Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 44นักการเมืองถิ่นอุทัยธานี

44นักการเมืองถิ่นอุทัยธานี

Description: เล่มที่44นักการเมืองถิ่นอุทัยธานี

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี แบ่งเขตเลือกตั้งและแบบสัดส่วน กำหนดให้มีจำนวนสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร จำนวน 400 คน และมาจากบัญชีรายชื่อ 80 คน สำหรบั การแบง่ เขตเลอื กตง้ั ใหม้ สี มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ได้ไม่เกิน 3 คนใน 1 เขต จังหวัดอุทัยธานี ได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรเป็นครั้งที่ 23 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 โดยมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 2 คน (1 เขตเลือกตั้ง) มีผู้มีสิทธิ เลือกตั้ง 239,086 คน ผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 177,389 คน คิดเป็น ร้อยละ 74.19 ผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนน 5,475 คน คิดเป็นร้อยละ 3.09 บัตรเสีย 6,782 ใบ คิดเป็นร้อยละ 3.82 ผลปรากฏว่าผู้ที่ได้ รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานี ในการเลือกตั้งครั้งที่ 23 นี้ ได้แก่ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ พรรค ชาติไทย คะแนนที่ได้รับ 87,002 คะแนน และ นายนพดล พลเสน พรรคชาติไทย คะแนนที่ได้รับ 78,069 คะแนน ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคชาติไทย และ มีคำสั่งตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี ทำให้นายนพดล พลเสน ต้องถูกตัดสิทธิทางการเมืองไปด้วย เป็นเวลา 5 ปี คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงได้จัดให้มีการ เลือกตั้งใหม่ ซึ่งนายอดุลย์ เหลืองบริบูรณ์ ได้ลงสมัครในนาม พรรคชาติไทยพัฒนา แต่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ตัดสิทธิ โดยเห็นว่าเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามบทบัญญัติ มาตรา 101(3) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 กล่าวคือ เนื่องจากเป็นสมาชิกพรรคไม่ครบ 90 วัน แต่ ภายหลังศาลได้ตัดสินว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนถูกต้อง จึงให้เป็น ผู้สมัครรับเลือกตั้ง และในการเลือกตั้งซ่อมเมื่อวันที่ 11 136

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดอุทัยธานี มกราคม 2552 นายอดุลย์ เหลืองบริบูรณ์ พรรคชาติไทยพัฒนา ได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียง 84,940 คะแนน ร ัฐ สภ าชุดท่ี 33 การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คร้ังที่ 24 (3 กรกฎาคม 2554) ในคราวนี้เป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ ประเทศไทยเป็นการทั่วไป ครั้งที่ 24 ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้กำหนดให้มีขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2554 ตามความในพระราชกฤษฎีกายุบสภา ผู้แทนราษฎร พ.ศ.2554 ที่ได้ประกาศให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร เสีย ณ วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2554 โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประเทศ ไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ.2550 ผลการเลือกตั้ง ปรากฏกว่า พรรค พลังประชาชนได้รับคะแนนเสียงข้างมากและได้เป็นแกนนำจัด ตั้งรัฐบาล แต่ได้มีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย จนส่งผลให้ต้องมีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีถึง 2 คน คือ นายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และ ภายหลังจากนั้นได้มีการยุบพรรคการเมือง โดยศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุให้พรรคร่วมรัฐบาลหลัก จำนวน 3 พรรค ถูกยุบไปด้วย จ น ก ร ะ ท ั ่ ง ไ ด ้ ม ี ก า ร ล ง ม ต ิ เ ล ื อ ก น า ย ก ร ั ฐ ม น ต ร ี ใ ห ม ่ แ ล ะ ผลปรากฏกว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้รับเลือกเป็นนายก- รัฐมนตรี โดยอาศัยเสียงสนับสนุนสำคัญของพรรคภูมิใจไทย 137

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี โดยก่อนหน้าที่จะมีการประกาศยุบสภานั้น รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำเนินการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งกำหนดให้สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 375 คน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบบัญชี รายชื่อ จำนวน 125 คน ทำให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวนทั้งสิ้น 500 คน (ซึ่งเดิมนั้นมี จำนวน 480 คน) จังหวัดอุทัยธานีได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป ครั้งที่ 24 เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2554 โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 2 คน (แบ่งออก เป็น 2 เขตเลือกตั้ง) มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 247,019 คน ผู้มาใช้สิทธิ เลือกตั้ง 181,681 คน ผลปรากฏว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานี ในการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 24 นี้ เขตของการเลือกตั้งที่ 1 คือ นายกุลเดช พัวพัฒนกุล ผู้สมัครรับ เลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับความไว้วางใจจากชาวจังหวัด อุทัยธานี ส่วนเขตการเลือกตั้งที่ 2 ได้แก่ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งจากพรรคชาติไทยพัฒนา ได้รับเลือกตั้ง อนึ่ง การเลือกตั้งครั้งนี้ ผลจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2554) จากเดิมรัฐธรรมนูญกำหนดวิธีการเลือกตั้งแบบรวม เขตและสัดส่วน ทำให้พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครเข้ารับการ เลือกตั้งปรับเปลี่ยนตัวบุคคล โดยพรรคชาติไทยพัฒนาส่ง นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ซึ่งเดิมเป็นผู้สมัครในเขตเลือกตั้งที่ 1 ลงแข่งขันในเขตเลือกตั้งที่ 2 ส่วน นายอดุลย์ เหลืองบริบูรณ์ 138

การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดอุทัยธานี ลงแข่งขันในเขตเลือกตั้งที่ 1 สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ส่ง นายกลุ เดช พวั พฒั นกลุ ลงแขง่ ขนั และไดร้ บั ชยั ชนะการเลอื กตง้ั การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรในแต่ละครั้งที่ผ่านมาทำให้ได้เห็นภาพของการ เปลี่ยนตัวผู้นำ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่เป็นตัว กำหนดให้มีการเลือกตั้งและการเมืองถิ่น ตลอดจนนักการเมือง ถิ่นในจังหวัดอุทัยธานี ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำมาใช้ในการ ประกอบการวิเคราะห์นักการเมืองถิ่นของจังหวัดอุทัยธานี ในบทต่อไป สำหรับสถิติการเลือกตั้งทั่วไปของสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรและรายชื่อเฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด อุทัยธานี รายละเอียดปรากฏตามตาราง 139

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี 140 ตารางท่ี 1 สถติ ิการเลอื กต้งั ทว่ั ไปและเลอื กตัง้ ซอ่ มสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรจังหวัดอุทัยธาน ี ครั้งท ่ี วนั เลอื กตงั้ วิธกี ารเลือกตั้ง จำนวนผ้มู ีสทิ ธิ จำนวนผมู้ าใชส้ ิทธ ิ คดิ เป็นร้อยละ 1 15 พ.ย.2476 ทางอ้อม 2 7 พ.ย. 2480 แบ่งเขต 27,597 16,980 61.53 3 12 พ.ย. 2481 แบ่งเขต 4 6 ม.ค. 2489 แบ่งเขต 36,149 21,474 59.41 5 29 ม.ค. 2491 รวมเขต 6 26 ก.พ. 2495 รวมเขต 36,621 18,857 51.49 7 26 ก.พ. 2500 รวมเขต 8 15 ธ.ค. 2500 รวมเขต 38,758 18,687 48.21 9 10 ก.พ. 2512 รวมเขต 10 26 ม.ค. 2518 44,250 19,636 44.31 11 4 เม.ย. 2519 แบ่งเขต+รวมเขต แบ่งเขต+รวมเขต 46,146 22,242 48.23 53,592 37,458 69.89 43,612 26,157 59.98 83,208 52,240 62.78 117,378 59,609 50.78 121,843 56,292 46.20

ครั้งท ่ี วันเลอื กตั้ง วธิ ีการเลอื กตง้ั จำนวนผ้มู ีสทิ ธ ิ จำนวนผู้มาใชส้ ทิ ธ ิ คดิ เป็นร้อยละ 12 22 เม.ย. 2522 13 18 เม.ย. 2526 แบ่งเขต+รวมเขต 128,282 64,972 50.65 14 24 ก.ค. 2529 15 24 ก.ค. 2531 แบ่งเขต+รวมเขต 145,693 68,980 47.35 16 22 มี.ค. 2535 17 13 ก.ย. 2535 แบ่งเขต+รวมเขต 141,775 105,215 74.21 18 2 ก.ค. 2538 19 17 พ.ย.2539 แบ่งเขต+รวมเขต 157,125 102,350 65.14 20 6 ม.ค. 2544 21 6 ก.พ. 2548 แบ่งเขต+รวมเขต 185,906 113,569 61.09 22 การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดอุทัยธานี 2 เม.ย. 2549 แบ่งเขต+รวมเขต 184,496 114,641 62.14 141 แบ่งเขต+รวมเขต 217,058 134,387 61.91 แบ่งเขต+รวมเขต 219,418 137,190 62.52 แบ่งเขต+บัญชีรายชื่อ 235,072 170,555 72.55 แบ่งเขต+บัญชีรายชื่อ 241,097 179,042 74.26 แบ่งเขต+บัญชีรายชื่อ 244,102 151,511 62.07

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี 142 ครงั้ ที่ วนั เลอื กตงั้ วธิ กี ารเลอื กตั้ง จำนวนผูม้ สี ทิ ธ ิ จำนวนผู้มาใชส้ ทิ ธ ิ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 23 23 ธ.ค.2550 แบ่งเขต+สัดส่วน 239,086 177,389 74.19 24 11 ม.ค.2552 เลือกตั้งซ่อม 224,417 130,666 53.46 25 3 ก.ค. 2554 แบ่งเขต+บัญชีรายชื่อ 247,019 181,681 73.55 ทีม่ า : กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, 2552 และ สำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง จังหวัดอุทัยธานี

ตารางที่ 2 แสดงรายช่อื เฉพาะผทู้ ไ่ี ดร้ ับเลอื กตงั้ เป็นสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรจังหวดั อทุ ัยธาน ี ครั้งท ่ี วันเลือกตง้ั วธิ ีการเลอื กตั้ง ผู้ไดร้ บั เลือกต้งั สงั กัดพรรค 1 15 พ.ย.2476 ทางอ้อม นายเทียบ นันทแพทย์ ไม่สังกัดพรรค 2 การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดอุทัยธานี 7 พ.ย. 2480 แบ่งเขต พระยาวิฑูรธรรมพิเนตุ (โต๊ะ อัมระนันท์) ไม่สังกัดพรรค 3 12 พ.ย. 2481 แบ่งเขต พระยาวิฑรู ธรรมพิเนตุ(โต๊ะ อัมระนันท์) ไม่สังกัดพรรค 4 143 6 ม.ค. 2489 แบ่งเขต นายพร มากวงศ์ ไม่สังกัดพรรค 5 29 ม.ค. 2491 รวมเขต พ.ต.ต. หลวงเจริญตำรวจการ ไม่สังกัดพรรค 6 26 ก.พ. 2495 รวมเขต พ.ต.ต. หลวงเจริญตำรวจการ ไม่สังกัดพรรค 7 26 ก.พ. 2500 รวมเขต นายทวาย เศรษฐพานิช เสรีมนังคศิลา 8 15 ธ.ค. 2500 รวมเขต นายศิลป์ พิลึกฤาเดช 9 10 ก.พ. 2512 รวมเขต นายศิริ ทุ่งทอง สหภมู ิ 10 26 ม.ค. 2518 นายศิริ ทุ่งทอง ชาวนาชาวไร่ แบ่งเขต+รวมเขต ชาวนาชาวไร่

