Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เลือกตั้ง62กาญจนบุรี

เลือกตั้ง62กาญจนบุรี

Description: การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี
พรชัย เทพปัญญา และ ณัฐพงศ์ บุญเหลือ

Keywords: เลือกตั้ง,2562,กาญจนบุรี

Search

Read the Text Version

2 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี เร่ือง การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ัง สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร 2562 จงั หวัดกาญจนบรุ ี Political Activities and Electoral Behavior in the 2019 Thailand General Election in Kanchanaburi Province ผ้เู ขียน พรชยั เทพปัญญา และ ณฐั พงศ์ บญุ เหลือ เลขมาตรฐานสากลประจ�ำ หนังสือ (e-book) 978-616-476-091-2 รหสั สง่ิ พิมพส์ ถาบนั สวพ.63-13-00.0 (ebook) พิมพค์ ร้ังท่ี 1 มถิ นุ ายน 2563 ประสานงาน วรศิ รา อมั พรศิริธรรม สงวนลิขสทิ ธ ิ์ © 2563 ลขิ สทิ ธขิ์ องสถาบนั พระปกเกล้า จดั พิมพ์โดย สำ�นกั วิจยั และพัฒนา สถาบนั พระปกเกลา้ ศนู ย์ราชการเฉลิมพระเกยี รติ 80 พรรษาฯ อาคารรฐั ประศาสนภักดี ชั้น 5 (โซนทศิ ใต้) เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจง้ วฒั นะ แขวงท่งุ สองหอ้ ง เขตหลักส่ี กรุงเทพฯ 10210 โทรศพั ท์ 0-2141-9596 โทรสาร 0-2143-8177 http://www.kpi.ac.th

3 ค�ำน�ำสถาบันพระปกเกล้า การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเม่ือวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2562 เป็นการเลือกต้ังครั้งแรก ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ซ่ึงได้มีการเปลี่ยนแปลงกติกา ที่เก่ียวข้องกับการเลือกต้ังหลายประการ ได้แก่ การน�ำระบบการเลือกต้ังท่ีเรียกว่า “การเลือกตั้งแบบจัดสรร ปนั สว่ นผสม” มาใช้ โดยกำ� หนดใหแ้ ตล่ ะเขตเลอื กตง้ั มสี มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรไดเ้ ขตละหนงึ่ คน และประชาชน ผู้มีสิทธิเลือกต้ังมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งได้คนละหนึ่งคะแนน ส่วนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบ บัญชีรายชื่อน้ันเป็นการจัดสรรโดยค�ำนวณจากคะแนนรวมท่ีพรรคการเมืองได้จากการเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตทั่วประเทศ การก�ำหนดให้พรรคการเมืองสามารถเสนอรายช่ือบุคคลซ่ึงสมควร ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไม่เกินสามรายชื่อ การก�ำหนดในเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของ ผสู้ มคั รรบั เลอื กตง้ั รปู แบบและวธิ กี ารรณรงคห์ าเสยี งเลอื กตง้ั ตลอดจนบทลงโทษกรณกี ระทำ� ความผดิ เกย่ี วกบั การเลือกต้ังท่ีเข้มข้นกว่าการเลือกต้ังครั้งก่อนๆ นอกจากนี้ การเลือกตั้งเม่ือวันที่ 24 มีนาคม 2562 ยังเกิดข้ึน ท่ามกลางบริบทและสภาพแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองท่ีเปลี่ยนแปลงไปจากการเลือกต้ังท่ัวไป คร้ังหลังสุดเม่ือปี 2554 เป็นอย่างมาก อาทิ การว่างเว้นจากการเลือกต้ังเกือบแปดปีท�ำให้มีผู้มีสิทธิเลือกต้ัง คร้ังแรก (First Time Voter) มากกว่า 7 ล้านคน การเปล่ียนแปลงอย่างฉับพลันของเทคโนโลยีการสื่อสาร (Digital Disruption) ท�ำให้สื่อใหม่ (new media) เข้ามามีอิทธิพลในการเลือกต้ังอย่างเด่นชัดเป็นคร้ังแรก การเปลี่ยนแปลงในกติกาและสภาพแวดล้อมดังกล่าวท�ำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการจัดการเลือกต้ัง ยทุ ธวธิ กี ารหาเสยี งของผสู้ มคั รและพรรคการเมอื ง รวมถงึ พฤตกิ รรมการตดั สนิ ใจลงคะแนนของประชาชนอยา่ ง มนี ยั ยะส�ำคญั และน่าสนใจยง่ิ หนังสือชุด “การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562” นี้เป็นผลการศึกษาจากชุดโครงการวิจัย ทส่ี ถาบนั พระปกเกลา้ ไดจ้ ดั ทำ� ขน้ึ โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื สำ� รวจและบนั ทกึ ปรากฏการณท์ างการเมอื งโดยเฉพาะ ในมิติของความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 ในจงั หวดั ตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ กรงุ เทพมหานคร กาฬสนิ ธ์ุ กำ� แพงเพชร กาญจนบรุ ี ขอนแกน่ ชลบรุ ี เชยี งใหม่ นครศรธี รรมราช แพร่ รอ้ ยเอด็ สงขลา สพุ รรณบรุ ี สรุ นิ ทร์ พะเยา พษิ ณโุ ลก ปตั ตานี สรุ าษฎรธ์ านี เลย สระแกว้

4 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี และอุบลราชธานี ข้อมูลที่น�ำเสนอในหนังสือชุดนี้ได้ฉายให้เห็นภาพในระดับพื้นท่ีของบรรยากาศและความ เคลอ่ื นไหวของพรรคการเมอื ง องคก์ รและกลมุ่ ทางการเมอื งตา่ ง ๆ ความเคลอื่ นไหวและพฤตกิ รรมทางการเมอื ง ของผู้สมัครรับเลือกต้ัง บทบาทของหน่วยงานที่เข้ามาเก่ียวข้องในการเลือกตั้ง พฤติกรรมทางการเมืองของ ประชาชนและกลุ่มการเมอื ง การใชท้ รัพยากรตา่ ง ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งในเรื่องค่าใช้จา่ ย การเปลี่ยนแปลงของ ขวั้ อ�ำนาจทางการเมอื ง การยา้ ยพรรคการเมอื ง ปจั จยั ทสี่ ง่ ผลตอ่ การตดั สนิ ใจทางการเมอื ง รวมทงั้ การวเิ คราะห์ ผลการเลือกตั้งที่เกิดข้ึน การเคล่ือนไหวและการรณรงค์ในการเลือกต้ังในแต่ละจังหวัดท่ีปรากฏในสื่อออนไลน์ ตลอดจนประเดน็ อน่ื ๆ ทน่ี า่ สนใจทปี่ รากฏขน้ึ มาในชว่ งระหวา่ งการมพี ระราชกฤษฎกี าก�ำหนดใหม้ กี ารเลอื กตงั้ วนั เลอื กตัง้ และหลงั การเลอื กตัง้ สถาบันพระปกเกล้าขอขอบคุณ รองศาสตราจารย์ ฐปนรรต พรหมอินทร์ รองศาสตราจารย์ พรชัย เทพปัญญา รองศาสตราจารย์ ดร.สามารถ ทองเฝือ รองศาสตราจารย์ ดร.กตัญญู แก้วหานาม รองศาสตราจารย์ ดร.ศิวัช ศรีโภคางกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไพลิน ภู่จีนาพันธุ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย ์ ดร.บูฆอรี ยีหมะ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิเชียร ตันศิริคงคล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กฤษฎา พรรณราย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐพงศ์ บุญเหลือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ศุทธิกานต์ มีจ่ัน ดร.พิมพ์ลิขิต แก้วหานาม ดร.พิสมัย ศรีเนตร ดร.จันทรา ธนะวัฒนาวงศ์ ดร.ภคพร วัฒนด�ำรง ดร.ประเทือง ม่วงอ่อน ดร.ณรินทร์ เจริญทรัพยานนท์ ดร.เสริมสิทธิ์ สร้อยสอดศรี อาจารย ์ ชนันทิพย์ จนั ทรโสภา อาจารย์ อุบลวรรณ สุภาแสน อาจารย์ ดารารตั น์ ค�ำเป็ง ตลอดจนผเู้ ก่ียวข้องทกุ ท่าน ที่ให้ความอนุเคราะห์ร่วมด�ำเนินงานวิจัย ขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านท่ีกรุณาเป็นผู้พิจารณาให ้ ข้อเสนอแนะเพื่อให้งานวิจัยมีคุณภาพ สถาบันพระปกเกล้าคาดหวังว่าผลจากการศึกษาของชุดโครงการวิจัยน้ี จะเปน็ ฐานขอ้ มลู ส�ำคัญท่จี ะน�ำไปสูก่ ารพัฒนาประชาธปิ ไตยของประเทศไทยต่อไป สถาบันพระปกเกลา้ 2563

5 บทคัดย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบรรยากาศทางการเมือง ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของ องค์กรและกลุ่มการเมืองที่เก่ียวข้องกับการเลือกต้ัง ความเคล่ือนไหวและพฤติกรรมทางการเมืองของผู้สมัครฯ บทบาทของหน่วยงานภาครัฐ บริษัทเอกชน องค์กรสาธารณะและองค์กรอื่น ๆ ที่เข้ามามีบทบาทเก่ียวข้องกับ การเลอื กตง้ั ผสู้ มคั ร การเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมทางการเมอื ง แบบแผนพฤตกิ รรมทางการเมอื งของประชาชนและ กลมุ่ การเมอื งทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ผสู้ มคั รฯ การใชท้ รพั ยากรโดยเฉพาะคา่ ใชจ้ า่ ยในการหาเสยี ง และการเปลยี่ นแปลง ขวั้ อ�ำนาจทางการเมอื ง การยา้ ยพรรคการเมอื ง ปจั จยั ทสี่ ง่ ผลตอ่ การตดั สนิ ใจทางการเมอื ง รวมทงั้ การวเิ คราะห์ ผลการเลอื กตง้ั ผูส้ มัครรบั เลือกต้ังสมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรจงั หวัดกาญจนบรุ ี ผลการวจิ ัยพบวา่ ในการเลือกตัง้ 24 มนี าคม 2562 นั้นประชาชนมคี วามตน่ื ตวั และรบั รกู้ ารเลอื กตัง้ เป็นอยา่ งมาก ก่อใหเ้ กิดการเคล่อื นไหวทางการเมืองในรูปแบบตา่ ง ๆ มีการแลกเปลี่ยน เผยแพรข่ อ้ มลู ข่าวสาร การหาเสียง การน�ำเสนอนโยบายของพรรคการเมืองผ่านทางต่าง ๆ โดยเฉพาะส่ือโซเชียลมีเดีย ในขณะท ่ี คณะกรรมการการเลอื กตงั้ ประจ�ำจังหวัดนัน้ มกี ารท�ำงานเชงิ รกุ มากขึน้ ในการสรา้ งความเขา้ ใจต่อกฎหมายและ ระเบียบการเลือกตั้ง ในประเด็นด้านตัวบุคคลของผู้สมัครรับเลือกตั้งมีความส�ำคัญเป็นล�ำดับแรกที่มีผลต่อการ ได้รับการเลือกต้ัง และนโยบายของพรรคนั้นเป็นปัจจัยสนับสนุนท่ีส�ำคัญเช่นเดียวกัน นอกจากนี้การตัดสินใจ ของประชาชนในการลงคะแนนเสียงยังเป็นผลจากระบบอุปถัมภ์และเครือข่ายทางการเมืองของนักการเมือง อกี ดว้ ย อยา่ งไรกต็ ามประชาชนมคี า่ นยิ มและความคดิ ทเี่ ปลยี่ นแปลงไปคอ่ นขา้ งมากดว้ ยการค�ำนงึ ผลประโยชน์ จาการตดั สินใจทางการเมอื ง ร้แู ละเข้าใจถงึ ความส�ำคญั ของการเลอื กต้ังท่มี ีตอ่ ตนเองและสงั คมโดยรวม ค�ำสำ� คัญ: การตัดสนิ ใจลงคะแนนเสียง, นโยบายของพรรคการเมอื ง, พฤตกิ รรมทางการเมอื ง

6 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี Abstract The research is intended to study the political climate and political movements of organizations and political groups involved in elections, movement and political behavior of candidates, the role of bureaucratic organizations and private companies and other public organizations that are involved in House of Representative elections. Also, the study considers changes in political behavior, and patterns of political behavior of people and political groups related to candidates as well as the use of resources, especially political campaigning expenses. Also considered are changes of political power groups, party switching, and the factors that affected voters’ decision-making, political decisions, with analysis of the results from Kanchanaburi in the March 24, 2019 general election. The findings showed that in the March 24, 2019 general election the people were alert and very aware of the election. This led to various political movements, exchange of knowledge and views, publication of information, news about campaigning, and presentation of political policy, especially through social media. Meanwhile the provincial election committee took a more proactive role in building good understanding of election law and regulations. Characteristics of candidates were the most important factor in voting decisions. Political party policy was also an important supportive factors. In addition, people’s voting decisions were based on the patronage system and political networks of politicians. However, people had a dramatic change in their own values and thinking by considering the benefits from political decisions, and recognizing and understanding the importance of elections to themselves and society. Keyword: election decision, party’s policy and political behavior

7 สารบัญ ค�ำน�ำสถาบันพระปกเกลา้ หนา้ บทคัดยอ่ ภาษาไทย 3 บทคดั ย่อภาษาองั กฤษ 5 6 สารบญั สารบัญตาราง 7 สารบญั รปู ภาพ 10 สารบญั แผนภมู ิ 12 สารบัญแผนภาพ 13 บทท่ี 1 บทน�ำ 13 15 ความส�ำคญั ของปญั หา 15 วตั ถปุ ระสงค์การวิจัย 17 กรอบแนวคิดการวจิ ัย 18 ขอบเขตการวิจัย 19 วิธีการศึกษาวิจัย 21 ประโยชน์ที่คาดวา่ จะได้รับ 23 นยิ ามศัพท์ 24 บทที่ 2 แนวคิด ทฤษฎแี ละวรรณกรรมท่ีเกี่ยวขอ้ ง 27 แนวคดิ และทฤษฎที ี่เกี่ยวขอ้ ง 27 แนวคดิ ระบบอุปถัมภ์ ความทันสมยั วัฒนธรรมการเมืองและอิทธพิ ลของชนชัน้ น�ำ ในระบบการเมอื ง แนวคิดการตดั สนิ ใจเลอื กของสว่ นรวม แนวคดิ ความเปน็ เหตุเป็นผล 27 แนวคดิ ตลาดการเมอื ง และแนวคิดการสรา้ งภาพลกั ษณท์ างการเมือง แนวคดิ ประชาธปิ ไตย และการมสี ่วนร่วมทางการเมอื ง บทสรุป 37 39 46

8 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี บทที่ 3 พฤตกิ รรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร (ส.ส.) จงั หวดั กาญจนบรุ ี 49 บทน�ำ 49 ผลคะแนนในการเลือกต้งั ปี 2554 51 ข้อถกเถียงและโต้แย้งวา่ ด้วยการจดั แบง่ พ้นื ทใ่ี นการเลอื กต้ังใหม่ 57 ผลกระทบจากการแบง่ เขตเลอื กตง้ั ใหมแ่ ละระเบียบการหาเสียง ของผู้สมัครรับเลอื กตง้ั ส.ส.ในการเลอื กตงั้ 24 มนี าคม 2562 60 การเปรียบเทียบในประเด็นศกึ ษาวา่ ด้วยการเลือกต้ัง ส.ส. จงั หวัดกาญจนบุรี มีนาคม 2562 การใช้จา่ ยเงินในการหาเสยี งเลือกตั้ง 72 อิทธพิ ลการใชจ้ ่ายเงนิ ของผ้สู มคั รและพรรคการเมืองต่อประชาชน 80 และผลการเลอื กตงั้ บทที่ 4 บทบาทพรรคการเมอื งในการหาเสยี งเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั กาญจนบรุ ี การแข่งขนั ทางการเมือง โครงสร้างตระกูลการเมือง เครอื ขา่ ยการเมอื งในพื้นที่ 82 เลือกตง้ั กับการสงั กดั พรรคการเมอื ง 89 โครงสร้างตระกูลการเมอื ง หรอื เครือขา่ ยทางการเมอื งกบั การเปลย่ี นแปลง การสังกดั พรรคการเมือง ความสมั พันธ์ด้านเครือขา่ ยและตระกูลการเมืองของผู้สมัคร ส.ส. จงั หวดั กาญจนบรุ ี 90 ในการเลือกตง้ั 24 มีนาคม 2562 เหตผุ ลในการไมเ่ ปล่ยี นแปลงพรรคการเมืองในการลงสมัครรับเลือกตัง้ ส.ส. มนี าคม 2562 92 ผลการเปล่ยี นแปลงพรรคการเมืองของผูส้ มคั รรบั เลอื กตงั้ หรอื เครือขา่ ยการเมือง ตอ่ รูปแบบแพ-้ ชนะการเลอื กต้งั เครือข่ายภาคประชาชนกบั บทบาททางการเมอื งผ่านการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. 98 ในการเลอื กต้ังมีนาคม 2562 การเลือกตงั้ ระบบใหม่แบบบัตรเดียวกบั การตัดสินใจของผู้ลงคะแนนเลอื กตัง้ การด�ำเนินนโยบายตามยทุ ธศาสตรช์ าตขิ องพรรคการเมอื ง 103 นโยบายของพรรคกบั ปัจจยั ด้านตัวบคุ คลของผลู้ งสมัครรบั เลือกตั้ง: ผลตอ่ การตัดสนิ ใจ ลงคะแนนของประชาชนในพืน้ ที่ การเปล่ยี นแปลงทางเศรษฐกจิ สงั คมและเทคโนโลยตี ่อคะแนนนิยมและความผกู พัน 105 ของพรรคการเมอื ง ยุทธศาสตรก์ ารหาเสยี งของพรรคการเมอื งในการหาเสยี ง 24 มนี าคม 2562 108 110 112 116 119 128

9 บทท่ี 5 บทวเิ คราะห์การเลือกตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร 24 มีนาคม 2562 147 นโยบายของพรรคการเมอื งในการเลอื กตง้ั 24 มีนาคม 2562 จังหวดั กาญจนบรุ ี 147 บทวิเคราะห์การเลือกตงั้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวดั กาญจนบุรี 155 กลมุ่ เครือข่ายกบั ขบวนการการเคลอื่ นไหวทางการเมอื ง: ความทนั สมัย และพัฒนาการทางการเมอื ง และวฒั นธรรมทางการเมืองของประชาชน จงั หวดั กาญจนบุรี บทสรุปรปู แบบและวธิ กี ารหาเสยี งในการเลอื กตั้ง 24 มีนาคม จังหวดั กาญจนบุรี 158 บทวิเคราะหว์ า่ ด้วยระบบการเลอื กตงั้ “จดั สรรปันสว่ นผสม” กบั การปรบั ตัวและ 160 กลยทุ ธท์ างการเมอื งในการเลอื กตั้งจังหวัดกาญจนบรุ ี บทบาทความส�ำคญั และความเป็นสถาบนั ของพรรคการเมือง: ผลตอ่ การเลอื กต้งั 165 ในพน้ื ท่จี ังหวัดกาญจนบรุ ี 170 บทที่ 6 สรปุ ผลการศกึ ษาและข้อเสนอแนะ 175 สรุปผลการศึกษา 175 การอภปิ รายผล 180 ข้อเสนอแนะ 181 183 บรรณานุกรม 189 ภาคผนวก 195 ประวัตนิ ักวจิ ยั

10 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี สารบัญตาราง ตาราง 2.1 แสดงขบวนการทางสงั คมรูปแบบใหมก่ บั ขบวนการแรงงานดั้งเดมิ หน้า ตาราง 2.2 วัฒนธรรมทางการเมอื งกับการรับรู้ ความเข้าใจ ความผูกพันและการประเมนิ ค่า 29 ทางการเมอื ง ตาราง 3.1 ผลคะแนนการเลอื กต้ัง 3 กรกฎาคม 2554 จังหวัดกาญจนบุรี 5 เขต 31 ตาราง 3.2 ขอ้ เสนอรปู แบบการแบง่ เขตเลอื กตงั้ ของคณะกรรมการการเลอื กตงั้ ประจ�ำจงั หวดั 50 กาญจนบุรี ตาราง 3.3 การประกาศแบ่งเขตเลือกตงั้ จงั หวดั กาญจนบุรีปี 2562 52 ตาราง 3.4 รายช่อื ผู้สมคั รรับเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรเขต 1 จังหวดั กาญจนบุรี 54 ตาราง 3.5 รายช่อื ผู้สมัครรับเลือกตัง้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรเขต 2 จังหวดั กาญจนบุรี 60 ตาราง 3.6 รายชอ่ื ผู้สมคั รรบั เลือกตง้ั สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรเขต 3 จังหวัดกาญจนบรุ ี 63 ตาราง 3.7 รายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรเขต 4 จงั หวดั กาญจนบุรี 64 ตาราง 3.8 รายชอื่ ผู้สมคั รรับเลอื กต้งั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรเขต 5 จังหวดั กาญจนบุรี 66 ตาราง 4.1 รายชื่อตระกูลการเมือง นักการเมืองและพรรคการเมืองท่ีสังกัดในการลงสมัคร 69 รับเลือกต้ัง ส.ส.จงั หวัดกาญจนบุรี ตาราง 4.2 ตระกูลการเมืองในการเมืองจงั หวดั กาญจนบุรี 92 ตาราง 4.3 ตระกูลการเมอื งระดับท้องถน่ิ และระดบั ชาติในการเลือกต้ัง 24 มนี าคม 2562 95 ตาราง 4.3.1 ตระกลู การเมอื งระดบั ท้องถ่นิ และระดบั ชาติในการเลอื กต้งั 24 มีนาคม 2562 96 ตาราง 4.3.2 ตระกลู การเมืองระดบั ทอ้ งถน่ิ และระดับชาติในการเลอื กตัง้ 24 มีนาคม 2562 97 ตาราง 4.4 รายชอื่ ผลู้ งสมคั รรบั เลอื กตงั้ ส.ส. จงั หวดั กาญจนบรุ ี พ.ศ.2544-2562 ทน่ี า่ สนใจ 99 ตาราง 4.5 ผลการเลอื กตัง้ ส.ส. จังหวัดกาญจนบรุ ี 24 มีนาคม 2562 99 105

11 ตาราง 4.6 ตัวอย่างกลุ่มเครือข่ายประชาชนกับบทบาททางการเมืองผ่านการลงสมัคร หนา้ รับเลือกตัง้ ส.ส. ในการเลอื กต้ังปี 2562 ตาราง 4.7 ผลคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรเขต 1 จังหวัดกาญจนบุรี 107 ตาราง 4.8 ผลคะแนนเลอื กตัง้ สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรเขต 2 จงั หวดั กาญจนบรุ ี 119 ตาราง 4.9 ผลคะแนนเลือกตง้ั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรเขต 3 จงั หวัดกาญจนบรุ ี 121 ตาราง 4.10 ผลคะแนนเลอื กตั้งสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรเขต 4 จงั หวัดกาญจนบุรี 122 ตาราง 4.11 ผลคะแนนเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรเขต 5 จังหวัดกาญจนบรุ ี 123 ตาราง 4.12 ยุทธศาสตรข์ องพรรคตา่ ง ๆ ในการหาเสยี ง 24 มนี าคม จงั หวัดกาญจนบุรี 125 ตาราง 5.1 เปรยี บเทยี บนโยบายชว่ งเรมิ่ ตน้ หาเสยี ง และนโยบายชว่ งโคง้ สดุ ทา้ ยของพรรคทไี่ ด้ 138 คะแนนล�ำดบั ท่ี 1-5 ในแต่ละเขตเลือกต้งั ตาราง 5.2 แสดงระดับความส�ำคญั ของรปู วธิ ีการและลักษณะการหาเสียง 24 มนี าคม 146 ตาราง 5.3 แสดงจ�ำนวนผ้สู มัคร ส.ส.ของแตล่ ะพรรคการเมืองในการเลือกตงั้ 24 มนี าคม 162 164

