Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 44นักการเมืองถิ่นอุทัยธานี

44นักการเมืองถิ่นอุทัยธานี

Description: เล่มที่44นักการเมืองถิ่นอุทัยธานี

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี พรศักดิ์ ผ่องแผ้ว (2532, น.201) ให้ความหมาย “การเลือกตั้ง” ว่า เป็นกิจกรรมที่สำคัญยิ่งในกระบวนการ ทางการเมืองและการปกครอง เพราะการเลือกตั้งเป็นการ แสดงออกซึ่งเจตจำนงของประชาชนในการปกครองประเทศ เจตจำนงดังกล่าวปรากฏอยู่ในลักษณะของการเรียกร้อง หรือ สนับสนุนต่อการตัดสินใจทั้งหลายในระบบการเมือง พิมลจรรย์ นามวัฒน์ (2528, น.716) ให้นิยาม “การ เลือกตั้ง” ว่าหมายถึง การที่ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยการออกเสียงลงคะแนนตามความเห็นของตนเองโดยอิสระ ว่าจะเลือกผู้ใดเป็นตัวแทนของตนเข้าไปใช้อำนาจอธิปไตย บริหารกิจการของประเทศ ผู้ที่จะได้รับการเลือกตั้งนั้นจะเป็น ผู้สมัครใจเสนอตัวเข้ามาให้ประชาชนเลือก และผู้ที่ได้รับเลือก ด้วยคะแนนเสียงส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็น ผู้แทนของประชาชนทั้งหมดมีสิทธิตามที่ได้รับมอบหมายจาก ประชาชนให้เข้าร่วมเป็นคณะบุคคลดำเนินการบริหารและ ปกครอง วัชรา ไชยสาร (2544, น.10) ให้ความหมาย “การ เลือกตั้ง” ว่า เป็นกิจกรรมทางการเมืองที่ประชาชนผู้เป็น เจ้าของอำนาจอธิปไตยได้มีส่วนร่วมทางการเมือง (political participation) อันเป็นกลไกที่แสดงออกซึ่งเจตจำนงของ ประชาชนที่เรียกร้องหรือสนับสนุนให้มีการกระทำหรือละเว้น การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งในทางการเมืองหรือการตัดสินใจ ในนโยบายสาธารณะที่จะมีผลกระทบต่อประชาชน โดย ประชาชนทั่วไปเลือกผู้แทนหรือพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ 36

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง นโยบายและวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกับตนด้วยความคาดหวังว่า ผู้แทนหรือพรรคการเมืองที่ตนเลือกให้ไปใช้อำนาจอธิปไตยแทน ตนนั้น จะนำอุดมการณ์และนโยบายไปเป็นแนวนโยบายในการ บริหารประเทศ และทำหน้าที่พิทักษ์ผลประโยชน์ของตนเอง การเลือกตั้งจึงเป็นกระบวนการแสวงหาทางเลือกในการเมือง การปกครองของประชาชนนั่นเอง สุพรรณี ชะโลธร (2541, น.550) อธิบายความหมาย ของ “การเลือกตั้ง” ว่า คือ การแสดงออกของประชาชนที่ ยินยอมมอบอำนาจของตนให้แก่ผู้ปกครอง โดยการมอบอำนาจ ดังกล่าวจะต้องตั้งอยู่บนรากฐานของความสมัครใจและเสรี การที่จะให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความสมัครใจของผู้เลือกตั้ง และโดยเสรีจะต้องมีหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เป็นที่ยอมรับกันว่าเป็น แม่บทของระบอบประชาธิปไตย จากความหมายของนักวิชาการที่กล่าวมาข้างต้น จะพบว่านักวิชาการส่วนใหญ่มีความเห็นสอดคล้องกันว่า การเลือกตั้งเป็นรูปแบบของการมีส่วนร่วมทางการเมืองของ ประชาชน นักวิชาการบางท่านให้ความหมายไว้กว้างขวางมาก บางท่านให้ความหมายที่กระชับและเฉพาะเจาะจงขึ้น แต่เมื่อ พิจารณาจากแนวความคิดของ เจนด้า, เบอรี่และโกลแมน (Janda, Berry and Goldman, 1999, 213) เห็นว่าการเลือกตั้งนั้น เป็นกระบวนการทางสถาบันที่จัดการให้เกิดการมีส่วนร่วมของ มวลชนในการปกครองแบบประชาธิปไตยให้สอดคล้องกับ หลักการตามค่านิยมของ “ประชาธิปไตยตามกระบวนการ” (procedural democracy) ซึ่งสังคมจะต้องตอบคำถามหลัก 3 ประการในการตัดสินใจทางการเมืองการปกครอง คือ 37

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี 1. ใครควรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมือง ? 2. ควรจะยอมรับสิทธิในการเลือก (vote) มากน้อย ขนาดไหน ? 3. จะต้องใช้สิทธิในการเลือกจำนวนมากเท่าใดจึงจะ พอเพียงต่อการตัดสินใจทางการเมืองการปกครอง การมสี ว่ นรว่ มอยา่ งทว่ั ถงึ กนั ทกุ คน (universal participation) คือ หลักการที่ตอบคำถามประการแรก เพราะถือว่าประชากร ทุกคนที่เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะต้องมีส่วนร่วมการตัดสินใจใน ทางการเมือง และควรจะได้รับสิทธิที่จะลงคะแนนเสียงด้วย ความเสมอภาคทางการเมือง (political equality) คือหลักในการ ตอบคำถามข้อที่สอง ซึ่งต้องถือว่าคะแนนเสียงของคนทุกคน จะต้องถูกนับเท่ากันหรือมีความสำคัญอย่างเท่าเทียมกันในการ ตัดสินใจ หลักการปกครองด้วยเสียงข้างมาก (majority rule) คือ หลักการที่จะตอบคำถามประการที่สาม โดยถือว่า ควรตัดสินใจ ทำตามสิ่งที่ผู้มีส่วนร่วมส่วนข้างมากบอกว่าต้องการจะทำ หลักการนี้ จะถูกปรับโดยอัตโนมัติให้กลายเป็นการยอมรับเสียง ของกลุ่มที่มีคะแนนมากที่สุด (plurality rule) หลักการทั้งสาม ประการจึงกลายเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดต่อ การตัดสินใจแบบประชาธิปไตย 2. ความสำคัญของการเลือกต้ัง เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า การเลือกตั้งเป็นวิธีที่ดี ที่สุดหรือเลวน้อยที่สุดในการแสดงออกถึงการมีส่วนร่วม ทางการเมืองของประชาชน การเลือกตั้งจึงเป็นกิจกรรมทาง 38

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง การเมืองที่สำคัญของประเทศที่มีการปกครองระบอบ ประชาธิปไตย ซึ่งสามารถสรุปความสำคัญของการเลือกตั้งได้ ดังนี้ 1. การเลือกตั้งถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากที่จะ ขาดไม่ได้ของประชาธิปไตยในทางปฏิบัติ เพราะการ เลือกตั้งเป็นเครื่องมือที่แสดงให้เห็นว่าอำนาจ อธิปไตยนั้นเป็นของประชาชน และประชาชนเป็น ผู้ใช้อำนาจนั้นผ่านทางผู้แทนของตนในการปกครอง และบริหารประเทศ การเลือกตั้งจึงเป็นสิ่งที่ชี้ ให้เห็นเป็นเบื้องต้นว่าประเทศนั้น ปกครอง “โดย” ประชาชน (วิสุทธิ โพธิแท่น, 2550, น.51) 2. การเลือกตั้งเป็นกิจกรรมที่สำคัญในการมีส่วนร่วม ทางการเมืองของประชาชน ทำให้บุคคลเกิดความ รู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และเห็นความ จำเป็นในการทำหน้าที่ของพลเมืองดีในการไปใช้ สิทธิเลือกตั้ง 3. การเลือกตั้งเป็นกระบวนการที่สร้างความชอบธรรม ทางการเมืองให้แก่บุคคลหรือคณะบุคคลที่ได้รับ เลือกสามารถใช้อำนาจกระทำการต่าง ๆ ในนาม ประชาชนได้อย่างเต็มที่ 4. การเลือกตั้งมีบทบาทสำคัญในการยุติข้อขัดแย้งใน ระบบการเมือง โดยการเคารพ ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ กติกา ธรรมเนียมปฏิบัติที่ใช้บังคับและการยอมรับ ผลของการเลือกตั้ง จะทำให้ฝ่ายชนะเป็นผู้ที่ได้รับ 39

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี มอบอำนาจจากประชาชนให้ทำการปกครองในช่วง ระยะเวลาที่กำหนดไว้ ส่วนฝ่ายแพ้ก็จะมีแนวทาง ปฏิบัติตามวิถีทางที่กฎเกณฑ์และกติกากำหนดไว้ เช่น การเป็นฝ่ายค้าน ตรวจสอบการทำงานของ รัฐบาล เป็นการลดความตึงเครียดทางการเมืองและ สังคม 5. การเลือกตั้งเป็นกระบวนการสรรหาผู้ปกครอง หรือรัฐบาลโดยสันติวิธี ช่วยให้การสืบต่ออำนาจทาง การเมืองและการปกครอง ไม่ต้องใช้ความรุนแรง อาศัยกำลังในการปฏิวัติ รัฐประหาร เป็นกลไกใน การสับเปลี่ยนอำนาจ 6. การเลือกตั้งเป็นกลไกที่สำคัญในการเชื่อมโยงความ ต้องการของประชาชนที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ ของรัฐบาลในเรื่องที่เป็น “นโยบายสาธารณะ” 7. การเลือกตั้งทำให้เกิดความผูกพันระหว่างราษฎรกับ บุคคลหรือคณะบุคคลที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้แทน ซึ่ง จะเป็นหลักประกันให้การดำเนินการใด ๆ จะต้องฟัง เสียงประชาชน มิฉะนั้นแล้วจะไม่ได้รับเลือกตั้งใน คราวต่อไป 8. การที่ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างพร้อมเพรียง กัน จะทำให้ได้มาซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่เป็นตัวแทนของคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง แต่หาก ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งกันน้อยสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกตั้งจะเป็นเพียงตัวแทนของ 40

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง คนส่วนน้อย ซึ่งมีความสำคัญในกรณีที่สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจะต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ แทน ประชาชน ผลของการตัดสินใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง อาจเป็นการตอบสนองผลประโยชน์ของคนส่วนน้อย 9. การเลือกตั้งเป็นกิจกรรมที่สำคัญอย่างยิ่งในกิจกรรม การเมืองในระบอบประชาธิปไตย การที่ประชาชน ไปออกเสียงเลือกตั้งก็เท่ากับเป็นการส่งเสริม การปกครองระบอบประชาธิปไตย ถ้าหากประชาชน ไม่ยอมไปออกเสียงเลือกตั้ง อาจทำให้เกิดการทุจริต ในการ เลือกตั้งขึ้นได้ อาจนำไปสู่วิกฤติการณ์ ทางการเมือง ทำลายความเชื่อมั่นศรัทธาของ ประชาชน 10. การเลือกตั้งมีความสำคัญในการส่งเสริมให้คนด ี ที่มีความรู้ความสามารถ เข้ามาสมัครรับเลือกตั้ง มากขึ้น เพราะมีความศรัทธาเชื่อมั่นในระบอบ ประชาธิปไตย 3. หลักพื้นฐานของการเลือกต้ัง (Electoral Principle) ประชาชนในประเทศประชาธิปไตยส่วนมากที่สนใจ ในการใช้สิทธิทางการเมือง ทำให้การเลือกตั้งเป็นสิ่งสำคัญมาก ในสังคมประชาธิปไตย อย่างไรก็ดี การใช้สิทธิเลือกตั้ง ในประเทศประชาธิปไตยนั้น ต้องมีองค์ประกอบที่เป็นตัวชี้วัดว่า เป็นประชาธิปไตยด้วย ดังนั้น ในแง่ทฤษฎี การเลือกตั้งจึงต้องมี หลักพื้นฐานที่เป็นสากลและยอมรับกันโดยทั่วไป เป็นไปตาม ที่ระบุไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนขององค์การ 41

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี สหประชาชาติ (The Universal Declaration of Human Rights : 10 December 1948, Article 21) ข้อ 21 ดังนี้ 1. บุคคลมีสิทธิที่จะเข้าร่วมในรัฐบาลของประเทศตน ไม่ว่าจะเป็นไปโดยตรงหรือโดยผ่านทางผู้แทนซึ่ง ผ่านการเลือกตั้งโดยอิสระ (Everyone has the right to take part in the government of his country, directly or through freely chosen representatives.) 2. บุคคลคนมีสิทธิที่จะเข้าถึงบริการสาธารณะใน ประเทศของตนโดยเสมอภาค (Everyone has the right of equal access to public service in his country.) 3. เจตจำนงของประชาชนจะเป็นฐานแห่งอำนาจของ รัฐบาล เจตจำนงดังกล่าวต้องแสดงออกโดยการ เลือกตั้งซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งคราวตามกำหนดเวลาและ อย่างแท้จริง ด้วยอาศัยการออกเสียงโดยทั่วไปและ เสมอภาค และการลงคะแนนลับหรือวิธีการลง คะแนนด้วยวิธีการอื่นใดที่เป็นการลงคะแนนเสียง เลือกตั้งอย่างอิสระที่คล้ายคลึงกัน (The will of the people shall be the basis of the authority of government ; this will shall be expressed in periodic and genuine elections which shall be by universal and equal suffrage and shall be held by secret vote or by equivalent free voting procedures.) 42

