Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 51นักการเมืองถิ่นหนองบัวลำภู

51นักการเมืองถิ่นหนองบัวลำภู

Description: เล่มที่51นักการเมืองถิ่นหนองบัวลำภู

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู ไชยสาส์น ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่อำเภอกุมภวาปี ซึ่งเป็นอำเภอ ใหญ่ที่เพิ่งถูกพ่วงมาอยู่ในเขตพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 4 ในการ เลือกตั้งครั้งนี้ครั้งแรก ทำให้นายประจวบ ไชยสาส์น ซึ่งเป็น นักการเมืองที่มีประสบการณ์และฐานเสียงเฉพาะอำเภอ กุมภวาปี จำเป็นต้องหาพันธมิตรที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งในเขต อำเภออื่น โดยเฉพาะเขตอำเภอศรีบุญเรืองและอำเภอโนนสัง ที่ไม่เคยมีนักการเมืองคนใด ที่สามารถกอบโกยคะแนนจาก คนแถบนี้ได้เลย ทำให้นายประจวบ ไชยสาส์น ต้องหาผู้สมัคร ที่พอจะมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของชาวบ้านในอำเภอศรีบุญเรือง และอำเภอโนนสงั ซง่ึ ในสมยั นน้ั ไดร้ บั การยอมรบั จากนกั การเมอื ง ในจังหวัดอุดรธานีว่ามีความเป็น “ถิ่นนิยมสูง” ดังนั้น นายประจวบ ไชยสาส์น จึงมีความจำเป็นที่ต้องอาศัย นายไชยา พรหมา ในการช่วยดึงคะแนนเสียงในเขตอำเภอ ศรีบุญเรืองและอำเภอโนนสังให้แก่ตนด้วย ในการเลือกตั้งระดับชาติครั้งแรกของนายไชยา พรหมา ครั้งนี้ได้รับการวางแผนและมอบหมายจากนายประจวบ ไชยสาส์น หัวหน้าทีมให้เดินสายปราศรัยพบปะชาวบ้านใน หมู่บ้านต่างๆ ทั้ง 7 อำเภอในเขตเลือกตั้งเพื่อให้ความรู้ทาง การเมืองในระบอบประชาธิปไตยแก่ชาวบ้าน ให้เห็นแก่สิทธิ ของตนในการลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใด ไม่ใช่เห็นแก่อามิสสินจ้างหรือการให้เงินซื้อเสียงดังที่เกิดขึ้น พร้อมกล่าวโจมตีระบอบทหารที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง ในระบอบประชาธิปไตยของประชาชน เพื่อให้ชาวบ้านที่ได้ฟัง การปราศรัย เกิดความสำนึกทางการเมืองในฐานะพลเมือง ในระบอบประชาธิปไตย ที่ได้แสดงผ่านการลงคะแนนเลือกตั้ง 84

ข้อมูลนักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งวิธีการหาเสียงลักษณะนี้ นายไชยามีทักษะมาจากการเป็น สมาชิกชมรมโต้วาทีของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งมีเพื่อนร่วม ชมรมอย่างนายเจริญ จรรย์โกมล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดชัยภูมิเขต 6 และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ในปัจจุบัน (มิถุนายน 2555) (ไชยา พรหมา, 2555) นอกจากการทาบทามจากนายประจวบ ไชยสาส์น ตามทก่ี ลา่ วมา การลงสมคั รรบั เลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2535 นั้นอีกปัจจัยหนึ่งเกิดจากการที่ มีคนปรามาสหรือพูดเสียดสีต่างๆ นานา ทั้งว่านายไชยาถูก นายประจวบ ไชยสาส์นซื้อตัวบ้าง! นายไชยาไม่ดูตัวเองบ้าง! เพราะขนาดเลือกตั้งระดับท้องถิ่นในเขตอำเภอศรีบุญเรือง อำเภอเดียวนายไชยายังแพ้! แล้วจะไปนับประสาอะไรกับ การเลือกตั้งระดับชาติที่ใช้เขตเลือกตั้งถึง 7 อำเภอซึ่งจะมี โอกาสชนะได้อย่างไร แต่ด้วยความขยันขันแข็งในการหาเสียง กับชาวบ้านในพื้นที ่และบารมีของนายประจวบ ไชยสาส์นที่ถือ เป็นผู้สมัครที่ชาวบ้านเลือก เพราะมีผลงานและชื่อเสียง และ พร้อมที่จะพ่วงคะแนนให้กับนายไชยาในฐานะผู้สมัครในสังกัด พรรคเดียวกัน เพราะการลงคะแนนเลือกนั้นผู้มีสิทธิสามารถ เลือกได้เท่าจำนวนผู้แทนราษฎรที่พึงมีได้ในเขตนั้น ซึ่ง เขตเลือกตั้งที่ 4 จังหวัดอุดรธานีมี ส.ส. ได้จำนวน 3 คน ผลปรากฏว่า นายไชยา พรหมา เข้ามาเป็นลำดับที่ 3 รองจาก นายประจวบ ไชยสาส์น จากพรรคประชาธิปัตย์ และ นายรักเกียรติ สุขธนะ พรรคสามัคคีธรรม ทำให้นายไชยา ได้เป็นผู้แทนราษฎรครั้งแรกในชีวิต และเป็นคนสร้าง ประวัติศาสตร์ให้แก่คนศรีบุญเรืองด้วยการเป็นผู้แทนฯ คนแรก 85

นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู ของอำเภอด้วย สามารถลบคำสบประหมาดและข้อครหา ต่างๆ ที่กล่าวหาไว้ก่อนได้รับเลือกตั้ง (ไชยา พรหมา, 2555) บทบาททางการเมือง นายไชยา พรหมา ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจำนวน 9 ครั้ง ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร ทั้งสิ้น 8 สมัย (นับถึง 3 กรกฎาคม พ.ศ.2554) ดังนี้ ครั้งแรก การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่16 เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 สังกัดพรรคชาติพัฒนา ได้รับเลือกเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุดรธานีเขต 4 พร้อมกับ น า ย ป ร ะ จ ว บ ไ ช ย ส า ส ์ น จ า ก พ ร ร ค ช า ต ิ พ ั ฒ น า แ ล ะ นายรักเกียรติ สุขธนะ จากพรรคสามัคคีธรรม คร้ังที่สอง การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 17 เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2535 สังกัดพรรคชาติพัฒนา ได้รับเลือกเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุดรธานีเขต 4 พร้อมกับ นายประจวบ ไชยสาส์น จากพรรคชาตพิ ฒั นาและนายรกั เกยี รติ สุขธนะ จากพรรคกิจสังคม คร้ังท่ีสาม การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 18 เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 สังกัดพรรคชาติพัฒนา ได้รับเลือกเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดหนองบัวลำภู พร้อมกับ นายไพรชั นชุ ติ จากพรรคกจิ สงั คม และนายสรชาติ สวุ รรณพรหม จากพรรคความหวังใหม่ 86

ข้อมูลนักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู คร้ังท่ีสี่ การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 19 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2539 สังกัดพรรคชาติพัฒนา ในเขตเลือกตั้ง จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะการ เลือกตั้งระดับชาติในสมัยนั้นผู้สมัครแต่ละคนต่างทุ่มกำลังและ เงินทุนในการทำฐานเสียงของตนอย่างหนัก จึงหันกลับไปช่วย ทางบ้านประกอบธุรกิจในตลาดอำเภอศรีบุญเรืองในช่วง พ.ศ. 2539 – 2544 พร้อมพยายามรักษาฐานเสียงของตนในพื้นที่ อำเภอศรีบุญเรืองไว้ในระดับหนึ่ง คร้ังที่ห้า การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 20 เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้นายไชยา พรหมา ลงสมัครรับเลือกในสังกัดพรรคเสรีธรรม ซึ่งมีนายประจวบ ไชยสาส์น เป็นหัวหน้าพรรค การเลือกตั้งครั้งนี้นายไชยาต้องสู้ กับคู่แข่งที่สำคัญในเขตเลือกตั้งอย่างนายสรชาติ สุวรรณพรหม อดีตผู้แทนราษฎรสมัยที่ผ่านมา ที่สังกัดพรรคความหวังใหม่ และนายวุฒิพงษ์ ศิริสถิตย์ อดีตสมาชิกสภาจังหวัด ที่สังกัด พรรคไทยรักไทย ซึ่งมีกระแสทักษิณและนโยบายหาเสียงของ พรรคที่มาแรง แต่ด้วยระบบการแบ่งเขตที่เป็นเขตเล็กทำให้ หาเสยี งงา่ ย โดยเฉพาะเขตเลอื กตง้ั ท่ี 2 ของจงั หวดั หนองบวั ลำภู ที่ประกอบด้วยพื้นที่อำเภอศรีบุญเรืองเป็นหลัก อำเภอโนนสัง 5 ตำบลและอำเภอนาวังอีก 4 ตำบล ยิ่งทำให้นายไชยา ได้เปรียบคู่แข่งคนอื่นๆ ในฐานะเจ้าถิ่นของอำเภอศรีบุญเรือง และได้เตรียมตัวลงพื้นที่ประจำในช่วงที่ไม่ได้เป็นผู้แทนฯ ในสมัยที่ผ่านมา ซึ่งกลยุทธ์ที่เป็นไม้เด็ดอันเดิมในการใช ้ หาเสียงครั้งนี้คือการเข้าไปในหมู่บ้านต่างๆ ในเขตเลือกตั้ง พร้อมปราศรัยให้ความรู้ทางการเมืองเพื่อให้ชาวบ้านเกิด 87

นักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู จิตสำนึกทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย จนในสุดได้รับ การเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดหนองบัวลำภู เขต 2 สังกัดพรรคเสรีธรรม คร้ังที่หก การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 21 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรในสังกัดพรรคไทยรักไทย หลังจากที่พรรคเสรีธรรม ไปควบรวมกับพรรคไทยรักไทย ของพันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตร ใน พ.ศ.2544 ในเขตเลือกตั้งเดิม และชนะการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดหนองบัวลำภูเขต 2 สังกัด พรรคไทยรักไทย ครั้งท่ีเจ็ด การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 22 เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ลงสมคั รรบั เลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ในสังกัดพรรคไทยรักไทย ในเขตเลือกตั้งเดิมซึ่งมีผู้สมัครเพียง รายเดียว ซึ่งภายหลังแม้จะได้รับเลือกตั้ง แต่ถือว่าเป็นการ เลือกตั้งที่ไม่ได้รับการยอมรับถึงความบริสุทธิ์ยุติธรรมตาม ครรลองประชาธิปไตยเท่าที่ควร จึงมีคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ประกาศให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะ หลังจากนั้นสถานการณ์ ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยก็เกิดวิกฤตการณ์สำคัญ อันนำมาสู่การรัฐประหาร ของคณะปฏิรูปการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คปค. เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 มีการยกเลิก รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 จนนำไปสู่การตั้ง รัฐบาลชั่วคราวและร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ขึ้น ในปี 2550 88

ข้อมูลนักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู คร้ังท่ีแปด การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 23 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบเขตใหญ ่ เรียงเบอร์ในเขตเลือกตั้งจังหวัดหนองบัวลำภูซึ่ง มีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรได้ 3 คน ซึ่งในการลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ นายไชยาลงสมัครร่วมกับผู้สมัครรับเลือกตั้งอีก 2 คนคือ นายพิษณุ หัตถสงเคราะห์และ นายวิชัย สามิตร ในนามพรรค พลังประชาชน และสามารถชนะการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดหนองบัวลำภ ู ครั้งที่เก้า การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 24 เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2554 หลังจากพรรคพลังประชาชนถูกคำสั่ง ศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคจากกรณีกรรมการบริหารพรรค กระทำการทุจริตการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2551 ทำให้สมาชิกพรรค พลังประชาชนส่วนใหญ่ย้ายเข้ามาสังกัดพรรคการเมืองใหม่ ที่ชื่อ “พรรคเพื่อไทย” เพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่อไป โดยนายไชยาก็ย้ายเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทยโดยมีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ เป็นหัวหน้าพรรค และลงสมัครรับเลือกตั้งในเขต เลือกตั้งที่ 2 จังหวัดหนองบัวลำภู สังกัดพรรคเพื่อไทย ก็ได้รับ การเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามเช่นเคย กลยุทธ์ท่ีใช้ในการหาเสียง สำหรับการรักษาฐานเสียงในพื้นที่เขตเลือกตั้งนั้น นายไชยาอาศัยการลงพื้นที่เพื่อพบปะชาวบ้านเป็นประจำ เพื่อให้ชาวบ้านเห็นหน้า จำหน้า ส.ส. ไชยาได้และรู้จักตัวตน ของนายไชยาที่เป็นคนพูดเก่ง มีหลักการน่าเชื่อถือ โดย พยายามทำให้ภาพของ ส.ส. ไชยาเป็นเหมือนสินค้าที่มีการ 89

นักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู ซื้อขายกันในตลาดทั่วไป เช่น ถ้าคนชนบทจะไปซื้อผงซักฟอก ยี่ห้อแรกที่เขาจะถามคนขายคือ “แฟบ” มีบ่? หรือเวลาจะไปซื้อ ผ้าอนามัยยี่ห้อแรกที่เขาถามหาคือ “โมเดส” มีบ่? ซึ่งนายไชยา เล่าให้ผู้เขียนฟังว่าสำหรับนายไชยาแล้ว ก็พยายามลงพื้นที่ ช่วยงานบุญ งานบวช งานศพเป็นประจำ โดยเฉพาะทุกวัน พฤหัสบดีตอนเย็นหรือวันศุกร์ตอนเช้า นายไชยาต้องเดินทาง จากกรุงเทพมหานครเพื่อประชุมสภาผู้แทนราษฎรตามปกติ กลับมาบ้านที่อำเภอศรีบุญเรืองเพื่อให้คนที่ต้องการเข้าพบได้ พบ หรือเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวที่นายไชยาใช้เป็นประจำตั้งแต ่ ลงสมัครผู้แทนราษฎรครั้งแรกในปี 2535 ก็ยังคงใช้อยู่ปกติและ ถูกแจกให้กับชาวบ้านทั่วไปในพื้นที่เขตเลือกตั้ง เพื่อให้ติดต่อ มาที่ตนได้โดยตรง หรือหากนายไชยาไม่อยู่ก็สามารถไปพบ ภรรยานายไชยาได้ที่ร้านศรีบุญเรืองวัฒนาภายในตลาด บขส. อำเภอศรบี ญุ เรอื ง ซง่ึ ภรรยาของนายไชยาสามารถทำหนา้ ทแ่ี ทน และตัดสินใจแทนนายไชยาได้ทุกเรื่อง เป็นคนคอยประสานงาน เรื่องต่างๆ และคอยช่วยเหลือกิจกรรมทางสังคมต่างๆ ในพื้นที่ เขตเลือกตั้งแทนนายไชยา ซึ่งนายไชยาถึงกับกล่าวกับผู้เขียนว่า ภรรยามีส่วนช่วยอย่างมากในการทำหน้าที่รักษาฐานเสียงของ ตนในเขตเลือกตั้ง ดังนั้นสิ่งที่นายไชยาดำเนินการเพื่อรักษาฐาน เสียงในพื้นที่ ทำให้ถึงคราวเลือกตั้งทั่วไปครั้งใด ชาวศรีบุญเรือง และคนในพื้นที่เขตเลือกตั้งจะนึกถึงยี่ห้อผู้สมัครคนแรก เมื่อจะทำการลงคะแนนเสียงให้คือผู้สมัครที่ชื่อ “ไชยา พรหมา” นั่นเอง (ไชยา พรหมา, 2555) 90

ข้อมูลนักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู บทบาทในปัจจุบัน ในปัจจุบัน (2555) นอกจากนายไชยาจะดำรงตำแหน่ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดหนองบัวลำภู เขต 2 พรรค เพื่อไทยแล้ว บทบาทในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภูก็มีส่วนช่วย ทางด้านการศึกษา โดยเฉพาะการทำให้นักเรียนและผู้ที่สนใจ อยากเรียนคอมพิวเตอร์ได้เรียนคอมพิวเตอร์ ซึ่งเดิมเคยมีการ เปิดสอนโดยเช่าตึกแถวข้างร้านศรีบุญเรืองวัฒนาเป็นสถานที่ เรียน มีหลักสูตรอบรม มีครูสอน มีการจัดตารางหมุนเวียนกัน ให้เข้ามาอบรมตลอดทั้งปี ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดยกเว้นค่าเดิน ทางมาอบรม นายไชยาใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวดำเนินการเองทั้งสิ้น ซึ่งดำเนินการอยู่ 4-5 ปี ปัจจุบันนายไชยาได้มอบอุปกรณ์และ ทุนดำเนินการบางส่วนให้กระทรวงศึกษาธิการนำไปดำเนินการ ต่อโดยใช้อาคารของสำนักงานประถมศึกษาอำเภอศรีบุญเรือง เดิมเป็นสถานที่จัดอบรม นอกจากนั้นบทบาทในฐานะสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร นายไชยาดำรงตำแหน่งหลายๆ ตำแหน่ง เช่น เป็นเลขานุการรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมาธิการของสภา ผู้แทนราษฎร เป็นต้น (ไชยา พรหมา, 2555) ว่าท่ี พันตรี ดร.สรชาติ สุวรรณพรหม ตัวอย่างลูกหนองบัวลำภูท่ีประสบความสำเร็จในชีวิตการเมือง และการทำงาน ประวัติโดยย่อของ ดร. สรชาติ สุวรรณพรหม เกิดเมื่อ วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2505 ที่บ้านกุดสะเทียน ตำบลกุดสะเทียน อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดอุดรธานี เป็นบุตรของกำนันเลิศ นางคำเสี่ยน สุวรรณพรหม มีพี่น้องร่วมกัน 8 คน (สรชาติ สุวรรณพรหม, 2555) 91

นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู ด้านการศึกษา สำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาที่ โรงเรียนบ้านกุดสะเทียน อำเภอศรีบุญเรือง จากนั้นไปศึกษาต่อ ระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีสาขาส่งเสริม การเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หลังจาก สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีก็เข้าศึกษาต่อในระดับ ปริญญาโทสาขานโยบายสาธารณะและการบริหารโครงการ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ซึ่งระหว่างหลังจากสอบประมวลความรู้ในระดับปริญญา โท (Comprehensive) และรอผลการอนุมัติปริญญา ในปี 2529 ได้มีการเลือกตั้งทั่วไป นายสรชาติ สุวรรณพรหม ขณะนั้น มีอายุ 25 ปีบริบูรณ์ จึงตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรครั้งแรก ซึ่งเป็นการก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมือง เป็นต้นมา นอกจากนี้แล้วนายสรชาติ สุวรรณพรหมยังได้ไป ศึกษาต่อเพิ่มเติมในระดับปริญญาตรี สาขารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ปริญญาโททางด้านบริหารธุรกิจ (MBA) จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น, ปริญญาโทด้านสังคม สงเคราะห์ศาสตร์ สาขาสังคมสงเคราะห์ในกระบวนการ ยุติธรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนกระทั่งในระดับปริญญา เอก สาขาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตด้านการจัดการ จาก Udamson University, มนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ (สรชาติ สุวรรณพรหม, 2555) นายสรชาติ สุวรรณพรหม ลูกชายกำนันเลิศ สุวรรณ- พรหม ผู้มีชื่อเสียงแห่งตำบลกุดสะเทียน อำเภอศรีบุญเรืองได้ รับการยกย่องและชื่นชมจากชาวบ้านในพื้นที่ว่า เป็นคนหนุ่ม 92

ข้อมูลนักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู ลูกชาวนาคนแรกที่จบการศึกษาระดับปริญญาโทแล้วกลับมา ลงสมัครฯ ผู้แทนฯ (ไชยา พรหมา, 2555) เพื่อทำให้ความฝัน ของพี่น้องชาวอำเภอโนนสังและอำเภอศรีบุญเรือง ซึ่งอยู่ในเขต เลือกตั้งของจังหวัดอุดรธานี ที่ไม่เคยมีผู้แทนฯ เป็นของพื้นที่ ตนเองเลยตั้งแต่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นให้เป็นความจริง เพราะ การเลือกตั้งทุกครั้งผู้สมัครที่ได้รับเลือกตั้งจะมาจากอำเภอ กุดจับ อำเภอหนองวัวซอ อำเภอหนองแสง อำเภอกุมภวาปี หรืออำเภอโนนสะอาด ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของทิวเขาภูพาน ที่กั้นพื้นที่เขตเลือกตั้งดังกล่าวออกเป็น 2 ฝั่ง เมื่อนายสรชาติ สุวรรณพรหม ประกาศตัวว่าจะเป็นผู้แทนฯ ของพี่น้องชาว อำเภอศรีบุญเรืองและอำเภอโนนสัง ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของ ทิวเขาภูพานก็ทำให้ได้รับคะแนนจากชาวบ้านในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งต่อมาใน พ.ศ. 2536 อำเภอศรีบุญเรืองและอำเภอโนนสัง ก็ได้แยกการปกครองมาขึ้นกับจังหวัดหนองบัวลำภู (สรชาติ สุวรรณพรหม, 2555) ในด้านการเมือง นายสรชาติ สุวรรณพรหมลงสมัครรับ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 10 ครั้งได้แก่ พ.ศ. 2529, พ.ศ.2531, พ.ศ.2535/1, พ.ศ.2535/2, พ.ศ.2538, พ.ศ.2539, พ.ศ.2544, พ.ศ.2548, พ.ศ.2550 และ พ.ศ.2554, ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา 1 ครั้งได้แก่ พ.ศ.2549 และลงสมัครรับเลือกตั้งนายกองค์กรบริหารส่วนจังหวัด หนองบัวลำภู 1 ครั้งได้แก่ พ.ศ. 2546 เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ ทางการเมืองในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภูอย่างสูง ซึ่งมีทั้ง ประสบความสำเร็จบ้างและผิดหวังบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องปกติตาม วิถีทางแห่งการได้เป็นผู้แทนฯในระบอบประชาธิปไตย 93

นักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู ในดา้ นการทำงาน นายสรชาติ สุวรรณพรหม เคยทำงาน พนักงานสินเชื่อ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาหนองบัวลำภู (พ.ศ. 2531 – พ.ศ.2532) จากนั้นเข้ารับ ราชการเป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์งบประมาณ สำนักงบประมาณ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี (พ.ศ.2532- พ.ศ.2534) ต่อมากลับมา เป็นนักวิชาการพัฒนาชุมชน สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด อุดรธานี กรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย (พ.ศ.2534 – พ.ศ.2536) ต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งจังหวัดหนองบัวลำภูขึ้น ก็โอนย้ายจากสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดอุดรธานี มาดำรง ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไป สำนักงานพัฒนาชุมชน จังหวัดหนองบัวลำภู (พ.ศ.2536 – พ.ศ.2538) หลังจากนั้นเมื่อมี การเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ.2538 ก็ลงสมัครรับเลือกตั้งได้รับ เลือกเป็นผู้แทนราษฎรชุดแรกของจังหวัดหนองบัวลำภู และก็ได้ รับเลือกอีกครั้งในปี 2539 ดำรงตำแหน่งเป็นผู้แทนราษฎร 2 สมัย 5 ปี (พ.ศ.2538 – พ.ศ.2543) หลังจากนั้นก็สนใจทำงาน ด้านวิชาการจึงไปดำรงตำแหน่งเป็นอาจารย์ประจำบัณฑิต วิทยาลัย สาขาการบริหารองค์การ มหาวิทยาลัยเกริก (พ.ศ.2544 – พ.ศ.2547) ย้ายมาดำรงตำแหน่งอาจารย์ประจำ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ วิทยาลัยบริหารธุรกิจและรัฐกิจ มหาวทิ ยาลยั รงั สติ (พ.ศ. 2548 – ปจั จบุ นั ) (สรชาติ สวุ รรณพรหม, 2555) เส้นทางสู่การเมือง นายสรชาติ สุวรรณพรหม ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกใน พ.ศ.2529 ในเขตเลือกตั้งที่ 4 94

ข้อมูลนักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีผู้แทนฯได้ 2 คน ในขณะที่ลงสมัครรับเลือกตั้งนายสรชาติ สุวรรณพรหม มีอายุเพียง 25 ปีเศษ ความตั้งใจในการเป็นนักการเมืองเกิดขึ้น มาจากการสมัครเป็นสมาชิกกลุ่มยุวชนประชาธิปัตย์ (Young Democrat) ของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นกลุ่มกิจกรรมสำหรับ เยาวชน เพื่อเตรียมพร้อมเยาวชนที่มีความสนใจในการมี ส่วนร่วมทางการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งในปี 2529 พรรคประชาธิปัตย์ได้คัดเลือกตัวแทนของพรรคจากกลุ่ม ยุวประชาธิปัตย์จำนวน 2 คนได้แก่ นายอภิชาติ ดำดีและ นายสรชาติ สุวรรณพรหมเพื่อไปลงสมัครรับเลือกตั้งในเขต เลือกตั้ง นายสรชาติ สุวรรณพรหมจึงลงสมัครรับเลือกตั้งใน พื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 4 จังหวัดอุดรธานีซึ่งเป็นบ้านเกิดของตนเอง ในการเลือกตั้งครั้งแรกฐานเสียงที่นายสรชาติ สุวรรณพรหม ใช้หาเสียงคือญาติพี่น้องและคนที่รู้จักกับคุณพ่อกำนันเลิศ สุวรรณพรหม ซึ่งเป็นผู้ที่กว้างขวางและชาวบ้านแถบอำเภอ ศรีบุญเรืองรู้จักเป็นอย่างดี เมื่อลูกชายคุณพ่อกำนันแห่งตำบล กุดสะเทียน อำเภอศรีบุญเรืองจะลงสมัครรับเลือกตั้งจึงไม่เป็น ปัญหาในเรื่องของฐานเสียงในพื้นที่อำเภอศรีบุญเรืองที่จะ ให้การสนับสนุน และประเด็นที่ใช้หาเสียงคือการปลุกกระแส “ถิ่นนิยม” ของชาวบ้านอำเภอศรีบุญเรืองและอำเภอโนนสัง ซึ่งต้องการมีผู้แทนราษฎรเป็นของตนเองบ้าง ซึ่งผลจากการ เลือกตั้งครั้งนั้นปรากฏว่าผู้ที่ชนะการเลือกตั้งคือ นายเกียรติชัย ชัยเชาวรัตน์ และนายรักเกียรติ สุขธนะ นักการเมืองใหญ่แห่ง พื้นที่จังหวัดอุดรธานี (สรชาติ สุวรรณพรหม, 2555) 95

นักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู หลังจากไม่ได้รับการเลือกตั้งในปี 2529 นายสรชาติ สุวรรณพรหมก็ทำงานที่ธนาคาร ธกส. สาขาหนองบัวลำภูอยู่ 1 ปี หลังจากนั้นก็เข้ารับราชการสังกัดสำนักงบประมาณ สังกัด สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งในช่วงที่เริ่มรับราชการนั้นก็ลงสมัครรับ เลือกตั้งอีกในปี 2531 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์พรรคเดิม ในเขต เลือกตั้งเดิมและยังคงไม่ประสบผลสำเร็จจากการเลือกตั้ง ครั้งนั้น ต่อมากลับเข้ารับราชการที่สำนักงบประมาณเช่นเดิม ในช่วงนี้ได้มีโอกาสเข้าไปช่วยงานพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งนายสรชาติ เคยรู้จักเป็นการส่วนตัวตั้งแต่ทำกิจกรรมใน มหาวิทยาลัย ครั้งยังดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการ นักศึกษาคณะรัฐประศาสนศาสตร์ ซึ่งมีโอกาสจัดงานครบรอบ 20 ปรี ฐั ประศาสนศาสตรข์ น้ึ ทส่ี ถาบนั บณั ฑติ พฒั นบรหิ ารศาสตร์ ได้มีติดต่อทาบทามและเชิญพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้นมาปาฐกถาในงานดังกล่าว ทำให้ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธพอเห็นแววในตัวของนายสรชาติ สุวรรณพรหมบ้างแล้ว (สรชาติ สุวรรณพรหม, 2555) ในปี 2534 เกิดการรัฐประหารขึ้นโดยคณะรักษา ความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) มีการยึดทรัพย์รัฐมนตรี หลายคน ในคณะรัฐมนตรีของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อ สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ มีการแต่งตั้งรัฐบาลรักษาการเพื่อ จัดการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนเมษายน พ.ศ.2535 นายสรชาติ สุวรรณพรหมซึ่งเตรียมตัวที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งในเขต เลือกตั้งจังหวัดอุดรธานี พลเอกชวลิต ยงใจยุทธได้จัดตั้งพรรค ความหวังใหม่ขึ้น ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงเขต เลือกตั้งให้มีขนาดใหญ่ขึ้นโดยรวมอำเภอกุมภวาปี เข้ามาอยู่ใน 96

