นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์อโณทัย วัฒนาพร ข้อมูลทางบรรณานุกรมของสำนักหอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data อโณทัย วฒั นาพร. นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั ลำปาง- - กรงุ เทพฯ : สถาบนั พระปกเกลา้ , 2558. 182 หน้า. 1. นักการเมือง - - ลำปาง. 2. ลำปาง - - การเมืองการปกครอง l. ชื่อเรื่อง. 342.2092 ISBN 978-974-449-794-9 รหสั สิง่ พมิ พข์ องสถาบนั พระปกเกล้า สวพ.58-XX-500.0 เลขมาตรฐานสากลประจำหนงั สอื 978-974-449-794-9 ราคา พิมพค์ ร้ังท่ี 1 มกราคม 2558 จำนวนพมิ พ ์ 500 เล่ม ลิขสทิ ธิ์ สถาบันพระปกเกล้า ท่ปี รึกษา ศาสตราจารย์(พิเศษ)นรนิติ เศรษฐบุตร รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต รองศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา หงษ์ไกรเลิศ รองศาสตราจารย์พรชัย เทพปัญญา ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ผ้แู ตง่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์อโณทัย วัฒนาพร ผ้พู มิ พผ์ ูโ้ ฆษณา สถาบันพระปกเกล้า จดั พมิ พโ์ ดย สถาบันพระปกเกล้า ศนู ย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ชั้น 5 (โซนทิศใต้) เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 02-141-9607 โทรสาร 02-143-8177 http://www.kpi.ac.th พมิ พท์ ี่ บริษัท เอ.พี. กราฟิค ดีไซน์และการพิมพ์ จำกัด 745 ถนนนครไชยศรี แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300 โทรศัพท์ 02-243-9040-4 โทรสาร 02-243-3225
นักการเมืองถิ่น จังหวัดลำปาง ผู้ช่วยศาสตราจารย์อโณทัย วัฒนาพร สถาบันพระปกเกล้า อภินันทนาการ
คำนำ เรื่องนักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง เป็นการศึกษาวิจัย เพื่อทำความเข้าใจและสำรวจเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของ การเมืองจังหวัดลำปาง อันเป็นการนำเสนอถึงกระบวนการ ทำงานของนักการเมืองซึ่งเป็นผู้อาสาเข้ามาทำงานรับใช้ ประชาชนในพื้นที่เลือกตั้งและประเทศ ซึ่งการศึกษาพฤติกรรม ของนักการเมืองและการเลือกตั้งของประชาชนในพื้นที่ถือเป็น ส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่สำคัญ ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงสำหรับสถาบันพระปกเกล้า ในฐานะผู้สนับสนุนทุนการวิจัย และขอขอบพระคุณกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งให้คำแนะนำอันเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงาน และขอขอบพระคุณนักการเมืองจังหวัดลำปาง และผู้ให้ข้อมูล ทุกท่านอันนำมาสู่ความสำเร็จในการจัดทำการวิจัยชิ้นนี้ ผู้วิจัย
บทคัดย่อ งานวิจัยชิ้นนี้ถือเป็นหนึ่งของงานในโครงการวิจัยสำรวจ เพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่น ซึ่งดำเนินงานโดยสำนักวิจัย และพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ทั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้ คือ 1) เพื่อศึกษาภาพรวมของนักการเมืองในเขตจังหวัดลำปาง (ส.ส.) 2) เพื่อศึกษาการวางเครือข่ายทางการเมืองของนักการ เมืองในเขตจังหวัดลำปาง (ส.ส.) โดยผ่านเครือข่ายทาง เศรษฐกิจ และสังคมของตัวนักการเมืองเอง 3) เพื่อศึกษา การวางเครือข่ายทางการเมืองของนักการเมืองในเขตจังหวัด ลำปาง (ส.ส.) โดยผ่านพรรคการเมืองที่สังกัด 4) เพื่อศึกษา วิธีการหาเสียงในการเลือกตั้งของนักการเมืองในเขตจังหวัด ลำปาง (ส.ส.)อันประกอบด้วยการรวบรวมข้อมูลและการ วิเคราะห์เอกสารรวมทั้งการสัมภาษณ์นักการเมืองและผู้ให้ข่าว คนสำคัญ (Key Informants)
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง ผลการศึกษาพบว่า ประการแรก นักการเมืองถิ่นใน จังหวัดลำปางตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแทบทั้งหมดล้วนเป็น เพศชาย ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเวลาก่อน พ.ศ. 2544 ปัจจัยด้าน ตัวบุคคล ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกภาพของนักการเมือง เงินทุน และ ระบบหัวคะแนน มีความสำคัญยิ่งกว่าปัจจัยพรรค ตรงกันข้าม นับตั้งแต่ พ.ศ. 2544 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ปัจจัยพรรค กลับมีความสำคัญยิ่งกว่าปัจจัยด้านตัวบุคคล ประการที่สอง กลุ่มการเมืองสำคัญของจังหวัดลำปางคือ กลุ่มบ้านสวน กลุ่มดอยเงิน กลุ่มตรีทองและกลุ่มนิคม ต่างก็มีการจัดวาง เครือข่ายทางการเมืองของตนเองเอาไว้ ประการที่สาม ตั้งแต่ การเลือกตั้ง พ.ศ. 2544 พรรคการเมืองที่นักการเมืองสังกัดและ ได้รับคะแนนนิยมสงู สุด ก็คือพรรคเพื่อไทย และประการสุดท้าย กลยุทธ์การหาเสียงที่มีประสิทธิภาพในช่วงเวลาก่อน พ.ศ. 2544 ก็คือ การวางเครือข่ายทางการเมืองและระบบหัวคะแนนกับ การอาศัยเงินทุน แต่พอถึงการเลือกตั้ง พ.ศ. 2544 และหลังจาก นั้นเป็นต้นมา การอาศัยพรรคซึ่งหมายถึงแนวนโยบายและผู้นำ พรรคถือได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการนำมาซึ่งชัยชนะ ในการเลือกตั้ง VI
Abstract This research is part of a survey research project undertaken by the King Prajadhipok’s Institute Research and Development Office, aimed at compiling information about local politicians. The objectives of this research are 1) to study the overview of politicians (members of the House of Representatives) in Lampang Province; 2) to study the political networks of these politicians through their socioeconomic networks; 3) to study the political networks of these politicians through the political parties to which they belong; and 4) to study the election campaigns of these politicians. The research consisted of the process of data collection, data analysis, and interviewing of politicians and key informants. The result found that, firstly, throughout the period studied, almost all local politicians in Lampang Province were
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลำปาง male. In addition, during the time before B.E. 2544, personal factors such as politician’s personality, capital, and canvassing system were more important than party factors; in contrast, after B.E. 2544 until now the reverse has been true. Secondly, the important political groups in Lampang Province, namely, Ban Suan Group, Doi Ngoen Group, Tri Thong Group, and Nikom Group, all maintain their own political networks. Thirdly, from the election of B.E. 2544 onwards, the political party to which politicians belonged and which was the most popular was Pheu Thai Party. Lastly, the most efficient election campaign strategy before B.E. 2544 was to prepare a political network and rely on an election campaigner system and capita[WK1]; however, in the election held in B.E. 2544 and from that time onwards, association with the popular political party, meaning the party’s policy and leader, was very important in winning the election. VIII
สารบัญ หนา้ คำนำ IV บทคดั ยอ่ V Abstract VII บทที่ 1 บทนำ 1 บทที่ 2 กรอบทฤษฎแี ละงานวิจยั ท่ีเกีย่ วข้อง 9 1. ทฤษฎีชนชั้นนำ 10 2. ทฤษฎีวัฒนธรรมทางการเมือง 18 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 20 บทที่ 3 สภาพทว่ั ไปของจังหวัดลำปาง 37 1. ลักษณะทางกายภาพ 40 2. โครงสร้างการปกครอง 48 3. โครงสร้างทางสังคม 51 4. โครงสร้างทางเศรษฐกิจ 54 บทที่ 4 บทวิเคราะห์ 69 1. นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ และดร.ธารทอง ทองสวัสดิ์ 86 2. ดร.ไพฑูรย์ เครือแก้ว ณ ลำพนู 99
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง หนา้ 3. นายสอาด ปิยวรรณ 103 4. นายพินิจ จันทรสุรินทร์, นายจรัสฤทธิ์ จันทรสุรินทร์ 108 และนายอิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ 5. นายบุญหลง ถาคำฟู 114 6. นายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร, นางสาวตวงรัตน์ โล่ห์สุนทร, 122 นายกิตติกร โล่ห์สุนทร, นายธนาธร โล่ห์สุนทร และนายสมโภช สายเทพ 7. นายบุญชู ตรีทอง 134 8. นายวาสิต พยัคฆบุตร 139 9. นายนิคม เชาว์กิตติโสภณ 144 บทที่ 5 บทสรปุ 153
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลำปาง สารบัญแผนภาพ หน้า 80 แผนภาพที่ 113 1 แผนภาพแสดงการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลำปาง พ.ศ. 2554 2 แผนภาพแสดงเครือข่ายทางการเมืองในระดับต่างๆ 129 ของกลุ่มดอยเงิน 138 3 แผนภาพแสดงเครือข่ายทางการเมืองในระดับต่างๆ 153 ของกลุ่มบ้านสวน 4 แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มตรีทอง และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด 5 แผนภาพแสดงเครือข่ายทางการเมืองในระดับต่างๆ ของกลุ่มนิคม สารบัญแผนภูมิ หน้า แผนภมู ิที่ 55 1 กราฟแสดงรายได้เฉลี่ยของประชาชนจังหวัดลำปาง 56 พ.ศ. 2542-2551 56 2 แผนภมู ิแสดงจำนวนสถานประกอบการ พ.ศ. 2545-2552 3 แผนภมู ิแสดงจำนวนลูกจ้าง พ.ศ. 2545-2552 XI
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง สารบัญตาราง หนา้ ตารางที่ 1 ตารางแสดงประเภทแร่ธาตุในจังหวัดลำปาง 43 2 ตารางแสดงจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้าปี พ.ศ. 2552 46 3 ตารางแสดงจำนวนโครงการ ทศท. 47 4 ตารางแสดงโครงข่าย TT&T 47 5 ตารางแสดงจำนวนประชากรจังหวัดลำปาง พ.ศ. 2551-2552 49 6 ตารางแสดงจำนวนนักเรียน-นักศึกษาของจังหวัดลำปาง 52 ปีการศึกษา 2552 7 ตารางแสดงจำนวนการนับถือศาสนาในจังหวัดลำปาง 53 8 ตารางแสดงจำนวนสถานประกอบการในจังหวัดลำปาง 55 9 ตารางแสดงการจ้างงานในจังหวัดลำปาง 58 10 ตารางแสดงการจ้างแรงงานในต่างประเทศ 59 11 ตารางแสดงจำนวนโรงงานอุตสาหกรรมในจังหวัดลำปาง 60 12 ตารางแสดงลักษณะการประกอบอุตสาหกรรม 61 ของจังหวัดลำปาง 13 ตารางแสดงข้อมูลพื้นฐานครัวเรือนเกษตรกร 63 14 ตารางแสดงข้อมลู พื้นที่การเกษตรของจังหวัดลำปาง 64 15 ตารางแสดงผลผลติ และมลู คา่ พชื เศรษฐกจิ ของจงั หวดั ลำปาง 64 16 ตารางแสดงประเภทสัตว์เศรษฐกิจของจังหวัดลำปาง 65 17 ตารางแสดงจำนวนสหกรณ์ของจังหวัดลำปาง 66 18 ตารางแสดงรายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 71 จังหวัดลำปาง พ.ศ.2475 - ปัจจุบัน (2554) 19 ตารางแสดงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและอาชีพ 84 ในช่วง พ.ศ.2500 - พ.ศ.2531 20 ตารางแสดงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและอาชีพ 85 ในช่วง พ.ศ.2535 - พ.ศ.2554 XII