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี วันเลือกต้งั วธิ ีการเลือกตั้ง 144 4 เม.ย. 2519 แบ่งเขต+รวมเขต คร้ังท ่ี 22 เม.ย. 2522 แบ่งเขต+รวมเขต ผไู้ ด้รับเลือกต้งั สงั กดั พรรค 11 นายศิลปชัย เชษฐศิลป์ (นุ้ยปรี) ชาติไทย 12 พ.อ. (พิเศษ) พล เริงประเสริฐวิทย์ 18 เม.ย. 2526 แบ่งเขต+รวมเขต นายศิริ ทุ่งทอง ไม่สังกัดพรรค 13 พ.อ. (พิเศษ) พล เริงประเสริฐวิทย์ เสรีธรรม นางสุทิน ก๊กศรี 14 27 ก.ค. 2529 แบ่งเขต+รวมเขต พ.อ. (พิเศษ) พล เริงประเสริฐวิทย์ สยามประชาธิปไตย นายตามใจ ขำภโต ไม่สังกัดพรรค 15 นายไพโรจน์ ทุ่งทอง สหประชาธิปไตย 24 ก.ค. 2531 แบ่งเขต+รวมเขต พ.อ. (พิเศษ) พล เริงประเสริฐวิทย์ สหประชาธิปไตย 16 นายศิลปชัย เชษฐศิลป์ (นุ้ยปรี) พลังธรรม พ.อ. (พิเศษ) พล เริงประเสริฐวิทย์ สหประชาธิปไตย 22 มี.ค. 2535 แบ่งเขต+รวมเขต ชาติไทย ปวงชนชาวไทย

ครั้งที่ วันเลอื กตั้ง วิธีการเลอื กตงั้ ผู้ไดร้ บั เลอื กตั้ง สงั กัดพรรค 17 13 ก.ย. 2535 ชาติไทย แบ่งเขต+รวมเขต นายศิลปชัย เชษฐศิลป์ (นุ้ยปรี) 18 ประชาธิปัตย์ 2 ก.ค. 2538 นายประเสริฐ มงคลศิริ ความหวังใหม่ 19 แบ่งเขต+รวมเขต พ.อ. (พิเศษ) พล เริงประเสริฐวิทย์ ชาติไทย 20 17 พ.ย.2539 ประชาธิปัตย์ นายศิลปชัย เชษฐศิลป์ (นุ้ยปรี) 21 ชาติไทย 6 ม.ค. 2544 แบ่งเขต+รวมเขต นายประเสริฐ มงคลศิริ ชาติไทย 22 การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดอุทัยธานี ชาติไทย นายธีรพันธ์ วีระยุทธวัฒนะ ไทยรักไทย 145 6 ก.พ. 2548 ชาติไทย แบ่งเขต+บัญชีรายชื่อ นายธีรพันธ์ วีระยุทธวัฒนะ ไทยรักไทย 2 เม.ย. 2549 นายนพดล พลเสน แบ่งเขต+ บัญชีรายชื่อ นายประแสง มงคลศิริ นายนพดล พลเสน แบ่งเขต+ บัญชีรายชื่อ นายสุภาพ โต๋วสัจจา

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี วธิ ีการเลือกตง้ั ผู้ไดร้ ับเลอื กต้ัง 146 ครงั้ ที ่ วันเลอื กต้ัง สงั กดั พรรค ชาติไทย 23 23 ธ.ค.2550 รวมเขต+สัดส่วน นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ชาติไทย นายนพดล พลเสน ชาติไทยพัฒนา ชาติไทยพัฒนา 24 11 ม.ค.2552 เลือกตั้งซ่อม นายอดุลย์ เหลืองบริบรู ณ์ ประชาธิปัตย์ 25 3 ก.ค. 2554 แบ่งเขต+บัญชีรายชื่อ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ นายกุลเดช พัวพัฒนกุล ที่มา : กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, 2552 และ สำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง จังหวัดอุทัยธานี

บ4ทท ี่ “นักการเมืองถ่ิน” ในจังหวัดอุทัยธานี ใ น บ ท น ี ้ จ ะ เ ป ็ น ก า ร ใ ห ้ ร า ย ล ะ เ อ ี ย ด ใ น ส ่ ว น ข อ ง ประวัติ ความเป็นมา ของนักการเมืองถิ่น ที่เป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของจังหวัดอุทัยธานี ทั้งในอดีตและ ปัจจุบัน รูปแบบการบริหารคะแนนเสียง ยุทธวิธีที่ใช้ในการ หาเสียง พฤติกรรมทางการเมือง เครือข่ายความสัมพันธ์ของ นักการเมืองถิ่นกับหัวคะแนน และประชาชน ความสัมพันธ์ ในกลุ่มเครือญาติความสัมพันธ์กับ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ นักการเมืองท้องถิ่น บทบาทของพรรคการเมืองและกลุ่ม ผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่มีส่วนในการส่งเสริมสนับสนุน นักการเมืองถิ่นที่เป็นผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด อุทัยธานีให้ได้รับการเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งทางการเมือง

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี สำหรับวิธีการศึกษานั้น ผู้วิจัยใช้วิธีการสัมภาษณ์ โดยตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุทัยธานี ทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมทั้งผู้ที่มีส่วน เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย หรือมีความรู้ในเรื่องนี้เป็นอย่างดี ซึ่งกลุ่มเป้าหมายบางท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว และไม่สามารถ ติดต่อกับทายาทหรือครอบครัวได้ และบางท่านติดต่อในการ สัมภาษณ์ไม่ได้ บางท่านก็ไม่ให้สัมภาษณ์ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่เป็น ข้อจำกัดในการดำเนินการวิจัย ดังนั้น ในบางส่วนผู้วิจัย จึงจำเป็นต้องใช้ข้อมูลทุติยภูมิเท่าที่สืบค้นได้จากเอกสารทั่วไป แทนการให้สัมภาษณ์ ในการนำเสนอข้อมูลของนักการเมืองถิ่น จะเรียงลำดับการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานี ก่อนหลัง ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดังนี้ นายเทียบ นันทแพทย์ จากขอ้ มลู เอกสารหลกั ฐานทป่ี รากฏ พบวา่ ในการเลอื กตง้ั สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกของประเทศไทย และเป็น ครั้งแรกของจังหวัดอุทัยธานี เป็นการเลือกตั้งทางอ้อม แบบ รวมเขต แต่ละจังหวัดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 1 คน จังหวัดอุทัยธานีได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2476 มีจำนวนผู้มีสิทธิ เลือกตั้งทั้งสิ้นเพียง 27,597 คน มีผู้มาใช้สิทธิ 16,980 คน คิด เป็นร้อยละ 61.53 การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกผู้แทนตำบล แล้วให้ผู้แทนตำบลมาเลือกผู้แทนจังหวัด ซึ่งปรากฏว่า ผู้ที่ได้รับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนแรกของจังหวัด 148

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี อทุ ยั ธานี คอื นายเทยี บ นนั ทแพทย์ (สว่ นรายละเอยี ดนอกเหนอื จากนี้ไม่สามารถสืบค้นข้อมูลได้) พ ระยาวิฑูรธรรมพิเนตุ (โต๊ะ อัมระนันท์) พระยาวฑิ รู ธรรมพเิ นตุ (โตะ๊ อมั ระนนั ท)์ หรอื มหาเสวกตรี พระยาวิฑูรธรรมพิเนตุ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานี ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 2 และ ครั้งที่ 3 ของจังหวัดอุทัยธานี เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2480 และวันที่ 12 พฤศจิกายน 2481 ตามลำดับ พระยาวิฑูรธรรมพิเนตุ (โต๊ะ อัมระนันท์) เกิดเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2436 หรือ ร.ศ.112 ที่บ้านสะแกกรัง เป็นบุตร คนเล็กของ หลวงศรีทิพบาล (อ่ำ) และนางศรี ทิพบาล (ตู่) เมื่อ อายุได้ 8 ขวบ ศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนวัดอุโบสถาราม อยู่ 4 ปี จนสำเร็จประโยคประถม และเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบ และเรียนภาษาอังกฤษพร้อมไปด้วย เมื่อ พ.ศ. 2453 สามารถ สอบเนติบัณฑิตไทยได้ตั้งแต่อายุ 18 ปี และถวายตัวกับสมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระสวัสดิวัฒน์วิศิษฐ์ พระยาวิฑูรธรรมพิเนตุ (โต๊ะ อัมระนันท์) ได้อุปสมบทที่ วัดทุ่งแก้ว จังหวัดอุทัยธานี ฉายา “กัลป์ยาณนาถนาโก” และ เมื่อ พ.ศ. 2455 ได้เข้ารับราชการในตำแหน่ง ผู้พิพากษาที่ 6 ทำการพนักงานอัยการ และต่อมาได้เป็นผู้พิพากษาศาลคด ี ต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม เป็นหลวงนาถบัญชา ได้ไป ศึกษาต่อวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย 6 ปี จนสอบได้ B.A. LL.B. M.A. และ LL.M. ได้อยู่ศึกษาดูการศาลและศึกษา 149

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี กฎหมายในประเทศยุโรปต่ออีก 4 เดือน นับเป็นคนไทยคนแรก ทส่ี ำเรจ็ วชิ ากฎหมายสงู สดุ จากประเทศสหรฐั อเมรกิ า เมอ่ื กลบั มา พ.ศ. 2466 ได้เป็นผู้พิพากษาในกระทรวงยุติธรรม ผู้พิพากษาใน ศาลคดีต่างประเทศ เจ้ากรมกองฎีกา กรมราชเลขาธิการ ผู้ช่วย ราชเลขาธิการแผนกกฤษฎีกา อธิบดีกรมกฤษฎีกา และ องคมนตรี ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสรยาภรณ์ (ท.จ., ท.ม., ต.ช., ป.ปร. 4, ร.ด.ม.) และลาออกจากราชการเมื่ออายุ 39 ปี ได้จัดตั้งสำนักงานทนายความ “วิฑูรธรรม” ฝึกนักกฎหมาย หลายรุ่น หลังจากนั้นได้หันเหชีวิตมาสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดอุทัยธานี ได้รับการเลือกตั้งถึง 2 ครั้ง ในช่วงระหว่างที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเคยได้รับ เลือกให้เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรและเป็นกรรมการ International House ถือได้ว่าเป็นนักการเมืองที่มีอุดมการณ ์ ในการทำงาน ได้เป็นผู้ผลักดันให้มีการพิจารณาจัดสรร งบประมาณให้เป็นระบบและผลักดันให้มีกฎหมาย พรรคการเมือง พระยาวิฑูรธรรมพิเนตุ (โต๊ะ อัมระนันท์) ถึงแก่ อนิจกรรม เมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2514 เมื่อพิจารณาจากประวัติของพระยาวิฑูรธรรมพิเนตุ (โต๊ะ อัมระนันท์) แล้วพบว่าการที่พระยาวิฑูรธรรมพิเนตุ เป็น คนพื้นเพจังหวัดอุทัยธานี ที่มีความรู้ความสามารถและสามารถ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งระดับสูงได้ทั้ง ๆ ที่อายุยังน้อย ประกอบกับ ขณะนั้นอยู่ในช่วงต้นของการเริ่มมีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรในประเทศไทย อีกทั้งจังหวัดอุทัยธานีเป็นจังหวัด 150

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี ที่อยู่ห่างไกลความเจริญ พื้นที่ยังกันดาร เป็นเมืองปิด การ คมนาคมไม่สะดวก ประชาชนยังขาดความรู้ จึงขาดความ กระตือรือร้นในการที่จะสมัครรับเลือกตั้ง จึงหาทางออกง่าย ๆ ด้วยการเลือกขุนนาง หรือผู้ที่เคยรับราชการหรือเจ้าหน้าที่ของ รัฐขึ้นมาเป็นผู้แทนเข้าไปทำหน้าที่แทนตน เพราะเห็นว่าการ ปกครองเป็นเรื่องของข้าราชการ จึงไม่มีความสนใจที่จะลง สมัครเสียเอง การใช้สิทธิเลือกตั้งจึงเน้นการให้ความสำคัญต่อ ผู้สมัครในฐานะบุคคลที่มีคุณงามความดี หรือดำรงตำแหน่ง สำคัญ ๆ ที่เป็นที่รู้จักของประชาชน โดยไม่ได้คำนึงเนื้อหา ทางการเมือง กรณีดังกล่าวจึงเป็นปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดความ สำเร็จที่ทำให้พระยาวิฑูรธรรมพิเนตุ ชนะการเลือกตั้งและได้รับ การเลือกตั้งถึง สองครั้งติดต่อกัน นายพร มากวงศ์ นายพร มากวงศ์ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานี ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 4 ของจังหวัดอุทัยธานี เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2489 นายพร มากวงศ์ เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2448 (ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 ปีมะเส็ง จุลศักราช 1267) ที่บ้านตำบลห้วยรอบ อำเภอหนองขาหย่าง จังหวัดอุทัยธานี บิดาชื่อ นายอิ่ม มากวงศ์ อาชีพ ค้าขาย ส่วนมารดาชื่อ นางห่วง (จีระดิษฐ) มากวงศ์ อาชีพ เกษตรกร มารดาได้ถึงแก่ กรรม ขณะที่นายพร มากวงศ์ ยังอยู่ในวัยเด็ก หลังจากนั้น บิดาได้อพยพพากันมาอยู่ที่เรือนแพริมแม่น้ำสะแกกรัง บริเวณ 151

