-1- แผนการจัดการเรียนรู้ “รายวชิ าเพิม่ เติม การป้องกนั การทุจริต” ระดบั มธั ยมศกึ ษาชั้นปที ่ี 4 ชุดหลักสูตรต้านทจุ รติ ศึกษา (Anti - Corruption Education) สานักงานคณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ ร่วมกบั สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2561
-2- ก คานา ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) ได้กาหนดยุทธศาสตร์ที่ 1 สร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต อันมีกลยุทธ์ว่าด้วยเร่ืองของการปรับฐานความคิดทุก ช่วงวัยต้ังแต่ปฐมวัยให้สามารถแยกระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ส่งเสริมให้มีระบบ และกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมเพ่ือต้านทุจริต ประยุกต์หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเคร่ืองมือ ต้านทุจริต เสริมพลังการมีส่วนร่วมของชุมชน (Community) และบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อต่อต้านการทุจริต คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) จึงได้มีคาส่ังแต่งต้ัง คณะอนุกรรมการจัดทาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้และส่ือประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการทุจริต ข้ึน เพือ่ ศกึ ษา วิเคราะห์ และรวบรวมข้อมูล กาหนดแนวทางและขอบเขตในการจัดทาหลักสูตร ยกร่างและจัดทา เน้ือหาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้และส่ือประกอบการเรียนรู้ พิจารณาให้ความเห็นเพิ่มเติม กาหนดแผนหรือ แนวทางการนาหลักสูตรไปใช้ในหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง และดาเนินการอ่ืนๆ ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมาย คณะอนุกรรมการจัดทาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้และส่ือประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการ ทุจริตได้ร่วมกันสร้างหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา : Anti-Corruption Education ประกอบด้วย ๕ หลักสูตร ดังน้ี ๑. หลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (รายวิชาเพ่ิมเติม การป้องกันการทุจริต) ๒. หลักสูตรอุดมศึกษา (วัย ใส ใจสะอาด “Youngster with good heart”) ๓. หลักสูตรตามแนวทางรับราชการ กลุ่มทหารและตารวจ ๔. หลักสตู รสร้างวทิ ยากรผ้นู าการเปลย่ี นแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต และ ๕. หลักสูตรโค้ชเพื่อการรู้คิด ต้านทจุ ริต หลกั สตู รดงั กลา่ วไดผ้ ่านกระบวนการนาไปทดลองใช้ เพ่ือปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพ สาหรับการใช้ ในกลุ่มเป้าหมายต่อไป นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการจัดทาหลักสูตรหรือชุดการเรียนรู้และส่ือประกอบการ เรียนรู้ ด้านการป้องกันการทุจริตยังได้คัดเลือกส่ือการเรียนรู้ จากแหล่งต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อประกอบการเรยี นการสอนต่อไป สานักงาน ป.ป.ช. หวังเป็นอย่างย่ิงว่าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา : Anti-Corruption Education จะ สร้างความรู้ความเข้าใจและทักษะให้แก่ผู้เรียนหรือผู้ผ่านการอบรมในเรื่อง การคิดแยกแยะระหว่าง ผลประโยชนส์ ่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ความอายและความไม่ทนต่อการทุจริต STRONG : จิตพอเพียง ตา้ นทจุ ริต และพลเมืองกับความรบั ผดิ ชอบตอ่ สังคม เพื่อร่วมกนั ปอ้ งกนั หรือตอ่ ต้านการทุจริต มิให้มีการทุจริต เกิดขึน้ ในสงั คมไทย รว่ มสร้างสงั คมไทยทไ่ี มท่ นตอ่ การทจุ ริตตอ่ ไป พลตารวจเอก (วัชรพล ประสารราชกจิ ) ประธานกรรมการ ป.ป.ช. 14 มีนาคม ๒๕๖๑
-3- สารบัญ หน้า โครงสร้างรายวิชา 1 หน่วยที่ 1 การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนกับผลประโยชนส์ ว่ นรวม 2 หนว่ ยท่ี 2 ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจรติ 42 หน่วยท่ี 3 STRONG / จติ พอเพยี งต่อตา้ นการทจุ ริต 69 หนว่ ยที่ 4 พลเมืองกับความรับผดิ ชอบต่อสงั คม 116 ภาคผนวก 167 คาสั่งแต่งต้ังคณะอนุกรรมการจัดทาหลักสตู รหรอื ชุดการเรียนรู้และ 168 ส่ือประกอบการเรยี นรู้ ดา้ นการป้องกนั การทจุ รติ สานักงาน ป.ป.ช. รายชื่อคณะทางานจดั ทาหลักสตู รหรอื ชุดการเรยี นรู้และส่ือประกอบการเรยี นรู้ 171 ดา้ นการป้องกนั การทุจริต กลุ่มการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน รายชื่อคณะบรรณาธิการกจิ หลกั สูตรหรือชุดการเรียนร้แู ละส่ือประกอบการเรยี นรู้ 174 ด้านการปอ้ งกันการทจุ รติ กลุ่มการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน รายชื่อคณะผูป้ ระสานงานการจัดทาหลักสตู รหรือชุดการเรียนรแู้ ละสื่อประกอบการเรยี นรู้ 176 ด้านการปอ้ งกนั การทจุ ริต กลุ่มการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน สานักงาน ป.ป.ช.
-4- โครงสรา้ งรายวชิ า ระดับมธั ยมศึกษาชัน้ ปีท่ี 4 ลาดบั หน่วยการเรียนรู้ เร่อื ง รวมช่ัวโมง - การคิดแยกแยะ 10 1. การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ - ระบบคดิ ฐาน 2 สว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม - ระบบคิดฐาน 10 7 - ความแตกต่างระหวา่ งจรยิ ธรรมและ 8 การทุจรติ (สงั คม) 15 2. ความละอายและความไม่ทนต่อการ - การทาการบา้ น/ช้ินงาน 40 ทุจริต - การทาเวร/การทาความสะอาด - การสอบ - กิจกรรมนักเรียน (โรงเรยี น) 3. STRONG / จติ พอเพยี งต่อตา้ นการ - ความพอเพยี ง ทุจริต - ความโปรง่ ใส - ความต่นื รู้และความรู้ - การตอ่ ต้านทุจริต - มุ่งไปขา้ งหน้า - ความเอื้ออาทร 4. พลเมอื งกับความรบั ผิดชอบต่อสงั คม - การเคารพสิทธหิ นา้ ทตี่ ่อตนเองและ ผูอ้ ื่น - ระเบียบ กฎ กติกา กฎหมาย - ความรับผดิ ชอบต่อตนเองและผู้อ่นื - ความเป็นพลเมือง - ความเป็นพลโลก * สมั มนา สนุ ทรพจน์ รวม
-2- หนว่ ยที่ ๑ การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตน และผลประโยชนส์ ่วนรวม
-3- แผนการจดั การเรยี นรู้ หน่วยที่ ๑ ชื่อหน่วย การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม มธั ยมศึกษาปที ่ี ๔ เวลา ๒ ชว่ั โมง แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๑ เร่ือง การคิดแยกแยะ ๑. ผลการเรยี นรู้ 1.1 มคี วามรู้ ความเข้าใจเกย่ี วกับการแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนกบั ผลประโยชน์สว่ นรวม 1.2 สามารถคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตน กบั ผลประโยชน์สว่ นรวม ๒. จุดประสงค์การเรียนรู้ ๒.๑ นกั เรยี นสามารถคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวมได้ ๓. สาระการเรียนรู้ ๓.๑ ความรู้ 1) ความร้เู รอื่ งการคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม ๓.๒ ทกั ษะ / กระบวนการ (สมรรถนะที่เกดิ ) ๑) ความสามารถในการคิด 1. คิดวเิ คราะห์ สรุป ๓.๓ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ / คา่ นิยม 1)ซอ่ื สตั ย์สจุ ริต ๔. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ๔.๑ ขน้ั ตอนการเรยี นรู้ ชั่วโมงท่ี ๑ ๑. ทบทวนความรู้เดมิ ของนกั เรยี นโดยให้ผเู้ รียนเล่าประสบการณ์ หรอื การรับรู้ หรือการไดย้ ิน เกีย่ วกบั บคุ คลทีน่ าของหลวงไปใช้เป็นของตนเอง ๒. นกั เรียนศึกษาใบความรู้ เรือ่ ง การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนกบั ผลประโยชน์ ส่วนรวม ๓. แบ่งกลมุ่ นักเรียนตามความเหมาะสมร่วมกันคิดวเิ คราะหค์ วามรู้ จากใบความรู้ เรื่องการคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนกับผลประโยชน์สว่ นรวม ๔. นักเรยี นแลกเปลยี่ นความรู้ความเขา้ ใจจากใบความรู้ระหว่างกลุ่ม ๕. นกั เรยี นสรุปความรทู้ ี่ไดร้ บั ทงั้ ความรเู้ ดมิ และความรู้ใหม่ แลว้ ช่วยกันเขยี นแผนผงั มโนทัศน์ จากน้นั ครูสรปุ เพิ่มเตมิ ดงั น้ี ผลประโยชนส์ ่วนตน หมายถึง ความสนใจตนเอง การคานงึ ถงึ ตนเอง ผลประโยชนส์ ่วนรวม หมายถงึ การคานึงถงึ ผลประโยชน์สว่ นรวม และของชาติ มากกวา่ ผลประโยชน์ของตนเอง
-4- ชวั่ โมงที่ ๒ ๖. แตล่ ะกลุ่มออกมานาเสนอแผนผงั มโนทัศน์ของตนเองหนา้ ชั้นเรียน และนาไปติดท่ีป้ายนิเทศ เพอื่ ใหน้ กั เรียนแต่ละคนแลกเปล่ยี นเรยี นรูใ้ นเวลาว่าง ๗. นักเรยี นทาใบงาน การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชนส์ ่วนรวม ๘. ครูตรวจสอบใบงานท่ีนักเรียนทา แลว้ ให้ปรบั แกใ้ ห้ถูกต้อง ต่อจากนั้นนาใบงานท่ีปรับแกแ้ ลว้ ไปจัด นทิ รรศการแสดงผลงาน ๔.๒ สอ่ื การเรียนรู้ / แหล่งการเรยี นรู้ ๑) ใบความรูเ้ รื่อง การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ๒) กระดาษบร๊ฟู เขียนแผนผังมโนทัศน์ ๓) ปากกาเคมี ๔) ใบงานการคิดแยกแยะ ๕. การประเมินผลการเรยี นรู้ ๕.๑ วธิ กี ารประเมนิ 1) ตรวจผงั มโนทศั น์ 2) ตรวจใบงานเร่อื ง การคิดแยกแยะ ๕.๒ เครือ่ งมือทใี่ ช้ในการประเมิน 1) แบบให้คะแนนการตรวจผังมโนทัศน์ 2) แบบประเมินใบงาน เรื่องการคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนกับผลประโยชน์สว่ นรวม ๕.๓ เกณฑก์ ารตดั สิน 1) นักเรยี นต้องผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ ระดับดขี ึ้นไป ๖. บนั ทึกหลังการเรียนรู้ ................................................................................................................................ .............................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................. .................................................................... ......................... ลงชอ่ื ................................................ ครผู สู้ อน (.................................................)
