นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน โดย ดร.สทุ ธชิ ัย ปัญญโรจน์ ข้อมลู ทางบรรณานุกรมของสำนักหอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data สทุ ธิชยั ปัญญโรจน.์ นกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั นา่ น- - กรงุ เทพฯ : สถาบนั พระปกเกลา้ , 2558. 187 หน้า. 1. นักการเมือง - - น่าน. 2. น่าน - - การเมืองการปกครอง l. ชื่อเรื่อง. 342.2092 ISBN 978-974-449-XXX-X รหสั สง่ิ พมิ พข์ องสถาบนั พระปกเกล้า สวพ.59-XX-500.0 เลขมาตรฐานสากลประจำหนงั สอื 978-974-449-XXX-X ราคา พมิ พค์ รง้ั ที่ 1 มีนาคม 2559 จำนวนพิมพ ์ 500 เล่ม ลิขสิทธ์ ิ สถาบันพระปกเกล้า ที่ปรึกษา ศาสตราจารย์(พิเศษ)นรนิติ เศรษฐบุตร รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต รองศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา หงษ์ไกรเลิศ รองศาสตราจารย์พรชัย เทพปัญญา ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ผูแ้ ต่ง ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ ผ้พู ิมพ์ผู้โฆษณา สถาบันพระปกเกล้า จดั พิมพ์โดย สถาบันพระปกเกล้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี ชั้น 5 (โซนทิศใต้) เลขที่ 120 หมู่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 โทรศัพท์ 02-141-9607 โทรสาร 02-143-8177 http://www.kpi.ac.th พิมพ์ท่ี
นักการเมืองถ่ิน จังหวัดน่าน ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์ สถาบันพระปกเกล้า อภินันทนาการ
คำนำ รายงานวิจัยเรื่องโครงการสำรวจเพื่อประมวลข้อมูล นักการเมืองถิ่น ในพื้นที่จังหวัดน่าน เป็นโครงการสำรวจหนึ่ง เพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่นในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ที่สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ได้จัด ทุนสนับสนุนให้นักวิจัยในพื้นที่ได้ดำเนินการจัดเก็บข้อมูล ในการทำงานวิจัย ผู้วิจัยได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลจาก เอกสาร และการสัมภาษณ์นักการเมืองและบุคคลที่เกี่ยวข้อง มาทำการศึกษาวิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อนำเสนอภูมิหลัง บทบาทพฤติกรรมของนักการเมืองถิ่นน่าน ตั้งแต่การเลือกตั้ง ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2575 จนกระทั่งถึงการเลือกตั้ง พ.ศ.2554 งานวิจัยครั้งนี้สำเร็จได้ก็เนื่องมาจาก การได้รับความ ร่วมมือจากบุคคลหลายฝ่ายและหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ สมาชิก สภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน ทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมทั้ง ทายาท ผู้วิจัยขอขอบพระคุณสถาบันพระปกเกล้าในฐานะ
นักการเมืองถ่ินจังหวัดน่าน ผู้ให้การสนับสนุนทุนวิจัย สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจำจังหวัดน่านที่ให้ข้อมูลเชิงสถิติ ขอขอบพระคุณ คณะกรรมการผู้พิจารณาและตรวจทานงานวิจัย ผู้วิจัยหวังว่า งานวิจัยฉบับนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจศึกษาค้นคว้าไม่มาก ก็น้อย สุทธิชัย ปัญญโรจน์
บทคัดย่อ การสำรวจเพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่นในพื้นที่ จังหวัดน่าน มีวัตถุประสงค์เพื่อทำความรู้จักนักการเมืองที่เคย ได้รับการเลือกตั้งในจังหวัดน่าน ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เครือข่ายและกลวิธีการหาเสียงของนักการเมือง วิธีการศึกษา เป็นการศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง และ การสังเกตการณ์ในพื้นที่ของผู้วิจัย ข้อมูลที่ได้จากการวิจัย ได้ถูกนำมาประมวล จัดระบบ วิเคราะห์และนำเสนอโดยการ พรรณนาวิเคราะห์ จากการศึกษา พบว่า ผู้ที่เคยได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน ตั้งแต่ พ.ศ.2475 ถึง 2554 มีจำนวน ทั้งสิ้น 17 คน แบ่งเป็นเพศชาย 15 คน และ เพศหญิง 2 คน ก่อนเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ นักธุรกิจ รองลงมาได้แก่อาชีพ รับราชการและทนายความ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับการเลือกตั้งมากสมัยที่สุด
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน (9 สมัย) คือ นายวัลลภ สุปริยศิลป์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ย้ายพรรคมากที่สุดคือ นายวัลลภ สุปริยศิลป์ เคยสังกัด พรรคการเมืองต่างๆ ในการสมัครรับเลือกตั้ง 7 พรรคการเมือง ในขณะที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่เคยย้ายพรรคคือ นายคำรณ ณ ลำพูน สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ 7 สมัย นักการเมืองถิ่นน่านที่เคยได้รับการเลือกตั้งสามารถ จำแนกตามภูมิหลังโดยจัดเป็นกลุ่มได้ ดังนี้ กลุ่มชนชั้นนำ กลุ่ม นักกฎหมาย กลุ่มครู-อาจารย์ ข้าราชการเก่า กลุ่มนักธุรกิจและ นักการเมือง “ตระกูลโลหะโชติ” เป็นตระกูลที่ได้มีการส่งทอด ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุดบทบาทของกลุ่ม ผลประโยชน์ในการสนับสนุนนักการเมืองถิ่นน่าน คือ กลุ่ม ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง บทบาทของพรรคการเมืองในการสนับสนุนสัมพันธ์กับ นักการเมืองถิ่นน่าน พรรคที่ได้รับความนิยม 5 ลำดับแรก ได้แก่ ชาติไทย ไทยรักไทย พลังประชาชน เพื่อไทยและประชาธิปัตย์ กลวิธีที่ใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งของนักการเมืองถิ่น น่านที่มีส่วนช่วยให้ได้รับการเลือกตั้งมีหลายรูปแบบยกตัวอย่าง เช่น การปราศรัย การช่วยเหลือให้ความอุปถัมภ์ในรูปแบบตา่ งๆ การเข้าร่วมกิจกรรมงานประเพณีงานบุญต่างๆ การประสาน ของบประมาณจากส่วนกลางมาช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ การใช้สื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ การใช้หัวคะแนน การเคาะ ประตูบ้านหรือการลงพื้นที่และการเยี่ยมเยือนพบปะพดู คุย VII
Abstract This study aimed to analyze characteristics of local politicians in Nan Province, focusing on elected politicians’ networks and their election strategies. The study was conducted by studying documents, interviewing relevant people and making observations the study area. The data collected were processed, classified, and analyzed using descriptive methodology techniques. The study revealed that of the politicians being in term of office between 1932 and 2011, 17 were 17 male and 2 were female. Before being elected to office, most of them had been businessmen. The second group was government officers or lawyers. The politician who won election the most number of times was Mr. Wanlop Suriyasil, who was elected to 9 terms in office. Mr. Wanlop Suriyasil also changed parties