บ1ทท ่ี บทนำ 1. ความสำคัญของปัญหา หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 การเมืองไทยได้ก้าวเข้าสู่กระบวนการคัดสรรผู้นำทางการเมือง อีกลักษณะหนึ่ง คือ การเลือกตัวแทน หรือที่เรียกว่าสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัด (ส.ส.) ทั้งนี้ นับแต่วันนั้นจวบจนถึง วันนี้ (กรกฎาคม 2554) ประเทศไทยได้จัดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.มาแล้ว 22 ครั้ง เฉพาะในเขตเลือกตั้งของ 8 จังหวัดภาค เหนือตอนบน ได้มีการวิเคราะห์เอาไว้ว่า ระบบทุน อันหมายถึง อำนาจทางเศรษฐกิจของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ระบบอุปถัมภ์ ซึ่งก็คือ วิธีคิดและความสัมพันธ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และ การเมือง พรรคการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของความ หมายของการถือตัวเป็นคนของพรรค รวมทั้งวัฒนธรรม การเมือง ซึ่งสะท้อนถึงวิธีคิดทางการเมืองของประชาชน ซึ่งใน แง่ของการเลือกตั้ง หมายถึงผู้มีสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียง
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลำปาง (Voters) ทั้ง 4 ประการนี้ มีผลเป็นอย่างมากต่อการแข่งขัน ทางการเมืองโดยผ่านกระบวนการเลือกตั้ง1 ในกรณีของจังหวัดลำปาง เท่าที่ผ่านมา จากผลการ เลือกตั้ง 22 ครั้ง ปรากฏว่ามี ส.ส.ทั้งหมดรวมกัน 28 คน คือ นายสรอย ณ ลำปาง (2 สมัย) นายแถม คมสัน (1 สมัย) พลตรีพระยาอมรวิสัยสรเดช (1 สมัย) นายประยูร ขันธรักษ์ (1 สมัย) นายอินทูล วรกุล (3 สมัย) นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ (14 สมัย) นายประเวศ บริราช (1 สมัย) ขุนสีมะ สิงห์สวัสดิ์ (1 สมัย) นายวิชัย โลจายะ (1 สมัย) นายบุญเรือง ชุ่มอินทรจักร (4 สมัย) ดร.ไพฑูรย์ เครือแก้ว (3 สมัย) นายเสริม จินาสวัสดิ์ (1 สมัย) นายสอาด ปิยวรรณ (6 สมัย) นายดุสิต พานิชพัฒน์ ( 1 สมัย) นายพินิจ จันทรสุรินทร์ (11 สมัย) นายประพันธ์ พยัคฆบุตร (1 สมัย) นายบุญหลง ถาคำฟู (3 สมัย) นายอำพล ศิริวฒั นกุล (1 สมัย) นายไพโรจน ์ โลห่ ส์ ุนทร (7 สมยั ) นายบุญชู ตรที อง (4 สมยั ) นายวาสติ พยคั ฆบตุ ร (6 สมยั ) นางสาวธารทอง ทองสวสั ด์ิ (2 สมยั ) นายจนิ ดา วงคส์ วสั ด์ิ (1 สมยั ) นายอทิ ธริ ตั น์ จันทรสุรินทร์ (3 สมัย) นายกิตติกร โล่ห์สุนทร (1 สมัย) นายจรัสฤทธิ์ จันทรสุรินทร์ (1 สมัย) นายธนาธร โล่ห์สุนทร (1 สมัย) และนายสมโภช สายเทพ (1 สมัย)2 1 อโณทัย วัฒนาพร. “การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของภาคเหนือ ตอนบนในรอบ 3 ทศวรรษ (2518-2548): การสำรวจเบื้องต้น.” ใน วารสาร สถาบันพระปกเกล้า ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 (ม.ค.-เม.ษ.2548), หน้า 51-66. 2 สุรีศรี สารพฤกษ์. “การเข้าสู่วงการเมืองของนักธุรกิจในจังหวัด เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง.” (การค้นคว้าอิสระรัฐศาสตรมหาบัณฑิต (สาขา การเมืองการปกครอง)), บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2553, หน้า 117-119.
บทนำ ตามข้อมูลข้างต้น หากพิจารณาจากภูมิหลังทาง เศรษฐกิจ-สังคมของ ส.ส.จังหวัดลำปาง ก็จะพบว่าแทบทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นเพศชาย มีเพียงนางสาวธารทอง ทองสวัสดิ์ เพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นเพศหญิง ยิ่งไปกว่านั้น ยังปรากฏ เด่นชัดว่า อาชีพหลักของ ส.ส.จังหวัดลำปาง ในยุคก่อนการ เปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครอง 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 ส ่ ว น ใ ห ญ ่ ห ล า ย ค น เ ค ย ด ำ ร ง ต ำ แ ห น ่ ง ใ น ร ะ บ บ ร า ช ก า ร เช่น นายสรอย ณ ลำปาง นายอินทูล วรกุล และขุนสีมะ สิงห์สวัสดิ์ เป็นต้น รวมทั้ง ส.ส.มากสมัยที่สุดของจังหวัดลำปาง คือ นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ ก็ประกอบอาชีพหลักด้านกฎหมาย แต่หลังจาก พ.ศ.2516 โดยเริ่มจากการเลือกตั้ง พ.ศ.2518 เป็นต้นมาจนถึงการเลือกตั้ง พ.ศ.2550 สัดส่วนอาชีพหลักของ ส.ส.จังหวัดลำปางได้เปลี่ยนแปลงไป นั่นก็คือว่า จำนวน นักธุรกิจได้ทวีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญ ในตอนหลังยังปรากฏ ลักษณะการกระจุกตัวของ ส.ส.จังหวัดลำปางอยู่ในแวดวงของ ตระกูลนักธุรกิจไม่กี่ตระกูล อย่างจันทรสุรินทร์ โล่ห์สุนทร และ ตรีทอง ยิ่งไปกว่านี้ ส.ส.จังหวัดลำปาง โดยส่วนใหญ่มีภูมิ ลำเนาอยู่ในจังหวัดลำปางมาแต่เดิม ส่วนบุคคลที่มีภูมิลำเนา จากเขตจังหวัดอื่น พบว่าบุคคลเหล่านี้ต่างเคยมีสายสัมพันธ์ ทางสังคมอยู่ในจังหวัดลำปางมายาวนานพอสมควร ดังกรณี ของ นายพินิจ จันทรสุรินทร์ ซึ่งมาจากจังหวัดแพร่ และ นายบุญชู ตรีทอง ซึ่งมาจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมอีกว่า ส.ส.จังหวัดลำปางต่างก็ สร้างสายสัมพันธ์หรือเครือข่ายทางการเมือง โดยเริ่มจากการ วางเครือข่ายทางสังคมและเศรษฐกิจก่อน จากนั้นจึงแปร
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง เครือข่ายดังกล่าวมาเป็นเครือข่ายทางการเมือง อย่างกรณีของ บุคคลที่เคยอยู่ในระบบราชการมาก่อนก็ย่อมอาศัยเครือข่าย ความสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคลและกลุ่มต่างๆ โดยผ่าน ตำแหน่งและกลไกราชการที่ตนเองเคยดำรงอยู่ ขณะเดียวกัน กรณีของนักกฎหมาย และนักธุรกิจ ก็สร้างเครือข่ายทาง การเมืองจากฐานเดิมของอาชีพตนเอง ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ (นักกฎหมาย) นายสอาด ปิยวรรณ (นักธุรกิจ) และนายพินิจ จันทรสุรินทร์ (นักธุรกิจ) เป็นต้น พร้อมกันนี้บางกรณียังได้ขยายเครือข่ายทางสังคมให้กว้างขึ้น โดยการเข้าไปดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการขององค์การ ทางสังคมของจังหวัด ดังเช่น นายบุญชู ตรีทอง ที่เข้าไปเป็น นายกสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย นายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร ที่เข้าไปดำรงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาจังหวัด ลำปาง นายกสมาคมโรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง และกรรมการ มูลนิธิไทยรัฐ รวมทั้งกรณีของนายประยูร ขันธรักษ์ ที่เคย ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมรถม้าคนแรกของจังหวัดลำปาง นอกเหนือไปจากนี้ ยังพบอีกว่า สำหรับบางกรณียังเคย ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับท้องถิ่นมาก่อน นั่นก็หมาย ความว่าพวกเขาต้องอาศัยเครือข่ายทางการเมืองในระดับ ท้องถิ่นมาเป็นฐานการก้าวเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองในระดับ ชาติ ดังกรณีของนายประยูร ขันธรักษ์ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่ง นายกเทศมนตรีเมืองลำปาง ระหว่าง พ.ศ.2480 – 2483 นายวิชัย โลจายะ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมือง ลำปาง พ.ศ.2496 และ พ.ศ.2498 – 2499 นายจินดา วงค์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นสมาชิกสภาจังหวัดลำปางมา 3 สมัย และนายสอาด
บทนำ ปิยวรรณ ซึ่งก็เป็นสมาชิกสภาจังหวัดลำปางระหว่าง พ.ศ.2494 – 2502 ตรงประเด็นการวางเครือข่ายทางการเมือง พ้นไปจากที่ กล่าวมา ยังสามารถมองเห็นอีกว่า เท่าที่ผ่านมา ส.ส.จังหวัด ลำปาง ในช่วงก่อนมีการเลือกตั้ง พ.ศ.2544 ต่างก็ไม่ได้ยึดมั่น ในพรรคใดพรรคหนึ่งอย่างต่อเนื่อง หากแต่มีการเปลี่ยนแปลง พรรคที่สังกัดมาโดยตลอด นั่นก็หมายความว่า พรรคมิได้มี อิทธิพลเท่าใดนักต่อชัยชนะในการแข่งขันทางการเมือง คุณสมบัติส่วนตัวต่างหากที่มีส่วนกำหนดที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น กรณีของ นายบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ ที่เคยผ่านการสังกัดพรรคมา หลายพรรค ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคกิจสังคม พรรค สหประชาธิปไตย พรรครวมไทย พรรคสามัคคีธรรม และพรรค ชาติพัฒนา หรือกรณีของ นายพินิจ จันทร์สุรินทร์ ที่เคยสังกัด พรรคมาหลายพรรคเช่นกัน คือ พรรคธรรมสังคม พรรค ชาติประชาชน พรรคกิจสังคม พรรคสหประชาธิปไตย พรรค รวมไทย พรรคสามัคคีธรรม พรรคชาติไทย พรรคชาติพัฒนา และพรรคไทยรักไทย พอมาถึงช่วงปีการเลือกตั้งนับแต่ปี 2544 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน (2553) บทบาทของพรรคการเมือง โดยเฉพาะ กรณีของพรรคไทยรักไทย (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นพลังประชาชน และเพื่อไทยในที่สุด) ได้เริ่มปรากฏเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ดี มิได้หมายความว่าคุณสมบัติส่วนตัวของผู้สมัครรับเลือกตั้ง จะด้อยความสำคัญลงไปอย่างมากแต่อย่างใด อาจกล่าวได้ว่า คุณสมบัติส่วนตัวของผู้สมัคร ไม่มากก็น้อย ยังคงมีความ
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง สำคัญอยู่ เพียงแต่ว่าพรรคการเมืองของไทยบางพรรคได้ พยายามสร้างสิ่งที่นักรัฐศาสตร์เรียกว่า การถือตัวเป็นคนของ พรรค ซึ่งหมายถึงความรู้สึกที่บุคคลหนึ่งๆ มีความผูกพันต่อ พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง โดยที่ความผูกพันที่ว่าต้อง เป็นไปอย่างเข้มข้น มิใช่เป็นความรู้สึกแค่ชอบอย่างผิวเผิน หรือชอบตามกระแส หรือแค่เป็นเพียงสมาชิกพรรคเท่านั้น โดยปรกติแล้วการถือตัวเป็นคนของพรรคจะมีสภาพคล้ายๆ กับ คนที่ผูกพันตนเองกับศาสนา เช่นถือว่า ตนเองเป็นพุทธ คริสต์ หรืออื่นๆ เป็นต้น ที่สำคัญสภาพความผูกพันกับพรรคมัก ปรากฏในบรรยากาศของครอบครัว นัยหนึ่งภายในครอบครัว นั้นๆ จะมีการพูดถึงพรรคที่ตนชอบ และมีการกล่อมเกลาให้ บุตรหลานในครอบครัวชอบตามไปด้วย3 กล่าวโดยสรุป การแข่งขันทางการเมืองโดยผ่าน กระบวนการเลือกตั้งในเขตจังหวัดลำปางทั้ง 22 ครั้ง คุณสมบัติส่วนบุคคลไม่ว่าจะเป็นบุคลิกภาพ เงินทุน และการ วางเครือข่ายทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ล้วนแล้วแต่ เป็นทรัพยากรทางการเมืองที่โดดเด่นมาโดยตลอด แต่ถึง กระนั้นก็ตาม ในตอนหลังบทบาทของพรรคการเมืองกลับ ทวีความสำคัญมากขึ้นเป็นลำดับ ด้วยเหตุนี้ ผู้วิจัยจึงต้องการที่ จะวิเคราะห์พฤติกรรมของนักการเมืองในเขตจังหวัดลำปาง 3 Austin Ranney. Governing : An Introduction to Political Science. (Prentice-Hall Inc., 1996) pp. 191 ; M.L. Miler. “Political Participation and Voting Behavior” in Mary Hawhesworth and Maurice Kogan (eds.), Encyclopedia of Government and Politics Vol.1. (London: Routledge,1998) p. 433-434.
บทนำ (ส.ส.) ทั้งนี้ การวิเคราะห์จะมุ่งไปยังการวางเครือข่ายทาง การเมือง ซึ่งด้านหนึ่งเกิดจากการแปรสภาพเครือข่ายเศรษฐกิจ และสังคม มาเป็นเครือข่ายทางการเมือง ส่วนอีกด้านหนึ่งเกิด จากการอาศัยบทบาทของพรรคการเมืองเป็นเครือข่าย 2. วัตถุประสงค์ของการศึกษา 2.1 เพื่อศึกษาภาพรวมของนักการเมืองในเขตจังหวัด ลำปาง (ส.ส.) 2.2 เพอ่ื ศกึ ษาการวางเครอื ขา่ ยทางการเมอื งของนกั การเมอื ง ในเขตจังหวัดลำปาง (ส.ส.) โดยผ่านเครือข่ายทาง เศรษฐกิจ และสังคมของตัวนักการเมืองเอง 2.3 เพื่อศึกษาการวางเครือข่ายทางการเมืองของ นักการเมืองในเขตจังหวัดลำปาง (ส.ส.) โดยผ่าน พรรคการเมืองที่สังกัด 2.4 เพื่อศึกษาวิธีการหาเสียงในการเลือกตั้งของ นักการเมืองในเขตจังหวัดลำปาง (ส.ส.) 3. ขอบเขตของการศึกษา ศึกษาพฤติกรรมของนักการเมืองในเขตจังหวัดลำปาง (ส.ส.) โดยผ่านกระบวนการเลือกตั้ง นับตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไป ครั้งแรก (15 พ.ย. 2476) จนถึงการเลือกตั้งครั้งล่าสุด (23 ธ.ค. 2550)
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลำปาง 4. วิธีการศึกษา อาศัยการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) มา ดำเนินการ โดยการรวบรวมข้อมูลจะกระทำโดยการศึกษา เอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการสัมภาษณ์ตัวนักการเมือง (ส.ส. และอดีต ส.ส.) และผู้ให้ข่าวคนสำคัญ (Key Informants) 5. ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับ 1. สามารถทำความเข้าใจการแข่งขันทางการเมือง ระดับชาติ (ส.ส.) ในเขตจังหวัดลำปาง ตั้งแต่มีการเลือกตั้ง ทั่วไปครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน 2. ทำให้ทราบปัจจัยที่นำมาซึ่งความสำเร็จในการ เลือกตั้งของจังหวัดลำปาง 3. ทำให้ทราบลักษณะ และบทบาทของเครือข่ายทาง เศรษฐกิจ สังคม ซึ่งมีผลต่อมาถึงเครือข่ายทางการเมือง 4. ทำให้ทราบถึงความสำคัญของพรรคการเมืองในการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเขตจังหวัดลำปาง 5. ทำให้มองเห็นรูปแบบของการรณรงค์หาเสียงที่ นักการเมืองใช้ในการเลือกตั้ง 6. สะสมเป็นองค์ความรู้เรื่องเกี่ยวกับ “การเมืองถิ่น” และ “นักการเมืองถิ่น” รวมทั้งเป็นฐานข้อมูลสำหรับการศึกษา วิจัยเกี่ยวกับการเมืองการปกครองไทยต่อไป
บ2ทท ี่ กรอบทฤษฎี และงานวิจัย ท่ีเก่ียวข้อง กรอบทฤษฎี ดว้ ยเหตทุ ง่ี านวจิ ยั ชน้ิ นม้ี งุ่ ไปทพ่ี ฤตกิ รรมของนกั การเมอื ง ดังนั้น การวิเคราะห์จึงยึดถือเอาตัวนักการเมืองเป็นศูนย์กลาง จากนั้น จึงโยงใยไปยังเครือข่ายของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นระบบ อุปถัมภ์และพรรคการเมือง ขณะเดียวกัน ในมุมกลับกัน ก็จำเป็นต้องดูอีกว่า ประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ลงคะแนน เสียง (Voters) คิดและแสดงออกทางการเมือง (Voting) อย่างไร ทั้งสองส่วนนี้ย่อมประกอบกันในการทำให้มองเห็นภาพการ แข่งขันทางการเมือง ซึ่งก็รวมถึงการตอบคำถามในประเด็นที่ว่า ใครประสบความสำเร็จ หรือใครล้มเหลว ในเกมการแข่งขัน ด้วยเหตุนี้ แนวคิดและทฤษฎีที่จะนำมาสร้างเป็นกรอบการ วิเคราะห์จึงประกอบไปด้วย
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง 1. ทฤษฎีชนช้ันนำ (Elite) คำว่าชนชั้นนำ (elite) เริ่มมีการนำมาใช้ครั้งแรกใน ศตวรรษที่ 17 เพื่ออธิบายกลุ่มหรือสมาคมที่มีลักษณะเฉพาะ ต่อมาถูกนำมาใช้ในความหมายของกลุ่มชนชั้นสูงทางสังคม หรือขุนนางแต่ยังไม่มีการใช้อย่างกว้างขวาง จนกระทั่งศตวรรษ ที่ 19 เริ่มมีการศึกษาอย่างจริงจังโดย Pareto โดยเขาให้ความ หมายของชนชั้นนำว่าหมายถึงบุคคลซึ่งมีบทบาทสูงสุดใน สังคม นอกจากนี้ Pareto ยังแบ่งผู้นำเป็น 2 ประเภทคือ ผู้นำที่มี อำนาจปกครอง (governing elite) ซึ่งหมายถึงกลุ่มที่มีบทบาทใน การตัดสินใจโดยตรงและผู้นำที่ไม่มีอำนาจปกครอง (non- governing elite) ซึ่งหมายถึงผู้นำที่มีอิทธิพลหรือผู้นำในสาขา อื่นๆ ที่เหลือจากผู้นำที่มีอำนาจปกครอง4 Lasswell บอกว่า ชนชั้นนำเป็นกลุ่มที่มีจำนวนน้อยใน สังคมแต่เป็นกลุ่มที่ได้มาก ในขณะที่มวลชนเป็นคนส่วนใหญ่ ของสังคมแต่ได้น้อย ในอีกแง่มุมหนึ่ง ชนชั้นนำ (elite) เป็นกลุ่ม ชนชั้นที่มีวัฒนธรรมและรสนิยมในการใช้ชีวิตในแบบเฉพาะ ของตน ยิ่งไปกว่านี้ยังมีเครือข่ายอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ประเด็น สำคัญในทางวิชาการคือ เวลาพูดถึงชนชั้นนำจุดที่น่าสนใจคือ เป็นการพูดเรื่องการแบ่งชั้นทางสังคม ซึ่งแต่ละสังคมย่อมมีมาก กว่าหนึ่งชนชั้น เฉพาะชนชั้นสูงหรือชนชั้นนำ การจะบอกว่า สังคมใดใครเป็นชนชั้นนำ Lasswell มีความเห็นว่าต้องดูจาก 4 Tom B.Bottomore. Elite and Society. (Baltimore: Penguin,1996) p.40-41. 10
กรอบทฤษฎีและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง ค่านิยม (value) ของผู้คนในสังคมขณะนั้นๆ5 เช่น ในยุคมืด ถือว่าพระ, เจ้า และขุนนางเป็นชนชั้นนำหรือในสมัยรัชกาลที่ 4 ถือว่าพ่อค้าเริ่มมีสถานะเป็นชนชั้นนำของสังคมไทย เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม พบว่าในทุกยุคทุกสมัยทหารหรือนักรบ จะได้ รับการยกย่องว่าเป็นชนชั้นนำประเภทหนึ่งอยู่เสมอ มีประเด็นที่น่าสนใจอีกว่าชนชั้นนำสามารถซ้ำและผนึก รวมกันได้ นัยหนึ่งชนชั้นนำอาจมีภูมิหลังทางเศรษฐกิจและ สังคมต่างกัน เช่น เป็นพ่อค้าหรือเป็นนายทหาร เป็นต้น แต่ทว่า ชนชั้นนำบางคนอาจมี 2 สถานะควบคู่กันไป อย่างนักการเมือง บางคนยังมีฐานะเป็นนักธุรกิจพร้อมกันไปด้วยในเวลาเดียวกัน หรือกรณีของ C.Wright Mills6 ซึ่งศึกษาชนชั้นนำผู้มีอำนาจ (Power Elites) ในสังคมอเมริกาโดยระบุว่าอยู่ในมือของกลุ่มคน 3 อาชีพคือ นักธุรกิจใหญ่ นายทหารใหญ่ และนักการเมืองใหญ่ เป็นต้น ในส่วนของ Gaetano Mosca เขาได้ใช้คำว่า Political Class จำแนกชนชั้นนำออกเป็น 2 พวกคือ ชนชั้นนำปกครอง (ruling class) อันหมายถึงชนชั้นปกครองที่อยู่ในตำแหน่ง เช่น ส.ส., ส.ว. และคณะรัฐมนตรี เป็นผู้มีอำนาจในการกำหนด นโยบาย (Policy maker) คนเหล่านี้เป็นคนจำนวนน้อยที่ตัดสิน เรื่องของคนจำนวนมากในสังคม (mass) ส่วนชนชั้นนำอีก 5 Lasswell Harold. Politics : Who Gets What,When, How?. (New York: McGraw-Hill,1936). 6 อ้างใน Martin N. Marger. Elite and Masses. (N.Y.: D.Van Nostrand, 1981) p.79. 11
มีประเดน็ ทนี่ า สนใจอีกวา ชนช้ันนาํ สามารถซา้ํ และผนึกรวมกนั ได นยั หนึง่ ชนชัน้ นําอาจมีภูมิหลัง เศรษฐกจิ และสงั คมตางกันเชน เปนพอ คา หรอื เปน นายทหาร เปนตน แตทวาชนช้ันนําบางคนอาจมี 2 สถ Cคว.Wบคriูกghนั tไMปilอlsย6าซนง่งึักนศกกัึการกษเมาาือรชงเมนถ่ินือชจงน้ั ังบหนวาําัดงผลคูมำนปีอายํางังน มาีฐจา(นPoะwเปeนr Eนlักitธesุร)กใิจนพสรังอคมมกอันเมไรปกิ ดาโวดยยใรนะเวบลุวาาเอดยียใู วนกมันอื ขหอรงือกกลรุมณค อาชีพคือ นกั ธุรกปิจรใะหเญภ นทาคยือทหSาuรbใ-หeญlitแ eลจะนะักคกราอรบเมคอื ลงใุมหถญึง เกปลนุ่มตนชำนาญการต่างๆ ในสว นขเชอ่นง Gทaeี่ปtaรnึกoษMาosรcัฐaบเขาาลได, ใ ขช้าคราํ วาา ชPกoาliรtiแcaลl ะCจlaะssมจีผาํ แู้จนัดกกชนารชใน้ั นนภําอาอคกเปน 2 พวกคือ ชน นําปกครอง (ruliเnอgกclชasนs)เอจนั ้าหขมอางยถผึงูช้บนรชิหัน้ าปรกบครริษองัททใ่อี นยตูใ นำตแําหแนหน่งตง ่เาชงน ๆสค.สน.,กสล.วุ่.มแนละี้ คณะรฐั มนตรี เปน อํานาจในการกาํ ถหือนเดปน็นโตยบัวากยล(าPงoใliนcyกmารaนkeำr)กคานรตเหัดลสานิ ้เีนปโน ยคบนาจยํานขวอนงชนนอยชทั้น่ีตปัดกสคินรเรอือ่ งงของคนจํานวนมา สงั คม (mass) สวไนปชสนู่มชวนั้ ลนชําอนกี แปลระเนภำทคควือาSมubร-ู้สelึกiteขจอะงคมรวอลบชคนลมุไปถงึสกู่ชลนุมชาํั้นนปาญกกคารรอตงา ง ๆเชน ท่ีปรึกษารัฐ , ขา ราชการและจดะังมนีผั้นูจ ดั คกนากรใลนุ่มภนาคี้จเอึงกเปชนรียเจบา เขสอมงผือูบนรสหิ ะารพบารนิษเัทชใื่อนมตาํรแะหหนวง่าตงาชงๆนคชนั้นกลุมน้ีถือเปนตัวกล การนาํ การตดั สินปนกโคยบราอยงขถอึงมชนวชลั้นชปนกสคร่วอนงไVปilสfrูมeวdลoชPนaแrลeะtoนําเครวียากมชรูสนึกชขั้นอนงมำวทลี่มชีนไปสูชนช้ันปกค ดงั นนั้ คนกลุมนี้จอึงำเปนรายี จบทเสามงอื กนาสระเมพืาอนงเวช่าือมชรนะหชัว้นา นงชำนทชี่ป้ันกปคกรคอรงอง(ถGึงoมvวeลrnชiนngสEวlนiteV)ilfredo Pareto เรียก ช้นั นาํ ท่ีมอี าํ นาจททาั้งงนกี้าPรaเมreอื tงoวายชังกนลช้ัน่าวนอาํ ทีก่ีปวก่าคชรนองชั(้นGนoำveยrังniคnรgอEบlitคe)ลทุมง้ั ถนึงี้ Pกaลreุ่มtoคยนงั ทกลี่ า วอีกวา ชนชน้ั น ครอบคลุมถึงกลไุมมค่ไนดท้เข่ีไ้ามไไปดมเขีอาำไนปามจีอปํานกคาจรปอกงคดร้วอยงด(nวoยn-(gnoonv-egronvinegrnienlgitee)liดteัง)จดะังไจดะ้ ไดนําเสนอ แผนภ เปรยี บเทยี บแนวนแคลวำาะเมสPคนaิดอrทe้ังtแoขผอเนอง าภMไาoวsพ้ดcังaเปนแรี้ ลียะบPaเrทetียoบเอแานไววดคงั นวาี้ มคิดทั้งของ Mosca PPaarreettoo GGoovveerrnnininggElites OOththereErlEiteliste s MMaassssees s pทท.ี่ม6มี่ 8าา.: :MMaarrttiinn NN.. MMaarrggeerr..EElliittee aanndd MMaasssseess..((NN..YY..:: DD..VVaannNNoossttrraanndd,1,1998811))p.68. 6อา งใน Mart1in2N. Marger.Elite and Masses.(N.Y.: D.Van Nostrand,1981)p.79.
7 MoscMa osca กรอบทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง Political RRuulliinngg Sub-elites (technocrats.managers, civil servants) Masses ที่มทาีม่ :าM: MaarrttiinnNN. M. Margaerr.gEelirt.e aEnlidteMaasnsdes.M(N.aYs.:sDe.sV.a(nNN.oYs.t:raDnd.,V19a8n1)pN.6o8s.trand, 1981) กลาpว.โ6ด8ย.ร วม การวิเคราะหชนช้ันนําเราจะดูวาบุคคลเหลาน้ีมีลักษณะรวมกันอยางไร มีความคิด อยา งไร ซ1.่งึกใาน รกตาอรสศทู ึกาษงากกนาักรลเรมฐั่าอื ศงวาเพสโตื่อดรแยมสักวรมงวหีสามมอมําตนกิฐาาาจนนรใน้ั นวชกิเานครชมรั้นอานงบะําททหาบง์ชากทนาขรอเชมงือัช้นนงนตชอ้นั ำงนพเาํ รยดาาังยนจา้ีมะคดรอูวบ่างําบกลุคุมอค่ืนลๆ เสมอ 2.ในเสหงั คลม่ากานรเี้มมือีลงจักะมษสี อณงชะนรช้นั่วปมรากกันฏออยเูยสม่าองคไือรชนมชน้ัีคผวปู ากคมรอคงิแดลอะชยน่าชนั้งผไถู รูกปซกึ่งครใอนงการ 3.กาศรเปึกลษย่ี นาแปนลงักทรางัฐสังศคมาเกสดิ ตจารกก์มารักใชมอําีสนามจขมองตผูนิฐําาแลนะเใกนิดจกากาครวามมพอยงายบามทขอบงผาูนทําใขนอกางร ควบคุมก4ล.จมุ ะอชไื่นมนมชีระั้นบนบปำรดะชังานธี้ ิปไตยท่ีสมบูรณแบบทั้งระบบเสรีนิยมและเผด็จการเบ็ดเสร็จตางเปนการ ปลกักษคณรอะงขทโอดี่กงยลชทผานวูนาชมาํ ั้นงปาแนรกละาํ าวชเหนาร1มชั้นเ.ือนมเ ปนไนือมกกแมนั งานอี ตโาํวรดนค้อตยาิดมจงอ่ขอคพอสงวงใบยทู้นนคัแกาาุมงวยงทขิชกแี่อาาทงกามกจารารรครงิเฝตมราอยออื สเสบงแู รลเีนงพะิยำคมอ่ืวกาแคมลวสขาุ่มดัมวแอจงยรื่นหงิงทนาๆาักงอวชเิชำนสาชนกม้นั าาดอรจังฝ นานย้ี น้สั ังคชมนนิยชมน้ั ก็มนอำง ปกครอง12..ใชนนชทชนุ้นักสปชังกั้นคคมรผอม2งู้ปี 2.จ กะชเคใปนนนชรเั้นอสจาเสงังขมแอคงอลปมคจะกือจชัยาชกนนรารชชเผั้มนั้นลผืติอผูกงดู้ถขจูก่ีหะรปมือกชีสนคอชรั้นงอปชงกนค รชอั้นงแปละรชานกช้ันฏผอูถูกยกู่เดสขม่ีหรอือคผูถือูก พลงั การผ3.ลจติะขแมลีคอะวงกามาผรขขู้นัดัดแำ3แย.ยแง งรลกะกันหะใวาเนา กรงผชิดลเนปปจชรล้นัะาโปกี่ยยกชคคนนรวอแางปแมลละพผงถูยทูกาปายกงคารสมอังงขเสคอมมงอผเสกาู้นเหิดำตจใคุ นวาากมกขากัดรแายคงรวคใือบชกาค้อรพุมำัฒกนนลาาทุ่มจาง อื่น 4. จะไม่มีระบบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ ทั้งระบบ เสรีนิยมและเผด็จการเบ็ดเสร็จต่างเป็นการปกครองโดยผู้นำ ประชาชนไม่มีอำนาจควบคุมที่แท้จริง 13
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง ที่กล่าวมาแล้วนั้นเป็นแนวคิดของนักวิชาการฝ่าย เสรีนิยม ความจริงนักวิชาการฝ่ายสังคมนิยมก็มองลักษณะของ ชนชั้นนำเหมือนกัน โดยมองในแง่ของการต่อสู้และความ ขัดแย้งทางชนชั้นดังนี้ 1. ในทุกสังคมมี 2 ชนชั้นเสมอ คือ ชนชั้นผู้กดขี่หรือ ชนชั้นปกครอง และชนชั้นผู้ถูกกดขี่หรือผู้ถกู ปกครอง 2. ชนชั้นปกครอง จะเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต 3. จะมีความขัดแย้งระหว่างชนชั้นปกครองและผู้ถูก ปกครองเสมอ สาเหตุความขัดแย้งคือการพัฒนาทางพลัง การผลิตและการขัดแย้งกันในผลประโยชน์ 4. ความขัดแย้งจะสูงขึ้นในระบบทุนนิยมเพราะเป็นช่วง ที่การขูดรีดชัดเจนและมากกว่าที่ผ่านมา 5. การต่อสู้ทางชนชั้น ในที่สุดแล้วชนชั้นผู้ถูกกดขี่หรือ ผู้ถกู ปกครองจะชนะเสมอ โดยสรุปการมองแบบนี้เสนอว่าในทุกสังคมจะมี ชนชั้นนำอยู่เสมอ และกลุ่มผู้นำจะมีจำนวนน้อยซึ่งสนุกสนาน กับการใช้อำนาจเพื่อให้ได้ประโยชน์หรือรักษาผลประโยชน์ของ กลุ่มตนไว้ ส่วนผู้ถูกปกครองนั้นจะมีจำนวนมากและถูกนำ โดยกลุ่มผู้นำดังได้กล่าวมาแล้ว ในทางทฤษฎีแนวทางวิเคราะห์ชนชั้นนำที่มีอำนาจหรือ นักการเมืองแนวทางหนึ่งก็คือ แนวทางจิตวิทยา ดังปรากฏใน การวิเคราะห์ของ Oliver H.Woshinsky7 ซึ่งเป็นผู้ใช้เวลากว่า 7 Oliver H. Woshinsky. Cultural and Politics. (New Jersey: Prentice Hall, 1995) p.166-179. 14
กรอบทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง 2 ทศวรรษในการศึกษาติดตามนักการเมืองในหลายพื้นที่ ทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน สหรัฐอเมริกา ในความเห็นของ Woshinsky เขากล่าวว่า หาก ต้องการทำความเข้าใจการกระทำของชนชั้นนำทางการเมือง จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ศึกษาต้องเข้าใจลักษณะทางจิตวิทยาของ พวกเขา ที่สำคัญ Woshinsky ได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า แม้โดย ทั่วไปคนมักจะมองว่านักการเมืองคงมีพฤติกรรมคล้ายๆ กัน เช่น เป็นนักฉวยโอกาส ชอบอยู่ท่ามกลางฝูงชน ช่างพูด และ มักคิดถึงความอยู่รอดของตนเองก่อน เป็นต้น แต่ในแง่ความ เป็นจริงที่ Woshinsky พบกลับกลายเป็นว่า โดยบุคลิกพื้นฐาน แล้ว นักการเมืองมีบุคลิกแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแรงจูงใจ หรือแรงขับภายในที่จะผลักดันให้พวกเขาประพฤติปฏิบัติไปใน ทิศทางใด ตามความเห็นของ Woshinsky เขาได้แบ่งบุคลิกภาพ ของนักการเมืองออกเป็น 7 แบบหรือประเภทดังนี้คือ 1. นักการเมืองท่ีมีแรงจูงใจมาจากการทุ่มเทเวลา ใหก้ ับนโยบายสาธารณะ (Program Incentive) นักการเมืองประเภทนี้พอใจที่จะมุ่งมั่นกับการดำเนิน นโยบายสาธารณะ พดู งา่ ยๆ พวกเขาเปน็ นกั แกป้ ญั หา (Problem solvers) นั่นก็คือ ชอบเก็บข้อมูล รวมทั้งวิเคราะห์ผลได้ผลเสีย ของทางเลือกต่างๆ พวกนี้จะมีบุคลิกประนีประนอมหลีกเลี่ยง ความขัดแย้งหรือทะเลาะกับผู้อื่น จะไม่ใช้วาจาเชือดเฉือนแต่ จะทำงานนิ่งๆ เงียบๆ มีความมั่นใจในตัวเองและไม่อยากยุ่งกับ คนอื่นมากนัก 15
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง 2. นั ก ก า ร เ มื อ ง ท่ี มี แ ร ง จู ง ใ จ ม า จ า ก ก า ร อ ยู่ ทา่ มกลางมวลมติ ร (Conviviality Incentive) นักการเมืองประเภทนี้ต้องการการยอมรับจากผู้อื่น และต้องการให้ผู้อื่นเข้ากันได้กับตนเองเป็นอย่างดี พวกนี้ ต้องการพรรคพวกเพื่อนฝูง ต้องการความอบอุ่น เอาเข้าจริงๆ นักการเมืองประเภทนี้ มักมีบุคลิกเป็นผู้ตามมากกว่ามีบุคลิก เป็นผู้นำหรือเป็นผู้ริเริ่ม พูดกลางๆพวกเขาชอบเป็นผู้ดมู ากกว่า 3. นักการเมืองท่ีมีแรงจูงใจมาจากการสร้างการ ยอมรบั จากสังคม (Status Incentive) พวกนี้เน้นชื่อเสียงและเกียรติยศ พูดง่ายๆ ต้องการ เป็นบุคคลสำคัญ รวมทั้งอยากประสบกับความสำเร็จและ มีชื่อเสียงโดยเร็ววัน พวกนี้เน้นความสำเร็จในวิชาชีพและ ต้องการการยอมรับทางสังคม ดังนั้น พวกเขาจึงต้องการให้ ชื่อเสียงของตนเองได้รับการเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง พวกเขามีความสุขกับการถูกแต่งตั้งให้อยู่ในตำแหน่ง สำคัญๆ ขององค์การ เช่น ตำแหน่งกรรมาธิการ นอกเหนือ ไปจากนี้กล่าวได้ว่านักการเมืองประเภทนี้ไม่ค่อยใส่ใจใน ประเด็นนโยบายสาธารณะมากนัก 4. นักการเมืองท่ีมีแรงจูงใจมาจากการสำนึกใน ความเปน็ พลเมืองดี (Obligation Incentive) พวกนี้มักทำตามจิตสำนึกของตนเองคือจะทำในสิ่ง ที่เห็นว่าถูกต้อง (What is right) คนเหล่านี้ดำเนินชีวิตไปตาม กฎเกณฑ์ของศีลธรรม (Moral Imperatives) พร้อมกันนี้ ยังมุ่ง 16
กรอบทฤษฎีและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง แสดงบทบาทหรือทำหน้าที่ ที่ตนเองคิดว่าถูกต้อง โดยมิคำนึง ถึงผลที่ตามมาหรือคำนึงว่าต้องปะทะกับใคร ยิ่งไปกว่านี้ นักการเมืองประเภทนี้มักตั้งข้อรังเกียจนักการเมืองที่ฉ้อฉล โดยบุคลิก พวกเขามองประเด็นนโยบายด้วยหลักศีลธรรมคือ ไม่ผิดก็ถูก ดังนั้น การอภิปรายจึงเถรตรงและเอาเป็นเอาตาย ตามหลักอุดมการณ์ ด้วยเหตุนี้หลายครั้ง พวกเขาเข้ากับคนอื่น ได้ยากหรือคนอื่นทำงานกับพวกเขาได้ยาก 5. นักการเมืองท่ีมีแรงจูงใจมาจากการเล่นสนุกกับ การเมือง (Game Incentive) พวกนี้มุ่งการแข่งขันกับผู้อื่นเพื่อแสดงความโดดเด่น ในการมีชั้นเชิงในการให้ผู้อื่นเดินอยู่ในเกมส์ของตน พวกนี้ คึกคักอยู่ตลอดและมองว่าการเมืองเป็นเรื่องสนุก โดยวันๆ ก็คิดแค่ยุทธศาสตร์และยุทธวิธี ยิ่งไปกว่านี้ นักการเมือง ประเภทนี้มิได้มุ่งต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดและมองฝ่ายตรงข้ามเป็น ศัตรู หากแต่พวกเขาพยายามร่วมมือกับฝ่ายตรงกันข้าม โดยมี กฎกติกาเป็นสื่อกลาง พวกนี้มองว่าหากปราศจากเสียซึ่งความ ร่วมมือและกฎเกณฑ์ เกมส์ก็ไม่เป็นเกมส์ ท้ายที่สุดการเมือง ก็หมดสนุก กล่าวได้อีกว่า นักการเมืองประเภทนี้ถือว่าการ แข่งขันโดยอาศัยสติปัญญานับเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปสู่ชัยชนะ ในที่สุด 6. นักการเมืองท่ีมีแรงจูงใจมาจากการยึดม่ันใน อุดมการณ์ (Mission Incentive) พวกนี้ยึดมั่นในอุดมการณ์โดยถือว่าอุดมการณ์เป็น คำอธิบายความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน ด้วยเหตุนี้การถือครอง 17
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง จิตใจผู้สนับสนุนจึงอยู่ที่นักการเมืองประเภทนี้ถือเคร่งใน หลักการของอุดมการณ์ วัตรปฏิบัติทางการเมืองของพวกนี้ก็คือ การมุ่งมั่นที่จะทำให้อุดมการณ์ของตนเป็นจริง ยิ่งไปกว่านี้ พวกนี้ก็มุ่งมั่นที่จะทำลายล้างศัตรูทางการเมือง พวกเขามองว่า ผู้ต่างอุดมการณ์ก็คือผู้อยู่ฝั่งตรงกันข้าม การเมืองในความ หมายของพวกนี้จึงหมายถึงถ้าไม่เป็นมิตรก็เป็นศัตรู ดังนั้น กล่าวได้ว่า การเมืองแบบดำหรือขาวทำให้นักการเมืองประเภท นี้หาพันธมิตรได้ยาก อีกทั้งยังเพิ่มศัตรไู ด้ง่าย 7. นักการเมืองท่ีมีแรงจูงใจมาจากความต้องการ ใหผ้ ้อู ื่นยกย่องเทดิ ทูน (Adulation Incentive) นักการเมืองประเภทนี้ชอบให้ตนเองเป็นที่ยกย่อง และรักใคร่เป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่พวกเขาคาดหวัง ก็คือ การได้รับการยกย่องจากลูกน้องและประชาชน พวกนี ้ ชอบให้ผู้คนห้อมล้อมตนเองอยู่ตลอดเวลา กล่าวในด้านบุคลิก นักการเมืองประเภทนี้เป็นพวกชอบแสดงอำนาจ และมีความ เชื่อมั่นในตัวเองอย่างสุดโต่ง พวกนี้ไม่ชอบจมอยู่กับความขัด แย้ง ด้วยเหตุนี้ หากมีใครแหย่รังแตน พวกเขาจะตอบโต้อย่าง ถึงที่สุด 2. ทฤษฎีวัฒนธรรมทางการเมือง ประชาชน (people) หรือพลเมือง (citizens) ซึ่งก็คือ ผู้ลง คะแนนเสียง (Voters) ซึ่งต้องดูจากวัฒนธรรมทางการเมือง ซึ่งหมายถึงทัศนคติหรือท่าทีของประชาชนที่มีต่อโครงสร้าง ทางการเมือง กติกาทางการเมือง นักการเมืองและต่อตัวพวก 18
กรอบทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เขาเอง ยิ่งไปกว่านี้มิติทางชนชั้นยังมีความเกี่ยวข้องกับทัศนคติ ทางการเมืองด้วย กล่าวคือ ชนชั้นล่างและชนชั้นกลางย่อมมี ทัศนคติทางการเมืองแตกต่างกัน ที่สำคัญ ประชาชนในแต่ละ ประเทศยังมีวัฒนธรรมทางการเมืองแตกต่างกันไป ที่เรียกว่า วัฒนธรรมทางการเมืองย่อย นอกเหนือไปจากการมีแบบแผน วัฒนธรรมทางการเมืองโดยรวมร่วมกันแล้ว8 ในประเด็นวัฒนธรรมทางการเมือง ผู้วิจัยต้องการที่จะ ศึกษาวัฒนธรรมแบบผู้อุปถัมภ์-ผู้ใต้อุปถัมภ์ ซึ่งหมายถึง วิธีคิด ที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย ที่แลกเปลี่ยน ผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ฝ่ายแรกเรียกว่า ผู้อุปถัมภ์ จะเป็น ผู้มีทรัพยากรเหนือกว่าและเป็นผู้หยิบยื่นทรัพยากรเหล่านี้ให้แก่ ฝ่ายที่สอง ที่เรียกว่า ผู้ใต้อุปถัมภ์ ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างความพอใจให้ แก่ฝ่ายที่สอง ในทางกลับกัน ฝ่ายที่สองคือ ผู้ใต้อุปถัมภ์ก็จะให้ บริการแก่ฝ่ายแรกเป็นการตอบแทน9 อีกแง่มุมหนึ่ง ผู้วิจัยจะศึกษาวิธีคิดที่เรียกว่า การถือตัว เป็นคนของพรรค ซึ่งหมายถึง ความรู้สึกที่บุคคลหนึ่งๆ มีความ ผูกพันต่อพรรคการเมืองใดการเมืองหนึ่ง ทั้งนี้ความผูกพันที่ว่า ต้องเป็นไปอย่างเข้มข้น มิใช่เป็นความรู้สึกแค่ชอบอย่างผิวเผิน 8 Gabriel A. Almond. “The Civic Culture Concept” in Roy C. Macridis and Bernard E. Brown (eds.) Comparative Politics : Notes and Readings. (California: Wadsworth, Inc.,1990) p.47 ; Austin Ranney, op.cit., p.62-64. 9 James C. Scott. “Patron-Client Politics and Social Change in Southeast Asia” in America Political Science Review (66: 1, 1972) p.92. 19
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลำปาง หรือชอบตามกระแส หรือแค่เป็นเพียงสมาชิกพรรคเท่านั้น โดยปรกติแล้ว ลักษณะของการถือตัวเป็นคนของพรรค จะมี สภาพคล้ายๆ กับคนที่ผูกพันตนเองกับศาสนา คือถือว่าตนเอง เป็นพุทธ คริสต์ หรืออื่นๆ ที่สำคัญสภาพความผูกพันกับพรรค มักปรากฏในบรรยากาศของครอบครัว นยั หน่งึ ภายในครอบครวั นั้นๆ จะมีการพูดถึงพรรคที่ตนชอบและมีการกล่อมเกลาให้ บุตรหลานในครอบครัวชอบตามไปด้วยอีก10 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์การแข่งขันทางการเมืองจำเป็นต้อง พิจารณาทั้งพฤติกรรมของผู้สมัครรับเลือกตั้ง (Candidates) หรือ นักการเมือง (Politician) ซึ่งตามความหมายของ Huntington และ Nelson หมายถึง บุคคลที่ทำงานการเมืองอย่างสม่ำเสมอ หรือกล่าวได้ว่าเป็นผู้ใช้เวลาแต่ละวันโดยส่วนใหญ่ไปในกิจการ ทางการเมือง คนเหล่านี้นับการเมืองเป็นอาชีพ ขณะที่ ประชาชนนั้นจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเป็นบางครั้งบางเวลา ไม่ว่าจะเป็นการถกเถียงเรื่องการเมือง และ/หรือการลงคะแนน เสียงในฐานะผู้มีสิทธิออกเสียง (Voters) เป็นต้น11 10 Austin Ranney, op.cit., p.433-434 ; M. L. Miler, op.cit., p.433-434. 11 Samuel P. Huntington and Joan M. Nelson. No Easy Choice : Political Participation in Developing Countries. (Massachusetts: Harvard University Press,1976) p. 15. 20
กรอบทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ในประเด็นนักการเมือง กล่าวได้ว่า นอกเหนือไปจาก บุคลิกส่วนตัวแล้ว ในการวิเคราะห์มักถูกนำไปเชื่อมโยงกับการ วางเครือข่ายทางสังคมทั่วไปอย่างระบบเครือญาติ ระบบเพื่อน เครือข่ายศาสนา รวมทั้งความสัมพันธ์รูปแบบระบบอุปถัมภ์ (Patron-Client Relationship) และการจัดองค์การกับการรณรงค์ ทางการเมืองของพรรคการเมือง ดังปรากฏให้เห็นในงานศึกษา ที่โดดเด่นในยุคเริ่มต้นของสมบัติ จันทรวงศ์ ซึ่งเริ่มทำการศึกษา ครั้งแรก เมื่อการเลือกตั้งวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.252912 และครั้งต่อมาในการเลือกตั้งวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ.253513 โดยการศึกษาทั้ง 2 ครั้ง ได้อาศัยการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ทั้งผู้สมัครรับเลือกตั้ง หัวคะแนน และผู้ให้ข่าวคนสำคัญ (Key Informants) ในพื้นที่เขตเลือกตั้ง ทั้งนี้ สมบัติให้ความสำคัญกับ ระบบการจัดการของผู้สมัครรับเลือกตั้งแต่ละราย โดยเน้น รายสำคัญเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งหัวคะแนนและ การสื่อสารทางการเมืองทั้งที่เป็นทางการหรือที่เรียกว่าการ หาเสียง “บนดิน” และการหาเสียงที่ไม่เป็นทางการหรือที่เรียก ว่าการหาเสียง “ใต้ดิน” เช่น การใช้ระบบนักเลง อำนาจรัฐและ อำนาจเงิน เป็นต้น ที่น่าสนใจ สมบัติได้ชี้ให้เห็นว่า แม้แต่ละ พื้นที่เขตเลือกตั้งในแต่ละจังหวัดแต่ละภาคของประเทศ 12 สมบัติ จันทรวงศ์. การเมืองเรื่องการเลือกตั้ง : ศึกษาเฉพาะ กรณีการเลือกต้ังทั่วไป พ.ศ.2529. (กรุงเทพฯ : มูลนิธิเพื่อการศึกษา ประชาธิปไตยและการพัฒนา, 2530). 13 สมบัติ จันทรวงศ์. เลือกตั้งวิกฤติ : ปัญหาและทางออก. (กรุงเทพฯ : คบไฟ, 2536). 21
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง จะแสดงให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะ เช่น กรณีของจังหวัดปัตตานี ที่มีอิทธิพลของศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องสูง หรือกรณีจังหวัด ชลบุรี ซึ่งมีอิทธิพลของระบบนักเลงเข้ามาประกอบด้วย เป็นต้น แต่ถึงกระนั้น โดยภาพรวม ระบบการหาเสียงในบริบทของ การเมืองไทยหาได้แตกต่างกันไม่ อย่างน้อยที่สุด ปรากฏการณ์ ที่พบเห็นได้ในทุกพื้นที่เขตเลือกตั้งก็คือ การอาศัยระบบอุปถัมภ์ รวมทั้งเครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคมอย่างระบบเครือญาติ ความเป็นเพื่อนฝูง และความสัมพันธ์แบบคู่ค้าของแต่ละอาชีพ อย่างหมอ-คนไข้, ครู-ลูกศิษย์, ทนายความ-ลูกความ เป็นต้น ยิ่งไปกว่านี้ อิทธิพลของเงินและรูปแบบการซื้อสิทธิ-ขายเสียง ซึ่งมีนัยแบบพันธสัญญา (Contract) แบบซื้อมา-ขายไป อันปรากฏในระบบธุรกิจสมัยใหม่ทั่วไปและนัยต่างตอบแทน ด้วยบุญคุณ ซึ่งสะท้อนภาพวัฒนธรรมอุปถัมภ์ ซึ่งเป็นพื้นฐาน ของสังคมไทยมาแต่โบราณ ด้วยเหตุนี้ สมบัติจึงได้ข้อสรุป ประการหนึ่งว่า ยิ่งมีการเลือกตั้งมากครั้งเท่าใด ความสำคัญ ของการเลือกตั้งก็ยิ่งน้อยตามมา นั่นก็หมายความว่า การ เลือกตั้งจะถูกลดขนาดความสำคัญลงให้เหลือเพียงเป็น พิธีกรรมทางการเมืองอย่างหนึ่งของการเมืองระบอบ ประชาธิปไตยเท่านั้น ในชน้ั หลงั เมอ่ื ปรากฏงานศกึ ษาของสถาบนั พระปกเกลา้ โดยการดำเนินการของสำนักวิจัยและพัฒนา ภายใต้โครงการ วิจัยสำรวจเพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่น ซึ่งหมายถึง นักการเมืองระดับชาติ (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร-ส.ส. และ สมาชิกวุฒิสภา-สว. บางสมัยที่ผ่านระบบการเลือกตั้ง) ภายใน จังหวัดหนึ่งๆ ของประเทศไทย ทั้งนี้ก็เพื่อทำความเข้าใจ 22
กรอบทฤษฎีและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง บทบาทหรือพฤติกรรมของนักการเมืองของจังหวัดเหล่านั้น รวมทั้งการวางเครือข่ายทางสังคมและการเมืองภายในจังหวัด ไม่ว่ากับตัวบุคคลและ/หรือกลุ่ม และองค์การต่างๆ เพื่ออาศัย เครือข่ายเป็นฐานในการแข่งขันทางการเมืองพร้อมไปกับการ อาศัยพรรคการเมืองเป็นฐาน โดยเฉพาะในช่วงตั้งแต่ พ.ศ.2544 เป็นต้นมา ซึ่งพรรคการเมืองได้เข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญ มิยิ่งหย่อนไปกว่าเครือข่ายเดิมที่เคยใช้ นับว่ามีส่วนทำให้ องค์ความรู้เรื่องนักการเมืองในระดับชาติของแต่ละจังหวัด และ การแข่งขันในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่ละครั้ง ขยายตัวมากยิ่งขึ้น เท่าที่ผ่านมา งานศึกษาได้ครอบคลุมทุกภาคของ ประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือทั้งตอนบนและตอนล่าง ภาคกลางและตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ โดยงานศึกษาเหล่านี้มีประเด็นการวิเคราะห์ร่วมกันคือ อาศัย ตัวนักการเมืองถิ่นหรือนักการเมืองในระดับชาติของพื้นที่ จังหวัดนั้นๆ เป็นศูนย์กลาง จากนั้นก็ศึกษาในมิติที่ว่า พวกเขา วางเครือข่ายทางสังคมและการเมืองอย่างไร ซึ่งตรงประเด็นนี ้ ก็จะมุ่งไปที่ตัวบุคคลและกลุ่ม และ/หรือองค์การภายในจังหวัด ที่สามารถเกื้อหนุนต่อการสร้างคะแนนเสียงให้แก่นักการเมือง นอกจากนี้ ยังทำการวิเคราะห์ยุทธวิธีการหาเสียง ซึ่งก็คือ การศึกษาการสื่อสารทางการเมืองระหว่างผู้สมัครรับเลือกตั้ง กับผู้ลงคะแนนเสียงนั่นเอง ทั้งนี้การศึกษาก็จะเน้นในด้าน ช่องทางการสื่อสารหรือดูว่าใช้สื่อใดบ้างเช่น วิทยุ-โทรทัศน์ การพบปะโดยตรง หวั คะแนน คทั เอาท์ แผน่ พบั และแผน่ พกเปน็ ตน้ พร้อมกันนี้ตรงเนื้อหาที่จัดวางลงไปมุ่งสื่อเรื่องอะไร เช่น ประวัติ 23
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลำปาง ของผู้สมัครและนโยบายของพรรคที่สังกัด เป็นต้น (ทั้งหมด ปรากฏในหนังสือชุดโครงการสำรวจเพื่อประมวลข้อมูล นักการเมืองถิ่นในพื้นที่จังหวัดต่างๆ โดยสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า) จากการสำรวจงานศึกษาที่ปรากฏ ผู้วิจัยพบว่า งานศึกษาเหล่านี้ได้เผยให้เห็นลักษณะร่วมที่ค้นพบในภูมิภาค ต่างๆ ของประเทศ ขณะเดียวกันก็ยังเผยให้เห็นความแตกต่าง ที่ปรากฏในแต่ละภูมิภาคอีกด้วย กล่าวคือ ผลการศึกษาหลายชิ้นพบว่านักการเมืองถิ่น มักเป็นกลุ่มชนชั้นนำของจังหวัด พวกเขามีที่มาจากตระกูล ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจรวมทั้งชื่อเสียงทางสังคม ในบางกรณ ี ก็มาจากตระกูลนักการเมือง ซึ่งอาจสืบทอดกันมาเพียงหนึ่งรุ่น หรือมากกว่านั้น ที่น่าสนใจก็คือว่า บางคนอาจเริ่มต้นจาก ตระกูลที่มีฐานะทางเศรษฐกิจก่อน จากนั้นจึงค่อยสะสมฐานะ ทางสังคมและการเมืองตามมา บางคนและบางตระกูลก็มี พร้อมทั้ง 3 ฐานะในคราวเดียวกัน กรณีอย่างนี้มักปรากฏในหมู่ นักการเมืองรุ่นหลัง อย่างเช่น ตระกูลไกรฤกษ์ ในจังหวัด พิษณุโลกและตระกลู คุณปลื้มในจังหวัดชลบุรี เป็นต้น ยังมีข้อสังเกตอีกว่า ในระยะต้นของการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยที่ผ่านกระบวนการเลือกตั้ง ภูมิหลังทาง เศรษฐกิจ-สังคมของนักการเมืองหลายจังหวัดหลายภูมิภาค มักมาจากอาชีพข้าราชการเสียส่วนใหญ่ รองลงมาก็เป็นอาชีพ ที่สังคมต้องพึ่งพาและยกย่องอย่างอาชีพแพทย์ ทนายความ และครู เป็นต้น พอหลังจากนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การ 24
กรอบทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง เปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย 14 ตุลาคม 2516 จึงปรากฏ นักการเมืองที่มาจากอาชีพนักธุรกิจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยมาเป็น ลำดับ เหตุที่เป็นเช่นนี้คงสืบเนื่องมาจากการเติบโตทาง เศรษฐกจิ ของสงั คมไทยท่มี อี ัตราเร่งคอ่ นข้างรวดเร็วในระยะหลัง ประกอบกับ ธรรมชาติของนักธุรกิจหรือที่เรียกกันอีกอย่างว่า ชนชั้นกระฎุมพี (bourgeoisie) มักต้องการมีอำนาจทางการเมือง ด้วยตัวเองควบคู่ไปกับการถือครองอำนาจทางเศรษฐกิจ ซึ่งมี มาก่อนหน้านั้น แทนที่จะต้องพึ่งพาชนชั้นสูงเดิมและชนชั้น ข้าราชการ โดยผ่านระบบอุปถัมภ์ดังที่เคยเป็นมา ลักษณะ ปรากฏการณ์ทำนองนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในประวัติศาสตร์ ของการเมืองในกลุ่มประเทศตะวันตก ดังที่นักสังคมศาสตร์ ชั้นนำเคยเอ่ยไว้ ในส่วนของการจัดวางเครือข่าย งานศึกษาเหล่านี้ได้ชี้ให้ เห็นว่า ภายใต้โครงสร้างทางสังคมและบริบทของสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นภูมิภาคใด ระบบเครือญาติ และความกว้างขวาง ในหมู่เพื่อนฝูง หรือที่เรียกรวมกันว่า “ญาติมิตร” นับมีส่วน เกื้อกูลต่อความนิยมโดยพื้นฐานเลย กล่าวนัยหนึ่ง บุคคลใดที่มี เครือข่ายตรงนี้กว้างขวางมากเท่าใด บุคคลนั้นก็ย่อมจักได้ เปรียบคู่แข่งขันคนอื่น ยิ่งไปกว่านี้ ผู้สมัครรับเลือกตั้งยังต้อง สร้างกลุ่มคนทางการเมืองที่เรียกว่า “หัวคะแนน” ขึ้นมา ซึ่งบุคคลเหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะมีพื้นฐานมาจากผู้นำชุมชนทั้งที่ เป็นทางการเช่น กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน และไม่เป็นทางการ เช่น ผู้นำกลุ่มแม่บ้านและกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขมูลฐานชุมชน (อสม.) เป็นต้น 25
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลำปาง สุดท้าย การใช้ยุทธวิธีการหาเสียง จากการค้นพบใน หลายจังหวัดของแต่ละภูมิภาค ทำให้มองเห็นว่า บรรดา นักการเมืองต่างก็ใช้ยุทธวิธีคล้ายๆ กัน นั่นก็คือ การปราศรัย ใหญ่ซึ่งถือเป็นรูปแบบที่สำคัญ เพราะจัดทำไม่บ่อยครั้ง อีกทั้ง ผู้เข้าร่วมฟังปราศรัยก็ต้องมีจำนวนมากพอสมควร ส่วน ผู้ปราศรัยหลักก็ต้องเป็นบุคคลสำคัญของพรรค การปราศรัย ย่อยซึ่งมักทำกระจายไปในวงกว้างทั่วทั้งเขตเลือกตั้ง การติดตั้ง ป้ายหาเสียงหลายขนาด (ใหญ่-กลาง-เล็ก) การติดแผ่นโปสเตอร์ ตามจุดสำคัญในหมู่บ้าน รวมทั้งการแจกแผ่นพับและแผ่นพก แสดงคุณสมบัติและนโยบายของผู้สมัครรับเลือกตั้งและพรรคที่ สังกัด, การใช้ระบบหัวคะแนน ตลอดจนกระทั่งการซื้อเสียง ซึ่งแม้จะมีการกล่าวถึงในงานศึกษาแต่ก็ยากจะระบุให้ชัดเจน ด้วยเหตุที่เป็นเรื่องอ่อนไหวต่อข้อกฎหมาย อย่างไรก็ดี นับแต่พรรคการเมืองได้เข้ามามีบทบาทใน การแข่งขันทางการเมืองในตอนหลัง จึงปรากฏว่า พรรคได้ เข้าไปมีส่วนในการจัดการระบบหาเสียงบางส่วนให้อยู่ใน รูปเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของช่องทางและ เนื้อหาการสื่อสาร กรณีที่ชัดเจนที่สุดคือการจัดการของพรรค ไทยรักไทย (เพื่อประชาชนและเพื่อไทยในตอนหลัง) ในส่วนของความแตกต่าง สามารถพิจารณาได้เป็น รายภาคและรายจังหวัดบางจังหวัด อย่างกรณีของภาคเหนือ ตอนบน เห็นได้จากงานศึกษาของประกายศรี ศรีรุ่งเรือง ศึกษา จังหวัดเชียงรายพบว่าเท่าที่ผ่านมานักการเมืองถิ่นของจังหวัด เชียงรายมักมีภูมิหลังทางเศรษฐกิจ-สังคม จากอาชีพข้าราชการ 26
กรอบทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง นักกฎหมายและนักธุรกิจ พร้อมกันนี้ มีนักการเมืองที่เป็น เพศหญิงน้อยมาก ในส่วนของปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จใน การแข่งขันทางการเมือง งานชิ้นนี้พบอีกว่าปัจจัยด้านตัวบุคคล มีความสำคัญยิ่งกว่าปัจจัยด้านพรรคการเมืองและหากมองใน แง่ยุทธวิธีการหาเสียง ผู้สมัครรับเลือกตั้งรายสำคัญมักเน้น การวางระบบหัวคะแนนผ่านนักการเมืองและผู้มีอิทธิพลใน ท้องถิ่น พร้อมกับการใช้เงินและการสื่อสารทางการเมือง รูปแบบต่างๆ14 อีกชิ้นหนึ่งเป็นงานวิจัยของรักฎา เมธีโภคพงษ์และวีระ เลิศสมพร ซึ่งศึกษาจังหวัดเชียงใหม่และพบว่าในแง่ของภูมิหลัง ทางเศรษฐกิจ-สังคม นักการเมืองจังหวัดเชียงใหม่มักมาจาก ผู้ประกอบอาชีพข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่น ผู้ประกอบ อาชีพด้านสื่อสารมวลชน และนักธุรกิจ ยิ่งไปกว่านี้ ยังม ี เพศหญิงน้อยมาก ในแง่ของบทบาทพรรคการเมือง โดยภาพ รวม พรรคที่มีบทบาทสม่ำเสมอ บางครั้งก็สูง บางครั้งก็ต่ำ คือ พรรคประชาธิปัตย์ พอมาถึง พ.ศ.2544 พรรคไทยรักไทย ก็มีกระแสนิยมเหนือกว่าพรรคประชาธิปัตย์ อย่างไรก็ดี เมื่อ พิจารณาจากยุทธวิธีในหาเสียง จากการศึกษาของงานชิ้นนี้ พบว่า นักการเมืองถิ่นจังหวัดเชียงใหม่ต่างก็ใช้หลากวิธีและ เน้นบางวิธีที่ตนถนัด15 14 ประกายศรี ศรีรุ่งเรือง. นักการเมืองถ่ินจังหวัดเชียงราย. (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า,2550). 15 รักฎา เมธีโภคพงษ์ และวีระ เลิศสมพร. นักการเมืองถิ่นจังหวัด เชียงใหม่. (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2551). 27
นักการเมืองถิ่นจังหวัดลำปาง ภาคเหนือตอนล่าง ปรากฏในงานศึกษาของชาญณวุฒ ไชยรักษา ที่จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งศึกษานักการเมืองถิ่นของ จังหวัดตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งแรก พ.ศ.2476 จวบจนถึง พ.ศ.2548 โดยแบ่งการศึกษาออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรก อยู่ใน ระหว่าง พ.ศ.2475-2516 และช่วงที่สอง อยู่ระหว่าง พ.ศ.2517- 2548 รวม ส.ส.ทั้ง 2 ช่วงจำนวนทั้งสิ้น 29 คน ผลการศึกษา พบว่า ส.ส.พิษณุโลก (ยุคแรก) มักมีภูมิหลังจากอาชีพ ข้าราชการส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเป็นบุคคลที่ครอบครัวเป็น ผู้มีชื่อเสียงทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง หรือกล่าวนัย หนึ่ง เป็นบุคคลที่มีต้นทุนทางสังคมสูง และสุดท้าย เป็นบุคคล ที่มีความเกี่ยวพันกับจังหวัดพิษณุโลกค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะ เป็นภูมิลำเนาและการได้รับการศึกษาในจังหวัด โดยที่วิธีการ รณรงคห์ าเสยี งเลอื กตง้ั ทม่ี กั ใชก้ นั กค็ อื 1) การลงพน้ื ทเ่ี พอ่ื พบปะ ประชาชน 2) การปราศรัยหาเสียง 3) การใช้สื่อประชาสัมพันธ์ 4) การใช้รถหาเสียง รวมทั้งยังปรากฏมีการซื้อเสียงเป็นยุทธวิธี หนึ่งที่สำคัญ หากมองไปที่ปัจจัยที่นำมาซึ่งความสำเร็จในการ เลือกตั้ง ก็จะพบว่า 1) ความสัมพันธ์กับชุมชนอย่างแน่นแฟ้น 2) เงินทุน 3) ทุนทางสังคมหรือการมีเครือข่ายทางสังคม 4) ความสัมพันธ์และการได้รับการสนับสนุนจาก ส.ส.อาวุโส16 รวมทั้งงานของภาคภูมิ ฤกขะเมธ ที่ศึกษาจังหวัดตาก ครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ พ.ศ.2476-2550 ซึ่งมีการเลือกตั้ง รวมทั้งสิ้น 23 ครั้ง ผลการศึกษาพบว่า นักการเมืองถิ่นจังหวัด ตากมีอยู่ 2 กลุ่มตระกูลใหญ่คือ ตระกูลไชยนันท์ และตระกูล 16 ชาญณวุฒ ไชยรักษา. นักการเมืองถิ่นจังหวัดพิษณุโลก. (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2549). 28
กรอบทฤษฎีและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง ตันติสุนทร ที่สำคัญงานศึกษาชิ้นนี้ยังชี้อีกว่า นักการเมืองถิ่น โดยส่วนใหญ่ของจังหวัดตากสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งก็ เท่ากับว่า พรรคการเมืองมีบทบาทต่อการลงคะแนนเสียงของ ประชาชนในจังหวัดนี้ ด้วยเหตุนี้ จึงโยงไปสู่ยุทธวิธีการหาเสียง ซึ่งถูกระบุว่ามีความใกล้เคียงกันในหมู่นักการเมืองถิ่น นั่นก็คือ การใชบ้ ตั รแนะนำตวั แผน่ พบั ใบปลวิ การโฆษณาประชาสมั พนั ธ์ โดยรถขยายเสียงและการปราศรัย17 ทางด้านภาคกลางและภาคตะวันออกเห็นได้จากงาน ของพรชัย เทพปัญญา18 ซึ่งศึกษาจังหวัดปทุมธานี ครอบคลุม ตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งแรก พ.ศ.2476-2548 จากการศึกษาพบว่า การเมืองในจังหวัดปทุมธานีถูกผูกขาดไว้ที่ตระกูลหาญสวัสดิ์ นับแต่การเลือกตั้ง 27 กรกฎาคม 2529 แต่ถึงกระนั้นพอการ เลือกตั้ง 17 พฤศจิกายน 2539 บทบาทของตระกูลหาญสวัสดิ์ ก็อ่อนตัวลง ปรากฏมีนักการเมืองคนใหม่เบียดแทรกเข้ามา (ดูหน้า 31-32) กล่าวโดยรวม งานชิ้นนี้ มุ่งเน้นวิเคราะห์บทบาท ของกลุ่มชูชีพ หาญสวัสดิ์ ที่สังกัดพรรคไทยรักไทยกับกลุ่ม ที่ไม่สังกัดพรรคไทยรักไทย เฉพาะนักการเมืองที่สังกัดพรรค ไทยรักไทยนั้น ผู้วิจัยชี้ว่า สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของการเมือง ระดับชาติ (กลไกของพรรค) ที่มีต่ออิทธิพลท้องถิ่น (นักการเมือง ระดับชาติในจังหวัด/ส.ส.) เหตุที่เป็นดังนี้ คงเป็นด้วยพรรค 17 ภาคภูมิ ฤกขะเมธ. นักการเมืองถ่ินจังหวัดตาก. (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2552). 18 พรชัย เทพปัญญา. นักการเมืองถิ่นจังหวัดปทุมธานี. (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2549). 29
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลำปาง การเมืองมีบทบาทสำคัญในการกำหนดผลแพ้-ชนะในการ เลือกตั้ง อีกชิ้นหนึ่ง พรชัย เทพปัญญา19 ได้ศึกษาจังหวัด สมุทรปราการ โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงแรก ระหว่าง หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475-2512 ช่วงที่สอง ระหว่างหลังการเปลี่ยนแปลง 14 ตุลาคม 2516-2539 และช่วงที่ สาม เรียกว่ายุคปฏิรูปทางการเมือง เริ่มเมื่อมีการใช้รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 จนถึง พ.ศ.2548 ผลการศึกษาพบว่า ในช่วงแรกบทบาททางการเมืองจำกัดอยู่ใน หมู่นักการเมืองที่มีฐานแคบๆ อยู่ในท้องถิ่น และการแข่งขัน ก็เป็นไปในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน ยิ่งไปกว่านี้ พรรคมิได้มีบทบาทชี้ขาดชัยชนะในการเลือกตั้ง แต่พอมาถึง ช่วงที่สอง การเมืองได้ตกอยู่ในอิทธิพลของตระกูลอัศวเหม โดย มีนายวัฒนา อัศวเหมเป็นผู้นำและการเมืองของกลุ่มนี้ก็อาศัย ฐานอำนาจของบุคคล มิใช่พรรคการเมือง ส่วนในช่วงที่สาม กลับพบว่า ระบบทุนใหม่ซึ่งก็รวมถึงอิทธิพลของการเมืองระดับ ชาติ อย่างบทบาทของพรรคไทยรักไทยนับว่ามีส่วนต่อการ เปลี่ยนแปลงทางการเมืองในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ นั่นก็ คือว่า อิทธิพลของตระกูลอัศวเหมลดลงและจำกัดเฉพาะแต่ การเมืองระดับท้องถิ่น 19 พรชัย เทพปัญญา. นักการเมืองถิ่นจังหวัดสมุทรปราการ. (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2548). 30
กรอบทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และชิ้นสุดท้าย พรชัย เทพปัญญา20 ได้ศึกษา นักการเมืองถิ่นจังหวัดชลบุรี ครอบคลุมตั้งแต่การเลือกตั้ง ครั้งแรก พ.ศ.2476 จนมาถึงการเลือกตั้ง พ.ศ.2551 ทั้งนี้ ผู้ศึกษามุ่งวิเคราะห์อัตประวัติของนักการเมืองรวมทั้งสิ้น 45 คน สำหรับประเด็นการศึกษาจะเน้นภูมิหลังทางเศรษฐกิจ-สังคม ของผู้สมัคร (Socio-economic background) แรงจูงใจในการลง สมัครรับเลือกตั้ง ฐานอำนาจ การวางเครือข่ายทางการเมือง รวมทั้งยุทธวิธีการหาเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยที่ผู้ศึกษา ได้อาศัยการวิจัยเชิงคุณภาพคือ รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล จากเอกสารและการสัมภาษณ์ ผลการศึกษาพบว่า นอกจาก การเลือกตั้งครั้งล่าสุด (2551) ซึ่งพรรคการเมืองเป็นปัจจัย สำคัญในการชี้ขาดผลชนะ-แพ้ในการเลือกตั้งแล้ว ในการ เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาก่อนหน้านั้น ปัจจัยด้านบุคคล ซึ่งหมายถึง บุคลิกลักษณะ รวมทั้งฐานอำนาจและเครือข่ายทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นระบบเครือญาติ ระบบอุปถัมภ์ซึ่งดำเนินการผ่าน ช่องทางสังคมและการเมือง อย่างกลไกการเมืองการปกครอง ท้องถิ่น นับว่ามีส่วนกำหนดผลชนะ-แพ้ที่สำคัญยิ่งกว่าปัจจัย พรรคการเมือง อย่างไรก็ดี โดยภาพรวม ส.ส.ชลบุรีตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน (2551) ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่อยู่ในกลุ่ม ชนชั้นนำของจังหวัด นั่นก็คือ เป็นบุคคลที่มีสถานภาพทาง เศรษฐกิจและสังคมที่สงู อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักของผู้คนทั้งจังหวัด 20 พรชัย เทพปัญญา. นักการเมืองถ่ินจังหวัดชลบุรี. (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2552). 31
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลำปาง ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เห็นได้ว่าจากงานศึกษา ของพิชญ์ สมพอง ในจังหวัดยโสธรระหว่างช่วง พ.ศ.2515-2549 โดยนำกรณีสำคัญมาศึกษาวิเคราะห์ 12 กรณี จากการศึกษา พบว่า นักการเมืองถิ่นจังหวัดยโสธรประกอบไปด้วย 1) กลุ่ม นักสื่อสารมวลชน 2) กลุ่มครู อาจารย์ ข้าราชการเก่า และ นักกฎหมาย และ 3) กลุ่มนักการเมืองท้องถิ่น และนักธุรกิจ ทั้งนี้ กลุ่มทั้ง 3 ได้อาศัยเครือข่าย ทั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนท้องถิ่น กลุ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและกลุ่ม ผลประโยชน์ทางสังคมและกลุ่มวัฒนธรรมย่างกลุ่ม อสม., อปพร. และเครือข่ายสายวัดเป็นฐานในการเข้าสู่อำนาจ ทางการเมือง นอกเหนือไปจากการอาศัยฐานพรรคการเมือง ซึ่งนักการเมืองของจังหวัดมักโยกย้ายพรรคไปมา สำหรับ กลยุทธในการหาเสียง ก็ปรากฏมีทั้งการปราศรัย การช่วยเหลือ อุปถัมภ์ในรูปแบบต่างๆ การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม- วัฒนธรรม รวมทั้งการลงพื้นที่พบปะประชาชน21 อีกชิ้นหนึ่งเป็นของไชยวุฒิ มนตรักษ์ ที่ศึกษาจังหวัดเลย ครอบคลุมระหว่างการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งแรก พ.ศ.2476 จนถึงการเลือกตั้งครั้งที่ 21 พ.ศ.2548 ผลการศึกษาพบว่า ทางด้านภูมิหลังทางเศรษฐกิจ-สังคม นักการเมืองถิ่นของจังหวัดเลยโดยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ส่วนเพศหญิงนั่นมีจำนวนน้อยมาก คิดเป็นร้อยละ 16 ทางด้าน อาชีพ ก็พบว่า ส่วนใหญ่มาจากผู้ประกอบอาชีพนักธุรกิจและ 21 พิชญ์ สมพอง. นักการเมืองถ่ินจังหวัดยโสธร. (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2551). 32
กรอบทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ที่รองลงมาก็คือ อาชีพข้าราชการ ที่น่าสนใจ งานศึกษาชิ้นนี้ ชี้ว่า โดยภาพรวมกลุ่มนักการเมืองถิ่นที่มีบทบาทมาอย่าง ต่อเนื่อง มักเป็นกลุ่มที่มีรากฐานทางธุรกิจในจังหวัดซึ่งก็มักจะ มียุทธวิธีในการดำเนินงานทางการเมืองโดยอาศัยเงินทุน ระบบ หัวคะแนน รวมทั้งอาศัยกลไกราชการในตอนหลัง ประกอบ ไปกบั อาศยั วธิ อี น่ื อยา่ งการปราศรยั และการสอ่ื สารรปู แบบอน่ื ๆ22 ภาคสุดท้ายคือ ภาคใต้ตอนบนและตอนล่าง ภาคใต้ ตอนบน เห็นได้จากงานศึกษาของณรงค์ บุญสวยขวัญ ใน จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยแบ่งช่วงเวลาออกเป็น 3 ช่วงคือ ช่วงแรก พ.ศ.2475-2500 ยุคเทคนิควิธีการหาเสียง ช่วงที่สอง พ.ศ.2500-2535 ยุคสถาปนาพรรคประชาธิปัตย์ และยุคที่ 3 หลัง พ.ศ.2535 ยุคการจรรโลงประชาธิปไตยและยุคจรรโลง ความเป็นประชาธิปัตย์ในนครศรีธรรมราช จากการศึกษา โดยอาศัยการสัมภาษณ์และประมวลเอกสารจากเอกสารทั้ง ชั้นต้นและชั้นรอง พบว่า นักการเมืองถิ่นคนสำคัญของ นครศรีธรรมราชแต่ละยุค ซึ่งผู้วิจัยเลือกนำเสนอ 8 กรณีด้วยกัน ทั้งนี้ ในยุคแรก เริ่มจากลักษณะการแข่งแบบบุคคลต่อบุคคล แล้วจึงเปลี่ยนมาเป็นบุคคลที่สังกัดพรรครัฐบาลกับพรรคที่มิใช่ รัฐบาล ยุคนี้นักการเมืองได้อาศัยเทคนิคการหาเสียงที่จะ กระตุ้นความสนใจของผู้ลงคะแนนเสียง ยุคต่อมา เป็นรูปแบบ การปราศรัยหาเสียง ที่เป็นการโจมตีฝ่ายตรงข้ามในช่วงเลือกตั้ง และสร้างตนเองให้เป็น “ดาวสภา” ในช่วงทำหน้าที่ในรัฐสภา 22 ไชยวุฒิ มนตรักษ์. นักการเมืองถ่ินจังหวัดเลย. (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2551). 33
นักการเมืองถ่ินจังหวัดลำปาง พร้อมไปกับการดึงงบประมาณเข้ามาพัฒนาจังหวัดผ่าน โครงการต่างๆ รวมทั้งการวางเครือข่ายราชการให้เชื่อมต่อกับ เครือข่ายของตนเอง ยิ่งไปกว่านี้ยังพยายามสร้างภาพให้เห็นว่า นักการเมืองและพรรคเป็นฝ่ายเชิดชูระบอบประชาธิปไตย ส่วนยุคสุดท้าย ในยุคนี้พรรคประชาธิปัตย์มีความเป็นเอกภาพ ของผู้สมัครรับเลือกตั้ง นั่นก็คือ ฝ่ายที่เคยต่อสู้กันมาก่อนต่างก็ ถูกดึงให้มาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ อันมีผลให้การหาเสียง ด้วยการปราศรัยที่เน้นความรุนแรง/ดุดันลดลง และหันไปสร้าง เครือข่ายทางการเมืองกับนักการเมืองระดับท้องถิ่น23 และภาคใต้ตอนล่างคืองานของบูฆอรี ยีหมะ ศึกษา จังหวัดปัตตานี โดยดูปฎิสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างทาง เศรษฐกิจ-สังคมและการเมืองของพื้นที่ที่ศึกษา (ปัตตานี) กับ ผู้กระทำ (actors) ซึ่งก็คือนักการเมืองที่ทำการแข่งขันกันในการ เลือกตั้งแต่ละครั้ง ทั้งนี้ผู้ศึกษาได้แบ่งออกเป็น 3 ยุคด้วยกัน คือ ยุคแรก ระหว่าง พ.ศ.2476-2528 ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่าง ตระกูลอดีตเจ้าเมืองกับตระกูลนักการศาสนาและเครือข่าย ยุคที่สองระหว่าง พ.ศ.2529-2547 อันเป็นยุคของการก่อตั้ง กลุ่มการเมืองต่างๆ เอาไว้เป็นเครื่องมือ/กลไกต่อรองกับ พรรคการเมืองและอาศัยเป็นกลยุทธหรือในการแข่งขันทาง การเมืองในช่วงเลือกตั้ง เช่น กลุ่มวะดะห์และกลุ่มญามาอะฮิ อุลามะฮ์ ปัตตานีดารุสสลาม และยุคปัจจุบัน (2548-ปัจจุบัน) อันเป็นยุคที่ดำรงอยู่ท่ามกลางวิกฤต 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 23 ณรงค์ บุญสวยขวัญ. นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครศรีธรรมราช. (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2549). 34
กรอบทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง อันมีผลให้เกิดนักการเมืองรุ่นใหม่ ที่อาศัยฐานของพรรค ฝ่ายค้าน (พรรคประชาธิปัตย์) สร้างคะแนนนิยมจนชนะผู้สมัคร รับเลือกตั้งจากพรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นฝ่ายรัฐบาล แต่ถูก ประชาชนในพื้นที่ปฎิเสธนโยบายที่มีผลต่อพวกเขา24 24 บูฆอรี ยีหมะ. นักการเมืองถ่ินจังหวัดปัตตานี. (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2549). 35
บ3ทท ่ี สภาพทั่วไปของ จังหวัดลำปาง จังหวัดลำปาง เป็นจังหวัดที่มีอายุเก่าแก่ไม่น้อยกว่า 1,300 ปี มีชื่อเรียกขานกันหลายชื่อ ซึ่งปรากฏหลักฐานตาม ตำนานต่างๆ รวม 11 ชื่อได้แก่ กุกกุฏนคร ลัมภกับปะนคร ศรีนครชัย นครเวียงคอกววั เวียงดนิ เขลางค์นคร นครลำปางคำ เขลางค์ อาลัมภางค์ เมืองลคร และเมืองนครลำปาง จากการที่ เรียกขานกันว่า “กุกกุฏนคร” แปลว่าเมืองไก่ดังนั้นตราประจำ จังหวัดลำปางคือ “ไก่ขาว” จังหวัดลำปาง สร้างเมื่อ พ.ศ.1223 จากหนังสือพงศาวดารโยนกกล่าวว่า “สุพรหมฤาษี” สร้าง เมืองเพื่อให้เจ้าอนันตยศ โอรสพระนางจามเทวี ครองคู่กับ เมืองหริภุญชัย (ลำพูน) ให้ชื่อเมืองว่า “นครเขลางค์” ต่อมา เปลี่ยนเป็น “นครอัมภางค์” และเปลี่ยนชื่อเป็น “นครลำปาง” ในภายหลัง ในสมัยโยนกเชียงแสนนครลำปางเคยตกอยู ่ ภายใต้อำนาจของขอมเคยเป็นเมืองประเทศราชของพม่าและ เมืองเชียงใหม่ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี “เจ้าทิพย์ช้าง”
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183