-5- 7. ภาคผนวก ใบความรู้ การคิดแบบแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตนกบั ผลประโยชนส์ ่วนรวม ประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ถ้าเราจะคิดถึงประโยชน์เพียงแง่เดียว คือ ประโยชน์ของเรา สว่ นตวั ตา่ งคนตา่ งกต็ อ้ งการประโยชน์ส่วนตวั แล้วจะเปน็ ประโยชน์สว่ นรวมได้อยา่ งไร เพราะฉะน้ันประโยชน์ของส่วนตัวกับประโยชน์ของส่วนรวมก็จะต้องสอดคล้องกัน คือ ประโยชน์ของเราก็จะต้องเก่ียวข้องกับประโยชน์ของคนอื่นด้วย ไม่ใช่ว่าเราได้ประโยชน์แล้วคนอ่ืนเสีย ประโยชน์ แลว้ ประโยชนส์ ่วนรวมเสยี ไป แล้วจะทาให้เรานน้ั ไดป้ ระโยชน์อยูค่ นเดียวน้นั เปน็ ส่ิงทเ่ี ป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นประโยชน์ท่ีแท้จริง คือ ประโยชน์ส่วนรวมก็ต้องมาจากประโยชน์ส่วนตัวของแต่ ละคนดว้ ย ถา้ แตล่ ะคนได้รับประโยชน์สว่ นตัวหมดทกุ คน กท็ าให้ส่วนรวมได้รับประโยชน์น้ันด้วย ถ้าประโยชน์ สว่ นตัวนน้ั เป็นไปเพื่อประโยชน์สว่ นรวม เพราะฉะนั้นก่อนอ่ืนต้องเข้าใจว่า ประโยชน์ของเราส่วนตัวทาให้ส่วนรวมได้ประโยชน์หรือ เปล่า หรอื ถา้ ประโยชน์ส่วนตัวของเราน้ัน ไม่ทาให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวมเลย อันนั้นก็ไม่มีทางสาเร็จได้ แต่ ถ้าประโยชน์ของเราซ่ึงเป็นส่วนตัว เป็นประโยชน์ของส่วนรวมด้วย ต่างคนต่างช่วยกัน ทาให้ได้ทั้งประโยชน์ ส่วนรวมและประโยชน์สว่ นตัวดว้ ย อันนั้นกจ็ ะได้ประโยชนท์ ั้ง ๒ ฝา่ ย ผลประโยชนส์ ่วนบุคคล กับ ผลประโยชน์ส่วนรวม ขัดกัน เจ้าหน้าที่ของรัฐ มีหน้าที่รักษาผลประโยชน์ ส่วนรวม การปฏิบตั ิหนา้ ทข่ี องเจ้าหน้าที่ จงึ ต้องไมม่ ีผลประโยชนส์ ่วนตวั เข้ามา เก่ียวขอ้ ง ๑. การใช้ตาแหนง่ ไปดาเนินการเพอื่ ประโยชน์ทางธรุ กิจของตนเองโดยตรง ๒. ใช้ตาแหน่งไปชว่ ยเหลือญาติสนทิ มติ รสหาย ๓. การรบั ผลประโยชน์โดยตรง ๔. การแลกเปลี่ยนผลประโยชนโ์ ดยใช้ตาแหนง่ หน้าที่การงาน ๕. การนาทรพั ย์สนิ ของหนว่ ยงานไปใชส้ ่วนตวั ๖. การนาขอ้ มูลอนั เป็นความลับของหนว่ ยงานมาใช้ประโยชนส์ ่วนตวั ๗. การทางานอีกแห่งหนงึ่ ท่ีขัดแยง้ กบั แห่งเดิม ๘. ผลประโยชนท์ บั ซ้อนจากการเปล่ยี นสถานทท่ี างาน ๙. การปิดบงั ความผดิ
-6- ชื่อ .............................................................................................. ช้ัน ...................... เล ขท่ี ................ ใบงาน เร่ือง การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตน กับผลประโยชนส์ ่วนรวม คาชแ้ี จง ให้นกั เรยี นเขยี นพฤติกรรมของบุคคลท่ีบง่ บอกถึงการคานึงถงึ ผลประโยชน์สว่ นรวม และ ผลประโยชน์ส่วนตน มาอย่างละ ๕ ข้อ ผลประโยชน์ส่วนรวม ผลประโยชน์ส่วนตน ๑. ๑. ๒. ๒. ๓. ๓. ๔. ๔. ๕. ๕.
-7- แบบประเมนิ การให้คะแนน การตรวจผงั มโนทัศน์ คาช้แี จง ให้ครผู ูส้ อนทาเครื่องหมาย ( / ) ลงในช่องคะแนนตามเกณฑ์การประเมนิ กล่มุ ท่ี สรุปความรไู้ ดถ้ กู ตอ้ ง การเชื่อมโยงความรูไ้ ด้ มคี วามคิดสร้างสรรค์ใน รวม ครบตรงประเดน็ ถกู ต้องตามลาดับขน้ั การเขยี น ผังมโนทัศน์ ความสัมพนั ธ์ ๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑ (ลงชอื่ )...................................ผู้ประเมิน (…………………………………………………) ............../................./................. เกณฑ์การประเมินระดับคณุ ภาพ รายการประเมนิ คาอธบิ ายระดบั คณุ ภาพ ๑. สรปุ ความรไู้ ด้ถกู ต้อง ๔ (ดมี าก) ๓ (ด)ี ๒ (พอใช้) ๑(ปรบั ปรงุ ) ครบตรงประเด็น สามารถสรุปความรู้ได้ สรปุ ความรู้ไม่ถกู ต้อง ครบและตรงประเด็น สามารถสรุปความรู้ได้ สรปุ ความร้ไู มค่ รบทกุ ๒. การเชือ่ มโยงความรู้ และถูกตอ้ งทุกหัวข้อ สามารถเชื่อมโยงความรู้ ไดถ้ กู ตอ้ งตามลาดับข้นั ครบ ตรงประเด็นและมี ประเด็น ได้ แต่ไมเ่ ป็นไป ความสัมพันธ์ สามารถเชื่อมโยงความรู้ ตามลาดบั ความสัมพันธ์ . มีความคิดสรา้ งสรรค์ใน ไดถ้ ูกตอ้ งตามลาดับ ความถกู ตอ้ งเป็นส่วน สามารถเขียนผังความคิด การเขียนผงั ความคิด ความสมั พันธ์ ได้ แต่ขาดรปู แบบและ สามารถเขยี นผังความคิด ใหญ่ ความสวยงาม ได้ในรปู แบบที่ถูกต้อง และสวยงาม สามารถเชื่อมโยงความรู้ สามารถเชอ่ื มโยงความรู้ ได้ และลาดับความ และลาดับความสัมพันธ์ สัมพันธ์ได้ค่อนข้างครบ ได้บา้ ง สามารถเขียนผงั สามารถเขียนผังความคิด ความคิดไดถ้ กู ตอ้ งและมี ได้ และมขี ้อบกพรอ่ ง ขอ้ บกพรอ่ งเพียง เปน็ บางส่วน เลก็ นอ้ ย คะแนนตัดสินระดบั คณุ ภาพ คะแนน คณุ ภาพ ๑๐ - ๑๒ ดมี าก ๗–๙ ดี ๔–๖ ๑–๓ พอใช้ ควรปรบั ปรงุ
-8- แบบประเมินการให้คะแนน ใบงาน เร่อื ง การคดิ แยกแยะ รายการประเมิน รวม ที่ ชือ่ – สกลุ มคี วาม การใชภ้ าษา การลาดับ ความเรยี บรอ้ ย การคิด ๒๐ ถูกต้อง เนือ้ หา วิเคราะห์ คะแนน ๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑ เกณฑ์การให้คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ๔ คะแนน เทา่ กับ ดมี าก ๑๖-๒๐ คะแนน เทา่ กบั ดีมาก ๓ คะแนน เท่ากับ ดี ๑๑-๑๕ คะแนน เท่ากบั ดี ๒ คะแนน เทา่ กับ พอใช้ ๕-๑๐ คะแนน เท่ากับ พอใช้ ๑ คะแนน เทา่ กบั ปรบั ปรงุ ๐-๕ คะแนน เท่ากบั ปรับปรงุ
-9- แบบประเมิน คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (ซื่อสัตย์/สุจริต) คาชีแ้ จง : ให้ผสู้ อน สังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน รายการประเมิน ท่ี ชื่อ – สกลุ ให้ข้อมูลทถ่ี กู ต้องและ ปฏิบัตใิ นสง่ิ ทีถ่ ูกตอ้ ง ปฏบิ ตั ติ ่อผูอ้ ืน่ ด้วยความ เป็นจรงิ ละอาย และเกรงกลวั ท่ีจะ ซ่ือตรง ทาความผิด ทาตาม สัญญาทตี่ ๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน เกณฑก์ ารตัดสนิ คุณภาพ ๔ คะแนน เทา่ กับ ดีมาก ๑๖-๒๐ คะแนน เท่ากับ ดีมาก ๓ คะแนน เท่ากับ ดี ๑๑-๑๕ คะแนน เทา่ กับ ดี ๒ คะแนน เทา่ กับ พอใช้ ๕-๑๐ คะแนน เทา่ กบั พอใช้ ๑ คะแนน เท่ากบั ปรบั ปรุง 1-๕ คะแนน เทา่ กบั ปรบั ปรงุ ลงชอ่ื ...................................................... ผ้ปู ระเมิน (....................................................)