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน the most frequently, having been a member of seven different political parties over his career. The only politician who never switched political parties was Mr. Kumron Nalumphun, a Democrat Party member who was elected to 7 terms of office. The local politicians studied were classified into many groups such as lay leaders, lawyers, teachers, former government officers, and businessmen. The Loh Chotis family had the greatest number of family members elected to office. Interest groups were found to be involved business and politics. The political parties most active in supporting the local politicians were Chatthai Party, Thai Rak Thai Party, People Power Party, Pheu Thai Party, and the Democrat Party. Regarding the campaign strategies employed in elections, several different methods of campaigning all played important roles: public speeches, help provision, participating in social events or ceremonies, cooperation in budget requisition, using public relations media, using election canvassers, and visiting voters’ homes or face to face conversation. IX
สารบัญ หนา้ คำนำ IV บทคัดย่อ V Abstract VIII บทที่ 1 บทนำ 1 ที่มาและความสำคัญของการศึกษา 1 วัตถุประสงค์ 4 ขอบเขตของการศึกษา 4 พื้นที่การศึกษา 5 วิธีการศึกษา 5 ระยะเวลา 5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 5 บทที่ 2 ขอ้ มูลทัว่ ไปของจงั หวัดน่าน 7 สัญลักษณ์ประจำจังหวัดน่าน 7 ที่ตั้งและสภาพภูมิศาสตร์ 8 สภาพเศรษฐกิจ 11 สภาพสังคมและวัฒนธรรม 12 การบริหาร การปกครอง 14
นักการเมืองถ่ินจังหวัดน่าน หน้า บทท่ี 3 แนวคิด ทฤษฏี และงานวิจัยท่เี กี่ยวข้อง 16 แนวคิดการสื่อสารทางการเมือง 16 แนวคิดการหาเสียงเลือกตั้ง 19 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 23 บทท่ี 4 นกั การเมอื งถ่นิ จงั หวัดน่าน 30 ภูมิหลังทางการเมืองของจังหวัดน่าน 30 การเลือกตั้งและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน 43 ตั้งแต่ พ.ศ.2476 – 2554 การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน ยุคแรก 80 (พ.ศ.2475 – 2511) การเมืองและนักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน ยุคที่สอง 95 (พ.ศ.2512 – 2555) บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ 139 สรุปผลการวิจัย 139 อภิปรายผล 152 ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยในอนาคต 156 ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาการเมืองถิ่นในจังหวัดน่าน 157 บรรณานุกรม 158 ภาคผนวก 161 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้ให้สัมภาษณ์ 161 ภาคผนวก ข รายชื่อ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน 164 ตั้งแต่ พ.ศ.2476 – 2554 ภาคผนวก ค ภาพนักการเมืองถิ่น 169 XI
บ1ทท ี่ บทนำ 1. ที่มาและความสำคัญของการศึกษา โครงการสำรวจเพื่อประมวลข้อมูลนักการเมืองถิ่น ในพื้นที่จังหวัดน่าน เป็นโครงการสำรวจหนึ่งเพื่อประมวลข้อมูล นักการเมืองถิ่นในพื้นที่จังหวัดต่างๆทั่วประเทศ ที่สำนักวิจัย และพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ได้จัดทุนสนับสนุนให้นักวิจัย ในพื้นที่ได้ดำเนินการจัดเก็บข้อมูลในการทำงานวิจัย โดยมีฐาน คิดว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 จนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2555) รวมระยะเวลากว่า 80 ปี เราได้สร้างระบบการเมืองแบบที่ประชาชนเลือกผู้แทนของตน เข้าไปทำหน้าที่กำหนดนโยบายสาธารณะแทนตนทั้งในระดับ ชาติและระดับท้องถิ่น ที่ผ่านมาในระดับชาติประเทศไทยจัดให้ มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นทั้งทางตรงและ ทางอ้อมรวม 23 ครั้ง มีบุคคลสับเปลี่ยนกันดำรงตำแหน่ง
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน นายกรัฐมนตรีทั้งสิ้น 27 คน โดยการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรทั่วไป ครั้งที่ 24 เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 (ครั้ง ล่าสุด) นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายรัฐมนตรี คนที่ 28 และมีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาทางอ้อม 1 ครั้ง ใน พ.ศ. 2489 มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาโดยตรงครั้งแรก ไปเมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ.2543 และการเลือกตั้งสมาชิก วุฒิสภาโดยตรงครั้งที่สองเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2549 ในขณะที่ในระดับท้องถิ่นได้จัดให้มีการเลือกตั้งตัวแทน เพื่อทำหน้าที่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในหลายรูปแบบ พัฒนาขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตาม คงมิอาจปฏิเสธได้ว่า การศึกษาการเมืองการปกครองไทยที่ผ่านมายังคงมุ่งเน้นไปที่ การเมืองระดับชาติเป็นส่วนใหญ่ สิ่งที่ขาดหายไปของ ภาคการเมืองที่ศึกษากันอยู่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า “การเมืองถิ่น” หรือ “การเมืองท้องถ่ิน” ที่เป็นการศึกษาเรื่องราวของ การเมืองที่เกิดขึ้นในอาณาบริเวณของท้องถิ่นที่เป็นจังหวัด ต่างๆ ในประเทศไทยซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เป็นภาพคู่ขนาน ไปกับการเมืองระดับชาติอีกระนาบหนึ่ง เพราะในขณะที่เวที การเมือง ณ ศูนย์กลางของประเทศกำลังเข้มข้นด้วยการชิงไหว ชิงพริบของนักการเมืองในสภาและพรรคการเมืองต่าง ๆ อีก ด้านหนึ่งในพื้นที่จังหวัด บรรดาสมัครพรรคพวกและผู้สนับสนุน ทั้งหลายก็กำลังดำเนินกิจกรรมเพื่อรักษาฐานเสียงในพื้นที่ด้วย เช่นกัน และทันทีที่ภารกิจที่ส่วนกลางสิ้นสุดลง การลงพื้นที่ พบปะประชาชนตามสถานที่และงานบุญงานประเพณีต่างๆ เป็นสิ่งที่นักการเมืองผู้หวังชัยชนะในการเลือกตั้งอาจขาดตก บกพร่องได้