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ข้อความดังกล่าวกำหนดให้การเลือกตั้งในระบอบ ประชาธิปไตยมีหลักการพื้นฐานที่สำคัญ 5 ประการ คือ 1. หลกั ตอ้ งเปน็ ไปโดยอสิ ระ (Free Voting) หมายถึง การเลือกตั้งที่เป็นอิสระ ไม่มีการบังคับ ใช้อิทธิพล ข่มขู่ทำให้ต้องฝืนความรู้สึกตนเอง ในการเลือกหรือ ไม่เลือกผู้ใด ซึ่งจะต้องมีความเป็นอิสระอย่างเต็มที่ในการใช้ ดุลยพินิจจะเลือกหรือไม่เลือก โดยไม่มีใครมาบังคับได้ ความ เป็นอิสระจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ และถือเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะ ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งที่เป็นไปโดยอิสระ และไม่ใช้อิทธิพล บังคับ ข่มขู่ เสียเอง ความเป็นอิสระแห่งการเลือกตั้งดังกล่าว องค์การ ของรัฐจึงไม่ควรแทรกแซงหรือสั่งการให้ประชาชนต้องกระทำ การอย่างใดอย่างหนึ่ง หมายความว่า องค์การของรัฐหรือ บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ไม่สามารถจะบีบบังคับให้ประชาชนคนใด คนหนึ่งไปออกเสียงเลือกตั้ง หรือไม่ไปออกเสียงเลือกตั้ง ดังนั้น การเลือกตั้งที่ประชาชนขาดอิสระเสรีผู้ปกครองจะอ้างว่าตนมี อำนาจโดยชอบธรรมหาได้ไม่ นอกจากนี้ยังรวมความไปถึงการ ที่ประชาชนมีโอกาสที่จะเลือกบุคคลหรือพรรคการเมืองตามใจ ชอบอีกด้วย หมายความว่า ในการเลือกตั้งครั้งหนึ่ง ๆ ประชาชนสามารถเลือกผู้ปกครองจำนวนหนึ่ง จากหลาย ๆ จำนวน หรือจากพรรคการเมืองที่เสนอตัวเข้าแข่งขันอย่างน้อย สองพรรคขึ้นไป การที่ประชาชนจำเป็นต้องเลือกตั้งผู้ปกครอง จากพรรคการเมืองเดียวหรือบุคคลจำนวนเดียวโดยไม่มีโอกาส เลือกจากแหล่งอื่น การเลือกตั้งนั้นก็ปราศจากความหมายที่แท้ 43

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี จริงและมิได้ชี้ถึงเจตนารมณ์ของประชาชนแต่อย่างใด (กระมล ทองธรรมชาติ, 2531, น.2) 2. หลกั ตอ้ งเปน็ ไปโดยลงคะแนนลบั (Secret Voting) หมายถึง การลงคะแนนเสียงที่เป็นความลับ ไม่มี ผู้ใดนอกจากตนเองที่ทราบว่าลงคะแนนเสียงให้แก่ใคร และ ไม่จำเป็นต้องบอกให้ผู้ใดทราบ หลักการข้อนี้สอดคล้องและ สนับสนุนการเลือกตั้งที่เป็นไปโดยอิสระที่ไม่มีใครสามารถใช้ อิทธิพลข่มขู่ด้วยประการใด ๆ ให้ลงคะแนนเสียงตามที่ผู้นั้น ต้องการ จึงถือเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องจัดคูหาที่มิดชิดไว ้ โดยเฉพาะสำหรับการใช้สิทธิลงคะแนนเสียงที่ไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ได้ 3. หลกั ตอ้ งเปน็ ไปอยา่ งแทจ้ รงิ หรอื สจุ รติ เทยี่ งธรรม (Genuine Election / Fair Election) หมายถึง การเลือกตั้งต้องเป็นไปด้วยความสุจริต เที่ยงธรรม ปราศจากการซื้อสิทธิขายเสียง หรือใช้วิธีการอื่นใด กระทำการทุจริตในการเลือกตั้ง และเปิดโอกาสให้มีการสมัคร อย่างกว้างขวาง เพื่อให้มีความหลากหลายให้ประชาชนได้มี โอกาสใช้ดุลยพินิจในการเลือกอย่างแท้จริง รวมทั้งเปิดโอกาส ให้มีการร้องเรียนหรือคัดค้านการเลือกตั้งได้ถ้าเห็นว่าไม่เป็นไป ด้วยความสุจริต เที่ยงธรรม 4. ห ลั ก ต้ อ ง เ ป็ น ไ ป ต า ม ก ำ ห น ด ร ะ ย ะ เ ว ล า (Periodic Election) หมายถึง การเลือกตั้งที่เป็นไปตามกำหนดระยะเวลา ที่แน่นอน ชัดเจน โดยเป็นระยะเวลาที่ห่างพอสมควร เช่น 4 ปี 44

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6 ปี แล้วแต่เหตุผลและความเหมาะสม เมื่อครบวาระการดำรง ตำแหน่ง ก็จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อไม่ให้บุคคลนั้น อยู่ในตำแหน่งนานเกินไปจนทำให้มีอิทธิพลในการใช้ตำแหน่ง หน้าที่ที่มิชอบได้ และไม่นานจนเกินไปซึ่งทำให้ประชาชน สามารถเลือกได้ว่าจะเอาคนเดิมหรือเลือกคนใหม่ 5. หลักต้องเปน็ การท่ัวไป (Universal Suffrage) หมายถึง การทำให้พลเมืองทุกคนมีสิทธิออกเสียง เลือกตั้งอย่างทั่วถึงและมากที่สุด โดยไม่กีดกันในเรื่องเพศ ภาษา ศาสนา การศึกษา ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอด จนอาชีพ เพราะไม่ว่าพลเมืองจะอยู่ในฐานะใดย่อมต้องมีสิทธิ ออกเสียงเลือกตั้งได้ทุกคน การจำกัดสิทธิในบางเรื่อง มักจะคำนึงถึงคุณสมบัต ิ ที่สำคัญบางประการ (กระมล ทองธรรมชาติ และคณะ, 2531, น.2-5) ได้แก่ (1) อายุ หมายถึง ประเทศต่าง ๆ จะกำหนดขั้นต่ำของ การมีสิทธิเลือกตั้งไว้ การกำหนดอายุขั้นต่ำก็ด้วยเหตุผลที่ว่า การกำหนดให้ผู้มีอายุต่ำกว่าที่กำหนดไว้ใช้สิทธิเลือกตั้งอาจจะ ขาดความรู้ ความเข้าใจและประสบการณ์ทางการเมือง ซึ่งจะ ทำให้การวินิจฉัยขาดเหตุผล (2) ความเป็นพลเมือง หมายถึง การเป็นสมาชิกในรัฐ หนึ่ง ๆ และการเป็นสมาชิกนั้นนำมาซึ่งสิทธิและหน้าที่ทาง การเมือง ในเกือบทุกประเทศจะสงวนสิทธิทางการเมืองของตน ซึ่งเป็นคนในบังคับหรือมีสัญชาติของตน ผู้ที่ได้สัญชาติโดยการ 45

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี แปลงสัญชาติจะได้รับสิทธิดังกล่าวก็ต่อเมื่อมีคุณสมบัต ิ อย่างอื่นด้วย เช่น ระยะเวลา พื้นความรู้ การเป็นทหารหรือ ข้าราชการ เป็นต้น (3) การรู้หนังสือ การกำหนดเงื่อนไขพื้นความรู้ขั้นต่ำ เกิดจากเหตุผลที่ว่า ผู้ที่อ่านออกเขียนได้เท่านั้นจึงจะรู้เรื่อง การบ้านการเมือง และสามารถใช้สิทธิของตนได้อย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตามเงื่อนไขนี้มักไม่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป เพราะการที่ จะรู้หรือไม่รู้หนังสือนั้นขึ้นอยู่กับการบริการของรัฐที่ให้แก่ ประชาชนและประชาชนไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ก็ไม่ใช่ ความผิดของประชาชน รัฐจะอ้างสาเหตุนี้มาจำกัดสิทธิ ประชาชน ไม่เป็นการสมควร (4) คุณสมบัติเกี่ยวกับการประพฤติ หมายถึง การจำกัด สิทธิบุคคลบางประเภทที่มีความประพฤติที่เสื่อมเสียร้ายแรง จนถูกศาลตัดสินลงโทษ หรือตัดสิทธิในการเลือกตั้ง เช่น ถูกลงโทษทางคดีมาด้วยความผิดร้ายแรง การถูกลงโทษให้เป็น บุคคลล้มละลาย และการถูกลงโทษในความผิดเกี่ยวกับ เลือกตั้ง เป็นต้น (5) คุณสมบัติเกี่ยวกับสภาพความสมบูรณ์ทางด้าน จิตใจ ในทุกสังคมย่อมจะมีบุคคลที่มีความเจ็บป่วยทางด้าน จิตใจซึ่งทำให้บุคคลประเภทนี้ขาดความสำนึกที่ถูกต้อง เช่น บุคคลวิกลจริต จิตไม่สมประกอบ ถ้าหากจะให้มีสิทธิเลือกตั้ง การตัดสินใจของพวกเขา ก็จะเป็นเจตนารมณ์ที่ขาดความ สมบูรณ์ ประเทศต่าง ๆ จึงไม่ให้สิทธิเลือกตั้งแก่บุคคลประเภท นี้ 46

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยที่เก่ียวข้อง (6) คุณสมบัติเกี่ยวกับสภาพทางสังคมบางประการ บุคคลบางประเภทถูกจำกัดสิทธิ เนื่องจากสถานภาพของสังคม เช่น พวกนักพรต นักบวช ซึ่งโดยบทบาทและหน้าที่ในสังคมนั้น บุคคลประเภทนี้สังคมถือว่าไม่ควรมีส่วนในทางการเมืองโดย การเลือกตั้ง เนื่องจากจะไม่เป็นผลดีต่อสถานภาพของเขาเอง และอาจนำมาซึ่งมลทินของสถาบันที่บุคคลประเภทนี้สังกัดอยู่ 6. หลกั ตอ้ งเปน็ ไปอยา่ งเสมอภาค (Equal suffrage) หมายถึง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกคนมีสิทธิลงคะแนน เสียงเท่ากัน คะแนนเสียงทุกเสียงมีน้ำหนักเท่ากัน โดยทุกคนมี คะแนนเสียงเพียงเสียงเดียว (one man one vote) ซึ่งสอดคล้อง กับหลักการของประชาธิปไตย ที่ไม่ได้ให้ความสำคัญอยู่ที่ เสรีภาพแต่เพียงอย่างเดียว แต่จะต้องคำนึงถึงความเสมอภาค ของบุคคลไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดด้วย เมอ่ื ผา่ นกระบวนการเลอื กตง้ั ทถ่ี อื วา่ สจุ รติ เทย่ี งธรรม ตามหลักการข้างต้นแล้ว ผู้แทนที่ราษฎรเลือกตั้งขึ้นมากดำรง ตำแหน่งทางการเมืองนั้น จะต้องทำหน้าที่ในการปกครองแทน ประชาชน ตามหลักที่ว่ารัฐบาลหรือการปกครองเป็นตัวแทน ของประชาชนที่ได้รับความยินยอมเห็นชอบจากผู้ใต้ปกครอง และผู้ที่ได้รับเลือกเข้ามาต้องทำหน้าที่ให้ตรงกับความต้องการ ของประชาชนส่วนใหญ่หรือทั้งหมดด้วย (วิสุทธิ์ โพธิแท่น, 2524, น.76) 47

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี แนวความคิดเกี่ยวกับการลงคะแนนเสียง เลือกต้ัง การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เป็นปรากฏการณ์ของการ เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับความ สัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับผู้ปกครอง และถือเป็นหัวใจของ กิจกรรมทางการเมือง โดยเฉพาะระบบการเมืองการปกครอง แบบประชาธิปไตย เมอเรียม และกอสแนล (Merriam & Gosnell,1924 p. 132-5) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยมุ่ง ศึกษาถึงอิทธิพลของสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของ บุคคล ที่บ่งชี้โดยระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ และเพศ ที่มี ต่อการไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ซึ่งการศึกษาพบว่า กลุ่มผู้ที่มี ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมต่ำจะมีความรู้สึกนึกคิดและ พฤติกรรมในทางการเมืองที่คล้ายคลึงกัน ลาซาแฟล (Lazarsfeld, 1944) ได้สรุปเชิงทฤษฎีของการ ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งโดยเห็นว่า การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ทำให้คนที่ตัดสินใจไว้แล้วว่าจะเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใด เปลี่ยนใจไปเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งคนอื่นมีจำนวนเพียงเล็ก น้อยเท่านั้น และในจำนวนที่เปลี่ยนใจไปนั้น เป็นพวกที่ได้รับ อิทธิพลจากความกดดันของกลุ่มที่นิยมพรรคการเมืองยิ่งกว่าจะ เป็นอิทธิพลของประเด็นนโยบายที่ใช้ในการหาเสียง นอกจากนี้ ยังพบว่า มีคนจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่มีการสื่อสารติดต่อ กับพรรคการเมืองที่ตนไม่สังกัด และที่สำคัญคือ อาชีพที่อยู่ อาศัย ศาสนา และอุปนิสัยการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของ 48