- 10 - แผนการจัดการเรียนรู้ หนว่ ยท่ี ๑ ชอื่ หนว่ ย การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๔ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๒ เรื่อง ระบบคดิ ฐาน ๒ เวลา ๓ ชว่ั โมง 1. ผลการเรยี นรู้ ๑.1 มีความรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกับการแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวม ๑.2 สามารถคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตน กับผลประโยชนส์ ่วนรวมได้ ๒. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ นกั เรียนสามารถ ๒.๑ นักเรยี นบอกความหมายของระบบคิดฐาน ๒ ได้ ๒.๒ นกั เรยี นยกตัวอยา่ งพฤติกรรมท่ีสอดคล้องกบั ระบบคดิ ฐาน ๒ ได้ ๒.๓ นักเรยี นสามารถคดิ ระบบฐาน ๒ ได้ ๓. สาระการเรียนรู้ ๓.๑ ความรู้ 1) ความหมายของระบบคิดฐาน ๒ และพฤติกรรมทีส่ อดคลอ้ งกบั ระบบคดิ ฐาน ๒ ๓.๒ ทักษะ / กระบวนการ (สมรรถนะทเ่ี กิด) ๑) ความสามารถในการส่ือสาร 1.1 อา่ น ฟัง พูด เขียน ๒) ความสามารถในการคิด 2.1 วิเคราะห์ จดั กลมุ่ สรปุ ๓.๓ คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ / คา่ นิยม 1) ซอื่ สตั ย์สุจรติ ๔. กิจกรรมการเรียนรู้ ๔.๑ ขน้ั ตอนการเรยี นรู้ ช่ัวโมงที่ ๑ ๑. นักเรียนคลิปชมวิดีโอ เร่ือง Most – The Bridge V๒ ไทย และร่วมกันวิเคราะห์พฤติกรรมที่ สอดคล้องกบั ระบบคดิ ฐาน ๒ มงุ่ วิเคราะห์พฤตกิ รรมของตวั ละคร โดยผูส้ อนต้งั คาถามนา อาทิเช่น 1)เกิดเหตุการณ์อะไรขนึ้ 2) ผลของเหตกุ ารณ์เปน็ อยา่ งไร 3) ทาไมลูกชายของพนักงานสบั รางรถไฟจึงเสียชวี ิต 4) การกระทาของพอ่ แสดงถึงความคดิ เหน็ ของเขาเป็นอย่างไร ๒. นกั เรียนร่วมกันวเิ คราะห์การกระทาของพนักงานรถไฟฟ้าวา่ ทาถูกเรื่องหรอื ทาผิด เพราะเหตุใดจงึ คิดเช่นนั้น ๓. นกั เรยี นและครูร่วมกนั สรุปการกระทาของพนักงานรถไฟวา่ “เปน็ การกระทาทถี่ ูกต้อง เพราะ ผลประโยชน์ส่วนรวมต้องมาก่อนผลประโยชน์สว่ นตน” ช่ัวโมงที่ ๒ ๒. นักเรียนศกึ ษาใบความรู้ เรอ่ื ง ระบบคดิ ฐาน ๒ เสรจ็ แลว้ ครตู ้งั คาถามเพ่ือใหน้ ักเรียนแสดงความ คิดเห็นเกย่ี วกบั ระบบคิดฐาน ๒ อาทิเช่น
- 11 - 1) ระบบคิดฐาน ๒ คอื อะไร 2) ระบบคดิ ฐาน ๒ ดี หรอื ไมด่ ี อย่างไร 3) สังคมจะเปน็ อยา่ งไรถา้ ใช้ระบบคดิ ฐาน ๒ ๓. นกั เรยี นทาแบบฝกึ หัด คาถามเรอื่ ง การคิดฐาน ๒ ๔. เม่อื นกั เรยี นทาแบบฝึกหัดเสร็จแลว้ ครแู บง่ กลมุ่ นกั เรียนตามความเหมาะสม เพือ่ หาขา่ ว เหตุการณ์ พฤติกรรมจากสื่อต่าง ๆ เช่น อินเทอรเ์ น็ต หนงั สือพิมพ์ โทรทัศน์ ฯลฯ จากหอ้ งสมุดทเี่ ป็นการ กระทาเก่ียวข้องกบั ระบบฐาน ๒ ๕. ใหน้ ักเรยี นศกึ ษา ข่าว เหตุการณ์ ท่ีกล่มุ ของผู้เรยี นไดห้ ามา แล้วทาใบกจิ กรรม เรอ่ื งระบบคิดฐาน2 1) จากเรื่องทีศ่ ึกษาเกดิ เหตกุ ารณ์อะไรบ้าง 2) เหตกุ ารณใ์ ดทร่ี ะบวุ า่ ใชร้ ะบบคิดฐาน ๒ 3) นักเรยี นจะนาระบบคดิ ฐาน ๒ มาประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ติ ประจาวนั ได้อย่างไร ชวั่ โมงท่ี ๓ ๔. นักเรียนแตล่ ะกล่มุ นาเสนอผลงานจากใบกิจกรรมแล้ว รว่ มกันอภิปรายว่า เร่อื งแต่ละกลุม่ นาเสนอ เป็นเรอ่ื งเกี่ยวกบั ระบบคิดระบบฐาน ๒ ใชห่ รือไม่ ถ้าใช่มีเหตุการณ์/การกระทาใดท่บี ง่ บอกว่าเปน็ เร่ือง เกย่ี วกับระบบฐาน ๒ ๕. ครูและนักเรยี นรว่ มกันสรุปความหมายของระบบคิดฐาน ๒ (ใบความรู้) ๖. นกั เรยี นแต่ละคนทาใบงาน เรื่อง ระบบคิดฐาน ๒ เพื่อนาไปใชใ้ นการดาเนนิ ชีวติ ให้เกิดประโยชนต์ อ่ สงั คม ๔.๒ ส่อื การเรียนรู้ / แหล่งการเรียนรู้ ๑) คลปิ วดิ ีโอเรอื่ ง Most – The Bridge V๒ ๒) ใบความรู้เรือ่ ง ระบบการคิดฐาน ๒ ๓) ใบกิจกรรม เร่ือง ระบบฐาน 2 ๔) ใบงาน เรอื่ ง ระบบฐาน 2 ๕) ปา้ ยนิเทศ 6) อนิ เตอร์เน็ต 7) หนังสือพมิ พ์ 8) โทรทศั น์ 9) แบบฝกึ หดั เรอ่ื ง ระบบฐาน 2 ๕. การประเมนิ ผลการเรียนรู้ ๕.๑ วธิ ีการประเมนิ 1) ตรวจแบบฝกึ หดั เรื่อง การคิดฐาน ๒ 2) ตรวจใบกจิ กรรมกลมุ่ 3) ตรวจใบงาน เรือ่ ง ระบบฐาน 2 ๕.๒ เครื่องมอื ทีใ่ ช้ในการประเมิน 1) แบบฝกึ หดั เร่อื งระบบฐาน ๒ 2) แบบใหค้ ะแนนการตรวจผลงานการทาใบกิจกรรมกลมุ่ 3) แบบใหค้ ะแนนการตรวจผลงานใบงาน เรือ่ ง ระบบฐาน 2
- 12 - ๕.๓ เกณฑ์การตัดสนิ 1) นักเรยี นต้องผา่ นเกณฑก์ ารประเมินระดับดีขึ้นไป 6. บนั ทกึ หลังการเรียนรู้ ............................................................................................................................. ................................................. ........................................................... .......................................................................................... ......................... ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ลงชือ่ ................................................ ครูผู้สอน (.................................................)
- 13 - 7. ภาคผนวก ใบความรู้ เรื่อง ระบบความคิดฐาน ๒ ระบบคิด “ฐานสอง Digital” เป็นระบบการคิดวิเคราะห์ข้อมูลที่สามารถเลือกได้เพียง ๒ ทาง เท่านั้น คือ ๐ (ศูนย์) กับ ๑ (หนึ่ง) และอาจหมายถึงโอกาสที่จะเลือกได้เพียง ๒ ทาง เช่น ใช่ กับ ไม่ใช่, เท็จ กับ จริง, ทาได้ กบั ทาไมไ่ ด้, ประโยชนส์ ว่ นบคุ คลกับประโยชน์ส่วนรวม เป็นต้น จึงเหมาะกับการนามาเปรียบเทียบ กับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าท่ีของรัฐที่ต้องสามารถแยกเรื่องตาแหน่งหน้าท่ีกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้ อย่างเดด็ ขาด และไมก่ ระทาการที่เปน็ การขดั กันระหวา่ งประโยชนส์ ่วนบุคคลและประโยชน์สว่ นรวม
- 14 - ระบบฐาน ๑๐ ระบบฐาน ๒
- 15 - ระบบคดิ ฐาน ๒ ระบบคดิ ฐาน ๑๐
คดิ ได้ - 16 - คิดดี คดิ ให้ได้ คดิ ให้ดี คิดใหเ้ ป็น ๑. คดิ กอ่ นทา (กอ่ นกระทาการทุจรติ ) ๒. คดิ ถึงผลเสียผลกระทบต่อประเทศชาติ (ความเสยี หายท่ีเกิดข้ึนกบั ประเทศในทุกๆ ดา้ น) ๓. คดิ ถึงผู้ได้รับบทลงโทษจากการกระทาการทจุ รติ (เอามาเป็นบทเรียน) ๔. คดิ ถงึ ผลเสยี ผลกระทบท่จี ะเกิดขน้ึ กบั ตนเอง (จะต้องอยกู่ ับความเสีย่ งทจี่ ะถูกร้องเรยี น ถกู ลงโทษไล่ออก) และตดิ คุก) ๕๑. .คคดิ ดิถแึงคบนบรพออบเขพา้ียงงไ(มเส่เบอื่ ยีมดเสเบียตีย่อนคตรนอเอบงครไมวั แ่เบลยี ะดวเงบศยี ์ตนรผะกู้อลูนื่ )และไม่ ๖เ.บคยี ิดดอเบยา่ยี งนมปีสรตะสิเทัมศปชชาัญตญิ ะ ๒. คิดอยา่ งรบั ผดิ ชอบตามบทบาทหนา้ ที่ กฎระเบยี บ ๓. คดิ ตามคณุ ธรรมว่า “ทาดีได้ดี ทาชั่วได้ชัว่ ” ๑. คิดแยกเรอ่ื งประโยชนส์ ว่ นบคุ คลและประโยชนส์ ่วนรวมออกจากกนั อย่างชัดเจน ๒. คิดแยกเร่ืองตาแหน่งหนา้ ท่ี กบั เรื่องส่วนตัวออกจากกัน ๓. คดิ ทีจ่ ะไม่นาประโยชน์สว่ นตนกบั ประโยชนส์ ่วนรวมมาปะปนกนั มากา้ วกา่ ยกัน ๔. คดิ ท่จี ะไมเ่ อาประโยชนส์ ว่ นรวมมาเป็นประโยชน์สว่ นตน ๕. คดิ ที่จะไม่เอาผลประโยชนส์ ว่ นรวมมาตอบแทนบญุ คุณสว่ นตน ๖. คิดเห็นแกป่ ระโยชนส์ ว่ นรวมมากกวา่ ประโยชนส์ ่วนตน เครอื ญาติ และพวกพอ้ ง
- 17 - แบบฝกึ หัด เรอ่ื ง ระบบคดิ ฐาน ๒ จงตอบคาถามต่อไปนี้ ๑. ระบบคดิ ฐาน ๒ คือ ........................................................................................................................... ................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................. ............................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ๒. ระบบคดิ ฐาน ๒ ดหี รือไม่ อยา่ งไร ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................. ................ .................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ๓. สังคมจะเป็นอยา่ งไร ถา้ ใชร้ ะบบคิดฐาน ๒ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ๔. เขยี นพฤตกิ รรมของตนเองที่เป็นระบบคิดฐาน ๒ มา ๓ พฤติกรรม ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ๕. ประโยชน์ที่ไดร้ บั จากการใช้ระบบคดิ ฐาน ๒ ต่อตนเอง ตอ่ สังคม และประเทศชาติ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ........................................................................................................................................................................ ......
- 18 - ใบกิจกรรมกลุ่ม เรื่อง ระบบคดิ ฐาน ๒ คาช้แี จง ๑. ให้นักเรียนแบ่งกลุม่ ๆ ละ ๔-๕ คน ๒. แตล่ ะกล่มุ ศึกษา ขา่ ว เหตุการณ์ พฤติกรรมจากส่ือต่าง ๆ เชน่ อนิ เทอรเ์ นต็ หนังสอื พิมพ์ โทรทัศน์ ฯลฯ จากหอ้ งสมุด (หรอื ทตี่ นเองหามา) แล้วตอบคาถามตามประเด็นที่กาหนดใหด้ ังนี้ - จากเร่ืองท่ีศึกษาเกดิ เหตกุ ารณอ์ ะไรบ้าง - เหตกุ ารณ์ใดทร่ี ะบุวา่ ใช้ระบบคิดฐาน ๒ - นักเรยี นจะนาระบบคิดฐาน ๒ มาประยกุ ต์ใช้ในชวี ิตประจาวนั ได้อย่างไร ๓. สรปุ ผลทไ่ี ดจ้ ากการศึกษาเพ่อื นาเสนอหน้าช้นั เรียนโดยจัดทาในรปู แบบการนาเสนอตาม ความคดิ ของกลมุ่
คาช้ีแจง - 19 - ประโยชน์ ใบงาน เร่ือง ระบบคิดฐาน ๒ ให้นักเรียนเขยี นแนวทางการประพฤติตนทีใ่ ชร้ ะบบคิดฐาน ๒ ในการดาเนนิ ชวี ติ ใหเ้ กดิ ตอ่ สังคม
- 20 - แบบประเมินการให้คะแนน แบบฝึกหัด และใบงาน รายการประเมิน รวม ที่ ช่อื – สกลุ มคี วาม การใชภ้ าษา การลาดับ ความเรยี บร้อย การคดิ ๒๐ ถูกตอ้ ง เน้ือหา วิเคราะห์ คะแนน ๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑ เกณฑ์การใหค้ ะแนน เกณฑก์ ารตัดสนิ คุณภาพ ๔ คะแนน เทา่ กับ ดีมาก ๑0-12 คะแนน เทา่ กบั ดมี าก ๓ คะแนน เท่ากับ ดี 7-9 คะแนน เท่ากบั ดี ๒ คะแนน เทา่ กับ พอใช้ 4-6 คะแนน เทา่ กบั พอใช้ ๑ คะแนน เท่ากับ ปรับปรงุ 0-3 คะแนนเทา่ กับ ปรบั ปรุง (ลงชอื่ )...........................................ผ้ปู ระเมนิ (…………………………………………………) ............../................./................
