นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล 1) อาชีพเกษตรกรรม พืชเศรษฐกิจของจังหวัดสตูล ไดแ้ ก่ ยางพารา ขา้ ว ปาลม์ นำ้ มนั และสวนผลไมย้ นื ตน้ ยางพารา จัดเป็นพืชเศรษฐกิจอันดับหนึ่ง จากรายงานของสำนักงาน สถิติจังหวัดสตูล พ.ศ. 2547 กล่าวถึงพื้นที่ปลูกยางพารา จังหวัดสตูลระหว่าง พ.ศ. 2545 – 2546 จังหวัดมีพื้นที่ปลูก ทั้งหมด 378,400.00 ไร่ ให้ผลแล้ว 310,667.00 ยังไม่ให้ผล 67,337.00 ไร่ ได้ผลผลิต 242 กิโลกรัมต่อไร่ ผลผลิตทั้งสิ้น 75,181.40 ตัน อำเภอที่ปลูกยางพารามากที่สุด คือ อำเภอ เมืองสตูล รองลงมาคือ อำเภอทุ่งหว้า อำเภอละงู อำเภอ ควนกาหลง ส่วนอำเภอที่เหลือมีพื้นที่ปลกู ค่อนข้างน้อย ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจอันดับสองรองจากยางพารา จากรายงานของสถิติจังหวัดสตูล พ.ศ. 2547 ระบุพื้นที่ปลูกข้าว นาปีของจังหวัด สตูลระหว่าง พ.ศ. 2545 – 2546 จำนวน 97,256.00 ไร่ ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ 418 กิโลกรัม ผลผลิตทั้งสิ้น 40,638.34 ตัน มีข้อที่น่าสังเกตว่า พื้นที่ปลูกข้าวลดลงจาก ปีก่อนๆ อำเภอที่มีผลผลิตสูงสุด ได้แก่ อำเภอเมืองสตูล รองลง มา คือ อำเภอละงู อำเภอท่าแพ และอำเภอควนโดน อำเภอที่มี พื้นที่ปลูกข้าวน้อยที่สุด คือ อำเภอควนกาหลงและกิ่งอำเภอ มะนัง ปาล์มน้ำมันเป็นพืชเศรษฐกิจอันดับสาม รองจากยาง พาราและข้าวจากรายงานของสถิติจังหวัดสตูล พ.ศ. 2547 ระบุ พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันของจังหวัดสตูล ระหว่างพ.ศ. 2545 -2546 มีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันทั้งสิ้น 101,145.00 ไร่ ให้ผลผลิตแล้ว 79,097.00 ไร่ ยังไม่ให้ผล 22,048.00 ไร่ ให้ผลผลิตต่อไร่ 36
ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดสตูล 2,431.00 กิโลกรัม ปริมาณผลผลิตทั้งจังหวัด 192,284.80 ตัน ปาล์มน้ำมันปลูกมากที่กิ่งอำเภอมะนัง รองลงมาคือ อำเภอ ควนกาหลง จังหวัดสตูลเริ่มปลูกปาล์มน้ำมันครั้งแรกที่ นิคมสร้างตนเองภาคใต้ คืออำเภอควนกาหลง เมื่อ พ.ศ. 2510 เมื่อได้ผลดีจึงส่งเสริมการปลูกกันอย่างจริงจัง ตั้งแต่ พ.ศ. 2512 เป็นต้นมา จังหวัดสตูลเป็นแหล่งผลิตปาล์มน้ำมันสำคัญของ ภาคใต้ ปลูกมากเป็นอันดับ 4 ของประเทศ รองจากจังหวัด กระบี่ สุราษฎร์ธานี และชุมพร การทำสวนผลไม้ยืนต้นจังหวัดสตูลมีพื้นที่ปลูกไม้ผล ยืนต้นทั้งหมด 45,084.00 ไร่ ตามรายงานของสถิติจังหวัดสตูล พ.ศ. 2547 ระบุว่าระหว่าง พ.ศ. 2545 - 2546 ไม้ผลยืนต้นที่ปลูก มากเรียงลำดับ ดังนี้ ลองกอง เนื้อที่ปลูก 7,798.00 ไร่ ได้ผลผลิต 4,332.40 ตัน เงาะ เนื้อที่ปลกู 6,863.00 ไร่ ได้ผลผลิต 10,374.80 ตัน ทุเรียน เนื้อที่ปลูก 6,007.00 ไร่ ได้ผลผลิต 6,972.10 ตัน มะพร้าว เนื้อที่ปลกู 5,155.00 ไร่ ได้ผลผลิต 6,486.50 ตัน มังคุด เนื้อที่ปลูก 3,642.00 ไร่ ได้ผลผลิต 1,275.80 ตัน 37
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล ส้มโอ เนื้อที่ปลูก 2,487.00 ไร่ ได้ผลผลิต 2,807.70 ตัน กล้วยน้ำว้า เนื้อที่ปลกู 2,277.00 ไร่ ได้ผลผลิต 6,405.10 ตัน จำปาดะ เนื้อที่ปลกู 1,839.00 ไร่ ได้ผลผลิต 2,994.50 ตัน กล้วยไข่ เนื้อที่ปลกู 1,453.00 ไร่ ได้ผลผลิต 4,960.70 ตัน กระท้อน เนื้อที่ปลกู 1,373.00 ไร่ ได้ผลผลิต 1,856.90 ตัน สำหรับไม้ยืนต้นประเภทอื่นมีการปลูกในปริมาณ ลดหลน่ั กนั ไป ไดแ้ ก่ มะมว่ ง ขนนุ มะมว่ งหมิ พานต์ สม้ เขยี วหวาน ฯลฯ พื้นที่ที่ปลูกไม้ผลยืนต้นมากที่สุด ได้แก่ อำเภอควนโดน อำเภอเมืองสตูล อำเภอควนกาหลง และอำเภอละงู อาชีพเกษตรกรรม นอกจากปลูกพืชแล้ว ประชากร จังหวัดสตูลนิยมเลี้ยงสัตว์เพื่อจำหน่ายและบริโภค จากรายงาน ของสถิติของจังหวัดสตูล พ.ศ. 2547 สำหรับ พ.ศ. 2546 ชนิด ของปศุสัตว์ที่เลี้ยงเรียงลำดับปริมาณ ดังนี้ เลี้ยงไก่ จำนวน 355,291 ตัว เป็ดจำนวน 111,139 ตัว โคจำนวน 19,557 ตัว สุกร จำนวน 8,372 ตัว และกระบือจำนวน 936 ตัว ก่อให้เกิด รายได้แก่ประชาชน 2. อาชีพประมง จังหวัดสตูลมีพื้นที่ชายฝั่งยาว 144.80 กิโลเมตร มีพื้นที่ทำการ ประมง 1,434.00 ตารางกิโลเมตร 38
ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดสตูล ซึ่งเป็นพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลอันดามัน ได้แก่ บริเวณหมู่เกาะ ต่างๆ ส่วนหนึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ ห้ามจับสัตว์น้ำ การประมงน้ำเค็มต้องอยู่นอกเขตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติ ชาวประมงจึงต้องแล่นเรือออกทะเลไปไกลเข้าสู่น่านน้ำสากล บางครั้งก็ล่วงล้ำน่านน้ำของประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย จนถูกทางการของสองประเทศจับกุมบ่อย เนื่องจากการจับ สัตว์น้ำกลางทะเลไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร สภาวการณ์ของการ เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม ปริมาณสัตว์น้ำลดลง กรมประมง จึงหันมาส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง ได้จัดตั้งสถานี ประมงน้ำกร่อยจังหวัดสตูลขึ้นที่ตำบลปากน้ำ อำเภอละงู เมื่อ พ.ศ. 2521 เพื่อพัฒนาและส่งเสริม รวมถึงสาธิตการเพาะเลี้ยง สัตว์น้ำชายฝั่ง ดังนั้น บริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลของอำเภอเมืองสตูล อำเภอท่าแพ อำเภอละงู และอำเภอทุ่งหว้า จึงมีการเพาะเลี้ยง สัตว์น้ำชายฝั่งกันมาก ได้แก่ การเลี้ยงกุ้งกุลาดำ การเลี้ยงปลา ในกระชัง พื้นที่เพาะเลี้ยงหอยแครง เพาะเลี้ยงหอยนางรม และ เพาะเลี้ยงปูทะเล เฉพาะการเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำข้อมูลของ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดสตูล ข้อมูลการตลาด พ.ศ. 2544 จังหวัดสตูลมีพื้นที่เพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำ 7,530.00 ไร่ ปริมาณ ผลผลิตรวม 11,213.60 ตัน มูลค่ารวม 2,132.34 ล้านบาท ส่วน การเพาะเลี้ยงปลากะพง กระชัง มีจำนวนผู้เพาะเลี้ยงจำนวน 648 ราย นับจำนวนบ่อปลา 84 บ่อ จำนวนกระชังเลี้ยงปลา 1,621 กระชัง จำนวนเรอื ประมงทจ่ี ดทะเบยี นเครอ่ื งเรอื ประมง ประจำปี พ.ศ. 2544 ทั้งสิ้น 1,150 ราย แบ่งประเภทได้เป็นอวยลอยกุ้ง 39
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล จำนวน 500 ราย อวนลาก จำนวน 225 ราย อวนดำหรืออวน ล้อมจับปลา จำนวน 300 ราย และอวนลอยปลาอื่นๆ จำนวน 125 ราย จำนวนเทียบเท่าเรือประมงของทางราชการ มี 21 แห่ง ตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอเมืองสตูล 10 แห่ง อำเภอละงู 5 แห่ง อำเภอทุ้งหว้า 4 แห่ง และอำเภอท่าแพ 2 แห่ง ส่วนห้องเย็น สำหรับเก็บรักษาสัตว์ทะเล มี 2 แห่ง อำเภอเมืองสตูล 1 แห่ง กับอำเภอละงูอีก 1 แห่ง จำนวนโรงงานแปรรูปสินค้าสัตว์น้ำมี 3 แห่ง ได้แก่ อำเภอเมืองสตูล 2 แห่ง กับ อำเภอละงอู ีก 1 แห่ง นอกจากนั้น ประชากรจังหวัดสตูลมีการเพาะเลี้ยง สัตว์น้ำจืดประเภทประมงน้ำจืด ได้แก่ เลี้ยงปลาดุก ปลาช่อน ปลานิล ปลาตะเพียน ฯลฯ จากรายงานของสำนักงานสถิติ จังหวัดสตูล พ.ศ. 2547 สำหรับ พ.ศ. 2546 มีจำนวนครัวเรือน เพาะเลี้ยง 1,754 ครัวเรือน จำนวน 2,012 บ่อ เนื้อที่ 564 ไร่ ปริมาณสัตว์น้ำจืดที่จับได้ 104 ตัน อำเภอที่มีพื้นที่ประมงน้ำจืด มากที่สุดได้แก่ อำเภอละงู จำนวน 180 ไร่ รองลงไปได้แก่ อำเภอควนกาหลง อำเภอควนโดน อำเภอทุ่งหว้า อำเภอที่มี พื้นที่ประมงน้ำจืดน้อยที่สุด ได้แก่ กิ่งอำเภอมะนัง และอำเภอ เมืองสตูล 3. อาชีพอุตสาหกรรม ประชากรจังหวัดสตูลประกอบ กิจการอุตสาหกรรมค่อนข้างน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัด อื่นๆ ในภาคใต้ และเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็ก วัตถุดิบภายใน จังหวัดมีปริมาณไม่เพียงพอ แม้ว่าจะมีการนำเข้ามาจากต่าง จังหวัดด้วยก็ตาม แต่สามารถแก้ปัญหาได้ในระยะสั้นเท่านั้น 40
ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดสตูล ประเภทอุตสาหกรรมสำคัญของจังหวัดสตูล ได้แก่ อุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตร ได้แก่ โรงงานผลิตน้ำมัน ปาล์มดิบ จำนวน 2 โรง ตั้งอยู่ในกิ่งอำเภอมะนัง และอำเภอ ละงู แห่งละ 1 โรง โรงงานผลิตยางแท่งทีทีอาร์ จำนวน 1 โรง โรงงานแปรรูปไม้ยางพารา จำนวน 10 โรง โรงงานอบอัดไม้ยาง พารา 1 โรง ประเภทอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องกับการประมง ได้แก่ อาหารทะเลบรรจุกระป๋อง โรงงานปลาป่น ห้องเย็น โรงงาน น้ำแข็ง โรงงานซ่อมต่อเรือ เป็นต้น ประเภทอุตสาหกรรมต่อเนื่องกับการก่อสร้าง ได้แก่ โรงงานทำอิฐดินเผาโรงงานผลิตคอนกรีต โรงงานดูดทราย โรงโม่บดและย่อยหิน นอกจากนั้น มีโรงงานขนาดเล็ก เช่น โรงสีข้าว โรงกลึง โรงเชื่อมโลหะ โรงพิมพ์ เป็นต้น จากรายงานของสำนักงานสถิติจังหวัดสตูล พ.ศ. 2547 ระบุสถานประกอบการ อุตสาหกรรมหรือโรงงานอุตสาหกรรม ในจังหวัดสตูล พ.ศ. 2546 จำนวนทั้งสิ้น 227 โรง จำนวน คนงาน ทั้งสิ้น 1,976 คน จำนวนเงินทุนรวม 1,896,805,317.00 บาท อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จังหวัดสตูลมีสถานที่ท่องเที่ยวโดยเฉพาะแหล่ง ท่องเที่ยวทางธรรมชาติเป็นจำนวนมากทั้งบนบกและในทะเล มีอุทยานแห่งชาติ 3 แห่ง บนบกมีอุทยานแห่งชาติทะเลบัน 41