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง บุคคลในอดีตเป็นตัวกำหนดที่สำคัญต่อการไปลงคะแนนเสียง เลือกตั้งของบุคคล สภาพการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งพิจารณาแล้วจะมี สภาพอยู่ 3 ประการ คือ การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่เป็นสิทธิ (Right) การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่เป็นเอกสิทธิ (Privilege) และการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในฐานะที่เป็นหน้าที่ (Duty) (หยุด แสงอุทัย, 2512, น. 7-8) 1. แนวความคิดว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เป็นสิทธิ ก่อนอื่นต้องเข้าใจความหมายของคำว่า “สิทธิ” เสียก่อน “สิทธิ” คือ ประโยชน์ที่กฎหมายรับรองและป้องกัน ให้ ซึ่งหมายความว่า ประโยชน์ที่จะถือว่าเป็น “สิทธิ” นั้น ต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการ คือ (1) กฎหมายรับรองว่าประโยชน์นั้นมีอยู่ (2) ถ้าจะมีการละเมิดประโยชน์นั้น กฎหมายต้อง ป้องกันให้ ถ้าพิจารณาในแง่ของประโยชน์ การที่กฎหมายให้บุคคล ใดบุคคลหนึ่งลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้ย่อมเป็นประโยชน์ ของบุคคลนั้น เพราะคะแนนเสียงของบุคคลนั้นอาจทำให้ ผู้ที่บุคคลนั้นลงคะแนนเสียงได้รับเลือกเป็นผู้แทน ถ้าหาก คะแนนเสียงของเขารวมกับคะแนนเสียงของผู้อื่นจนกลายเป็น เสียงข้างมาก ซึ่งในกรณีนี้จะได้ผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้แทน ประโยชน์ได้เสียของบุคคลนั้น หรือซึ่งมีความคิดเห็นในทาง 49

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในแนวทางใหญ่ ๆ ตรงกับความ คิดเห็นของเขา และประโยชน์ดังกล่าวนี้ กฎหมายได้ป้องกันให้ ดังนั้น การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจึงมีสภาพเป็น “สิทธิ” และ โดยเหตุนี้จึงเรียกกันว่า “สิทธิเลือกตั้ง”นอกจากนี้ นอกจากนี ้ ในทางทฤษฎีหรือในทางปรัชญาเห็นว่า การลงคะแนนเสียง เลือกตั้งนี้มีสภาพเป็นสิทธิตามกฎหมายธรรมชาติ กล่าวคือ สิทธินี้เกิดมากับบุคคลในฐานะที่เป็นหน่วยหนึ่งของรัฐ ถ้า บุคคลผู้นั้นไม่มีลักษณะต้องห้ามแล้วก็ย่อมมีสิทธิเลือกตั้ง แนวทางตามทฤษฎีนี้จะต้องพยายามให้สิทธิเลือกตั้งแก่บุคคล ให้มากที่สุด เพราะตามกฎหมายธรรมชาติ เมื่อมนุษย์เกิดมา มนุษย์ก็ต้องมีฐานะเสมอภาคกัน 2. แนวความคิดว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง เป็นเอกสิทธิ “เอกสิทธิ” คือการที่บุคคลได้รับมาซึ่งเสรีภาพที่จะไม่ให้ บุคคลอื่นสอดเข้ามาเกี่ยวข้อง ถ้าพิจารณาจากแง่บุคคลอื่นจะ เห็นได้ว่า การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งมีสภาพเป็น “เอกสิทธิ” เพราะผู้มีสิทธิเลือกตั้งย่อมมีเสรีภาพหรือความเป็นอิสระ จากการที่บุคคลอื่นสอดเข้ามาเกี่ยวข้องในการที่เขาจะใช้สิทธิ เลือกตั้ง กล่าวคือ เมื่อเขาได้ใช้สิทธิเลือกตั้งไปแล้ว ผู้ใดจะสอด เข้ามายกขึ้นเป็นเหตุว่ากล่าวในคดีแพ่ง คดีอาญาหรือความผิด ทางวินัยไม่ได้ทั้งสิ้น 50

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยที่เก่ียวข้อง 3. แนวความคิดว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง เป็นหน้าที่ ต้องเข้าใจความหมายของคำว่า “หน้าที่” เสียก่อน “หน้าที่” หมายความว่า การที่บุคคลจำต้องกระทำหรืองดเว้น การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง จะมี สภาพเป็น “หน้าที่” หรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่ที่ว่า กฎหมายว่าด้วย การเลือกตั้งบังคับให้บุคคลต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้งหรือไม่ ถ้า กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งบังคับว่าต้องใช้สิทธิ การลงคะแนน เสียงเลือกตั้งก็ถือเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย แต่ถ้ากฎหมาย ไม่บังคับให้เป็น “หน้าที่” ในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง การเลือกตั้งก็ไม่ใช่ “หน้าที่” แต่ถ้าจะถือว่าสภาพของการลง คะแนนเสียงเลือกตั้งเป็น “หน้าที่” ก็เป็น “หน้าที่” ในทางการ เมืองหรือในทางศีลธรรมเท่านั้น หาใช่หน้าที่ในทางกฎหมายไม่ แ นวคิดเก่ียวกับพฤติกรรมการเลือกต้ัง พฤติกรรมการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเรื่องของการใช้สิทธิลง คะแนนเสียงเลือกตั้งถือเป็นพฤติกรรมทางการเมือง (Political behavior) ที่เป็นจุดเริ่มแรกของการยินยอมให้บุคคลเข้าดำรง ตำแหน่งทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ในการศึกษาเพื่อให้ได้คำอธิบายต่อพฤติกรรมทาง การเมือง จึงมักอาศัยอ้างอิงโดยผ่านองค์ความรู้ที่ได้รับ การพิสูจน์มาแล้ว ผ่านกระบวนการหรือระเบียบวิธีวิจัย ซึ่งการ ศึกษาพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชน เป็นการพยายาม ทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับการเมือง 51

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกตั้งซึ่งถือเป็นกิจกรรมทางการเมือง ที่มีปัจจัยเกี่ยวพันอย่างซับซ้อน เมื่อพิจารณาพฤติกรรมการเลือกตั้งในฐานะที่เป็นการ กระทำทางการเมืองในสังคม โดยอิงทัศนะของ แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) อาจจำแนกลักษณะพฤติกรรมการเลือกตั้งได้ 4 ประเภท คือ (เทวินทร์ ขอเหนี่ยวกลาง, 2538, น.73-74) 1. เป็นการกระทำที่มีเจตจำนงเชิงเหตุผล อันได้แก่การที่ ผู้เลือกตั้งมีการคิดคำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะได้จาก การไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เช่น การมุ่งหวังที่จะเลือกคนที่ ตนเองสนับสนุนให้เข้าไปมีอำนาจเพื่อสอดคล้องกับ ผลประโยชน์ของตน 2. เป็นพฤติกรรมหรือการกระทำตามค่านิยม ผู้ที่ไปใช้ สิทธิเลือกตั้งเห็นว่าการไปเลือกตั้งมีความหมาย ในแง่คุณค่าและความศรัทธา 3. เป็นการกระทำตามอารมณ์หรือความพึงพอใจ โดยปราศจากเหตุผลด้วยความรู้สึกรักใคร่ชอบพอ แล้วไปใช้สิทธิเลือกตั้งเพื่อเป็นการแสดงความรักและ ความศรัทธา ต่อบุคคลนั้น 4. เป็นการกระทำตามประเพณี ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเพราะ ความเคยชิน หรือเห็นคนอื่นทำ ก็เลยกระทำตาม ในเชงิ แนวคดิ ทฤษฎี สจุ ติ บญุ บงการ และพรศกั ด ์ิ ผอ่ งแผว้ (2527, น.31-36) เห็นว่านักสังคมวิทยาและนักรัฐศาสตร์ ได้แบ่ง ทฤษฎีที่เกี่ยวกับพฤติกรรมการเลือกตั้งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 52

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง 1. ทฤษฎีปัจจัยตัวกำหนด (Deterministic Theory) โกเลมบิวสก้ี เวลซ และคร๊อตตี้ (Golemblewsky, welsh and Crotty, 1969, 404-406) เห็นว่าสาระสำคัญของ ทฤษฏีปัจจัยตัวกำหนด คือ ปัจจัยด้านสถานภาพทางสังคม เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ทฤษฎี ดังกล่าวเสนอว่า ปัจจัยด้านสถานภาพทางสังคมอันเป็นภูมิหลัง ของบุคคลทั้งในระดับกว้างและลึกลงมา จนกระทั่งถึงช่วงที่จะมี การตัดสินใจ มีอิทธิพลอย่างสำคัญต่อพฤติกรรมการลงคะแนน เสียงเลือกตั้ง โดยแนวความคิดที่เป็นพื้นฐานของทฤษฏีนี้ได้แก่ ตัวแบบผลักดันทางสังคม (Social Forces Model) ของ พอล ลาซาร์สเฟลด์ และทฤษฎีสนาม (Field Theory) ของ เคิร์ต เลวิน ทฤษฎีประเภทนี้เป็นการเสนอเงื่อนไขที่กำหนดรูปแบบ (pattern) ของพฤติกรรม ซึ่งไม่ได้มุ่งที่จะสรุปรวมเชิงนิรนัย (Deductive Generalization) หรือทำนายพฤติกรรมในอนาคต หากให้ ประโยชน์อย่างสำคัญในด้านการจัดตัวแปรอันหลากหลายที่ เกี่ยวข้องให้เป็นระเบียบ ส่วนปัจจัยทางสังคมที่กำหนด พฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของบุคคลตามนัยทฤษฎี นี้ได้แก่ ปัจจัยทางด้านเพศ อายุ อาชีพ รายได้ การศึกษาและ ที่อยู่อาศัย เป็นต้น 2. ทฤษฎีความสำนึกเชิงเหตุผล (Consciously Rational Theory) ทฤษฎีความสำนึกเชิงเหตุผลนี้ เน้นที่ปฏิกิริยาของ ความสำนึกตรึกตรองของผู้ไปใช้สิทธิที่มีต่อการเลือกตั้ง นโยบายของพรรค และสถานภาพของผู้สมัครรับเลือกตั้ง 53

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี ลักษณะดังกล่าวคล้ายกับว่าเป็นกรอบความคิดเชิงเหตุผล (Rational Framework) ของผู้ไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งเสมือน กับเป็นการตัดสินใจของผู้บริโภคในทางเศรษฐศาสตร์ การศึกษาในเรื่องนี้ที่สำคัญได้แก่ Economic Theory of Democracy ของ แอนโทนี่ ดาวน์ (Anthony Downs, 1957, p.57) ซึ่งเห็นว่าความรู้ทางวิชาเศรษฐศาสตร์นั้นมีความสัมพันธ์ เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งในหลายเรื่อง เช่น เป็นความสัมพันธ์ ในเชิงเป้าหมายของการได้มาซึ่งอำนาจรัฐที่ต้องการให้ ประชาชนอยู่ดีกินดี ผู้ที่ได้รับเลือกจึงต้องกระทำทุกวิถีทางเพื่อ ให้ประชาชนอยู่ดีกินดี เพื่อว่าจะมีโอกาสได้รับเลือกกลับเข้ามา อีกครั้ง เป็นการมุ่งให้คนมีชีวิตอยู่อย่างดีแต่มีความแตกต่างกัน ในเชิงมิติหรือแง่มุม และเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงใน เรื่องนโยบายสาธารณะของรัฐบาล ที่มีผลสะท้อนต่อภาวะทาง เศรษฐกิจ นอกจากนี้ ฮาร์รอพ และ มิลเล่อร์ (Harrop & Miller, 1987, p. 145-146) ยังเห็นว่าสามารถนำความรู้ทางด้าน เศรษฐศาสตร์มาใช้ในการศึกษาพฤติกรรมการลงคะแนนเสียง เลือกตั้งได้ โดยอยู่บนฐานคติที่สำคัญ 3 ประการ คือ (1) เป็นการศึกษาที่ถือว่าการลงคะแนนเสียงเป็น เครื่องมือ (instrument) ที่จะนำมาซึ่งผลประโยชน์หรอื เป้าหมายที่ประชาชนต้องการ ดังนั้น การตัดสินใจ ลงคะแนนเสียง จะพิจารณาจากผลประโยชน์ของตน เป็นที่ตั้ง (2) เป็นการศึกษาที่ให้ความสำคัญกับเป้าหมายทาง การเมือง การลงคะแนนเสียงของผู้ลงคะแนนเสียง 54

