นักการเมอื งถิน่ จงั หวัดพระนครศรอี ยธุ ยา 2. หัวคะแนนในระดับรองหรือระดับล่างได้แก่บุคคลที่ไม่ได้มี ความผกู พนั สนทิ สนมกบั ตวั ผสู้ มคั รในทางใดทางหนง่ึ มากอ่ นทจ่ี ะมกี าร เลือกต้ังหรือถ้ามีก็เป็นเพียงความสัมพันธ์แบบผิวเผิน แต่หัวคะแนน รองอาจมคี วามสมั พนั ธท์ ส่ี นทิ สนมหรอื เคยมกี ารเกอื้ กลู อปุ ถมั ภม์ ากอ่ น กบั หวั คะแนนหลกั และเขา้ มาทำ�งานใหแ้ กผ่ สู้ มคั รกเ็ ปน็ การรอ้ งขอหรอื สงั่ การจากหวั คะแนนหลกั โดยทตี่ วั ผสู้ มคั รรบั การเลอื กตงั้ และหวั คะแนน ระดบั รองอาจไมเ่ คยพบปะกนั เลยกไ็ ด้ การท�ำ งานของหวั คะแนนระดบั น้ีปกติจะคาดหวังค่าจ้างหรอื ค่าตอบแทน ผู้สมคั รรบั เลอื กตง้ั หวั คะแนนหลัก หัวคะแนนรอง หวั คะแนนรอง แผนภมู ทิ ี่ 1 ความสมั พันธ์ของผูส้ มัครรบั เลอื กตงั้ กับหัวคะแนนหลักและหวั คะแนนรอง ที่มา, (สมบัติ จนั ทรวงศ์,2529, หนา้ 48) 38
ข้อมลู ท่วั ไปของจังหวดั พระนครศรอี ยุธยาและงานวิจยั ทเี่ กยี่ วข้อง ส่วนความแนวคิดในเร่ืองการแลกเปล่ียนน้ันเป็นแนวคิดที่มี ความสมั พนั ธก์ บั ระบบอปุ ถมั ภ์ กลา่ วคอื แนวคดิ ทว่ี า่ มนษุ ยจ์ ะมคี วาม สัมพันธ์คบหากันใกล้ชิดเพียงใดข้ึนอยู่กับการแลกเปล่ียนผลประโยชน์ ที่จะตอบสนองต่อความต้องการของกันและกันได้มากน้อยเพียงใด ผลประโยชน์ในแง่นี้มีความหมายค่อนข้างกว้างขวาง กล่าวคือเป็นผล ประโยชนท์ งั้ ในดา้ นวตั ถุ เชน่ ทรพั ยส์ นิ เงนิ ทอง ผลประโยชนใ์ นแงข่ อง นามธรรม เชน่ ชื่อเสียง เกียรตยิ ศ ตำ�แหน่ง หรอื ผลประโยชนท์ าง จิตใจ เชน่ ความรกั ความปรารถนาดี ความผูกพัน เปน็ ต้น พนื้ ฐานความคดิ ของการแลกเปลยี่ นน�ำ ไปสกู่ ารเกดิ ขน้ึ และการ ด�ำ รงอยขู่ องระบบอปุ ถมั ภ์ ผซู้ งึ่ จะสามารถสรา้ งระบบอปุ ถมั ภแ์ ละด�ำ รง รักษาความมั่นคงยั่งยืนของระบบอุปถัมภ์เอาไว้ได้จะต้องมีทรัพยากร และกลวิธีในการตอบสนองต่อหลักการในเรื่องของการแลกเปล่ียน เป็นอย่างดี ระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทยในด้านที่เก่ียวกับการเลือกต้ัง หรือ ความสมั พนั ธท์ างการเมอื งแบบอปุ ถมั ภม์ ลี กั ษณะเปน็ พลวตั (Dynamic) สงู กล่าวคอื อาจมกี ารเปลี่ยนแปลงขั้วหรือกลุ่มของผ้อู ปุ ถมั ภ์และผู้รับ อุปถัมภ์ได้โดยง่ายอันเป็นผลมาจากการเปล่ียนแปลงในแง่ของการ แลกเปล่ียนนั่นเอง ผู้อุปถัมภ์ อาจมีการเปลี่ยนแปลงผู้รับอุปถัมภ์ เม่ือเห็นว่ามีผู้รับการอุปถัมภ์รายใหม่ หรือกลุ่มใหม่ที่สามารถให้ ผลตอบแทนในเชิงการแลกเปล่ียนผลประโยชน์ได้ดีกว่า หรือผู้รับ การอุปถัมภ์หมดประโยชน์หรือหมดความจำ�เป็น ในทำ�นองเดียวกัน ผู้รับการอุปถัมภ์ก็อาจเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์กับผู้อุปถัมภ์เดิม เมอื่ เหน็ ว่ามีผอู้ ุปถมั ภ์รายใหมห่ รือกลุม่ ใหม่ ซึ่งมคี วามสามารถในการ ตอบสนองในเชงิ การแลกเปลย่ี น หรอื อกี นยั หนง่ึ สามารถใหผ้ ลประโยชน์ 39
นักการเมอื งถิ่นจังหวดั พระนครศรอี ยุธยา ในด้านต่างๆ ที่ต้องการได้ดีกว่าผู้อุปถัมภ์รายเดิม หรือผู้อุปถัมภ์ รายเดมิ หมดอ�ำ นาจหรอื หมดผลประโยชนไ์ ปเช่นกนั 4. กรอบแนวคิดเกี่ยวกับกลยุทธ์การตลาดทางการเมือง (Political Marketing) ในช่วงการเมืองสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ปรากฏ การณ์ทางการเมืองท่ีพรรคไทยรักไทยใช้เป็นแนวทางในการรณรงค์หา เสียงเลอื กตั้ง คือ การขายแนวความคดิ เชิงนโยบายซ่ึงมสี าระส�ำ คัญท่ี การสรา้ งหรอื ผลติ นโยบายทค่ี าดวา่ จะไดร้ บั ความนยิ ม หรอื การยอมรบั จากประชาชนที่เป็นฐานคะแนน โดยใช้หลักการทางการตลาดในกา ระบวนการดังกล่าวมีการผลิตคำ�ท่ีจดจำ�ได้ง่ายและมีพลังต่อความคิด เช่น “จัดระเบียบสังคม” “หนึ่งตำ�บลหนึ่งผลิตภัณฑ์” “โครงการเอื้อ อาทร” เป็นต้น แม้ว่านโยบายดังกล่าวจะสร้างกระแสตอบรับจากประชาชน ระดับฐานรากในชนบท และคนจนในเมืองได้ส่วนหนึ่งแต่ภายหลัง ก็มีการศึกษาผลกระทบ และช้ีให้เห็นถึงความผิดพลาดล้มเหลวของ นโยบายทเ่ี ปน็ ความ “หวอื หวา” เพื่อผลทางการเมืองหรือเปน็ นโยบาย ทเี่ รยี กวา่ “ประชานยิ ม” นนั่ เอง อย่างไรก็ตามนโยบายลักษณะประชานิยมนี้ก็ส่งผลกระทบต่อ รูปแบบของ“การเมอื งถิ่น”และ“นกั การเมืองถ่ิน” คอ่ นขา้ งสูงดังจะเห็น ได้วา่ การเลือกต้งั ทวั่ ไปคร้งั ท่ี 21 ใน พ.ศ. 2548 และการเลอื กตัง้ ท่ัวไป ครั้งท่ี 22 ใน พ.ศ. 2550 ซ่งึ เปน็ การเลือกตง้ั ครัง้ ล่าสดุ เห็นได้ว่า ในภาค ตะวันออกเฉยี งเหนอื และภาคเหนอื กระแสของพรรคไทยรกั ไทยนนั้ มี 40
ขอ้ มลู ท่ัวไปของจังหวดั พระนครศรอี ยุธยาและงานวิจยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง อยสู่ งู มาก และเปน็ ปจั จยั หลกั ในการก�ำ หนดชยั ชนะในการเลอื กตง้ั ของ ผู้สมัครรับเลือกต้ังในจังหวัดต่าง ๆ ซ่ึงอธิบายได้ว่าได้รับการเลือกตั้ง เพราะกระแสความนิยมของพรรคไทยรักไทยและกระแสความนิยมใน ตวั พ.ต.ท.ทกั ษิณ ชนิ วตั ร น่ันเอง ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550 แม้พรรคไทยรักไทยจะถูกยุบไป แลว้ แตก่ เ็ ปน็ ทท่ี ราบกนั ดวี า่ พรรคพลงั ประชาชนกค็ อื รา่ งใหมข่ องพรรค ไทยรกั ไทยกไ็ ดร้ บั การเลอื กตง้ั อยา่ งทว่ มทน้ ในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และภาคเหนอื และยังคงสบื ทอดมาส่พู รรคเพือ่ ไทยในที่สดุ ดงั นน้ั กรอบแนวคดิ เกยี่ วกบั กลยทุ ธก์ ารตลาดทางการเมอื งหรอื ที่เรียกกันท่ัวไปว่า “ประชานิยม” จึงน่าจะมีผลต่อการศึกษาทำ�ความ เข้าใจลกั ษณะของ “การเมืองถ่ิน” และ “นกั การเมอื งถิ่น”เช่นเดยี วกนั บูฆอรี ยีหมะ (2547, หน้า 4 - 5) อธิบายว่า แนวคิดน้ีมอง ว่าการเมืองไม่ต่างจากการเสนอขายสินค้าและใช้วิธีการเดียวกับการ โฆษณาสินคา้ (Commercial Advertising) มาใชใ้ นการหาเสียงเลือกตงั้ โดยเฉพาะการโฆษณาทางสอ่ื โทรทศั นแ์ ละหนงั สือพมิ พ์ แนวคิดสำ�คัญทางด้านการตลาดประการหน่ึงก็คือการเข้าใจ ความต้องการของลูกค้าเพ่ือจะได้ผลิตสินค้าออกมาตอบสนองความ ต้องการของพวกเขาไดต้ รงจดุ มากที่สดุ แทนทีจ่ ะผลติ สินค้าตามความ คิดของผู้ผลิตเม่ือให้ผู้ซ้ือสินค้ายอมรับในคุณภาพของสินค้านอกจาก น้ัน กลยุทธ์ท่ีสำ�คัญอีกประการหนึ่งเพ่ือความสำ�เร็จเหนือคู่แข่ง ก็คือ ความสามารถในการสรา้ งตลาดใหม่ (niche market) ท่ีคู่แข่งยงั ไม่เคย กระทำ�มาก่อนซ่ึงก็คือการนำ�เสนอสินค้าใหม่ท่ีไม่เคยมีคู่แข่งผลิตมา กอ่ นนน่ั เอง โดยผลิตขน้ึ ภายใต้โอกาสที่เปิดขน้ึ จากปัญหาท่ผี ซู้ อ้ื เผชญิ อยู่ ทำ�ใหต้ อ้ งการสนิ คา้ ใหม่ท่ีคอยสนองต่อปญั หาท่ีว่าน้ัน 41
นักการเมืองถิน่ จงั หวัดพระนครศรอี ยธุ ยา ดงั นนั้ เมอื่ พจิ ารณาในแงก่ ลยทุ ธข์ องพรรคการเมอื งทนี่ �ำ แนวคดิ ทางดา้ นการตลาดมาปรับใช้ก็คือ การผลติ นโยบายหาเสียง ซ่ึงถือเป็น สนิ คา้ การเมอื งทส่ี �ำ คญั สนองตอบความตอ้ งการของประชาชนไดอ้ ยา่ ง ตรงจุดให้มากที่สุดเพื่อแก้ปัญหาที่ประชาชนกำ�ลังเผชิญอยู่ในชีวิต ประจำ�วัน ซ่ึงยังไม่มีพรรคการเมืองใดนำ�เสนอมาก่อน หลังจากผ่าน การเรยี นรคู้ วามตอ้ งการดงั กลา่ วจากการวจิ ยั ส�ำ รวจ หรอื ลงไปคลกุ คลี ค้นหาข้อมูลจากประชาชนในพ้ืนท่ีต่างๆองค์ประกอบท่ีสำ�คัญท่ีสร้าง ความสำ�คัญใหแ้ กพ่ รรค การเมอื งแบบประชานิยม คอื การจัดองค์กร ของพรรค พรรคการเมอื งแบบประชานยิ มทปี่ ระสบความส�ำ เรจ็ ทง้ั หลาย ตา่ งลว้ นเปน็ พรรคทน่ี �ำ โดยผนู้ �ำ แบบบญุ ญาบารมี (Charismatic Leader) สามารถชี้น�ำ ทิศทางและยุทธศาสตร์ทางการเมืองท่พี รรคจะด�ำ เนินไป เมื่อพิจารณาในแง่โครงสร้างองค์กร พรรคการเมืองแบบน้ีมี ลกั ษณะรวมอำ�นาจเขา้ สู่สว่ นกลางสงู การตัดสินใจทางการเมอื งขึ้นอยู่ กับผ้นู �ำ พรรค หรอื ผบู้ ริหารพรรคระดบั สงู เพยี งไมก่ ี่คน แลว้ จงึ สง่ ทอด ไปยงั ระดบั ลา่ ง (Betz, 1998 p. 9, Immerfall, 1998 p.254, Kitchelt, 2002 p. 195, Taggart, 1996 pp.36-38 อา้ งในบูฆอรี ยหี มะ, 2547, หน้า 25) โดยสรุปกรอบแนวคิดท่ีใช้ในการศึกษา “การเมืองถิ่น” และ “นกั การเมอื งถิน่ ” จงั หวดั พระนครศรีอยุธยา คือกรอบแนวคดิ เกย่ี วกับ การรณรงค์หาเสียงการเลือกตัง้ ระบบอปุ ถัมภ์ และกรอบแนวคดิ เกีย่ ว กับกลยุทธ์การตลาดทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างย่ิงกระแสประชา- นิยมของพรรคการเมืองอันเป็นผลเน่ืองจากการทำ�การตลาดทาง การเมืองของพรรคการเมืองนนั้ กรอบแนวคิดดังกล่าวจะเป็นแนวทางในการกำ�หนดรูปแบบวิธี 42
ขอ้ มูลทวั่ ไปของจงั หวัดพระนครศรอี ยุธยาและงานวิจยั ท่เี กีย่ วข้อง การในการศึกษา ประเด็นในการศึกษาวิเคราะห์ การสัมภาษณ์ และ สุดท้ายเป็นแนวทางในการสังเคราะห์ข้อมูลที่ค้นพบมาสร้างเป็นคำ� อธบิ ายรูปแบบ (pattern) ของ “การเมอื งถิ่น” และ “นักการเมอื งถ่นิ ” จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา งานวจิ ัยทเ่ี กยี่ วข้อง อัครเมศวร์ ทองนวล (2540) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการ เลอื กตงั้ พบวา่ พฤตกิ รรมในการรณรงคห์ าเสยี งเลอื กตงั้ มคี วามเกยี่ วขอ้ ง กับปัจจัยหลายด้าน ที่สำ�คัญคือวัฒนธรรมทางการเมืองแบบอุปถัมภ์ ค่านิยมของสังคมเรื่องความกตัญญูกตเวที ค่านิยมเกี่ยวกับการแจก สง่ิ ของ ดงั นนั้ ในการรณรงคห์ าเสยี งเลอื กตงั้ จะตอ้ งมปี จั จยั ทส่ี อดคลอ้ ง กบั วฒั นธรรมทางการเมอื งและรายงานอปุ ถมั ภด์ งั กลา่ วผา่ นทางระบบ หัวคะแนนโดยการแจกสิ่งของหรือเงิน การศกึ ษาในเชงิ พฤตกิ รรมการเลอื กตงั้ เชน่ การศกึ ษาของพงศธร จันทร์แกว้ (2535) เรือ่ ง ผลกระทบของการใช้เงินซอ้ื เสียงตอ่ พฤตกิ รรม การลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง : ศึกษากรณีจังหวัดพระนคร ศรีอยุธยา ผลการวจิ ัยพบวา่ พฤตกิ รรมการลงคะแนนเสยี งของผู้มสี ทิ ธิเลอื กตง้ั ขึ้น อยู่กับปัจจัยสำ�คัญ 2 ประการคือเงินและหัวคะแนนนอกจากน้ียังพบ ว่ากลุ่มคนที่รับเงินส่วนใหญ่จะมีสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม ต่ำ� ดังนั้น การรับเงินในการเลือกต้ังจึงถือว่าเงินเป็นส่ิงท่ีมีคุณค่าและ คนท่ีรับเงินยังถือว่า เงินเป็นสินนำ้�ใจที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้เลือกต้ังกับหัวคะแนน ตามระบบโครงสร้างอำ�นาจในชุมชนของคน ไทย ซง่ึ มผี ลท�ำ ใหห้ วั คะแนนมอี ทิ ธพิ ลอยา่ งส�ำ คญั ตอ่ พฤตกิ รรมการลง คะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของความเกรงใจ 43
นกั การเมืองถ่นิ จังหวดั พระนครศรอี ยุธยา หัวคะแนนสว่ นปจั จัยอ่นื ๆ เชน่ การแจกสงิ่ ของ หรอื การคาดว่าจะได้ สาธารณประโยชน์ มีอิทธิพลเพียงเล็กน้อยต่อการกำ�หนดพฤติกรรม การลงคะแนนเสยี งเลอื กตั้ง สมโภชน์ ศรีโภชนส์ มบรู ณ์ (2534) ศึกษาเร่อื งการแลกเปลย่ี น ผลประโยชนข์ องหวั คะแนน : ศกึ ษาเฉพาะกรณจี งั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา พบว่าแบบแผนของการแลกเปล่ียนผลประโยชน์ของหัวคะแนนในเขต เลอื กตั้งน้ี ผสู้ มคั รใหค้ วามช่วยเหลอื แกห่ ัวคะแนนเปน็ ส่วนตัว และให้ ผลประโยชน์ส่วนรวมแก่ชุมชน โดยผ่านหัวคะแนนในเวลาปกติ เมื่อ มีการเลือกต้ังผู้สมัครจะแจกจ่ายเงินให้แก่ผู้เลือกต้ังผ่านหัวคะแนน และให้เงินแก่หัวคะแนนแลกเปลี่ยนกับการระดมคะแนนเสียง ส่วน หัวคะแนนน้ันจะช่วยเหลือผู้เลือกต้ังและเรียกร้องผลประโยชน์ส่วน รวมจากผู้สมัครสชู่ ุมชนในเวลาปกติ และแจกจา่ ยเงินรายละ 50 - 100 บาท ก่อนวันเลือกตั้ง 1 วัน หรือในวันเลือกตั้งแลกเปลี่ยนกับการไป ลงคะแนนเสียง เพียงกมล มานะรัตน์ (2547) ศึกษากระบวนการรณรงค์หา เสียงเลือกตั้งนายกเทศมนตรีของเทศบาลนครเชียงใหม่พบว่าการ จัดตงั้ องคก์ รหาเสยี ง วิธีการ-ยุทธวิธี และความสัมพนั ธ์ระหว่างผูส้ มัคร รับเลือกต้ัง หัวคะแนนและประชาชนส่วนใหญ่เป็นเรื่องของความ สัมพันธ์ส่วนบุคคลในรูปแบบความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ โดยมี ผลประโยชน์เป็นตัวเชื่อมทั้งสามฝ่ายเข้าด้วยกันแต่ในอีกส่วนหนึ่ง ไดเ้ กดิ ความเปลย่ี นแปลงดา้ นความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผสู้ มคั ร หวั คะแนน ประชาชน โดยไม่ได้เป็นเรอื่ งของความสมั พันธส์ ่วนบุคคล ทั้งสามฝ่าย มิได้มีความสัมพันธ์ส่วนตัวใด ๆ ระหว่างกัน นอกจากน้ันพบว่าจาก ผลของกฎหมายเลือกต้ังท่ีเข้มงวดก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงทั้งด้าน 44