- 21 - แบบประเมนิ การใหค้ ะแนน ใบกจิ กรรมกลุ่ม และแผนผังมโนทัศน์ คาช้แี จง ให้ครผู ู้สอนทาเครื่องหมาย ( / ) ลงในช่องคะแนนตามเกณฑ์การประเมนิ กลุ่มท่ี สรุปความรไู้ ด้ถกู ต้อง การเชอื่ มโยงความร้ไู ด้ มคี วามคิดสรา้ งสรรค์ใน รวม ครบตรงประเดน็ ถูกตอ้ งตามลาดับขน้ั การเขยี น ความสัมพันธ์ ๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑ (ลงช่อื )...........................................ผู้ประเมนิ (…………………………………………………) ............../................./................. เกณฑก์ ารประเมินระดบั คณุ ภาพ รายการประเมิน คาอธิบายระดับคุณภาพ ๑. สรปุ ความรูไ้ ด้ ๔ (ดีมาก) ๓ (ด)ี ๒ (พอใช)้ ๑ (ปรับปรงุ ) ถูกต้อง ครบตรง สรุปความร้ไู มถ่ ูกต้อง ประเดน็ สามารถสรปุ ความรู้ได้ สามารถสรปุ ความรูไ้ ด้ สรุปความรไู้ ม่ครบทุก สามารถเชอ่ื มโยง ๒. การเชอื่ มโยงความรู้ ครบและตรงประเด็น ครบ ตรงประเด็นและ ประเดน็ ความรู้ได้ แต่ไม่เป็นไป ได้ถกู ต้องตามลาดบั ขน้ั ตามลาดบั ความสมั พันธ์ และถกู ต้องทุกหวั ขอ้ มีความถูกตอ้ งเป็นสว่ น ความสมั พันธ์ สามารถเขยี นได้ แต่ ๓. มีความคดิ ใหญ่ ขาดรูปแบบและความ สรา้ งสรรคใ์ น สวยงาม การเขยี น สามารถเชอ่ื มโยง สามารถเชื่อมโยง สามารถเชอื่ มโยง ความรู้ไดถ้ ูกต้อง ความรู้ได้ และลาดับ ความรู้และลาดบั ตามลาดบั ความ สมั พันธ์ได้ ความสัมพันธ์ไดบ้ ้าง ความสัมพันธ์ คอ่ นข้างครบ สามารถเขียนได้ใน สามารถเขยี นได้ สามารถเขียนได้ และมี รูปแบบทีถ่ ูกต้องและ ถูกต้องและมี ข้อบกพร่องเปน็ สวยงาม ข้อบกพรอ่ งเพยี ง บางสว่ น เล็กน้อย คะแนน คะแนนตดั สนิ ระดบั คุณภาพ ๑๐ - ๑๒ คณุ ภาพ ๗–๙ ๔–๖ ดมี าก ๑–๓ ดี พอใช้ ควรปรับปรงุ
- 22 - แบบประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (ซื่อสตั ย)์ คาชีแ้ จง : ให้ ผสู้ อน สงั เกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด ลงในช่องท่ตี รงกบั ระดบั คะแนน รายการประเมนิ ท่ี ช่อื – สกลุ ใหข้ ้อมูลที่ถูกต้องและ ปฏบิ ตั ใิ นส่งิ ทถี่ ูกต้อง ปฏิบตั ิต่อผู้อ่นื ดว้ ยความ เปน็ จริง ละอาย และเกรงกลัวทจ่ี ะ ซ่อื ตรง ทาความผดิ ทาตาม สัญญาที่ต ๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑ เกณฑ์การให้คะแนน เกณฑ์การตดั สนิ คณุ ภาพ ๔ คะแนน เทา่ กบั ดมี าก ๑0-12 คะแนน เทา่ กับ ดมี าก ๓ คะแนน เท่ากับ ดี 7-9 คะแนน เทา่ กบั ดี ๒ คะแนน เท่ากบั พอใช้ 4-6 คะแนน เท่ากบั พอใช้ ๑ คะแนน เท่ากับ ปรับปรงุ 0-3 คะแนนเท่ากับ ปรบั ปรงุ ลงชื่อ ...................................................... ผูป้ ระเมนิ (....................................................)
- 23 - แผนการจดั การเรยี นรู้ หน่วยที่ ๑ ชอื่ หน่วย การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์สว่ นรวม ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๔ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๓ เรือ่ ง ระบบคิดฐาน ๑๐ เวลา ๒ ชั่วโมง 1. ผลการเรยี นรู้ 1.1 มีความรู้ ความเขา้ ใจเก่ยี วกับการแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตน กบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวม 1.2 สามารถคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน กับผลประโยชน์ส่วนรวมได้ 2.จุดประสงค์การเรียนรู้ นกั เรยี นสามารถ ๒.๑ บอกความหมายของระบบคิดฐาน ๑๐ ได้ ๒.๒ ยกตวั อยา่ งพฤติกรรมทสี่ อดคล้องกับระบบคิดฐาน ๑๐ ได้ 3. สาระการเรยี นรู้ ๓.๑ ความรู้ 1) ความหมายของระบบคิดฐาน ๑๐ และตวั อยา่ งพฤตกิ รรม หรอื การกระทาท่ีเก่ยี วกับระบบ คิดฐาน ๑๐ ๓.๒ ทักษะ / กระบวนการ (สมรรถนะทีเ่ กดิ ) ๑) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พดู เขยี น) ๒) ความสามารถในการคดิ (วเิ คราะห์ จัดกลุ่ม สรุป) ๓.๓ คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ / ค่านิยม 1) ใฝเ่ รยี นรู้ 4. กิจกรรมการเรียนรู้ ๔.๑ ข้นั ตอนการเรียนรู้ ชวั่ โมงที่ ๑ 1. นักเรียนและครรู ว่ มกันทบทวนความรูเ้ ดมิ เก่ียวกับ ระบบความคดิ ฐาน ๒ 2. นักเรียนดูวีดิทัศน์ เร่ือง ข่าว “เตือนส่ังเก็บโต๊ะร้านผัดไทยประตูผี” แล้วช่วยกันเล่า หรือ แสดง ความคดิ เหน็ เก่ียวกับเหตุการณท์ เี่ กิดขนึ้ ในวิดทิ ศั น์ โดยใชค้ าถามดังน้ี 1) ถ้านกั เรยี นเปน็ เจา้ ของรา้ นผัดไทย นักเรยี นตัง้ โตะ๊ ริมทางเดนิ หรอื ไม่ เพราะเหตุใด 2) นักเรยี นเห็นดว้ ยหรือไม่กบั เหตุการณน์ ้ี เพราะเหตใุ ด 3) นกั เรียนมวี ิธแี ก้ปัญหาน้ีอย่างไร ๓. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปว่า “การกระทาของเจ้าของร้านผัดไทย เป็นการคิดเห็นแก่ประโยชน์ ส่วนตนวา่ ประโยชน์สว่ นรวม ซึง่ การคิดนี้เป็นการคดิ แบบฐาน ๑๐ ๔. นกั เรียนอ่านใบความรู้ เรื่อง การคิดฐาน ๑๐ โดยครูผู้สอน ยกตัวอย่าง เหตุการณ์ใกล้ตัวนักเรียน เช่น ครูนาโทรศัพท์มาชาร์ตไฟในโรงเรียน ผู้อานวยการโรงเรียนนารถของโรงเรียนรับ-ส่งลูกไปโรงเรียน ครู ถา่ ยเอกสารใบงานเพือ่ นาไปสอนพเิ ศษทบี่ ้านของตนเอง เป็นการคดิ แบบฐาน ๑๐ เปน็ ตน้ ๕. ใหน้ ักเรียนทาใบงาน เร่ือง ระบบคิดฐาน ๑๐
- 24 - ช่วั โมงที่ ๒ 1. นกั เรยี นและครผู ้สู อนร่วมกนั สนทนาเก่ียวกับ ความหมายและลกั ษณะของ ระบบคิดฐาน ๑๐ 2. แบ่งนักเรียนเป็น ๒ กลุ่ม แล้ว ครูแจกใบกิจกรรม เรื่อง ข่าวกรณีศึกษา ให้กับนักเรียน โดยให้ นักเรียนร่วมกันอภิปราย วิเคราะห์สถานการณ์ หรือ เหตุการณ์ท่ีแสดงให้เห็นถึงการคิดว่าเป็นการคิดแบบใด ที่ปรากฏอยู่ในขา่ ว จากนน้ั ให้ตัวแทนของแตล่ ะกลุ่มออกมานาเสนอผลการวิเคราะห์ทไี่ ด้ 3.นกั เรยี นและครผู สู้ อนรว่ มกันสรุปเกีย่ วกับ ระบบคิดฐานสบิ วา่ การคดิ ระบบฐาน ๑๐ เปน็ การคิดท่ี มีตวั เลขหลายตวั ซ่ึงหมายถึงมีโอกาสท่ีจะเลือกไดห้ ลายทาง เกดิ ความคดิ ทห่ี ลากหลาย หากนามาเปรียบเทยี บ กบั การปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ของเจา้ หน้าทีข่ องรฐั จะทาให้เจ้าหน้าที่ของรัฐคดิ เยอะ จนไม่สามารถแยกผลประโยชน์ สว่ นตนและผลประโยชน์สว่ นรวมออกจากกันได้ ๔.๒ สือ่ การเรยี นรู้ / แหล่งการเรียนรู้ ๑) ใบความรู้เรือ่ ง ระบบการคิดฐาน ๑๐ ๒) วดี ที ัศน์ เรือ่ ง ขา่ ว “เตือนสัง่ เก็บโตะ๊ ร้านผดั ไทยประตูผี” ๓) ใบงาน เร่ือง ระบบการคิดฐาน ๑๐ ๔) ใบกิจกรรม เร่ืองข่าวกรณีศึกษา ๕. การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ๕.๑ วธิ ีการประเมนิ 1) ตรวจใบงาน เรื่อง ระบบการคดิ ฐาน ๑๐ 2) ตรวจใบกจิ กรรม เรื่อง ข่าวกรณศี กึ ษา 5.2 เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ในการประเมิน 1) แบบประเมนิ ใบงาน 2) แบบประเมินใบกิจกรรมกลุ่ม ๕.๓ เกณฑก์ ารตัดสนิ 1) นกั เรียนต้องผา่ นเกณฑ์การประเมินระดับดี ข้ึนไป 6. บันทึกหลังสอนการเรยี นรู้ ......................................................................................................................................... ..................................... ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................. .................................................................... ......................... ลงชอื่ ................................................ ครผู สู้ อน (.................................................)
