู้ อนศึกษา เรียนรู้ ขอ้ มลู แลกเปลี่ยนความคดิ เห็น เพื่อเป็นการฝกึ วิเคราะห์ สังเคราะห์ ในแตล่ ะบท เพ่อื นาเสนอหน้าชน้ั เรยี น งานเดี่ยวและงานกลุ่ม 6. ผู้สอนมอบหมายใหผ้ เู้ รียนทาแบบฝึกหดั ท้ายบทเรียนแต่ละบท สอ่ื การเรียนการสอน 1. แผนการสอนประจารายวชิ า 2. เอกสารประกอบการสอน วชิ า เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการเรยี นรู้ 3. E-learning รายวิชา เทคโนโลยสี ารสนเทศเพื่อการเรยี นรู้ 4. โปรแกรมในคู่มือปฏบิ ัติการคอมพวิ เตอร์ 5. เครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ 6. แบบฝกึ หดั ทา้ ยบทเรยี น และ คาถามทา้ ยบทเรยี น 7. ส่อื อิเล็กทรอนิกสต์ า่ งๆ ได้แก่ วีดีทศั น์ บทความเทคโนโลยสี ารสนเทศและเวบ็ ไซต์ การวัดผลและประเมนิ ผล 1. ตรวจใบงานท่ีมอบหมาย 2. ตรวจแบบฝกึ หัดทา้ ยบทเรยี น 3. การตอบคาถามในช้นั เรยี น 4. การนาเสนอชิ้นงานหน้าชนั้ เรยี น 5. สังเกตพฤตกิ รรมจากการมีสว่ นร่วมในการปฏิบตั ิกิจกรรมตา่ งๆ

บทที่ 1 ความรู้เบ้อื งตน้ เกีย่ วกบั เทคโนโลยีสารสนเทศ ในสังคมฐานความรู้ (Knowledge-based Society) ข้อมูล ข่าวสาร และสารสนเทศ (Information) เป็นส่ิงสําคัญอย่างย่ิงต่อการดําเนินงานท้ังของภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประกอบธุรกิจในยุคดิจิทัลที่มีการนําเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยประกอบการตัดสินใจ (Decision Making) ในการจดั การและบริหารงานด้านต่าง ๆ ข้อมูลและสารสนเทศนับเป็นทรัพยากร หลักที่ได้รับความสนใจจากบุคลากรทุกระดับ ท้ังน้ีเนื่องมาจากการดําเนินงานทางธุรกิจมีความ ซบั ซ้อนมากข้ึน และเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ท่ีมีประสิทธิภาพเพ่ิมข้ึนด้วยเช่นกัน ทําให้ข่าวสารเป็นสิ่ง ท่ีทุกคนจาํ เปน็ จะต้องไดร้ บั ทราบและเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว ความหมายของคอมพวิ เตอร์ “คอมพิวเตอร์” มาจากภาษาละตินว่า “Computare” ซึ่งหมายถึง การนับ หรือ การ คํานวณ (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525, 2525.) ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้ วา่ \"เครอ่ื งอิเล็กทรอนิกสแ์ บบอัตโนมตั ิ ทาํ หนา้ ที่เหมือนสมองกลใช้สําหรับแก้ปัญหาต่างๆ ที่ง่ายและ ซับซ้อนโดยวธิ ีทางคณติ ศาสตร์\" คอมพิวเตอรจ์ ึงเป็นเคร่ืองจกั รอเิ ล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ทํางานแทนมนุษย์ ในด้าน การคิดคํานวณและสามารถจําข้อมูล ทั้งตัวเลขและตัวอักษรได้เพ่ือการเรียกใช้งานในครั้งต่อไป นอกจากนี้ ยังสามารถจัดการกับสัญลักษณ์ได้ด้วยความเร็วสูง โดยปฏิบัติตามขั้นตอนของโปรแกรม คอมพิวเตอร์ยังมีความสามารถในด้านต่างๆ อีกมาก อาทิเช่น การเปรียบเทียบทางตรรกศาสตร์ การรบั สง่ ขอ้ มลู การจัดเก็บข้อมูลในตวั เครอื่ งและสามารถประมวลผลจากข้อมูลตา่ งๆ ได้ คอมพวิ เตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติท่ีมีหน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU) หรือที่มักเรยี กกนั วา่ “ซีพยี ู” ซึ่งเปรียบเสมือนสมองกลที่มีความสามารถใน การคํานวณและประมวลผลข้อมูลตามชุดคําส่ัง ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทสําคัญต่อการ ดํารงชีวิตประจําวันของมนุษย์ในแทบทุกด้าน ความสําคัญของคอมพิวเตอร์ก็คือสามารถนํามาใช้เป็น เคร่ืองมือในการจัดการกับข้อมูล ด้วยการประมวลผลข้อมูลแบบอัตโนมัติตามโปรแกรมที่มนุษย์ได้ ปูอนชุดคําส่ังเข้าไป ซ่ึงผลลัพธ์ท่ีได้จากการประมวลผลจะกลายเป็นสารสนเทศที่ก่อให้เกิดประโยชน์ ต่อวงการทั่วไป ไม่วา่ จะเป็นงานด้านวิทยาศาสตร์ การแพทย์ อุตสาหกรรม การศึกษา และภาคธุรกิจ เปน็ ต้น หากกล่าวถึงความหมายของคอมพิวเตอร์จะมีผู้ให้ความหมายของคอมพิวเตอร์ไว้หลาย ความหมายท่ีสําคัญ คือ คอมพิวเตอร์ หมายถึง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างหน่ึงที่สามารถรับ โปรแกรมและข้อมลู ประมวลผล สอื่ สาร เคลือ่ นยา้ ยข้อมลู และแสดงผลลพั ธ์ได้ คอมพวิ เตอร์ หมายถงึ เครื่องอุปกรณ์อิเลก็ ทรอนิกส์ชนดิ หนงึ่ ทม่ี ีการทาํ งานแบบอตั โนมัติ ทําหนา้ ที่เหมือนสมองกลสามารถแกป้ ัญหาต่างๆ ท้ังที่ง่ายและซบั ซอ้ นตามคาํ ส่งั ของโปรแกรมข้นั ตอน การทาํ งานจะประกอบดว้ ยการรับโปรแกรมและข้อมูลในรปู แบบที่เคร่ืองสามารถรบั ได้และทําการ

4 ความรู้เบือ้ งต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ ประมวลผล โดยทําการเปรยี บเทียบจนกระทั่งได้ผลลพั ธจ์ ากนนั้ นําผลลัพธ์ท่ีได้ไปแสดงผลทอ่ี ุปกรณ์ แสดงผล เช่น จอภาพหรือเครื่องพิมพ์ เปน็ ตน้ สรุปได้วา่ คอมพวิ เตอร์เป็นเคร่ืองอปุ กรณ์อเิ ลก็ ทรอนิกสอ์ ยา่ งหน่ึงท่ีสามารถนําเข้าข้อมลู หรือคาํ สั่งต่างๆ แลว้ ทาํ การประมวลผลข้อมลู หรือคําส่งั ต่างๆตามข้ันตอนการปฏิบตั ิงาน หรือ ชุดคาํ สั่งของระบบคอมพิวเตอร์โดยทาํ การเปรียบเทียบข้อมลู หรือคําสง่ั ต่างๆจนกระทัง่ ไดผ้ ลลพั ธใ์ น รปู แบบตา่ งๆ จากนั้นนําผลลพั ธ์ท่ไี ด้ไปแสดงผลท่ีอุปกรณแ์ สดงผลและทาํ การจดั เกบ็ ผลลัพธเ์ อาไวใ้ ช้ งานในภายหลงั ต่อไปยคุ ของคอมพิวเตอร์ คณุ สมบัตขิ องคอมพวิ เตอร์ การสร้างสารสนเทศเป็นงานที่เหมาะสมกับการนําคอมพิวเตอร์มาใช้ ซึ่งสารสนเทศนั้น สามารถนํามาพิมพ์ออกทางเครื่องพิมพ์ ส่งข้อมูลผ่านทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือจัดเก็บไว้ใช้ใน อนาคตได้ คอมพิวเตอรจ์ งึ มคี ณุ สมบัติเหมาะสมกับการสร้างสารสนเทศ โดยมีลักษณะเด่น ดังนี้ 1. หน่วยเก็บ (Storage) หมายถึง ความสามารถในการเก็บข้อมูลจํานวนมากและ เป็นเวลานาน นับเป็นจุดเด่นทางโครงสร้างและเป็นหัวใจของการทํางานแบบอัตโนมัติของเครื่อง คอมพิวเตอร์ 2. ความเร็ว (Speed) หมายถึง ความสามารถในการประมวลผลข้อมูล (Processing Speed) โดยใช้เวลานอ้ ย เป็นจุดเด่นทางโครงสร้างทผี่ ู้ใชท้ ่วั ไปมสี ่วนเกยี่ วขอ้ งนอ้ ยท่สี ุด 3. ความเป็นอัตโนมัติ (Self Acting) หมายถึง ความสามารถในการประมวลผล ข้อมลู ตามลําดับขั้นตอนได้อย่างถูกตอ้ งและต่อเน่ืองอยา่ งอัตโนมตั ิ โดยมนุษย์มีส่วนเก่ียวข้องเฉพาะใน ข้ันตอนการกําหนดโปรแกรมคําสง่ั และข้อมลู กอ่ นการประมวลผลเทา่ นนั้ 4. ความนา่ เชอื่ ถือ (Sure) หมายถงึ ความสามารถในการประมวลผลให้เกิดผลลัพธ์ท่ี ถกู ตอ้ ง ความน่าเช่อื ถือนับเป็นสิ่งสาํ คัญทีส่ ุดในการทาํ งานของเครื่องคอมพวิ เตอร์ การนาคอมพวิ เตอรม์ าประยกุ ตใ์ ช้งาน จากการท่ีคอมพิวเตอร์มีลักษณะเด่นหลายประการ ทําให้ถูกนํามาใช้ประโยชน์ต่อการ ดําเนินชีวิตประจําวันในสังคมเป็นอย่างมาก ท่ีพบเห็นได้บ่อยท่ีสุดก็คือ การใช้ในการพิมพ์เอกสาร ต่างๆ เช่น พิมพ์จดหมาย รายงาน เอกสารต่างๆ ซึ่งเรียกว่า งานประมวลผล (word processing) นอกจากนีย้ งั มกี ารประยุกตใ์ ช้คอมพวิ เตอร์ในด้านต่างๆ อีกหลายดา้ น ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. งานธุรกิจ เช่น บริษัท ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนโรงงานต่างๆ ใช้ คอมพิวเตอร์ในการทําบญั ชี งานประมวลคํา และติดต่อกับหน่วยงานภายนอกผ่านระบบโทรคมนาคม นอกจากน้ีงานอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่ก็ใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในการควบคุมการผลิต และการ ประกอบชิ้นส่วนของอุปกรณ์ต่างๆ เช่น โรงงานประกอบรถยนต์ ซ่ึงทําให้การผลิตมีคุณภาพดีข้ึน บรษิ ทั ยังสามารถรับ หรืองานธนาคาร ที่ให้บริการถอนเงินผ่านตู้ฝากถอนเงินอัตโนมัติ (ATM) และใช้ คอมพิวเตอร์คิดดอกเบ้ียให้กับผู้ฝากเงิน และการโอนเงินระหว่างบัญชี เชื่อมโยงกันเป็นระบบ เครือข่าย