ขอ้ มลู ทั่วไปของจังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยาและงานวิจัยทเ่ี ก่ียวขอ้ ง บวกและด้านลบ ดา้ นบวก คอื ผูส้ มัครรับเลือกตั้ง หันไปเน้นการเสนอ นโยบายท่ีเป็นที่ยอมรับของประชาชนมากข้ึน ส่วนด้านลบ คือ เกิด การปรบั กลยทุ ธว์ ธิ กี ารหาเสยี งทไ่ี มส่ จุ รติ ทง้ั หลายใหม้ คี วามสลบั ซบั ซอ้ น ยากแก่การเอาผดิ ได้มากยิ่งข้ึน สว่ นการศกึ ษาเกย่ี วกบั นกั การเมอื งถน่ิ ในจงั หวดั ตา่ ง ๆ ไดม้ กี าร วจิ ยั ในหลายจงั หวัด ดงั น้ี พรชัย เทพปัญญา (2549) ไดว้ จิ ยั เรือ่ ง นกั การเมืองถน่ิ จังหวัด ปทมุ ธานี พบวา่ นักการเมอื งสว่ นใหญอ่ ยูใ่ นตระกูลหาญสวสั ด์ิ และมี ภูมิหลังทางการศึกษา ตลอดจนฐานะทางเศรษฐกิจที่เอื้ออำ�นวยต่อ การเปน็ นกั การเมอื ง ณรงค์ บญุ สวยขวญั (2549) ไดว้ จิ ยั เรอื่ ง นกั การเมอื งถนิ่ จงั หวดั นครศรีธรรมราช พบว่า นักการเมืองถ่ินส่วนใหญ่มีความรู้สูง การ หาเสียงเน้นการสร้างเครือข่าย เช่น ญาติ เครือข่ายวิชาชีพ สถาบัน ชมรม และสถาบันทางศาสนา แนวความคดิ เรื่องระบบอปุ ถัมภย์ ังคงมี ความส�ำ คัญ แตต่ อ้ งผนวกกบั คุณลักษณะท่ีโดดเดน่ ส่วนตัวด้วย บฆู อรี ยหี มะ (2549) ไดว้ จิ ยั เรอ่ื ง นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั ปตั ตานี พบว่า การได้รบั เลอื กตั้งของนกั การเมืองถิ่นมคี วามสมั พันธก์ ับสถาบนั และกลไกทางศาสนาอิสลาม เช่น คณะกรรมการอิสลามประจ�ำ จังหวดั โต๊ะครเู จ้าของโรงเรยี นปอเนาะ หรอื โตะ๊ อิหมา่ มประจ�ำ มสั ยิด ชาญณวุฒ ไชยรักษา (2549) ได้วิจัยนักการเมืองถ่ินจังหวัด พิษณุโลกพบว่า ความสำ�เร็จของนักการเมืองถิ่น ข้ึนอยู่กับปัจจัยหลัก 4 ประการ คอื 1. ความสมั พนั ธ์ของผูส้ มคั รกบั ชุมชน 2. จ�ำ นวนคา่ ใชจ้ า่ ยทใี่ ช้ในการรณรงคห์ าเสยี งเลือกตงั้ 45
นักการเมอื งถ่นิ จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา 3. เครือข่ายทางสงั คมและการเมืองท้องถน่ิ ของผู้สมัคร 4. ระบบอุปถมั ภ์ของผสู้ มัครกับชมุ ชนและหัวคะแนน ประกายศรี ศรีรุ่งเรือง (2550) ได้วิจัย เร่ือง นักการเมืองถ่ิน จังหวัดเชียงราย พบว่า ความนิยมของประชาชนขึ้นอยู่กับกระแส ของพรรค ดังจะเห็นว่านักการเมืองถ่ินของจังหวัดมีการย้ายพรรคอยู่ เสมอ มีการใช้ระบบอุปถัมภ์และการจัดตั้งองค์กรหาเสียงและมีการใช้ วิธกี ารรณรงค์การเลอื กต้งั หลายรูปแบบ เช่น แจกสง่ิ ของ แจกเงิน การ ปราศรยั การใชแ้ ผ่นปลิว การพาไปทศั นศึกษา การพนนั ขนั ตอ่ การซ้ือ บัตรประชาชน การสัญญาวา่ จะให้และการใชอ้ ทิ ธพิ ลขม่ ขู่ นริ นั ดร์ กลุ ฑานนั ท์ (2549) ไดว้ จิ ยั เรอื่ ง นกั การเมอื งถนิ่ จงั หวดั บรุ รี มั ย์ พบวา่ เครอื ขา่ ยความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งนกั การเมอื งเปน็ เรอื่ งของ การแบ่งปันผลประโยชน์ โดยผ่านองค์กรต่าง ๆ เช่น สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม องค์กรกู้ภัย ตลอดจนความสัมพันธ์แบบเครือญาติ และระบบอุปภัมภต์ ่าง ๆ สว่ นเทคนคิ การรณรงคห์ าเสยี ง ประกอบดว้ ยการแจกเงนิ สงิ่ ของ การอบรม การจัดทัศนศึกษาดูงาน การจัดงานเล้ียงในกิจการต่าง ๆ การใชอ้ ทิ ธพิ ล เป็นตน้ สเุ ชาวน์ มหี นองหวา้ และกติ ติรัตน์ สหี มญั ฑ์ (2549) ได้วจิ ัย เรื่อง นักการเมืองถ่ินจังหวัดอุบลราชธานี พบว่า ภูมิหลังอาชีพ และ กลวิธีการหาเสียงของนักการเมืองถิ่น แบ่งได้เป็น 2 ยุค คือ ยุคนัก การเมืองท่ีเป็นข้าราชการ (พ.ศ. 2576 - พ.ศ. 2514) และยุคของ นักธุรกจิ การเมือง (พ.ศ. 2518 - พ.ศ. 2548) นักการเมืองในอดตี จะใช้ การพบปะปราศรยั และเครอื ขา่ ยญาตมิ ติ ร แตย่ คุ นกั ธรุ กจิ การเมอื งใชว้ ธิ ี การบรหิ ารจดั การระบบหวั คะแนน การพบปะชมุ ชน และระบบอปุ ถมั ภ์ 46
ข้อมลู ทั่วไปของจังหวัดพระนครศรอี ยุธยาและงานวิจัยทเ่ี ก่ียวข้อง นกั การเมืองที่จะไดร้ ับชยั ชนะการเลือกตงั้ คอื นกั การเมืองท่มี ี ระบบการบริหารจดั การเลอื กตั้งและระบบหวั คะแนนท่มี ปี ระสิทธภิ าพ พรชยั เทพปัญญา (2552) ได้วจิ ยั เร่ือง นักการเมืองถ่ินจงั หวดั ชลบุรี พบว่า 1. นักการเมืองถิ่นของจังหวัดชลบุรี ต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะเป็นบุคคลชั้นนำ�ของจังหวัดในทางสังคมและเศรษฐกิจ บางส่วนมี พน้ื ฐานจากการเป็นนกั การเมืองท้องถ่ินและมกี ารสบื ทอดอ�ำ นาจ โดย ระบบเครอื ญาติ นกั การเมอื งถิ่นจงั หวดั ชลบรุ ี มกี ารแข่งขันกันระหว่าง กลุ่มการเมอื ง 2 กลมุ่ คือ กลมุ่ เรารกั ชลบรุ โี ดยมตี ระกูลคุณปลืม้ เป็น แกนนำ� มีฐานเสียงอยู่ท่ีกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่น เช่น สมาชิกสภา องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั สมาชกิ สภาองคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บล ผนู้ �ำ ท้องถ่นิ ก�ำ นนั ผ้ใู หญ่บ้านกับกลมุ่ การเมอื งท่ีสงั กัดพรรคประชาธปิ ตั ย์ ซง่ึ มฐี านเสยี งทปี่ ระชาชนทว่ั ไปสว่ นวธิ กี ารหาเสยี งทป่ี ระสบความส�ำ เรจ็ คอื การลงพื้นทพ่ี บปะประชาชน การปราศรยั ย่อยในพ้ืนที่ การปราศรัย ใหญ่ การใชส้ ่ือต่าง ๆ การใช้ปา้ ยและแผ่นพับ การใชร้ ถหาเสียง การใช้ เคเบลิ ทวี ที อ้ งถนิ่ การใชร้ ะบบหวั คะแนนและระบบอปุ ถมั ภข์ องผสู้ มคั ร ภาคภมู ิ ฤกขะเมธ (2552) ไดว้ จิ ัย เรอื่ ง นกั การเมืองถน่ิ จงั หวัด ตาก พบว่า นักการเมืองจังหวัดตากมี 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มตระกูล ไชยนนั ทแ์ ละกลมุ่ ทมี่ าจากเครอื ขา่ ยนกั การเมอื งบา้ นจนั กลยทุ ธส์ �ำ คญั ในการเลือกตั้ง ได้แก่ ฐานะทางสังคม เศรษฐกิจ บุคลิกภาพส่วนตัว ระดับการศึกษา ตลอดจนเครือข่ายทางสังคม นอกจากน้ันพบว่า วัฒนธรรมทางการเมือง ของจังหวัดยังคงยึดม่ันในตัวบุคคลมากกว่า นโยบายของพรรคการเมือง 47
นกั การเมืองถ่นิ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 48
บ3ทท่ีขอ้ มลู นกั การเมืองถน่ิ จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ขอ้ มลู นกั การเมืองถ่ิน จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา นับตั้งแต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ จากระบอบ สมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์ มาเปน็ ระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหา กษัตรยิ ท์ รงเป็นประมุขในปี พ.ศ.2475 และมีรฐั ธรรมนญู เป็นกฎหมาย สูงสุดในการปกครองประเทศ ซึ่งกำ�หนดให้ประชาชนมีการเลือกต้ัง สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรเป็นครัง้ แรกในปี พ.ศ. 2476 จนถึงการเลอื ก ต้งั ในปี พ.ศ. 2550 รวม 24 ครง้ั ดงั น้ี การเลอื กตงั้ ครงั้ ท่ี 1 (พ.ศ. 2476) การเลือกต้ังผู้แทนราษฎร พ.ศ.2476 เป็นการเลือกตั้งผู้แทน ราษฎรคร้ังแรกของไทยภายหลังจากท่ีได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจกั รสยาม พ.ศ. 2475 ตามรัฐธรรมนูญก�ำ หนดให้สภา ผแู้ ทนราษฎรประกอบดว้ ย สมาชกิ 2 ประเภท มจี �ำ นวนเทา่ กนั สมาชกิ ประเภทที่ 1 มาจากการเลอื กตงั้ ประเภทท่ี 2 มาจากการแต่งตง้ั การเลอื กตง้ั มขี นึ้ ในวนั ท่ี 15 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2476 โดยก�ำ หนด 49
นกั การเมืองถนิ่ จังหวดั พระนครศรอี ยุธยา ให้ราษฎรผมู้ สี ิทธเิ ลอื กต้งั เลือกต้ังผูแ้ ทนตำ�บลละ 1 คน แลว้ ใหผ้ แู้ ทน ตำ�บลเลอื กผ้แู ทนของจงั หวัด จงั หวดั ละ 1 คน ถา้ จงั หวดั ใดมพี ลเมอื ง เกิน 1 แสนคน ใหเ้ ลือกผูแ้ ทนไดอ้ ีก 1 คน ทุก ๆ จ�ำ นวน 1 แสนคน ของผมู้ ีสิทธิเลอื กตั้ง การเลอื กตงั้ ครงั้ นมี้ สี มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรทว่ั ประเทศจ�ำ นวน 78 คน ส�ำ หรบั ผแู้ ทนของจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ในการเลอื กตง้ั ครงั้ แรกของประเทศไทย ไดแ้ ก่ นายเลมยี ด หงส์ประภาส การเลอื กตั้งคร้งั ท่ี 2 (พ.ศ.2480) เม่ือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี 1 พ้นวาระไปในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2480 จงึ มีพระราชกฤษฎกี า ให้มกี ารเลอื กตัง้ สมาชิก สภาผแู้ ทนราษฎรประเภทท่ี 1 ขนึ้ ใหมใ่ นวนั ที่ 7 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2480 การเลอื กตงั้ ครงั้ นป้ี ระเทศไทยมสี มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจ�ำ นวน 91 คน เปน็ การเลอื กตง้ั โดยตรง ครง้ั แรกตามพระราชบญั ญตั กิ ารเลอื กตงั้ พ.ศ. 2475 แกไ้ ขเพ่มิ เตมิ ถงึ ฉบบั ท่ี 3 พ.ศ. 2479 การเลือกต้ังคร้ังน้ีจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แบ่งเขตการเลือก ตงั้ เป็น 2 เขตมีสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรจ�ำ นวน 2 คน คือ เขต 1. นาย ประเสรฐิ ธารีสวสั ด์ิ เขต 2 นายเยอ้ื น พานชิ วทิ ย์ การเลือกตั้งครงั้ ที่ 3 (พ.ศ. 2481) รัฐสภาชุดนี้ประกอบด้วยสมาชิกประเภทท่ี 1 และสมาชิก ประเภทที่ 2 สมาชิกประเภทท่ี 1 มาจากการเลอื กต้ังท่วั ไป ครง้ั ท่ี 2 มี จ�ำ นวน 91 คน มาจากการเลือกต้งั เม่ือวนั ท่ี 7 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2480 50
ข้อมลู นักการเมอื งถน่ิ จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา สมาชกิ ประเภทน้ปี ฏิบตั ิหนา้ ท่ี ระหวา่ งวันท่ี 7 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2480 ถึงวนั ท่ี 11 กนั ยายน พ.ศ. 2481 สน้ิ สุดโดยการยุบสภาผู้แทนราษฎร อนั มเี หตมุ าจากการทสี่ ภาผแู้ ทนราษฎรมมี ตริ บั ญตั ตแิ กไ้ ขขอ้ บงั คบั การ ประชุมของสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับวิธีการเสนอร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำ�ปีไว้พิจารณา เพ่ือให้รัฐบาลเสนอราย ละเอียดตามงบประมาณ โดยชัดเจนแต่รัฐบาลไม่สามารถปฏิบัติตาม เงอื่ นไขไดจ้ งึ ยบุ สภาผแู้ ทนราษฎรในวนั ท่ี 11 กนั ยายน พ.ศ. 2481 เพอ่ื ใหม้ ีการเลือกตัง้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทท่ี 1 ขนึ้ ใหม่ สว่ นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 มีจ�ำ นวน 91 คน มา จากการแต่งต้งั จากสมาชกิ ชดุ เดมิ จำ�นวน 78 คน และพระมหากษตั ริย์ ทรงแตง่ ตัง้ เพม่ิ เติมอกี 13 คน เมอ่ื วันท่ี 8 ธนั วาคม พ.ศ. 2480 เพื่อ ให้มจี �ำ นวนเท่ากบั สมาชิกประเภทท่ี 1 เมอื่ มกี ารยุบสภาแล้ว สมาชกิ ประเภทที่ 2 ยังคงอยใู่ นต�ำ แหน่งต่อไป (ไชยวุฒิ มนตรรี กั ษ,์ 2551 : ไมป่ รากฏเลขหนา้ ) ในส่วนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทท่ี 1 ที่ต้องมีการ เลอื กต้ังใหมน่ นั้ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แบ่งออกเปน็ 2 เขตเลือก ตงั้ เขตเลอื กต้งั ละ 1 คน คอื เขต 1 หลวงประสทิ ธน์ รกรรม (เจ่ยี น หงส์ประภาส) เขต 2 นายฟนื้ สพุ รรณสาร การเลือกตงั้ ครงั้ ท่ี 4 (พ.ศ. 2489) การเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคร้ังที่ 4 มีข้ึนในวันท่ี 6 มกราคมพ.ศ. 2489 มสี าเหตจุ ากการทก่ี องทหารญปี่ นุ่ ไดเ้ คลอ่ื นก�ำ ลงั เขา้ สู่ประเทศไทยเมอ่ื ปี พ.ศ. 2484 ประกอบกบั ในปี พ.ศ. 2485 เปน็ 51