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี หน้าวัดธรรมโศภิต (วัดโค่ง) ตำบลสะแกกรัง อำเภอเมือง อุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี หลังจากนั้นบิดาได้แต่งงานใหม่กับ นางอยู่ และมีบุตรชาย 1 คน นายพร มากวงศ์ ได้แต่งงานกับ นางสาวประวิง ทิวานนท์ เมื่อปี พ.ศ. 2481 มีบุตรและธิดา รวม 5 คน สมัยเมื่อ นายพร มากวงศ์ ยังอยู่ในวัยเด็ก ได้ศึกษาเล่าเรียนที่วัดทุ่งแก้ว (วัดมณีสถิตย์กฎิฐาราม) อำเภอเมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี และได้บวชเป็นสามเณรที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ ต่อมา ในปี พ.ศ. 2468 ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมีท่านเจ้าคุณ ธรรมไตรโลกาจารย์ (สมเด็จพระวันรัต เฮง เขมจารี) เป็น อุปัชฌาย์ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ต่อมาท่านเจ้าคุณฯ ได้เรียกตัวเข้าทำงานในหน้าที่เลขานุการ ในปี พ.ศ. 2470 เป็น พระครูสมุห์ฐานานุกรม ในปี พ.ศ. 2471 เป็นพระครูธรรมธร ฐานานุกรมในตำแหน่ง ซึ่งเป็นการเลื่อนข้ามตำแหน่งถึง 3 ตำแหน่ง และได้ลาสิกขาบทเมื่อปี พ.ศ. 2472 นายพร มากวงศ์ สอบคัดเลือกได้เข้ารับราชการ พลเรือน เมื่อปี พ.ศ. 2473 ในตำแหน่งเสมียนกรมสามัญศึกษา กระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการ) ได้เป็นที่ 2 ขณะ เดียวกันก็ตั้งร้านค้า ชื่อ เจริญพรสถาน ตั้งอยู่เลขที่ 23 ถนน หลังวัดมหาธาตุ ทำการค้าอยู่ได้ไม่นานก็เลิกกิจการ หลังจาก นั้นในปี พ.ศ.2476 ได้โอนจากกรมสามัญศึกษาไปเป็นเสมียน กรมธรรมการและไปเป็นเสมียนสำนักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในปี พ.ศ.2480 ได้สอบเลื่อนเป็นชั้นตรี และดำรงตำแหน่ง ประจำแผนกกรมบัญชีกลาง ในระหว่างที่ทำงานที่กรมบัญชี 152

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี กลาง ได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง จบการศึกษาได้ธรรมศาสตร์บัณฑิต รุ่นที่ 7 เมื่อปี พ.ศ. 2484 หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2485 ได้ย้ายจากกรมบัญชีกลาง มาเป็นผู้ช่วยคลังจังหวัดอุทัยธานี ต่อมาในปี พ.ศ.2487 ได้เลื่อน เป็นคลังจังหวัดอุทัยธานี ในระหว่างที่รับราชการเป็นคลัง จังหวัดอุทัยธานี ได้รับเชิญเป็นสำรองผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จังหวัดอุทัยธานี ต่อมาได้ลาออกจากตำแหน่งคลังจังหวัดอุทัยธานี เมื่อ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2488 เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานี และได้รับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานีเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2489 ขณะที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้รับการแต่งตั้ง เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จนกระทั่งเกิด รัฐประหารขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2490 จึงเป็นการสิ้นสุด การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในปี พ.ศ.2491-2498 ได้ประกอบอาชีพเป็นทนายความ นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองอุทัยธานี และ สมาชิกสภาจังหวัดอุทัยธานี ในปี พ.ศ.2498 ได้รับเชิญให้เข้าทำงานในตำแหน่ง พนักงานศาสนการชั้นโท กองศาสนสมบัติ กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ และได้เลื่อนเป็นพนักงานศาสนการ ชั้นเอกในปี พ.ศ.2500 และผู้ตรวจการศาสนสมบัติ ฝ่ายนิติกร เมื่อ 15 ตุลาคม 2506 จนกระทั่งครบเกษียณอายุราชการ และ ออกจากราชการเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2511 ได้รับพระราชทาน 153

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี เครื่องราชอิสริยาภรณ์ เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย เบญจมาภรณ์ ช้างเผือก และจัตุรถาภรณ์ช้างเผือก สิ่งสำคัญในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรนั้น แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาไม่นาน แต่ก็ได้ทำคุณ ประโยชน์ให้กับจังหวัดอุทัยธานีมาก กล่าวคือ เป็นผู้ขออนุญาต จัดตั้งโรงพยาบาลจังหวัดอุทัยธานี เป็นสถานบำบัดโรคภัยไข้ เจ็บประจำจังหวัดขึ้น ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงสุขศาลา และได้ขอจัด ส ร ้ า ง ถ น น จ า ก อ ำ เ ภ อ เ ม ื อ ง อ ุ ท ั ย ธ า น ี ไ ป ย ั ง อ ำ เ ภ อ ม โ น ร ม ย ์ โดยดำเนินการถางป่า ขุดถางตอจนเป็นทางที่สามารถใช้สัญจร ได้ และเป็นผู้ริเริ่มก่อการจัดตั้ง บริษัท เดินอากาศไทย จำกัด เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง คมนาคม ริเริ่มโครงการชลประทานลุ่มน้ำสะแกกรัง โดยทำ ประตูปิดแม่น้ำและทำคลองระบายน้ำ ขุดคลองส่งน้ำ นอกจาก นี้ยังปฏิสังขรณ์มณฑปเขาสะแกกรัง (วัดสังกัสรัตนคีรี) หลังจากเกษียณอายุราชการ ยังได้เป็นผู้ริเริ่มและจัดหา ทุนสร้างวิหารหลวงพ่อ “พระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์” วัด สังกัสรัตนคีรี และบริจาคที่ดินด้านใต้ข้างโรงเรียนสตรีเบญจม- ราชูทิศให้กับโรงเรียนเพื่อใช้ในกิจการของโรงเรียน เป็นประธาน กรรมการพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่น จังหวัดอุทัยธานี นายพร มากวงศ์ ได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2529 และก่อนที่จะเสียชีวิต ขณะที่ยังมีสติสัมปชัญญะดี ได้ซื้อ เครื่องช่วยหายใจบริจาคให้แก่โรงพยาบาลจังหวัดอุทัยธานี 154

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี คุณลักษณะนิสัยของนายพร มากวงศ์ เป็นบุรุษร่างเล็ก แบบเพรียวลม ท่าทางละมุนละม่อมและอมยิ้มอยู่ในทีเสมอ เป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส มีเรื่องคุยให้ผู้ฟังรู้สึกสนุกอยู่เสมอ เป็น คนสันโดษ เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด มีนิสัยร่าเริงคุยสนุก มีเมตตากรุณา ชอบช่วยเหลือผู้อื่น มีความ อดทนมุมานะเพียงพยายามเล่าเรียน สร้างตัวและครอบครัว เป็นผู้ที่มีอัธยาศัยดีงาม พูดจาไพเราะ เป็นที่ประทับใจแก่ผู้ที่ได้ พบเห็นอย่างยิ่งและเป็นนักกฎหมายที่แม่นยำผู้หนึ่ง เป็นคน ว่องไว มีไหวพริบดี พูดเร็ว เดินเร็ว ทำอะไรดูเร็วไปหมด แต่ไม่เคยผิดพลาด เป็นคนใจดี มีเมตตา เป็นที่รักของทุกคน นอกจากนี้ในระหว่างที่เป็นนักการเมืองไม่เคยมี ความประพฤติ ที่มีลักษณะไปในทางแสวงหาอำนาจหรือผลประโยชน์ เป็นคนที่ มีอัธยาศัยประจำตัวที่ดี ไม่เอาเปรียบใคร ไม่หักหาญเพื่อ เอาชนะเมื่อเกิดเรื่องโต้เถียง ถ้าเป็นปัญหาที่โต้เถียงกันอย่าง รุนแรง นายพร มากวงศ์จะทำการประนีประนอม ต่อเมื่อ อารมณ์เย็นลง นายพร มากวงศ์จะค่อย ๆ สอดแทรกเรื่องที่เคย โต้เถียงกัน แล้วค่อย ๆ ชี้แจงรายละเอียดให้ฟังเป็นข้อ ๆ จน คู่กรณียอมรับและเห็นด้วย กรณีดังกล่าว จึงเป็นปัจจัยที่เป็นตัว กำหนดความสำเร็จที่ทำให้ นายพร มากวงศ์ ได้รับการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ .ต.ต. หลวงเจริญตำรวจการ พ.ต.ต. หลวงเจริญตำรวจการ เป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถึงสองครั้งด้วยกัน คือ ในการ เลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 5 และครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2491 และวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2495 ตามลำดับ 155

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี พ.ต.ต. หลวงเจริญตำรวจการ (เจริญ นะวะมวัฒน์) เกิด ปีขาล วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ.2433 ที่บ้านหนองม่วง หมู่ที่ 1 ตำบลเขาขี้ฝอย อำเภอทัพทัน จังหวัดอุทัยธานี บิดาชื่อ นายนวม ส่วนมารดาชื่อ นางทรัพย์ มีปู่ชื่อ สน เมื่อทาง ราชการสนับสนุนให้ใช้ชื่อนามสกุล ญาติส่วนใหญ่จึงได้ยึดชื่อปู่ เอามาเป็นนามสกุล “ไม้สน” ขณะที่ พ.ต.ต.หลวงเจริญตำรวจ การได้หนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 16 ปี มุ่งหน้าไปทางจังหวัด ชายแดนภาคใต้ ไปรับราชการกรมตำรวจที่มณฑลปัตตานี จน ได้เลื่อนยศเป็นร้อยตำรวจตรี เมื่อทางกรมตำรวจต้องการให้ ข้าราชการตำรวจมีนามสกุล จึงได้เสนอชื่อพ่อคือ “นวม” ไป ในที่สุดก็ได้รับพระราชทานนามสกุลจากพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ว่า “นะวะมวัฒน์” พ.ต.ต. หลวงเจริญตำรวจการ เริ่มต้นศึกษาที่โรงเรียนวัด เพราะมีพี่ชายเป็นพระภิกษุ โดยเริ่มศึกษาที่วัดมหรรณพาราม กรุงเทพมหานคร และต่อมาได้ย้ายมาที่วัดอนงคาราม จังหวัด ธนบุรี จนอายุ 14 ปี จึงได้ย้ายมาศึกษาที่วัดหนองเต่า อำเภอ เมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี ต่อมาเมื่ออายุ 16 ปี ถูก พระภิกษุที่เป็นพี่ชายเฆี่ยนตี จึงตัดสินใจหนีเข้ากรุงเทพไปอยู่ที่ วัดมหรรณพาราม ซึ่งเจ้าคุณเทพโมฬีได้มีเมตตารับไว้ ช่วงที่ อยู่ที่วัดนี้ กลางวันจะเรียนหนังสือส่วนกลางคืนจะไปรับจ้างขาย ขนม เมื่ออายุ 18 ปี สอบเข้ารับราชการเป็นเสมียนโท อยู่ที่ กระทรวงกลาโหม จนกระทั่งอายุ 20 ปี สามารถสอบเข้าเรียน ต่อได้ที่ โรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธร จังหวัดนครปฐม หลังจาก สำเร็จการศึกษาได้ถูกส่งไปประจำรับราชการที่มณฑลปัตตานี ในปี พ.ศ. 2456 และได้เลื่อนเป็นนายเวรผู้บังคับการมณฑล 156