ความรเู้ บ้ืองตน้ เกยี่ วกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ 5 2. งานวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และงานสาธารณสุข สามารถนําคอมพิวเตอร์มาใช้ ในนํามาใช้ในสว่ นของการคํานวณท่ีค่อนข้างซับซ้อน เช่น งานศึกษาโมเลกุลสารเคมี วิถีการโคจรของ การส่งจรวดไปสู่อวกาศ หรืองานทะเบียน การเงิน สถิติ และเป็นอุปกรณ์สําหรับการตรวจรักษาโรค ได้ ซ่ึงจะให้ผลที่แมน่ ยํากว่าการตรวจด้วยวธิ เี คมแี บบเดมิ และให้การรักษาไดร้ วดเร็วข้ึน 3. งานคมนาคมและส่ือสาร ในส่วนที่เกี่ยวกับการเดนิ ทาง จะใชค้ อมพิวเตอรใ์ นการ จองวันเวลา ที่นั่ง ซ่ึงมกี ารเชอ่ื มโยงไปยังทกุ สถานหี รือทกุ สายการบนิ ได้ ทําใหส้ ะดวกต่อผูเ้ ดินทางที่ไม่ ตอ้ งเสียเวลารอ อีกท้ังยังใชใ้ นการควบคุมระบบการจราจร เชน่ ไฟสญั ญาณจราจรและการจราจรทาง อากาศ หรอื ในการส่ือสารก็ใช้ควบคุมวงโคจรของดาวเทียมเพื่อให้อยใู่ นวงโคจร ซึ่งจะช่วยสง่ ผลต่อ การสง่ สัญญาณให้ระบบการส่ือสารมคี วามชดั เจน 4. งานวศิ วกรรมและสถาปัตยกรรม สถาปนิกและวิศวกร สามารถใช้คอมพิวเตอร์ใน การออกแบบ หรือ จําลองสภาวการณ์ ต่างๆ เช่น การรับแรงส่ันสะเทือนของอาคารเมื่อเกิด แผ่นดินไหว โดยคอมพิวเตอร์จะคํานวณและแสดงภาพสถานการณ์ใกล้เคียงความจริง รวมท้ังการใช้ ควบคุมและ ติดตามความก้าวหน้าของโครงการต่างๆ เชน่ คนงาน เครอ่ื งมือ ผลการทํางาน 5. งานราชการ เป็นหน่วยงานท่ีมีการใช้คอมพิวเตอร์มากที่สุด โดยมีการใช้หลาย รปู แบบ ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับบทบาทและหนา้ ที่ของหนว่ ยงานนัน้ ๆ เช่น กระทรวงศกึ ษาธิการ มีการใช้ระบบ ประชุมทางไกลผ่านคอมพิวเตอร์ ,กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดระบบเครือข่าย อินเทอร์เน็ตเพ่ือเชื่อมโยงไปยังสถาบันต่างๆ , กรมสรรพากร ใช้จัดในการจัดเก็บภาษี บันทึกการเสีย ภาษี เปน็ ต้น 6. การศึกษา ได้แก่ การใช้คอมพิวเตอร์ทางด้านการเรียนการสอน ซ่ึงมีการนํา คอมพิวเตอร์มาช่วยการสอนในลักษณะบทเรียน CAI หรืองานด้านทะเบียน ซ่ึงทําให้สะดวกต่อการ คน้ หาขอ้ มลู นักเรียน การเก็บข้อมลู ยมื และการสง่ คืนหนังสือห้องสมุด ยุคของคอมพวิ เตอร์ แนวคิดพ้ืนฐานของการคํานวณ และ การประมวลผลแบบอัตโนมัติ ได้เกิดขึ้นมายาวนาน แล้ว ซ่ึงสามารถย้อนไปกว่าพันปี ท่ีมนุษย์ได้พยายามคิดค้นเครื่องมือหรืออุปกรณ์เพื่อช่วยในการ คํานวณ ในขณะท่ีรูปแบบของคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานในปัจจุบัน ก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ ทรงคุณค่า ท้ังที่ส่ิงประดิษฐ์อย่างไมโครคอมพิวเตอร์นั้น ได้เกิดขึ้นเม่ือปลายปี ค.ศ.1870 สําหรับการ ประดษิ ฐ์คิดคน้ ทีแ่ สดงใหเ้ ห็นถงึ พฒั นาการของคอมพิวเตอรน์ ัน้ ไดม้ กี ารแบง่ ออกเป็นยุคตา่ งๆ ดังนี้ 1. ยุคก่อนมีคอมพิวเตอร์ (ก่อนปี ค.ศ. 1846) นักโบราณคดีมีการขุดค้นพบ เครื่องมือของคนโบราณทีน่ ํามาใช้เพื่อนับตัวเลข ไม่ว่าจะเป็นการขีดเขียนสัญลักษณ์บนพื้นดิน การใช้ ลูกหินเรียงแทนตัวเลขในแต่ละหลัก จนกระทั่งมีการนําเชือกมาร้อยลูกหินและจัดเรียงกันคล้ายกับ ลูกคิดในปัจจุบัน ซง่ึ ลูกคดิ (Abacus) จดั เปน็ เคร่ืองคดิ เลขเชิงกลเคร่ืองแรกของโลกเลยก็วา่ ได้

6 ความรู้เบือ้ งตน้ เกีย่ วกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ รปู ที่ 1.1 ชารล์ ส์ แบ็บเบจ กับเครอื่ ง Analytical Engine ทมี่ า http://techemit.blogspot.com, 2557 ในสว่ นของเครอ่ื งคํานวณเชิงกลไกลท่มี ีขีดความสามารถในการคํานวณตัวเลขท่ีซับซ้อน มัก ประกอบไปด้วยกลไกลอย่างฟันเฟือง รอก และคาน เช่น เครื่องคํานวณของปาสคาล เคร่ืองคํานวณ ของ เนเปียร์ และเคร่ืองทอผ้าของแจ็คการ์ดที่ใช้บัตรเจาะรูในการควบคุมเคร่ืองทอผ้าให้ทอผ้าตาม ลวดลายท่ีกาํ หนด แตเ่ ครือ่ งทงั้ หลายเหล่าน้กี ็ยังเป็นเครือ่ งคาํ นวณเชิงกลแบบกึ่งอัตโนมัติ จนกระท่ังปี ค.ศ. 1822 ชาร์ลส์ แบ็บเบจ (Charles Babbage) ซ่ึงต่อมาได้ถูกขนานนามว่า “บิดาแห่ง คอมพิวเตอร์” ได้ออกแบบเครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) ที่มีหน่วยความจําไว้จัดเก็บค่า ตวั เลขเพอื่ นําไปคาํ นวณได้ อีกทงั้ ยังพมิ พ์ขอ้ มลู ได้อตั โนมัติดว้ ย โดยตัวเครือ่ งสามารถอินพุตข้อมูลและ ชุดคําสั่งดว้ ยบัตรเจาะรู (Punch Cards) จนกระทั่งในราวปี ค.ศ. 1887 เฮอร์แมน ฮอลเลอร์ลิธ (Herman Hollerith) ได้พัฒนา เครอ่ื ง Tabulating Machines ข้ึนมา ตวั เคร่อื งสามารถจดั เรยี งบัตรเจาะรูได้มากกว่า 200 ใบต่อนาที โดยเครื่องดังกล่าวได้ถูกนํามาใช้กับงานสํารวจสํามะโนประชากรชาวอเมริกันหลายคร้ังหลายครา ดว้ ยกัน ตอ่ มาในปี ค.ศ. 1886 เฮอร์แมนก็ได้ก่อตั้งบริษัทของตนเองข้ึนมา และท้ายสุดบริษัทดังกล่าว ก็ไดก้ ลายเปน็ บริษัท IBM ทีม่ ีชอื่ เสยี งโดง่ ดังไปทวั่ โลก รปู ที่ 1.2 เครอื่ ง Tabulating Machines ทมี่ า https://ckingkaew85.wordpress.com, 2557

ความรเู้ บอื้ งตน้ เกยี่ วกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ 7 2. คอมพวิ เตอรย์ ุคท่ี 1 (ปี ค.ศ. 1846-1857) คอมพิวเตอร์เคร่ืองแรกมีขนาดใหญ่โต มโหฬาร ต้องใช้พ้ืนที่ห้องขนาดใหญ่เพ่ือติดต้ัง อีกทั้งตัวเคร่ืองยังมีความร้อนสูง เน่ืองจากใช้หลอด สญุ ญากาศนับหมืน่ หลอดแทนหนว่ ยประมวลผลกลาง ดงั น้ันคอมพิวเตอร์ในยุคน้ี นอกจากต้องใช้ห้อง ขนาดใหญแ่ ลว้ ยังต้องมเี คร่ืองปรบั อากาศทถ่ี ูกปรับตั้งอุณหภมู ไิ ว้ตาํ่ มาก รปู ท่ี 1.3 เครือ่ ง ENIAC รูปท่ี 1.4 เครื่อง UNIVAC ทีม่ า http://update.in.th/1474 ทมี่ า http://www2.tsu.ac.th/cst/course /early-science-labs-18, 2557 /computer_it/lesson1/ lesson1- 1.html, 2557 คอมพิวเตอร์ยุคแรกสามารถแก้ไขปัญหาได้เพียงปัญหาเดียวต่อครั้งเท่าน้ัน หากจะต้องใช้ งานก็จะต้องต่อสายไฟใหม่ทุกครั้งเพื่อรันโปรแกรมใหม่ ซึ่งโดยท่ัวไปต้องใช้เวลาหลายวันหรือหลาย สปั ดาห์เลยทีเดียว เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจก่อนที่จะนํามาใช้งานจริง สําหรับสื่อท่ีใช้เพื่อปูอนข้อมูลเข้า และส่งข้อมูลออก จะใช้บัตรเจาะรูและเทปกระดาษ ตัวอย่างคอมพิวเตอร์ท่ีได้รับการยอมรับในยุค แรก เช่น เครื่อง ENIAC และ UNIVAC โดยคอมพิวเตอร์ UNIVAC จัดเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่ ถกู ผลิตขึ้นมาเป็นจาํ นวนมากเพอ่ื ใชง้ านในเชงิ พาณชิ ย์ รูปที่ 1.5 บัตรเจาะรแู ละเทปกระดาษ ทีม่ า https://suphansapm1884.wordpress.com, 2557

8 ความรู้เบอื้ งต้นเกยี่ วกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ 3. คอมพิวเตอร์ยคุ ที่ 2 (ปี ค.ศ. 1858-1863) คอมพวิ เตอร์ในยคุ ท่ี 2 ไดม้ กี ารนํา ทรานซสิ เตอร์ (Transistors) มาใชแ้ ทนหลอดสุญญากาศ โดยทรานซิสเตอร์เป็นอุปกรณ์ขนาดเลก็ ที่ ทําจากสารก่ึงตวั นาํ (Semiconductor)มีคุณสมบตั ิในการนําไฟฟาู ทาํ หนา้ ท่ีคล้ายกับสวติ ซเ์ ปิด/ปดิ วงจรอิเล็กทรอนิกส์ สง่ ผลใหค้ อมพวิ เตอรช์ นิดน้ีมขี นาดเล็กลง ใชพ้ ลงั งานไฟฟาู ต่าํ กวา่ อีกทั้งยังมี ราคาไม่แพงมาก ประสทิ ธิภาพสูง และมีความน่าเชื่อถอื มากกว่า ในส่วนของโปรแกรมและขอ้ มูลจะ ถกู ปูอนผา่ นสอื่ อยา่ งบตั รเจาะรแู ละเทปแม่เหล็ก ส่วนผลลัพธ์กจ็ ะพิมพง์ านลงบนกระดาษ ในยุคนเ้ี รม่ิ มกี ารนําเทปแม่เหล็กมาใชเ้ ป็นอุปกรณส์ าํ รองข้อมลู และเร่ิมมีการใชภ้ าษาระดับสูงอย่างภาษาฟอร์ แทรน (FORTRAN) และ ภาษาโคบอล (COBOL) รูปท่ี 1.6 หลอดสุญญากาศ (ยคุ ที่ 1) รูปท่ี 1.7 ทรานซิสเตอร์ (ยุคท่ี 2) ท่มี า http://www.chakkham.ac.th/ ท่ีมา http://www.atom.rmutphysics.com, technology/computer /web02.htm , 2557 2557 รปู ที่ 1.8 เครื่อง IBM 1401 ทมี่ า http://ib1.s3.amazonaws.com/attachments%2FIBM_1401.jpg, 2557