- 25 - 7. ภาคผนวก ใบความรู้ เรื่อง ระบบความคดิ ฐาน ๑๐ เรามาเขา้ ใจและมาคดิ แบบระบบเลขกนั เถอะ Analog ระบบเลข “ฐานสิบ” (decimal number system) หมายถึง ระบบ Thinking เลขทม่ี ตี ัวเลข ๑๐ ตัว คอื ๐ , ๑ , ๒ , ๓ , ๔ , ๕ , ๖ , ๗ , ๘ , ๙ เป็นระบบคิดเลขที่เราใช้ในชีวิตประจาวันกันมาตั้งแต่จาความกันได้ ไม่ ว่าจะเป็นการใช้บอกปริมาณหรือบอกขนาด ช่วยให้เกิดความเข้าใจท่ี ตรงกันในการส่ือความหมาย สอดคล้องกับระบบ “Analog” ที่ใช้ค่า ต่อเนื่องหรือสัญญาณซึ่งเป็นค่าต่อเนื่อง หรือแทนความหมายของข้อมูล โดยการใช้ฟังชัน่ ทต่ี อ่ เนอ่ื งหรอื Continuous ระบบเลข “ฐานสอง” (binary number system) หมายถงึ ระบบเลขท่ีมสี ญั ลกั ษณเ์ พยี งสองตัว คือ ๐ (ศูนย์) กับ ๑ (หนึ่ง) สอดคล้องกับการทางานระบบ Digital ท่ีมีลักษณะการทางานภายในเพียง ๒ จังหวะ คือ ๐ กบั ๑ หรอื ON กับ OFF ตดั เดด็ ขาด หรอื Discret เมื่อนาระบบเลข “ฐานสิบ Analog” และ ระบบเลข “ฐานสอง Digital” มาปรับใช้เป็นแนวคิด คือ ระบบคดิ “ฐานสบิ Analog” และ ระบบคดิ “ฐานสอง Digital” จะเห็นไดว้ า่ ... ระบบคดิ “ฐานสิบ Analog” เป็นระบบการคิดวเิ คราะหข์ อ้ มูลทมี่ ีตัวเลขหลายตัว และอาจหมายถึง โอกาสท่จี ะเลอื กไดห้ ลายทาง เกิดความคิดท่ีหลากหลาย ซับซ้อนหากนามาเปรียบเทียบกับการปฏิบัติงานของ เจ้าหน้าที่ของรัฐ จะทาให้เจ้าหน้าท่ีของรัฐต้องคิดเยอะ ต้องใช้ดุลยพินิจเยอะ อาจจะนาประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนรวมมาปะปนกนั ได้ แยกประโยชน์ส่วนบคุ คลและประโยชน์ส่วนรวมออกจากกันไม่ได้
- 26 -
- 27 - ชือ่ ............................................................................................... ชนั้ .............. เลขที่ ............ ใบงาน เรือ่ ง ระบบคดิ ฐาน ๑๐ คาช้แี จง ให้นักเรยี นพจิ ารณาพฤติกรรมต่อไปนโ้ี ดยใส่เคร่ืองหมาย หนา้ พฤตกิ รรมท่ีสอดคล้องกับ ระบบคดิ ฐาน ๑๐ และใส่เครือ่ งหมาย × หน้าพฤตกิ รรมทส่ี อดคล้องกับระบบคิดฐาน ๒ .............. ๑. ครูชาครติ เอารถยนตข์ องโรงเรยี นรับ – ส่งลูกไปโรงเรียน .............. ๒. ครวู ุน้ เสน้ รับประทานอาหารกลางวนั ทโ่ี รงเรียนและจา่ ยคา่ อาหารกลางวนั ทุกวัน .............. ๓. เชาวณนี าโทรศพั ทม์ าชารต์ ไฟทห่ี อ้ งทางาน .............. ๔. ลูกชายครสู มศรีเขา้ สอบคัดเลอื กเพ่ือเรยี นต่อโรงเรยี นเตรียมทหาร .............. ๕. ครูทพิ ย์สดุ าถ่ายเอกสารใบงานที่โรงเรยี นเพ่ือนาไปสอนพิเศษนักเรยี นท่ีบา้ น .............. ๖. ครูสมพรสอนซ่อมเสรมิ นักเรียนหลังเลิกเรียน .............. ๗. ภารโรงล้างรถสว่ นตัวที่โรงเรียนในวนั หยุด .............. ๘. สมบัตินาเคร่ืองตดั หญ้าของเทศบาลไปตัดหญ้าทบ่ี า้ นตนเองทุก ๆ เดอื น .............. ๙. ทวิ าเข้าคิวซอ้ื ตั๋วเพ่ือชมภาพยนตร์ .............. ๑๐. นายดาเอาขยะบ้านตนเองไปทงิ้ หนา้ บ้านนายแดง
- 28 - ใบกจิ กรรม เรอื่ ง ข่าวกรณีศกึ ษา คาชแ้ี จง ให้แตล่ ะกลมุ่ ศึกษาขา่ ว เรือ่ ง “เดก็ เบญจมราชทู ิศ นครศรีธรรมราช คะแนนสอบสงู สุด ตดิ นเิ ทศฯ จฬุ า” จากน้ันตอบคาถามตอ่ ไปน้ี ๑. นกั เรียนเหน็ ดว้ ยหรอื ไม่ เพราะเหตใุ ดกับการยกเลิกระบบเด็กฝากเข้าเรยี น ๒. นักเรยี นมีแนวทางในการแกป้ ญั หานอี้ ยา่ งไร
- 29 - แบบประเมนิ การใหค้ ะแนน ใบงาน รายการประเมนิ รวม ท่ี ช่ือ – สกุล มคี วาม การใช้ภาษา การลาดบั ความเรยี บร้อย การคดิ ๒๐ ถกู ต้อง เนือ้ หา วิเคราะห์ คะแนน ๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑ เกณฑ์การใหค้ ะแนน เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ ๔ คะแนน เทา่ กบั ดีมาก ๑๖-๒๐ คะแนน เท่ากับ ดีมาก ๓ คะแนน เท่ากับ ดี ๑๑-๑๕ คะแนน เท่ากบั ดี ๒ คะแนน เทา่ กับ พอใช้ ๕-๑๐ คะแนน เทา่ กับ พอใช้ ๑ คะแนน เทา่ กบั ปรับปรงุ 1-๕ คะแนน เทา่ กบั ปรบั ปรงุ
- 30 - แบบประเมินการใหค้ ะแนน ใบกจิ กรรมกลุ่ม คาชี้แจง ให้ครูผู้สอนทาเครื่องหมาย ( / ) ลงในช่องคะแนนตามเกณฑ์การประเมนิ กลมุ่ ท่ี สรปุ ความรไู้ ด้ถกู ตอ้ ง การเช่อื มโยงความรู้ได้ มีความคดิ สร้างสรรคใ์ น รวม ครบตรงประเดน็ ถกู ตอ้ งตามลาดบั ขั้น การเขียน ความสมั พนั ธ์ ๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑ (ลงชือ่ )...................................ผปู้ ระเมิน (…………………………………………………) ............../................./................. เกณฑก์ ารประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ รายการประเมนิ คาอธิบายระดับคุณภาพ ๑. สรุปความรู้ได้ถูกตอ้ ง ครบตรงประเด็น ๔ (ดมี าก) ๓ (ดี) ๒ (พอใช้) ๑ (ปรบั ปรุง) สรปุ ความรู้ไมถ่ กู ตอ้ ง ๒. การเช่ือมโยงความรู้ สามารถสรุปความรูไ้ ด้ สามารถสรุปความรู้ได้ สรปุ ความรไู้ ม่ครบทกุ ได้ถกู ต้องตามลาดบั ข้นั สามารถเชอ่ื มโยงความรู้ ความสัมพันธ์ ครบและตรงประเด็น ครบ ตรงประเด็นและ ประเด็น ได้ แต่ไมเ่ ป็นไป ตามลาดับความสัมพันธ์ ๓. มีความคิดสร้างสรรค์ และถกู ตอ้ งทุกหวั ขอ้ มีความถกู ตอ้ งเป็นส่วน ในการเขียน สามารถเขียนได้ แต่ ใหญ่ ขาดรูปแบบและความ สวยงาม สามารถเช่ือมโยงความรู้ สามารถเช่อื มโยง สามารถเชอื่ มโยงความรู้ ได้ถกู ต้องตามลาดบั ความรู้ได้ และลาดับ และลาดบั ความสมั พนั ธ์ ความสมั พันธ์ ความ สัมพันธไ์ ด้ ได้บ้าง คอ่ นขา้ งครบ สามารถเขียนไดใ้ น สามารถเขยี นได้ถกู ต้อง สามารถเขียนได้ และมี รปู แบบทถ่ี ูกต้องและ และมีขอ้ บกพรอ่ งเพียง ขอ้ บกพรอ่ งเปน็ สวยงาม เล็กน้อย บางสว่ น คะแนนตดั สนิ ระดับคุณภาพ คะแนน คณุ ภาพ ๑๐ - ๑๒ ดมี าก ๗–๙ ดี ๔–๖ ๑–๓ พอใช้ ควรปรบั ปรงุ
- 31 - แบบประเมิน คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (ใฝ่เรียนร)ู้ คาช้แี จง : ให้ ผูส้ อน สังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกบั ระดับคะแนน รายการประเมนิ ท่ี ช่ือ – สกุล แสวงหาข้อมลู จากแหล่ง มีการจดบันทกึ ความรู้ สรุปความรไู้ ด้อย่างมี เหตุผล เรียนรตู้ า่ ง ๆ อยา่ งเป็นระบบ ๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑ เกณฑ์การให้คะแนน เกณฑ์การตดั สนิ คณุ ภาพ ๔ คะแนน เทา่ กบั ดีมาก 10-12 คะแนน เทา่ กับ ดมี าก ๓ คะแนน เทา่ กับ ดี 7-9 คะแนน เท่ากับ ดี ๒ คะแนน เทา่ กบั พอใช้ 4-6 คะแนน เทา่ กับ พอใช้ ๑ คะแนน เท่ากบั ปรบั ปรงุ 1-3 คะแนน เท่ากบั ปรับปรุง ลงชื่อ ...................................................... ผู้ประเมนิ (....................................................)
- 32 - แผนการจดั การเรียนรู้ หน่วยที่ ๑ ชือ่ หน่วย การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ ๔ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๔ เรื่อง การแตกต่างระหว่างจรยิ ธรรมและการทจุ รติ (สังคม) เวลา ๓ ชว่ั โมง 1. ผลการเรียนรู้ ๑.1มีความรู้ ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั การแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตน กับผลประโยชนส์ ่วนรวม ๑.2สามารถคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตน กับผลประโยชน์สว่ นรวมได้ ๒. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ๒.๑ นักเรียนสามารถบอกความหมายของคาว่า จรยิ ธรรม และ การทุจรติ ได้ ๒.๒ นกั เรยี นสามารถอธิบายถึงความแตกต่างของคาว่า จริยธรรมและการทุจรติ ในสงั คมได้ ๓. สาระการเรียนรู้ ๓.๑ ความรู้ ๑) ความหมายและความแตกตา่ ง ของจรยิ ธรรมและการทุจริตในสังคม ๒) การขดั แย้งระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์สว่ นรวม ๓) ผลประโยชน์ทับซ้อน ๓.๒ ทกั ษะ / กระบวนการ (สมรรถนะทีเ่ กดิ ) ๑) ความสามารถในการส่ือสาร (อ่าน ฟัง พดู เขียน) ๒) ความสามารถในการคิด (วเิ คราะห์ จัดกลมุ่ สรุป) ๓.๓ คณุ ลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์ / ค่านิยม 1) มงุ่ มั่นในการทางาน ๔. กจิ กรรมการเรยี นรู้ 4.1 ข้ันตอนการเรียนรู้ ชั่วโมงท่ี ๑ ๑. นกั เรียนและครูรว่ มกนั สนทนาเกี่ยวกบั คาว่า จริยธรรม โดยใช้คาถาม ดังนี้ 1) นักเรยี นคิดว่า คาวา่ จริยธรรมหมายถึงอะไร 2) จรยิ ธรรมเกีย่ วข้องกบั เราอยา่ งไร ๒. ใหน้ กั เรียนช่วยกนั ระดมความคดิ วา่ ในการดาเนินชีวิตประจาวนั ของนักเรียนนนั้ จรยิ ธรรมอะไรท่ี เกย่ี วขอ้ งบ้าง จรยิ ธรรมมีความสาคัญต่อชีวติ เราอย่างไร โดยครผู สู้ อนอธิบายความหมายของ จรยิ ธรรม เพิม่ เติม 3. แบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็นกลุ่มละประมาณ ๔-๕ คน แล้วให้นักเรียนช่วยกันแสดงความคิดเห็นใน หวั ข้อ “ถ้าในสังคมปัจจุบันคนขาดจริยธรรมจะสง่ ผลกระทบอย่างไรบ้าง” ๔. ตัวแทนนกั เรยี นออกมานาเสนอผลการระดมความคิดหนา้ ชนั้ เรียน โดยครผู ้สู อนเป็นผสู้ รุปอธบิ าย เพมิ่ เติมเกยี่ วกับความหมายของจริยธรรม ดงั น้ี “จรยิ ธรรม คือ สานกึ หรือพฤติกรรมที่ดงี ามเพื่อประโยชน์ สุขของตนเองและสงั คม ชว่ั โมงที่ ๒
- 33 - 1. นักเรียนดูคลิปวีดีโอ เกี่ยวกับการทุจริต “ปัญหาการทุจริต คอร์รัปชั่นไม่ใช่เร่ืองไกลตัว” ของ สานกั งาน ปปช. จากนน้ั ใหน้ ักเรยี นทาใบกิจกรรมกลุม่ โดยตอบคาถาม ดงั น้ี 1) การคอร์รปั ชั่นขนาดใหญ่ เกิดจากใคร 2) การทุจริตในเรือ่ งมีอะไรบา้ ง 3) ผลประโยชนท์ บั ซอ้ นเป็นอย่างไร 4) ผลกระทบของการคอรร์ ปั ช่นั ทม่ี ีตอ่ ประเทศมีอะไรบา้ ง 2. ครูและนักเรียนชว่ ยกันสรปุ ความหมายและการกระทา ของคาวา่ ทุจริต 3. นักเรียนดูคลิปวีดโี อ เรื่อง Paoboonjin (รบั ทรพั ยส์ ิน+เป็นคสู่ ญั ญา)ของสานกั งาน ปปช. เพิม่ เตมิ โดยมีครผู ู้สอนเป็นผู้ซักถามความเข้าใจและใหค้ วามร้เู พิม่ เตมิ ชั่วโมงที่ ๓ 1. นกั เรยี นจับคกู่ ันแสดงความคิดเห็นเกยี่ วกบั จรยิ ธรรม และ การทจุ รติ แลว้ ทาใบงาน เร่อื ง พฤติกรรมทเี่ ปน็ จรยิ ธรรม และ การทจุ ริต หมายถงึ การคดโกง ไม่ซ่ือสัตย์ ไม่กระทาท่ผี ดิ กฎหมาย เพ่ือเกดิ ความได้ เปรียบในการแขง่ ขัน 2. นักเรยี นนาเสนอใบงาน เร่ืองพฤตกิ รรมทเี่ ป็นจริยธรรม และการทุจริตวา่ มีพฤติกรรมใดบ้าง 3. แบ่งกลมุ่ นกั เรียนเปน็ ๔ กล่มุ กล่มุ ท่ี ๑-๒ ใหไ้ ปหาข่าวเกีย่ วกับการขดั แยง้ กนั ระหว่างผลประโยชน์ ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม กลุม่ ที่ ๓-๔ ใหไ้ ปหาข่าวความขัดแย้งระหว่างผลทับซ้อน พร้อมทง้ั วิเคราะหข์ า่ ววา่ เกิดจากเหตุใด ผลทเ่ี กดิ จากการกระทาจากข่าวเป็นอย่างไร และเกิดผลเสยี ตอ่ ส่วนรวม อย่างไร 4. นาผลงานไปจัดบอร์ดหนา้ โรงเรียน เปน็ การแลกเปลยี่ นเรียนรกู้ บั นกั เรยี นช้ันอ่ืนๆ ๔.๒ สื่อการเรียนรู้ / แหล่งการเรียนรู้ ๑) ใบความร้เู ร่ือง จรยิ ธรรมและทุจรติ ๒) วีดีทัศน์ เก่ียวกบั การทจุ ริต “ปญั หาการทุจริต คอรร์ ปั ช่ันไม่ใชเ่ ร่ืองไกลตัว” ๓) ใบกจิ กรรมกลมุ่ ๔) วดี ที ศั น์ เร่ือง Paoboonjin (รบั ทรัพย์สนิ +เป็นคู่สัญญา) ๕) ใบงาน เรอื่ ง พฤติกรรมทีเ่ ป็นจริยธรรมและการทจุ ริต 6) ข่าวการขดั แย้งกนั ระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตนกับผลประโยชนส์ ่วนรวม 7) บอรด์ ๕. การประเมินผลการเรียนรู้ ๕.๑ วธิ กี ารประเมิน 1) ตรวจใบกิจกรรมกลุ่ม 2) ตรวจใบงาน 4.2 เครื่องมอื ทใี่ ช้ในการประเมิน 3) แบบประเมนิ ใบกิจกรรมกล่มุ 4) แบบประเมนิ ใบงาน ๕.๓ เกณฑ์การตดั สนิ 1) นกั เรียนผ่านเกณฑร์ ะดบั ดี ขึ้นไป
- 34 - 6. บันทกึ หลังเรียนรู้ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................. ............................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ลงช่อื ................................................ ครผู สู้ อน (.................................................)