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี ปัตตานี และได้ถูกย้ายไปประจำที่จังหวัดยะลา จังหวัด นครศรีธรรมราช จังหวัดสงขลา จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดแพร่ จังหวัดชุมพร จังหวัด สุราษฎร์ธานี และจังหวัดพัทลุงตามลำดับ โดยตำแหน่งสุดท้าย คือ ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง และได้เกษียณอายุ ราชการเมื่อปี พ.ศ.2487 หลงั จากเกษยี ณอายรุ าชการ พ.ต.ต. หลวงเจรญิ ตำรวจการ (เจริญ นะวะมวัฒน์) ได้ตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางชีวิตนักการเมือง โดยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัด อุทัยธานี และได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุทัยธานี ถึง 2 ครั้ง คือ ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2491 และ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2495 ผลงานที่ สำคัญในช่วงที่เป็นนักการเมือง คือ การสร้างถนนเข้าสู่เมือง อุทัยธานี เนื่องจากเมืองอุทัยธานีขณะนั้นมีสภาพเป็นเมืองปิด ไ ม ่ ม ี เ ส ้ น ท า ง ค ม น า ค ม ต ิ ด ต ่ อ เ ช ื ่ อ ม โ ย ง ก ั บ จ ั ง ห ว ั ด อ ื ่ น การคมนาคมล้วนแล้วแต่เป็นทางเกวียนและทางเดินเท้า ทำให้ นายควง อภัยวงศ์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณ ให้ก่อสร้างถนนจากท่ามโนรมย์เข้าสู่เมืองอุทัยธานี นอกจากนี้ ยังจัดตั้งโรงพยาบาลประจำจังหวัดขึ้น เนื่องจากราษฎรชาว อุทัยธานีได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากยังไม่มีสถานพยาบาล ที่ได้มาตรฐาน และขอแยกพื้นที่อำเภอทัพทันบางส่วนไปเป็น กิ่งอำเภอสว่างอารมณ์ เนื่องจากพื้นที่อำเภอทัพทันกว้างขวาง มาก ประชาชนกระจัดกระจาย โจรผู้ร้ายชุกชุม ทางราชการ ดแู ลไม่ทั่วถึง 157

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี คุณลักษณะนิสัยของ พ.ต.ต. หลวงเจริญตำรวจการ (เจริญ นะวะมวัฒน์) เป็นคนคุยสนุกสนาน พูดตรง ปากกับใจ ตรงกัน ไม่เป็นคนลับลมคมใน หน้าไหว้หลังหลอก คิดอย่างไร ก็พูดออกมาอย่างนั้น ไม่เกรงกลัวว่าจะขัดใจใครหรือไม่ สิ่งที่ พูดออกมาไม่ใช่เรื่องส่วนตัว สามารถแยกเรื่องส่วนตัวกับ ส่วนรวมออกจากกันได้ เป็นคนฟังเหตุผล ไม่ใช่คนดันทุรัง ไม่ถือเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่ คนไหนดีก็จะยกย่อง คนไหนไม่ดีก็จะตำหนิ มีความเป็นกันเองกับทุกคน ไม่ถือตัว มักมีเรื่องสนุกสนานคุยให้ได้หัวเราะ อย่างเป็นกันเองตลอด เวลา เป็นคนรักงานที่ตนรับผิดชอบ เป็นคนเอาการเอางาน ไม่เคยขาดประชุม เป็นคนคล่องแคล่ว ว่องไว เป็นผู้มีอารมณ์ ขัน เป็นบุคคลที่ทันสมัย ชอบติดตามเหตุการณ์ข่าวสารบ้าน เมือง อยู่เป็นประจำ เป็นคนพูดดัง มีท่าทีที่เฉียบขาด แต่มี เหตุผล ไม่ถือเขาถือเรา ไม่กระทำสิ่งใดเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่หากินในทางมิชอบนอกลู่นอกทาง การที่มีลักษณะนิสัยดัง กล่าว แสดงให้เห็นถึงความจริงจังและจริงใจในการทำงาน ซึ่งกลายเป็นปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดความสำเร็จที่ทำให้ พ.ต.ต. หลวงเจริญ ตำรวจการ (เจริญ นะวะมวัฒน์) ได้รับการ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดอุทัยธานี ถึงสองครั้ง. นายทวาย เศรษฐพานิช นายทวาย เศรษฐพานิช เป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานี ในการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 7 ของจังหวัดอุทัยธานี เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2500 โดยลงสมัครในนามพรรคเสรีมนังคศิลา 158

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี นายทวาย เศรษฐพานิช เกิดเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2455 ณ บ้านหมู่ที่ 6 ตำบลหนองฉาง อำเภอหนองฉาง จังหวัด อุทัยธานี โดยมีนามสกุลเดิม “ทุ่งทอง” บิดาชื่อ นายบุญศรี มารดาชื่อ นางจำรัส และได้เปลี่ยนนามสกุลจาก “ทุ่งทอง” เป็น “เศรษฐพานิช” เมื่อปี พ.ศ. 2443 นายทวาย เศรษฐพานิช แต่งงานกับนางสาวสมจิตต์ คุ้มเกรง และมีบุตรด้วยกัน 5 คน ในช่วงวัยเด็ก นายทวาย เศรษฐพานิช ได้บวชเป็นสามเณรและศึกษาจนจบเปรียญ 6 ที่วัดมหาธาตุ คณะ 1 และได้ลาสิกขาบทเมื่อปี พ.ศ. 2481 เพื่อ ไปรับราชการที่กระทรวงเกษตราธิการ และได้โอนย้ายมารับ ราชการที่กรมอัยการ กองคดี ศาลแขวงธนบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2482 และได้ศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนจบ ทางด้านกฎหมาย และได้ลาออกมาประกอบอาชีพทนายความ หลังจากนั้นจึงลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัด อุทัยธานี โดยสังกัดพรรค เสรีมนังคศิลา และได้รับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานี เมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2500 ในสมัยที่นายทวาย เศรษฐพานิชเป็นผู้แทนราษฎรสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม จังหวัดอุทัยธานีเป็นเมืองปิด ที่การ สัญจรไปมากับจังหวัดอื่นเป็นไปด้วยความยากลำบาก แต่ นายทวาย เศรษฐพานิช ได้ทำให้ประชาชนทั่วไปรู้จักจังหวัด อุทัยธานีมากขึ้น สร้างประโยชน์ให้แก่ชาวจังหวัดอุทัยธานีมาก ราษฎรร้องขออะไร นายทวาย เศรษฐพานิช ก็จะจัดการให้ทุก ครั้ง นอกจากนี้ นายทวาย เศรษฐพานิช ยังเคยเป็นนายก เทศมนตรีเมืองอุทัยธานี 2 สมัย เป็นนายกสโมสรโรตารี เป็น นายกสมาคมศิษย์มหาธาตุฯ กทม. ระหว่างปี พ.ศ. 2524-2526 เป็นกรรมการมลู นิธิสมเด็จพระวันรัตน์ (เฮง เขมจารี) วัดทุ่งแก้ว 159

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี การที่นายทวาย เศรษฐพานิช เป็นบุคคลที่เข้าถึงจิตใจ ชาวบ้านได้ดี ชาวบ้านร้องขออะไร นายทวาย เศรษฐพานิช ก็จะจัดการให้ตลอด อีกทั้งนายทวาย เศรษฐพานิช จับจุดความ ต้องการของประชาชนถูก เกี่ยวกับเรื่องของจังหวัดอุทัยธานี ที่เป็นเมืองปิด อยู่ห่างไกลความเจริญ นายทวาย เศรษฐพานิช ได้ชูประเด็นในการที่จะทำให้ประชาชนทั่วประเทศได้รู้จัก จังหวัดอุทัยธานีเพิ่มมากขึ้น จึงกลายเป็นปัจจัยที่เป็นตัวกำหนด ความสำเร็จที่ทำให้นายทวาย เศรษฐพานิช ได้รับการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร น า ย ศิลป์ พิลึกฤาเดช นายศิลป์ พิลึกฤาเดช เป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 8 ของ จังหวัดอุทัยธานี เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2500 โดยลงสมัครใน นามพรรคสหภูมิ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่ถึง 1 ปี จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ทำการปฏิวัติ และก็ได้เว้นระยะการ เลือกตั้งเป็นเวลานาน นายศิลป์ เป็นคนพื้นเพ ตำบลวังเมือง อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ ก่อนหน้านี้ นายศิลป์ มีนามสกุลเดิมว่า “พิลึก” แต่ต่อมาเปลี่ยนเป็น “พิลึกฤาเดช” และ “ระลึกฤาเดช” ตามลำดับ นายศิลป์ พิลึกฤาเดช จบการศึกษาจาก โรงเรียน วัดญาณนาวา แล้วไปเรียนต่อที่โรงเรียนวัดสุทธิวราราม จนกระทั่งจบการศึกษา จึงกลับมาสอบชิงทุนเพื่อศึกษาต่อที่ จังหวัดอุทัยธานี จนในที่สุดก็สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียน 160

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี ฝึกหัดครูพระนคร แล้วกลับมาประกอบอาชีพเป็นครูที่โรงเรียน อุทัยทวีเวท ซึ่งเป็นโรงเรียนชายประจำจังหวัดอุทัยธานี ในระหว่างนั้นก็เรียนต่อที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และ การเมืองควบคู่กันไป จนจบธรรมศาสตร์บัณฑิต ในระหว่าง ที่กำลังเตรียมตัวสอบเป็นปลัดอำเภอ ก็ได้ลองลงสมัครรับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และปรากฏว่าได้รับ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งครั้งที่ 8 ของจังหวัดอุทัยธานี ลักษณะนิสัยของนายศิลป์ พิลึกฤาเดช จะเป็นคนใจดี นิสัยโอบอ้อม อารี เข้าถึงประชาชนได้เป็นอย่างดี เคยไปช่วย ชาวบ้านดำนา มีความผูกพันกับราษฎรโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ราษฎรอำเภอบ้านไร่ ซึ่งมักจะมานอนค้างที่บ้านเป็นประจำ และชาวบ้านมักจะนำข้าวของมาฝาก ด้านการทำงานด้านการเมือง เนื่องจากนายศิลป์ พิลึกฤาเดช มีความคุ้นเคยและรู้จักชาวอำเภอบ้านไร่เป็นอย่าง ดี นายศิลป์ ได้ขี่จักรยานไปหาเสียงที่อำเภอบ้านไร่เป็นประจำ ทั้ง ๆ ที่มีระยะทางไกลมาก ห่างจากจังหวัดถึง 70 กิโลเมตร แต่ นายศิลป์ ก็ไม่ได้ย่อท้อ อาศัยความคุ้นเคย ไปนั่งล้อมวงรับ ประทานอาหารกับชาวบ้านเป็นประจำ ฐานคะแนนเสียงของ นายศิลป์ พิลึกฤาเดช จึงมาจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอำเภอ บ้านไร่ค่อนข้างมาก อีกทั้งยังได้น้องชายชื่อ นายเฉย กล่ำปทุม ซึ่งเป็นกำนันอยู่ที่ อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ และ เป็นหัวคะแนนของนายสวัสดิ์ คำประกอบ ขณะนั้น ซึ่งมี ประสบการณ์มาช่วยในการหาเสียง แม้แต่ตัว นายสวัสดิ์ 161

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี คำประกอบ เองก็ยังเคยมาช่วยหาเสียงเพราะเห็นว่าเป็นจังหวัด ที่อยู่ใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ยังมีลูกศิษย์ที่เคยสอนหนังสือ และ ลูกความที่สมัยเป็นทนายความ มาช่วยในการหาเสียง กรณี ดังกล่าวจึงกลายเป็นปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดความสำเร็จที่ทำให้ นายศิลป์ พิลึกฤาเดช ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานี นายศิริ ทุ่งทอง นายศิริ ทุ่งทอง เป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรถึงสามครั้งด้วยกัน คือ ในการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 9 ครั้งที่ 10 และครั้งที่ 12 เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2512 และวันที่ 26 มกราคม 2518 และวันที่ 22 เมษายน 2522 ตาม ลำดับ โดยในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 9 และครั้งที่ 10 ลงสมัคร ในนามพรรคชาวนาชาวไร่ ส่วนครั้งที่ 12 ลงสมัครในนามพรรค เสรีธรรม นายศิริ ทุ่งทอง เป็นคนพื้นเพตำบลตลุกดู่ อำเภอ ทัพทัน จังหวัดอุทัยธานี หลังจากจบการศึกษาชั้นประถมปีที่ 4 ก็ได้ประกอบอาชีพหลักในการทำนาและมีโรงสีขนาดเล็ก ต่อมา ได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน และ กำนัน จุดที่เป็นแรงดลใจทำให้ นายศิริ ทุ่งทอง หันมาเล่นการเมืองระดับชาติ คือ นายทวาย เศรษฐพานิช ซึ่งเป็นเครือญาติของนายศิริ ทุ่งทอง นับได้ว่าเป็น บุคคลที่สร้างแรงดลใจให้กับนายศิริ ทุ่งทองอย่างมากในการหัน มาเล่นการเมือง โดยนายศิริ ทุ่งทอง มีความสามารถพิเศษทาง ด้านการพูด มีวาทศิลป์ดี เป็นคนพูดเก่ง ชอบวิพากษ์วิจารณ์ 162