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยที่เก่ียวข้อง นั้นมีจุดสนใจมุ่งไปที่เป้าหมายทางการเมืองของ ผู้ลงคะแนนเสียง (3) เป็นการศึกษาที่ถือว่าการตัดสินใจลงคะแนนเสียง ผู้ลงคะแนนเสียงจะกระทำอย่างละเอียดรอบคอบ ระมัดระวัง โดยใช้ข่าวสารที่มากเพียงพอ อาจกล่าวได้ว่า ทฤษฎีความสำนึกเชิงเหตุผลนี้ เป็น แนวทางการศึกษาที่ให้ความสำคัญกับการบริหารการเลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง พรรคการเมือง การรณรงค์หาเสียง นโยบาย ของพรรค การแจกจ่ายสิ่งของและรวมถึงการใช้เงินในการ เลือกตั้ง ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำนึกตรึกตรองของ ผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งมีลักษณะสอดคล้องกับกรอบความคิด เชิงเหตุผล (Rational Framework) ของผู้ไปใช้สิทธิออกเสียง เลือกตั้งหรือการตัดสินใจของผู้บริโภคทางเศรษฐศาสตร์ ตามแนวความคิด “The Economic Theory of Democracy” ของ แอนโทนี่ ดาวน์ (Anthony Downs) ตามแนวทางการศึกษาในมุมมองทางเศรษฐศาสตร์นี้ แอนโทนี่ ดาวน์ (Anthony Downs) มีข้อสมมติเบื้องต้นของแนว การวิเคราะห์การตัดสินใจลงคะแนนเสียงว่า ผู้ลงคะแนนเสียง เป็นผู้มีเหตุผล (rational voter) กล่าวคือ ทุกคนจะตัดสินใจอย่าง มีเหตุผลเสมอ การตัดสินใจลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครคนใด คนหนึ่ง ผู้ลงคะแนนเสียงจะกำหนดจุดมุ่งหมายหรือหลักเกณฑ์ ในการที่จะคัดเลือกผู้สมัครที่ตนพอใจมากที่สุด และเมื่อได้รับ ข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ก็จะประเมิน ข่าวสารที่ได้รับว่า สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้หรือไม่ 55

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี และจะลงคะแนนเสียงอย่างสมเหตุสมผลให้กับผู้สมัครหรือ พรรคการเมืองที่มีความสอดคล้องกับผลประโยชน์ของตนมาก ที่สุด อีกทั้งยังสามารถนำทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่เรียกว่า “ทฤษฎีอรรถประโยชน์ที่คาดคะเน” (Expected Utility) มาใช้ใน การอธิบายเพิ่มเติมได้ โดยทฤษฎีนี้บุคคลจะเลือกทางเลือกที่ให้ อรรถประโยชน์ที่คาดคะเนสูงสุด ซึ่งจะลงคะแนน เมื่อการลง คะแนนนั้นให้ผลลัพธ์คุ้มค่ากับการลงทุน แนวความคิดนี้เชื่อว่า “ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะไปลงคะแนน เสียงถ้าผลตอบแทนที่ได้รับคุ้มค่า” ซึ่งเป็นการใช้แนวความคิด ว่าด้วยความชอบด้วยเหตุผลของมนุษย์เศรษฐกิจ (economic man) มาใช้ในการตัดสินใจทางการเมือง ส่วนเป้าหมายในการ ตัดสินใจไม่สนใจในอารมณ์หรือค่านิยมส่วนตัว แต่จะพิจารณา จากสถานการณ์ ดูที่ผลที่พึงจะได้และจะเสีย โดยเล็งเห็น เป้าหมายทางการเมืองที่สอดคล้องกับความต้องการมากที่สุด การนำเอาความคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ว่าด้วยความ ชอบด้วยเหตุผลของมนุษย์เศรษฐกิจ (economic man) มาใช้ใน การศึกษาการเลือกตั้ง จะทำให้มองเห็นความสำนึก เชิงเหตุผลของบุคคลในเชิงโสหุ้ยและผลประโยชน์ที่ได้รับ (cost- benefit) ที่เป็นตัวกำหนดที่สำคัญของพฤติกรรมการลงคะแนน เสียงเลือกตั้ง ที่ผู้ลงคะแนนตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกบุคคล หรือพรรคการเมืองใด โดยคาดหวังว่าตนจะได้รับประโยชน์ หากผู้สมัครหรือพรรคการเมืองนั้นได้รับเลือก หรือที่เรียกว่า “ตัวแบบการเลือกโดยเหตุและผล” (The Rational Choice Model) (คณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ, 2538, น,22-23) 56

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ตัวอย่างข้อเขียนของนักวิชาการต่างประเทศที่น่าสนใจ ได้แก่ ผลงานของ ไนมี และไวส์เบิร์ก (Neimi and Weisberg, 1984, 14) ที่สรุปว่า ผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจะตัดสินใจว่าจะไปลง คะแนนเสียงหรือไม่และจะเลือกใคร ผู้ลงคะแนนเสียงจะ พิจารณาถึงผลประโยชน์ของผู้ลงคะแนนเสียงเอง ซึ่งจะเลือก หรือลงคะแนนให้กับผู้สมัครที่มีนโยบายใกล้เคียงกับความคิด ของเขามากที่สุด ส่วน กนก วงษ์ตระหง่าน (2528, 177-179) ได้กล่าวถึงทัศนะของ อัลวิน รูกี้ (Alvin Rougie) ว่า รูปแบบการ ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในประเทศไทยนั้น มักเป็นไปในแบบ อุปถัมภ์ (Clientelist votes) กล่าวคือ ประชาชนไปลงคะแนน เสียงเลือกตั้งด้วยความรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ ผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง มุ่งไปใช้สิทธิโดยมีเหตุผลจะตอบแทนบุญคุณของผู้สมัคร โดย เกิดจากความรู้สึกคุ้นเคยเป็นการส่วนตัวหรือได้รับการอุปถัมภ์ มาแต่ในอดีต ในขณะที่อีกประเภทจะเป็นการขายเสียง (Sold votes) เป็นการที่ประชาชนไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งโดยแลกกับ การรับเงิน หรือสิ่งของที่มีค่าต่าง ๆ ซึ่ง พิชัย เก้าสำราญ (2530, น.72) เห็นว่าเป็นคำกล่าวที่สอดคล้องกับความเป็นจริงที่ปรากฏ อยู่ทุกวันนี้ในสังคมไทย ว่ามีการจ่ายเงินซื้อเสียงเป็นจำนวน มากในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง กนก วงษ์ตระหง่าน (2530, น.62-69) มีความเห็นเพิ่มเติมว่า การเลือกตั้งแต่ละครั้ง พรรคการเมืองของไทยจะมีนโยบายที่คล้ายคลึงกัน ผู้มีสิทธิ เลือกตั้งจึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับนโยบายพรรคการเมือง เท่าใดนัก 57

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี ดังนั้น คุณสมบัติส่วนตัวของผู้สมัคร จึงมีความสำคัญ มากกว่านโยบายของพรรคในการหาเสียงเลือกตั้งผู้สมัครจึงมุ่ง ชู ค ุ ณ ส ม บ ั ต ิ ส ่ ว น ต ั ว ม า ก ก ว ่ า จ ะ พู ด ถ ึ ง น โ ย บ า ย ข อ ง พรรคการเมืองที่สังกัด หรือใช้ยุทธวิธีการโจมตีเรื่องส่วนตัวของ คู่แข่งมากกว่าจะโจมตีหรือพูดถึงเรื่องนโยบายของพรรค และ มักพูดแสดงให้ประชาชนเห็นว่าเขาจะทำอะไรให้กับชุมชน หรือ ประชาชนในเขตเลือกตั้งหากได้รับเลือก นอกจากนี้ ในการลง คะแนนเสียงเลือกตั้งประชาชนจะพิจารณาคุณสมบัติของ ผู้สมัคร ซึ่งก็คือ ความพร้อมและความสามารถของผู้มาสมัครที่ จะทำหน้าที่สนองความต้องการหรือแก้ปัญหาความเดือดร้อน ของชุมชนได้มากน้อยเพียงใดเป็นเกณฑ์ 3. ทฤษฎีระบบ (Systems Theory) เป็นแนวทางการศึกษาพฤติกรรมการเลือกตั้งในเชิง ระบบที่ได้ประยุกต์เอาทฤษฎีระบบการเมือง (Political Systems Theory) ของ เดวิด อีสตัน (David Easton) มาใช้เป็นกรอบ แนวทางในการศึกษาพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ทฤษฎีนี้ พิจารณาว่า การลงคะแนนเสียงตามปกติ (Normal Votes) คือความสมดุลของความนิยมในพรรคการเมือง สองพรรคใหญ่ในการเลือกตั้งที่มีลักษณะของการเลือกพรรค หรือมีความนิยมในพรรคใดพรรคหนึ่งเป็นฐาน ความสมดุลของ ระบบการเมืองคือการขึ้นลงของอัตราการลงคะแนนเสียงและ การเลือกคนใดคนหนึ่งนั้น ขึ้นอยู่กับส่วนผสมของปัจจัย แวดล้อม ซึ่งผันแปรไปในช่วงสมัยที่มีการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นปัจจัย ที่มีผลระยะสั้น (Short term Force) เช่น ความสนใจในตัวของ 58

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้สมัคร ความเห็นต่อนโยบาย และปัญหาทางการเมือง ภาพพจน์ต่อการปฏิบัติงานของพรรค สถานการณ์ภายในและ ภายนอกประเทศ สภาพการแข่งขันของผู้สมัคร เป็นต้น เมื่อประมวลรวมกันแล้วจะมีผลต่อปัจจัยพื้นฐาน คือ ความนิยมพรรค ที่ถือว่าเป็นแรงผลักดันในระยะยาว (Long- term Force) ซึ่งอาจทำให้ ผู้ลงคะแนนเสียงเปลี่ยนความนิยม พรรคจากพรรคหนึ่ง เป็นการแกว่งออกจากสภาวะสมดุล “ปกติ” และเมื่อถึงการเลือกตั้งคราวต่อไปก็มักจะแกว่งกลับ โดยภาวะสมดุล (Equilibrium) เช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็คือ การ พิจารณาทำให้ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนด (Deterministic) และ ความสำนึกเชิงเหตุผลที่เกิดจากปัจจัยระยะสั้น การใช้ทฤษฎี ดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นตัวแบบเชิงการทำนาย (Predictive Mode) พรศักด์ิ ผ่องแผ้ว (2529, 21) ได้ชี้ให้เห็นพฤติกรรม การเลือกตั้งที่อิงกับแนวคิดทฤษฎีระบบของแคมเบลล์และคณะ ที่ตีพิมพ์ในหนังสือเรื่อง “The American Voter” ในปี 1964 ว่า การแข่งขันของพรรคการเมืองในสหรัฐอเมริกามีลักษณะเป็น สภาพนิ่งที่เกิดภาวะสมดุลของระบบ (Homeostatic) ซึ่งอัตรา การขึ้นลงของคะแนนเสียงและการเลือกพรรคการเมืองหนึ่ง พรรคการเมืองใด เกิดจากส่วนผสมระหว่างปัจจัยพื้นฐานระยะ ยาวคือนิยมในพรรค กับปัจจัยระยะสั้น คือความพอใจใน ผู้สมัคร นโยบายที่เกี่ยวกับประเด็นปัญหาทางการเมือง ภาพพจน์ที่มีผลต่อการปฏิบัติงานของพรรค และสถานการณ์ การเปลี่ยนแปลงทั้งภายในกับภายนอกประเทศ ซึ่งจะผันแปร 59

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี ไปในแต่ละช่วงสมัย เมื่อผู้ลงคะแนนเสียงนำปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้มารวมประกอบกันในการพิจารณาตัดสินใจ ก็จะก่อให้ เกิดความชอบพรรคหนึ่งมากกว่าอีกพรรคหนึ่ง ซึ่งทำให้ ความสมดุลในระบบเสียไป และเมื่อถึงการเลือกตั้งครั้งใหม่ ก็มักจะแกว่งตัวกลับมาเช่นนี้อีกเรื่อยไป แนวความคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วม ทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นหลักการสำคัญประการ หนึ่ง ในกระบวนการทางการเมืองและมีความจำเป็นสำหรับ การเมืองทุกระดับรวมทั้งการปกครองท้องถิ่น ซึ่งกำหนดขึ้น บนพื้นฐานของการกระจายอำนาจ ที่มุ่งเปิดโอกาสและ สนับสนุนให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการ ทางการเมืองโดยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเลือกตั้ง การร่วม ตรวจสอบการทำงานขององค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่น การสมัครเป็นนักการเมืองท้องถิ่น เป็นต้น มิลเบรท และ โกแอล (Milbrath & Goel, 1977, p.2) ได้นิยาม การมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างกว้าง ๆ ว่า หมายถึง การกระทำต่าง ๆ ของพลเมืองที่ต้องการจะมีอิทธิพลหรือ สนับสนุนต่อรัฐบาลและระบบทางการเมืองจากการนิยามใน ลักษณะนี้จะพบว่า การมีส่วนร่วมทางการเมืองไม่เพียงแต่ เป็นการกระทำหรือบทบาทของประชาชนที่จะมีอิทธิพลต่อผล ที่ปรากฏออกมาในทางการเมืองแต่ยังรวมไปถึงลักษณะของ การกระทำหรือบทบาทนั้น ๆ จะต้องเป็นกิจกรรมที่สนับสนุน 60

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยที่เก่ียวข้อง และเป็นการกระทำอย่างเป็นพิธีการอีกด้วย และยังจัดประเภท การมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยพิจารณาจากลักษณะของ ผู้มีส่วนร่วมทางการเมืองกลุ่มต่าง ๆ ดังจะเห็นได้จากสังคม อเมริกา ซึ่งแบ่งผู้มีส่วนร่วมทางการเมืองออกได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่ 1. ผู้ต่อสู้ทางการเมือง (gladiators) ได้แก่ บุคคลที่มี ความกระตือรือร้นและสนใจในการเข้าไปมีส่วนร่วม ทางการเมือง (ประมาณร้อยละ 5-7 ของพลเมือง) 2. ผู้ชม (spectators) ได้แก่ บุคคลที่แสวงหาข่าวสาร และออกเสียงเลือกตั้ง (ประมาณร้อยละ 60 ของ พลเมือง) 3. ผู้เฉื่อยชา (apathetics) ได้แก่ บุคคลที่เฉื่อยชา และ ไม่สนใจจะเข้าร่วมในกิจกรรมใด ๆ ทางการเมืองเลย (ประมาณ 1 ใน 3 ของพลเมือง) นอกจากนี้ มิลเบรทและโกแอล ยังได้แบ่งแยกประเภท ของการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนออกเป็น 6 ประเภท ดังนี้ 1. การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง (Voting) กล่าวได้ว่า เป็นการแสดงออกของประชาชนถึงความจงรักภักดี ต่อระบบการเมืองมากกว่าการเรียกร้องสิ่งใดจาก ระบบ กล่าวคือบุคคลที่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง นั้นจะกระทำไปโดยความสำนึกในหน้าที่ของ พลเมืองดีมากกว่าที่จะเชื่อว่าการลงคะแนนเสียงของ 61