- 35 - 7. ภาคผนวก ใบความร้เู รื่อง จริยธรรม และ การทจุ รติ ความหมายของจรยิ ธรรม จรยิ ธรรม คือ ความสานกึ หรอื ความประพฤตทิ ีด่ ีงามเพอ่ื ประโยชน์สขุ ของตนเองและสังคม คาว่า \"จริยธรรม\" แยกออกเป็น จริย + ธรรม ซ่ึงคาว่า จริย หมายถึง ความประพฤติหรือกิริยาที่ควรประพฤติ สว่ นคาว่า ธรรม มีความหมายหลายประการ เช่น คุณความดี, หลักคาสอนของศาสนา, หลักปฏิบัติ เม่ือนาคา ทั้งสองมารวมกันเป็น \"จริยธรรม\" จึงมีความหมายตามตัวอักษรว่า \"หลักแห่งความประพฤติ\" หรือ \"แนวทาง ของการประพฤต\"ิ จริยธรรม เป็นส่งิ ที่ควรประพฤติ มที ี่มาจากบทบญั ญัติหรือคาส่งั สอนของศาสนา หรอื ใครก็ได้ทเ่ี ปน็ ผู้มี จรยิ ธรรม และได้รับความเคารพนับถือมาแลว้ ลักษณะของผ้มู ีจรยิ ธรรม ผู้มีจริยธรรมจะเป็นผู้ทม่ี คี ุณลักษณะดังน้ี ๑. เปน็ ผทู้ ่มี ีความเพยี รความพยายามประกอบความดี ละอายตอ่ การปฏิบัติชั่ว ๒. เป็นผู้มีความซอื่ สตั ยส์ ุจรติ ยตุ ธิ รรม และมเี มตตากรุณา ๓. เปน็ ผมู้ ีสติปัญญา รู้สึกตัวอย่เู สมอ ไม่ประมาท ๔. เปน็ ผู้ใฝ่หาความรู้ ความสามารถในการประกอบอาชีพ เพื่อความมนั่ คง ๕. เปน็ ผู้ทรี่ ฐั สามารถอาศยั เป็นแกนหรอื ฐานให้กบั สังคม สาหรบั การพัฒนาใด ๆ ได้ ควรใหม้ กี ารสร้างบรรยากาศหรอื สภาวะแวดล้อมในการทางานให้ดดี ้วย ดงั เชน่ ไม่ใหค้ นมีงานทามากเกนิ ไป หรอื นอ้ ยเกนิ ไป การพจิ ารณาความดคี วามชอบให้มีความยุตธิ รรม และสง่ เสรมิ ด้วยมนษุ ยสัมพันธ์ภายใน องค์การด้วย ซึง่ บรรยากาศท่ีดจี ะช่วยการพัฒนาจิตใจ ในด้านสถาบนั การศึกษากค็ วรได้มกี ารบรรจหุ ลัก คณุ ธรรมไว้ในหลักสตู ร เพื่อเป็นการพฒั นาและให้การศึกษากับคนท้ังชาติ เพื่อการพัฒนาจิตใจของคนในชาติ ใหม้ ีคุณภาพ ทจุ ริต คอื อะไร คาว่าทจุ ริต มกี ารใหค้ วามหมายไดม้ ากมาย หลากหลาย ข้นึ อยู่กับวา่ จะมกี ารให้ความหมายดังกล่าวไว้ ว่าอย่างไร โดยท่ีคาว่าทุจริตนั้น จะมีการให้ความหมายโดยหน่วยงานของรัฐ หรือการให้ความหมายโดยกฎหมาย ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการให้ความหมายจากแหล่งใด เน้ือหาสาคัญของคาว่าทุจริตก็ยังคงมีความหมายท่ีสอดคล้องกันอยู่ นัน่ คอื การทุจริตเป็นส่ิงทไี่ ม่ดี มีการแสวหาหรอื เอาผลประโยชนข์ องส่วนรวม มาเปน็ ของสว่ นตวั ทง้ั ๆ ที่ตนเอง ไม่ได้มสี ทิ ธใิ นส่ิงๆ นั้น การยดึ ถือ เอามาดงั กล่าวจึงถือเป็นสิง่ ทผ่ี ดิ ท้งั ในแง่ของกฎหมายและศีลธรรม ดงั นนั้ การทุจริตคอื การคดโกง ไม่ซื่อสัตย์สุจริต การกระทาท่ีผิดกฎหมาย เพ่ือให้เกิดความได้เปรียบ ในการแข่งขัน การใช้อานาจหน้าที่ในทางท่ีผิดเพ่ือแสวงหาประโยชน์หรือให้ได้รับส่ิงตอบแทน การให้หรือการ รบั สินบน การกาหนดนโยบายทเี่ อ้ือประโยชนแ์ ก่ตนหรือพวกพ้องรวมถึงการทุจรติ เชงิ นโยบาย รูปแบบการทจุ ริต รูปแบบการทุจริตท่ีเกิดขึ้นสามารถแบ่งได้ ๓ ลักษณะ คือ แบ่งตามผู้ท่ีเก่ียวข้อง แบ่งตามกระบวนการ ทใี่ ช้ และแบ่งตามลกั ษณะรปู ธรรม ดงั นคี้ ือ
- 36 - ๑) แบ่งตามผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นรูปแบบการทุจริตในเรื่องของอานาจและความสัมพันธ์แบบอุปถัมภ์ ระหว่างผู้ที่ให้การอุปถัมภ์ (ผู้ให้การช่วยเหลือ) กับผู้ถูกอุปถัมภ์ (ผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือ) โดยในกระบวนการ การทุจรติ จะมี ๒ ประเภทคอื (๑) การทุจริตโดยข้าราชการ หมายถึงการกระทาที่มีการใช้หน่วยงานราชการเพื่อมุ่งแสวงหา ผลประโยชน์จากการปฏิบัติงานของหน่วยงานนั้นๆ มากกว่าประโยชน์ส่วนรวมของสังคมหรือประเทศ โดย ลักษณะของการทุจริตโดยข้าราชการสามารถแบ่งออกเปน็ ๒ ประเภทย่อย ดังนี้ ก) การคอร์รัปชันตามน้า (corruption without theft) จะปรากฏข้ึนเมื่อเจ้าหน้าท่ีของรัฐ ต้องการสินบนโดยให้มีการจ่ายตามช่องทางปกติของทางราชการ แต่ให้เพิ่มสินบนรวมเข้าไว้กับการจ่ายค่าบริการ ของหน่วยงานนั้นๆ โดยท่ีเงินค่าบริการปกติที่หน่วยงานนั้นจะต้องได้รับก็ยังคงได้รับต่อไป เช่น การจ่ายเงิน พิเศษให้แก่เจา้ หน้าท่ีในการออกเอกสารต่างๆ นอกเหนอื จากคา่ ธรรมเนียมปกตทิ ี่ต้องจ่ายอยู่แล้ว เป็นต้น ข) การคอร์รัปชันทวนน้า (corruption with theft) เป็นการคอร์รัปชันในลักษณะที่เจ้าหน้าท่ี ของรัฐจะเรียกร้องเงินจากผู้ขอรับบริการโดยตรง โดยที่หน่วยงานน้ันไม่ได้มีการเรียกเก็บเงินค่าบริการแต่อย่างใด เชน่ ในการออกเอกสารของหน่วยงานราชการไม่ได้มกี ารกาหนดให้ตอ้ งเสียค่าใชจ้ ่ายในการดาเนินการ แต่กรณี นมี้ กี ารเรียกเก็บค่าใช้จา่ ยจากผ้ทู ม่ี าใชบ้ ริการของหน่วยงานของรฐั (๒) การทุจรติ โดยนักการเมอื ง (political corruption) เปน็ การใช้หนว่ ยงานของทางราชการ โดยบรรดานักการเมืองเพ่ือมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ในทางการเงินมากกว่าประโยชน์ ส่วนรวมของสังคมหรือ ประเทศเช่นเดียวกนั โดยรูปแบบหรือวิธีการทวั่ ไปจะมลี ักษณะเช่นเดยี วกับการทุจริตโดยข้าราชการ แต่จะเป็น ในระดับท่ีสูงกว่า เช่น การทุจริตในการประมูลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ และมีการเรียกรับ หรือยอมจะรับ ทรพั ยส์ นิ หรือประโยชน์ตา่ งๆ จากภาคเอกชน เป็นต้น ๒) แบ่งตามกระบวนการที่ใช้มี ๒ ประเภทคือ (๑) เกิดจากการใช้อานาจในการกาหนด กฎ กติกา พื้นฐาน เช่น การออกกฎหมาย และกฎระเบียบต่างๆ เพ่ืออานวยประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจของตนหรือพวกพ้อง และ (๒) เกิดจากการใช้อานาจหน้าที่เพ่ือแสวงหาผลประโยชน์จากกฎ และระเบียบท่ีดารงอยู่ ซึ่งมักเกิดจาก ความไม่ชัดเจนของกฎและระเบียบเหล่าน้ันท่ีทาให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้ความคิดเห็นของตนได้ และการใช้ ความคดิ เห็นนัน้ อาจไมถ่ ูกตอ้ งหากมีการใช้ไปในทางทผี่ ดิ หรอื ไม่ยตุ ิธรรมได้ ๓) แบ่งตามลักษณะรูปธรรม มีท้งั หมด ๔ รูปแบบคือ (๑) คอร์รัปชันจากการจัดซ้ือจัดหา (Procurement Corruption) เช่น การจัดซื้อสิ่งของใน หน่วยงาน โดยมีการคดิ ราคาเพิ่มหรอื ลดคุณสมบัติแต่กาหนดราคาซือ้ ไว้เทา่ เดิม (๒) คอร์รัปชันจากการให้สมั ปทานและสทิ ธิพิเศษ (Concessionaire Corruption) เชน่ การ ใหเ้ อกชนรายใดรายหนึง่ เขา้ มามีสิทธิในการจัดทาสัมปทานเป็นกรณีพิเศษต่างกบั เอกชนรายอ่นื (๓) คอรร์ ัปชันจากการขายสาธารณสมบัติ (Privatization Corruption) เช่น การขายกิจการ ของรัฐวสิ าหกจิ หรอื การยกเอาทดี่ นิ ทรัพยส์ นิ ไปเปน็ สทิ ธกิ ารครอบครองของตา่ งชาติ เป็นต้น (๔) คอร์รัปชันจากการกากับดูแล (Regulatory Corruption) เช่น การกากับดูแลในหน่วยงาน แลว้ ทาการทุจรติ ตา่ ง เป็นต้น
- 37 - ใบกจิ กรรมกลุ่ม เรอื่ ง “ปญั หาการทุจรติ คอรร์ ัปชันไม่ใชเ่ รอื่ งไกลตวั ” คาช้ีแจง ใหแ้ ตล่ ะกล่มุ ศึกษา คลิปวีดีโอ เร่ือง “ปญั หาการทจุ รติ คอร์รัปชันไม่ใช่ เรือ่ งไกลตัว” จากน้นั ตอบคาถามตอ่ ไปน้ี ๑. การคอร์รัปชน่ั ขนาดใหญ่ เกิดจากใคร ๒. การทุจรติ ในเรอ่ื งมีอะไรบ้าง ๓. ผลประโยชน์ทบั ซ้อนเปน็ อย่างไร ๔. ผลกระทบของการคอรร์ ปั ชันทมี่ ีตอ่ ประเทศมีอะไรบ้าง
- 38 - ชอื่ ..................................................................................... ชัน้ ................... เลขที่ .............. คาชี้แจง ใบงาน เร่อื ง พฤตกิ รรมทีเ่ ปน็ จริยธรรม และ การทุจริต ใหน้ กั เรียนเขยี นพฤติกรรมที่เปน็ จริยธรรม และพฤตกิ รรมการทุจริต มาอย่างละ ๕ ข้อ พฤติกรรมที่เป็นจริยธรรม พฤติกรรมการทจุ ริต ๑. ๑. ๒. ๒. ๓. ๓. ๔. ๔. ๕. ๕.