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล ซึ่งมีแหล่งธรรมชาติที่สวยงามหลายด้าน เช่น ถ้ำ น้ำตก ลำธาร และป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ส่วนในทะเลก็มีอุทยานแห่งชาติตะรุ เตา ประกอบด้วยเกาะมากมาย มีแนวปะการังที่สวยงาม อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัด ตรัง แหล่งธรรมชาติเหล่านี้เป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศให้มาท่องเที่ยวในจังหวัดสตูลเป็นจำนวน มาก จากรายงานของสถิติจังหวัดสตูล พ.ศ. 2547 ปรากฏว่ามี นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวในจังหวัดสตูล ใน พ.ศ. 2545 จำนวน 422,242 คน เป็นชาวไทย จำนวน 357,529 คน และชาว ต่างประเทศ จำนวน 64,713 คน ซึ่งนำรายได้มหาศาลสู่จังหวัด 1. การพาณิชยกรรม จังหวัดสตูลเป็นตลาดการค้า ขนาดเล็ก การประกอบธุรกิจการค้าในจังหวัดสตูลเป็นธุรกิจ ขนาดย่อมในระบบครอบครัว มีลักษณะเป็นร้านค้าปลีก มีเจ้าของคนเดียว การรวมทุนกันเพื่อประกอบการค้าขนาดใหญ่ มีเพียงเล็กน้อย จากรายงานของสำนักงานสถิติจังหวัดสตูล พ.ศ. 2547 จำนวนผู้จดทะเบียนประกอบธุรกิจการค้าและ บริการประเภททะเบียนพาณิชย์ประจำปี พ.ศ. 2546 รวมทั้ง จังหวัด จำนวน 1,706 ราย ส่วนรายได้ของประชากรจังหวัดสตูล ประกอบอาชีพ เกษตรกรรม รองลงไปคือ การประมง รายได้จากเกษตรกรรม คือ การผลิตยางพารา การปลูกข้าว ปาล์มน้ำมัน การทำสวน ผลไม้ยืนต้น อาชีพประมง ได้แก่ การจับสัตว์น้ำ และเพาะเลี้ยง สัตว์น้ำชายฝั่ง และมีรายได้การอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม สภาพเศรษฐกิจของจังหวัดสตูลขึ้นอยู่กับสภาพของตลาดสินค้า รวมทั้งผลผลิตในแต่ละปี 42
ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดสตูล จากรายงานของสถิติจังหวัด พ.ศ. 2547 จังหวัดสตูล มีผลิตภัณฑ์รวมของจังหวัด พ.ศ. 2545 มูลค่า 17,165 ล้านบาท ประชากรมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปีเท่ากับ 64,530.00 บาท หรือ ประมาณเดือนละ 5,377.50 บาท ลำดับรายได้เฉลี่ยต่อหัวของ ประชากรจัดเป็นอันดับ 7 ของ 14 จังหวัดภาคใต้ เป็นอันดับที่ 26 ของประเทศ จังหวัดภาคใต้ที่ประชากรมีรายได้สูงต่อป ี สงู เรียงตามลำดับ (คำนวณรายได้ต่อเดือน) พ.ศ. 2545 มีดังนี้ 1. ภูเก็ต 19,265.50 บาท 2. สงขลา 6,529.50 บาท 3. ระนอง 6,313.20 บาท 4. กระบี่ 5,929.80 บาท 5. สุราษฎร์ธานี 5,867.70 บาท 6. พังงา 5,465.80 บาท 7. สตลู 5,377.50 บาท สำหรับจังหวัดภาคใต้ที่มีรายได้ของประชากรต่อหัวต่อปี ต่ำกว่าจังหวัดสตูลอยู่ในอันดับ 8 - 15 ของภาคใต้ พ.ศ. 2545 เรียงตามลำดับได้ดังนี้ 8. ชุมพร 4,550.80 บาท 9. ตรัง 4,155.80 บาท 10. ปัตตานี 3,993.90 บาท 11. นครศรีธรรมราช 3,988.80 บาท 12. ยะลา 3,793.00 บาท 13. นราธิวาส 2,863.10 บาท 14. พัทลุง 2,652.70 บาท 43
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล ถ้าแบ่งกลุ่มจังหวัดภาคใต้ตามรายได้ของประชากร ต่อหัวต่อปีแบบหยาบๆ ใน พ.ศ. 2545 จะปรากฏดังนี้ รายได้สงู ร่ำรวย ภเู ก็ต รายได้ค่อนข้างดี สงขลา ระนอง รายได้ปานกลาง กระบี่สุราษฎร์ธานี พังงา สตูล ชุมพร ตรัง รายได้ค่อนข้างต่ำ ปัตตานี นครศรีธรรมราช ยะลา รายได้ต่ำ ยากจน นราธิวาส พัทลุง การคมนาคมขนส่งและการสื่อสาร 1. การคมนาคมขนส่ง จังหวัดสตูลมีการคมนาคม ติดต่อระหว่างอำเภอและจังหวัดต่างๆ ตลอดจนประเทศ มาเลเซีย โดยมีการเดินทางทั้งทางบกและทางน้ำ 1.1 ทางบก มีทางหลวงแผ่นดินและทางหลวง จังหวัด เป็นถนนลาดยาง มีอยู่ 7 สายสำคัญ ดังนี้ 1.1.1 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 406 หรือ สายยนตรการกำธร (สตูล-สามแยกท่าชะมวง) ยาว 67 กิโลเมตร ผ่านอำเภอเมืองสตูล อำเภอควนโดน อำเภอ ควนกาหลง อำเภอรัตภูมิเชื่อมกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ที่บ้านท่าชะมวง อำเภอรัตภูมิ เป็นถนน ลาดยางตลอดสาย มีสี่ช่องทางจราจร ต่อจากนั้นจะมีทางแยก ไปจังหวัดพัทลุง และอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 1.1.2 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 416 หรือ สายฉลุงปะเหลียน ยาว 110 กิโลเมตร เชื่อมกับทางหลวง 44
ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดสตูล แผ่นดินหมายเลข 406 ที่บ้านฉลุง อำเภอทุ่งหว้าของจังหวัด สตูล เข้าสู่อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง บรรจบกับทางหลวง จังหวัด 404 ที่อำเภอปะเหลียน ลาดยางตลอดสาย 1.1.3 ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 4051 หรือ สายสตูลเจ๊ะบิลัง ความยาว 13 กิโลเมตร ลาดยางตลอดสาย เปน็ เสน้ ทางคมนาคมระหวา่ งตวั เมอื งสตลู กบั ทา่ เทยี บเรอื เจะ๊ บลิ งั เทศบาลตำบลเจ๊ะบิลัง อำเภอเมืองสตลู 1.1.4 ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 4052 หรือ สายละงูปากบารา ความยาว 10 กิโลเมตร ลาดยางตลอดสาย เชื่อมระหว่างเทศบาลตำบลกำแพง อำเภอละงู กับท่าเทียบเรือ ปากบารา เป็นถนนสายเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เป็นที ่ ขนถ่ายสินค้าและเป็นเส้นทางที่สะดวกในการเดินทางไป ท่องเที่ยวเกาะตะรุเตา หมู่เกาะอาดังและหมู่เกาะบูโหลน 1.1.5 ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 4137 หรือ สายทุ่งตำเสา แประ ระยะทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 406 ที่บ้านทุ่งตำเสา ตำบลทุ่งนุ้ย อำเภอควนกาหลง ผ่านอำเภอ ควนกาหลง ไปบรรจบกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 416 ที่ตำบลแประ อำเภอท่าแพ ลาดยางตลอดสาย 1.1.6 ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 4183 หรือ สายเกาะนก - ตำมะลัง ระยะทาง 5 กิโลเมตร แยกจากบ้าน เกาะนก ตำบลคลองขุดไปสิ้นสุดที่ท่าเทียบเรือขององค์การ สะพานปลา บ้านตำมะลัง อำเภอเมืองสตูล เชื่อมต่อกับ ท่าเทียบเรือตำมะลัง เดินทางไปยังเกาะลังกาวีของมาเลเซีย และเกาะตะรุเตาได้ 45
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล 1.1.7 ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 4184 หรือ สายสตอ - วังประจัน ความยาว 22 กิโลเมตร แยกจากทาง หลวงแผน่ ดนิ หมายเลข 406 ทส่ี ามแยกควนสตอ ตำบลควนสตอ อำเภอควนโดน ผ่านอุทยานแห่งชาติทะเลบัน ไปยังบ้านวังเกลี ยน รัฐปะลิส ประเทศมาเลเซีย จุดผ่านแดนไทย - มาเลเซีย เปิดเป็นทางการเมื่อ วันที่ 20 มกราคม 2527 โดยมี พลเอก สิทธิ จิรโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธาน ในพิธีเปิด เสน้ ทางถนนจากจงั หวดั สตลู สจู่ ดุ ตา่ งๆ ประกอบดว้ ย 1) ระยะทางระหว่างตวั จงั หวดั กับอำเภอตา่ งๆ อำเภอเมืองสตูล-อำเภอละง ู ระยะทาง 53 กิโลเมตร อำเภอเมืองสตูล-อำเภอทุ่งหว้า ระยะทาง 77 กิโลเมตร อำเภอเมืองสตูล-อำเภอควนกาหลง ระยะทาง 36 กิโลเมตร อำเภอเมืองสตูล-อำเภอท่าแพ ระยะทาง 27 กิโลเมตร อำเภอเมืองสตลู -อำเภอควนโดน ระยะทาง 23 กิโลเมตร อำเภอเมืองสตลู -กิ่งอำเภอมะนัง ระยะทาง 60 กิโลเมตร 2) ระยะทางระหวา่ งจงั หวดั สตลู กบั จงั หวดั ในภาคใต ้ จังหวัดสตลู -อำเภอหาดใหญ่ ระยะทาง 98 กิโลเมตร 46
ข้อมูลท่ัวไปของจังหวัดสตูล จังหวัดสตูล-จังหวัดสงขลา ระยะทาง 125 กิโลเมตร จังหวัดสตลู -จังหวัดตรัง ระยะทาง 140 กิโลเมตร จังหวัดสตลู -จังหวัดพัทลุง ระยะทาง 134 กิโลเมตร จังหวัดสตูล-จังหวัดนครศรีธรรมราช ระยะทาง 233 กิโลเมตร จังหวัดสตูล-จังหวัดปัตตานี ระยะทาง 208 กิโลเมตร จังหวัดสตลู -จังหวัดยะลา ระยะทาง 237 กิโลเมตร จังหวัดสตลู -จังหวัดนราธิวาส ระยะทาง 303 กิโลเมตร จังหวัดสตลู -จังหวัดกระบี่ ระยะทาง 276 กิโลเมตร จังหวัดสตลู -จังหวัดพังงา ระยะทาง 366 กิโลเมตร จังหวัดสตูล-จังหวัดภูเก็ต ระยะทาง 453 กิโลเมตร จังหวัดสตลู -จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระยะทาง 372 กิโลเมตร จังหวัดสตูล-จังหวัดชุมพร ระยะทาง 523 กิโลเมตร จังหวัดสตูล-จังหวัดระนอง ระยะทาง 549 กิโลเมตร 47
นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล 3) ระยะทางระหวา่ งจงั หวดั สตลู กบั ประเทศมาเลเซยี จังหวัดสตลู - รัฐเคดาห์ รัฐปะลิส ระยะทาง 87 กิโลเมตร จังหวัดสตลู – เมืองออลสตาร์ รัฐเคดาห์ ระยะทาง 127 กิโลเมตร จังหวัดสตลู -ปีนัง ระยะทาง 235 กิโลเมตร 1.2 การขนส่งทางน้ำ จังหวัดสตูลมีท่าเทียบเรือ สำหรับการขนส่งสินค้า และผลผลิตทางการประมง ตลอดจน อำนวยความสะดวกแก่ผู้คนในการเดินทางไปต่างประเทศและ เพื่อการท่องเที่ยวในจังหวัดท่าเทียบเรือที่สำคัญมี 3 แห่ง ได้แก่ 1.2.1 ท่าเทียบเรือตำมะลัง ตั้งอยู่ที่ตำบลมะลัง อำเภอเมืองสตูล ห่างจากตัวจังหวัด 8 กิโลเมตร แบ่งเป็นสอง ส่วนคือ ท่าเทียบเรือประมงขององค์การสะพานปลา ตั้งอยู่ทาง ทิศตะวันตก เป็นท่าเทียบเรือตำมะลัง สังกัดกรมการขนส่งทาง น้ำและพาณิชยนาวี เปิดอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2546 ท่าเทียบเรือตำมะลังเป็นท่าเรือโดยสารนักท่องเที่ยวเดินทางไป เกาะลังกาวี รัฐเกดะห์ประเทศมาเลเซีย และเดินทางไปเที่ยว อุทยานแห่งชาติตะรุเตา มีเรือเฟอร์รี่เดินทางไปยังสถานที ่ ทั้งสองแห่ง 1.2.2 ท่าเทียบเรือปากบารา ตั้งอยู่ที่ตำบล ปากน้ำ อำเภอละงู หรือสุดปลายทางของทางหลวงจังหวัด หมายเลข 4052 เป็นท่าเทียบเรือประมง และท่าเรือโดยสาร สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยังอุทยานแห่งตะรุเตา ได้แก่ 48
ข้อมูลท่ัวไปของจังหวัดสตูล เกาะตะรุเตา หมู่เกาะอาดัง และเดินทางไปยังหมู่เกาะบูโหลน อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา ท่าเทียบเรือปากบาราจึงเป็น ท่าเรือสำคัญของจังหวัด 1.2.3 ทา่ เทยี บเรอื เจะ๊ บลิ งั ตง้ั อยทู่ ต่ี ำบลเจะ๊ บลิ งั ในเขตเทศบาลตำบลเจ๊ะบิลัง สุดปลายทางหลวงจังหวัด หมายเลข 4051 ห่างจากตัวจังหวัด 13 กิโลเมตร เป็นท่าเทียบ เรือประมง และท่าเรือโดยสาร ขนส่งสินค้าไปยังหมู่เกาะ สาหร่าย และเกาะใกล้เคียง 1.3 การขนส่งทางอากาศ จังหวัดสตูลมีสนามบิน 1 แห่ง อยู่ในความดูแลของกองพักอากาศ สำหรับใช้เป็นการ เฉพาะกิจทางราชการ การเดินทางอากาศติดต่อกับจังหวัดสตูล อาศัยสนามบินนานาชาติหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัด สงขลา ห่างจากตัวจังหวัดสตูลประมาณ 105 กิโลเมตร 2. การสอ่ื สาร 2.1 การไปรษณีย์ นับตั้งแต่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2546 เป็นต้นมา กิจการไปรษณีย์โทรเลข อยู่ในความรับผิดชอบของ บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด จังหวัดสตูลมีที่ทำการไปรษณีย์ จำนวน 7 แห่ง ได้แก่ ที่ทำการไปรษณีย์สตูล ที่ทำการไปรษณีย์ ฉลุง ที่ทำการไปรษณีย์ควนกาหลง ที่ทำการไปรษณีย์ควนโดน และที่ทำการไปรษณีย์ท่าแพ นอกจากนั้น จัดให้มีการบริการไปรษณีย์อนุญาต เอกชน หรือ ปณช. ขึ้น 5 แห่ง ได้แก่ ไปรษณีย์สตูล 101 (เจ๊ะบิลัง) ไปรษณีย์สตูล 102 (ตำมะลัง) ไปรษณีย์สตูล 103 49
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล (เกาะสาหร่าย) ไปรษณีย์สตูล 104 (ต้นหยงโป) และไปรษณีย์ สตูล 105 (ปยู ู) รหัสไปรษณีย์ของอำเภอต่างๆ ในจังหวัดสตูล กำหนดได้ดังนี้ อำเภอเมืองสตูล ยกเว้น ใช้รหัสไปรษณีย์ 91000 ตำบลบ้านควน ควนโพธิ์ ฉลุงและเกตรี ใช้รหัสไปรษณีย์ 91140 อำเภอละง ู ใช้รหัสไปรษณีย์ 91110 อำเภอทุ่งหว้า ใช้รหัสไปรษณีย์ 91120 อำเภอควนกาหลง ใช้รหัสไปรษณีย์ 91130 อำเภอท่าแพ ใช้รหัสไปรษณีย์ 91150 อำเภอควนโดน ใช้รหัสไปรษณีย์ 91160 กิ่งอำเภอมะนัง ใช้รหัสไปรษณีย์ 91130 2.2 โทรศัพท์ จังหวัดสตูลมีชุมสายโทรศัพท์ 9 ชุมสาย เพื่อให้บริการแก่ประชาชน หน่วยงานและส่วน ราชการ ได้แก่ สำนักงานบริการโทรศัพท์สตูล สำนักงานบริการ โทรศัพท์ละงู ชุมสายโทรศัพท์ฉลุง ชุมสายโทรศัพท์ควนโดน ชุมสายโทรศัพท์ควนกาหลง ชุมสายโทรศัพท์ ท่าแพ ชุมสาย โทรศัพท์ทุ่งหว้า ชุมสายโทรศัพท์ทุ่งนุ้ย และชุมสายโทรศัพท์ ปากบารา นับถึง พ.ศ. 2546 จังหวัดสตูล มีจำนวนหมายเลข โทรศัพท์ 11,120 หมายเลข จำแนกได้ดังนี้ บ้านเอกชน จำนวน 8,096 หมายเลข 50
ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดสตูล บ้านพักข้าราชการ,ส่วนราชการ จำนวน 945 หมายเลข ร้านค้า สถานที่ธุรกิจ จำนวน 742 หมายเลข โทรศัพท์สาธารณะ จำนวน 1,183 หมายเลข ราชการองค์การโทรศัพท์ จำนวน 154 หมายเลข 2.3 สถานีวิทยุกระจายเสียง จังหวัดสตูลมีสถานีวิทยุ กระจายเสียง บริการข่าวสารแก่ประชาชน 3 สถานี ได้แก่ 2.3.1 สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย สังกัดศูนย์ประชาสัมพันธ์ เขต 6 กรมประชาสัมพันธ์ กระจาย เสียง 2 ระบบ คือ ระบบเอ.เอ็ม ความถี่ 1,206 กิโลเฮิร์ต สถานี ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองขุด อำเภอเมืองสตลู 2.3.2 สถานีวิทยุกระจายเสียงตำรวจภูธร ภาค 9 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งอยู่ที่อำเภอท่าแพ กระจายเสียง ด้วยระบบเอฟ.เอ็ม ความถี่ 91.75 เมกกะเฮิร์ต 2.3.3 สถานีวิทยุกระจายเสียงของ อสมท. กระจายเสียงด้วยระบบ เอฟ.เอ็ม ความถี่ 93.25 เมกกะเฮิร์ต สถานีตั้งอยู่ที่โรงแรมพินนาเคิล อำเภอเมืองสตลู 2.4 สถานีถ่ายทอดโทรทัศน์ จังหวัดสตูลมีสถานี ถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ 6 ช่อง คือ ช่อง 3,5,7,9,11 และ ไอทีวี ออกอากาศในระบบยูเฮชเอฟสถานีถ่ายทอดของแต่ละ 51
นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล สถานีใช้กำลังส่งต่ำ ไม่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งจังหวัด ท้องที่รับ สัญญาณได้ชัดเจน คือ เขตเทศบาลเมืองสตูล ส่วนอำเภออื่นๆ และพื้นที่เกาะในทะเลสัญญาณจะอ่อนลง นอกจากนั้นในบาง พื้นของจังหวัดสามารถรับสัญญาณโทรทัศน์บางช่องจาก ประเทศมาเลเซียได้ด้วย สภาพสังคมและวัฒนธรรม การศึกษา จังหวัดสตูลจัดการศึกษาทั้งระบบในโรงเรียนและ นอกระบบโรงเรียน ดำเนินการสอดคล้องกับนโยบายจัดการ ศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ จากข้อมูลสถิติการศึกษาของ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสตูล ประจำปีการศึกษา 2547 ได้รายงานข้อมูลเกี่ยวกับสถานศึกษา ห้องเรียน นักเรียน และ ครูของสังกัดต่างๆที่รับผิดชอบการจัดการศึกษาในระบบ โรงเรียนปรากฏตามข้อมูลตาราง 1 52
ตาราง 1 แผนภมู แิ สดงจำนวนโรงเรยี น ห้องเรียน ครูและนักเรียนของสงั กดั ต่างๆ ประจำปกี ารศกึ ษา 2547 สังกัด โรงเรียน หอ้ งเรยี น คร ู ชาย นกั เรียน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 19,415 หญิง รวม ประถม อนุบาล-ม.3 164 1,624 1,759 - มัธยม ม.1-ม.6 12 279 465 4,211 17,662 37,077 เทศบาล 4 76 113 1,298 ตำรวจตระเวนชายแดน 2 16 18 5,786 9,997 การศึกษาเอกชน 104 1,150 2,448 - อนุบาล-ประถม 15 122 158 - มัธยม ม.1-6 14 194 373 85 189 อาชีวศกึ ษา (ปวช, ปวส) 3 132 267 รวมท้งั สิ้น 214 2,443 3,153 1,700 3,089 1,653 3,353 1,916 3,733 6,822 1,026 2,942 31,733 31,095 62,828 ข้อมูลท่ัวไปของจังหวัดสตูล 53
นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล ในปีการศึกษา 2547 จังหวัดสตูลมีโรงเรียนที่จัด การศึกษาในระบบโรงเรียนทั้งสิ้น 214 โรง/สถาบัน เปิดสอน ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงอุดมศึกษา คือ หลักสูตรประกาศนียบัตร วิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) จำนวนห้องเรียน 2,443 ห้อง มีครูจำนวน 3,153 คน จำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 62,828 คน ชายจำนวน 31,733 คน และหญิงจำนวน 31,095 คน ข้อสังเกตจากการศึกษาพบว่า ภาคเอกชนเข้ามา มีบทบาทในการจัดการศึกษาของท้องถิ่นเพิ่มขึ้น มีการเปิด โรงเรียนระดับอนุบาล-ประถมศึกษาจำนวน 15 โรงเรียน และ ระดับมัธยมศึกษาเปิดสอนหลักสูตรสำคัญและวิชาศาสนา (ปอเนาะเดิม) จำนวน 14 โรงเรียน นักเรียนจำนวน 6,822 คน จังหวัดสตูลไม่มีสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา แต่ ได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลาเมื่อ พ.ศ. 2543 ได้เปิดสอนปริญญาตรีภาคสมทบ จัดหลักสูตรเฉพาะ วันเสาร์ อาทิตย์ ขึ้นที่โรงเรียนพิมานพิทยาสรรค์ ต่อมา พ.ศ. 2544 มหาวิทยาลัยทักษิณ เปิดสอนหลักสูตรปริญญาโทภาค สมทบ สอนเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ ขึ้นที่โรงเรียนกำแพงวิทยา อำเภอละงู ในเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2547 สำนักงาน คณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ประกาศ จัดตั้งวิทยาลัยชุมชนสตูลขึ้นและคาดว่าจะดำเนินกิจการ ได้ใน พ.ศ. 2549 กิจการศาสนา จังหวัดสตูลประกอบด้วย ประชากรที่นับถือศาสนา อิสลามเป็นส่วนใหญ่ มีจำนวนมัสยิดทั้งสิ้น 184 แห่ง ผู้นับถือ 54