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี จัดได้ว่าเป็น “ดาวสภา” คนหนึ่ง และมีเอกลักษณ์ที่สร้างชื่อให้ กับนายศิริ ทุ่งทอง คือการขี่ควายไปเข้าประชุมรัฐสภา ในการบริหารคะแนนเสียง นายศิริ ทุ่งทอง ไม่ได้มีการ จัดตั้งองค์กรในการหาเสียงเป็นกิจจะลักษณะ แต่ใช้ระบบ หัวคะแนนจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้านเป็นหลัก ประกอบกับในช่วง ระยะนั้นเป็นช่วงที่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์เข้าแทรกซึมอยู่ใน จังหวัดอุทัยธานีเป็นจำนวนมาก เพราะเป็นพื้นที่ที่การคมนาคม ไม่ค่อยสะดวก แต่สถานการณ์ทางการเมืองดังกล่าวกลับเป็น ประโยชน์ต่อนายศิริ ทุ่งทอง ที่ช่วยเอื้ออำนวยให้ชนะการ เลือกตั้ง เพราะการที่เป็นพื้นที่ที่ห่างไกล ไม่ค่อยมีใครกล้า เข้าไปเพราะเป็นห่วงในเรื่องความปลอดภัย นายศิริ ทุ่งทอง จึงได้ใช้โอกาสนี้นำรถฉายหนังเข้าไปฉายหนังให้ประชาชนที่อยู่ ในพื้นที่ดังกล่าวได้ดู ทำให้ประชาชนเมื่อเห็นหน้านายศิริ ทุ่งทอง เข้ามาในพื้นที่จะรู้สึกดีใจมาก ในด้านการหาเสียง ถือได้ว่า นายศิริ ทุ่งทอง มีความพร้อมในด้านทรัพยากร ที่ให้การสนับสนุนเนื่องจากประกอบอาชีพมีโรงสีข้าวด้วย จึงมี ทุนทรัพย์ในการนำรถฉายหนังเคลี่อนที่ไปช่วยในการหาเสียงได้ การวางกลยุทธ์ในการหาเสียงจึงเน้นหนักไปที่การเข้าไปในพื้นที่ ห่างไกล เช่าเครื่องขยายเสียง เช่าเครื่องไฟ และเช่าเครื่องฉาย หนังเพื่อจูงใจให้คนมาฟังนายศิริ ทุ่งทอง ปราศรัยหาเสียง และ เป็นศิลปินเดี่ยวที่มักไปไหนมาไหนตามลำพังโดยใช้รถ จักรยานยนต์คู่ใจเข้าไปคลุกคลีอยู่กับชาวไร่ชาวนา เพื่อรับรู้ถึง ปัญหา ทุกข์สุขและความเดือดร้อนต่าง ๆ ประกอบกับการที่ เป็นคนที่ประกอบอาชีพทำไร่ ทำนา และเป็นคนพื้นที่อำเภอ ทัพทันซึ่งอยู่ใกล้เขตป่าสงวน ทำให้เข้าใจวิถีชีวิตของชาวบ้าน 163

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี ที่ต้องทำมาหากินในการหาของป่า และเคยช่วยคนที่เผาถ่าน ไม่ต้องติดคุก จึงทำให้ได้ใจจากประชาชน ส่วนความสัมพันธ์กับเครือข่ายที่มีส่วนในการสนับสนุน นายศิริ ทุ่งทองนั้น พบว่าเครือข่ายที่สำคัญที่มีส่วนช่วยให้ นายศิริ ทุ่งทอง ชนะการเลือกตั้ง คือ ฐานคะแนนเสียงจาก กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และกลุ่มชาวบ้าน โดยไม่ได้รับการสนับสนุน จากพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองระดับชาติเลย การที่นาย ศิริ ทุ่งทอง มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำระดับท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และรับรู้ทุกข์สุขของชาวบ้านที่อยู่ห่างไกล จึงเป็น ปัจจัยตัวกำหนดความสำเร็จที่ทำให้นายศิริ ทุ่งทอง ชนะการ เลือกตั้ง และได้รับการเลือกตั้งถึง 3 ครั้ง นายศิลปชัย เชษฐศิลป์ (นุ้ยปรี) นายศิลปชัย นุ้ยปรี ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อสกุล เป็น “เชษฐศิลป์” เป็นผู้ที่ได้รับ การเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรถึงสี่ครั้งด้วยกัน คือ ในการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 11 ครั้งที่ 16 ครั้งที่ 17 และครั้งที่ 18 เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2519 วัน ที่ 22 มีนาคม 2535 วันที่ 13 กันยายน 2535 และวันที่ 2 กรกฎาคม 2538 ตามลำดบั โดยลงสมคั รในนามพรรคชาตไิ ทย นายศิลปชัย นุ้ยปรี มีภูมิหลัง เป็นคนพื้นเพจังหวัด อทุ ยั ธานี โดยกำเนดิ จบการศกึ ษาจากจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั และได้ประกอบอาชีพทางด้านวิศวกรชลประทาน ไม่เคยมี ความรู้พื้นฐานหรือประสบการณ์ทางการเมืองใด ๆ มาก่อน แต่ มีความสามารถพิเศษที่มีผลงานที่มีชื่อเสียง ทางด้านวิศวกร 164

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี แหล่งน้ำ และเป็นคนหนุ่ม ไฟแรง มีความกล้า ประกอบกับได้ พิจารณาเห็นว่า จังหวัดอุทัยธานี มีปัญหาเรื่องแหล่งน้ำ เนื่องจากอาชีพหลักของชาวจังหวัดอุทัยธานี คือ อาชีพทาง ด้านเกษตรกรรม โดยเฉพาะการทำนา ซึ่งต้องพึ่งพาแหล่งน้ำ แต่จังหวัดอุทัยธานีมีปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อใช้ใน การเกษตรและอุปโภคบริโภคและได้รับความเดือดร้อนมาโดย ตลอด นายศิลป์ชัย นุ้ยปรี จึงได้หยิบยกประเด็นสถานการณ์ ดังกล่าวมาใช้เป็นประเด็นชูโรงในการหาเสียง ซึ่งก็ได้ผลเป็น อย่างยิ่ง เป็นที่ชื่นชอบของราษฎรและกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แม้จะ ไม่มีการจัดตั้งองค์กรในการหาเสียงอย่างเป็นกิจจะลักษณะ แต่การวางกลยุทธ์ในการหาเสียง โดยชูประเด็นสถานการณ์ที่ ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ทำให้กลายเป็นปัจจัยที่เป็นตัว กำหนดความสำเร็จที่ทำให้นายศิลป์ชัย นุ้ยปรี ได้รับการ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถึงสี่ครั้งด้วยกัน พ.อ. (พิเศษ) พล เริงประเสริฐวิทย์ พ.อ. (พิเศษ) พล เริงประเสริฐวิทย์ เป็นผู้ที่ได้รับการ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถึงหกครั้งด้วยกัน คือ ใน การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 12 ครั้งที่ 13 ครั้งที่ 14 ครั้งที่ 15 ครั้งที่ 16 และครั้งที่ 18 เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2522 วันที่ 18 เมษายน 2526 วันที่ 27 กรกฎาคม 2529 วันที่ 24 กรกฎาคม 2531 วันที่ 22 มีนาคม 2535 และวันที่ 2 กรกฎาคม 2538 ตามลำดับ โดย ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 12 ซึ่งเป็นครั้งแรกลงสมัครอิสระ ไม่สังกัดพรรค ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 13 ลงสมัครในนาม พรรคสยามประชาธิปไตย ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 14 และ 165

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี 15 ลงสมัครในนามพรรคสหประชาธิปไตย ในการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 16 ลงสมัครในนามพรรคปวงชนชาวไทย และในการเลือก ตั้งทั่วไปครั้งที่ 18 ลงสมัครในนามพรรคความหวังใหม่ ภูมิหลังของ พ.อ. (พิเศษ) พล เริงประเสริฐวิทย์ เกิดเมื่อ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2473 เป็นคนพื้นเพอำเภอทัพทันและ อำเภอสว่างอารมณ์ จังหวัดอุทัยธานี มาจากครอบครัวชาวนา ตระกูลหรือเครือญาติไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องในการเล่นการเมือง มาก่อน หลังจากที่ พ.อ. (พิเศษ) พล เริงประเสริฐวิทย์ จบการ ศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนประจำจังหวัดอุทัยธานี แล้ว ได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียน เสนารักษ์ กรมแพทย์ทหารบก และ ได้ศึกษาต่อที่ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า และมีความ เจริญก้าวหน้าในอาชีพรับราชการทหารมาโดยตลอด ประมาณ ปี พ.ศ. 2497 พลจัตวากฤษณ์ สีวะรา ซึ่งขณะนั้นเป็น ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ ได้คัดเลือก เคยเป็นนายทหารคนสนิท และได้เลือก ร.ต.พล เริงประเสริฐวิทย์ ซึ่งเป็น ผบ.หมวดกองร้อยเครื่องยิงหนัก เป็นนายทหารคนสนิท เพราะเห็นว่าเป็นนายทหารที่มีความ คลอ่ งแคลว่ และเปน็ นกั กฬี าของกรม ซง่ึ พลจตั วา กฤษณ์ สวี ะรา ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาตามลำดับตั้งแต่ ผบ.กรม 1 ผบ.พล 1 ผบ.ทบ. และ ผบ.สูงสุด แม้เป็นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวง กลาโหม พ.อ.(พิเศษ)พล เริงประเสริฐวิทย์ ก็ได้เป็นนายทหาร คนสนิทมาโดยตลอด จนกระทั่ง พลเอก กฤษณ์ สีวะรา ถึงแก่ อสัญกรรมแล้ว พ.อ.(พิเศษ)พล เริงประเสริฐวิทย์ จึงได้ลาออก จากราชการ และหันมาเล่นการเมืองและทำธุรกิจการค้า 166

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี พ.อ. (พิเศษ) พล เริงประเสริฐวิทย์ ในขณะนั้นต้องถือว่า เป็นคนรุ่นใหม่ ไฟแรง มีอุดมการณ์สูง หลายคนจับตามอง เพราะไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจาก พ.อ. (พิเศษ) พล เริงประเสริฐวิทย์ มีฐานะทางการเงินดี เป็นเจ้าของธุรกิจโรงงาน สัปปะรด อีกทั้งยังแต่งงานกับ น.ส.ยุพิน ล่ำซำ (ครอบครัว ตระกูลล่ำซำ) ซึ่งเป็นตระกูลมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของ ประเทศไทย หลังจากลงเล่นการเมือง พ.อ. (พิเศษ) พล เริงประเสริฐ วิทย์ เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ เป็น เลขานุการรัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงกลาโหม เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง อุตสาหกรรม หัวหน้าพรรคสยามประชาธิปไตย กรรมการ บริหารพรรคความหวังใหม่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง คมนาคม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คุณลักษณะส่วนบุคคลของ พ.อ.(พิเศษ)พล เริงประเสริฐ วิทย์ นอกจากจะเป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถแล้ว ยังเป็น คนจริงจัง พูดคำไหนคำนั้น เป็นคนพูดน้อย แต่เอาจริงต่อคำพูด ต้องทำให้ได้ เป็นผู้ที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี มีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อ บุคคลทั่วไป ชอบช่วยเหลือผู้อื่น โดยไม่หวังผลตอบแทน ทำให้ มีมิตรสหายมาก ทั้งนักการเมือง และนายทหารระดับต่าง ๆ เป็นที่รู้จักทั่วไปทั้งในกองทัพและประชาชนทั่วไป เป็นบุคคลที่ มีชื่อเสียงในทางที่ดี กลยุทธ์ในการหาเสียงจึงมุ่งใช้ภาพลักษณ์และ คุณสมบัติส่วนตัวเป็นจุดเด่นในลักษณะ one man show การ 167