ข้อมูลนักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู เขตเลือกตั้งที่ 4 จังหวัดอุดรธานี นายสรชาติ ลงสมัครรับ เลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนี้เช่นเดิม ในสังกัดพรรคความหวังใหม่ ร่วมกับนายอารมณ์ ศิริสุวรรณ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุดรธานี พรรคปวงชนชาวไทย (พ.ศ.2531 – 2534) ซึ่งการเลือกตั้งในครั้งนี้เขตเลือกตั้งดังกล่าวมีผู้แทนฯ ได้ 3 คน ผู้ที่ชนะการเลือกตั้งได้แก่ นายประจวบ ไชยสาส์น พรรค ประชาธิปัตย์, นายรักเกียรติ สุขธนะ พรรคสามัคคีธรรม และ นายไชยา พรหมา พรรคประชาธิปัตย์ ส่วนนายสรชาติ สุวรรณ พรหม ได้คะแนนเป็นลำดับที่ 4 ไม่ได้รับเลือกตั้ง (สรชาติ สุวรรณพรหม, 2555) ต่อมาภายหลังการเลือกตั้งดังกล่าวก็เกิดความวุ่นวาย ทางการเมืองในส่วนกลางเนื่องจากการคัดค้านการดำรง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกสุจินดา คราประยูร หนึ่งใน คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) จึงเกิดการขึ้นฮือ ขึ้นประท้วงการดำรงตำแหน่งดังกล่าวกลายเป็นเหตุการณ์ ทางการเมืองที่ชื่อว่า “พฤษภาทมิฬ 35” หลังจากเหตุการณ์ สงบลงพลเอกสุจินดา คราประยูรลาออกจากตำแหน่งและ แต่งตั้งรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุนรักษาการเพื่อจัดให้มีการ เลือกตั้งขึ้นอีกครั้งในเดือนกันยายน พ.ศ.2535 (โกวิท วงศ์สุรวัฒน์, 2553: น. 65-66) ในการเลือกตั้งครั้งนี้นายสรชาติ สุวรรณพรหม ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในสังกัดพรรคชาติพัฒนา ร่วมกับนายประจวบ ไชยสาส์น และนายไชยา พรหมา ซึ่ง ส่วนตัวนายสรชาติ สุวรรณพรหม ต่างคุ้นเคยและสนิทกับทั้ง นายประจวบ ไชยสาส์นและนายรักเกียรติ สุขธนะ เพราะเคยไป ช่วยงานนักการเมืองใหญ่ทั้งสองแห่งจังหวัดอุดรธานีเมื่อครั้ง 97

นักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งการลงสมัครครั้งนี้นายสรชาติ สุวรรณพรหมเลือกที่จะลง สมัครเป็นทีมผู้สมัครของนายประจวบ ไชยสาส์นเพื่อแข่งกับทีม ผู้สมัครของนายรักเกียรติ สุขธนะที่สมัครรับเลือกตั้งในสังกัด พรรคกิจสังคม ซึ่งการเลือกตั้งในครั้งนี้เขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัด อุดรธานี มีผู้แทนฯ ได้ 3 คน ผู้ที่ชนะการเลือกตั้งได้แก่ นายประจวบ ไชยสาส์น พรรคชาติพัฒนา, นายรักเกียรติ สุขธนะ พรรคกิจสังคม และนายไชยา พรหมา พรรคชาติพัฒนา ส่วนนายสรชาติ สุวรรณพรหมได้คะแนนเป็นลำดับที่ 4 ไม่ได้รับ เลือกตั้ง (สรชาติ สุวรรณพรหม, 2555) หลังจากนั้นในปี 2536 มีการจัดตั้งจังหวัดหนองบัวลำภู แยกของจากจังหวัดอุดรธานี ทำให้มีการโอนอำเภอศรีบุญเรือง และอำเภอโนนสังซึ่งเป็นฐานเสียงของนายสรชาติ อยู่ในจังหวัด หนองบัวลำภู ประกอบกับหลังจากตั้งจังหวัดใหม่นายสรชาติ ซึ่งมีตำแหน่งรับราชการที่สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด อุดรธานี ได้ขอโอนย้ายมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริหารงาน ทั่วไป สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดหนองบัวลำภู มีหน้าที่ใน การจัดตั้งกลุ่มสตรี กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มอาชีพต่างๆ ในพื้นที่ พรอ้ มกบั การเตรยี มพรอ้ มสภาตำบลเพอ่ื รองรบั การเปลย่ี นแปลง สู่การเป็นองค์การบริหารส่วนตำบล ตามพระราชบัญญัติสภา ตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 ซึ่งการทำงาน ในฐานะพนักงานพัฒนาชุมชนทำให้มีโอกาสได้คุ้นเคยกับ ชาวบ้านในพื้นที่มากขึ้นทำให้กลุ่มสตรี กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มอาชีพ ต่างๆ และกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในสภาตำบลที่สำนักงานพัฒนา ชุมชนจังหวัดหนองบัวลำภูเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ได้กลายเป็น 98

ข้อมูลนักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู ฐานเสียงที่สำคัญให้กับนายสรชาติในการเตรียมการที่จะลง สมัครรับเลือกตั้งใน พ.ศ.2538 (สรชาติ สุวรรณพรหม, 2555) การเลอื กตง้ั ทว่ั ไปใน พ.ศ.2538 นายสรชาติ สวุ รรณพรหม ลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งจังหวัดหนองบัวลำภู สังกัด พรรคความหวังใหม่ ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งใหญ่มีผู้แทนฯ ทั้งจังหวัดได้ 3 คน ผลปรากฏว่า นายสรชาติ สุวรรณพรหม ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรชุดแรกหลังการจัดตั้งจังหวัด หนองบัวลำภูร่วมกับนายไพรัช นุชิต สังกัดพรรคกิจสังคม และ นายไชยา พรหมา สังกัดพรรคชาติพัฒนาซึ่งได้ลำดับที่ 1 และ 2 ตามลำดับ ซึ่งทั้ง 3 คนถือว่าเป็นผู้แทนฯที่มีภูมิลำเนาในพื้นที่ และเป็นตัวแทนของนักการเมืองใหญ่ ที่ให้การสนับสนุน เบื้องหลังการลงสมัครรับการเลือกตั้งของแต่ละคนได้แก่ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่, นายรักเกียรติ สุขธนะ แกนนำพรรคกิจสังคม และนายประจวบ ไชยสาส์น เลขาธิการพรรคชาติพัฒนา ซึ่งจะให้การสนับสนุน ผู้สมัครของพรรคในพื้นที่ตามลำดับ (สรชาติ สุวรรณพรหม, 2555) หลังจากได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้แทนฯ สมัยแรก (พ.ศ.2538 – พ.ศ.2539) นายสรชาติ สุวรรณพรหมก็มีโอกาส เข้าไปทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ประมาณปีเศษ เพราะหลังจาก นายบรรหาร ศิลปอาชา ประกาศยุบสภาอย่าง กะทันหัน จนทำให้ต้องมีการจัดการเลือกตั้งใหม่ในเดือน พฤศจิกายน พ.ศ.2539 ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้นายสรชาติ ส ุ ว ร ร ณ พ ร ห ม ไ ด ้ ล ง ส ม ั ค ร ร ั บ เ ล ื อ ก ต ั ้ ง ใ น ส ั ง ก ั ด พ ร ร ค 99

นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู ความหวังใหม่ของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ร่วมกับนายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ อดีตนักการเมืองใหญ่พรรรคชาติไทย จังหวัด อุดรธานีที่สอบตก เมื่อเปลี่ยนพื้นที่มาลงสมัครรับเลือกตั้งใน พ.ศ.2538 ที่จังหวัดหนองบัวลำภู และนายพิชาญ พิบูลย์- วัฒนวงศ์ อดีตปลัดจังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ ปรากฏว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้ง 3 คนของพรรคความหวังใหม่ ได้รับเลือกตั้งยกทีม ส่งผลให้จากเดิมที่พรรคความหวังใหม่มี ผู้แทนฯ ในพื้นที่เพียงคนเดียวในการเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ.2538 แต่ในการเลือกตั้ง พ.ศ.2539 ได้เพิ่มขึ้นอีก 2 คน ซึ่งอาจจะไม่มี ความหมายมากมายอะไรหากจะดูกันผิวเผินในระดับพื้นที ่ แต่สำหรับในระดับส่วนกลางแล้วถือว่า 2 คนที่ได้เพิ่มมาจาก จังหวัดหนองบัวลำภูนั้นคือจำนวนผู้แทนฯ ของพรรค ความหวังใหม่ที่ได้มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งได้จำนวนที่นั่ง ส.ส.125 ต่อ 123 เสียงมากกว่าเพียง 2 คน อันส่งผลให้พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธหัวหน้าพรรคการเมืองที่ได้จำนวนที่นั่งในสภา ผแู้ ทนราษฎรมากทส่ี ดุ ไดร้ บั เลอื กใหด้ ำรงตำแหนง่ นายกรฐั มนตรี คนที่ 22 ของประเทศไทยตามไปด้วย (สรชาติ สุวรรณพรหม, 2555) บทบาททางการเมือง นายสรชาติ สุวรรณพรหม มีบทบาททางการเมือง มากมายตั้งแต่ก่อนได้เป็นผู้แทนฯ ระหว่างที่เป็นผู้แทนฯ และ หลังจากไม่ได้เป็นผู้แทนฯ ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นผู้หนึ่งที่มี ประสบการณ์ทางการเมืองที่หลากหลายทั้งในระดับพื้นที่และ ในระดับชาติ ทั้งในฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ และทั้งในสภาฯ และนอกสภาซึ่งจะกล่าวบทบาทที่เด่นชัดได้ดังนี้ 100

ข้อมูลนักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (พ.ศ.2538 – พ.ศ.2543) เคยดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (พ.ศ.2539 - พ.ศ.2540), เป็น โฆษกคณะกรรมาธิการทหาร ในสภาผู้แทนราษฎร (พ.ศ.2539 – พ.ศ.2541), เป็นประธานอนุกรรมาธิการเงินกู้จากต่างประเทศ ในคณะกรรมาธิการนโยบายและติดตามผลงบประมาณ รายจ่ายประจำปีของสภาผู้แทนราษฎร (พ.ศ.2541- พ.ศ.2542), เป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกำหนด แผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น, กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ยกฐานะสุขาภิบาลเป็นเทศบาลตำบล และกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา (พ.ศ.2542 – พ.ศ.2543) (สรชาติ สุวรรณพรหม, 2555) หลังจากไม่ได้รับเลือกตั้งใน พ.ศ.2544 นายสรชาติ ก็ยัง คงมีบทบาททางการเมืองหลังจากพรรคความหวังใหม่เข้าไป ร่วมรัฐบาลกับพรรคไทยรักไทย ทำให้นายสรชาติ ได้มีโอกาส ช่วยงานพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรี ว่าการกระทรวงกลาโหม (พ.ศ.2544-2545) ส่วนบทบาทอื่นๆ เช่น เป็นที่ปรึกษาของนายสุชาติ ตันเจริญ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็น รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 (พ.ศ.2545 - พ.ศ.2546), ได้ร่วมเป็นกรรมาธิการวิสามัญของสภาผู้แทนราษฎร ในการ ศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (พ.ศ.2546 - พ.ศ.2547), เป็นกรรมการแห่งชาติในการศึกษา ความเป็นไปได้ในการขุดคลองกระขั้นสมบูรณ์ (พ.ศ.2544 – 101

นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ.2548), เป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาพระราชบัญญัติ จัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ (พ.ศ.2553 - พ.ศ.2554) และกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสภาเกษตรกรแห่งชาติ (พ.ศ.2553 – พ.ศ.2554) เป็นต้น (สรชาติ สุวรรณพรหม, 2555) ส่วนในระดับพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภูนั้น นายสรชาติ สุวรรณพรหมถือเป็นนักการเมืองถิ่นรุ่นแรกของจังหวัด หนองบัวลำภูที่มีส่วนในการพิจาณาและวางแผนการพัฒนา จังหวัดในระยะเริ่มต้น ทำการประสานงบประมาณลงพื้นที ่ เพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานในการรองรับการได้เป็น จังหวัดใหม่ของหนองบัวลำภู เช่น การวางระบบผังเมือง หนองบัวลำใหม่ การตัดถนนเลี่ยงเมืองใหม่เพื่อให้รองรับการ ขยายตัวของเมืองหนองบัวลำภูในอนาคต การขอขยายถนน จากจังหวัดอุดรธานีมาที่จังหวัดหนองบัวลำภูจากสองช่อง จราจรเป็นสี่ช่องจราจร เป็นต้น (สรชาติ สุวรรณพรหม, 2555) นอกจากการทำหน้าที่ด้านการเป็นผู้แทนฯ ดังที่กล่าวมา ใ น ฐ า น ะ ท ี ่ น า ย ส ร ช า ต ิ ส ุ ว ร ร ณ พ ร ห ม ใ น ฐ า น ะ เ ป ็ น ลูกหนองบัวลำภูโดยกำเนิด ได้มีบทบาทในการให้ความ ช่วยเหลือชาวบ้านคนอื่นเสมือนเป็นญาติพี่น้องของตน เพราะ นิสัยที่เป็นคนชอบทำกิจกรรมเพื่อสังคมซึ่งได้เรียนรู้บทบาท ดงั กลา่ วจากการมคี ณุ พอ่ กำนนั เลศิ สวุ รรณพรหมเปน็ แบบอยา่ ง พ อ เ ร ี ย น ร ะ ด ั บ ม ห า ว ิ ท ย า ล ั ย ก ็ เ ค ย พ า ค ่ า ย อ า ส า พ ั ฒ น า คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นมาพัฒนาและให้ ความรู้แก่ชาวบ้านที่หนองบัวลำภูทุกปี หรือหากมีเวลาว่างก็จะ ไปพบปะกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือผู้นำชุมชนเพื่อพูดคุย 102

