นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล ส่วนตัว เช่น กรณีนายเจริญ หนูสง หรือเกิดจากการที่กระแส หลักในระดับชาติพุ่งสูงขึ้น มีกระแสสูงในระดับชาติที่ส่ง ผลกระทบโดยตรงต่อการเลือกตั้งในท้องถิ่น เช่น กระแส สังคมนิยม กระแสความนิยมซึ่งมีความเด่นชัดอย่างมากอันเป็น กระแสความนิยมหลักที่ประชาชนมีต่อพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนกระแสอื่นๆ เป็นเพียงกระแสรองซึ่งอาศัยความแรงของ กระแสและจังหวะที่เหมาะสมเข้ามาเบียดขับพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นบางครั้งบางคราว แต่ไม่อาจตั้งมั่นลงรากลึกได้นาน เพราะเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีปัญหาภายในและมีความ เข้มแข็งเหมือนเดิมแล้ว กระแสรองเหล่านั้นจะถูกเบียดขับ ออกไปในที่สุด ภิญโญ ตันพิทยคุปต์ (2549) ศึกษาเรื่องโครงการสำรวจ เพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่น : จังหวัดสงขลา มีวัตถุประสงค์เพื่อรู้จักนักการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้ง ในจังหวัดสงขลา เครือข่ายความสัมพันธ์กับกลุ่มผลประโยชน์ ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ตลอดจนกลวิธีการหาเสียง ของนักการเมือง พบว่า นักการเมืองถิ่นจังหวัดสงขลา ประกอบ ด้วย กลุ่มนักกฎหมาย กลุ่มอดีตข้าราชการ กลุ่มนักธุรกิจ และ กลุ่มผู้กว้างขวาง ซึ่งเครือข่ายความสัมพันธ์เป็นคู่บิดา – บุตร 2 คู่ คู่พี่น้องร่วมบิดา – มารดา 2 คู่ เป็นญาติสกุลเดียวกัน 1 คู่ สำหรับพรรคการเมืองในจังหวัดสงขลามีพรรคประชาธิปัตย์ ผูกขาดการเมืองถิ่นจังหวัดสงขลา ผู้สมัครของพรรคชนะทุกเขต ทุกครั้งของการเลือกตั้ง มีนักการเมืองที่เป็นเสมือนผู้วาง รากฐานแห่งความศรัทธาในพรรคประชาธิปัตย์ในใจชาวสงขลา คือ นายคล้าย ละอองมณี กลุ่มผลประโยชน์ที่มีบทบาทต่อ 86
แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การเมืองถิ่นจังหวัดสงขลาทั้งที่เป็นทางการและกลุ่มที่ไม่เป็น ทางการ กลุ่มที่สำคัญที่สุด คือ พรรคประชาธิปัตย์ และบุคคล ที่มีบทบาทสำคัญ คือ นายชวน หลีกภัย และกลวิธีการสำคัญ ในการรักษาฐานเสียง ได้แก่ การลงพื้นที่ การพบปะประชาชน การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมในชุมชน การปราศรัย และ การอุปถัมภ์ความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ และในทัศนะของ นักการเมืองถิ่นปัจจุบัน กลุ่มสตรีแม่บ้านเป็นคะแนนเสียง สำคัญและเชื่อถือได้มากในการเมืองถิ่นสงขลา พรชัย เทพปัญญา (2548) ศึกษาเรื่อง โครงการสำรวจ เพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่น : จังหวัดสมุทรปราการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรู้จักนักการเมือง ทราบถึงเครือข่าย และ ความสัมพันธ์ของนักการเมือง ทราบถึงบทบาทและความ สัมพันธ์กลุ่มผลประโยชน์ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ รวมถึงบทบาทและความสัมพันธ์ของพรรคการเมืองและ นักการเมือง และวิธีการหาเสียงในการเลือกตั้งของนักการเมือง ในจังหวัดสมุทรปราการ พบว่า นักการเมืองถิ่นส่วนใหญ่มีการ ศึกษาอยู่ในระดับดี สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมดี โดยสามารถจำแนกนักการเมืองได้ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มนายวัฒนา กลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่ม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคไทยรักไทย ความสัมพันธ์ ระหว่างนักการเมืองถิ่นของจังหวัดสมุทรปราการมีน้อย ยกเว้น แต่กลุ่มนายวัฒนา อัศวเหม ที่ให้ความสำคัญต่อระบบ เครือญาติ ส่วนการหาเสียงของนักการเมืองถิ่นของกลุ่ม นายวัฒนา อัศวเหม ให้ความสำคัญกับตัวบุคคลมากกว่า พรรคการเมือง ส่วนนักการเมืองถิ่นในกลุ่มพรรคไทยรักไทยหรือ 87
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล พรรคประชาธิปัตย์ จะให้ความสำคัญต่อนโยบายของ พรรคการเมืองหรือความสำคัญของหัวหน้าพรรค กลุ่ม ผลประโยชน์ทางธุรกิจมีความสัมพันธ์น้อยกับ สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรกลุ่มต่างๆ ในการเลือกตั้ง แต่ตัวแปรที่สำคัญต่อ การเลือกตั้งคือระบบราชการ กลุ่มการเมืองที่มีอิทธิพลใน ท้องถิ่น (Local elite) คือกลุ่มของนายวัฒนา อัศวเหม ส่วน กลุ่มอื่นหรือบุคคลอื่นอาศัยกระแสจากพรรคการเมืองเป็น หลักการพ่ายแพ้ของกลุ่มนายวัฒนา อัศวเหม ในการเลือกตั้ง ถือว่าเป็นการพ่ายแพ้ต่อชนชั้นนำในระดับชาติ (National elite) อรอนงค์ สวัสดิ์บุรี และรสชงพร กมลเสวิน (2552) ศึกษาเรื่อง “รูปแบบการสื่อสารของนักการเมืองท้องถิ่น” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่เป็นแรงจูงใจในการเลือก รูปแบบการสื่อสารของนักการเมืองท้องถิ่น ศึกษารูปแบบ การสื่อสารของนักการเมืองท้องถิ่นและอุปสรรคที่เกิดขึ้นกับ การสื่อสารที่ส่งผลต่อการทำงานของนักการเมืองท้องถิ่น ผลการวิจัยปรากฏ 3 รูปแบบการสื่อสารของนักการเมือง ท้องถิ่น ได้แก่ (ก) การสื่อสารแบบเผชิญหน้ากันระหว่าง นักการเมืองท้องถิ่นกับชาวบ้าน (ข) การสื่อสารโดยผ่านช่อง ทางการสื่อสารต่างๆ และ (ค) การประชุมอย่างเป็นทางการและ ไม่เป็นทางการ ส่วนปัจจัยที่เป็นแรงจูงใจในการเลือกรูปแบบ การสื่อสารของนักการเมืองท้องถิ่น ได้แก่ ปัจจัยเรื่อง งบประมาณ สรุปได้ว่า งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษานักการเมือง ถิ่นนี้ ในแต่ละจังหวัดนอกจากบุคคลผู้เป็นนักการเมืองถิ่น 88
แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ที่สามารถประสบความสำเร็จในเส้นทางการเมืองแล้ว บุคคล ใกล้ชิด เครือข่ายความสัมพันธ์ และที่สำคัญคือพรรคการเมือง ผู้ให้การสนับสนุนซึ่งมีความสำคัญต่อการที่นักการเมืองถิ่น มีการสื่อสารทางการเมืองต่อบุคคลที่สำคัญ คือ ประชาชน สรุป จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ เส้นทางด้านการเมืองสำหรับอาชีพนักการเมือง หรือบุคคล ซึ่งไม่ได้เป็นนักการเมืองโดยอาชีพ จะเห็นได้ว่านักการเมืองถิ่น นั้นต้องเป็นบุคคลที่มีคุณลักษณะของความเป็นผู้นำที่มีความ สามารถในการคิด วางนโยบาย การบริหารในพื้นที่ที่เป็น ตัวแทนของประชาชน แต่ในวิถีทางการเดินเส้นทางด้าน การเมืองถิ่นนั้นต้องอาศัยองค์ประกอบในหลายด้านตั้งแต่ม ี แนวความคิดที่จะเข้ามาทำงานทางการเมืองในระดับท้องถิ่น เพื่อได้มีโอกาสในการพัฒนาจังหวัด ทำให้เห็นได้ว่านักการเมือง ถิ่นส่วนใหญ่มาจากกลุ่มคน ทีมงาน ความสัมพันธ์กับกลุ่ม องค์กรทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ดังนี้ 1. กลุ่มอดีตข้าราชการ กลุ่มนักธุรกิจ และกลุ่มผู ้ กว้างขวาง กลุ่มผู้นำในพื้นที่ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีฐานะทางสังคม และมีชื่อเสียงเกียรติยศที่ดี 2. เครือข่ายและความสัมพันธ์ของนักการเมืองลักษณะ เป็นทายาททางการเมืองหรือเครือญาติใกล้ชิด กลุ่มองค์กร เครือข่ายที่สนับสนุนในการสร้างฐานคะแนนเสียง รวมถึง กลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็น 89
นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล ทางการ และที่สำคัญ คือ วิธีการผ่านทาง “หัวคะแนน” ซึ่งจะ เป็นผู้ที่มีบารมีในพื้นที่ เช่น สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน เป็นต้น 3. บทบาทและความสัมพันธ์ของพรรคการเมืองกับ นักการเมือง โดยในภาคใต้ให้ความสำคัญกับพรรคการเมือง คือ พรรคประชาธิปัตย์อย่างชัดเจน 4. กลวิธีการหาเสียง ประกอบด้วย การลงพื้นที่ การพบปะประชาชน การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมในชุมชน การปราศรัย และการอุปถัมภ์ความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ และในทัศนะของนักการเมืองถิ่นปัจจุบัน กลุ่มสตรีแม่บ้าน เป็นคะแนนเสียง การใช้สื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ การใช้รถขยายเสียงวิ่งตามท้องถนน เป็นต้น ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการศึกษานักการเมืองถิ่นที่ผ่านมา ของจังหวัดในภาคใต้ ประเด็นที่น่าสนใจ คือ การให้ความ สำคัญกับอัตลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่นภาคใต้โดยเฉพาะความ เป็นท้องถิ่นภาคใต้ และให้ความสำคัญกับความเชื่อและศาสนา เป็นตัวกำหนดคุณลักษณะของผู้นำที่เป็นเงื่อนไขของการ ตัดสินใจต่อนักการเมืองถิ่นซึ่งใช้เป็นองค์ประกอบเพื่อให้ได้ ตัวแทนที่สอดคล้องและเป็นนักต่อสู้ พร้อมที่จะช่วยเหลือ และเสียสละต่อพรรคพวกหรือกลุ่มซึ่งเป็นคุณลักษณะของ คนภาคใต้ในการตัดสินใจทางการเมืองที่มีเหตุผลทางความ เชื่อท้องถิ่น และหลักการทางศาสนา ซึ่งทำให้เกิดการตัดสินใจ ทางการเมืองจังหวัดสตูลเพื่อได้นักการเมืองที่มีลักษณะที่ 90
แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สอดคล้องกับวัฒนธรรมท้องถิ่นจังหวัดสตูล โดยสามารถสังเกต ได้จาก 1. นับถือศาสนาอิสลามโดยส่วนใหญ่ โดยวิถีอิสลาม มีการนับถือกลุ่ม หมู่คณะ ถือหลักการปฏิบัติตนตามหลัก ศาสนาอย่างเคร่งครัด ให้ความเชื่อมั่น เชื่อถือต่อผู้นำ มีความ ศรัทธาต่อหลักคำสอนทางศาสนา 2. ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการครู พนักงานรัฐวิสาหกิจ มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ประสบความสำเร็จมาก่อน 3. เป็นบุคคลที่มีประสบการณ์การต่อสู้ เป็นนักกิจกรรม ทางการเมือง มีการเคลื่อนไหวอยู่ในสถาบันการศึกษา จากการสังเคราะห์ข้อมูลการเมืองและนักการเมืองถิ่น จังหวัดสตูล ทำให้เกิดความชัดเจนว่า การศึกษาการเมืองและ นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูลมีความสัมพันธ์ตามแนวคิดทฤษฎี ภาวะผู้นำ อัตลักษณ์ท้องถิ่น ความสัมพันธ์แบบเครือญาติ ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษานกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั นครศรธี รรมราช นักการเมืองถิ่นจังหวัดสงขลา และนักการเมืองถิ่นจังหวัดพัทลุง รวมถึงพรรคการเมืองยอดนิยมในท้องถิ่นภาคใต้ คือ พรรค ประชาธิปัตย์ 91
นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล กรอบแนวคิดในการศึกษา ภาพที่ 3 กรอบแนวคดิ ในการศกึ ษา เครือข่ายและ อุดมการณ์ ความสัมพันธ์ ทางการเมือง การจัดการ หัวคะแนน นกั การเมอื งถน่ิ กฏระเบียบ สตูล กลุ่มทุน ความเชื่อ การสื่อสาร ทางศาสนา ระบบ อุปถัมภ์ จากภาพที่ 3 ปรากฏการณ์ของนักการเมืองที่มี พฤติกรรมทางการเมืองที่ปฏิสัมพันธ์กับเงื่อนไขที่เป็นองคาพยพ ที่สามารถสร้างการเชื่อมร้อยการจัดการของนักการเมือง อันเป็นกลยุทธ์ของนักการเมืองถิ่นสตูล นักการเมืองต้อง ดำเนินการสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์ที่มีต่อกันด้วย 92
แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เก่ียวข้อง การอาศัยระบบอุปถัมภ์ การจัดการโครงสร้างความสัมพันธ์ ผู้คนและพวกพ้อง สมัครพรรคพวก เครือญาติบริวาร กฎระเบียบ การเป็นผู้มีอุดมการณ์ทางการเมือง ความเชื่อทาง ศาสนา การสื่อสารระหว่างกันเพื่อการหาเสียง พื้นที่ทางสังคม ให้สอดประสานกัน กลุ่มทุนผู้ให้การสนับสนุน เช่น นักธุรกิจ และที่สำคัญส่งผลต่อคะแนนเสียงไม่น้อย คือ หัวคะแนน รวมถึงกระบวนการหรือวิธีการจัดการเพื่อความสำเร็จในการรับ เลือกตั้ง 93
บ4ทท ่ี ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล การศึกษาเกี่ยวกับนักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูลนั้นเพื่อให้ เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับบริบทต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดสตูลจึงต้องมีการศึกษาตั้ง แต่บริบทของจังหวัด จนกระทั่งการเกิดการเปลี่ยนแปลง ทางการเมืองอันเนื่องมาจากปัจจัยต่างๆ รวมถึงบริบทแวดล้อม ที่มีต่อนักการเมืองถิ่นในการตัดสินใจสมัครรับเลือกตั้ง ดังรายละเอียดที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล ภูมิหลังทางการเมืองจังหวัดสตูล ประวัติความเป็นมาของจังหวัดสตูลในสมัยก่อน กรุงศรีอยุธยา และในสมัยกรุงศรีอยุธยาไม่ปรากฏหลักฐาน กล่าวไว้ ณ ที่ใด สันนิษฐานว่าในสมัยนั้นไม่มีเมืองสตูลคงมีแต่ หมู่บ้านเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ตามที่ราบชายฝั่งทะเล ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์สตูลเป็นเพียงตำบลหนึ่งอยู่ในเขต เมืองไทรบุรี ฉะนั้นประวัติความเป็นมาของจังหวัดสตูล จึงเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของเมืองไทรบุรีดังปรากฏในหนังสือ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2 ว่า “ตาม เนื้อความที่ปรากฏดังกล่าวมาแล้ว ทำให้เห็นว่าในเวลานั้น พวกเมืองไทรเห็นจะแตกแยกกันเป็นสองพวก คือ พวก เจ้าพระยาไทรปะแงรันพวกหนึ่ง และพวกพระยาอภัยนุราช คงจะนบน้อมฝากตัวกับเมืองนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะเมื่อ พระยาอภัยนุราชได้มาเป็นผู้ว่าราชการเมืองสตูล ซึ่งเขตแดน ติดต่อกับเมืองนครศรีธรรมราช พวกเมืองสตูลคงจะมาฟังบังคับ บัญชาสนิทสนมข้างเมืองนครศรีธรรมราชมากกว่าเมืองไทร แต่พระยาอภัยนุราชว่าราชการเมืองสตูลได้เพียง 2 ปี ก็ถึง แก่อนิจกรรม ผู้ใดจะได้ว่าราชการเมืองสตูล ต่อมาในชั้นนั้น หาพบจดหมายเหตุไม่ แต่พิเคราะห์ความตามเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้นภายหลัง เข้าใจว่าเชื้อพระวงศ์ของพระอภัยนุราช (ปัศนู) คงจะได้ว่าราชการเมืองสตูลและฟังบังคับบัญชาสนิทสนมกับ เมืองนครศรีธรรมราชอย่างครั้งพระยาอภัยนุราชหรือยิ่งกว่านั้น” เรื่องเกี่ยวกับเมืองสตูลยังปรากฏในหนังสือพงศาวดาร เมืองสงขลา แต่ข้อความที่ปรากฏบางตอนเกี่ยวกับชื่อ 95
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล ผู ้ ว ่ า ร า ช ก า ร เ ม ื อ ง ส ตู ล ไ ม ่ ต ร ง ก ั บ พ ร ะ ร า ช พ ง ศ า ว ด า ร กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3 ประวัติเกี่ยวกับเมืองสตลู ในการจัด รูปแบบการปกครองเมืองตามระบอบมณฑลเทศาภิบาลว่า ใน พ.ศ. 2440 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รักษาเมืองไทรบุรี เมืองเปอร์ลิส และเมืองสตูลเป็นมณฑลเทศาภิบาล เรียกว่า “มณฑลไทรบุรี” โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาไทรบุรีรามภักดี เจ้าพระยาไทรบุรี (อับดุลฮามิต) เป็นข้าราชการเทศาภิบาล มณฑลไทรบุรี เมืองสตูลได้แยกจากเมืองไทรบุรีอย่างเด็ดขาด ตามหนังสือสัญญาไทยกับอังกฤษเรื่องปักปันเขตแดนระหว่าง ไทยกับสหพันธรัฐมาลายู ซึ่งลงนามกันที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ร.ศ.127 (พ.ศ. 2452) จากหนังสือสัญญานี้ยังผลให้ ไทรบุรีและปะลิสตกเป็นของอังกฤษ ส่วนสตูลคงเป็นของไทย สืบมาจนถึงปัจจุบัน และเมื่อเมื่อปักปันเขตแดนเสร็จแล้วได้มี พระราชโองการโปรดให้เมืองสตูลเป็นเมืองจัตวารวมอยู่ใน มณฑลภูเก็ต เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ร.ศ.128 (พ.ศ. 2453) ใน พ.ศ. 2475 ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็น ระบอบประชาธิปไตย เมืองสตูลก็มีฐานะยกเป็นจังหวัดหนึ่ง อยู่ในราชอาณาจักรไทยสืบต่อมาจนถึงกระทั่งทุกวันนี้ คำวา่ “สตลู ” มาจากคำภาษามาลายวู า่ “สโตย” แปลวา่ กระท้อน อันเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งที่ขึ้นอยู่ชุกชุมในท้องที่เมืองนี้ ซ ึ ่ ง ต ่ อ ม า ไ ด ้ ร ั บ ก า ร ต ั ้ ง ส ม ญ า น า ม เ ป ็ น ภ า ษ า ม า ล า ยู ว ่ า “นคร สโตยมำบังสการา (Negeri Setoi Mumbang Segara)” หรือแปลเป็นภาษาไทยว่าสตูล เมืองแห่งพระสมุทรเทวา ดังนั้น “ตราพระสมุทรเทวา” จึงกลายเป็นตราหรือสัญลักษณ์ของ จังหวัดมาตราบเท่าทุกวันนี้ 96
ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล จังหวัดสตูล แม้จะอยู่รวมกับไทรบุรีในระยะเริ่มแรก ก็ตาม แต่จังหวัดสตูลก็เป็นจังหวัดที่มีดินแดนรวมอยู่ในประเทศ ไทยตลอดมา ระยะแรกๆ จังหวัดสตูล แบ่งเขตการปกครองออก เป็น 2 อำเภอ กับ 1 กิ่งอำเภอ คือ อำเภอมำบัง อำเภอทุ่งหว้า และกิ่งอำเภอละงู ซึ่งอยู่ในการปกครองของอำเภอทุ่งหว้า ต่อมา พ.ศ. 2482 ได้เปลี่ยนชื่ออำเภอมำบังเป็นอำเภอเมือง สตูล สำหรับอำเภอทุ่งหว้า ซึ่งในสมัยก่อนนั้นเจริญรุ่งเรืองมาก มีเรือกลไฟจากต่างประเทศติดต่อไปมาค้าขายและรับส่งสินค้า เป็นประจำ สินค้าสำคัญของอำเภอทุ่งหว้า คือ “พริกไทย” เป็น ที่รู้จักเรียกตามกันในหมู่ชาวต่างประเทศว่า “อำเภอสุไหวอุเป” ต่อมาเมื่อประมาณ พ.ศ. 2475 การปลูกพริกไทยของอำเภอ ทุ่งหว้าได้ลดปริมาณลง ชาวต่างประเทศที่เข้ามาทำ การค้าขาย ต่างพากันอพยพกลับไปยังต่างประเทศ ราษฎรในท้องที่ก็พากัน อพยพไปหาทำเลทำมาหากินในท้องที่อื่นกันมาก โดยเฉพาะ ได้ย้ายไปตั้งหลักแหล่งที่กิ่งอำเภอละงูมากขึ้น ทำให้ท้องที่ กิ่งอำเภอละงูเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว และในทางกลับกันทำให้ อำเภอทุ่งหว้าซบเซาลง ครั้งถึง พ.ศ. 2473 ทางราชการพิจารณา เห็นว่ากิ่งอำเภอละงูเจริญขึ้น มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นกว่า อำเภอทุ่งหว้า จึงได้ประกาศยกฐานะกิ่งอำเภอละงูเป็นอำเภอ เรียกว่า อำเภอละงู และยุบอำเภอทุ่งหว้าเดิมเป็นกิ่งอำเภอ ทุ่งหว้า เรียกว่า กิ่งอำเภอทุ่งหว้าขึ้นอยู่ในการปกครองของ อำเภอละงู ต่อมาใน พ.ศ. 2516 กิ่งอำเภอทุ่งหว้าจึงได้รับ สถานะเดิมกลับคืนมาเป็นอำเภอทุ่งหว้า โดยปัจจุบันจังหวัด สตูล แบ่งการปกครองออกเป็น 7 อำเภอ คือ 97