นักการเมืองถิ่นจังหวดั พระนครศรอี ยุธยา ปที ส่ี มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรตอ้ งครบต�ำ แหนง่ ตามวาระ จงึ ไดม้ กี ารแกไ้ ข รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ขยายวาระ การเป็นผู้แทนราษฎรออกไปอีก 2 ปี เมื่อสิ้นสุดสงครามมหาเอเชีย บูรพาแล้วรัฐบาลเห็นว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ในตำ�แหน่งนาน เกินไปจึงได้ประกาศยุบสภา และประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการ เลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรข้ึนใหม่ การเลือกตั้งคร้ังน้ีมีสมาชิก สภาผ้แู ทนราษฎรได้จำ�นวน 96 คน จงั หวดั พระนครศรีอยุธยาแบ่งเขตการเลอื กต้ังออกเป็น 2 เขต เขตละ 1 คน คอื นายวโิ รจน์ กมลพนั ธ์ เขตเลือกตงั้ ท่ี 1 นายเยื้อน พานิชวทิ ย์ เขตเลือกต้งั ที่ 2 การเลือกต้งั คร้งั ท่ี 5 (พ.ศ. 2489) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคร้ังที่ 5 มีขึ้นในวันที่ 5 สงิ หาคม พ.ศ. 2489 เป็นการเลอื กตงั้ เพิม่ เติมจากการเลือกต้ังเมอ่ื วนั ที่ 6 มกราคม เนอื่ งจากรฐั ธรรมนญู พ.ศ. 2489 ไดก้ �ำ หนดใหม้ สี มาชกิ สภาผู้แทนราษฎร เพ่ิมเติมอีก 82 คน เม่ือรวมกับสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรเดิมจำ�นวน 96 คน ทำ�ให้สภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่มีจำ�นวน รวมกัน 178 คน ในการเลือกตั้งคร้ังน้ีจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มี สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจ�ำ นวน 3 คน แบง่ ออกเปน็ 3 เขต เลอื กตงั้ ดงั นี้ พล.ร.ต. ถวัลย์ ธ�ำ รงนาวาสวัสด ิ์ เขตเลือกตัง้ ท่ี 1 นายปรีดี พนมยงค ์ เขตเลือกต้ังท่ี 2 ม.จ. นติ ยากร วรวรรณ เขตเลอื กต้ังที่ 3 52
ข้อมลู นักการเมืองถิ่นจังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา การเลอื กตั้งคร้งั ท่ี 6 (พ.ศ.2491) การสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และมีการต้ังข้อสงสัยว่ามีสาเหตุมาจากการถูกลอบปลงพระชนม์ เป็นเหตุสำ�คัญที่นำ�ไปสู่ความตึงเครียดทางการเมืองและนำ�ไปสู่การ รฐั ประหารเม่อื วันท่ี 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ตอ่ มาไดม้ กี ารประกาศ ใชร้ ัฐธรรมนูญ (ฉบับช่วั คราว) พ.ศ. 2490 แทนรฐั ธรรมนูญแห่งราช อาณาจกั รไทย พ.ศ. 2485 ซ่งึ ก�ำ หนดใหม้ ีการเลอื กตงั้ ภายใน 90 วนั นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญได้กำ�หนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิก สภาผ้แู ทนราษฎรในวนั ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2491 การเลอื กตง้ั ครง้ั นี้ มสี มาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำ�นวน 99 คน โดยวธิ ีรวมเขตจังหวัดและ ถือเกณฑ์ประชากร หน่งึ แสนหา้ หม่ืนคนต่อผูแ้ ทนราษฎร 1 คน จังหวัด พระนครศรอี ยธุ ยา มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำ�นวน 2 คน (ไม่มกี าร แบ่งเขต) คอื นายฟ้ืน สพุ รรณสาร ม.จ.นติ ยากร วรวรรณ การเลือกตง้ั ครงั้ ที่ 7 (พ.ศ.2492) การเลือกต้ังคร้ังน้ีเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพ่ิมเติมเนื่องจากมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2492 โดยได้นำ�พระราชบัญญัติการเลือกตั้ง พ.ศ. 2475 แก้ไข เพ่ิมเตมิ (ฉบบั ท่ี 3) พ.ศ. 2479 และพระราชบญั ญัตกิ ารเลือกตง้ั แก้ไข เพิ่มเตมิ พ.ศ. 2490 มาบังคบั ใช้ การเลอื กตงั้ เพมิ่ เติมมีขนึ้ ในวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2492 มีผู้ ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มเติม จำ�นวน 21 คน 53
นกั การเมอื งถิ่นจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ใน 19 จังหวัด (จังหวัดพระนครศรีอยุธยาไม่มีจำ�นวนสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรเพิ่มเติม) รัฐสภาชุดนี้สิ้นสุดลงเน่ืองจากการยึดอำ�นาจ การปกครองประเทศ เมือ่ วนั ท่ี 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 โดย “คณะ บริหารประเทศชั่วคราว” ภายใต้การนำ�ของ พลเอกผิน ชุณหะวัณ การเลือกตั้งครงั้ ท่ี 8 (พ.ศ. 2495) หลังการยึดอำ�นาจการปกครองประเทศ “คณะบริหารประเทศ ช่ัวคราว” ได้ นำ�รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475 พร้อม ทงั้ รฐั ธรรมนญู แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ พ.ศ. 2482 และรฐั ธรรมนญู แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ วา่ ด้วยบทเฉพาะกาล พ.ศ. 2483 มาบงั คับใชไ้ ปพลางก่อนและกำ�หนด ใหม้ ีการเลอื กตง้ั สมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร ในวนั ที่ 26 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2495 มีสมาชิกจำ�นวน 124 คน โดยใช้วิธีการเลือกต้ังแบบรวมเขต จังหวัด จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำ�นวน 2 คน คือ พ.ต.หลวงจบกระบวนยทุ ธ นายฟนื้ สุพรรณสาร การเลือกต้งั ครั้งท่ี 9 (พ.ศ. 2500) การเลือกตง้ั ครงั้ นม้ี ีข้นึ ในวนั ท่ี 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 แบ่ง ประเภทสมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรออกเป็น 2 ประเภท คือประเภทท่ี 1 มาจากการเลือกตง้ั ท่วั ไป จำ�นวน 160 คน ประเภทท่ี 2 มาจากการ แต่งตง้ั จ�ำ นวน 123 คน การเลือกต้ังครัง้ น้ีไดม้ กี ารประกาศใช้พระราช บัญญตั พิ รรคการเมอื งเปน็ คร้ังแรกด้วย จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา มี 1. นายประเสรฐิ บญุ สม พรรคเสรมี นังคศลิ า 54
ข้อมูลนักการเมืองถิน่ จังหวดั พระนครศรอี ยุธยา 2. นายสมศกั ด์ิ ชมจนั ทร ์ พรรคเสรีมนังคศลิ า 3. พ.ต. หลวงจบกระบวนยทุ ธ พรรคเสรีมนังคศิลา การเลือกต้ังคร้ังที่ 10 (พ.ศ. 2500) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้ เป็นที่รู้จักกันโดย ทว่ั ไปวา่ เปน็ การ “เลอื กตงั้ สกปรก”เนอื่ งจากฝา่ ยรฐั บาลในขณะนน้ั ไดใ้ ช้ กลโกงการเลอื กตง้ั ทกุ รปู แบบเพอื่ ใหพ้ รรคของตน (พรรคเสรมี นงั คศลิ า) ไดร้ บั ชยั ชนะในการเลอื กตง้ั ในทส่ี ดุ น�ำ มาซงึ่ การประทว้ งของประชาชน นสิ ติ นกั ศกึ ษาเปน็ จ�ำ นวนมาก สมาชกิ ภาพของสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ในการเลอื กต้งั เมื่อวันท่ี 26 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2500 สิน้ สุดลงดว้ ยการ ยดึ อำ�นาจการปกครองประเทศ เมอ่ื วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 โดย คณะทหารภายใตก้ ารน�ำ ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรชั ต์ การเลือกตง้ั ครั้งท่ี 11 (พ.ศ. 2500) ภายหลังการยึดอำ�นาจการปกครองประเทศได้มีการเลือกตั้ง สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรในวันท่ี 15 ธันวาคม พ.ศ. 2500 โดยอาศยั บทบัญญตั ิ ตามรฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2475 แก้ไข เพมิ่ เตมิ พ.ศ. 2495 มสี ภาเดยี ว ประกอบดว้ ยสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร 2 ประเภท คอื สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 1 มาจากการเลือกต้ัง ท่ัวไปโดยการใช้วิธีการเลือกต้ังแบบรวมเขตจังหวัดและถือเอาสัดส่วน ประชากรหนึ่งแสนห้าหม่ืนคนต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหนึ่งคน ซึ่งมีจำ�นวนทั้งส้ินทั้งประเทศ 160 คน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ประเภทที่ 2 มาจากการแต่งต้ัง เม่ือวนั ท่ี 18 กันยายน พ.ศ. 2500 มี จำ�นวน 121 คน 55
นักการเมอื งถ่นิ จังหวดั พระนครศรีอยุธยา จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา มสี มาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร จ�ำ นวน 3 คน คอื 1. นายนคิ ม สุขพฒั น์ธ ี พรรคสหภมู ิ 2. นายสมศกั ด์ ิ ชมจันทร ์ ไมส่ ังกดั พรรค 3. นายประเสริฐ บุญสม พรรคเสรีมนังคศลิ า การเลือกตั้งครงั้ ท่ี 12 (พ.ศ. 2512) ระหว่าง พ.ศ. 2501-2511 เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ท่ี ประเทศไทยปกครองประเทศโดยคณะทหาร เนื่องจากจอมพลสฤษด์ิ ธนะรชั ต์ ไดย้ ึดอำ�นาจการปกครองประเทศ เมอื่ วันที่ 20 ตลุ าคม พ.ศ. 2501 หลังจากน้นั ก็ปกครองประเทศโดยระบบเผด็จการทหาร ในปี พ.ศ. 2502 ได้มีการประกาศใช้ธรรมนูญ การปกครอง ราชอาณาจักรพุทธศักราช 2502 กำ�หนดให้มีสภาเดียวคือสภาร่าง รัฐธรรมนูญ มีจำ�นวนสมาชิก 240 คน มาจากการแต่งต้ังเม่อื วนั ท่ี 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 สภาร่างรัฐธรรมนูญชุดน้ีใช้เวลาในการร่าง รฐั ธรรมนญู อยา่ งยาวนานถงึ หนง่ึ ทศวรรษ โดยเรมิ่ ปฏบิ ตั งิ านตงั้ แตว่ นั ที่ 3 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2502 ถึงวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511 จงึ สามารถ ประกาศใช้รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 ได้ รฐั ธรรมนญู ไดก้ �ำ หนดใหร้ ฐั สภาประกอบดว้ ย สภาผแู้ ทนราษฎร และวฒุ สิ ภาสภาผแู้ ทนราษฎรมาจากการเลอื กตงั้ ทว่ั ไป มสี มาชกิ จำ�นวน 219 คน มาจากการเลือกต้ังโดยตรง การเลือกต้ังเป็นแบบรวมเขต จังหวัด โดยถือเกณฑ์ประชากรหน่ึงแสนห้าหมื่นคนต่อสมาชิกสภาผู้ แทนราษฎรหนึ่งคน วุฒิสภาประกอบด้วยวุฒิสมาชิกจำ�นวน 3 ใน 4 ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการแต่งตั้งจำ�นวน 164 คน 56
ขอ้ มลู นักการเมืองถนิ่ จังหวดั พระนครศรอี ยุธยา การเลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรมขี น้ึ ในวนั ที่ 10 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2512 จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 4 คน คือ 1. นายประเสริฐ บุญสม พรรคสหประชาไทย 2. ว่าท่ี ร.ต.วิเชียร กล่นิ สุคนธ์ พรรคสหประชาไทย 3. นายอตินาท ควรพจน ์ ไมส่ ังกดั พรรค 4. นายเผชญิ ศรภี ธู ร พรรคสหประชาไทย การเลือกตั้งครัง้ ที่ 13 (พ.ศ. 2518) เมอ่ื วนั ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 จอมพลถนอม กติ ติขจร หัวหน้าคณะปฏิวัติได้ก่อการรัฐประหารยึดอำ�นาจการปกครองจาก รัฐบาล ซึ่งตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีและดำ�เนินการปกครองประเทศ โดยระบบเผด็จการทหาร จนนำ�ไปสู่การลุกฮือของประชาชน ในวันที่ 14 ตลุ าคม พ.ศ. 2516 ท�ำ ใหจ้ อมพลถนอม กติ ตขิ จร และคณะตอ้ งหลบ หนีออกนอกประเทศ และได้มีการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย ซึ่งประกาศใช้เม่ือวันท่ี 7 ตุลาคม พ.ศ. 2517 เป็นผลให้มีการ จัดการเลือกตงั้ ขึน้ เมื่อวนั ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 รฐั สภาประกอบ ดว้ ยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒสิ ภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาจากการเลือกต้ังมีจำ�นวนทั้งส้ิน 269 คน แตล่ ะจังหวดั แบง่ เป็นเขตเลือกตงั้ แตล่ ะเขตมจี ำ�นวน สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรไม่เกิน 3 คน ใช้เกณฑป์ ระชากร หนงึ่ แสนหา้ หมนื่ คน ต่อจ�ำ นวนสมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎรหน่งึ คน สมาชกิ วุฒสิ ภา พระมหากษัตริยท์ รงแตง่ ตั้งมีจำ�นวน 100 คน 57