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี ตนจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่มีผล สำคัญทางการเมือง ผู้ที่ไปลงคะแนนเสียงอาจไม่ เข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเมืองในรูปแบบ อื่นก็ได้ การไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจึงต้องการ ข่าวสารและแรงจูงใจต่าง ๆ น้อยกว่ากิจกรรม ทางการเมืองอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม การลงคะแนน คะแนนเสียงนับว่ามีความสำคัญมาก เนื่องจาก สามารถกำหนดความเป็นไปของรัฐบาล หรือ การปกครองได้ทันทีทันใด 2. เจ้าหน้าที่พรรคการเมืองและผู้รณรงค์หาเสียง เลือกตั้ง (party and campaign workers) หมายถึง การเข้าร่วมในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำงานให้ พรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้ง ได้แก่ การ ชวนให้ผู้อื่นลงคะแนนให้ การช่วยเหลือพรรคและ ผู้สมัครในการให้ได้มา ซึ่งคะแนนเสียงเลือกตั้ง การ ระดมหาเงินสนับสนุนกิจกรรมของพรรคการเมือง และผู้สมัครการลงสมัครรับเลือกตั้ง Milbrath พบว่า ผู้ที่มีส่วนร่วมทางการเมืองในรูปแบบนี้มีน้อยมาก กลุ่มคนที่ทำกิจกรรมเช่นนี้มีประมาณร้อยละ 15 ของ ประชาชน (กรณีศึกษาของสหรัฐอเมริกา) เพราะต้อง อาศัยความตื่นตัวและความสนใจอย่างแท้จริง เทียบเคียงได้กับผู้ต่อสู้ทางการเมือง (gladiators) ใน ขณะที่คนส่วนใหญ่มักจะมีบทบาทเป็นผู้เฝ้าดู (spectators) 62

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง 3. ผู้มีบทบาทในชุมชน (community activists) เป็นการ ก่อตั้งกลุ่มเพื่อแก้ปัญหาของสังคมหรือทำงานร่วม กับกลุ่มต่าง ๆ ที่จัดการเรื่องปัญหาสังคม จึงเป็น กลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องกับกิจกรรมสาธารณะ หรือ ติดต่อกับทางราชการในเรื่องปัญหาสังคม จึงนับว่า เป็นผู้ที่มีความกระตือรือร้นสูง มีระดับความผูกพัน ทางใจกับชุมชนสูง อย่างไรก็ตามผู้มีบทบาท ในชุมชนนี้ ก็มีความแตกต่างจากเจ้าหน้าที่ พรรคการเมืองและผู้รณรงค์หาเสียงเลือกตั้งในแง่ที่มี ความเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองและการรณรงค์หา เสียงน้อยกว่ามาก การเป็นผู้มีบทบาทในชุมชนนี้ มีประมาณร้อยละ 20 ของพลเมือง (กรณีศึกษาของ สหรัฐอเมริกา) 4. ผู้ติดต่อราชการ (contacting officials) การติดต่อ ราชการนี้เป็นกิจกรรมที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบุคคล โดยตรง เช่น การเสียภาษี การสร้างถนน การติดต่อ ขอรับสวัสดิการทางสังคม ฯลฯ การเข้ามีส่วนร่วม ท า ง ก า ร เ ม ื อ ง ใ น รู ป แ บ บ ด ั ง ก ล ่ า ว เ ก ื อ บ จ ะ ไ ม ่ ใ ช ่ การมีส่วนร่วมทางการเมืองตามความหมายที่แท้จริง ดังที่ verba และ Nie เรียกว่าการมีส่วนร่วมทาง การเมืองแบบคับแคบ (parochial participation) หรือ การติดต่อเฉพาะเรื่อง (particularized contacting) กลุ่มนี้มีเพียงร้อยละ 4 ของพลเมือง (กรณีศึกษาของ สหรัฐอเมริกา) 63

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี 5. ผู้ประท้วง (protesters) ได้แก่ การเข้าร่วมเดินขบวน ประท้วงตามถนน การก่อการจลาจล ในกรณี ที่จำเป็นเพื่อบังคับให้รัฐแก้ไขบางสิ่งบางอย่าง ที่ผิดพลาด ต่อต้านการกระทำของรัฐบาลที่ผิดศีล ธรรม เข้าร่วมชุมนุมประท้วงกับกลุ่มอื่น ๆ หรือ เข้าร่วมเดินประท้วงกับกลุ่มที่ประท้วง ปฏิเสธที่จะ ปฏิบัติตามกฎหมายที่ตนเห็นว่าไม่ยุติธรรม สัดส่วน ของผู้ที่เป็นนักประท้วงชาวผิวขาวมีประมาณร้อยละ 1-5 และชาวผิวดำ ร้อยละ 5-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปฏิเสธกฎหมายที่ไม่ยุติธรรมนั้นมีอยู่ระหว่าง ร้อยละ 14-23 และเป็นที่ยอมรับว่าทั้งชาวผิวขาวและ ชาวผิวดำรู้สึกว่ารับผิดชอบน้อยต่อการเข้าร่วม ประท้วง(กรณีศึกษาของสหรัฐอเมริกา) 6. ผู้สื่อข่าวทางการเมือง (communicators) ได้แก่ การ ติดตามข่าวสารทางการเมืองอยู่เสมอ ส่งข่าวสารว่า ประชาชนกลุ่มไหนสนับสนุนหรือต่อต้านนักการเมือง เมื่อนักการเมืองผู้นั้นดำเนินการเรื่องใด ๆ ในทางที่ดี หรือไม่ดี เข้าร่วมในการถกปัญหาทางการเมือง ให้ ความรู้เกี่ยวกับการเมืองแก่เพื่อนในชุมชนที่อยู่อาศัย การเขียนจดหมายถึงบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ผู้สื่อข่าวทางการเมืองมักจะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล มากกว่าวิธีการประท้วงเพื่อแสดงความคิดเห็นของ ตน มีเพียงร้อยละ 10-20 ของพลเมืองเท่านั้นที่เป็น ผู้ให้ข่าว (กรณีศึกษาของสหรัฐอเมริกา) 64

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ไน, เวอร์บา และ คิม (Nie, Verba and Kim, 1978, p.46) เห็นว่าการมีส่วนร่วมทางการเมืองว่า หมายถึง กิจกรรม ต่าง ๆ ซึ่งมีความถูกต้องตามตัวบทกฎหมายของประชาชน ซึ่งมีวัตถุประสงค์อาจจะมากหรือน้อยก็ตามแต่ ต่อการ มีอิทธิพลในการเลือกสรรเจ้าหน้าที่รัฐบาล และตลอดจน การกระทำหรือการดำเนินการ ต่าง ๆ ของเจ้าหน้าที่เหล่านั้น ซึ่งเป็นการให้ความหมายของกิจกรรมทางการเมืองในลักษณะ ที่กว้างและชัดเจน โดยแบ่งรูปแบบของกิจกรรมการมีส่วนร่วม ทางการเมืองออกเป็น 4 รปู แบบ คือ 1. การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นอยู่ เสมอในระบบประชาธิปไตยและมีอิทธิพลต่อ พฤติกรรมของผู้นำมาก เนื่องจากเป็นสิ่งที่แสดงถึง ความนิยมสนับสนุนของประชาชน อย่างไรก็ตาม การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งต้องการความริเริ่มหรือ แรงจูงใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในการวิจัยเชิงวิชาการ แล้วถือว่าการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นรูปแบบ การมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ชัดเจนที่สุด และ สามารถวัดค่าของการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ใกล้ ความเที่ยงธรรมมากที่สุด 2. การรณรงค์หาเสียง เป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญ เท่ากับการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เนื่องจากทำให้ ประชาชนสามารถเพิ่มอิทธิพลต่อผู้นำได้โดยการ กำหนดคะแนนเสียงให้แก่ผู้สมัครคนใดคนหนึ่งไว้ ก่อนซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งกันได้ 65

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี อย่างไรก็ตาม กิจกรรมดังกล่าว เป็นกิจกรรมที่ยาก และต้องการความริเริ่มมาก่อนการลงคะแนนเสียง นอกจานั้นยังเป็นวิธีที่สามารถสื่อข่าวสารหรือ บ่งบอกเกี่ยวกับความชื่นชอบของประชาชนได้ มากกว่าเพราะประชาชน ที่ร่วมรณรงค์หาเสียงจะ สามารถมีความสัมพันธ์ติดต่อกับผู้สมัครรับเลือกตั้ง ได้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น กิจกรรมการการรณรงค์ หาเสียงนี้ ได้แก่ การชักชวนให้ผู้อื่นไปลงคะแนน เสียง การทำงานอย่างแข็งขันเพื่อพรรคการเมือง การร่วมประชุมทางการเมือง การบริจาคเงินให้ พรรคการเมือง และการเป็นสมาชิกสโมสรทาง การเมือง ฉะนั้น การเข้าร่วมในการรณรงค์หาเสียง จึงเป็นกิจกรรมที่กินเวลาและต้องใช้ความเต็มใจและ ตั้งใจมาก ทำให้ผู้ที่เข้าร่วมในกิจกรรมนี้มีจำนวน น้อยกว่าการออกเสียงเลือกตั้ง 3. การติดต่อขั้นต้นของประชาชน เป็นการติดต่อเผชิญ ห น ้ า ข อ ง บ ุ ค ค ล ท ี ่ ม ี ต ่ อ ร ั ฐ บ า ล ห ร ื อ ห น ่ ว ย ง า น ของรัฐบาลโดยลำพังตนเอง และเป็นการตัดสินใจ เกี่ยวกับระยะเวลาเป้าหมายและเนื้อหาสาระในการ เข้ามีส่วนร่วมของบุคคลได้เอง จึงสามารถคาดหวัง ในผลประโยชน์ได้มากในด้านอิทธิพลที่มีต่อรัฐบาล นั้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากเป็นการกระทำของบุคคล จำนวนน้อย กิจกรรมดังกล่าวมักไม่มีความขัดแย้ง โดยตรงกับบุคคลอื่น ๆ และต้องการความคิดริเริ่ม ค่อนข้างมาก กิจกรรมในรูปแบบนี้ ได้แก่ การติดต่อ 66

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง กับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเกี่ยวกับปัญหาเฉพาะหน้าหรือ ปัญหาส่วนรวม เพื่อร้องเรียนให้มีการแก้ไขปรับปรุง จากรัฐ 4. การร่วมกันในกิจกรรมบางอย่างขององค์การ หรือ กลุ่มเกี่ยวกับปัญหาทางการเมืองและสังคม เป็น กิจกรรมที่บุคคลกระทำร่วมกัน ซึ่งอาจกระทำร่วมกัน ในกิจกรรมภายในขององค์การที่เป็นทางการหรือ ไม่เป็นทางการก็ได้ การกระทำดังกล่าวอาจเกิดขึ้น ในเวลาใดและจะเกี่ยวกับปัญหาใดของกลุ่มก็ได้ ซึ่งไม่อยู่ในกิจกรรมการเลือกตั้ง แต่กิจกรรมอย่างนี้ จะเป็นของกลุ่มและหมู่คณะที่เกี่ยวกันกับปัญหา สังคมและการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองใน รูปแบบนี้มีอิทธิพลต่อรัฐบาลมาก เนื่องจากมีคน จำนวนมากเข้าร่วมและอาจมีความขัดแย้งระหว่าง กลุ่มได้ คิม (Kim) ได้แบ่งลักษณะและประเภทของการเข้าร่วม ทางการเมืองเป็น 4 มิติ คือ มิติที่ 1 เป็นการเข้าร่วมโดยเป็นไปตามธรรมเนียมนิยม และเป็นการเข้าร่วมโดยความสมัครใจ เช่น การไปใช้สิทธ ิ เลือกตั้ง การพูดคุยสนทนาในเรื่องเกี่ยวกับทางการเมือง การเข้าร่วมกลุ่มในทางการเมือง การเข้าร่วมในการรณรงค์ หาเสียง การติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ การดำรงตำแหน่งใน ทางการเมือง 67