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล 1. อำเภอเมืองสตูล 2. อำเภอละง ู 3. อำเภอควนกาหลง 4. อำเภอทุ่งหว้า 5. อำเภอควนโดน 6. อำเภอท่าแพ 7. อำเภอมะนัง ประวัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่ การเลือกตั้งครั้งที่ 1 - 22 จังหวัดสตูล จากการเลือกตั้งในประเทศไทยตั้งแต่อดีต พ.ศ. 2476 จนมาถึง พ.ศ. 2550 มีการเลือกตั้งมาแล้ว จำนวน 22 ครั้ง โดยผ่านยุคสมัยของการเมืองการปกครอง และมีการแต่งตั้ง ทางอ้อม และมีการเลือกตั้งที่ขับเคี่ยวต่อสู้ชิงไหวชิงพริบและ ลูกล่อลูกชนในการแข่งขันทางการเมืองมีแพ้ชนะและทำให้ผู้คน ฝักใฝ่สนใจ สร้างการตื่นตัวทางการเมือง โดยมีรายละเอียด การเลือกตั้งแต่ละครั้งดังต่อไปนี้ การเลือกตั้งคร้ังท่ี 1 (15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 1 เป็นการ เลือกตั้งทั่วไปครั้งแรก ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้ง ทางอ้อม โดยมีพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายก- รัฐมนตรี สำหรับจังหวัดสตูลการเลือกตั้งในครั้งนี้สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรมาจากการแต่งตั้ง คือ พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ (บุรินทร์ สมันตรัฐ) 98
ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล การเลือกต้ังครั้งที่ 2 (7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 2 โดยมี การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ขึ้นเป็นการ เลือกตั้งโดยตรง ราษฎรสามารถเลือกผู้แทนราษฎรของตนเอง ได้เองโดยวิธีการแบ่งเขตให้เลือกผู้แทนได้เขตละ 1 คน ทั่วประเทศมีผู้แทนราษฎรทั้งหมด 91 คน ต่อมาในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2480 มีการแต่งตั้งสมาชิกประเภทที่ 2 เท่ากับ จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 รวมมีผู้แทนทั้ง 2 ประเภท 182 คน โดยมีพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งจังหวัดสตูลผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ นายสงวน ณ นคร การเลือกต้ังครั้งที่ 3 (12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481) การเลือกตั้งโดยตรง โดยวิธีการแบ่งเขต เขตละ 1 คน มีจำนวนผู้แทนราษฎรทั้งสิ้น 91 คน โดยมีพันเอกหลวงพิบูล- สงคราม (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ในขณะนั้นเป็นนายก รัฐมนตรี การเลือกตั้งครั้งท่ี 4 (6 มกราคม พ.ศ. 2489) การเลือกตั้งโดยตรง โดยวิธีการแบ่งเขตมีผู้สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 96 คน โดยมีนายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรี จังหวัดสตูลผู้ได้รับการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ 99
นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล การเลือกต้ังครั้งท่ี 5 (29 มกราคม พ.ศ. 2491) การเลือกต้งั โดยตรงโดยวิธกี ารรวมเขตจงั หวัด มนี ายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จังหวัดสตูลผู้ที่ได้รับการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ การเลือกต้ังคร้ังที่ 6 (26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 เป็นการเลือกตั้งโดยตรง โดยวิธีการรวมเขตจังหวัด โดยมี จอมพล ป.พบิ ลู สงคราม เปน็ นายกรฐั มนตรี จงั หวดั สตลู ผทู้ ไ่ี ดร้ บั การเลอื กตง้ั เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร คอื นายเจะ๊ อบั ดลุ ลาห์ หลังปูเต๊ะ การเลือกตั้งคร้ังที่ 7 (26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500) การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งโดยตรง เป็นการลง สมัครพรรคการเมืองเป็นครั้งแรก โดยวิธีการรวมเขตจังหวัด มีจำนวนผู้แทนราษฎรทั่วประเทศจำนวน 160 คน จังหวัดสตูล ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ นาย เจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปเู ต๊ะ สังกัดพรรคเสรีมนังคศิลา การเลือกตั้งครั้งท่ี 8 (15 ธันวาคม พ.ศ. 2500) การเลือกตั้งโดยตรง โดยวิธีการรวมเขตจังหวัด ในการ เลือกตั้งครั้งนี้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 160 คน จังหวัดสตูลผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปเู ต๊ะ สังกัดพรรคสหภูมิ 100
ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล การเลือกต้ังคร้ังท่ี 9 (10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512) การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรโดยตรง โดยวิธีการรวมเขตจังหวัด มีจำนวนสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจำนวนทั้งสิ้น 219 คน จังหวัดสตูลผู้ที่ได้รับการ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ นายชูสิน โคนันทน์ ไม่สังกัดพรรคการเมือง การเลือกตั้งครั้งที่ 10 (26 มกราคม พ.ศ. 2518) การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งทั่วไปแบบวิธีผสมแบบ แบ่งเขตกับรวมเขตมีผู้แทนราษฎรทั้งหมด 269 คน ซึ่งม ี หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี จังหวัดสตูล ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ นายชสู ิน โคนันทน์ สังกัดพรรคธรรมสังคม การเลือกต้ังครั้งที่ 11 (4 เมษายน พ.ศ. 2519) การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งโดยตรง มีสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรทั้งหมด 279 คน ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล คือ นายสมศักดิ์ เส็นดาโอ๊ะ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ การเลือกตั้งคร้ังท่ี 12 (22 เมษายน พ.ศ. 2522) การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งทางตรงแบบผสม ระหว่างรวมเขตและแบ่งเขต เป็นระบบและวิธีการเดียวกับการ เลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่10 และ 11 โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 301 คน ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดสตูล คือ นายชูสิน โคนันทน์ สังกัดพรรคกิจสังคม 101
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล การเลือกตั้งครั้งท่ี 13 (18 เมษายน พ.ศ. 2526) การเลือกตั้งครั้งนี้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 347 คน โดยมี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล คือ นายจิรายุส เนาวเกตุ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ การเลือกตั้งครั้งท่ี 14 (27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529) การเลือกตั้งครั้งนี้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 347 คน โดยมี พลเอกเปรม ติณสลู านนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี การเลือกต้ังคร้ังที่ 15 (24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531) การเลือกตั้งครั้งนี้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 357 คน โดยมี พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล คือ นายวิทรู หลังจิ สังกัดพรรคชาติไทย การเลือกต้ังครั้งที่ 16 (22 มีนาคม พ.ศ. 2535) การเลือกตั้งครั้งนี้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 360 คน โดยมี พลเอกสุจินดา คราประยูร เป็นนายกรัฐมนตรี ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล คือ นายจิรายุส เนาวเกตุ สังกัดพรรคมวลชน การเลือกต้ังคร้ังท่ี 17 (13 กันยายน พ.ศ. 2535) การเลือกตั้งครั้งนี้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 360 คน โดยมี นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ผู้ที่ได้รับ การเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล คือ นายธานินทร์ ใจสมุทร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ 102
ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล การเลือกตั้งคร้ังที่ 18 (2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538) การเลือกตั้งครั้งนี้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 391 คน โดยมีนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล จำนวน 2 คน คือ นายธานินทร์ ใจสมุทร และนายสนั่น สุธากุล สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ การเลือกต้ังครั้งที่ 19 (17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539) การเลือกตั้งครั้งนี้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 393 คน โดยมี พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล จำนวน 2 คน คือ นายธานินทร์ ใจสมุทร และนายสนั่น สุธากุล สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ การเลือกต้ังครั้งท่ี 20 (6 มกราคม พ.ศ. 2544) การเลือกตั้งครั้งนี้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 500 คน ตามรัฐธรรมนูญฉบับที่ 16 คือ ระบบแบ่งเขต 400 คน จาก 400 เขตการเลือกตั้ง (1เขต มีผู้แทนราษฎรได้ 1 คน) และ ระบบบัญชีรายชื่อ 100 คน โดย พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดสตูล จำนวน 2 คน คือ นายธานินทร์ ใจสมุทร และนายสนั่น สุธากุล สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ การเลือกต้ังคร้ังท่ี 21 (6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548) การเลือกตั้งครั้งนี้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 500 คน ตามรัฐธรรมนูญฉบับที่ 16 คือ ระบบแบ่งเขต 400 คน 103