- 39 - แบบประเมนิ การใหค้ ะแนน ใบงาน รายการประเมนิ รวม ท่ี ช่ือ – สกุล มคี วาม การใช้ภาษา การลาดบั ความเรยี บร้อย การคดิ ๒๐ ถกู ต้อง เนือ้ หา วิเคราะห์ คะแนน ๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑ เกณฑ์การใหค้ ะแนน เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ ๔ คะแนน เทา่ กบั ดีมาก ๑๖-๒๐ คะแนน เท่ากับ ดีมาก ๓ คะแนน เท่ากับ ดี ๑๑-๑๕ คะแนน เท่ากบั ดี ๒ คะแนน เทา่ กับ พอใช้ ๕-๑๐ คะแนน เทา่ กับ พอใช้ ๑ คะแนน เทา่ กบั ปรับปรงุ ๐-๕ คะแนน เทา่ กบั ปรบั ปรงุ
- 40 - แบบประเมนิ การใหค้ ะแนน ใบกิจกรรมกลุ่ม คาช้ีแจง ให้ครูผู้สอนทาเครือ่ งหมาย ( / ) ลงในช่องคะแนนตามเกณฑก์ ารประเมิน กลุ่มที่ สรปุ ความรไู้ ดถ้ ูกตอ้ ง การเชื่อมโยงความรไู้ ด้ มคี วามคิดสร้างสรรคใ์ น รวม ครบตรงประเด็น ถูกต้องตามลาดับขน้ั การเขียน ความสมั พนั ธ์ ๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑ (ลงช่อื )...................................ผปู้ ระเมนิ (…………………………………………………) ............../................./................. เกณฑ์การประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ รายการประเมิน คาอธิบายระดบั คณุ ภาพ ๑. สรุปความร้ไู ด้ถูกตอ้ ง ครบตรงประเด็น ๔ (ดีมาก) ๓ (ดี) ๒ (พอใช้) ๑ (ปรับปรุง) สรปุ ความร้ไู มถ่ ูกต้อง ๒. การเช่ือมโยงความรู้ สามารถสรุปความรไู้ ด้ สามารถสรุปความรไู้ ด้ สรปุ ความรูไ้ มค่ รบทกุ ไดถ้ ูกต้องตามลาดับขน้ั สามารถเช่อื มโยงความรู้ ความสัมพันธ์ ครบและตรงประเด็น ครบ ตรงประเด็นและ ประเดน็ ได้ แต่ไมเ่ ปน็ ไป ตามลาดับความสมั พนั ธ์ ๓. มีความคิดสร้างสรรค์ และถกู ต้องทุกหัวขอ้ มคี วามถกู ตอ้ งเป็นสว่ น ในการเขยี น สามารถเขยี นได้ แต่ ใหญ่ ขาดรูปแบบและความ สวยงาม สามารถเชอ่ื มโยงความรู้ สามารถเชื่อมโยง สามารถเชือ่ มโยงความรู้ ได้ถูกตอ้ งตามลาดับ ความรู้ได้ และลาดับ และลาดบั ความสมั พนั ธ์ ความสัมพันธ์ ความ สมั พนั ธ์ได้ ไดบ้ า้ ง ค่อนขา้ งครบ สามารถเขียนไดใ้ น สามารถเขียนไดถ้ ูกต้อง สามารถเขยี นได้ และมี รปู แบบทถี่ กู ตอ้ งและ และมีข้อบกพร่องเพยี ง ข้อบกพรอ่ งเปน็ สวยงาม เลก็ นอ้ ย บางส่วน คะแนนตดั สนิ ระดับคุณภาพ คะแนน คุณภาพ ๑๐ - ๑๒ ดมี าก ๗–๙ ดี ๔–๖ ๑–๓ พอใช้ ควรปรบั ปรุง
- 41 - แบบประเมิน คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (ใฝ่เรียนร)ู้ คาช้แี จง : ให้ ผูส้ อน สังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรยี น แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกบั ระดับคะแนน รายการประเมนิ ท่ี ช่ือ – สกุล แสวงหาข้อมลู จากแหล่ง มีการจดบันทกึ ความรู้ สรุปความรไู้ ด้อย่างมี เหตุผล เรียนรตู้ า่ ง ๆ อยา่ งเป็นระบบ ๔๓๒๑๔๓๒๑๔๓๒๑ เกณฑ์การให้คะแนน เกณฑ์การตดั สนิ คณุ ภาพ ๔ คะแนน เทา่ กบั ดีมาก 10-12 คะแนน เทา่ กับ ดมี าก ๓ คะแนน เทา่ กับ ดี 7-9 คะแนน เท่ากับ ดี ๒ คะแนน เทา่ กบั พอใช้ 4-6 คะแนน เทา่ กับ พอใช้ ๑ คะแนน เท่ากบั ปรบั ปรงุ 1-3 คะแนน เท่ากบั ปรับปรุง ลงชื่อ ...................................................... ผู้ประเมนิ (....................................................)
- 42 - หนว่ ยท่ี ๒ ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทจุ รติ
- 43 - แผนการจดั การเรียนรู้ หน่วยที่ ๒ ชอื่ หนว่ ย ความละอายและความไมท่ นต่อการทจุ ริต ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี ๔ เวลา ๒ ช่ัวโมง แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๑ เร่ือง การทาการบ้าน หรอื ชน้ิ งาน ๑. ผลการเรยี นรู้ 1.1 มีความรู้ ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั ละอายและความไม่ทนตอ่ การทุจริต 1.2 ปฏิบัตติ นเปน็ ผ้ลู ะอายและไมท่ นต่อการทุจริตทุกรูปแบบ 2 จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ นกั เรียนสามารถ ๒.๑ ปฏบิ ัติงานตามทไ่ี ด้รบั มอบหมายไดอ้ ยา่ งเหมาะสม (การบ้านหรือช้นิ งาน) 3 สาระการเรียนรู้ ๓.๑ ความรู้ 1) ความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ รติ (การทาการบ้าน) ๓.๒ ทกั ษะ / กระบวนการ (สมรรถนะทีเ่ กิด) ๑) ความสามารถในการส่ือสาร 1.1 ฟงั พดู เขียน ๒) ความสามารถในการคิด 2.1 วิเคราะห์ จัดกล่มุ สรุป ๓) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ ๓.๓ คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ / ค่านิยม 1) ซือ่ สตั ย์สจุ ริต 4 กจิ กรรมการเรียนรู้ ๔.๑ ขัน้ ตอนการเรียนรู้ ชวั่ โมงที่ ๑ ๑) นกั เรียนและครูร่วมกันทบทวนความรเู้ ดิม คาว่า การละอาย และการทจุ รติ โดย ถามคาถาม เชน่ ทจุ รติ หมายถึงอะไร 1. การกระทาใดบา้ งที่เรียกว่าทจุ รติ 2. จงยกตัวอย่างทเ่ี ปน็ การทจุ ริต ทง้ั ที่เป็นเหตุการณ์ใกลต้ ัว และ การทจุ ริตที่พบในสงั คมปัจจบุ นั 3. ความละอาย คือ อะไร 4 การกระทาอยา่ งไรที่เรยี กว่า การละอาย ๒) นักเรียนดูคลิปวีดีโอ ส่ือที่ใช้ประกอบชุดวิชาความไม่ทนและความละอายต่อการทุจริต ของ สนง. ปปช. โดยครูผู้สอนกาหนดประเด็น เรื่อง ความละอาย แล้วแบ่งกลุ่มให้นักเรียนเขียนแสดงความคิดเห็นให้ มากที่สุดภายในเวลา ๕ นาที ในหวั ขอ้ ในชวี ิตประจาวันของนักเรียนมเี หตุการณอ์ ะไรบา้ งท่ีต้องละอายแก่ใจใน การทาลงในใบงานที่ ๑ ๓. ตัวแทนนักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอความคิดเห็น พร้อมกับเปิดโอกาสให้เพ่ือน ๆ มีการ พจิ ารณาแสดงความคดิ เห็นอยา่ งมเี หตุผล
- 44 - ช่วั โมงท่ี ๒ ๔. ครูยกประเดน็ หรือเหตุการณท์ ใี่ กลต้ ัวนักเรียนเก่ยี วกับการละอาย เช่น การไมท่ าการบ้าน การ ไม่ทาช้นิ งาน ฯลฯ ๕. นกั เรียนร่วมกนั อภิปรายผลเสยี ของประเดน็ ทเ่ี ลือกมา แลว้ ชว่ ยกันระดมสมองคิดแนวทางแก้ไข ปัญหาพฤติกรรมดังกลา่ วลงในใบงานท่ี ๒ ๖. นักเรยี นและครูผู้สอนรว่ มกนั สรุปบทเรียนเร่ืองการละอายและการไม่ทนต่อการทุจรติ ๔.๒ ส่ือการเรียนรู้ / แหล่งการเรยี นรู้ ๑) คลิปวดี ีโอ สือ่ ทใ่ี ช้ประกอบชุดวชิ าความไม่ทนและความละอายตอ่ การทุจรติ ของ ปปช. ๒) ใบงาน ๕. การประเมินผลการเรยี นรู้ ๕.๑ วิธีการประเมิน 1) การนาเสนอผลงาน 2) ตรวจใบงาน 5.2 เครื่องมือท่ใี ช้ในการประเมิน 1) แบบประเมินผลงาน 2) แบบประเมนิ ใบงาน ๕.๓ เกณฑก์ ารตดั สนิ 1) นักเรียนตอ้ งผา่ นเกณฑ์การประเมนิ ระดับดีขน้ึ ไป 6. บนั ทกึ หลังการเรียนรู้ ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................. ............................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ลงชื่อ ................................................ ครูผ้สู อน (.................................................)