บทนำ ภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจังหวัดนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึง หลายสิ่งหลายอย่างของการเมืองไทยที่ดำเนินมาต่อเนื่อง ยาวนานในแง่มุมที่จะไม่สามารถพบได้ในการเมืองระดับชาติ “การเมืองถิ่น” และ “นักการเมืองถิ่น” จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจแก่ การศึกษามิใช่น้อย เพื่อเติมเต็มองค์ความรู้ที่ยังขาดหาย และ หากนำสิ่งที่ได้ค้นพบมาพิจารณาอย่างลึกซึ้งก็จะทำให้สามารถ เข้าใจมุมมองทางการเมืองไทยได้ชัดเจนขึ้น ข้อมูลเหตุการณ์และพฤติกรรมของนักการเมือง ในพื้นที่จังหวัดน่าน ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็น ประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ.2475 มีการรวบรวมน้อยมาก แม้เหตุการณ์จะผ่านมาเพียงเวลา 80 ปี ซึ่งข้อมูลทางเอกสาร มีการบันทึกประวัตินักการเมืองถิ่นจังหวัดน่านบางคนเท่านั้น นอกจากนั้นเป็นเพียงการบอกเล่าสืบต่อกันมา มิได้ทำการ วิเคราะห์รวบรวมกันอย่างจริงจัง ดังนั้น โครงการสำรวจเพื่อประมวลข้อมูลนักการเมือง ถิ่นในพื้นที่จังหวัดน่าน จึงเป็นโครงการที่ทำการศึกษารวบรวม ข้อมูลของนักการเมืองถิ่นระดับชาติที่มาจากการเลือกตั้ง ในพื้นที่จังหวัดน่าน คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพื่อแสดงให้เห็นถึงบทบาทพฤติกรรม การสร้างเครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์ กลวิธีการหาเสียงของ นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน ทั้งนี้ผู้วิจัยมีความเชื่อมั่นว่างานวิจัย ครั้งนี้จะทำให้เห็นภาพ “การเมืองถิ่น” และ “นักการเมืองถิ่น” ของจังหวัดน่านได้ดีพอสมควร ซึ่งจะเชื่อมโยงไปสู่ภาพรวมของ การเมืองไทยได้กว้างขวางและชัดเจนมากขึ้น
นักการเมืองถ่ินจังหวัดน่าน 2. วัตถุประสงค์เพ่ือการศึกษา 2.1. เพื่อศึกษานักการเมืองที่เคยได้รับการเลือกตั้งใน จังหวัดน่าน ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน (พ.ศ.2554) 2.2. เพอ่ื ศกึ ษาเครอื ขา่ ยและความสมั พนั ธข์ องนกั การเมอื ง ในจังหวัดน่าน 2.3. เพื่อศึกษาบทบาทและความสัมพันธ์ของกลุ่ม ผลประโยชนแ์ ละกลมุ่ ทไ่ี มเ่ ปน็ ทางการ เชน่ ครอบครวั วงศาคณาญาติ ฯลฯ ที่มีส่วนในการสนับสนุนทาง การเมืองแก่นักการเมืองในจังหวัดน่าน 2.4. เพื่อศึกษาบทบาทและความสัมพันธ์ของพรรค การเมืองกับนักการเมืองในจังหวัดน่าน 2.5. เพอ่ื ศกึ ษาวธิ กี ารหาเสยี งในการเลอื กตง้ั ของนกั การเมอื ง ในจังหวัดน่าน ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน (พ.ศ.2554) 3. ขอบเขตของการศึกษา ศึกษาการเมืองของนักการเมืองระดับชาติ คือ สมาชิก สภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกจนถึงการ เลอื กตง้ั สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎรครง้ั ท่ี 24 เมอ่ื วนั ท่ี 3 กรกฎาคม 2554 ในจังหวัดน่าน โดยให้ความสำคัญกับเครือข่ายและ ความสัมพันธ์ของนักการเมือง บทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ และกลุ่มที่ไม่เป็นทางการต่างๆ บทบาทและความสัมพันธ์ของ พรรคการเมืองกับนักการเมืองภายในจังหวัด ตลอดจนรูปแบบ วธิ กี าร และกลวธิ ตี า่ งๆ ทน่ี กั การเมอื งใชใ้ นการเลอื กตง้ั แตล่ ะครง้ั
บทนำ 4. พื้นท่ีการศึกษา จังหวัดน่าน 5. วิธีการศึกษา 5.1 ผู้วิจัยใช้กระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ในการศึกษา 5.2 การศึกษาจากเอกสาร (Documentary Research) ที่เกี่ยวข้องต่างๆ 5.3 การสัมภาษณ์ (Interview) 5.3.1 สัมภาษณ์นักการเมืองถิ่นของจังหวัดน่าน คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งในอดีต และปัจจุบันที่ยังมีชีวิตอยู่ทั้งหมด 5.3.2 สัมภาษณ์บุคคลที่สามารถให้ข้อมูลโยงใย ไปถึงนักการเมืองถิ่นคนต่างๆ ในพื้นที่ จังหวัดน่าน 6. ระยะเวลา 8 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 – วันที่ 30 พฤศจิกายน 2555 7. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 7.1 เข้าใจถึงกลไกทางการเมืองในจังหวัดน่าน ตั้งแต ่ มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกจนถึงการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน 7.2. ได้ทราบว่าตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งแรกเป็นต้นมา มีนักการเมืองคนใดในจังหวัดน่านได้รับการเลือกตั้ง บ้าง และชัยชนะของนักการเมืองเหล่านี้มีสาเหตุและ ปัจจัยอะไรสนับสนุน 7.3. ได้ทราบถึงความสำคัญของกลุ่มผลประโยชน์และ กลมุ่ ทไ่ี มเ่ ปน็ ทางการ เชน่ ครอบครวั วงศาคณาญาติ ฯลฯ ที่มีต่อการเมืองในท้องถิ่นในจังหวัดน่าน 7.4. ได้ทราบถึงความสำคัญของพรรคการเมืองในการ เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดน่าน 7.5. ไดท้ ราบรปู แบบ วธิ กี าร และกลวธิ ตี า่ งๆ ทน่ี กั การเมอื ง ใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 7.6. ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับ “การเมืองถิ่น” และ “นกั การเมอื งถน่ิ ” สำหรบั เปน็ องคค์ วามรใู้ นการศกึ ษา วิจัยเกี่ยวกับการเมืองการปกครองของไทยต่อไป
บ2ทท ่ี ข้อมูลทั่วไป ของจังหวัดน่าน สัญลักษณ์ประจำจังหวัดน่าน รูปพระธาตุแช่แห้งบนหลังโคอุศุภราช หมายถึง โคอุสุภราช หมายถึง นามเมืองโดยมีตำนานเล่าว่าสมัยเมื่อ พญาผากองสร้างเมืองน่าน พ.ศ. 1911 พระองค์ทรงนิมิตไปว่า มีโค- อศุภราชวิ่งมาจากป่าทางด้านทิศ ตะวันออกข้ามแม่น้ำน่าน มายังทิศตะวันออก แล้วถ่ายมูลเป็น รูปพื้นฐานของตัวเมืองน่าน เมื่อพระองค์ตื่นบรรทม ปรากฏว่า มีเหตุการณ์ตามที่ได้นิมิตดังกล่าวประกอบกับพระองค์จะย้าย เมืองมาตั้งที่จังหวัดน่านปัจจุบัน พระองค์จึงก่อกำแพงเมือง ตามรอยมูลโคอศุภราชที่ถ่ายไว้ซึ่งถือว่าเป็นนิมิตหมาย อันสำคัญจึงให้โคอศุภราชเป็นนาม พระธาตุบนหลังโคอศุภราช หมายถึง พระธาตุแช่แห้งซึ่งเป็นปูชนียสถานที่สำคัญของ จังหวัดน่าน มีอายุกว่า 600 ปี
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน ดอกไม้ประจำจังหวัด ดอกเสี้ยวดอกขาว (ชื่อวิทยาศาสตร์: Bauhinia variegata Linn.) ต้นไม้ประจำจังหวัด กำลังเสือโคร่ง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Betula alnoides Buch.-Ham.) คำขวัญจังหวัดน่าน “แข่งเรือลือเลื่อง เมืองงาช้างดำ จิตรกรรมวัดภูมินทร์ แดนดินส้มสีทอง เรืองรองพระธาตุแช่แห้ง” ที่ต้ังและสภาพภูมิศาสตร์ อาณาเขตที่ตั้งของจังหวัดน่าน จังหวัดน่านตั้งอยู่ทางทิศเหนือของประเทศไทย อยู่ห่าง จากกรุงเทพมหานครตามทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 101 ประมาณ 668 กิโลเมตร ทิศเหนือ ประกอบด้วย อำเภอเชียงกลาง อำเภอปัว มีอำเภอทุ่งชา้ ง อำเภอเฉลิมพระเกยี รติ อำเภอบอ่ เกลอื ทีม่ พี ้นื ที่ ติดต่อกับเขตเศรษฐกิจพิเศษ เชียงฮ่อน – หงสา (สาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว)
กรอบทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ทิศตะวันออก ประกอบด้วย อำเภอภูเพียง อำเภอ สันติสุข โดยมีอำเภอแม่จริม อำเภอเวียงสา มีพื้นที่ติดต่อกับ แขวงไชยบุรี (สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) ทิศใต้ ประกอบด้วย อำเภอนาน้อย อำเภอนาหมื่น มีพื้นที่ติดต่อกับจังหวัดอุตรดิตถ์ อำเภอนาน้อย มีพื้นที่ติดต่อ กับจังหวัดแพร่ อำเภอเวียงสา มีพื้นที่ติดต่อกับจังหวัดแพร่ ทิศตะวันตก ประกับด้วย อำเภอบ้านหลวง มีพื้นที่ ติดต่อกับอำเภอเชียงม่วนจังหวัดพะเยา อำเภอท่าวังผา มีพื้นที่ ติดกับอำเภอปง จังหวัดพะเยา อำเภอสองแคว มีพื้นที่ติดต่อกับ อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา มีจุดผ่านแดนสากล 1 จุด คือ ด่านบ้านห้วยโก๋น อำเภอ เฉลิมพระเกียรติด่านตรงข้ามของ สาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว คือ บ้านน้ำเงิน เมืองเงิน แขวงไชยะบุลี (ด่าน สากล) และจุดผ่อนปรนด่านบ้านใหม่ชนแดน อำเภอสองแคว และบ้านห้วยสะแตง อ.ทุ่งช้าง กับเมืองเชียงฮ่อน สาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว ลักษณะภูมิประเทศ จังหวัดน่าน มีทิวเขาหลวงพระบางและทิวเขาผีปันน้ำ ซึ่งเป็นทิวเขาหินแกรนิต ที่มีความสูง 600 - 1,200 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ทอดผ่านทั่วจังหวัด คิดเป็นพื้นที่ประมาณ ร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั้งจังหวัด พื้นที่ของจังหวัดน่านโดยทั่วไป
นักการเมืองถ่ินจังหวัดน่าน มสี ภาพพน้ื ทเ่ี ปน็ ลกู คลน่ื ลอนชนั เกนิ 30 องศา ประมาณรอ้ ยละ 85 ของพื้นที่จังหวัด ส่วนลูกคลื่นลอนลาด ตามลุ่มน้ำ จะเป็น ที่ราบแคบๆ ระหว่างหุบเขาตามแนวยาวของลุ่มน้ำ น่าน สา ว้า ปัว และกอน จังหวัดน่านมีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 7,170,045 ไร่ หรือ 11,472.07 ตารางกิโลเมตร จำแนกเป็น 1. พน้ื ทป่ี า่ ไมแ้ ละภเู ขา 3,437,500 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 47.94 2. พน้ื ทป่ี า่ เสอ่ื มโทรม 2,813,980 ไร่ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 39.24 3. พื้นที่ทำการเกษตร 876,043 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 12.22 4. พื้นที่อยู่อาศัยและอื่นๆ 43,522 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 0.60 ทรัพยากรธรรมชาติ จังหวัดน่านมีแหล่งแร่ที่สำคัญ ได้แก่ ถ่านหิน ลิกไนต์ แมงกานีส วุลแฟรม แร่ใยหิน และหินประดับชนิดปูน ทรัพยากรด้านแหล่งน้ำ เนื่องจากจังหวัดน่านมีพื้นที่เป็นภูเขา สูง ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำหลายสายที่สำคัญของจังหวัดน่าน ได้แก่ แม่น้ำน่าน แม่น้ำว้า แม่น้ำสมุน และยังมีแม่น้ำสายเล็ก ๆ ที่ไหลมารวมแม่น้ำสายสำคัญเหล่านี้ ซึ่งแม่น้ำสายต่าง ๆ นี้ จะเป็นแม่น้ำที่สำคัญในการนำมาใช้อุปโภค บริโภค และใช้ใน 10
กรอบทฤษฎีและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง การเกษตร และแม่น้ำสายสำคัญ คือ แม่น้ำน่าน ยังได้ไหลผ่าน ไปยังจังหวัดอุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตร ไปบรรจบแม่น้ำปิง ที่จังหวัดนครสวรรค์ สภาพเศรษฐกิจ ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทางการเกษตร มีการ ทำนาข้าวบริเวณที่ราบลุ่มและทำการปลูกพืชไร่ เช่น ยาสูบ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเขียว ถั่วลิสง และสวนผลไม้ที่ทำการ เพาะปลกู มาก ไดแ้ ก่ มะมว่ ง ลำไย มะขามหวาน ขนนุ หนงั ลน้ิ จ่ี และส้มเขียวหวาน ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดน่าน หรือที่เรียกว่า ส้มสีทอง ด้านอุตสาหกรรมครัวเรือน ส่วนใหญ่มีการทอผ้า พื้นเมือง และการทำเครื่องเงิน จากการสำรวจสภาพทางเศรษฐกิจของจังหวัดน่านในปี 2553 พบว่าประชากรมีรายได้เฉลี่ยต่อหัว 54,701 บาท/คน/ปี เป็นลำดับที่ 58 ของประเทศ อันดับ 15 ของภาคเหนือโดย จังหวัดมีผลิตภัณฑ์มวลรวม 26,878 ล้านบาท ลำดับที่ 63 ของ ประเทศ 14 ของภาคเหนือ รายได้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับสาขานอก ภาคการเกษตร - การค้าส่ง และค้าปลีกร้อยละ 12.43 คิดเป็นมูลค่า 3,340 ลบ. - สาขาการศึกษา ร้อยละ 13.05 คิดเป็นมูลค่า 3,509 ลบ. - สาขาบริหารร้อยละ 8.57 คิดเป็นมลู ค่า 2,303 ลบ. 11
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน - สาขาการเกษตร ร้อยละ 39.38 คิดเป็นมูลค่า 10,584 ลบ. - อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 5.05 สภาพสังคมและวัฒนธรรม กลุ่มชาติพันธ์ุ ประชากรในจังหวัดน่านมีอยู่อย่างเบาบางเป็นอันดับ 3 ของประเทศ (ประมาณ 41 คนต่อตารางกิโลเมตร) กระจัด- กระจายไปตามสภาพทางภูมิศาสตร์ แบ่งได้เป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ 1. ชาวไทยวน หรอื คนเมอื ง ส่วนใหญ่อพยพมาจากเชียงแสนและบริเวณต่างๆ ของล้านนา ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัด 2. ชาวไทลื้อ (ไทล้ือ, ไทยอง) ส่วนใหญ่อพยพมาจากสิบสองปันนาและหัวเมือง ต่างๆ บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งมีทั้งอพยพมาด้วยความ สมัครใจและอพยพมาเนื่องจากเกิดศึกสงครามทั้งภายใน หัวเมืองลื้อเอง และอพยพมามากที่สุดยุคเก็บผักใส่ซ้าเก็บข้าใส่ เมืองของเจ้ากาวิลละแห่งเชียงใหม่ และเจ้าอัตถวรปัญโญฯ แห่งนครน่าน และยุคของเจ้าสุมนเทวราช อีกทั้งมีการอพยพ เข้ามาเรื่อยๆ ครั้งเกิดการปฏิวัติการปกครองประเทศของจีน ชาวไทลื้ออาศัยตั้งบ้านเรือนอยู่กระจัดกระจายตามลุ่มน้ำต่างๆ ในจังหวัดน่านมีมากที่สุด คือ อำเภอปัวแทบทุกตำบล อำเภอ 12
กรอบทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง ท่าวังผา อำเภอสองแคว อำเภอเชียงกลาง และอำเภอทุ่งช้าง เลยไปถึงอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ภาษาไทลื้อในจังหวัดน่าน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ - ไทลื้อฝั่งสิบสองปันนาตะวันออก ได้แก่ เมืองล้า เมืองมาง (อาศัยอยู่แถบลุ่มแม่น้ำน่าน บริเวณชุมชน บ้านหนองบัว ตำบลป่าคา อำเภอท่าวังผา และแถว ตำบลยอด อำเภอสองแคว) สำเนียงพูดใกล้เคียงกับ ภาษาไทยอีสานปนลาวพวน - ไทลื้อฝั่งสิบสองปันนาตะวันตก ได้แก่ เมืองยู้ เมือง ยอง เมืองเชียงลาบ เมืองเสี้ยว (อาศัยอยู่แถบลุ่ม แม่น้ำย่าง บริเวณชุมชนตำบลยม อำเภอท่าวังผา แถบลุ่มแม่น้ำปัว ตำบลศิลาเพชร ตำบลศิลาแลง อำเภอปัว ถึงตำบลห้วยโก๋น อำเภอเฉลิมพระเกียรติ) สำเนียงพูดเหมือนสำเนียงคนยองในจังหวัดลำพูน- เชียงใหม่ 3. ชาวไทพวน หรือ ลาวพวน ตั้งบ้านเรือนที่บ้านฝายมูล อำเภอท่าวังผา และ บ้านหลับมืนพวน อำเภอเวียงสา 4. ชาวไทเขิน หรอื ชาวขึน อพยพมาจากเชียงตุง ปัจจุบันส่วนใหญ่จะถูกกลืน ทางวัฒนธรรมจากคนเมือง ทั้งภาษาพูดและเครื่องแต่งกาย แต่บางหมู่บ้านยังมีการนับถือผีเจ้าเมืองของไทเขินอยู่จึงรู้ว่า เป็นไทเขิน เช่น บ้านหนองม่วง อำเภอท่าวังผา ส่วนบ้าน 13