ข้อมูลนักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู แลกเปลี่ยนความรู้และปัญหาระหว่างกันเป็นประจำซึ่งปัจจุบัน (พ.ศ.2555) ก็ยังคงแสดงบทบาทดังกล่าวปกติ (สรชาติ สุวรรณพรหม, 2555) นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 13 สมัย อดีตรัฐมนตรี 2 กระทรวง และผู้มีประสบการณ์ในสภาผู้แทนราษฎรมากว่า 30 ปี นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ เกิดเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2482 ภูมิลำเนาเดิมเป็นชาวจังหวัดนครราชสีมา ต่อมาในปี 2487 บิดาคือนายฉาย หัตถสงเคราะห์ได้รับตำแหน่งหัวหน้า นายช่างชลประทานที่จังหวัดอุดรธานีจึงเป็นเหตุให้ต้องพานาง สายม่าน หัตถสงเคราะห์ ภรรยาและลูกๆ ย้ายมาอยู่ด้วยกัน ในเขตเทศบาลเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์บุตรคนโต โดยมีน้องคนอื่นๆ อีกจำนวน 5 คน ประกอบด้วย (กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์, 2555) 1. นางสายหยาด อึ้งสวัสดิ์ 2. นางสายหยด มาตย์มลู 3. นางสายหยุด หัตถสงเคราะห์ 4. นายเฉลิมศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ และ 5. นายฉลองศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ สำเร็จการศึกษา ขั้นพื้นฐานที่จังหวัดอุดรธานี ระดับปริญญาตรีด้านการเกษตร จากวิทยาลัยบัณฑิตสกลนคร ทั้งยังเป็นคนชอบผจญความ 103

นักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู ท้าทายใหม่ๆ ในสมัยวัยรุ่นเคยลักลอบหลบหนีขึ้นเรือขนส่ง สนิ คา้ ขา้ มสมทุ ร พกพาพจนานกุ รมไทย – องั กฤษ (Thai - English Dictionary) และหนังสือเรียนเร็วภาษาอังกฤษ 48 ชั่วโมงติดตัว ขึ้นเรือดังกล่าวในฐานะคนทำความสะอาดห้องน้ำบนเรือ หวังเพือ่ มุง่ ไปแสวงหาประสบการณ์การใชช้ ีวติ ทีป่ ระเทศอังกฤษ จนกระทั่งได้ใบประกาศนียบัตรด้านบริหารธุรกิจกลับมา เมื่อ กลับมาเมืองไทยก็สมัครเข้าทำงานเป็นทหารนิรนามของกองทัพ สหรัฐอเมริกา ที่เข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทยในช่วงสงคราม เย็น จึงมีโอกาสได้ทุนจากกองทัพสหรัฐอเมริกาไปศึกษาระดับ ปริญญาตรีที่มลรัฐฮาวายสหรัฐอเมริกาตามลำดับ นอกจากนี้ หลังจากได้ลงสู่สนามการเมืองเป็นอาชีพแล้ว นายกิตติศักดิ ์ ได้ไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ด้านสังคมสงเคราะห์ จาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์, 2555) ในดา้ นครอบครวั และชวี ติ สมรส นายกติ ตศิ กั ด์ิ เคยสมรส (ปจั จบุ นั หยา่ ) กบั นางพรรณงาม ศรสี วสั ด์ิ มบี ตุ ร – ธดิ า ดว้ ยกนั 8 คนตามลำดับดังนี้ (พิษณุ หัตถสงเคราะห์, 2555) 1. นางพจณกร หนุนภักดี 2. นางนริศรา ดำรงค์วัฒนกุล 3. นายพิษณุ หัตถสงเคราะห์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดหนองบัวลำภ ู 4. นายกฤษ หัตถสงเคราะห์ ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว 5. นางสาวโอปอล์ หัตถสงเคราะห์ 6. นายสยาม หัตถสงเคราะห์ 104

ข้อมูลนักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู 7. นายพิรัญ ศรีสวัสดิ์ และ 8. นายพงษ์อมร ศรีสวัสดิ์ เส้นทางสู่การเมือง นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ เป็นผู้ที่ไม่เคยสนใจใน ด้านการเมืองมาก่อน การเล่นการเมืองเกิดขึ้นจากความอยากรู้ อยากลอง อยากแสดงให้คนอื่นเห็นว่าตนก็มีความสามารถเป็น ผู้แทนฯ ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนได้ ซึ่งหากจะกล่าว ถึงเส้นทางสายการเมืองของนายกิตติศักดิ์แล้วมีมาอย่าง ยาวนานตามลำดับดังนี้( กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์, 2555) นายกิตติศักดิ์ หัตสงเคราะห์ เริ่มต้นจากการเป็น นักการเมืองท้องถิ่นในเขตเทศบาลเมืองอุดรธานี โดยเป็น สมาชิกสภาเทศบาล และคณะเทศมนตรีในระหว่าง พ.ศ. 2517 – พ.ศ. 2522 ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งเป็นเทศมนตรีเทศบาลเมือง อุดรธานี พลตรีศิริ สิริโยธิน รองหัวหน้าพรรคชาติไทย ได้ชักชวนและดึงตัวนายกิตติศักดิ์เพื่อให้มาลงสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี 2522 ในสังกัดพรรคชาติไทย ซึ่งนายกิตติศักดิ์ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในเขต 2 จังหวัดอุดรธานี ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่อำเภอด้านตะวันตกของจังหวัด 8 อำเภอ ได้แก่ อำเภอบ้านผือ อำเภอน้ำโสม อำเภอนายูง อำเภอ สุวรรณคูหา อำเภอนากลาง อำเภอหนองบัวลำภู อำเภอ ศรีบุญเรืองและอำเภอโนนสัง นอกจากลงสมัครรับเลือกตั้ง ในพื้นที่แล้ว พรรคชาติไทยได้มอบหมายให้นายกิตติศักดิ์ 105

นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู เปน็ หวั หนา้ ผรู้ บั ผดิ ชอบดแู ลการเลอื กตง้ั ของพรรคชาตไิ ทยในพน้ื ท่ี ภาคอีสานทั้งหมด ซึ่งในการดูแลนั้นนายกิตติศักดิ์ได้ใช้ทุน ส่วนตัวในการช่วยผู้สมัครคนอื่นด้วยซึ่งปรากฏว่าในการเลือกตั้ง เมื่อปี 2522 นั้นนายกิตติศักดิ์ หัตสงเคราะห์ได้รับเลือกตั้งและ พาผู้สมัครของพรรคชาติไทยคนอื่นๆ จากภาคอีสานเข้าสภาฯ ได้อีกจำนวน 13 คน การลงสมัครรับเลือกตั้งในสังกัดพรรคชาติไทยซึ่งม ี พลตำรวจเอกประมาณ อดิเรกสาร เป็นหัวหน้าพรรค และ พลตรีศิริ สิริโยธิน เป็นรองหัวหน้าพรรคซึ่งมาทาบทาม นายกิตติศักดิ์ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งในสนามการเมืองจังหวัด อุดรธานีนั้น เนื่องจากพรรคชาติไทยซึ่งก่อตั้งเมื่อมีการเลือกตั้ง ทั่วไป พ.ศ. 2518 เป็นพรรคการเมืองที่รวบรวมบรรดา “นายทุน และขุนศึก” เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้นายทุนใหญ่ผู้มั่งคั่งแห่งเมือง อุดรธานี ที่ได้รับการสัมปทานการก่อสร้างที่มีมูลค่ามหาศาล ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งการจัดส่งแรงงาน แถบภาคอีสานไปทำงานก่อสร้างที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย และ ประเทศต่างๆ แถบตะวันออกกลาง ซึ่งการจัดส่งคนงานไทยไป ทำงานยังต่างประเทศนั้น นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ถือได้ ว่าเป็นคนไทยคนแรกที่บุกเบิกกิจการด้านนี้ในประเทศไทยด้วย นายกิตติศักดิ์กล่าวกับผู้เขียนว่า ครั้งแรกที่ส่งแรงงานไทยไป ทำงานในต่างประเทศนั้น นายกิตติศักดิ์ได้รับมอบหมายจาก นายทุนชาวอเมริกันซึ่งรู้จักกันมาก่อนให้ทำการหาแรงงานไทย จำนวน 5,000 คนเพื่อไปทำการก่อสร้างเมืองแห่งหนึ่งใน ประเทศซาอุดิอาระเบีย โดยทางบริษัทของชาวอเมริกันจะจัดค่า ธรรมเนียมการจัดหาแรงงานดังกล่าวให้นายกิตติศักดิ์ในราคา 106

ข้อมูลนักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู ตอ่ หวั ๆ ละ 80,000 บาทหรอื คดิ เปน็ เงนิ รวมประมาณ 40 ลา้ นบาท (สมัยนั้นราคาทองคำหนัก 1 บาทราคาอยู่ที่ 400 บาท) และ หลังจากจัดส่งแรงงานชุดแรกไปแล้ว ต่อมาทางบริษัทของ ชาวอเมริกันยงั ใหน้ ายกติ ตศิ กั ดิจ์ ดั หาแรงงานเพ่มิ อีก 20,000 คน เพื่อจัดส่งไปทำงานที่ประเทศลิเบีย ซึ่งแรงงานทั้งหมดที่ไปกับ นายกิตติศักดิ์ทุกคนจะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ และเมื่อเดินทาง กลับมาประเทศไทยจะมีเงินมีทองสามารถตั้งตัวได้หรือกลาย เป็นเศรษฐีเล็กๆในหมู่บ้านคนหนึ่ง ซึ่งแรงงานที่กลับมา และญาติพี่น้องของแรงงานดังกล่าว ต่างถือเป็นหนี้บุญคุณ ของนายกิตติศักดิ์ที่ช่วยนำโอกาสและความร่ำรวยมาสู่ ครอบครัวตน ทำให้ต่อมาครอบครัวเหล่านี้ กลายเป็นฐานเสียง ของนายกิตติศักดิ์ในการเลือกตั้งแต่ละครั้งด้วย จากกิจการดังที่ กล่าวมานั้นแสดงให้เห็นว่านายกิตติศักดิ์เป็นผู้ที่มีความมั่งคั่ง ร่ำรวยหรือกลายเป็น “นายทุนหัวเมือง” ที่หลายพรรคการเมือง ต่างเฝ้าจับตามอง รวมทั้งพรรคชาติไทยที่ต้องการดึงมาช่วย ทำงานการเมืองเพื่อดูแลงานของพรรคในภาคอีสานด้วย (กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์, 2555) กลยุทธ์ที่ใช้หาเสียงเลือกต้ัง กลยุทธ์ที่ใช้ในการหาเสียงตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งแรก นายกิตติศักดิ์ใช้วิธีการหาเสียงในพื้นที่โดยใช้วิธีการปราศรัย เป็นหลัก รองลงมาคือการติดภาพโปสเตอร์แนะนำตัวผู้สมัคร การปราศรยั จะใชช้ ว่ งเวลาชว่ งบา่ ย ถงึ ประมาณ 3 ทมุ่ (21.00 น.) ของแต่ละวัน เพราะเป็นช่วงที่มีคนอยู่ในหมู่บ้าน หากเป็นช่วง เวลาอื่นจะไม่ค่อยมีคนมาฟัง ทำให้บางครั้งนายกิตติศักดิ์และ 107

นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู ผู้สนับสนุนต้องนอนพักค้างคืนในละแวกใกล้บริเวณที่ทำการ ปราศรัย ประกอบกับถนนหนทางไม่สะดวก พื้นที่ส่วนใหญ่ใน เขตเลือกตั้งถูกทางการประกาศให้เป็นหมู่บ้านสีแดง โดยเฉพาะ หมู่บ้านในเขตอำเภอน้ำโสม อำเภอสุวรรณคูหา และอำเภอ โนนสัง สำหรับการเข้าไปปราศรัยหาเสียงกับชาวบ้านใน หมู่บ้านต่างๆ ในเขตเลือกตั้งสมัยนั้น นายกิตติศักดิ์ไม่รู้ด้วยซ้ำ ไปว่าหมู่บ้านที่เข้าไปปราศรัยนั้นอยู่ในเขตเลือกตั้งที่ตนสมัคร รับเลือกตั้งหรือไม่? เพราะพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ลงสมัครครั้งแรก เป็นเขตใหญ่ครอบคลุมอำเภอฝั่งตะวันตกของจังหวัดอุดรธานี 8 อำเภอตั้งแต่อำเภอนายูง อำเภอน้ำโสม อำเภอบ้านผือ อำเภอสุวรรณคูหา อำเภอนากลาง อำเภอหนองบัวลำภู อำเภอ ศรีบุญเรือง และอำเภอโนนสัง ซึ่งบางครั้งเลยไปปราศรัยถึง หมู่บ้านในเขตเลือกตั้งจังหวัดขอนแก่นบ้าง จังหวัดเลยบ้าง จังหวัดหนองคายบ้าง ทั้งนี้ทั้งนั้นเขตเลือกตั้งที่ลงสมัครรับ เลือกตั้งครั้งแรกนั้นเป็นพื้นที่ที่ไม่ค่อยคุ้ยเคยมาก่อน เพราะ ปกตินายกิตติศักดิ์จะอยู่ที่อำเภอเมืองอุดรธานี แต่เหตุที่ ตัดสินใจลงเขตเลือกตั้งนี้เพราะอาศัยฐานเสียงจากตระกูล ฝ่ายภรรยาคือตระกูล “ศรีสวัสดิ์” ซึ่งเป็นตระกูลใหญ่และเป็นที่ รู้จักของชาวอำเภอบ้านผือ และอำเภอบ้านผือก็เป็นอำเภอใหญ่ ที่มีจำนวนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงมากกว่าสองหมื่นคะแนน และสมัยนั้นหากผู้สมัครคนใดสามารถทำคะแนนได้เกิน หนึ่งหมื่นห้าพันคะแนนก็จะได้เป็นผู้แทนราษฎรแล้ว ซึ่งในการ ลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งแรกนั้นนายกิตติศักดิ์ได้คะแนนกว่า สามหมื่นห้าพันคะแนน โดยได้คะแนนเฉพาะที่อำเภอบ้านผือ หมื่นเก้าพันกว่าคะแนน สามารถเอาชนะคู่แข่งคนอื่นๆ ได้รับ 108