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี บริหารคะแนนเสียงมีการจัดตั้งองค์กรในการหาเสียงอย่างเป็น ระบบ มีศูนย์อำนวยการเลือกตั้งอยู่ที่จังหวัด และอำเภอ คอย ติดตามสถานการณ์และประเมินสถานการณ์ตลอดจนหาข่าว ของคู่แข่ง และเป็นบุคคลที่มีความพร้อมทางด้านทรัพยากร ทางการเมือง มีงบประมาณที่ใช้ในการหาเสียง และมีการจัดตั้ง ระบบหัวคะแนน โดยใช้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นหลัก การออกไป หาเสียงจะไม่มีบุคคลติดตามล้อมหน้าล้อมหลัง เป็นบุคคลที่ ขยันลงพื้นที่หาเสียงด้วยตนเองเป็นประจำ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างเครือข่ายที่สนับสนุนการ เลือกตั้งนั้น พบว่า พรรคการเมืองไม่ได้สนับสนุนในการรณรงค์ หาเสียงอย่างจริงจังเท่าใด เครือข่ายหลักที่เป็นส่วนสำคัญใน การสนับสนุน คือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในพื้นที่ นอกจากนี้ พ.อ. (พิเศษ) พล เริงประเสริฐวิทย์ ยังให้ความจริงจังในเรื่องการ รับปากในการดำเนินการเรื่องทุกข์ร้อนของประชาชน เมื่อ รับปากเรื่องอะไรแล้ว จะหาทางขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ของทางราชการลงไปในพื้นที่ทันที โดยเฉพาะงบประมาณตาม โครงการพัฒนาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรณีดังกล่าว จ ึ ง ก ล า ย เ ป ็ น ป ั จ จ ั ย ท ี ่ เ ป ็ น ต ั ว ก ำ ห น ด ค ว า ม ส ำ เ ร ็ จ ข อ ง พ.อ. (พิเศษ) พล เริงประเสริฐวิทย์ ที่ทำให้ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานี ถึงหกครั้งด้วยกัน น างสุทิน ก๊กศรี นางสุทิน ก๊กศรี เป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานี ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 13 เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2526 ลงสมัครโดยไม่สังกัดพรรค 168

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี นางสทุ นิ กก๊ ศรี พน้ื เพเปน็ คนจงั หวดั อทุ ยั ธานี โดยกำเนดิ อาชีพหลักของนางสุทิน ก๊กศรี คือประกอบอาชีพโรงสีข้าว ในตระกูลและแวดวงเครือญาติไม่มีผู้ใดเล่นการเมืองมาก่อน คงมีแต่สามีที่ดำรงตำแหน่ง กำนัน ส่วนนางสุทิน ก๊กศรี เคยมี พื้นฐานหรือประสบการณ์ทางการเมืองมาก่อน คือเคยเป็น สมาชิกสภาจังหวัด เขตอำเภอห้วยคต ผลงานที่มีชื่อเสียง หรือ สร้างชื่อให้กับนางสุทิน ก๊กศรี คือความที่เป็นผู้หญิงคนแรกที่มี ความกล้ามาลงเล่นการเมืองแม้จะเป็นการเมืองระดับท้องถิ่น ก็ตาม แต่ก็มีความกล้าที่จะแสดงออก ตั้งคำถาม วิพากษ์ วิจารณ์ ในการบริหารคะแนนเสียง ไม่มีการจัดตั้งองค์กรในการ หาเสียงเป็นกิจจะลักษณะ แต่มีการจัดระบบหัวคะแนน โดยได้ ฐานคะแนนเสียงจากสามีที่เป็นกำนัน และฐานคะแนนเสียง ในฐานะที่เคยเป็นนักการเมืองระดับท้องถิ่นมาก่อน และมี ความพร้อมทางด้านทรัพยากรการเมืองที่ใช้ในการหาเสียง เนื่องจากมีกิจการโรงสีข้าวเป็นของตนเอง ด้านการวางกลยุทธ์ ในการหาเสียง มักจะชอบใช้คำพูด “เลือกใครก็ lifeboy เลือก ป๊อยดีกว่า” (ป๊อย คือ ชื่อเล่นของนางสุทิน ก๊กศรี) ทางด้าน ความสัมพันธ์กับเครือข่ายต่าง ๆ พบว่าเป็นการลงสมัครโดยไม่ สังกัดพรรค จึงไม่มีพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองระดับชาติ กลุ่มใดหนุนหลัง คงมีแต่เครือข่ายการเมืองระดับท้องถิ่น และ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่เป็นฐานคะแนนเสียงสำคัญ บวกกับความ เป็นผู้หญิงที่กล้าแสดงออก กรณีดังกล่าวจึงกลายเป็นปัจจัยที่ เป็นตัวกำหนดความสำเร็จที่ทำให้ นางสุทิน ก๊กศรี ได้รับการ เลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุทัยธานี. 169

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี นายตามใจ ขำภโต นายตามใจ ขำภโต เป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 14 เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2529 โดยลงสมัครในนามพรรคสหประชาธิปไตย เช่นเดียวกับ พ.อ.(พิเศษ)พล เริงประเสริฐวิทย์ นายตามใจ ขำภโต เป็นคนพื้นเพทางกรุงเทพมหานคร ไม่มีตระกูลหรือเครือญาติในจังหวัดอุทัยธานี เคยดำรงตำแหน่ง ผู้บริหารระดับสูงในธนาคารกรุงไทยจำกัด ตำแหน่งกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ และเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงอย่างมาก แต่ไม่มี พื้นฐานหรือประสบการณ์ทางการเมืองมาก่อน มีความสนิท สนมกับ พ.อ.(พิเศษ)พล เริงประเสริฐวิทย์ และได้รับการชักชวน จาก พ.อ.(พิเศษ)พล เริงประเสริฐวิทย์ และได้รับการชักชวนให้ มาร่วมทีมเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุทัยธานี ในการบริหารคะแนนเสียง ไม่ได้มีการจัดตั้งเป็นองค์กร ในการหาเสียงที่เป็นกิจจะลักษณะแต่อย่างใด แต่มีความพร้อม ทางด้านทรัพยากรทางการเมือง โดยเฉพาะเป็นผู้สนับสนุนทาง ด้านการเงินให้กับ พ.อ.(พิเศษ)พล เริงประเสริฐวิทย์ ใช้ในการ หาเสียง ส่วนการจัดระบบหัวคะแนนนั้น เนื่องจากไม่มีพื้นเพ เป็นคนจังหวัดอุทัยธานี จึงต้องอาศัยฐานคะแนนเสียงจาก พ.อ.(พิเศษ)พล เริงประเสริฐวิทย์ เป็นหลัก โดยมีกลยุทธ์ในการ หาเสียงที่ชูประเด็นในเรื่องการมีประสบการณ์ด้านการเงิน การคลังระดับชาติ เป็นหลักในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง 170

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี กรณีดังกล่าว จึงกลายเป็นปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดความ สำเร็จที่ส่งผลให้นายตามใจ ขำภโต ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายไพโรจน์ ทุ่งทอง นายไพโรจน์ ทุ่งทอง เป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 15 เมื่อ วันที่ 24 กรกฎาคม 2531 ลงสมัครในนามพรรคพลังธรรม นายไพโรจน์ ทุ่งทอง เป็นคนที่มีพื้นเพจังหวัดอุทัยธานี และที่สำคัญมีความผูกพันและใกล้ชิดกับ นายศิริ ทุ่งทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานี ในฐานะที่เป็น บุตรของนายศิริ ทุ่งทอง จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ที่ อำเภอหนองฉาง จังหวัดนครสวรรค์ และระดับมัธยมศึกษา ที่โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ทางด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ จากเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มีอาชีพเป็นสถาปนิก ได้รับการถ่ายทอดพื้นฐานและ ประสบการณ์ทางการเมืองจากนายศิริ ทุ่งทอง ผู้เป็นบิดา อย่างมาก เพราะติดตามนายศิริ ทุ่งทอง โดยซ้อนท้าย รถจักรยานยนต์ไปหาเสียงกับบิดาเป็นประจำ จึงได้รับการปลูก ฝังวิถีชีวิตของนักการเมืองมาแต่ วัยเยาว์ มีความสามารถ พิเศษในการพูด และคิดค้นประดิษฐ์ภาษา ถ้อยคำเพื่อใช้ใน การหาเสียง นับว่าเป็นคลังสมองคนสำคัญของพรรคพลังธรรม ยุคแรก สำหรับการใช้วาทศิลป์ในการสื่อสารทางการเมืองของ ยุคการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองสมัยนั้น ประกอบกับเคยร่วม 171

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี ทำกิจกรรมทางการเมืองตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ประกอบกับเป็นคนที่มีบุคลิกดี มีความเฉลียวฉลาด ไหวพริบดี มีวาทะศิลป์ จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นโฆษก พรรคพลังธรรม นายไพโรจน์ ทุ่งทองเริ่มงานการเมือง โดยลงสมัครรับ เลือกตั้งการเมืองระดับท้องถิ่น และได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาจังหวัด ตั้งแต่อายุเพียง 25 ปี มีการบริหารคะแนนเสียง โดยใช้ฐานคะแนนเสียงเดิมของ นายศิริ ทุ่งทอง ผู้เป็นบิดา แต่ ไม่ได้มีการจัดตั้งองค์กรที่ใช้ในการหาเสียง มีความพร้อมทาง ด้านทรัพยากรทางการเมือง เพราะมีอาชีพเป็นสถาปนิกและ มีกิจการโรงสีของบิดา (ซึ่งต่อมาได้เลิกกิจการ) การจัดระบบ หัวคะแนนยังคงพึ่งพิง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และนักการเมือง ในระดับท้องถิ่นเป็นหลัก กลยุทธ์ที่ใช้ในการหาเสียง เป็นไป แบบเรียบง่ายและวางแผนในการหาเสียงแบบไม่เปิดเผย และ กระทำมาเป็นระยะเวลายาวนาน ส่วนทางด้านความสัมพันธ์กับเครือข่ายต่าง ๆ พบว่า พรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองระดับชาติ ไม่ได้มีส่วนในการ สนับสนุนการเลือกตั้งอย่างจริงจัง คงมีแต่นักการเมืองระดับ ท้องถิ่น และกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ที่เป็นฐานคะแนนเสียงเก่าของ บิดา ให้การสนับสนุน จนกลายเป็นปัจจัยที่เป็นตัวกำหนด ความสำเร็จที่ส่งผลให้นายไพโรจน์ ทุ่งทอง ได้รับการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานี ตั้งแต่อายุ 28 ปี 172

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี นายประเสริฐ มงคลศิริ นายประเสริฐ มงคลศิริ เป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถึงสองครั้งด้วยกัน คือ ในการเลือกตั้ง ทั่วไปครั้งที่ 17 และครั้งที่ 19 เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2535 และ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 ตามลำดับ โดยลงสมัครในนาม พรรคประชาธิปัตย์ นายประเสริฐ มงคลศิริ พื้นเพเป็นคนจังหวัดอุทัยธานี ครอบครัว ตระกูล หรือเครือญาติ ไม่เคยมีผู้หนึ่งผู้ใดมีส่วน เกี่ยวข้องกับการเมืองมาก่อน จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา หลังจากจบการศึกษาในระดับ มหาวิทยาลัย ได้ประกอบอาชีพรับราชการ ไม่เคยมีพื้นฐาน หรือประสบการณ์ทางการเมืองมาก่อน แต่มีคุณลักษณะที่เป็น คนหนุ่มไฟแรง และเป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลลานสัก จังหวัดอุทัยธานี ถือได้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองเป็นส่วน สำคัญที่ทำให้ชีวิตหักเหมาทางการเมือง กล่าวคือ เกิด เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และปรากฏว่ามีนายแพทย์ที่เข้าไปช่วย เหลือถูกยิงตาย นายประเสริฐ มงคลศิริ จึงได้นำพวงหรีดดำไป วางเพื่อไว้อาลัยแก่ผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์ การทม่ี ลี กั ษณะเปน็ คนหนมุ่ ไฟแรง มอี ดุ มการณแ์ รงกลา้ ประกอบกับภาพลักษณ์ของครอบครัวดีมาก จบจากสถาบัน การศกึ ษาชน้ั นำ มบี คุ ลกิ ทน่ี อบนอ้ มถอ่ มตน พรรคประชาธปิ ตั ย์ จึงได้ส่งคนมาเจรจาขอร้องให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร ในนามพรรคประชาธิปัตย์ 173