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี มิติที่ 2 เป็นการเข้าร่วมอย่างไม่เป็นไปตามธรรมเนียม นิยม แต่เป็นการเข้าร่วมโดยความสมัครใจ กิจกรรมดังกล่าว จึงเป็นกิจกรรมทางการเมืองที่ไม่ถูกต้องตามตัวบทกฎหมาย เช่น การเดินขบวน การประท้วง การก่อวินาศกรรม การเผชิญ หน้า การเข้าร่วมในลักษณะที่เป็นพฤติกรรมทางการเมืองที่ รุนแรง การลอบฆาตกรรม การลักพาเรียกค่าไถ่ การรบอย่าง กองโจร การปฏิวัติ การจลาจล มิติที่ 3 เป็นการเข้าร่วมโดยเป็นไปตามธรรมเนียมนิยม แต่เป็นการเข้าร่วมโดยไม่สมัครใจ เช่น การไปใช้สิทธิเลือกตั้ง การเข้ารวมกลุ่มทางการเมือง การรณรงค์หาเสียง การเข้าร่วม ชุมชน มิติที่ 4 เป็นการเข้าร่วมโดยไม่เป็นไปตามธรรมเนียม นิยมและเข้าร่วมโดยไม่สมัครใจ เช่น การเข้าไปมีส่วนร่วมใน กลุ่มพลังต่าง ๆ ทางการเมืองที่มุ่งจะทำลายคู่แข่งทางการเมือง แนวความคิดเกี่ยวกับวัฒนธรรมทางการเมือง อัลมอนด์ และ เวอร์บา (Almond & Verba) ได้ทำการ ศึกษาเปรียบเทียบลักษณะของวัฒนธรรมทางการเมืองของ กลุ่มคนในสังคมและพบว่ามีลักษณะที่แตกต่างกัน 3 ลักษณะ คือ (สมบัติ ธำรงธัญวงศ์, 2538 : 260-261) 1. วัฒนธรรมทางการเมืองแบบคับแคบ (The Parochial Political Culture) เป็นวัฒนธรรมทางการเมืองของบุคคลที่ไม่มี ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการเมืองเลยไม่มีการรับรู้ ไม่มี ความเห็น และไม่ใส่ใจต่อระบบการเมือง เป็นลักษณะ 68

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยที่เก่ียวข้อง วัฒนธรรมทางการเมืองที่สามารถพบได้ในกลุ่มคนที่ยากจน และไร้การศึกษา เป็นกลุ่มคนที่ขาดโอกาสในการรับรู้และเข้าใจ บทบาทของคนต่อการเมือง 2. วัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้า (The Subject Political Culture) ซึ่งเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองของบุคคลที่มี ความรู้ ความเข้าใจต่อระบบการเมืองโดยทั่วไป แต่ไม่สนใจ ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองในทุกกระบวนการและไม่มี ความรู้สึกว่าตนเองมีความหมาย หรืออิทธิพลต่อระบบ การเมือง บุคคลเหล่านี้จะยอมรับอำนาจของรัฐ เชื่อฟัง และ ปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐโดยดุษฎี 3. วัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วม (The Participant Political Culture) เป็นวัฒนธรรมทางการเมืองของ บุคคลที่มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการเมืองเป็น อย่างดี เห็นคุณค่าและความสำคัญในการเข้ามามีส่วนร่วมทาง การเมือง เพื่อควบคุม กำกับ ตรวจสอบให้ผู้ปกครองทำการ ปกครองเพื่อสนองตอบความต้องการของประชาชน จากแนวความคิดดังกล่าว พบว่า สังคมไทยจัดอยู่ วัฒนธรรมแบบไพร่ฟ้า ผสมกับวัฒนธรรมทางการเมืองแบบมี ส่วนร่วม คือเป็นแบบที่ประชาชนบางส่วนเริ่มมีความสนใจ ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง แต่ในขณะ เดียวกันก็ยังคงมีประชาชนบางส่วนที่ยังคงไม่สนใจกิจกรรม ทางการเมืองอยู่ ดังนั้น พฤติกรรมการเลือกตั้งของคนไทย ส่วนใหญ่ถูกปลูกฝังและถ่ายทอดวัฒนธรรมทางการเมือง ที่ยึดมั่นในระบบอำนาจนิยมเป็นสำคัญ จึงมีลักษณะของการ 69

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี ลงคะแนนเสียงที่คล้อยตามผู้นำในชุมชน แสดงให้เห็นว่า ไม่ได้ มีความต้องการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแท้จริง ซึ่งสามารถ สรุปแบบแผนพฤติกรรมการเลือกตั้งของคนไทยได้ ดังนี้ ประการแรก คนไทยไปลงคะแนนเสียงด้วยความสำนึก ว่าเป็นหน้าที่มากกว่าการแสดงออกถึงความต้องการที่จะ เปลี่ยนแปลงหรือควบคุมรัฐบาล หรือ เพื่อให้คนที่พอใจเข้าไป ทำงาน คนไทยส่วนใหญ่ยังเห็นว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีหน้าที่หรือบทบาทเพียงเพื่อเป็นปากเสียงแทนตนเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าผู้ไปลงคะแนนเสียงเห็นความสำคัญของ การเลือกตั้งเช่นกันแต่ไม่มากนัก คือ เห็นว่าเป็นเพียงการ เลือกตัวแทนเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการเลือกรัฐบาล ซึ่งเป็นเรื่องของ การปฏิบัติตามหน้าที่ของพลเมือง ประการที่สอง เมื่อไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เพราะ ความสำนึกในหน้าที่ ความรู้สึกไม่พอใจต่อการปฏิบัติหน้าที่ ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจึงไม่มีผล ทั้ง ๆ ที่ไม่พอใจ การทำงานหรือบทบาทของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีอยู่ พอสมควร ประการที่สาม นโยบายของรัฐบาลไม่มีผลต่อการ ตัดสินใจลงคะแนนเสียงของผู้ที่ไปใช้สิทธิ ผู้ที่ลงคะแนนเสียง ให้กับรัฐบาลจึงมีทั้งผู้ที่พอใจและไม่พอใจในนโยบายของ รัฐบาล ประการที่สี่ ปัญหาของการเมืองที่ขัดแย้งกันอยู่ มีผล ต่อการตัดสินใจของผู้ที่อยู่ในเขตศูนย์กลางทางการเมืองและผู้ที่ มีการศึกษาเท่านั้น แต่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้คำนึงถึง 70

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ประการที่ห้า ผู้ที่มีการศึกษาสูงและมีฐานะทาง เศรษฐกิจปานกลางขึ้นไปที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร จะไปลงคะแนนเสียงด้วยความสำนึกในหน้าที่พลเมืองสูง ในขณะที่ผู้ที่อยู่ในเขตชนบทและมีการศึกษาน้อย มีฐานะทาง เศรษฐกิจต่ำ จะไปลงคะแนนเสียงด้วยความสำนึกในหน้าที่ น้อยกว่า และเลือกโดยคำนึงถึงตัวผู้สมัครเป็นสำคัญ ประการสุดท้าย ผู้ที่มีการศึกษาและอาศัยในเขต กรุงเทพมหานคร ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจปานกลางขึ้นไป ม ี แ น ว โ น ้ ม ท ี ่ จ ะ เ ล ื อ ก พ ร ร ค ห น ึ ่ ง พ ร ร ค ใ ด ค ่ อ น ข ้ า ง ป ร ะ จ ำ แต่ก็ยังสามารถเปลี่ยนความนิยมในพรรคได้เสมอ ชื่อเสียงและ ความนิยมในตัวหัวหน้าพรรคมีส่วนช่วยให้พรรคได้รับความ นิยม แต่ในขณะเดียวกันชื่อเสียงของพรรคก็มีส่วนอยู่ด้วย โดยเฉพาะพรรคที่มีชื่อเสียงมานาน แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในเขต ชนบท จะให้ความสำคัญในตัวผู้สมัครมากกว่าหัวหน้าพรรค หรือพรรคการเมือง จึงอาจสรุปได้ว่า พฤติกรรมการเลือกตั้งของสังคมไทย โดยรวมนั้น คนไทยยังขาดการแสดงออกถึงความต้องการอย่าง แท้จริงในการเลือกตั้ง ส่วนใหญ่มักถูกชักจูง ให้คล้อยตามผู้ที่มี อิทธิพลในท้องถิ่น หัวคะแนน หรือผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ผู้ที่มีอิทธิพลในสังคมท้องถิ่นนั้น ชักจูงให้ไปลงคะแนน โดย ประชาชนไม่มีความเข้าใจ และยังขาดข้อมูลที่ใช้ในการตัดสิน ใจเพื่อคัดเลือกผู้สมัคร การเลือกตั้งจึงเป็นไปในรูปของการชี้นำ ของผู้มีอิทธิพล 71

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี แนวความคิดเก่ียวกับการบริหารคะแนนเสียง การบริหารคะแนนเสียง คือ การบริหารจัดการและ ควบคุมการหาคะแนนเสียงให้ได้ตามที่ต้องการ โดยผู้สมัคร รับเลือกตั้งจะต้องมีการวางแผนในการบริหารคะแนนเสียงที่ รัดกุมจึงจะสามารถชนะการเลือกตั้งได้ การบริหารคะแนนเสียง สามารถทำได้โดยการจัดตั้งหัวคะแนน ปัจจุบันสังคมการเมืองไทย หัวคะแนนมีความสำคัญต่อ การหาเสียงของผู้สมัครเข้ารับการเลือกตั้ง ความสำเร็จของ ผู้สมัครรับเลือกตั้งมาจากการมีหัวคะแนนที่มีประสิทธิภาพ สามารถหาคะแนนเสียงให้ผู้สมัครได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นที่ เข้าใจกันแพร่หลายว่า “หัวคะแนน” คือ บุคคลที่ดำเนินการ ช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งโดยใช้กลวิธีต่างๆ กับผู้มี สิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เลือกผู้สมัครที่หัว คะแนนสนับสนุนจนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งโดยหัวคะแนน มักจะหวังสินจ้างรางวัลจากผู้สมัครเป็นการตอบแทน ส่วนผู้ที่ ช่วยสมัครหาเสียงอย่างเต็มที่โดยมิได้หวังผลตอบแทน เป็นตัวเงินหรือสินจ้างรางวัลโดยตรง มักจะนิยมเรียกกันว่า “ผู้สนับสนุน” (เอกชาติ แจ่มอ้น, 2547 : 11-15) ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ทั้งผู้สนับสนุนหรือหัวคะแนนจึงเป็น บุคคลที่สามารถหาคะแนนเสียงให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งได้รับ ชัยชนะในการแข่งขันทางการเมืองหรือการเลือกตั้งไม่คำนึงว่า จะใช้วิธีการใดๆ เพื่อแสวงหาการสนับสนุนให้กับผู้สมัครของตน หัวคะแนนจึงเป็นกลไกสำคัญของกระบวนการหาเสียงหรือ บริหารคะแนนเสียง 72

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยที่เก่ียวข้อง ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่จัดอยู่ในกลุ่มที่จะชนะการเลือกตั้ง มีความเชื่อว่าการที่จะได้คะแนนสนับสนุนจนชนะการเลือกตั้ง ได้นั้น จะต้องมีการจัดตั้งหัวคะแนน ส่วนวิธีการรณรงค์หาเสียง ประชาสัมพันธ์โดยทั่วไปนั้น ไม่อาจทำให้ชนะการเลือกตั้งได้ ดังนั้น บุคคลที่มีส่วนสำคัญที่สุดและมีบทบาทในการหาคะแนน เสียง คือ “หัวคะแนน” งานที่เป็นภาระหนักของผู้สมัครจึงไม่ใช่ การออกไปปราศรยั หาเสยี งหากแตเ่ ปน็ งานทต่ี อ้ งบรหิ ารคะแนนเสยี ง การสรรหาหัวคะแนนเสียง จากการศึกษาพบว่า บุคคล ที่ผู้สมัครต้องการให้เป็นหัวคะแนนให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งรับ เลือกตั้ง มักมีคุณสมบัติดังนี้ 1) เป็นผู้นำท้องถิ่น เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือสมาชิก องค์การบริหารส่วนตำบล 2) เป็นผู้นำเครือญาติ ที่เป็นที่เคารพยำเกรงของญาต ิ พี่น้อง และเป็นผู้ที่มีญาติพี่น้องมาก 3) เป็นผู้ที่น่าเคารพเชื่อถือของคนในหมู่บ้าน 4) เป็นผู้ที่สามารถสื่อสารในการซื้อเสียงกับผู้มีสิทธิ เลือกตั้งได้ ในการสรรหาบุคคลที่มีคุณสมบัติดังกล่าวมาเป็น หัวคะแนน ผู้สมัครจะใช้วิธีการดูจากบัญชีรายชื่อหัวคะแนนเดิม ที่มีการติดต่อสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง และอาศัยการวิเคราะห์ บุคคลที่เคยรู้จักกันมาตลอดในช่วงที่ผู้สมัครออกพื้นที่สนับสนุน กิจกรรมในชุมชน นอกจากนี้ ยังพิจารณาจากบุคคลที่เคยขอ ความอนุเคราะห์บริจาคเงินหรือสิ่งของ 73