ข้อมูลนักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู เลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรสมัยแรก (กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์, 2555) สำหรับวิธีการเดินทางปราศรัยหาเสียงนั้น นายกิตติศักดิ์ จะวางแผนดำเนินการโดยให้ทีมงานเข้าไปประชาสัมพันธ ์ บอกคนในหมู่บ้านให้รู้ล่วงหน้าว่าจะมีผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ผู้แทนฯ จะมาปราศรัย พบประพี่น้องในหมู่บ้าน หลังจากนั้น ก็เริ่มให้ทีมงานจัดเกณฑ์ชาวบ้านมานั่งฟังการปราศรัย โดยการ ให้ธนบัตรใบละสิบบาทสมัยนั้นเพื่อดึงดูดใจให้คนมาฟัง จากที่ ไม่มีใครให้ความสนใจก็เริ่มทยอยมามากขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มลาน ปราศรัยทุกคืน ประกอบกับนายกิตติศักดิ์เป็นผู้ที่มีความ สามารถในการใช้วาทศิลป์ และสำนวนโวหารในการปราศรัยให้ ชาวบ้านทั่วไปรู้เรื่องราว เหตุและผลที่ตนตัดสินใจลงสมัครเป็น ผู้แทนฯ ซึ่งจากประสบการณ์ส่วนตัวของนายกิตติศักดิ์ได้เล่าให้ ผู้เขียนฟังว่า ครั้งหนึ่งเคยเข้าไปปราศรัยในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในเขตภูพานแถวอำเภอโนนสัง ซึ่งเป็นพื้นที่ซึ่งตกอยู่ภายใต้ อิทธิพลของบุคคลที่ถูกทางการเรียกสมัยนั้นว่า ผู้ก่อการร้าย คอมมิวนิสต์ หรือ ผกค. ตนและทีมงานต้องใช้ตะเกียงเจ้าพายุ จุดไฟให้สว่างเพื่อให้ชาวบ้านที่มาฟังตนปราศรัยได้เห็นหน้าตน ขณะที่ปราศรัยก็ปรากฏว่ามีเสียงชักปืนกันเกิดขึ้น และเมื่อพูด ไปประมาณ 10 นาที คณะ ผกค. ก็เข้ามายืนล้อมวงที่ตนกำลัง ปราศรัยประมาณ 500 นาย ซึ่งขณะนั้นนายกิตติศักดิ์ก็คิดว่า ตัวเองคงไม่อาจมีชีวิตรอดถึงตอนเช้าแน่ จึงปราศรัยออกไปว่า “ถ้าจะมีการทำร้ายชีวิตกันจริงๆ ขอโอกาสให้ได้พูดกับชาวบ้าน ที่มาฟังการปราศรัยในคืนนั้นก่อน” ทันใดนั้นหัวหน้าคณะ ผกค. ในพื้นที่ก็ได้อนุญาตให้นายกิตติศักดิ์ทำการปราศรัยต่อไป 109

นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู นายกิตติศักดิ์ได้กล่าวปราศรัยด้วยประโยคที่ว่า (กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์, 2555) “...เกิดมาเป็นคน ไม่รักประเทศชาติ ไม่รักพระมหา- กษัตริย์ ไม่รักประชาชน อย่าเกิดเลย ผมเป็นคนไทยผม ต้องรัก แต่นโยบายและการกระทำนั้น คุณ (ผู้ก่อการร้าย คอมมิวนิสต์) กับผมต่างกัน คุณก็รู้พรรคชาติไทยคือพรรคของ นายทุนกับขุนศึก ของคุณใช้คอมมูน เอาแต่คน ดูแลแต่คน แต่ของผมมีทั้งทุนมีทั้งขุนศึก เป้าหมายเดียวกันของคุณกับผม คือ ทำให้ประเทศชาติเจริญ แต่การที่จะทำให้ประเทศเจริญเรา ต้องใช้ทุน ยกตัวอย่าง สะพานที่ผมเข้ามานี้ มันเป็นไม้ พอมัน หักพวกคุณก็เอาไม้ไปซ่อมให้พอเดินข้ามได้ รถผมที่เข้ามาก็ตก ร่องไม้ที่คุณไม่ได้ซ่อม เอาอย่างงี้ดีกว่าเรามาแข่งกันว่าใครจะ ทำให้ประเทศชาติเจริญกว่ากัน” เมื่อกล่าวปราศรัยด้วยประโยคดังกล่าวจบ หัวหน้า ผกค. ที่ยืนฟังอยู่ก็ออกมาแล้วขอจับมือ และทั้งสองก็ถาม โต้ตอบกันไปกันมา สุดท้ายเป็นคนเกิดปีเดียวกัน เลยตกลงที่จะ เป็น “เสี่ยว” (เป็นเพื่อนตายกัน) กันซึ่งภายหลังหัวหน้า ผกค. ได้ช่วยนายกิตติศักดิ์หาเสียงในเขตอิทธิพลของตน จนทำให้ นายกิตติศักดิ์ได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่งในเขตเลือกตั้งจังหวัด อุดรธานีในการเลือกตั้งครั้งนั้นด้วย บทบาททางการเมือง นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ ลงสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว 14 ครั้ง ได้รับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 13 สมัยซึ่งเรียงลำดับดังนี้ 110

ข้อมูลนักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู คร้ังแรก การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 12 เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2522 นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ลงสมัครรับ เลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดอุดรธานี สังกัดพรรคชาติไทย ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรก คร้ังที่สอง การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 13 เมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2526 นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ลงสมัครรับ เลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดอุดรธานี สังกัดพรรคชาติไทย ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 2 ครั้งท่ีสาม การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 14 เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2529 นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ลงสมัครรับ เลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดอุดรธานี สังกัดพรรคชาติไทย ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 3 คร้ังที่ส่ี การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 15 เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2531 นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ลงสมัครรับ เลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดอุดรธานี สังกัดพรรคชาติไทย ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 4 ครั้งท่ีห้า การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 16 เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ลงสมัครรับ เลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดอุดรธานี สังกัดพรรคชาติไทย ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 5 หลังจาก ได้รับการเลือกตั้งมีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีทำการบริหาร ประเทศ นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ ได้รับพระราชทาน โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม โดยมี 111

นักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู นายประยุทธ ศิริพานิช (ส.ส.มหาสาคาม) เป็นรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงฯ และมีพลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี (17 เมษายน พ.ศ.2535 – 24 พฤษภาคม พ.ศ.2535) คร้ังท่ีหก การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 17 เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2535 นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ลงสมัครรับ เลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดอุดรธานี สังกัดพรรคชาติไทย ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 6 คร้ังท่ีเจ็ด การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 18 เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2538 ภายหลังมีการจัดตั้งจังหวัดหนองบัวลำภู แล้ว นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ ได้หันมาลงสมัครรับ เลอื กตง้ั ในเขตเลอื กตง้ั จงั หวดั หนองบวั ลำภู เพราะเขตเลอื กตง้ั น้ี พื้นที่บางส่วนเคยเป็นส่วนหนึ่งของเขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดอุดร ธานีมาก่อน ในสังกัดพรรคชาติไทยตามเดิม แต่ด้วยความเป็น เขตเลือกตั้งใหม่ ซึ่งนายกิตติศักดิ์ ไม่ค่อยมีพื้นที่ฐานเสียงเป็น ของตนมาก่อนเพราะฐานเสียงของนายกิตติศักดิ์ คือ อำเภอ บ้านผือ ซึ่งได้จัดเป็นเขตเลือกตั้งที่ 3 จังหวัดอุดรธานี มีผู้สมัคร ที่เป็นกระดูกชิ้นโตอย่างนายวิเชียร ขาวขำ จากพรรคกิจสังคม, นายสรุ ชาติ ชำนาญศลิ ป์ จากพรรคเสรธี รรม หรอื นายโชคสมาน ลีลาวงษ์ จากพรรคกิจสังคม เป็นต้น ซึ่งหากจะกลับไปลงสมัคร รับเลือกตั้งในเขตดังกล่าว โอกาสที่จะชนะการเลือกตั้งก็มีน้อย จึงมาลงสมัครในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภูซึ่งผลการเลือกตั้ง ก็ปรากฏว่านายกิตติศักดิ์สอบตกเป็นครั้งแรก ซึ่งแพ้ผู้ที่ได้รับ การเลือกตั้งที่มีฐานเสียงในฐานะมีภูมิลำเนาเป็นชาวจังหวัด หนองบัวลำภู อย่าง นายไพรัช นุชิต จากพรรคกิจสังคม 112

ข้อมูลนักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู นายไชยา พรหมา จากพรรคชาติพัฒนา และนายสรชาติ สุวรรณพรหม จากพรรคความหวังใหม่ คร้ังท่ีเก้า การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 19 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 หลังจากไม่ได้รับเลือกตั้งใน พ.ศ. 2538 นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ยังทำกิจกรรมทางการเมืองใน ส่วนกลางในฐานะแกนนำคนสำคัญของพรรคชาติไทยในพื้นที่ ภาคอีสาน ซึ่งหลังจากนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค ชาติไทยและนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ประกาศยุบสภาเพื่อจัดให้ มีการเลือกตั้งใหม่ ใน พ.ศ.2539 นายกิตติศักดิ์ซึ่งเคยอยู่พรรค ชาติไทย ได้ร่วมกับกลุ่มของนายเสนาะ เทียนทอง ซึ่งเป็น หัวหน้ากลุ่มการเมืองใหญ่ที่ใช้ชื่อว่า “วังน้ำเย็น” ที่เคยช่วย นายบรรหาร ศิลปอาชาจัดตั้งรัฐบาลใน พ.ศ.2538 จนประสบ ความสำเร็จ ย้ายมาเข้าร่วมกับพรรคความหวังใหม่ของพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ พร้อมกับสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มวังน้ำเย็นและ ลงสมัครรับเลือกตั้ง ในเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดหนองบัวลำภู สังกัดพรรคความหวังใหม่ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรสมัยที่ 7 คร้ังที่สิบ การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 20 เมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 หลังจากอยู่ในวาระสมัยที่ 7 ต่อมา นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอื่น อีกจำนวน 86 คนได้ประกาศลาออกจากสมาชิกภาพ ส.ส. เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2543 เพื่อกดดันให้นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาและให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ แต่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ก็ยืดอายุของสภาต่อไปได้อีก 113

นักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู 6 เดือนจึงประกาศยุบสภา ในช่วงที่ลาออกแล้วนายกิตติศักดิ์ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนอื่นๆ ที่ลาออกพร้อมกันได้ย้าย เข้าไปร่วมกับพรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นใหม่ในชื่อว่า “พรรค ไทยรักไทย” ของพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้การ เลือกตั้งครั้งนี้นายกิตติศักดิ์ ลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้ง ที่ 1 จังหวัดหนองบัวลำภู สังกัดพรรคไทยรักไทย ได้รับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 8 ครั้งที่สิบเอ็ด การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 21 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2548 นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ลงสมัคร รับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดหนองบัวลำภู สังกัดพรรค ไทยรักไทย ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยที่ 9 ครั้งท่ีสิบสอง การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 22 เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ.2549 เมื่อคณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เห็นว่า ส.ส.กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดหนองบัวลำภูมีความอาวุโสมากแล้ว เพราะขณะนั้น มีอายุย่างเข้าปีที่ 70 แล้วจึงพยายามผลักดัน ส.ส.กิตติศักดิ ์ ให้ไปอยู่ในระบบบัญชีรายชื่อ (Party list) ของพรรคไทยรักไทย หลังจากนั้น ส.ส. กิตติศักดิ์ก็เสนอพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคให้พิจารณาตัว นายพิษณุ หัตถสงเคราะห์ บุตรชายสมควรให้เป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบแบ่งเขต เลือกตั้งแทน ซึ่งการลงในระบบบัญชีรายชื่อ (Party list) นายกิตติศักดิ์ก็อยู่ในลำดับบัญชีรายชื่อที่ได้รับการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งถือเป็นสมัยที่ 10 ซึ่งต่อมา มีการกล่าวหาว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่มีความบริสุทธิ์ยุติธรรม 114