นกั การเมืองถน่ิ จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา การเลือกต้ังสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรคร้ังท่ี 13 น้ี มีข้นึ ในวนั ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยามจี �ำ นวนสมาชกิ สภา ผ้แู ทนราษฎร 4 คน คอื 1. นายประมวล สภาวส ุ เขต 1 พรรคกจิ สังคม 2. นายอนนั ต์ บูรณวนชิ เขต 1 พรรคสันตชิ น 3. นายอุทยั ชณุ หะจันทร ์ เขต 2 พรรคสังคมชาตินยิ ม 4. นายประเสริฐ บุญสม เขต 2 พรรคสังคมชาตินยิ ม การเลอื กตัง้ คร้ังที่ 14 (พ.ศ. 2519) หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีในขณะน้ันได้ ประกาศยบุ สภาผแู้ ทนราษฎร เม่อื วนั ท่ี 12 มกราคม พ.ศ. 2519 โดย อา้ งเหตุวา่ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรบางคนปฏิบตั ติ นและปฏบิ ัตหิ น้าที่ ไม่เหมาะสม และได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 การเลือกตง้ั คร้ังนม้ี จี ำ�นวนสมาชกิ สภาผแู้ ทน ราษฎรจ�ำ นวน 279 คน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำ�นวน 4 คน คอื 1. นายมนตรี พงษ์พานชิ เขต 1 พรรคเกษตรสังคม 2. นายเสรี มโยหาร เขต 1 พรรคสังคมชาตนิ ิยม 3. นายสมพงษ์ ตรีสขุ ข ี เขต 2 พรรคเกษตรสังคม 4. นายบุญพนั ธ์ แขวฒั นะ เขต 2 พรรคเกษตรสังคม การเลอื กตัง้ ครั้งที่ 15 (พ.ศ. 2522) ในปี พ.ศ. 2519 ไดเ้ กดิ เหตกุ ารณค์ วามรนุ แรงทางการเมอื งในวนั 58
ขอ้ มูลนกั การเมอื งถน่ิ จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา ท่ี 6 ตลุ าคม และคณะปฏริ ปู การปกครองแผน่ ดนิ น�ำ โดยพลเรอื เอกสงดั ชลออยู่ ไดย้ ดึ อำ�นาจการปกครองประเทศ และประกาศใช้รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั ไทย พ.ศ. 2519 กำ�หนดใหม้ สี ภาปฏิรปู การปกครอง แผ่นดิน มีจ�ำ นวน 340 คน มาจากการแต่งตั้งเมือ่ วนั ที่ 30 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2519 ต่อมาได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญการปกครองราช อาณาจกั ร พ.ศ. 2520 กำ�หนด ใหม้ ีสภานิติบัญญตั แิ ห่งชาตมิ สี มาชิก 360 คน มาจากการแต่งต้งั เมื่อวันท่ี 15 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2520 สภา นิติบัญญัติแห่งชาติชุดนี้ส้ินสุดการปฏิบัติหน้าท่ีเมื่อวันท่ี 21 เมษายน พ.ศ. 2522 และให้มีการเลือกตัง้ ทัว่ ไปในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2522 รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2521 ก�ำ หนดใหร้ ฐั สภา ประกอบด้วย สภาผ้แู ทนราษฎรและวฒุ สิ ภา สมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎร จ�ำ นวน 301 คน มาจากการเลือกตงั้ โดยตรง ใช้ระบบการแบ่งเขตเลอื ก ต้งั เขตละไม่เกิน 3 คน จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา แบง่ เขตเลอื กตง้ั ออกเปน็ 2 เขตเลอื ก ตัง้ มีสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร จ�ำ นวน 4 คน คือ 1. นายประมวล สภาวสุ เขต 1 พรรคกิจสงั คม 2. นายมนตรี พงษ์พานชิ เขต 1 พรรคกจิ สังคม 3. นายประเสริฐ บญุ สม เขต 2 พรรคชาตไิ ทย 4. นายสายณั ห์ สากยิ ะ เขต 2 พรรคชาตปิ ระชาธปิ ไตย การเลอื กต้ังครั้งที่ 16 (พ.ศ. 2526) การเลอื กตง้ั ครงั้ น้ี มจี �ำ นวนสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจ�ำ นวน 324 คน แบง่ เปน็ เขตเลอื กตงั้ เขตละไมเ่ กนิ 3 คน จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา 59
นกั การเมอื งถ่ินจังหวดั พระนครศรอี ยุธยา แบง่ เขตการเลอื กตง้ั ออกเปน็ 2 เขตเลอื กตงั้ มสี มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ได้ 4 คน คอื 1. นายมนตรี พงษพ์ านชิ เขต 1 พรรคกจิ สังคม 2. นายประมวล สภาวสุ เขต 1 พรรคชาติไทย 3. พ.อ.ณรงค์ กติ ตขิ จร เขต 2 พรรคชาตไิ ทย 4. นายบญุ พนั ธ์ แขวฒั นะ เขต 2 พรรคกจิ สังคม การเลือกต้ังคร้งั ท่ี 17 (พ.ศ. 2529) เ น่ื อ ง จ า ก น า ย ก รั ฐ ม น ต รี ไ ด้ ป ร ะ ก า ศ ยุ บ ส ภ า เ ม่ื อ วั น ท่ี 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 เนื่องจากรัฐบาลแพม้ ติในการเสนอพระราช ก�ำ หนดแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ พระราชบญั ญตั กิ ารขนสง่ ทางบก พ.ศ. 2522 และ เน่ืองจากสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลบางคนได้ร่วมคัดค้านร่างพระราช กำ�หนดฉบับนี้ด้วย พร้อมกันนั้นได้กำ�หนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปข้ึน ในวันท่ี 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 มีจ�ำ นวนสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎร จำ�นวน 347 คน โดยแบ่งเขตเลือกต้ังแต่ละเขตมีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรไม่เกิน 3 คน จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรได้ 4 คน แบ่งเป็น 2 เขตเลอื กต้งั คอื 1. นายมนตรี พงษ์พานิช เขต 1 พรรคกจิ สังคม 2. นายประมวล สภาวสุ เขต 1 พรรคชาตไิ ทย 3. นายบุญพนั ธ์ แขวฒั นะ เขต 2 พรรคกจิ สงั คม 4. พ.อ.ณรงค์ กติ ติขจร เขต 2 พรรคเสรีนิยม การเลือกตงั้ คร้งั ท่ี 18 (พ.ศ. 2531) เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างพรรคร่วม 60
ข้อมลู นกั การเมืองถ่ินจงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา รัฐบาลทำ�ใหก้ ารบรหิ ารราชการแผ่นดินขาดความเปน็ เอกภาพ รัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสลู านนท์ จึงประกาศยบุ สภาผแู้ ทนราษฎร เมื่อวนั ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2531 และกำ�หนดให้มีการเลือกต้ังท่ัวไปในวันท่ี 24 กรกฎาคมพ.ศ.2531 การเลือกตง้ั ครัง้ นม้ี จี ำ�นวนสมาชิกสภาผแู้ ทน ราษฎร จำ�นวน 357 คน แบ่งเขตเลือกตั้งแต่ละจังหวัดตามสัดส่วน ประชากรแตล่ ะเขตเลอื กตง้ั มจี ำ�นวนสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรไดไ้ มเ่ กนิ 3 คน จงั หวัดพระนครศรอี ยธุ ยา แบง่ เขตเลอื กต้ังเป็น 2 เขต มีสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร จำ�นวน 4 คน คอื 1. นายมนตรี พงษพ์ านชิ เขต 1 พรรคกจิ สังคม 2. นายประมวล สภาวส ุ เขต 1 พรรคชาติไทย 3. พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร เขต 2 พรรคเสรนี ยิ ม 4. นายบุญพันธ์ แขวฒั นะ เขต 2 พรรคกจิ สังคม การเลอื กตง้ั ครัง้ ที่ 19 (พ.ศ. 2535) ในวันท่ี 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 คณะรักษาความสงบ เรยี บรอ้ ยแหง่ ชาติ (รสช.) ซึง่ มี พล.อ.สนุ ทร คงสมพงษ์ เป็นแกนนำ�ไดย้ ดึ อำ�นาจการปกครอง ประเทศจากรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหวัณ โดยให้เหตุผลว่ามีการ ทุจริตอย่างมากในคณะรัฐบาลทำ�ให้ประเทศชาติได้รับความเสียหาย อยา่ งรา้ ยแรงพรอ้ มกนั นน้ั ไดด้ �ำ เนนิ การใหม้ กี ารประกาศใชร้ ฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2534 และจดั ใหม้ กี ารเลอื กตงั้ ทวั่ ไป ขนึ้ ใน วนั ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 มสี มาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎร จำ�นวน 360 คน การเลือกตั้งใช้ระบบการแบ่งเขตเลือกต้ัง แต่ละเขตมีสมาชิกสภา ผ้แู ทนราษฎรได้ไมเ่ กนิ 3 คน 61
นักการเมอื งถ่นิ จงั หวดั พระนครศรีอยุธยา จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยาแบ่งเขตการเลอื กต้ังออกเป็น 2 เขต มีสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร จ�ำ นวน 4 คน คอื 1. นายมนตรี พงษ์พานชิ เขต 1 พรรคกจิ สงั คม 2. นายประมวล สภาวสุ เขต 1 พรรคชาติพัฒนา 3. นายบุญพนั ธ์ แขวฒั นะ เขต 2 พรรคกจิ สงั คม 4. นายพงษอ์ ุดม ตรสี ุข ี เขต 2 พรรคกจิ สงั คม การเลือกตั้งคร้ังท่ี 20 (พ.ศ. 2538) หลังการเลือกต้ัง เม่ือวันท่ี 13 กันยายน พ.ศ. 2535 พรรค ประชาธปิ ตั ยไ์ ดเ้ ปน็ แกนน�ำ ในการจดั ตงั้ รฐั บาลผสมประกอบดว้ ย พรรค ประชาธปิ ัตย์ พรรคกิจสงั คม พรรคความหวงั ใหม่ และพรรคเอกภาพ โดยมีนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี การบริหารประเทศภาย ใต้รัฐบาลผสมเป็นไปอย่างไม่ราบร่ืน มีปัญหาความขัดแย้งในพรรค ร่วมรัฐบาลหลายกรณี พรรคแกนนำ�รัฐบาลได้มีการปรับเปล่ียนพรรค รว่ มรฐั บาล 2 ครงั้ ตลอดจนปรบั เปลยี่ นตัวรฐั มนตรหี ลายคน และการ แตกหักคร้ังสำ�คัญระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล คือ กรณีท่ีพรรคร่วมฝ่าย ค้านได้ย่ืนญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ในช่วงเวลา ของการลงมติ พรรคพลังธรรมซ่ึงเป็นพรรคร่วมรัฐบาลได้มีมติงดออก เสยี งสนบั สนนุ รฐั บาล ท�ำ ใหเ้ กดิ ความขดั แยง้ และแตกแยกในพรรครว่ ม รฐั บาลอยา่ งรนุ แรง นายกรฐั มนตรจี งึ ประกาศยบุ สภาผแู้ ทนราษฎรและ กำ�หนดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 การ เลือกต้ังครั้งน้ีมีจำ�นวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำ�นวน 391 คน เป็นการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกต้ัง แต่ละเขตมีสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรไดไ้ มเ่ กนิ 3 คน จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีสมาชิกสภาผูแ้ ทน 62
ขอ้ มูลนักการเมืองถ่ินจังหวัดพระนครศรอี ยุธยา ราษฎรจ�ำ นวน 5 คน ใน 2 เขตเลือกตง้ั คือ 1. นายบุญพันธ์ แขวฒั นะ เขต 1 พรรคกิจสงั คม 2. นายพงษ์อุดม ตรีสขุ ี เขต 1 พรรคกจิ สงั คม 3. นายพลกฤษณ์ หงส์ทอง เขต 1 พรรคกจิ สังคม 4. นายมนตรี พงษพ์ านชิ เขต 2 พรรคกจิ สงั คม 5. นายประมวล สภาวส ุ เขต 2 พรรคชาตพิ ัฒนา การเลอื กต้งั ครัง้ ท่ี 21 (พ.ศ. 2539) การเลอื กต้งั ท่วั ไป เมือ่ วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 พรรค ชาติไทย ซ่งึ มนี ายบรรหาร ศลิ ปอาชาเป็นหวั หนา้ พรรคไดเ้ ปน็ แกนน�ำ ในการจัดตั้งรัฐบาลแต่ประสบปัญหาการบริหารราชการแผ่นดิน ซ่ึง พรรคประชาธปิ ตั ยแ์ กนน�ำ พรรคฝา่ ยคา้ นในขณะนนั้ ไดเ้ ปดิ อภปิ รายไมไ่ ว้ วางใจรฐั บาลอยา่ งรนุ แรง ท�ำ ใหน้ ายบรรหาร ศลิ ปอาชา นายกรฐั มนตรี ไมส่ ามารถทนกระแสแรงกดดนั ได้ จงึ ประกาศลาออกจากต�ำ แหนง่ และ สนบั สนนุ ใหพ้ ล.อ.ชวลติ ยงใจยทุ ธ รองนายกรฐั มนตรแี ละหวั หนา้ พรรค ความหวงั ใหม่ เป็นนายกรฐั มนตรีคนต่อไป แต่กย็ ังไม่สามารถยืนหยดั ตา้ นทานแรงกดดันจากรฐั สภาและประชาชนได้ ในทีส่ ุดไดป้ ระกาศยุบ สภาผ้แู ทนราษฎร เม่ือวันท่ี 27 กันยายน พ.ศ. 2539 และกำ�หนดให้ มีการเลอื กตง้ั ท่วั ไปครง้ั ใหม่ในวนั ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 การ เลอื กตงั้ ครง้ั นี้มีจำ�นวนสมาชกิ สภาผูแทนราษฎร จำ�นวน 393 คน การ เลือกตั้งคร้ังนี้ จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำ�นวน 5 คน แบ่งเปน็ 2 เขตเลอื กต้งั คือ 1. นายกมุ พล สภาวสุ เขต 1 พรรคกิจสังคม 2. นายบญุ พันธ์ แขวัฒนะ เขต 1 พรรคกจิ สังคม 63