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี การสรรหาหัวคะแนนในเชิงปริมาณนั้น ไม่เป็นที่หนักใจ ของผู้สมัครรับเลือกตั้งเท่าใดนัก เพราะในช่วงที่มีการเตรียมการ หาเสียง จะมีผู้ที่ประสงค์จะเป็นหัวคะแนนเริ่มติดต่อมายัง เครือข่ายของผู้สมัคร แต่ในการหาหัวคะแนนที่มีคุณภาพเป็นที่ เชื่อถือได้ และการควบคุมคะแนนเสียงให้ได้นั้น เป็นที่หนักใจ ของผู้สมัครรับเลือกตั้งมาก เพราะหัวคะแนนบางคนเป็น “มืออาชีพ” รับหน้าที่เป็นหัวคะแนนให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้ง หลายคนในคราวเดียวกัน ระดับหัวคะแนนแบ่งออกได้เป็น 2 ระดับคือ 1) หวั คะแนนหลกั หรอื หวั คะแนนเกรดดี หัวคะแนนหลัก หมายถึงบุคคลที่มีความใกล้ชิดสนิท สนมกับผู้สมัครรับเลือกตั้ง เกื้อกลู กันมาตลอดจนเป็นที่ไว้วางใจ ว่าให้การสนับสนุนแก่ตนได้ และสามารถเชื่อถือในข้อมูลได้ อย่างเต็มที่ หัวคะแนนประเภทนี้ถูกจัดเป็นเกรดดี เพราะเป็น บุคคลที่สามารถหาคะแนนเสียงได้ 10 เสียงต่อหัวคะแนน 1 คน หรือที่เรียกกันว่า 1:10 โดยพิจารณาจากจำนวนเครือญาติและ ความเชื่อมั่นของหัวคะแนนเอง นอกจากนี้ หัวคะแนนเกรดด ี ยังมีความสามารถในการสรรหาและแนะนำบุคคลที่จะมาเป็น หัวคะแนนให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เพิ่มขึ้น 2) หวั คะแนนรอง หรือหวั คะแนนเกรดธรรมดา หัวคะแนนรอง หมายถึง บุคคลที่ไม่มีความสนิทสนม ผูกพันกับผู้สมัครรับการเลือกตั้ง หรือมีความสัมพันธ์แต่เพียง ผิวเผิน เคยมีความสัมพันธ์เกื้อกูลกันมาก่อน แต่ยังไม่เป็นที่ 74

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ไว้วางใจได้เต็มที่ ส่วนหนึ่งเป็นบุคคลที่หัวคะแนนหลักหรือ หัวคะแนนเกรดดีแนะนำมา หัวคะแนนนี้ถูกจัดให้เป็นบุคคลที่ สามารถหาคะแนนเสียงได้ 3-5 เสียงต่อหัวคะแนน 1 คน หรือ 1:3-5 เมื่อพิจารณาแล้ว จะเห็นว่าการที่จะให้ได้คะแนนเสียง อย่างน้อย 30,000 คะแนนนั้น ผู้สมัครจะต้องใช้หัวคะแนนถึง 3,000-5,000 คน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ จึงเกิด “หัวคะแนนมืออาชีพ” ขึ้นและมีการแก่งแย่งหัวคะแนนกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นกับ หัวคะแนน คือ บางคนเป็นหัวคะแนนของผู้สมัครรายหลายใน คราวเดียวกัน อยู่ในภาวะที่ “รักพี่เสียดายน้อง” วิธีการ แก้ปัญหาหรือหาทางออกของหัวคะแนนในลักษณะนี้ คือ มีการ แบ่งปันจัดสรรคะแนนที่ได้จากสมาชิกในครัวเรือนที่อยู่ในการ ควบคุมของหัวคะแนน เช่น ใน 1 ครัวเรือนมีสมาชิกที่มีสิทธิ ลงคะแนนเสียง 6 คน ก็จะมีการแบ่งปันให้ลงคะแนนเฉลี่ยกัน ไป แล้วแต่กรณีตามที่ตกลงกับหัวคะแนนหลักหรือผู้สมัครับ เลือกตั้ง ทั้งนี้ หัวคะแนนจะต้องมีบัญชีรายชื่อบุคคลที่ตนคิดว่า จะควบคุมคะแนนเสียงได้แสดงให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งดูว่ามี จำนวนเท่าใด อยู่ในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งลำดับที่เท่าใด ชื่อสกุลอะไร จากนั้นจะมีการตรวจสอบว่าเป็นรายชื่อซ้ำซ้อนกับ หัวคะแนนรายอื่นหรือไม่ การที่จะให้ชนะการเลือกตั้งได้นั้น ผู้สมัครรับเลือกตั้งจึง ต้องบริหารและควบคุมหัวคะแนนให้ได้ และต้องมีเป้าหมาย ของคะแนนในแต่ละหน่วยเลือกตั้งที่ชัดเจน ถ้าหากผู้สมัคร มีหัวคะแนนหลักหรือเกรดดีน้อย ถึงแม้จะมีทุนมาก แจกทั่วไป 75

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี หรือเป็นที่รู้กันในหมู่หัวคะแนนว่า “ยิงอุตลุต” จะไม่สามารถทำ คะแนนได้ตามที่หวัง (ทศพล สมพงษ์, 2545: 167-168) การบริหารคะแนนเสียงโดยใช้หัวคะแนนไม่ใช่เป็นวิธีการ เดียวที่จะชนะการเลือกตั้ง แต่เป็นวิธีที่ขาดเสียไม่ได้ นอกเหนือ ไปจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น ชื่อเสียง บุคลิกส่วนตัวของผู้สมัคร ระบบหัวคะแนนหรือการจัดองค์กรการหาเสียงที่ดี โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในท้องที่หรือในยามที่ภาวะเศรษฐกิจไม่สู้ดี ผู้สมัครที่ เป็นระดับมหาเศรษฐีส่วนใหญ่ที่เป็นผู้บริหารพรรคมักนิยมไปลง สมัครรับเลือกตั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือกันมาก และมัก ประสบผลสำเร็จกัน ในขณะที่นักธุรกิจต่างถิ่นต่างมุ่งไปลงสมัครรับเลือกตั้ง ในต่างจังหวัดโดยใช้อำนาจเงินเป็นเครื่องมือสำคัญ ภายใน พื้นที่ก็มักมีการครอบครองฐานทางเศรษฐกิจโดยนายทุน ท้องถิ่นอยู่แล้ว ความผูกพันระหว่างฐานเศรษฐกิจของผู้สมัคร กับฐานคะแนนเสียงของตนก็ปรากฎชัดขึ้น กล่าวคือ สภาพ เศรษฐกิจภายในจังหวัดจะมีส่วนอย่างมากในการกำหนด ประเภทของคนที่จะเข้ามาสมัครรับเลือกตั้งได้ เช่น พื้นที่ใด ถ้ารายได้สำคัญของจังหวัดได้แก่การทำป่าไม้ เหมืองแร่ ก็เป็น ไปได้มากว่า นายทุนป่าไม้หรือเหมืองแร่ มีโอกาสเป็น ส.ส. มากกว่าผู้สมัครประเภทอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าธุรกิจสำคัญ ในจังหวัด เป็นไปในลักษณะที่ความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจของ ประชาชนจะต้องพึ่งพาหรือขึ้นอยู่กับความร่วมมือของนายทุน หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ที่มีอำนาจในการกำหนดโควต้า หรือลักษณะ ธุรกิจสามารถควบคุมขั้นตอนการทำงานของเกษตรกร บุคคล ผู้นั้นย่อมอยู่ในฐานะที่มีโอกาสดีกว่าผู้อื่น 76

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง แนวความคิดเกี่ยวกับระบบความสัมพันธ์ เครือญาติ ความสัมพันธ์เชิงระบบเครือญาติเป็นความสัมพันธ์ตาม ระดับแนวนอนที่เกิดขึ้นจากความจำเป็นในชีวิตในด้านต่าง ๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร และวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ดังกล่าวมีรากฐานที่เกี่ยวกับการผลิต เนื่องจาก มีกิจกรรมการผลิตบางอย่างที่ต้องทำร่วมกันทั้งหมู่บ้าน เช่น การทำเหมืองฝาย การเข้าป่าล่าสัตว์ เนื่องจากเครื่องมือเป็น แบบง่าย ๆ จึงทำให้ต้องใช้แรงงานมากเช่นในการเพาะปลูก ตอนปักดำ เก็บเกี่ยว ประเพณีการลงแขก ทำให้เกิดการเอาแรง เกิดขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่เป็นเครือญาติ นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ยังเกี่ยวเนื่องกับความไม่แน่นอนของผลผลิตที่ได้ รับในการผลิต ซึ่งบางปีอาจไม่ได้ผล ระบบเครือญาติจึงมีส่วน ช่วยเหลือและให้หลักประกันในชีวิต ทำหน้าที่ช่วยเหลือซึ่งกัน และกันทางด้านบริการสังคม เช่น การป้องกันหมู่บ้าน การ รักษาพยาบาล การดูแลเด็กและคนชรา ทำให้ระบบเครือญาติ เป็นสถาบันที่จำเป็นอันจะขาดเสียไม่ได้ เนื่องจากเป็นทั้งแหล่ง ของความร่วมมือ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน คุ้มครองกัน ทำให้ จิตสำนึกที่ให้ความสัมพันธ์กับระบบเครือญาติมีรากเหง้าที่ลึก ซึ้ง ดังสำนวนที่ คนไทยอธิบายคนที่ไม่มีหลักประกันในชีวิตว่า อยู่ในสภาพที่ “ไร้ญาติ ขาดมิตร” จากความสัมพันธ์เชิงเครือญาตินี้เองที่ทำให้ต้องมีการ สร้างกลไกนานาชนิด เพื่อรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ อาจ แสดงออกมาในรูปของกฎเกณฑ์ ประเพณี หรือพิธีกรรม เช่น 77

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี พิธีรดน้ำดำหัวญาติผู้ใหญ่ การไปร่วมงานพิธีศพ แต่ถึงแม้ ระบบเครือญาติจะมีความสำคัญในลักษณะการพึ่งพากันเพียง ใด แต่จิตสำนึกที่จะพึ่งพาเครือญาติก็มีขีดจำกัดระดับหนึ่ง ความช่วยเหลือในหมู่ญาติจะขีดวงอยู่เพียงการแก้ไขปัญหา เฉพาะหน้า การช่วยเหลือแบบสงเคราะห์เท่านั้น แต่จะ ไม่ม ี รูปแบบของการรวมพลังกันเพื่อต่อสู้ (กาญจนา แก้วเทพ, 2527, น.108-115) แสวง รัตนมงคลมาศ (2535, น.17) ได้เขียนบทความ ทางวิชาการพัฒนาสังคม และเห็นว่า ในสังคมใดที่ยังคงมีการ ยึดถือระบบเครือญาติอยู่ในระดับสูง อาจส่งผลกระทบ ทางการเมืองต่อพฤติกรรมการใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้ เพราะหากผู้สมัครคนใดมีญาติหรือสามารถผูกญาติกับบุคคล ต่าง ๆ ได้มากแล้ว โอกาสที่จะชนะการเลือกตั้งย่อมมีมาก โดยอาจจะไม่ต้องใช้เงินให้สิ้นเปลืองเหมือนผู้สมัครคนอื่น เพราะญาติก็คือมวลชนนั่นเอง แต่ญาติเป็นมวลชนที่ให้เหตุผล ในการตัดสินใจเลือกไม่ค่อยสอดคล้องกับหลักอุดมการณ์ ประชาธิปไตยเท่าใดนัก เนื่องจากสภาพความเป็นจริงของ สังคมไทย การลงคะแนนให้ญาติ ถือเป็นการช่วยญาติ และ ทำให้ญาติเป็นใหญ่เป็นโต จะได้พึ่งพาอาศัยกันในภายหลัง แนวความคิดเกี่ยวกับระบบอุปถัมภ์ ระบบอุปถัมภ์ เป็นระบบที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ ระหว่างกลุ่มคน 2 คน สถานภาพได้แก่ เจ้านาย – ลูกน้อง โดย ฝ่ายที่มีสถานภาพทางเศรษฐกิจสังคมสูงกว่า (Patron) เรียกว่า 78

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง “ลูกพี่” จะใช้อำนาจและปัจจัยต่าง ๆ ในการให้ความคุ้มครอง อีกฝ่ายหนึ่งที่มีฐานะต่ำกว่า (Client) หรือที่เรียกว่า “ลูกน้อง” ซึ่งจะตอบแทนโดยการช่วยเหลือในเรื่องทั่ว ๆ ไป และอุทิศตัว รับใช้ลูกพี่ผู้อุปถัมภ์ ความสัมพันธ์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการ แลกเปลี่ยนที่ไม่เท่าเทียมกัน (เพิ่มพงษ์ เชาวลิตและศรีสมภพ จิตรภิรมย์ศรี, 2531,น.86) โดยสิ่งที่เจ้านายมอบให้จะมีลักษณะ ให้ด้วยความกรุณา แต่สิ่งที่ลูกน้องเสนอให้จะมีลักษณะที่เรียก ว่า “ตอบแทนบุญคุณ” โดยที่เจ้านายไม่รู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณ กับลูกน้อง อีกทั้งความสัมพันธ์นี้ยังถูกควบคุมโดยกฎทาง จริยธรรม (Moral) เป็นส่วนใหญ่ (กาญจนา แก้วเทพ, 2527, น.100) ในส่วนที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลทางการเมืองนั้น ระบบอุปถัมภ์จะเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการลงคะแนนเสียง เลือกตั้ง เนื่องจากลักษณะความเป็นผู้นำในเชิงอุปถัมภ์ ย่อมหมายความถึงระดับอิทธิพลซึ่งมีต่อประชาชนหรือกลุ่ม บุคคล การมีอิทธิพลดังกล่าวจะส่งผลมากน้อยเท่าใดนั้น ขึ้นอยู่ กับบารมีของผู้นำคนนั้นเป็นสำคัญ ประชาชนหรือกลุ่มบุคคล ภายใต้ผู้นำดังกล่าวหมายถึงคะแนนเสียงที่จะทำให้ผู้สมัครรับ เลือกตั้งประสบชัยชนะหรือพ่ายแพ้ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำ ชุมชนท้องถิ่นกับประชาชนเหล่านี้ ในกระบวนการเลือกตั้ง ถูกเรียกว่าระบบหัวคะแนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลซึ่งดำรง อยู่ในสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมต่ำ ความสัมพันธ์ใน กระบวนการดังกล่าวในสังคมไทย ตามลักษณะพื้นฐานของ สังคมและวัฒนธรรมข้างต้นส่วนมาก วางพื้นฐานอยู่บนความ สัมพันธ์ต่างกันเป็นส่วนตัว มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ 79

นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุทัยธานี ตอบแทน ระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง มากกว่าความสัมพันธ์ แบบอุดมการณ์ หรือจิตสำนึกทางการเมืองร่วมกัน เมื่อเป็นเช่น นี้แนวทางการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้งจึงต้อง ให้ความสนใจกับผู้นำชุมชนระดับต่าง ๆ เป็นประการสำคัญ (ศรีสมภพ จิตรภิรมย์ศรี, ภาวิณี ไชยภาค และจินดา เล่งซ้าย, 2545, น.446) เมื่อทบทวนแนวคิดระบบเครือญาติและระบบอุปถัมภ์ แล้ว จะพบว่าลักษณะชุมชนของไทย โครงสร้างทางสังคมน่าจะ มีส่วนในการกำหนดพฤติกรรมทางการเมืองของคนใน แต่ละ ชุมชนในลักษณะที่ต่างกัน ซึ่งสามารถแบ่งโครงสร้างทางสังคม ของชุมชนไทยได้ 3 ระดับคือ (1) ลักษณะโครงสร้างชุมชนแบบดั้งเดิม ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นลักษณะชุมชนในอดีต อยู่ห่างไกลการคมนาคม และการติดต่อสื่อสาร ทำได้ไม่สะดวก ประชาชน จำเป็นต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ต้องพึ่งพาอาศัยกัน มักมีความสัมพันธ์กันฉันท์เครือญาติเป็นส่วนใหญ่ แ ต ่ ป ั จ จ ุ บ ั น ม ี ก า ร เ ป ล ี ่ ย น แ ป ล ง ท า ง ส ั ง ค ม สู ง การคมนาคมสื่อสารทำได้สะดวกขึ้น ชุมชนที่มี ลักษณะแบบดั้งเดิม จึงมีอยู่น้อย (2) ลักษณะโครงสร้างชุมชนที่มีความเปลี่ยนแปลง เ ป ็ น ช ุ ม ช น ท ี ่ ม ี ก า ร เ ป ล ี ่ ย น แ ป ล ง ท า ง ส ั ง ค ม สู ง การคมนาคมเป็นไปโดยสะดวก ความสัมพันธ์ ระหว่างคนในชุมชนเป็นไปในเชิงอุปถัมภ์ ชุมชน ลักษณะนี้ผู้นำแม้จะมีคนยำเกรง แต่ก็ไม่สามารถ 80

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง ชี้นำทั้งชุมชนให้เป็นเอกภาพได้ทั้งหมด ชุมชน ประเภทนี้มีอยู่มากในสังคมไทย ซึ่งในเชิงพฤติกรรม ทางการเมือง ชุมชนลักษณะนี้ผู้นำหมู่บ้านสามารถ ชี้นำได้ระดับหนึ่ง สิ่งที่ยึดโยงความสัมพันธ์ภายใน กลุ่มเอาไว้ เป็นความสัมพันธ์หนักในทางเชิงอุปถัมภ์ หรือความสัมพันธ์แบบต่างตอบแทน (3) ลักษณะโครงสร้างแบบชุมชนที่เปลี่ยนแปลงแล้ว หรือชุมชนเมือง และชุมชนที่อยู่ใกล้เคียง ชุมชน ประเภทนี้จะมีความหลากหลายในอาชีพต่าง ๆ มาก มีความเป็นอิสระสูง พักอยู่อาศัยในลักษณะต่างคน ต่างอยู่ ความสัมพันธ์ผูกพันอยู่กับผลประโยชน์ร่วม กันเป็นสำคัญ อิทธิพลของการชี้นำจึงมิได้อยู่ที่ความ เป็นเครือญาติ หรืออำนาจอันเกิดจากระบบอุปถัมภ์ แต่อิทธิพลทางด้านการเงินและผลประโยชน์จะเป็น เครื่องชี้นำ ซึ่งในเชิงพฤติกรรมทางการเมือง ชุมชน ประเภทนี้มีความเป็นอิสระสูง รับรู้ข้อมูลข่าวสาร อย่างกว้างขวาง การตัดสินใจเลือกบุคคลใดจึงขึ้นอยู่ กับวิจารณญาณของตนเองเป็นหลัก การชี้นำจาก ผู้นำมักไม่ค่อยได้ผลในชุมชนประเภทนี้ การชักชวน บุคคลในชุมชนนี้จึงต้องใช้ภาพพจน์ที่ดีเป็นหลัก (แสวง รัตนมงคลมาศ, 2535) 81

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี งานวิจัยที่เก่ียวข้อง จากการศึกษาผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ “นักการเมือง ถิ่น” พบว่ามีงานวิจัย หลายชิ้นที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยในครั้งนี้ ตัวอย่างงานวิจัยที่เกี่ยวกับวิธีการที่ผู้สมัครใช้ในการ รณรงค์หาเสียง เพื่อให้ได้รับการเลือกตั้ง คือ งานวิจัยของ ประชัน รักพงษ์ และ รักฎา บันเทิงสุข (2545, น.60-63) ซึ่งได้ ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง “กระบวนการเลือกตั้งและปัจจัยในการ ตัดสินใจเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเชียงใหม่” พบวิธีการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัคร ซึ่งวิธีที่ใช้รณรงค์ หาเสียงโดยทั่วไป คือ (1) การใช้รถยนต์ โฆษณาหาเสียงเคลื่อนที่ (2) การแจกเอกสาร แผ่นปลิว (3) การติดโปสเตอร์ตามร้านค้าและแหล่งชุมชน (4) ทำป้ายคัตเอาท์ขนาดใหญ่ กลางชุมชน (5) จัดเวทีปราศรัย การจัดระบบหัวคะแนนในชุมชนหรือหมู่บ้าน นิยมใช้ ระบบ 1:10 โดยมีโครงสร้างที่ประกอบด้วย ผู้สมัคร หัวคะแนน หลัก หัวคะแนนในชุมชนซึ่งเป็นชั้นผู้นำในหมู่บ้านที่คุมคะแนน เสียง 10 เสียง หัวคะแนนชั้นที่ผู้สมัครนับถือ หัวคะแนนชั้น ที่ผู้สมัครชอบพอ ชั้นครอบครัว ชั้นญาติพี่น้อง เพื่อน ลำดับ สุดท้ายจะเป็นชั้นคนรู้จัก 82

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง โดยพรรคการเมืองจะคัดเลือกส่งผู้สมัครที่เป็นบุคคล กว้างขวางและเป็นคนชั้นกลางในท้องถิ่น หัวคะแนนส่วนใหญ่ จะมาจากผู้นำท้องถิ่น ได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ประธานกลุ่ม แม่บ้าน และผู้นำกลุ่มต่าง ๆ ในหมู่บ้าน พรรคการเมืองและ ผู้สมัครจะเตรียมวางแผนการดำเนินงานในการรณรงค์หาเสียง ล่วงหน้ามาแล้วไม่น้อยกว่า 2 - 3 ปี โดยเข้าไปพบปะบุคคลที่จะ ใช้เป็นหัวคะแนน และเข้าร่วมกิจกรรมสำคัญต่าง ๆ ของชุมชน เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รู้จักตนเอง เมื่อมีการ ประกาศให้มีการเลือกตั้ง ก็จะมอบให้หัวคะแนนที่จัดตั้งไว้แล้ว ออกไปพบปะประชาชน และเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชน เช่น การร่วมงานทำบุญในโอกาสต่าง ๆ ร่วมพิธีงานศพ งานกีฬา ของชุมชน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการใช้ระบบเครือญาติและเพื่อนฝูง และ พยายามออกไปพบปะประชาชนด้วยวิธีการเคาะประตูบ้าน หาเสยี ง และปรากฏตวั ปราศรยั ในยา่ นชมุ ชน หรอื บนเวทปี ราศรยั ที่พรรคการเมืองจัดหรือที่ กกต.เป็นผู้จัดให้มีการหาเสียงนั้น ส่วนด้านนโยบายพรรคการเมือง จากการศึกษาวิจัย พบว่าประชาชนจะมีความนิยมชมชอบในพรรคการเมืองที่ม ี นโยบายแปลกใหม่ที่เป็นรูปธรรมชัดเจนตรงกับความต้องการ ของประชาชนมากกว่านโยบายที่เป็นไปอย่างธรรมดา ๆ เช่น นโยบายพักชำระหนี้ นโยบายกองทุนหมู่บ้าน นโยบายธนาคาร ประชาชน และ นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค จึงทำให้เกิด กระแสประชานิยมจากประชาชนระดับล่าง ทำให้ผู้สมัครได้รับ ความนิยมตามกระแสนิยมพรรคการเมืองไปด้วย ส่วนทางด้าน 83

นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุทัยธานี วิธีการรณรงค์ปราศรัยหาเสียง พบว่ามักมีการใช้คำปราศรัย ที่เป็นภาษาท้องถิ่น ที่บอกกล่าวให้เห็นถึงการวางแผนอนาคต ของประเทศ นโยบายใหม่ ๆ ของพรรคการเมืองที่แตกต่างจาก พรรคการเมืองอื่น และโจมตีนโยบายของพรรคการเมืองที่เป็น คู่แข่ง ว่าจะก่อให้เกิดภาระปัญหาอย่างไร นอกจากนี้ยัง พยายามกล่าวย้ำทุกครั้งว่าถ้าต้องการให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ก็จะต้องนึกถึงผู้สมัคร ตัวอย่างงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่เกี่ยวกับการรณรงค์ หาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัคร เป็นงานวิจัยของ ทศพล สมพงษ์ (2545, น.164-168) ซึ่งได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “กระบวนการเลือกตั้ง และปัจจัยในการตัดสินใจเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสกลนคร” พบว่า พฤติกรรมการหาเสียงของนักการเมือง ที่อยู่ในกลุ่มที่คาดว่าจะชนะการเลือกตั้งนั้น จะมีการเตรียมการ รณรงค์หาเสียงเลือกตั้งมาเป็นอย่างดีและมีระยะเวลานานล่วง หน้าพอสมควร การเตรียมการล่วงหน้าจะกระทำด้วยวิธีการ ต่าง ๆ เช่น การจัดประชุมชาวบ้าน การติดป้ายโฆษณาแนะนำ ตนเอง การจัดรายการทางวิทยุ การออกเยี่ยมเยียนประชาชน และร่วมงานประเพณีที่สำคัญ ในช่วงของการเลือกตั้งผู้สมัครจะจัดระบบการทำงาน อย่างดี โดยมีการตั้งศูนย์อำนวยการ เพื่อรณรงค์หาเสียง เลือกตั้งขึ้น ที่บ้านพักหรือสำนักงานที่แยกต่างหากมีฝ่าย อำนวยการที่คอยนำเอาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ มาวิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์แต่ละวัน มีการวิเคราะห์คู่แข่งและคอย จับตาการทำงานของ กกต. มีฝ่ายวางแผนหาเสียง ทำหน้าที่ 84

แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง วางแผนขั้นตอนการหาเสียง การเดินสายปราศรัย การคาด คะเนคะแนนที่จะได้รับในแต่ละพื้นที่ การจัดตั้งระบบหัวคะแนน เพื่อให้ได้คะแนนเสียงตามเป้าหมาย การติดตามคอยดูแล หัวคะแนน การดำเนินการจะต้องมีข้อมูลที่ละเอียดและชัดเจน เช่น ข้อมูลผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันกว่าใน บัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งของทางราชการ มีข้อมูลบุคคล ข้อมูลหน่วยเลือกตั้งอย่างละเอียด มีการวางแผนโฆษณา ประชาสัมพันธ์ โดยการจัดทำโปสเตอร์ แผ่นป้าย รถโฆษณา เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งตัดสินใจลงคะแนนให้ และ การติดต่อประสานงานกับสำนักงานใหญ่ของพรรคการเมือง และการจัดทำบัญชีค่าใช้จ่ายของผู้สมัคร ส่วนการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง มักเน้นใช้วิธีการทำ โปสเตอร์ ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ แผ่นปลิว บัตรแนะนำตน รถปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง การจัดเวทีปราศรัย และออกพบปะ กับประชาชนพูดคุยกับผู้คนตามครัวเรือน โดยวิธีการทั้งหลาย เหล่านี้ ผู้สมัครต่างคิดว่า วิธีการใช้รถปราศรัยหาเสียงเลือกตั้ง เป็นวิธีการที่ได้ผลที่สุดในการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนน ให้กับตน วิธีการจะให้คนขับรถไปในชุมชน หมู่บ้าน จอดเป็น จุด ๆ แล้วเปิดเทปอัดเสียงของผู้สมัคร โดยผู้สมัครไม่จำเป็น ต้องไปด้วย จากนั้นตอนเย็น ผู้สมัครจะนั่งรถออกไปปราศรัย ตามชุมชนที่ตนคิดว่าจะได้คะแนนเสียงน้อย หรือในเขตที่เพิ่งมี การรณรงค์ของหัวคะแนน วิธีการนี้ทำให้ผู้สมัครที่มีเงินทุนสูง สามารถจ้างเหมารถได้หลายคัน เป็นการได้เปรียบผู้สมัครที่มี ทุนน้อย 85