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี ด้านการบริหารคะแนนเสียง ไม่ปรากฏว่ามีการจัดตั้ง องค์กรในการหาเสียงอย่างจริงจัง ส่วนความสัมพันธ์ระหว่าง เครือข่ายต่าง ๆ ปรากฏว่า พรรคการเมืองก็ไม่ได้ให้การ สนับสนุนอย่างจริงจังเท่าใด ฐานคะแนนเสียงก็ไม่มีแต่เดิมมา ก่อน ต้องอาศัยกลยุทธ์ในการหาเสียงที่ชูประเด็นในเรื่องการ เป็นคนรุ่นใหม่ ก้าวเข้ามาในช่วยสถานการณ์การเมืองที่วิกฤติ จึงกลายเป็นปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดความสำเร็จที่ส่งผลให้ นายประเสริฐ มงคลศิริ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานี นายธีรพันธ์ วีระยุทธวัฒนะ นายธีรพันธ์ วีระยุทธวัฒนะ เป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถึงสองครั้งด้วยกัน คือ ในการ เลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 19 และครั้งที่ 20 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 และวันที่ 6 มกราคม 2544 ตามลำดับ โดยลงสมัคร ในนามพรรคชาติไทย นายธีรพันธ์ วีระยุทธวัฒนะ เป็นคนเชื้อสายชาวจีน ที่เติบโตในพื้นที่จังหวัดอุทัยธานี หลังจากจบการศึกษาจาก โรงเรียนในอำเภอหนองฉางจังหวัดอุทัยธานี จึงได้ไปศึกษาต่อ จนจบการศึกษาปริญญาตรีทางรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย รามคำแหง และเนื่องจากครอบครัวเป็นคนจีนที่ประกอบอาชีพ ค้าขายสินค้าอุปโภคบริโภคในจังหวัดอุทัยธานี ครอบครัว ตระกูล เครือญาติไม่เคยมีผู้ใดเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง มาก่อน จึงประกอบอาชีพค้าขายและรับเหมาก่อสร้าง โดยมี 174

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี ภรรยารับราชการเป็นครู เป็นคนที่มีบุคลิกเป็นกันเอง ชอบออก พบปะเยี่ยมเยียนประชาชนอยู่สม่ำเสมอ จึงได้หันมาลงสมัคร การเมืองระดับท้องถิ่น และได้เป็นสมาชิกสภาจังหวัด เขต อำเภอหนองฉาง เมื่อปี พ.ศ.2518 ต่อมาจึงได้มาลงสมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในปี พ.ศ. 2535 แต่ไม่ได้รับ เลือก มาประสบผลสำเร็จเอาในปี พ.ศ. 2539 และ 2544 โดยมี ฐานคะแนนเสียงที่ได้รับการสนับสนุนจากการเมืองระดับ ท้องถิ่น การบริหารคะแนนเสียง มีการจัดตั้งทีมงานช่วยเหลือ ในการหาเสียง โดยมีศูนย์อำนวยการอยู่ที่อำเภอหนองฉาง มีความพร้อมทางด้านทรัพยากรทางการเมืองที่ได้รับการ สนับสนุนจากครอบครัวเป็นหลัก มีการจัดระบบหัวคะแนน โดยยึด นักการเมืองระดับท้องถิ่น เช่นพรรคพวกที่เคยเป็น สมาชิกสภาจังหวัด กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นหัวคะแนนหลัก มีการวางกลยุทธ์ในการหาเสียงโดยชูประเด็นในเรื่องแหล่งน้ำ ที่มีปัญหามากในจังหวัดอุทัยธานี อีกทั้งตนเองเคยประกอบ อาชีพรับเหมาก่อสร้าง จึงทราบปัญหาค่อนข้างดี จึงเป็นแรง ดลใจในการที่จะผลักดันให้เกิดนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาในเรื่อง แหล่งน้ำอย่างจริงจัง วิธีการในการรณรงค์หาเสียงจึงเน้นหนักไปในทางเดิน เคาะประตูบ้าน ออกหน่วยเคลื่อนที่ประชาสัมพันธ์ อีกทั้ง มีพฤติกรรมในการหาเสียงแบบไม่เปิดเผยมาเป็นระยะเวลานาน โดยไปร่วมงานบุญ งานเทศกาลต่าง ๆ ร่วมงานชาวบ้านมา โดยตลอด ด้านความสัมพันธ์กับเครือข่ายต่าง ๆ พบว่า 175

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี พรรคการเมืองไม่ได้ให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง เป็นเรื่องที่ต้อง ช่วยตนเองเป็นหลัก แต่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มการเมือง ระดับท้องถิ่น และกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กรณีดังกล่าวจึงกลาย เป็นปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดความสำเร็จที่ส่งผลให้ นายธีรพันธ์ วีระยุทธวัฒนะ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุทัยธานีถึงสองครั้ง น ายนพดล พลเสน นายนพดล พลเสน เป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรถึง สามครั้งด้วยกัน คือ ในการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 20 ครั้งที่ 21 และครั้งที่ 23 เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2544 และวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 และวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ตามลำดับ โดยลงสมัครในนามพรรคชาติไทย นายนพดล พลเสน เกิดเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2505 จบการศึกษารัฐศาสตร์มหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ พื้นฐานอาชีพเดิม เป็นนักธุรกิจ ส่วนพื้นฐานหรือ ประสบการณ์ทางการเมืองนั้น มีญาติเป็นนักการเมืองระดับ ท้องถิ่นที่จังหวัดสุพรรณบุรี เดิมครอบครัวของนายนพดล พลเสน ประกอบอาชีพทำไร่มันสำปะหลัง อยู่ในเขตพื้นที่อำเภอ บ้านไร่ และอำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี ฐานคะแนนเสียง ส่วนใหญ่จึงอยู่ที่อำเภอบ้านไร่และอำเภอลานสัก นายนพดล พลเสน เป็นคนบุคลิกดี เป็นคนอ่อนน้อม เป็นบุคคลติดดิน ลงพื้นที่โดยไม่ต้องมีคนห้อมล้อม ชอบออก พบปะเยี่ยมเยียนประชาชน จึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเครือข่าย 176

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี ในพื้นที่เขตอำเภอบ้านไร่และอำเภอลานสัก และมีความสนิท สนมกับ นายเฉลิมชัย บัวประทุม ซึ่งเป็นอดีตกำนัน และ นายธีระชัย บัวประทุม ซึ่งเป็นอดีตสมาชิกสภาจังหวัดและ ประธานสภาจังหวัดอุทัยธานี จึงได้ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2544 ลงสมัคร ในนามพรรคชาติไทย การบริหารคะแนนเสียงมีการจัดตั้งองค์กรในการหาเสียง มีศูนย์อำนวยการเลือกตั้งอยู่ที่อำเภอบ้านไร่ และใช้เป็น สำนักงานสาขาพรรคชาติไทย มีความพร้อมทางด้านทรัพยากร ทางการเมืองสูง เพราะมีเครือข่ายธุรกิจการค้ามันสำปะหลัง ให้การสนับสนุน มีระบบการจัดตั้งหัวคะแนน ที่ประกอบด้วย นักการเมืองระดับท้องถิ่น และกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประกอบกับ สภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์ทางการเมืองที่ประชาชนใน จังหวัดอุทัยธานีนิยมชมชอบพรรคชาติไทยอยู่แล้ว จึงเป็นส่วน สำคัญในการสนับสนุนและส่งเสริม อีกทั้งมีความสัมพันธ์อันดี กับสื่อมวลชนในพื้นที่ที่เสนอข่าว และบทบาททางการเมือง ของนายนพดล พลเสน อยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะในระหว่าง ที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสมัยแรก ที่เป็นประธาน กรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงคมนาคม เลขานุการคณะกรรมาธิการทหาร สภาผแู้ ทนราษฎร วปิ รฐั บาล กรรมาธกิ ารแรงงานสภาผแู้ ทนราษฎร กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ประธานกรรมาธิการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสภาผู้แทนราษฎร 177

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี กรณีดังกล่าวจึงกลายเป็นปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดความ สำเร็จที่ส่งผลให้นายนพดล พลเสน ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานีถึงสามครั้ง นายประแสง มงคลศิริ นายประแสง มงคลศิริ เป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 21 เมื่อ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 โดยลงสมัครในนามพรรคไทยรักไทย นายประแสง มงคลศิริ เป็นคนพื้นเพจังหวัดอุทัยธานี สำเร็จการศึกษาระดับประถมจากจังหวัดอุทัยธานี จบระดับ มัธยมศึกษาที่โรงเรียนทวีธาภิเษก จบการศึกษาระดับปริญญา ตรีและปริญญาโท คณะวิศวกรรมศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย และปริญญาเอกทางด้านวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม จากประเทศญี่ปุ่น โดยในระหว่างที่ศึกษาต่อปริญญาเอก รับราชการอยู่ที่กรมโยธาธิการ แล้วขออนุญาตลาไปศึกษาต่อ โดยไม่ขอรับเงินเดือน นายประแสง มงคลศิริ มีความสนใจทางการเมืองมา ตั้งแต่สมัยยังเรียนอยู่ในระดับมัธยมศึกษา เคยเข้าร่วม เหตุการณ์ชุมนุมประท้วง เมื่อเดือนตุลาคม 2519 และเคยมี พื้นฐานประสบการณ์ทางการเมืองโดยลงสมัครเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร ในนามพรรคประชาธิปัตย์ ที่เขตดอนเมือง ในปี พ.ศ. 2539 โดยได้รับการชักชวนจาก นายสาวิต โพธิวิหก แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง หลังจากนั้นได้เข้ารับราชการที่คณะ วิศวกรรมศาสตร์ แล้วจึงโอนมาทำงานที่ สำนักงานพัฒนาการ 178

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในช่วงนี้เองได้รับการชักชวนจาก นายอุทัย พิมพ์ใจชน ให้ไปร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และได้รับมอบหมายให้จัดทำนโยบาย พรรคทางด้านสิ่งแวดล้อม การพักชำระหนี้ โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค และกองทุนหมู่บ้าน ได้รับความไว้วางใจวางตัวให้ เป็นรัฐมนตรีเงากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายประแสง มงคลศิริ ได้ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานี เมื่อปี พ.ศ. 2544 ออกหาเสียงโดยนำวิธีการหาเสียงที่นักการเมืองญี่ปุ่นใช้ โดยการยืนแจกนามบัตร แนะนำตัว ที่ต้องการแสดงให้เห็นถึง ความจริงใจที่จะเข้ามาทำงาน และในขณะนั้น กระแสพรรค ไทยรักไทยแรงมาก แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง เพราะยังคงติดภาพ ของความเป็นอาจารย์ และนักวิชาการ ปรากฏว่า นายธีรพันธ์ วีระยุทธวัฒนะ ซึ่งได้รับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่คณะกรรมการการเลือกตั้งสั่ง ให้มีการเลือกตั้งใหม่ (ใบเหลือง) การเลือกตั้งคราวนี้ ทำให้ นายประแสง มงคลศิริ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จังหวัดอุทัยธานีและอยู่จนครบวาระ และได้ สมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งในปี พ.ศ. 2548 เป็นครั้งที่มีการต่อสู้ ทางการเมืองกันอย่างรุนแรง ซึ่งหลังจากการเลือกตั้งสิ้นสุดลง ปรากฏผลว่า นายประแสง มงคลศิริ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร แต่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้สั่งให้มีการ เลือกตั้งใหม่ (ใบเหลือง) การเลือกตั้งครั้งนี้ต่อสู้กันอย่างเต็มที่ ในที่สุด นายธีรพันธ์ วีระยุทธวัฒนะ ก็ชนะการเลือกตั้ง 179