12 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี สารบัญรูปภาพ รูปภาพ 4.1 แสดงป้ายโปสเตอร์หาเสียงของพรรคพลังประชารัฐและผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. หน้า พ้นื ทจ่ี งั หวดั กาญจบรุ ใี นการเลอื กต้ัง 24 มีนาคม 2562 111 รปู ภาพ 4.2 แสดงป้ายโปสเตอร์หาเสียงของผู้สมัครรับเลือกต้ัง ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรครวมพลังชาติประชาธิปไตย และพรรคภูมิใจไทย 112 ในการเลือกตงั้ 24 มนี าคม 2562 จงั หวัดกาญจนบรุ ี 113 รปู ภาพ 4.3 แสดงป้ายโปสเตอร์หาเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. พรรคไทยรักษาชาติ 129 พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังประชารัฐและพรรคไทยศรีวิไลย์ ในการเลือกต้ัง 132 24 มนี าคม 2562 จงั หวดั กาญจนบรุ ี 134 135 รปู ภาพ 4.4 แสดงเวทกี ารปราศรยั หาเสียงของพรรคไทยรักษาชาติ 136 รูปภาพ 4.5 แสดงการเปิดตัวผ้สู มัครและการลงพืน้ ที่หาเสยี งของพรรคเสรีรวมไทย รปู ภาพ 4.6 แสดงการลงพน้ื ที่หาเสยี งของพรรครวมพลงั ประชาชาตไิ ทย รูปภาพ 4.7 แสดงการลงพ้นื ท่ีหาเสยี งของพรรคภูมิใจไทย รปู ภาพ 4.8 แสดงเวทปี ราศรัยหาเสียงพรรคประชาชาติ

13 สารบัญแผนภูมิ หน้า 150 แผนภมู ิ 5.1 แสดงผลคะแนนของผสู้ มคั รฯ จาก 6 พรรคการเมอื งแรกทไ่ี ดร้ บั คะแนนมากทสี่ ดุ ในแตล่ ะเขตเลือกต้งั สารบัญแผนภาพ หน้า 151 แผนภาพ 5.1 แสดงสดั สว่ นคะแนนรอ้ ยละโดยประมาณของพรรคการเมอื ง 6 พรรคแรกทไ่ี ดร้ บั คะแนนมากทสี่ ุดในแต่ละเขตเลอื กต้ัง

14

15 บทท่ี 1 บทน�ำ ความส�ำคัญของปัญหา การเลือกต้ังนับเป็นหนึ่งในกระบวนการหรือข้ันตอนของประชาธิปไตย ด้วยเป็นการด�ำเนินการ ภายใต้หลักการพ้ืนฐานอันส�ำคัญคือ การแสดงให้เห็นถึงอ�ำนาจทางการเมืองเป็นของประชาชน ในการท่ืจะท�ำ การตดั สนิ ใจเลอื กนกั การเมอื ง พรรคการเมอื ง ใหเ้ ขา้ มาเปน็ ตวั แทนเพอื่ รบั ผดิ ชอบในทางการเมอื ง ทง้ั ฝา่ ยบรหิ าร และฝา่ ยนติ บิ ญั ญตั ิ ทง้ั ในฐานะรฐั บาลและฝา่ ยคา้ น การเลอื กตงั้ จงึ เปน็ กระบวนการและขน้ั ตอนทสี่ �ำคญั ทเี่ กย่ี วขอ้ ง กับความชอบธรรมทางการเมอื ง (political legitimacy) ในการเขา้ ส่อู �ำนาจทางการเมอื งของนกั การเมืองและ พรรคการเมอื ง เพอ่ื ใชอ้ �ำนาจในการก�ำหนดนโยบาย (policy) และก�ำกบั ตดิ ตามการน�ำนโยบายไปสกู่ ารปฏบิ ตั ิ (policy implementation) โดยมอี งคก์ รหรอื หนว่ ยงานของรฐั ทงั้ สว่ นราชการ รฐั วสิ าหกจิ องคก์ รปกครองทอ้ งถน่ิ รวมถงึ องคก์ รอสิ ระเปน็ เครอื่ งมอื ในการด�ำเนนิ การหรอื ปฏบิ ตั กิ าร ซงึ่ เปน็ การด�ำเนนิ การในหลกั การเสยี งขา้ งมาก (majority) หรอื เสยี งสว่ นใหญท่ เ่ี กดิ จากความยนิ ยอมพรอ้ มใจเลอื กนกั การเมอื งทเ่ี ปน็ ผเู้ สนอตวั ลงสมคั รรบั เลอื กตง้ั ความส�ำคัญในการเลือกตั้งอันเป็นกระบวนการทางการเมืองท่ีส�ำคัญดังกล่าวนี้ เป็นหน่ึงในหลักการพื้นฐาน ส�ำคัญของระบอบประชาธิปไตยโดยตัวแทน (representative democracy) ซึ่งเป็นรูปแบบการเมืองท่ีได้รับ การยอมรบั มากทสี่ ดุ ในปจั จบุ นั ดว้ ยเปน็ ทย่ี อมรบั กนั โดยทว่ั ไปวา่ ไมว่ า่ จะมขี อ้ ถกเถยี งมากนอ้ ยเพยี งใดถงึ จดุ ออ่ น หรือข้อเสียในระบบการเมืองแบบเลือกผู้แทน หากแต่ถึงที่สุดแล้วก็นับได้ว่ามีข้อเสียหรือจุดอ่อนน้อยท่ีสุด เม่ือเปรียบเทียบกับรูปแบบการเมืองอื่น ๆ เพราะนักเมืองที่ผ่านการเลือกต้ังโดยประชาชนย่อมต้องท�ำหน้าท่ี ของตนเองท่ีก�ำหนดไว้ในกฎหมาย รวมถึงตระหนักถึงคะแนนเสียงของประชาชนท่ีเลือกหรือสนับสนุนตนเอง จนได้กา้ วเข้ามาท�ำหนา้ ท่ที างการเมอื ง

16 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี อย่างไรก็ตาม ส่ิงที่เกิดข้ึนในระบบการเมืองไทย นับว่ามีความเง่ือนไขและสถานการณ์ที่ซับซ้อน ไมน่ อ้ ย ดว้ ยมเี หตกุ ารณท์ างการเมอื งทนี่ �ำมาสกู่ ารปรบั เปลยี่ นหรอื เปลยี่ นแปลงระบบการจดั การตงั้ หลายครงั้ อนั เปน็ ผลมาจากสถานการณก์ ารเมอื งในการเปลยี่ นแปลงหรอื ทม่ี ไิ ดเ้ ปน็ ไปตามกฎกตกิ าทม่ี อี ยู่ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การล้มล้างรัฐธรรมนูญและการสร้างรัฐธรรมนูญจ�ำนวนมากกว่า 10 ฉบับ และการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ แต่ละคร้ังก็มักท�ำให้ต้องมีการด�ำเนินการจัดระบบการเลือกต้ังใหม่ ทั้งการแบ่งเขตพื้นท่ีเลือกต้ัง จ�ำนวนและ ทม่ี าของสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร (ส.ส.) หรอื แมแ้ ตจ่ �ำนวนและทม่ี าของวฒุ สิ ภา (ส.ว.) ผลของการเปลยี่ นแปลง ดงั กลา่ วท�ำใหบ้ รรดานกั การเมอื งหรอื ผทู้ ตี่ อ้ งการเสนอตวั ใหป้ ระชาชนเลอื กเพอื่ เปน็ ตวั แทนในฐานะนกั การเมอื ง ตอ้ งปรบั เปลยี่ นแนวทางในการท�ำงานการเมอื งวา่ ดว้ ยการเลอื กตง้ั ในพน้ื ทคี่ อ่ นขา้ งมาก กรณดี งั กลา่ วขา้ งตน้ หาก พจิ ารณาการเลอื กตงั้ ทจ่ี ะเกดิ ขนึ้ ในปี 2562 ยอ่ มท�ำใหส้ ามารถอธบิ ายถงึ ผลกระทบทเ่ี กดิ ขน้ึ ในระบบการเลอื กตงั้ ได้ว่า เม่ือรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งมีการเปล่ียนในเน้ือหาสาระส�ำคัญ ท่ีแตกต่างออกไปจากการเลือกตั้งครงั้ กอ่ น ๆ การเลอื กตงั้ 6 กมุ ภาพนั ธ์ 2554 ซงึ่ เปน็ การเลอื กตงั้ ครง้ั สดุ ทา้ ยกอ่ นการท�ำรฐั ประหารของคณะรกั ษา ความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ภายใต้การน�ำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเดือนพฤษภาคม 2557 พรรคประชาธปิ ตั ยป์ ระสบชยั ชนะในการเลอื กตง้ั มากทสี่ ดุ ไดส้ มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร (ส.ส.) 3 คน ประกอบดว้ ย เขต 2 นายฉัตรพันธ์ ธนะกิจเดชสุนทร ได้ 44,540 คะแนน ชนะ พลตรีศรชัย มนตรีวัต พรรคเพ่ือไทยซ่ึงได้ 24,346 คะแนน เขตเลอื กต้งั ที่ 4 นายประชา โพธิพิพธิ ได้ 41,448 คะแนน ชนะ นายไพบลู ย์ พมิ พพ์ ิสฐิ ถาวร พรรคเพอื่ ไทยซง่ึ ได้ 39,413 คะแนน และเขตเลอื กตง้ั ท่ี 5 นางศรสี มร รศั มฤี กษเ์ ศรษฐ์ ได้ 24,919 คะแนน ชนะ นายวฑิ ติ มาไพศาลลนิ พรรคเพอ่ื ไทยซง่ึ ได้ 17,746 คะแนน ในขณะทพ่ี รรคเพอื่ ไทยได้ ส.ส. จ�ำนวน 2 คนในเขต เลือกตั้งที่ 1 คือพลเอกสมชาย วิษณุวงศ์ ได้ 33,501 คะแนน ชนะ นายอัฏฐพล โพธิพิพิธ พรรคประชาธิปัตย ์ ซง่ึ ได้ 33,332 คะแนน และ เขตเลอื กตงั้ ที่ 3 นายสรุ พงษ์ ปยิ ะโชติ ได้ 43,546 คะแนน ชนะ นายปารเมศ โพธารากลุ พรรคประชาธปิ ตั ย์ซง่ึ ได้ 33,447 คะแนน (สุวิชา วรวเิ ชยี รวงษ์ และณฐั พงศ์ บุญเหลอื , 2560, หน้า 318-321) อย่างไรก็ตาม ในการเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ 2562 พลเอกสมชาย พิษณุวงษ์ นายอัฏฐพล โพธิพิพิธ และ นายธรรมวิชย์ โพธิพิพิธ ซ่ึงเป็นกลุ่มนักการเมืองหรือเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง มีบทบาทส�ำคัญในพ้ืนที่พร้อมทั้ง มโี อกาสสูงที่จะชนะการเลอื กตัง้ ไดย้ า้ ยไปสงั กดั พรรคพลงั ประชารัฐ (หทยั กาญจน์ ตรีสุวรรณ, 2561) ในการเลือกต้ังเดือนกุมภาพันธ์ปี 2562 ดังกล่าว คณะกรรมการการเลือกต้ัง (กกต.) ได้ด�ำเนินการ เปลี่ยนแปลงพื้นท่ีเลือกต้ังของจังหวัดกาญจนบุรีใหม่โดยแบ่งออกเป็น 5 เขตเลือกตั้ง มีจ�ำนวน ส.ส. 5 คน ดังนี้ เขตเลอื กตั้งท่ี 1 ประกอบด้วย อ�ำเภอเมอื งกาญจนบรุ ี และอ�ำเภอศรีสวสั ด์ิ เขตเลอื กตง้ั ที่ 2 อ�ำเภอทา่ มว่ ง อ�ำเภอด่านมะขามเตี้ย เขตเลือกต้ังท่ี 3 อ�ำเภอท่ามะกา และอ�ำเภอพนมทวน เขตเลือกตั้งที่ 4 อ�ำเภอเลาขวัญ อ�ำเภอหว้ ยกระเจา อ�ำเภอหนองปรือ และอ�ำเภอบ่อพลอย เขตเลอื กต้งั ท่ี 3 อ�ำเภอทองผาภมู ิ อ�ำเภอสงั ขละบรุ ี และอ�ำเภอไทยโยค (ราชกิจจานุเบกษา 2561, หน้า 31-32) การจัดพื้นที่เลือกตั้งใหม่ดังกล่าวได้ส่งผลต่อฐาน เสียงหรือกลุ่มผู้สนับสนุนของนักการเมืองท่ีอาจมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงคะแนนผลการเลือกตั้ง เช่น พ้ืนที่เขต เลอื กตง้ั ที่ 2 ทม่ี นี ายฉตั รพนั ธ์ เดชกจิ สนุ ทร อดตี สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร (ส.ส.) พรรคประชาธปิ ตั ย์ เปน็ เจา้ ของ

17 พนื้ ที่เดมิ ซ่ึงไดท้ �ำการเรยี กร้องตอ่ คณะกรรมการการเลือกตง้ั (กกต.) ใหม้ กี ารทบทวนการจดั แบง่ พน้ื ท่เี ลอื กตั้ง ดังกล่าว แต่ กกต. มิได้ด�ำเนินการตามข้อเรียกร้องดังกล่าว โดยนายฉัตรพันธ์ เดชกิจสุนทร ต้ังข้อสังเกตว่า การจัดแบ่งพน้ื ทเ่ี ขต 2 ใหม่น้ัน กกต.มไิ ด้รวมพ้นื ท่ที ่ีเคยเป็นสว่ นหนึ่งของเขตเลอื กต้งั ท่ี 2 ประกอบด้วย ต�ำบล หนองกุ่ม อ�ำเภอบ่อพลอย และต�ำบลหนองโรง ต�ำบลทุ่งสมอ ต�ำบลดอนเจดยี ์ และต�ำบลหนองสาหรา่ ย อ�ำเภอ พนมทวนด้วย ท�ำให้เขตเลือกต้ังท่ี 2 มีจ�ำนวนประชากรเพียง 142,000 คน น้อยกว่าพ้ืนที่เขตเลือกตั้งที่ 1 ราว 55,000 คน และพ้ืนที่เขตเลือกต้ังที่ 3 ราว 47,000 คน โดยท�ำให้อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และบุคคลที่มีชื่อเสียงในฐานะนักการเมืองพ้ืนท่ีท่ีย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ประกอบด้วย นายอฏั ฐพล โพธพิ พิ ธิ 1 และนายธรรมวชิ ย์ โพธพิ พิ ธิ มคี วามไดเ้ ปรยี บในการเลอื กตง้ั (โพสตท์ เู ดยอ์ อนไลน,์ 2560) ส�ำหรบั การศกึ ษาการเมอื งวา่ ดว้ ยการเลอื กตงั้ และพฤตกิ รรมทางการเมอื งทงั้ จากประชาชน ผลู้ งสมคั รรบั เลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฏี (ส.ส.) และพรรคการเมอื งทส่ี งั กดั ในพนื้ ทจ่ี งั หวดั กาญจนบรุ ี คณะผวู้ จิ ยั มเี ปา้ หมาย ส�ำคัญในการศึกษาเพื่อท�ำความเข้าใจในพฤติกรรมการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเพ่ือเลือกนักการเมือง ปัจจัย ที่มีผลต่อการตัดสินใจ โดยเฉพาะปัจจัยด้านการใช้จ่ายเงินหาเสียง กลุ่มหัวคะแนน อิทธิพลหรือปัจจัยจากผู้น�ำ ท้องท่ี ก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือสมาชิกสภาและผู้บริหารองค์กรปกครองท้องถิ่น รวมถึงหน่วยงานองค์กรของรัฐ ทม่ี บี ทบาทหนา้ ทรี่ บั ผดิ ชอบในกระบวนการจดั การเลอื กตง้ั การตดิ ตามพฤตกิ รรม การควบคมุ ใหม้ กี ารปฏบิ ตั ติ าม กฎหมายวา่ ดว้ ยการเลอื กตงั้ อยา่ งเครง่ ครดั ในการศกึ ษาดงั กลา่ วนจ้ี ะท�ำใหท้ ราบถงึ สง่ิ ทเี่ กดิ ในการเลอื กตง้ั ปี 2562 และสามารถน�ำมาใชป้ ระโยชนใ์ นการพจิ ารณาเพอื่ ปรบั ปรงุ ระบบการบรหิ ารจดั การเลอื กตงั้ ใหด้ ขี น้ึ ไดใ้ นอนาคต วัตถุประสงค์การวิจัย • เพ่ือศึกษาบรรยากาศทางการเมือง ความเคลื่อนไหวทางการเมืองขององค์กรและกลุ่มการเมือง ทเี่ กี่ยวขอ้ งกับการเลือกต้ังสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรจงั หวัดกาญจนบุรี • เพื่อศึกษาความเคล่ือนไหวและพฤติกรรมทางการเมืองของผู้สมัครรับเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดกาญจนบรุ ี • เพอื่ ศกึ ษาบทบาทของหนว่ ยงานภาครฐั บรษิ ทั เอกชน องคก์ รสาธารณะและองคก์ รอน่ื ๆ ทเ่ี ขา้ มา มบี ทบาทเก่ียวข้องกบั การเลอื กต้ังผสู้ มคั รสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวดั กาญจนบุรี • เพอื่ ศกึ ษาการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมทางการเมอื ง แบบแผนพฤตกิ รรมทางการเมอื งของประชาชน และกลุ่มการเมืองท่เี กีย่ วขอ้ งกับผ้สู มัครรบั เลอื กต้ังสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรจงั หวัดกาญจนบุรี 1 ไดร้ บั การเลอื กตง้ั เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร (ส.ส.) (ชดุ ที่ 23) ในการเลอื กตง้ั 23 ธนั วาคม 2550 สงั กดั พรรคประชาธปิ ตั ย์

18 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี • เพอื่ ศกึ ษาพฤตกิ รรมการใชท้ รพั ยากรตา่ ง ๆ โดยเฉพาะคา่ ใชจ้ า่ ยในการหาเสยี งเลอื กตง้ั ของผสู้ มคั ร รับเลือกต้งั สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวดั กาญจนบรุ ี • เพ่ือศึกษาการเปลี่ยนแปลงข้ัวอ�ำนาจทางการเมือง การย้ายพรรคการเมือง ปัจจัยที่ส่งผลต่อ การตัดสินใจทางการเมือง รวมทั้งการวิเคราะห์ผลการเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาผ้แู ทนราษฎรจงั หวดั กาญจนบุรี กรอบแนวคิดการวิจัย ในการวิจัยคร้ังน้ีมุ่งอธิบายพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนในการตัดสินใจลงคะแนนเสียง เลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในฐานะนักการเมือง และในฐานะตัวแทนของพรรคการเมืองมีความสัมพันธ์ กับค่านิยม ความเช่ือ วัฒนธรรม จารีตประเพณี รวมถึงความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างทางสังคม และบริบท ทางสังคมหรือชุมชน ในขณะเดียวกันแนวคิด ค่านิยม ความเชื่อและความเข้าใจในทางการเมืองของประชาชน กม็ ไิ ดห้ ยดุ นง่ิ ตายตวั หากแตม่ กี ารเปลยี่ นแปลงไปสกู่ ารตดั สนิ ใจภายใตค้ วามตอ้ งการในผลประโยชนส์ งู สดุ ของตน (maximization) ในลักษณะการแลกเปล่ียนอ�ำนาจที่มีอยู่ในฐานะผู้ซ้ือหรือผู้บริโภค (customer) โดยมี นักการเมืองและพรรคการเมืองเป็นผู้ผลิตสินค้าและบริการด้วยการเสนอนโยบายสาธารณะ (public policy) ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินในเลือกในการช่วงเวลาการหาเสียงเลือกต้ัง นอกจากน้ียังมุ่งอธิบายการ เปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมทางการเมืองของนักการเมืองจังหวัดกาญจนบุรีในการหาเสียงเพ่ือให้บรรลุเป้าหมาย ในการเลือกต้ัง โดยใช้กรอบความคิดวัฒนธรรมการเมืองไทย ระบบอุปถัมภ์ โครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอ�ำนาจ การส่ือสารทางการเมือง การตลาดการเมือง และโดยเฉพาะอย่างย่ิงทฤษฏีการเลือกอย่างเป็นเหตุเป็นผล (rational choice) โดยน�ำมาจากค�ำอธบิ ายของไชยยันต์ ไชยพร เรอ่ื งจอน เอลสเตอร์ กบั ทฤษฏีการเลอื กอยา่ ง เปน็ เหตุเปน็ ผล และค�ำอธบิ ายเร่ืองทฤษฏกี ารตัดสินเลือกของสว่ นรวม (public choice theory) ของอนุสรณ์ ลิ่มมณี เพอื่ อธิบายปรากฏการณก์ ารเมอื งในการเลอื กต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจงั หวดั กาญจนบรุ ปี ี 2562

19 ขอบเขตการวิจัย 1. ขอบเขตด้านเวลา เป็นการศึกษานับจากช่วงก่อนการเลือกต้ัง ช่วงเวลาระหว่างการมีพระราชกฤษฏีกาก�ำหนดให้ม ี การเลือกต้ัง วันเลือกต้ัง จนถึงประมาณ 1 เดือนภายหลังจากคณะกรรมการการเลือกต้ังประกาศรับรองผล การเลอื กตงั้ อย่างเป็นทางการของการเลอื กตั้งสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรจงั หวดั กาญจนบรุ ี 2. ขอบเขตดา้ นประชากร ส�ำหรับประชารในการศึกษา ประกอบด้วย ผู้สมัครรับเลือกตั้ง หน่วยงานภาครัฐ บริษัทเอกชน องค์กรอิสระ องค์กรสาธารณะ และองค์กรอ่ืน ๆ ท่ีมีอิทธิพลในการเลือกต้ัง ทั้งในระดับประเทศและระดับเขต จังหวดั กาญจนบุรี ตลอดจนความตื่นตวั สนใจ การเข้ามีส่วนรว่ ม และพฤตกิ รรมการเลือกต้ังของประชาชน 3. ขอบเขตดา้ นพนื้ ที่ ในการวิจัยคร้ังน้ีก�ำหนดพ้ืนท่ีครอบคลุมทุกพ้ืนท่ีเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ จงั หวัดกาญจนบุรี 4. ขอบเขตด้านเน้อื หา ส�ำหรับขอบเขตด้านเนื้อหาในการศึกษา ประกอบด้วย พฤติกรรมการเลือกต้ัง การใช้เงินในการ หาเสยี งเลอื กต้ัง การตง้ั ม่นั ในความเปน็ พรรคการเมือง รายละเอยี ดมดี งั นี้ 4.1 ด้านพฤติกรรมการเลอื กตั้ง เน้นการศึกษาเปรียบเทียบในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ความเหมือนหรือความแตกต่าง จากการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดกาญจนบุรีที่ผ่านมา การและปลี่ยนแปลง ในประเด็นที่ส�ำคัญ ๆ ท่ีเกิดข้ึนในการเลือกตั้ง ผลกระทบท่ีมีความส�ำคัญในการพัฒนา ประชาธิปไตย และการศึกษาความแตกต่างหลากหลายของผู้สมัครรับเลือกต้ังในมิต ิ ด้านเพศ ชาติพันธุ์ ลักษณะทางกายภาพ (พิการ) และการท�ำงานในพื้นที่ รวมถึงการแข่งขัน ทางการเมืองท้ังในส่วนที่สามารถเห็นได้ชัดเจน เช่น การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง กลยุทธ์ วิธีการ การน�ำเสนอนโยบาย ตลอดจนการในกรณีดังกล่าวท่ีมิได้ปรากฏหรือปิดบังอยู่ เช่น การซือ้ เสียง การใชอ้ ิทธพิ ลของหนว่ ยงาน การแทรกแซงดว้ ยวธิ ีการตา่ ง ๆ เปน็ ต้น