ความรูเ้ บื้องตน้ เก่ยี วกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ 9 4. คอมพิวเตอร์ ยุคท่ี 3 (ปี ค.ศ. 1864-1870) คอมพิวเตอร์ยุคนี้ได้เปลี่ยนจาก ทรานซิสเตอรม์ าเป็นวงจรรวมที่ เรียกวา่ “IC” (Integrated Circuit) โดยแผงวงจรจะประกอบไปด้วย ทรานซิสเตอรจ์ ํานวนมาก และ วงจรอิเล็กทรอนิกส์ก็จะบรรจุอยู่บน Silicon Chip ช้ินเล็กๆ เพียงชิ้น เดียว ท่ีภายในประกอบไปด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (ทรานซิสเตอร์) ขนาดเล็กมากๆ จํานวนนับ แสน ทําใหค้ อมพิวเตอร์ในยุคท่ี 3 มีขนาดเล็กลง และมีความน่าเช่ือถือกว่าคอมพิวเตอร์ยุคน้ีมีการนํา อุปกรณ์คีย์บอร์ดและจอรูปมาใช้เพื่อการปูอนข้อมูลและแสดงผล และได้หันมาใช้ดิสก์ หรือ จาน แมเ่ หลก็ มาเปน็ หนว่ ยความจําสํารองมากข้ึน รปู ท่ี 1.9 เมนเฟรมคอมพวิ เตอร์ IBM System/360 ทมี่ า http://www.shc.ac.th/, 2557 5. คอมพิวเตอร์ยคุ ที่ 4 (ปี ค.ศ. 1871 ถงึ ปัจจบุ ัน) ด้ ว ย ค ว า ม ก้ า ว ห น้ า ท า ง เทคโนโลยีในต้นปี ค.ศ. 1870 ทําให้มีความเป็นไปได้ที่จะนําทรานซิสเตอร์จํานานมากมาบรรจุไว้ใน ชิปตัวเดียว ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า “LSI” (Large-Scale Integration) จนกระท่ังได้นําไปสู่การ ประดิษฐ์ไมโครโปรเซสเซอร์เม่ือปี ค.ศ. 1871 โดยมีสาระสําคัญ คือ ไมโครโปรเซสเซอร์ที่มี ความสามารถด้านประมวลผลหลักๆ ท้ังหมดอยู่ภายในชิปเพียงตัวเดียวจนเป็นท่ีมาของเครื่องพีซี (IBM-PC) ทีไ่ ดร้ บั กระแสความนิยมอย่างล้นหลาม โดยตัวเคร่ืองจะมีคีย์บอร์ดเป็นอุปกรณ์ปูอนข้อมูล สว่ นจอภาพและเคร่ืองพมิ พ์จะใช้เป็นอุปกรณ์แสดงผล และใช้แผ่นดิสก์ ฮาร์ดดิสก์ เป็นหน่วยความจํา สาํ รอง จนกระทั่งได้มีการพฒั นาส่ือจดั เกบ็ ข้อมลู แบบออปติคัล เช่น แผ่นซีดี/ดีวีดี และหน่วยความจํา แบบแฟลช นอกจากน้ี เทคโนโลยีด้านเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต รวมถึงระบบสื่อสาร แบบไร้สายตา่ งๆ ก็ไดม้ กี ารพัฒนากา้ วกระโดด จนวิถีการดําเนนิ ชีวติ ของผู้คนในยคุ น้ี ต่างทําธุรกรรมท่ี ตอ้ งผูกพันกับระบบส่ือสารมากข้นึ โดยเฉพาะเครือขา่ ยอินเทอร์เนต็

10 ความรู้เบอื้ งตน้ เก่ยี วกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ รปู ที่ 1.10 ไมโครคอมพวิ เตอร์ (IBM-PC) ท่มี า http://www.digibarn.com/stories/ibm-pc-25/erik-klein-photos/, 2557 6. คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5 (ปัจจุบันและในอนาคต) แม้ว่าบางคนจะมีความเชื่อว่า คอมพิวเตอร์ในยุคท่ี 5 ยังไม่ได้รับการเริ่มต้น และ บางคนก็ยังคิดว่าขณะนี้เรายังอยู่ในระยะแรกของ แผนการด้วยซ้ํา เน่ืองจากคอมพิวเตอร์ยุคที่ 5 นั้น ได้ถูกจําแนกประเภทออกมาได้อย่างชัดเจน เหมือนกับแต่ละยุคท่ีผ่านมา โดยเฉพาะเหล่าผู้เชี่ยวชาญ ต่างก็มีความคิดเห็นท่ีไม่ค่อยลงรอยกัน เกี่ยวกับคํานิยามของคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 5 น้ี แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีหน่ึงความคิดเห็นท่ีตรงกันคือ คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5 จะต้ังอยู่บนพ้ืนฐานของ “ปัญญาประดิษฐ์” (Artificial Intelligence) หรือ ท่ี เรยี กกันว่าระบบ AI ซง่ึ เก่ยี วขอ้ งกบั ระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถเทียบเคียงกับมนุษย์ ด้วยการ จําลองสิ่งไม่มีชีวิต (คอมพิวเตอร์/หุ่นยนต์) ให้มีสติปัญญาเยี่ยงมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการคิด ความมีเหตุมีผล การจดจํา การรู้จักเปรียบเทียบ และการรับรู้ถึงความรู้สึกได้ในทํานองเดียวกันกับ มนษุ ย์ รูปท่ี 1.11 คอมพิวเตอรย์ คุ ที่ 5 ท่มี า http://www.chakkham.ac.th/krusuriya/index.php?option=com_ content&view=article&id=85&Itemid=101, 2557

ความรู้เบือ้ งตน้ เก่ยี วกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ 11 ประเภทของคอมพิวเตอร์ คอมพวิ เตอร์มอี ยู่หลายประเภทด้วยกัน แต่เมอื่ พิจารณาตามขนาดแล้ว เราสามารถจัดแบ่ง ประเภทของคอมพวิ เตอร์ออกเปน็ 4 ประเภทใหญๆ่ ด้วยกัน ดังนี้ 1. ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (Supercomputers) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และ มีขีดความสามารถสูงท่ีสุด ภายในประกอบไปด้วยซีพียูนับพันตัวที่สามารถคํานวณด้วยความเร็วกว่า หลายล้านคําสั่งต่อวินาที จัดเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีราคาแพงที่สุด (ราคาต้ังแต่ 1-350 ล้านเหรียญ สหรัฐ) และเร็วท่ีสุดตามความหมายของคําว่า “ซูเปอร์” น่ันเอง ซูเปอร์เหมาะกับงานประมวลผล ข้อมูลที่มีปริมาณมหาศาลอย่างการสํารวจมโนประชากร งานพยากรณ์อากาศ การสร้างแบบจําลอง ระดบั โมเลกลุ การวจิ ัยนิวเคลียร์ และการทําลายรหสั ลบั คอมพิวเตอรท์ ่ีประมวลผลเรว็ ที่สุดในโลกดว้ ยต้นทุน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่มีพลัง การประมวลผลเทียบเคียงได้เท่ากับแล็ปท็อปคอมพิวเตอร์ (รุ่นท่ีมีประสิทธิภาพสูงสุด) จํานวนกว่า 1 แสนเคร่ืองน้ันก็คือ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ รุ่นโรดรันเนอร์ (Roadrunner) ได้รับการพัฒนาข้ึนโดย วิศวกรจาก Los Alamos National Laboratory และบริษัท IBM โดยสร้างขึ้นมาเพื่อใช้กับงานวิจัย อาวุธนิวเคลียร์ รวมถึงการจําลองการระเบิดของนิวเคลียร์ สําหรับความเร็วของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ คอื 1.1.5 เพทาฟลอ็ ป (Petaflops) หรอื 1,105 ลา้ นลา้ นคาํ ส่ังต่อวนิ าที รปู ท่ี 1.12 ซเู ปอร์คอมพิวเตอรร์ ุ่น Roadrunner ที่มา http://images.thaiza.com/14/14_20130403104257.jpg, 2557 2. เมนเฟรมคอมพวิ เตอร์ (Mainframe Computers) เปน็ คอมพวิ เตอร์ทมี ีขีด ความสามารถรองจากซูเปอร์คอมพวิ เตอรป์ ัจจบุ นั เมนเฟรมคอมพวิ เตอร์มหี ลายขนาดดว้ ยกัน ต้งั แต่ ขนาดเลก็ กลางจนถึงขนาดใหญ่ ขน้ึ อยู่กับการใชง้ านเป็นหลกั สาํ หรับเมนเฟรมคอมพวิ เตอรข์ นาดเล็ก จะเรียกว่า คอมพิวเตอร์ขนาดกลาง (Midsize Computer)

12 ความรู้เบอ้ื งตน้ เกย่ี วกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ รูปท่ี 1.13 เมนเฟรมคอมพวิ เตอร์ ที่มา https://jijunjang.files.wordpress.com/2013/03/26.jpg, 2557 คอมพิวเตอร์แบบเมนเฟรม เหมาะสําหรับใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่ เช่น ธนาคาร สาย การบิน บริษัทประกันภัย และมหาวิทยาลัย มีพลังความสามารถในการบรรลุผลธุรกรรมนับล้าน รายการโดยใช้เวลาระยะส้ัน ผู้ใช้ท่ีต้องการเชื่อมโยงและเข้าถึงเครื่องเมนเฟรม จะต้องใช้ผ่าน เครื่องเทอร์มินัล(Terminal) ซ่ึงมีเพียงจอรูปและคีย์บอร์ดโดยใช้สําหรับปูอนข้อมูลและแสดงผลลัพธ์ ได้เท่านั้น เนื่องจากตัวเทอร์มินัลไม่มีหน่วยประมวลผลในตัว จึงต้องใช้ทรัพยากรทุกอย่าง (เช่น ซีพียู หน่วยความจํา และหน่วยจัดเก็บข้อมูล) บนเคร่ืองเมนเฟรมท้ังส้ิน เราเรียกรูปแบบการทํางานเหล่านี้ ว่า “การประมวลผล แบบรวมศูนย์” (Centralized Data Processing) โดยเมนเฟรมคอมพิวเตอร์จะทําหน้าที่เป็นโฮสต์ (Host) ซึ่งเป็นเคร่ืองแม่ข่ายท่ีคอยบริการ แก่เคร่ืองเทอร์มินัลท้ังหลายท่ีเป็นเคร่ืองลูกข่าย ท้ังนี้ เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ สามารถเชื่อมต่อ เทอร์มินัลได้หลายพันเครื่อง มีความสามารถในการประมวลผลด้วยความเร็วกว่าพันล้านคําส่ังต่อ วินาที “เวิร์กสเตชั่น” (Workstation) คอมพิวเตอร์แบบเวิร์กสเตชั่น หรือสถานีงานวิศวกรรม ถูก นาํ มาใช้ตั้งแตช่ ่วงตน้ ปี ค.ศ. 1880 เปน็ ต้นมา เปน็ คอมพวิ เตอรท์ ม่ี ีรปู แบบภายนอกคล้ายกับเครื่องพีซี ท่ัวไป แต่มีราคาแพงกว่าและมีขีดความสามารถสูงกว่ามาก ปกติมันถูกนํามาใช้ทางด้านวิทยาศาสตร์ งานด้านการแพทย์ งานคํานวณทางคณิตศาสตร์ และวิศวกรรมท่ีมีความซับซ้อน รวมถึงการนํามาใช้ เป็นคอมพิวเตอร์ช่วยงานออกแบบ และคอมพิวเตอร์ช่วยในการผลิต ( Computer-Aided Design/Computer-Aided Manufacturing: CAD/CAM) คอมพิวเตอร์เวิร์กสเตช่ัน มีความสามารถค่อนข้างหลากหลาย ซ่ึงหากเทียบขีด ความสามารถแล้วเทียบได้เท่ากับคอมพิวเตอร์ขนาดกลางหรือมินิคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างเช่น ภาพยนตรช์ ดุ Harry Potter ได้นําคอมพิวเตอร์มาใช้เพ่ืองานกราฟิกแอนนิเมช่ันแบบสามมิติ สําหรับ คอมพิวเตอร์เวิร์กสเตช่ันระดับ Low-end ที่มีขีดความสามารถตํ่าสุด จะเทียบชั้นได้เท่ากับ ไมโครคอมพวิ เตอรร์ ะดบั High-End ท่มี ีขดี ความสามารถสูงสุด