นักการเมืองถิ่นจงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา 3. นายพงษ์อุดม ตรีสุขี เขต 1 พรรคชาตพิ ัฒนา 4. นายพลกฤษณ์ หงษ์ทอง เขต 2 พรรคกจิ สังคม 5. นายมนตรี พงษพ์ านิช เขต 2 พรรคกิจสงั คม การเลอื กตั้งครง้ั ที่ 22 (พ.ศ. 2544) ในช่วงเวลา พ.ศ. 2539 ได้มีกระแสการปฏิรูปการเมืองเพื่อ ปรับปรุงระบบการเมืองให้มีคุณภาพ เน่ืองจากเห็นว่าระบบการเมือง แบบเดิมเอ้ือต่อกลุ่มผลประโยชน์ท่ีจะเข้ามาบริหารประเทศแบบไม่ โปรง่ ใส บา้ นเมอื งเตม็ ไปดว้ ยปญั หาการทจุ รติ คอรปั ชน่ั ในทกุ ระดบั และ ได้ผลักดันให้มีการร่างรัฐธรรมนูญท่ีให้อำ�นาจประชาชนในการมี ส่วนร่วมและเป็นระบบการตรวจสอบท่ีเข้มงวด โดยองค์กรอิสระ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความโปรง่ ใสและมปี ระสทิ ธภิ าพ ในทสี่ ดุ ไดม้ กี ารประกาศใช้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ซ่ึงได้วางกรอบและ หลกั เกณฑเ์ กย่ี วกบั การเลอื กตง้ั เปลย่ี นแปลงไปจากเดมิ มาก โดยเฉพาะ การกำ�เนิดขึ้นขององค์กรอิสระท่ีมีหน้าที่ดำ�เนินการและตรวจสอบ เก่ยี วกับการเลอื กตัง้ โดยเฉพาะ คอื คณะกรรมการการเลอื กตง้ั (กกต.) หลงั การเลอื กตง้ั เมื่อวันท่ี 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 พรรค ทไ่ี ดร้ บั การเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจ�ำ นวนมากทส่ี ดุ คอื พรรค ความหวังใหม่ ซง่ึ มี พล.อ. ชวลิต ยงใจยทุ ธ เป็นหัวหนา้ พรรค ท�ำ ให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยทุ ธ ได้ดำ�รงต�ำ แหน่งนายกรฐั มนตรี ภายใตร้ ฐั บาล ผสมแตเ่ นอ่ื งจากปญั หาวกิ ฤตเศรษฐกจิ และปญั หาความขดั แยง้ ภายใน พรรคร่วมรัฐบาล ทำ�ให้ความชอบธรรมทางการเมืองของพล.อ.ชวลิต ยงใจยทุ ธ ลดต่ำ�ลงอย่างมาก พรรครว่ มรฐั บาลเดิม คือ พรรคกจิ สงั คม และบางสว่ นของพรรคประชากรไทย (กลมุ่ ทไี่ ดฉ้ ายาในขณะนนั้ วา่ “กลมุ่ 64
ข้อมลู นักการเมอื งถ่นิ จังหวัดพระนครศรอี ยุธยา งเู หา่ ”) ได้หนั มาสนับสนนุ นายชวน หลีกภยั หัวหนา้ พรรคประชาธิปตั ย์ ผนู้ �ำ กลมุ่ ฝา่ ยคา้ นเปน็ นายกรฐั มนตรี ตอ่ มาในวนั ที่ 9 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2543 (กอ่ นทสี่ ภาผแู้ ทนราษฎรจะครบวาระ 4 ปี ในวนั ท่ี 17 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2543) นายกรฐั มนตรไี ดป้ ระกาศยบุ สภาผแู้ ทนราษฎรและก�ำ หนด ให้มีการเลอื กต้งั ทั่วไปตามรัฐธรรมนญู พ.ศ. 2540 ในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2544 การเลือกต้ังคร้ังน้ีมีจำ�นวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำ�นวน 500 คน แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ สมาชิกสภาผ้แู ทนแบบแบง่ เขต เลอื กตง้ั จ�ำ นวน 400 คน จากเขตเลอื กตงั้ จ�ำ นวน 400 เขต (เขตเลอื กตงั้ มสี มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรได้ 1 คน) และสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรแบบ บญั ชรี ายชอ่ื (party list) อกี 100 คน โดยมที มี่ าจากการทพ่ี รรคการเมอื ง ตา่ ง ๆ จดั ท�ำ บญั ชรี ายชอ่ื ผจู้ ะไดร้ บั การเลอื กเปน็ สมาชกิ ในสดั สว่ นของ พรรคจำ�นวน 100 คน เรียงตามลำ�ดับความต้องการของพรรค แล้ว คำ�นวณตามสัดส่วนคะแนนเสียงที่แต่ละพรรคจากการลงคะแนนทั่ว ประเทศ การเลือกต้งั ครั้งน้ีพรรคไทยรกั ไทยภายใตก้ ารนำ�ของ พ.ต.ท. ทักษณิ ชนิ วัตร ไดร้ ับชยั ชนะในการเลือกตั้ง และได้เปน็ แกนนำ�ในการ จดั ตงั้ รฐั บาล และเปน็ รฐั บาลชดุ แรกในประวตั ศิ าสตรก์ ารเมอื งไทยทเ่ี ปน็ รัฐบาลเสียงข้างมากเพียงพรรคเดียว มิใช่รัฐบาลผสมดังเช่นที่ผ่านมา ท�ำ ให้รฐั บาลบริหารประเทศอยา่ งมเี สถยี รภาพมาก เน่ืองจากมจี �ำ นวน สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ถงึ เกอื บ 4 ใน 5 ของจ�ำ นวนสมาชกิ สภาผแู้ ทน ท้ังหมด ท�ำ ใหฝ้ ่ายค้านเห็นวา่ เป็น “เผด็จการทางรฐั สภา” ในการเลือกต้ังเม่ือ พ.ศ. 2544 จังหวัดพระนครศรีอยุธยามี สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรแบบแบง่ เขตเลอื กต้งั จ�ำ นวน 5 คน จาก 5 เขต เลือกตั้ง คอื 65
นักการเมืองถน่ิ จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา 1. นายเกือ้ กูล ด่านชัยวจิ ิตร เขต 1 พรรคไทยรักไทย 2. นายพอ้ ง ชีวานันท ์ เขต 2 พรรคไทยรกั ไทย 3. นางสาวสุวิมล เขต 3 พรรคไทยรกั ไทย พนั ธ์เจรญิ วรกุล 4. นายวทิ ยา บรู ณศิริ เขต 4 พรรคไทยรกั ไทย 5. นายบญุ พันธ์ แขวฒั นะ เขต 5 พรรคไทยรักไทย การเลอื กต้งั ครัง้ ที่ 23 (พ.ศ. 2548) สภาผู้แทนราษฎรชดุ เดมิ ได้ครบวาระเมอ่ื วันท่ี 5 มกราคม พ.ศ. 2548 และได้กำ�หนดให้มีการเลือกตั้งท่ัวไป สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ชุดใหม่ ในวนั ที่ 6 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2548 การเลือกต้งั คร้งั นีม้ สี มาชกิ สภาผู้แทนราษฎร ทั้ง 2 แบบ คือ แบบแบ่งเขตเลือกตั้งและแบบ สัดส่วนเหมือนกับการเลือกตั้ง พ.ศ. 2544 การเลือกต้ังคร้ังนี้จังหวัด พระนครศรีอยธุ ยา มีสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร จ�ำ นวน 5 คน จาก 5 เขตเลอื กตง้ั คอื 1. นายเกือ้ กลู ดา่ นชัยวจิ ิตร เขต 1 พรรคไทยรกั ไทย 2. นายพ้อง ชวี านนั ท์ เขต 2 พรรคไทยรกั ไทย 3. นางสาวสวุ มิ ล เขต 3 พรรคไทยรกั ไทย พนั ธเ์ จริญวรกลุ 4. นายวทิ ยา บูรณศริ ิ เขต 4 พรรคไทยรักไทย 5. นายบญุ พันธ์ แขวฒั นะ เขต 5 พรรคไทยรักไทย ในวันท่ี 24 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2549 พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวตั ร ได้ ประกาศยบุ สภาและก�ำ หนดให้มกี ารเลอื กตง้ั ทวั่ ไปในวันท่ี 2 เมษายน 66
ขอ้ มลู นักการเมืองถิ่นจังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา พ.ศ. 2544 การเลือกตั้งครง้ั น้ี พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และ พรรคมหาชนไม่ส่งผู้สมัครจึงเกิดปัญหาหลายเขตเลือกตั้งในหลายเขต และมีปัญหาในการจัดการเลือกต้ังหลายประการ เช่นผู้สมัครจำ�นวน หลายสบิ เขตได้คะแนนนอ้ ยกว่าคะแนนเสียงไม่เลือกใคร (no vote) แต่ ไดร้ บั เลอื กดว้ ยเกณฑร์ อ้ ยละ 20 และเกณฑก์ รณมี ผี สู้ มคั รมากกวา่ หนงึ่ คน คหู าเลือกต้ังหันหลงั ออก ทำ�ใหเ้ กรงวา่ อาจทำ�ใหส้ ามารถมองเห็น การลงคะแนนไดโ้ ดยงา่ ย (ไมเ่ ปน็ ไปตามกฎหมายทกี่ �ำ หนดใหก้ ารเลอื ก ต้ังโดยตรงและลับ) มีการร้องเรียนว่าที่แบ่งหน่วยเลือกตั้งบางหน่วย มีปากกาไม่เพียงพอและบางหน่วยเตรียมไว้ให้เฉพาะตรายางสำ�หรับ สำ�หรับประทับ มีการนำ�รายชื่อผู้สมัครไปติดไว้ในคูหาเลือกต้ัง มีบัตร เสียจำ�นวนเพิม่ ข้นึ จากการเลอื กตง้ั ครง้ั ที่แลว้ อยา่ งผิดปกติ โดยเฉพาะ บัตรเสียในบัตรเลอื กต้ังแบบแบง่ เขต การเลือกต้ังครั้งน้ีผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาขอให้ศาล รัฐธรรมนูญพจิ ารณาวนิ จิ ฉัย ตามรฐั ธรรมนญู มาตรา 198 กรณีการ ดำ�เนินการของคณะกรรมการการเลือกตั้งมีปัญหาเก่ียวกับความชอบ ด้วยรัฐธรรมนูญขอให้เพิกถอนการเลือกตั้งและจัดให้มีการเลือกตั้ง ใหม่ ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัย เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 ผลการพิจารณาตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญเสียงขา้ งมาก 8 เสียง วินิจฉัย วา่ การด�ำ เนนิ การของคณะกรรมการการเลอื กตงั้ มชิ อบดว้ ยรฐั ธรรมนญู สว่ นตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู เสยี งขา้ งนอ้ ย 6 เสยี ง วนิ ิจฉยั ว่าชอบดว้ ย รัฐธรรมนญู ในสว่ นของการพจิ ารณาเพิกถอนการเลอื กตั้งและจดั ให้มี การเลอื กต้งั ใหมน่ ั้น ตลุ าการศาลรัฐธรรมนูญข้างมาก จ�ำ นวน 9 เสยี ง วนิ จิ ฉยั ใหเ้ พกิ ถอนการเลอื กตงั้ เมอ่ื วนั ที่ 2 เมษายน 2549 และใหจ้ ดั ให้ มกี ารเลอื กตงั้ ใหม่ นอกจากนน้ั นายถาวร เสนเนยี ม รองเลขาธกิ ารพรรค 67
นักการเมอื งถิ่นจงั หวดั พระนครศรีอยุธยา ประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคณะกรรมการการเลือกต้ัง ในความ ผิดต่อตำ�แหน่งหน้าท่ีราชการ ความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิก วุฒิสภา ซ่ึงศาลได้วินิจฉัยจำ�คุกคณะกรรมการการเลือกตั้ง เม่ือวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 และให้ดำ�เนินการสรรหาคณะกรรมการ การเลือกต้ังชุดใหม่และกำ�หนดให้มีการเลือกตั้งท่ัวไปใหม่ในวันท่ี 15 ตุลาคม 2549 แตใ่ นวันท่ี 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ไดเ้ กดิ การรฐั ประหารโดย คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเปน็ ประมุข ทำ�ใหก้ ารเลือกตั้งถกู ยกเลกิ ไป คณะปฏริ ปู ฯ ได้ กำ�หนดให้มีสภานิติแหง่ ชาติ พ.ศ. 2549 ซึง่ ตง้ั ข้ึนเพือ่ ท�ำ หน้าท่ขี องสภาผ้แู ทนราษฎร วุฒิสภาและรฐั สภาตามมาตรา 5 ของรฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2549 ซึง่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั ไดม้ พี ระบรมราชโองการ โปรดเกลา้ ฯ แตง่ ตงั้ ผดู้ ำ�รงต�ำ แหนง่ สมาชิกสภานติ บิ ญั ญัติแห่งชาตจิ ำ�นวน 242 คน เม่ือวนั ท่ี 11 ตุลาคม พ.ศ. 2549 นอกจากนั้นยังได้กำ�หนดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ท�ำ หนา้ ทรี่ า่ งรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2550 โดยสมาชกิ สภารา่ งรฐั ธรรมนญู นไี้ ดร้ บั การสรรหา จากสมาชกิ สมชั ชาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2549 จำ�นวน 1,982 คน ลงมติคัดเลือกกนั เองเหลือ 200 คน และคณะ มนตรคี วามมั่นคงแห่งชาตคิ ัดเลือกใหเ้ หลอื เพียง 100 คน รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2550 เปน็ รฐั ธรรมนญู ฉบับที่ 18 ของประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงลง พระปรมาภิไธย เมือ่ วันท่ี 24 สิงหาคม พ.ศ. 2550 68
ข้อมูลนกั การเมอื งถนิ่ จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา การเลือกตง้ั ครัง้ ท่ี 24 (พ.ศ. 2550) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร พ.ศ. 2550 ก�ำ หนดให้ มีขึ้นในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 กำ�หนดให้สภาผู้แทนราษฎร ประกอบดว้ ยสมาชิก จ�ำ นวน 480 คน แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทคือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกต้ังแบบแบ่งเขต เลอื กต้งั จำ�นวน 400 คน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซ่ึงมาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน จำ�นวน 80 คน การเลอื กตง้ั ครงั้ นี้ จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยามสี มาชกิ สภาผแู้ ทน ราษฎรจำ�นวน 5 คน ใน 2 เขต เลือกตง้ั คือ 1. นายสุรเชษฐ์ ชยั โกศล เขต 1 พรรคพลงั ประชาชน 2. นายพอ้ ง ชีวานนั ท์ เขต 1 พรรคพลังประชาชน 3. นายเก้ือกูล ดา่ นชัยวิจิตร เขต 1 พรรคชาติไทย 4. นายสุรศักดิ ์ เขต 2 พรรคพลังประชาชน พันธเ์ จรญิ วรกลุ 5. นายวทิ ยา บูรณศริ ิ เขต 2 พรรคพลงั ประชาชน พรรคพลังประชาชนมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับเลือกเป็น จ�ำ นวนมากท่ีสุด คอื 256 คน มากกวา่ พรรคประชาธปิ ตั ย์ ซง่ึ มีสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรได้รับเลือกเป็นอันดับที่ 2 คือ 162 คน ทำ�ให้นาย สมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนได้เป็นแกนนำ�ในการจัด ต้งั รัฐบาล และนายสมคั ร สนุ ทรเวช ได้รบั การโปรดเกลา้ ฯ แต่งต้ังเปน็ นายกรัฐมนตรี เมอ่ื เดอื นเมษายน พ.ศ. 2551 คณะกรรมการการเลอื กตง้ั ไดส้ ง่ เรื่องถงึ อยั การสงู สุด เม่ือส่งสำ�นวนฟ้องศาลรัฐธรรมนญู ใหว้ นิ จิ ฉัยยุบ 69