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี การบริหารคะแนนเสียงนั้น มีการจัดตั้งองค์กรในการ หาเสียงและกระทำอย่างเป็นระบบ มีการทำงานแบบมีข้อมูล ตลอด มีความพร้อมทางด้านทรัพยากรทางด้านการเมือง ได้รับ การสนับสนุนจากพรรคไทยรักไทยอย่างเต็มที่ มีการจัดระบบ หัวคะแนนทุกตำบล โดยอิงหลักวิชาการตลอด มีการทำโพล และประเมินสถานการณ์โดยพรรคทุกระยะ พรรคจะส่งข้อมูล ให้ เพื่อให้ผู้สมัครต้องทำการบ้าน ส่วนกลยุทธ์ในการหาเสียง จะเน้นการสร้างความชัดเจนในเรื่องพรรคไทยรักไทย ผู้สมัคร จะต้องออกพบปะเยี่ยมเยียนประชาชน ร่วมงานเทศกาลต่าง ๆ ประชาสัมพันธ์ตามสื่อต่าง ๆ เสนอผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ชัด ผลักดันงบประมาณช่วยเหลือประชาชน ด้านสถานการณ์การเมืองขณะนั้น ปรากฏว่า กระแส ตอบรับพรรคไทยรักไทยดีมาก โดยอาศัยภาวะผู้นำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ค่านิยมประชาชนยังคงศรัทธาใน นโยบายของพรรคไทยรักไทยที่สามารถทำให้เห็นได้เป็น รูปธรรม ด้านเครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างพรรคการเมือง พรรคไทยรักไทยได้ลงมาช่วยเหลือในการหาเสียงอย่างเต็มที่ กรณีดังกล่าวจึงกลายเป็นปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดความ สำเร็จที่ส่งผลให้นายประแสง มงคลศิริได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานี. 180

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี นายสุภาพ โต๋วสัจจา นายสุภาพ โต๋วสัจจา เป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งครั้งที่ 22 เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 โดยลงสมัครในนามพรรคไทยรักไทย นายสุภาพ โต๋วสัจจา เป็นคนพื้นเพจังหวัดอุทัยธานี ด้านครอบครัว ตระกูลหรือเครือญาติไม่เคยมีผู้ใดเล่นการเมือง มาก่อน จบการศึกษาระดับปริญญาโท ทางรัฐศาสตร์ จาก มหาวิทยาลัยรามคำแหง ประกอบอาชีพ ค้าขายทางด้าน เกษตร นายสุภาพ โต๋วสัจจา เคยมีพื้นฐานหรือประสบการณ์ ทางการเมือง โดยเคยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาจังหวัด อุทัยธานีมาก่อน มีคุณลักษณะส่วนบุคคลที่ เป็นคนเรียบร้อย มีมนุษยสัมพันธ์ดี ได้หันมาลงเล่นการเมืองระดับชาติ โดย ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุทัยธานี เมื่อปี พ.ศ. 2549 ซึ่งเป็นคราวที่มีสถานการณ์ ทางการเมืองไม่ปกติ กระแสความนิยมในพรรคไทยรักไทยยัง คงมีอยู่มาก แต่ พรรคประชาธิปัตย์และพรรคชาติไทย ต่าง บอยคอตไม่ส่งผู้สมัคร ปัจจัยดังกล่าวจึงเป็นตัวกำหนดความ สำเร็จที่ส่งผลให้ นายสุภาพ โต๋วสัจจา ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานี นายชาดา ไทยเศรษฐ นายชาดา ไทยเศรษฐ เป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 23 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 โดยลงสมัครในนามพรรคชาติไทย 181

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี นายชาดา ไทยเศรษฐ เกิดเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2504 ในช่วงวัยเยาว์ต้องช่วยครอบครัวประกอบอาชีพค้าขายเนื้อวัว- กระบือ จึงต้องไปศึกษานอกระบบจนจบการศึกษาแล้วไป ศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท ทางรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ถือได้ว่าเป็นบุคคลตัวอย่างที่มี ความตั้งใจและให้ความสำคัญทางด้านการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ด้านภูมิหลังพื้นเพเป็นคนอุทัยธานีโดยกำเนิด ตระกูล นับถือศาสนาอิสลาม ครอบครัวและเครือญาติไม่มีผู้ใดสนใจ เรื่องการเมืองมาก่อน นายชาดา ไทยเศรษฐ เป็นคนแรกที่หัน มาลงสู่สนามการเมืองในระดับท้องถิ่น โดยลงสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภาเทศบาลเมืองอุทัยธานี และต่อมาได้จัดตั้งทีมลง สมัครรับเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองอุทัยธานี จนประสบ ความสำเร็จทางการเมืองในระดับท้องถิ่นหลายสมัยด้วยกัน จนกระทั่งไม่มีใครลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งขันด้วย คุณลักษณะ และบุคลิกส่วนตัวเป็นคนจริงจัง พูดคำไหนคำนั้น ตรงไปตรงมา กล้าได้กล้าเสีย กล้าตัดสินใจ มีลักษณะค่อนข้างใจนักเลง มีบารมีกว้างขวางในทุกวงการ โดยเฉพาะในวงการค้าขาย เนื้อสัตว์ เขตจังหวัดอุทัยธานีและจังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง การที่มีพื้นฐานประสบการณ์ทางการเมืองในระดับ ท้องถิ่นมาก่อน นับได้ว่าเป็นผลดี เพราะประชาชนเห็นผลงาน ทผ่ี า่ นมา ประจกั ษต์ อ่ สายตาประชาชน โดยเฉพาะเมอ่ื ประชาชน เดือดร้อนจะรีบเข้าแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว จนมี ประชาชนผู้เดือดร้อนจากการพิพาทบางราย หรือโต้แย้งสิทธิกัน ในเรื่องต่างๆ ได้พากันมาเพื่อขอให้เป็นคนกลางในการแก้ไข 182

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี ปัญหาและ ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ซึ่งคู่กรณีที่พิพาทต่างให้การ ยอมรับนับถือในการตัดสินและแก้ไขปัญหาให้ โดยไม่ต้องนำ คดีไปฟ้องร้องดำเนินคดีต่อไป เป็นต้น ดังนั้น ผลการทำงานใน ช่วงเป็นนักการเมืองในระดับท้องถิ่น จึงเป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจน เมื่อรับปากแล้วไม่เคยผิดคำพูด การเป็นคนเอาจริงเอาจังจึง ทำให้แสดงถึงความจริงใจ และได้รับความเชื่อถือ ไว้วางใจ ทำให้เกิดความคิดในการทำงานว่า “ชีวิตที่เหลือ เพื่อชาวอุทัย” ด้านสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ทางการเมือง ด้วยเหตุที่นายชาดา ไทยเศรษฐ มีคุณลักษณะและบุคลิก ส่วนตัวเป็นคนจริงจัง มีบารมีกว้างขวางในพื้นที่จังหวัดอุทัยธานี แม้ว่าจะมีตระกูลนับถือศาสนาอิสลาม แต่ก็ได้เข้าร่วมกิจกรรม ทางศาสนาพุทธไม่บกพร่อง จึงเป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน ทำให้ ได้ใจประชาชนชาวจังหวัดอุทัยธานี ไม่ว่าจะเป็นสภาพสังคม เศรษฐกิจหรือชุมชนวัฒนธรรมในท้องถิ่นเป็นอย่างไร สามารถ ครองใจประชาชนได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ได้รับการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานี สำหรับในด้าน เครือข่ายนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองถิ่นและ พรรคการเมอื ง กลมุ่ การเมอื งระดบั ชาตแิ ละระดบั ทอ้ งถน่ิ ถอื ไดว้ า่ นายชาดา ไทยเศรษฐ เป็นบุคคลที่มีความพร้อมในเรื่อง ดังกล่าว อีกทั้งจังหวัดอุทัยธานี ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ภาคกลาง ตอนบนหรือภาคเหนือตอนล่าง เป็นพื้นที่ฐานคะแนนเสียงของ พรรคชาติไทย ประกอบกับนักการเมืองท้องถิ่นให้การสนับสนุน เป็นอย่างดี จึงนับว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่ง 183

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี ด้านการบริหารคะแนนเสียง มีการจัดองค์กรในการ หาเสียงอย่างเป็นระบบ มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการเลือกตั้ง ที่จังหวัดและอำเภอ มีการจัดตั้งหัวคะแนน โดยมีฐานคะแนน เสียงส่วนใหญ่จาก กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และนักการเมืองระดับ ท้องถิ่น และจัดได้ว่าเป็นบุคคลที่มีความพร้อมทางด้าน ทรัพยากรการเมืองที่สนับสนุนการเลือกตั้ง ด้านการวางกลยุทธ์ ในการหาเสียงใช้ลักษณะการหาเสียงที่มีความต่อเนื่องยาวนาน ผู้สมัครต้องทำการบ้านทั่วทั้งพื้นที่ในจังหวัดมาก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อต้องเลือกตั้งจึงไม่ต้องเน้นกลยุทธ์ใดเป็นพิเศษ พฤติกรรม หลักในการหาเสียง จึงเป็นการออกพบปะเยี่ยมเยียนประชาชน เป็นประจำ สม่ำเสมอ เมื่อเชิญมาจะไปทุกงาน ไม่ว่างาน เทศกาลต่าง ๆ และคอยนำเสนอโครงการ ผลงานต่าง ๆ ผ่านสื่อ เพื่อให้ประชาชนรู้ว่าได้ทำอะไรลงไปบ้าง กรณีดังกล่าว จึงกลายเป็นปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดความสำเร็จที่ส่งผลให้ นายชาดา ไทยเศรษฐ ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานี นายอดุลย์ เหลืองบริบูรณ์ นายอดุลย์ เหลืองบริบูรณ์ เป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการเลือกตั้งซ่อมเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2552 โดยลงสมัครในนามพรรคชาติไทยพัฒนา นายอดุลย์ เหลืองบริบูรณ์ เกิดเมื่อ พ.ศ. 2511 จบ การศึกษาระดับปริญญาโท ทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ อาชีพ หลักคือ รับเหมาก่อสร้าง ตระกูล และครอบครัว เคยมีความ 184

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี เกี่ยวข้องกับการเมืองในระดับท้องถิ่นมาก่อน โดยมีญาติเป็น นักการเมืองท้องถิ่น (อดีตนายกเทศมนตรีเมืองอุทัยธานี) ก่อนที่ จะตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เคยเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด อุทัยธานี (นายชาดา ไทยเศรษฐ) มาก่อน สาเหตุที่ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรนั้นเนื่องจาก ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งยุบพรรค ชาติไทย คณะกรรมการบริหารพรรคจึงถูกตัดสิทธิทางการเมือง ทำให้นายนพดล พลเสน ซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคต้องถูก ตัดสิทธิทางการเมืองไปด้วย ต่อมา ได้มีการจัดตั้งพรรคชาติไทย พัฒนาขึ้นมาใหม่ ในฐานะที่เคยเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (นายชาดา ไทยเศรษฐ) จึงเป็นอีกแรง จูงใจหนึ่ง จึงได้ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิกพรรคและลงสมัคร เข้ารับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุทัยธานี แต่ ก็ถูกคณะกรรมการการเลือกตั้งตัดสิทธิในการสมัคร ด้วยเหตุว่า เป็นสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนาไม่ครบตามเงื่อนไขที่กำหนด แต่ในที่สุดศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้ง ได้คืนสิทธิให้ จึงมีระยะ เวลาในการออกหาเสียงน้อยมาก ด้านสภาพแวดล้อม และสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิด ขึ้น จากกรณีศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งยุบพรรคชาติไทย ประกอบกับนายอดุลย์ เหลืองบริบูรณ์ ในฐานะผู้สมัครรับ เลือกตั้งที่ถูกร้องเรียน กรณีสถานการณ์เป็นสมาชิกสังกัด พรรคการเมืองไม่ครบกำหนดตามรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากคดีขึ้นสู่ศาลฎีกา แผนกคดีเลือกตั้งแล้ว 185