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน เชียงยืน ตำบลยม อำเภอท่าวังผา ถูกชาวไทลื้อกลืนวัฒนธรรม จนไม่เหลือเค้าของชาวไทเขิน 5. ชาวไทใหญ่ หรอื เงี้ยว หรอื ไตโหลง มีถิ่นฐานในรัฐฉาน และเชียงตุง อาศัยอยู่บริเวณ แถวอำเภอทุ่งช้าง ในปัจจุบันถูกกลืนวัฒนธรรมจนแทบแยก ไม่ออกว่าเป็นชาวไทใหญ่ นอกจากนี้ ในบริเวณที่สูงตามไหล่เขายังเป็นชุมชนของ ชนกลุ่มน้อยที่เรียกกันว่า “ชาวเขา” ได้แก่ ชาวม้ง, เมี่ยน, ลัวะหรือถิ่น, ขมุ รวมถึงชาวตองเหลืองหรือมาบลี ที่อาศัยอยู่ ในบริเวณพื้นที่ตำบลแม่ขะนิง อำเภอเวียงสา ผู้คนในจังหวัด น่านจึงมีภาษาพูดที่หลากหลายด้วยเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่จะพูด ภาษาไทยถิ่นเหนือหรือคำเมืองสำเนียงน่าน การบริหาร การปกครอง จังหวัดน่านมีประชากรทั้งหมด 475,726 คนแยกเป็น ชาย 239,917 คน หญิง 235,809 คน แบ่งการปกครองเป็น 15 อำเภอ 98 ตำบล 890 หมู่บ้าน ได้แก่ อำเภอเมืองน่าน อำเภอเวียงสา อำเภอท่าวังผา อำเภอนาน้อย อำเภอนาหมื่น อำเภอทุ่งช้าง อำเภอปัว อำเภอแม่จริม อำเภอสันติสุข อำเภอบ่อเกลือ อำเภอสองแคว อำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอเชียงกลาง อำเภอบ้านหลวง และอำเภอภูเพียง (ปกครองจังหวัดน่าน, 2555) 14
กรอบทฤษฎีและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง สรุปเขตการปกครองของจังหวัดน่าน อำเภอเมืองน่าน มี 10 ตำบล 109 หมู่บ้าน อำเภอเวียงสา มี 17 ตำบล 127 หมู่บ้าน อำเภอท่าวังผา มี 10 ตำบล 91 หมู่บ้าน อำเภอนาน้อย มี 7 ตำบล 68 หมู่บ้าน อำเภอนาหมื่น มี 4 ตำบล 48 หมู่บ้าน อำเภอทุ่งช้าง มี 4 ตำบล 40 หมู่บ้าน อำเภอปัว มี 12 ตำบล 105 หมู่บ้าน อำเภอแม่จริม มี 5 ตำบล 38 หมู่บ้าน อำเภอสันติสุข มี 3 ตำบล 31 หมู่บ้าน อำเภอบ่อเกลือ มี 4 ตำบล 39 หมู่บ้าน อำเภอสองแคว มี 3 ตำบล 25 หมู่บ้าน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ มี 2 ตำบล 22 หมู่บ้าน อำเภอเชียงกลาง มี 6 ตำบล 60 หมู่บ้าน อำเภอบ้านหลวง มี 4 ตำบล 26 หมู่บ้าน อำเภอภเู พียง มี 7 ตำบล 61 หมู่บ้าน 15
บ3ทท ี่ แนวคิดทฤษฏี และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง แนวคิดและทฤษฏี ในการศกึ ษาวจิ ัยครัง้ น้ี ผ้วู ิจัยได้ทบทวนเอกสาร งานวิจยั แนวคิดทฤษฎี และงานเขียนที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นกรอบในการ วิเคราะห์ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1. แนวคิดการส่ือสารทางการเมือง การสื่อสารนับว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งในการ ดำรงชีวิตของมนุษย์ มนุษย์จำเป็นต้องใช้การสื่อสารเพื่อเป็น เครื่องมือในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เช่น กิจกรรมทางสังคม กิจกรรมทางการปกครอง กิจกรรมทางการเมือง ฯลฯ Scharamm กล่าวว่า การสื่อสาร (Communication) มี รากศัพท์มาจากภาษาลาตินว่า Communis แปลว่า ความ เหมือนกัน ความร่วมกัน ดังนั้น เมื่อแปลตามรากศัพท์เดิม หมายถึงว่า เมื่อใดที่มนุษย์สื่อสารกันนั้นเขากำลังทำกิจกรรม
สภาพทั่วไปของจังหวัดลำปาง ที่มุ่งสร้างความเหมือนกันหรือความคล้ายคลึงกันให้เกิดขึ้นกับ บุคคลที่เขาเกี่ยวข้องด้วย หรืออาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า การสื่อสารคือการที่มนุษย์พยายามที่จะแลกเปลี่ยน (share) ข้อมูลข่าวสาร (information) ความคิด (idea) และทัศนคติ (attitude) ซึ่งกันและกัน กระบวนการส่ือสารทางการเมืองการรณรงค์หาเสียงเลือกต้ัง แบบจำลองการสื่อสารเพื่ออธิบายกระบวนการสื่อสาร ฮาโรลด์ ดี ลาสเวลล์ ได้วิเคราะห์กระบวนการสื่อสารและนำ เสนอแบบจำลองเพื่ออธิบายกระบวนการสื่อสารในการรณรงค์ หาเสียงเลือกตั้ง ดังนี้ ใคร กล่าวอะไร ในช่องทางใด ถึงใคร พร้อมด้วยผลอะไร ผู้สมัครรับเลือกตั้ง นโยบาย รูปแบบสื่อและกลยุทธ์ ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง คะแนนเสียง จากแบบจำลองนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงการรณรงค์หาเสียง เลือกตั้งกับการสื่อสารทางการเมือง โดยมีสื่อเป็นตัวเชื่อม เพื่อให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ส่งนโยบายไปยังผู้มีสิทธิออกเสียง เลือกตั้ง เพื่อให้ได้ผลคือคะแนนเสียง สุรพงษ์ โสธนะเสถียร (2541:35) ศึกษาเรื่องการ ส่อื สารกบั การเมอื งพบวา่ ชอ่ งทางการสือ่ สารในฐานะเครือ่ งมอื ทางการเมืองทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมโยงหรือเป็นสื่อในการนำสาร 17
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน จากรัฐบาลหรือจากศูนย์อำนาจไปสู่ประชาชนโครงสร้างช่อง ทางการสื่อสารในทางการเมือง อาจปรากฏอยู่ในรูปแบบ ดังนี้ 1. วงสนทนา 2. โครงสร้างสังคมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง เช่น สมาคมต่างๆ ฯลฯ 3. โครงสร้างปัจจัยนำเข้าทางการเมือง เช่น พรรค การเมือง หรือ กลุ่มผลประโยชน์ ฯลฯ 4. โครงสร้างปัจจัยนำออกทางการเมือง เช่น หน่วย ราชการรัฐวิสาหกิจ ฯลฯ 5. สื่อมวลชน เช่น สิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ หรือ ภาพยนตร์ ฯลฯ โครงสร้างทั้ง 5 ประการ ต่างก็เป็นช่องทางการสื่อสาร ที่รัฐใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารกับประชาชน หรือประชาชน กับประชาชนโดยเฉพาะช่องทางการสื่อสารในโครงสร้างที่ 3, 4 และ 5 ในขณะที่ช่องทางการสื่อสารในข้อ 2 ค่อนข้างห่างไกล กับลักษณะทางการเมืองเมื่อเทียบกับช่องทางการสื่อสารแบบ อื่นๆ ส่วนช่องทางการสื่อสารที่ 1 แม้ว่าจะเป็นช่องทางการ สื่อสารที่สำคัญ แต่ก็มีระวางหรือปริมาณสารไม่กว้างขวาง เท่ากับแบบที่ 3, 4 และ 5 นอกจากนั้นก็ยังเป็นช่องทางการ สื่อสารที่เสี่ยงกับการที่สารอาจแปรสภาพไปเป็นข่าวลือ (rumor) ได้ 18
สภาพทั่วไปของจังหวัดลำปาง 2. แนวคิดการหาเสียงเลือกตั้ง การหาเสียงเลือกตั้ง คือ การใช้วิธีการต่างๆ เพื่อ เปิดโอกาสให้ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งได้ตัดสินใจเลือกผู้สมัคร เพื่อเข้าไปทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร 2.1 แนวคิดพื้นฐานในการรณรงค์หาเสียงเลือกต้ัง ระยะเวลาในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งส่วนใหญ่แล้ว จะแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ 1. ระยะเวลาก่อนวันสมัครรับเลือกตั้ง 2. ระยะเวลาหลังวันรับสมัครเลือกตั้ง 2.1.1 ระยะเวลากอ่ นวนั สมคั รรบั เลอื กตัง้ ผู้ที่ต้องการสมัครรับเลือกตั้ง ก่อนที่จะลงเลือกตั้ง จะต้องทำให้ประชาชนในเขตเลือกตั้งรู้จักก่อน การสร้างตนเอง ให้เป็นที่รู้จัก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ซึ่งมีปัจจัยแตกต่างกัน บางคนอาจจะมีคุณสมบัติที่เป็นต้นทุนส่วนตัว เช่น เป็นนัก- การเมืองโดยสายเลือด เป็นนักการเมืองอาชีพ หรือ บางคนอาจ จะใช้อาชีพที่ตนเองเปน็ เช่น ข้าราชการ ฝ่ายปกครอง พัฒนากร โดยมีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อสร้างความรู้จักและ หมั่นออกเยี่ยมเยือนชาวบ้านอย่างทั่วถึง หรือ บางคนอาจมี อาชีพ นักจัดรายวิทยุ ทนายความ นักหนังสือพิมพ์ ก็ใช้เงื่อนไข ของอาชีพตัวเองเพื่อทำให้ตนเองเป็นที่รู้จักกับประชาชนใน เขตพื้นที่เลือกตั้ง บางคนเป็นนักธุรกิจ พ่อค้า อาจสร้างโอกาส 19