- 45 - 7. ภาคผนวก ใบความรู้สาหรับครผู สู้ อนเรอ่ื ง ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต ความละอายและความไม่ทนตอ่ การทุจรติ การสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต เป็นการปรับเปลี่ยนสภาพสังคมให้เกิดภาวะ “ท่ีไม่ทนต่อการทุจริต” โดยเริ่มต้ังแต่กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมในทุกช่วงวัย เพื่อสรา้ งวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริต และปลูกฝัง ความพอเพียง มีวินัย ซ่ือสัตย์สุจริต ความเป็นพลเมืองดี มีจิตสาธารณะ ผ่านทางสถาบันหรือกลุ่มตัวแทนที่ทา หน้าที่ในการกล่อมเกลาทางสังคม เพื่อให้เด็ก เยาวชน ผู้ใหญ่ เกิดพฤติกรรมท่ีละอายต่อการกระทาความผิด การไมย่ อมรบั และต่อต้านการทจุ ริตทุกรูปแบบ ๑.๒.๑ ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจรติ คอื อะไร คาว่า “ความละอาย” และ “ความไม่ทน” ได้มีการให้ความหมายไว้ ดังน้ี พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคาว่าละอาย หมายถึง การรู้สึกอายท่ีจะทาในส่ิงท่ี ไม่ถูก ไมค่ วร เชน่ ละอายท่จี ะทาผดิ ละอายใจ ความละอาย เป็นความละอายและความเกรงกลวั ตอ่ สง่ิ ที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม เพราะเห็นถึงโทษ หรือผลกระทบที่จะได้รับจากการกระทาน้ัน จึงไม่กล้าท่ีจะกระทา ทาให้ตนเองไม่หลงทาในส่ิงที่ผิด นั่นคือ มีความละอายใจ ละอายต่อการทาผดิ พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคาว่า ทน หมายถึง การอดกล้ันได้ ทานอยู่ได้ เช่น ทนด่า ทนทุกข์ ทนหนาว ไมแ่ ตกหักหรอื บบุ สลายงา่ ย ความอดทน คอื การรู้จักรอคอยและคาดหวัง เป็นการแสดงให้เห็นถึงความม่ันคง แน่วแน่ต่อสิ่งท่ีรอคอย หรือสง่ิ ทจ่ี ูงใจให้กระทาในสิ่งท่ีไม่ดี ไม่ทน หมายถงึ ไมอ่ ดกลัน้ ไม่อดทน ไม่ยอม ดังนั้น ความไม่ทน หมายถึง การแสดงออกต่อการกระทาที่เกิดข้ึนกับตนเอง บุคคลที่เก่ียวข้องหรือ สังคม ในลักษณะที่ไม่ยินยอม ไม่ยอมรับในส่ิงที่เกิดขึ้น ความไม่ทนสามารถแสดงออกได้หลายลักษณะ ท้ังใน รปู แบบของกริยาท่าทางหรอื คาพดู ความไม่ทนต่อการทุจริตหรือการกระทาท่ีไม่ถูกต้อง ต้องมีการแสดงออกอย่างใดอย่างหน่ึงเกิดขึ้น เช่น การแซงคิวเพื่อซ้ือของ การแซงคิวเป็นการกระทาท่ีไม่ถูกต้อง ผู้ถูกแซงคิวจึงต้องแสดงออกให้ผู้ที่แซงคิว รับรู้ว่าตนเองไม่พอใจ โดยแสดงกิริยาหรือบอกกล่าวให้ทราบ เพื่อให้ผู้ที่แซงคิวยอมที่จะต่อท้ายแถว กรณีนี้ แสดงใหเ้ หน็ วา่ ผทู้ ่ถี กู แซงคิว ไมท่ นต่อการกระทาท่ีไม่ถูกต้อง และหากผู้ท่ีแซงคิวไปต่อแถวก็จะแสดงให้เห็นว่า บุคคลนนั้ มีความละอายต่อการกระทาท่ีไม่ถูกต้อง เปน็ ตน้ ความไม่ทนต่อการทุจริต บุคคลจะมีความไม่ทนต่อการทุจริตมาก – น้อย เพียงใด ขึ้นอยู่กับจิตสานึก ของแตล่ ะบคุ คลและผลกระทบที่เกิดขนึ้ จากการกระทานนั้ ๆ แล้วมีพฤติกรรมทีแ่ สดงออกมา ซึ่งการแสดงกริยา หรือการกระทาจะมีหลายระดับ เช่น การว่ากล่าวตักเตือน การประกาศให้สาธารณชนรับรู้ การแจ้งเบาะแส การร้องทุกข์กล่าวโทษ การชุมนุมประท้วงซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่รุนแรงที่สุด เน่ืองจากมีการรวมตัว ของคน จานวนมาก และสรา้ งความเสยี หายอยา่ งมากเชน่ กนั
- 46 - ความไม่ทนของบุคคลต่อส่ิงต่างๆ รอบตัวที่ส่งผลในทางไม่ดีต่อตนเองโดยตรง สามารถพบเห็นได้ง่าย ซึ่งปกติแล้วทุกคนมักจะไม่ทนต่อสภาวะ สภาพแวดล้อมที่ไม่ดีและส่งผลกระทบต่อตนเองแล้ว มักจะแสดง ปฏิกิริยาออกมา แต่การที่บุคคลจะไม่ทนต่อการทุจริตและแสดงปฏิกิริยาออกมานั้นอาจเป็นเร่ืองยาก เน่ืองจาก ปัจจุบันสังคมไทยมีแนวโน้มยอมรับการทุจริต เพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์หรือให้งานสามารถดาเนินต่อไปสู่ ความสาเร็จ ซ่ึงการยอมรับการทุจริตในสังคมไม่เว้นแม่แต่เด็กและเยาวชน และมองว่าการทุจริตเป็นเร่ืองไกล ตัวและไมม่ ผี ลกระทบกบั ตนเองโดยตรง ๑.๒.๒ ลกั ษณะของความละอายและความไมท่ นต่อการทุจรติ ลักษณะของความละอายสามารถแบ่งได้ ๒ ระดับ คือ ความละอายระดับต้น หมายถึง ความละอาย ไมก่ ล้าทจ่ี ะทาในสงิ่ ที่ผดิ เนือ่ งจากกลวั วา่ เม่ือตนเองไดท้ าลงไปแล้วจะมีคนรับรู้ หากถูกจับได้จะได้รับการลงโทษ หรือไดร้ ับความเดือดรอ้ นจากสิ่งท่ตี นเองได้ทาลงไป จงึ ไมก่ ล้าท่ีจะกระทาผิด และในระดับท่ีสองเป็นระดับที่สูง คือ แม้ว่าจะไม่มีใครรับรู้หรือเห็นในส่ิงท่ีตนเองได้ทาลงไป ก็ไม่กล้าท่ีจะทาผิด เพราะนอกจากตนเองจะได้รับ ผลกระทบแล้ว ครอบครัว สังคมก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย ทั้งชื่อเสียงของตนเองและครอบครัวก็จะเสื่อมเสีย บางครัง้ การทุจริตบางเร่ืองเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น การลอกข้อสอบอาจจะไม่มีใครใส่ใจหรือสังเกตเห็นแต่หากเป็น ความละอายขัน้ สูงแล้วบุคคลนัน้ ก็จะไม่กล้าทา ตัวอย่างความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ ริต การทุจริตมีผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ ทาให้เกิดความเสียหายอย่างมากในด้านต่างๆ หากนาเอา เงินท่ีทจุ ริตไปมาพัฒนาในส่วนอ่ืน ความเจรญิ หรอื การได้รับโอกาสของผู้ที่ด้อยโอกาสก็จะมีมากข้ึน ความเหลื่อม ล้าทางด้านโอกาส ทางด้านสังคม ทางดา้ นการศึกษา ฯลฯ ของประชาชนในประเทศกจ็ ะลดนอ้ ยลง ดังที่เห็นใน ปัจจุบันว่าความเจริญต่างๆ มักอยู่กับคนในเมืองมากกว่าชนบท ท้ังๆ ท่ีคนชนบทก็คือประชาชนส่วนหน่ึงของ ประเทศ แต่เพราะอะไรทาไมประชาชนเหล่าน้ันถึงไม่ได้รับโอกาสให้ทัดเทียมหรือใกล้เคียงกับคนในเมือง ปจั จัยหน่ึงคือการทุจริต สาเหตุการเกิดทุจริตมีหลายประการตามท่ีกล่าวมาแล้วข้างต้น แต่ทาอย่างไรถึงทาให้มี การทุจริตได้มาก อย่างหนึ่งคือการลงทุน เม่ือมีการลงทุนก็ย่อมมีงบประมาณ เม่ือมีงบประมาณก็เป็นสาเหตุให้ บคุ คลทคี่ ดิ จะทุจรติ สามารถหาชอ่ งทางดงั กล่าวในทางทุจริตได้ แม้ว่าประเทศไทยจะมีกฎหมายหลายฉบับเพ่ือ ป้องกันการทุจริต ปราบปรามการทุจริต แต่น่ันก็คือตัวหนังสือที่ได้เขียนเอาไว้ แต่การบังคับใช้ยังไม่จริงจัง เท่าท่ีควร และยิ่งไปกว่านั้น หากประชาชนเห็นว่าเร่ืองดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับตนเองก็มักจะไปอยากเข้าไป เกี่ยวข้อง เนื่องจากตนเองก็ไม่ได้รับผลกระทบท่ีเกิดข้ึน แต่การคิดดังกล่าวเป็นสิ่งท่ีผิด เนื่องจากว่าตนเองอาจจะ ไมไ่ ดร้ บั ผลกระทบโดยตรงต่อการทม่ี คี นทจุ ริต แต่โดยอ้อมแล้วถือว่าใช่ เช่น เม่ือมีการทุจริตมาก งบประมาณของ ประเทศทีจ่ ะใช้พัฒนาหรอื ลงทุนกน็ ้อย อาจสง่ ผลใหป้ ระเทศไมส่ ามารถจ้างแรงงานหรือลงทุนได้
- 47 - ใบงานที่ ๑ เรื่อง ความละอายต่อการทุจรติ ชือ่ กลุ่ม........................................................... สมาชกิ ในกล่มุ ............................................................................................................................. ................................... ......................................................................................................................................... ....................... .......................................................................................................... ...................................................... ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ คาชี้แจง ใหน้ กั เรยี นร่วมกันแสดงความคดิ เหน็ เกยี่ วกับเหตุการณ์ท่ีก่อใหเ้ กดิ ความละอายใจตอ่ การทจุ ริตท่ี เกดิ ขึน้ ในชีวิตประจาวนั ของนกั เรียน หรือ ที่เกิดใกลต้ วั นักเรียนมาให้มากท่สี ดุ ภายในเวลา ๕ นาที เหตุการณท์ ี่ เหตกุ ารณ/์ สถานการณ์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180