20 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี 4.2 ด้านการใช้เงนิ ในการหาเสยี งเลอื กต้งั ประกอบดว้ ยการศึกษาในประเดน็ ดังนี้ 4.2.1 การศกึ ษาผลการบงั คบั ใชม้ าตรการควบคมุ คา่ ใชจ้ า่ ยในการเลอื กตงั้ ตามกฎหมาย ว่าด้วยการเลือกต้ังฉบับปัจจุบันโดยท�ำการศึกษาเปรียบเทียบเจตนารมณ์ของกฏหมายและ ผลที่เกิดข้ึนในระดับพื้นท่ี ด้วยการศึกษาบทบาทและวิธีการปฏิบัติงานของผู้จัดการเลือกต้ัง ต่อวิธีการควบคุมและตรวจสอบค่าใช้จ่ยในการเลือกต้ังของพรคการเมือง และนักการเมือง ในพื้นท่ี ว่าได้ผลหรือไม่อย่างไร ขณะเดียวกันยังท�ำการศึกษาพฤติกรรมของผู้สมัคร รวม ถึงพรรคการเมืองต่อปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติตามกฎหมาย และความพยายามในการ หลบหลีกหรอื เลยี่ งกฎหมายดงั กลา่ วหรือไมอ่ ย่างไร 4.2.2 การศกึ ษาอทิ ธพิ ลการใชจ้ า่ ยเงนิ ของผสู้ มคั รและพรรคการเมอื งตอ่ ประชาชน และผลการเลือกต้ัง ประกอบด้วยการใช้จ่ายเงินท่ีถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย โดยเน้น ความส�ำคญั ในการส�ำรวจในพน้ื ทวี่ า่ มกี ารซอ้ื สทิ ธขิ ายเสยี งปรากฏอยหู่ รอื ไมอ่ ยา่ งไร มรี ปู แบบ หรือกระบวนการอย่างใรในการซื้อเสียง หรือหากมีการให้ผลประโยชน์อื่นนอกจากตัวเงิน และผลประโยชนด์ งั กล่าวคืออะไร การเลอื กผลประโยชน์ในรปู แบบใด การซอ้ื เสียงรูปแบบใด ยังมีอทิ ธพิ ลต่อการตัดสนิ ใจของผู้ลงคะแนนเสียงเลอื กตง้ั หรอื ไม่ อยา่ งไร 4.2.3 การสังเกตและช้ีวัดความรู้สึกถึงทัศนคติและการให้เหตุผลของบุคคลท่ัวไป ในการรับรู้เกี่ยวกับการซื้อเสียง แลกประโยชน์ และการสร้างเครือข่ายอุปถัมภ์ในพ้ืนที่ ด้วยการพิจารณาว่าประชาชนทั่วไปยอมรับกับพฤติกรรมดังกล่าวหรือไม่ เพราะเหตุใด และ ประชาชนทัว่ ไปมกี ารตอบสนองต่อพฤติกรรมดังกล่าวอย่างไรบ้าง 4.3 ดา้ นการต้งั มัน่ ในความเปน็ พรรคการเมือง ประกอบด้วยการศึกษาในประเด็นดงั นี้ 4.3.1 การศกึ ษาการแขง่ ขนั ทางการเมอื ง โครงสรา้ งตระกลู การเมอื ง หรอื เครอื ขา่ ย ทางการเมืองในเขตพื้นท่ีจังหวัด ต่อการเปล่ียนแปลงสังกัดพรรคการเมืองจากการเลือกตั้งใน 3 คร้ังที่ผ่านมาหรือไม่ และหากมีการเปลี่ยนแปลง อะไรคือปัจจัยที่ท�ำให้เกิดการเปลียน แปลง ในขณะเดยี วกนั หากไมม่ กี ารเปลย่ี นแปลงมเี หตผุ ลใดหรอื สาเหตใุ ดทผี่ สู้ มคั รรบั เลอื กตงั้ หรือเครือขา่ ยนักการเมืองยงั คงสงั กดั พรรคการเมืองเดมิ 4.3.2 การศกึ ษาการเปลย่ี นแปลงพรรคการเมอื งของผสู้ มคั รรบั เลอื กตงั้ หรอื เครอื ขา่ ย ทางการเมอื งมผี ลตอ่ รปู แบบการแพ-้ ชนะของผสู้ มคั รรบั เลอื กตง้ั หรอื ไม่ อยา่ งไร หากไมม่ อี ะไร คือปจั จยั ที่ท�ำให้ผลของการเลอื กต้งั ออกมาในรูปแบบดงั กล่าว 4.3.3 การเลือกต้ังระบบใหม่ท่ีเป็นแบบบัตรเดียวมีผลต่อการตัดสินใจของ ผู้ลงคะแนนเลือกตั้งหรือไม่อย่างไร ผู้ลงคะแนนเสียงเลือกต้ังใช้ปัจจัยใดมาก�ำหนดในการ ตดั สินใจเลอื กพรรค หรอื หรือผู้สมคั รรบั เลือกตง้ั

21 4.3.4 การด�ำเนนิ นโยบายตามยทุ ธศาสตรช์ าตขิ องพรรคการเมอื ง มผี ลท�ำใหน้ โยบาย ของแต่ละพรรคในเขตพื้นที่เลือกต้ังมีความแตกต่างกันหรือไม่ ในขณะเดียวกัน นโยบาย ของพรรคที่แตกต่างกัน มีอิทธิต่อการลงสมัครรับเลือกต้ังของผู้สมัครลงคะแนนเสียงหรือไม่ หากเปรยี บเทยี บกบั ปจั จยั ดา้ นตวั บคุ คลของผลู้ งสมคั รรบั เลอื กตง้ั นโยบายพรรคหรอื ตวั บคุ คล มอี ทิ ธพิ ลต่อการตดั สินใจของผลู้ งคะแนนเสยี งเลือกตงั้ มากกกว่ากัน 4.4.4 การเปลยี่ นแปลงทางเศรษฐกจิ สงั คมและเทคโนโลยมี ผี ลทท่ี �ำใหผ้ ลู้ งคะแนน เสยี งเลอื กตงั้ มคี วามนยิ มหรอื ความผกู ผนั ตอ่ พรรคการเมอื งตา่ งไปจากการเลอื กตง้ั ครงั้ ทแี่ ลว้ หรอื ไมอ่ ยา่ งไร โดยท่จี ากการเลอื กต้งั ในปี 2554 หรอื 8 ปีทผ่ี ่านมา ความเปน็ พรรคการเมือง หรือความนิยมในพรรคการเมืองยังสามารถฝังรากลึกในสงั คมได้หรือไม่ ดว้ ยเหตผุ ลใด วิธีการศึกษาวิจัย ในการศกึ ษาครงั้ นี้ ใช้การศึกษาเชิงคณุ ภาพ เป็นเคร่อื งมือส�ำคัญในการศึกษา ประกอบด้วย 1. การศกึ ษาเอกสารต่าง ๆ ทีเ่ กย่ี วขอ้ ง ประกอบด้วย 1.1 กรอบของกฎหมาย ไดแ้ ก่ ขน้ั ตอนการเลอื กตงั้ ตามรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั ร ไทยพุทธศักราช 2560 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง พ.ศ.2560 อ�ำนาจหน้าท่ีของคณะกรรมการการเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย คณะกรรมการการเลือกต้ัง และบทบาทของพรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบ รฐั ธรรมนญู วา่ ดว้ ยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 1.2 ขอ้ มลู เชงิ พนื้ ทจี่ งั หวดั กาญจนบรุ ี ประกอบดว้ ย ขอ้ มลู ประชากร ขอ้ มลู พรรคการเมอื ง ทมี่ ผี สู้ มคั รรบั เลอื กตงั้ ในการเลอื กตง้ั ในปจั จบุ นั การเลอื กตงั้ ในอดตี และขอ้ มลู ประวตั ผิ ลู้ งสมคั ร รบั เลอื กตงั้ พรอ้ มความเปน็ เครอื ญาติ หรอื เครอื ขา่ ยนกั การเมอื งเกา่ ทง้ั ในระดบั ชาตแิ ละระดบั ท้องถ่ิน และผลการเลือกต้ังย้อนหลงั 3 ครง้ั ของจังหวัดกาญจนบุรี 2. การสัมภาษณเ์ ชิงลกึ ในประเดน็ ตา่ ง ๆ ทเ่ี ก่ียวข้อง โดยท�ำการลงพืน้ ที่จงั หวัดกาญจนบุรี เก็บข้อมูลและรวบรวมข้อมูลจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่าง ๆ ในจังหวัดกาญจนบุรี เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด นายก องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั คณะกรรมการการเลอื กตงั้ ผลู้ งสมคั รรบั เลอื กตงั้ บรษิ ทั เอกชนและองคก์ รปกครอง ส่วนทอ้ งถ่นิ ผู้จัดการเลอื กต้ัง ก�ำนนั ผู้ใหญบ่ ้าน และประชาชน

22 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี 3. การสงั เกตแบบมีสว่ นรว่ ม และไมม่ สี ่วนร่วมในพืน้ ท่ีจังหวัดกาญจนบรุ ี โดยใชก้ ารสงั เกต บนั ทกึ และวเิ คราะหบ์ รรยากาศทวั่ ไป พฤตกิ รรมทางการเมอื งของผสู้ มคั รรบั เลอื กตงั้ บทบาทหน่วยงานภาครัฐ บริษัทเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ท่ีมีบทบาทในการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร พฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนในช่วงก่อนการเลือกต้ัง ช่วงการเลือกต้ัง และช่วงเวลา หลังการเลอื กตง้ั สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั กาญจนบรุ ี แผนงานวิจัย เดอื นมกราคม - กรกฎาคม 2562 ระยะเวลา เดอื น กจิ กรรม 12345 6 7 1. ศกึ ษา ทบทวนเอกสารและขอ้ มลู 2. จัดส่งแผนงานด�ำเนินโครงการวจิ ัย งวดท่ี 1 3. รวบรวมข้อมูลเอกสารเก่ียวกับพ้ืนท่ี/เขตการเลือกตั้ง จ�ำนวนผู้มีสิทธ์ิเลือกต้ังและผู้ลงสมัครรับเลือกต้ัง ส.ส. จังหวัดกาญจนบรุ ี ปี 2562 4. ลงพืน้ ท่ีเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู การสังเกตและการสมั ภาษณ์ 5. วเิ คราะห์ขอ้ มลู และเขยี นรายงานการวจิ ยั 6. ด�ำเนินการสง่ รายงานความกา้ วหนา้ การวิจยั งวดที่ 2 7. ด�ำเนินการแก้ไขรา่ งรายงานการวิจยั 8. ด�ำเนนิ การส่งรายงานวจิ ยั ฉบับสมบูรณ์ งวดท่ี 3

23 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ • ทราบบรรยากาศทั่วไป ความรู้ความเข้าใจ ความเคล่ือนไหวทางการเมืองของประชาชน คณะกรรมการการเลือกตั้ง องค์กรปกครองท้องถ่ิน พรรคการเมืองและนักการเมืองในพื้นท่ี องค์กรเอกชน องค์กรสาธารณะและหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ การเลือกตั้งสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวัดกาญจนบุรี • ทราบถึงบทบาทและการท�ำงานของคณะกรรมการการเลือกต้ังจังหวัดกาญจนบุรี และระดับ เขตเลอื กตงั้ ของจงั หวดั รวมถงึ ปญั หา อปุ สรรคและการแกไ้ ขปญั หาทเี่ กดิ ขนึ้ จากการบรหิ ารจดั การ การเลือกต้ังสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรของจังหวัดกาญจนบุรี • ทราบถงึ พฤตกิ รรมทางการเมอื งของผสู้ มคั รรบั เลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั กาญจนบรุ ี หน่วยงานภาครัฐ บริษัทเอกชน องค์กรสาธารณะ และองค์กรต่าง ๆ ที่มีบทบาทในการเลือกต้ัง สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรของจงั หวัดกาญจนบุรี • ทราบถึงแบบแผนพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนโดยเฉพาะการเลือกต้ังสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจงั หวดั กาญจนบุรี • ทราบถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพ้ืนที่ จงั หวดั กาญจนบุรี • ทราบถึงการต้ังม่ันของสถาบันพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคการเมืองท่ีส่งผู้สมัคร รับเลอื กต้ังในจงั หวดั กาญจนบุรใี นบรบิ ททมี่ กี ารเปล่ียนแปลง ระยะเวลาการศึกษา การวิจยั น้กี �ำหนดระยะเวลาการศกึ ษา 7 เดอื นระหวา่ ง 1 มกราคม 2562 – 30 กรกฎาคม 2562

24 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี นิยามศัพท์ นักการเมอื ง หมายถึง อดีตสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร (ส.ส.) รวมถึงอดตี ผลู้ งสมคั รรับเลอื กตง้ั สมาชิก สภาผแู้ ทนราษฎร อดีตสมาชกิ วฒุ ิสภา (ส.ว.) และอดตี ผลู้ งสมัครรับเลือกตง้ั สมาชกิ วฒุ ิสภา จังหวัดกาญจนบรุ ี นักการเมืองท้องถิ่น หมายถึง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) อดีตนายกองค์การ บริหารส่วนจังหวัด สมาชิกสภาจังหวัด อดีตสมาชิกสภาจังหวัด อดีตผู้ลงสมัครรับเลือกต้ังสมาชิกสภาจังหวัด นายกองค์องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน สมาชิกและอดีตสมาชิก รวมถึงอดีตผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ จงั หวดั กาญจนบุรี การซอื้ สทิ ธขิ ายเสยี ง หมายถงึ การด�ำเนนิ การทางการเมอื งในดา้ นพฤตกิ รรมทางการหาเสยี งเลอื กตง้ั การใหจ้ า่ ยเงนิ ใหก้ บั ประชาชนผมู้ สี ทิ ธเิ ลอื กตงั้ โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ใหล้ งคะแนนเลอื กตง้ั ในการเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรจงั หวัดกาญจนบรุ ีปี 2562 ระบบอุปถัมภ์ หมายถึง พฤติกรรมทางการเมืองที่เกิดขึ้นในการด�ำเนินกิจกรรมทางการเมือง อาทิ การร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในชุมชนหมู่บ้าน องค์กรปกครองท้องถ่ิน การด�ำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ในกรณตี า่ ง ๆ มาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง น�ำมาสคู่ วามสมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ ในฐานะผนู้ �ำทม่ี บี ทบาทและอทิ ธพิ ลตอ่ การตดั สนิ ใจ ลงคะแนนใหก้ บั นกั การเมืองทีล่ งสมคั รรบั เลือกตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรปี 2562

25

26

27 บทท่ี 2 แนวคิด ทฤษฏีและวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง แนวคิดและทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้อง ส�ำหรบั ในบทนผี้ วู้ จิ ยั ท�ำการรวบรวมแนวคดิ และทฤษฎที เี่ กย่ี วขอ้ งเพอื่ ใชส้ �ำหรบั การศกึ ษาการเลอื กตง้ั สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดกาญจนบุรี ปี 2562 ประกอบแนวคิดด้วยความทันสมัยทางการเมือง (political modernization) แนวคิดระบบอุปถัมภ์ (patronage system) แนวคิดวัฒนธรรมทางการเมือง (political culture) แนวคิดอิทธิพลของผู้น�ำในระบบการเมือง (political elite) แนวคิดการตัดสินใจเลือก ของส่วนรวม (public choice) แนวคิดความเป็นเหตุเป็นผล (rational choice) แนวคิดการตลาดการเมือง (political marketing) แนวคดิ การสรา้ งภาพลกั ษณท์ างการเมอื ง (political image) แนวคดิ เชงิ จติ วทิ ยาการเมอื ง (political psychology) ซง่ึ แนวคดิ หลงั นเ้ี ลอื กใชเ้ ฉพาะแนวคดิ ความคาดหวงั (political expectation) พฤตกิ รรม ทางเมอื ง (political behavior) และแนวคิดการมสี ่วนรว่ มทางการเมือง (political participation) เท่าน้ัน แนวคดิ ระบบอปุ ถมั ภ์ แนวคดิ กลมุ่ เครอื ขา่ ย แนวคดิ ความทนั สมยั วฒั นธรรม ทางการเมือง และอิทธิพลของชนชั้นน�ำในระบบการเมือง ในการเมอื งไทย โครงสรา้ งและบรบิ ททางสงั คมดง้ั เดมิ หรอื แบบชมุ ชนหมบู่ า้ นมคี วามสมั พนั ธอ์ ยา่ งยงิ่ ต่อพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชน ซึ่งในทัศนะของ Norman Jacobs (1971, pp.19, 67-95) ได้ อธิบายไว้ใน Modernization without development: Thailand as an Asian case study ว่าสังคมไทย มีการเปล่ียนแปลง มีความทันสมัยเช่นเดียวกับประเทศตะวันตก หากแต่การพัฒนาด้านเศรษฐกิจน�ำไปสู ่ ความแตกต่างต่างทางชนชั้น ด้านสังคม ประชาชนมีปัญหาด้านการขาดระเบียบวินัย ยาเสพติด อบายมุขและ การขาดความเสมอภาคในโอกาส เป็นการพัฒนาที่ขาดความสมดุลระหว่างเมืองกับชนบท ในทางการเมือง มรี ปู แบบเปน็ ประชาธปิ ไตยกจ็ รงิ หากแตใ่ นเชงิ เนอื้ หาแลว้ ยงั ไมพ่ ฒั นา เกดิ วงจรลม้ ลกุ คลกุ คลาน ทร่ี บั รใู้ นวลที วี่ า่

28 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี “ประชาธปิ ไตยครง่ึ ใบ” ทั้งนเี้ ป็นผลจากอิทธิพลที่เป็นมรดกจากบริบทของสังคมไทย (patrimonial political) เช่น ระบบศักดินา (feudal) การรวมศูนย์อ�ำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจในอดีต ระบบเครือญาติและ วงศ์ตระกูล (kinship and descent) ซง่ึ ลว้ นแล้วแต่เก่ยี วข้องกบั ปจั จยั สถาบนั ทางสังคม (social institution) ความสมั พนั ธ์แบบอปุ ถัมภ์ (patronage-client relations) ประกอบด้วย 2 สว่ นส�ำคญั คือ ผู้อุปถมั ภ์ (patron) กบั ผรู้ บั อปุ ถมั ภ์ (client) โดยฝา่ ยแรกเปน็ บคุ คลทมี่ อี �ำนาจและฉนั ทานมุ ตั ิ สว่ นใหญร่ จู้ กั กนั ในชอื่ นายจา้ ง หรอื ผสู้ นบั สนนุ /ชว่ ยเหลอื เสมอื นผอู้ ปุ การะ นกั บญุ อปุ ถมั ภ์ หรอื เจา้ พอ่ ทมี่ ลี กู นอ้ งหลายคนผา่ นจดั กจิ กรรมหรอื พิธีกรรมต่าง ๆ ในขณะท่ีฝ่ายหลังต้องการความช่วยเหลือรวมถึงกการปกป้องและคุ้มครอง มีความต้องการ อย่างมากในการความคาดหวังต่อประโยชน์หรือผลประโยชน์ท่ีจะได้รับจากผู้อุปถัมภ์ ในอดีตนั้นปรากฏใน สงั คมศกั ดนิ า (feudal) และตอ่ เนอื่ งเปน็ สว่ นหนงึ่ ของบรบิ ททางสงั คม ความสมั พนั ธม์ ลี กั ษณะเปน็ ตา่ งตอบแทน (reciprocal relationships) มีทั้งสัญญาที่เป็นทางการ ด้วยการก�ำหนดความผูกพันสองฝ่ายชัดเจน หรืออาจ ไมเ่ ปน็ ทางการ ฝา่ ยผรู้ บั การอปุ ถมั ภม์ กั เปน็ ฝา่ ยเสยี เปรยี บ เปน็ ผอู้ อ่ นแอกวา่ ในทางเศรษฐกจิ สงั คมและการเมอื ง และผอู้ ปุ ถมั ภพ์ ง่ึ พาผรู้ บั การอปุ ถมั ภใ์ นบางสถานการณ์ เชน่ การเลอื กตง้ั หรอื กรณเี กดิ ความขดั แยง้ ระหวา่ งกลมุ่ ทง้ั นร้ี ะบบอปุ ถมั ภน์ น้ั มหี ลายรปู แบบ เชน่ รปู แบบบดิ าอปุ ถมั ภ2์ และรปู แบบการใชอ้ �ำนาจกดข่ี รปู แบบแรกนน้ั มี ลกั ษณะบารมแี ละมไิ ดใ้ ชก้ �ำลงั บงั คบั หรอื ขม่ ขใู่ หต้ อ้ งวาดกลวั ในอ�ำนาจและอทิ ธพิ ลทมี่ ี ในขณะทรี่ ปู แบบทส่ี องนนั้ เป็นการใช้การบังคับซึ่งเกี่ยวข้องกับอิทธิพลท่ีท�ำให้เกิดความเกรงกลัวยินยอมอยู่ใต้อ�ำนาจ อย่างไรก็ตาม ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผอู้ ปุ ถมั ภก์ บั ผรู้ บั การอปุ ถมั ภม์ รี ปู แบบทยี่ ากตอ่ การจดั ประเภท (Foster, 1963 และ Mair, 1961 อา้ งถงึ ใน ปรีชา ควุ นิ ทร์พนั ธ,์ 2554, หน้า 234-238) ในอดีตความสัมพันธ์ระหว่างผู้อุปถัมภ์และผู้รับอุปถัมภ์ปรากฏชัดในสังคมชาวนา ระหว่างเจ้าของ ที่ดิน (นา) กับตัวชาวนา น�ำมาสู่การจัดระเบียบความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ภายใต้ระบบ “การเช่าท่ีนา” และวิถีการผลิตการเกษตร มีผลต่อเจ้าของท่ีดินในการใช้แรงงานราคาถูกและการแสวงหา ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ส่ิงเหล่านี้เกิดข้ึนมายาวนานแม้แต่ประเทศอาณานิคมที่มีสเปนและโปรตุเกสเป็น ผู้ปกครอง ระบบดังกล่าวนี้ได้พัฒนาและผันแปรมาเป็นระบบทุนนิยมภายใต้ระบบการค้าโลกในยุคปัจจุบัน (Bloch, 1961 และ Stavenhagan, 1963 อา้ งถึงใน ปรชี า คุวนิ ทร์พันธ์, 2554, หนา้ 234-238) ส�ำหรับสงั คม ก�ำลังพัฒนาบทบาทของผู้อุปถัมภ์ตามประเพณีต่อสังคมน้ันมีค่อยข้างมากและปรากฏให้เห็นชัด มีลักษณะที่ เช่ือมโยงสถานภาพทางสังคมของคนจากระดับต�่ำไปถึงระดับชาติโดยไม่จ�ำเป็นต้องผูกติดกับระบบราชการท่ีมี ระเบียบมากมาย และแมว้ า่ จะมีความพยายามในการพัฒนาและเปลยี่ นแปลงไปสู่สงั คมอตุ สาหกรรม ผู้อปุ ถมั ภ์ ยงั คงมบี ทบาทในการใหค้ วามช่วยเหลอื หรือแนะน�ำ (เมอ่ื ถกู ร้องขอ) เพ่ือตดิ ต่อกบั หน่วยงานราชการ ผ้อู ปุ ถัมภ์ ตามประเพณี (ในฐานะเจ้าของทดี่ นิ ผมู้ งั่ คั่ง) อาจมอี �ำนาจมากกวา่ / ในระดบั เดยี วหรืออยา่ งน้อยที่สดุ ก็ใกลเคยี ง กบั เจา้ หนา้ ทรี่ ฐั อยา่ งไรกต็ าม ตวั ผอู้ ปุ ถมั ภต์ ามประเพณนี น้ั มไิ ดม้ ลี กั ษณะทห่ี ยดุ นงิ่ ตายตวั อาจมกี ารเปลย่ี นแปลง 2 ในอดตี ระบบแบบปิดมลี ักษณะเป็นแบบบิดาอุปถัมภ์ โปรตุเกสน�ำ ระบบดังกลา่ วน้เี ข้าปกครองในบราซิลตะวันออกเฉยี งใต้ มีการใช้อำ�นาจกดข่ีในบางครั้ง ทำ�หน้าท่ีคล้ายครอบครัวขยาย ประกอบด้วยหัวหน้าครอบครัวรับผิดชอบสวัสดิการผู้ใต้อำ�นาจ ครอบครัวทาสและแรงงานอิสระ ขณะท่ีรัฐศูนย์กลางอำ�นาจไม่เข้มแข็งพอ ทำ�ให้ชุมชน (หมู่บ้าน) มีความเป็นอยู่แบบโดดเด่ียว ระบบอปุ ถัมภ์จงึ เปน็ ทางเลือกทย่ี ากปฏเิ สธของชาวไร่ชาวนา: ดเู พ่ิมเติมใน ปรีชา คุวนิ ทร์พนั ธุ์, 2554, หน้า 237)