ความรูเ้ บอ้ื งตน้ เก่ยี วกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ 13 รูปท่ี 1.14 คอมพิวเตอร์เวิรก์ สเตชัน่ ทีม่ า https://ckingkaew85.wordpress.com/, 2557 3. มินิคอมพิวเตอร์ (Minicomputer) มินิคอมพิวเตอร์ คือ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่มี ขนาดอยู่ระหว่างเมนเฟรมกับไมโครคอมพิวเตอร์ มินิคอมพิวเตอร์มีความเร็วในการประมวลผลน้อย กว่าและช้ากวา่ เมนเฟรมเปน็ เครื่องคอมพิวเตอรแ์ มข่ า่ ยทีใ่ ช้ในการบริหารจัดการภายในองค์กร เหมาะ สาํ หรบั การทาํ งานหลายคนได้เปน็ หลายรอ้ ยคน นิยมใช้ในสถานศึกษา หนว่ ยงานรฐั บาล เปน็ ตน้ รูปที่ 1.15 มินิคอมพวิ เตอร์ ท่มี า https://web.ku.ac.th/schoolnet/snet1/hardware/e3500.gif, 2557 4. ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer)มีช่ือเรียกอีกช่ือหนึ่งว่า “เครื่องพีซี” (Personal Computer : PC) จัดเป็นคอมพิวเตอร์ประเภทหนึ่ง ท่ีได้รับความนิยมสูงที่สุดในกลุ่ม เนอ่ื งจากมรี าคาไม่แพง และมปี ระสิทธิภาพสูงเกินตัว สามารถนํามาประยุกต์ใช้งานได้ท้ังแบบ Stand Alone (ใช้งานแบบโดดไม่ได้เช่ือมต่อกับเครือข่าย) หรือนํามาเพื่อใช้เช่ือมกับเครือข่ายในท้องถิ่น (LAN) และสําหรบั รายละเอยี ดต่อไปนจี้ ะอธิบายถงึ ไมโครคอมพิวเตอรช์ นิดตา่ งๆ

14 ความรู้เบื้องต้นเก่ยี วกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ รปู ที่ 1.16 เดสก์ท็อปพีซี กับทาวเวอร์พซี ี ที่มา http://shopap.lenovo.com/th/th/desktops/lenovo/q-series/q180/, 2557 4.1 คอมพิวเตอร์ออลอินวันพีซี (All-in-one PC) ในยุคสมัยท่ีแท็บเล็ต และ สมาร์ท โฟนกําลังเป็นใหญ่อยู่น้ัน คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะหรือ PC ก็ต้องพยายามพัฒนาตัวเองให้เข้าสู่ยุค PC Plus ที่คอมพิวเตอร์สามารถทําได้หลายอย่าง ตอบสนองได้ทุกการทํางาน และคล่องตัวมากยิ่งข้ึน และ All-in-one PC ก็เป็นคอมพิวเตอร์ต้ังโต๊ะอีกรูปแบบหน่ึงท่ีพยายามตอบโจทย์น้ีมานานจนใน ระยะหลงั เหน็ ความสามารถท่ีพัฒนาขึ้นบนเรอื นร่างทส่ี วยงามโฉบเฉยี่ วมากยิง่ ขึ้น รปู ที่ 1.17 ออลอินวนั พีซี ทมี่ า http://www.mnetworksystem.com/image/pictures-/14018621581754828804.jpg, 2557 4.2 คอมพวิ เตอรโ์ นต้ บุ๊กหรอื แล็ปท็อป (Notebook/Laptop) แทบ็ เล็ตคอมพิวเตอร์ (Slate Tablet) เป็นแท็บเลต็ ทม่ี เี พยี งแค่หนา้ จอคล้ายกบั กระดานชนวน และใช้ปากกา (สไตลัส) เป็น

ความรู้เบ้อื งตน้ เกย่ี วกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ 15 อุปกรณ์อินพุต มีข้อเสียตรงที่ไม่มีที่ปูอนคีย์บอร์ดแต่ก็สามารถเชื่อมต่อเพ่ิมเติมได้สําหรับแท็บเล็ต แบบ State จะเตรยี มชอ่ งอปุ กรณ์เชือ่ มตอ่ แบบต่างๆ เชน่ พอรต์ mini-HDNI และ Card Reader รูปท่ี 1.18 คอมพวิ เตอรโ์ น้ตบุ๊ก ท่มี า https://www.asus.com, 2557 รูปท่ี 1.19 แทบ็ เล็ตคอมพวิ เตอรแ์ บบ Convertible ท่ีมา https://www.toshiba.com, 2557

16 ความรู้เบอ้ื งต้นเก่ยี วกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ รปู ที่ 1.20 แท็บเลต็ คอมพวิ เตอรแ์ บบ Slate ทมี่ า http://news.siamphone.com/news-20872.html, 2557 4.3 อัลตร้าบุ๊ก (Ultrabook) เป็นโน้ตบุ๊กที่เน้นความบางและความหนักเบา มี จอขนาดใหญ่ต้ังแต่ 13.3- 7 น้ิว สําหรับความบางของตัวเครื่องจะบางน้อยกว่า 21 มม. ลงไป และมี แบตเตอรที่ ีส่ ามารถใชง้ านได้ยาวนานหลายช่วั โมง รปู ท่ี 1.21 อลั ตรา้ บุ๊ก ท่มี า http://www.tabletd.com/uploads/0.62523000%201349851985.jpg, 2557

ความร้เู บอื้ งต้นเกยี่ วกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ 17 4.4 เน็ตบุ๊ก (Netbook) มีหน้าจอขนาดเล็กมากกว่าโน้ตบุ๊กท่ัวไป (8.8-11.6) มี ความหนาประมาณ 1 น้ิว นํ้าหนักเบา ราคาถูกว่าคอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊ก ท้ังอัลตร้าบุ๊กและเน็ตบุ๊ก จะใช้อุปกรณ์ฮาร์ดดิสก์ที่เรียกว่า SSD (Solid State Drive) แทนฮาร์ดดิสก์แบบกลไกท่ีนิยมใช้อยู่ ทั่วไป สําหรับเทคโนโลยี SSD แม้ว่าจะทําให้ฮาร์ดดิสก์มีขนาดเล็กลงและก็บางก็ตาม แต่ยังมี ขอ้ จาํ กดั ในเร่อื งของความจุ จึงทาํ ให้ฮาร์ดดิสก์ชนิดน้ีมีความจุไม่มาก (อยู่ในระดับกิกะไบต์) เมื่อเทียบ กับฮาร์ดดิสก์แบบกลไกลทีมีการพัฒนาความจุไปจนถึงระดับเทอราไบต์ (TB) แล้ว นอกจากนี้ ตัวเคร่อื งกย็ ังไม่มเี ครือ่ งขบั ซดี /ี ดวี ีดแี บบเช่ือมต่อภายนอกแทน รปู ท่ี 1.22 เปรยี บเทียบขนาดของอัลตร้าบุ๊กและเน็ตบุ๊ก ที่มา http://www.quickpcextreme.com/blog/?p=16748, 2557 4.5 อปุ กรณ์พกพาทีเ่ ชอ่ื มตอ่ อินเทอร์เน็ต (Mobile Internet Devices : MID) เป็นอุปกรณ์เคล่ือนท่ีสําหรับผู้คนยุคใหม่ กําลังได้รับความสนใจและมีกระแสนิยมมากขึ้นเรื่อยๆมี ขนาดเล็กกว่าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กแต่มีขนาดใหญ่กว่าจําพวก พีดีเอหรือคอมพิวเตอร์มือถือ(ขนาด จอภาพประมาณ 7-8 นิ้ว ) เช่น Apple iPad (จัดอยู่ในประเภทหน่ึงของ Slate Tablet) อุปกรณ์โมบายอินเทอร์เน็ตเหมาะสําหรับบุคคลท่ัวไป รวมถึงนักธุรกิจ ที่พวกเขาสามารถใช้เข้าถึง อินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ ทุกเวลา รวมถึงมีระบบ GPS ในตัว มีความสามารถเทียบเคียงเข้ากันได้ดี เหมอื นกับการใชง้ านพซี ี/โน้ตบุ๊ก แม้ว่าจะไม่มีแปูนคีย์บอร์ด แต่ก็สามารถใช้แปูนพิมพ์แบบเสมือนได้ ท่ีสําคัญการเปิด/ปิดเคร่ืองจะตอบสนองโดยทันที (เปิด/ปิด โดยไม่ต้องรอ) ซึ่งสร้างความสะดวกแก่ ผู้ใช้มาก แต่อย่างไรก็ตาม ต้นแบบแนวคิดของอุปกรณ์โมบายอินเทอร์เน็ตน้ัน ถูกออกแบบมาใช้งาน ในเรื่องของการส่ือสารข้อมูล (อุปกรณ์ที่เช่ือมต่ออินเทอร์เน็ตได้) เป็นหลัก มากกว่าการสื่อสารด้วย เสียง (โทรศัพท์) แตก่ ม็ บี างร่นุ ทีผ่ ้ผู ลติ ได้นาํ ทัง้ สองระบบมาใช้รว่ มกัน

18 ความรู้เบ้อื งตน้ เก่ยี วกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ รปู ที่ 1.23 แท็บเลต็ (Tablet) ที่มา http://www.techxcite.com/topic/3872.html, 2557 4.6 อุปกรณ์พีดีเอ (Personal Digital Assistants) อุปกรณ์พีดีเอ มีชื่อเรียกอีก หลายชื่อด้วยกัน เช่น คอมพิวเตอร์มือถือ (Handheld Computers) เคร่ืองปาล์ม (Palmtops) หรือ พ็อกเก็ตพีซี (Pocket PC) จัดเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพาที่มีขนาดเล็ก เหมาะกับการ นํามาใช้เพื่ออํานวยความสะดวกแก่นักธุรกิจ ที่ใช้เป็นเคร่ืองมือช่วยบันทึกความจํา การแสดงปฏิทิน การจัดตารางนัดหมาย การจัดเก็บรายชื่อของลูกค้า รวมถึงการจัดการกับการรับข้อมูลต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีความสามารถในเร่ืองการส่ือสาร เช่น การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรืออีเมล์ และ การเชือ่ มต่อเข้ากับเดสก์ทอ็ ปคอมพวิ เตอร์เพื่อรบั สง่ ข้อมลู ระหว่างกัน รปู ท่ี 1.24 อปุ กรณ์พดี ีเอ ท่มี า http://www.srisangworn.go.th/albums/album15/pda.jpg, 2557

ความรู้เบอ้ื งตน้ เกย่ี วกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ 19 อยา่ งไรก็ตาม ในปัจจุบันความสามารถของอุปกรณ์พีดีเอท้งั หลาย ลว้ นผนวกรวมอยู่ในเคร่ืองโทรศัพท์ สมารท์ โฟนเพยี งเคร่ืองเดียว หรือ ท่ีเรียกเทคโนโลยนี ีว้ ่า Converging รูปท่ี 1.25 เทคโนโลยี Converging ทม่ี า https://www.flickr.com/photos/82566876@N03/8412687808/, 2557 องคป์ ระกอบของคอมพวิ เตอร์ ระบบสารสนเทศคอมพิวเตอร์เป็นระบบสนับสนุนการบริหารจุดการและการปฏิบัติการ ของบุคคลในการดําเนินงานต่าง ๆ ภายในองค์กรซ่ึงประกอบด้วยองค์ประกอบ 5 ส่วน คือ 1) ฮารด์ แวร์ 2) ซอฟต์แวร์ 3) ขอ้ มลู 4) บุคลากร ข้ันตอนการปฏิบตั งิ าน โดยมีรายละเอยี ดดังนี้ 1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ท่ีทํางา ร่วมกนั อยา่ งเปน็ ระบบแปูนพิมพ์ เมาส์ หนว่ ยประมวลผลกลาง จอภาพ เคร่อื งพมิ พ์และอปุ กรณอ์ ่นื ๆ คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ท่ีสามารถจดจําข้อมูลต่างๆและปฏิบัติตาม คําส่ังเพ่อื ให้คอมพิวเตอร์ทํางานอย่างใดอย่างหนึ่งคอมพิวเตอร์น้ันประกอบด้วยอุปกรณ์ต่างๆ ต่อเช่ือ กัน เรียกว่า ฮาร์ดแวร์ (Hardware) และอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์นี้จะต้องทํางานร่วมกับโปรแกรม คอมพิวเตอร์ หรือ ท่ีเรียกว่า ซอฟต์แวร์ (Software) ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ มีองค์ประกอบสําคัญ 6 ส่วน คือ หน่วยรับข้อมูล หน่วยประมวลผลกลาง หน่วยความจําหลัก หน่วยแสดงผล หน่วยความจํา สาํ รอง และ โดยมีรายละเอียด ดงั น้ี 1.1 หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) เช่น แผงแปูนอักขระ (Keyboard), เมาส์, เคร่อื งตรวจกวาดภาพ (Scanner), จอภาพสัมผัส (Touch Screen), ปากกาแสง (Light Pen), เครื่อง อ่านบัตรแถบแม่เหล็ก (Magnetic Strip Reader), และเครื่องอ่านรหัสแท่ง (Bar Code Reader) เป็นต้น

