Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 57นักการเมืองถิ่นสตูล

57นักการเมืองถิ่นสตูล

Description: เล่มที่57 นักการเมืองถิ่นสตูล

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล นายรังสฤษฏ์ เชาวศิริ และนายบรรจง ศรีจรญู (Ahmad Omar Chapakiya, 2000, p. 107) นายรังสฤษฏ์ เชาวศิริ และนายเจ๊ะอับ ดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้มีข้อเรียกร้องให้รัฐบาลของนายปรีดี พนมยงค์ ปฏิบัติ 3 ประการ (อ้างถึงใน มารียา อาสะหนิ, 2548, น. 88) คือ 1. ให้มีการสอนศาสนาอิสลาม เพราะถือเป็นการปฏิบัติ กิจทางศาสนาตามบัญญัติของคำภีร์อัลกุรอาน 2. ให้มีการสอนในปอเนาะ ถึงแม้จะไม่มีหลักสูตร ไม่มี ลำดับชั้นเรียน ไม่จำกัดอายุผู้เรียน 3. โต๊ะครูผู้สอนไม่มีเงินเดือน การยังชีพขึ้นอยู่กับความ ศรัทธาของผู้เรียน ซึ่งโต๊ะครูไม่ได้เรียกร้อง ขอให้เลิกการควบคุม โต๊ะครูที่สอนในปอเนาะ และให้ถือว่าโต๊ะครูผู้สอนในปอเนาะ ไมอ่ ยใู่ นขา่ ยทจ่ี ะตอ้ งควบคมุ ตามพระราชบญั ญตั โิ รงเรยี นราษฎร์ (ณรงค์ ศิริปะชะนะ, 2533 :107) ดังนั้น ทางรัฐบาลนายปรีดี พนมยงค์ จึงคืนสิทธิอันแรก แก่ชาวมลายูมุสลิมในเดือนเมษายน พ.ศ. 2489 โดยการ อนุญาตให้ครูสอนภาษามลายู ภาษอาหรับและศาสนาอิสลาม ได้โดยไม่ถือว่าเป็นลักษณะการสอนที่อยู่ในระเบียบพระราช บัญญัติโรงเรียนราษฎร์ พ.ศ. 2486 (เฉลิมเกียรติ ขุนทองเพชร, 2517, น. 61) (อ้างถึงใน มารียา อาสะหนิ, 2548, น. 88) นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ เข้ามาสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลังจากได้ลาออกจากตำแหน่งดะโต๊ะ ยุติธรรม นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้ทำงานเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 5 สมัย คือ 136

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล 6 มกราคม พ.ศ. 2489 นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 1 29 มกราคม พ.ศ. 2491 นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 2 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตลู สมัยที่ 3 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 4 สังกัดพรรค เสรีมนังคศิลา 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 5 สังกัดพรรค สหภูมิ นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้เข้าไปเสนอเรื่องราว ของมุสลิมให้กับคณะรัฐบาลได้เข้าใจ นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ เป็นผู้หนึ่งที่ช่วยประนีประนอมความเข้าใจผิด ระหว่างรัฐบาลและประชาชน นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้กล่าวถึงหน้าที่ของท่านในขณะดำรงตำแหน่งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรว่าใน พ.ศ. 2489 ขณะท่านยังดำรงตำแหน่งดะโต๊ะ 137

นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล ยุติธรรมท่านได้คิดถึงบ้านเมืองขณะนั้นว่า เริ่มมีชาวต่างชาติ เข้ามาเยี่ยมเยียนราษฎรสี่จังหวัดภาคใต้เข้ามาดูแลความทุกข์ สุขของมุสลิม ศึกษาการทำมาหากิน ขนบธรรมเนียมประเพณี ทำให้นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ รู้สึกไม่สบายใจกอปรกับ นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ รับตำแหน่งดะโต๊ะยุติธรรมจึงมี ความรู้สึกว่ามีความห่างไกลกับรัฐบาลดังนั้น ท่านจึงตัดสินใจ ลาออกจากศาลเข้าสมัครผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล ตั้งแต่ พ.ศ. 2484 (เจ๊ะอับดุลลาห์ บินมูฮัมมัด สาอาด หลังปูเต๊ะ, 2518 น. 49) โดยช่วงที่เข้าสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายเจ๊ะอับ ดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้สรรหาเลขาฯ เพื่อมาช่วยทำงาน โดยผู้ที่ นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ พอใจและติดตามชักชวนให้เข้า มาทำงาน คือ นายเจริญ โฉลกดี ด้วยความสามารถของ นายเจรญิ โฉลกดี จงึ เปน็ ทส่ี นใจของนายเจะ๊ อบั ดลุ ลาห์ หลงั ปเู ตะ๊ จึงติดต่อไปยังนายเจริญ โฉลกดี แต่ก็ไม่ได้รับการตอบตกลง ในครง้ั แรก ดว้ ยความพยายามของ นายเจะ๊ อบั ดลุ ลาห์ หลงั ปเู ตะ๊ และด้วยการที่นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ เป็นผู้ที่มีจิตวิทยา ในการพดู สงู จงึ ทำใหน้ ายเจรญิ ตกลงทำงานกบั นายเจะ๊ อบั ดลุ ลาห์ หลังปูเต๊ะ ดังที่นายเจริญ โฉลกดี, (สัมภาษณ์) 10 กันยายน 2545) (อา้ งถงึ ใน มารยี า อาสะหน,ิ 2548, น. 88 - 89) ไดเ้ ลา่ ไวว้ า่ “ดะโต๊ะ (เจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ) ได้สั่งความ ตามพ่อตา คือ นายมะหะหมัด รุ่งเรืองว่าให้บอกกับ เจ๊ะอาด (เจริญ โฉลกดี) มาพบด้วยเวลาว่าง และท่านพดู มาว่า ที่ท่านอยากพบและพูดคุยด้วย เพราะว่าท่านรู้จัก ถึงญาติพี่น้องของตระกูลนี้ กระผมก็ตอบไปว่า “ผมไม่ 138

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล ค่อยมีเวลาว่าง ขอโทษด้วย หากไปหาดะโต๊ะต้องใช้เวลา นาน เวลาว่างหายากหน่อย” และด๊ะโต๊ะก็หายไป จากนั้น ก็สั่งมาอีก 2 - 3 ครั้ง กระผมก็ตอบอย่างเดิม กระทั่ง พ่อตาโกรธ บอกว่า “เสียมารยาทผู้ใหญ่อยากเจอ” จึง ตกลง หลังจากนั้นนายเจริญก็มาหาเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ เป็นประจำ เพราะรู้สึกถูกชะตา นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ บอกนายเจริญ โฉลกดี ให้ลาออกจากงานมาทำงานเป็น เลขานุการ เพราะนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ กำลังสมัครเข้า เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายเจริญ โฉลกดี จึงตอบว่า “ลาออกไม่ได้เพราะเงนิ เดือนแพง งานกห็ ายาก และกวา่ จะร้งู าน ตอ้ งใชเ้ วลาฝกึ หดั อยหู่ ลายป”ี แตส่ ดุ ทา้ ย นายเจรญิ โฉลกดี ก็ไม่ ได้ทำงานเป็นเลขาฯ ของนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ซึ่งเขา บอกว่า “ท่านดะโต๊ะเป็นผู้ที่มีจิตวิทยาในการพูดสูง โน้มน้าว ชักจูงใจในความต้องการของท่านจนทำให้เคลิบเคลิ้ม นาย เจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ เป็นผู้ที่มีความรู้สูงในด้านศาสนาและ การเมือง” (เจริญ โฉลกดี (สัมภาษณ์) 10 กันยายน พ.ศ. 2545) นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้เสนอต่อรัฐบาลให้มี การเรียนการสอนภาษามาลาย ู เพราะถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับมุสลิมภาคใต้เช่นกัน ในเรื่องนี้ก็มีผู้ที่มีความเห็นพ้องกัน กับนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ คือ อำมาตย์โทพระรังสรรค์ สารกิจ (เทียม กาญจนประกร) ซึ่งเป็นมุสลิมได้เสนอว่า หนังสือ ยาวีนั้นเป็นหนังสือที่มีสระและพยัญชนะประสมกันเป็น ตัวอักษรอาหรับ การเรียนหนังสือยาวีนี้เรียกว่า กีตาบ หนังสือ 139

นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล ยาวีนี้จะใช้แปลใจความอัลกุรอาน นอกจากนั้นยังต้องการใช้ ประโยชน์อื่นโดยเป็นหนังสือสำหรับพื้นเมืองเพื่อการโต้ตอบ จดหมายและใช้ในงานการเมืองทั่วไปสำหรับชาวมาลายู (สร.0201.238/8 เรื่องปรับปรุงการปกครองจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล (ตอน 2), 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 – 18 ตุลาคม พ.ศ. 2491) (อ้างถึงใน มารียา อาสะหนิ, 2548, น. 89) ดังนี้ 1. ขอให้รัฐบาลรับรองว่า 4 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล เป็นแคว้นมาลายูและขอให้แต่งตั้ง ข้าราชการผู้ใหญ่ขึ้นผู้หนึ่ง ซึ่งในแคว้นนี้เป็นผู้เลือกจากผู้เกิด ในแคว้นนั้นและขอให้มีอำนาจในการปกครองทุกๆ ประการใน 4 จังหวัดนี้ ซึ่งถือเสมือนแคว้นๆ หนึ่ง 2. บรรดาข้าราชการใน 4 จังหวัดนี้ต้องเป็นผู้นับถือ ศาสนาอิสลาม ร้อยละ 80 3. ภาษาที่ใช้ในแคว้นนี้ให้ใช้ภาษาไทยและภาษามาลายู 4. ในโรงเรียนให้ใช้ภาษามาลายู 5. ให้รัฐบาลรับรองกฎหมายศาสนา และขอให้แยก ศาสนาเสียจากศาลบ้านเมือง ตุลาการของศาลนั้นให้ใช้คน อิสลามที่มีความรู้ 6. บรรดาภาษีอากรต่างๆ ที่เก็บได้ใน 4 จังหวัดให้ใช้เพื่อ ประโยชน์ของจังหวัดนั้น 7. ให้ตั้งองค์กรศาสนาอิสลามให้มีอำนาจเต็มในเรื่องอัน เกี่ยวกับศาสนาอิสลามใน 4 จังหวัดนี้อยู่ในความควบคุมและ กุศโลบายของข้าราชการผู้ใหญ่ผู้นั้น 140

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล สิ่งที่นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ เสนอต่อรัฐบาลอีกคือ ขอให้รัฐบาลปิดสถานที่ทำงานราชการวันศุกร์ในสี่จังหวัด ภาคใต้ และปิดโรงเรียนประชาบาลในเดือนที่ตรงกันเดือน รอมฎอนแทนปิดฤดูทำนา ขอให้รัฐบาลจัดบรรจุครูสอนหนังสือ มาลายู (ยาวี) ในโรงเรียนประชาบาลสี่จังหวัดภาคใต้ งดเก็บ ภาษผี ทู้ ำการประมงตามทน่ี ายเจะ๊ อบั ดลุ ลาห์ หลงั ปเู ตะ๊ เสนอนน้ั ฝ่ายรัฐบาลเห็นด้วยทั้งสิ้นไม่มีขัดข้องแต่ประการใด แต่ต่อมา นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้รับเป็นผู้พิจารณาสรรหาผู้ที่จะ มารับตำแหน่งจุฬาราชมนตรี หลังจากที่จุฬาราชมนตรีแช่ม พรหมยงค์ ได้สละตำแหน่งไปพร้อมกับนายปรีดี พนมยงค์ นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ กับนายณรงค์ ศิริปะชะนะได้ไป พบกับนายต่วน สุวรรณศาสน์ ให้ได้รับการคัดเลือกและปรากฏ ว่าคุณต่วนได้รับการคัดเลือกจากประชาชนให้เป็นจุราชมนตรี (เจ๊ะอับดุลลาห์ บินมูฮัมหมัด หลังปูเต๊ะ, 2518, น. 50) นอกจากนี้นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้เสนอต่อรัฐบาลให้ ปิดเทอมในเดือนที่ตรงกับรอมฎอนและหยุดราชการในวันศุกร์ และวันเสาร์ และให้มีการศึกษาภาษามาลายู (สุริยา ปันจอร์ (สัมภาษณ์) 25 สิงหาคม พ.ศ. 2545) ซึ่งข้อเสนอของนาย เจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ นั้นสอดคล้องกับคำขอ 7 ข้อ ในข้อที่ ว่า การศึกษาชั้นประถมศึกษาให้มีการศึกษาภาษามาลายู (สร.0201.38/8 เรื่อง การปรับปรุงการปกครองจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล, 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 – 18 ตุลาคม พ.ศ. 2491) (อ้างถึงใน มารียา อาสะหนิ, 2548, น. 90) สำหรับในจังหวัดสตูลขณะที่ท่านเข้ารับตำแหน่งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่านได้พัฒนาจังหวัดสตูลในหลายๆ 141

นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล ด้าน ดังที่นายบาหรี ม่าเหร็ม (สัมภาษณ์, 1 กันยายน พ.ศ. 2545 อ้างถึงใน มารียา อาสะหนิ, 2548) ได้กล่าวว่านายเจ๊ะอับ ดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ นั้นมีบทบาทในการพัฒนาสังคมมุสลิมมาก หลังจากที่นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้ทำงานในตำแหน่ง ดาโต๊ะยุติธรรมเป็นเวลา 5 ปี ท่านได้สมัครเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรและนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ก็ได้รับการ เลือกตั้งติดต่อกัน 5 สมัย แต่ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรครั้งสุดท้าย พ.ศ. 2500 นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้แพ้การเลือกตั้งให้แก่นายชูสิน โคนันทน์ และที่สำคัญด้วย ความต้องการพัฒนาสังคมมุสลิมให้เจริญก้าวหน้ามากขึ้น ในบางครั้งนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ก็ได้รับการคัดค้าน จากประชาชน แต่ด้วยความที่นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ มีเหตุผลในการพัฒนาจึงทำให้ประชาชนยอมรับและไว้วางใจใน แนวคิดที่ท่านนำเสนอ ดังนายบาหรี ม่าเหร็ม (สัมภาษณ์, กันยายน พ.ศ. 2545) ได้กล่าวว่า “ช่วงที่ท่านเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรท่านได้รับการต่อต้านจากประชาชนชาวละงูว่า ท่านคัดค้านไม่ให้มีการทำถนนทั้งๆ ที่เป็นความต้องการของ ประชาชน แต่ท่านชี้แจงว่าถนนนั้นสร้างเมื่อใดก็ได้ แต่สำหรับ ประชาชนนั้นควรเตรียมพร้อมเพื่อรองรับความเจริญนั่นก็คือ ให้ประชาชนในละงูและสตูลได้หาที่ดินไว้ให้มาก แต่ประชาชนก็ มไิ ดป้ ฏิบตั ดิ งั ทีท่ า่ นกำชบั มากนักทำใหป้ จั จบุ ันมีชาวตา่ งจังหวัด เข้ามาเป็นเจ้าของที่ดินมากกว่าประชาชนชาวละงูและชาวสตูล โดยเฉพาะละงูในอดีตนั้นเป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติ ซึ่ง ครั้งหนึ่งนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้เป็นเอเย่นค้าขายกับ พ่อค้าที่มาจากรัฐเมดานดะลี อินโดนีเชีย และปีนัง” นอกจาก 142

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล การจดั เตรยี มทด่ี นิ เพอ่ื รองรบั ความเจรญิ แลว้ นายเจะ๊ อบั ดลุ ลาห์ หลังปูเต๊ะ ก็ยังเน้นถึงการศึกษา เนื่องจากนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ เห็นว่าการศึกษานั้นเป็นสิ่งสำคัญ และเพื่อให้มุสลิม เตรียมพร้อมรับความเจริญที่กำลังเข้ามา หากมุสลิมไม่มีการ ศึกษามุสลิมก็ไม่เหลือแม้แต่ทรัพย์สินและผืนแผ่นดินที่จะอยู่ อาศัย (บุคคลผู้ไม่ประสงค์ออกนาม (สัมภาษณ์) 9 มิถุนายน พ.ศ. 2544) เจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ นับได้ว่าเป็นผู้หนึ่งที่มอง ถึงการศึกษากว้างและลึกซึ้งกว่าคนอื่นในยุคนั้น (สุริยา ปันจอร์, (สัมภาษณ์), 25 สิงหาคม 2545) นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ จึงได้เปิดที่ทำการไปรษณีย์แห่งแรกในอำเภอละงู ณ บ้าน ทำเนียบเพื่อให้เกิดความสะดวกสำหรับประชาชนในการติดต่อ ถามไถ่ทุกข์สุขกันระหว่างญาติพี่น้อง ซึ่งขณะนั้นในอำเภอละงู ยังไม่มีไปรษณีย์ที่เป็นทางการโดยเปิดมาเป็นเวลา 5 ปี ทางราชการรับรู้และให้ความร่วมมือ จัดให้เป็นกิจลักษณะ รับรองให้เป็นไปรษณีย์ของทางราชการ นอกจากนั้นได้ริเริ่มให้มี ห้องสมุดในหมู่บ้านและมัสยิดในเมืองละงู (บาหรี ม่าเหร็ม, (สัมภาษณ์), 1 กันยายน 2545) นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้คัดค้านไม่ให้มีการสร้างมัสยิดอากีบี แต่คณะกรรมการ อิสลามจังหวัดได้เสนอสร้างจนแล้วเสร็จ ซึ่งท่านมีแนวความคิด ว่า เราต่างก็เป็นมุสลิมควรจะเสียสละสถานที่ประกอบพิธีทาง ศาสนาขึ้นมาเอง สำหรับมุสลิมนั้นย่อมต้องการสิ่งที่บริสุทธิ์ เพื่อศาสนาอิสลาม และหากจะสร้างก็ควรสร้างในพื้นที่อื่น เพราะสถานที่ตรงนี้เป็นสถานที่ของมัสยิดเก่าไม่ควรรื้อถอนไป และอีกประการหนึ่งก็คือ พื้นที่ตรงนี้ต่อไปในอนาคตจะขยาย ออกไม่ได้เพราะเป็นพื้นที่แคบ(สุริยา ปันจอร์, (สัมภาษณ์), 143

นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล 25 สิงหาคม 2545) สำหรับเงินที่ทางราชการสนับสนุนนั้น นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้ชี้แจงว่า ทางศาสนาอิสลาม จะรับไม่ได้เพราะตามศาสนบัญญัติถือว่าเป็นหน้าที่ของมุสลิม ทุกคนจะบริจาคเงินสร้างเอง หากทางราชการให้เงินจำนวนนี้ เพื่อส่งเสริมศาสนาอิสลามแล้วจะยอมรับได้แต่ต้องนำไปบำรุง การศึกษาทางศาสนาอิสลาม (สร.0201.78/11 เรื่องเงินสร้าง สุเหร่า 4 จังหวัดภาคใต้และจังหวัดต่าง ๆ, 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490–18 สิงหาคม พ.ศ. 2496) นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้พัฒนาเขตอำเภอละงูและทุ่งหว้าโดยที่นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้งบประมาณมาเป็นเงิน 1 ล้านบาท นำมาทำ สาธารณประโยชน์ นอกจากนั้นท่านก็ยังได้ซื้อที่ดินเพื่อสร้าง สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดตั้งอยู่ที่ตำบล ฉลุง ในสมัยนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ เป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรท่านได้ตั้งความหวังกับบรรดาโต๊ะครูให้เป็นบุคคล ที่มีบทบาทในการพัฒนาสังคม นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ไม่ต้องการให้บรรดาโต๊ะครูหวังแค่เพียงผลประโยชน์ของตน เท่านั้น ข้อตำหนิของนายเจ๊ะอับดุลลาห ์ หลังปูเต๊ะ จึงทำให้ โต๊ะครูบางส่วนไม่พอใจและเป็นสาเหตุแพ้คะแนนการเลือกตั้ง ในสมัยสุดท้ายให้กับนายชูสิน โคนันทน์ พ.ศ. 2501 (สุริยา ปันจอร์, (สัมภาษณ์), 25 สิงหาคม 2545) จากความพยายาม ของนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ในการเสนอเรื่องราวของ มุสลิมให้กับทางรัฐบาลและการที่ท่านพยายามปฏิบัติตนให้เป็น ที่ยอมรับของรัฐบาลนั้นถือว่านายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ เป็น ผู้ที่มีบทบาทในการช่วยเหลือสังคมมุสลิมโดยเฉพาะในจังหวัด สตูล สำหรับบทบาทในฐานะรัฐมนตรีสั่งการราชการกระทรวง 144

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล ศึกษาธิการ พ.ศ. 2491 เป็นปีที่จอมพล ป. พิบูลสงครามได้รับ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 2 ในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2491 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช แต่งตั้งจอมพล ป. พิบูลสงคราม รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ทั้งยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทยควบคู่ไปด้วย รัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญ กับปัญหา 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเห็นได้จากการประกาศ แต่งตั้งรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2491 โดยมีนาย เจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มุสลิมจากจังหวัดสตูลที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีสั่งการ ราชการกระทรวงศึกษาธิการ นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ เป็นรัฐมนตรีคนแรกที่มาจากกลุ่มชาวมุสลิมภาคใต้ โดยรัฐ หวงั ว่าจะแก้ปญั หาความไม่สงบใน 4 จังหวัดภาคใต้ (ราชกิจจา- นุเบกษา, 2491, น. 273, Ahmad Omar Chapakiya, 2000, p. 127, Singapore Free Press, 14 April 1948) ทางรัฐได้แต่งตั้งให้ นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะทำการสืบสวนหาสาเหตุความ เดือดร้อนของชาวไทยมุสลิมเพื่อได้ใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุง การปกครองใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (Straits Times, 6 June 1948 อ้างถึงใน มารียา อาสะหนิ, 2548, น. 90 - 92) ในวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2491 ได้เกิดเหตุการณ์รุนแรง ระหวา่ งตำรวจกบั ชาวมลายมู สุ ลมิ ขน้ึ ในจงั หวดั นราธวิ าส เรยี กวา่ กบฏดุซงยอ ซึ่งมีหมอไสยศาสตร์มาแอบอ้างว่าตนเป็นผู้วิเศษ ทำให้ชาวบ้านชุมนุมกัน ตำรวจจึงมาสลายการชุมนุมและทำให้ เกิดเหตุรุนแรงขึ้น ทางรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ตั้ง กรรมการชุดหนึ่งเป็นการด่วน เพื่อให้เดินทางไปสอบสวน 145

นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล หาสาเหตุของการจราจลโดยมีพระยาอมรฤทธิธำรง (พร้อม ณ ถลาง) ข้าหลวงตรวจการกระทรวงมหาดไทยภาค 5 เป็น ประธานกรรมการ และพันตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ อธิบดี กรมตำรวจเป็นรองประธานกรรมการจากนั้นก็ยังมีนายเจ๊ะอับ ดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ รัฐมนตรีสั่งราชการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นกรรมการร่วมอยู่ด้วย (Strait Echo, 1 May 1948, Mail Mail, 2 February 1948) เจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ เป็นผู้รับอาสา ไปทำความเข้าใจกับพี่น้องที่ดุซงยอเพื่อป้องกันมิให้ต้องเสีย เลือดเนื้อ ในคณะของนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ที่เดินทาง ไปประมาณ 30 – 40 คน มีทั้งผู้นำศาสนาและข้าราชการ และ หนง่ึ ในนน้ั กม็ นี ายบาหรี มา่ เหรม็ รว่ มคณะไปดว้ ย (บาหรี มา่ เหรม็ , (สัมภาษณ์), 1 กันยายน 2545) การเดินทางของคณะกรรมการ ชุดนี้ไปตามลำดับต่าง ๆ ในเป้าหมายไม่มีปัญหาอะไร ยกเว้น การเดินทางเข้ายังหมู่บ้านดุซงยอที่เกิดเหตุรุนแรงในจังหวัด นราธิวาส อุปสรรคที่เกิดขึ้นมาจากความไม่สะดวกในการ คมนาคมเพราะเส้นทางส่วนใหญ่เป็นคันนา ผู้ที่ไม่กล้าเดินทาง ด้วยช้างและปั่นจักรยานไม่เป็นจึงไม่อาจเดินทางไปได ้ จึงปรากฏว่ามีผู้เดินทางเข้าไปเพียง 4 คนเท่านั้น (เฉลิมเกียรติ ขุนทองเพชร, 2517, p. 156 อ้างจาก เจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ, (สัมภาษณ์), 18 กันยายน 2527) เมื่อท่านเดินทางเข้าไปถึง หมู่บ้าน ท่านก็ได้เข้าไปในมัสยิดเพื่อละหมาดสุนัตตะฮียะตุล มัสยิดก่อน (เจริญ โฉลกดี, (สัมภาษณ์), 10 กันยายน 2545) บาหรี ม่าเหร็ม (สัมภาษณ์, 1 กันยายน 2545) ได้กล่าวถึง การเดินทางไปดุซงยอของนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ และ คณะวา่ “ทา่ นดะโตะ๊ และคณะเดนิ ทางไปถงึ ดซุ งยอ ทา่ นแตง่ กาย 146

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล ตามเอกลกั ษณข์ องมสุ ลมิ คอื นงุ่ ผา้ โสรง่ ใสเ่ สอ้ื ตะโละเบอลางา และสวมหมวกสีด เมื่อท่านเดินทางไปถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทุ่งนา ก็ไม่เห็นมีใคร ดะโต๊ะจึงกล่าวสลามดังๆ ว่า อัสลามูอาลัยกุม ผู้ซ่อนตัวอยู่ก็วิ่งออกมา นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ พยายามพูดจนประชาชนเข้าใจ แล้วออกมาชุมนุมกันจำนวน เกือบ 500 คน ผู้ที่ออกมาหลังสุด คือ กำนันพัฒน์ หลังจากนั้น กำนันก็ได้เชิญดะโต๊ะไปประชุมชาวบ้านประมาณ 100 คน นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้ชี้แจงด้วยเหตุผลว่า การปะทะกันนั้นก่อให้เกิดการเสียเลือดเนื้อ” จากเหตุการณ ์ ดังกล่าวนี้ นายบาหรี ม่าเหร็ม (สัมภาษณ์, 1 กันยายน 2545) ได้กล่าวว่า ยังไม่มีกบฏเกิดขึ้นเลย สาเหตุมาจากการชุมนุมของ มุสลิม แต่ทางข้าราชการไม่เข้าใจถึงเจตนาของประชาชน เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของข้าราชการกับประชาชน มิใช่รัฐบาล กับประชาชน ในเรื่องกบฏดุซงยอ นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ พยายามนำหลักการศาสนามาใช้ดังที่ท่านพยายามหาความ จริงว่า มีการฆ่ากันตายที่ดุซงยอหรือไม่ ประชาชนถูกฝังไป หรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ให้ช่วยขุดขึ้นมาอาบน้ำมายัก (ศพ) ให้ ถูกต้องตามหลักศาสนาตายแล้วฝังไม่ได้ เพราะไม่ได้ตายซะฮีด (ตายเพื่อศาสนา) แต่สอบถามไปก็ไม่มีผู้ตาย (เจริญ โฉลกดี, (สัมภาษณ์), 10 กันยายน 2545) ทางรัฐบาลจึงจัดตั้งคณะ กรรมการปรับความเข้าใจสี่จังหวัดภาคใต้เพื่อปรับความเข้าใจ กับชาวมาลายูมุสลิมอีก โดยมีนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ รัฐมนตรีสั่งการราชการกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน กรรมการ พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ วุฒิสมาชิก หลวงอรรถพร พิศาล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดตราด และนายเจริญ 147

นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปัตตานีเป็นกรรมการ ร่วม (เฉลิมเกียรติ ขุนทองเพชร, 2517, น. 161 อ้างจาก กย.เรื่อง 35 แฟ้มที่ 17 แผนกเรื่องราวและบัตรสนเทห์, 2491) นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้พยายามเสนอความสงบ เรียบร้อยในภาคใต้จึงมีข้อเสนอต่อ จอมพล ป. พิบูลสงครามว่า นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ขอดำเนินการเองและได้ดำเนิน การทางด้านศาสนาเข้าหาอิหม่าม คอเต็บ และบิลาล จากนั้น ก็เข้าไปในปอเนาะหาบรรดาโต๊ะครูในจังหวัดที่มีปอเนาะจำนวน มาก เข้าไปถามไถ่ทุกข์สุขว่ามีปัญหาอะไรบ้าง หากมีปัญหา ก็ให้นำเสนอ และนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ก็บอกว่าท่าน เป็นเสมือนตัวแทนของประชาชนหากประชาชนมีความต้องการ อย่างไรก็ให้ประชาชนแจ้ง เพื่อนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะจะ ได้นำเสนอต่อรัฐบาล (เจริญ โฉลกดี, (สัมภาษณ์), 10 กันยายน 2545) (อ้างถึงใน มารียา อาสะหนิ, 2548, น. 92 -94) ในสมัยของเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ เป็นรัฐมนตรี สั่งการราชการกระทรวงศึกษาธิการ ทางรัฐบาลได้มีการ เปลี่ยนแปลงนโยบายทางการศึกษา และได้มอบหน้าที่รัฐมนตรี พิเศษให้กับท่าน ท่านจึงเสนอหลักสูตรภาษามาลายูใน โรงเรียนประถมศึกษาเริ่มวันที่ 12 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2485 ท่านได้จัดเป็นโครงการการเรียนการสอนซึ่งโครงการดังกล่าว ได้รบั ความสนใจจากชาวชมุ ชนมสุ ลิม (Ahmad Omar Chapakiya, 2000, p. 133) ซึ่งก่อนหน้านั้นทางราชการห้ามไม่ให้สอนเด็ก มุสลิมเกิน 7 คน นอกจากสอนอ่านคัมภีร์อัลกุรอานเท่านั้น วิชาอื่นสอนไม่ได้ อันเนื่องมาจากการประกาศใช้รัฐนิยม พ.ศ. 2485 เช่นรัฐนิยมฉบับที่ 9 ว่าด้วยเรื่องภาษาและหนังสือไทยกับ 148

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล หนา้ ทพ่ี ลเมอื งดี รฐั นยิ มฉบบั ท่ี 10 วา่ ดว้ ยการแตง่ กายประชาชน ชาวไทย (เฉลิมเกียรติ ขุนทองเพชร, 2527, น. 25 อ้างถึงใน แถมสุข นุ่มนนท์, 2524, น. 37) แต่นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปเู ต๊ะ ชี้แจงว่าการสอนศาสนาอิสลามนั้นเพื่อให้ประชาชนเป็นคนที่ดี ตามหลักการศาสนา นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้ชี้แจง จนได้รับการยอมรับและในปีเดียวกันทางราชการสั่งปิดปอเนาะ นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้ชี้แจงต่อกระทรวงศึกษาธิการ และคณะรัฐมนตรีว่า การสอนในปอเนาะนั้นไม่เกี่ยวข้องกับ การเมือง เมื่อสรุปได้แล้วทางราชการจึงอนุญาตให้เปิดปอเนาะ จากผลงานครั้งนี้ทำให้ชาวจังหวัดสตูลให้ความสำคัญต่อเจ๊ะอับ ดุลลาห์ หลังปูเต๊ะเป็นอันมาก (บาหรี ม่าเหร็ม (สัมภาษณ์) 1 กันยายน พ.ศ. 2545) ในจังหวัดสตูล ทางจังหวัดมีจดหมาย ราชการถงึ อำเภอตา่ งๆ ขอใหแ้ นะนำชกั ชวน และขอความรว่ มมอื จากบรรดาพ่อค้าให้งดสั่งซื้อผ้าโสร่งมาจำหน่ายแก่ราษฎร ตาม รัฐนิยมฉบับที่ 10 ปรากฏว่า พ่อค้ายินดีปฏิบัติตาม ซึ่งจาก ความต้องการของนายกรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย คือ ให้ชาวไทยเลิกนุ่งผ้าโจงกระเบน ผ้าโสร่ง ตลอดจนผ้าคาดอก และชักจูงให้สอนตัดเสื้อและกางเกงผู้ชายมากขึ้น (มท.5.9/112 เรื่องการส่งเสริมวัฒนธรรมของชาวจังหวัดสตูล) พร้อมกันนั้น นายกรัฐมนตรีก็ต้องการให้สตรีเปลี่ยนแปลงการแต่งกายให้ถูก ต้องตามหลักการ การชักชวนของนายกรัฐมนตรีนั้นปรากฏว่า บรรดาสตรีไทยพุทธในจังหวัดสตูลมีความยินดีเคารพและ ปฏิบัติตามคำแนะนำโดยความพร้อมเพียง ส่วนสตรีมุสลิมนั้น ไม่ยอมในหลักการแต่งกายที่นายกรัฐมนตรีเสนอ เพราะถือว่า ขัดกับรูปแบบการแต่งกายตามหลักการศาสนาอิสลาม (มท.5.9/ 149

นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล 11 กล่อง 3 เรื่องการแนะนำสตรีเรื่องการแต่งกาย) เพื่อให้บรรลุ ผลตามนโยบายที่รัฐบาลได้วางไว้ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงเฉพาะการ แต่งกายของมุสลิมเท่านั้น แม้แต่ชื่อของข้าราชการมุสลิมซึ่งเป็น ภาษามลายูหรือภาษาอาหรับก็ต้องการให้เปลี่ยนชื่อเป็น ชื่อไทยด้วย (เฉลิมเกียรติ ขุนทองเพชร, 2527, น. 29 อ้างจาก นายนาท บินตำมะหงง, (สัมภาษณ์), 12 พฤษภาคม 2527) เมื่อมุสลิมไม่ให้การยอมรับทางราชการได้กระทำการไม่สมควร กับมุสลิม มีการทำร้ายทุบตีผู้หญิงที่โพกผ้าก็ถูกกระชากดึงทิ้ง (เฉลิมเกียรติ ขุนทองเพชร, 2527, น. 29 อ้างจาก นายวัน มโหรบุตร, (สัมภาษณ์), 2527) มุสลิมต้องใส่หมวกกูเปี๊ยะในการ ละหมาด ใช้ผ้าสาระบันก็ไม่ได้ มีบางครั้งตำรวจได้ถอดออก และเตะเป็นลูกตะกร้อทำให้มุสลิมได้รับความเจ็บปวดมาก (เฉลิมเกียรติ ขุนทองเพชร, 2527, น. 29 อ้างจาก เจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ, (สัมภาษณ์), 18 กันยายน 2527) แต่สำหรับนาย เจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ แล้วก็ยังกล่าวตักเตือนมุสลิมให้ ตระหนักถึงบทบัญญัติการแต่งกายตามหลักการของศาสนา (เจริญ โฉลกดี, (สัมภาษณ์), 10 กันยายน 2545) (อ้างถึงใน มารียา อาสะหนิ, 2548, น. 94 - 95) การนำเสนอทางด้านการศึกษาของเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะนั้นถือว่าเป็นการสนับสนุนการศึกษาภาษามลายูและ ศาสนาให้แก่ชุมชนมุสลิม และให้มุสลิมมีโอกาสได้ศึกษา ในระดับสูง ซึ่งการสนับสนุนของนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ นั้น เน้นให้กับ 4 จังหวัดภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล นอกจากนั้นท่านยังให้แนวความคิดฝังสู่หัวใจของ พี่น้องจังหวัดสตูล คือ หากมีคนมายุแหย่ให้โต้ตอบกับรัฐบาล 150

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล ขออย่าหลงเชื่อ ขอให้เชื่อฟังและทำตามข้อตัดสินของผู้นำ คำตักเตือนของท่านจึงถือเป็นมรดกตกทอดมาสู่ผู้นำรุ่นต่อๆ ไป คือ นายอดุล บอนสะอาด และนายบาหรี ม่าเหร็ม คือ การมี คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเป็นผู้ช่วยให้คำปรึกษาแก่ ประชาชนมุสลิมในจังหวัดสตูล โดยเฉพาะชาวสตูลนั้นให้ความ เคารพกับคำแนะนำของผู้นำเป็นอันมาก (บาหรี ม่าเหร็ม, (สัมภาษณ์) 1 กันยายน 2545) ในวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491 คณะรัฐมนตรีในหน้าที่คณะผู้สำเร็จราชการเห็นสมควรให้ ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดเฉพาะตัว ตามมาตรา 79 (1) ของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) จึงให้ รัฐมนตรี 4 ท่าน พ้นจากตำแหน่ง หนึ่งในนั้น คือ เจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ พ้นจากตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2491 (มติชน, 2517, น. 80) ส่วนบทบาทในฐานะรัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข จากการประกาศตั้งและและ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2500 นายพจน์ สารสิน ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าจากพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และได้เลือกสรรผู้ที่สมควรรัฐมนตรีต่างๆ หนึ่งในนั้นก็มีรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตัวแทนมุสลิม คือ เจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ เป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (ราชกิจจานุเบกษา, 2500, น. 1376 – 1379) นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ เข้ารับ ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขใน พ.ศ. 2501 ในสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ดำรงตำแหน่งนั้นได้เป็น ผู้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับหลักการศาสนาอิสลามที่รัฐ 151

นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล พึงยอมรับ เช่น เมื่อเกิดอหิวาตกโรคระบาดในกรุงเทพฯ และ ธนบุรี ใน พ.ศ. 2500 โรคนี้เริ่มระบาดเพียงเวลา 2 ชั่วโมง มีคนไข้ประมาณ 200 – 300 คน และเมื่อโรคนี้ได้ระบาดขึ้น ที่นครมักกะฮฺ ประเทศซาอุดิอาระเบียก็ได้มีหนังสือจาก กงสุลใหญ่ไทยประจำเมืองท่ายิดดะฮฺเกี่ยวกับศพของชาวมุสลิม ให้เป็นไปตามหลักการทั่วไป ทางนายกรัฐมนตรีได้มอบให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแจ้งว่าด้วยการปฏิบัติศพ ได้ความว่าศพและผ้านุ่งห่มให้เผาไฟ หากศพนั้นต้องการฝัง ต้องฉีดน้ำยาไลโซนเข้าในร่างกายและราดปูนขาวลงบนศพ เพื่อจะฆ่าเชื้อโรคระบาดขึ้นได้เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ นาย เจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงสาธารณสุขได้คัดค้านว่า ตามความศรัทธาของมุสลิม แล้วจะกระทำกับศพของมุสลิมตามที่แจ้งมาดังกล่าวมิได้ และ นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้ชี้แจงว่า ศพของมุสลิมนั้น ต้องฝังและหลุมฝังศพนั้นลึกเมตรครึ่งนี่เป็นวิธีการแก้ไขปัญหา เพราะการฝังศพลงดินนั้นดินจะช่วยทำลายเชื้อโรคและเชื้อโรค จะไม่ขึ้นมาจากหลุมได้ (เจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ, 2518, น. 42, บาหรี ม่าเหร็ม, (สัมภาษณ์), 10 กันยายน 2545) (อ้างถึง ใน มารียา อาสะหนิ, 2548, น. 95 - 96) ในช่วงที่นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้ไปตรวจราชการที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ และได้ เสนอข้อแนะนำในหนังสือตรวจเยี่ยมราชการว่าให้มุสลิม ทำอาหารในโรงพยาบาล ให้มีอาหารอิสลาม เพราะศาสนิกชน อื่นก็รับประทานได้ นอกจากนั้นนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ 152

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล ก็ยังได้เสนอกับทางรัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติขจร ให้มีการ ระบุศาสนาในบัตรประชาชน เนื่องจากในช่วงนั้นเกิด อหิวาตกโรคขึ้นมุสลิมตายเป็นจำนวนมาก และบางครั้งไม่รู้ว่า เปน็ คนนบั ถอื ศาสนาใด (เจรญิ โฉลกด,ี (สมั ภาษณ)์ , 10 กนั ยายน 2545) จากการนำเสนอการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับชุมชน มุสลิมในภาคใต้นั้นได้รับการพัฒนาซึ่งเมื่อทางรัฐบาลได้อนุมัติ ตามข้อปัญหาต่างๆ ให้กับชุมชนมุสลิมในภาคใต้นั้นได้รับการ พัฒนา ในทุกๆ ชุมชนจะได้รับการพัฒนาเหมือนๆ กันไม่ว่าใน จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส หรือสตูล นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ได้ลาออกจากการเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง สาธารณะสุขตามประกาศลงวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2501 ดังมี เนื้อความว่าจากประกาศรัฐมนตรีลาออกและปรับปรุงแต่ง รัฐมนตรี ตั้งให้พลเอกถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตร ี มผี ลู้ าออกจากตำแหนง่ หลายคน หนง่ึ ในนน้ั คอื นายเจะ๊ อบั ดลุ ลาห์ หลังปูเต๊ะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2501 ดังความเป็นรัฐมนตรีจึงเป็นอันสิ้นสุดลง ตามความในมาตรา 87 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2495 (ราชกิจจา นุเบกษา, 2501, น. 505 – 506) (อ้างถึงใน มารียา อาสะหนิ, 2548, น. 96) 4.1.3.3 กลวิธีการหาเสียง จากสถานภาพของนายเจะ๊ อบั ดลุ ลาห์ หลงั ปเู ตะ๊ เป็นข้าราชการเป็นบุคคลที่เป็นที่รู้จักของประชาชน เพื่อมาทำ หน้าที่ช่วยเหลือประชาชน มีการพบปะเยี่ยมเยียนประชาชน 153

นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล ที่ได้รับความเดือดร้อนและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การสร้าง ถนนหนทาง โดยภาคประชาชนมีส่วนร่วมพัฒนากิจกรรมงาน ประเพณี การเจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพากษ์ของชาวบ้าน ให้การ ช่วยเหลือในงานบุญตามประเพณีต่างๆ โดยเฉพาะกับกลุ่ม ประชาชนมุสลิมด้วยความตั้งใจในการพัฒนาสังคมมุสลิม ในจังหวัดสตลู ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัด สรุปภาพรวมการเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล ยุคแรก (พ.ศ. 2475 – พ.ศ. 2500) การเมืองจังหวัดสตูลในยุคแรกนั้นเป็นไปตามการแต่งตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อการการพัฒนาเมืองเป็นยุคของ นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูลที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐส่วนกลาง ในการทำหน้าที่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีผู้ปกครองเป็น พระยาและข้าราชการระดับสูงที่ถูกแต่งตั้งให้มาทำหน้าที่ดูแล ปกครองประชาชน และเป็นยุคสมัยที่ประชาชนยังให้ความ สำคัญกับระบบเจ้าขุนมูลนาย และมีความเคารพยำเกรงต่อ อำนาจและบารมีของคนที่มีชื่อเสียงในพื้นที่จึงได้รับความไว้ วางใจต่อผู้ที่มีอำนาจ และยศศักดิ์ที่มีศักดินาถือครองที่ดิน และ ข้าทาสบริวารย่อมมาเป็นฐานมวลชนต่อเจ้าพระยา จะเห็นได้ จากนายสวาท ณ นคร ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เจ้าพระยามีภรรยา ได้หลายคนและมีการเอาลูกหลานมายกให้เป็นภรรยาและ ใหก้ ารอปุ ถมั ภค์ นทฝ่ี ากลกู หลานทำใหต้ อ้ งดแู ลเลย้ี งดคู นเหลา่ นน้ั และมีการหุงหาอาหารเลี้ยงดผู ู้คน ดังนั้น นักการเมืองถิ่นยุคแรกเป็นนักการเมืองระบบ ชนชั้นเจ้าพระยา และข้าทาสบริวารเป็นฐานเสียงสนับสนุน 154

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล การเมืองและมีการอุปถัมภ์เป็นการพึ่งพาของประชาชนที่จะ ฝากลูกหลานเข้ามาทำงานกับเจ้าพระยา ทำให้ประชาชนเกิด ความเลื่อมใสในคุณงามความดีและให้การสนับสนุนกับ เจ้าพระยาซึ่งเป็นนักการเมืองถิ่นได้เป็นอย่างดี 4.2 การเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล ยุคสอง (พ.ศ. 2512 – พ.ศ. 2537) การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูลนั้นเริ่มมี พัฒนาการเกิดการเปลี่ยนแปลงในแง่ที่เป็นประโยชน์ต่อ ประชาชน เกิดความหลากหลายทางการเมืองในการที่ ประชาชนมีโอกาสมากขึ้นในการเลือกผู้แทนราษฎรของตนเอง มาเพื่อการพัฒนาจังหวัดในด้านต่างๆ ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ทางการเมืองเริ่มพัฒนาการทางการเมือง ยุคที่สองนี้เป็นยุคแห่ง การเริ่มการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของนักการเมืองในการ สร้างสีสันแห่งการต่อสู้ทางการเมืองที่มีวิธีการ ยุทธวิธีการ หาเสียง ของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่มีส่วนในการทำงาน ทางการเมืองแบบพื้นราบ การวางแผนในการลงพื้นที่ให้ สามารถประสบความสำเร็จตามเป้าหมายให้ได้มากที่สุด สิ่งต่างๆ เหล่านี้ต้องอาศัยทีมงานในการวางแผนเพื่อสร้างการ ยอมรับนับถือจากประชาชนชาวจังหวัดสตูลให้ได้มากที่สุด แต่ก็ต้องใช้งบประมาณให้คุ้มค่ามากที่สุด สำหรับยุคนี้มีจุดเด่น ที่น่าสนใจ คือ ภรรยาของนักการเมือง ญาติพี่น้อง ที่มีส่วน สำคัญในการสร้างความสำเร็จให้แก่นักการเมือง ซึ่งเป็นบุคคล ที่มีส่วนช่วยเหลือและมีบทบาทเด่นชัดมากขึ้น ดังนั้น จึงเป็นที่ น่าศึกษาถึงคำว่า “หลังบ้าน” มีความคิดทางการเมือง แง่มุม 155

นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล ในการทำงานกับนักการเมืองเป็นอย่างไร รวมถึงจากการศึกษา ถึงบทสรุปด้านทายาททางการเมืองของนักการเมืองมีหรือไม่ อย่างไร โดยกลุ่มนักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูลในยุคสองนี้ ประกอบด้วยนักการเมืองจำนวน 5 คน ประกอบด้วย 4.2.1 นายชูสิน โคนันทน์ 4.2.2 นายสมศักดิ์ เส็นดาโอ๊ะ 4.2.3 นายจิรายุส เนาวเกตุ 4.2.4 นายวิทรู หลังจิ 4.2.5 นายธานินทร์ ใจสมุทร 4.2.1 นายชูสิน โคนันทน์ นายชูสิน โคนันทน์ เกิดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2466 ในแผ่นดินของรัชกาลที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ บ้านเกิดคือ ถนนนครนอก ตำบลบ่อยาง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา บิดามารดาชื่อ นายเบ่าหิ้น – นางเสงี่ยม โคนันทน์ บิดามารดา ประกอบอาชีพค้าขาย ฐานะมั่นคง ฐานะมั่นคง นายชูสิน โคนันทน์ มีบรรพบุรุษเป็นพ่อค้าโดยแท้ ต้นตระกูล คือ รองอำมาตย์ตรีขุนโภคาพิพัฒน์ (โค๊ยฮวดเลี่ยง) ฐานะกรมการ ปรึกษาฝ่าย การค้าเมืองสงขลามาแต่สมัยก่อน นามสกุล “โคนันทน์” ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ- เกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ.2459 ว่าโดยศักดิ์แล้ว นายชูสิน โคนันทน์ เป็นเหลนของขุนโภคาพิพัฒน์ นายชูสิน โคนันทน์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดา คือ พี่สาว 1 คน และ น้องสาว 2 คน นายชูสิน โคนันทน์ มีภรรยาชื่อนางเตือนใจ โคนันทน์ บุตร 5 คนด้วยกัน อดีตประกอบอาชีพค้าไม้ ปัจจุบัน 156

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล มีอาชีพเปิดฟาร์มไก่ ชื่อว่า ฟาร์มชูสิน โดยมีลูกชายคนโตเป็น ผู้ดแู ลกิจการส่วนนี้อยู่และเป็นตัวแทนปศุสัตว์จังหวัด พ.ศ.2491 นายชูสิน โคนันทน์ อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน และประกอบอาชพี ทจ่ี งั หวดั สตลู ตง้ั รกรากครง้ั แรกทบ่ี า้ นทงุ่ ตำเสา ตำบลทุ่งนุ้ย อำเภอเมืองสตูล (ขณะนั้นยังไม่ได้แบ่งแยกเป็น กิ่งอำเภอควนกาหลง) ประกอบอาชีพทำไม้หมอนรถไฟส่งต่อ การรถไฟที่สถานีควนเนียง ล่วงมาปี พ.ศ.2502 กรมประชา- สงเคราะห์จัดตั้งนิคมสร้างตนเองขึ้นที่ตำบลทุ่งนุ้ยและตำบล ควนกาหลง นายชูสิน โคนันทน์ มีส่วนช่วยเหลือทางนิคมในการ บุกเบิกและจัดสรรที่ดินแก่ราษฎร ต่อมาได้จัดตั้งโรงเลื่อยจักร ประกอบอาชีพธุรกิจค้าไม้แปรรูป ฐานะเป็นปึกแผ่นมั่นคง นับแต่บัดนั้น ในระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 3 สมัย นายชูสิน โคนันทน์ ได้เดินทางไปทัศนศึกษาดูงาน ต่างประเทศ ทั้งทวีปยุโรป อเมริกา และเอเชีย ประเทศสำคัญ ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส กรีซ อิตาลี สเปน สวีเดน เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก อิสราเอล และ สาธารณรฐั ประชาชนจนี เปน็ การเดนิ ทางในนามของรฐั บาลไทย โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอื่นร่วมเดินทางเป็นคณะ บางที ก็เดินทางไปต่างประเทศตามคำเชิญของรัฐบาลประเทศนั้นๆ เช่น พ.ศ.2518 ได้เดินทางไปดูงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมกับพานางเตือนใจ โคนันทน์ ผู้เป็นภริยาร่วมทางไปด้วย นอกจากนั้นยังได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการที่ปรึกษา ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย 157

นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล 4.2.1.1 เครือข่ายและความสัมพนั ธ์ทางการเมือง ด้านเครือข่ายและความสัมพันธ์ทางการเมือง ของนายชูสิน โคนันทน์ นั้นเป็นกลุ่มประชาชนที่มีความสนิท สนมกับนายชูสิน โคนันทน์ และมีความเห็นพ้องต้องกันในการที่ นายชูสิน โคนันทน์ สามารถที่จะให้ความช่วยเหลือกับบุคคล ต่างๆ ได้ทำงานเพื่อส่วนรวมได้ และจุดเด่นของนายชูสิน โคนันทน์ คือ ตัวนายชูสิน โคนันทน์ และนางเตือนใจ โคนันทน์ (ภรรยา) ในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประชาชนทุกชนชั้น โดยตวั นายชสู นิ โคนนั ทน์ มกี ารสรา้ งเครอื ขา่ ยในกลมุ่ สภุ าพบรุ ษุ และนางเตอื นใจ โคนนั ทน์ มกี ารสรา้ งเครอื ขา่ ยในกลมุ่ สภุ าพสตรี และที่สำคัญอีกจุดหนึ่งของเส้นทางความสัมพันธ์ทางการเมือง ของนายชูสิน โคนันทน์ คือ ก่อนที่นายชูสิน โคนันทน์ จะได้รับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่านดำรงตำแหน่งนายก- เทศมนตรีอยู่ก่อนแล้ว จึงทำให้บุคคล หน่วยงาน องค์กรที่ ทำงานอยู่กับนางเตือนใจ โคนันทน์ ให้ความเคารพต่อนายชูสิน โคนันทน์ เชื่อมั่นเชื่อถือต่อการทำงานทางการเมืองของ นายชสู ิน โคนันทน์ พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ความโดดเด่นอีกประการหนึ่ง คือ หัวคะแนนของนายชูสิน โคนันทน์ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความ สัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกันมาก่อนซึ่งมีส่วนช่วยเหลือท่านได้อย่าง มากในการสร้างความสัมพันธ์กับประชาชนในกลุ่มที่นายชูสิน โคนันทน์ อาจยังเข้าไปไม่ถึง สำหรับพรรคการเมืองนั้นในแต่ละสมัยนายชูสิน โคนันทน์ มีการเปลี่ยนแปลงการสังกัดพรรคการเมือง หรือ 158

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล แม้แต่บางสมัยนายชูสิน โคนันทน์ ไม่ได้สังกัดพรรคใด พรรคหนึ่ง แต่นายชูสิน โคนันทน์ ก็ยังสามารถกลับมาเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้อีก ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การทำงาน ทางการเมืองของนายชูสิน โคนันทน์ เป็นไปด้วยตนเอง ครอบครัว ประชาชน และกลุ่มบุคคล องค์กรที่ทำงานด้วยความ รัก การให้ความไว้เนื้อเชื่อใจในระบบการทำงานของนายชูสิน โคนันทน์ ที่ทำอย่างจริงจัง ด้วยความจริงใจตลอดมา 4.2.1.2 บทบาททางการเมือง นายชูสิน โคนันทน์ เป็นบุคคลที่มีความสนใจ ทางการเมือง รวมถึงภรรยาคู่ชีวิต และเส้นทางด้านการเมือง ของนายชูสิน โคนันทน์ จึงได้รับการสนับสนุนจากภรรยาเป็น อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม้ว่านางเตือนใจ โคนันทน์ จะมีอายุ 72 ปี แล้ว ก็ยังสนใจเส้นทางการเมืองถ้าเป็นไปได้ อยากเล่นการเมืองอีก (นางเตือนใจ โคนันทน์, (สัมภาษณ์), 21 พฤษภาคม 2554) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คู่ชีวิตเป็นบุคคลที่มี บทบาทอย่างมากในการทำงานทางการเมืองให้ประสบความ สำเร็จ นายชูสิน โคนันทน์ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรถึง 3 สมัย คือ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 นายชูสิน โคนันทน์ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 1 ไม่สังกัดพรรคการเมือง 26 มกราคม พ.ศ. 2518 นายชูสิน โคนันทน์ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 2 สังกัดพรรคธรรมสังคม 159

นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล 22 เมษายน พ.ศ. 2522 นายชูสิน โคนันทน์ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 3 สังกัดพรรคกิจสังคม การทำงานทางด้านการเมืองของนายชูสิน โคนันทน์ นั้นเป็นบุคคลที่ให้ความช่วยเหลือดูแลประชาชน ใครมาขอความช่วยเหลือก็ให้ความช่วยเหลือทั้งหมด นายชูสิน โคนันทน์ เป็นบุคคลที่มีการวางแผนในการทำงานเพื่อประชาชน ด้วยการบริหารเวลาสร้างฐานะของครอบครัวให้มั่นคง จึงจะ ส่งผลการทำงานทางการเมืองได้อย่างมีความสุข เพราะ เส้นทางการเมืองนั้นต้องอาศัยปัจจัยทางการเงินจำนวนมาก นางเตอื นใจ โคนนั ทน์ ใหส้ มั ภาษณว์ า่ (สมั ภาษณ,์ 21 พฤษภาคม 2554) “ท่านชูสิน เป็นคนขยันทำงาน ตื่นเช้าท่านจะต้อง เข้าไปที่สำนักงานเสียก่อนเพื่อดูแลงานที่เป็นกิจการ ส่วนตัวโดยท่านมักจะสั่งงานลูกน้องในเวลากลางคืน ท่านให้เหตุผลว่าที่ต้องสั่งงานกลางคืน เพราะว่าพรุ่งนี้เช้า ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันออกไปทำงาน ดังนั้น จึงต้อง สั่งก่อนที่จะไม่ได้เจอกัน หลังจากที่ท่านได้เข้าสำนักงาน ในช่วงเช้าแล้วจึงจะออกไปทำงานทาง การเมืองต่อ” 160

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล ภาพท่ี 7 นางเตือนใจ โคนันทน์ ภาพท่ี 8 นางเตือนใจ โคนนั ทน์ กลา่ วว่า “ทา่ น ส.ส.อยากเลน่ การเมืองเพราะต้องการช่วยเหลือ ในส่ิงที่สงั คมต้องการ” ผลงานทางการเมืองที่นายชูสิน โคนันทน์ ได้ให้การสนับสนุน และให้ร่วมมือไว้นั้นก็มีด้วยกันอย่าง หลากหลาย ได้แก่ สร้างศาลา ชูสิน – เตือนใจ โคนันทน์ วดั สตลู สนั ตยาราม อำเภอเมอื งสตลู จงั หวดั สตลู ผปู้ ระสานงาน 161

นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคขอขยายเขตการไปฟ้าแรงสูงจากอำเภอ รัตภูมิ ถึงจังหวัดสตูล ผู้ประสานงานกรมการศาสนา กระทรวง ศึกษาธิการ ก่อสร้างมัสยิดมำบัง อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ผู้ริเริ่มก่อสร้างตลาดสดเทศบาลเมืองสตูล โรงเรียนทุ่งตำเสาชู สินอุปถัมป์ ซึ่งในแต่ละปีจะบริจาคเงินไม่ต่ำกว่า 40,000 บาท ต่อปี และสนับสนุนของบประมาณแผ่นดิน ก่อสร้างและพัฒนา โรงเรียน สนามเด็กเล่น วัด มัสยิด ถนน สะพาน และหลาย โครงการในสตูล ผลงานที่นายชูสิน โคนันทน์ ได้สร้างไว้ยังมี ปรากฏให้ประชาชนชาวจังหวัดสตูลได้ใช้ประโยชน์จนถึง ปัจจุบัน 4.2.1.3 กลวธิ กี ารหาเสียง นายชูสิน โคนันทน์ จะเข้ามามีบทบาททาง การเมอื งนน้ั ไดม้ แี รงจงู ใจจากชาวบา้ นในพน้ื ทท่ี ท่ี ำการสนบั สนนุ ให้ท่านได้ลงเล่นการเมือง นายชสู ิน โคนันทน์ เองก็ได้ไปปรึกษา กับโต๊ะครู โต๊ะอิหม่ามในพื้นที่ด้วย และก่อนหน้านั้นนายชูสิน โคนันทน์ เองก็ได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีเดิมอยู่แล้ว อาจเนื่องด้วยที่นายชูสิน โคนันทน์ ได้ดำรงตำแหน่งทาง การเมืองอยู่แล้ว คือ นายชูสิน โคนันทน์ ได้เป็นนายกเทศมนตรี จึงเป็นแรงจูงใจอย่างหนึ่งที่ทำให้ท่านได้อยากเข้ามามีส่วนร่วม ทางการเมือง คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นั่นเอง ซึ่งท่านได้ ดำรงตำแหน่งควบคู่ไปทั้งสองตำแหน่ง ซึ่งกฎหมายในสมัยนั้น สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2 ตำแหน่งควบคู่กันไปได้ ซึ่งก่อนหน้าที่ท่านจะเข้ามาเล่นการเมืองในสมัยนั้นนายเจ๊ะอับ ดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ซึ่งอยู่ในสมัยจอมพลถนอม กิตติขจร 162

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล ได้กล่าวว่านายชูสิน โคนันทน์ คงจะไม่มีทางชนะอย่างแน่นอน เนื่องจากท่านเป็นคนนับถือศาสนาพุทธ และมีคนไทยพุทธ ร้อยละ 20 แต่คนในพื้นที่จังหวัดสตูล ร้อยละ 80 นั้นนับถือ ศาสนาอิสลาม และที่สำคัญ คือ นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หวังปูเต๊ะ เองก็เป็นคนที่มีบทบาทในพื้นที่เป็นอย่างมาก แต่ก็ได้ทำการ ขับเคี่ยวกันพอสมควรกับคู่แข่ง ซึ่งนายชูสิน โคนันทน์ สังกัด พรรคกิจสังคม ต่อสู้กับพรรคประชาธิปัตย์ นายชูสิน โคนันทน์ พยายามคลุกคลีให้เข้ากับ ชาวบ้านมากที่สุด ทั้งเดินทางนั่งเรือเพื่อหาเสียง หรือเดินทาง หาเสียงไปตามบ้านหัวคะแนนต่างๆ ใช้เวลานานมากกว่า หนึ่งเดือน โดยปัจจุบันมีหัวคะแนนเก่าที่ยังมีความผูกพันกันได้ เข้ามาหาอยู่บ่อย ๆ ชื่อว่า “บังแหม” มีการหุงข้าวเพื่อเลี้ยงคน นอกจากนี้มักจะมีคนพูดว่า “มากินข้าวบ้านผู้แทนหร่อย” มีการหาเสียงตามสุเหร่า โดยในการหาเสียงลักษณะนี้นายชูสิน โคนันทน์ กับนางเตือนใจ โคนันทน์จะแยกกันหาเสียง โดย นายชูสิน โคนันทน์ จะเข้าทางผู้ชาย ส่วนนางเตือนใจ โคนันทน์ ก็จะเข้าทางผู้หญิง มีการแจกจ่ายผ้าบาเต๊ะ ซึ่งสมัยนั้นการ แจกจ่ายเป็นเรื่องที่ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่มี กฎหมายบังคับเรื่องการจ่ายแจกสิ่งของ ให้ความสะดวกและ ความรว่ มมอื ทางดา้ นกจิ กรรมศาสนกจิ ตา่ งๆ ของศาสนาอสิ ลาม เช่น การทำ “นูหรี” (เป็นงานเลี้ยง หรืองานบุญของศาสนา อิสลาม ที่จะเรียกคนในพื้นที่มาช่วยกันประกอบกิจกรรมทาง ศาสนา) นางเตือนใจ โคนันทน์ ก็จะเข้าไปคลุกคลีอยู่ในครัว เพื่อช่วยทำอาหาร สวมเครื่องแต่งกายตามศาสนาอิสลามเพื่อ ให้กลมกลืนกับชาวบ้าน แม้แต่ในการแต่งกายในการหาเสียง 163

นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล เองนางเตือนใจ โคนันทน์ ก็จะนุ่งผ้าถุงในการหาเสียงเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่านายชูสิน โคนันทน์ และนางเตือนใจ โคนันทน์ เป็นคนที่ติดดิน และไม่มีการทำตัวให้ดูสูงส่งกว่าคนอื่นแต่อย่าง ใด สามารถปรับตัวให้เข้ากับชาวบ้าน โดยในการหาเสียงนั้น นางเตือนใจ โคนันทน์ จะต้องมีคนติดตามไปด้วย 2 - 3 คน และในการที่ท่านต้องไปนอนค้างอ้างแรมบ้านของชาวบ้าน บาง ครั้งคุณนายเตือนใจก็จะต้มไข่เตรียมไปด้วย เมื่อไม่สามารถ กินอาหารบางอย่างได้ เผื่อบางอย่างที่คุณนายเตือนไปบ้าน ชาวบ้านก็จะไม่ไปรบกวนชาวบ้านมากเกินไปทางลูกๆ เอง ก็ช่วยกันหาเสียงกันทุกคน แต่โดยส่วนใหญ่ลูกๆ ก็จะช่วย หาเสียงทางเพื่อนของลูกเท่านั้น ก่อนหน้าที่จะขนคนไปเลือกตั้ง ดังนั้นก็จะมีการเลี้ยงข้าว เลี้ยงขนมจีน ทำอาหารกินกันก่อน การขนคนไปลงคะแนนด้วย และมีความเชื่อเรื่องของการด ู หมอบ้าง แต่ในเรื่องของการบนบานศาลกล่าวนั้นไม่เคยทำ (นางเตือนใจ โคนันทน์, สัมภาษณ์, 21 พฤษภาคม 2554) ส่วนการหาเสียงในรูปแบบอื่นนั้นนางเตือนใจ โคนันทน์ ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า นายชูสินได้มีการเปิดเวทีการ ปราศรัยหาเสียงตามสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น ศาลากลาง ทว่ี า่ การอำเภอ ในอำเภอละง,ู อำเภอทงุ่ หวา้ , อำเภอควนกาหลง และอำเภอเมือง เป็นต้น คนที่มาฟังการปราศรัยก็มีมากพอ สมควร ในส่วนของเรื่องเครื่องเสียงนั้น นางเตือนใจ โคนันทน์ ไม่ทราบรายละเอียด เพราะนายชูสิน โคนันทน์ จะมีทีมงานที่ คอยประสานกันอยู่แล้ว โดยนายชูสิน โคนันทน์ มักจะมีคำพูด กล่าวในการปราศรัยเป็นประจำเท่าที่นางเตือนใจ โคนันทน์ จำได้ก็คือ “ให้ผมเป็นผู้แทนสักครั้ง แล้วค่อยดูกันที่ผลงาน” 164

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล โดยเทคนิคในการหาเสียงของนายชูสิน โคนันทน์ นั้นก็คือ “ลอยช้อนตามเปียก” คือ ให้เข้ากับคนในพื้นที่ได้ ในส่วนของ เครือญาติก็มีมาช่วยกันบ้างแต่ก็มีไม่มาก เนื่องจากส่วนใหญ่ ญาติของคุณชูสิน จะไม่ใช่คนในพื้นที่ เพราะเดิมนายชูสิน โคนันทร์ เป็นคนในพื้นที่จังหวัดสงขลา ดังนั้น ส่วนใหญ่แล้ว บ้านในพื้นที่มากกว่าที่จะเข้ามาให้ความช่วยเหลือกันเป็นอย่าง มาก ในส่วนของนโยบายที่ได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ในตอนนั้นก็คือ “นโยบายไปนครเมกกะทางเรือ” เพื่อให้คนที่ นับถือศาสนาอิสลามที่มีความประสงค์ที่จะเดินทางไปแสวงบุญ ทน่ี ครเมกกะไดไ้ ปแสวงบญุ ทน่ี ครเมกกะ ประเทศซาอดุ อิ าระเบยี โดยนางเตือนใจ โคนันทน์ จะเดินทางไปให้กำลังใจและได้แจก ผ้าขนหนูผืนเล็กๆ ไว้เพื่อเช็ดหน้าให้กับผู้เดินทางไปแสวงบุญ ด้วย 4.2.2 นายสมศักดิ์ เส็นดาโอ๊ะ เกิดวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2492 สำเร็จการศึกษา ระดบั ปรญิ ญาตรี สาขาการศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ ประสานมิตร อาชีพปัจจุบัน รับจ้างทั่วไป ภรรยา ชื่อนางยุรี เส็นดาโอ๊ะ อาชีพข้าราชการบำนาญ บุตร 3 คน ชาย 1 คน หญิง 2 คน โดยเป็นบุคคลที่มีวิธีการคิดแบบเด็กหลังห้อง เป็นคนที่นั่งเรียน ฟังอย่างมีสมาธิ สามารถแยกแยะ อยู่ห่าง จากผู้มีอำนาจ มีความคิดว่าเด็กหน้าชั้น ฟังเก็บข้อมูลไม่ครบ ไมน่ ำมาทบทวน หลงั หอ้ งเหน็ คนหนา้ หอ้ งทง้ั หมดเกบ็ รายละเอยี ด ได้หมด มีความสามารถคิดวิเคราะห์ ไม่แสดงความคิดเห็น เก็บข้อมูลจากเพื่อนคนอื่น อาจารย์ถามสามารถตอบได้เร็ว 165

นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล ทุนทางสติปัญญาเป็นทุนเดิม คำตอบโดยใช้วิธีการของตนเอง การใฝ่หาความรู้ของนายสมศักดิ์ เส็นดาโอ๊ะ ได้รับอิทธิพล มาจากบิดาชอบท่องเที่ยวป่า เดินตามป่าเขาซึ่งมีอันตรายจาก สัตว์ป่าต่างๆ ทำให้เห็นความหลากหลาย สุดท้ายบิดาจะถาม คำถาม ทำใหเ้ ปน็ คนชา่ งสงั เกต มคี วามรอบคอบ เกบ็ รายละเอยี ด คุณสมบัติเก็บสะสมข้อมูล ทำโดยไม่ใช้ความรู้ ความรู้ทั้งหลาย ไม่ใช่สติปัญญา แนวความคิดไม่เน้นภายในห้องเรียน เรียนรู้ จากสถาบัน ชอบฟังเวทีการอภิปราย ชอบนอกห้องเรียน ช่วยค้นหาความรู้ และในการทำงานทางด้านการเมืองนั้น นายสมศักดิ์ เส็นดาโอ๊ะได้แนวคิดในการทำงานมาจาก นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หวังปูเต๊ะ เป็นคนพื้นถิ่นของอำเภอละงู “ท่านเจ๊ะเป็นคนตรง (นายสมศักดิ์ เส็นดาโอ๊ะ ยังเด็ก) รู้สึกได้ ว่าท่านเป็นคนดี ถึงแม้ว่าการพัฒนาสมัยนายเจ๊ะอับดุลลาห์ หวังปูเต๊ะ ทำไม่มาก แนวคิดความเป็นผู้นำมากกว่าผู้ดำรง ตำแหน่ง แต่ผู้นำการแก้ปัญหาไม่มี” ความคิด “ทำนอง คลองธรรม” สมัยก่อนถูกต้องตามทำนองคลองธรรม อ้างที่มา ปัจจุบันถูกต้องตามทำนองคลองทุนโดยปกติเราต้องถูกต้อง ตามกฎหมาย (นายสมศักดิ์ เส็นดาโอ๊ะ, สัมภาษณ์, 25 กันยายน 2554) 4.2.2.1 เครอื ข่ายและความสัมพันธ์ทางการเมอื ง นายสมศกั ด์ิ เสน็ ดาโอะ๊ มเี ครอื ขา่ ยความสมั พนั ธ์ ทางการเมืองกับกลุ่มเครือญาติที่มีความโดดเด่น โดยมีภรรยาที่ ให้ความช่วยเหลือ และความคิดในการทำงานในทุกอย่างเท่าที่ จะทำได้ นางยุรี เส็นดาโอ๊ะ (ภรรยา) มีกลุ่มของตัวเองซึ่งเป็น 166

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล กลุ่มเพื่อน ๆ ที่ให้ความช่วยเหลือ มีทุนทางสังคมที่มีความ แตกต่างกัน นอกจากญาติช่วยออกแรงแล้วก็มีส่วนให้ความ ช่วยเหลือทางด้านเงินทุนที่ใช้แต่ก็ไม่มากนัก มีกลุ่มเพื่อนให้ ความช่วยเหลือในพื้นที่ มีการลงพื้นที่ ลงแรงช่วยเหลือ แล้วก็ ยังมีกลุ่มผู้นับถือศาสนาอิสลาม เจ้าอาวาสวัด และยังมีกลุ่ม ผู้เป็นอาสาสมัครที่ให้ความช่วยเหลือ และค่าใช้จ่าย ด้วยเหตุ ผลว่านายสมศักดิ์เป็นบุคคลที่มีความสนใจการเมือง มีความรัก ความเปน็ ธรรมอนั มตี น้ แบบมาจากนายเจะ๊ อบั ดลุ ลาห์ หลงั ปเู ตะ๊ จึงยินดีให้การสนับสนุน 4.2.2.2 บทบาททางการเมอื ง เนื่องมาจากความสนใจทางการเมืองและ มีต้นแบบทางการเมือง คือ นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความซื่อสัตย์ และเป็นบุคคลที่มีความตั้งใจ ในการทำงานทางการเมืองจึงทำให้นายสมศักดิ์ เส็นดาโอ๊ะ ได้ต้นแบบที่มีและตั้งใจลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจนกระทั่งประสบความสำเร็จได้รับเลือกตั้ง ทำหน้าที่เป็นตัวแทนประชาชนท้องถิ่นจังหวัดสตูล การลงสมัคร รับเลือกตั้งได้รับการพิจารณาจากพรรคการเมือง สังกัดพรรค ประชาธิปัตย์ (ยังไม่มีสาขาพรรคการเมือง) ความคุ้นเคยกันใน พน้ื ทโ่ี ดยนายสมศกั ด์ิ เสน็ ดาโอะ๊ ไดด้ ำเนนิ แนวทางทางการเมอื ง ด้วยการเดินตามรอยนักการเมืองเป็นแบบนายชวน หลีกภัย (ไต่เต้ามาจากยุวประชาธิปัตย์) เหมือนกัน ความรู้สึกต่อพรรค ประชาธิปัตย์ คือ “ถ้าแพ้แล้ว ไม่เก็บบทเรียนก็ให้รู้ไป จะเก็บ บทเรียนความพ่ายแพ้เพื่อการแก้ปัญหา” ดังนั้น การทำงาน 167

นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล ทางการเมอื งสง่ิ ทส่ี ำคญั คอื ทศั นคติ ซง่ึ นายสมศกั ด์ิ เสน็ ดาโอะ๊ มีทัศนคติที่ดีต่อการเมืองโดยเข้ามาทำงานเพื่อการเปลี่ยนแปลง ในคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น ยึดมั่นในการทำความดี ความถูกต้องและความไม่ถูกต้อง ถ้าไม่ถูกต้องก็ต้องบอกว่า ไมถ่ กู ตอ้ ง ซง่ึ การทำงานในบทบาทของสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ยังยึดมั่นในหลักการทำงานที่ดี และถูกต้อง โดยสมัยที่ได้รับ การเลือกตั้งนั้นการทำงานในบทบาทเป็นแบบไม่โดดเด่น มีประชาชนเข้ามาพบ และลงพบประชาชนอยู่เสมอเพื่อร่วมหา แ น ว ท า ง ก า ร แ ก ้ ไ ข ป ั ญ ห า ข อ ง ป ร ะ ช า ช น อ ย ่ า ง ต ่ อ เ น ื ่ อ ง นายสมศักดิ์ เส็นดาโอ๊ะ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร 1 สมัย คือ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 นายสมศักดิ์ เส็นดาโอ๊ะ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ภาพท่ี 9 นายสมศักด์ิ เส็นดาโอะ๊ 168

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล ภาพที่ 10 นายสมศกั ดิ์ เส็นดาโอ๊ะกบั เสน้ ทางการเมือง 4.2.2.3 กลวิธกี ารหาเสียง กลวิธีการหาเสียงของนายสมศักดิ์ เส็นดาโอ๊ะ อาศัยวิธีการหาเสียงด้วยตนเองเป็นหลักด้วยวิธีการเดินทาง หาเสียง “พูดในทุกที่ที่ไปถึงและมีโอกาสในการพูด” เคาะประตู มกี ารประชาสมั พนั ธผ์ า่ นสอ่ื โปสเตอร์ ซง่ึ นายสมศกั ด์ิ เสน็ ดาโอะ๊ มีการวางแผนการลงพื้นที่เพื่อการทำมวลชนก่อน 2 ปี โดย ลงพื้นที่ทุกพื้นที่เพื่อให้ประชาชนรู้จักและเข้าใจถึงความตั้งใจ และต้องการให้เกิดการพัฒนาท้องถิ่นจังหวัดสตูล ในการ หาเสียงมีสโลแกนของตนเอง (แต่จำไม่ได้) นโยบายไม่มี อาศัย ใช้หลักในการทำงาน “มาคิดร่วมกัน” นายสมศักดิ์ ใช้หลัก ธรรมราชา ข้อความสำคัญ (key massage) คนรุ่นใหม่ จุดสำคัญ คอื การหากลมุ่ ใหมใ่ หเ้ รว็ หากลมุ่ เกา่ ไมไ่ ด้ ไดเ้ ปรยี บทางความคดิ และกลุ่มศาสนา และเมื่อลงพื้นที่หาเสียงพบว่ามีโปสเตอร์ติด อยู่ในบ้าน 4 - 5 หลัง ถือว่าประสบความสำเร็จมาก พาเข้าไป 169

นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล ไว้ในบ้านแสดงซึ่งการให้การยอมรับ ให้ความสำคัญ พร้อมทั้ง จากการพดู คยุ พบวา่ ชาวบา้ นตอ้ งการเปลย่ี นแปลง ทางการเมอื ง ใหเ้ กดิ สง่ิ ตามทป่ี ระชาชนตอ้ งการ แตไ่ มแ่ สดงออก (นายสมศกั ด์ิ เส็นดาโอ๊ะ, สัมภาษณ์, 25 กันยายน 2554) สำหรบั วธิ กี ารหาเสยี งทโ่ี ดดเดน่ ของนายสมศกั ด์ิ เส็นดาโอ๊ะ คือ การหาเสียงอาศัยเวทีย่อยมาก เริ่มแรกกระแส คนมาฟังการปราศรัย 10,000 คนขึ้นไป สำหรับเวทีใหญ่มีไม่เกิน 5 ครั้ง โดยต้องมีบุคคลสำคัญ เช่น นายชวน หลีกภัย ซึ่งเป็น บุคคลทีม่ ีความโดดเด่นและมคี วามสำคญั ตอ่ พรรคประชาธปิ ตั ย์ เมื่อนายชวน หลีกภัย ไปถึงที่ไหนก็จะมีประชาชนมาฟังการ หาเสียงจำนวนมาก วิธีการนี้เป็นกลวิธีการสร้างกระแสที่สำคัญ ของพรรคประชาธิปัตย์ 4.2.3 นายจิรายุส เนาวเกตุ นายจิรายุส เนาวเกตุ เกิดวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2492 อายุ 62 ปี บิดาชื่อนายดนตรี เนาวเกตุ และมารดาชื่อ นางขจร กลิ่น เนาวเกตุ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี การศึกษา บัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. 2521 วัยเด็กเรียน หนังสือโดยการ ดิ้นรน ทำนาเลี้ยงวัว ถูกครูลงโทษไม่ใส่รองเท้า นายจิรายุส เนาวเกตุ มีความคิดว่า เพื่อนๆ มีเสื้อผ้าใหม่ใส่ กางเกงใหม่ นายจิรายุส เนาวเกตุ มีแต่เสื้อผ้าเก่า กางเกงปุปะ ทำไมคนเราต้องมีความแตกต่างไม่ใช่เรื่องของพระเจ้า เป็นเรื่อง ของการบริหารประเทศ มีอุดมคติทางการเมืองตั้งแต่เรียนระดับ มัธยม ดิ้นรนเรียนให้จบปริญญา มีความตั้งใจเรียนเพื่อต่อสู้ แทนคนจน เรียนและทำงานควบคู่กัน เคยไปศึกษา ณ จังหวัด 170

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล พิษณุโลก เดินทางไปหลายพื้นที่ จบประกาศนียบัตรวิชาการ ศึกษา (ป.กศ.) สอบบรรจุครู นายจิรายุส เนาวเกตุ กล่าวถึง การเมืองว่า “เรื่องการเมืองแยกไม่ได้จนกระทั่งตาย การเมือง เป็นเรื่องของชีวิต ชีวิตของคนเราอยู่คู่กับการเมือง” ภาพที่ 11 นายจริ ายสุ เนาวเกตุ ใหส้ ัมภาษณ์ แนวความคดิ กบั การทำงานทางการเมือง 4.2.3.1 เครือข่ายและความสมั พนั ธท์ างการเมอื ง นายจิรายุส เนาวเกตุ เป็นบุคคลที่เป็นที่รู้จัก อย่างกว้างขวาง เป็นที่รู้จัก และได้รับความเชื่อถือจาก ประชาชนในจังหวัดสตูล จึงทำให้มีเครือข่ายและความสัมพันธ์ ทางการเมือง กลุ่มมวลชนทางการเมืองอยู่ที่ร้านกาแฟ มัสยิด ทุกมัสยิดโดยนายจิรายุส เนาวเกตุ ยึดถือหลักปฏิบัติทาง ศาสนามุสลิมสอนให้ทำความดี และให้ความช่วยเหลือ ผู้อื่นและคิดว่าต้องพยายามเป็นมือบน คือ หมายถึง ผู้ให้ ผู้ช่วยเหลือต้องมีฐานะอยู่ได้อย่างพอเพียง จึงทำให้มีฐานเสียง 171

นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล มาจากกลุ่มมุสลิมจำนวนมาก นายจิรายุส เนาวเกตุ เข้าหา พบปะกับทุกคนอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง สังเกตได้จากมีผู้ที่ ให้ความสนใจ อยากพูดคุยปรึกษาด้วยจนกลายเป็นผู้ร่วมต่อสู้ จัดตั้งเป็นแกนนำด้วย สำหรับกลุ่มฐานเสียงทางการเมืองมา จากการพัฒนาต้องเป็นเสียงจากคนรากหญ้า แต่ปัจจุบันเสียง ส่วนใหญ่เกิดจากเสียงชนชั้นกลาง นายจิรายุส เนาวเกตุ มีความคิดเห็นว่าเสียงส่วนใหญ่ถ้ามาจากกลุ่มคนชั้นสูงเป็น การเมืองที่ไม่ใช่การเมืองที่เป็นตัวแทนของประชาชน แต่เป็น กลุ่มผลประโยชน์ 4.2.3.2 บทบาททางการเมอื ง นายจิรายุส เนาวเกตุ มีบทบาททางการเมือง ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 สมัย ด้วยอุดมการณ์ ทางการเมืองเพื่อการพัฒนาจังหวัดสตูลอุดมคติทางการเมือง ตั้งแต่เรียนระดับมัธยม ดิ้นรนเรียนให้จบปริญญา ตั้งใจเรียน เพื่อต่อสู้แทนคนจน เรียนและทำงานควบคู่กัน เคยไปเรียน หนังสือ ณ จังหวัดพิษณุโลก เดินทางไปหลายพื้นที่จน จบประกาศนียบัตรวิชาการศึกษา (ป.กศ.) สอบบรรจุครู การสอนช่วยย้ำอุดมการณ์ทางด้านการเมือง ผลงานที่สำคัญ คือ การนำนโยบายที่มีโครงสร้างการพัฒนาจังหวัดสตูล เช่น ทา่ เทยี บเรอื มคี วามคดิ วา่ ควรใชบ้ โุ บยไมใ่ ชท่ า่ เทยี บเรอื ปากบารา เพราะมีผลกระทบทางไปเกาะเพื่อการท่องเที่ยว นายจิรายุส เนาวเกตุ มีแนวความคิดการพัฒนาเพื่อประชาธิปไตย โดยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เห็นความสำคัญแต่งตั้ง คณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณาการพัฒนาสตูลเป็นเมือง 172