29 ได้เช่นเดียวกันหากไม่สามารถปรับตัวได้ โดยผู้อุปถัมภ์ท่ีมีอ�ำนาจเฉพาะด้าน ระบบราชการหรือองค์กรของรัฐ เชน่ ครู หรอื เจา้ หนา้ ทร่ี ฐั ตา่ ง ๆ อาจเขา้ มามบี ทบาทแทน (Silverman, 1967; Powell, 1970 และ Pitt River, บทท่ี 31971 และ Boissavain, 1966 อา้ งถึงใน ปรชี า ควุ นิ ทร์พันธ์, 2554, หนา้ 239) ส�ำหรับระบบการเลอื กต้ังในการเมืองไทย ระบบอปุ ถัมภ์ (patronage system) เป็นปัจจยั ส�ำคัญท่มี ี อิทธิพลต่อการตัดสินใจในทางการเมืองของประชาชน มีลักษณะเป็นเครือข่ายโยงใยลึกซ้ึงในสังคม นอกจากน้ี ปัจจัยทางวัฒนธรรมการเมืองในอดีตยังคงมีบทบาทหรืออิทธิพลต่อพฤติกรรมทางการเมืองไทยในปัจจุบันด้วย กรอบแนวคิดในการพัฒนาเชน่ กนั (ณฐั พงศ์ บญุ เหลือ, 2556, หนา้ 23-29; 2560, หนา้ 31-32; กฤษณา ไวส�ำรวจ, 2555, หน้า 21 – 29) อย่างไรก็ตามพฤติกรรมทางการเมือง ความคิดทางการเมือง ความรู้ความเข้าใจทางการเมืองของประชาชน ในปัจจุบันมีการเปล่ียนแปลงมากข้ึนเป็นล�ำดับ ดังจะพบว่าจุดมุ่งหมายหลักของประชาชนในทางการเมือง ตัวชี้วัดประชาธิปไตยคือการเจรจาต่อรอง (negotiate) กับนักการเมืองหรือรัฐบาลโดยเก่ียวข้องกับการอนุญาต เช่นการสัมปทาน การประกอบการทุกประเภทรวมถึงการท�ำอาชีพเกษตรกรรม การห้าม เช่น กฎหมายหรือการถูกห้ามปราม และเกณฑ์การค�ำนวณจากเจ้าหน้าที่รัฐทั้งที่ถูกกฎหมายและไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และการให้ เช่น การจัดสรรงบประมาณ คะแนนการจดั ให้อยู่ในข้อเวน้ เช่น เศรษฐกิจพเิ ศษ หมูบ่ า้ นปา่ ของผ้รู ่วมพัฒนาชาตไิ ทย (นิธิ เอยี วศรีวงษ,์ 2560) ส�ำหรับแนวคิดกลุ่มเครือข่าย (social network) ในมิติทางการเมืองนับว่ามีความส�ำคัญท่ีจะท�ำให้ สามารถน�ำไปใช้อธิบายพฤติกรรมทางการเมือง ปราฏการณ์ทางการเมือง และการตัดสินใจทางการเมือง ในการเลอื กตง้ั ไดเ้ ชน่ เดยี วกนั โดยกลมุ่ เครอื ขา่ ยทางการเมอื งมผี ลตอ่ การเคลอ่ื นไหวทางการเมอื งของคนในสงั คม หลากหลายรูปแบบ ปัจจุบันกลุ่มการเคลื่อนไหวทางการเมืองได้รับการอธิบายถึงการเคลื่อนไหวทางการเมือง รปู แบบใหม่ (new social movement) ของคนกลุ่มตา่ ง ๆ ทีม่ ีผลต่อการเปล่ยี นแปลงทางการเมืองและสงั คม มพี ลงั ในการตอ่ ตา้ น คดั คา้ นและผลกั ดนั ท�ำใหร้ ฐั และองคก์ รของรฐั ทเี่ กยี่ วขอ้ ง ทง้ั ในระดบั ศนู ยก์ ลางอ�ำนาจและ ระดับย่อยปรับเปลี่ยนทัศนคติ ค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรแบบราชการที่ยึดติดกับกฎระเบียบและกฎเกณฑ์ จนน�ำไปสู่การไร้ซึ่งประสิทธิภาพหรือประสิทธิพลในการปฏิบัติหน้าท่ีและความรับผิดชอบที่พึงมีต่อประชาชน ส่วนใหญ่ในระดับฐานรากของสังคม (ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร, 2545) ในการท�ำความเข้าใจเก่ียวกับกลุ่ม เครือข่ายทางการเมืองน้ันมักเชื่อมโยงกับการอธิบายถึง “ขบวนการทางสังคม” (social movements) ใช้ อธบิ ายถงึ ความสมั พนั ธข์ องกลมุ่ คนจ�ำนวนมากทรี่ วมตวั กนั ในลกั ษณะกระท�ำการรวมหมู่ มคี วามเขา้ ใจรว่ มกนั วา่ มผี ลประโยชนร์ ว่ มกนั มตี วั ตนหรอื อตั ลกั ษณ์ (identity) เดยี วกนั ลกั ษณะเดน่ เฉพาะคอื การใช้ หรอื แสดงใหเ้ หน็ วา่ จะท�ำการระดมมวลชน (mass mobilization) เป็นเคร่ืองมือสร้างอ�ำนาจกดดันสังคม ประเด็นดังกล่าวน ้ี แตกตา่ งจากการรวมหมู่ (collectivities) อน่ื อาทิ สมาคม หรอื อาสาสมคั ร (voluntary associations) ซง่ึ กลมุ่ เหลา่ น ้ี มีเปา้ หมายหลักเพอ่ื ปกป้องหรอื เปลย่ี นแปลงสงั คม ค�ำว่าขบวนการทางสังคมดงั กลา่ วนถี้ กู น�ำมาใช้ครัง้ แรกโดย Saint-Simon3 เพื่ออธิบายกลุ่มขบวนการประท้วงทางการเมืองและสังคมในฝร่ังเศสและยุโรป พัฒนาต่อมา ถกู น�ำมาใชอ้ ธบิ ายพลงั ทางการเมอื งทตี่ อ่ ตา้ น/คดั คา้ น/ไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั สภาพสงั คมทดี่ �ำเนนิ อยู่ โดยเฉพาะขบวนการ แรงงานในศตวรรษท่ี 19 ในกลมุ่ ขบวนการชนชน้ั กรรมาชพี ต่อการเปลย่ี นแปลงไปส่สู ังคมทนุ นยิ มอตุ สาหกรรม 3 นกั สังคมวิทยาชาวฝรง่ั เศสใช้คำ�ดงั กลา่ วนี้ชว่ งปลายศตวรรษท่ี 18

30 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี ซ่ึงมีเป้าหมายอยู่ท่ีการเรียกร้องสิทธิคนงานมากข้ึน การแสวงหาโอกาสของชนช้ันในกระบวนการทางการเมือง ผ่านการมีสิทธิเลือกตั้ง การจัดตั้งพรรคการเมือง และการยอมรับการมีสภาพแรงงานท่ีถูกต้องตามกฎหมาย เป็นการต่อสู้ภายใต้แนวคิดประชาธิปไตยในฐานะพลเมือง (citizenship) และการมีตัวแทน เป้าหมายหลักคือ การปรับระบอบการเมืองการปกครองตามวิถีการเมือง4 ท้ังนี้การแปรเปลี่ยนไปสู่การจัดต้ังพรรคการเมืองได้ ท�ำใหข้ บวนการสงั คมท่มี ีเปา้ หมายหลกั อยู่ที่การตอ่ สตู้ ้านแรงงานลดความส�ำคัญลง (พฤทธิสาณ ชมุ พล, 2550, หน้า 345-354) อย่างไรก็ตามขบวนการทางสังคมได้มีบทบาทส�ำคัญในการขับเคล่ือนการต่อสู้ทางชนชั้น หรือ กลุ่มอาชีพซึ่งท�ำให้มีการรวมกลุ่มขึ้นในศตวรรษท่ี 19 ต่อเน่ืองต้นศตวรรษที่ 20 และมีพัฒนาการส�ำคัญใน ทศวรรษ 1960 ผ่านขบวนการนักศึกษาต่อต้านสงครามเวียดนาม ขบวนการสันติภาพ ขบวนการสตรีนิยม ขบวนการนิเวศนิยมหรอื กล่มุ อนรุ กั ษส์ งิ่ แวดล้อมธรรมชาติ/กลุ่มการเมอื งสีเขียว (green politics) เปน็ กลมุ่ ทม่ี ี แนวร่วมหลากหลายสาขาอาชีพและชนช้ัน มีแกนกลางส�ำคัญคือ ความสนใจ/ความห่วงใยในประเด็นปัญหา (issue) เดยี วกนั 5 (พฤทธสิ าณ ชมุ พล, 2550, หนา้ 347-349) มลี กั ษณะ 3 ประการ กลา่ วคอื (1) การมลี กั ษณะ เป็นขบวนการทางสังคมมากกว่าเป็นขบวนการทางการเมือง6 นับจากหลังกลางศตวรรษ 20 ขบวนการนี้ให้ ความสนใจประเด็นพลเมืองน้อย จึงแสดงให้เห็นความสนใจการเมืองน้อยกว่า แต่เน้นค่านิยมและวิถีชีวิตหรือ วัฒนธรรม มีลักษณะเป็นกระบวนการประชาสังคม (civil society) เกิดการจัดตั้งกันเอง เป็นอิสระจากรัฐ ไมอ่ ยใู่ นภาคเศรษฐกจิ โดยตรงแตม่ บี ทบาทในการท�ำกจิ กรรมสาธารณะ (public sphere) เปา้ หมายเพอ่ื สงั คม7 ไม่มุ่งเน้นการเข้าไปมีส่วนส�ำคัญนการครอบครองอ�ำนาจรัฐ (2) การมีฐานหลักอยู่ที่ประชาสังคม ในลักษณะ อ้อมรัฐ (bypass the state) ไม่เน้นติดต่อหรือท้ายทายอ�ำนาจรัฐโดยตรง แต่ต้องการปกป้องสังคมจาก การก้าวกา่ ยโดยรฐั แทคโนแครต (technocratic state)8 มีลกั ษณะเปน็ ความหว่ งใย มีการด�ำเนนิ กิจกรรมและ ลกั ษณะอดุ มการณเ์ ชงิ สญั ลกั ษณ์ (3) การมเี ปา้ หมายเปลย่ี นแปลงสงั คม ดว้ ยการเปลย่ี นคา่ นยิ ม และการพฒั นา วิถีชีวิตแบบทางเลือก เปล่ียนวิธีคิดท่ีมองการเปล่ียนแปลงต้องผ่านระบบการเมือง-การกระท�ำทางการเมือง ไปสกู่ ารเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม (cultural innovation) เนน้ สัญลกั ษณก์ ารมีตวั ตน (identity)9 4 การเคล่ือนไหวดังกล่าวนักวิชาการกลุ่มอธิบายว่าเป็นขบวนการทางเมือง (political movement) มากกว่าการเป็นเพียง ขบวนการทางสงั คม หรอื มติ ทิ ม่ี องวา่ ความส�ำ เรจ็ ของขบวนการแรงงานอยใู่ นฐานะขบวนการทางการเมอื ง เปน็ การเปลยี่ นแปลง วิธีการจัดองค์กรด้วยการเน้นการเป็นกลุ่มผลประโยชน์ภายใต้รูปแบบสหภาพแรงงาน การเจรจาต่อรองกับนายจ้างและรัฐ รวมถงึ การนำ�ไปสูก่ ารจดั ตั้งพรรคการเมือง คือพรรคแรงงาน (ดูเพ่มิ เติมใน พฤทธสิ าณ ชุมพล, 2550, หน้า 346) 5 กลุ่มขบวนการเหล่านี้ได้รับการอธิบายถึงการเปล่ียนแปลงไปจากขบวนการสังคมแบบด้ังเดิม และเรียกใหม่ว่า “ขบวนการทางสังคมรปู แบบใหม่” (new social movement) 6 ขบวนการแรงงานเน้นการต่อสู้เพื่อความเป็นพลเมืองของพวกตน ด้วยเดิมสิทธิเลือกต้ังในยุโรปจำ�กัดเฉพาะผู้มีทรัพย์สิน หรือผู้เสียภาษี จึงมีเป้าหมายทางการเมืองเท่ากับเป็นขบวนการทางการเมือง นอกจากจากในยุคแรกทศวรรษ 1920 ของขบวนการสิทธิสตรเี นน้ สิทธิพลเมอื ง 7 แตกต่างจากกลุม่ เพอ่ื น ครอบตัว ซึ่งเป็นการจำ�กดั เฉพาะอาณาบรเิ วณส่วนตน 8 แทคโนเครตในนยั นห้ี มายถงึ การมโี ครงสรา้ งของสงั คมสว่ นหนงึ่ มลี กั ษณะการเปน็ บรรษทั ขนาดใหญ่ มกี ารเขา้ จดั การวถิ ชี วี ติ คนผ่านความเชี่ยวชาญแตม่ ิไดใ้ หค้ วามส�ำ คญั กับชวี ติ จิตใจ มองความขัดแย้งไม่เฉพาะการเมืองแตก่ ระทบทง้ั สังคม 9 ในบางทัศนะเชื่อว่าเป็นขบวนการชนช้ัน เป็นการท้าทายหลักการผลิตและการแจกจ่ายทรัพยากรภายใต้ระบบเศรษฐกิจ ทุนนิยม โดยไม่เชื่อในสิ่งดังกล่าว แต่เห็นว่าเป็นการผลิตความสัมพันธ์ทางสังคม สัญลักษณ์ ความมีตัวตน ไม่สนใจการเมือง ทช่ี ดั เจนหรือพยายามถอยหา่ งจากการเมอื ง

31 ตาราง 2.1 แสดงขบวนการทางสงั คมรูปแบบใหม่กับขบวนการแรงงานดัง้ เดมิ ด้าน/ประเด็น ขบวนการทางสังคมรูปแบบใหม่ ขบวนการแรงงาน ต�ำแหน่งแห่งท่ี ลกั ษณะเปน็ ประชาสงั คม (civil society) เกิดขึ้นภายในระบบการเมืองปกติ (location) (polity) จดุ มุง่ หมาย (aims) ตอ้ งการเปลยี่ นแปลงคา่ นยิ มและวถิ ชี วี ติ / ได้รับการยอมรับทางการเมือง และ การปกครอง สิทธิด้านเศรษฐกิจในฐานะสิทธิ พลเมือง (political integration) การจดั องค์การ เครอื ข่ายระดับรากหญ้า (network) เป็นองค์การแบบทางการ/สาย (organization) การบังคับบัญชาบนสู่ล่าง (formal hierarchical) ยทุ ธวิถี กระท�ำทางตรง (direct action) / สร้าง การระดมทางการเมือง (political (medium of action) นวัตกรรมเชิงวัฒนธรรม (cultural mobilization) innovation) ที่มา: Alan Scott (1990, p.9 อ้างถึงใน พฤทธิสาณ ชุมพล), “ขบวนการทางสังคม” ใน ค�ำและคมความคิด ในรัฐศาสตร์ร่วมสมัย, เอกตั้งทรัพย์วัฒนา สิริพรรณ นกสวน และพฤทธิสาณ ชุมพล (ม.ร.ว.) บรรณาธิการ. พิมพค์ รัง้ ที่ 2. (กรุงเทพฯ: ส�ำนกั พิมพแ์ หง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , 2550), หน้า 351. อยา่ งไรกต็ ามโดยทั่วไปนัน้ กลุ่มขบวนการทางสังคมน้ันมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งนขี้ ้นึ อยู่กับเป้าหมาย ของกลุ่มเป็นส�ำคัญ มีทั้งในระดับชาติ เช่น เครือข่ายเยาวชน เครือข่ายชุมชน เครือข่ายแรงงาน กลุ่มเครือข่าย สิทธิสตรี กลุ่มเครือข่ายรัก กลุ่มเครือข่ายอาสาสมัครทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กลุ่มเครือข่ายรัก ทะเล กลุ่มเครอื เพศสภาพ กลมุ่ เครอื ขา่ ยทดี่ ิน กล่มุ เครอื ข่ายชาวไรช่ าวนา กลุม่ ต่อต้านเหมอื งแร่ กล่มุ เครอื ขา่ ย ศาสนา เป็นต้น ในขณะที่กลุ่มเครือข่ายระหว่างประเทศ เช่น เครือข่ายสิทธิมนุษยชน กลุ่มกรีนพีซ เครือข่าย แรงงานสากล เป็นตน้ ส�ำหรับในกลุ่มแนวคิดและทฤษฎีว่าด้วยความทันสมัยและการพัฒนาทางการเมืองน้ัน นักวิชาการ จ�ำนวนมากได้ท�ำการศึกษาและอธิบายไว้มากมาย แต่ท่ีเลือกน�ำมาใช้ในการอธิบาย ประกอบด้วยแนวคิด ของ Telcott Parsons, Almond และ Powell และ Sammuel P. Huntington เป็นหลัก (สิทธิพันธ์ พุทธหุน, 2551,หน้า 91-93) โดย Parsons อธิบายว่าประกอบด้วย (1) ความเป็นสากล (universalistic) คือ กฎ ระเบียบของสังคมจะบังคับกับทุกคน ไม่มีบุคคลใดอยู่เหนือกฎหมาย (2) การแบ่งงานตามความช�ำนาญ เฉพาะดา้ น (specific) ไมเ่ กดิ การกา้ วกายหนา้ ท่ี ทกุ ฝา่ ยรเู้ ปา้ หมายการท�ำงาน (3) สงั คมทนั สมยั ยดึ หลกั สมั ฤทธผิ ล (achievement) เป็นระบบคุณธรรม ไม่ใช่ระบบเครือญาติหรือเพื่อนฝูงในลักษณะเดียวกับสังคมแบบเก่า

32 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี และ (4) ความเป็นสากลโลก (secularization) คือการมีความเช่ือ การด�ำเนินชีวิตอย่างมีเหตุผล มิใช่เกิดจาก ความเชอื่ แบบงมงาย ในขณะท่ี Almond และ Powell เหน็ วา่ ความทนั สมยั เปน็ กระบวนการทเี่ กดิ การเปลยี่ นแปลง รปู แบบของสังคมแบบด้งั เดิม ประกอบด้วย (1) การมีโครงสรา้ งสังคมซับซ้อน หลากหลายมากข้นึ (structural differentiation) และ (2) การมีการสร้างความเชื่อ วัฒนธรรมแบบโลก ไม่เห็นด้วยกับความคิดหรือความเชื่อ ในวัฒนธรรมแบบงมงายไร้เหตุผล (secularization of political culture) ส�ำหรับ Huntington เห็นว่าเป็น กระบวนการในการเปลี่ยนแปลงแนวคิดและกิจกรรมของคน เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงค่านิยม ทัศนคติ ความคาดหวังจากเดิมท่ีเช่ือว่าสิ่งดังกล่าวเป็นไปตามแนวทางของมัน ไม่เช่ือการเปลี่ยนแปลง หรือการควบคุม โดยมนุษย์ โดยที่สังคมทันสมัยจะมีลักษณะท่ียืดหยุ่น (mobile personality) สามารถปรับตัวได้กับการ เปลย่ี นแปลง เปน็ การเปลยี่ นความเชอื่ จากความจงรกั ภกั ดี และการยดึ มน่ั ในกลมุ่ ทเ่ี ปน็ สว่ นตวั อาทิ ครอบครวั ญาติ และกลุ่มชนบท ไปสู่กลุ่มที่ไม่ใช่เฉพาะส่วนตน (ชนชั้น และชาติ) เปล่ียนค่านิยมที่มีลักษณะเจาะจง (particularistic) เปน็ คา่ นยิ มสากล (universalistic) ภายใตห้ ลกั สมั ฤทธผิ ล (achievement) ไมใ่ ชก่ ารสบื ทอด โดยสายโลหติ ในการเข้าสูต่ �ำแหน่งทางสังคม ความทันสมัยทางการเมืองมีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกับปัจจัยต่าง ๆ ซ่ึง Huntington อธิบาย ว่าเก่ียวข้องกับ 2 ปัจจัย (สิทธิพันธ์ พุทธหุน, 2555, หน้า 99-101) ได้แก่ ประการแรก การเคลื่อนไหวทาง สงั คม (social mobilization) เปน็ กระบวนการสง่ เสรมิ ใหค้ นเขา้ ไปมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งมากขน้ึ มผี ลตอ่ การ เกิดความคาดหวัง คนจะละท้ิงความเชื่อ และค่านิยมแบบเก่าไปสู่ค่านิยมใหม่ ต้องการความม่ันในท่ีอยู่อาศัย ท่ีดินและทรัพย์สิน การรักษาพยายาบาล การประกันสังคม ความต้องการช่วยเหลือหากเกิดภาวะเศรษฐกิจ ตกต่�ำ ท้ังด้านค่าเช่า ดอกเบ้ีย และราคาสินค้า รวมถึงการศึกษา ความทันสมัยท่ีมากขึ้นน�ำไปสู่การผลักดันให้ มีการปฏิรูปการเมือง และการบริหาร รัฐจ�ำเป็นต้องพัฒนาปรับปรุงขีดความสามารถของตนเอง ทั้งการเพ่ิม จ�ำนวนเจ้าหน้าท่ี การตั้งสถาบันหรือองค์กรใหม่เพ่ือรองรับข้อเรียกร้องและตอบสนองความต้องการรวมถึง ความคาดหวังใหม่ที่เกิดข้ึน ประการที่สอง การพัฒนาเศรษฐกิจ (economy) ท้ังน้ีในระยะแรกความทันสมัย จะน�ำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจและสงั คม ทั้งระดับรายได้ และคณุ ภาพชวี ิต หากแต่ในสังคมก�ำลังพัฒนาจะ น�ำไปสู่ความไม่เท่าเทียมด้านรายได้ เศรษฐกิจจะอยู่ในอ�ำนาจของชนช้ันทางสังคมหรือกลุ่มทุน น�ำไปสู่วิกฤต ทางการเมืองและสังคมในเวลาต่อมา ซ่ึงท้ายที่สุดจะน�ำไปสู่ข้อเรียกร้องและการกดดันทางการเมือง ท�ำให้เกิด ปญั หาความไรเ้ สถียรภาพของรฐั บาลหรือการเมือง ส�ำหรับประเด็นด้านวัฒนธรรมทางการเมือง (political culture) นั้นในการศึกษานี้น�ำเฉพาะ แนวคิดของ Almond และ Verba (1965, pp.16-18 ) มาใช้ในการอธิบายเท่านั้น โดยทั้งสองแบ่งวัฒนธรรม ทางการเมอื งออกเปน็ 3 ประเภทหลกั ประกอบดว้ ย ประเภทแรก วฒั นธรรมทางการเมอื งแบบปดิ ตวั เอง/ดงั้ เดมิ (parochial culture) มลี กั ษณะเปน็ สงั คมแบบปดิ เชน่ สงั คมเผา่ สมาชกิ ของสงั คมมไิ ดม้ บี ทบาททางการเมอื งใด ๆ อ�ำนาจและบทบาททางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง รวมถึงศาสนาอยู่ท่ีคน ๆ เดียวคือหัวหน้าเผ่า ความรู ้ ความเข้าใจและความผูกพันต่อระบบการเมืองจึงไม่มี ไม่มีกฎเกณฑ์ใด ๆ และไม่มีการเรียกร้องต่อระบบ ประเภทท่ีสอง วัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้า (subject political culture) ลักษณะสังคมมีความรู้