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล จาก 400 เขตการเลือกตั้ง (1เขต มีผู้แทนราษฎรได้ 1 คน) และ ระบบบัญชีรายชื่อ 100 คน โดย พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดสตูล จำนวน 2 คน คือ นายธานินทร์ ใจสมุทร และนายแพทย์อสิ มะหะมัดยังกี สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ การเลือกต้ังคร้ังที่ 22 (23 ธันวาคม พ.ศ.2550) ก า ร เ ล ื อ ก ต ั ้ ง ค ร ั ้ ง แ ร ก ภ า ย ใ ต ้ ร ั ฐ ธ ร ร ม นู ญ แ ห ่ ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และครั้งแรกภายหลัง การรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาล พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร โดยกำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วย สมาชิกจำนวน 480 คน เป็นสมาชิกมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 400 คน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน จำนวน 80 คน ผทู้ ไ่ี ดร้ บั การเลอื กตง้ั เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร จังหวัดสตูล จำนวน 2 คน คือ นายแพทย์อสิ มะหะมัดยังกี และนายฮอซาลี ม่าเหร็ม สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้น จากข้อมูลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ข้างต้นพบว่า จากอดีตถึงปัจจุบันจังหวัดสตูลมีนักการเมืองถิ่น จำนวนทั้งสิ้น 11 คน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2475 พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตลู 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480 นายสงวน ณ นคร ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล 104
ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล 6 มกราคม พ.ศ. 2489 นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 1 29 มกราคม พ.ศ. 2491 นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปเู ต๊ะ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 2 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 3 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปเู ต๊ะ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 4 สังกัดพรรคเสรีมนังคศิลา 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 5 สังกัดพรรคสหภมู ิ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 นายชูสิน โคนันทน์ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดสตลู สมัยที่ 1 ไม่สังกัดพรรคการเมือง 105
นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล 26 มกราคม พ.ศ. 2518 นายชสู ิน โคนันทน์ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 2 สังกัดพรรคธรรมสังคม 4 เมษายน พ.ศ. 2519 นายสมศักดิ์ เส็นดาโอ๊ะ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ 22 เมษายน พ.ศ. 2522 นายชูสิน โคนันทน์ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 3 สังกัดพรรคกิจสังคม 18 เมษายน พ.ศ. 2526 นายจิรายุส เนาวเกตุ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 1 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 นายวิทรู หลังจิ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สังกัดพรรคชาติไทย 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 นายจิรายุส เนาวเกตุ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 2 สังกัดพรรคมวลชน 106
ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล 13 กันยายน พ.ศ. 2535 นายธานินทร์ ใจสมุทร ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 1 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 นายธานินทร์ ใจสมุทร (สมัยที่ 2) และนายสนั่น สุธากุล (สมัยที่ 1) ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 นายธานินทร์ ใจสมุทร (สมัยที่ 3) และนายสนั่น สุธากุล (สมัยที่ 2) ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 นายธานินทร์ ใจสมุทร (สมัยที่ 4) และนายสนั่น สุธากุล (สมัยที่ 3) ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 นายธานินทร์ ใจสมุทร (สมัยที่ 5) และนายแพทย์อสิ มะหะมัดยังกี (สมัยที่ 1) ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ 107
นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 นายแพทย์อสิ มะหะมัดยังกี (สมัยที่ 2) และนายฮอซาลี ม่าเหร็ม ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้นพบว่า บุคคลที่ได้รับการ เลือกตั้งในแต่ละสมัยส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองเดิมในสมัยที่ ผ่านมาจึงเป็นที่น่าสนใจศึกษาว่า ทำไมบุคคลนั้นจึงยังได้รับ การเลือกตั้ง และอีกประเด็นที่น่าสนใจศึกษาในบางยุคบางสมัย เมื่อมีนักการเมืองหน้าใหม่ได้รับการเลือกตั้ง มีความน่าสนใจ ในการศึกษาเส้นทางด้านการเมืองของนักการเมืองถิ่นจังหวัด สตูลในยุคต่างๆ โดยในการแบ่งยุคทางการเมืองเริ่มตั้งแต่ การเมืองยุคแรก หรือยุคดั้งเดิมที่มีการแต่งตั้งและการเลือก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ยุคศักดินา) และยุคที่สองเป็นยุคแห่ง การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเริ่มการพัฒนาทางการเมือง เรียกว่า ยุคแห่งการบุกเบิกและต่อสู้ทางการเมือง และยุคที่สาม เป็นยุคการเมืองแห่งทุนนิยมจากการที่มีพรรคการเมืองใหม่เกิด ขึ้นจำนวนหลายพรรคมีการแข่งขันทางการเมืองโดยอาศัย ตลาดทางการเมืองในการทำงานทางการเมือง ซึ่งมีรายละเอียด ที่สนใจศึกษาดังต่อไปนี้ 108
ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล 4.1 การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล ยุคแรก (พ.ศ. 2475 – พ.ศ. 2511) การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูลเริ่มขึ้นอย่าง เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนด้วยการที่นักการเมืองหรือผู้มีบทบาท ในจังหวัดสตูลได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาจังหวัด ซึ่งต่อมา คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้เข้ามาทำหน้าที่เพื่อการพัฒนา จังหวัดอันส่งผลให้ประชาชนในจังหวัดสตูลเกิดการกินดีอยู่ดี มีความสุข สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ด้วยการประกอบ อาชีพที่มีความยั่งยืน ดังนั้น จึงมีความน่าสนใจว่า การที่ นกั การเมอื งเหลา่ นเ้ี ข้ามาทำงานเพ่อื ประชาชนนน้ั บุคคลเหลา่ น้ี มีแนวความคิดอย่างไรต่อบทบาทหน้าที่ทางการเมือง การทำงานทางการเมืองนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่คิดว่าจะลงสมัครรับ เลือกตั้งทางการเมืองนั้นต้องมีการคิดวางแผนในการสมัครก่อน ว่าจะต้องอาศัยกลเม็ดอะไรในการหาเสียง ต้องอาศัยบุคคล หรือกลุ่มบุคคล โดยเฉพาะกลุ่มเครือข่ายและความสัมพันธ์ ทางการเมือง สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อสาธารณะ เวทีและพื้นที่สาธารณะ เพื่อการทำกิจกรรมทางการเมือง มีกลวิธีในการหาเสียงอย่างไร โดยกลุ่มนักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูลในยุคแรกนี้ประกอบด้วย นักการเมืองจำนวน 3 คน คือ 4.1.1 พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ 4.1.2 นายสงวน ณ นคร 4.1.3 นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ 109
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล 4.1.1 พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ (บุรินทร์ สมันตรัฐ) พระยาสมันตรัฐบุรินทร์มีภรรยา 4 คน ได้แก่ นางล้อม คณุ หญงิ พร นางแยะ และนางแชม่ ไมส่ ามารถสบื คน้ นามสกลุ ได้ เนื่องจากนามสกุลเพิ่งประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 2455 สมัยรัชกาลที่ 6 ภรรยาคนแรก คือ นางล้อม เป็นชาวกรุงเทพมหานครมีธิดา 2 คน คือนางยุพิน กับนางเผื่อน ภรรยาคนที่สอง คือ คุณหญิง พร สมรสกับพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ สมัยที่รับราชการเป็น นายอำเภอเบตง แต่ไม่มีทายาทด้วยกัน ภรรยาคนที่สามชื่อ นางแยะ มีธิดา 1 คน ชื่ออิ่ม สมรสกับ นายการีม สมันตรัฐ (เครือญาติ อยู่ด้วยกันโดยไม่มีบุตร – ธิดา) ภรรยาคนที่ 4 คือ นางแช่ม เป็นชาวจังหวัดสงขลา มีบุตร - ธิดาด้วยกัน 5 คน ดังนั้น ในกรณีนี้จึงขอศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับทายาทที่กำเนิดจาก นางแช่ม เพียงคนเดียว พิจารณาตามลำดับชั้นของวงศ์ตระกูล เริ่มต้นจาก ชั้นพ่อ - แม่ เชื่อมโยงสู่ ชั้นลูก ชั้นหลาน และ ชั้นเหลน ปรากฏดังนี้ (เอกสารพิมพ์แจกเป็นบรรณาการในงาน พระราชทานขมาศพ อำมาตย์เอก พระยาสมันตรัฐบุรินทร์) ชั้นพ่อ-แม่ พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ – นางแช่ม ชั้นลูก พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ - นางแช่ม มีบุตร - ธิดา จำนวน 5 คน 1) นางสาวเพิ่มสุข สมันตรัฐ สมรสกับ นาย เติมพันธุ์ ณ นคร 2) นายเติมศักดิ์ สมันตรัฐ สมรสกับ นางสาวลดาวัลย์ สมันตรัฐ (เครือญาติ) 110
ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล 3) นางสาวเสริมศรี สมันตรัฐ สถานภาพโสด 4) นายเสรี สมนั ตรฐั สมรสกบั นางสาวดวงฤดี กำเนดิ งาม 5) นายชยั รฐั สมนั ตรฐั สมรสกบั นางสาวนาตยา นาคพนั ธ ์ุ ชั้นหลาน พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ - นางแช่ม มีหลาน ได้แก่ 1) ธิดาของนายเติมพันธุ์ - นายเพิ่มสุข ณ นคร จำนวน 2 คน ได้แก่ นางสาวพนิตตา ณ นคร สมรสกับ นายเรืองพล สุนทราชุน นางสาวตติยา ณ นคร สถานภาพโสด 2) บุตร - ธิดาของนายเติมศักดิ์ - ท่านผู้หญิงลดาวัลย์ สมันตรัฐ จำนวน 3 คน ได้แก่ นางสาวภัทราภรณ์ สมันตรัฐ สถานภาพโสด นางสาวบุศรินทร์ สมันตรัฐ สมรสกับ ร้อยเอกตะวัน อุมะวิชนี นายวรยุทธ สมันตรัฐ สมรสกับ นางสาวปราณี (ไม่ทราบนามสกุล) 3) บุตร - ธิดา ของนายเสรี - นางดวงฤดี สมันตรัฐ (ลูก) จำนวน 2 คน ได้แก่ นางสาวระตี สมันตรัฐ กับ นายปิติ สมันตรัฐ 4) บุตรของนายชัยรัฐ - นางนาตยา สมันตรัฐ จำนวน 3 คน ได้แก่ 111
นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล นายบุรินทร์ สมันตรัฐ นายอุดมฤทธิ์ สมันตรัฐ และ นายนิรุธ สมันตรัฐ ชั้นเหลน พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ - นางแช่ม มีเหลนดังนี้ 1) ธิดาของ นางเรืองพล-นางพนิตตา สุนทราชุน 1 คน ได้แก่ เด็กหญิงปุญญานุช สุนทราชุน 2) ธิดาของ ร้อยเอกตะวัน - นางบุศรินทร์ อุมะวิชนี (หลาน) 1 คน ได้แก่ นางสาวศุภจิต อุมะวิชนี สายนางภาพ สมนั ตรัฐ กับขุนเพทพานิช นางภาพ สมันตรัฐ (บินอับดุลลาห์) เป็นธิดาของหลวง โกชาอิศหาก (เกิด) มีมารดาชื่อนางเฮ้ง เชื้อสายคนจีน ภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพมหานคร ตามลำดับญาติแล้วถือเป็น น้องของพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ แต่ต่างมารดากัน ได้เดินทาง มาตั้งรกรากที่เมืองสตูล สมรสกับ ขุนเพทพานิช มีชื่อเดิม “เด็น” พื้นเพเป็นชาวเมืองไทรบุรี เข้ามาประกอบอาชีพค้าขาย ในเมืองสตูล เมื่อสมรสกับนางภาพ พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ก็ให้ ใช้นามสกุลบินอับดุลลาห์เป็นกรณีพิเศษ ภายหลังจึงเปลี่ยนไป ใช้นามสกุล สมันตรัฐ ในสมัยรัชกาลที่ 8 โดยสามารถพิจารณา ตามลำดับของวงศ์ตระกูล ชั้นพ่อ-แม่ เชื่อมโยงสู่ชั้นลูก ชั้นหลาน และชั้นเหลน ชั้นพ่อ - แม่ ขุนเพทพานิช-นางภาพ สมันตรัฐ ชั้นลูก ขุนเพทพานิช - นางภาพ สมันตรัฐ มีบุตร - ธิดา 6 คนดังนี้ 112
ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล 1) นายเล็ก สมันตรัฐ สมรสกับ นางสาวหนาบ ฮะยี ยาตรา (นายเล็กเป็นบุตรที่เกิดจากภรรยาเก่า พระยาสมันตรัฐ บุรินทร์อนุญาตให้ใช้นามสกุลสมันตรัฐได้) 2) นายการีม สมันตรัฐ สมรสกับ นางสาวอิ่ม สมันตรัฐ (เครือญาติ) 3) นายสมาน สมันตรัฐ สมรสกับ นางสาวชุ่ม สมันตรัฐ (เครือญาติ) 4) นายมิตร สมันตรัฐ สมรสกับ นางสาวจิ ยานาอาดี และ นางสาวสงวน (ไม่ทราบนามสกุล) เป็นชาวจังหวัดสงขลา 5) นางสาวมงคล (หนู) สมัตรัฐ สมรสกับ สิบตำรวจเอก หวัง ถิ่นสตลู 6) นายสนุ ทร สมนั ตรฐั สมรสกบั นางสาว อสุ าห์ สมนั ตรฐั (ลกู พี่ลูกน้อง) ชั้นหลาน ขุนเพทพานิช-นางภาพ สมันตรัฐ มีหลานดังนี้ 1) บุตร - ธิดา ของนายเล็ก - นางหนาบ สมันตรัฐ จำนวน 2 คน ได้แก่ นางสาวป้อ สมันตรัฐ สมรสกับ นายอารีย์ ปะลาวัน นายสพุ ล สมนั ตรฐั สมรสกบั นางสาวเจะ๊ นะ คณุ อารยี ์ 2) นายการีม - นางอิ่ม สมันตรัฐ ไม่มีทายาท 3) บุตร -ธิดา ของนายสมาน - นางชุ่ม สมันตรัฐ จำนวน 6 คน ได้แก่ 113
นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล นางสาวมณี สมันตรัฐ สมรสกับ นาวาเอกประจวบ สมันตรัฐ (เครือญาติ) นางสาวอุไรวรรณ สมันตรัฐ สมรสกับ นายเฉลิม เขมะสิงคิ นางสาวจินดา สมันตรัฐ สมรสกับ นายวิเชียร (ไม่ทราบนามสกุล) นางสาวอาภรณ์ สมันตรัฐ สมรสกับ นายสุธี (ไม่ทราบนามสกุล) นายเฉลียว สมันตรัฐ สมรสกับ นางสาวประทุม (ไม่ทราบนามสกุล) นางสาวชลลดา สมันตรัฐ สมรสกับ นายธีระพงษ์ (ไม่ทราบนามสกุล) 4) บุตร - ธิดา ของนายมิตร-นางจิ สมันตรัฐ ภรรยา คนแรก จำนวน 7 คน ได้แก่ นางสาวสพุ ฒั น์ สมนั ตรฐั สมรสกบั นายฟารดิ ยมี สั ซา นางสาวสุพิศ สมันตรัฐ สมรสกับ นายดีน พันธ์ยโู ซ๊ะ นางสาวสุภาพ สมันตรัฐ สมรสกับ นายณรงค์ สุวรรณศรี นายสมาน สมันตรัฐ สมรสกับ นางสาวกาญจนา สตามัน นางสาวสุพรรณ สมันตรัฐ สมรสกับ นายเสถียร มหิวรรณ นายมนตรี สมันตรัฐ สมรสกับ นางสาวสุภาภรณ์ พันธ์ยูโซ๊ะ นางสาวสพุ ร สมนั ตรฐั สมรสกบั นายอรณุ ละไบเดน็ 114
ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล นายมิตร-นางสงวน สมันตรัฐ ภรรยาคนที่สอง มีบุตร-ธิดา 6 คน ดังนี้ พันตำรวจเอกรัฐ สมันตรัฐ (ไม่มีข้อมูลครอบครัว) อยู่ที่กรุงเทพมหานคร นางสาวสมบูรณ์ สมันตรัฐ (ไม่มีข้อมูลครอบครัว) อยู่ที่จังหวัดปัตตานี นายอุดม สมันตรัฐ (ไม่มีข้อมูลครอบครัว) อยู่ที่ จังหวัดยะลา นางสาวพูนสุข สมันตรัฐ (ไม่มีข้อมูลครอบครัว) อยู่ที่ จังหวัดสงขลา นายพลตรี สมันตรัฐ สมรสกับ นางสาววีนัส (ไม่ทราบนามสกุล) อยู่ที่กรุงเทพมหานคร) นายโชคชัย สมันตรัฐ (ไม่มีข้อมูลครอบครัว) อยู่ที่กรุงเทพมหานคร 5) บุตรของ ส.ต.อ. หวัง - นางมงคล ถิ่นสตูล จำนวน 2 คน ได้แก่ นายแพทย์อุดม ถิ่นสตูล สมรสกับ นางสาวบังอร (ไม่ทราบนามสกุล) นายอุทัย ถิ่นสตลู สมรสกับ นางสาวสมร ทุ่งหว้า 6) บุตร - ธิดาของ นายสุนทร – นางอุสาห์ สมันตรัฐ จำนวน 12 คน ไก้แก่ นางสาวสมฤกษ์ สมันตรัฐ สมรสกับ นายเกษม มะโรหบุตร นายสมชัย สมันตรัฐ สมรสกับ นางสาวดรุณี จันทรมงคล 115
นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล นายสมชาติ สมันตรัฐ (กำเนิดงาม) สมรสกับ นางสาวอมรา อมรสิน ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของ พลตรีเล็ก กำเนิดงาม ศุภนิตย์ สมันตรัฐ (กำเนิดงาม) สมรสกับ นางสาว ขัตติยา ศิริปะชนะ ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของ พลตรีเล็ก กำเนิดงาม นายสุรพงษ์ สมันตรัฐ สมรสกับ นางสาวสุรัตน์ คุณากรเวโรจน์ นายสุรชัย สมันตรัฐ สมรสกับ นางสาวมาซีหย๊ะ ทวีกาญจน์ นางสาวสาวิตรี สมันตรัฐ สมรสกับ นายรณรงค์ ศรีจันทรานนท์ นายสุรพันธ์ สมันตรัฐ สมรสกับ นางสาวพีวะ (ไม่ทราบนามสกุล นางสาวมาริสา สมันตรัฐ สมรสกับ นายอิทธิพล ธนิกกุล นางสาวสุขฤดี สมันตรัฐ สถานภาพโสด นายสมชาย สมันตรัฐ สมรสกับ นางสาวนัยนา จงประพันธ์ นายสาทร สมันตรัฐ สมรสกับ นางสาวทัศนีย์ บรรณประเสริฐ ชั้นเหลน ขุนเพทพานิช-นางภาพ สมันตรัฐ มีเหลน ดังนี้ 1) นายอารีย์ - นางป้อ ปะลาวัน ไม่มีข้อมูลครอบครัว ชัดเจน 116
ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล 2) บุตร-ธิดา ของนายสุพล - นางเจ๊ะนะ สมันตรัฐ จำนวน 5 คน ได้แก่ นางสาวปรีดา สมันตรัฐ สมรสกับ นายบาซอรี มานะกล้า นางสาวสุณีย์ สมันตรัฐ สมรสกับ นายมูฮำหมัด อารีเฟน นางสาวนัยนา สมันตรัฐ สมรสกับนายสมนึก อโศกสกุล นายอภินันท์ สมันตรัฐ สมรสกับ นางสาวมาระดา สมันตรัฐ (เครือญาติ) นางสาวสุธีรา สมันตรัฐ สมรสกับ จ่าสิบตำรวจ สิรวิชญ์ งะสมัน 3) บุตร-ธิดา ของนายสมาน - นางชุ่ม สมันตรัฐ (หลาน) เมื่อสมรสก็เปลี่ยนไปใช้นามสกุลตามสามี มีบุตรชายเพียง คนเดียว ข้อมลู ด้านครอบครัวไม่ชัดเจน 4) บุตร - ธิดา นายฟาริด - นางสุพัฒน์ ยีมัสซา (หลาน) จำนวน 6 คน (ไม่มีข้อมูล) 5) บุตร – ธิดาของนายดีน - นางสุพิศ พันยูโซ๊ะ จำนวน 5 คน (ไม่มีข้อมูล) 6) บุตร - ธิดา ของนายณรงค์ - นางสุภาพ สุวรรณศรี จำนวน 3 คน (ไม่มีข้อมูล) 7) บุตร – ธิดาของนายสมาน - นางกาญจนา สมันตรัฐ จำนวน 8 คน ได้แก่ 117
นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล นายกวี สมนั ตรฐั สมรสกบั นางสาวมาเรยี ม นาวาเดช นางสาวมีนา สมันตรัฐ สมรสกับ นายอาแมน อำมาตี นางสาวสุกัลยา สมันตรัฐ สมรสกับ นายอาลีม เงินเจริญ นาย สุรพล สมันตรัฐ สมรสกับ นางสาวลำดวน หวันเสียง นายอุดมโชค สมันตรัฐ สมรสกับ นางสาววิไลลักษณ์ โคมเมือง นางสาวสุวรรณา สมันตรัฐ สมรสกับ นายอภิชาต ศรีใส นายทวีศักดิ์ สมันตรัฐ สมรสกับ นางสาวจามรี พลเยี่ยม นายมานะ สมนั ตรฐั สมรสกบั นางสาวปราณี อบทอง 8) บุตร - ธิดาของนายเสถียร - นางสุพรรณ มหิวรรณ (ไม่มีข้อมูล) 9) บุตร - ธิดาของ นายมนตรี - นางสุภาภรณ์ สมันตรัฐ จำนวน 3 คน ได้แก่ นายมนญู ศกั ด์ิ สมนั ตรฐั สมรสกบั นางสาวสคุ นธท์ พิ ย์ สนูบุตร นายศุภชัย สมันตรัฐ สถานภาพโสด นางสาวจนิ ตนา สมนั ตรฐั สมรสกบั นายวธิ าน หลงั จ ิ 10) บุตร - ธิดา ของนายอรุณ - นางสุพร ละไบเด็น จำนวน 4 คน (ไม่ทราบข้อมูล) 118
ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล 11) สาย นายมิตร-นางสงวน สมันตรัฐ (ลูก) ภรรยาคนที่ สอง มีทายาท 6 คน นับเป็นชั้นหลาน บุตร 3คน ธิดา 3คน ไม่มี ผู้ใดตั้งถิ่นฐานในจังหวัดสตูล ข้อมูลไม่ชัดเจน 12) บุตร - ธิดาของนายเกษม - นางสมฤกษ์ มะโรหบุตร จำนวน 4 คน (ไม่มีข้อมลู ) 13) ธิดาของ นายสมชัย-นางดรุณี สมันตรัฐ จำนวน 2 คน ได้แก่ นางสาวระวีวรรณ สมันตรัฐ กับ นางสาวกนกวรรณ สมันตรัฐ 14) นายสมชาติ สมันตรัฐ (กำเนิดงาม) กับนายศุภนิตย์ สมนั ตรฐั (กำเนดิ งาม) เปน็ บตุ รบญุ ธรรมของพลตรเี ลก็ กำเนดิ งาม ถือว่าเปลี่ยนนามสกุลไปแล้ว นับเป็นชั้นหลาน 15) ธิดาของ นายสุรพงษ์ - นางสุรัตน์ สมันตรัฐ จำนวน 2 คน ได้แก่ นางสาวสอระยา สมนั ตรฐั กบั นางสาวนศุ รา สมนั ตรฐั 16) บุตร-ธิดา ของนายสุรชัย-นางมาซีหยะ สมันตรัฐ จำนวน 3 คน ได้แก่ นางสาวสุนันทา สมันตรัฐ นางสาวสุชาดา สมันตรัฐ และนายสุตพงศ์ สมันตรัฐ 17) บตุ ร - ธดิ า ของนายรณรงค์ - นางสาวติ รี ศรจี นั ทรานนท์ 2 คน (ไม่มีข้อมลู ) 18) ธิดาของ นายสุรพันธ์-นางพีซะ สมันตรัฐ 1 คน คือ นางสาวรคู อยะ สมันตรัฐ 119
นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล 19) บุตร - ธิดา ของนายสมชาย-นางนัยนา สมันตรัฐ จำนวน 5 คน ได้แก่ นางสาวลีนา สมันตรัฐ นางสาวราณี สมันตรัฐ นางสาวนาเดีย สมันตรัฐ นายอันศอรี สมันตรัฐ นางสาวซอบีบี สมันตรัฐ สายขุนกาญจนประศาสน์ (หมาน สมันตรฐั ) ขุนกาญจนประศาสน์ หรือ นายหมาน บินอับดุลลาห์ เป็นบุตรของหลวงโกชาอิศหาก (เกิด) ซึ่งเกิดจากภรรยาชื่อ นางซว้ิ มเี ชอ้ื สายคนจนี ชาวกรงุ เทพมหานคร ขนุ กาญจนประศาสน์ เป็นน้องต่างมารดาของพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ ได้อพยพเข้า มาประกอบอาชีพในจังหวัดสตูลเช่นเดียวกับ นางสาวภาพ บินอับดุลลาห์ พี่สาวต่างมารดากัน มีความชำนาญด้าน วิศวกรรมโยธา ขุนกาญจนประศาสน์ คือ ผู้ออกแบบก่อสร้าง ฝายชลประทานดุสน อำเภอควนโดน และก่อสร้างถนนหลาย สายในจังหวัดสตูล รวมทั้งการปรับปรุงถนนสายสตูล-ควนเนียง ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นถนนยนตการกำธร เป็นกำลังสำคัญของ พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ ในการพัฒนาถนนหนทางในเมืองสตูล สมัยนั้น ขุนกาญจนประศาสน์มีภรรยา 2 คน ได้แก่ นางสอ (ไม่ทราบนามสกุล) และนางตนกูเหลา (ไม่ทราบนามสกุล) พิจารณาตามลำดับชั้นของวงศ์ตระกูล เริ่มต้นจากชั้นพ่อ-แม่ เชื่อมโยงสชู่ ัน้ ลกู ช้ันหลาน และชั้นเหลน เนอ่ื งจากทายาทสายนี้ อาศัยอยู่ต่างจังหวัด ข้อมลู จึงไม่ชัดเจน 120
ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล ชน้ั พอ่ -แม่ ขนุ กาญจนประศาสน์ - นางสอ ภรรยาคนแรก ชั้นลูก ขุนกาญจนประศาสน์ - นางสอ มีธิดา 2 คน ได้แก่ 1) นางสาวน้อมจิต (ด๊ะ) สมันตรัฐ สมรสกับ พลตำรวจ ตรีเล็ก กำเนิดงาม ซึ่งเป็นหลานของหลวงโกชาอิศหาก 2) นางสาวอสุ าห์ สมนั ตรฐั สมรสกบั นายสนุ ทร สมนั ตรฐั (เครือญาติ) เนื่องจาก พลพลตำรวจตรีเล็ก - นางน้อมจิต กำเนิดงาม ไมม่ บี ตุ รชาย จงึ ไดข้ อบตุ รของนางสนุ ทร - นางอสุ าห์ สมนั สตรฐั 2 คนมาเป็นบุตรบุญธรรม ได้แก่ นายสมชาติ กำเนิดงาม กับ นายศุภนิตย์ กำเนิดงาม ชั้นพ่อ-แม่ ขุนกาญจนประศาสน์-นางตนกูเหลา ภรรยา คนที่สอง ชั้นลูก ขุนกาญจนประศาสน์-นางตนกูเหลา แต่ใช้ นามสกุล “โกชากาญจนรัฐ” มีบุตร-ธิดา 3 คน ดังนี้ 1) นายสตูล โกชากาญจนรัฐ สมรสกับ นางประนอม (ไม่ทราบนามสกุล) 2) นางสาวอุมา (หวันมะ) โกชากาญจนรัฐ สมรสกับ นายหมาดเต๊ะ มาลินี 3) นายศุภยาน สมันตรัฐ สมรสกับ นางสาวสาหรี (ไม่ทราบนามสกุล) เดิมใช้นามสกุล โกชากาญจนรัฐ ภายหลัง เปลี่ยนเป็น สมันตรัฐ 121
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล ชั้นหลาน ขุนกาญจนประศาสน์ - นางตนกเู หลา มีหลาน ดังนี้ 1) บุตรของ นายสตูล-นางประนอม โกชากาญจนรัฐ จำนวน 3 คน (ไม่มีข้อมลู ) 2) บุตร-ธิดาของนายหมาดเต๊ะ - นางอุมา จำนวน 3 คน (ไม่มีข้อมูล) 3) บุตร - ธิดา ของนายศุภยาน - นางสาหรี สมันตรัฐ จำนวน 3 คน ไดแ้ ก่ นายศรณั ย์ สมนั ตรฐั นางสาวศริ า สมนั ตรฐั และนายศรัทธา สมันตรัฐ จากโตะ๊ แนแนะสทู่ ายาทชน้ั ปัจจบุ นั ต้นตระกูล “สมันตรัฐ” สืบเชื้อสายมาจาก นายหวันมูซา พ่อค้าชาวเมืองไทรบุรี ซึ่งอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในกรุงสยาม ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จึงสืบสายวงศ์ ตระกลู ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันได้ 7 ชั้น ดังนี้ ชั้นที่ 1 นายหวันมูซา อพยพมาจากเมืองไทรบุรี มาตั้ง ถิ่นฐานที่กรุงธนบุรี ในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้สมรสกับลูกสาวคนจีน ประกอบอาชีพค้าขาย ชั้นที่ 2 หลวงโกชาอิศหาก (นายเกิด) เป็นบุตรของนาย หวันมูซา มีชีวิตอยู่ในรัชกาลที่ 4 - 6 เคยรับราชการเป็นล่าม มลายูในสมัยรัชกาลที่ 5 มีภรรยา 9 คน ชั้นที่ 3 พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ เป็นบุตรคนที่ 12 ของ หลวงโกชาอิศหาก (เกิด) มีชีวิตในสมัยรัชกาลที่ 5 - 9 เป็น 122
ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล ผู้ว่าราชการเมืองสตูล 18 ปี ขอพระราชทานนามสกุล บินอับ ดุลลาห์ ในสมัยรัชกาลที่ 6 เปลี่ยนเป็น สมันตรัฐ ในรัชกาลที่ 8 เครือญาติที่ใช้นามสกุลนี้ ได้แก่ นางภาพ สมันตรัฐ และ ขุนกาญจนประศาสน์ ชั้นที่ 4 ได้แก่ บุตร - ธิดาของพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ เช่น นายเติมศักดิ์ สมันตรัฐ (อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี และชุมพร) นางเพิ่มสุข ณ นคร นายเสรี สมันตรัฐ ฯลฯ บุตร - ธิดาของนางภาพ สมันตรัฐ เช่น นายมิตร สมันตรัฐ นายสุนทร สมันตรัฐ นายสมาน สมันตรัฐ ฯลฯ บุตร - ธิดาของ ขุนกาญจนประศาสน์ เช่น นางน้อมจิต สมันตรัฐ นางอุสาห์ สมันตรัฐ นายศุภยาน สมันตรัฐ ฯลฯ ชั้นที่ 5 เป็นทายาทที่ต่อเนื่องจากชั้นที่ 4 ได้แก่ นายวรยุทธ สมันตรัฐ นายปิติ สมันตรัฐ นายสมชัย สมันตรัฐ นายมนตรี สมันตรัฐ นายแพทย์อุดม ถิ่นสตูล พันตำรวจโทรัฐ สมันตรัฐ นายสมาน สมันตรัฐ นางสุพิศ พันธ์ยูโซ๊ะ ฯลฯ ชั้นที่ 6 เป็นทายาทที่สืบต่อจากชั้นที่ 5 ได้แก่นางปรีดา มะนะกล้า นายสุรพล สมันตรัฐ นางสุกัลยา เงินเจริญ นายมนญู ศกั ด์ิ สมนั ตรฐั นายศภุ ชยั สมนั ตรฐั นางสาวระววี รรณ สมันตรัฐ นายสุตพงษ์ สมันตรัฐ นางสาวลีนา สมันตรัฐ ชั้นที่ 7 เป็นทายาทที่สืบต่อจากชั้นที่ 6 เมื่อมีครอบครัว ให้กำเนิดทายาทของพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ นางภาพ สมันตรัฐ และขุนกาญจนประศาสน์ ได้แก่ เด็กหญิงณัฐนันท์ สมันตรัฐ เด็กหญิงมนัสนันท์ สมันตรัฐ เด็กหญิงธัญวรัตน์ สมันตรัฐ เด็กหญิงฮุสนา สมันตรัฐ 123
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล 4.1.1.1 เครอื ข่ายและความสมั พันธ์ทางการเมอื ง พระยาสมันตรัฐบุรินทร์เป็นข้าราชการยุค ศักดินาซึ่งมีการทำงานในระบบข้าราชการ ซึ่งทำหน้าที่เป็น ตัวแทนของประชาชนโดยการได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น เครือข่ายและความสัมพันธ์ทาง การเมืองจึงเป็นบุคคล และกลุ่มบุคคลในระบบราชการ และ บุคคลนับถือศาสนาอิสลาม และที่สำคัญในกลุ่มเครือญาติ ซึ่งเป็นตระกูลใหญ่มีลูกหลานมากมาย รวมถึงเพื่อนฝูงตราบ จนถึงในยุคปัจจุบัน และจากการศึกษาพบว่า ตระกูลของ พระยาสมันตรัฐบุรินทร์มีลูกหลานจำนวนมากซึ่งเป็นครอบครัว ขยายที่ยังประกอบอาชีพอยู่ในจังหวัดสตูลและเป็นที่รู้จักของ คนรุ่นหลังถึงคุณงามความดีในการอุทิศตนเพื่อการพัฒนา จังหวัดสตูล รวมถึงคนรุ่นหลังยังได้สืบทอดแนวความคิดทาง ด้านการเมืองด้วย 4.1.1.2 บทบาททางการเมอื ง หลังจากที่พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ ได้ออกจาก ราชการแล้วพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ จึงหันมาเป็นนักการเมือง ระดับท้องถิ่นและระดับชาติ พระยาสมันตรัฐบุรินทร์เป็นคนแรก ของสตูลที่ได้รับเลือกตั้งใน พ.ศ. 2476 เป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร รัฐมนตรี วุฒิสมาชิก และประธานสภาจังหวัดสตูล พระยาสมันตรัฐบุรินทร์เป็นนักปกครองที่มีความสามารถระดับ ท้องถิ่นและระดับชาติ ในช่วงที่พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ได้ปฏิบัติ หน้าที่นั้น นายมนตรี สมันตรัฐ (สัมภาษณ์, 16 พฤษภาคม 2554) กล่าวว่า “พระยาสมันตรัฐบุรินทร์มีนิสัยชอบช่วยเหลือ 124
ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล ผู้ที่ลำบากและไม่ว่าใครจะมาขอให้พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ ช่วยอะไรพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ไม่เคยปฏิเสธ พระยาสมันตรัฐ บุรินทร์หมั่นเอาใจใส่ดูแลประชาราษฎร์เป็นอย่างดี จึงทำให้ ประชาชนหรือชาวบ้านที่อยู่ในการปกครองของท่านรักและ เคารพท่านมาก เพราะท่านเป็นคนดีไม่ถือตัว และท่านได้ พัฒนาจังหวัดเป็นอย่างดีเป็นผู้จัดตั้งโรงเรียนสอนหนังสือไทย ขึ้นเป็นครั้งแรกจากเดิมที่ โรงเรียนสอนแต่ภาษามลายู ทั้งยังได้ พัฒนาด้านคมนาคมสร้างถนนสายสำคัญ ถนนสายเกาะนก สายฉลุง สายบ้านท่าจีน บ้านเกตรี อำเภอละงู ถึงอำเภอ ทุ่งหว้า และได้ตัดเส้นทางทั้งทางรถไฟและทางรถยนต์ขึ้น” 4.1.1.3 กลวิธีการหาเสยี ง อันเนื่องมาจากการที่พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น พระยา สมันตรัฐบุรินทร์จึงไม่มีกลวิธีในการหาเสียง โดยเมื่อได้รับการ แต่งตั้งพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ได้ทำงานในหน้าที่การดูแล ประชาชนในจังหวัดสตูล รวมถึงการพัฒนาจังหวัดสตูลตลอด ร ะ ย ะ เ ว ล า ท ี ่ พ ร ะ ย า ส ม ั น ต ร ั ฐ บ ุ ร ิ น ท ร ์ ด ำ ร ง ต ำ แ ห น ่ ง อ า ศ ั ย การตรวจงานพบปะประชาชนไปตามท้องถิ่นและรับรู้ปัญหา ของราษฎรมีปัญหา และให้การช่วยเหลือบริจาคสร้างโครงสร้าง พื้นฐาน เช่น ถนนหนทางสายต่างๆ ในจังหวัดสตูลเป็นการ สร้างคุณงามความดีอย่างต่อเนื่องจนได้รับรางวัล 125
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล ภาพที่ 4 คณุ มนตรี สมนั ตรฐั ภาพท่ี 5 บทบาททางการเมืองของพระยาสมนั ตรัฐบรุ นิ ทร ์ 4.1.2 นายสงวน ณ นคร นายสงวน ณ นคร ได้สมรสกับคนอิสลาม ในการ แต่งงานจึงเป็นแบบพิธีอิสลาม และ นายสงวน ณ นคร จึงได้ ถือศาสนาอิสลามตลอดมา และมีภรรยาที่แต่งงานด้วยเพียงแค่ คนเดียว จากนั้นได้มีลูก 3 คน มีพี่น้อง 8 คน คนที่ 1 ชื่อสะอ้าน ณ นคร คนที่ 2 ชื่อสนั่น ณ นคร คนที่ 3 ชื่อ จิตนา ณ นคร คนที่ 4 ชื่อจิตรา ณ นคร คนที่ 5 ชื่อสะอาด ณ นคร คนที่ 6 ชื่อ ฉันทนา ณ นคร คนที่ 7 ชื่อสวาท ณ นคร คนที่ 8 ชื่อสวิส 126
ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล ณ นคร สำเร็จการศึกษาจากกรุงเทพมหานคร มีความสามารถ พดู ได้ 7 ภาษา 4.1.2.1 เครือขา่ ยและความสมั พนั ธท์ างการเมอื ง ด้วยบุคลิกส่วนตัวแล้ว นายสงวน ณ นคร เป็น คนนิสัยใจกว้าง ชอบช่วยเหลือทุกคนที่ลำบาก หรือชาวบ้าน ที่ขอความช่วยเหลือเสมอ จึงทำให้มีชาวบ้านรักและเคารพ ดังนั้น เครือข่ายและความสัมพันธ์ทางการเมืองของนายสงวน ณ นคร ที่โดดเด่น คือ ประชาชนในพื้นที่จังหวัดสตูล ซึ่ง นายสงวน ณ นคร เป็นบุคคลที่มีความรู้จึงเป็นที่ไว้วางใจ ประชาชนให้ความเชื่อถือ 4.1.2.2 บทบาททางการเมอื ง ในสมัยนั้นนายสงวน ณ นคร ไม่มีบทบาท ทางการเมืองมากนัก ส่วนมากอันเนื่องมาจากการที่ไม่ว่า นายสงวน ณ นคร จะทำอะไรที่เป็นการช่วยประชาชนและ มีการพัฒนาจังหวัดสตูล “ชาวบ้านให้ความร่วมมือกัน มีความ สามัคคีต่อกันและกัน มีการพัฒนาร่วมกัน และยังร่วมมือการ สร้างมัสยิด โดยชาวบ้านให้ความร่วมมือเองด้วยความเต็มใจ” (นายสวาท ณ นคร, (สัมภาษณ์), 16 พฤษภาคม 2554) นายสงวน ณ นคร รับการเลือกตั้ง 1 สมัย คือ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480 นายสงวน ณ นคร ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดสตลู 127
นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล ภาพท่ี 6 นายสงวน ณ นคร ทายาททางสายเลอื ด ไมใ่ ชท่ ายาททางการเมือง 4.1.2.3 กลวิธีการหาเสยี ง การหาเสียงในช่วงนั้น ไม่ได้มีการขายเสียงมาก นัก แต่จะเป็นการรับเลี้ยงลูกของชาวบ้านมาเป็นลูกเลี้ยง และมี การเลี้ยงดูอย่างดี ให้ได้รับการศึกษาจนจบการศึกษา จึงทำให้ มีงานทำสามารถเลี้ยงดูพ่อแม่ของตนเองได้จึงทำให้เป็นการให้ เสียงแบบช่วยเหลือ บางครั้งก็มีการช่วยเหลือชาวบ้าน โดย การพามาอาศัยอยู่ด้วยกัน มีการเลี้ยงอาหาร และที่อยู่อาศัย ต่างๆ จึงทำให้ชาวบ้านมีความไว้วางใจเสมอมา (นายสวาท ณ นคร, (สัมภาษณ์), 16 พฤษภาคม 2554) 4.1.3 นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ นายเจ๊ะอับดุลลาห ์ หลังปูเต๊ะ มีชื่อเดิมว่า นายเจ๊ะอับ ดุลลาห์ บิลมูฮัมมัดสาอาด บินปูเตะ บินยะโกบ หลังปูเต๊ะ เป็น ลกู หลานชาวไร่ชาวนา เชื้อชาติมลายู เกิดที่บ้านทำเนียบ ตำบล โกตา อำเภอละงู จังหวัดสตูล เกิดเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 128
ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล พ.ศ.2434 (เจ๊ะอับดุลลาห์ บินมูฮัมมัดสาอาด หลังปูเต๊ะ, 2518, น. 43, สำนักงานประถมศึกษาจังหวัดสตูล, 2533, น. 86) วัลลี ปิติเศษฐ์ (สัมภาษณ์, 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2434) ได้เล่าถึง ประวัติของนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะว่า นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ เป็นบุตรชายของมูฮัมมัดสาอาด และนางเจ๊ะม๊ะ หวันสู มีพี่น้องสองคน เป็นพี่สาวต่างมารดาชื่อว่า เจ๊ะโหลย นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ มีภรรยา 3 คน คือ เจ๊ะซูไบด๊ะ บินตีละไบอับดุรเราะมาน เป็นภรรยามีบุตรทั้งหมด 8 คน ภรรยาคนที่สอง คือ คุณหญิงหวันเต๊ะ ไม่มีบุตรและภรรยาคน ที่สาม คือ สะอ์ดะ มีบุตร 3 คน ท่านมีหลานทั้งหมด 26 คน เจ๊ะมูฮัมมัดสาอาด หลังปูเต๊ะ ผู้เป็นบิดาของเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ คือคนเดียวกัน กับเจ๊ะอาดที่เริ่มเข้ามาปกครองเมือง ละงูพร้อมกับตนกูมูฮัมมัด เจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ มีบุตร ทั้งหมด 11 คน คือ เจ๊ะสาปอหรา เจ๊ะสาปูหรี เจ๊ะจาก วาลิด เจ๊ะมาฮานี อดินันท์ ไฟศอล วัลลี เดวานี ซัลวา ไลลา (วัลลี ปิติเศษฐ์,(สัมภาษณ์) 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2544) (อ้างถึงใน มารียา อาสะหนิ, 2548, น. 49) การศึกษาในครั้งแรกของนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ โดยได้ศึกษาอัลกุรอานกับครูละไบมูฮัมมัดอุเส็น บินฮัจญีอับ ดุรเราะห์มานเป็นครูที่เดินทางมาจากเมืองปีนัง ท่านได้ศึกษา อัลกุรอาน จนตัมมัดอัลกุรอาน ในปี พ.ศ. 2548 ได้เข้าศึกษา ภาษามลายูในโรงเรียนรัฐบาลเมืองสตูล ตั้งแต่ต้นเดือน ญามาดิลเอาวาล จนกระทั่งถึงสิ้นเดือนซุลกออีดะฮุ รวมเป็น เวลา 7 เดือน นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้ศึกษาด้านภาษา มลายูจนสำเร็จชั้น 3 บริบูรณ์ ที่อำเภอเมืองสตูล หลังจากนั้น 129
นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล ท่านก็กลับไปอยู่ที่บ้านทำเนียบ (ละงู) นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้พยายามศึกษาค้นคว้าคัดลอกหนังสือต่างๆ ได้รับ การอบรมทั้งทางด้านภาษา อบรมวิชาการศาสนา อบรม มารยาททางสังคม และขนบธรรมเนียมประเพณีมลายู เป็น อย่างดี (เจ๊ะอับดุลลาห์ บินมูฮัมมัดสาอาด หลังปูเต๊ะ, 2518, น. 44, วิไล เบ็ญจลักษณ์, 2516, น. 49) และนอกจากนั้น นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ก็พยายามศึกษาภาษาไทย จนอ่านออกเขียนได้ (สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัด สตูล,2533:88) นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ไม่เคยศึกษาวิชา ภาษาไทยที่เป็นหลักสูตรการเรียนการสอนจากสถาบัน การศกึ ษาใด นายเจะ๊ อบั ดลุ ลาห์ หลงั ปเู ตะ๊ ศกึ ษาโดยการฝกึ อา่ น จากบิดา และเรียนด้วยประสบการณ์ของตนเอง แต่อย่างไร ก็ตามนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ก็สามารถใช้ทักษะภาษา ไทยได้ดีทั้ง 4 ทักษะ คือ การฟัง พูด อ่าน และเขียน จนเป็นที่ ยอมรับของประชาชน และท่านยังแต่งกลอนได้ดีมาก เช่น ในหนังสือ Segugus Bunga ซึ่งพิมพ์ขายในต่างประเทศ (สุริยา ปันจอร์, (สัมภาษณ์) 25 สิงหาคม พ.ศ. 2545, บาหรี ม่าเหร็ม, สัมภาษณ์) 1 กันยายน พ.ศ. 2545, เจริญ โฉลกดี, (สัมภาษณ์) 10 กันยายน พ.ศ. 2545) และเทียบความรู้ทางภาษาไทยของ ท่านไม่ต่ำกว่า ม.6 ดังมีเหตุการณ์ตอนหนึ่ง ในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ. 2495 ที่มีเหตุการณ์ เคลื่อนไหวทางการเมือง นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ในช่วงนั้นมีการยุบสภา ผู ้ แ ท น ร า ษ ฎ ร แ ล ะ ม ี ก ฎ ห ม า ย เ ล ื อ ก ต ั ้ ง อ อ ก ม า ใ ห ม ่ ว ่ า ผู้มีคุณสมบัติมีสิทธิรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้อง 130
ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่า ม.6 หรือเทียบเท่าไม่ต่ำกว่าเปรียญ 5 ประโยค แต่สำหรับนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ไม่ได้ ศึกษาภาษาไทยเลยแม้แต่ชั้นประถม หากจะพิจารณาถึง การสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายเจ๊ะอับดุลลาห ์ หลังปูเต๊ะ ก็ยังไม่ผ่านคุณสมบัติตามกฎหมาย เมื่อเหตุการณ์ เป็นดังนั้นกอปรกับขณะนั้นในจังหวัดภาคใต้มีความปั่นป่วน ทางด้านการเมือง นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ จึงเขียน หนังสือด่วนเรียนจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีว่า (เจ๊ะอับดุลลาห ์ บินมูฮัมมัดสาอาด หลังปูเต๊ะ, 2518, น. 51) กฎหมายเลือกตั้งฉบับใหม่มิได้คำนึงถึง 4 จังหวัดเลย ว่าด้วย การเรียนเทียบวิทยฐานะ ผู้ไม่มีการศึกษาสำเร็จ ม.6 ก็เปรียบ เอาเปรียญ 5 ประโยค เมื่อคิดถึงการศึกษาของกระผมแล้ว เปรียบเปรียญไม่ต่ำกว่า 11 ประโยคตามบัญญัติอิสลามจึงจะ เอา 4 จังหวัดไว้ได้โดยเข้าถึงจิตใจประชาชนที่นับถือศาสนา อิสลามระดับเปรียญด้วยกันโดยเสรี หลังจากนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงมีคำสั่งโดยด่วนให้กรรมการเจ้าหน้าที่กระทรวง ศึกษาธิการสอบวิทยฐานะของเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ และ ผู้ที่เข้าสอบเทียบเปรียญทั่วไป ดังนั้น ท่านจึงขอสอบตาม บัญญัติ 11 ประโยคตามศาสนาบัญญัติ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอม และบอกว่าผู้ที่เข้าสมัครไม่มีคุณสมบัติไม่มีความรู้ นายเจ๊ะอับ ดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ จึงให้การคัดค้านว่ารัฐบาลถือว่าไม่มีความรู้ ไม่ได้ข้อบัญชาท่านนายก อย่างไรก็ดี รัฐบาลก็มีเครื่องมือ พร้อมในเวลานี้ คือ คณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทยเป็น ที่ปรึกษาของกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการตาม กฎหมายนั้นควรให้คณะกรรมการเจ้าหน้าที่เชิญคณะกรรมการ 131
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล อสิ ลามประจำสำนกั จฬุ าราชมนตรเี ขา้ มารว่ มเปน็ คณะกรรมการ เจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษาธิการ (อ้างถึงใน มารียา อาสะหนิ, 2548, น. 50) สำหรบั การทำงานในชว่ งแรกการทำงานของเจะ๊ อบั ดลุ ลาห์ หลังปูเต๊ะนั้น ท่านได้รับราชการเป็นเสมียนที่ว่าการศาลละงู (Tempat Kerajaan Balai Langu) ในปี พ.ศ. 2451 ช่วงนั้นเป็นช่วง ของกบฏตนกูเบนที่พยายามแสดงสิทธิว่าตนเป็นทายาทของ เจ้าเมืองและไม่พอใจในรัฐบาลของกูเด็นบินกูแมะ (พระยา ภูมินารถภักดี) เรื่องการจัดเก็บภาษี และกล่าวหาว่ากูเด็น บินกูแมะนั้นเป็นผู้ที่ทางราชการเมืองไทรบุรีส่งมาปกครองเมือง สตูล คงไม่ได้รักใคร่ประชาชนชาวสตูลอย่างจริงจัง ไม่เหมือน กับตนเองซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าเมือง ตนกูเบนจึงได้ จัดงานขึ้นได้ตั้งหัวหน้าก่อการขึ้นและให้สัญญาว่าหากเกิด สัมฤทธิผลในงานดังกล่าวจะแต่งตั้งให้มีตำแหน่งสูงๆ เมื่อเกิดมี การกระด้างกระเดื่องขึ้นกลุ่มผู้ต่อต้านได้ถืออาวุธเข้ามาในเมือง ทั้งๆ ที่รัฐบาลสตูลได้ประกาศแล้วว่าห้ามถืออาวุธเข้ามาในเขต ตัวเมือง เมื่อเข้ามาในเมืองแล้วได้ประกาศว่าจะไม่เคารพต่อ กฎหมายของกูเด็น บินกูแมะ และต้องการให้ผู้สืบเชื้อสายสตูล เป็นเจ้าเมือง เหตุการณ์ชุมนุมจึงเกิดขึ้น ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า “เข้ายี่หิ้นกูเบน” มีการจัดมโนราห์ หนังตะลุง มะโย่ง มีการเปิด เล่นการพนัน การชนวัวควาย เพื่อชักจูงประชาชนเข้ามา ณ ทช่ี มุ นมุ (เจะ๊ อบั ดลุ ลาห ์ หลงั ปเู ตะ๊ , 2501, น. 46, เจะ๊ อบั ดลุ ลาห์ บินมูฮัมมัดสาอาด หลังปูเต๊ะ, 2518, น. 44) นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้เข้าทำงานเป็นเสมียนที่ว่าการอำเภอละงูได้ 2 ปี แล้วลาออกจากราชการเพื่อไปศึกษาศาสนาอิสลาม (ณ สำนัก 132
ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล สอนศาสนา บ้านฉลุง) กับฮัจญีหะชัน บินอับดุลการีม บินปูเต๊ะ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางศาสนาหนึ่งไปศึกษา ณ นครมักกะฮ ฺ เป็นเวลา 16 – 17 ปี ขณะนั้น เจ๊ะอับดุลลาห์ อายุได้ 17 ปี ต่อมาใน พ.ศ. 2452 ได้เข้ารับราชการเป็นกอฏีเชิงบังคับ หรือ ผู้ช่วยกอฎีกับท่านครู (ฮัจญีหะซัน หลังปูเต๊ะ) ซึ่งได้รับการ เลือกตั้งจากเจ้าเมืองสตูล คือ ตนกูฮะตนกูบาฮะรุดดีน พ.ศ. 2454 เจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ยังทำหน้าที่ผู้ช่วยกอฎี และได้ ลาออกใน พ.ศ. 2455 จากนั้นท่านได้แต่งงานกับเจ๊ะซูไบด๊ะ บินตี ละไบอับดุลเราะมาน (ขุนบานาราบบริรักษ์) และได้ ทำการค้า ณ ที่นั่น คือ ปากบารา มีเรือสำเภาจีนเดินทะเล ระหว่างกัวลาบารา (ปากบารา) ปีนังและสุมาตราเป็นประจำ ในขณะนั้นท่านก็ทำการค้าไม้ป่าชายเลนส่งปีนัง ทำการประมง เป็นนายอากรฟองเต่าที่เกาะอาดัง และยังมีหน้าที่ที่สำคัญ อีกอีกหน้าที่หนึ่งก็คือ ทางบริษัทเรือเดินทะเลที่มีชื่อว่า “สตรัตสเตม” ในปีนังได้ตั้งให้เป็นเอเยนต์สาขากัวลาบารา และในระยะนั้นท่านก็ได้สร้างมัสยิดเล็กๆ ที่ปากบาราขึ้น (เจ๊ะอับดุลลาห์ บินมูฮัมมัดสาอาด หลังปูเต๊ะ, 2518, น. 44 – 45, กำพล กังแฮ, 2542 : 1750) (อ้างถึงใน มารียา อาสะหนิ, 2548, น. 51 - 52) ใน พ.ศ. 2460 พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ ได้จัดให้มีการ อบรมประชาชนมุสลิมโดยจัดให้มีหน่วยงานกึ่งราชการขึ้น พระยาสมันตรัฐบุรินทร์จึงแต่งตั้งนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ เป็นนาเอบ (หมายถึง ตัวแทนหรือผู้ทำการแทนกอฎี เช่น การแต่งตั้งวาลีอาม เพื่อทำหน้าที่แทนดะโต๊ะยุติธรรมในการ ตัดสินคดีเรื่องครอบครัวและมรดก) ให้ทำหน้าที่รับผิดชอบ 133
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล ในอำเภอทุ่งหว้าและกิ่งอำเภอละงู และได้ดำเนินการนัดประชุม บรรดาอิมาม คอเต็บ บิหลั่น ทุกหมู่บ้าน โดยมีมติให้มีการ ประชุมประจำเดือนทุกต้นเดือนอิสลาม และมติจากการประชุม ประจำเดือนก็ส่งให้เจ้าเมืองพระยาสมันตรัฐบุรินทร์ทราบ ทุกครั้งและแจ้งไปยัง ฮัจญีเจ๊ะหะซัน หลังปูเต๊ะ ดะโต๊ะยุติธรรม เพื่อทราบ (เจ๊ะอับดุลลาห์ บินมูฮัมมัดสาอาด หลังปูเต๊ะ, 2518, น. 55) หลังจากฮัจญีเจ๊ะหะซัน หลังปูเต๊ะ ดะโต๊ะยุติธรรม สิ้นชีวิต พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ได้แต่งตั้งให้เจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ และฮัจญีบาหรี ม่าเหร็ม เป็นกอฎีเมืองสตูลสองคน ทำหน้าที่ได้ประมาณ 3 ปีเศษ ใน พ.ศ. 2463 เจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะได้ทำงานเกี่ยวกับสื่อสารมวลชนท่านได้เป็นผู้ช่วย บรรณาธิการหนังสือพิมพ์นาชีรุชามัน ในรัฐเมดานดะลีแห่ง สุมาตรา ตอ่ มาเป็นผ้ชู ่วยบรรณาธิการหนงั สือพมิ พอ์ ดี ารันชามัน หนังสือพิมพ์ปะหัตราและปีนัง และเป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ มลายาและหนังสือพิมพ์ปะงาโซะแห่งมลายา ท่านสนใจและ รักงานหนังสือพิมพ์มากใน พ.ศ. 2469 – 2473 ผู้ว่าราชการ จังหวัดสตูล (พระยาสมันตรัฐบุรินทร์) ได้แต่งตั้งให้เป็นกอฎี ทั่วไปว่าด้วยกรณีครอบครัว และหลังจากนั้นได้รับพระบรม ราชโองการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่งตั้งเป็นดะโต๊ะยุติธรรมประจำศาลจังหวัดสตูลเป็นผู้ชี้ขาด ข้อพิพาทกรณีครอบครัว และมรดกชาวมุสลิมประจำศาล จังหวัดสตูล (เจ๊ะอับดุลลาห์ บินมูฮัมมัดสาอาด หลังปูเต๊ะ, 2518, น. 47, กำพล กังแฮ, 2542, น. 1750, คณะกรรมการฝ่าย ประมวลเอกสารและจดหมายเหตุฯ, 2542, น. 256, สำนักงาน การประถมศึกษาจังหวัดสตูล,2529 น. 102) (อ้างถึงใน มารียา 134
ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล อาสะหนิ, 2548, น. 53) 4.1.3.1 เครอื ขา่ ยและความสัมพนั ธท์ างการเมอื ง นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ เป็นบุคคลที่ นับถือศาสนาอิสลาม และเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากบิดา ดังนั้น จากการศึกษาทำให้เห็น ได้ว่า เครือข่ายและความสัมพันธ์ทางการเมืองที่สำคัญของ เจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ คือ กลุ่มบุคคลผู้นับถือศาสนา อิสลาม โดยเฉพาะที่เห็นเด่นชัดก่อนที่ท่านจะได้รับเลือกเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่านได้รับตำแหน่งทางศาสนาอิสลาม คือ ดะโต๊ะ ซึ่งตำแหน่งดังกล่าวเป็นที่นับถือด้วยการให้ความ เคารพจากประชาชน การที่ได้รับตำแหน่งดังกล่าวนี้ก็สามารถ ยืนยัน และสร้างความน่าเชื่อถือว่าเป็นบุคคลที่ตั้งมั่นอยู่ใน ศาสนาตามหลักการปฏิบัติตนทางศาสนาอิสลามเป็นผู้กระทำ แต่ความดี ต้องให้ความช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือดร้อน และจากประวัติการทำงานนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ทำงานเกี่ยวกับด้านสื่อมวลชนซึ่งสื่อเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่ง ในการประชาสัมพันธ์งานต่างๆ ทำให้ประชาชนทราบถึง การทำงานเพื่อประชาชนในท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี 4.1.3.2 บทบาททางการเมอื ง ในช่วงรัฐบาลนายปรีดี พนมยงค์ สังคมมุสลิม 3 จังหวัด (ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) มิได้ให้ความสำคัญ มากเท่าที่ควร จึงทำให้ 3 จังหวัดนี้ไม่มีตัวแทนนักการเมือง ที่เป็นมุสลิมในรัฐสภา ส่วนในจังหวัดสตูลมีตัวแทน คือ นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ และตัวแทนมุสลิมอีก 2 คน คือ 135
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266