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล เศรษฐกิจเขตพิเศษ สมัยนายบรรหาร ศิลปอาชาเป็นรัฐมนตรี คมนาคมสร้างถนนสตูล - หาดใหญ่ ถนนไปปะลิศ มีโครงการ ท่าเรือ (ไม่สำรวจความคิดเห็น) และบทบาททางการเมือง ที่สำคัญอีกประการหนึ่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ การมี ส่วนร่วมในการอภิปรายในสภา ในปี 2535 (พฤษภาทมิฬ) ไดอ้ ภปิ รายพลเอก สจุ นิ ดา คราประยรู ใหล้ าออก โดยการสง่ เสรมิ ประชาธิปไตย โดยตนบอกว่านายกมาจากเผด็จการจะมาเข้าใจ เรื่องการส่งเสริมประชาธิปไตยได้อย่างไร นายจิรายุส เนาวเกตุ เข้ามามีบทบาททางการเมือง ดังนี้ 18 เมษายน พ.ศ. 2526 นายจิรายุส เนาวเกตุ ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 1 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 นายจิรายุส เนาวเกตุ ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 2 สังกัดพรรคมวลชน 4.2.3.3 กลวิธีการหาเสียง นายจิรายุส เนาวเกตุ เล่าวิธีการหาเสียง ให้ฟังว่า “หลังจากแพ้การเลือกตั้งครั้งแรกมาจากการโดนโกง อีกฝ่ายมีเงินทอง อำนาจ แต่นายจิรายุส เนาวเกตุ ได้ใช้วิธีการ ขยายอุดมการณ์ทางการเมือง ปรับปรุงวิธีการหาเสียงในครั้ง ต่อไป มีวิธีการปราศรัยบนเวที” ยุคการต่อสู้ ผู้ว่าต่อสู้นายนาถ บินตำมะหงง การเลือกตั้งเลือกทั้งจังหวัด 1 คน นายนาถ บินตำมะหงง เป็นเทศมนตรี ใช้รูปแบบการต่อสู้ทุกรูปแบบ ฐานคะแนนเสียงของคุณจิรายุส มาจากคนจน ประชาชนจริงๆ 173

นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล มีกระบวนการทางการเมืองเริ่มต้นด้วยการขายความคิด มีการ พิสูจน์ว่าไม่มาหลอกลวงด้วยวิธีการชี้แจงด้วยเหตุและผลการ ต่อสู้เพื่ออะไร ด้วยวิธีการหาเสียงที่โดดเด่นและทำให้ชนะ การเลือกตั้งใน 2 สมัยนั้นด้วยเหตุผลที่ว่า ชาวบ้านเห็นความ จริงใจ เข้าถึงหลังครัวเข้ามาทำงานด้วยใจ สมัยนายจิรายุส เนาวเกตุ ลงสมัครพรรค ประชาธิปัตย์ ใช้เงินในการหาเสียง 100,000 บาท ใช้เพื่อเป็น ค่าน้ำมัน ค่าโปสเตอร์ มีรถจากปะเหลียนมาช่วย 1 คัน ติดป้ายหาเสียงที่รถ ถนนที่ไปเป็นถนนลูกรัง โดยใช้วิธีการ ประชาสัมพันธ์ก่อนล่วงหน้า โดยมีกระบวนลงสมัคร กระบวนการแกนนำเข้าร่วมประชุม นายจิรายุส เนาวเกตุ มีหน้าที่ทำทุกอย่าง ที่มัสยิดมีคนในอยู่ก่อนและหลังละหมาด มีการปราศรัยบนรถหาเสียง ทำให้เกิดหัวคะแนนในตัว มาจาก คนที่รักชอบ ใช้วิธีการปูพรมแล้วค่อยเจาะคนที่ให้ความสนใจ ในอุดมการณ์เดียวกันจะเป็นหัวคะแนนในตัว ไม่มีค่าตอบแทน ให้หัวคะแนน กรณีพบมอเตอร์ไซค์รับจ้าง คือ บังฉา มาจากคน รักชอบ ถึงไหนถึงกันให้นั่งรถไปตามบ้านต่าง ๆ บังบอกว่า “เห็นใจ เห็นดู” และได้เป็นสารถีในการขับรถมอเตอร์ไซค์ ตระเวนหาเสียงด้วยการเคาะประตูบ้าน (จิรายุส เนาวเกตุ, สัมภาษณ์, 15 เมษายน 2554) 4.2.4 นายวิทูร หลังจิ นายวิทูร หลังจิ เกิดวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2489 จบ การศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) อุเทนถวาย ประกอบอาชีพ เปิดอู่ซ่อมเรือ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 174

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล จังหวัดสตูล พรรคชาติไทยและอดีตนายกองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดสตูล เสียชีวิตลงแล้ว ด้วยวัย 65 ปี ที่บ้านเลขที่ 349/1 หมู่ 2 ตำบลเจ๊ะบิลัง อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล จาก โรคมะเร็งในกระดูก เมื่อเช้าวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 โดย นายวิทูร หลังจิ มีบุคลิกภาพความเป็นผู้นำอย่างโดดเด่น (รุ่นปู่ เป็นกำนันเจ๊ะบิลัง) นายกเทศบาล (น้องชายพ่อ) นายอดิศักด์ หลังจิ บิดาของนายวิทูร หลังจิ เป็นกำนันดีเด่นแหนบทองคำ ทำให้มีการซึมซับความคิด และพฤติกรรมทางการเมือง ต่อมา เมื่อเข้าสู่เส้นทางการเมืองเมื่อเกิดปัญหาความขัดแย้ง เกิดเรื่อง ต่าง ๆ นายวิทูรจะเป็นผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย 4.2.4.1 เครอื ขา่ ยและความสมั พนั ธท์ างการเมอื ง นายวิทูร หลังจิ เป็นนักการเมืองที่มีเครือข่าย เพื่อนฝูงเข้ามาช่วยเหลือหมุนเสริมงานทางการเมือง รวมทั้ง ผู้นำทางศาสนา และนักธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพราะนายวิทูรเป็น นักธุรกิจทำอู่ต่อเรือในจังหวัดสตูล และมีความสัมพันธ์อันดีกับ เพื่อนฝูงท่าเรือเจ๊ะบิลังมีคนมาร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือ และ สุดท้ายการเล่นการเมืองของนายวิทูร หลังจิ จนต้องขายกิจการ อู่ต่อเรือ และนายวิทูร หลังจิ เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจาก คนในอดีต อันเนื่องมาจากการเป็นลูกกำนันทำให้มีเพื่อนฝูง และมีบุคลิกภาพความเป็นผู้นำในตนเอง อันซึมซับมาจากบิดา แต่ในสมัยรุ่นลูกนายวิทูร หลังจิ ไม่มีทายาททางการเมืองสาย ตรงโดย นางยุพิณ หลังจิ (สัมภาษณ์,วันที่ 25 กันยายน 2554) กล่าวว่า “ท่านวิทูรไม่อยากให้ลูกเล่นการเมือง ยิ่งเป็นยิ่งหมด” และ “ท่านมีแต่ให้ มาเอาจากที่บ้านไป” ในที่สุดเมื่อนายวิทูร 175

นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล หลังจิ เข้ามาเล่นการเมืองก็ต้องขายอู่ต่อเรือเนื่องจากต้องใช้ เงินทุน สำหรับสมัยที่นายวิทูร หลังจิ เป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรได้เครือข่ายอันเกิดมาจากการทำงานในฐานะอดีต นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล ซึ่งได้รับความไว้วางใจ จากประชาชนที่ทราบและเชื่อถือในวิธีการทำงาน ประชาชน จังหวัดสตูลจึงให้ความสำคัญอยู่ที่ตัวบุคคล โดยในสมัยที่ นายวิทูร หลังจิ ได้รับการเลือกตั้งสังกัดพรรคชาติไทย ซึ่งเป็น พรรคที่ไม่ได้รับความนิยมในท้องถิ่นภาคใต้มากนัก เครือข่าย และความสัมพันธ์ของนายวิทูร หลังจิ จึงชัดเจนกับฐานเสียง เดิมที่มีในสมัยอดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล เป็นสำคัญ 4.2.4.2 บทบาททางการเมอื ง ถึงแม้ว่าการทำงานทางการเมืองในฐานะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายวิทูร หลังจิ จะทำงานอยู่ใน ตำแหน่งเพียงสมัยเดียวก็ตาม แต่ด้วยความสามารถ และประสบการณ์ทางการเมืองที่มีมาก่อนในฐานะอดีตนายก- องค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูลทำให้เป็นผู้ที่มีความเข้าใจ การทำงานทางดา้ นการเมอื งอยา่ งทอ่ งแท้ ดว้ ยบคุ ลกิ การทำงาน ด้วยความซื่อสัตย์เมื่อเกิดปัญหาในการทำงานไม่โปร่งใสและ ตรวจสอบพบด้วยบทบาทหน้าที่ความเป็นผู้นำทางการเมือง ก็ไม่ปล่อยปละละเลยต้องดำเนินการตามกฎหมาย เช่น สมัย เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล ตรวจพบการทุจริต ถังเก็บกักน้ำ จำนวน 23 ล้านบาทขององค์การบริหารส่วน 176

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล จังหวัดสตูล (ชุดเก่า) ก็มีการดำเนินการแจ้งความกับผู้ที่ เกี่ยวข้องกับการทุจริตแบบตรงไปตรงมา ไม่กลั่นแกล้งแต่ อย่างไร ซึ่งนายวิทูร หลังจิ มีนโยบายในการทำงาน “โปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกโครงการ” (ผู้จัดการออนไลน์ 2 พฤษภาคม 2549) ด้วยแนวนโยบายในการทำงานทางการเมืองมาก่อนเมื่อ เข้ามาสู่นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล จึงยังคงยึดถือหลักการใน การทำงานด้วยความโปร่งใสตรวจสอบได้ เพื่อสามารถที่จะเป็น ที่พึ่งพาให้กับประชาชนในจังหวัดสตูลได้ และมีผลงาน คือ ทางหลวงชนบท 240 เมตร โรงเรียนตาดีกา สำหรับการดำรง ตำแหน่งในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายวิทูร หลังจิ เพียงหนึ่งสมัย คือ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2531 นายวิทูร หลังจิ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สังกัดพรรคชาติไทย 4.2.4.3 กลวธิ ีการหาเสียง กลวิธีการหาเสียงของนายวิทูร หลังจิ ไม่มี วิธีการที่โดดเด่น ใช้ทุกวิธีการที่นักการเมืองทุกคนใช้ แต่ต้องมี ความซื่อสัตย์ แต่วิธีการที่ใช้มากก็คือ การเข้าร่วมพิธีกรรมทาง ศาสนา มีการพูดคุยสอดแทรกแนวทางการทำงาน พร้อม หาข้อมูลประกอบเพื่อนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหา ใช้วิธีการเข้า ทางศาสนา เพราะนายวิทูร หลังจิ เป็นผู้ที่เคร่งครัดในการ ปฏิบัติตนตามหลักศาสนา และอีกวิธีการหนึ่งที่ใช้ในการ หาเสียง คือ หัวคะแนนของนายวิทูร หลังจิ มาจากเพื่อนที่ ให้การช่วยเหลือ วางแผนงานทางการเมืองในการแข่งขันและ 177

นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล ต่อสู้ช่วงชิงการใช้เครือข่ายของกลุ่มครูและผู้นำศาสนาส่ง ตัวแทนของอิสลามจังหวัดสตูล และทำให้คนตัดสินใจทาง การเมืองในฐานะพวกเดียวกันทางด้านความเชื่อ และ จิตวิญญาณ ความศรัทธาศาสนามีผู้แทนที่เป็นมุสลิมจึงได้รับ ความไว้วางใจ และนายวิทูร หลังจิ ก็ไม่ทำให้พ่อแม่พี่น้อง ประชาชนผิดหวังได้พยายามทำงานเพื่อผลักดันงบประมาณ และการแปรญัตติเพื่อดึงงบประมาณมาลงพื้นที่จังหวัดสตูล เช่น โครงการถนนสี่เลนเข้าจังหวัดสตูล จากสี่แยกคูหาไป จังหวัดสตูล การดึงงบประมาณเพื่อการสร้างถนนและตึก โรงพยาบาลสตูล และการสร้างท่าเรือ และโครงการที่ทำใน จังหวัดสตูล นับว่านายวิทูร หลังจิ เป็นนักการเมืองที่มาทำงาน เพื่อให้พี่น้องประชาชนจังหวัดสตูลได้รับผลประโยชน์ โดยใน พื้นที่ นายวิทูร หลังจิ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัด พรรคชาติไทยซึ่งไม่มีฐานเสียงในพื้นที่ภาคใต้ทำให้พรรค ชาติไทยพยายามสร้างผลงานเพื่อเปลี่ยนแปลงโดยพิสูจน์จาก ผลงาน และการเป็นนักการเมืองที่สามารถพูดจริงทำจริงได้ นางยุพิณ หลังจิ (ภรรยา) และนางยาสินี หลังจิ (บุตรสาว) (สัมภาษณ์, 25 กันยายน 2554) กล่าวว่า อีกวิธีการ หนึ่งที่ท่านใช้ในการหาเสียง คือ วิธีให้ความช่วยเหลือโดย ภาพรวม ไม่มีการโจมตดี ว้ ยคำพดู ทา่ นไมม่ ีลกู เล่นทางการเมือง อันเนื่องมาจากการที่นายวิทูร หลังจิ เป็นผู้ที่เคร่งทางศาสนา บุคลิกจะเป็นคนสุภาพ เล่นการเมืองอย่างมีเหตุและผล 178