33 ความเข้าใจต่อระบบการเมืองในระดับหนึ่ง รู้ว่าใครปกครอง ใช้ระบอบใด มีการยอมรับอ�ำนาจรัฐ เคารพกฎหมาย แต่กระน้ันก็ไม่เรียกร้อง รวมถึงไม่เข้ามีส่วนร่วมทางการเมือง โดยเห็นว่ามีฐานะเป็นเพียง ประชาชนธรรมดา มหี นา้ ทปี่ ฏบิ ตั ติ ามนโยบายและค�ำสง่ั มากกวา่ และ ประเภททสี่ าม วฒั นธรรมทางการเมอื งแบบ มีส่วนร่วม (participant political culture) ประเภทน้ีสมาชิกสังคมจะมีความรู้ ความเข้าใจ ผูกผัน รวมถึง การเขา้ เรยี กรอ้ ง หรือเข้ามสี ว่ นร่วมในรปู แบบท่หี ลากหลาย รแู้ ละเข้าใจนโยบายของรฐั เป้าหมายเพอ่ื ใหร้ ะบบ การเมอื งตอบสนองความต้องการ และรู้ว่าสงั คมจะมีผลต่อการเปล่ียนแปลงหากเข้ารว่ มทางการเมือง ตาราง 2.2 วฒั นธรรมทางการเมอื งกบั การรับรู้ ความเขา้ ใจ ความผูกพันและการประเมนิ คา่ ทางการเมือง ประเภทวฒั นธรรม การรบั รู้ ความเขา้ ใจ ความผูกพนั การประเมินคา่ การเมอื ง ระบบทั่วไป ปัจจยั น�ำเขา้ ปัจจัยน�ำออก การมสี ว่ นร่วม แบบปิด (Parochial) (General) (Input) (Output) (Self as active participant) 0 00 0 แบบไพรฟ่ า้ (Subject) 1 0 1 0 แบบมสี ว่ นรว่ ม (Participant) 1 1 1 1 ทีม่ า: Gabriel A. Almond & Sidney Verba, The Civic Culture: Political Attitudes and Democracy in Five Nations, (Boston: Little, Brown and Company, 1965), p.16. ทั้งน้ีวัฒนธรรมการเมืองเป็นแนวปฏิบัติทางการเมือง (political orientation) มีพ้ืนฐานจากความรู้ ต่อระบบการเมือง ได้แก่ ปัจจัยน�ำเข้า ปัจจัยน�ำออก และบทบาทของตนต่อระบบการเมือง ท้ังนี้มาจาก องค์ประกอบ 3 ประการ (Almond & Powell, 1965, pp.20-22) ประกอบด้วย (1) การวางแนวการรับรู้ (cognitive orientation) เป็นความรู้ความเข้าใจที่ระบบการเมือง ปัจจัยน�ำเข้า และปัจจัยน�ำออก (2) การวางแนวความรสู้ กึ (affective orientation) เปน็ ความโนม้ เอยี งความรสู้ กึ ตอ่ ระบบการเมอื ง ผมู้ อี �ำนาจ ทางการเมือง ปัจจัยน�ำเข้าและปัจจัยน�ำออกของระบบการเมือง และ (3) การวางแนวประเมิน (evaluation orientation) เป็นการประเมินคุณค่าของบคุ คลต่อประสิทธิภาพของระบบการเมือง อย่างไรก็ตามในสภาพความเป็นจริงแล้วรูปแบบวัฒนธรรมทางการเมืองในแต่ละสังคมนั้นยาก ต่อการจัดแบ่งประเภท มีลักษณะเป็นวัฒนธรรมย่อย ๆ และท่ีปรากฏหรือเกิดขึ้นนั้นมักเป็นรูปแบบผสม

34 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี (Almond & Verba, 1965, pp.22-26 ) ไดแ้ ก่ (1) แบบผสมระหวา่ งวฒั นธรรมการเมอื งแบบปดิ ผสมแบบไพรฟ่ า้ (parochial-subject culture) รูปแบบน้ีคนไมย่ อมรบั อ�ำนาจของหวั หน้าเผา่ หรอื หมูบ่ า้ นแล้ว แตจ่ งรักภักดตี อ่ ระบบการเมืองที่เปลี่ยนแปลงและมีความซับซ้อน มีรัฐบาลเป็นผู้มีอ�ำนาจ แต่คนโดยส่วนใหญ่ก็ยังคงไม่สนใจ เข้าร่วมทางการเมืองในรูปแบบต่าง ๆ (2) วัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้าผสมแบบเข้ามีส่วนร่วม (the subject-participant culture) รูปแบบน้ีคนจะเริ่มมีปฏิกิริยาเรียกร้อง และเข้าร่วมในกิจกรรมทาง การเมือง เห็นถึงความส�ำคัญในการเข้าร่วมท่ีจะก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงได้ หากแต่ก็ยังคงมีคนจ�ำนวนหน่ึง ไม่สนใจในการเข้าร่วม และยังยอมรับอ�ำนาจรัฐโดยไม่มีเง่ือนไขใด ๆ “ระบบอ�ำนาจนิยม” ในสังคมมีผลท�ำให ้ คนยอมรับวัฒนธรรมทางการเมืองแบบนี้ และ (3) วัฒนธรรมการเมืองแบบปิดผสมแบบมีส่วนร่วม (the parochial-participation culture) รูปแบบนี้คนส่วนใหญ่ยังมีความจงรักภักดีแนบแน่นต่อหัวหน้าเผ่า หรอื กลมุ่ เชอื้ ชาต ิ โดยคนสว่ นหนง่ึ มวี ฒั นธรรมทางการเมอื งแบบมสี ว่ นรว่ ม เขา้ มบี ทบาทในสงั คม แตย่ งั คงตกอยู่ ภายใตอ้ ทิ ธพิ ลแบบเกา่ การเขา้ มสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งจะเปน็ ไปในลกั ษณะทมี่ งุ่ หวงั ประโยชนส์ ว่ นตวั หรอื กลมุ่ เช้ือชาติ ไม่ยดื หยนุ่ ประนปี ระนอมในกล่มุ ทแ่ี ตกต่างกัน สังคมจึงมคี วามขดั แย้ง ลักษณะหรือรปู แบบวฒั นธรรม การเมืองดังกล่าวข้างต้นนี้ สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ในพัฒนาการสังคมการเมืองระหว่างศตวรรษท่ี 19 และต่อเนื่อง มาถงึ ปจั จุบัน (ถึงปี 1965-ผเู้ ขยี น) ฝรง่ั เศส เยอรมัน และอติ าลี มลี ักษณะความไมแ่ น่นอนเชงิ โครงสร้างท�ำใหม้ ี การสลับกันไปมาระหว่างรัฐบาลอ�ำนาจนิยมกับรัฐบาลประชาธิปไตย (authoritarian and democratic government) ซึ่งความไม่แน่นอนเชิงโครงสร้างดังกล่าวเป็นผลจากวัฒนธรรมดังกล่าวนี้ Almond และ Verba ได้เสนอวัฒนธรรมการเมืองแบบผสมเรียกว่า “วัฒนธรรมพลเมือง” (Civic Culture) โดยเน้นความ กระตอื รอื รน้ และความมเี หตผุ ลในการเขา้ รว่ ม (rationality-activist) แตข่ ณะเดยี วกนั กม็ ลี กั ษณะการผสมผสาน วฒั นธรรมการเมอื งแบบปดิ และแบบไพรฟ่ า้ อกี ดว้ ย สงิ่ ทสี่ �ำคญั เฉพาะคอื วฒั นธรรมการเมอื งแบบพลเมอื งนนั้ ให ้ ความส�ำคญั กบั การมสี ว่ นรว่ มมากกวา่ มลี กั ษณะส�ำคญั 2 ประการ (สทิ ธพิ นั ธ์ พทุ ธหนุ , 2551, หนา้ 130) ไดแ้ ก่ (1) ความสามารถในการเป็นผู้อยู่ใต้การปกครองที่ดี (subject competence) และ (2) ความสามารถในการ เป็นประชาชน (พลเมือง) ที่ดี คือ การเขา้ มีสว่ นร่วมทางการเมืองอยา่ งเปน็ เหตุเป็นผล ในสังคมการเมืองยุคปัจจุบันโดยเฉพาะสังคมก�ำลังพัฒนานั้น “ระบบการเมืองแบบพลเมือง” (Civic Polities) น้ันจะมีอยู่ท่ัวไปเนื่องจากเข้าร่วมทางการเมือง หากแต่ขึ้นอยู่กับระดับการมีส่วนร่วม ทางการเมือง (สิทธิพันธ์ พุทธหุน, 2551, หน้า 189-193) ได้แก่ (1) สังคม Organic มีลักษณะการมีส่วนร่วม ทางการเมืองระดับต�่ำ หรือสังคมระยะแรก (2) สังคม Whig ลักษณะการมีส่วนร่วมอยู่ในระดับปานกลาง และ (3) สงั คม Participant มลี กั ษณะการมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งสงู นอกจากนแ้ี ลว้ ในการศกึ ษาบทบาททางการเมอื ง ของประชาชนหรือความก้าวหน้าทางการเมืองของสถาบันทางการเมืองก็คือ การน�ำประเด็นว่าด้วยวัฒนธรรม การเมือง ความทันสมัย พัฒนาการทางการเมืองและการมีส่วนร่วมทางการเมืองมาอธิบายระดับ “ความเป็น สถาบนั ทางการเมอื ง” (political institutionalization) วา่ ในแตล่ ะสงั คมการเมอื งตา่ ง ๆ ทม่ี อี ยนู่ นั้ เปน็ อยา่ งไร สงิ่ ผลตอ่ ระบบเศรษฐกจิ สงั คและการเมอื งอยา่ งไรบา้ ง ความแตกตา่ งในมติ วิ า่ ดว้ ยความเปน็ สถาบนั ทางการเมอื ง และความทนั สมัยทางการเมือง มปี ระเด็นทสี่ ามารถน�ำมาพจิ ารณาท่สี �ำคญั ประกอบดว้ ย

35 ประการแรก ระบบการเมอื งทท่ี นั สมยั มคี วามแตกตา่ งจากระบบการเมอื งแบบประเพณี ในดา้ นขอบขา่ ย ความส�ำนกึ ทางการเมืองและการมีสว่ นร่วมทางการเมือง ประการท่ีสอง ระบบการเมืองที่ทันสมัยและพัฒนาแล้ว มีความแตกต่างจากระบบการเมือง แบบประเพณที ีส่ ภาพของสถาบนั ทางการเมือง ประการทส่ี าม ระบบการเมอื งทที่ นั สมยั และพฒั นาแลว้ มคี วามแตกตา่ งจากระบบการเมอื งทที่ นั สมยั แล้วทีร่ ะดบั ของความเป็นสถาบนั ทางการเมือง และ ประการท่ีส่ี ระบบการเมืองที่มีเสถียรภาพแตกต่างจากระบบการเมืองที่ไร้เสถียรภาพภายใต้สัดส่วน ของความเปน็ สถาบนั ทางการเมืองกับการมสี ว่ นร่วมทางการเมือง โดยสรปุ แลว้ ระบบการเมอื งของสงั คมตา่ ง ๆ นนั้ มลี กั ษณะ รปู แบบวฒั นธรรมทางการเมอื ง เสถยี รภาพ และความมั่นคงทางการเมืองท่ีแตกต่างกันย่อมเป็นผลจากบริบทความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ความเป็น ของรัฐชาติและวัฒนธรรมทางสังคมทแ่ี ตกตา่ งกนั หากแต่ความส�ำเรจ็ ในการก้าวไปส่กู ารเปน็ สงั คมการเมืองทมี่ ี การพัฒนาในระดับสูงนั้น พฤติกรรมทางการเมืองท้ังในกลุ่มของประชาชน นักการเมือง และพรรคการเมือง ล้วนมสี ่วนเก่ยี วขอ้ งโดยตรงท้งั สิน้ ส�ำหรบั แนวคดิ อทิ ธพิ ลและชนชนั้ น�ำของระบบการเมอื งนน้ั ในการศกึ ษานผี้ วู้ จิ ยั เลอื กน�ำเฉพาะแนวคดิ ของ Harold D. Lasswell เพ่ือหาค�ำอธิบายท่ีว่านักการเมืองจังหวัดกาญจนบุรีหรือกลุ่มอิทธิพลทางการเมือง นั้นมีวิธีการใช้อ�ำนาจและอิทธิพลอย่างไร ในการด�ำเนินการเพื่อให้ได้มาซ่ึงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง หรือ การตัดสินใจลงคะแนนเสียงของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งในทัศนะของ Lasswell (สุกิจ เจริญรัตนกุล, 2530, หน้า 59-60) ผู้มีอิทธิพลนั้นเป็นผู้ครอบครองสรรพสิ่งท่ีมีคุณค่าที่มีอยู่เป็นส่วนใหญ่ ขณะท่ีประชาชนได้รับ เพียงบางส่วน ผู้ที่ครอบครองส่ิงที่มีคุณค่าทางสังคมได้มากกว่าจึงย่อมเป็นผู้เหนือกว่า ขณะท่ีการเมืองเป็น กระบวนการกระจายสิ่งมีคุณค่า (ทรัพยากร) แก่คนในสังคม ชนชั้นทางการเมืองจึงเป็นผู้ก�ำหนดกติกาใน การจัดการ โดยสิ่งที่มีคุณค่าแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ประกอบด้วย ประเภทแรก คุณค่าด้านสถานภาพและ เกียรติยศของบุคคล ได้แก่ อ�ำนาจ (power) ความศรัทธานับถือ (respect) ความยุติธรรม (rectitude) ความนิยมชื่นชอบ (affection) ประเภทท่ีสอง คุณค่าด้านสวัสดิการและความเป็นอยู่ของบุคคล ได้แก ่ ความอยู่ดีกินดี ( well-being) ความมั่งค่ัง (wealth) ความรอบรู้ (enlightenment) และทักษะ (skill) โดยคุณค่าเหล่าน้ีเป็นสิ่งท่ีทุกคนต้องการ ในประเด็นด้านคุณค่า (1) “อ�ำนาจ” จะเกี่ยวข้องกับการเป็นผู้มี อทิ ธพิ ลและท�ำใหเ้ ปน็ เครอ่ื งมอื ในการเขา้ ครอบครองสงิ่ ทมี่ คี ณุ คา่ อน่ื ๆ ไดม้ ากขนึ้ ขณะท่ี (2) ความศรทั ธานบั ถอื เปน็ ปจั จัยส่งเสริมสนบั สนุนใหเ้ ลอ่ื นสถานะเป็นผมู้ อี ทิ ธพิ ลได้ เปน็ เรอ่ื งของความร้สู ึกทบ่ี ุคคลหนง่ึ มตี อ่ บคุ ลหนงึ่ มาจากการยอมรับนับถือท้ังจากสถานภาพทางสังคมและบทบาทในหน้าท่ีหรือต�ำแหน่งงาน หรือเป็นผลจาก ปฏสิ มั พนั ธส์ ว่ นบคุ คล นอกจากนอ้ี าจมาจากบคุ ลกิ ภาพและความประพฤตขิ องคนเหลา่ นนั้ (3) ความยตุ ธิ รรมเปน็ สง่ิ ทน่ี �ำมาสคู่ วามเสมอภาค เปน็ ทต่ี อ้ งการของสงั คม ผมู้ คี วามยตุ ธิ รรมยอ่ มไดร้ บั การยกยอ่ งจากบคุ คลอน่ื ส�ำหรบั

36 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี (4) ความช่ืนชอบเป็นความรู้สึกพึงพอใจในบุคลิกส่วนบุคคล เป็นความต้องการท่ีอยากให้บุคคลอื่น ๆ ชื่นชอบ และยกยอ่ งท�ำใหส้ ามารถมโี อกาสเปน็ ผมู้ อี ทิ ธพิ ลได้ และชว่ ยใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ รว่ มในการเปน็ สว่ นหนงึ่ ของสงั คม ขณะทคี่ ณุ คา่ ดา้ นสวสั ดกิ ารและความเปน็ อยู่ ไดแ้ ก่ (1) ความอยดู่ กี นิ ดนี น้ั เกยี่ วขอ้ งกบั ประเดน็ สขุ ภาพ การมีชีวิตที่ดี แต่ไม่อาจวัดเพียงมาตรฐานการด�ำรงชีวิต ต้องพิจารณาสภาพแวดล้อมด้วย เช่น หากเป็นสังคม อุตสาหกรรมแม้จะมีมาตรฐานชีวิตสูงแต่ก็ต้องประสบปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม (2) ความม่ังคั่ง สามารถสังเกต และวัดได้จากทรัพย์สิน เป็นที่ต้องการของทุกคน น�ำมาซึ่งส่ิงอ�ำนวยความสะดวกสบายในชีวิต (3) ความรอบรู้ เก่ียวข้องกับความสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารของสังคมและบ้านเมือง การรู้ในข่าวสารหรือควบคุมข่าวสาร ของสังคม ท�ำให้มีโอกาสที่ดีในการมีสวัสดิการท่ีดีกว่าบุคคลอื่น ขณะที่ (4) ทักษะ เป็นความสามารถในการ ประกอบการหรอื ด�ำเนนิ กิจกรรม มาจากการศึกษาและการฝึกฝน คุณค่า 8 ประการดังกล่าว Lasswell เห็นว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา เป็นทั้งจุดมุ่งหมาย และเครื่องมือในการน�ำมาซ่ึงส่ิงต่าง ๆ โดยอ�ำนาจมีบทบาทส�ำคัญในการได้มาซึ่งความม่ังคั่ง และความรอบรู้ นอกจากนก้ี ระบวนการทางการเมอื งเกย่ี วขอ้ งกบั การแสวงหาสง่ิ ทม่ี คี ณุ คา่ ท�ำใหเ้ กดิ ความขดั แยง้ แขง่ ขนั กจิ กรรม การเมืองมีผลต่อการกระจายส่ิงท่ีมีคุณค่าเหล่านั้น โดยผู้น�ำหรือผู้มีอิทธิพลทางการเมืองจะเข้าร่วมในกิจกรรม การเมืองด้วยบทบาทการเป็นผู้ก�ำกับและควบคุมการะจายส่ิงที่คุณค่าต่าง ๆ ด้วยการใช้อิทธิพลผ่านกิจกรรม ทางการเมืองเพ่ือรักษาสถานภาพของตน การใช้อิทธิพลมี 4 รูปแบบ ประกอบด้วย (1) การโน้มน้าวจิตใจ (2) การใชก้ �ำลงั บงั คบั (3) การเขา้ ควบคมุ ทรพั ยากรทางเศรษฐกจิ และ (4) การเขา้ มบี ทบาทในการตดั สนิ ใจและ การก�ำหนดนโยบายของรฐั (สุกจิ เจริญรตั นกลุ , 2530, หนา้ 63-68) การใชว้ ธิ กี ารโนม้ นา้ วจติ ใจนน้ั เปน็ การสรา้ งอดุ มการณเ์ พอื่ ใหป้ จั เจกชนเกดิ ความเสอ่ื มใสในอดุ มการณ์ โดยใชก้ ารสอ่ื สารโฆษณาชวนเชอ่ื และปลกู ฝงั อดุ มการณ์เปน็ เครื่องมือ ได้แก่ เอกสาร หนงั สอื พิมพ์ วทิ ยุ รวมถึง โทรทัศน์ ฯลฯ การใช้ก�ำลังบังคับข่มขู่ท�ำได้ง่ายกว่า ด้วยผู้มีอิทธิผลหรือผู้น�ำมีสิ่งท่ีมีคุณค่าอยู่แล้ว ท�ำให้เอื้ออ�ำนวยต่อการใช้ แต่ก็ต้องประเมินผลดีผลเสียให้ดี บางกรณีเป็นส่ิงจ�ำเป็น แต่บางคร้ังอาจไม่จ�ำเป็น ด้วยอาจท�ำให้สูญเสียความศรัทธา ความนับถือและความช่ืนชอบ ดังนั้นความเหมาะสมจึงเป็นเรื่องส�ำคัญ การใช้วิธีการควบคุมทรัพยากรและผลผลิตทางเศรษฐกิจ ผู้มีอิทธิพลหรือผู้น�ำมักท�ำการสะสมหรือเพ่ิมอ�ำนาจ ความมั่งค่ังและทักษะของตน จึงสามารถน�ำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพยายามมีบทบาทควบคุม การผลิต การก�ำหนดราคาสินค้าและบริการ ขณะที่ผู้มีอิทธิพลฝ่ายตรงข้ามผู้ปกครองจะแสดงอิทธิพล รวมถึงแสวงหาอิทธิพลด้วยการปลุกกระแสความรู้สึกที่ไม่พอใจให้กับผู้ใช้แรงงานในการผลิตเพ่ือน�ำไปสู่ การประท้วงและต่อต้านผู้ปกครอง วิธีการสุดท้าย การเข้ามีบทบาทในการตัดสินใจและการก�ำหนดนโยบาย ของรัฐ วิธีการน้ีจะท�ำให้มีบทบาทด้านการบริหารและการตัดสินใจในนโยบาย เป็นสิ่งท่ีท�ำให้ผู้มีอิทธิพล และผูน้ �ำมีอ�ำนาจอยา่ งแท้จรงิ เพราะสามารถก�ำหนดแนวทางตามที่ตนตอ้ งการได้ ในการอธบิ ายอทิ ธพิ ลและบทบาทของผนู้ �ำทางการเมอื งนน้ั Lasswell ใหค้ วามส�ำคญั กบั ความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งบคุ ลกิ ภาพของผนู้ �ำกบั กระบวนการตดั สนิ ใจก�ำหนดนโยบายในระดบั รฐั โดยเหน็ วา่ กระบวนการก�ำหนด