ข้อมูลท่ัวไปของจังหวัดสตูล ศาสนาพุทธมีศาสนาสถาน ประกอบด้วย วัดจำนวน 34 วัด สำนักสงฆ์จำนวน 8 แห่ง สำหรับผู้นับถือศาสนาคริสต์ มีโบสถ์ คริสต์จำนวน 5 แห่ง และมีศาลเจ้าจำนวน 3 แห่ง ในการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม และหลักธรรมทาง ศาสนาแก่เยาวชนใน พ.ศ. 2547 จังหวัดสตูลมีศูนย์อบรม ศาสนาอิสลาม และจริยธรรมประจำมัสยิดหรือศูนย์อบรม ประจำหมู่บ้านเรียกเป็นภาษามลายูว่า “ตาดีกา” กระจายอยู่ ทั่วทั้งจังหวัด ประกอบด้วยศูนย์อบรม ทั้งสิ้น 152 ศูนย์ จัดสอน ขึ้นในระหว่างวันเสาร์ - อาทิตย์ มีนักเรียนทั้งสิ้น 18,443 คน ประกอบด้วย ชายจำนวน 9,334 คน หญิงจำนวน 9,109 คน มีครูสอนจำนวน 739 คน ประกอบด้วย ครูชายจำนวน 422 คน และครูหญิงจำนวน 317 คน ส่วนเยาวชนที่นับถือศาสนาพุทธ ก็จัดให้มีโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ จัดตั้งขึ้นที่วัด ชนาธิปเฉลิม อำเภอเมืองสตลู ใน พ.ศ. 2547 มีนักเรียน จำนวน 214 คน ครูสอนจำนวน 6 คน แบ่งออกเป็น บรรพชิต 2 รูป และ คฤหัสถ์ 4 คน การบริหารและการปกครอง เมืองสตูลหลังเปล่ียนแปลงการปกครอง (พ.ศ. 2475) หลังจากปี พ.ศ. 2475 จังหวัดสตูลมีความเปลี่ยนแปลง สำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ พัฒนาการทางด้านการปกครอง การเปิด นิคมฝึกอาชีพตะรุเตา และการเปิดเมืองสตูล ดังมีรายละเอียด ต่อไปนี้ 55
นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล 1. พฒั นาการทางด้านการปกครอง เดิมจังหวัดสตูลแบ่งเขตการปกครองออกเป็น สองอำเภอกับสองกิ่งอำเภอ ได้แก่ อำเภอมำบัง อำเภอทุ่งหว้า หรือชื่อเดิมว่าสุไหงอุเป (Su – ngai Upe) กิ่งอำเภอละงู และ กิ่งอำเภอดุสน กิ่งอำเภอดุสนขึ้นต่ออำเภอมำบัง ภายหลังได้ยก ฐานะกิ่งอำเภอละงูขึ้นเป็นอำเภอ และใน พ.ศ. 2546 จึงได้ ยุบเลิกกิ่งอำเภอดุสน พ.ศ. 2482 ทางราชการเปลี่ยนชื่ออำเภอมำบังเป็น อำเภอเมืองสตูล เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของกระทรวง มหาดไทยที่ประสงค์ให้อำเภอที่เป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัดเป็น อำเภอเมอื งเหมอื นกนั ทว่ั ประเทศ ตำบลมำบงั หรอื มำบงั นงั คะรา เดิมก็เปลี่ยนเป็นตำบลพิมาน วัดมำบังซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำเภอ เมืองสตูล ก็เปลี่ยนชื่อเป็นวัดชนาธิปเฉลิม ต่อมาใน พ.ศ. 2483 มกี ารยบุ ตำบลดสุ นและตำบลกบุ งั ปะโหลดรวมกบั ตำบลควนสตอ แล้วให้อยู่ในเขตการปกครองของอำเภอเมืองสตูล (สำนักงาน การประถมศึกษาจังหวัดสตูล 2553) ตรวจคนเข้าเมืองสตูล ปัจจุบัน เป็นอาคารชั้นเดียว ถูกรื้อถอนไปแล้ว เมื่อพระยา ภูมินารถภักดี สร้างคฤหาสน์กูเด็น เพื่อใช้เป็นศูนย์การปกครอง บ้านเมืองเป็นที่ต้อนรับแขกเมือง ต่อมาอาคารหลังนี้ ก็ได้ใช้เป็น ศาลากลางจังหวัด ระหว่าง พ.ศ. 2490 - 2506 แต่คนทั่วไปนิยม เรียกคฤหาสน์กูเด็นว่า “ศาลากลางเก่า” จนติดปากผู้คน มาช้านาน เนื่องจากว่า อำเภอเมืองสตูลมีพื้นที่กว้างใหญ่ ไม่สามารถดูแลราษฎรได้ทั่วถึง วันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2512 56
ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดสตูล จึงได้จัดตั้งกิ่งอำเภอควนกาหลง ขึ้นมาประกอบด้วย 5 ตำบล ได้แก่ ตำบลทุ่งนุ้ย ตำบลอุไดเจริญ ตำบลควนกาหลง ตำบล นิคมพัฒนา และตำบลท่าแพ เพื่อสนองนโยบายของกรม ประชาสงเคราะห์ ที่เปิดนิคมสร้างตนเอง ควนกาหลงขึ้นมาแล้ว ก่อนหน้านั้น พ.ศ. 2519 จึงยกฐานะขึ้นเป็นอำเภอควนกาหลง ในปีนั้นเอง ได้ประกาศจัดตั้งกิ่งอำเภอควนกาหลงไปรวมกับ ตำบลสาครของอำเภอเมืองสตูล และแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งของ ตำบลท่าแพมาจัดตั้งตำบลแประ ส่วนตำบลท่าเรือก็มีการจัดตั้ง ภายหลัง กิ่งอำเภอท่าแพได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2537 สำหรับกิ่งอำเภอทุ่งหว้าได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น อำเภอเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2516 เป็นอำเภอที่มีความ ผันผวนทางประวัติศาสตร์มาก ในสมัยก่อนเคยเป็นอำเภอใหญ่ คู่กับอำเภอมำบังหรือเมืองสตูล ดูแลกิ่งอำเภอละงู ภายหลัง ถูกยุบเป็นกิ่งอำเภอให้ไปขึ้นต่ออำเภอละงู นานถึง 45 ปี เมื่อวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2520 ทางราชการ ประกาศจัดตั้งกิ่งอำเภอควนโดน ประกอบด้วยตำบลควนโดน ตำบลควนสตอ และแบ่งพื้นที่ตำบลควนโดนบางส่วนมาตั้งเป็น ตำบลย่านซื่อ กิ่งอำเภอควนโดนได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2531 ภายหลังได้แบ่งพื้นที่ตำบล ควนสตอมาจัดตั้งเป็นตำบลวังประจัน กิ่งอำเภอสุดท้ายที่ประกาศจัดตั้งคือ กิ่งอำเภอมะนัง โดยแบ่งพื้นที่ของอำเภอควนกาหลง ประกอบด้วย ตำบล ควนกาหลง และตำบลปาล์มพัฒนา จัดตั้งเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2539 นับเป็นอำเภอน้องใหม่ของจังหวัดสตลู 57
นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล 2. การเปดิ นคิ มฝกึ อาชีพตะรเุ ตา ก่อตงั้ นคิ มฝึกอาชพี พ.ศ. 2479 รัฐบาลประกาศใช้พระราชบัญญัติกักกัน ผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พุทธศักราช 2479 มอบหมายให้กรม ราชทัณฑ์จัดหาสถานที่ สำหรับกักกันนักโทษผู้มีสันดานเป็น ผู้ร้าย พิจารณาเห็นว่าเกาะตะรุเตาเป็นที่รกร้างว่างเปล่า ทั้งมี เนื้อที่กว้างขวาง จึงกำหนดเลือกเกาะนี้เป็นเขตทัณฑสถาน ให้ขยายเขตถึงเกาะอาดัง เกาะราวี เกาะหลีเป๊ะได้ด้วย วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2480 “หลวงพิธานทัณ- ฑทัย” เป็นหัวหน้าพร้อมพนักงานกรมราชทัณฑ์และนักโทษ กลุ่มหนึ่ง จากเรือนจำกลางบางขวาง และเรือนจำกลางประจำ เขตคลองเปรม เดินทางถึงอ่าวตะโลอุดังร่วมกันสำรวจพื้นที่ บุกเบิก หักร้างถางพง ตัดถนนหนทาง ก่อสร้างอาคาร สถานที่ ต่างๆ อาคารส่วนใหญ่สร้างจากไม้ หลังคามุงจาก พื้นปูด้วย กระดาน ใช้เวลาเตรียมการร่วม 11 เดือน ยคุ เปดิ เมอื งสตลู จังหวัดสตูลได้ชื่อว่าเป็นเมืองปิด คือ ไม่มีเส้นทาง ผ่านสู่เมืองใกล้เคียง ผู้ที่จะไปเที่ยวที่จังหวัดสตูลต้องตั้งใจ ไปเท่านั้น การเปิดเมืองสตูลเริ่มเมื่อปี พ.ศ.2502 กรม ประชาสงเคราะห์จัดตั้งนิคมสร้างตนเองขึ้นที่ตำบลทุ่งนุ้ย และ ตำบลควนกาหลง สมัยนั้นยังขึ้นต่ออำเภอเมืองสตูล เปิดโอกาส ให้คนต่างจังหวัดเข้ามาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดนี้ ถือเป็นการเปิด เมืองครั้งแรก ล่วงมาในปี พ.ศ. 2507 ได้ขยายเขตนิคม 58
ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดสตูล สร้างตนเองเป็นนิคมสร้างตนเองภาคใต้ คือ ท้องที่อำเภอ ควนกาหลงและกิ่งอำเภอมะนัง เป็นสมัยที่ผู้คนจากต่างจังหวัด อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานมากที่สุด พ.ศ. 2515 จังหวัดสตูลเปิดเส้นทางเชื่อมต่อกับ จังหวัดตรังได้ คือ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 416 เริ่มนับตั้ง แต่สามแยกตำบลฉลุง อำเภอเมืองสตูลไปสิ้นสุดที่ตำบล ปะเหลียน เชื่อมต่อกับทางหลวงในจังหวัดตรังสามารถเดินทาง ไปจังหวัดต่างๆ ทางฝั่งทะเลอันดามันได้ เนื่องจากจังหวัดสตูล มีพรมแดนติดต่อกับประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2527 จังหวัดได้เปิดเส้นทางรถยนต์เชื่อมระหว่างจังหวัด สตูลกับรัฐปะลิส จากสามแยกควนสตอ อำเภอควนโดน ไปยัง ชายแดนบ้านวังประจันเชื่อมต่อกับบ้านวังเกลียน รัฐปะลิส ประเทศมาเลเซีย ทำให้ผู้คนสองประเทศไปมาหาสู่กันสะดวก กว่าแต่ก่อน ชาวสตูลเดินทางไปเมืองเคดาห์ และเกาะปินัง ตั้งอยู่ห่างจากเมืองสตูลไปเส้นทางรถยนต์เพียง 235 กิโลเมตร เท่านั้น เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2530 ไทยกับมาเลเซีย ร่วมกันเปิดเส้นทางการเดินเรือโดยสารหรือเรือเฟอร์รี่ระหว่าง จังหวัดสตูลกับเกาะลังกาวี รัฐเคดาห์ ทำให้ชาวต่างจังหวัดนิยม ใช้เส้นทางนี้เดินทางไปเที่ยวเกาะลังกาวี การปกครองแบ่งออกเป็น 7 อำเภอ 36 ตำบล 257 หมู่บ้าน คือ 1. อำเภอเมือง 2. อำเภอควนโดน 59
นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล 3. อำเภอควนกาหลง 4. อำเภอท่าแพ 5. อำเภอละง ู 6. อำเภอทุ่งหว้า 7. อำเภอมะนัง ภาพที่ 2 เขตการปกครองจังหวัดสตูล แบ่งออกเป็น 7 อำเภอ ข้อมูลเขตการปกครองในจังหวัดสตูล จงั หวดั สตลู แบง่ การปกครองออกเปน็ 7 อำเภอ 36 ตำบล 279 หมู่บ้าน 7 เทศบาล (เทศบาลเมือง 1 แห่ง เทศบาลตำบล 6 แห่ง) 34 อบต. ดังนี้ 60
ตาราง 2 ข้อมลู เขตการปกครองในจงั หวัดสตลู ลำดับ อำเภอ ตำบล หมบู่ ้าน องคก์ รปกครองส่วนท้องถ่ิน 1. เมืองสตลู 12 เทศบาลเมอื ง เทศบาลตำบล องค์การบรหิ ารส่วนตำบล 70 1 3 10 2. ควนโดน 4 31 - 1 4 3. ควนกาหลง 3 32 - - 3 4. ท่าแพ 5 35 - - 4 5. ละงู 6 61 - 1 6 6. ทุ่งหว้า 4 31 - 1 5 7. มะนัง 2 19 - - 2 รวม 36 279 1 6 34 ข้อมูลท่ัวไปของจังหวัดสตูล 61 หมายเหตุ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับจังหวัด : 1 แห่ง คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล 62 ตาราง 3 ขอ้ มูลองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิน่ จังหวดั สตลู ลำดับ อำเภอ ประเภท เขต หนว่ ย จำนวน องคก์ รปกครองสว่ นท้องถนิ่ เลือกตง้ั เลือกตง้ั 1 ทุกอำเภอ นายก สมาชิก 2 เมืองสตลู องค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล 24 345 1 24 3 เทศบาลเมืองสตูล 3 21 1 18 4 เทศบาลตำบลเจ๊ะบิลัง 2 1 4 12 5 เทศบาลตำบลฉลุง 2 2 1 12 6 เทศบาลตำบลคลองขุด 2 18 1 12 7 องค์การบริหารส่วนตำบลตันหยงโป 3 3 1 6 8 องค์การบริหารส่วนตำบลปยู ู 3 3 1 6 9 องค์การบริหารส่วนตำบลเกตรี 7 7 1 14 10 องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะสาหร่าย 7 8 1 14 11 องค์การบริหารส่วนตำบลควนขัน 6 7 1 12 12 องค์การบริหารส่วนตำบลควนโพธิ์ 7 7 1 14 องค์การบริหารส่วนตำบลเจ๊ะบิลัง 6 7 1 12