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล ภาพที่ 12 นางยพุ ิณ หลงั จ ิ ภาพที่ 13 นางยาสินี หลงั จิ (ภรรยานายวิทูร หลงั จิ) (บุตรสาวนายวทิ ูร หลังจิ) 4.2.5 นายธานินทร์ ใจสมุทร นายธานินทร์ ใจสมุทร เกิดวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2503 อายุ 51 ปี เป็นบุตรคนที่ 5 ในจำนวนพี่น้อง 6 คน การศึกษา ในระดับประถมศึกษาปีที่ 1 - 4 โรงเรียนบ้านท่าน้ำเค็ม ตำบล ท่าแพ กิ่งอำเภอท่าแพ , ประถมศึกษาปีที่ 5 - 7 โรงเรียนบ้าน ท่าแพ ตำบลท่าแพ กิ่งอำเภอท่าแพ, มัธยมศึกษาปีที่ 1-3 โรงเรยี นสตลู วทิ ยา, ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี โรงเรยี นพาณชิ ยการ- 179

นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล สงขลา และ อนุปริญญา โรงเรียนไปรษณีย์โทรเลขคมนาคม ณ กรุงเทพมหานคร (ได้รับทุนการศึกษาอิสลาม) โดยพน้ื ฐานครอบครวั บดิ าเปน็ ครใู หญ่ โรงเรยี นตานำ้ เคม็ ซึ่งนายธานินทร์ ใจสมุทร เรียนอยู่ที่นั่น ตั้งแต่มัธยมชั้นปีที่ 1 ถึง ปีที่ 4 แม่เป็นแม่ค้าขายขนมจีน และบางครั้งก็นำของไปขายที่ โรงเรียนด้วย บุคลิกของนายธานินทร์ ใจสมุทร เป็นคน ไม่เรียบร้อย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 เพื่อนๆ เรียนจบ 3 ปี แต่ นายธานินทร์ ใจสมุทร ต้องเรียนนานถึง 5 ปี ชอบที่จะเป็นผู้นำ เพื่อนมากกว่าเป็นผู้ตาม ตลอดระยะเวลาในการเรียน นายธานินทร์ ใจสมุทร เป็นผู้นำเพื่อนมาตลอด ชอบช่วยเหลือ เพื่อนนายธานินทร์ ใจสมุทร จบจากโรงเรียนสตูลวิทยา จากนั้น ก็ไปเรียนที่จังหวัดสงขลา ไปอยู่กับพี่สาวซึ่งตอนนั้นพี่สาวเป็น ผู้ดูแลจนจบปีที่ 3 นายธานินทร์ ใจสมุทร บอกว่า ชอบเป็นผู้นำ ทีมฟุตบอล เป็นหัวหน้ากีฬาสีบ้าง จากนั้นไปเรียนที่โรงเรียน ไปรษณีย์ที่กรุงเทพมหานครเป็นนักกิจกรรม ชอบทำกิจกรรม เป็นอย่างมาก ครั้งหนึ่งเคยไปโต้วาทีที่โรงละครแห่งชาติ ซึ่งคู่ที่ โต้วาทีด้วยคราวนั้น คือ โรงเรียนสตรีวิทยา นายธานินทร์ ใจสมุทร (สัมภาษณ์, วันที่ 16 เมษายน 2554) ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ต้นแบบความเป็นผู้นำมาจากมารดา มารดามลี กั ษณะความเปน็ ผนู้ ำมาก จดั การเรอ่ื งทางบา้ นทกุ อยา่ ง และพร้อมที่จะสนับสนุนเรื่องการเรียนของนายธานินทร์ ใจสมทุ ร เปน็ อยา่ งดี ฐานะทางบา้ นมฐี านะปานกลาง เมอ่ื ตนเอง เรียนจบก็มาทำงานที่หาดใหญ่ทันที จบจากสหภาพแรงงาน ของการสื่อสาร มาสมัครเป็นประธานสาขาของการสื่อสาร 180

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล แต่ในขณะนั้นประธานสหภาพแรงงานไม่ได้มาจากการคัดเลือก แต่มาจากการแต่งตั้ง นายธานินทร์ ใจสมุทร เห็นว่าเป็นเรื่องที่ ไม่ยุติธรรมจึงคิดว่าควรที่จะต้องมาจากการคัดเลือก จึงไม่ใช่ เรื่องที่ถูกต้อง นายธานินทร์ ใจสมุทร ไม่ยอมจึงได้ทำการ ประท้วงขึ้นมา จึงมีการแข่งขันกันและนายธานินทร์ ใจสมุทร ได้เป็นหัวหน้าแผนกตั้งแต่อายุ 24 ปี ซึ่งมีลูกน้องที่อยู่ในความ ดูแลทั้ง 5 จังหวัดมากกว่า 90 คน ขณะที่นายธานินทร์ ใจสมุทร ได้เข้ามาเป็นหัวหน้าแผนกใหม่ ซึ่งในขณะนั้น CAT TELECOM กับไปรษณีย์ไทยได้ นายธานินทร์ ใจสมุทร ได้มีส่วนสนับสนุน ในการรวมสหภาพ และตนเองได้รับเลือกให้เป็นเลขา รัฐวิสาหกิจภาคใต้ และเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬขึ้น ซึ่ง นายธานินทร์ ใจสมุทร ก็ได้เป็นผู้ร่วมประท้วงในครั้งนั้น วันนั้น นายจำลอง ศรีเมือง ถูกจับผู้ร่วมขบวนการคนอื่นก็ไม่สามารถที่ จะติดต่อได้ นายธานินทร์ ใจสมุทร จึงมีความคิดที่จะยืนหยัดสู้ ต่อไปในการเดินขบวน หลายๆ องค์กรต่างๆ จึงติดต่อมา นายธานนิ ทร์ ใจสมทุ ร บอกวา่ ตนเองเปน็ คนทท่ี ำอะไรแลว้ ทำจรงิ ซ่ึงในตอนนั้นนายจริ ายสุ เนาวเกตุ กเ็ รยี กนายธานินทร์ ใจสมทุ ร ว่า สม้อ จึงทำให้เกิดความโมโห 4.2.5.1 เครอื ขา่ ยและความสัมพนั ธท์ างการเมือง เครือข่ายและความสัมพันธ์ของนายธานินทร์ ใจสมุทร ส่วนใหญ่มาจากเครือญาติรวมถึงบุคคลสำคัญที่เป็นที่ รู้จักในพื้นที่จังหวัดสตูล คือ นายสมเกียรติ เลียงประสิทธ์ ซง่ึ เปน็ บคุ คลเบอ้ื งหลงั ทางการเมอื งในการชว่ ยเหลอื นกั การเมอื ง ท้องถิ่นทุกคนในทุกด้าน แต่การที่จะได้รับเลือกตั้งขึ้นอยู่กับ 181

นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล ความสามารถในการทำงานทางการเมือง เพื่อให้ประชาชน จังหวัดสตูลให้การสนับสนุน เป็นคนใจถึงประชาชนมาขออะไร ให้หมดด้วยความมีใจนักเลง จึงทำให้คนรู้จักมีความเชื่อศรัทธา ต่อนายธานินทร์ ใจสมุทร และพิสูจน์จากผลงานทางการเมือง เชิงประจักษ์ 4.2.5.2 บทบาททางการเมือง สำหรับนายธานินทร์ ใจสมุทร ถือว่าเป็น นักการเมืองโดยอาชีพ โดยได้เดิน ทางเส้นทางงานการเมือง มาตลอดระยะเวลาตั้งแต่ได้รับการเลือกตั้งครั้งแรก พ.ศ. 2535 ถงึ แมว้ า่ เสน้ ทางทางการเมอื งมอี ปุ สรรค แตก่ ส็ ามารถดำเนนิ งาน ทางด้านการเมืองต่อไปได้โดยอาศัยการรอคอยเวลาใหม่ที่จะ มาถึงเพื่อลงสนามต่อสู้ทางการเมืองอีกครั้งจนประสบความ สำเร็จมาโดยตลอด จากการศึกษา พบว่า โดยบุคลิกภาพของ นายธานินทร์ ใจสมุทร เป็นผู้ที่มีความอดทน มุ่งมั่น ขยันใน เรื่องของการทำงานทางการเมืองอย่างตั้งใจ มีเป้าหมายในการ ทำงาน ด้วยการทำงานทางการเมืองมายาวนานจึงเป็นผู้ที่มี บทบาททางการเมือง การต่อสู้ในการทำงานเพื่อให้เกิดการ พัฒนาท้องถิ่นจังหวัดสตลู 13 กันยายน พ.ศ. 2535 นายธานินทร์ ใจสมุทร ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 1 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 นายธานินทร์ ใจสมุทร ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 2 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ 182

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล 17 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2539 นายธานนิ ทร์ ใจสมทุ ร ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 3 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 นายธานินทร์ ใจสมุทร ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 4 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 นายธานินทร์ ใจสมุทร ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล สมัยที่ 5 สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ 4.2.5.3 กลวธิ กี ารหาเสยี ง ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของการทำงาน ทางการเมืองของนายธานินทร์ ใจสมุทร นั้นเป็นการสั่งสมวิชา ในการหาวิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะทางการเมืองในยุคสมัย ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ดังนั้น ในการที่ชนะ การเลือกตั้งในแต่ละครั้งจึงต้องมีกลยุทธ์ กลวิธีในการหาเสียง โดยนายธานินทร์ ใจสมุทร มีเครือญาติซึ่งค่อนข้างมาก พอสมควร จึงได้รับความช่วยเหลือจากญาติค่อนข้างมาก และ ในการหาเสียงในครั้งนั้นก็เพียงแต่เปิดเวทีปราศรัยกันเท่านั้น นายธานินทร์ ใจสมุทร ให้สัมภาษณ์ถึงวิธีการหาเสียงว่า ในการ ปราศรัยนั้นถึงแม้ว่ามีแค่ 5-10 คน นายธานินทร์ ใจสมุทร ก็ทำการปราศรัย และจะเลือกสถานที่ในการปราศรัย เช่น ตามสามแยกถนน หรือจุดศูนย์รวมที่มีประชาชนค่อนข้างมาก บางครั้งก็ไปพบประชาชนตามมัสยิดหลังจากการละหมาดบ้าง ตามร้านน้ำชาบ้าง การทำงานต้องทำด้วยใจจริง ๆ เท่านั้น และ 183

นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล เน้นการปราศรัยเท่านั้น ในสมัยนั้นยังไม่มีคัทเอาต์ หรือการ แจกใบปลิวโปสเตอร์แต่อย่างใด มีแต่รถแห่ลำโพงเท่านั้น งบประมาณในการลงสมัครในครั้งนั้น ได้มาจากพรรคจำนวน 300,000 บาท และไดจ้ ากพส่ี าวจำนวน 100,000 บาท เงนิ สว่ นตวั จำนวน 100,000 บาท รวมทั้งสิ้น 500,000 บาท โดย นายธานินทร์ ใจสมุทร ได้ลงสมัครแข่งขันต่อสู้กับนายจิรายุส เนาวเกตุ ซึ่งตอนนั้นนายธานินทร์ ใจสมุทร ก็ได้รับการเลือกตั้ง ในส่วนของระบบการหาเสียงของนายธานินทร์ ใจสมุทร นั้นก็มี การขนคนบ้าง แห่ป้ายโฆษณาบ้าง และก็มีบ้างที่มีการรับจ้าง มานั่งฟัง โดยการจ้างด้วยเงินบ้าง แต่นายธานินทร์ ใจสมุทร คิดว่าคนที่ได้รับค่าจ้างไม่ได้เต็มใจอยากมาฟัง และในการ หาเสียงนั้นมีสายกระทรวงแรงงานและรัฐวิสาหกิจก็เข้ามามี ส่วนร่วมในการหาเสียงด้วย ตอนนั้นกลุ่มผลประโยชน์ก็ยังไม่มี แต่หลังจากที่นายธานินทร์ ใจสมุทร ได้รับการเลือกตั้งแล้วนั้น จึงได้มีการจัดตั้งกลุ่มผลประโยชน์ขึ้นมาใหม่ หลังจากการรวม เขตในสมัยที่ 1-2 หลังจากนั้นก็ได้มีการแยกเขต ความสัมพันธ์ ของนายธานินทร์ ใจสมุทร กับกลุ่มผลประโยชน์ ก็จะมีทางด้าน หัวคะแนนซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ทางอาชีพราชการก็จะเป็น พวกของครู ตำรวจ และกลุ่มที่สำคัญในพื้นที่ก็คือ คนจีน การหาเสียงนี้มีการอาศัยหัวคะแนนที่เป็นคนจีนอยู่เป็นจำนวน มากเช่นกัน (นายธานินทร์ ใจสมุทร, สัมภาษณ์, 16 เมษายน 2554) 184

ภูมิหลังทางการเมือง และนักการเมืองจังหวัดสตูล ภาพท่ี 14 ภาพนายธานนิ ทร์ ใจสมุทร ภาพที่ 15 เรอื่ งเล่าทางการเมืองของ นายธานินทร์ ใจสมุทร สรุปภาพรวมการเมืองและนักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล ยุคสอง (พ.ศ. 2512 – พ.ศ. 2535) การเมืองจังหวัดสตูลยุคที่สอง เรียกว่า ยุคบุกเบิกและ การตอ่ สทู้ างการเมอื ง เปน็ ยคุ แหง่ การเปลย่ี นแปลงทางการเมอื ง ที่เป็นยุคแห่งศักดินา เจ้าพระยา ตระกูลผู้ครองเมือง เช่น ณ นคร เป็นต้น เข้ามาปกครองแบบข้าราชการระดับสูง ของจังหวัดและเปลี่ยนเข้าสู่ยุคการเมืองของนักบุกเบิก โดย 185