20 ความรู้เบอ้ื งต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ 1.2 หน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียู (Central Processing Unit: CPU) จะ ทํางานร่วมกับหน่วยความจําหลักในขณะคํานวณหรือประมวลผลโดยปฏิบัติหน้าที่ตามคําส่ังของ โปรแกรมคอมพิวเตอรโ์ ดยการดงึ ข้อมูลและคําสัง่ ทเี่ กบ็ ไวใ้ นหนว่ ยความจาํ หลักมาประมวลผล 1.3 หน่วยความจําหลัก (Main Memory) มีหน้าท่ีเก็บข้อมูลที่มาจากอุปกรณ์รับ ข้อมูลเพื่อใช้ในการคํานวณและผลลัพธ์ของการคํานวณก่อนจะส่งไปยังอุปกรณ์ส่งข้อมูล รวมทั้งการ เก็บคําสัง่ ขณะกาํ ลังประมวลผล 1.4 หน่วยแสดงผล (Output Unit) เช่น จอภาพ (Monitor) เครื่องพิมพ์ (Printer) และเทอร์มินลั เป็นตน้ 1.5 หน่วยความจําสํารอง (Secondary Storage Unit) ทําหน้าท่ีจัดเก็บข้อมูล และโปรแกรม ขณะยงั ไมไ่ ดใ้ ช้งานเพื่อเก็บข้อมลู ไว้ใช้ในภายหลัง เชน่ ฮาร์ดดสิ ก์ แผ่นซีดี และอุปกรณ์ เก็บข้อมลู ชนดิ พอรต์ ยเู อสบี เป็นต้น คอมพิวเตอรป์ ระกอบไปดว้ ยวงจรอิเล็กทรอนิกส์มากมาย รวมถึงอุปกรณ์กลไกที่รู้จักกันใน นามว่า “ฮารด์ แวร์” (Hardware) สว่ นประกอบเหล่าน้ีประกอบด้วยอุปกรณ์อินพุต อุปกรณ์เอาต์พุต หน่วยระบบ อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล และอุปกรณ์ส่ือสาร พิจารณาจากรูปที่ 1.26 ที่แสดงให้เห็นถึง ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวรท์ ี่นยิ มใช้งานอย่ทู ่วั ไป รปู ที่ 1.26 ส่วนประกอบของฮารด์ แวร์ ท่มี า http://images.slideplayer.in.th/8/2084219/slides/slide_5.jpg, 2557

ความร้เู บือ้ งตน้ เกยี่ วกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ 21 2. ซอฟต์แวร์ (Software) เป็นซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมที่ส่ังงานให้ฮาร์ดแวร์ทํางาน ตามชุดคาํ สั่งทีเ่ ขียนขน้ึ เพอื่ ประมวลผลข้อมูลใหไ้ ด้สารสนเทศตามความต้องการของผูใ้ ช้งาน ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบท่ีสําคัญมากในการควบคุมการทํางานของ ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ซ่ึงเป็นซอฟต์แวร์หรือชุดคําสั่งท่ีสั่งให้ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ทํางานต่างๆ ตาม ต้องการโดยซอฟแวร์หรือชุดคําสั่งจะเขียนมาจากภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาใดภาษาหน่ึง หรือหลายๆ ภาษา เช่น ภาษาเครื่อง ภาษาแอสเซมบลีภาษาเบสิก ภาษาโคบอล ภาษาซี ภาษาปาสคาล ภาษา HTML ภาษาออราเคลิ ภาษาโฟคสั และภาษามนุษย์ เปน็ ต้น ซอฟต์แวร์สามารถแบ่งออกไดเ้ ปน็ เพียง 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ซอฟต์แวร์ระบบ และ ซอฟต์แวรป์ ระยุกต์ โดยมรี ายละเอียด ดงั นี้ 2.1. ซอฟต์แวร์ระบบ เป็นซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ท่ีทําหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่าง ผู้ใช้คอมพิวเตอร์กับฮาร์ดแวร์ และทําหน้าที่ควบคุมการทํางานอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆภายใน ระบบคอมพิวเตอร์ทง้ั ระบบ ซอฟต์แวร์ระบบสามารถแบง่ ไดเ้ ป็น 3 ชนดิ ใหญ่ๆ คือ 2.1.1 ซอฟต์แวร์ระบบปฏบิ ัตกิ าร เป็นซอฟตแ์ วร์ระบบท่ที าํ หนา้ ทเ่ี ป็นสื่อกลางที่ ใช้ควบคุมการทํางานของเคร่ืองคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ โดย ระบบปฏิบัติการท่ีรู้จักกันในปัจจุบัน เช่น ดอส (Disk Operating System: DOS) วินโดวส์ (Windows) โอเอสทู (OS/2) และยูนิกซ์ (UNIX) เปน็ ต้น 2.1.2 ซอฟต์แวร์อรรถประโยชน์ เป็นซอฟต์แวร์ท่ีทําหน้าที่สนับสนุนระบบและ ช่วยอํานวยความสะดวกในการใช้คอมพิวเตอร์เพ่ือช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพในการทํางานของระบบ คอมพิวเตอร์โดยซอฟต์แวร์อรรถะประโยชน์ที่นิยมใช้กันปัจจุบัน เช่น ซอฟต์แวร์เอดิเตอร์ (Editor) ซอฟต์แวร์แบค็ อัพ (Backup) ซอฟต์แวร์สแกนดสิ ก์ (Scandisk) ซอฟต์แวรด์ สิ ก์ดีแฟรกเมนต์เตอร์ (Disk Defragmenter) และนอร์ตนั ยูทิลิตี (Norton Uitility) เปน็ ตน้ 2.1.3 ซอฟต์แวร์แปลภาษาคอมพิวเตอร์ เป็นซอฟต์แวร์ที่ทําหน้าที่ในการแปล คําสั่งเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่นักพัฒนาโปรแกรมเขียนให้เป็นภาษาเคร่ืองทําให้เคร่ืองคอมพิวเตอร์ เข้าใจและสามารถทํางานต่างๆ ตามที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ต้องการโดยซอฟต์แวร์แปลภาษาที่รู้จักกันใน ปัจจุบัน เช่น คอมไพเลอร์ (Compiler) อินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter) และแอสแซมเบลอ (Assembler) 2.2 ซอฟต์แวร์ประยุกต์ เป็นซอฟต์แวร์ที่นักพัฒนาโปรแกรมเขียนข้ึนมาเพื่อส่ังให้ เครื่องคอมพิวเตอร์ทํางานทั่วไป หรือเฉพาะด้านตามความต้องการของผู้ใช้ซอฟต์แวร์ประยุกต์ สามารถแบ่งได้ 3 ชนิดใหญ่ๆ คือ 2.2.1 ซอฟต์แวร์ประยุกต์เพื่องานทั่วไป เป็นซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ที่สร้าง ขึ้นมาเพื่อใหผ้ ู้ใช้สามารถใชค้ อมพวิ เตอรท์ ํางานทั่วไปในองค์กรได้โดยซอฟต์แวร์ประยุกต์เพื่องานท่ัวไป ท่ีนิยมใช้กันมากและเป็นท่ีรู้จักกันดี เช่น ซอฟต์แวร์ประมวลผลคํา (Word Processing) ซอฟต์แวร์ ด้านการคํานวณ (Spreadsheet) ซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล (Database Management) และ ซอฟต์แวร์การนาํ เสนอขอ้ มลู (Presentation) เปน็ ตน้ 2.2.2 ซอฟแวร์ประยุกต์เฉพาะงาน เป็นซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพ่ือใช้งาน เฉพาะทใ่ี ช้กันในเชิงพาณิชยซ์ ึ่งอาจจะนาํ ไปใช้ประโยชน์ตามวตั ถุประสงค์ของงานในองค์กรน้ัน

22 ความรู้เบื้องต้นเกย่ี วกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ 2.2.3 ซอฟต์แวร์ประยุกต์อื่นๆ เป็นซอฟต์แวร์ที่สร้างขึ้นเพื่อความบันเทิง และ อื่นๆโดยซอฟตแ์ วรป์ ระยุกต์อืน่ ๆ ทร่ี ู้จักกันในปัจจบุ ัน เชน่ ซอฟตแ์ วรต์ ่อส้จู าํ ลอง ซอฟต์แวร์สร้างเมือง ซอฟต์แวร์พจนานกุ รมซอฟตแ์ วรช์ ่วยในการเรียนการสอน ซอฟตแ์ วรแ์ ผนทีก่ ารเดนิ ทาง เปน็ ต้น รปู ท่ี 1.27 ชนดิ ของซอฟต์แวร์ ทีม่ า https://spacomputer1.files.wordpress.com/2014/08/ e0b88be0b8ade0b89fe0b981.jpg, 2557 3. บุคลากร (People ware) เป็นบุคลากรท่ีเก่ียวข้องกับระบบสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ในการดําเนินงานต่าง ๆ เช่น ผู้ใช้ ผู้บริหาร ผู้พัฒนาระบบ นักวิเคราะห์ระบบและ นักเขียนโปรแกรม เป็นต้น ซ่งึ บุคลากรทางระบบสารสนเทศจะสง่ั งานใหค้ อมพวิ เตอรท์ ํางานตามความ ต้องการของการใช้งาน บุคลากรท่ีมีอาชีพที่เก่ียวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศมีการทํางานแบ่งตาม หนา้ ท่ี ดังน้ี

ความรเู้ บือ้ งตน้ เกยี่ วกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ 23 ตารางท่ี 1.1 บคุ ลากรทม่ี ีอาชพี ทีเ่ กี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ อาชพี หนา้ ท่ี เวบ็ มาสเตอร์ (Webmaster) สนับสนนุ และใหค้ วามช่วยเหลอื ผใู้ ช้เกี่ยวกับเทคนคิ ตา่ งๆ ผ้เู ชี่ยวชาญคอมพวิ เตอร์ (Computer เตรยี มคมู่ ือปฏิบตั ิงานของชดุ คําสั่งและรายงาน ดา้ น support specialist) เทคนิค รวมถึงจดั ทําเอกสารต่างๆ นกั เขียนเทคนิค (Technical writer) วิเคราะห์ความต้องการของผ้ใู ช้ และพัฒนา ซอฟตแ์ วร์ตามทผี่ ู้ใชต้ ้องการ วิศวกรซอฟต์แวร์ (Software engineer) พฒั นาและบํารุงรกั ษาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ผู้บรหิ ารเครือข่าย (Network ใชโ้ ปรแกรมจดั การฐานข้อมลู ในการตัดสินใจว่าจะ administrator) จัดการกับข้อมูลอยา่ งไรจงึ จะมีประสิทธภิ าพมาก ทีส่ ดุ ผ้บู รหิ ารฐานขอ้ มูล (Database วางแผน ออกแบบ และบํารุงรักษาระบบสารสนเทศ administrator) นักวเิ คราะห์ระบบ (System analyst) วางแผน ออกแบบ และบาํ รงุ รกั ษาระบบสารสนเทศ โปรแกรมเมอร์ (Programmer) พฒั นา ทดสอบ และแกไ้ ขโปรแกรม ท่ีมา : (ยาใจ โรจนวงศ์ชัย และคณะ, 2551 : 6 ) องค์กรส่วนใหญ่จะจัดตั้งบุคลากรเพ่ือรับผิดชอบงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศโดยเฉพาะ โดยอาจจะมีการจัดตั้งเป็นแผนกหรือฝุายก็ข้ึนอยู่กับขนาดและความต้องการขององค์กร เพื่อ ปฏิบัติงานตามหน้าท่ีหลัก 3 ประการคือ การพัฒนาระบบงาน การปฏิบัติการระบบสารสนเทศ การ ให้บริการเทคนิค โดยมีโ ครงสร้างองค์กรของหน่วยงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2547 : 55) และบุคคลท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องในการทํางานคอมพิวเตอร์ ได้แก่ 3.1 ผู้บริหารระดับสูงด้านสารสนเทศ (Chief Information Officer : CIO) เป็น ผรู้ บั ผดิ ชอบในการบรหิ ารงานและจดั การงานด้านสารสนเทศขององค์การ ทําหน้าที่ในการวางแผนกล ยุทธ์และแผนงาระยะยาวในการใช้สารสนเทศให้เป็นไปตามนโยบายขององค์การ ซึ่งต้องมีความรู้ ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การบริหารงานสารสนเทศ และมีประสบการณ์การทํางานที่เก่ียวกับ กิจกรรมหลักขององค์กร รวมทั้งทราบความสัมพันธ์ของสารสนเทศที่หน่วยงานต่าง ๆต้องใช้ร่วมกัน ทําหน้าท่ีอนุมัติและติดตามโครงการต่าง ๆ ตลอดจนส่ังการและประสานงานการพัฒนาระบบ สารสนเทศให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ควบคุมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศขององค์กรให้เกิดประโยชน์ สงู สุดและเป็นไปในทิศทางเดยี วกัน 3.2 ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ (Director Of Information Technology Service) เป็นผู้บริหารและควบคุมการปฏิบัติงานของศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ ให้บริการประมวลผลสารสนเทศด้วยคอมพิวเตอร์ ให้บริการด้านการสื่อสารข้อมูล/สารสนเทศ และ พฒั นาการเชื่อมโยงสารสนเทศจากหน่วยงานต่าง ๆใหเ้ ปน็ ไปสารสนเทศแก่ผ้บู ริหารระดับสูงได้ ดังน้ัน