นักการเมืองถ่ินจังหวัดน่าน ทำตัวให้เป็นที่รู้จักได้อย่างรวดเร็ว โดยการเข้าสังคม ร่วมบริจาคทรัพย์สินต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ในเขตพื้นที่ ขั้นต่อไปก็คือ การประชาสัมพันธ์ตัวเอง ได้แก่ การติดโปสเตอร์ การแจกใบปลิว การออกสื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ เพื่อทำให้คนรู้จักให้มากขึ้น สำหรับระยะเวลาก่อนรับ สมัครเลือกตั้ง ผู้ที่ต้องการสมัครรับเลือกตั้งอาจใช้ระยะเวลา ไม่เท่ากัน 2.1.2 ระยะเวลาหลงั วนั รบั สมคั รเลอื กตงั้ ในอดีตวันที่รับสมัครรับเลือกตั้งมีความสำคัญ มาก โดยมากเรามักจะเห็นผู้ที่สมัครรับเลือกตั้งจะไปรอที่ศาลา กลางจังหวัดตั้งแต่เช้ามืด เพราะต้องการได้หมายเลขในอันดับ ต้นๆ เนื่องจากเหตุผลที่ว่า ประชาชนในชนบทที่แก่ชรา บางคน ก็อ่านหนังสือไม่ออก มักจะกาบัตรเลือกตั้งในหมายเลขลำดับ ต้นๆ 2.2 การจัดตั้งองค์กร ผู้สมัครจะต้องมีการจัดตั้งองค์กรเพื่อหาเสียง ยิ่งถ้าหาก มีการแข่งขันที่สูง ยิ่งเขตเลือกตั้งกว้างการจัดตั้งองค์กรจึงเป็น สิ่งที่มีความจำเป็น ซึ่งอาจจะจัดตั้งองค์กรที่มีลักษณะเป็น ทางการและไม่เป็นทางการ การจัดตั้งองค์กรแบบเป็นทางการ คือ การจัดตั้งอย่าง เป็นระบบ มีการแบ่งงาน แบ่งหน้าที่ แบ่งความรับผิดชอบ มีโครงสร้าง มีสายบังคับบัญชา กันอย่างชัดเจน เช่น มีฝ่าย 20
สภาพทั่วไปของจังหวัดลำปาง แผนงานต่างๆ ฝ่ายข่าว ฝ่ายการเงิน ฝ่ายวัสดุ ฝ่ายแผนงาน ฝ่ายปฏิบัติงาน เป็นต้น การจัดตั้งองค์กรแบบไม่เป็นทางการ คือ การจัดตั้งอย่าง ไม่เป็นระบบ ไม่มีการแบ่งหน้าที่ แบ่งความรับผิดชอบ มีโครงสร้าง มีสายบังคับบัญชากันอย่างชัดเจน แต่จะให้ความ สำคัญกับปัจเจกบุคคลเป็นหลัก 2.3 การจัดการความสัมพันธ์ 2.3.1 การจัดการความสัมพันธ์ระหว่างการหาเสียง แนวกว้างและแนวลกึ - การหาเสียงแนวกว้าง คือ การใช้สื่อต่างๆ ประชาสัมพันธ์ โฆษณา เพื่อให้เป็นที่รู้จักของคนส่วนมาก เช่น ใบปลิว ออกวิทยุ โทรศัพท์ หนังสือพิมพ์ รถโฆษณาหาเสียง การปราศรัยใหญ่บนเวที การใช้รถโฆษณาหาเสียง คัทเอาต์ เป็นต้น - การหาเสียงแนวลึก คือ การหาเสียงโดยการ เข้าถึงตัวผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เช่น การเคาะประตูบ้าน (Door to Door) การเข้าพบปะรายบุคคล กลุ่มบุคคล เป็นต้น การหาเสียงทั้ง 2 แนวนี้ มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่าง กัน เช่น การหาเสียงแนวกว้างกระทำได้อย่างทั่วถึงทั้งเขต เลือกตั้ง แต่ผู้สมัครรับเลือกตั้งไม่ได้ไปให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเห็นตัว ส่วนการหาเสียงแนวลึกกระทำได้ในชุมชนใหญ่ๆ กลุ่มอาชีพ สำคัญๆ แต่การหาเสียงแนวลึกโดยเฉพาะการเคาะประตูบ้าน 21
นักการเมืองถ่ินจังหวัดน่าน อาจสร้างความรำคาญแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หากไม่คำนึงระยะ เวลา สถานการณ์ หรือหากกระทำกันแทบทุกพรรค 2.3.2 การจดั ความสมั พนั ธข์ องผสู้ มคั ร - หวั คะแนน - อาสาสมัคร หัวคะแนน หมายถึง บุคคล กลุ่มคน ซึ่งมีความ สามารถโดยใช้วิธีการต่างๆ เพื่อให้ประชาชนลงคะแนนให้ ผู้สมัครคนใดคนหนึ่ง อาสาสมัคร คือ บุคคล กลุ่มคน ซึ่งทำหน้าที่เป็น ตัวแทนให้ผู้สมัครหรือทำหน้าที่หาเสียงแทนผู้สมัครรับเลือกตั้ง ตามสถานที่ต่างๆ อาสาสมัครจึงเป็นตัวเชื่อมกลางระหว่าง ผู้สมัครกับหัวคะแนนในการเลือกตั้ง การจัดความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบข้างต้น ควรลำดับ ดังนี้ ผสู้ มคั ร อาสาสมคั ร หวั คะแนน ประชาชนในเขตเลอื กตง้ั ท่ีมา : เพิ่มพงษ์ เชาวลิต, ศรีสมภพ จิตรภิรมย์ศรี. หาคะแนนอย่างไร ให้ได้เป็น ส.ส. สำนักพิมพ์นิติธรรม 2531 22
สภาพท่ัวไปของจังหวัดลำปาง 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พรชัย เทพปัญญา (พรชัย เทพปัญญา, 2549) ศึกษา เรื่องนักการเมืองถิ่นจังหวัดปทุมธานี จากการศึกษาเรื่อง นักการเมืองถิ่นในจังหวัดปทุมธานี พบว่า นักการเมืองถิ่น ส่วนใหญ่มีภูมิหลังทางการศึกษาที่ดีมีสถานภาพทางเศรษฐกิจ และสังคมที่เอื้ออำนวยต่อการเป็นนักการเมือง, นักการเมืองถิ่น ส่วนใหญ่ในจังหวัดจะอยู่ในกลุ่มของตระกูลหาญสวัสดิ์ นอกนั้น จะได้รับเลือกตั้งเฉพาะชื่อเสียงของตนเอง, ความสัมพันธ์ ระหวา่ งนกั การเมอื งถน่ิ ภายในจงั หวดั ปทมุ ธานมี นี อ้ ย, การหาเสยี ง ของนักการเมืองถิ่นในจังหวัดปทุมธานีในปัจจุบันมีความสำคัญ กับพรรคการเมืองและนโยบายของพรรค, กลุ่มผลประโยชน์ทาง ธุรกิจมีความสัมพันธ์น้อยกับผู้แทนราษฎรและการรวมตัวของ กลุ่มตระกูลหาญสวัสดิ์กับพรรคไทยรักไทย ถือว่าเป็นการรวม กันระหว่างอิทธิพลท้องถิ่นกับอิทธิพลระดับชาติ ไพฑูรย์ มีกุศล (ไพฑูรย์ มีกุศล, 2552) ศึกษาเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัดสุรินทร์ จากการศึกษาเรื่องนักการเมือง ถิ่นในจังหวัดสุรินทร์ พบว่า พัฒนาการทางการเมืองถิ่นสุรินทร์ มีความสัมพันธ์กับการเมืองระดับชาติตั้งแต่เริ่มมีการเลือกตั้ง ทั่วไปเมื่อ พ.ศ.2476 เป็นต้นมา โดยแบ่งช่วงเวลาอย่างกว้างๆ ได้เป็น 2 ยุค คือ การเมืองยุคเก่านับตั้งแต่เริ่มมีการเลือกตั้ง จนถึงการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2518 จัดเป็นการเมืองแบบเดิม ที่นักการเมืองใช้รูปแบบและกลวิธีในการหาเสียงโดยใช้ความ ส า ม า ร ถ เ ฉ พ า ะ ต ั ว ซ ึ ่ ง ม ี ค ุ ณ ล ั ก ษ ณ ะ ห ร ื อ อ ั ต ล ั ก ษ ณ ์ ที่เป็นจุดเด่นในด้านของความเป็นคนที่มีความรู้ดี มีคุณธรรม 23