นักการเมืองถ่ินจงั หวดั พระนครศรีอยุธยา พรรคชาตไิ ทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย และพรรคพลงั ประชาชน กรณี ทำ�ผิดกฎหมายเลือกตั้ง ส่วนของพรรคพลังประชาชนนั้น เนื่องจาก นายยงยุทธ ติยะไพรัช เลขาธิการพรรคถูกกล่าวหาว่าทำ�ผิดกฎหมาย เลอื กตง้ั ศาลรฐั ธรรมนญู วนิ จิ ฉยั ใหย้ บุ พรรคพลงั ประชาชน และตดั สทิ ธิ ทางการเมอื งของกรรมการบรหิ ารพรรคเปน็ เวลา 5 ปี หลังจากท่ีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคพลังประชาชน เม่อื วันท่ี 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551 แลว้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรและ สมาชกิ พรรคเกอื บทง้ั หมดไดย้ า้ ยเขา้ ไปสงั กดั พรรคเพอ่ื ไทย ยกเวน้ กลมุ่ เพ่ือนเนวิน ซึง่ ภายหลงั ยา้ ยไปสังกัดพรรคภมู ิใจไทย ส่วนพรรคชาติไทยหลังจากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ยุบพรรค แลว้ สมาชกิ สภาผูแ้ ทนราษฎร และสมาชกิ ท้ังหมดของพรรคไดย้ า้ ยไป สังกดั พรรคชาติไทยพฒั นา ดงั น้ันสมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรของจังหวดั พระนครศรีอยุธยาท่ีได้รับเลือกตั้ง ในนามของพรรคพลังประชาชน ท้ังหมด 4 คน คือ นายสุรเชษฐ์ ชัยโกศล นายพ้อง ชีวานันท์ นาย สรุ ศกั ดิ์ พนั ธเ์ จรญิ วรกุลและนายวิทยา บูรณศิริ ปัจจบุ นั (พ.ศ. 2552) จงึ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกดั พรรคเพื่อไทย ส่วนนายเกือ้ กลู ดา่ นชยั วิจติ ร สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร พรรคชาติไทยได้ยา้ ยไปสังกดั พรรคชาติไทยพฒั นา พฤติกรรมทางการเมืองของนักการเมอื งถน่ิ จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ศึกษาวิเคราะห์ถึงข้อมูลของนักการเมืองถิ่นจังหวัดพระนคร ศรอี ยธุ ยาในรปู ของประวตั สิ ว่ นตวั เครอื ขา่ ย ความสมั พนั ธข์ องนกั การ 70
ข้อมลู นกั การเมืองถิ่นจงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา เมอื งกบั หวั คะแนนหรอื ประชาชน รปู แบบของการรณรงคห์ าเสยี งเลอื ก ต้ัง ตลอดจนบทบาทของกล่มุ / กลุ่มผลประโยชน์ตา่ ง ๆ ทม่ี ีบาทบาท ต่อการเลอื กตั้งของนักการเมอื งถิน่ นายเลมียด หงสป์ ระภาส นายเลมียด หงส์ประภาส เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คนแรกของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้รับการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 15 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2476 เปน็ คหบดี ชาวอ�ำ เภอลาดบวั หลวง นบั ถอื ศาสนาอิสลาม นายเลมียด หงส์ประภาส ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เพียงสมัยเดียวก็ไม่ลงสมัครอีก (ปัญญา นำ�้ เพชร, 2552) นายเย้ือน พานิชวิทย์ นายเย้ือน พานิชวิทย์ เป็นคนพื้นเพอำ�เภอกรุงเก่า (อำ�เภอ พระนครศรอี ยธุ ยาในปจั จบุ นั ) ก่อนลงสมัครรับเลอื กตั้งประกอบอาชพี เป็นข้าราชการฝ่ายปกครองตงั้ แตป่ ลดั อำ�เภอ จนกระท่งั ได้รบั ต�ำ แหน่ง เป็นนายอ�ำ เภอ จากการรบั ราชการมายาวนานท�ำ ใหน้ ายเยอื้ น พานชิ วทิ ย์ เปน็ ทรี่ จู้ กั อยา่ งกวา้ งขวาง ประกอบกบั บคุ ลกิ ภาพสว่ นตวั เปน็ คนกนั เอง ไม่ ถือตัวเข้ากับชาวบ้านได้ดี ทำ�ให้เป็นท่ีรักใคร่ของประชาชน ประกอบ กับสถานภาพของความเป็นข้าราชการ ซง่ึ เป็นทยี่ อมรบั ของประชาชน ในขณะน้ัน นายเยื้อน พานิชวิทย์ ซึ่งได้ลาออกจากนายอำ�เภอ เพ่ือลงสมัครรับเลือกตั้ง และได้รับการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในวันท่ี 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2480 โดยลงสมคั รรับเลอื กตงั้ ในเขต 2 ตอ่ มาเมื่อ 71
นักการเมืองถิ่นจงั หวัดพระนครศรอี ยุธยา วนั ท่ี 11 กนั ยายน พ.ศ. 2481 นายพนั เอก พระยาพหลพลพยหุ เสนาได้ ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร เน่อื งจากมีความขัดแยง้ กับสภาเร่ืองขอ้ บงั คบั วา่ ดว้ ยวธิ กี ารเสนอพระราชบญั ญั ตั งิ บประมาณแลว้ ประกาศใหม้ ี การเลอื กตง้ั ทว่ั ไปครงั้ ใหมใ่ นวนั ที่ 12 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2481 นายเยอื้ น พานชิ วทิ ย์ มคี วามสมั พนั ธอ์ ันดกี ับนายปรีดี พนมยงค์ และพลเรือตรี ถวลั ย์ ธ�ำ รงนาวาสวัสดิ์ ต่อมาในการเลือกตงั้ เมอื่ วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 นน้ั ไม่ปรากฏแนช่ ัดว่านายเยื้อน พานชิ วิทย์ ไดล้ งสมัคร รบั เลอื กตง้ั หรอื ไมแ่ ตส่ มาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ในการเลอื กตง้ั คราวนน้ั คอื หลวงประสทิ ธ์ นรกรรม (เจยี น หงสป์ ระภาส) และนายฟน้ื สุพรรณสาร(ปญั ญา น�ำ้ เพชร,2552) สภาผู้แทนราษฎรชดุ น้มี อี ายยุ าวนานถงึ 6 ปี 11 เดือน 3 วนั เนอื่ งจากในขณะนน้ั อยใู่ นชว่ งสงครามโลกครงั้ ที่ 2 รฐั บาลไมส่ ามารถจดั ใหม้ กี ารเลอื กตงั้ ทวั่ ไปเพอื่ เลอื กสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร ประเภท 1 ได้ หลงั จากทส่ี มาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรประเภท 1 อยู่ครบวาระ 4 ปีแลว้ สภาผู้แทนราษฎรได้ให้ความเห็นชอบ พระราชบัญญัติขยายกำ�หนด เวลาอยใู่ นต�ำ แหนง่ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรออกไปอกี ไมเ่ กนิ 2 ปี นบั แต่วันทีส่ มาชกิ าภาพสนิ้ สุดลง ซ่งึ รฐั บาลไดเ้ สนอขยายเวลา 2 ครงั้ คือ ครั้งที่ 1 วนั ท่ี 5 ธันวาคม พ.ศ. 2485 ครั้งท่ี 2 วันท่ี 14 กันยายน พ.ศ. 2487 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้นับว่าเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจากการเลือกตั้งที่มีอายุยาวนานท่ีสุด (นคร พจนวรพงษ์และ อุกฤษ พจนวรพงษ์, 2549, หนา้ 132) เม่ือวันที่ 15 ตุลาคม 2488 ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายก รฐั มนตรใี นขณะนนั้ ไดป้ ระกาศยบุ สภาผแู้ ทนราษฎรและก�ำ หนดใหม้ กี าร 72
ข้อมูลนักการเมืองถิ่นจงั หวัดพระนครศรีอยุธยา เลอื กต้งั ทวั่ ไปขน้ึ ใหมใ่ นวนั ท่ี 6 มกราคม พ.ศ. 2489 ซงึ่ ในการเลือก ตง้ั ครั้งน้ี นายเยือ้ น พานชิ วทิ ย์ ได้ลงสมัครรบั เลือกตั้งใน เขต 2 และ ได้รบั การเลอื กตั้งอกี คร้งั หน่งึ นายเยือ้ น พานิชวิทย์ ได้รับการแต่งตัง้ เป็นรฐั มนตรี (ไม่สงั กัดกระทรวง) ในรัฐบาล พลเรือตรหี ลวงธำ�รงนาวา สวสั ดิ์เมื่อวนั ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2489 และรัฐมนตรีชว่ ยวา่ การกระ ทรวงเกษตราธิการ เมอื่ วนั ท่ี 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 ในรัฐบาล พลเรือตรีหลวงธำ�รงนาวาสวัสดิ์สมัยที่ 2 (สำ�นักงานเลขานุการสภา ผู้แทนราษฎร ,ส�ำ นกั วิชาการ,กลมุ่ งานวิชาการ 1, 2551) หลวงประสทิ ธ์ินรกรรม เป็นชาวอำ�เภอกรุงเก่า เคยรับราชการในฝ่ายปกครอง เช่นเดียวกับนายเยื้อน พานิชวิทย์ ตำ�แหน่งสุดท้ายก่อนลงสมัครรับ เลอื กตงั้ ด�ำ รงต�ำ แหนง่ นายอ�ำ เภอ ดงั เปน็ ทท่ี ราบกนั โดยทวั่ ไปวา่ สถานะ ทางสังคมของคนท่ีเป็นข้าราชการโดยเฉพาะอย่างย่ิงฝ่ายปกครองใน เวลานั้นเป็นที่ยอมรับนับถือของประชาชนมาก อีกท้ังมีลูกน้องตลอด จนกำ�นัน ผู้ใหญ่บ้านให้การเคารพนับถือ ดังนั้นจึงไม่ยากนักท่ีบุคคล เหลา่ น้จี ะไดร้ ับชัยชนะในการเลือกตั้ง (ปญั ญา น�ำ้ เพชร, 2552) หลวง ประสทิ ธน์ิ รกรรมไดร้ บั การเลอื กตงั้ เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา เขต 1 เม่อื วันท่ี 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 นายฟืน้ สุพรรณสาร เป็นชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดยกำ�เนิดจบการศึกษา ธรรมศาสตร์บัณฑิต (ธ.บ.) และประกอบอาชีพทนายความมีความ สัมพันธ์อันดีกับนายปรีดี พนมยงค์ เป็นคนฝีปากกล้า รักความเป็น 73
นกั การเมืองถ่ินจงั หวัดพระนครศรอี ยุธยา ธรรม และชอบช่วยเหลือประชาชนที่ถูกกดข่ีข่มเหงจากเจ้าหน้าที่ฝ่าย บ้านเมือง(ปัญญา นำ้�เพชร, 2552) นายฟื้น สุพรรณสาร ได้รับการ เลอื กต้ังเป็นสมาชกิ สภาผ้แู ทนราษฎรของจังหวัดพระนครศรอี ยุธยา 3 สมัย ด้วยกนั คือสมยั แรก เม่อื วนั ท่ี 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 สมยั ทสี่ อง เมอ่ื วันท่ี 29 มกราคม พ.ศ. 2491และสมัยทสี่ าม เม่อื วันท่ี 26 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2495 (สำ�นกั งานเลขานกุ ารสภาผ้แู ทนราษฎร ,ส�ำ นัก วิชาการ, กลมุ่ งานวิชาการ 1,2551) นายฟ้ืน สพุ รรณสารได้รับการแตง่ ตง้ั ใหด้ �ำ รงต�ำ แหนง่ รฐั มนตรชี ว่ ยวา่ การกระทรวงเกษตราธกิ ารตงั้ แตว่ นั ที่ 25 มิถนุ ายน 2492-29 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2494 ในสมยั รัฐบาลจอมพล แปลกพิบลู สงคราม นายปรดี ี พนมยงค์ นายปรดี ี พนมยงค์ เกิดเมอ่ื วนั ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 ที่ ต�ำ บลทา่ วาสุกรี อำ�เภอกรงุ เก่า (อ�ำ เภอพระนครศรอี ยุธยา ในปัจจุบนั ) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรของนายเสียงกับนางลูกจันทร์ พนมยงค์ เริ่มต้นการศึกษาท่ีจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต่อมาได้ไป ศึกษาต่อในโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม สอบไล่ได้เป็นเนติ บญั ฑติ สยาม เม่ืออายุ 19 ปี หลงั จากนนั้ ใน ปี พ.ศ. 2463 ได้รับทุนไป ศึกษาวชิ ากฎหมายทปี่ ระเทศฝรง่ั เศสไดด้ ษุ ฎบี ณั ฑติ ทางกฎหมาย และ ประกาศนยี บัตรช้นั สงู จากมหาวิทยาลยั ปารีส เมอ่ื เดนิ ทางกลบั มาถงึ ประเทศไทยไดร้ บั ราชการเปน็ ผพู้ พิ ากษา ในปี พ.ศ. 2469 ย้ายไปดำ�รงตำ�แหน่งเป็นเลขานกุ ารกรมร่างกฎหมาย และเปน็ อาจารยส์ อนกฎหมายปกครองในโรงเรยี นกฎหมาย จนกระทงั่ ได้รับพระราชทานบรรดาศักด์ิเป็นอำ�มาตย์ตรีหลวงประดิษฐ์มนูธรรม 74
ขอ้ มูลนกั การเมืองถิ่นจงั หวดั พระนครศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 2472 พ.ศ. 2475 นายปรีดี พนมยงค์ เป็นบุคคลสำ�คัญในฐานะ มันสมองของคณะราษฎร ในการปฏิวัติเปล่ียนแปลงการปกครอง ประเทศจากระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าช มาเปน็ ระบอบประชาธปิ ไตย และเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนญู ฉบบั ชวั่ คราวเม่ือปี พ.ศ. 2475 ในปี พ.ศ. 2476 ได้เสนอร่าง เค้าโครงเศรษฐกิจแห่งชาติขึ้น เสนอรัฐบาล ซึ่งมีพระยามโนปกรณ์นิติธาดา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ ไม่ได้รับความเห็นชอบ และถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ นายปรีดี พนมยงค์ จึงต้องเดนิ ทางออกนอกประเทศ ต่อมาพนั เอกพระยาพหล พลพยหุ เสนาท�ำ รฐั ประหาร เมอื่ วนั ท่ี 20 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2476 รฐั บาล จึงไดต้ ัง้ คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจรงิ ว่านายปรดี ี พนมยงค์ เป็น คอมมิวนิสต์หรือไม่ ผลการสอบสวนปรากฏว่าข้อกล่าวหาดังกล่าว ไม่เป็นความจริง และต่อมาได้รับการแต่งต้ังให้เป็นรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทยในรฐั บาลของพนั เอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ในชว่ งสงครามมหาเอเชยี บรู พา นายปรดี ี พนมยงค์ ไดเ้ ปน็ ผกู้ อ่ ตงั้ ขบวนการเสรไี ทยในประเทศและตดิ ตอ่ ประสานงานกบั ขบวนการเสรี ไทยภายนอกประเทศ ซึ่งมีหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช เป็นแกนนำ� เพื่อต่อต้านญี่ปุ่นอย่างลับ ๆ จนกระทั่งสงครามส้ินสุดลง นายปรีดี พนมยงค์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐบุรุษอาวุโสและร่วมกับหม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช ประกาศวา่ การทีร่ ัฐบาลไทยประกาศสงครามกบั สหรฐั อเมริกา และองั กฤษเปน็ โมฆะ และไดห้ าทางแก้ไขสญั ญาทผ่ี ูกมดั ไทย ให้เปน็ ประเทศท่แี พ้สงคราม นายปรีดี พนมยงค์ เคยดำ�รงตำ�แหน่งผู้สำ�เร็จราชการแทน พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาซ่ึงทรงลาออกเม่ือปี พ.ศ. 2487 และ 75