ข้อมูลนักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู ตามวิถีประชาธิปไตยจึงมีคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญประกาศให้การ เลือกตั้งครั้งนี้เป็นโมฆะ หลังจากนั้นสถานการณ์ทางการเมือง ในระบอบประชาธิปไตยก็เกิดวิกฤตการณ์สำคัญอันนำมาสู่การ รัฐประหารของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คปค. เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 มีการยกเลกิ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั ร ไทย พ.ศ. 2540 จนนำไปสู่การตั้งรัฐบาลชั่วคราวและร่าง รัฐธรรมนูญเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ขึ้นในปี 2550 คร้ังท่ีสิบสาม การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 23 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 การลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้นายกิตติศักดิ์ ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบสัดส่วนของพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหม่ที่ตั้งขึ้นเพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ ทางการเมืองของพรรคไทยรักไทยซึ่งถูกยุบพรรคไป ในจังหวัด สัดส่วนกลุ่มที่ 3 ประกอบด้วย จังหวัดอำนาจเจริญ, จังหวัด มุกดาหาร, จังหวัดนครพนม, จังหวัดสกลนคร, จังหวัด กาฬสินธุ์, จังหวัดมหาสารคาม, จังหวัดหนองคาย, จังหวัด อุดรธานี, จังหวัดเลย และ จังหวัดหนองบัวลำภู นายกิตติศักดิ์ อยู่ในลำดับบัญชีรายชื่อสัดส่วนลำดับที่ 5 ซึ่งได้รับการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งถือเป็นสมัยที่ 11 คร้ังที่สิบส่ี การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 24 เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 การลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ นายกิตติศักดิ์ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อของ พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหม่ที่ตั้งขึ้นเพื่อสืบทอด เจตนารมณ์ทางการเมืองของพรรคพลังประชาชนซึ่งถกู ยุบพรรค 115

นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู ใน พ.ศ. 2551 นายกิตติศักดิ์อยู่ในลำดับบัญชีรายชื่อพรรค เพื่อไทยลำดับที่ 65 ซึ่งภายหลังการเลือกตั้งมีการแต่งตั้ง คณะรฐั มนตรที ำการบรหิ ารประเทศ นายกติ ตศิ กั ด์ิ หตั ถสงเคราะห์ ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม โดยมีพลอากาศเอกสุกำพล สุวรรณทัต เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ และมีนางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี (9 สิงหาคม พ.ศ. 2554 – มกราคม พ.ศ.2555) และหลังจากพ้นตำแหน่งรัฐมนตรี นายกิตติศักดิ์ก็ยังคงดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จนถึงปัจจุบัน (กันยายน พ.ศ. 2555) นอกจากนายกิตติศักดิ์จะได้เป็นผู้แทน ฯ ทั้งหมด 13 สมัย ได้เป็นรับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี 2 ครั้ง ได้รับ เลือกตั้งครั้งแรกตั้งแต่ในปี 2522 ซึ่งได้ทำหน้าที่ในบทบาท สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในคณะกรรมาธิการชุดต่างๆ ของสภา ผู้แทนราษฎร ได้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมาธิการ คมนาคม ซึ่งถือเป็นอีสานคนแรกที่ได้ดำรงตำแหน่งประธาน คณะกรรมาธิการสามัญของสภาผู้แทนราษฎร นอกจากนี้ นายกิตติศักดิ์ ยังเป็นผู้อาวุโสทางการเมืองที่รู้จักเทคนิคและ การทำงานในสภาผู้แทนราษฎรเป็นอย่างดี จะมีนักการเมือง หน้าใหม่ๆ เข้าขอคำปรึกษาและคำแนะนำจากนายกิตติศักดิ์ เปน็ ประจำ ซึง่ จากประสบการณ์การทำงานในสภาผแู้ ทนราษฎร มาอย่างยาวนานนี้ ทำให้นายกิตติศักดิ์ถึงกับกล่าวกับผู้เขียนว่า “นี่ (อาคารรัฐสภา) คือบ้านหลังที่สองของฉัน” นั้นเอง (กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์, 2555) 116

ข้อมูลนักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู นายพิชาญ พิบูลย์วัฒนวงศ์ ประวัติโดยย่อ นายพิชาญ พิบูลวัฒนวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ.2485 ที่บ้านเลขที่ 7 ถนนนิตตโย ตำบล หนองหาน อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี เป็นบุตรของ นายพิบูลย์ และนางคำบ่อ พิบูลย์วัฒนวงศ์ (ข้อมูลสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรไทย, 2544) นายพิชาญสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีทางด้าน รัฐศาสตร์ จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใน พ.ศ. 2507 หลังจากนั้นก็สามารถสอบบรรจุรับราชการ ในตำแหน่งพนักงานปกครองระดับ 3 (ปลัดอำเภอ) จนกระทั้ง เจริญเติบโตและก้าวหน้าในตำแหน่งราชการเป็นนายอำเภอ และลาออกในตำแหน่งปลัดจังหวัดหนองบัวลำภู เพื่อสมัครรับ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน พ.ศ.2539 เส้นทางสู่การเมือง นายพิชาญ พิบูลย์วัฒนวงศ์ เนื่องจากดำรงตำแหน่ง ข้าราชการสังกัดกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยซึ่งมี หน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชนในพื้นที่โดยเฉพาะ จังหวัดหนองบัวลำภูที่มีการจัดตั้งขึ้นใน พ.ศ.2536 นายพิชาญ ได้ดำรงตำแหน่งนายอำเภอหลายอำเภอในจังหวัดหนองบัวลำภู เช่น นากลาง ศรีบุญเรือง สุวรรณคูหา ก่อนที่จะขึ้นดำรง ตำแหน่งเป็นปลัดจังหวัดหนองบัวลำภู (ไพรัช นุชิต, 2555) การทำงานในฐานะผู้ปกครองดแู ลและรักษาความสงบเรียบร้อย ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทำให้นายพิชาญเป็นที่รู้จักและคุ้นเคย ของบรรดาข้าราชการ กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน และนักการเมืองบาง 117

นักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู คนในพื้นที่ เมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2539 นายพิชาญจึงได้รับการแนะนำจากนักการเมือง จังหวัดอุดรธานีรายหนึ่งให้สมัครรับเลือกตั้งในสังกัดพรรค ความหวังใหม่ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีกระแสแรงมากในพื้นที่ ภาคอีสานขณะนั้น ประกอบกับพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภ ู มีผู้สมัครรับเลือกตั้งในทีมพรรคความหวังใหม่เพียง 2 คนได้แก่ นายสรชาติ สุวรรณพรหม เจ้าของพื้นที่เดิม และนายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ ที่ย้ายมาจากพรรคชาติไทย ซึ่งยังขาดผู้สมัคร อีก 1 คน ทำให้นายพิชาญสนใจที่ลงรับเลือกตั้งในนามพรรค ความหวังใหม่ซึ่งใช้ฐานเสียงที่สำคัญคือ กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ในพื้นที่ซึ่งเคยประกาศจะสนับสนุนพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ และผู้สมัครพรรคความหวังใหม่ให้ได้รับการเลือกตั้งเพราะ ความชื่นชอบพลเอกชวลิตสมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลของนายชวน หลีกภัย ที่สามารถ ปกปักษ์รักษาตำแหน่งกำนัน – ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งอยู่คู่สังคมไทย มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ให้คงไว้ต่อไป หลังจากมีการเสนอให้ ยกเลิกตำแหน่งกำนัน - ผู้ใหญ่บ้านภายหลังการประกาศใช้ พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.2537 ทำให้พลเอกชวลิตกลายเป็นขวัญใจกำนัน- ผู้ใหญ่บ้านในสมัยนั้น และสโลแกนที่พรรคความหวังใหม่ใช้ หาเสียงในพื้นที่ภาคอีสานสมัยนั้นคือ “ปั้นข้าวเหนียวให้ติด เลือกพ่อใหญ่ชวลิตเป็นนายกรัฐมนตรี” โดยเสนอโครงการ “อีสานเขียว” ที่จะขจัดความยากจนให้หมดไปจากภาคอีสาน (สรชาติ สุวรรณพรหม, 2555) กอร์ปกับการที่นายพิชาญ รับราชการเป็นผู้บังคับบัญชากำนัน-ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่มาเกือบ 118

ข้อมูลนักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู ทุกอำเภอ ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้นายพิชาญคือ “ม้ามืด” ในสนามเลือกตั้งจังหวัดหนองบัวลำภู สามารถพิชิตนักการเมือง เจ้าของพื้นที่อย่างนายไพรัช นุชิต จากพรรคกิจสังคม และ นายไชยา พรหมา จากพรรคชาติพัฒนา ได้เป็นผู้แทนราษฎร ครั้งแรก (กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์, 2555) บทบาททางการเมือง นายพชิ าญ พบิ ลู ยว์ ฒั นวงศเ์ ปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร 2 สมัย สมัยแรก (17 พฤศจิกายน 2539 – 27 มิถุนายน 2543) ในสังกัดพรรคความหวังใหม่ และสมัยที่ 2 (6 มกราคม 2544 – 5 มกราคม 2548) ในระบบบัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทย ซึ่งการแสดงบทบาทของนายพิชาญในฐานะสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรนั้นมีหลายอย่าง เช่น นายพิชาญมีส่วนสำคัญ ตามที่ปรากฏในเอกสารการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในการ กระทู้ถามที่ 265 ร. เรื่องการจัดตั้งโรงพยาบาลนาวัง อำเภอ นาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งนายพิชาญได้ตั้งกระทู้ถาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2545 ถึงความก้าวหน้าของแผนนโยบายที่จัดสร้าง โรงพยาบาลนาวัง อำเภอนาวังเพื่อบริการสาธารณสุขแก่ ประชาชนในพื้นที่อำเภอนาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งทำให้ คณะรัฐมนตรีอนุมัติงบประมาณจัดสร้างให้แก่ประชาชนใน พื้นที่ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ.2545 (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2545) หลังจากหมด วาระทางการเมืองใน พ.ศ.2548 นายพิชาญได้มาช่วย บริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในตำแหน่ง 119

นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีนายเฉลิมพล สนิทวงศ์ชัย อดีตนักการเมืองหลายสมัยของจังหวัดอุดรธานี และรัฐมนตรีหลายกระทรวง ดำรงตำแหน่งนายกองค์การ บริหารส่วนจังหวัด จนกระทั่งหมดวาระการดำรงตำแหน่ง ใน พ.ศ.2551 (องค์การบริการส่วนจังหวัดอุดรธานี, 2551) นายธวัชชัย เมืองนาง ประวัติโดยย่อ นายธวัชชัย เมืองนาง เกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ.2498 ที่บ้านหมากเลื่อม ตำบลลำภู อำเภอ หนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี เป็นบุตรของนายมี นางตึ้ง เมืองนาง ซึ่งประกอบอาชีพทำนาส่งเสียเลี้ยงดูลูกๆ ทั้ง 5 คน รวมทั้งนายธวัชชัยน้องคนสุดท้องให้ได้รับราชการและมีชื่อเสียง ในสังคม นายธวัชชัยสมรสกับนางสุมาลี เมืองนาง อดีต ข้าราชการครูและปัจจุบัน (2555) เป็นรองนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดหนองบัวลำภู (ปีที่ 8) มีบุตร-ธิดาด้วยกันจำนวน 2 คน ซึ่งปัจจุบันบุตรชาย คือ นายสัญญพงศ์ เมืองนางชัยวุฒ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หนองบัวลำภู อำเภอเมือง เขต 7 (พื้นที่ตำบลนามะเฟือง และ ตำบลบ้านขามบางหมู่บ้าน) (ธวัชชัย เมืองนาง,2555) นายธวัชชัย เมืองนาง จบการศึกษาขั้นพื้นฐานในระดับ ม.ศ.3 จากโรงเรียนศรีหนองบัววิทยา อำเภอหนองบัวลำภู ไปศึกษาต่อระดับประกาศนียบัตร (ปกศ.สูง) สายวิทยาศาสตร์ ที่วิทยาลัยครูอุดรธานี อำเภอเมืองอุดรธานี หลังจากนั้น มาบรรจุเป็นครูประชาบาลที่โรงเรียนบ้านโคกกลาง ตำบลป่าไม้ งาม อำเภอหนองบัวลำภู ในปี 2519 จากนั้นใน พ.ศ. 2521 120

ข้อมูลนักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู ได้ลาศึกษาต่อระดับปริญญาตรีด้านการศึกษา (กศ.บ.) ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตพิษณุโลก จากนั้น ก็กลับเข้ารับราชการครูในพื้นที่ต่อโดยประจำการสอนที่โรงเรียน บ้านเสาเล้า ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัวลำภู หลังจากนั้น อีก 2 ปีย้ายไปประจำการสอนที่โรงเรียนบ้านนาอ่าง ตำบล นามะเฟือง อำเภอหนองบัวลำภู จนถึง พ.ศ.2528 ได้สมัครสอบ เลื่อนขั้นในตำแหน่งศึกษานิเทศก์อำเภอหนองบัวลำภู สังกัด สำนักงานการประถมศึกษาอำเภอหนองบัวลำภู ในระหว่างที่ เป็นผู้บริหารได้เข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโท สาขาการบริหาร การศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่นด้วย ซึ่งอยู่ในตำแหน่ง ศึกษานิเทศก์จนกระทั่งลาออก เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิก วุฒิสภาซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2543 (ธวัชชัย เมืองนาง, 2555) เส้นทางสู่การเมือง นายธวัชชัย เมืองนาง ขณะรับราชการครูและเป็น ผู้บริหารครูระดับอำเภอนั้น ได้มีโอกาสเป็นผู้แทนของขา้ ราชการ ครูซึ่งมีการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ เช่น คณะกรรมการ อกค. จ.อดุ รธานีซง่ึ มหี น้าท่ีพจิ ารณาโยกย้ายตำแหน่งข้าราชการ ครูในจังหวัด, คณะกรรมการ อปจ. ซึ่งมีหน้าที่พิจารณา งบประมาณทางการศึกษาให้แก่โรงเรียนในจังหวัด, เป็นผู้แทน ครูในกรรมการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูจังหวัดอุดรธานี และเป็น กรรมการในชมรมและสมาคมที่เกี่ยวกับครูประชาบาลใน จังหวัดอุดรธานีซึ่งตำแหน่งต่างๆเหล่านี้มาจากการเลือกตั้ง จากบรรดาข้าราชการครูทั้งสิ้น และบรรดาครูที่สนับสนุนให้ นายธวัชชัยเข้าไปเป็นผู้แทนฯ ในคณะกรรมการครูต่างๆ ของ 121

นักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานีนั้นส่วนใหญ่เป็นครทู ี่อยู่ในพื้นที่ที่มีการจัดตั้งขึ้น เป็นจังหวัดหนองบัวลำภูปัจจุบัน (ธวัชชัย เมืองนาง, 2555) เหตุผลที่ลงสมัครรับเลือกตั้งทั่วไปสมาชิกวุฒิสภา ครั้งแรก เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2543 เนื่องจากมีเพื่อนครูที่ สนิทกันหลายคนยุยงให้ลงสมัคร เพราะเห็นว่าเมื่อมีการ เลอื กตง้ั ผแู้ ทนฯครใู นตำแหนง่ ตา่ งๆ ตามทก่ี ลา่ วมานน้ั นายธวชั ชยั ก็ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนฯครูทุกครั้ง ซึ่งก็ทำหน้าที่คล้าย ผู้แทนราษฎรของครูทั้งจังหวัด เป็นปากเป็นเสียงให้กับครูใน จังหวัดอุดรธานี โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ที่มีการจัดตั้งเป็นจังหวัด หนองบัวลำภูมาตลอด ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้เพื่อนคร ู ทั้งจังหวัดจึงสนับสนุนนายธวัชชัยให้ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ว. ด้วยคะแนนเสียงกว่าแปดหมื่นคะแนนทิ้งห่างผู้สมัครที่ได้ คะแนนอันดับสองกว่าห้าหมื่นคะแนน (ธวัชชัย เมืองนาง, 2555) กลยุทธ์ท่ีใช้ในการหาเสียง จากการที่บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พ.ศ.2540 ห้ามมิให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ทำการหาเสียงในลักษณะการพูดนโยบาย หรือการช่วยเหลือ หลังจากได้รับเลือกตั้งให้สามารถทำได้เพียงแนะนำตัวว่า เป็นใคร มาจากไหน ประกอบอาชีพอะไร มีผลงานหรือ ประสบการณ์ต่างๆ อะไรบ้าง นายธวัชชัย เมืองนาง ก็ใช้กลวิธี การแนะนำตัวซึ่งส่วนใหญ่ก็ไปพบเพื่อนครูในโรงเรียนต่างๆ ซึ่งมีกว่า 300 แห่งในจังหวัดหนองบัวลำภู ให้ช่วยพาไปพบและ แนะนำให้ชาวบ้านที่โรงเรียนนั้นๆ ให้บริการอยู่ สนับสนุน ตนเอง ซึ่งครูคือคนที่ชาวบ้านให้ความเคารพในฐานะผู้มีความรู้ 122

ข้อมูลนักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู ในหมู่บ้าน ครูเป็นพ่อแม่คนที่ 3 ของลูกหลานชาวบ้าน หากครู ขอความช่วยเหลือใดๆ ชาวบ้านส่วนใหญ่จะเกรงใจครูและให้ ความช่วยเหลือตามที่ครูขอร้อง รวมทั้งการช่วยเหลือในการ เลือกตั้งด้วย นอกจากนี้อุปกรณ์ที่ประกอบในการเข้าพบปะ ชาวบ้านได้แก่ แผ่นพับแนะนำผู้สมัคร และนอกจากกลุ่มเพื่อน ครูที่ช่วยเป็นหลักในการเลือกตั้งแล้ว อีกกลุ่มหนึ่งที่ช่วย สนับสนุนในการเลือกตั้งไม่แพ้กันคือ ญาติพี่น้อง ซึ่งในฐานะที่ นายธวัชชัยเป็นคนที่เกิดบ้านหมากเลื่อม ตำบลลำภู และเป็น ลูกเขยชาวตำบลนามะเฟือง ทำให้มีญาติที่อยู่ในอำเภอเมือง หนองบัวลำภูค่อนข้างมาก ทำให้ทั้งเพื่อนครูและญาติพี่น้อง ช่วยในการหาเสียงและได้รับการเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่งในการ เลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งนายธวัชชัยได้กล่าวกับผู้เขียนถึงปัจจัยที่เป็น กลยุทธ์ที่ทำให้ผู้สมัครจะได้รับการเลือกตั้งในพื้นที่จังหวัด หนองบัวลำภูจะต้องประกอบด้วยปัจจัย 3 ประการ ได้แก่ (ธวัชชัย เมืองนาง,2555) 1) ญาติพี่น้องมีจำนวนมาก 2) เพื่อนฝูงหรือคนรู้จักมีจำนวนมาก และ 3) เงิน ซึ่งต้องแจกให้เท่าหรือมากกว่าผู้สมัครคนอื่น ในการนี้หมายความว่าปัจจัยนี้เป็นตัวแปรที่ใช้ประกอบการ ตัดสินใจของผู้มีสิทธิลงคะแนน บทบาททางการเมือง เมื่อได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาชุดแรกที่มา จากการเลอื กตง้ั (4 มนี าคม พ.ศ.2543 – 27 กรกฎาคม พ.ศ.2549) 123

นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู นายธวัชชัยก็มีบทบาทช่วยงานในการเป็นกรรมาธิการสามัญ ในคณะต่างๆ ของวุฒิสภาซึ่งมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ในทุกๆ 2 ปี เช่น มีส่วนช่วยในการผลักดันร่าง พรบ. เกี่ยวกับ การศึกษาของวุฒิสภา เป็นเลขานุการคณะกรรมาธิการ การศึกษาของวุฒิสภา ผลักดันเรื่องการให้โรงเรียนเป็น นิติบุคคลที่สามารถบริหารงบประมาณของตนได้เอง นอกจาก นั้นก็เป็นกรรมาธิการการพาณิชย์, กรรมาธิการการงบประมาณ, กรรมาธิการสิ่งแวดล้อม, กรรมาธิการการมีส่วนร่วมของ ประชาชน เป็นต้น (ธวัชชัย เมืองนาง, 2555) บทบาทปัจจุบัน นายธวชั ชยั เมอื งนาง หลงั จากหมดวาระการดำรงตำแหนง่ วุฒิสภา ก็ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี 2550 แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ อย่างไรก็ตาม นายธวัชชัยก็ยัง ชว่ ยเหลอื สงั คมในการทำงานดา้ นตา่ งๆ โดยเฉพาะดา้ นการศกึ ษา ของจังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งมีความถนัดเป็นพิเศษ เช่น เป็น กรรมการสภาวทิ ยาลยั พชิ ญบณั ฑติ , เปน็ ประธานคณะกรรมการ เขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาหนองบวั ลำภเู ขต 1 พจิ ารณาเรอ่ื งงบประมาณ ของโรงเรียนในการซ่อมแซมและก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างและวัสดุ ทางการศึกษาของโรงเรียนประถมศึกษาในอำเภอเมือง อำเภอ ศรีบุญเรือง และอำเภอโนนสังกว่า 200 โรงเรียน นอกจากนั้น ยังเป็นที่ปรึกษาสภาเกษตรกรจังหวัดหนองบัวลำภูตาม พระราชบัญญัติสภาเกษตรกรแห่งชาติ นอกนั้นเวลาว่างก็จะ ออกเยี่ยมเยือนเพื่อนครูและให้คำปรึกษาแก่เพื่อนครูที่สนใจเล่น การเมือง เช่น เป็นนายกฯเทศบาล หรือ นายกฯ อบต. เป็นต้น (ธวัชชัย เมืองนาง, 2555) 124

ข้อมูลนักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู นายสามารถ รัตนประทีปพร นายสามารถ รตั นประทปี พร เกดิ เมอ่ื วนั ท่ี 14 พฤศจกิ ายน พ.ศ.2489 ภูมิลำเนาเดิมเป็นชาวจังหวัดเพชรบุรี บิดามารดา เป็นชาวจีนชื่อ นายเซ็ก แซ่ซิ้ง และนางเกียว แซ่แต้ ประกอบ อาชีพค้าขายที่จังหวัดเพชรบุรีและย้ายครอบครัวมาทำการ คา้ ขายทอ่ี ำเภอชมุ แพ จงั หวดั ขอนแกน่ ในปี 2510 และไดล้ งหลกั ปักฐานที่ภาคอีสานจนถึงปัจจุบัน (2555) ในด้านชีวิตครอบครัว นายสามารถสมรสกับนางจุรีลักษณ์ รัตนประทีปพร มีบุตรด้วย กันจำนวน 2 คน ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 259/4-5 หมู่ 13 ตำบลเมืองใหม่ อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู (สามารถ รัตนประทีปพร, 2555) นายสามารถสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที ่ โรงเรียนพรหมานุสรณ์ จังหวัดเพชรบุรี หลังจากนั้นได้ย้ายตาม ครอบครัวเพื่อมาประกอบธุรกิจค้าขายที่อำเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแก่น และ ไปศึกษาต่อปริญญาตรีด้านการบริหารจัดการ ที่ Culumet College มลรัฐอินเดียนา สหรัฐอเมริกา ใน พ.ศ.2519 นอกจากนี้นายสามารถยังศึกษาในระดับปริญญาตรีทางด้าน รัฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และปริญญาโท ด้านสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เส้นทางสู่การเมือง ครอบครัวของนายสามารถ รัตนประทีปพร ได้ย้ายจาก ภูมิลำเนาที่จังหวัดเพชรบุรีเข้ามาประกอบธุรกิจค้าขายในแถบ ภาคอีสานครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2510 โดยมาอยู่ที่ตลาดสุขาภิบาล ชุมแพ อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ในขณะที่นายสามารถได้ 125

นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู ย้ายอยู่ที่ชุมแพได้มีส่วนในการก่อตั้งสโมสรไลออนส์ชุมแพขึ้น ซึ่งถือเป็นการสร้างเครือข่ายการทำงานด้านสังคมให้กับ ชายหนุ่มวัยเพียง 20 ปีเศษให้เป็นที่รู้จักของผู้คนในย่านตลาด การค้าอำเภอชุมแพ หลังจากนั้นในปี 2518 มีการเลือกตั้งทั่วไป สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 และประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2517 นายสามารถซึ่งสนิทสนมกับนายแพทย์กระแส ชนะวงศ์ นักการเมืองและแพทย์หัวก้าวหน้าชาวอำเภอพล จังหวัดขอนแก่น ได้ร่วมกันก่อตั้งพรรคพลังใหม่เพื่อส่งผู้สมัคร รับเลือกตั้งในครั้งนั้น โดยนายสามารถได้รับหน้าที่ให้เป็น เลขานุการส่วนตัวของนายแพทย์กระแส ชนะวงศ์ หัวหน้าพรรค และลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งแรกในสนามเลือกตั้งอำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่นสังกัดพรรคพลังใหม่ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงไปศึกษาระดับปริญญาตรี (สามารถ รัตนประทีปพร, 2555) ขณะที่นายสามารถศึกษาในระดับปริญญาตรีก็ทำงาน ช่วยธุรกิจของครอบครัวไปด้วย เมื่อสำเร็จการศึกษาในระดับ ปริญญาตรีจากสหรัฐอเมริกาแล้วก็เข้าทำงานกับบริษัท Wig International ซึ่งเป็นบรรษัทข้ามชาติด้านเภสัชกรรมที่มาตั้ง สาขาในเมืองไทยใหม่ๆ ขณะที่นายสามารถทำงานอยู่กับ บรรษัทดังกล่าวที่กรุงเทพมหานครก็รู้สึกว่ามันไม่น่าใช่สิ่งที่ตน ชอบ แม้จะได้รับค่าตอบแทนที่มีจำนวนมากก็ตาม เพราะ นายสามารถคิดถึงการเมือง คิดถึงภาพการลงสมัครรับเลือกตั้ง เมื่อ พ.ศ. 2518 หลังจากนั้นจึงตัดสินใจกลับภาคอีสานเพื่อหวัง จะมาสร้างฐานการเมือง และลงสมัครรับเลือกตั้งเหมือน สมัยก่อนที่ตนไปศึกษาต่อ ซึ่งเมื่อกลับมาที่อำเภอชุมแพ 126

ข้อมูลนักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู นายสามารถก็ไม่สามารถอยู่ประกอบธุรกิจที่ชุมแพตามเดิมได้ เพราะกิจการที่ครอบครัวได้เคยร่วมกันทำนั้น บัดนี้ได้ยกกิจการ ดังกล่าวให้น้องชายไปแล้ว นายสามารถเลยคิดว่าตนจะไป แสวงหาพื้นที่ใหม่ในการลงหลักปักฐานสร้างฐานการเมืองขึ้น มาใหม่ ซึ่งในปี 2526 นายสามารถได้เดินทางมาทำธุรกิจ ค้าขายที่ตลาดเมืองใหม่ศรีบุญเรือง อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัด อุดรธานี ซึ่งห่างจากตัวอำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ที่ตนเคยอยู่เพียง 50 กิโลเมตร โดยศรีบุญเรืองขณะนั้นกำลังมี การสร้างตลาดขนาดใหญ่และเพิ่งเปิดทำการใหม่ๆ ประกอบกับ ลักษณะทางพื้นที่และประชากรของอำเภอศรีบุญเรือง คล้ายกับ ลักษณะพื้นที่และประชากรของอำเภอชุมแพ แม้จะอยู่กันคนละ จังหวัดก็ตาม แต่ศรีบุญเรืองก็เป็นอำเภอของจังหวัดอุดรธานี ที่ติดเขตจังหวัดขอนแก่นซึ่งนายสามารถมีประสบการณ์ในการ หาเสียงเมื่อคราวลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อปี 2518 มาก่อน ทำให้ เลือกที่จะลงหลักปักฐานและสร้างชีวิตของตนและครอบครัวขึ้น ที่อำเภอศรีบุญเรือง (สามารถ รัตนประทีปพร, 2555) เมื่อนายสามารถเลือกที่จะลงหลักปักฐานที่อำเภอ ศรีบุญเรืองก็พยายามสร้างเครือข่ายทางสังคมขึ้น เช่น เป็น ผู้ก่อตั้งสโมสรไลออนส์ศรีบุญเรือง เป็นผู้ก่อตั้งชมรมพ่อค้า ตลาดศรีบุญเรือง จัดตั้งกองทุนการศึกษาเพื่อเด็กกำพร้าในเขต อำเภอศรีบุญเรือง รวบรวมกลุ่มพ่อค้าและประชาชนจัดสร้าง ศาลหลักเมืองศรีบุญเรืองขึ้นเพื่อเป็นที่สักการะและศูนย์รวม จิตใจของชาวศรีบุญเรือง นอกจากนี้มีการทำกิจกรรมเพื่อ ช่วยเหลือคนพิการ ซึ่งกิจกรรมทางสังคมต่างๆ ดังกล่าวก็ทำให้ นายสามารถเริ่มเป็นที่รู้จักของประชาชนในตลาดและชาวบ้าน 127

นักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู ในเขตอำเภอศรีบุญเรืองทั่วไป ซึ่งเป็นไปตามความตั้งใจเดิมที่ ย้ายมาอยู่ที่ศรีบุญเรือง เพราะต้องการรับใช้สังคมซักพักหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจลงสนามการเมือง (สามารถ รัตนประทีปพร, 2555) จนกระทั้ง พ.ศ. 2536 ได้มีการประกาศแยกจังหวัด หนองบัวลำภูออกจากจังหวัดอุดรธานี นายสามารถก็เริ่มมอง เห็นโอกาสเพิ่มมากขึ้น จากการประกอบธุรกิจค้าขายที่ขยายตัว เพิ่มขึ้นทำให้ในเรื่องการค้าของจังหวัดได้รับตำแหน่งเป็น เลขาธิการหอการค้าจังหวัดหนองบัวลำภูด้วย เมื่อมีการแยก จังหวัด ก็ต้องมีการแยกเขตอำนาจทางการเมือง โดยในปี 2538 มีการกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัดหนองบัวลำภู ขึ้น นายสามารถหลังจากที่เตรียมพร้อมด้านฐานการเมืองและ สังคมในพื้นที่มาพอสมควรก็ประกาศตัวลงสมัครรับเลือกตั้ง ในเขตอำเภอศรีบุญเรือง ซึ่งปรากฏว่าได้รับเลือกตั้งในสนาม การเมืองครั้งแรก เป็นสมาชิกสภาจังหวัด (สจ.) หลังจากนั้นก็ได้ รับเลือกจาก สจ. ด้วยกันให้นายสามารถดำรงตำแหน่งประธาน สภาจังหวัดหนองบัวลำภู (สามารถ รัตนประทีปพร, 2555) ต่อมาในปี 2542 นายสามารถมีความก้าวหน้าทาง การเมืองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนได้รับเลือกจาก สจ. ด้วยกันให้ดำรง ตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดหนองบัวลำภูซึ่งเหลือ เวลาทำงานในตำแหน่งดังกล่าวอีกประมาณ 1 ปีก่อนหมดวาระ ตามการดำรงตำแหน่ง ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งนักการเมืองท้องถิ่นนั้น ในช่วงปี 2539 – พ.ศ. 2540 เป็นช่วงที่กำลังมีการดำเนินการ 128

ข้อมูลนักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 หรือที่เรา เรียกว่า “รัฐธรรมนูญฉบับฉบับประชาชน” นายสามารถได้ เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของ สภาร่างรัฐธรรมนูญในพื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู ได้มีโอกาส ประชุมและเข้าพบปะกับผู้หลักผู้ใหญ่คนสำคัญๆ เช่น นายอุทัย พิมพ์ใจชน, นายอานันท์ ปันยารชุน ซึ่งมาทำประชาพิจารณ ์ รับฟังความคิดเห็นจากพี่น้องประชาชนที่จังหวัดหนองบัวลำภ ู ในกระบวนการร่างรัฐธรรมดังกล่าวประเด็นหนึ่งที่นายสามารถ ให้ความสนใจคือเรื่องบทบาทของการเป็นสมาชิกวุฒิสภา ที่ปรากฏในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญซึ่งกำหนดที่มาไว้ให้มา จากการเลือกตั้งในจังหวัดต่างๆ แทนการแต่งตั้งบุคคล ดังที่เช่นเคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ต่อมาในช่วง พ.ศ. 2541 – พ.ศ. 2542 เมื่อได้รับเลือกให้เป็นนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดก็มีโอกาสได้เดินทางไปเยี่ยมเยือนพี่น้องประชาชน และรับรู้ปัญหาความต้องการของประชาชนในทุกอำเภอ ไม่ใช่ อำเภอศรีบุญเรืองดังเช่นแต่ก่อน ทำให้นายสามารถเกิด ความคิดว่าหน้าที่ของตนที่ทำอยู่นั้นก็คือการทำหน้าที่แทนคน ทั้งจังหวัด ดังนั้นหลังจากรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวประกาศให้ มีผลบังคับใช้ และได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปสมาชิก วฒุ สิ ภาขน้ึ ในวนั ท่ี 4 มนี าคม พ.ศ.2543 นายสามารถจงึ ตดั สนิ ใจ ลาออกก่อนครบวาระตามตำแหน่ง และลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สมาชิกวุฒิสภา ซึ่งจัดการเลือกตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศ ในเขตเลือกตั้งจังหวัดหนองบัวลำภู และสามารถเอาชนะคู่แข่ง คนอื่นๆ มีคะแนนเข้ามาเป็นอันดับ 2 รองจากนายธวัชชัย เมืองนาง ได้เป็นสมาชิกวุฒิสภาชุดแรกของประเทศไทย 129

นักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ซึ่งจากเส้นทางชีวิต การเมืองของนายสามารถ รัตนประทีปพร ตามที่ลำดับมาจะ ทำให้เห็นว่านายสามารถเป็นคนหนึ่งที่ค่อยๆ วางแผนที่จะขยับ ฐานการเมืองของตน จากการเมืองท้องถิ่นไปสู่การเมืองใน ระดับชาติ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จได้เป็นสมาชิกวุฒิสภา ตัวแทนจากจังหวัดหนองบัวลำภู (สามารถ รัตนประทีปพร, 2555) กลยุทธ์ที่ใช้ในการหาเสียง จากการที่บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พ.ศ.2540 ห้ามมิให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ทำการหาเสียงในลักษณะการพูดนโยบายหรือการช่วยเหลือ หลังจากได้รับเลือกตั้ง ให้สามารถทำได้เพียงแนะนำตัวว่า เป็นใคร มาจากไหน ประกอบอาชีพอะไร มีผลงานหรือ ประสบการณ์ต่างๆ อะไรบ้าง สำหรับกลยุทธ์ที่ใช้ในการหาเสียง ในการเลือกตั้งของนายสามารถ คือการเข้าถึงชาวบ้าน เข้าไปหาถึงในหมู่บ้านซึ่งคุ้ยเคยพื้นที่มาแล้วหลังจากเป็น นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งจะมีกลุ่มเพื่อนสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดในอำเภอต่างๆ ที่เป็นเครือข่าย ให้ความช่วยเหลือในการฝากตนให้ชาวบ้านช่วยสนับสนุน นอกจากนี้ยังมีการติดป้ายโปสเตอร์แนะนำตัว แผ่นพับแนะนำ ประวัติฝากไปตามคนรู้จักในพื้นที่อำเภอต่างๆ แต่ฐานเสียง ใหญ่ที่สนับสนุนตนในการเลือกตั้งทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับ ชาติ คือผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตอำเภอศรีบุญเรืองเพราะรู้จัก นายสามารถในการให้ความช่วยเหลือสังคมมาก่อน (สามารถ รัตนประทีปพร, 2555) 130

ข้อมูลนักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู บทบาททางการเมืองในตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา หลังจากที่ได้เข้าไปเป็นสมาชิกวุฒิสภาชุดแรกที่มาจาก การเลือกตั้งของประเทศไทย นายสามารถได้มีโอกาสสนิทสนม กับนายสนิท วรปัญญา (ส.ว. ลพบุรี) โดยได้ช่วยนายสนิท วรปัญญา ในการหาเสียงสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งประธาน วุฒิสภาคนแรกที่มาจากการเลือกตั้ง โดยนายสามารถได้เป็น เลขานุการส่วนตัวของนายสนิท วรปัญญา ซึ่งดำรงตำแหน่ง ประธานวุฒิสภาประมาณปีเศษ เพราะมีเหตุให้นายสนิท วรปัญญา ต้องพ้นจากการดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกเสียก่อน การดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกในช่วงแรกๆ ได้เข้าร่วมเป็น กรรมาธิการกิจการสตรี เยาวชน คนพิการและผู้สูงอายุ และกรรมาธิการการท่องเที่ยว ซึ่งในขณะดำรงตำแหน่งใน กรรมาธิการดังกล่าว นายสามารถมีบทบาทอย่างมากในการ ประชาสัมพันธ์จังหวัดหนองบัวลำภูให้เป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ โ ด ย เ ฉ พ า ะ ช ่ ว ง น ั ้ น ม ี ก า ร ค ้ น พ บ ส ุ ส า น ห อ ย โ บ ร า ณ แ ล ะ ซากกระดูกไดโนเสาร์อายุ 150 ล้านปีที่บริเวณตำบลโนนทัน อำเภอเมืองหนองบัวลำภู นายสามารถก็ทำหน้าที่ให้ข่าวแก ่ นกั ขา่ วในการชว่ ยประชาสมั พนั ธภ์ าพลกั ษณแ์ หลง่ การทอ่ งเทย่ี ว แห่งใหม่ มีการเชิญชวนผู้คนจากจังหวัดต่างๆ ให้เดินทางมา ท่องเที่ยวจังหวัดหนองบัวลำภู นอกจากนี้ ส.ว.สามารถยังมี บทบาทในการส่งเสริมอุตสาหกรรมในครัวเรือนของหมู่บ้าน โค้งสวรรค์ ตำบลโนนทัน อำเภอเมือง ในการผลิตเครื่องปั้น ดินเผาลวดลายลักษณะสวยงาม ซึ่งจากบทบาททั้งเรื่อง “หอย” และ “หม้อดินเผา” ดังกล่าว สื่อมวลชนบางสำนักจึงตั้ง 131

นักการเมืองถิ่นจังหวัดหนองบัวลำภู ฉายาให้แก่ ส.ส.สามารถ รัตนประทีปพร ว่า “ส.ว.หม้อหอย” (สามารถ รัตนประทีปพร, 2555) สำหรับ นายสามารถ รัตนประทีปพร แม้จะไม่ได้เกิด หรือมีญาติพี่น้องที่จังหวัดหนองบัวลำภูเลย แต่ก็มีความรักษ์ และภาคภูมิใจในความเป็นคนหนองบัวลำภู ทุกครั้งที่ นายสามารถเล่าเรื่องเกี่ยวกับหนองบัวลำภูให้แก่ผู้ที่ต้องการ ข้อมูลฟังก็จะเล่าไปทำนองว่า “หนองบัวลำภูเป็นจังหวัดที่โชคดี เป็นจังหวัดที่อยู่กับธรรมชาติ เป็นจังหวัดที่อยู่แบบชาวบ้าน เป็นเป็นจังหวัดวิถีพุทธ ถ้าอยากเที่ยวผับเที่ยวความบันเทิงให้ ไปที่อุดรฯ แต่ถ้าอยากเที่ยวป่าเที่ยวเขา เที่ยวชมวิถีชีวิต แบบธรรมชาติ อยู่กับชีวิตชาวบ้านอีสานจริงๆ ให้มาที่ หนองบัวลำภ”ู (สามารถ รัตนประทีปพร, 2555) นอกจากนี้ นายสามารถในฐานะเป็นกรรมาธิการ ของวุฒิสภา ได้พาคณะกรรมการต่างๆ ในส่วนกลาง มาทำการ ประชาสังคมในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีการจัดประชุม สัมมนาเชิงปฏิบัติการในพื้นที่ซึ่งมีบ่อยมาก ทุกครั้งที่มีการจัด กิจกรรมขึ้น นายสามารถจะเชิญรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในขณะนั้น เข้าร่วมประชุมด้วย เช่น เรื่องเกี่ยวกับเกษตรกร เชิญคุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์มาร่วมด้วย, เรื่องเกี่ยวกับกำนัน - ผู้ใหญ่บ้าน เชิญ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง มหาดไทยมาร่วมด้วย, เรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาสาธารณูปการ และโครงสร้างพื้นฐาน เชิญนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงคมนาคม มาร่วมประชุม โดยเฉพาะในครั้งนี้ 132

ข้อมูลนักการเมืองถ่ินจังหวัดหนองบัวลำภู นายสามารถได้เชิญอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น และอธิบดีกรมทางหลวงชนบทมาร่วมประชุมด้วย ซึ่ง วัตถุประสงค์หลักคือต้องการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเห็นชอบ ร่วมกันที่จะพัฒนาถนนเชื่อมระหว่างอำเภอศรีบุญเรืองไปยัง อำเภอนากลางซึ่งมีระยะทางประมาณ 35 กิโลเมตร ซึ่งเดิมอยู่ ในการรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ในการ ดูแลรักษา แต่ปัญหาของการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดูแล คือการไม่มีงบประมาณบำรุงรักษา นายสามารถซึ่งเข้าใจ เรื่องการใช้อำนาจในการจัดการปัญหาความเดือดร้อนดังกล่าว หรือในภาษาการเมืองเรียกว่า “เป็นคนมีกึ๊น” จึงต้องการโอน ถนนเส้นนี้กลับไปให้กรมทางหลวงชนบทรับผิดชอบดูแล เพื่อจะได้มีงบประมาณบำรุงสม่ำเสมอตลอดทั้งปี และอำนวย ความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชนในการใช้สัญจรไปมา ระหว่างกัน ซึ่งจากการเจรจาดังกล่าวก็ประสบความสำเร็จโดย รัฐมนตรีที่นั่งประชุมด้วยเห็นชอบ และให้กรมที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตาม ทำให้ปัจจุบัน (กันยายน 2555) ถนนสาย ดังกล่าวสามารถใช้ได้ทุกฤดูกาล มีขนาดความหนาและพื้นผิว ของถนนตามมาตรฐานของทางหลวงชนบททั่วไป ซึ่งความ สามารถในการเข้าถึงผู้มีอำนาจและจากการเชิญคนที่เกี่ยวข้อง มาตกลงกันในพื้นที่นี้ นายสามารถถือเป็นความภาคภูมิใจที่สุด ในชีวิตที่ได้ทำให้กับชาวจังหวัดหนองบัวลำภูด้วย (สามารถ รัตนประทีปพร, 2555) 133