24 ความรู้เบอ้ื งต้นเกย่ี วกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ ผู้บริหารระบบ สารสนเทศจะต้องมีความรู้ในเทคโนโลยีสารสนเทศ กิจกรรมต่าง ๆ ที่องค์กรต้อง ดําเนินการ ข้อมูล/สารสนเทศท่ีองค์การต้องใช้ ความรู้ ความเข้าใจในการพัฒนาระบบงาน เพื่อ ควบคุมและติดตามการพัฒนาระบบงานประยุกต์ให้สําเร็จ กําหนดมาตรการบํารุงรักษาอุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ เครือข่ายข้อมูล การบริหารงบประมาณของศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ บริหาร บุคลากรใหป้ ฏบิ ตั งิ านไดต้ ามแผนงาน 3.3 ผู้จัดการด้านพัฒนาระบบสารสนเทศ (ManagerOf System Development) รับผิดชอบงานในแผนกพัฒนาระบบงานท้ังหมด โดยทําหน้าที่ในการวางแผนงานพัฒนาระบบ ประยุกต์ของทั้งศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและหน่วยงานอื่น ๆในโครงการต่าง ๆให้สําเร็จตาม เปูาหมาย ติดตาม ประสานงานการพัฒนาระบบงานประยุกต์ระหว่างบุคลากรและผู้ใช้ มีประสบการ ในการออกแบบและวเิ คราะห์ระบบ เพ่อื ตดิ ตามและควบคุมการทาํ งานของบคุ ลากรในแผนกดงั น้ี 3.4 พนักงานวิเคราะหแ์ ละออกแบบ (System Analysis And Design Staff) ทําหนา้ ท่ีวิเคราะห์และออกแบบระบบงานประยกุ ต์ ส่งระบบงานทวี่ เิ คราะห์และออกแบบไว้แล้วให้กับ โปรแกรมเมอร์ พัฒนาระบบงานให้ประมวลผลได้ตามวัตถุประสงค์ของระบบงาน ต้องมีความรู้และ ประสบการณ์ทั้งด้านการพัฒนาระบบงาน การพัฒนาโปรแกรม ด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และ ระบบเครือข่าย การจัดเก็บข้อมูล สามารถให้ความรู้และความเข้าใจกับโปรแกรมเมอร์ในข้ันตอนต่าง ๆของการพฒั นา ทําการทดสอบจนระบบใช้งานได้ 3.5 พนักงานพัฒนาโปรแกรม (Programmer) ทําหน้าท่ีพัฒนาโปรแกรมด้วยคําส่ัง ต่าง ๆ ของซอฟตแ์ วรต์ ามทน่ี กั วเิ คราะห์ระบบได้ออกแบบไว้ มีความรู้ในการพัฒนาโปรแกรมรู้เทคนิค ของโปรแกรมน้ัน ๆ ให้โปรแกรมประมวลผลตามที่ออกแบบได้ ทดสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดท่ีเกิดขึ้น จากการพัฒนาได้ และยังรวมไปถึง ตําแหน่ง Web Designer ที่มีหน้าท่ีเขียนโปรแกรมภาษา HTML หรือเครอื่ งมอื อืน่ ๆในการสร้างเวบ็ เพจให้กับหน่วยงาน 3.6 พนกั งานสนับสนุนการพัฒนาระบบงาน (Development Support Staff) ทํา หน้าที่ด้านธุรการ ดูแลด้านการจัดเอกสาร ข้อมูลท่ีจําเป็นในการพัฒนาระบบงาน ดูแลการรับส่ง เอกสาร ประสานงานในการจดั ประชมุ การพัฒนาระบบงาน 3.7 ผู้จัดการระบบปฏิบัติการระบบสารสนเทศ (Manage Of Information System Operation) ทําหน้าท่บี ริหารและควบคมุ งานของสว่ นปฏบิ ตั กิ ารและประมวลผลสารสนเทศ กับคอมพิวเตอร์ และเครือข่ายให้ได้ตามวัตถุประสงค์ของระบบงานให้สําเร็จตามแผนการทํางาน มี ความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการประมวลผลทัง้ หมด บริหารการสําเนาข้อมูลและฟ้ืนสภาพข้อมูลใน ระบบงานต่าง ๆ ได้ ควบคุมการบํารุงรักษาอุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และเครือข่ายที่อยู่ในความ รบั ผดิ ชอบของศนู ย์เทคโนโลยสี ารสนเทศ บริหารและควบคุมการปฏิบตั ิงานของบคุ ลกรในแผนกดงั น้ี 3.8 พนักงานปฏิบัติการ (Operator) รับผิดชอบประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ ควบคุมการทํางานท่ีเป็นโฮสต์ (Host) และแก้ปัญหาในการติดต่อระหว่างโฮสต์ (Host) กับเทอร์มินัล (Terminal) ดูแลการพิมพ์รายงานต่าง ๆ จากระบบงาน ใช้คําสั่งติดต่อกับคอมพิวเตอร์เอติดตั้ง อุปกรณ์ตา่ ง ๆ ตามทร่ี ะบบต้องการได้ ดแู ลการพมิ พ์รายงานตา่ ง ๆจากระบบงาน 3.9 พนักงานบันทึกข้อมูล (Data Entry Staff) ทําหน้าท่ีบันทึกข้อมูลจากเอกสาร ให้เปน็ แฟมู ข้อมลู เพอื่ ใชก้ ารประมวลผลต่อไป

ความรเู้ บอื้ งต้นเกีย่ วกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ 25 3.10 พนักงานควบคุมและสนับสนุนผลลัพธ์ (Product Control and Supply Staff) ตรวจสอบความครบถ้วนและถูกต้องของผลลัพธ์จากระบบงานต่าง ๆ ท่ีศูนย์เทคโนโลยี สารสนเทศเป็นผ้รู ับผดิ ชอบควบคมุ การส่งผลลัพธ์ให้ผู้ใช้อย่างถกู ตอ้ งและครบถว้ น 3.11 ผู้จัดการด้านบริการเทคนิค (Manager Of Technical Service) ทําหน้าที่ บริหารและควบคุมการให้บริการทรัพยากรต่าง ๆ ด้านคอมพิวเตอร์ให้กับองค์กร มีความรู้และ ประสบการณ์ในเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ การประมวลผล เครือข่าย เพ่ือให้คําแนะนําในการ ประมวลผลสารสนเทศแกผ่ ใู้ ช้ บริหารและควบคุมการปฏบิ ตั งิ านของบคุ ลากรในแผนกดังน้ี 3.12 พนักงานให้บริการแก่ผู้ใช้ (User Service) มีหน้าที่แนะนําและแก้ไขปัญหา การประมวลผลสารสนเทศใหแ้ กห่ น่วยงานต่าง ๆ จงึ ควรเปน็ ผมู้ ีความรู้และประสบการณ์ในการใช้งา โปรแกรมประยกุ ตท์ ว่ั ไป 3.13 ผู้บริหารข้อมูล (Data Administrator) หรือผู้บริหารฐานข้อมูล (Database Administrator) มีความรู้เกี่ยวกับการจัดการข้อมูลและฐานข้อมูล เข้าใจและเห็นภาพรวมความ ต้องการใช้ข้อมูลของผู้ใช้ในองค์กร ออกแบบและสร้างฐานข้อมูลให้กับองค์การได้ สามารถใช้ โปรแกรมจัดการฐานข้อมลู ในการสรา้ ง ควบคุม และบํารงุ รักษาขอ้ มลู ใหก้ ับระบบงานประยกุ ต์ได้ 3.14 พนักงานให้บริการเครือข่าย (Network Service Staff/web master) มี หน้าท่ใี นการควบคุมการใชง้ านเครือขา่ ยขององคก์ รให้มีประสิทธิภาพ ออกแบบเครือข่ายให้รองรับกับ งานประยุกตต์ า่ งๆ ได้ 4. ข้อมูล (Data) เป็นส่ิงท่ีได้จากการเก็บรวบรวมจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น ตัวเลข ขอ้ ความ รปู ภาพ หรอื เสียง เป็นต้น ซึ่งผู้ใช้สามารถปูอนข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และสั่งงานให้ คอมพวิ เตอร์ทาํ การประมวลผลใหไ้ ด้สารสนเทศและแสดงผลลพั ธ์ตามความต้องการของการใชง้ านได้ 5. ข้ันตอนการปฏิบัติ (Procedure) เป็นข้ันตอนการปฏิบัติงานของระบบสารสนเทศ คอมพิวเตอร์เพือ่ ทาํ การประมวลผลใหไ้ ด้ผลลัพธ์หรือสารสนเทศตามความต้องการของการใชง้ าน หลกั การทางานของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ประเภทต่างๆ จะมีวงจรการทํางานขั้นพื้นฐานท่ีสําคัญ 4 ข้ันตอน คือ การรับ ข้อมูล การะประมวลผล การแสดงผล และการจดั เกบ็ ขอ้ มลู 1. การรับข้อมูล (Input) คอมพิวเตอร์จําทําหน้าท่ีรับข้อมูลและคําสั่งต่างๆผ่าน อุปกรณ์นําเข้าข้อมูลและคําส่ังเพ่ือนําข้อมูลและคําสั่งเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์และดําเนินการจัดส่ง ข้อมูลและคําสั่งต่างๆ ไปประมวลผลต่อไปซ่ึงในปัจจุบันมีอุปกรณ์นําเข้าข้อมูลและคําสั่งหลากหลาย ประเภท เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ จอสัมผัส ปากกาสไตลัส เคร่ืองอ่านพิกัด เครื่องอ่านรหัสแท่ง สแกนเนอร์ ไมโครโฟน และกล้องดิจิทลั เป็นต้น 2. การประมวลผลข้อมูล (Processing) เม่ือนําข้อมูลและคําสั่งต่างๆ เข้าสู่ระบบ คอมพิวเตอรแ์ ล้ว ข้อมูลและคําส่ังต่างๆจะถูกไปส่งยังหน่วยประมวลผลกลาง เพื่อทําการคํานวณและ ประมวลผลข้อมูลและคําส่ังต่างๆตามโปรแกรมหรือชุดคําสั่งท่ีกําหนดไว้ซ่ึงหน่วยประมวลผลกลาง ประกอบด้วยส่วนประกอบที่สําคญั 2 ส่วน คือ