นกั การเมืองถ่ินจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ปฎิบัติหน้าที่ผู้สำ�เร็จราชการจนกระท่ังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหดิ ล ทรงบรรลุนติ ภิ าวะ แต่ยงั ทรงประทับอยู่ตา่ งประเทศ จึง ปฏบิ ตั หิ นา้ ทต่ี อ่ จนกระทง่ั สงครามโลกครง้ั ท่ี 2 ยตุ ิ พระองคไ์ ดเ้ สดจ็ นวิ ตั ิ ประเทศไทย เม่ือวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 ภาระหนา้ ท่ีของผสู้ �ำ เร็จ ราชการแทนพระองคจ์ ึงสน้ิ สุดลง เม่ือวันท่ี 24 มีนาคม พ.ศ. 2489 ได้รับการแต่งตั้งให้ดำ�รง ต�ำ แหน่งนายกรัฐมนตรคี นที่ 7 ของประเทศไทย เนื่องจากรฐั บาลของ นายควง อภยั วง ลาออก ในขณะทด่ี �ำ รงต�ำ แหน่งนายกรัฐมนตรนี ้นั ได้ เกิดเหตุการณ์สำ�คัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทย คือ กรณีสวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหดลด้วยพระแสงปืน ได้ เกิดกระแสโจมตีอย่างหนักโดยกล่าวหาว่ารัฐบาลพยายามปิดบังและ อำ�พรางความจริงในกรณีสวรรคตรวมท้ังไม่สามารถหาข้อเท็จจริงใน กรณสี วรรคตมาแจ้งใหป้ ระชาชนทราบได้ในทส่ี ุดนายปรดี ี พนมยงค์ได้ ลาออกจากการเป็นนายกรฐั มนตรีเม่ือวันที่ 21 สงิ หาคม พ.ศ. 2489 คุณูปการท่ีสำ�คัญอีกประการหนึ่งของนายปรีดี พนมยงค์ คือ เปน็ ผกู้ อ่ ตั้งมหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตรแ์ ละการเมือง และด�ำ รงตำ�แหน่ง ผปู้ ระศาสน์การของมหาวทิ ยาลัยเป็นคนแรก นายปรดี ี พนมยงค์ ไดผ้ า่ นประสบการณท์ างการเมอื งมากมาย นอกจากการเป็นผู้ก่อการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 เป็นผู้สำ�เร็จราชการ และนายกรัฐมนตรีแล้วยังเคยดำ�รงตำ�แหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ส�ำ คญั ๆ อีกหลายกระทรวง ดงั น้ี รฐั มนตรใี นสมยั รฐั บาลพระยามโน- ปกรณน์ ติ ธิ าดารฐั มนตรใี นสมยั รฐั บาลพนั เอกพระยาพหลพลพยหุ เสนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในสมัย พ.อ. พระยาพหลพล- พยหุ เสนา (สมยั ที่ 3) รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงการตา่ งประเทศ รฐั มนตรี 76
ขอ้ มลู นกั การเมืองถนิ่ จังหวัดพระนครศรอี ยธุ ยา ว่าการกระทรวงการคลัง สมัยพันเอกหลวงพิบูลสงคราม นายปรีดี พนมยงคเ์ ปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรของจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยาใน การเลือกต้ัง เมื่อวนั ท่ี 5 สงิ หาคม พ.ศ. 2489 และเปน็ การลงสมคั รรับ เลอื กต้ังเพียงครง้ั เดยี วเทา่ น้ัน (ปรดี ี พนมยงค์,2553).สืบคน้ มกราคม, 14, 2553,จากhttp://www.wikipedia,org/wiki/ พลเรือตรี ถวลั ย์ ธ�ำ รงนาวาสวัสด์ิ พลเรือตรถี วัลย์ ธ�ำ รงนาวาสวสั ดิ์ เดมิ ช่ีอ ถวัลย์ ธารีสวัสดิ์ เป็น บุตรของนายอกู๋ บั นางเงิน ธารสี วัสด์เิ กดิ เมื่อวันที่ 25 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2444 ท่ีตำ�บลหัวรอ อำ�เภอรอบกรุง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เริ่ม การศกึ ษาทโ่ี รงเรยี นมธั ยมวดั เทพศริ นิ ทรจ์ ากนน้ั เขา้ ศกึ ษาตอ่ ทโี่ รงเรยี น นายเรือกรุงเทพ และได้ศึกษาวิชากฎหมาย จนสำ�เร็จเป็นเนติบัณฑิต ไทย ขณะรับราชการอยู่ในกองทัพเรือ ต่อมาได้รับพระราชทาน บรรดาศักด์ิและราชทินนามดำ�รงตำ�แหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 8 ของ ประเทศไทย สมรสกบั นางแฉล้ม สุมาวงศ์ นางระเบยี บ สุมาวงศ์และ นางบรรจง สุมาวงศ์ พลเรอื ตรถี วลั ย์ ธ�ำ รงนาวาสวสั ด์ิ ไดเ้ ขา้ รว่ มในการเปลย่ี นแปลง การปกครอง เมอ่ื พ.ศ. 2475 และไดเ้ รมิ่ บทบาททางการเมืองโดยได้ รับแต่งต้ังให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนประเภท 2 และได้เข้าร่วมในคณะ รัฐมนตรีครั้งแรกในสมัยรัฐบาลของพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เมอื่ ปี พ.ศ. 2476 และเมอื่ ปี พ.ศ. 2477 ภายหลงั จากรัชกาลท่ี 7 ทรง สละราชสมบัติได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลให้เป็นหัวหน้าคณะเดินทาง ไปกราบบังคมทูลเชิญพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล ท่ี ประทบั อยู่ ณ ประเทศสวสิ เซอรแ์ ลนด์ เสด็จขนึ้ ครองราชย์สบื ไป 77
นักการเมอื งถ่ินจงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา ในปี พ.ศ. 2475 – พ.ศ. 2481 ได้รบั การแต่งต้ังให้เปน็ รัฐมนตรี วา่ การกระทรวงมหาดไทย ตอ่ มาไดร้ บั การแตง่ ตง้ั ใหเ้ ปน็ รฐั มนตรวี า่ การ กระทรวงยุติธรรมในสมัยรัฐบาล จอมพลแปลก พิบูลสงครามและ รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงยตุ ธิ รรมในสมยั รฐั บาลของนายปรดี ี พนมยงค์ พลเรอื ตรี ถวลั ย์ ธ�ำ รงนาวาสวสั ดิ์ ด�ำ รงต�ำ แหนง่ นายกรฐั มนตรี ต่อจากนายปรีดี พนมยงค์ เมอ่ื วนั ท่ี 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489 ในขณะ ทเ่ี ขา้ รบั ต�ำ แหนง่ นนั้ ประเทศอยใู่ นภาวะสงคราม เศรษฐกจิ ของประเทศ ก�ำ ลงั ทรดุ หนกั นายกรฐั มนตรไี ดแ้ กป้ ญั หาโดยการจดั ตงั้ องคก์ ารสรรพา หารขน้ึ โดยการซอ้ื ของแพงมาขายในราคาถกู เมอื่ ตรงึ ราคาสนิ คา้ ไมใ่ ห้ สงู และเรยี กเกบ็ ธนบตั รทฝ่ี า่ ยสมั พนั ธมติ รน�ำ เขา้ มาใชจ้ า่ ยจากประชาชน ดว้ ยการออกธนบตั รใหมใ่ หแ้ ลก รวมทง้ั น�ำ เอาทองค�ำ ซงึ่ เปน็ ทนุ ส�ำ รอง ของชาติออกขายแก่ประชาชน และจากเหตุการณ์รัฐบาลและนายก รัฐมนตรีถูกกล่าวหาว่ามีส่วนรู้เห็นในการส่งข้าวออกขายนอกประเทศ โดยนำ�ข้าวช้ันดีออกไปขายเหลือเพียงข้าวหักสำ�หรับเลี้ยงสัตว์ไว้ให้ ประชาชนในประเทศบรโิ ภค ท�ำ ใหฝ้ า่ ยคา้ นโดยพรรคประชาธปิ ตั ย์ เปดิ อภปิ รายไมไ่ ว้วางใจยาวนานถึง 7 วัน 7 คนื และเป็นการอภปิ รายครัง้ แรกทม่ี ีการถา่ ยทอดเสียงทางวิทยุ แม้จะไดร้ ับเสียงสว่ นมากไว้วางใจ แต่กระแสกดดันท่ีรุนแรงทำ�ให้รัฐบาลต้องลาออกในวันรุ่งขึ้นและได้รับ เลอื กกลบั มาเปน็ นายกรฐั มนตรตี อ่ ทนั ที สถานการณบ์ า้ นเมอื งในเวลา น้ันมีความแตกแยกในหมู่นักการเมืองและประชาชนค่อนข้างมากหลัง เหตกุ ารณส์ วรรคตของรชั กาลท่ี 8 และเหตกุ ารณอ์ นื่ ๆ บทบาทของทา่ น ในช่วงนี้ คอื เจรจาทำ�ความเขา้ ใจกันของท้ัง 2 ฝ่าย เพ่อื ประสานรอย รา้ วจนได้รบั ฉายาวา่ นายกล้ินทอง แตส่ ถานการณก์ ไ็ ม่ดีขึ้นจนนำ�ไปสู่ การรฐั ประหารในวันท่ี 8 พฤศจกิ ายน พ.ศ.2490 หลังจากรัฐประหาร 78
ขอ้ มูลนักการเมอื งถน่ิ จังหวัดพระนครศรอี ยุธยา แลว้ ทา่ นตอ้ งเดนิ ทางออกนอกประเทศไปล้ภี ยั ที่ฮอ่ งกงระยะหนึง่ แลว้ จึงกลบั ประเทศไทย และใช้ชีวติ อยา่ งสงบเงียบ ต่อมาถึงแกอ่ สัญกรรม เมื่อวนั ท่ี 3 ธันวาคม 2531 อายุ 87 ปี ที่โรงพยาบาลพระมงกฎุ เกลา้ (ถวลั ย์ ธำ�รงนาวาสวสั ดิ์ ,2553) นายวโิ รจน์ กมลพนั ธ์ นายวิโรจน์ กมลพันธ์ เป็นชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดย ก�ำ เนดิ เริ่มต้นรบั ราชการเปน็ ข้าราชการครู ตอ่ มาไดเ้ ล่ือนตำ�แหน่งเป็น ศึกษาธิการจังหวัดก่อนที่จะลาออกจากราชการเมื่อลงสมัครรับการ เลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา และไดร้ บั การเลือกต้ัง เมอื่ วนั ท่ี 6 มกราคม พ.ศ. 2489 และได้รบั การแต่งตัง้ เปน็ รฐั มนตรี (ไม่ไดส้ งั กัดกระทรวง) ในรฐั บาลนายปรดี ี พนมยงค์ เม่อื วนั ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489 และเมือ่ วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2489 ใน สมยั รฐั บาลพลเรอื ตรหี ลวงธ�ำ รงนาวาสวสั ดิ์ ด�ำ รงต�ำ แหนง่ เปน็ รฐั มนตรี ช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ด้วยการท่ีประกอบอาชีพครูและการ ดำ�รงตำ�แหน่งศึกษาธิการจังหวัด นายวิโรจน์ กมลพันธ์ จึงมีชื่อเสียง เปน็ ทย่ี อมรบั ในบรรดาขา้ ราชการครอู ยา่ งกวา้ งขวางประกอบกบั ในชว่ ง ระยะเวลาดังกล่าว อาชีพครูนับว่าเป็นผู้มีอิทธิพลทางความคิดในหมู่ ประชาชนค่อนข้างมาก ดังน้ันจึงมีความได้เปรียบ เม่ือมีการลงสมัคร รับเลือกตั้ง ประกอบกับเป็นผู้ก่อตั้งสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนอยุธยา วิทยาลัยทำ�ให้นายวิโรจน์ กมลพันธ์ มีเครือข่ายในบรรดาข้าราชการ และนักธุรกิจของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอย่างกว้างขวาง (ปัญญา นำ�้ เพชร, 2552) และhttp://www.ays.ac.th 79
นักการเมืองถิ่นจงั หวดั พระนครศรีอยุธยา ม.จ.นิตยากร วรวรรณ ม.จ. นิตยากร วรวรรณ เป็นเช้ือพระวงศ์ชั้นสูงซ่ึงมีฐานทาง ด้านเศรษฐกิจท่ีแข็งแกร่งในฐานะเจ้าของที่นาจำ�นวนมหาศาลในเขต พ้ืนที่อำ�เภอท่าเรือ เป็นพระโอรสของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระ นราธิปประพันธ์พงศ์ (พระราชโอรสลำ�ดับที่ 56 ในพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวท่ีประสูตรแต่เจ้าจอมมารดาเขียน) กับหม่อม ผันประสูติเม่ือ พ.ศ. 2436 ต่อมาได้อภิเษกสมรสกับหม่อมแก้ว เอ่ียมจำ�นง และหม่อมเล็ก เจริญจันทร์แดง ม.จ.นิตยากร วรวรรณ ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2 สมัย คือ เมอื่ วันที่ 5 สงิ หาคม พ.ศ. 2489 และ วนั ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2491 (ส�ำ นกั งานเลขานกุ ารสภาผแู้ ทนราษฎร,สำ�นกั วชิ าการ, กลมุ่ งานวิชาการ1, 2551)และข้อมลู จาก http://bloqeduzones.com พ.ต. หลวงจบกระบวนยุทธ พ.ต.หลวงจบกระบวนยทุ ธเคยเปน็ นายทหารบงั คบั บญั ชาหนว่ ย คุมกำ�ลังในเขตพระนครในช่วงก่อน พ.ศ. 2475 แต่ในช่วงการปฏิวัติ เปล่ียนแปลงการปกครองมิได้เข้าร่วมกับคณะราษฎร ในเช้าวันท่ี 24 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2475 ซง่ึ เปน็ วนั ทม่ี กี ารปฏวิ ตั นิ น้ั พ.ต.หลวงจบกระบวน- ยุทธได้ยึดถือคำ�สั่งของเสนาบดีกระทรวงกลาโหมอย่างเคร่งครัด คือ มิยอมให้ทหารภายใต้การบังคับของตน ทุกหน่วยที่อยู่ในเขตพื้นท่ี อำ�เภอดุสิต เคล่ือนย้ายกำ�ลังออกจากกองพันตามคำ�ขอของคณะ ผูก้ อ่ การ หลังการปฎวิ ัติผ่านพ้นไปได้มกี ารสอบสวน และโยกย้ายนาย ทหารท่ีมิได้เข้าร่วมการปฏิวัติ พ.ต.หลวงจบกระบวนยุทธถูกโยกย้าย จากหนว่ ยคุมกำ�ลงั ไปประจ�ำ อย่กู รมยุทธการทหารบก 80
ขอ้ มลู นักการเมืองถ่ินจังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ต่อมาในปี พ.ศ. 2476 พระองคเ์ จา้ บวรเดชไดก้ อ่ การปฏวิ ัติ มี การสรู้ บกบั ฝา่ ยรฐั บาลอยา่ งรนุ แรง ในทสี่ ดุ รฐั บาลเปน็ ฝา่ ยไดร้ บั ชยั ชนะ ไดม้ กี ารจบั กมุ นายทหารทเี่ ปน็ ฝา่ ยกบฏเปน็ จำ�นวนมาก พ.ต.หลวงจบ- กระบวนยุทธก็ถูกจับกุมด้วยทั้งที่มิได้เข้าร่วมในการรบ ได้ถูกส่งตัวไป กักขังที่เรือนจำ�บางขวาง ในข้อหากบฏเป็นเวลา 8 เดือน กับ 8 วัน ศาลทหารพิเศษจึงมีคำ�สั่งยกฟ้อง ในระหว่างที่ถูกจับกุมนั้นครอบครัว ได้รับความลำ�บากมากต้องขายท่ีดินและทรัพย์สินไปเป็นจำ�นวนมาก เมื่อได้รับการปล่อยตัวจึงได้หันมาทำ�ธุรกิจส่วนตัวหลายอย่างจนมี ฐานะม่ันคงพร้อมท้ังได้ย้ายมารับราชการท่ีตำ�บลหัวแหลมจังหวัด พระนครศรีอยธุ ยา และลาออกจากราชการในเวลาต่อมา พ.ต.หลวงจบกระบวนยุทธสมรสกับคุณหญิงเครือวัลย์ มีบุตร คอื นางจงกล กระบวนยุทธ ตอ่ มาสมรสกับ ร.ต. ถนอม กิตตขิ จรเมื่อ วันท่ี 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 ได้รับการเลอื กตง้ั ใหเ้ ป็นสมาชกิ สภา ผแู้ ทนราษฎร เขต 1 จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ส่วนหนง่ึ อาจเกดิ จาก บารมขี องจอมพลถนอม กิตติขจร บตุ รเขย ซึ่งด�ำ รงตำ�แหนง่ ระดบั สงู ในกองทัพ และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรฐั มนตรใี นขณะนนั้ ตอ่ มาในการเลอื กตง้ั เมอ่ื วนั ท่ี 26 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2500 ไดร้ บั การเลอื กตงั้ อกี ครง้ั หนง่ึ ในนามสมาชกิ พรรคเสรมี นงั ค- ศลิ าซงึ่ มจี อมพลป. พบิ ลู สงครามเปน็ หวั หนา้ พรรค (หนงั สอื อนสุ รณง์ าน ศพพันตรหี ลวงจบกระบวนยทุ ธ, 2520) นายประเสริฐ บญุ สม เกิดเมอื่ วันท่ี 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2458 ที่ต�ำ บลประตูจีน หมู่ 2 อ�ำ เภอกรุงเกา่ จงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา เป็นบตุ รของ จ.ส.ต.หมืน่ สิน 81