นักการเมืองถ่ินจังหวัดน่าน และศีลธรรมอันดี มีความใกล้ชิดกับประชาชน และมีความ เสียสละเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่มีความเดือดร้อนด้วยความ จริงใจ นักการเมืองถิ่นรุ่นเก่าที่ชาวบ้านกล่าวถึงในคุณงาม ความดีอยู่เสมอ คือ นายญาติ ไหวดี นายเหลื่อม พันธ์ฤกษ์และ นายสุธี ภวู พันธ์ ยุคต่อมาเป็นการเมืองแบบใหม่นับตั้งแต่มีการเลือกตั้ง ทั่วไปในปี 2522 เป็นต้นมานักการเมืองถิ่นจังหวัดสุรินทร์ยุคนี ้ มีหลายกลุ่ม คือ กลุ่มพ่อค้าที่มีบทบาทและมีอิทธิพลทางธุรกิจ การค้าในจังหวัดสุรินทร์ ได้แก่ ตระกูลศรีสุรินทร์ ตระกูลเรือง กาญจนเศรษฐ์ ตระกูลรุ่งธนเกียรติ และตระกูลมูลศาสตร์และ มูลศาสตรสาทร และกลุ่มนักจัดรายการวิทยุกระจายเสียง ได้แก่ นายวิชัย จันทร์เจริญและนายเสกสรร แสนภูมิ ในด้าน กระบวนการหาเสียงเลือกตั้งได้มีการวางรูปแบบโดยการจัดตั้ง ผู้นำที่เป็นกลุ่มพวกพ้อง กลุ่มเครือญาติ กลุ่มเครือข่ายวิชาชีพ ต่างๆ (ครู นักปกครองท้องถิ่น และท้องที่และ อสม.) และกลุ่ม หัวคะแนนหรือแกนนำในหมู่บ้านกับนักการเมืองซึ่งเป็นความ สัมพันธ์แบบระบบอุปถัมภ์และมีการใช้เงินเป็นหลักในการ หาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากการเลือกตั้งในช่วง ทศวรรษที่ 2540 เป็นต้นมา ประกายศรี ศรีรุ่งเรือง (ประกายศรี ศรีรุ่งเรือง, 2550) ศึกษาเรื่องนักการเมืองถิ่นจังหวัดเชียงราย จากการศึกษาพบว่า นักการเมืองถิ่นจังหวัดเชียงรายสามารถจำแนกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ นักธุรกิจ นักกฎหมายและอดีตข้าราชการ ส่วนใหญ่เป็น 24
สภาพทั่วไปของจังหวัดลำปาง นักการเมืองชาย นักการเมืองหญิงมีจำนวนน้อยความนิยมของ คนเชียงรายที่มีต่อพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ไม่เหนียวแน่นเหมือนกับจังหวัดในภาคใต้ที่ยึดมั่นใน พรรคประชาธิปัตย์ เห็นได้จากการที่ผู้สมัครของจังหวัดเชียงราย ที่ได้รับเลือกตั้งในแต่ละครั้งส่วนใหญ่จะเปลี่ยนพรรคที่สังกัด เสมอ มีเพียงไม่กี่คนที่จงรักภักดีต่อพรรคเดิม รกั ฎา เมธโี ภคพงษ์ และวรี ะ เลศิ สมพร (รกั ฎา เมธโี ภคพงษ์ และวีระ เลิศสมพร, 2551) ศึกษาเรื่องนักการเมืองถิ่น จังหวัด เชียงใหม่ จากการศึกษาพบว่า วิธีการและกลวิธีการหาเสียง ในการเลือกตั้งของนักการเมืองถิ่นจังหวัดเชียงใหม่ มีหลาย รูปแบบ ได้แก่ การใช้ความสามารถเฉพาะตัวที่โดดเด่น การหาเสียงแบบเข้าถึงชาวบ้าน การแจกใบปลิว และการใช้ เครือข่าย ส่วนบทบาทและความสัมพันธ์ของกลุ่มผลประโยชน์ และกลุ่มไม่เป็นทางการ พบว่า ครอบครัว วงศาคณาญาติ เพื่อนฝูง ลูกศิษย์ ลูกค้า รวมทั้งภูมิลำเนาเดิม ล้วนเป็นปัจจัย สำคัญที่มีส่วนสนับสนุนทางการเมืองแก่นักการเมืองในจังหวัด เชียงใหม่ให้ได้รับการเลือกตั้ง ไชยวุฒิ มนตรีรักษ์ (ไชยวุฒิ มนตรีรักษ์, 2551) ศึกษา เรื่องนักการเมืองถิ่นจังหวัดเลย จากการศึกษาพบว่า รูปแบบ การหาเสียงและวิธีการสร้างคะแนนนิยมของนักการเมืองถิ่น ในช่วง พ.ศ.2476 ถึง พ.ศ.2500 ใช้การเดินหาเสียงกับ ประชาชนในหมู่บ้าน มีใบปลิว โปสเตอร์หาเสียงฉายภาพยนตร์ มีจัดเลี้ยงสุราอาหาร แจกสิ่งของหลายประเภท เช่น น้ำปลา 25
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน ปลาทูเค็ม ปลาร้า ไม้ขีดไฟ น้ำตาล รองเท้า บางคน มีการ ป ร า ศ ร ั ย โ ด ย ชู น โ ย บ า ย ก า ร พ ั ฒ น า พ ื ้ น ท ี ่ ใ ห ้ เ จ ร ิ ญ แ ล ะ ชูภาพลักษณ์หัวหน้าพรรคหรือหัวหน้ากลุ่มการเมือง มีการ ปล่อยข่าวลือโจมตีว่าร้ายคู่แข่งขันทางการเมือง การเลือกตั้งจาก พ.ศ.2518 เริ่มมีการใช้เงินซื้อเสียง การจัดเลี้ยงและการจัดตั้งระบบเครือข่าย หัวคะแนนในพื้นที่ ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่เป็นนักธุรกิจปราศรัยหาเสียงน้อย การสร้าง คะแนนนิยมจะอาศัยการจ่ายเงิน และอุปถัมภ์หัวคะแนน การเลือกตั้งนับจาก พ.ศ.2538 เป็นต้นมา มีการนำรูปแบบ การบริหารจัดการเชิงธุรกิจมาใช้ในการสร้างฐานคะแนนเสียง ทางการเมือง ควบคู่กับการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดเลย เพื่อควบคุมและใช้ประโยชน์ จากกลไกราชการ ในขณะเดียวกันนักการเมืองจะอยู่ในการ ควบคุมการช่วยเหลือของหัวหน้ากลุ่ม (มุ้ง) การเมืองเพื่อสร้าง ความเข้มแข็งทางอำนาจการเมือง และรองรับการกระจาย ผลประโยชน์ รุจน์จาลักษณ์รายา คณานุรักษ์ (รุจน์จาลักษณ์รายา คณานรุ กั ษ,์ 2553) ศกึ ษาเรอ่ื งนกั การเมอื งถน่ิ จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี จากการศึกษาพบว่า นักการเมืองถิ่นจังหวัดสุราษฎร์ธาน ี มีเครือข่ายกระจายอยู่ทุกพื้นที่ มีการจัดตั้งหัวคะแนน มีตัวแทนทำงานในพื้นที่ มีเครือข่ายที่เข้มแข็ง มีฐานคะแนน เสียงค่อนข้างมั่นคง ในด้านกลวิธีการหาเสียง นักการเมืองถิ่น จังหวัดสุราษฎร์ธานีมีกลวิธีการหาเสียงเหมือนๆ กัน คือ 26
สภาพทั่วไปของจังหวัดลำปาง การลงพื้นที่พบปะประชาชนด้วยตนเองทั้งในช่วงที่มีและไม่มี การเลือกตั้ง การขยันลงพื้นที่ การไปร่วมกิจกรรม งานบุญ ประเพณีต่างๆ การร่วมกิจกรรมทางสังคม การปราศรัยใหญ่ เพื่อแถลงนโยบายของพรรคในส่วนกลางของจังหวัด ประเสริฐ สิทธิจิรพัฒน์ (ประเสริฐ สิทธิจิรพัฒน์, 2553) ศึกษาเรื่องนักการเมืองถิ่นจังหวัดนนทบุรี จากการศึกษาพบว่า เมื่อพิจารณาจากภูมิหลังพบว่า ส.ส.จังหวัดนนทบุรีมักได้รับ การเลือกตั้งกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนอาชีพเดิม พบว่า ส่วนใหญ่เป็นอดีตข้าราชการ อดีตนักการเมืองท้องถิ่น วิธีการ หาเสียงในการเลือกตั้งหลัก คือ การสร้างมวลชน การใช้ ผู้สนับสนุนหรือหัวคะแนน การใช้รถประชาสัมพันธ์ และ การเดินหาเสียงแบบเข้าถึงประชาชน ปัจจัยที่สนับสนุนให้ได้รับ เลือกตั้ง ได้แก่ ฐานเสียงจากเครือญาติ การสนับสนุนของ นักการเมืองท้องถิ่น การรวมกลุ่มทางการเมือง ผู้สนับสนุนหรือ หัวคะแนน และความนิยมในตัวผู้สมัครและหรือพรรคการเมือง ที่สังกัด ณัชชานุช พิชิตธนารัตน์ (ณัชชานุช พิชิตธนารัตน์, 2554) ศึกษาเรื่องนักการเมืองถิ่นจังหวัดเพชรบุรี จากการศึกษา พบว่า กลวิธีในการหาเสียงเลือกตั้งของนักการเมืองถิ่น จังหวัดเพชรบุรี ได้แก่ 1) การให้ความช่วยเหลืออุปถัมภ์ ในรูปแบบต่างๆ เช่น การช่วยเหลือด้านสาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐาน และการสนับสนุนผ่านหน่วยงานของรัฐ กลุ่มและชมรมต่างๆ 2) การลงพื้นที่พบปะประชาชนแบบ 27
นักการเมืองถ่ินจังหวัดน่าน เคาะประตูบ้านเป็นกลวิธีการหาเสียงที่ใช้ทุกยุคทุกสมัยในการ หาเสียงเลือกตั้งของนักการเมืองถิ่นทุกคน 3) การเข้าร่วม กิจกรรมทางสังคมโดยเฉพาะงานศพและงานฌาปนกิจศพ ซึ่งนักการเมืองถิ่นจังหวัดเพชรบุรีทุกคนยอมรับว่าวิธีการนี้เป็น ส่วนสำคัญของคะแนนเสียง และนักการเมืองถิ่นที่ประสบความ สำเร็จกับกลวิธีนี้มากที่สุด คือ นายอภิชาต สุภาแพ่ง จนได้รับ ฉายาว่า “ ส.ส.ร้อยศพ” 4) การใช้บัตรหาเสียงขนาดเล็ก ใบปลิว โปสเตอร์ เป็นสื่อที่นักการเมืองถิ่นจังหวัดเพชรบุรีเกือบ ทุกคนใช้เป็นสื่อในการหาเสียง และสื่อในยุคปัจจุบันที่สำคัญ คือ รถกระจายเสียง ข้อมูลผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ใช้วิ่งไปตาม ท้องถนน 5) สื่อสิ่งพิมพ์หรือหนังสือพิมพ์ขนาดเล็ก ซึ่งเป็น กลยุทธ์สำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ในการประชาสัมพันธ์ ผลงานของพรรคและผู้สมัครรวมทั้งใช้ในการตอบโต้ทาง การเมืองด้วย 6) การปราศรัยหาเสียง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการ หาเสียงของนักการเมืองถิ่นบางคนเท่านั้นที่ใช้กลยุทธ์ดังกล่าว ชัดเจน ได้แก่ นายพานิช สัมภวคุปต์ และนายอลงกรณ์ พลบุตร 7) การให้เงินและสิ่งของเพื่อซื้อเสียง ซึ่งมีการระบุจาก แหล่งข้อมูลว่าการซื้อเสียงที่รุนแรงที่สุดคือในการเลือกตั้ง เมื่อ พ.ศ.2538 และ พ.ศ.2539 8) การสัญญาว่าจะให้ ได้แก่ การสัญญาว่าจะดำเนินการก่อสร้างสาธารณูปโภคหรือ โครงสร้างพื้นฐานให้แก่ชุมชนภายหลังการได้รับเลือกตั้ง และ 9) การจัดมหรสพและเลี้ยงสุราอาหาร ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของ นักการเมืองถิ่นในอดีต โดยมหรสพที่สำคัญคือการจัดให้มีการ ฉายภาพยนตร์ และผู้สมัครรับเลือกตั้งไปปรากฏตัวในระหว่าง การเลี้ยงสุราอาหารและการฉายภาพยนตร์ 28