26 ความรู้เบ้ืองต้นเกย่ี วกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ 3. หน่วยควบคุม และหน่วยคํานวณและตรรกะการแสดงข้อมูล (Output) เม่ือ คอมพิวเตอรป์ ระมวลผลขอ้ มลู และคาํ สงั่ ตา่ งๆ แล้วคอมพิวเตอร์จํานําผลลัพธ์ท่ีได้จากการประมวลผล ไปเก็บไว้ในหน่วยความจําแรมตลอดจนนําผลลัพธ์ที่ได้แสดงผลออกทางอุปกรณ์ท่ีทําหน้าที่แสดงผล ข้อมูล เช่น จอภาพ เครื่องฉายภาพแอลซีดี กระดานอิเล็กทรอนิกส์ลําโพง เคร่ืองพิมพ์ และพล็อต เตอร์ เป็นตน้ โดยในปัจจุบันหน่วยแสดงผลอาจแบ่งเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ หน่วยแสดงผล แบบชว่ั คราว หรือ ซอฟต์ก๊อปปี้ (Soft Copy) และหน่วยแสดงผลแบบถาวร หรือ ฮาร์ดก๊อปป้ี (Hard Copy) 4. การจดั เกบ็ ขอ้ มูล (Storage) เม่ือคอมพิวเตอร์คํานวณหรือประมวลผลข้อมูลให้เป็น สารสนเทศและนําผลลัพธ์ที่ได้ไปแสดงผลแล้วขั้นตอนต่อมาคือการจัดเก็บข้อมูลลงในอุปกรณ์เก็บ ข้อมูลเพื่อให้สามารถนํามาใช้ประโยชน์ได้ในภายหลัง เช่น ฮาร์ดดิสก์ดิสก์เก็ต แผ่นซีดี ซึ่งการจัดเก็บ ข้อมูลสมัยใหม่สามารถจัดเก็บได้ด้วยอุปกรณ์เก็บข้อมูลชนิดพอร์ต USB Drive โดยในปัจจุบันหน่วย เก็บข้อมูลอาจะแบ่งเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ หน่วยความจําหลัก โดยมีลักษณะการเก็บข้อมูลแบ่ง ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่หน่วยความจําแบบลมเลือนได้ หากเกิดไฟดับระหว่างใช้งานข้อมูลจะหาย เรียกว่า แรม (RAM) และหน่วยความจําแบบลบเลือนไม่ได้ เป็นหน่วยความจําถาวรแม้ไฟจะดับ ข้อมูลก็ยังจะอยู่เหมือนเดิม เรียกว่า (ROM) ส่วนหน่วยความจําสํารอง เป็นหน่วยความจําท่ีช่วยให้ คอมพิวเตอร์สามารถเก็บข้อมูลได้มากข้ึน เช่น ฮาร์ดดิสก์ ดิสเกตต์ เป็นหน่วยความจําที่ช่วยให้ คอมพิวเตอร์สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้น เช่น ฮาร์ดดิสก์ ดิสเกตต์ แผ่นซีดี และอุปกรณ์เก็บข้อมูล ชนดิ พอร์ต ยูเอสบี เปน็ ตน้ คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ปฏิบัติงานภายใต้การควบคุมของ ชุดคําสั่ง (Instruction) โดยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องนี้ สามารถท่ีจะรับข้อมูล ประมวลข้อมูล แสดงผลลัพธ์ และจัดเก็บผลลัพธ์ของข้อมูลตามที่ต้องการได้ และจากคํากล่าวท่ีว่า คอมพิวเตอร์จํา ทาํ งานภายใตช้ ุดคําสง่ั ท่ีควบคุม นน่ั หมายความว่า การทาํ งานโดยอตั โนมตั ขิ องคอมพิวเตอร์ จะสั่งการ โดย “โปรแกรม” ซึ่ง หมายถึง ชุดคําส่ังที่ถูกเขียนข้ึนมาโดยมีจุดประสงค์เพื่อส่ังการให้คอมพิวเตอร์ ปฏิบัติตาม โดยข้ันตอนการปฏิบัติงานทั้งสี่ข้อ เม่ือถูกรวมเข้าด้วยกันจะเรียกว่า “วงจรการ ประมวลผลข้อมลู ” ทีแ่ สดงไวด้ ังรปู ท่ี 1.28

ความรู้เบือ้ งต้นเกยี่ วกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ 27 รูปที่ 1.28 หลักการทํางานของคอมพวิ เตอร์ ทีม่ า https://sorathun1884.files.wordpress.com/2014/08/63.jpg, 2557 คอมพิวเตอร์ นอกจากจะทํางานตามขั้นตอนต่างๆ ทั้ง 4 ข้อตามที่ได้กล่าวมาแล้ว คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันยังทําหน้าท่ีเกี่ยวข้องกับการสื่อสารด้วย เช่น การส่งหรือรับข้อมูลผ่าน อินเทอร์เน็ต การเข้าถึงฐานข้อมูลขององค์กรที่มีการเปิดแชร์ใช้งานร่วมกัน หรือการแลกเปลี่ยน ข่าวสารผ่านทางอีเมล์ ท้ังน้ีรูปแบบการดําเนินงานกับอินพุท / เอาท์พุท เหล่านี้ จะมีรูปแบบการ สอ่ื สารอยา่ งไร ยอ่ มขึ้นอยกู่ ับทศิ ทางของการมาของข่าวสารน้ันๆ เป็นสําคัญ ผลกระทบจากการนาคอมพวิ เตอรม์ าใช้งาน คงต้องยอมรับว่า สังคมได้เก็บเกี่ยวประโยชน์ที่ได้จากคอมพิวเตอร์มากมายนับไม่ถ้วน แต่ คอมพิวเตอร์นอกจากสร้างประโยชน์แก่มวลมนุษย์ชาติแล้ว ก็ยังส่งผลเสียในเรื่องต่างๆ อยู่ไม่น้อย เช่นกนั 1. ขอ้ ดีของการใช้คอมพิวเตอร์ 1.1 ความเร็ว (Speed) คอมพิวเตอร์สามารถประมวลผลข้อมูลท่ีมีอยู่จํานวนมากให้ เสร็จได้ภายในไม่กวี่ นิ าที ซ่งึ หากใช้แรงงานคน อาจตอ้ งใช้เวลาเปน็ วันหรอื หลายวัน

28 ความรู้เบ้อื งต้นเกยี่ วกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ 1.2 ความน่าเช่ือถือ (Reliability) เนื่องจากคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยชิ้นส่วนทาง อเิ ล็กทรอนิกสท์ ่ีทันสมัย ทําให้ผลลพั ธใ์ ดๆทไ่ี ด้จากการประมวลผลคอมพวิ เตอร์มักไม่ค่อยผิดพลาด มี ความแมน่ ยาํ และนา่ เชือ่ ถอื สูง 1.3 ความสอดคล้องตรงกัน (Consistency) ข้อมูลเดียวกันท่ีปูอนเข้าไปใน คอมพิวเตอร์ เม่ือผ่านการประมวลผลคร้ังแล้วคร้ังเล่า ก็จะให้ผลลัพธ์เดียวกันโดยไม่เปล่ียนแปลง สาํ หรับข้อผดิ พลาดจากการประมวลผลของคอมพวิ เตอรแ์ ทบจะไม่เกิดข้ึนเลย หากข้อมูลและชุดคําส่ัง ท่ปี อู นเข้าไปนน้ั ถูกต้อง 1.4 การจัดเก็บ (Storage) คอมพิวเตอร์สามารถจัดเก็บข้อมูลได้จํานวนมหาศาล และ ยงั สามารถนาํ ข้อมลู ท่จี ดั เกบ็ เหลา่ น้นั มาประมวลผลได้ทุกเวลาตามต้องการ 1.5 การสื่อสาร (Communication) คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ที่ใช้งานในทุกวันน้ี มี ความสามารถในการส่ือสารการทํางานกับคอมพิวเตอร์เคร่ืองอื่นๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการเช่ือมโยงผ่าน สายหรือแบบไร้สายก็ตาม ทําให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์สามารถสื่อสารกับผู้อ่ืนได้อย่างสะดวกแม้ว่าอยู่ ห่างไกลกันก็ตาม 2.ข้อเสยี ของการใชค้ อมพวิ เตอร์ 2.1 การละเมิดความเป็นส่วนตัว มีอยู่หลายกรณีด้วยกัน ท่ีข้อมูลส่วนตัวซ่ึงเป็น ความลบั ถูกจัดเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์แต่ไม่ได้รับการปกปูองคุ้มครอง ดังน้ันบุคคลใดๆ อาจถูกละเมิด ความเปน็ ส่วนตัวของผู้อ่นื ไปใช้ในทางมชิ อบ 2.2 ความปลอดภัยของประชาชน ท้ังผู้ใหญ่ วัยรุ่น และเด็กๆ ท่ัวทั้งโลก ได้ใช้ คอมพิวเตอรใ์ นการแบง่ ปนั ขอ้ มูลแบบสาธารณะ ไมว่ ่าจะเป็นภาพถ่าย วีดีโอ ท่ีพวกเขาเป็นผู้จัดทําขึ้น เอง รวมถึงการแชทกับบุคคลแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก และมีการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวท้ังท่ีตั้งใจหรือไม่ ต้ังใจก็ตาม ดังน้ัน ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ท่ีใสซ่ือบริสุทธ์ิอาจถูกล่อลวง หรือตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมโดย คนแปลกหนา้ ทมี่ งุ่ ประสงคร์ ้าย 2.3 ผลกระทบต่อแรงงาน แม้ว่าคอมพิวเตอร์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ ภาคอุตสาหกรรมท่วั ไปก็ตาม ล้วนมจี ดุ ประสงค์ในการนําคอมพิวเตอร์มาใช้ทดแทนแรงงานมนุษย์ ซ่ึง นอกจากช่วยลดกําลังคนแล้ว ยังช่วยเพิ่มกําไร ดังนั้น แรงงานในระดับดังกล่าว จึงได้รับผลกระทบ โดยตรง พวกเขาจึงต้องหันมาปรับปรุงตนเองเพ่ือยกระดับความสามารถ ผ่านการเพิ่มพูนทักษะ ความรู้ และความเช่ยี วชาญเฉพาะทางมากขึ้น 2.4 ความเสี่ยงทางด้านสุขภาพ รูปแบบการใช้คอมพิวเตอร์ของผู้คนสมัยใหม่ ก่อให้เกิดอาการบาดเจบ็ ท่เี รียกว่า “ออฟฟิศซินโดรม” (Office Syndrome) จากการใช้คอมพิวเตอร์ เป็นเวลานานๆ ตอ่ เนอื่ งกนั ภายใต้ลักษณะทางกายภาพและสภาพแวดล้อมการทํางานท่ีไม่เหมาะสม สําหรับอาการท่ีบ่งบอก สามารถแสดงอาการออกมาได้หลายรูปแบบด้วยกัน เช่น อาการปวดหลัง ปวดตา ปวดศรี ษะ ปวดไหล่ และปวดข้อมอื นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมของกลุ่มผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่น่า เป็นห่วง โดยเฉพาะการเสพติดคอมพิวเตอร์ หรือ “โรคติดอินเทอร์เน็ต” (Web holism) ท่ีผู้ใช้มัก หมกมุ่นอยู่กับการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตตลอดทั้งวันทั้งคืนคร้ันเมื่อตนถูกห้ามมิ ให้ใช้งาน ก็จะเกิดอาการทุกข์ทรมานใจเกินเหตุ มีความกระวนกระวายใจ คลุ้มคลั่ง จนกระทั่งไม่ สามารถควบคมุ อารมณ์ตนเองได้ อาการดังกล่าว ถือเป็นการบ่ันทอนสุขภาพเป็นอย่างมาก อีกท้ังยัง