37 นโยบายจะเป็นอย่างไรน้ันขึ้นอยู่กับผู้น�ำท่ีมีบทบาทมากที่สุดในการตัดสินใจ ผู้น�ำแบบเผด็จการจะใช้อ�ำนาจ หนา้ ทใี่ นการตดั สนิ ใจโดยไมใ่ หค้ วามส�ำคญั ความคดิ เหน็ ของผอู้ น่ื จะก�ำหนดนโยบายในแนวทางทตี่ นคดิ วา่ ดที สี่ ดุ ขณะท่ีผู้น�ำแบบนักบริหารจะใช้ตัดสินใจก�ำหนดนโยบายภายใต้การให้ความส�ำคัญกับความชอบธรรมและ ประสทิ ธผิ ล อยา่ งไรกต็ ามทงั้ สองหลกั การกอ็ าจอยตู่ รงกนั ขา้ มกนั ได้ นโยบายทมี่ ปี ระสทิ ธผิ ลสงู สดุ เปน็ สงิ่ ทป่ี รารถนา แตห่ ากไม่ได้รบั การยอมรับจากคนสว่ นใหญก่ ็อาจท�ำลายตัวผูป้ กครองได้ แนวคิดการตัดสินใจเลือกของส่วนรวม (public choice) แนวคิดความ เป็นเหตุเป็นผล (rational choice) แนวคิดการตลาดการเมือง (political marketing) และแนวคดิ การสรา้ งภาพลกั ษณท์ างการเมอื ง (political image) ในปจั จบุ นั การตดั สนิ ใจทางการเมอื งของประชาชนนน้ั มลี กั ษณะเปน็ พลวตั รกลา่ วคอื มกี ารเคลอ่ื นไหว และเปล่ียนแปลงตลอดเวลา โดยเป็นผลจากความคิดและการเรียนรู้ทางการเมือง (political socialization) ท่ีเพ่ิมมากข้ึนผ่านประสบการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นอย่างต่อเน่ือง พร้อม ๆ กับการเปลี่ยนแปลงไปสู่ สังคมสมัยใหม่อันเป็นผลจากการปฏิวัติเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร การส่ือสารทางการเมืองจึงมีความส�ำคัญ และถกู น�ำมาใชใ้ นทางการเมอื งและการเลอื กตง้ั ผา่ นสง่ิ ทเ่ี รยี กวา่ “การตลาดการเมอื ง” (political marketing) นโยบายพรรคการเมืองและนักการเมือง รวมถึงภาพลักษณ์ทางการเมืองจึงถูกน�ำมาใช้เป็นกลยุทธ์การหาเสียง และการโฆษณาหาเสียง (political campaign communication) เพื่อสร้างความตระหนักและการรับรู ้ ในทางการเมืองของประชาชนว่าพรรคการเมืองและนักการเมืองของตนมีข้อเสนอในนโยบายและเป้าหมาย ทางการเมืองที่จะน�ำไปสู่การปฏิบัติในอนาคตหากเม่ือได้รับชัยชนะทางการเมืองอย่างไร (Trent, Judith S., Friedenberg, Robert V., and Denton Jr, Robert E., 2011) การสื่อสารทางทางการเมืองน้ันนับว่ามีความส�ำคัญต่อความส�ำเร็จในชัยชนะทางการเมือง ท้ังการหาเสียงเลือกต้ังของบรรดานักการเมืองและพรรคการเมือง รวมถึงความส�ำเร็จของรัฐบาลในการบริหาร ราชการ ทงั้ นดี้ ว้ ยผลของการสอื่ สารทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลยอ่ มสรา้ งความรคู้ วามเขา้ ใจของประชาชน ท่ีมีต่อรัฐบาลนับตั้งแต่การตัดสินใจด้านนโยบาย (decision making) และการน�ำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ (policy implementation) ท�ำให้ได้รับการสนับสนุนพร้อมท้ังปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลน�ำไปสู่โอกาส ทจ่ี ะไดร้ บั เลอื กตง้ั หรอื การเขา้ สอู่ �ำนาจทางการเมอื งในฐานะรฐั บาลอกี ครงั้ ในอนาคต ทง้ั นกี้ ารก�ำหนดยทุ ธศาสตร์ การสื่อสารการเมืองต้องเป็นรูปธรรมและมีแผนปฏิบัติการรองรับ (action plan) รวมถึงกลยุทธ์ มีหลักการ พ้ืนฐานท่ีเป็นเหตุผลสามารถน�ำไปจัดการให้บรรลุเป้าหมาย (Comerford and Callaghan, 1985 อ้างถึงใน สรุ พงษ์ โสธนะเสถียร, 2545, หน้า 161 – 160) ประกอบด้วย

38 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี ประการแรก ปัจจัยสารสารเทศ หรือกระบวนการ เกี่ยวข้องกับ (1) ผู้ส่งสาร คือ นักการเมือง พรรคการเมือง องค์กรหรือสถาบันทางการเมือง (2) สารสนเทศทางการเมือง ซึ่งเป็นเนื้อหาสาระการสื่อสาร ทางการเมืองโดยตรง เพ่ือใช้เป็นข้อมูลทางการเมือง ต้องมีการกลั่นกรอง มีการจัดระเบียบสามารถน�ำไปใช้ได้ สามารถปรบั เปลย่ี น ขยายตวั หรอื ทดแทนขอ้ มลู สารสนเทศทดี่ จี งึ ตอ้ งมาจากประมวลขอ้ เทจ็ จรงิ และการวเิ คราะห์ ทดี่ ีมีความเหมาะสมตอ่ การน�ำไปใช้ (3) ช่องทางการส่อื สาร ส่อื สารมวลชนนับเปน็ ชอ่ งทางหลกั ท่มี คี วามส�ำคัญ เปน็ หนว่ ยทม่ี อี ทิ ธพิ ลหรอื เปน็ เครอ่ื งมอื ในการท�ำใหป้ ระชาชนมแี นวคดิ ทเ่ี หน็ ดว้ ยหรอื สนบั สนบั สนนุ ยทุ ธศาสตร์ การสื่อสารการเมืองจึงอยู่ท่ีวิธีการสร้างอิทธิพลเหนือระบบส่ือมวลชน ปัจจุบันสิ่งท่ีมีผลอิทธิต่อการความคิด ความเช่ือและความรู้ทางการเมืองได้มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปสู่สื่อเทคโนโลยีท่ีทันสมัยและก้าวหน้า เป็นอย่างมาก รัฐบาล พรรคการเมืองและนักการเมืองจึงจ�ำเป็นต้องมีการปรับตัวและพัฒนาขีดความสามารถ ในการประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ หมาะสม และ (4) ผเู้ ปดิ รบั สอื่ การเมอื งหรอื ประชาชน โดยทปี่ ระชาชนอยใู่ นฐานะผรู้ บั ขอ้ มลู ข่าวสารทางการเมือง ทง้ั นี้มคี วามแตกตา่ งกนั ออกไปในกลุ่มคนทหี่ ลากหลาย โดยผทู้ ม่ี ีความรทู้ างการเมืองจะมี ความซบั ซอ้ นในการเขา้ ใจและตระหนกั ถงึ ความส�ำคญั ทางการเมอื ง มคี วามใกลช้ ดิ และผกู พนั กบั พรรคการเมอื ง ที่ตนสังกัด มีความเช่ือม่ันในพรรคการเมือง และให้ความส�ำคัญกับความชอบธรรมทางการเมืองมากกว่า คนทวั่ ไป ประการทส่ี อง การจดั การยทุ ธศาสตรเ์ ชงิ เงอื่ นไข เกยี่ วขอ้ งกบั การจดั ระเบยี บโครงสรา้ ง การพฒั นาระบบ การสอื่ สารทางการเมอื ง และการเจรจาตอ่ รองเพอ่ื ประโยชนท์ างการเมอื ง และประการทส่ี าม ปจั จยั ออกทางการเมอื ง หรอื นโยบาย ประกอบด้วย นโยบายการส่อื สารองค์การ การไหลเวยี นสารสนเทศ และนโยบายในภาวะวิกฤต ส�ำหรับแนวคิดและทฤษฏีที่มีความส�ำคัญต่อการน�ำมาอธิบายและวิเคราะห์ทัศนคติ ความคิด คา่ นยิ ม ความเชอื่ วฒั นธรรมและพฤตกิ รรมทางการเมอื งของรฐั บาล พรรคการเมอื ง นกั การเมอื งและประชาชน อกี ประการคอื ทฤษฏวี า่ ดว้ ยการตดั สนิ ใจเลอื กของสว่ นรวม (public choice theory) (อนสุ รณ์ ลมิ่ มณ,ี 2555) แนวคิดน้ีมองว่าทั้งรัฐบาล พรรคการเมือง นักการเมืองและประชาชนต่างตัดสินใจทางการเมืองภายใต้ความ ต้องการในอรรถประโยชน์สูงสุด โดยมีสมมติฐาน 4 ประการ กล่าวคือ ประการแรก การซ้ือขายแลกเปล่ียน ในระบบตลาด (exchange) ซง่ึ รฐั บาล พรรคการเมอื ง นกั การเมอื ง อยใู่ นฐานะผผู้ ลติ สนิ คา้ และบรกิ ารสาธารณะ ในรูปนโยบายเพื่อให้ประชาชนในฐานะผู้บริโภคหรือผู้ซ้ือสินค้า (customer) ซ่ึงฝ่ายการเมืองย่อมต้อง คิดค้นสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ท่ีสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนโดยรวม ประการท่ีสอง ประชาชน จะมีลักษณะที่เป็นปัจเจกชนและมุ่งแสวงหาผลประโยชน์ของตนเองและเห็นแก่ตัว พฤติกรรมเห็นแก่ตัว ดังกล่าวรวมถึงรัฐบาลหรือนักการเมืองด้วยเช่นกัน โดยรวมแล้วพฤติกรรมและความต้องการของคนส่วนใหญ่ จะมีลักษณะที่เหมือนกันหรือย่อมเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ประการที่สาม การตัดสินใจเลือกอย่างมีเหตุผล โดยการตัดสินของประชาชนมีหลักการพ้ืนฐานที่มาจากความสามารถในการจัดล�ำดับความต้องการสูงสุดของ ตนเอง ดงั นนั้ การตดั สนิ ใจทางการเมอื งดว้ ยการลงคะแนนเสยี งเลอื กนกั การเมอื งและพรรคการเมอื งจงึ มเี หตผุ ล เฉพาะของตน และประการทส่ี ่ี การมงุ่ กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ (maximization of unitality) โดยมองวา่ พฤตกิ รรม ของประชาชนเปน็ พฤตกิ รรมทม่ี งุ่ ประโยชนส์ งู สดุ อยา่ งมเี หตผุ ล เปน็ ธรรมชาตขิ องมนษุ ยท์ จ่ี ะกระท�ำสงิ่ ทเ่ี ปน็ ประโยชน ์ และความต้องการของตนเองอยู่เสมอ เช่นเดียวกันกับท่ีรัฐบาลจะมุ่งด�ำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจท่ีคาดหวัง ว่าจะได้รับการสนับสนุนหรือการลงคะแนนเสียงเลือกพรรคและสมาชิกพรรคของตนเองมากท่ีสุด หรือการ

39 เลือกของประชาชนท่มี ีต่อพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหน่งึ ที่คาดหวงั ว่า หากพรรคและนกั การเมอื งทีเ่ ปน็ สมาชกิ พรรคดงั กลา่ วไดเ้ ปน็ รฐั บาลยอ่ มท�ำใหช้ วี ติ ความเปน็ อยดู่ ขี นึ้ (Breton 1978, McKenzie and Tullock, 1978, Wiseman, 1978, Frey, 1978 และ Buchanan, 1978 อา้ งถงึ ใน อนสุ รณ์ ลมิ่ มณ,ี 2555, หนา้ 95-98) อยา่ งไรกต็ าม ปจั จบุ นั จะพบวา่ ดว้ ยพฤตกิ รรมทางการเมอื งของประชาชนทเี่ ปลยี่ นแปลงไป การมงุ่ ผลผลติ นโยบายสาธารณะของพรรคการเมืองและนักการเมืองในภาพรวมจึงอาจไม่สามารถตอบโจทย์หรือสนอง ความต้องการของประชาชนในแต่ละกลุ่มที่มีความแตกต่างหลากหลายได้ ดังน้ันจึงปรากฏการด�ำเนินนโยบาย ของพรรคการเมืองและโดยเฉพาะรัฐบาลทมี่ ุ่งตอบสนองต่อประชาชนแต่ละกล่มุ ท่แี ตกตา่ งกนั ส�ำหรบั ทฤษฏกี ารเลอื กอยา่ งเปน็ เหตเุ ปน็ ผล (rational choice theory) ของ Jon Elster (ไชยยนั ต์ ไชยพร, 2560 หน้า 88 - 97) น้ันกล่าวได้ว่ามีแนวทางในการอธิบายพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชนในฐานะ ผมู้ สี ทิ ธเ์ิ ลอื กตงั้ และพฤตกิ รรมทางการเมอื งของพรรคการเมอื งในฐานะผมู้ บี ทบาททางการเมอื งเชน่ เดยี วกนั ทฤษฎี การตดั สินใจเลือกของสว่ นรวมซ่ึงอนสุ รณ์ ลิม่ มณี (2555) โดย Jon Elster อธิบายว่าการกระท�ำหรอื พฤตกิ รรม ทเี่ กดิ ขนึ้ ทจี่ ะถอื เปน็ การตดั สนิ ใจเลอื กอยา่ งเปน็ เหตเุ ปน็ ผลไดต้ อ้ งเปน็ การกระท�ำทสี่ นองตอบตอ่ เงอ่ื นไขทพ่ี อใจ ที่สุด (optimality conditions) 3 ประการ ประกอบด้วย ประการแรก ผู้กระท�ำต้องมีความปรารถนาหรือ ความชอบบางอย่าง ขณะเดียวกันความปรารถนาไม่จ�ำเป็นต้องเป็นความปรารถนาที่เป็นเหตุเป็นผลเท่านั้น แต่เปน็ “ตวั ขับเคล่ือนทีค่ งที”่ ถกู ใชป้ ระเมนิ ความเป็นเหตเุ ป็นผลของการกระท�ำ ประการที่สอง ตัวการกระท�ำ ตอ้ งเปน็ หนทางทด่ี ที ส่ี ดุ ทจี่ ะท�ำใหผ้ กู้ ระท�ำสามารถบรรลสุ งิ่ ทป่ี รารถนา โดยขนึ้ อยกู่ บั ความเชอื่ และขอ้ มลู ขา่ วสาร ทตี่ วั ผกู้ ระท�ำมอี ยู่ และประการทสี่ าม ตวั ความเชอ่ื ดงั กลา่ วตอ้ งเปน็ ขอ้ มลู ทเ่ี หมาะสมทสี่ ดุ เทา่ ทต่ี วั ผกู้ ระท�ำจะมี ได้ โดยปริมาณทรพั ยากรที่ใช้ในการไดม้ าซึง่ ขอ้ มูลต้องเหมาะสมที่สุดหรอื นา่ พอใจท่ีสดุ ดว้ ย ทั้งน้ีการกระท�ำท่ีเป็นเหตุเป็นผลดังกล่าว เป็นการที่คนแต่ละคนเลือกท่ีจะท�ำในส่ิงท่ีท�ำให้ตนได้รับ ประโยชนส์ งู สดุ (maximization) อาจอยใู่ นรปู อรรถประโยชน์ (utility) การสนองความถงึ พอใจ (preference) การสนองความต้องการสูงสุดเท่าท่ีสามารถจะได้รับจากการเลือกแบบต่าง ๆ ที่มีอยู่ ในทางเลือกท่ีเป็นเหต ุ เป็นผล (rational choice) เป็นทางเลือกท่ีใหป้ ระโยชน์สูงสดุ แกผ่ ้เู ลอื ก โดยมีต้นทนุ นอ้ ยทีส่ ุดเม่อื เปรยี บเทียบ กบั ทางเลอื กอื่น ๆ แนวคดิ ประชาธปิ ไตยและการมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื ง (political participation and democracy) ค�ำอธิบายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกต้ังในการเมืองระบอบประชาธิปไตยน้ันมักได้รับการอธิบายถึง บทบาท หน้าท่ีและสิทธิทางการเมืองของประชาชนในการเลือกตั้ง ถึงกับมีค�ำกล่าวท่ีว่า อ�ำนาจของประชาชน อยู่ท่ีการเลือกตั้งและคูหาการเลือกต้ังนั่นเองท่ีเป็นพื้นที่สาธารณะที่ส�ำคัญ “การมีส่วนร่วมของประชาชน

40 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี ทเี่ ปน็ การกระท�ำอยา่ งเดยี วทส่ี �ำคญั ทส่ี ดุ คอื การเลอื กตงั้ ” และชว้ี า่ รฐั บาลทเี่ ปน็ ตวั แทนของประชาชน สาธารณชน เลือกผู้ก�ำหนดนโยบาย... การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นหนทางเดียวเท่าน้ันในการส่ือสัมพันธ์กับผู้ท่ีอยู่ใน ต�ำแหน่งหรือนักการเมือง” (เดวิด แมทธิวส์ เขยี น. วันชยั วัฒนศัพท์ แปล., 2552, หนา้ 89) ค�ำอธบิ ายดังกล่าว มีความหมายเช่นเดียวกับฮับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดีและรัฐบุรุษของสหรัฐอเมริกาในพิธีสดุดีทหาร ณ สุสานเกสตร้ีเบิร์ก (the Gettysburg Address) ว่า “ประชาธิปไตยเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชนและเพ่ือประชาชน” (the government of the people, by the people, for the people) ซ่ึงค�ำกล่าวดังกล่าวมีอิทธิพลต่อการเมืองในระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างมากจนกระท่ังถึงปัจจุบัน (Blaug, Ricardo and Schwarzmantel eds, 2000, p.91) ทั้งนี้ภายใต้แนวคิดประชาธิปไตย นักทฤษฎีและนักคิดทางการเมืองที่มีช่ือเสียงได้รับการกล่าวถึง มีอยู่เป็นจ�ำนวนมากท้ังแนวคิดคลาสิคและสมัยใหม่ ซ่ึงล้วนแล้วแต่กล่าวถึงหลักการส�ำคัญของประชาธิปไตย วา่ โดยถงึ ทส่ี ดุ แลว้ ประกอบดว้ ยสง่ิ ใดบา้ ง ตวั อยา่ งนกั คดิ คนส�ำคญั ในกลมุ่ ทเี่ นน้ เรอื่ งเสรภี าพและอสิ รภาพ ไดแ้ ก่ ฌงั ค์ ฌารค์ รสุ โซ (Jean-Jacques Rousseau) ซง่ึ ผลติ งานเขยี นทมี่ ชี อื่ เสยี งเรอ่ื ง “สญั ญาประชาคม” (the Social Contract) เอ็มมานูเอล ค้านท์ (Immanuel Kant) เร่ือง On the Common Saying: ‘This May Be True in Theory but it Does not Apply in Practice’ งานของเบนจามิน คอนแสตนท์ (Benjamin Constant) เรื่อง The Liberty of the Ancients Compared with that of the Moderns งานของ อิซะห์ เบอร์ลิน (Isaiah Berlin) เร่ือง Two Concepts of Liberty และงานของ รอเบิร์ต พอล วูฟล์ (Robert Paul Wolff) เรอ่ื ง In Defense of Anarchism (Blaug, Ricardo and Schwarzmantel eds, 2000, pp.100-118) ส�ำหรบั Seymour Martin Lipset ไดอ้ ธบิ ายระบอบการเมอื งแบบประชาธปิ ไตยวา่ เปน็ ลกั ษณะเฉพาะ ของสังคม เก่ียวข้องกับโครงสร้างของระบบสังคม จึงมีความซับซ้อนผสมผสานท้ังความขัดแย้ง ความร่วมมือ ของคนในสังคม กรณีของสังคมอเมริกันเป็นตัวอย่างที่มีทั้งความขัดแย้งและความร่วมมือที่มาจากการแข่งขัน ตอ่ รองในกลมุ่ ผลประโยชนต์ า่ ง ๆ แนวคดิ ดงั กลา่ วเปน็ ไปในลกั ษณะเดยี วกบั Robert A. Dahn ซง่ึ เหน็ วา่ รฐั บาล ในระบอบประชาธิปไตยเป็นของกลุ่มผลประโยชน์ ผู้ปกครองท่ีแท้จริงจึงคือกลุ่มผลประโยชน์ พรรคการเมือง เป็นเพียงองค์กรท�ำหน้าท่ีเสนอความคิดและน�ำข้อเรียกร้องของกลุ่มผลประโยชน์เสนอต่อรัฐบาล กิจกรรม/ นโยบาย/โครงการของรัฐจึงเกิดขึ้นเพ่ือตอบสนองข้อเรียกร้องและตอบสนองต่อกลุ่มผลประโยชน์ ซ่ึงกลุ่มผล ประโยชนล์ ว้ นแลว้ แตม่ อี �ำนาจและอทิ ธพิ ล เพยี งแตอ่ าจมไี มเ่ ทา่ กนั เทา่ นน้ั ซงึ่ ค�ำอธบิ ายดงั กลา่ วดงั กลา่ วของ Dahn น�ำมาสู่การอธิบายความเป็นสังคมพหุนิยมของอเมริกา (สุกิจ เจริญรัตนกุล, 2531, หน้า 71) ส�ำหรับ Lipset นน้ั เชอ่ื วา่ ผปู้ กครองทม่ี าจากคนกลมุ่ นอ้ ยทเี่ ปน็ ตวั แทนพรรคการเมอื งทม่ี าจากการเลอื กตงั้ จะเขา้ ไปท�ำหนา้ ทเี่ พอื่ คนสว่ นใหญท่ ่ีเลอื กพรรค และเห็นวา่ สถาบนั การเมอื งและสถาบนั ราชการในระบอบประชาธิปไตยจะยืนอยูก่ บั เสยี งสว่ นใหญข่ องประชาชน โดยทสี่ งั คมประชาธปิ ไตยจะประกอบไปดว้ ยลกั ษณะส�ำคญั 3 ประการ ประกอบดว้ ย ประการแรก คนในสงั คมมปี รชั ญาความเชอ่ื รว่ มกนั วา่ เสรภี าพทางการเมอื งเปน็ สงิ่ ทชี่ อบดว้ ยกฎหมาย ประการทส่ี อง กลมุ่ ผนู้ �ำการเมอื ง เปน็ คนกลมุ่ นอ้ ยทค่ี รอบครองต�ำแหนง่ การเมอื งรวมถงึ มบี ทบาทเปน็ ผปู้ กครอง และประการทส่ี าม กลุ่มผู้น�ำการเมืองอื่น ที่มิได้เป็นผู้ปกครองจะท�ำหน้าท่ีตรวจสอบติดตามการกระท�ำท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมาย

41 ของผู้ปกครองและจะพยายามเข้าไปเป็นผู้ปกครอง โดยท่ีสังคมแบบประชาธิปไตยจะเกิดข้ึนเม่ือคนในสังคม มีค่านิยม ปทัสถานและวัฒนธรรมท่ีเหมาะสมและสอดคล้องกับระบอบการเมือง นอกจากน้ีกฎเสียงข้าง มากมิใช่คนส่วนมากเป็นผู้ปกครองแต่เป็นคนกลุ่มน้อยท่ีได้รับความเห็นชอบจากคนจ�ำนวนมากท�ำหน้าท่ี เป็นผู้ปกครอง ในขณะท่ีปัจจัยสังคมที่เอ้ือต่อระบอบประชาธิปไตย ประกอบด้วย ระดับความ่ังค่ัง (wealth) ความเจริญทางอุตสาหกรรม (industrialization) สภาพสังคมเมือง (urbanization) และ ระดับการศึกษา (education) นอกจากนี้แล้วในมิติการใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของกลุ่มผลประโยยชน์น้ัน Lipset เห็น ว่ากลุ่มผลประโยชน์จะไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือไม่นั้น มาจากเงื่อนไขส�ำคัญได้แก่ (1) ผลประโยชน์ของกลุ่ม ได้รบั การกระทบจากนโยบายของรัฐบาล (2) การไดร้ ับรู้ถงึ การตดั สินใจทางการเมอื งที่จะเกดิ ผลดีตอ่ ประโยชน์ ของกลุ่มตน (3) สังคมเกิดภาวะวิกฤต ต้องพึ่งพามติมหาชน และ (4) การไม่มีพรรคการเมืองในการเลือกต้ัง หลายพรรคจนเกินไป (สุกิจ เจริญรัตนกุล, 2531, หน้า 80-82, 85) ในทัศนะของ Lipset ดังกล่าวแสดงให้ว่า การเปล่ียนแปลงและการพัฒนาทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยน้ันย่อมเป็นผลมาจากการเปล่ียนแปลง ทางเศรษฐกจิ สงั คม และวฒั นธรรมเปน็ ส�ำคญั และการมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งของกลมุ่ ผลประโยชนด์ ว้ ยการไปใชส้ ทิ ธ ิ ลงคะแนนหรือไมน่ ้ันขน้ึ อย่กู ับการประเมินผลกระทบดา้ นนโยบายที่เกิดขึน้ จากรัฐบาลหลงั การเลือกต้ัง การเปลี่ยนแปลงของระบอบประชาธิปไตยโดยเฉพาะการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน นั้นนับว่ามีความส�ำคัญเป็นอย่างย่ิงในสังคมไทยปัจจุบัน ดังจะพบว่าความสนใจทางการเมืองทั้งการท�ำหน้าท ี่ ของรัฐบาล พรรคการเมืองและนักการเมืองน้ันมีมากขึ้นเป็นล�ำดับ นอกจากน้ีแล้วความสนใจการเมือง และการมีส่วนร่วมทางการเมืองน้ันมิใช่การให้ความส�ำคัญกับการเลือกต้ังเพียงอย่างเดียว ซ่ึงเป็นการเมือง ที่ให้ความส�ำคัญกับมิติการเมืองที่เป็นการรวมศูนย์อ�ำนาจการปกครองเป็นประชาธิปไตยแบบตัวแทน อันเป็นแนวคิดประชาธิปไตยท่ีได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าล้มเหลว ไม่สามารถตอบสนองความต้องการ และการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้ การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในปัจจุบัน จึงแปรเปลี่ยนและขยายไปสู่มิติต่าง ๆ เช่น การจัดการท้องถิ่น การจัดการทรัพยากร สิทธิสตรี สิทธิมนุษยชน สิทธขิ องกลุ่มชาตพิ ันธุ์ กลุม่ ศาสนา และสทิ ธิทางเพศ เปน็ ต้น การมีส่วนร่วมทางการเมืองในมิติต่าง ๆ ดังกล่าวน้ีนักวิชาการจ�ำนวนมากได้ท�ำศึกษาและอธิบาย เช่น ถวิลวดี บุรีกลุ (2552, หนา้ 16-17) ในงานเขียนเรือ่ ง “พลวัตรการมีสว่ นรว่ มทางการเมืองของประชาชน: จากอดีตจนถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550” ซ่ึงได้อธิบายถึงเง่ือนไขพื้นฐาน ในการมีส่วนร่วมทางการเมือง 3 ประการ ประกอบด้วย การมีเสรีภาพ ความเสมอภาค และความสามารถ ซ่ึงในประเด็นแรกน้ันประชาชนจะมีส่วนร่วมหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องเป็นไปโดยความสมัครใจ ไม่ถูกบังคับ ในกรณีใด ๆ ขณะท่ีความเสมอภาค ให้ความส�ำคัญกับการมีสิทธิท่ีเท่าเทียมกันกับคนอ่ืน และความสามารถ เก่ียวข้องกับการท่ีประชาชนแต่ละกลุ่มจะเข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้หลักความสามารถ มิใช่จ�ำเป็น ต้องเข้าร่วมในทุกกิจกรรม ซ่ึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก นอกจากน้ีแล้วการมีส่วนร่วมมีหลายระดับ เช่น การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (decision making) การมีส่วนร่วมในการด�ำเนินการ (implementation) การมสี ว่ นรว่ มรับผลประโยชน์ (benefit) และการมีส่วนรว่ มในการประเมินผล (evaluation) เปน็ ต้น

42 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี วรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้อง ส�ำหรับงานวิจัยหรือวรรณกรรมท่ีเกี่ยวข้องในการศึกษาพฤติกรรมทางการเมือง และแนวคิดทาง การเมอื งของนกั การเมอื งรวมถงึ พรรคการเมอื งในการหาเสยี งเลอื กตง้ั หรอื การท�ำงานการเมอื งทเี่ กย่ี วขอ้ ง อาทิ งานศกึ ษาของกฤษณา ไวส�ำรวจ (2555) เรอื่ งนกั การเมอื งถนิ่ จงั หวดั สมทุ รสงคราม ใชก้ รอบแนวคดิ เกยี่ วกบั การ เลอื กตง้ั ระบบอปุ ถมั ภ์ แนวคดิ ความเปน็ ผนู้ �ำ แนวคดิ ธนกจิ การเมอื ง แนวคดิ การเชอ่ื มโยงเครอื ขา่ ย (networks) แนวคดิ การเมอื งโดยใชต้ ลาดน�ำ (political marketing) ผลการศกึ ษาพบวา่ นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั สมทุ รสงคราม ทเ่ี คยไดร้ บั การเลอื กตง้ั ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบตา่ ง ๆ คอื (1) การเปน็ คนถนิ่ (2) การเปน็ อดตี ขนุ นางสายราชนกิ ลู (3) กลุ่มอาชีพราชการ ครูและนักกฎหมาย (4) กลุ่มนักธุรกิจหรือวานิชย์ เป็นผู้มีการศึกษา ผู้ทรงอิทธิพล ในท้องถ่ิน (5) นักการเมืองหญิงชาวบ้าน และ (6) แกนน�ำเครือข่ายประชาชน ในขณะท่ีปัจจัยที่มีผล ตอ่ การเลอื กต้ังทสี่ �ำคัญ คอื (1) บทบาทของเครือญาติ เครอื ขา่ ย กลมุ่ ผลประโยชน์ พรรคการเมืองและผ้สู มคั ร ในการสนบั สนนุ นักการเมือง (2) วัฒนธรรมวถิ ที ่ใี ช้ในการหาเสยี งและการจดั ต้งั ฐานเสยี ง ในการศกึ ษาของนพิ นธ์ โซะเฮง (2560) เรอ่ื งนกั การเมอื งถนิ่ จงั หวดั ขอนแกน่ ใชก้ รอบแนวคดิ บทบาท นกั การเมอื ง เครอื ขา่ ย ความสมั พนั ธท์ างการเมอื งกบั บคุ คลหรอื กลมุ่ บคุ คลผกู โยงกบั มรดกทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละ วฒั นธรรมทางการเมอื งไทย โครงสรา้ งอ�ำนาจแบบรวมศนู ยอ์ �ำนาจ หลกั เศรษฐธรรม และแหลง่ ทม่ี าของอ�ำนาจ ในการเมอื งภาคประชาชนส�ำหรบั ศกึ ษา ผลการศกึ ษาพบวา่ ประการแรก นกั การเมอื งมกั ใชป้ ระโยชนจ์ ากมรดก ทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละวัฒนธรรมไทย เช่น ระบบอปุ ถมั ภ์ เครอื ขา่ ยกลมุ่ ข้าราชการท้องถนิ่ ได้แก่ ก�ำนนั ผูใ้ หญ่ บ้าน อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) สถาบันทางการศึกษา สถาบันทางศาสนา โรงเรียน วัด เป็นต้น ประการที่สอง นักการเมืองจังหวัดขอนแก่นมักใช้ประโยชน์จากความเชิงอ�ำนาจจากในอดีตคือกลุ่ม ขา้ ราชการกอ่ นทจี่ ะคอ่ ย ๆ เปลย่ี นแปลงไปสโู่ ครงสรา้ งความสมั พนั ธอ์ �ำนาจแบบใหมภ่ ายใตค้ วามเปน็ ประชาธปิ ไตย ที่มากขึ้น ภายใต้การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน เช่น ความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ได้รับ การสนองตอบมากข้ึนผ่านนโยบายประชานิยมที่เป็นรูปธรรมโดยเฉพาะการเมืองนับจากปี 2544 ถึงปัจจุบัน นับเป็นนโยบายที่เน้นการตลาดการเมือง ประการท่ีสาม ภายใต้กรอบหลักเศรษฐธรรม นักการเมืองขอนแก่น ต้องค�ำนึงถึงความอยู่รอด โดยอ�ำนาจหน้าท่ีของนักการเมืองมีความสอดคล้องกับผลประโยชน์สาธารณะ (public interest) และผลประโยชนข์ องประชาชน นกั การเมอื งจงึ ตอ้ งเขา้ ถงึ ประชาชน และเขา้ ใจความตอ้ งการ ของประชาชน สามารถน�ำเสนอความต้องการของประชาชนเพ่ือเป็นนโยบายของพรรคและน�ำไปสู่การปฏิบัติ ท่ีเป็นรูปธรรมให้ได้ เป็นหน่ึงในวิธีการชนะการเลือกต้ังและการรักษาฐานอ�ำนาจของตน หลักเศรษฐธรรม จงึ เปน็ วิถีการสรา้ งความชอบธรรมของนักการเมอื งและการรกั ษาความอย่รู อดทางการเมือง ส�ำหรบั งานศึกษาของสวุ ิชา วรวิเชยี รวงษ์ และณฐั พงศ์ บุญเหลือ (2560) เรอื่ งนักการเมืองถ่นิ จังหวัด กาญจนบุรี ใช้กรอบแนวคิดความสัมพันธ์ระบบเครือญาติ แนวคิดระบบอุปถัมภ์ แนวคิดวัฒนธรรมการเมือง แนวคดิ อ�ำนาจและอทิ ธพิ ลทางการเมอื ง แนวคดิ อดุ มการณท์ างการเมอื ง และแนวคดิ การหาเสยี งและการรกั ษา ฐานเสียง ผลการศึกษาพบว่าในการหาเสียงเลือกตั้งและการรักษาฐานเสียงในการเมืองถ่ินจังหวัดกาญจนบุรี

43 นัน้ จะเก่ยี วข้องกบั ความเชอื่ ค่านยิ มและพฤติกรรมทางการเมอื ง รวมถงึ วัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชน เป็นความสัมพันธ์ภายใต้การพึ่งพาระหว่างนักการเมืองท่ีมุ่งหวังคะแนนเสียงสนับสนุนโดยมีเป้าหมาย คอื การชนะการเลอื กตงั้ ขณะทป่ี ระชาชนในทอ้ งถนิ่ จะมวี ฒั นธรรมทางการเมอื งทใี่ หค้ วามส�ำคญั กบั ความตอ้ งการ ให้นกั การเมอื งเข้ามาชว่ ยเหลอื หรือแก้ไขปญั หาความเดอื ดรอ้ นจากปญั หาการขาดแคลนสาธารณปู โภคพื้นฐาน ซง่ึ เปน็ ปจั จยั พนื้ ฐานทางเศรษฐกจิ พฤตกิ รรมและการปฏบิ ตั กิ ารทางการเมอื งของนกั การเมอื งจงั หวดั กาญจนบรุ ี ที่พบคือการให้ค�ำม่ันสัญญา การให้ค�ำปรึกษา และการน�ำเสนอโครงการหรือแผนงานการพัฒนท้องถิ่นผ่าน ผู้น�ำชุมชนและท้องถ่ิน ท้ังน้ีความส�ำเร็จทางการเมืองด้วยการชนะการเลือกตั้งจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยความส�ำเร็จ หรือผลงานของนักการเมืองมากกว่าปัจจัยความส�ำเร็จในหน้าท่ีการงานหรือภูมิหลัง/ประวัติของนักการเมือง ซ่ึงแม้ว่าจะมีภูมิหลังเป็นลูกหลานชาวบ้านหากแต่สามารถพัฒนาตนเองในด้านการศึกษาจนกระทั่งประสบ ความส�ำเร็จในอาชีพราชการ รวมถึงการเป็นอดีตนายทหารระดับสูงมาก่อนก็มิได้เป็นปัจจัยท่ีจะสามารถท�ำให้ ประสบความส�ำเรจ็ ทางการเมืองหรือชนะการเลอื กตัง้ ไดแ้ ตอ่ ย่างใด ส�ำหรบั งานศกึ ษาของไชยวฒุ ิ มนตรรี กั ษ์ (2551) เรอ่ื งนกั การเมอื งถนิ่ จงั หวดั เลย พบวา่ กลมุ่ สนบั สนนุ นักการเมอื งและความสมั พนั ธ์ระหวา่ งนักการเมอื งกับประชาชนในชว่ งเริ่มต้นระหวา่ งปี 2476-2500 มพี ื้นฐาน จากความสมั พนั ธใ์ นตระกลู เครอื ญาติ แตเ่ รม่ิ มกี ารเปลยี่ นแปลงนบั จากปี 2512 ดว้ ยเกดิ กลมุ่ เครอื ขา่ ยนกั ธรุ กจิ ท่ีเข้าสู่การเมืองระดับชาติ มีความสัมพันธ์ระหว่างนักธุรกิจระหว่างจังหวัด การสนับสนุนจากกลุ่มธุรกิจค้าไม้ เริ่มมีการซ้ือเสียง การใช้อิทธิพลกับหัวคะแนน การสร้างระบบอุปถัมภ์ ต่อมาระหว่างปี 2531-2535 การเมือง มีลักษณะ 2 แบบ นักการเมืองส่วนหนึ่งมีพฤติกรรมเชิงอุดมการณ์ และอีกกลุ่มเป็นกลุ่มธุรกิจแบบธนกิจ การเมือง โดยที่นับจากปี 2538 เป็นต้นมา กลุ่มนักการเมืองท่ียึดอุดมการณ์ประชาธิปไตยพ่ายแพ้ ไม่ชนะ การเลอื กตงั้ อกี เลย ในขณะทใ่ี นพน้ื ทย่ี งั ไมป่ รากฏการจดั ตง้ั เครอื ขา่ ยการเมอื งทเ่ี ดน่ ชดั แมว้ า่ จะมกี ลมุ่ การเมอื ง เข้มแข็ง 3 ตระกูล ประกอบด้วย ตระกูลแสงเจริญรัตน์ ตระกูลเร่งสมบูรณ์สุข และตระกูลทิมสุวรรณ ซึ่งล้วน แล้วแต่เป็นกลุ่มท�ำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างทั้งสิ้น และการสัมปทานเหมืองแร่ ภายใต้ 3 ตระกูลมีการแบ่งพ้ืนท ่ี ทางการเมืองแบบประนีประนอมและจัดสรรท่ีลงตัว ท�ำให้มีบทบาทและอิทธิพลทางการเมืองท่ีต่อเนื่องจนถึง ปี 2548 จงึ ไม่ปรากฏการแข่งขนั ในลกั ษณะตลาดการเมอื งทแี่ ท้จรงิ ส�ำหรับวิธีการและรูปแบบการหาเสียงระหวา่ งปี 2476-2500 ใชก้ ารเดนิ หาเสยี งตามหม่บู า้ น ใบปลิว โปสเตอร์ ภาพยนต์ การจัดเลี้ยง แจกส่ิงของ เช่น น้�ำปลา ปลาร้า ปลาทูเค็ม รองเท้า ในขณะที่นักการเมือง บางคนใช้การปราศรัยน�ำเสนอนโยบายการพัฒนาความเจริญในพื้นที่ การน�ำเสนอภาพลักษณ์หัวหน้าพรรค การปล่อยข่าวลือโจมตีให้ร้ายคู่แข่ง อย่างไรก็ตามนับจากปี 2518 เร่ิมมีการซ้ือเสียง จัดเลี้ยง จัดตั้งเครือข่าย หัวคะแนน นักการเมืองท่ีมีพื้นฐานนักธุรกิจเลือกใช้การเงินและอุปถัมภ์หัวคะแนน โดยที่ไม่เน้นการปราศรัย นับจากปี 2538 เป็นต้นมามีการน�ำรูปแบบการบริหารธุรกิจและการสร้างฐานะคะแนนเสียง และการสร้าง ความสัมพันธ์ใกล้ชิดข้าราชการผู้ใหญ่ในจังหวัดส�ำหรับควบคุมและใช้ประโยชน์จากกลไกราชการ มีกลุ่ม การเมอื งระดบั ชาตชิ ว่ ยเหลอื ในลกั ษณะทเี่ รยี กวา่ “มงุ้ การเมอื ง” เพอื่ สรา้ งความเขม้ แขง็ ในอ�ำนาจทางการเมอื ง นับจากปี 2535-2548 ระบบอุปถัมภ์และเงินทุนเป็นปัจจัยส�ำคัญต่อความส�ำเร็จทางการเมือง ในขณะที่ปัจจัย

44 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี ความล้มเหลวในการเลือกต้ังมาจากข้อจ�ำกัดด้านความสามารถเชิงเศรษฐกิจ วิธีการบริหารจัดการหัวคะแนน ข่าวลือ และพฤติกรรมสว่ นตวั ของนกั การเมืองในระหว่างด�ำรงต�ำแหนง่ และไมไ่ ด้ด�ำรงต�ำแหน่ง ส�ำหรับงานศึกษาของกรวิทย์ เกาะกลาง (2555) เรื่องนักการเมืองถิ่นจังหวัดกระบ่ีนั้นพบว่า ความส�ำเรจ็ ในทางการเมอื งมาจากปจั จยั ดา้ นภมู หิ ลงั ของตวั นกั การเมอื ง เรมิ่ จากการมอี าชพี ทม่ี นั่ คงโดยสว่ นใหญ่ เคยเป็นข้าราชการมาก่อน แต่การเข้าสู่การเมืองมีการวางแผนผ่านการสร้างเครือข่ายจากอาชีพเดิมซ่ึงมีความ ส�ำคัญ เพราะมีเพื่อนร่วมอาชีพ ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชาและเครือชาติของคนเหล่านั้นให้การสนับสนุน ในขณะที่กลยุทธ์การหาเสียงที่ส�ำคัญ ประกอบด้วย (1) การพบปะชาวบ้านด้วยตนเอง การพบแกนน�ำ เป็น ปัจจัยทนี่ �ำไปสกู่ ารชนะใจประชาชน ท�ำให้เกดิ ความผกู พัน ความภาคภูมใิ จทีม่ นี กั การเมืองมาพบถึงบา้ น ท�ำให้ ประชาชนเขา้ ใจและทราบถงึ พฤตกิ รรมสว่ นบคุ คล การไมถ่ อื ตวั เปน็ สงิ่ ทที่ �ำใหเ้ กดิ ผลในวงกวา้ ง (2) การหาเสยี ง กบั สถานศกึ ษา โดยเฉพาะสถานศกึ ษาทม่ี ชี อื่ เสยี ง ความเปน็ ศษิ ยเ์ กา่ ท�ำใหเ้ กดิ เครอื ขา่ ย ความเปน็ เพอื่ น พนี่ อ้ ง เกิดความภาคภูมิใจและยอมรับรวมถึงสนับสนุน (3) การหาเสียงกับกลุ่มสตรี ด้วยผู้หญิงเป็นกลุ่มคนที่บทบาท ทางสงั คมและครอบครวั ส�ำคญั การใชว้ ธิ กี ารดแู ลและรว่ มกจิ กรรมตา่ ง ๆ รวมถงึ การศกึ ษาดงู าน (4) การหาเสยี ง กับผู้สูงอายุ ด้วยการเป็นผู้ประสานงานเพ่ือเข้าร่วมกิจกรรมโครงการ เช่น เบี้ยผู้สูงอายุ การเล้ียงน้�ำชา กาแฟ เพ่ือสร้างความใกล้ชิด (5) การหาเสียงผ่านศาสนา แม้ว่าจะปรากฎไม่มากนักแต่การท�ำกิจกรรมทางศานา เช่น ศาสนาอสิ ลาม นบั วา่ มผี ลตอ่ คะแนนเสยี งเชน่ เดยี วกนั และ (6) การหาเสยี งโดยพรรคการเมอื ง ในยคุ แรกการเมอื ง กระบไ่ี มไ่ ดผ้ กู พนั กบั พรรคการเมอื ง แตเ่ ปน็ เรอื่ งตวั บคุ คล จนกระทง่ั ปี 2526 พรรคกจิ สงั คมนบั เปน็ การเมอื งแรก ท่ชี าวบา้ นร้จู กั และไว้วางใจ ตอ่ มาจงึ เปลยี่ นเป็นพรรคประชาธปิ ัตย์จนกระทงั่ ถึงปจั จุบัน นอกจากท่ีกล่าวข้างต้นแล้วยังมีงานศึกษาเกี่ยวกับนักการเมืองหลายชิ้นท่ีเก่ียวข้องซึ่งพบว่า โดยรวมแล้วในปัจจุบันพฤติกรรมทางการเมือง กลยุทธ์ วิธีการและรูปแบบการหาเสียงเลือกต้ัง การด�ำเนิน กิจกรรมทางการเมือง ก็มิได้แตกต่างกันโดยมากนัก เช่นงานศึกษาของบูฆอรี หยีมะ (2549) เรื่องนักการเมือง ถน่ิ จงั หวดั ปตั ตานี งานศกึ ษาเรอื่ งนกั การเมอื งถนิ่ จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านขี องรจุ นจ์ าลกั ษณร์ ายา คณานรุ กั ษ์ (2551) งานศึกษาของศรุดา สมพอง (2550) เร่ืองนักการเมืองถ่ินจังหวัดฉะเชิงเทรา งานของพิชญ์ สมพอง (2551) เรอื่ งนักการเมอื งถน่ิ จังหวดั ยโสธร งานของชาญณวฒุ ิ ไชยรกั ษา (2549) เรือ่ งนกั การเมืองถน่ิ จงั หวัดพิษณุโลก โดยผลการศึกษานักการเมืองในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ เช่น จังหวัดปัตตานีและจังหวัดสุราษฎร์ธานี นั้น การตัดสินใจทางการเมืองของประชาชนจะให้ความส�ำคัญกับพรรคการเมืองเป็นล�ำดับแรก ด้วยเป็นผล จากลักษณะของพื้นท่ีท่ีเป็นฐานการเมืองท่ีล้วนแล้วแต่สนับสนุนโดยมีความเช่ือร่วมกันว่าเป็นพรรคการเมือง ที่เป็นตัวแทนของคนในจังหวัดภาคใต้และความภูมิใจของพวกเขา พ้ืนฐานท่ีมาของความเช่ือดังกล่าวมาจาก การมองว่าพรรคการเมืองซ่ึงก็คือพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคท่ีมีท่ีมาในการก่อต้ังชัดเจน ภายใต้ค�ำกล่าวท่ีว่า “พรรคเลือกคน ประชาชนเลือกพรรค” ในขณะที่นักการเมืองท�ำหน้าท่ีเป็นตัวแทนในการเข้าไปแก้ไขปัญหา ความเดือดร้อน แต่ความเป็นนักการเมืองในพื้นท่ีก็มิอาจปฏิบัติได้ถึงสิ่งท่ีต้องกระท�ำ กล่าวคือการสร้าง ความสัมพันธ์ใกล้ชิด การมีระบบหัวคะแนนในทุกพื้นท่ี การพบปะประชาชน การร่วมงานประเพณี การร่วม งานกิจกรรมสงั คม การสร้างเครือขา่ ยรว่ มสถาบนั การศึกษา เครือขา่ ยอาชีพ เครือขา่ ยแม่บ้าน ระบบเครือญาติ

45 รวมถงึ การปราศรยั ในชว่ งเวลาการหาเสยี งเลอื กตง้ั การสรา้ งความเปน็ ทอ้ งถน่ิ นยิ ม ทง้ั นเี้ พอื่ รกั ษาฐานเสยี งและ สรา้ งคะแนนนิยม (บฆู อรี หยมี ะ, 2549 และ รุจน์จาลกั ษณร์ ายา คณานุรักษ,์ 2551) ส�ำหรบั นกั การเมอื งจงั หวดั อน่ื ๆ ทงั้ ภาคกลาง ภาคเหนอื ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และภาคกลาง สงิ่ ทมี่ ผี ลตอ่ ความส�ำเรจ็ ในการเลอื กตงั้ ของนกั การเมอื งลว้ นแลว้ แตม่ ลี กั ษณะและรปู แบบทใี่ กลเ้ คยี งกนั กลา่ วคอื การเมืองในยุคอดีตส่วนใหญ่แล้วกลุ่มนักการเมืองมักมีพ้ืนฐานทางสังคม เศรษฐกิจและครอบครัว โดยเฉพาะ พื้นฐานการเป็นข้าราชการ และกลุ่มธุรกิจพ่อค้าของจังหวัด ความเป็นตระกูลการเมืองจึงเกิดขึ้นจากพื้นฐาน ดังกล่าว และท�ำให้เกิดการผูกขาดในระยะแรกของการเมืองในระบบเลือกต้ัง เช่น ในจังหวัดพิษณุโลก นักการเมืองในยุคแรกจะมาจากข้าราชการจนกระทั่งปี 2512 จึงเป็นเปลี่ยนมาเป็นนักการเมืองที่มาจากพ่อค้า เช่น ตระกูลชามพูนุท ตระกูลภักด์ิประไพ และไกรฤกษ์ ส�ำหรับส่ิงที่นักการเมืองใช้เป็นกลยุทธ์และรูปแบบ การหาเสียงท่ีส�ำคัญคือ การลงพื้นท่ีพบปะประชาชนอย่างสม�่ำเสมอ การเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ในพ้ืนท่ี การจัดต้ังระบบหัวคะแนน การสร้างเครือข่ายทางสังคม ดังน้ันความสัมพันธ์ส่วนบุคคลและพฤติกรรมส่วนตัว ในพนื้ ทเี่ ลอื กตง้ั จงึ มคี วามส�ำคญั ตอ่ ชวี ติ ความเปน็ นกั การเมอื ง (ชาญณวฒุ ิ ไชยรกั ษา, 2549) ในการเมอื งจงั หวดั ฉะเชิงเทรา ภูมิหลังของนักการเมืองส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมที่ดี มีชื่อเสียงเป็น ท่ีรู้จักของคนในพ้ืนที่ต่อเนื่องมาจากรุ่นบิดาหรือรุ่นพ่อ การสืบทอดทางการเมืองจึงมีลักษณะเป็นเครือญาต ิ โดยเฉพาะสองตระกูลการเมืองส�ำคัญคือ ตระกูลตันเจริญ และตระกูลฉายแสง โดยที่พรรคการเมืองที่สังกัด มิได้มีผลต่อการตัดสินใจในการลงคะแนนเสียงของประชาชนมากนัก การเมืองจังหวัดฉะเชิงเทราจึงเป็นเร่ือง ของตัวนักการเมืองในการท�ำกิจกรรมหาเสียง การลงพ้ืนที่พบประชาชน การสร้างกลุ่มเครือข่ายสนับสนุน ระบบหวั คะแนนในพ้นื ท่ี (ศรดุ า สมพอง, 2551) ในการเมืองถ่ินว่าด้วยการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ระดับจังหวัดน้ันแม้ว่า จะมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมากท้ังในพฤติกรรมการตัดสินใจลงคะแนนเสียงของประชาชน และพฤติกรรมของนักการเมืองที่เกิดการเปลี่ยนถ่ายระหว่างนักการเมืองรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ก็ตาม หากแต ่ ความเปน็ ตระกลู การเมอื งของจงั หวดั ยงั คงมอี ทิ ธพิ ลในทางการเมอื งคอ่ นขา้ งมาก ตวั อยา่ งเชน่ ตระกลู การเมอื ง ของจังหวัดสุพรรณบุรี ซ่ึงประกอบด้วย 4 ตระกูลส�ำคัญ ประกอบด้วย ตระกูลศิลปอาชา ตระกูลโพธสุทธน ตระกูลเที่ยงธรรม และตระกูลประเสริฐสุวรรณ ซ่ึงผลงานทางการเมืองนั้นได้รับการยอมรับและเป็นแรงจูงใจ ส�ำคัญในการตัดสินใจลงคะแนนเสียงสนับสนุนในการเลือกตั้ง หากแต่ปัจจุบันการเปล่ียนแปลงทางสังคม ด้วยมีคนรุ่นใหม่จ�ำนวนมากที่เติบโตและมีบทบาททางสังคม เศรษฐกิจรวมถึงการเมืองเป็นล�ำดับ คนรุ่นใหม่ เหลา่ นจี้ งึ มคี า่ นยิ ม ความคดิ และความเชอื่ ทางการเมอื งทเี่ ปลย่ี นแปลงไปดว้ ย ผลกค็ อื ความคดิ ตา่ งทางการเมอื ง จึงมีมากขึ้นพร้อม ๆ กับการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกต้ังที่พร้อมจะเปลี่ยนไปให้การสนับสนุนนักการเมือง และพรรคการเมืองอ่ืน ๆ ที่เข้ามาแข่งขันในสนามการเมืองของจังหวัด กรณีดังกล่าวชี้ให้เห็นอย่างเด่นชัด ในผลการเลือกต้ังปี 2554 ท่ีผู้สมัครจากพรรคการเมืองอ่ืนที่มิใช่ตระกูลการเมืองจากพรรคการเมือง ขนาดใหญ่ท่ีครองพ้ืนที่มาอย่างยาวนานคือพรรคชาติไทยพัฒนาจะชนะการเลือกต้ังได้ หากแต่ปรากฏว่า ผู้สมัครจากพรรคการเมืองที่มุ่งเน้นการน�ำเสนอนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจและมุ่งหวังน�ำไปนโยบายไปสู ่ การปฏบิ ตั นิ ั้นชนะการเลือกต้ัง (ณัฐพงศ์ บุญเหลอื , 2556)

46 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ัง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี นอกจากน้ีแล้วยังมีงานศึกษาในมิติอ่ืน ๆ ที่น่าสนใจ เช่น งานศึกษาเรื่องวิกฤตความแตกแยก ว่าด้วยสถาบันและวัฒนธรรมการข้ึนสู่อ�ำนาจในระบอบประชาธิปไตยของไทย ศึกษากรณีความรุนแรง ในการเลือกตั้ง 2554 โดยมีสมบัติ จันทรวงศ์ เป็นหัวหน้าโครงการวิจัย และมีประจักษ์ ก้องกีรติ เป็นทีมวิจัย ซึ่งประจักษ์ฯ น�ำมาเขียนเป็นหนังสือเรื่อง “เลือกตั้งไม่นองเลือด: ความรุนแรง ประชาธิปไตยกับการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 โดยประจกั ษ์ (2556, หนา้ 25-29) ไดอ้ ธบิ ายถึงระดบั ความเขม้ ข้นและพลวัตรความขดั แยง้ ในสังคมไทย โดยท่ีความรุนแรงในระดับเลือกตั้งมีผลต่อการลดความชอบธรรมของการเลือกต้ังซ่ึงด�ำรงอยู่ ในฐานะสถาบันการเปล่ียนผ่านอ�ำนาจที่สันติ การเลือกตั้งในหลายประเทศมีความรุนแรงท่ีแตกต่างกัน และมีหลายรูปแบบและหลายช่วงเวลา ประกอบด้วย ช่วงเวลาก่อนการเลือกต้ัง วันเลือกตั้ง และหลังวันเลือก ตง้ั โดยความรนุ แรงในชว่ งเวลากอ่ นการเลอื กตง้ั จะมงุ่ ท�ำลายคแู่ ขง่ มใิ หม้ โี อกาสชนะการเลอื กตง้ั มไี ดท้ ง้ั การขม่ ข ู่ หรือสังหารผู้สมัครแข่งขัน หัวคะแนนหรือผู้สนับสนุน ขณะที่ความรุนแรงในวันเลือกต้ังมีเป้าหมายเพ่ือให ้ การเลอื กตง้ั สะดดุ หรอื เปา้ หมายเพอื่ ใหผ้ สู้ นบั สนนุ ฝา่ ยคแู่ ขง่ มกิ ลา้ ออกมาใชส้ ทิ ธลิ งคะแนน อาจมที งั้ การจา้ งนกั เลง ไปขม่ ขหู่ รอื ขดั ขวางไมใ่ หป้ ระชาชนผมู้ สี ทิ ธอิ อกไปใชส้ ทิ ธิ การใชเ้ จา้ หนา้ ทรี่ ฐั ทง้ั ทหารหรอื ต�ำรวจไปขม่ ขปู่ ระชาชน ไม่ให้เลือกผู้สมัครหรือเลือกพรรคการเมืองอื่น มีรูปแบบต่าง ๆ เช่น การส่งกลุ่มทหารไปประจ�ำหน่วยเลือกตั้ง การใช้วิธีการขัดขวางการเลือกนับคะแนน รวมถึงการลักพาตัวเจ้าที่หน้าท่ีนับคะแนน เป็นต้น ขณะท ี่ ความรนุ แรงหลงั การประกาศผลการเลอื กตงั้ มเี ปา้ หมายเพอ่ื บดิ เบอื นหรอื เปลยี่ นแปลงผลการเลอื กตง้ั การประทว้ ง ไม่ยอมรับผลการเลอื กต้ัง การแสดงความไม่พอใจต่อความพ่ายแพ้ และต้องการใหผ้ ลการเลอื กต้ังเป็นโมฆะ บทสรุป การเลือกต้ังกับพฤติกรรมการ รูปแบบ วิธีการ กลยุทธ์การหาเสียง การรักษาฐานเสียง การจัด ต้ังเครือข่ายกลุ่มผู้สนับสนุนและรวมถึงนโยบายของพรรคการเมืองนับว่ามีผลต่อชัยชนะในการเลือกต้ัง อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ในการเมืองว่าด้วยการเลือกตั้งของไทยในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนัยว่า มีความส�ำคัญต่อพฒั นาการทางการเมอื งในระบอบประชาธปิ ไตยทส่ี งั คมใหค้ วามคาดหวงั วา่ จะมคี วามก้าวหน้า มากขน้ึ จนน�ำไปสกู่ ารเมืองในระบอบประชาธิปไตยทสี่ มบรู ณ์ โดยการท�ำหนา้ ทีข่ องนกั การเมอื งต้องด�ำเนนิ อยู่ ภายใต้กรอบกติกาว่าด้วยการเป็นนักประชาธิปไตยที่มีความพร้อมในการเข้าท�ำงานในต�ำแหน่งทางการเมือง ในฐานะตัวแทนของประชาชน และประชาชนปฏิบัติหน้าท่ีภายใต้สิทธิเสรีภาพและความรับผิดชอบในฐานะ ผมู้ ีอ�ำนาจตดั สนิ ใจเลอื กนักการเมือง ประชาชนจงึ อยู่ในฐานะเจ้าของอ�ำนาจที่พรอ้ มจะเลือกตัวแทนของตนเอง ให้เข้าไปท�ำหน้าท่ีเพื่อสนองตอบต่อความคาดหวังและข้อเสนอด้านนโยบายท่ีนักการเมืองและพรรคการเมือง ให้ค�ำม่ันสัญญาไว้ในการหาเสียงเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม ค�ำอธิบายดังกล่าวดูเสมือนว่าจะเป็นเพียงอุดมการณ์ แห่งความคาดหวังท่ียากจะเกิดข้ึนได้ในความเป็นจริงภายใต้ระบบการเมืองของไทย หากแต่เอาเข้าจริงแล้ว กอ็ าจมไิ ดไ้ กลเกนิ เออื้ ม หากทง้ั นกั การเมอื ง พรรคการเมอื ง ประชาชน องคก์ รและสถาบนั ตา่ ง ๆ รวมถงึ สอ่ื มวลชน จะร่วมกันติดตามตรวจสอบ ใหค้ �ำชแ้ี นะ ค�ำแนะน�ำ ร่วมกันรับผิดชอบตอ่ ความเป็นการเมืองดงั กลา่ ว

47 สง่ิ ทน่ี า่ สนใจในการศกึ ษาการเมอื งจากแนวคดิ ทฤษฏแี ละงานวจิ ยั ตา่ ง ๆ อนั เกย่ี วขอ้ งกบั การเมอื ง ของนกั การเมอื งและการตดั สนิ ใจทางการเมอื งของประชาชนนนั้ พบวา่ โดยรวมแลว้ การเมอื งวา่ ดว้ ยการเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรของไทยนนั้ มกี ารเปลย่ี นแปลงมาเปน็ ล�ำดบั กลา่ วคอื ในอดตี การเมอื งในพน้ื ทสี่ ว่ นใหญ่ จะเรม่ิ ตน้ จากกลมุ่ นกั การเมอื งทเี่ ปน็ ขา้ ราชการทมี่ ชี อื่ เสยี งของจงั หวดั ตามดว้ ยการเขา้ มามบี ทบาททางการเมอื ง ของกลุ่มพ่อค้าและนักธุรกิจของจังหวัด น�ำมาสู่ระบบการใช้เงินในการเลือกต้ัง การสร้างระบบอุปถัมภ ์ ระบบหวั คะแนน การใชอ้ ทิ ธพิ ลทางการเมอื ง ความสมั พนั ธแ์ บบเครอื ญาติ การผกู ขาดทางการเมอื งในกลมุ่ ตระกลู การเมือง และการเกดิ ระบบพรรคการเมืองในกล่มุ หรอื มุ้งทางการเมืองท�ำหนา้ ทใี่ หก้ ารช่วยเหลอื และสนบั สนุน นกั การเมอื งของพรรคในพน้ื ทจ่ี งั หวดั ทสี่ �ำคญั ไดพ้ ฒั นามาสรู่ ะบบการน�ำเสนอนโยบายหาเสยี งซงึ่ มผี ลอยา่ งมาก ในการหาเสยี งเพื่อใหป้ ระชาชนได้ตัดสินใจเลอื กนกั การเมอื งและพรรคการเมือง

48

49 บทท่ี 3 พฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดกาญจนบุรี ส�ำหรับบทน้ีมีวัตถุประสงค์ศึกษาเปรียบเทียบผลการเลือกต้ัง พฤติกรรมการเลือกตั้ง การใช้เงิน ในการหาเสียงเลือกต้ัง การตง้ั มนั่ ในความเปน็ พรรคการเมือง ดงั น้ี บทน�ำ ในการเลือกต้ัง 24 มีนาคม 2562 มจี �ำนวนผ้สู มัครรับเลือกตงั้ สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรแบบแบง่ เขต เลือกตั้งรวมจ�ำนวนทั้งสิ้น 11,181 คน แบบบัญชีรายช่ือ จ�ำนวน 2,917 คน และพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัคร ในระบบแบ่งเขตเลือกต้ังมากครบทุกเขตเลือกต้ังทั่วประเทศ 350 เขต มี 6 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคพลงั ประชารฐั รองลงมาทสี่ ง่ 349 พรรค มจี �ำนวน 2 พรรค ไดแ้ ก่ พรรครกั ษผ์ นื ปา่ ประเทศไทย และพรรค เพื่อชาติ ในขณะทพี่ รรคพลังทอ้ งถิน่ ไทย และพรรคประชาภวิ ฒั น์ สง่ พรรคละ 346 เขตเลอื กตัง้ ในระบบบญั ชี รายชื่อพรรคที่ส่งครบ 150 คน ประกอบด้วย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อชาติ พรรครวม พลงั ประชาชาติไทย ขณะที่พรรคไทยรกั ธรรม สง่ 148 คน พรรคประชาภวิ ฒั น์ สง่ 129 คน พรรคอนาคตใหม ่ ส่ง 124 คน พรรคพลังประชารัฐ ส่ง 120 คน พรรคประชานิยม ส่ง 112 คน และพรรคไทยรักษาชาต ิ ส่ง 108 คน โดยที่ส�ำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกต้ังแบบ แบ่งเขตเลือกต้ัง จ�ำนวน 10,792 คน และไม่ประกาศรายช่ือ จ�ำนวน 389 คน ในขณะเดียวกันกับประกาศ รายชื่อแบบบัญชีรายช่ือ จ�ำนวน 2,810 คน และไม่ประกาศรายช่ือ 107 คน10 (ส�ำนักงานคณะกรรมการ การเลือกต้ังออนไลน์, 2562ก, หน้า 1-2) 10 ขอ้ มลู ณ วันที่ 18 กุมภาพนั ธ์ 2562 ทัง้ นอ้ี าจมกี ารเปล่ยี นแปลงเนอ่ื งจากอยู่ในชว่ งเวลาย่ืนคำ�รอ้ งวินิจฉยั สิทธกิ ารสมัคร: ดูรายละเอยี ดเพ่ิมเตมิ ใน ส�ำ นกั งานคณะกรรมการเลือกตง้ั (กกต.)

50 การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดกาญจนบุรี สิ่งท่ีน่าสนใจข้อมูลการรับสมัครเลือกต้ังครั้งนี้นั้นคือ จ�ำนวนผู้สมัครท่ีจ�ำนวนมากในแต่ละเขต เลอื กตงั้ โดย 10 อนั ดบั แรก ประกอบดว้ ย เขต 9 และเขต 10 จงั หวัดขอนแกน่ มผี สู้ มัครเขตละ 44 คน/พรรค รองลงมา ไดแ้ ก่ เขต 6 จังหวัดอดุ รธานี จ�ำนวน 43 คน/พรรค และจ�ำนวน 42 คน มี 4 เขต คอื เขต 1 เขต 2 เขต 4 จงั หวดั ขอนแกน่ เขต 2 จงั หวดั นครศรธี รรมราช และ เขต 8 จงั หวดั ขอนแกน่ เขต 1 จงั หวดั นครราชสมี า เขต 1 จังหวัดมหาสารคาม ส่งเขตละ 41 คน (ส�ำนกั งานคณะกรรมการการเลือกตงั้ ออนไลน์, 2562ก, หน้า 1) นอกจากนสี้ งิ่ ทน่ี า่ สนใจคอื ความสนใจและการตดิ ตามขา่ วสารทางการเมอื งระดบั ชาตขิ องประชาชน ในพื้นที่น้ันอยู่ในระดับที่สูง ด้วยผลจากระบบการเมืองที่ไม่ปกติภายหลังการท�ำรัฐประหารเข้ายึดอ�ำนาจ การปกครองของ คสช. และจัดต้ังรัฐบาลบริหารประเทศนับจาก 27 พฤษภาคม 2557 ถึงปลายเดือนมีนาคม 2562 น�ำไปสู่การขาดหายไปของนักการเมืองในฐานะตัวแทนของประชาชนในพ้ืนที่และพรรคการเมืองที่เป็น องคก์ รจดั ท�ำและน�ำเสนอนโยบายเพอื่ แกไ้ ขปญั หาความเดอื ดรอ้ นและตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการของประชาชน ในพนื้ ที่ โดยเฉพาะกจิ กรรมทางการเมอื งทเ่ี คยมอี ยแู่ ละพบเหน็ ไดท้ ว่ั ไปของบรรดานกั การเมอื งในรปู แบบตา่ ง ๆ อาทิ งานบญุ งานประเพณี หรอื การเขา้ มารว่ มชว่ ยเหลอื สนบั สนนุ และสง่ เสรมิ แกไ้ ขปญั หาความเดอื ดรอ้ นทเี่ กดิ จากการประกอบอาชีพ หรือวิถีชีวิตประจ�ำวัน เช่น น้�ำท่วม ภัยแล้ง เส้นทางคมนาคม ถนนหนทางในหมู่บ้าน และชุมชนช�ำรดุ ทรดุ โทรมเสียหาย เป็นต้น ความตื่นตัวทางการเมือง ข่าวความเคล่ือนไหวในการจัดการเลือกต้ังในวันท่ี 24 มีนาคม 2562 จึงน�ำไปสู่ปรากฎการณ์ทางการเมืองในพ้ืนท่ีในระดับสูง น�ำไปสู่ความสนใจและตัดสินใจของประชาชนในการ ลงทะเบยี นขอใชส้ ทิ ธเิ ลอื กตงั้ ลว่ งหนา้ นอกเขตเลอื กตง้ั ของจงั หวดั กาญจนบรุ ใี น 5 เขตเลอื กตง้ั มจี �ำนวนถงึ 7,906 คน ซงึ่ คณะกรรมการการเลอื กตง้ั (กกต.) ก�ำหนดระหวา่ งวนั ท่ี 28 มกราคมถงึ วนั ท่ี 17 กมุ ภาพนั ธ์ 2562 แบง่ ออกเปน็ เขตเลือกตั้งท่ี 1 หน่วยเลือกต้ังกลาง หอประชุมก�ำนันผู้ใหญ่บ้าน อ�ำเภอเมืองกาญจนบุรี จ�ำนวน 3,323 คน เขตเลือกต้ังที่ 2 หน่วยเลือกต้ังกลางหอประชุมอ�ำเภอท่าม่วง หรือสโมสรอ�ำเภอท่าม่วง จ�ำนวน 2,720 คน เขตเลือกตั้งท่ี 3 หน่วยเลือกตั้งกลางบริเวณศาลาประชาคมอ�ำเภอท่ามะกา 729 คน เขตเลือกตั้งที่ 4 หน่วยเลือกตั้งกลางบริเวณศาลาประชาคมอ�ำเภอเลาขวัญ 418 คน และเขตเลือกต้ังที่ 5 หน่วยเลือกตั้งกลาง บรเิ วณหอประชุมอ�ำเภอทองผาภมู ิ 716 คน11 (ผ้จู ัดการออนไลน,์ 2562ก) กระแสความสนใจทางการเมอื งของ ประชาชนในพนื้ ทต่ี า่ ง ๆ ของจงั หวดั กาญจนบรุ พี บไดท้ วั่ ไปเชน่ เดยี วกบั จงั หวดั อนื่ ๆ ทงั้ จากการพดู คยุ ในชมุ ชน หมบู่ า้ น รา้ นคา้ งานประเพณี งานบญุ ตา่ ง ๆ ในการตดิ ตามขอ้ มลู ขา่ วสารเกย่ี วกบั การประการก�ำหนดวนั เลอื กตง้ั ของรฐั บาลและส�ำนกั งานคณะกรรมการการเลอื กตง้ั ดงั ปรากฏในการวพิ ากษว์ จิ ารณ์ พดู คยุ ถงึ รฐั บาลทป่ี ระกาศ เลอ่ื นประกาศก�ำหนดพระราชกฤษฎกี าวา่ ดว้ ยดว้ ยการเลอื กตงั้ อนั เปน็ ทรี่ บั รกู้ นั โดยทวั่ ไปวา่ รฐั บาลพลเอกประยทุ ธ์ จันทร์โอชา ก�ำหนดให้มีการเลือกต้ัง 24 มีนาคม 2562 ออกไป (เวิร์คพอยท์นิวส์ออนไลน์, 2561)12จนกระทั่ง 11 สำ�หรับจำ�นวนรวม ผู้ลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตเลือกต้ัง มีจำ�นวนรวม 1,491,200 คน โดยมีจำ�นวน ผลู้ งทะเบียนขอใชส้ ิทธเิ ลอื กต้งั นอกราชอาณาจักรนบั ถึงเวลา 17.00 น. จาก 67 ประเทศมีจำ�นวนรวม 44,719 คน 12 วิษณุ เครือนาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายได้ชี้แจง ณ ทำ�เนียบรัฐบาลเร่ืองการเตรียมการของคณะรัฐมนตรี ในการเลอื กตัง้ 8 พฤศจิกายน 2561 หลังจากมีกระแสการวพิ ากษ์วจิ ารณ์ความไม่ชดั เจนถึงการกำ�หนดวนั เลอื กตง้ั ในขณะน้ัน