นกั การเมืองถนิ่ จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา ศกั ดิส์ งวน (สิน บุญสม) กบั นางสาย บุญสม มีพน่ี อ้ งร่วมบดิ าเดียวกัน คือ นางศิริ วิไลจติ ต์ นายประเสริฐรับราชการคร้ังแรกท่ีโรงเรียนสตรีประจำ�จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ต่อมาย้ายไปดำ�รงตำ�แหน่งที่โรงเรียนอยุธยา วทิ ยาลัย สำ�นกั งานเลขาธกิ ารนายกรฐั มนตรแี ละโอนไปด�ำ รงตำ�แหนง่ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นตำ�แหน่ง ข้าราชการการเมอื ง เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา เมอ่ื วนั ท่ี 26 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2500 ในนามพรรคเสรมี นังคศลิ า และได้รบั การ เลอื กตั้งมาโดยตลอด เปน็ สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร 5 สมยั นบั เป็นผู้มี ประสบการณท์ างการเมอื งสงู มากคนหนง่ึ ของจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ท้ังนี้เนื่องจากเป็นผู้มีอุปนิสัยใจคอโอบอ้อมอารี ชอบช่วยเหลือคน นอกจากน้ันยังมีเครือข่ายกว้างขวางในหมู่ข้าราชการครู ซึ่งนับเป็น ฐานคะแนนเสยี งท่มี ีความส�ำ คัญของจงั หวัด นอกจากนน้ั ยังมกี จิ กรรม ทางสังคมที่เป็นการสร้างฐานทางการเมือง เช่นเป็นกรรมการลูกเสือ จงั หวัดพระนครศรอี ยธุ ยา กรรมการสโมสรไลออนส์อยธุ ยา กรรมการ ทีป่ รกึ ษาของสมาคมชาวกรุงศรอี ยธุ ยาประธานลกู เสือชาวบา้ นจังหวัด พระนครศรอี ยธุ ยานายกสมาคมนกั เรยี นเกา่ อยธุ ยาวทิ ยาลยั ในพระบรม ราชปู ถมั ภ์ 7 สมยั ต�ำ แหนง่ ทางการเมอื งด�ำ รงต�ำ แหนง่ เปน็ เลขานกุ ารรฐั มนตรแี ละ รัฐมนตรชี ว่ ยว่าการกระทรวงศึกษาธิการในปี พ.ศ. 2522 ได้สร้างผลงานที่โดดเด่นคือการสร้างโรงเรียนมัธยม ประจำ� อ�ำ เภอเกอื บครบทกุ อ�ำ เภอของจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา นายประเสรฐิ บญุ สมถงึ แก่กรรมเมอื่ วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 โรงเรยี นอยธุ ยา 82
ข้อมูลนกั การเมืองถ่ินจังหวัดพระนครศรอี ยธุ ยา วิทยาลัยได้สร้างรูปป้ันหล่อของท่านไว้ท่ีอาคารท่ีทำ�การของสมาคม (หนังสือประวัตินายประเสริฐ บุญสม, ไม่ปรากฏปีท่ีพิมพ์และสำ�นัก พมิ พ)์ นายสมศักดิ์ ชมจนั ทร์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในระยะเวลา สั้น ๆ คือในการเลือกต้งั เม่อื วนั ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 ลงสมัคร ในนามพรรคเสรมี นงั คศลิ า นายสมศกั ด์ิ มบี คุ ลกิ ภาพของการเปน็ คนพดู จรงิ ท�ำ จรงิ เดมิ ประกอบอาชพี คา้ ขาย เคยด�ำ รงต�ำ แหนง่ นายกเทศมนตรี เมืองพระนครศรีอยุธยา ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ต้องคดี แต่ ได้รับการประกันตัวออกมาเม่ือลงสมัครรับเลือกต้ัง ในระหว่างการหา เสยี งกใ็ สโ่ ซต่ รวนเพอื่ เรยี กรอ้ งคะแนนสงสาร เวลาหาเสยี งไปตามต�ำ บล หมบู่ า้ น นายสมศกั ดจิ์ ะยนื อยหู่ วั เรอื ใสโ่ ซต่ รวนและมฝี า่ ยหาเสยี งใชโ้ ทร โข่งพูดปราศรัยไปเรื่อย ๆ ได้รับความสนใจและได้คะแนนสงสารจาก ประชาชนทเี่ หน็ วา่ นายสมศกั ดติ์ อ้ งคดอี ยา่ งไมไ่ ดร้ บั ความเปน็ ธรรมและ เป็นนักต่อส้เู พอื่ ความถกู ตอ้ ง การหาเสียงของนายสมศักดิ์ ชมจนั ทรก์ ็ คือ การเดินพบปะขอคะแนนจากประชาชนตามตำ�บลหมู่บ้านต่างๆ การอาศยั ความชน่ื ชอบศรทั ธาโดยสว่ นตวั การเลยี้ งดู หรอื การใหค้ วาม ชว่ ยเหลอื ในเรอื่ งสว่ นตวั มอี ยบู่ า้ ง แตไ่ มช่ ดั เจนเหมอื นการเลอื กตงั้ หลงั ปี พ.ศ. 2518 สำ�หรับการแจกเงินไม่ปรากฏข้อมูลชัดเจน (ปัญญา น�ำ้ เพชร, 2552) การเลือกต้งั คร้ังนไี้ ด้รบั การขนานนามว่า “การเลือกตัง้ สกปรก” ในเขตพระนครมีผู้พบบัตรลงคะแนนเสียงฝ่ายรัฐบาลได้มีการติด หมายเลขผู้รับการเลือกตั้งฝ่ายรัฐบาลไว้ล่วงหน้า บางแห่งไม่มีผู้คุม 83
นกั การเมอื งถ่ินจังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา หน่วยเลือกตั้งนอกจากน้ันยังมีพวกสวมเส้ือเขียว ติดรูปไก่กระพือ ปีกหัวแดงเท่ียววนเวียนลงคะแนนเสียงให้พรรครัฐบาลบางแห่งมีการ ท�ำ รา้ ยรา่ งกายผลู้ งคะแนนเสยี งใหก้ บั ฝา่ ยคา้ นในทส่ี ดุ ในเขตพระนครผู้ ได้รบั การเลอื กตง้ั เกือบทั้งหมด (ยกเว้นนายควง อภัยวงศ์หัวหนา้ พรรค ประชาธิปัตย์คนเดียว) เป็นคนของพรรคเสรีมนังคศิลาซ่ึงจอมพลป. พิบูลสงคราม เป็นหวั หน้าพรรค ต่อมาได้มีการชุมนมุ เรยี กร้องและเดิน ขบวน โดยนสิ ติ นกั ศกึ ษา สถานการณม์ ีแนวโน้มจะลุกลามบานปลาย ในทส่ี ดุ รฐั บาลไดป้ ระกาศภาวะฉกุ เฉนิ ในวนั ท่ี 2 มนี าคม พ.ศ. 2500 และ แต่งตัง้ จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ ผ้บู ัญชาการทหารบก เปน็ ผู้บญั ชาการ ฝา่ ยทหารมีอำ�นาจส่ังเคลอ่ื นย้าย ค�ำ สัง่ กองทัพบก เรอื อากาศ และ ต�ำ รวจได้อยา่ งเดด็ ขาดแต่ผูเ้ ดียว แตใ่ นท่สี ดุ กส็ ามารถยตุ กิ ารชมุ นุมได้ สถานการณ์ทางการเมืองหลังวนั ท่ี 2 มีนาคม 2500 ยงั คงอยู่ ในภาวะตึงเครียด มีความขัดแย้งในการบริหารประเทศและมีการใช้ อำ�นาจรัฐข่มขู่ประชาชนและสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่องในท่ีสุดจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้ก่อการรัฐประหารข้ึนในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 ท�ำ ใหจ้ อมพลป. พบิ ลู สงครามและ พล.ต.ต.เผา่ ศรยี านนท์ ตอ้ ง หนอี อกนอกประเทศ ในวันท่ี 18 กันยายน พ.ศ. 2500 ได้มีการประกาศพระบรม ราชโองการให้ใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งมีสาระสำ�คัญ คอื ใหม้ กี ารแตง่ ตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรประเภทท่ี 2 ขน้ึ ใหมจ่ �ำ นวน 121 คน ใหท้ �ำ หนา้ ทส่ี ภาผแู้ ทนราษฎรไปพลางกอ่ น และใหม้ กี ารเลอื ก ตั้งสมาชิกสภาผ้แู ทนราษฎรประเภทที่ 1 ภายใน 90 วัน ซง่ึ ไดก้ ำ�หนด ให้มีการเลอื กตั้งในวันที่ 15 ธนั วาคม พ.ศ. 2500 มีสมาชกิ สภาผ้แู ทน ราษฎรทวั่ ประเทศจ�ำ นวน 160 คน เปน็ แบบรวมเขตจงั หวดั (ส�ำ นกั งาน 84
ข้อมลู นักการเมืองถ่ินจงั หวัดพระนครศรอี ยุธยา เลขานกุ ารสภาผแู้ ทนราษฎร,ส�ำ นกั วชิ าการ, กลมุ่ งานวชิ าการ 1, 2551) ในการเลือกตั้งครั้งนี้นายสมศักด์ิ ชมจันทร์ ได้รับการเลือกต้ัง เปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรอกี ครง้ั หนงึ่ สภาผแู้ ทนราษฎรชดุ นส้ี น้ิ สดุ ลง เมื่อวันท่ี 20 ตุลาคม 2501 โดยการปฏิวัติของจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ หลังจากการปฏิวัติคร้ังน้ี ประเทศไทยปกครองโดยระบบ เผดจ็ การทหารสฤษดแิ์ ละถนอมอยา่ งยาวนานโดยไมม่ กี ารการเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรยาวนานถงึ 15 ปี (เลอื กตงั้ เมอ่ื 10 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2512) นายนิคม สุขพัฒนธ์ ี นายนิคม สุขพัฒน์ธี เป็นข้าราชการฝ่ายปกครองตำ�แหน่ง สุดท้ายก่อนลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด พระนครศรีอยธุ ยา ด�ำ รงตำ�แหนง่ นายอ�ำ เภอผักไห่ นายนคิ มลงสมคั ร รบั เลอื กตงั้ และไดร้ บั การเลอื กตงั้ เพยี งครงั้ เดยี ว คอื ในการเลอื กตง้ั เมอ่ื วนั ท่ี 15 ธนั วาคม พ.ศ. 2500 ในนามของพรรคสหภูมิ สาเหตุทไี่ ดร้ บั การเลอื กตงั้ เนอ่ื งจากรบั ราชการในพนื้ ทจ่ี งั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยานาน รจู้ กั ก�ำ นันผู้ใหญ่บ้านค่อนข้างกวา้ งขวาง เปน็ คนพดู จาดี ไม่ถือตวั เป็น กันเองกับประชาชน ประกอบกับความเป็นข้าราชการในยุคน้ันเป็นท่ี ยอมรบั ของประชาชนมาก (ปญั ญา น�ำ้ เพชร, 2552) นายเผชญิ ศรภี ูธร นายเผชิญ ศรีภูธรประกอบอาชีพนักธุรกิจเป็นคนอำ�เภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่ไปประกอบอาชีพที่จังหวัดอื่น มีเครือ ข่ายความสัมพันธ์และเข้าสู่วงการเมืองโดยการสนับสนุนของนาย 85
นักการเมอื งถ่ินจงั หวัดพระนครศรอี ยธุ ยา ประเสริฐ บุญสม นายเผชญิ ลงสมัครรบั เลือกต้งั และได้รับการเลือก ตั้งเพียงคร้งั เดียวคอื ในการเลอื กต้ังสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร เมื่อวันท่ี 10 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2512 ในนามพรรคสหประชาไทย ซ่ึงเป็นพรรค ของจอมพลถนอม กติ ตขิ จร นายกรัฐมนตรใี นขณะน้ัน สาเหตทุ ่ไี ด้รับการเลือกต้งั ของนายเผชิญน้นั เน่อื งจากเปน็ นัก ธรุ กจิ ทม่ี ที นุ มากประกอบกบั อาศยั ฐานเสยี งและการชว่ ยเหลอื ของนาย ประเสริฐ บุญสม ซ่ึงเป็นนักการเมืองท่ีมีฐานเสียง จากครูและกำ�นัน ผู้ใหญ่บ้าน เนื่องจากได้สร้างโรงเรียนขึ้นเกือบทุกอำ�เภอ ในจังหวัด พระนครศรีอยุธยา ตลอดจนช่วยเหลือครูในเรื่องการแต่งต้ัง โยกย้าย หรือฝากลกู หลานเข้าเรยี น เขา้ ท�ำ งาน (ปัญญา นำ�้ เพชร, 2552) นายวิเชียร กลน่ิ สุคนธ์ นายวิเชียร กลิ่นสุคนธ์ เป็นคนอำ�เภอวังน้อยแต่ไปทำ�ธุรกิจ ท่ีกรุงเทพ มีท่ีดินแถวสะพานควายเป็นจำ�นวนมาก เป็นเจ้าของ ตลาดศรีศุภราชและโรงแรมกานต์มณีตลอดจนเป็นเจ้าของธุรกิจ อสงั หาริมทรัพย์จ�ำ นวนมากปจั จุบนั ยังมีชวี ติ อยู่ (อายปุ ระมาณ 85 ป)ี จบการศกึ ษาเตรยี มมหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ (ต.มธก.)และเปน็ ประธาน ต.มธ.ก.สัมพันธ์เคยเป็นสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เข้าสู่การเลือก ต้งั สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎรจังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา โดยการชกั ชวน ของนายประเสริฐ บุญสม รุ่นเดียวกับนายเผชิญ ศรีภูธร นายวิเชียร ลงสมคั รสมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรและไดร้ บั การเลอื กตงั้ เพยี งสมยั เดยี ว คือ ในการเลอื กตัง้ เม่ือวันท่ี 10 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2512 ในนามพรรค สหประชาไทยรุ่นเดียวกับนายประเสริฐ บุญสม กลยุทธ์สำ�คัญคือ การสร้างโรงเรยี น การชว่ ยเหลอื ประชาชนในเรื่องการสร้างสาธารณูป- 86
ข้อมลู นักการเมืองถ่ินจังหวดั พระนครศรีอยุธยา โภคตา่ ง ๆ (นายปญั ญา นำ้�เพชร, 2552) และข้อมูลจาก (วเิ ชียร กลน่ิ สุคนธ์, 2554) นายอตนิ าท ควรพจน์ นายอตินาท ควรพจน์ เป็นทนายความและประกอบธุรกิจมี บุคลิกเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต และต่อสู้กับความไม่ยุติธรรม ชอบช่วย เหลือคนที่ได้รับความเดือดร้อนและไม่ได้รับความเป็นธรรมในการลง สมคั รรับเลอื กตงั้ ไดข้ ายที่ดนิ และทรพั ย์สินเพื่อมาทำ�งานดา้ นการเมือง ในภายหลังแทบจะไมม่ ที รพั ยส์ นิ ใด ๆ เหลอื อยูเ่ ลยและเลิกอาชีพการ เป็นนักการเมืองไปในท่ีสุด นายอตินาทได้รับการเลือกต้ังเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรของจงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา เพยี งสมัยเดียว คอื การเลือกต้ังเมื่อวนั ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 โดยลงสมคั รอสิ ระไม่ สงั กดั พรรคการเมอื งใด (ปญั ญา น้ำ�เพชร, 2552) นายอนันต์ บรู ณวนิช นายอนันต์ บูรณวนิช เป็นคนสระบุรีจบการศึกษาจากต่าง ประเทศประกอบอาชีพนกั ธุรกิจ นายประเสรฐิ บญุ สมเป็นคนชกั ชวน เข้าสู่วงการเมืองลงสมัครรับเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด พระนครศรีอยุธยา และได้รับการเลือกตั้งเพียงครั้งเดียว คือ ในการ เลอื กตั้ง เมื่อวนั ท่ี 26 มกราคม พ.ศ. 2518 ในนามพรรคสนั ติชน มี ฐานะเสยี ง ในเขตอำ�เภอภาชีและนครหลวง เหตุผลที่ได้รับการเลือกตั้งเนื่องจากอาศัยฐานเสียงของ นาย ประเสรฐิ บญุ สม และเปน็ การหาเสยี งโดยการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ท่เี ป็นความต้องการของชุมชน(ปัญญา นำ�้ เพชร, 2552) 87
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174