ลำดบั อำเภอ ประเภท เขต หนว่ ย จำนวน องคก์ รปกครองส่วนท้องถ่ิน เลอื กต้ัง เลือกตง้ั นายก สมาชิก 13 องค์การบริหารส่วนตำบลฉลุง 14 14 1 28 3 6 1 6 14 องค์การบริหารส่วนตำบลตำมะลัง 7 10 1 14 2 6 1 12 15 องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านควน 5 5 1 10 4 4 1 8 16 ควนโดน เทศบาลตำบลควนโดน 8 9 1 16 10 10 1 20 17 องค์การบริหารส่วนตำบลย่านซื่อ 12 13 1 22 12 12 1 24 18 องค์การบริหารส่วนตำบลวังประจัน 9 9 1 18 19 องค์การบริหารส่วนตำบลควนโดน 20 องค์การบริหารส่วนตำบลควนสตอ 21 ควนกาหลง องค์การบริหารส่วนตำบลควนกาหลง ข้อมูลท่ัวไปของจังหวัดสตูล 63 22 องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งนุ้ย 23 องค์การบริหารส่วนตำบลอุไดเจริญ
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล จำนวน 64 ลำดบั อำเภอ ประเภท เขต หน่วย นายก สมาชกิ ท่าแพ องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน เลือกตงั้ เลอื กตั้ง 1 20 24 1 12 25 ละง ู องค์การบริหารส่วนตำบลท่าแพ 10 10 1 14 26 องค์การบริหารส่วนตำบลท่าเรือ 6 6 1 14 27 องค์การบริหารส่วนตำบลแประ 7 7 1 16 28 องค์การบริหารส่วนตำบลสาคร 7 7 1 12 29 เทศบาลตำบลตำบลกำแพง 8 9 1 24 30 องค์การบริหารส่วนตำบลกำแพง 2 4 1 12 31 องค์การบริหารส่วนตำบลเขาขาว 12 14 1 14 32 องค์การบริหารส่วนตำบลน้ำผุด 11 11 1 31 33 องค์การบริหารส่วนตำบลปากน้ำ 7 12 1 12 34 องค์การบริหารส่วนตำบลละงู 18 21 องค์การบริหารส่วนตำบลแหลมสน 6 6
ลำดับ อำเภอ ประเภท เขต หน่วย จำนวน ทุ่งหว้า องค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ เลอื กต้ัง เลอื กต้ัง 35 เทศบาลตำบลทุ่งหว้า นายก สมาชกิ 36 มะนัง องค์การบริหารส่วนตำบลขอนคลาน 2 4 1 12 37 องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งบุหลัง 4 4 1 8 41 องค์การบริหารส่วนตำบลนิคมพัฒนา 5 5 1 10 42 องค์การบริหารส่วนตำบลปาล์มพัฒนา 9 9 1 18 10 10 1 20 รวม 42 642 แหล่งข้อมูล : บุญเสริม ฤทธาภิรมณ์ (2548) รวมเรื่องเมืองสตลู ข้อมูลท่ัวไปของจังหวัดสตูล 65
บ3ทท ี่ แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัย ที่เกี่ยวข้อง การศึกษานักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูลมีความจำเป็น ที่ต้องมีการศึกษาแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง ทง้ั ในรปู แบบลกั ษณะความเปน็ ผนู้ ำ การสอ่ื สารของนกั การเมอื ง ที่มีต่อประชาชน การสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์กับกลุ่มบุคคล ต่างๆ ที่มีผลต่อการได้รับการเลือกตั้ง รวมถึงพื้นที่สาธารณะ ในการแสดงนโยบาย เป้าหมายที่จะเข้ามาทำงานทางการเมือง ในรูปแบบที่เป็นตัวแทนการทำงานแทนประชาชน ซึ่งบุคคลที่ได้ รับการเลือกตั้งต้องเป็นบุคคลที่ประชาชนให้ความไว้วางใจ เชื่อมั่น เชื่อใจในการทำงานเพื่อการบริหารประเทศ รวมถึง การวางนโยบายและการทำแทนประชาชนทางการเมือง ซึ่ง สิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์ต่อการนำไปใช้ในการวิเคราะห์
แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นักการเมือง พฤติกรรมการทำงาน ความคิด การสื่อสาร ทางการเมืองได้อย่างละเอียดและมีความเข้าใจในสิ่งที่ประพฤติ ปฏิบัติ โดยอยู่บนพื้นฐานการทำงานกับประชาชนในบริบทพื้นที่ จังหวัดสตูล โดยในบทนี้ขอนำเสนอรายละเอียดแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องประกอบด้วยหัวข้อที่สำคัญ คือ 1. ความหมายของคำว่า “นักการเมือง” 2. ความหมายของคำว่า “ผู้นำ” 3. แนวคิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง 4. ทฤษฎีผู้นำ 5. ระบบอุปถัมภ์ 6. การสื่อสารทางการเมือง 7. เครือข่ายทางสังคม 8. พื้นที่สาธารณะ 9. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 10. กรอบแนวคิดในการศึกษา ดังรายละเอียดต่อไปนี้ ความหมายของคำว่า “นักการเมือง” นักการเมือง (Politician) มาจากคำว่า “การเมือง” (politics) มาจากภาษากรีก คือคำว่า “polis” แปลว่า เมือง หรือ นคร ความหมายของนักการเมืองได้เน้นลักษณะของบุคคลที่ทำ 67
นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล หน้าที่สาธารณะ ไคลน์ อาร์ สไวการ์ต (Kline R. Swygart) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยออเรกอน สหรัฐอเมริกา ได้ให้ ความหมายของนักการเมืองไว้ว่า นักการเมือง คือ บุคคลผู้เสีย สละเวลาและกำลังของตนแทบทั้งหมดเพื่อไปร่วมในกิจกรรม ของรัฐบาล ซึ่งโดยปกติเขากระทำในฐานะที่เป็นสมาชิกแห่ง พรรคการเมือง หรือกลุ่มอิทธิพล นักการเมืองตามนัยนี้จึงได้แก่ ผู้ที่ดำเนินการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมใน กิจกรรมของรัฐบาล ในฐานะที่เป็นสมาชิกแห่งพรรคการเมือง หรือกลุ่มอิทธิพลต่างๆ บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นนักการเมือง เช่น ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา ฯลฯ สรุปได้ว่า นักการเมือง หมายถึง บุคคลที่มีความสนใจ มีความต้องการ มีความสุขกับการที่ต้องมีภารกิจในการทำ กิจกรรมที่สรรสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนคนพื้นที่ให้ได้การ ตอบสนองคุณค่าของความต้องการและความคาดหวังจาก ตัวแทน ความหมายของคำว่า “ผู้นำ” ผู้นำ (Leader) เป็นบุคคลที่ทำให้องค์การประสบความ ก้าวหน้าและบรรลุผลสำเร็จ ผู้นำเป็นบุคคลสำคัญที่จะทำให้ การทำงานของกลุ่มดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุ เป้าหมาย ผู้นำมีส่วนสำคัญในการสร้างบรรยากาศในการ ทำงาน และทำให้สมาชิกในกลุ่มเกิดความพึงพอใจในการ ทำงาน โดย แมกฟาร์แลนด์ (McFarland, 1979, pp. 214-215) ระบุลักษณะที่สำคัญของผู้นำว่า เป็นผู้ที่มีความสามารถในการ ใช้อิทธิพลให้คนอื่นทำงานในที่ต่างๆ ที่ต้องการให้บรรลุ 68
แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง เป้าหมายและวัตถุประสงค์ และ ยุคล์ (Yukl, G. A. 1989, pp. 3- 4) กล่าวถึงผู้นำเป็นบุคคลที่มาจากการเลือกตั้ง หรือแต่งตั้ง หรือการยกย่องขึ้นมาของกลุ่มเพื่อให้ทำหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะและ ช่วยเหลือให้กลุ่มประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ สอดคล้องกับ ฮาลปิน (Halpin, 1966, pp.27-30) กล่าวถึงผู้นำ เป็นบุคคลที่มีลักษณะใดลักษณะหนึ่งใน 5 ประการ ดังนี้ 1) บุคคลที่มีบทบาทหรืออิทธิพลต่อคนในหน่วยงานมากกว่า คนอื่น 2) บุคคลที่ดำรงตำแหน่งผู้นำในหน่วยงานหรือ หัวหน้างาน 3) บุคคลที่มีบทบาทสำคัญที่สุด ที่ทำให้หน่วยงาน ดำเนินไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ 4) บุคคลที่มีบทบาทเหนือคนอื่นๆ และ 5) บุคคลที่ได้รับการคัดเลือกจากผู้อื่นเป็นผู้นำ สรุปได้ว่า ผู้นำ หมายถึง ผู้ได้รับมอบหมายจากการ ยอมรับในการแสดงบทบาทการทำหน้าที่การแก้ไขปัญหาความ ต้องการในการนำพาไปสู่แนวทางออกโดยใช้ความเป็นผู้นำ หรืออาจได้รับการเลือกตั้ง หรือได้รับการแต่งตั้งซึ่งเป็นที่ยอมรับ ของสมาชิกกลุ่ม เป็นบุคคลที่มีอิทธิพล บทบาทหน้าที่เหนือ สมาชิกกลุ่มคนอื่นๆ เป็นบุคคลที่สามารถดึงดูด ชักนำ ชี้แนะ สมาชิกกลุ่มปฏิบัติงานร่วมกันบรรลุเป้าหมายจนประสบความ สำเร็จ ทฤษฎีผู้นำ ทฤษฎีผู้นำ มีมาตั้งแต่สมัยกรีกจนถึงปัจจุบัน พบว่า นักปราชญ์ที่สำคัญในอดีต เช่น เพลโต้ ซีซาร์ ซึ่งมีการจัดแบ่ง การศึกษาเกี่ยวกับการเป็นผู้นำในองค์การตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบันออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 69
นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล 1) แนวการศึกษาคุณลักษณะผู้นำ (Trait Approach) เป็นกลุ่มที่เน้นการศึกษาเกี่ยวกับคุณลักษณะต่างๆ ที่มีอยู่ใน ตัวผู้นำ เช่น สติปัญญา ความรับผิดชอบ กลุ่มนี้เป็นการหา คำตอบว่าผู้นำควรเป็นคนเช่นไร 2) แนวการศึกษาพฤติกรรมผู้นำ (Behavioral Approach) เป็นกลุ่มที่เน้นการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้นำที่แสดง ออกมา เป็นการหาคำตอบผู้นำควรมีพฤติกรรมอย่างไร 3) แนวการศึกษาด้านสถานการณ์ (Situational or Contingency Approach) เป็นกลุ่มที่เน้นการศึกษาสถานการณ์ ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นผู้นำ เป็นการศึกษาว่าผู้นำต้อง เรียนรู้สถานการณ์อะไรบ้างเพื่อที่จะนำคนอื่นได้ จรัส อติวิทยาภรณ์ (2554) กล่าวถึงประเภทต่างๆ ของ ผู้นำ ซึ่งแบ่งตามพฤติกรรมของการเป็นผู้นำทีมงาน (team leadership) คือ 1) ผู้นำแบบบุรุษเหล็กสตรีเหล็ก (strongman) เป็นผู้นำที่ใช้คำสั่งหรือคำแนะนำเป็นเครื่องมือทำให้เกิดอิทธิพล ต่อผู้ตาม เนื่องจากสมัยก่อนผู้นำส่วนใหญ่เป็นผู้ชายจึงนิยม เรียกผู้นำว่า ผู้นำแบบบุรุษเหล็ก ผู้นำแบบนี้ใช้อำนาจที่มากับ ตำแหน่งของตน เป็นคำสั่งที่ลงไปข้างล่างให้ลูกน้องหรือคนอื่น จำต้องยินยอมปฏิบัติตาม 2) ผู้นำแบบแลกเปลี่ยน (transactor) เป็นผู้นำที่ใช้รางวัล (rewards) เป็นเครื่องแลกเปลี่ยนกับการ ปฏิบัติตามของผู้ตามรางวัลหรือผลประโยชน์แลกเปลี่ยนจึงเป็น แหล่งสำคัญที่ทำให้ผู้นำมีอิทธิพลต่อผู้ตามให้ยินยอมปฏิบัติ ตามที่ผู้นำปรารถนา เพราะผู้ตามรู้ว่าผู้นำและมีอำนาจจัดสรร รางวัล 3) ผู้นำแบบนักวิสัยทัศน์ (visionary hero) เป็นผู้นำที่ใช้ 70
แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง บุคลิกภาพและความสามารถพิเศษ (charisma) ของตนเป็น เครื่องมือ กระตุ้นให้ผู้ตามเกิดแรงดลใจให้อยากทำตามอย่างที่ ผู้นำต้องการ ทั้งนี้เพราะเกิดความเลื่อมใสศรัทธาต่อตัวผู้นำ ผู้นำแบบนี้บางคนเรียกว่า ผู้นำโดยบารมี เป็นผู้นำที่มีศิลปะใน การพูดโน้มน้าวใจให้ผู้ฟังมองเห็นภาพได้ชัดเจน และเชื่อว่า ภาพในอนาคตที่ผู้นำพูดถึงนั้นสามารถไปได้ถึงแน่นอน ถ้าร่วมใจกันทำอย่างที่ผู้นำต้องการ ผู้นำเป็นนักคิด นักพูด และ นักวาดฝันถึงอนาคตที่เป็นไปได้ ผู้นำแบบนี้จึงกล้าคิด กล้าทำ กล้าเปลี่ยนแปลง กล้าท้าทายต่อสิ่งใหม่ๆ แม้ว่าจะกระทบต่อ ตำแหน่งสถานภาพตนเองหรือคนอื่นก็ตาม ถ้าเชื่อว่าสิ่งที่ทำนั้น ทำให้สังคมส่วนรวมดีขึ้น จึงเป็นผู้นำที่สามารถยกระดับ คุณธรรมของลูกน้องให้สูงขึ้นจากทำงานเพื่อได้ประโยชน ์ ส่วนตัวเพียงอย่างเดียว แต่มุ่งการได้ประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็น สำคัญอีกด้วย ผู้นำแบบนี้คนมักยกย่องเหมือนวีรบุรุษ 4) ผู้นำ แบบชั้นยอด (super leader) เป็นผู้นำที่มุ่งพัฒนาผู้ตาม เพื่อให้ สามารถนำตนเอง จนในที่สุดผู้ตามก็แปรสภาพไปเป็นผู้นำโดย อัตโนมัติ มีบางคนเรียกผู้นำแบบนี้ว่า “ผู้นำแบบมอบอำนาจ เบ็ดเสร็จ” (empowering leader) เป็นผู้นำแบบนี้มีจุดเด่นที่ สามารถเรียกว่า “ชั้นยอด” เพราะเป็นผู้ที่ยึดเอาจุดแข็งของ ผู้ตามเป็นสำคัญ เป็นผู้นำที่เข้าใจนำคนอื่นให้เขารู้จักนำตัวเอง (lead others to lead themselves) รูปแบบของผู้นำชั้นยอดก็คือ พยายามให้กำลังใจช่วยเสริมแรงของผู้ตามให้คิดริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ให้รู้จักรับผิดชอบของตน ให้มั่นใจในตนเอง ให้รู้จักการกำหนด เป้าหมายด้วยตนเอง ให้มองโลกเชิงบวก มองเห็นปัญหาเป็น เรื่องท้าทาย มองวิกฤตเป็นโอกาส และรู้จักการแก้ปัญหาด้วย 71
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล ตัวเอง ผู้นำแบบนี้กับผู้ตามมีความสมดุลด้านอำนาจระหว่าง กันค่อนข้างดี สรุปได้ว่า ทฤษฎีผู้นำ เป็นการศึกษาถึงคุณลักษณะหรือ คุณสมบัติของผู้นำแต่ละประเภทที่สามารถดึงดูด สร้างแรง จูงใจในการให้สมาชิกกลุ่มปฏิบัติงาน โดยประเภทของผู้นำ มีความแตกต่างกัน ผู้นำมีแนวความคิดสู่การนำไปปฏิบัติ ที่แตกต่างกัน แต่สามารถนำกลุ่มบรรลุเป้าหมายจนสามารถ ประสบความสำเร็จได้ตอบสนองความต้องการของผู้คนใน สังคมในการเป็นผู้แทน ระบบอุปถัมภ์ การเมืองเป็นการกระทำที่เกี่ยวข้องกับอำนาจด้วยการใช้ อำนาจหรือสามารถมีอิทธิพลต่อบุคคลอื่น โดยมีเป้าหมาย เพื่อสรรสร้างสิ่งที่มีคุณค่าสร้างประโยชน์ให้เกิดกับประชาชนใน สังคม แต่อย่างไรก็ตามการสรรสร้างสิ่งใดๆ ให้เกิดประโยชน์ ต้องอาศัยความช่วยเหลือ ความร่วมมือต่างๆ จากบุคคลหรือ กลุ่มบุคคลในทางการเมืองนั้นต้องอาศัยระบบอุปถัมภ์ และ ผู้รับอุปถัมภ์ เพื่อการดำเนินการเป็นไปอย่างที่ต้องการ หรือที่ คาดหวัง ซึ่ง เจมส์ สก็อต (Scott James C., 1977) กล่าวถึง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์และผู้รับอุปถัมภ์ว่าเป็นความ สัมพันธ์ระหว่างคนสองคน ซึ่งมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอันเป็นกลไก ของการให้บริการผู้อุปถัมภ์ในสภาวะของการตอบแทนซึ่งกัน และกัน ความไม่เท่าเทียมในแง่ทรัพย์สิน ความสัมพันธ์ ในลักษณะที่บุคคลหนึ่งจะมีสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ (ผู้อุปถัมภ์) ที่จะใช้อิทธิพลและทรัพยากรของตนปกป้อง 72
แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง คุ้มครองหรือให้ผลประโยชน์ หรือทั้งสองอย่างแก่บุคคลที่มี สถานภาพต่ำกว่า (ผู้รับอุปถัมภ์) ผู้ซึ่งจะต้องตอบแทนโดยการ ให้การสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือตลอดจนอำนาจ และ สถานภาพ ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างผู้ที่เห็นหน้ากันเสมอๆ และความสัมพันธ์ที่ยืดหยุ่นไม่เฉพาะเจาะจง สอดคล้องกับ ชัยอนันต์ สมุทวณิช (อ้างถึงใน ณรงค์ บุญสวยขวัญ, 2548) ได้อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์–ผู้ใต้อุปถัมภ์ว่า เป็นลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสองคนในลักษณะ ความสัมพันธ์แบบหน้าต่อหน้าหรือมีการช่วยเหลือต่อกัน ผู้อุปถัมภ์หรือผู้ให้อุปถัมภ์และคนมีอิสระในการจำกัดจำนวน บุคคลที่เข้ามามีความสัมพันธ์ด้วย และมีอิสระในการเลือกที่จะ สิ้นสุดความสัมพันธ์ต่อกัน ความสัมพันธ์นี้มีลักษณะนาย–ไพร่ ในสังคมไทยโบราณ และปัจจุบันความสัมพันธ์เช่นนี้คงมีอยู่ มาก นอกจากนี้ชัยอนันต์ สมุทวณิช ย้ำว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ ผันแปรไปตามสังคมเฉพาะอย่าง (particularistic demands) เมื่อ ได้รับสิ่งตอบสนองแล้ว การติดต่อระหว่างบุคคลก็สิ้นสุดลง จะเริ่มผูกพันกันใหม่ก็ต่อเมื่อมีความต้องการใหม่ๆ เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์แบบนี้ชัยอนันต์ฯ ได้อธิบายว่า เป็นความสัมพันธ์ที่มีพลังอยู่ในโครงสร้างขององค์การสมัยใหม่ มาใช้แต่โครงสร้างสมัยใหม่กลายมาเป็นโครงสร้างที่กำหนด ความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการเท่านั้นโดยที่ความสัมพันธ์แบบ อุปถัมภ์ และผู้ใต้อุปถัมภ์ยังคงเสริมในความสัมพันธ์เชิง โครงสร้างที่เป็นทางการ และในทางปฏิบัติจะพบว่ามีอิทธิพล มากในการอธิบายความสัมพันธ์ทางการเมือง 73
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล ดังนั้น แนวคิดระบบอุปถัมภ์คือ การที่ผู้อยู่ในฐานะต่ำ กว่าไปพึ่งพิงหรือรับอุปถัมภ์จากผู้ที่อยู่ในฐานะที่เหนือกว่า เป็น ลักษณะของความสัมพันธ์ในแนวดิ่ง เพราะสังคมไทยยอมรับ ในอำนาจของคนที่มีตำแหน่ง อำนาจ บารมี อิทธิพลที่เหนือกว่า จะสามารถบังคับหรือโน้มน้าวผู้ที่อยู่ต่ำกว่าให้ปฏิบัติตามคำสั่ง ได้ (อมรา พงศาพิชญ์ และปรีชา คุวินทร์พันธุ์, 2545) สรุปได้ว่า ระบบอุปถัมภ์และผู้รับอุปถัมภ์ หมายถึง ระบบของความสัมพันธ์ที่มีต่อกันระหว่างคนสองคน คือ ผู้ให้การอุปถัมภ์และผู้รับอุปถัมภ์ที่มีสถานภาพทางสังคม ที่ไม่เท่าเทียมกัน แต่สามารถอยู่ร่วมและดำเนินงานร่วมกันได้ ด้วยผลประโยชน์ต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน สามารถเชื่อมโยง ความสัมพันธ์นั้นไปสู่อำนาจและความเชื่อความศรัทธาผ่าน กลไกของระบบที่เอื้อต่อการให้เกิดการปฏิบัติของผู้ให้และผู้รับ เกื้อกูลกันในการสร้างอำนาจให้กับนักการเมือง การส่ือสารทางการเมือง การติดต่อสื่อสารระหว่างกันมีความสำคัญต่อการทำ กิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน โดยเฉพาะการสื่อสารทางการเมือง เพื่อการบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการด้วยวิธีการสื่อสาร ต่างๆ เพื่อความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ดังนี้ Almond & Powell (1978) กล่าวว่า การสื่อสารทาง การเมือง คือ หน้าที่ของระบบในขั้นพื้นฐาน (Basic System Function) ซึ่งจะมีผลในการรักษา และการเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรมทางการเมือง และโครงสร้างทางการเมือง ความจริง 74
แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง แล้วสามารถกล่าวได้ว่า การเปลี่ยนแปลงโดยส่วนใหญ่ในระบบ การเมืองนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของ การสื่อสารซึ่งจะอยู่ทั้งรูปของต้นเหตุและผลลัพธ์ Denton & Woodward (อ้างถึงใน Brian Mcnair, 2003) ได้ให้ความหมายของคำว่า การสื่อสารทางการเมือง คือ การสนทนา และการเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างบริสุทธิ์เกี่ยวกับ การจัดสรรทรัพยากรสาธารณะ เช่น รายได้ ภาษีอากร อำนาจ หน้าที่อย่างเป็นทางการ คือ อำนาจในทางตุลาการ นิติบัญญัติ และบริหาร รวมถึงการให้คุณให้โทษอย่างใดอย่างหนึ่งตาม อำนาจหน้าที่นั้นๆ พฤทธิสาณ ชุมพล (2547) กล่าวถึง การสื่อสารทาง การเมือง คือ กระบวนการทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการ แลกเปลี่ยนข้อเท็จจริง ทรรศนะ และความคิดเห็น ตลอดจน ประสบการณ์ต่าง ๆ ในทางการเมืองระหว่างบุคคล การสื่อสาร ทางการเมืองจึงนับเป็นกระบวนการพิเศษที่ก่อให้เกิดการ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกของสังคมการเมือง และทำให้บุคคล สามารถดำรงอยู่ได้ในสังคมการเมืองนั้น Chaffee (อ้างถึงใน บุณฑริกา เจี่ยงเพ็ชร์, 2543) กล่าวถึง การสื่อสารทางการเมืองว่ามีลักษณะเป็นระบบของการแพร ่ ข่าวสารทางการเมืองไปยังสมาชิกของระบบราชการเมือง ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า การสื่อสารทางการเมืองเป็น แบบแผนหรือกระบวนการเผยแพร่ข่าวสารทางการเมืองระหว่าง สมาชิกกับหน่วยงานต่างๆ ในระบบการเมือง โดยข่าวสาร ทางการเมืองนั้น Chaffee หมายความถึงความรู้ (Knowledge) 75