ความรู้เบือ้ งตน้ เกี่ยวกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ 29 ส่งผลตอ่ การดาํ เนินชีวิต ท้งั ในเรื่องการงานและการเรียน จําเป็นต้องได้รับการบําบัดท้ังทางกายและ จติ ใจจากจติ แพทย์ 2.5 ผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อม กระบวนการผลิตคอมพิวเตอร์ย่อมส่งผลต่อชั้น บรรยากาศ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ประกอบกับคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าๆ ที่ถูกปลด ระวาง และ ถูกเลิกใช้งาน ได้กลายเปน็ ขยะอิเล็กทรอนกิ ส์ที่นับวันจะทวเี พิ่มมากขน้ึ อย่างมหาศาล ความหมายของเทคโนโลยสี ารสนเทศ ปัจจุบันพัฒนาการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) ได้ เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีการปรับปรุงเครื่องมือเคร่ืองใช้ที่เป็นประโยชน์กับงานสารสนเทศอยู่ ตลอดเวลาทําให้ทุกวงการวิชาชีพต้องหันมาศึกษาปรับปรุงกลไกในวิชาชีพของตนให้ทันต่อ สังคมสารสนเทศและการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลก ดังนั้นเพื่อความเข้าใจในเบ้ืองต้นจึงควรทํา ความเขา้ ใจเกยี่ วกับคําวา่ “ขอ้ มูล” (Data) และ “สารสนเทศ” (Information) ดงั นี้ กองแผนงาน กรมสามัญศึกษา (2536 : 1) ให้ความหมาย ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อเท็จจริงต่างๆ ท่ีมีอยู่ในธรรมชาติ เป็นกลุ่มสัญลักษณ์แทนปริมาณ ข้อมูลอยู่ในรูปของ ตัวเลข ตวั หนังสือ รูปภาพ แผนภมู ิ เป็นต้น สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลท่ีได้ผ่านการประมวลผล ผ่านการวิเคราะห์ และสรุปให้อยู่ในรูปท่ีมีความหมายที่สามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้ซึ่งลักษณะของสารสนเทศจะเป็น การรวบรวมข้อมูลหลาย ๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกันเพ่ือจุดมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง ในการดําเนิน กิจกรรมต่างๆ ท่ีมีสารสนเทศเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เช่น ร้านค้าขายสินค้า ก็จะมีข้อมูลเก่ียวกับสินค้า ข้อมูลการขาย ในกิจกรรมเกี่ยวกับด้านการเรียนการสอน ก็จะมีข้อมูลเก่ียวกับจํานวนนักศึกษา จํานวนอาจารย์ จาํ นวนนักศึกษาต่ออาจารย์ คะแนนเฉล่ีย เป็นต้น รูปที่ 1.29 แสดงความสัมพันธ์ของข้อมูล และสารสนเทศ ทมี่ า http://www.oknation.net/blog/lookikung1/2009/02/17/entry-3, 2557 ซึ่งความแตกต่างระหว่าง “ข้อมูล” และ “สารสนเทศ” น้ัน “ข้อมูล” จะยังคงสภาพความ เป็นข้อมูลอยู่เสมอ แต่ในส่วน ”สารสนเทศ” เป็นข้อความรู้ท่ีประมวลผลได้จากข้อมูลท่ีเกี่ยวข้อง ออกมาเป็นความรูท้ เี่ ปน็ ประโยชน์แกผ่ ้ใู ช้นัน้ ๆ ส่วนคําว่า “เทคโนโลยีสารสนเทศ” (Information Technology : IT) ได้มีผู้ให้ ความหมาย ไวต้ า่ ง ๆ กันดงั นี้ สํานักบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือพัฒนาการศึกษา (2549) ได้กล่าวความหมายว่า เทคโนโลยีมีความหมายมาจากคํา 2 คํา คือ Technique หมายถึง วิธีการที่มีการพัฒนาและสามารถ นําไปใช้ได้ และคําว่า Logic หมายถึง ความมีเหตุผลท่ีเป็นที่ยอมรับ รวมกันแล้ว หมายถึง วิธีการ

30 ความรู้เบอ้ื งตน้ เกย่ี วกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ ปฏิบัติท่ีมีการจัดลําดับ อย่างมีรูปแบบ และข้ันตอน เพ่ือที่จะทําให้ประสิทธิภาพในเร่ืองความเร็ว (Speed) ความนา่ เชื่อถือ (Reliable) ความถกู ต้อง (Accurate) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (2542) ได้นิยามความหมายของคําว่า เทคโนโลยี คือ วิทยาการท่ีนําเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ และนิยามคําว่า สารสนเทศ คอื ข่าวสาร การแสดงหรอื ช้ีแจงขา่ วสารข้อมูลต่าง ๆ กิตติ ภักดีวัฒนกุล (2547 : 4) เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง การนําเทคโนโลยีมาใช้ใน งานเกยี่ วกบั การประมวลผลข้อมลู เพื่อใหเ้ ปน็ สารสนเทศ ซ่ึงเทคโนโลยีท่ีใช้เป็นการผสมผสานระหว่าง เทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์กับเทคโนโลยีการส่ือสารเพื่อช่วยในการติดต่อส่ือสาร และการส่งผ่าน ขอ้ มูลและสารสนเทศใหส้ ะดวกรวดเรว็ มากขน้ึ สุพรรษา ยวงทอง (2557: 218) เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง การประยุกต์เอาความรู้ ทางด้านวิทยาศาสตรม์ าจดั การสารสนเทศท่ตี อ้ งการโดยอาศัยเทคโนโลยใี หม่ ๆ ครรชิต มาลัยวงศ์ (2539 : 25) ให้ความหมายว่า “เทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วย เทคโนโลยี 2 สาขา คือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีส่ือสารคมนาคม โดยเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์จะช่วยให้สามารถจัดเก็บ บันทึก และประมวลผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง ส่วนเทคโนโลยีส่ือสารโทรคมนาคมช่วยให้สามารถส่งผลลัพธ์ของการใช้คอมพิวเตอร์ไปให้ผู้ใช้ที่อยู่ ห่างไกลอยา่ งรวดเรว็ และสะดวก” วศิน ธปู ระยูร (2537 : 59) ใหค้ วามหมายว่า “เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นเทคโนโลยีใหม่ท่ี ใช้ในการประมวลผลสารสนเทศ ได้แก่ ไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องประมวลผลคําและเคร่ืองท่ีสามารถ ประมวลผลได้โดยอตั โนมตั อิ น่ื ๆ เครอ่ื งสมองกลเหลา่ นี้เปน็ นวตั กรรมของมนษุ ยชาตทิ ่ีสร้างสรรค์ข้ึนมา เพื่อรวบรวม ผลิต ส่อื สาร บันทึก เรยี บเรยี งใหม่ และแสดงผลประโยชน์จากสารสนเทศ” Haag,Cummings and McCubbrey (2002 : 12) ให้ความหมายว่า “เทคโนโลยี สารสนเทศ เป็นเครื่องมือ หรือ อุปกรณ์ทุกประเภทที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นพื้นฐานซ่ึงบุคลากรนํามา ประยกุ ตใ์ นการทาํ งานกับข้อมลู และ สารสนเทศ สนับสนุนกระบวนการประมวลผล และ การจัดการ สารสนเทศในองคก์ ร” Abell and Oxbrow (2001 : 265) ให้ความหมายว่า “เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นการ ผนวกรวมคอมพิวเตอร์และการเช่ือมโยงการส่ือสารความเร็วสูงเพ่ือรับส่งข้อมูล ข้อความ เสียง ภาพ ประกอบดว้ ยสารสนเทศ คอมพวิ เตอร์ (Computer) และโทรคมนาคม (Telecommunication)” จากความหมายข้างบนสรุปได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง การนําเทคโนโลยีที่ พัฒนามาจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการประมวลผลสารสนเทศด้านคอมพิวเตอร์ และการประยุกต์ใช้ด้านการส่ือสาร หรือ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดหา การประมวลผลการ จัดเก็บ การเผยแพร่สารสนเทศในรปู ของเสียง ภาพ ตวั อกั ษร และตวั เลข โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ และโทรคมนาคม ความสาคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศมีความสําคัญมากในปัจจุบัน และ มีแนวโน้มมากย่ิงข้ึนในอนาคต เพราะเป็นเครื่องมือในการดําเนินงานสารสนเทศให้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพ นับต้ังแต่การผลิต การ

ความรู้เบื้องตน้ เกี่ยวกับเทคโนโลยสี ารสนเทศ 31 จัดเก็บ การประมวลผลการเรียกใช้ และการสื่อสาร รวมทั้งการแลกเปลี่ยน และใช้ทรัพยากร สารสนเทศรว่ มกัน ให้เกดิ ประโยชน์อย่างเตม็ ที่ ซึ่งความสําคญั ของเทคโนโลยสี ารสนเทศ สรุปได้ ดังน้ี 1. ความสําคญั ในด้านการพัฒนาการเมืองการปกครองของประเทศ เ ท ค โ น โ ล ยี สารสนเทศมีความสําคัญในทางการเมืองโดยเป็นเคร่ืองมือในการให้ข่าวสารความรู้ทางการเมือง ซ่ึง ช่วยหล่อหลอม ความคิด ความเข้าใจทางการเมืองอย่างต่อเน่ือง สามารถทําให้มีบทบาท มีส่วนร่วม ทางการเมอื งและใช้สิทธ์ิตามกระบวนการทางการเมือง ในสังคมประชาธิปไตย 2. ความสาํ คัญในดา้ นสงั คม เทคโนโลยีสารสนเทศทําให้ประชาชนในภูมิภาคใด ๆ ของ โลกไดร้ ับรูข้ ่าวสารได้อย่างรวดเร็ว ทันเหตุการณ์พร้อมกัน เพราะสามารถติดต่อ ส่ือสารระหว่างกันได้ อยา่ งสะดวก โดยไมต่ อ้ งเสยี เวลาและคา่ ใช้จา่ ยในการเดนิ ทาง 3. ความสําคัญต่อการคมนาคม ระบบคอมพิวเตอร์ท่ีออกแบบเพ่ือควบคุมระบบ เส้นทางการเดินทาง และการขนส่ง ช่วยให้การขนส่งผู้โดยสาร การส่งสินค้าวัตถุดิบต่าง ๆ มีความ สะดวกมากขึ้นและยังสามารถรองรับธุรกิจอุตสาหกรรมของประเทศให้มีความรวดเร็ว ปลอดภัย มากกว่าในอดีต รวมท้ังผู้ใช้บริการได้รับความสะดวกในการใช้บริการจองจากแหล่งต่าง ๆได้อย่าง รวดเร็ว 4. ความสําคัญต่อการพัฒนาสาธารณสุข ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถนํามา จัดทําระบบสารสนเทศด้านการรักษาพยาบาลเพิ่มความสามารถในการตัดสินใจ วินิจฉัย การ รกั ษาพยาบาล การจัดระบบสาธารณสุขและรักษาพยาบาลท่ีดี นอกจากช่วยสร้างคุณภาพชีวิตแล้ว ยังลดความสญู เสยี ในชวี ิตและทรัพย์สินของประเทศดว้ ย 5. ความสําคัญในวงการธุรกิจ ในการทําธุรกิจต้องมีการแข่งขัน ต้องช่วงชิงไหวพริบ ครองตลาดและลูกค้า สร้างความเช่ือถือในสินค้าและการบริการ จึงจําเป็นต้องใช้เทคโนโลยี สารสนเทศ เป็นส่วนสําคัญ ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานขององค์กร การพัฒนากลยุทธ์ทาง ธุรกิจและใชส้ ร้างความสมั พนั ธ์กบั ลกู ค้า รวมท้ังเป็นการเพ่มิ และพัฒนาผลติ ผลของอตุ สาหกรรม 6. ความสําคัญต่อการศึกษา เทคโนโลยีมีความสําคัญต่อการพัฒนาการศึกษา ความรู้ ความสามารถและทักษะความชาํ นาญในด้านต่าง ๆ ท้ังนักเรียนนักศกึ ษา บคุ ลากรในหน่วยงานเอกชน หน่วยงานราชการและประชาชนทั่วไป เช่น การศึกษาทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic-Learning หรือ E- Learning) สื่อการศึกษา แหล่งสารสนเทศเพื่อการค้นคว้า และยังเป็นเคร่ืองมือในการ บริหารการศกึ ษาอีกดว้ ย คณุ ลักษณะของเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศที่มีคุณภาพจะช่วยให้ผู้บริหารสามารถใช้สารสนเทศนั้นๆ ในการ ตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณลักษณะของเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีดีมีคุณภาพควรจะมีลักษณะ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ถูกต้องแม่นยํา (Accurate) สารสนเทศท่ีมีความถูกต้องจะต้องปราศจากข้อผิดพลาด (Error) ใด ๆ อย่างไรก็ตามถ้าข้อมูลที่ปูอนเข้าสู่กระบวนการประมวลผลไม่ถูกต้องก็อาจก่อให้เกิด สารสนเทศทไ่ี มถ่ ูกตอ้ งได้ ซ่งึ มักเรยี กทว่ั ๆ ไปว่า GIGO (Garbage In, Garbage Out)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook