Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 36นักการเมืองถิ่นจันทบุรี

36นักการเมืองถิ่นจันทบุรี

Description: เล่มที่36นักการเมืองถิ่นจันทบุรี

Search

Read the Text Version

นักการเมืองถ่ินจังหวัดจันทบุรี ตน และรายงานต่อผู้สมัครเพื่อดำเนินการต่อไปอีก เช่น กรณีที่ มีคู่แข่งแอบทำลายแผ่นป้ายหาเสียง หรือแอบให้ร้ายป้ายสี หัวคะแนนในพื้นที่ก็จะทำหน้าที่ดูแล และแก้ต่างให้ โดยเฉพาะ ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับสถานการณ์การหาเสียงหรือกิจกรรมและ แผนการของคู่แข่งที่หัวคะแนนเข้ามายังศูนย์การเลือกตั้ง จะช่วยให้ฝ่ายวางแผนของผู้สมัครกำหนดได้อย่างถูกต้องว่า ควรจะใช้ยุทธวิธีอย่างไร ควรจะให้ผู้สมัครออกไปพบปะ ปราศรัยหรือแจกของแก่ชาวบ้านที่จุดใด เมื่อไร โดยหัวคะแนน จะทำหน้าที่ประสานงานในหมู่บ้าน เช่น ออกติดแผ่นปลิว แจกบัตรเล็กในหมู่บ้าน ในตำบล เป็นการปูทางก่อน หรือ ในบางพื้นที่หัวคะแนนอาจจัดกลุ่มของตนออกช่วยเหลือ เพื่อนบ้านในกิจกรรม เช่น การลงแขก ถางป่า ไถนา หรือ บริการเอารถไปแจกน้ำแก่ชาวบ้านยามหน้าแล้ง สิ่งที่นิยมทำ กันมาก คือการให้บริการรถขนศพแก่ชาวบ้านซึ่งหัวคะแนนของ ผู้สมัครสามารถอ้างได้ตลอดเวลาว่าเป็นเรื่องของการทำบุญ ทำกุศล ฯลฯ เมื่อมีการปราศรัยหัวคะแนนก็อาจทำหน้าที่ผู้นำ ในการปราศรัยหรือโฆษณาประจำเวที ส่วนในกรณีที่มีการแจก ของแก่ชาวบ้านหัวคะแนนจะเป็นกลไกสำคัญในการนำสิ่งของ ดังกล่าวไปแจก เพราะคือโอกาสที่จะกล่าวย้ำกับชาวบ้านว่า ผู้สมัครที่ตนสนับสนุนคือใคร บทบาทของหัวคะแนนมีสูงสุดในวัน สุดท้าย คือ วันเลือกตั้ง เริ่มตั้งแต่การจัดพาหนะรับส่งคนไปลง คะแนน การคุมคนในความรับผิดชอบของตนไปลงคะแนน ซึ่งจะต้องมีการวางแผนไว้อย่างดีในเรื่องจำนวนรถ เรือ คนขับ เขตรับผิดชอบ จุดนัดพบเพื่อแจกเงิน ฯลฯ โดยจะต้องพยายาม 38

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง ทำให้ครบทุกหน่วยเลือกตั้ง หากทำไม่ได้ก็ต้องเลือกเอาเฉพาะ หน่วยเลือกตั้งใหญ่ๆ หัวคะแนนจะตรวจสอบว่ามีคนไป ลงคะแนนตรงตามบัญชีที่ได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้า โดยระบุอย่าง ชัดเจนว่าหัวคะแนนแต่ละคนรับผิดชอบกี่คน กี่ครอบครัว และ จะนำจำนวนคนอย่างน้อยที่สุดเท่าไร ไปลงคะแนน ในกรณีที่ ชาวบ้านที่ตนดูแลรับผิดชอบยังไม่ออกมาใช้สิทธิ หรือในกรณี จำนวนผู้มาใช้สิทธิทั้งหมดในหน่วยเลือกตั้งยังต่ำอยู่มาก หัวคะแนนก็จะต้องตรวจสอบการขานคะแนนตรวจดูความ ถูกต้องเรื่องการนับบัตรดีบัตรเสีย การกรอกคะแนน การรวม คะแนน ฯลฯ อย่างละเอียด และจะค้านทันทีเมื่อมีข้อผิดพลาด เกิดขึ้น จากนั้นก็จะรายงานการลงคะแนนในหน่วยดังกล่าวต่อ ศูนย์อำนวยการเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งต่อไป ความสัมพันธ์ระหว่างหัวคะแนนระดับ ล่างๆ เป็นส่วนที่มีบทบาทสูงในการ “แปรเสียงให้เป็นคะแนน” กับตัวผู้สมัคร เป็นไปในลักษณะที่ไม่แน่นแฟ้น หรือลึกซึ้งมาก คือ จะเป็นความสัมพันธ์ที่ผ่านตัวหัวคะแนนหลักหรือหัวคะแนน รอง โดยมีค่าตอบแทนแต่ละคราวๆ เป็นตัวกำหนด ซึ่งอาจจะ เกิดขึ้นได้ในกรณีที่ผู้สมัครฝ่ายตรงกันข้ามใช้วิธีการตั้ง เป้าคะแนนเป็นสัดส่วนกับเงินตอบแทน เช่น ถ้าหัวคะแนน ทำคะแนนได้เท่านี้ หัวคะแนนจะได้ค่าตอบแทน 30,000 บาท ถ้าสูงขึ้นไปอีกจะได้ 40,000 บาท ฯลฯ เพราะจะทำให้ หัวคะแนนไปหาผู้สมัครที่ร่ำรวยกว่า ในขณะเดียวกันที่ต้อง อาศัยหัวคะแนนระดับรองๆ ลงไปในทุกขั้นตอนของการหาเสียง ทางฝ่ายผู้สมัครต้องพยายามหามาตรการเพื่อให้แน่ใจว่า หัวคะแนนในระดับล่างๆ ของตนจะไม่เห็นประโยชน์ของคู่แข่ง 39

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี ดีกว่าตน โดยเฉพาะเมื่อได้รับข้อเสนอเรื่องผลประโยชน์สูงกว่า เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องมีการติดตามประเมินผลการทำงาน ของหัวคะแนนในระดับนี้บ้าง เช่น ทางผู้สมัครอาจใช้วิธีส่งคน ของตนเข้าไปติดตามดูแลผลงานการทำงานของหัวคะแนนใน หมู่บ้านที่สุ่มตัวอย่างมา หรือเลือกหมู่บ้านที่มีปัญหาโดยลอง เข้าไปดูว่ามีการทำงานประชาสัมพันธ์ มีการชักจูงชาวบ้าน อย่างไรบ้างหรือไม่ มีการแจกจ่ายเงินทองตามที่ตกลงกันไว้ อย่างไรหรือไม่ หรือไม่ก็อาจใช้วิธีการรับฟังจากชาวบ้าน ที่เข้ามาหาที่ศูนย์เอง เพราะถ้ามีชาวบ้านมาหาผู้สมัครที่ศูนย์ พร้อมกับข้อเสนอว่าจะเป็นหัวคะแนนให้ แสดงว่าหัวคะแนน ของตนไม่ได้ทำงานตามที่ตกลงกันไว้ หรืออาจยังไม่ได้เริ่มงาน (ซึ่งอาจเป็นกลยุทธ์การทำงานของหัวคะแนนนั้นๆ เองก็ได้) ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาพรรคการเมืองบางครั้งใช้วิธีการให้ หัวคะแนนนำเงินไปแจกชาวบ้านเป็นคนชุดหนึ่ง จากนั้นจึงให้มี คนอีกชุดหนึ่งเข้าไปตรวจสอบดูการจ่ายเงินว่ามีการจ่ายให้แก่ ชาวบ้านจริงหรือไม่ หรือถ้ามีคู่แข่งมาแจกในอัตราที่เท่ากันหรือ มากกว่าก็จะมีการแจกเพิ่มในอัตราที่สูงกว่า เป็นต้น นอกจาก การตรวจสอบการทำงานของหัวคะแนนโดยทางอ้อมแล้ว ผู้สมัครบางคนอาจใช้วิธีการที่กระทำกันอย่างเข้มงวดกว่ากับ การชำระเงินค่าจ้าง ซึ่งในกรณีนี้ ถ้าหัวคะแนนสามารถ ระดมคะแนนเสียงได้ตรงเป้าในหน่วยเลือกตั้งนั้นๆ ก็เป็นอันว่า ยกเลิกสัญญาไป แต่ถ้าหัวคะแนนไม่สามารถระดมคะแนนเสียง ได้ตามเป้าหมายก็แสดงว่าหัวคะแนนผิดสัญญา ผู้สมัครก็อาจ ฟ้องร้องเอาตามสัญญาข้อตกลงทางกฎหมายที่ได้ตกลงกัน (อัมมาร สยามวาลา และคณะ, 2535, หน้า 97-98) 40

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง ความรับผิดชอบในเรื่องการจัดตั้งระบบ หัวคะแนน เป็นความรับผิดชอบส่วนตัวของผู้สมัครทั้งสิ้น ยกเว้นในบ้างพื้นที่ที่ประชาชนมีความตื่นตัวทางการเมืองสูง และยอมรับระบบพรรค การสนับสนุนหรือความสัมพันธ์ที่มีอยู่ ระหว่างผู้สมัครและหัวคะแนนเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ไม่ใช่เรื่อง ของพรรคการเมือง จึงเห็นได้ว่าหากผู้สมัครประเภทตัวประกอบ ในทีมที่เกิดอยากจะรณรงค์หาเสียงอย่างจริงจัง ผู้สมัคร ประเภทตัวจริงก็จะพยายามกีดกันไม่ให้หัวคะแนนของตน ประสานงานกับหัวคะแนนของผู้สมัครประเภทตัวประกอบ นั่นคือ แม้ว่า ส.ส. จะพยายามให้ระบบหัวคะแนนที่ตนเอง ได้จัดตั้งขึ้นนั้นเป็นระบบที่ถาวร มีการรวมกลุ่มที่มีความผูกพัน กันอย่างแน่นแฟ้นต่อไป แต่ก็มุ่งจำกัดให้ระบบนี้เป็นเพียงแค่ องค์กรระดับเล็กๆ ที่มีตนเองเป็นศูนย์กลางเท่านั้น มิได้มีความ มุ่งหวังมั่นที่จะให้องค์กรดังกล่าวเป็นของพรรคการเมืองแต่ อย่างไร สำหรับการสร้างระบบหัวคะแนนที่ถาวรขึ้นในระดับ ล่างหรือการเปลี่ยนสถานะของ “หัวคะแนน” ไปเป็น “แกนนำ” ประจำตำบลหรือหมู่บ้าน ขึ้นอยู่กับการขยายความสัมพันธ์แบบ อุปถัมภ์เกื้อกูลกันให้คงดำเนินอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งในช่วงเวลา ปกติที่ไม่มีการหาเสียงเลือกตั้ง 2.2.4.2 พรรคการเมอื งกบั การรณรงคห์ าเสยี ง ลักษณะการรณรงค์หาเสียงต้องอาศัย บทบาทของหัวคะแนนในท้องถิ่นเป็นหลัก โดยมีจุดศูนย์กลาง อยู่ที่ตัวผู้สมัครแต่ละคน จะสะท้อนว่า พรรคการเมืองส่วนใหญ่ มีบทบาทน้อยมากในการเลือกตั้ง ในการคัดคนเข้ารับสมัครรับ 41

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี เลือกตั้งในนามของพรรคการเมืองนั้น พรรคการเมืองทั้งหลาย ต่างมุ่งไปที่คนที่มีโอกาสจะชนะการเลือกตั้งมากที่สุด ได้แก่ ส.ส. (ผู้พิสูจน์แล้วว่ามีคะแนนนิยมอยู่ในระดับสูง) คนที่มีชื่อ เสียงเป็นที่ยอมรับในชุมชน หรือมีตำแหน่งหน้าที่ เช่น เป็น นายกเทศมนตรี สมาชิกสภาเทศบาล สมาชิกสภาจังหวัด อยู่ก่อน หรือเป็น คณบดี นายแพทย์ ฯลฯ โดยไม่ต้องคำนึงว่า บุคคลดังกล่าวเป็นคนอย่างไร ทำคุณประโยชน์หรือจะสร้าง ปัญหาให้แก่พรรคของหลายๆ พรรคที่จะดึงตัวอดีต ส.ส. ทั้งหลายมาเข้าพรรคของตน แม้ว่าจะหมายถึงการขับไล่ผู้สมัคร เก่าของพรรคก็ตาม หรือถ้าหากพรรคจะมีผู้สมัครหน้าใหม ่ มาลงสมัครเป็นผู้สมัครตัวจริง ผู้สมัครดังกล่าวก็ล้วนแล้วแต่ เป็นคนมั่งมีอย่างสูงทั้งสิ้น อดีต ส.ส. ส่วนใหญ่เข้าใจสถานภาพ ของตนเอง และมักจะเลือกร่วมกับพรรคการเมืองที่ให้ข้อเสนอที่ ดีที่สุดแก่ตน โดยไม่คำนึงถึงนโยบายพรรคเท่าใดนัก ส่วนใหญ่ แล้วอดีต ส.ส. มักจะให้เหตุผลในการย้ายพรรคว่าเป็นไปตาม ความเรียกร้องของประชาชน หรือเพื่อว่าตนจะได้สามารถ ช่วยเหลือประชาชนได้มากขึ้น เนื่องจากพรรคที่ย้ายมาเข้าสังกัด เป็นพรรคใหญ่ และโดยปกติแล้วพรรคการเมืองที่มีแนวโน้มว่า จะได้เป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุด หรือเป็นพรรคที่ผู้คนเชื่อกันว่าจะได้ รับเลือกตั้งมากที่สุด จะสามารถดึงดูดผู้สมัครมาเข้าด้วย มากที่สุด หลังเหตุการณ์ยุบสภาทุกครั้ง พรรค การเมืองมีทางเลือกที่จะเติบโตอย่างช้าๆ โดยคัดเอาเฉพาะผู้ที่ มีคุณภาพ มีอุดมการณ์ร่วมกันลงสมัครรับเลือกตั้ง หรือจะ เติบโตอย่างรวดเร็วโดยหวังผลประโยชน์ทางการเมือง 42

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง เฉพาะหน้าเป็นหลัก พรรคการเมืองไทยมักจะเลือกการเจริญ เติบโตอย่างรวดเร็วโดยมุ่งหวังผลทางการเมืองระยะสั้นแทน โอกาสที่จะเกิดความไม่ลงรอยกันภายในพรรคหลังจากเสร็จสิ้น การเลือกตั้งย่อมมีมาก ในบางกรณีอาจเกิดความขัดแย้งขึ้น อย่างรุนแรงก่อนที่จะมีการเลือกตั้งก็ได้ พรรคการเมือง ส่วนใหญ่มักจะให้โอกาส ส.ส. เดิมของตนในท้องที่ มีส่วนใน การจัดตั้งทีมผู้สมัครหรือคัดเลือกผู้สมัคร เป็นไปได้ว่าแทนที่จะ ดึงเอาคนดีมีชื่อเสียงเข้ามา ส.ส.เดิม อาจพยายามผลักดัน พรรคพวกของตนซึ่งไม่ดีหรือไม่มีชื่อเสียงเข้ามา หรือถ้าหากว่า ส.ส.เดิมไม่แน่ใจในบารมีของตน แทนที่จะพยายามสรรหาคนที่ ดีมีชื่อเสียงมาร่วมทีม ส.ส.เดิม อาจจะกีดกันไม่ให้คนดีที่ม ี ชื่อเสียงมาร่วมทีมด้วย เพราะเกรงว่าจะมาตัดคะแนนและทำให้ ตนเองแพ้การเลือกตั้งไป แม้ว่าพรรคการเมืองจะมีกลไกในการ ตรวจสอบคุณภาพของบุคคล แต่ด้วยความที่พรรคการเมือง ปรารถนาจะเป็นพรรคใหญ่เพื่อมีอำนาจต่อรองในการเข้าร่วม รัฐบาลมาก ก็จะต้องเลือกเข้าข้าง ส.ส. เก่ามากกว่า ถึงแม้ว่า ผู้สมัครใหม่จะเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติดีพร้อม อย่างไรก็ตามผู้สมัคร หน้าใหม่จะมีโอกาสได้รับคัดเลือกเป็นผู้สมัครตัวจริงในนามของ พรรคการเมืองที่ตนประสงค์และในเขตเลือกตั้งที่ตนต้องการ ก็ต่อเมื่อเป็นนายทุนที่พรรค หรือ ส.ส.เดิมต้องการการสนับสนุน หรือเป็นผู้สมัครที่พรรคเชื่อในบารมีว่าสามารถทำให้ลูกทีมชนะ แบบยกทีม หรือเมื่อ ส.ส.เดิมปรารถนาจะขยายฐานของตน ภายในพรรคด้วย การมีกลุ่ม ส.ส.ในสังกัดเพิ่มขึ้น นอกจาก กรณีดังกล่าว ถ้าผู้สมัครหน้าใหม่คนใดได้รับโอกาสจากพรรค ของตนให้ลงสมัคร และจัดตั้งทีมผู้สมัครได้เองในเขตเลือกตั้งใด 43

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี หมายความว่า ทางพรรคเองไมได้หวังว่าจะชนะเลือกตั้งในเขต นั้น (ลิขิต ธีรเวคิน, 2543, หน้า 460-467) ข้อจำกัดประการที่สำคัญที่ทำให้พรรค การเมืองต้องมุ่งรักษาผู้สมัครที่เป็น ส.ส.เดิมไว้ หรือพยายาม แย่งตัวผู้สมัครที่มีโอกาสมากที่สุดว่าจะชนะการเลือกตั้งมาเข้า พรรค เนื่องจากพรรคการเมืองทุกพรรคมีเงินทุนสำหรับ การเลือกตั้งจำกัด และโดยปกติแล้วพรรคการเมืองจะไม่ทุ่ม เงินทุนในการรณรงค์หาเสียงให้แก่ผู้สมัครที่ไม่มีเงินทุนทรัพย์ เป็นของตนเอง แม้เป็นคนดีครบถ้วน หรือแม้ว่าจะมีทุนทรัพย์ อยู่บ้างแต่บังเอิญไปอยู่ในเขตเลือกตั้งเดียวกันกับคู่แข่งที่มี ทุนทรัพย์มาก ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ผลลัพธ์ก็จะเหมือนกัน คือมี โอกาสที่จะชนะการเลือกตั้งมากแค่ไหน โดยพิจารณาคุณสมบัติ ของตัวผู้สมัครและความพร้อมด้านทุนทรัพย์ของคู่แข่งในเขต เลือกตั้งนั้นๆ ประกอบด้วยเหตุนี้อดีต ส.ส.จึงมักจะได้รับการ สนับสนุนอย่างเต็มที่ หรืออย่างสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้ เพราะย่อม เชื่อถือได้ว่ามีคะแนนนิยม และมีฐานะอยู่บ้าง การลงทุนของ พรรคจึงไม่สูญเปล่า ส่วนผู้สมัครที่ทางพรรคมีความมั่นใจ ในชัยชนะน้อยมากหรือไม่มีเลย ก็จะได้รับความช่วยเหลือด้าน การเงินน้อยหรือไม่ได้รับเลย ไม่ว่าบุคคลจะมีคุณสมบัติ ส่วนตัวดีอย่างไร นโยบายอาจปรับไปในกรณีที่พรรคการเมือง บางพรรคมีฐานเสียงหนาแน่นมากในพื้นที่ และหัวหน้าทีม ซึ่งเป็น ส.ส.เดิม มีบารมีมากอยู่แล้ว และปรารถนาจะขยาย ฐานเสียงของตนภายในพรรค กล่าวคือ หัวหน้าทีมจะรับ เงินอุดหนุนจากพรรคน้อยกว่าลูกทีมซึ่งตนประสงค์จะ “อุ้ม” เข้าสภา ส่วนผู้สมัครหน้าใหม่ที่มีฐานะคะแนนดีอยู่แล้วจะไม่ได้ 44

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง รับการช่วยเหลือทางด้านการเงินจากพรรคเลย เช่นเดียวกันกับ ผู้สมัครประเภทตัวประกอบในทีม แม้แต่กับผู้สมัครที่พรรค ยินยอมจะสนับสนุนด้านการเงินอย่างเต็มที่ เพราะคาดว่าจะได้ รับชัยชนะ พรรคการเมืองก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีขั้นตอนอยู่บ้าง อย่างน้อยที่สุดก็จะไม่ให้เงินอุดหนุนไปเลยทีเดียวเป็นก้อนใหญ่ เพราะเคยมีกรณีผู้สมัครบางคนรับเงินไปแล้วแต่มิได้หาเสียง อย่างจริงจังกลับนำเงินอุดหนุนจากพรรคไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว จนหมด พรรคการเมืองจึงแก้ปัญหาโดยการให้เงินอุดหนุนแก่ ผู้สมัครเป็นงวดๆ และตรวจสอบว่าผู้สมัครหาเสียงจริงจังหรือไม่ ก่อนที่จะจ่ายงวดต่อๆ ไป แต่สำหรับกรณีของผู้สมัครที่เป็น ส.ส.เดิม และเป็นตัวเกร็งว่าจะชนะเลือกตั้ง ผู้สมัครมีโอกาส มากกว่าพรรคการเมืองที่จะตั้งข้อเรียกร้อง ซึ่งไม่ได้หมายถึง จำนวนเงินเท่านั้น แต่หมายถึงทั้งจำนวนเงินที่ต้องการและการ สั่งจ่ายเป็นเงินสดครั้งเดียว จากทุกกรณีสรุปได้ว่า พรรคการเมืองนั้น ไม่สามารถจะช่วยผู้สมัครได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน ในกรณีของพรรคเล็กๆ บางพรรค ผู้สมัครต้องเข้าไปโอบอุ้ม พรรคในทางการเงิน ดังที่ว่าตำแหน่งเลขาธิการพรรคการเมือง มักจะเป็นตำแหน่งนายทุนพรรคหรือผู้หาเงินให้พรรค นอกจากความช่วยเหลือด้านการเงิน ซึ่งสำคัญที่สุดแล้ว รูปแบบความช่วยเหลือที่พรรคการเมือง ส่วนใหญ่ให้กับผู้สมัคร จะออกมาในรูปแบบของการจัดส่งทีม ปราศรัยอันประกอบด้วย บุคคลในพรรคที่มีความสำคัญระดับ ชาติไปช่วยหาเสียงให้เป็นครั้งคราว นอกจากนั้นก็อาจมีการ 45

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี แจกสติกเกอร์ ใบปลิว และเอกสารหาเสียงของพรรค ให้เอาไป ใช้แจกจ่ายหาเสียงได้ บางพรรคอาจมีกิจกรรมที่พิเศษ เช่น จัดส่งเอกสารช่วยทำงานให้ โดยทางผู้สมัครต้องรับภาระค่า เบี้ยเลี้ยง หรือพรรคอาจช่วยในการประเมินคะแนนเสียงระหว่าง รณรงค์ให้ ชื่อเสียงของพรรคการเมืองบางพรรค ในบางพื้นที่หรือในบางเรื่อง อาจกล่าวได้ว่าผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส่วนใหญ่ไม่ได้หวังพึ่งพรรคการเมืองมากนัก และในบางท้องที่ เมื่อการหาเสียงไม่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ส่วนรวมของพรรค ศูนย์อำนวยการเลือกตั้งก็ไม่สามารถจะดำเนินการให้แนวทาง เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้อาจจะ เนื่องด้วยปัญหาหลายประการ เช่น งบประมาณ ประสิทธิภาพ การทำงาน การขาดอำนาจที่แท้จริง ฯลฯ ผู้สมัครจึงจะต้อง พึ่งตนเองหรือเป็นอิสระจากพรรคอยู่มากในการหาเสียง ในเรื่องนี้ผู้สมัครบางคนหลีกเลี่ยงที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยให้เหตุผลว่าคนกรุงเทพฯ เลือก พรรคมากกว่าบุคคล แต่กระแสความนิยมพรรคมักแปรเปลี่ยน ไปอยู่เรื่อย เพราะฉะนั้นถ้าประสงค์จะเล่นการเมืองนานๆ ก็จะ ต้อง “เกิด” ทางการเมืองในต่างจังหวัดด้วยความสามารถ ของตน ผู้สมัครส่วนใหญ่เชื่อว่าประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งใน ประเทศไทยยังคงเป็นที่บุคคลมากกว่าเลือกพรรค ดังนั้น นโยบายของพรรคจึงไม่มีความสำคัญเท่าใด และไม่มีความ แตกต่างกันมาก นอกจากนี้ นโยบายของพรรคยังสามารถ ยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาเพื่อให้สอดคล้องกับพรรค การเมืองอื่นๆ ที่จะเข้าร่วมรัฐบาลหลังเลือกตั้ง พรรคที่ม ี 46

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง นโยบายเฉพาะตัว เช่น พรรคสังคมนิยม ต้องหายไป ผู้สมัคร จะสังกัดพรรคอะไรก็ได้ขอให้เป็นคนที่ทำให้ประชาชนพอใจ และในการหาเสียงจะมีการพูดถึงนโยบายของพรรคน้อยกว่าที่ พูดถึงตัวบุคคลมาก หากจะมี ส.ส.คนใดพูดถึงพรรคการเมือง หรือเข้ามามีบทบาทในการช่วยรณรงค์หาเสียงให้แก่เพื่อน ร่วมพรรคมากกว่าปกติ เป็นเพราะว่า ส.ส.ผู้นั้นดำรงตำแหน่ง สำคัญในพรรคและในคณะรัฐบาลหรืออยากจะขยายฐาน การเมืองของตนภายในพรรคเพื่อจะได้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ในพรรคและในคณะรัฐบาลต่อไป จึงจำเป็นต้องออกมา ช่วยเหลือ ส.ส. ในเขตความรับผิดชอบของตน หรือในสังกัด ของตน และแม้แต่ในกรณีนี้ก็มักจะปรากฏว่าเฉพาะ ส.ส. ที่มี ฐานทางเศรษฐกิจดีด้วยเท่านั้นที่สามารถ จะทำหน้าที่นี้ได้ดี หาก ส.ส. ที่มีเฉพาะแต่ฐานความนิยมของประชาชนต้องออก มารับหน้าที่นี้แล้ว ในที่สุดก็อาจพบว่าตนเองไม่สามารถรักษา ที่นั่งของตนในสภาไว้ การเน้นวัตถุประสงค์ที่จะเข้าร่วมรัฐบาล โดยการสร้างพรรคให้มีขนาดใหญ่ในระยะเวลาอันสั้นพร้อมกับ การตระหนักถึงขีดความสามารถที่จำกัดในการสนับสนุน ผู้สมัครอย่างพอเพียงและกว้างขวาง (แม้ว่าจะถูกบังคับโดย ข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญให้ส่งผู้สมัคร ส.ส. เกิดความคาดหวัง ที่จะเป็นจริงได้ของทุกพรรค) ทำให้พรรคการเมืองเกือบทุกพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคการเมืองที่เกิดใหม่สามารถจะเป็น อะไรได้มากกว่า “พรรคภูมิภาค” คือเป็นพรรคที่ต้องทุ่ม ทรัพยากรอันจำกัดของตน เพื่อให้ได้รับความนิยมจาก ประชาชนในภาคหนึ่งหรือจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง มากกว่าที่จะ 47

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี เป็นพรรคแห่งชาติที่มีความนิยมจากประชาชนและฐานเสียง ทั่วทุกภาค จึงเป็นจุดอ่อนสำคัญที่เปิดโอกาสให้กลุ่มผู้กุม อำนาจและกลไกรัฐเข้าแทรกแซงเฉพาะพื้นที่เฉพาะพรรค เพื่อ ผลประโยชน์ทางการเมืองหลังการเลือกตั้งได้ ดังปรากฏเป็น ข่าวในการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2535 ซึ่งก็ส่งผลให้ รัฐบาลที่เกิดขึ้นหลังจากการเลือกตั้ง ต้องเป็นรัฐบาลผสมตาม แนวที่กลุ่มดังกล่าวต้องการแทนที่จะเป็นการรวมกลุ่มหรือต่อ รองกันโดยธรรมชาติระหว่างพรรคการเมืองด้วยกันเอง 2.2.5 แนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมการออกเสียง เลอื กต้งั พฤติกรรมเกี่ยวกับการออกเสียงเลือกตั้งของ คนไทยทผ่ี า่ นมาอาจสรปุ ลกั ษณะสำคญั ได้ 5 ประการ ดงั ตอ่ ไปน ้ี 2.2.5.1 การใช้สทิ ธเิ ลือกตงั้ ของประชาชน หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ราษฎรไทยยังขาดความรู้ ความเข้าใจในระบอบ ประชาธิปไตยและประชาชนยังไม่ได้รับความศึกษาอย่าง แพร่หลาย ขณะเดียวกันการสื่อสารที่ยังไม่เจริญก้าวหน้า ทำให้ การแจ้งข่าวสารแก่ราษฎรมีอุปสรรค สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็น ปัจจัยที่ทำให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งน้อย ซึ่งสถิติการ เลือกตั้งที่ผ่านมาปรากฏว่า การเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 ถึงการเลือกตั้งครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2500 มีอัตราเฉลี่ยของการใช้สิทธิเลือกตั้ง ของประชาชนเท่ากับ ร้อยละ 38.70 โดยในการเลือกตั้งครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ.2491 มีผู้ไปใช้สิทธิน้อยที่สุด คือ 48

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ร้อยละ 26.54 ส่วนการเลือกตั้งครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2500 มีผู้ไปใช้สิทธิมากที่สุดถึง ร้อยละ 57.40 และเป็น ครั้งแรกที่ประชาชนชาวไทยไปใช้สิทธิเลือกตั้งเกินกึ่งหนึ่งของ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดแต่การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นที่กล่าวหากัน ว่า “เป็นการเลือกตั้งสกปรก” จนทำให้คณะรัฐบาลของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ต้องถูกรัฐประหารในที่สุด (อัษฎางค์ ปาณิกบุตร, 2544, หน้า 405-406) การเลือกตั้งครั้งที่ 8 ถึงครั้งที่ 12 มีราษฎร ใช้สิทธิเลือกตั้งต่ำกว่าร้อยละ 50 ส่วนการเลือกตั้งครั้งที่ 13 จนถึงครั้งที่ 23 ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้งเกินร้อยละ 50 ถือได้ว่าเป็นแนวโน้มที่ดีขึ้นตลอดมา สิ่งที่น่าพิจารณาเป็นอย่าง ยิ่งคือ การไปใช้สิทธิเลือกตั้งของประชาชนในเขตกรุงเทพฯ ซึ่ง เป็นเมืองที่เจริญที่สุดของประเทศ เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง ทั้งทางเศรษฐกิจ การคมนาคม การเมือง การศึกษา และ วัฒนธรรม เป็นที่รวมของผู้มีฐานะดีและคนมีความรู้เรียกว่าเป็น สมองของประเทศ แต่การไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งของคน ในกรุงเทพฯ ไม่สามารถอธิบายด้วยปัจจัยที่กล่าวมาแล้วใน ตอนต้นได้ ทั้งนี้เพราะประชาชนในเขตกรุงเทพฯ ไปใช้สิทธิ เลือกตั้งน้อยที่สุดถึง 9 ครั้ง และครั้งที่น่าสลดที่สุดในการมี ส่วนร่วมในการปกครองระบอบประชาธิปไตยของคนเมืองหลวง คือการเลือกตั้งครั้งที่ 21 เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2522 ที่มี คนกรุงเทพฯ ไปใช้สิทธิเพียงร้อยละ 19.45 นับว่าเป็น ประวัติศาสตร์การเมืองไทยเรื่องหนึ่ง ปัจจุบันพบว่าแนวโน้ม ของคนกรุงเทพฯที่มาใช้สิทธิเลือกตั้งมีมากขึ้นเห็นได้จากการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2 ครั้ง ล่าสุดที่ประชาชน 49

นักการเมืองถ่ินจังหวัดจันทบุรี ในเขตกรุงเทพฯ มาใช้สิทธิเลือกตั้งถึงร้อยละ 66.66 และร้อยละ 72.37ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (ข้อมูลโดยสำนักกิจการพรรค การเมืองและการออกเสียงประชามติ สำนักงานคณะกรรมการ เลือกตั้ง) พฤติกรรมของการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของคนไทยคือ การเพ่งเล็งที่ตัวบุคคล มากกว่าพรรคการเมือง กล่าวคือ การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้งของคนไทยนิยมเลือกตัวบุคคลมากกว่า พรรคการเมือง การพิจารณาผู้สมัครรับเลือกตั้งของคนไทย จะคำนึงถึงความผูกพันธ์ส่วนตัวและคุณสมบัติเฉพาะตัวของ ผู้สมัครเป็นส่วนใหญ่ โดยแทบจะไม่ได้พิจารณาถึงพรรค การเมืองที่ผู้สมัครนั้นสังกัด(ยกเว้นกรุงเทพมหานคร) ดังจะเห็น ได้จากการที่มีผู้สมัครอิสระไม่สังกัดพรรคการเมืองใดได้รับการ เลือกจำนวนไม่น้อยจากการเลือกตั้งแต่ละครั้งที่ผ่านมา ยกเว้น การเลือกตั้งที่บังคับให้ผู้สมัครต้องสังกัดพรรคการเมือง นอกจากนี้ในการสำรวจผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยกรมการ ปกครองในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2529 ปรากฏว่า ประชาชนส่วนใหญ่ยึดถือตัวบุคคลในการลงคะแนน เสียงมากกว่าจะพิจารณาจากพรรคการเมืองที่ผู้สมัครรับ เลือกตั้งสังกัด โดยผู้อาศัยในเขตชนบทมีแนวโน้มที่จะไปใช้สิทธิ เลือกตั้งโดยพิจารณาจากตัวผู้สมัครมากกว่าผู้อาศัยในเขตเมือง และกรุงเทพมหานคร จากการที่คนในภูมิภาคยังมีแนวโน้ม เลือกตัวบุคคลมากกว่าพรรค จึงส่งผลให้มีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจำนวนไม่น้อยที่ผูกขาดชนะการ เลือกตั้งทั้งๆ ที่มี พฤติกรรมย้ายพรรคจนสับสน ซึ่งหากประชาชนลงคะแนน 50

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง เลือกตามพรรคแล้วก็คงไม่ได้รับการเลือกตั้ง คนไทยไป ลงคะแนนเสียงด้วยความสำนึกว่าเป็นหน้าที่มากกว่า เพื่อ แสดงออกซึ่งการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือควบคุมรัฐบาล หรือ เพื่อให้คนที่ตนพอใจเข้าไปทำงาน คนไทยส่วนใหญ่ยังเห็นว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่หรือบทบาทเพียงเพื่อเป็น ปากเสียงแทนตนเท่านั้น แสดงให้เห็นว่าผู้ลงคะแนนเสียงเห็น ความสำคัญของการเลือกตั้งเช่นกันแต่ไม่มากนัก คือ เห็นว่า เป็นเพียงการเลือกตัวแทนเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการเลือกรัฐบาล การเลือกตั้งจึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกิดจากความรู้สึกว่าตนเอง มีอิทธิพลหรือมีอำนาจหรือมีประสิทธิภาพทางการเมือง (Political Efficiency) ที่จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัว รัฐบาลในนโยบายของรัฐบาล หรือเพื่อให้ผู้ที่ตนพอใจได้รับการ เลือกตั้งเข้าไปทำงาน การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นเพียงเรื่อง ของการปฏิบัติตามหน้าที่ของพลเมือง เมื่อการไปลงคะแนน เป็นเพียงเรื่องของการทำตามหน้าที่ โอกาสที่จะถูกชักจูงไป ลงคะแนนเสียงย่อมเป็นไปได้ง่าย เป็นลักษณะการมีส่วนร่วม ทางการเมืองแบบถูก “ระดม” (Mobilized Participation) (สุจิต บุญบงการ และพรศักดิ์ ผ่องแผ้ว, 2527, หน้า 241-22) 2.2.5.2 พฤตกิ รรมการเลือกตั้งเบย่ี งเบน การเลือกตั้งทั่วไปหรือเลือกตั้งซ่อม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่ละครั้งที่ผ่านมา มีสาเหตุหลาย ประการที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินการเลือกตั้งให้บรรลุผลตาม เจตนารมณ์และหลักเกณฑ์การเลือกตั้ง สาเหตุที่สำคัญ คือ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นจำนวนไม่น้อยที่ได้พยายามทำทุกวิธีทาง 51

นักการเมืองถ่ินจังหวัดจันทบุรี ที่จะเอาชนะการเลือกตั้ง โดยมีพฤติกรรมตามคำพังเพยที่ว่า “ไม่ได้ด้วยเล่ห์เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์เอาด้วยคาถา” จึงทำให้เกิดพฤติกรรมการเลือกตั้งที่ไม่สุจริต หรือเรียกว่า “พฤติกรรมการเลือกตั้งเบี่ยงเบน” โดยพฤติกรรมการเลือกตั้ง เบี่ยงเบนในประเทศไทยมีหลายรูปแบบ ดังต่อไปนี้ (กระมล ทองธรรมชาติ และคณะ, 2518, หน้า 64-70) 1) การใชอ้ ิทธพิ ลของระบบราชการ พรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลหรือมีสมาชิก ของพรรคดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการหรือรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้ง โดยเฉพาะกระทรวง มหาดไทยมีโอกาสใช้อิทธิพลของระบบราชการที่มีขอบข่าย อำนาจโยงใยอยู่ทั่วราชอาณาจักรเพื่อสร้างความได้เปรียบใน การหาเสียงเลือกตั้งให้กับลูกพรรคการเมืองของตนทั้งโดยทาง ตรงและทางอ้อม ซึ่งบางครั้งก็มีการใช้อิทธิพลของระบบ ราชการ บุคลากรและอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ของทาง ราชการ เพื่อให้เกิดความได้เปรียบหรือเสียเปรียบ การเลือกตั้ง ของพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่งหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใด คนหนึ่งโดยไม่สุจริต เพราะข้าราชการในสังกัดกระทรวง มหาดไทย ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัด นายอำเภอ สารวัตรใหญ่ ตำรวจภูธรอำเภอ ปลัดอำเภอ กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน เป็นผู้ที่สามารถบันดาลให้ผู้สมัครรับเลือกตั้ง คนหนึ่งคนใดชนะการเลือกตั้งได้ ดังนั้นพรรคการเมืองต่างๆ จึงต้องการดูแลกำกับกระทรวงมหาดไทยให้ได้ นอกจากนี้ ยังมี กระทรวงอื่นอีกที่พรรคการเมืองที่กำกับดูแลมีโอกาสสร้างความ 52

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ได้เปรียบในการหาเสียงเลือกตั้ง อาทิ กระทรวงศึกษาธิการ ทั้งนี้เพราะกระทรวงศึกษาธิการประกอบด้วยข้าราชการคร ู โดยเฉพาะครูประถมศึกษากระจายอยู่ทั่วประเทศ และในสังคม ไทยนั้น ครูจะได้รับการเคารพนับถือจากประชาชนมาก โดยเฉพาะในสังคมชนบท ครูจึงเป็นผู้มีอิทธิพลในการชี้นำให้ ประชาชนเลือกหรือไม่เลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดคนหนึ่งเป็น อย่างมาก ดังนั้น ครูประถมศึกษาจึงเป็นหัวคะแนนสำคัญ ในการเลือกตั้งแทบทั้งสิ้น และกระทรวงศึกษาธิการยังมีอิทธิพล ต่อการให้เงินอุดหนุนโรงเรียน วัด สุเหร่า สมาคม และมูลนิธิ ต่างๆ จึงทำให้พรรคการเมืองที่กำกับดูแลกระทรวงศึกษาธิการ มีความได้เปรียบในการหาเสียงเลือกตั้งให้กับสมาชิกลูกพรรค ของตน การใช้อิทธิพลของระบบราชการนั้น โดยทั่วไป พรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลหรือพรรคร่วมรัฐบาลจะได้เปรียบ กว่าพรรคการเมืองฝ่ายค้านเพราะข้าราชการฝ่ายปกครอง ตลอดจนข้าราชการประเภทอื่นๆ จะเต็มใจให้การสนับสนุน มากกว่าพรรคการเมืองฝ่ายค้าน จึงทำให้ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ของพรรครัฐบาลได้เปรียบพรรคฝ่ายค้าน 2) กลวธิ กี ารทำลายคูแ่ ข่งขัน กลวิธีการทำลายผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งเป็นผู้แข่งขัน มีตั้งแต่วิธีการฉีกโปสเตอร์หาเสียงเลือกตั้ง ของฝ่ายตรงข้าม การขุดคุ้ยประวัติของคู่ต่อสู้มาประจานใน ความชั่วร้าย เพื่อให้สังคมเกลียดชัง ไม่ว่าจะเป็นเท็จหรือจริง ก็ตาม การจัดหา “มือปืนรับจ้าง” เพื่อฆ่าหัวคะแนนของฝ่าย ตรงข้าม การปาระเบิดในการปราศรัยหาเสียงของฝ่ายตรงข้าม 53

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี แต่ที่เป็นภยันตรายอย่างยิ่งก็คือ การฆ่าผู้สมัครรับเลือกตั้ง ที่เป็นฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเป็นเรื่องที่เลวร้ายสำหรับระบอบ ประชาธิปไตยอย่างมาก เจ้าหน้าที่ของรัฐจึงต้องให้การคุ้มครอง ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นรายบุคคลอย่างมาก โดยถือว่าผู้สมัครรับ เลือกตั้งทุกคนเป็นบุคคลที่สำคัญที่จะต้องให้ความคุ้มครองชีวิต อย่างเต็มที่ การทำลายผู้สมัครรับเลือกตั้งที่นิยมกัน มากในอดีต คือ การกล่าวหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือพรรค การเมืองที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งสังกัดว่ามีพฤติการณ์เป็น คอมมิวนิสต์ เช่น การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ.2519 ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่สังกัดพรรคการเมืองที่มีนโยบายแนว สังคมนิยมร้องทุกข์ว่า ถูกสถานีวิทยุของทางราชการโจมตีว่า เป็นคอมมิวนิสต์ ทำให้พรรคการเมืองที่มีนโยบายแนวสังคม นิยม แพ้การเลือกตั้ง นอกจากนี้การใช้สื่อมวลชนประเภท หนังสือพิมพ์โจมตีผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือพรรคการเมืองก็จะทำ กันทั่วไป ดังนั้น พรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มี หนังสือพิมพ์สนับสนุนย่อมได้เปรียบ พรรคการเมืองใหญ่ๆ จึง ต้องใช้กลวิธีต่างๆ ที่จะได้รับการสนับสนุนจากหนังสือพิมพ์และ เป็นกระบอกเสียงของตนหรือพรรคการเมืองที่ตนสังกัด 3) การใช้เงินซ้ือคะแนนเสียงเลือกตั้ง และสทิ ธิเลือกต้งั นับตั้งแต่ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบ ประชาธิปไตยและจัดให้มีการเลือกตั้ง พบว่า กลวิธีในการให ้ ได้รับคะแนนเสียงโดยการซื้อคะแนนเสียงเป็นที่นิยมกันอย่าง 54

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง แพร่หลาย โดยเฉพาะการจ่ายเงินให้แก่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง เป็นรายบุคคล จนกลายเป็นวิธีหลักเพื่อให้ชนะการเลือกตั้ง ในสังคมไทย และเป็นประเพณีในเทศกาลการเลือกตั้งของ ผู้สมัครรับเลือกตั้งและประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง กล่าวได้ว่าแทบจะไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยปราศจากการ ซื้อสิทธิขายเสียง ดังนั้น การเลือกตั้งของประเทศไทยจึงมีการใช้ เงินซื้อคะแนนเสียงเลือกตั้งด้วยกลวิธีต่างๆ อาทิ การเลือกตั้ง ทั่วไปครั้งที่ 18 เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2538 และครั้งที่ 19 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2539 ซึ่งหนังสือพิมพ์รายวัน แทบทุกฉบับได้นำพฤติกรรมที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งได้จ่ายเงินให้ ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเพื่อผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ลงคะแนนเสียงให้แก่ตนโดยมิชอบมาตีแผ่ต่อสาธารณชน ส่วน การซอ้ื ขายคะแนนเสยี งกม็ วี ธิ กี ารทแ่ี ยบยลและขน้ั ตอนทซ่ี บั ซอ้ น เช่น “วิธีตกเขียวคะแนน” เป็นการหาเสียงคล้ายๆ กับการหว่าน พืชหวังผล โดยมีข้อผูกมัดระหว่างผู้สมัครรับเลือกตั้งและผู้มี สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง “ขบวนการลากพาและการยิงกระสุน” เป็นการร่วมมือระหว่างบุคคลหลายกลุ่มที่มีความเกี่ยวเนื่องกับ กิจกรรมการเลือกตั้งในแต่ละขั้นตอนอย่างเป็นกระบวนการ เป็นต้น และนอกจากการซื้อขายเสียงเลือกตั้งแล้วยังมีการขาย สิทธิเลือกตั้งโดยการซื้อขายบัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งเป็น กลยุทธ์ที่จะนำไปสู่การใช้เทคนิคการโกงการเลือกตั้งด้วยวิธีการ ต่างๆ พฤติกรรมการเลือกตั้งเบี่ยงเบนล้วนแต่ เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการปกครองระบอบประชาธิปไตย ของประเทศไทยเป็นอย่างมาก ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว 55

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี จึงต้องปฏิรูปการเมืองไทยเพื่อให้พฤติกรรมการเลือกตั้งเบี่ยง เบนหมดหรือลดน้อยลง 2.2.5.3 กลวธิ โี กงการเลอื กตัง้ การโกงการเลือกตั้งเป็นพฤติกรรมการ เลือกตั้งเบี่ยงเบน โดยทัศนะของนักวิชาการและผู้สนใจ การเมืองที่อยู่นอกเวทีการแข่งขันทางการเมืองเห็นว่า เป็นการ กระทำที่มิชอบ แต่นักการเมือง และหัวคะแนนที่เข้าร่วมในการ รณรงค์หาเสียงกลับเห็นว่า การทุจริตในการเลือกตั้งเป็นเพียง กฎเกณฑ์ของการแข่งขัน (Rule of Political Game) (ไพฑูรย์ บุญวัฒน์, 2538, หน้า 27) ที่ต้องป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้าม สามารถใช้เทคนิคการโกงได้แต่ถ้ามีโอกาสก็พร้อมที่จะทุจริต และใช้วิธีการทุกอย่างเพื่อให้ได้คะแนนสนับสนุน ถึงแม้ว่า การกระทำนั้นอาจจะผิดกฎหมาย ถ้าคู่แข่งจับได้ก็หมายความ ว่ายังมีจุดอ่อนในเรื่องไหวพริบ ไม่ทันเกม หรือรายละเอียด รอบคอบไม่เพียงพอ และกฎหมายอาจเป็นเพียงแค่ข้อกำหนด ที่ทางราชการวางไว้ แต่ไม่มีผลในทางปฏิบัติ นักการเมืองและ หัวคะแนนจึงเห็นว่าการโกงการเลือกตั้งเป็นเรื่องธรรมดาและ จะต้องต่อสู้แข่งขันกันเพื่อให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งและ กีดกันไม่ให้คู่แข่งขันประสบความสำเร็จ ซึ่งเทคนิคและวิธีการ โกงการการเลือกตั้งที่นิยมกันทั่วไปได้สรุปได้ ดังนี้ (วัชรา ไชยสาร, 2544, หน้า 53-63) 1) วิธีการเวียนเทียน หมายถึง การ รับจ้างที่ได้รับค่าจ้างหรือผลประโยชน์อื่นใดก็ตามให้ไปใช้สิทธิ ออกเสียงเลือกตั้งทั้งของตนเอง และผู้อื่นโดยไม่ถูกต้องตาม 56

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กฎหมายหลายๆ ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ในเขตเลือกตั้งนั้นหรือไม่ก็ตาม โดยอาจใช้หลักฐานในการ แสดงตัวเป็นมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งปลอมเพื่อประโยชน์ อันมิชอบของผู้สมัครรับเลือกตั้งคนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะ ซึ่งเป็น วิธีที่นิยมกันมากที่สุด โดยเฉพาะเขตเลือกตั้งที่ผู้สมัครรับ เลือกตั้งมีอิทธิพลและมีความสัมพันธ์อันดีกับฝ่ายข้าราชการ การเวียนเทียนจะกระทำอย่างโจ่งแจ้งหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความ ร่วมมือของคณะกรรมการการตรวจนับคะแนนประจำหน่วย เลือกตั้ง โดยโอกาสที่คณะกรรมการจะช่วยการโกงได้มากน้อย เพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับความสนใจในการตรวจสอบหลักฐานของ ผู้ที่มาใช้สิทธิเลือกตั้งและถ้าหน่วยเลือกตั้งนั้นไม่มีผู้แทนหรือ อาสาสมัครของพรรคการเมืองทำหน้าที่คอยติดตามสอดส่อง ดูแล ตรวจสอบในฐานะเป็นกรรมการตรวจนับคะแนน โอกาส โกงก็จะมากยิ่งขึ้น ซึ่งวิธีการโกงการเลือกตั้งจะทำโดยใน ครั้งแรกของการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง หัวคะแนนผู้ที่คุ้นเคยกับ คณะกรรมการตรวจนับคะแนน จะพาประชาชนไปลงคะแนน ในชื่อของผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งคนอื่น คนละหลายๆ ครั้ง โดยปกติหัวคะแนนจะตรวจสอบล่วงหน้าว่า เจ้าของชื่อจะมาใช้ สิทธิเลือกตั้งหรือไม่ บางครั้งหัวคะแนนและผู้มาลงคะแนนเสียง จะใช้วิธีแสดงบัตรประจำตัวประชาชนทางด้านหลังของบัตร ซึ่งไม่มีชื่อและรูประบุอยู่เพื่อประโยชน์ในการอ้างชื่อของผู้อื่น ในการใช้สิทธิเลือกตั้ง นอกจากนั้นการใช้บัตรเหลือง (บัตรทท่ี าง ราชการออกให้แทนบัตรจริง) แทนบัตรประจำตัวประชาชน ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมกันมากเพราะบัตรเหลืองจะไม่มีรูปถ่าย หรือหลักฐานอื่นใดแสดงว่าผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งนั้นจะเป็น คนเดียวกันกับเจ้าของบัตรเหลืองหรือไม่ 57

นักการเมืองถ่ินจังหวัดจันทบุรี 2) พลร่ม หมายถึง การที่บุคคลซึ่งไม่มี สิทธิออกเสียงเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นไปใช้สิทธิเลือกตั้งแทน ผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย ส่วนใหญ่มักเป็นผู้รับจ้างจากผู้สมัครรับ เลือกตั้งหรือพรรคการเมืองโดยมิชอบให้ไปแสดงตนว่าเป็น ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในนามของผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้น ซึ่งมีส่วน คล้ายกับการเวียนเทียน 3) ไพ่ไฟ หมายถึง การใช้บัตรเลือกตั้ง ปลอมหรือบัตรเลือกตั้งที่มีการกาเครื่องหมายของผู้สมัคร รับเลือกตั้งนอกหน่วยเลือกตั้ง โดยมิชอบด้วยกฎหมายแล้ว นำไปใส่รวมกับเลือกตั้งที่มีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งใส่ในหีบบัตร เลือกตั้ง 4) บัตรผี หมายถึง บัตรเลือกตั้งที่ผู้สมัคร รับเลือกตั้งหรือผู้อื่นสามารถนำออกจากหน่วยเลือกตั้งได้ก่อน หรือระหว่างลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเพื่อนำไปทำการทุจริตได้ โดยกลวิธีต่างๆ โดยอาจจะใช้การปลอมแปลงบัตรเลือกตั้ง ที่คณะกรรมการตรวจสอบนับคะแนนร่วมรู้เห็นเป็นใจด้วย โดยอาจจะปลอมแปลงบัตรเป็นจำนวนมากและกระจายให้ผู้มี สิทธิออกเสียงมากๆ คน โดยให้กาหมายเลขคู่แข่งขันคน สำคัญๆ ไว้ทุกๆ คนให้มากเท่าที่จะกระจายได้ และให้นำติดตัว ไปยังหน่วยเลือกตั้งเมื่อมาแสดงตัวรับบัตรเลือกตั้งจริงจาก เจ้าหน้าที่ที่ประจำหน่วยเลือกตั้งแล้วบุคคลเหล่านี้จะสลับ เปลี่ยนกับ “บัตรผี” โดยเอาบัตรเลือกตั้งจริงออกมาและนำเอา “บัตรผี” กลับมาส่งคืนให้เจ้าหน้าที่เพื่อหย่อนใส่หีบเลือกตั้ง แล้วบุคคลเหล่านั้นก็จะนำเอาบัตรเลือกตั้งจริงออกมาข้างนอก 58

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง โดยกาหมายเลขของผู้รับเลือกตั้งที่มีอิทธิพลของตนเอาไว้ ทั้งหมดแล้วหมุนเวียนให้ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งคนอื่นๆ ที่ถูก “ซื้อตั๋ว” กระทำเช่นเดียวกันเรื่อยๆ จนหมดเวลาการลง คะแนนเสียง นอกจากนั้นยังมี “บัตรผีจริง” ซึ่งเกิดจากความ บกพร่องของระบบทะเบียนราษฎร โดยเมื่อสำรวจรายชื่อผู้มี สิทธิออกเสียงเลือกตั้งพบว่าบางคนเสียชีวิตไปแล้ว ก็จะนำบัตร ประจำตัวประชาชนของบุคคลเหล่านั้นมาให้คนอื่นสวมตัวไปใช้ สิทธิการเลือกตั้งแทน วิธีการโกงเลือกตั้งแบบ “ไพ่ไฟและ บัตรผี” จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากกรรมการ ตรวจนับ คะแนนทั้งหมด รวมทั้งฝ่ายปกครองและตำรวจที่มารักษา ความสงบเรียบร้อย มิฉะนั้นอาจมีปัญหาและถูกจับได้ง่าย เพราะจำนวนผมู้ าใชส้ ทิ ธกิ บั จำนวนบตั รทม่ี าใชส้ ทิ ธอิ าจไมต่ รงกนั ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหลักฐานการมาใช้สิทธิของ ประชาชนให้สอดคล้องกับจำนวนบัตรที่ใช้ในการลงคะแนน เสียง แต่ปัจจุบันจะกระทำได้ยากขึ้นหรือแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะมีการตรวจสอบนับจำนวนผู้มาใช้สิทธิและบัตรเลือกตั้ง ที่ได้ใช้ไปในทุกๆ หนึ่งชั่วโมง ว่ามีจำนวนสอดคล้องกันหรือไม่ ถ้าไม่สอดคล้องกันก็แสดงว่ามีเงื่อนงำและส่อเค้าว่าเกิดการ ทุจริตในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งขึ้น ซึ่งกรรมการตรวจนับ คะแนนมีสิทธิที่จะแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดและขอให้ยุติ การลงคะแนนของหน่วยเลือกตั้งดังกล่าวได้ 5) บัตรเหลือง หมายถึง บัตรประจำตัว ประชาชนชั่วคราว ซึ่งฝ่ายปกครองออกให้ใช้แทนบัตรประจำ 59

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี ตัวประชาชนตามกฎหมาย โดยสามารถนำไปใช้แสดงตนแทน บัตรประจำตัวประชาชนในการออกออกเสียงเลือกตั้งได้ “บัตร เหลือง” นี้สามารถใช้ในการโกงการเลือกตั้งได้ง่าย โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในการนำไปใช้กับวิธีการ “เวียนเทียน” เพราะบัตรแทน นี้ไม่มีรูปถ่ายทำให้สามารถแอบอ้างแสดงตัวได้โดยง่าย การใช้ วิธีกลโกงการเลือกตั้งแบบนี้มักจะแอบอ้างกระทำในการย้ายชื่อ คนเข้าไปในเขตเลือกตั้งล่วงหน้า โดยมากจะเป็นการย้าย คนงานเข้าไปในโรงงานอุตสาหกรรมหรือบริษัทใหญ่ๆ แล้ว รีบแจ้งให้นายอำเภอ หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองทราบเพื่อ จัดทำบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งของตำบลนั้นๆ และ บุคคลเหล่านี้มักจะใช้ “บัตรเหลือง” ไปแสดงตนใช้สิทธิ ออกเสียงเลือกตั้ง รวมทั้งใช้วิธีการ “เวียนเทียน”ตามที่ได้ กล่าวมาแล้ว 6) การโกงด้วยวิธีการนับคะแนน การ โกงการเลือกตั้งด้วยวิธีนี้มักจะเกิดขึ้นระหว่างการตรวจนับ คะแนนเสียงสนับสนุนของผู้รับสมัครเลือกตั้งแต่ละคน กรรมการตรวจนับคะแนนอาจจะพยายามเพิ่มคะแนนให้แก ่ ผู้สมัครที่เขาสนับสนุน โดยแกล้งทำเป็นกาผิดหมายเลข ในระหว่างการตรวจนับคะแนนหรือแกล้งละเลยไม่ยอมกา คะแนนให้แก่ผู้สมัครฝ่ายตรงข้าม การโกงหรืออาจแกล้งทำ บัตรเสีย โดยวิธีนับคะแนนนี้จะทำได้ก็ต่อเมื่อหน่วยเลือกตั้ง ดังกล่าวนั้นต้องอยู่ในเขตอำเภออิทธิพลของผู้สมัครคนนั้น อย่างเต็มที่ ซึ่งทำให้ประชาชนโดยทั่วไปและกรรมการตรวจนับ คะแนนที่เป็นกลาง จะไม่กล้าโต้แย้งการทุจริตการเลือกตั้ง ที่เกิดขึ้น 60

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง จากวิธีการโกงการเลือกตั้งที่กล่าวมาแล้ว ปัจจุบัน “การเวียนเทียน” เป็นวิธีการที่นิยมใช้มากที่สุด เพราะสะดวก และหากมีกรรมการตรวจนับคะแนนรู้เห็นเป็นใจ และร่วมมือกับหัวคะแนนของผู้สมัครรับเลือกตั้ง การจับผิดก็จะ ทำได้ยาก ซึ่งการใช้กลโกงใดก็ตามจึงต้องขึ้นอยู่กับอำนาจและ อิทธิพลของผู้สมัครรับเลือกตั้งและหัวคะแนนที่มีอยู่ในหน่วย เลือกตั้งดังกล่าว ที่สำคัญต้องมีกรรมการตรวจนับคะแนน ในหน่วยเลือกตั้งเป็นผู้สนับสนุนและไม่ขัดขวางการดำเนินการ ทั้งนี้ยังมีกลเม็ดการโกงเลือกตั้งอีก มากมาย ซึ่งมีวิธีการแตกต่างกันไป (ลิขิต ธีรเวคิน, 2543, หน้า 457) ดังนี้ 1. ซื้อเสียงเลือกตั้งโดยผ่านหัวคะแนน คือ บุคคลที่รับหน้าที่ในการรับเงินส่วนหนึ่งซื้อเสียงจากประชาชน และกันเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวโดยมากจะเป็น ผู้ที่มีอิทธิพลในท้องถิ่น และบ่อยครั้งที่เป็นราชการระดับท้องถิ่น ซึ่งเป็นการซื้อเสียงที่เห็นกันอย่างชัดเจนที่สุด 2. การใช้เงินซื้อเสียงหน้าหน่วยเลือกตั้ง ในวันที่ลงคะแนน ซึ่งเรียกกันว่า “ซื้อปลาสด”หรือ “ยิงเผาขน” ประชาชนที่มายังหน่วยเลือกตั้งก็ซื้อกันตรงนั้นเลย หรือที่ เรียกกันว่า Buying on the spot 3 . จ ้ า ง ร ถ ป ร ะ จ ำ ท า ง ส อ ง แ ถ ว ร ถ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง รับคนมาลงคะแนนเสียงโดยไม่เสีย ค่าบริการ พร้อมทั้งได้รับเงินด้วย 61

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี 4. ให้หัวคะแนนไปสัญญาว่าเมื่อ ลงคะแนนให้แล้ว จะให้เงินหลังวันประกาศผลเป็นค่าตอบแทน 5. แจกเงินในปั๊มน้ำมันย่อย หรือที่เรียกว่า ปั๊มลอย ซึ่งก็คือปั๊มที่มีถังน้ำมันและมีเครื่องสูบน้ำมันที่เป็น หลอดแก้ว โดยให้คนไปเติมน้ำมันฟรี เพื่อแลกกับคะแนนเสียง 6. แจกข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำปลา น้ำมันพืช ผ้าขาวม้า 7. เอาเงินไปวางไว้ในร้านค้าย่อยแล้วบอก ให้ประชาชนไปเบิกของได้ในจำนวนที่กำหนดไว้เพื่อแลกกับการ ลงคะแนนเสียงให้ 8. รับรองว่าจะประกันราคาพืชไร่ สร้าง ถนน สร้างฝายกั้นน้ำ ถ้าหากได้รับเลือกตั้ง 9. เอาเงินไปวางไว้ให้กับบุคคลที่ไว้ใจเพื่อ ให้ไปเล่นการพนัน โดยต่อให้เบอร์ของตนเป็นผู้รับเลือก และ ได้รางวัลสูงเพื่อคนที่เล่นการพนันจะเทคะแนนเสียงให้และจูงใจ ผู้อื่นลงคะแนนเสียงให้ 10. เปิดให้แทงแบบยี่กี ซึ่งเป็นการพนัน แบบจีนโดยให้รางวัลแบบ 10 เท่า เพื่อตอบแทนกับการ สนับสนุนโดยการให้พรรคพวกมาลงคะแนนเสียงให้ 11. ใช้ข้าราชการฝ่ายปกครองและตำรวจ ร่วมมือกับนายบ่อน ให้ช่วยซื้อเสียงมิฉะนั้นจะสั่งปิดสถาน บริการ 62

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง 12. ใช้อิทธิพลแจกยาบ้าให้กับผู้ที่ติดยา เพื่อเป็นรางวัลให้กับการที่ไปลงคะแนนเสียงให้ 13. ให้ข้าราชการไปบังคับ ขู่เข็ญกับ ชาวบา้ นใหม้ าลงคะแนนเสยี งให้ เปน็ การใชอ้ ทิ ธพิ ลทผ่ี ดิ กฎหมาย 14. เลี้ยงโต๊ะจีนย่อยในบ้านครั้งละ 2 โต๊ะ เพื่อไม่ให้เป็นที่เอิกเกริก โดยได้รับการสนับสนุนการลงคะแนน เสียงให้เป็นการตอบแทน 15. ใช้อำนาจแฝงโดยการจัดงานเลี้ยง จากนั้นก็ปรากฏตัวเพื่อเป็นการสร้างบุญคุณ ซึ่งเป็นการ ผิดกฎหมายเลือกตั้ง 16. ใช้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านข่มขู่ หลอกลวง ชาวบ้านว่าผู้สมัครรายอื่นไม่มีผลงาน จะไม่ทำประโยชน์ให้กับ ชุมชน จึงไม่ควรลงคะแนนเสียงให้ 17. ใช้ข้าราชการที่วางตัวไม่เป็นกลาง เอื้ออำนวยต่อการลงคะแนนเสียงที่เป็นประโยชน์ ต่อตน ข้าราชการดังกล่าวมักจะได้รับคำสั่งมาอีกทีหนึ่ง 18. ใช้วิธีการล็อกเขตไม่ให้ผู้สมัครคนอื่น เข้าไปในเขต โดยการทำลายโปสเตอร์ แผ่นประกาศ ต่าง ๆ 19. ใช้ความสัมพันธ์จากองค์กรจัดตั้ง มวลชน เช่น มูลนิธิ สมาคม NGOs โดยมีการบริจาคแบบ แอบแฝงเพื่อให้มีการสนับสนุนทางการเมือง 63

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี 20. ขอให้พรรคการเมืองหรือนักการเมือง ช่วยเหลือในด้านคะแนน จากคะแนนจัดตั้งโดยคะแนนดังกล่าว เป็นคะแนนพื้นฐานที่สำคัญ 21. ซื้อกรรมการการเลือกตั้งจังหวัด และ ซื้อกรรมการอ่านคะแนนเพื่อเอื้ออำนวยประโยชน์ต่อตน พฤติกรรมการเลือกตั้งที่เบี่ยงเบน รวมถึง เทคนิคและวิธีโกงการเลือกตั้งที่กล่าวมาแล้วนั้น ได้ถูกนำมา เป็นกลยุทธ์ในการเลือกตั้งและได้สร้างค่านิยมและวัฒนธรรม ทางการเมืองในเชิงลบแก่ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง เมื่อพฤติกรรมการเลือกตั้งในประเทศไทยเป็นเช่นนี้ จึงทำให้ ระบอบประชาธิปไตยไม่เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของกลุ่มประชาชน ที่มีความรู้ และนำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชั่นกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นการบ่อนทำลายประเทศชาติทั้งทางตรงและทางอ้อม 2.2.5.4 บารมแี ละการใชบ้ ารม ี สังคมประกอบด้วยสถาบันและตัวบุคคล สถาบันคือรูปแบบของการจัดตั้งที่มีค่านิยม ปทัสถาน มีแบบ กระสวนของพฤติกรรม มีกฎเกณฑ์ มีการต่อเนื่อง มีตัวตายตัว แทน ฯลฯ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งสถาบันจะมีลักษณะของ องคาพยพที่มีชีวิตจิตใจเสมือนหนึ่งบุคคลธรรมดา แต่มีอายุ และความต่อเนื่องยาวกว่าบุคคลธรรมดาซึ่งขึ้นอยู่กับการจัดตั้ง สถาบัน ตัวอย่างเช่น กระทรวงมหาดไทยมีอายุมายาวนานเป็น ร้อยปี มีค่านิยม มีแบบกระสวนของพฤติกรรมซึ่งเกิดจากคนที่ อยู่ในกระทรวงจะถูกหล่อหลอมในทิศทางที่เป็นประเพณีของ สถาบัน แม้จะมีการเปลี่ยนตัวบุคคลกี่ครั้งก็ตาม บุคลิกลักษณะ 64

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง ของกระทรวงมหาดไทยก็ยังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องและมั่นคง นั่นคือ สถาบัน ส่วนตัวบุคคลนั้นได้แก่มนุษย์ ปัจเจก- บุคคลที่เป็นชีวภาพ มีการเกิดแก่ เจ็บ ตาย และก็สิ้นอายุขัย ไปตามครรลอง เมื่อบุคคลสิ้นชีวิตลงทุกอย่างก็สิ้นสุดลง ซึ่งต่างจากสถาบันที่ยังมีความต่อเนื่องอย่างไม่ขาดสาย ยกเว้น แต่สถาบันถูกทำให้ล้มหายตายจากไปด้วยการถูกยกเลิกหรือ ถูกทำลาย แต่ในกรณีตัวบุคคลนั้นอาจจะกลายเป็นสถาบันได้ ถ้ามีการพัฒนาจนกลายเป็นโครงสร้างในลักษณะสถาบัน ที่ถาวร เช่น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นบุคคลธรรมดา เป็นชีวภาพที่ต้องอยู่ภายใต้การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือน คนอื่นๆ เมื่อพระองค์เสด็จปรินิพานเมื่อพระชนมายุ 80 พรรษา ในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่เป็นชีวภาพก็สิ้นสุดลงเมื่อสองพันกว่าปี มาแล้ว แต่คำสอนของพระองค์ ปรัชญา พุทธศาสนา สัจธรรม แห่งชีวิต รวมตลอดถึงทั้งความเชื่อ ค่านิยม แบบกระสวนของ พฤติกรรม ในลักษณะ ที่เป็นสมณะโคดมอันสืบเนื่องมาจน ทกุ วนั นใ้ี นสถาบนั พระพทุ ธศาสนา กลา่ วอกี นยั หนง่ึ พระพทุ ธองค์ ไ ด ้ แ ป ร เ ป ล ี ่ ย น จ า ก ป ั จ เ จ ก บ ุ ค ค ล ม า ก ล า ย เ ป ็ น ส ถ า บ ั น พระพุทธศาสนา ความต่อเนื่องของการปฏิบัติของพระพุทธองค์ ความคิดปรัชญาต่างๆ จึงไม่ได้ล้มหายตายจากสิ้นสุดไปกับ พระองค์ท่าน เพราะพระองค์ท่านได้กลายเป็นสถาบันไปแล้ว แต่มนุษย์ธรรมดาทั่วไปแม้จะมีบารมี มากมายเพียงใดก็ตาม ส่วนใหญ่ก็จะสิ้นสุดลงพร้อมกับการ สิ้นสุดของความเป็นชีวภาพ บารมีที่สร้างสมเอาไว้ก็จะสิ้นสุด 65

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี ลงด้วย ยกเว้นแต่มีคุณความดีบารมีแก่กล้าจนกิจกรรมต่างๆ กลายเป็นแบบกระสวนของพฤติกรรมที่ดำเนินการต่อไป มีคน เคารพ ระลึกถึงกราบไหว้ สภาวะนั้นๆ จะกลายเป็นสถาบันของ สังคม เช่น พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง สมเด็จย่า เป็นต้น (ลิขิต ธีรเวคิน, 2548, หน้า 495-496) สำหรับบุคคลธรรมดาที่มีบารมีตราบ เท่าที่คุณความดียังปรากฏอยู่อย่างต่อเนื่อง ก็จะกลายเป็นที่พึ่ง ของบุคคลทั่วไป เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ความคิดเห็นและ การกระทำจะเป็นแบบอย่าง ของบุคคลทั่วไป รวมทั้งเป็นแบบ อย่างของคนรุ่นหลัง และเมื่อเสียชีวิตลงคนก็ยังรำลึกถึงแม้ บารมีดังกล่าวจะไม่ถึงขั้นที่เป็นสถาบันก็ตาม แต่จุดสำคัญ ที่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งก็คือ บารมีของปัจเจกบุคคลที่มีอยู่นั้น จำเป็นที่ต้องมีการรักษาระดับบารมีไว้ และคุณความดีที่ทำนั้น จะต้องทำอย่างสม่ำเสมอและคงเส้นคงวาต่อเนื่อง จะต้อง ระมัดระวังไม่ให้บทบาทผิดรูปผิดฝาหรือเกินเลยขอบเขต เพราะหลักมีอยู่ว่าบารมีที่มีอยู่ยิ่งใช้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งเสี่ยงต่อ การที่จะทำให้เกิดการลดน้อยถอยถดของบารมี บารมีจึงควรใช้ อย่างระมัดระวังไม่ควรพร่ำเพรื่อ นอกเหนือจากนั้นการปรากฏตัวหรือ การแสดงออกจะต้องไม่เกิดขึ้นบ่อยครั้งจนเป็นเรื่องธรรมดา เช่น บุคคลผู้มีชื่อเสียงของสังคมเป็นที่นิยมนับถือ ปรากฏตัว ในสาธารณะบ่อยครั้งทุกวันจนกลายเป็นบุคคลธรรมดาในที่สุด และคำพูดซึ่งพูดขึ้นอย่างแหลมคมนั้นเมื่อกล่าวอย่างซ้ำซาก ก็จะกลายเป็นเรื่องความคิดที่ได้ยินอย่างปกติวิสัย ความคม ความเด่นก็จะหายไป ที่สำคัญที่สุดผู้ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ 66

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในสังคม มีคุณยกย่องในคุณความดี และชื่นชมในบารมี จะต้องยิ่งระมัดระวังยิ่งขึ้นในการแสดงออกในเหตุการณ์ที่มี ความขัดแย้งไม่ลงตัว เป็นต้นว่า ประเด็นความขัดแย้งทาง สังคมซึ่งมิได้เป็นขาวดำ สามารถจะมีเหตุผลมาสนับสนุนได้ทั้ง สองฝ่ายที่ใกล้เคียงกัน การแสดงออกเข้าข้างใดข้างหนึ่งแม้จะ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ หรือด้วยความหวังดีและเป็นประโยชน์ ในที่สุดก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเป็นฝักเป็นฝ่ายซึ่งจะได้คนสนับสนุน จำนวนหนึ่ง แต่ก็สร้างความไม่พอใจให้กับคนอีกจำนวนหนึ่ง สำหรับผู้ซึ่งมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องด้วย ความบริสุทธิ์ใจ คงไม่ได้น้ำหนักต่อผลกระทบที่จะตามมาจาก การกระทำของตนอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่ข้อเท็จจริงก็มีอยู่ว่า การเข้าไปเกี่ยวข้องกับประเด็นความขัดแย้งโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง ขณะที่ได้ผู้สนับสนุนก็จะได้ เสียงคัดค้านไปในตัวซึ่งในฐานะที่เป็นบุคคลที่เป็นผู้นำทาง ความคิด เป็นที่ชื่นชมในแง่ของคุณธรรมความดีความถูกต้อง และประชาชนคาดหวังให้เป็นเสาหลักอย่างมั่นคงหรืออย่าง เป็นกลาง การกระทำที่เสี่ยงต่อการสูญเสียบารมีจึงเป็นเรื่องที่ น่าเสียดายสำหรับคนบางกลุ่ม โดยสรุปก็คือ บารมีจะดำรงอยู่ได้อย่าง ต่อเนื่องย่อมขึ้นอยู่กับความถี่ของการใช้บารมี บารมียิ่งใช้ก็ยิ่ง สึกกร่อน ถ้าใช้อย่างถูกต้องตามจังหวะหรือเหมาะสม หลีกเลี่ยงประเด็นที่เป็นความขัดแย้งที่มองเห็นเด่นชัดว่าถูก หรือผิด ก็สามารถรักษาบารมีไว้ได้ บุคคลที่มีบารมีในสังคม จำเป็นต้องระมัดระวังในเรื่องนี้อย่างมาก เพราะไม่เป็นเพียง บุคคลสาธารณะแต่ยังเป็นปูชนียะบุคคลที่คนฝากความหวัง 67

นักการเมืองถ่ินจังหวัดจันทบุรี ไว้มาก บุคคลเหล่านี้จึงกลายเป็นบุคคลที่มีภาระและความ รับผิดชอบสูงกว่าคนอื่นจะโดยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม กล่าวอีกนัยหนึ่ง กลายเป็นคนที่มีหนี้สาธารณะโดยไม่ได้ตั้งใจ ขณะเดียวกันปัจเจกภาพของบุคคล ก็ต้องการเคารพนับถือ การที่สังคมจะคาดหวังให้บุคคลใด บุคคลหนึ่งมีพฤติกรรมตามแนวทางที่สังคมต้องการ โดยมอง ข้ามสิทธิพื้นฐานของการเลือกที่จะประพฤติปฏิบัติตาม ความเชื่อ หลักการของตนเองก็จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม เพราะในแง่หนึ่งบุคคลเหล่านี้ก็คือคนซึ่งจะมีสิทธิเสรีภาพในการ ที่จะเลือกประพฤติปฏิบัติตามที่ตนเห็นสมควร ตราบเท่าที่ไม่ขัด ต่อกฎหมาย ศีลธรรมอันดีต่อสังคม คุณความดีและบารมี ที่สร้างสมไม่ควรนำไปสู่สภาวะของการติดหนี้ของสังคม ขณะเดียวกันสังคมก็ไม่มีสิทธิที่จะทวงหนี้ทวงบุญคุณ เพราะใน แง่หนึ่งความคาดหวังของสังคมที่มีต่อบุคคลเหล่าเหล่านี้ เป็นความคาดหวังที่บุคคลเหล่านี้อาจไม่ต้องการให้เกิดขึ้นก็ได้ และถ้าพูดอย่างตรงไปตรงมาการทำความดีให้กับสังคมกลับ กลายเป็นการสร้างบ่วงพันธนาการของตนเองให้มีความจำกัด ของทางเลือกที่จะมีพฤติกรรมของการที่เห็นถูกเห็นควรเป็นเรื่อง ที่ไม่ยุติธรรม สังคมไม่มีสิทธิที่จะคาดหวังจากบุคคลที่ทำความ ดีให้กับสังคม และทวงหนี้ที่บุคคลเหล่านั้นไม่ได้ก่อขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ในยุคที่สังคมกำลัง เคว้งคว้างและมีความขัดแย้ง บุคคลที่เป็นที่ชื่นชมและนับถือ จะถูกคาดหวังให้เป็นผู้ซึ่งมีจุดยืนที่อยู่กับฝ่ายตน และเมื่อความ ขัดแย้งดังกล่าวแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายการเข้าไปอยู่ในฝ่ายใด 68

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ฝ่ายหนึ่งย่อมหนีไม่พ้นที่จะสร้างมิตรสร้างศัตรูในเวลาเดียวกัน ผู้ซึ่งมีบารมีสังคมอาจจะเลือกที่จะหลีกเลี่ยงจากการเสี่ยงจาก การสูญเสียบารมีหรือความชื่นชมนับถือที่สังคมมีอยู่กับตนแต่ ในขณะเดียวกันความจำเป็นที่จะต้องตอบสนองต่อหลักการ และความถูกต้อง และความเชื่อของตนอันเป็นสิทธิเสรีภาพ ของปัจเจกบุคคลก็อาจต้องทำให้เลือกระหว่างความพยายามที่ จะรักษาไว้ซึ่งบารมีในฐานะบุคคลสาธารณะ และเสาหลักของ สังคม กับการมีปัจเจกภาพและมีสิทธิเสรีภาพของการ แสดงออกตามความเชื่อและหลักการที่ตนยึดถือ ปัญหาดังกล่าวไม่มีคำตอบที่เป็นขาว และดำ ไม่มีใครถูกใครผิด ตราบเท่าที่ประเด็นความขัดแย้ง เป็นประเด็นที่มีคำตอบที่เด่นชัด ก็ไม่มีใครมีสิทธิที่จะกำหนดว่า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเหตุผลมากกว่าเพราะมองประเด็นปัญหา คนละแง่มุม การมองต่างมุมจึงขึ้นอยู่กับอุดมการณ์ ความเชื่อที่ ตนยึดถือ นอกจากนั้น ก็ต้องยอมรับว่าความถูกความผิด อาจถูกจำกัดด้วยเงื่อนเวลา สิ่งที่ถูกในวันนี้อาจจะไม่ถูกใน วันข้างหน้า สิ่งที่ถือว่าถูกในสังคมนี้อาจถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ ถูกต้องในอีกสังคมหนึ่ง การดำรงสถานะของบุคคลที่เป็น เสาหลักในสังคมของบุคคลที่คนนับหน้าถือตา ชื่นชมและ เคารพนับถือ และมีบารมีจึงเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง และเป็นเรื่องที่ น่าเห็นใจ (ลิขิต ธีรเวคิน, 2548, หน้า 496-498) 69

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี 2.2.5.5 ระบบอุปถัมภ์ : ฐานของสังคมและ การเมอื งไทย ระบบอุปถัมภ์ เป็นฐานของสถาบันสังคม การเมืองการปกครองบริหารของไทยมาแต่สมัยโบราณ กล่าวคือ ภายใต้ระบบดังกล่าวจะมีผู้อุปถัมภ์คอยให้คุณให้โทษ กับคนที่ติดตามให้การสนับสนุนตน หรือที่เรียกว่าผู้อยู่ใต้ อุปถัมภ์ โดยต่างคนต่างได้ประโยชน์จากกันและกัน ในทำนอง น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ส่วนใหญ่ผู้อุปถัมภ์จะเป็นผู้ที่มีฐานะทาง สังคมสูง มีอำนาจและบารมีทั้งในทางการเงินและการปกครอง บริหารขณะเดียวกันบุคคลซึ่งอยู่ในฐานะดังกล่าวก็จำต้องมี ลูกน้องคอยประดับบารมี รวมตลอดทั้งคอยช่วยเหลือในการ ทำงาน ทำราชการ เพราะจะอยู่โดดเดี่ยวแต่ผู้เดียวไม่ได้ สภาวะดังกล่าวได้นำไปสู่ศิลปะแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ ระหว่างผู้อุปถัมภ์และผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์หรือที่เรียกว่าระหว่าง นายกับลูกน้อง โดยฝ่ายที่เป็นผู้อุปถัมภ์จะต้องผูกใจลูกน้องได้ ด้วยการมีใจนักเลงถึงลูกถึงคน เอื้ออำนวยประโยชน์ต่อลูกน้อง ทั้งในตำแหน่งหน้าที่ ในทางการเงิน รวมตลอดทั้งแสดงความ เป็นผู้นำให้ลูกน้องเกิดความเลื่อมใส ขณะเดียวกันก็ต้องมี ความใจกว้างพอสมควร ผู้อุปถัมภ์หรือนายที่ตระหนี่ถี่เหนียว จะหาผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์ไม่ได้ ผู้อุปถัมภ์ยังต้องมีศิลปะแห่งการปกครอง กล่าวคือ ต้องรู้จักการใช้พระเดชพระคุณ นายที่ใช้พระเดช ตลอดเวลาอาจจะสร้างความกลัวให้กับลูกน้อง และยอมสยบ อยู่ใต้การบังคับบัญชาแต่ในส่วนลึกก็พร้อมที่จะตีจาก ดังนั้น 70

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง จึงต้องใช้พระเดชพระคุณในลักษณะสมดุล พระคุณได้แก่การ เอื้ออำนวยประโยชน์ ให้ความเมตตา ให้ความเอื้อเฟื่อเผยแผ่ ดูแลให้ความสุขกับผู้ใต้บังคับบัญชาหรือกับลูกน้อง แต่ถ้าใช้ พระคุณจนเกินกว่าเหตุก็จะถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกบีบคั้น ถูกล่อลวงด้วยวิธีการต่างๆ ผู้อุปถัมภ์ที่ดีจึงต้องรู้จักการใช้ จังหวะของการใช้พระเดชพระคุณ รวมทั้งการใช้ความสามารถ ในสร้างดุลยภาพขึ้นทั้งสองส่วน เนื่องจากบารมีเป็นฐานสำคัญทาง การเมืองและทางสังคม การสร้างบารมีด้วยการสร้างความดี ทำให้ตนเป็นที่ยอมรับในหมู่ชนทั่วไปจึงเป็นเรื่องความสำคัญ และถือเป็นทุนชนิดหนึ่ง บารมีของผู้อุปถัมภ์สามารถจะวัดได้ จากจำนวนลูกน้องที่อยู่ในอาณัติของตน ดังนั้น การมีคนที่อยู่ ในอาณัติเป็นจำนวนมากหรือมีผู้ติดสอยห้อยตามมากจึงเป็น ดัชนีชี้ถึงบารมีของคนคนนั้น การบังคับบัญชาคนเป็นจำนวน มากหรือการควบคุมคนเป็นเครื่องวัดบารมีอย่างหนึ่ง แต่บารมี ที่แท้จริงก็คือการมีคนที่มีความภักดีและมีความผูกพัน ไม่ว่าจะ เป็นลักษณะถาวรด้วยความรู้สึกส่วนตัว หรือการเอื้ออำนวย ประโยชน์ต่างตอบแทนที่ลงตัวก็ตาม ดังนั้น ผู้อุปถัมภ์ในสังคม ไทยจึงต้องสร้างบารมีด้วยการหาพรรคพวกมากๆ อันแสดง ให้เห็นถึงการเป็นผู้ที่กว้างขวางในสังคมและการมีคนสนับสนุน ปรากฏการณ์ที่จะชี้ให้เห็นถึงบารมีด้วยจำนวนคนนั้น ก็ถือใน โอกาสที่มีงานมงคลต่างๆ เช่นงานแต่งงานของลูกๆ งานฉลอง ขึ้นบ้างใหม่ งานฉลองรับตำแหน่ง การไปส่งล่ำลาเมื่อเดินทาง ไปที่อื่น แม้กระทั่งงานศพที่ก็สามารถวัดบารมีได้จากจำนวน พวงหรีด ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงส่วนที่เป็น 71

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี ระบบอุปถัมภ์ แต่ภายใต้กระแสลัทธิล่าอาณานิคม สังคมไทย จำเป็นต้องมีการพัฒนาการบริหารราชการแผ่นดินแบบใหม ่ โดยการจัดระบบราชการแบบตะวันตกขึ้น โดยระบบใหม ่ เน้นหลักการการบริหารที่ปลอดจากความสัมพันธ์ส่วนตัว เน้นที่หลักคุณธรรมคือความรู้ความสามารถ อย่างไรก็ตาม เมื่อระบบทันสมัยดังกล่าวมาใช้กับสังคมไทย ก็มีลักษณะผิดรูป ผิดฝา เพราะระบบอุปถัมภ์แบบดั้งเดิมยังคงอิทธิพลอยู่อย่างไม่ เปลี่ยนแปลง ดังนั้น ในกระทรวงต่างๆ จึงมีการแบ่งเป็นกลุ่มๆ มีลูกน้องเป็นกลุ่มซึ่งรอบล้อมหัวหน้ากลุ่ม บางครั้งก็ใช้หลักแห่ง ภูมิภาคเป็นเขตแบ่ง เช่น หัวหน้าเป็นคนภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคอีสาน บางครั้งก็ใช้พื้นที่แคบลงไปเช่นใช้ตัวจังหวัด และ บางครั้งก็ใช้ความสัมพันธ์กับสถาบันการศึกษา เช่น มีการแบ่ง เป็นสิงห์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกระทรวงมหาดไทยด้วยสีต่างๆ อันสะท้อนถึงตัวแทนของคณะรัฐศาสตร์แต่ละมหาวิทยาลัย ระบบราชการแบบสมัยใหม่จึงเกิดขึ้นโดยมีระบบอุปถัมภ์ซ้อน อยู่ข้างใน จากสภาพระบบอุปถัมภ์ซึ่งมีอิทธิพล อย่างมากในระบบการปกครองบริหารและขยายไปถึงสภาวะใน พรรคการเมืองต่างๆ รวมตลอดทั้งในการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ เห็นชัดว่า การพยายามทำให้เกิด การทันสมัยในระบบการ ปกครองบริหารจะพบอุปสรรคที่สำคัญยิ่งก็คือ มรดกตกทอดมา แต่ในอดีต ซึ่งยากที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขในระยะเวลาอันสั้น อันได้แก่ระบบอุปถัมภ์ดังกล่าวมาแล้วขณะเดียวกันอิทธิพลของ ระบบอุปถัมภ์ก็ยังส่งผลพฤติกรรมของประเทศในความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ โดยประเทศเล็กจะมีแนวโน้มที่จะวิ่งไปพึ่งพา 72

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ประเทศใหญ่ เช่น ครั้งหนึ่งประเทศสยามต้องอาศัยอังกฤษ เป็นที่พึ่งเพื่อรักษาไว้ซึ่งเอกราชทางการเมือง เนื่องจากกำลังถูก ฝรั่งเศสคุกคามสมัยต่อมาก็ต้องอาศัยสหรัฐอเมริกาเป็นเกราะ ป้องกันตัวโดยมองสหรัฐอเมริกาในลักษณะผู้อุปถัมภ์มาถึง ปัจจุบันก็อาจจะมองทั้งสหรัฐอเมริกาและจีนเพื่อให้เอื้ออำนวย ประโยชน์ต่อตน ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงผู้อุปถัมภ์ในระบบ การบริหารและการเมืองไทยขึ้นอยู่กับผลประโยชน์และการ อยู่รอดเป็นที่ตั้งพฤติกรรมในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ก็จะมีลักษณะใกล้เคียงกัน และไม่น่าถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะในแง่ความเป็นจริงทุกประเทศทำเพื่อผลประโยชน ์ แห่งชาติและความอยู่รอดทั้งสิ้น ระบบอุปถัมภ์ยังแผ่ไปถึงวงการธุรกิจ ข่าวที่เกี่ยวกับเถ้าแก่ใหญ่ให้การสนับสนุนพรรคพวกซึ่งเป็นที่ ชอบพอกันจนได้ดิบได้ดีเป็นเศรษฐี เป็นเรื่องที่ได้ยินบ่อยครั้ง ในขณะเดียวกัน ในบริษัทห้างร้านก็มีการจับกลุ่มกันพอสมควร อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโลกของธุรกิจเป็นโลกแห่งการแข่งขัน ซึ่งมีดัชนีเห็นชัดเรื่องกำไรขาดทุน ต้นทุนและค่าใช้จ่าย ตัวแดง และตัวดำ ประโยชน์และความเสียหาย ดังนั้น ตราบเท่าที่ ไม่กระทบต่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ ระบบอุปถัมภ์ก็อาจจะถูก นำมาพิจารณา แต่ถ้าหากจะว่ากันถึงที่สุดแล้วในวงธุรกิจมีการ ตัดสินใจที่คมชัดและแน่นอน มีเป้าหมายที่ไม่คลุมเครือ นั้นคือต้องทำกำไรและรักษาผลประโยชน์ให้มากที่สุด โดยนัยนี้ น้ำหนักของระบบอุปถัมภ์จึงน้อยกว่าในวงการการบริหารและ ทางการเมือง ถึงแม้จะมีความพยายามที่จะปฏิรูปการเมืองเพื่อ พัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยให้ต่อเนื่องและ 73

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี ยั่งยืน แม้จะพยายามจัดโครงสร้างพรรคให้ทันสมัยให้มีจำนวน น้อยลง มีนโยบายที่ชัดเจนมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด มีการ สนับสนุนทางการเงินจากฝ่ายทางรัฐ แต่โครงสร้างและ พฤติกรรมนอกแบบอันได้แก่ โครงสร้างที่มีลักษณะเป็นระบบ อุปถัมภ์และพฤติกรรมแบบจารีตนิยม อันขัดแย้งต่อจารีต ประเพณีในระบบประชาธิปไตยก็ยังปรากฏอยู่ การแบ่งเป็น กลุ่มการเล่นพรรคเล่นพวกการต่อรองโดยไม่สมเหตุสมผล ในหลายเรื่อง จึงปรากฏเป็นข่าวอยู่เนืองๆ สภาวะดังกล่าว ทำให้เกิดความแคลงใจถึงศักยภาพของการบรรลุถึงระบอบ ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงในสังคมไทย (ลิขิต ธีรเวคิน, 2548, หน้า 514-517) 2.2.6 งานวิจัยท่เี กี่ยวข้อง บูฆอรี ยีหมะ (2549 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัย เรื่องนักการเมืองถิ่นจังหวัดปัตตานี โดยใช้เทคนิคการวิจัย เชิงคุณภาพด้วยการศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง และ การสัมภาษณ์บุคคลทั้งนักการเมืองและบุคคลผู้สามารถให้ ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมืองได้ตามประเด็นศึกษา รวมทั้งการสังเกตกรณีพฤติกรรมทางการเมืองในพื้นที่ศึกษา จากการศึกษาพบว่า การเมืองของปัตตานีสามารถแบ่ง พัฒนาการได้เป็น 3 ยุคคือ ยุคแรก (พ.ศ. 2476-2528) เป็นการต่อสู้ช่วงชิง ทางการเมืองระหว่างตระกูลอดีตเจ้าเมืองกับตระกูลนักการ ศาสนาและเครือข่าย โดยตระกูลอดีตเจ้าเมืองได้แก่ ตระกูล พิพิธภักดี และตระกูลอับดุลบุตร ส่วนตระกูลนักการศาสนา 74

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง ประกอบด้วยตระกูลอับดุลกาเดร์หรือโต๊ะมีนา โดยภาพรวม เป็นการต่อสู้กันในการเข้าสู่อำนาจทางการเมือง โดยใช้อำนาจ และอิทธิพลของนักปกครองกับอำนาจอิทธิพลทางจิตวิญญาณ ยุคที่สอง (พ.ศ. 2529-2543) มีการเปลี่ยนแปลง ทางการเมืองในพื้นที่ปัตตานีคือการรวมกลุ่มทางการเมืองของ ส.ส. และ อดีต ส.ส. ที่กระจายอยู่กับพรรคการเมืองต่างๆ ใน พื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนใต้ อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลง สภาพทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้เกิดกลุ่ม “วะดะห์ หรือเอกภาพ” เพื่อสร้างอำนาจต่อรองกับพรรคการเมืองทั้งใน เชิงการผลักดันนโยบายที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่และการรับตำแหน่ง ทางการเมืองของสมาชิกกลุ่มและสมาชิกกลุ่มนี้ได้รับความ สำเร็จทางการเมืองสูงมากในยุครัฐบาลพรรคความหวังใหม่ ในขณะเดียวกันก็เกิดการต่อสู้กับฐานการเมืองของพรรค ประชาธิปัตย์โดยมี ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็นแกนนำสำคัญ และแนวทางการต่อสู้ของนักการเมืองสองฝ่ายนี้ก็ใช้แนวทาง การต่อสู้ผ่านการอธิบาย การทำลายความน่าเชื่อถือด้วย หลักการหรือคำอธิบายตามหลักศาสนาอิสลาม เช่น วิธีการ ประกอบพิธีกรรมการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ สตรีกับสิทธิ ทางการเมือง โดยที่กลุ่มวะดะห์ใช้ฐานสำนักงานคณะกรรมการ อิสลามประจำจังหวัดปัตตานีเป็นฐานสังคม ในขณะที่พรรค ประชาธิปัตย์ใช้ฐานโต๊ะครูเจ้าของปอเนาะเป็นฐานทางสังคม ยุคปัจจุบัน (2544-2549) เป็นยุคเฟื่องฟูของ นโยบายพรรคไทยรักไทย ซึ่งหลายประเด็นที่ทำให้มีมุสลิมใน จังหวัดปัตตานีปฏิเสธนโยบายประชานิยม และวิธีการปฏิบัติ 75

นักการเมืองถ่ินจังหวัดจันทบุรี ทางการเมืองในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลส่งผลให้กลุ่ม วะดะห์แพ้การเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครหน้าใหม่ของพรรค ประชาธิปัตย์ ดังนั้นกล่าวได้ว่าพฤติกรรมทางการเมืองของ นักการเมืองและการเมืองในจังหวัดปัตตานีมีความสัมพันธ์ ระหว่างการเมืองกับศาสนา นักการเมืองใช้ศาสนาเป็นฐานใน การเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือกลยุทธ์ในการเลือกตั้งทั้งในเชิง ของเนื้อหาสาระหลักปฏิบัติทางศาสนาและในเชิงขององค์กร ทางศาสนาได้แก่ คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด หรือโต๊ะ ครเู จ้าของโรงเรียนปอเนาะหรือโต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิด ณรงค์ บุญสวยขวัญ (2549 : บทคัดย่อ) ได้ ศึกษาวิจัยเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยใช้ เทคนิควิจัยเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เอกสารและการ สัมภาษณ์นักการเมืองรวมทั้งการสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง หรือรับรู้ปรากฏการณ์ทางการเมือง พบว่า ปฏิบัติการทาง การเมืองจะสัมพันธ์กันทั้งบริบทการเมืองระดับชาติและบริบท สังคมวิทยา ในส่วนของภาพลักษณ์นักการเมืองถิ่นจะเป็นผู้มี ความรู้สูง มีการศึกษาค้นคว้าตลอดเวลา มีความใกล้ชิดกับ ประชาชน มีระบบอุปถัมภ์ภายใต้โครงการพัฒนาทางกายภาพ มคี วามสามารถในการสรา้ งวาทกรรมทางการเมอื ง มคี วามกลา้ หาญ ที่จะชี้นำประชาชนให้เห็นความไม่ถูกต้อง ความไม่เหมาะสม ของข้าราชการและคู่ต่อสู้ทางการเมืองอย่างไม่เกรงกลัว เน้น กลวิธีการหาเสียงมากกว่าการเมืองเชิงนโยบาย กระบวนการ สร้างเครือข่ายการหาเสียงในช่วงแรกมีการใช้พรรคพวก ญาติ เครือข่ายวิชาชีพครู เครือข่ายสถาบันการศึกษาหรือชมรมศิษย์ เก่าของสถาบันการศึกษา เครือข่ายสตรี กลไกศาสนาและ 76

ข้อมูลท่ัวไปและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง นักการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคหลักที่ชนะการ เลือกตั้งต่อเนื่องมาหลายสมัย พยายามจะเชื่อมโยงสภาพ ความเป็นนักการเมืองประชาธิปัตย์กับความมีมาตรฐาน ทางการเมืองถิ่น พรชัย เทพปัญญา (2549: บทคัดย่อ) ได้ศึกษา วิจัยเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัดปทุมธานี โดยใช้เทคนิควิธีวิจัย เชิงคุณภาพโดยการศึกษาเอกสาร งานวิจัยและวิทยานิพนธ์ รวมทั้งการสัมภาษณ์บุคคลที่สามารถให้ข้อมูลโยงใยไปถึง นักการเมืองคนต่าง ๆ ในพื้นที่ได้ในประเด็นที่ต้องการศึกษา ซึ่งครอบคลุม ถึงเครือข่ายความสัมพันธ์ของนักการเมืองใน แต่ละช่วงเวลา บทบาทกลุ่มผลประโยชน์ วิธีการหาเสียงจาก ผลการศึกษาพบว่า 1. นักการเมืองถิ่นส่วนใหญ่มีภูมิหลังทางการ ศึกษาที่ดี มีสภาพทางเศรษฐกิจดีและมีสังคมที่ เอื้ออำนวยต่อการเป็นนักการเมือง 2. นักการเมืองส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มตระกูลหาญ สวัสดิ์ นอกจากนั้นจะได้รับเลือกตั้งเพราะ ชื่อเสียงของตน 3. ความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองถิ่นภาย ในจังหวัดปทุมธานีมีน้อย 4. การหาเสียงของนักการเมืองถิ่นในจังหวัด ปทุมธานีในปัจจุบันมีความสัมพันธ์กับ พรรคการเมืองและนโยบายพรรค 77

นักการเมืองถ่ินจังหวัดจันทบุรี 5. กลุ่มผลประโยชน์ทางธุรกิจมีความสัมพันธ์กับ ส.ส. น้อย 6. การรวมตัวของกลุ่มตระกูลหาญสวัสดิ์กับ พรรคไทยรักไทยถือว่าเป็นการรวมกันระหว่าง อิทธิพลท้องถิ่นกับอิทธิพลระดับชาติ นิรันดร์ กุลฑานันท์ (2549 : บทคัดย่อ)ได้ศึกษา วิจัยเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้วิธีวิจัยเชิง คุณภาพพบว่า เครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองจะ เป็นความสัมพันธ์ผ่านการทำธุรกิจและการแบ่งปันผลประโยชน์ งบประมาณพัฒนาในพื้นที่เลือกตั้ง มีความสัมพันธ์เชิง เครือญาติและผ่านกลุ่มผลประโยชน์ เช่น หอการค้า สภา อุตสาหกรรม องค์กรกู้ภัย ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างนักการ เมืองกับพรรคการเมืองจะสัมพันธ์ผ่านมุ้งการเมืองที่ตนสังกัดอยู่ ในด้านวิธีการหาเสียงมีหลายรูปแบบ ได้แก่ การเดินเคาะประตู บ้าน การจัดมหรสพแล้วปราศรัยหาเสียง การทำโปสเตอร์ ป้ายโฆษณา การแจกสิ่งของ เช่น ลูกเป็ด กล้าไม้ รองเท้า น้ำปลา อาหาร ยารักษาโรค เสื้อผ้า แจกเงิน ในด้านรูป แบบ การจัดตั้งหัวคะแนนจะเริ่มจากรูปแบบง่าย ๆ ผ่านผู้นำท้องถิ่น ข้าราชการผู้นำกลุ่มสตรีมาเป็นการวางเครือข่ายคล้ายธุรกิจ ขายตรง มีสัดส่วนหัวคะแนนต่อผู้ใช้สิทธิเล็กลง มีการจัดตั้ง กองทุนให้กลุ่มชาวบ้าน การอบรม การพาไปศึกษาดูงาน การจัดเลี้ยง การแจก เบี้ยเลี้ยง เป็นต้น ประกายศรี ศรีรุ่งเรือง (2550: บทคัดย่อ) ได้ ศึกษาวิจัยเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัดเชียงรายโดยใช้เทคนิค 78

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการศึกษา วิเคราะห์เอกสาร การสัมภาษณ์บุคคลและการสังเกตแล้วนำข้อมูลมาจัดระบบนำ เสนอทั้งในเชิงปริมาณและการพรรณนาความ ผลการศึกษา พบว่า นักการเมืองถิ่นจังหวัดเชียงรายมี 3 กลุ่มอาชีพคือ นักธุรกิจ นักกฎหมายและอดีตข้าราชการ ความนิยมของ ประชาชนมีต่อตัวบุคคลผู้สมัครรับเลือกตั้งมากกว่าความนิยม ต่อนโยบายพรรค ซึ่งจะเห็นได้จากการเลือกตั้งส่วนใหญ่ นักการเมืองจังหวัดเชียงรายจะเปลี่ยนพรรคอยู่เสมอ แต่โดย ภาพรวมความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติจะผูกโยงต่อ สถานภาพการดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับชาติมีน้อย มีผู้แทนราษฎรที่เป็นสตรีเพียง 3 คน (ร้อยละ 5.77) ในขณะที่ เป็นเพศชาย 49 คน (ร้อยละ 94.23) ผู้ได้รับการเลือกตั้งบางราย ไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดเชียงราย ไม่มีอาชีพ ไม่มีธุรกิจอยู่ใน จังหวัดเชียงรายก็สามารถได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. เชียงราย ได้ หากนักการเมืองและผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นให้การสนับสนุน กลยุทธ์การหาเสียงที่นำมาใช้มีหลากหลายวิธี ได้แก่ การแจก สิ่งของ แจกเงิน การปราศรัย การใช้แผ่นปลิว การติดป้าย ประชาสัมพันธ์ การพาไปทัศนศึกษา การพนันขันต่อ การซื้อ บัตรประชาชน การสัญญาว่าจะให้ การใช้อิทธิพลข่มขู่ ชาญณวุฒ ไชยรักษา (2549: บทคัดย่อ) ได้ศึกษา วิจัยนักการเมืองถิ่นจังหวัดพิษณุโลก โดยใช้เทคนิคการวิจัยเชิง คุณภาพด้วยการวิเคราะห์เอกสารเผยแพร่ เอกสารทางวิชาการ และการสัมภาษณ์บุคคล ผลการศึกษาพบว่าในช่วงแรกผู้ได้รับ การเลือกตั้งจะเป็นผู้เคยดำรงตำแหน่งข้าราชการและเป็นกลุ่ม บุคคลชั้นนำในสังคมจนถึง พ.ศ. 2512 สภาพการเมืองเริ่ม 79

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี เปลี่ยนแปลงไปนักการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งจะเป็นผู้มีความ ผูกพันกับจังหวัดพิษณุโลกอย่างใกล้ชิดกับประชาชนมาตั้งแต่ รุ่นบิดา มารดาบางคนมีบิดามารดาเป็นนักการเมืองท้องถิ่น มาก่อน บางคนเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง บางคนบิดาเคยเป็น ส.ส. มาก่อน สำหรับยุทธวิธีการหาเสียงมีหลายรูปแบบ เช่น การพบปะชาวบ้านในพื้นที่เลือกตั้งเพื่อคลุกคลี พูดคุยสร้าง ความคุ้นเคยทั้งก่อนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง การปราศรัยหา เสียง การฉายหนังกลางแปลงแล้วคั่นด้วยการปราศรัยหาเสียง การใช้สื่อประชาสัมพันธ์และการใช้รถแห่กระจายเสียง เป็นต้น ในส่วนของปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จในการเลือกตั้งนั้น ประกอบด้วยปัจจัยสำคัญดังนี้ 1. ความสัมพันธ์ของผู้สมัครที่มีต่อชุมชน 2. ค่าใช้จ่ายในการใช้หาเสียง 3. การมีเครือข่ายทางสังคมของผู้สมัคร 4. ความสัมพันธ์กับนักการเมืองระดับท้องถิ่นและ ผู้นำชุมชน 5. การสร้างระบบอุปถัมภ์ผ่านการช่วยเหลือใน ลักษณะต่างๆ สุเชาวน์ มีหนองหว้าและกิติรัตน์ สีหบัณฑ์ (2549: บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัด อุบลราชธานี โดยใช้เทคนิควิธีการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการ ศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์บุคคลและการสังเกตการณ์ ผลการศึกษาวิจัยพบว่า ภูมิหลังและอาชีพของนักการเมือง 80

ข้อมูลทั่วไปและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง ในจังหวัดอุบลราชธานี ตั้งแต่ พ.ศ. 2476-2548 สามารถแบ่งได้ เป็น 2 ยุคคือ ยุคของนักการเมืองที่เป็นข้าราชการ (พ.ศ.2476- พ.ศ. 2514) และยุคของนักธุรกิจการเมือง (พ.ศ. 2518- พ.ศ. 2548 นักการเมืองมีการรวมกลุ่มกันเป็นบางช่วงเพื่อช่วยเหลือ กันในการเลือกตั้ง ในส่วนรูปแบบการหาเสียงในอดีตและ แตกต่างจากปัจจุบัน โดยที่ในอดีตจะใช้การปราศรัยในแหล่ง ชุมชน มีเครือญาติและเพื่อนช่วยเหลือ แต่ในยุคปัจจุบัน ใช้วิธีการบริหารจัดการหัวคะแนนในชุมชนควบคู่ไปกับระบบ อุปถัมภ์ การเข้าร่วมกิจกรรมกับชุมชน ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ที่มีวิธีการบริหารจัดการหัวคะแนนที่ดีจะชนะการเลือกตั้ง 81



บ3ทท ่ี ข้อมูลนักการเมืองถิ่น จังหวัดจันทบุรี นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ สมบรู ณาญาสทิ ธริ าชยม์ าเปน็ ระบอบประชาธปิ ไตย การเลอื กตง้ั ของไทยไม่มีความสม่ำเสมอ เป็นเพราะมีปัญหาความขัดแย้ง ทางการเมืองบ่อยครั้ง ซึ่งแทนที่จะแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีกลับ เปน็ การแกป้ ญั หาดว้ ยการเขา้ ใชก้ ำลงั เขา้ ยดึ อำนาจ ประเทศไทย มีการกระทำที่เรียกว่าปฏิวัติ รัฐประหาร และกบฏ รวมกันถึง 18 ครั้ง (อัษฏางค์ ปาณิกบุตร, 2544,หน้า 399) เป็นผลให้การ พัฒนาการเมืองของไทยเป็นไปอย่างล่าช้า การศึกษา วิวัฒนาการการเลือกตั้งจะช่วยให้เข้าใจปรากฏการณ์ทางการ เลือกตั้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ชัดเจนขึ้น โดยสามารถอธิบาย วิวัฒนาการการเลือกตั้งของไทยผ่านการเลือกตั้งทั่วไปที่เกิดขึ้น ได้ดังนี้

นักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี 3.1 การเลือกตั้งของไทยต้ังแต่อดีต-ปัจจุบัน 3.1.1 การเลือกต้ังคร้ังที่ 1 พ.ศ. 2476 (วันท่ี 15 พฤศจกิ ายน 2476) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน พ.ศ. 2476 เป็นการเลือกตั้งการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนครั้งแรกใน ประเทศไทย (ในยุคแรกการเรียกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะ เรียกว่า สมาชิกสภาผู้แทน) ภายหลังจากการที่ได้มีการประกาศ ใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ.2475 ได้กำหนดให้ สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก 2 ประเภท มีจำนวน เท่ากัน โดยสมาชิกประเภทที่ 1 ให้มาจากการเลือกตั้ง ส่วน สมาชิกประเภทที่ 2 มาจากการแต่งตั้ง การเลือกตั้งครั้งนี้ได้มี ขึ้นเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2476 ตามพระราชบัญญัต ิ การเลือกตั้ง พ.ศ.2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2476 โดยกำหนดให้ ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกตั้งผู้แทนตำบลๆ ละ 1 คนแล้วให้ ผู้แทนตำบลเลือกผู้แทนของจังหวัดๆ ละหนึ่งคน ซึ่งเป็นการ เลือกตั้งทางอ้อม ถ้าจังหวัดใดมีพลเมือง เกิน 1 แสนคน ให้เลือกผู้แทนได้อีก 1 คน ทุกๆ จำนวน 1 แสนของพลเมือง การเลือกตั้งครั้งนี้มีสมาชิกสภาผู้แทนจำนวน 78 คน การเลือกตั้งครั้งนี้ตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้ เป็นการเลือกตั้งโดยอ้อมแบบรวมเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะทำการเลือกผู้แทนตำบลของตนขึ้นมา ตำบลละหนึ่งคนเพื่อให้ผู้แทนตำบลเป็นผู้เลือกสมาชิกสภา ผู้แทนอีกครั้งหนึ่ง การเลือกตั้งลักษณะนี้ถูกนำมาใช้ในการ เลือกตั้งครั้งแรกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 84

ข้อมูลนักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี ทั้งสิ้น 4,278,231 คน มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 1,783,532 คน (คิดเป็นร้อยละ 41.45) จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิมากที่สุด คือ เพชรบุรี (คิดเป็นร้อยละ 78.82) และน้อยที่สุด คือแม่ฮ่องสอน (คิดเป็นร้อยละ 17.71) (สมบัติ ธำรงธัญวงศ์, 2549, หน้า 89) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนครั้งนี้จังหวัด จันทบุรีมีผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน คือ หลวง นรินทร์ประศาสตร์เวช (เจน สุนทโรทัย) และการเป็นสมาชิก สภาผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งในครั้งนี้ สิ้นสุดลงวันที่ 9 ธันวาคม 2480 เนื่องจากครบวาระตามรัฐธรรมนญู 3.1.2 การเลือกตั้งคร้ังที่ 2 พ.ศ. 2480 (วันท ่ี 7 พฤศจกิ ายน 2480) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน พ.ศ.2480 เป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนครั้งที่ 2 ของประเทศไทย โดยผู้แทนชุดแรกต้องพ้นจากวาระในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2480 จึงได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนประเภทที่ 1 ขึ้น ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 3 พ.ศ.2479 กำหนดให้เป็น การเลือกตั้งโดยตรง การเลือกตั้งครั้งนี้มีสมาชิกสภาผู้แทนรวม 91 คน โดยที่การเลือกตั้งในครั้งนี้ได้กำหนดให้เป็นการเลือกตั้ง โดยตรงจากประชาชนและจัดแบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็นลักษณะ เขตเดียวคนเดียว ทั้งนี้ใช้อัตราส่วนราษฎร 200,000 คน ต่อ สมาชิกสภาผู้แทน 1 คน และหากจังหวัดใดมีราษฎรไม่ถึง 200,000 คน ก็ให้มีผู้แทนได้ 1 คน ถ้าจังหวัดใดมีจำนวน ราษฎรเกิน 200,000 คนให้จังหวัดนั้นมีเขตเลือกตั้งเพิ่มขึ้นอีก 85

นักการเมืองถ่ินจังหวัดจันทบุรี หนึ่งเขตเศษของ 200,000 คน ถ้าเกินกว่า 100,000 คน ให้นับ เป็น 200,000 คน และในการเลือกตั้งนี้ราษฎรคนหนึ่งสามารถ ลงคะแนนเลือกผู้สมัครในเขตเลือกตั้งได้เพียงคนเดียว (ประกายศรี ศรีรุ่งเรือง, 2550, หน้า 38-40) การเลือกตั้งครั้งนี้มีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทั้งสิ้น 6,123,239 คน มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 2,462,535 คน (คิดเป็นร้อยละ 40.22) จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิมากที่สุด คือ นครนายก (คิดเป็นร้อยละ 80.50) และน้อยที่สุด คือแม่ฮ่องสอน การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนครั้งนี้จังหวัด จันทบุรีมีผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน คือ นายวงศ์ เว้นชั่ว และการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้ง ในครั้งนี้สิ้นสุดลง เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2481 โดยเหตุที่มีการ ตราพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 11 กันยายน 2481 ถือเป็นการยุบสภาครั้งแรกของประเทศไทย และได้ กำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2481 ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้จัดการเลือกตั้งภายใน 90 วันนับจากวันที่มีพระราชกฤษฎีกาให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร 3.1.3 การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ครั้งที่ 3 (วันที่ 12 พฤศจกิ ายน 2481) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน พ.ศ. 2481 เป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนครั้งที่ 3 ของประเทศไทย เมื่อรัฐบาลได้จัดให้มีการยุบสภา ในปี พ.ศ.2481 เนื่องจาก นายถวิล อดุล สมาชิกสภา ผู้แทนจังหวัดร้อยเอ็ดได้เสนอญัตติ 86

ข้อมูลนักการเมืองถิ่นจังหวัดจันทบุรี ใ ห ้ ส ภ า พ ิ จ า ณ า แ ล ะ ข อ แ ก ้ ไ ข ข ้ อ บ ั ง ค ั บ ก า ร ป ร ะ ช ุ ม แ ล ะ การปรึกษาของสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับวิธีการเสนอร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี ภายหลังเมื่อมีการลงมติ รัฐบาลแพ้การลงมติในญัตตินั้น ส่งผลให้พระยาพหลพล พยุหเสนา นายกรัฐมนตรี ได้ตัดสินใจกราบบังคมทูล ขอลาออกจากตำแหน่งต่อคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไม่ยอมรับใบลาออก โดย ให้เหตุผลว่าสถานการณ์โลกในช่วงนั้นอยู่ในภาวะปั่นป่วน คับขัน ประกอบกับคณะรัฐมนตรีจะต้องเตรียมการรับเสด็จ พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ที่จะเสด็จกลับสู่พระนคร รัฐบาล ควรอยู่บริหารราชการต่อไป ทำให้พระยาพหลพลพยุหเสนา ตัดสินใจประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 11 กันยายน 2481 สภาผู้แทนราษฎรจึงสิ้นสุดลง และได้กำหนดให้จัดการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน ประเภทที่ 1 ขึ้นใหม่ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2481 มีผู้แทนราษฎรได้รับการเลือกตั้งรวม 91 คน เท่ากับการเลือกตั้งครั้งที่ 2 การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งทางตรงแบบ แบ่งเขต ซึ่งเป็นระบบและวิธีการเดียวกับการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 2 มีสภาผู้แทนราษฎรได้ 91 คน มีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทั้งสิ้น 6,310,172 คน มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 2,210,332 คน (คิดเป็นร้อยละ 35.05) จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิมากที่สุด คือ นครนายก (คิดเป็นร้อยละ 67.36) และน้อยที่สุดคือ ตรัง (คิดเป็นร้อยละ 16.28) (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2548, หน้า 13) 87