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล ของสมาชิกในระบบการเมืองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง เคลื่อนไหวใดๆ (Any Change) ในสภาวะของระบบในแง่ของการ ใช้อำนาจ หรืออำนาจรัฐ (the authoritative) แบ่งสรรสิ่งที่มี คุณค่า เครือข่ายทางสังคม เครือข่ายทางสังคม (Social network analysis) มีขอบเขต การศึกษาที่กว้างขวางมากซึ่งมีความสัมพันธ์ระหว่างคนหลาย คนในการทำงานร่วมกันของคนจำนวนมากทำให้เกิดกลุ่ม องค์กรอย่างหลากหลาย พร้อมทั้งกลุ่ม องค์กรนั้นมีแนวทางใน การทำงานไปในทิศทางเดียวกันมารวมกันทำงานในลักษณะ ของความเป็นเครือข่ายร่วมกัน เพื่อร่วมสร้างประโยชน์ต่อ ส่วนรวม ดังนั้น ในการศึกษาเครือข่ายทางสังคมจึงต้องมีการ ศึกษาทำความเข้าใจในเรื่องความหมายของเครือข่าย ทฤษฎีเครือข่ายทางสังคม กระบวนการทำงานของเครือข่าย ดังต่อไปนี้ คำว่า “เครือข่าย” หมายถึง ชุดหรือกลุ่มของความ สัมพันธ์ระหว่างตัวแสดง (actor) หรือตัวเชื่อมต่อ (Node) ดังนั้น เครือข่ายจึงประกอบด้วยตัวแสง 2 ตัวที่มีความสัมพันธ์กัน โดยทั่วไป ตัวแสดงภายในเครือข่ายจะติดต่อสื่อสารเพื่อการ แลกเปลี่ยนทรัพยากรทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ตัวแสดง จะเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายต้องมีความเป็นไปได้ในเชิงพื้นที่ โดยตัวแสดงที่อยู่ติดกันมีแนวโน้มที่จะเชื่อมต่อกันมากกว่า ตัวแสดงที่อยู่ห่างไกลออกไป นอกจากนี้ตัวแสดงที่มีลักษณะ 76
แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง คล้ายคลึงกันก็มักจะเชื่อมต่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน (Kadushin,2004) เครือข่ายทางสังคมเป็นรูปแบบ หรือความสม่ำเสมอ ในความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยที่มีปฏิสัมพันธ์กัน ดังนั้น เครือข่ายจึงมีลักษณะเป็นโครงสร้างโดยมีลักษณะความ สัมพนั ธ์แบบพง่ึ พาซึง่ กันและกัน (Interdependence) การเชอื่ มตอ่ ระหว่างหน่วยเป็นช่องทางในการแลกเปลี่ยนทรัพยากร โครงสร้างของเครือข่ายเป็นทั้งโอกาสและอุปสรรคต่อการ กระทำของปัจเจกที่เป็นสมาชิกของเครือข่าย สนธยา พลศรี (2550, น. 50) กล่าวถึงเครือข่ายว่า เป็นความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยง ระหว่างสมาชิก ซึ่งอาจจะเป็นบุคคลต่อบุคคล บุคคลต่อกลุ่ม กลุ่มต่อกลุ่ม เครือข่ายต่อเครือข่าย โดยในการเชื่อมโยงเป็น เครือข่ายไม่ได้เป็นเพียงแต่แค่การรวมตัวกันโดยทั่วไป แต่มี เป้าหมายในการทำกิจกรรมร่วมกันทั้งที่เป็นครั้งคราวหรืออาจ เป็นกิจกรรมที่ต่อเนื่อง จึงเป็นการเชื่อมโยงคนที่มีความสนใจ ร่วมกัน มีการจัดระบบให้สมาชิกสามารถดำเนินกิจกรรม ร่วมกัน เพื่อบรรลุจุดหมายที่สมาชิกเห็นพ้องต้องกัน และสิ่งที่ สามารถเชื่อมโยงให้สมาชิกเข้าด้วยกัน คือ วัตถุประสงค์ หรือ ผลประโยชน์ที่ต้องการบรรลุผลร่วมกัน การสนับสนุนช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน สอดคล้องกับ เสรี พงศ์พิศ (2548, น. 8) กล่าวถึง เครือข่ายว่า เป็นขบวนการทางสังคมที่เกิดจากการสร้างความ สัมพันธ์ระหว่างบุคคล กลุ่ม องค์กร สถาบัน โดยมีเป้าหมาย วัตถุประสงค์ และความต้องการบางอย่างร่วมกัน ร่วมกัน ดำเนินกิจกรรมบางอย่างโดยที่สมาชิกของเครือข่ายยังคงเป็น เอกเทศไม่ขึ้นต่อกัน 77
นักการเมืองถ่ินจังหวัดสตูล จะเห็นได้ว่า การที่มีเครือข่ายทางสังคมมากสามารถ ทำให้ชุมชน สังคม สามารถเข้าถึงความรู้ ข้อมูลต่างๆ ได้อย่าง รวดเร็วและมากขึ้น ซึ่งมีผลดีต่อการสร้างนวัตกรรมในแง่ของ การมีปัจจัยนำเข้าที่ดี นอกจากนี้เครือข่ายทางสังคมที่มีความ หนาแน่นยังช่วยให้เกิดการผลักดันในการสร้างนวัตกรรม รูปแบบใหม่ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้สามารถเข้าถึง ทรัพยากรและการสนับสนุนด้านอื่นๆ ที่จำเป็นได้มากขึ้น พื้นที่สาธารณะ (Public Spaces) พื้นที่สาธารณะเป็นพื้นที่ที่จะแสดงออก และบทบาท ในการสร้างโอกาสให้แสดงออกทางความคิดเห็นทางการเมือง ความคิดในเชิงประเด็นสาธารณะส่วนรวมที่สามารถนำเสนอ เพื่อนำไปสู่สังคมชุมชนที่หาทางออก ทางเลือกในการมีพื้นที่ ที่จะบอกให้สังคมรับรู้ รับทราบประเด็นสาธารณะที่จะเป็น การทำกิจกรรมที่ทุกคน ทุกหมู่คณะสนใจมาทำกิจกรรมร่วมกัน โดยมิเชล ฟูโก (Michel Foucault) ได้วิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ ระหว่าง พื้นที่ และอำนาจไว้ว่า พื้นที่และวิธีคิดเกี่ยวกับพื้นที ่ มีหลายแบบ แต่พื้นที่ที่เขาสนใจนั้นได้แก่พื้นที่ที่มีความสัมพันธ์ กับพื้นที่ชนิดอื่น ๆ ที่มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สงสัย การสร้างความมั่นคง หรือไม่ก็สลายความสัมพันธ์ที่มีอยู่เดิม ลงพื้นที่ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงพื้นที่อื่นๆ เข้าด้วยกัน ขณะเดียวกัน ก็ขัดแย้งกับบรรดาพื้นที่เหล่านี้ไปพร้อมๆ กันด้วย ซึ่ง ฟูโก เห็นว่าพื้นที่แบบที่กล่าวถึงนี้มีอยู่ 2 ชนิด คือ 1. The Utopia “พื้นที่ในอุดมคติเป็นพื้นที่ในจินตนาการ ที่เชื่อมโยง หรือไม่ก็ขัดแย้งกับพื้นที่จริงในสังคม แต่เป็นพื้นที ่ 78
แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ที่ไม่มีที่ตั้งจริงในสังคม (The Unreal Spaces) 2. Heterotopias “พื้นที่แบบพิเศษ” เป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยง สะท้อน หรืออยู่ระหว่างพื้นที่ในอุดม คติกับพื้นที่จริง จึงมีทั้งมิติ ของพื้นที่จริงและมิติในอุดมคติอยู่ด้วยกันเป็นพื้นที่อีกชนิด/ อีกแบบที่แตกต่างไปจากทั้งพื้นที่ในอุดมคติกับพื้นที่จริง พื้นที่สาธารณะ ตามทัศนะของ จังเกล ฮาบามาส (Jurgen Habermas) เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ความรู้สึกเป็นส่วนรวม เป็นการปฏิบัติการทางสังคมที่ฝังอยู่ในวัฒนธรรมของแต่ละยุค สมัย “พื้นที่สาธารณะ” เริ่มตั้งแต่ยุคคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในสังคมยุโรปเป็นยุคศักดินา มีกษัตริย์และศาสนาเท่านั้น ที่สามารถเข้าถึงพื้นที่สาธารณะในทางการเมืองได้ ภายหลัง ในช่วงปลายศตวรรษที่ 17 ต่อเนื่องถึงศตวรรษที่ 18 เริ่มเป็น ยุคความมีเหตุและผล การครอบงำจากรัฐและศาสนาเริ่มลด น้อยลง ระบบเศรษฐกิจแปรเปลี่ยนไป เริ่มเกิดพื้นที่สาธารณะ ของคนกลุ่มใหม่ คือพวกชนชั้นกลาง และ สุธาริน คูณผล (2541, น. 167-196) ระบุว่า ของ จังเกล ฮาบามาส (Jurgen Habermas) อธิบายกระฎุมพีเป็นฐานคิดที่สำคัญในการเชื่อมโยง ความสัมพันธ์ระหว่างการมีอยู่ของ “พื้นที่สาธารณะ” และ ความเข้มแข็งของสังคมพลเมือง (Civil Society) นอกจากนี้ พื้นที่สาธารณะ คือ ขอบเขต (Boundary) เนื่องจากพื้นที่ทำให้เป็นสาธารณะโดย “ธรรมชาติของขอบเขต พื้นที่นั้น (พื้นที่สาธารณะ) เป็นพื้นที่ที่ใครก็เข้าออกโดยไม่ต้อง ได้รับคำยินยอมจากคนแปลกหน้า และไม่ต้องแจ้งให้ผู้ใดทราบ ก่อนด้วยว่ามีเหตุผลอะไร ขอบเขตที่ก่อให้เกิดพื้นที่สาธารณะ 79
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล นั้น ทั้งสามารถดูดแทรกซึมได้ และเปิดกว้างสำหรับกิจกรรม สาธารณะ” (Carr, Stephen; Francis, Mark; Rivlin, Leanne G. & Stone, Andrew M, 1992, p. 50) และพื้นที่สาธารณะเป็นพื้นที่ เปดิ ใหค้ นเขา้ ถึง และเข้ารว่ มกจิ กรรมทเ่ี กิดขนึ้ ในพื้นที่ซึง่ ควบคุม โดยหน่วยงานสาธารณะซึ่งจัดหาและบริการพื้นที่เพื่อสาธารณะ ประโยชน์ (Ali Madanipour, 1996) สรุปได้ว่า พื้นที่สาธารณะ หมายถึง พื้นที่ใดก็ได้ที่มีการ ปฏิสัมพันธ์ในการเคลื่อนไหวทางความคิดร่วมกันระหว่างคน หรือกลุ่มคนด้วยการใช้เหตุผล พื้นที่สาธารณะเป็นพื้นที่ที่เปิด โอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในฐานะความเป็นพลเมืองและการ แสดงออกในการวิพากษ์วิจารณ์ตามแหล่งของผู้คนที่มีการ พูดคุยในพื้นที่ทางสังคม เช่น ร้านน้ำชา มัสยิด ห้องประชุม ศาลาวัด เป็นต้น งานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง จากที่มีนักวิชาการได้ศึกษานักการเมืองถิ่นในจังหวัด ต่างๆ ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับความสำเร็จในเส้นทางการเมือง ด้วยกลยุทธ์หลากหลายจนได้รับการเลือกตั้ง จึงเป็นฐานข้อมูล ในการศึกษาที่มีประโยชน์ดังนี้ ณรงค์ บุญสวยขวัญ (2548) ทำการวิจัยเรื่อง อัตลักษณ์ นักการเมืองถิ่น : กรณีศึกษานักการเมืองถิ่นนครศรีธรรมราช โดยวัตถปุ ระสงค์การศึกษาเพื่อศึกษาอตั ลกั ษณข์ องนักการเมอื ง ระดับชาติในจังหวัดนครศรีธรรมราช และเพื่อศึกษาถึงเครือข่าย ความสัมพันธ์ของนักการเมืองระดับชาติในจังหวัด 80
แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง น ค ร ศ ร ี ธ ร ร ม ร า ช ก ั บ ป ร ะ ช า ช น ใ น จ ั ง ห ว ั ด น ค ร ศ ร ี ธ ร ร ม ร า ช โดยใช้วิธีวิทยาการวิจัยแบบคุณภาพเน้นการศึกษาจากเอกสาร และสัมภาษณ์นักการเมืองและบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือรับรู้ ปรากฏการณ์ทางการเมือง พบว่า ปฏิบัติการทางการเมืองนครศรีธรรมราชนั้นสัมพันธ์กับ บริบทการเมืองระดับชาติและบริบทสังคมวิทยาการเมืองแบบ ดั้งเดิมตามวิธีของชาวนครศรีธรรมราช โดยแบ่งช่วงเวลา การเมืองในระบอบประชาธิปไตยออกเป็นสามช่วง โดยมี คุณลักษณะของแต่ละช่วงต่างกันไป ประกอบด้วย ช่วงแรก พ.ศ. 2475 - 2500 ยุคเทคนิควิธีการหาเสียง ช่วงที่สอง พ.ศ. 2500 - 2535 ยุคสถาปนาพรรคประชาธิปัตย์ เน้นการปราศรัย อภิปราย ด้วยลีลาดุดัน กลายเป็นดาวสภา หางบประมาณ ลงสู่เขต ต่อสู้กับลัทธิและอิทธิพลเพื่อประชาธิปไตย ช่วงที่สาม หลัง พ.ศ. 2535 ยุคการจรรโลงประชาธิปไตยและยุคจรรโลง ความเป็นประชาธิปัตย์ในนครศรีธรรมราช ดังนั้น การกล่าวถึง การเมืองนครศรีธรรมราชต้องเพ่งพินิจไปที่นักการเมืองจาก พรรคประชาธิปัตย์เพราะความต่อเนื่องในการชนะเลือกตั้ง โดยมีลักษณะพัฒนาการจากระบบแบบเดิมหรือสังคมการเมือง ไทยแบบโบราณที่มีตัวแทนแบบอำนาจนิยมที่มีสายใยทาง ศาสนาไปสู่การเมืองระบบตัวแทนในระบบประชาธิปไตยอย่าง เข้มข้น ที่มีการใช้ศาสนาเป็นกลไกในการสร้างอุดมการณ ์ ในการช่วยขับเคลื่อนให้เกิด อุดมการณ์ของการเมืองประชาธิปไตยตัวแทนโดย นักการเมืองและพรรคการเมือง การเมืองแบบใหม่ที่เน้นความ 81
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล สำคัญต่อระบบตัวแทนจึงสำเร็จในนครศรีธรรมราชสูงมาก ส่งผลให้ประชาชนกลายเป็นผู้รับอุปถัมภ์โดยมีผู้ให้อุปถัมภ์ รายใหม่ คือ นักการเมืองที่ชนะเลือกตั้งอัตลักษณ์ทางการเมือง ของนักการเมืองถิ่น คือ มีความรู้สูงหรือมีการศึกษาค้นคว้าอยู่ ตลอด พร้อมกับมีความใกล้ชิดประชาชนอย่างมาก การอุปถัมภ์ ด้วยการสร้างโครงการพัฒนาทางกายภาพสร้างวาทกรรม ทางการเมืองความกล้าหาญที่ชี้นำประชาชนให้เห็นถึงความไม่ ถูกต้องความไม่เหมาะสมของราชการและคู่ต่อสู้ทางการเมือง อย่างไม่เกรงกลัว จึงเน้นกลวิธีการหาเสียงมากกว่าการเมืองเชิง นโยบาย อย่างไรก็ตาม นักการเมืองถิ่นในนครศรีธรรมราชจะมี การแย่งชิงการนำระหว่างกันภายในจังหวัดฯ เพื่อหวังเป็น สัญลักษณ์ของจังหวัดนครศรีธรรมราช และประเทศแม้นว่า ทุกกลุ่มการเมืองแย่งชิงการนำกันแต่ไม่ยอมพ่ายแพ้ออกจาก ความเป็นประชาธิปัตย์ กระบวนการสร้างเครือข่ายการหาเสียง ในช่วงแรกมีการ ใช้พรรคพวก ญาติ เครือข่ายวิชาชีพครู เครือข่ายสถาบัน การศึกษาหรือชมรมศิษย์เก่าของสถาบันการศึกษา ในช่วง การจรรโลงประชาธิปัตย์นั้นมีการใช้เครือข่ายสตรี ซึ่งเป็นกลุ่มที่ ต่อยอดกลุ่มทางสังคมที่ทางราชการสร้างขึ้นมา การใช้กลไก ศาสนามาเป็นกลไกผลสร้างความเป็นนักการเมืองแบบ ประชาธิปัตย์จากนั้นก็สร้างอุดมการณ์แบบประชาธิปัตย์ขึ้นมา และนักการเมืองท้องถิ่นที่พยายามสร้างความเป็นประชาธิปัตย์ นี้ คือ มาตรฐานทางการเมืองถิ่นนครศรีธรรมราชที่สามารถ จรรโลงอำนาจทางการเมืองด้วยการชนะการเลือกตั้งตลอดมา 82
แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง บูฆอรี ยีหมะ (2548) ทำการวิจัยเรื่อง นักการเมืองถิ่น จังหวัดปัตตานี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความรู้จักกับ นักการเมืองปัตตานีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งในด้านประวัติ ความเป็นมา เครือข่ายและความสัมพันธ์กับกลุ่มผลประโยชน์ และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ เช่น ครอบครัว เครือญาติ พ่อค้า ตลอดจนกลยุทธ์หรือเทคนิคการหาเสียง และความสัมพันธ์ของ ตัวนักการเมืองกับพรรคการเมือง ผลการศึกษาพบว่า 1) ยุคแรก ระหว่าง พ.ศ.2476 - 2528 เป็นการต่อสู้ ช่วงชิงทางการเมืองระหว่างตระกูลอดีตเจ้าเมืองกับตระกูล นักการเมือง ศาสนาและเครือข่าย 2) ยุคที่สอง ระหว่าง พ.ศ.2529 - 2547 มีการก่อตั้ง กลุ่มการเมืองเพื่อเป็นกลไกการต่อรองกับพรรคการเมืองและ กลยุทธ์ในการชนะเลือกตั้ง คือ กลุ่มวะดะห์ และกลุ่มญามา อะฮ์อุลามะอ์ปัตตานีวารุสสลาม (ชุมชนนักปราชญ์แห่งปัตตานี) 3) ยุคปัจจุบัน พ.ศ.2548 - ปัจจุบัน การเกิดวิกฤติความ รุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ทางการเมืองเมื่ออดีตนักการเมืองผู้มีชื่อเสียงต้องพ่ายแพ้ให้กับ นักการเมืองหน้าใหม่ ศรุดา สมพอง (2550) ทำการวิจัยเรื่อง โครงการสำรวจ เพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่น : จังหวัดฉะเชิงเทรา มีวัตถุประสงค์เพื่อรู้จักและเข้าใจบทบาทพฤติกรรมของ นักการเมืองจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งจากการศึกษานักการเมือง ถิ่นในจังหวัดฉะเชิงเทรา พบว่า 83
นักการเมืองถิ่นจังหวัดสตูล 1) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดฉะเชิงเทราตั้งแต่ อดีตถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2548) จะเป็นบุคคลในกลุ่มชนชั้นนำของ จังหวัด มีสถานะภาพทางเศรษฐกิจ และสังคมที่ดี เป็นที่รู้จัก ของคนในจังหวัด โดยมีปัจจัยที่สำคัญจากพื้นฐานทางด้าน อาชีพการรับราชการโดยเฉพาะการเป็นสมาชิกองค์การปกครอง ส่วนท้องถิ่นมาก่อน 2) ลักษณะทางการเมืองในจังหวัดฉะเชิงเทราจะเป็น การสืบทอดอำนาจทางการเมือง โดยเฉพาะในกลุ่มเครือญาติ และการได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอิทธิพลทางการเมือง ซึ่งในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 2 กลุ่มคือ กลุ่มตระกูลฉายแสงนำ โดยนายอนันต์ ฉายแสง และกลุ่มตระกูลตันเจริญ นำโดย นายสุชาติ ตันเจริญ 3) ในการสังกัดพรรคการเมืองของสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรในจังหวัดฉะเชิงเทรา จะไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก เพราะลักษณะการลงคะแนนของประชาชนทั่วไปจะยึดที ่ ตัวบุคคลเป็นหลัก 4) วิธีที่ใช้ในการหาเสียงของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรในจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยทั่วไปจะใช้การลงพื้นที่พบปะ ประชาชนในพื้นที่ การปราศรัยบนเวที การใช้สื่อประชาสัมพันธ์ ต่าง ๆ การใช้รถขยายเสียงวิ่งตามท้องถนน แต่ที่สำคัญจะ ใช้วิธีการผ่านทาง “หัวคะแนน” ซึ่งจะเป็นผู้ที่มีบารมีในพื้นที่ เช่น สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สมาชิกองค์การ บริหารส่วนตำบล (อบต.) กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน เป็นต้น 84
แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง สานิตย์ เพชรกาฬ (2550) ศึกษาเรื่อง นักการเมืองถิ่น จังหวัดพัทลุง มีวัตถุประสงค์เพื่อรู้จักและเข้าใจบทบาท พฤติกรรมของนักการเมืองจังหวัดพัทลุง นักการเมืองถิ่นมาจาก กลุ่มอดีตข้าราชการ กลุ่มนักกฎหมาย และกลุ่มผู้กว้างขวาง เป็นที่รู้จักในสังคม โดยนักการเมืองจังหวัดพัทลุงมีเครือข่าย ความสัมพันธ์ทางการเมืองในลักษณะเป็นทายาททางการเมือง หรือเครือญาติใกล้ชิด กลุ่มองค์กรเครือข่ายที่สนับสนุนในการ สร้างฐานคะแนนเสียง ส่วนพรรคการเมืองและผู้สมัครที่ได้รับ การเลือกตั้งหรือเคยได้รับการเลือกตั้งในจังหวัดพัทลุง ประกอบ ด้วยพรรคประชาธิปัตย์ พรรคธรรมาธิปัตย์ พรรคชาวนาชาวไร่ พรรคแนวร่วมประชาธิปไตย พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย พรรคกจิ สงั คม พรรคประชาชน พรรคชาตไิ ทย พรรคความหวงั ใหม่ โดยที่พรรคประชาธิปัตย์มีผู้สมัครได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเกือบ ทุกสมัย จนกระทั่งปัจจุบันสามารถยึดครองพื้นที่ไว้ได้ทั้ง 3 เขต เลือกตั้งของจังหวัดพัทลุง นักการเมืองสำคัญของพรรคประชา- ธิปัตย์ในช่วงระยะแรกได้แก่ นายถัด พรหมมาณพ เคยได้รับ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีเมื่อปี พ.ศ. 2491 สมัยรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี การได้รับเลือกตั้งของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ในยุค แรกเกิดจากคุณลักษณะ และศักยภาพส่วนบุคคลมากกว่า อิทธิพลของระบบพรรคการเมือง พรรคการเมืองอื่นแม้จะมีอยู่ หลายพรรคที่เคยส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง และเคยได้รับการ เลือกตั้งในจังหวัดพัทลุง แต่พรรคการเมืองเหล่านั้นจะได้รับ เลือกเข้ามาได้ไม่เกิน 1 สมัย หรืออยู่ได้ไม่เกิน 4 ปี การได้รับ เลือกตั้งดังกล่าว เกิดจากความนิยมชมชอบผู้สมัครเป็นการ 85
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266