สภาพท่ัวไปของจังหวัดลำปาง สุเชาวน์ มีหนองหว้า และกิติรัตน์ สีหบัณฑ์ (สุเชาวน์ มีหนองหว้า และกิติรัตน์ สีหบัณฑ์, 2549) ศึกษาเรื่อง นักการเมืองถิ่นจังหวัดอุบลราชธานี จากการศึกษาพบว่า รูปแบบวิธีการหาเสียงของนักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งในสมัย แรกที่มีการเลือกตั้งกับในปัจจุบันแตกต่างกัน กล่าวคือ ในสมัย แรกจากการเลือกตั้งของจังหวัดอุบลราชธานีที่มีนักการเมือง ได้รับเลือกตั้ง เช่น นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายเลียง ไชยกาล นายฟอง สิทธิธรรม การหาเสียงใช้รูปแบบของการออกปราศรัย ตามท้องถิ่นต่างๆ ในเขตเลือกตั้ง และการใช้กลุ่มเครือญาติ เพื่อนสนิทช่วยในการหาเสียง แต่รูปแบบและวิธีการหาเสียง ของนักการเมืองในจังหวัดอุบลราชธานีในยุคปัจจุบันเปลี่ยนไป จากเดิมเป็นการใช้การจัดตั้งระบบหัวคะแนนในหมู่บ้านและ ชุมชนกระจายครอบคลุมเขตเลือกตั้ง ซึ่งปัจจัยชี้ขาดสำคัญ ที่จะทำให้ผู้สมัครได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง นอกจากนี้ ผู้สมัครจะต้องมีความสามารถและเอาใจใส่ต่อการให้บริการ ประชาชนในเขตเลือกตั้ง เช่น การดูแลทุกข์สุขของประชาชน ที่ได้รับความเดือดร้อนที่มาขอความช่วยเหลือจากสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรหรือผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง การเข้าร่วมในกิจกรรม งานบุญประเพณีที่ชาวบ้านในชุมชนจัดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งรูปแบบและวิธีการหาเสียงดังกล่าวสำคัญมาก อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สมัครที่เป็นคนมีความรู้ ความสามารถ คบงา่ ย พง่ึ พาได้ กเ็ ปน็ ปจั จยั ทส่ี ำคญั ประกอบกนั 29
บ4ทท ี่ นักการเมืองถ่ิน จังหวัดน่าน ภูมิหลังทางการเมืองของจังหวัดน่าน ประวัติศาสตร์และการปกครองนครน่าน สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตามพงศาวดารเมืองน่านกล่าวว่า เมื่อราว พ.ศ.1800 มีคนไทยกลุ่มหนึ่งได้อพยพหลบภัยจากการรุกรานของจีนถอย ร่นลงมาทิศทางใต้ มักปักหลักสร้างอาณาจักรน้อยๆ ขึ้นใหม่ เชิงดอยภูคา ลุ่มแม่น้ำย่าง (บริเวณตำบลศิลาเพชร อำเภอปัว ปัจจุบัน) ขนานนามเมืองว่า “เมืองย่าง” หัวหน้ากลุ่มอพยพ สถาปนาตนเองเป็นพ่อเมือง ทรงนามว่า “พญาภูคาเจ้าเมือง ย่าง” อยู่ครองเมืองต่อมาราว พ.ศ.1825 พญาภูคาเจ้าเมืองย่าง ได้สร้างเมืองขึ้นอีกเมืองหนึ่งเป็นเมืองใหม่ขนานนามเมืองว่า เมือง “วรนคร” แล้วสถาปนาขุนฟอง ราชบุตรขึ้นเป็นเจ้าผู้ครอง นคร (ปัจจุบันยังปรากฏซากหลักฐานอยู่ ห่างจากหมู่บ้าน
บทวิเคราะห์ ดอนมูล ตำบลศิลาเพชรในป่าเชิงเขา ประมาณ 3 กม.) ขุนฟอง องค์นี้นับว่าเป็นราชวางศ์ภูคาองค์แรกที่ครองวรนคร (อนุสรณ์ งานศพ นายทวี บุญซื่อ, 2529) ราชวงค์ภูคาครองเมือง “วรนคร” สืบต่อกันมา 4 ชั่วขัติ ยวงศา ถึงพญากานเมือง พญากานเมืองครองเมือง “วรนคร” เป็นองค์ที่ 5 (บุตรพญาผานอง) พญากานเมืองจึงได้อพยพผู้คน พลเมืองมาสร้างเมืองใหม่ขึ้นอีกแห่งหนึ่งที่ดอยภูเพียงแช่แห้ง ดอยภูเพียงแช่แห้งนี้แต่เดิม ขณะที่เมืองวรนครเป็นเมือง ประเทศราชขึ้นแก่กรุงสุโขทัยอยู่นั้น พญากานเมืองได้รับ พระราชทานพระบรมสารีริกธาตุจากพระเจ้ากรุงสุโขทัย จึงได้ อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ ณ ที่นั้น ความประสงค์ ของพระองค์ก็เพื่อที่ใคร่จะได้มาอยู่ประจำบำรุงรักษาพระบรม สารีริกธาตุ (พระธาตุแช่แห้ง) อย่างใกล้ชิด ประกอบกับ เมืองวรนครมีพลเมืองมากขึ้นที่ทำกินคับแคบลง จึงอพยพผู้คน พลเมืองมาสร้างขึ้นใหม่ที่นั้น เพราะมีชัยภูมิดี มีที่ราบกว้าง ขวางกว่าเมืองวรนคร ขนานนามเมืองว่า เมือง “ภูเพียงแช่แห้ง” เมื่อราว พ.ศ.1902 พญากานเมืองครองเมืองภูเพียงแช่แห้งได้ นาน 6 ปี ก็ถึงแก่พิราลัยพญาผากอง ราชบุตรขึ้นสืบสันติวงศ์ ครองเมืองแทน พญาผากองครองเมืองได้นาน 5 ปี จึงย้ายเมือง อีกครั้งหนึ่ง โดยมาสร้างเมืองใหม่ขึ้นทางฝั่งทิศตะวันตก ของ แม่น้ำน่าน ที่บ้านห้วยไค้ (ที่ตั้งจังหวัดปัจจุบัน) เมื่อ พ.ศ.1911 เพราะมีชัยภูมิดี มีที่ราบกว้างขวางกว่าและใกล้ฝั่งแม่น้ำน่าน ด้วย 31
นักการเมืองถ่ินจังหวัดน่าน นามเมืองซึ่งปรากฏแต่เดิมมา เรียกว่า “เมืองน่าน” อาจเป็นได้ว่าผากองตั้งชื่อเมืองนี้ เพราะตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำ น่าน” ตามศิลาจารึกของพระเจ้าพ่อขุนรามคำแหง ก็เรียกว่า “เมืองน่าน” ต่อมาสมัยล้านนา มีผู้เชี่ยวชาญทางภาษาบาลี มาก จึงเปลี่ยนนามเมืองเสียใหม่ว่าเมือง “นันทบุรี” แต่ก็มิได้ ทิ้งนามเดิมเสียทีเดียวคงเรียกคู่กันมาว่า “เมืองนันทบุรีศรี นครน่าน” ต่อมาคงเห็นว่ามีหลายพยางค์ ยืดยาวเรียกยาก จึงหันมานิยมนามเมืองตามเดิมจึงเรียกว่า เมืองน่านหรือ นครน่าน ตราบเท่าปัจจุบันนี้ เมืองน่านเป็นเมืองเก่าแก่โบราณ นับถึงปัจจุบัน มีอายุ ยาวนานกว่า 700 ปี มีเจ้าผู้ครองนครน่านนับตั้งแต่ ขุนฟองเป็น ปฐมมีจำนวนถึง 64 องค์ โดยมีเจ้ามหาพรหมสุรธาดาเป็น เจ้าผู้ครองนครองค์สุดท้ายซึ่งถึงแก่พิราลัย เมื่อ พ.ศ.2474 ราชวงศ์ภูคาครองนครน่าน พญาภูคาปฐมราชวงศ์ภูคา ครองเมืองย่าง เมื่อราว พ.ศ.1800 แล้วไปสร้างเมืองใหม่ขึ้นอีกเมืองหนึ่ง ไม่ใกล้ไม่ไกล จากเมืองย่าง ขนานนามเมืองว่าเมือง “วรนคร” แล้วสถาปนา ขุนฟองราชบุตรขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนคร ราชวงศ์ภูคาสือสันติวงศ์ ต่อๆ กันมาได้ 14 ชั่วขัตติยะวงศาก็สิ้นวงศ์ โดยมีพญางั่วลาฬ ผาสุม ราชวงศ์ภูคาองค์สุดท้าย ครองนครน่านระหว่าง พ.ศ.1969-1976 จึงตกไปเป็นเมืองขึ้นของนครเชียงใหม่สมัย พญาติโลกราช เป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พญาติโลกราช ได้ส่งเชื้อสายเจ้านายทางเชียงใหม่มาครองนครน่าน ติดต่อกัน มาโดยตลอดหลายร้อยปี 32
บทวิเคราะห์ ราชวงศ์ภูคาครองนครน่าน ได้นาน 136 ปี ก็สิ้นวงศ์ ราชวงศ์ภูคาที่ครองนครน่านองค์ที่มีความสำคัญควรกล่าวถึง คือ พญากานเมือง เป็นผู้สร้างเมืองภูเพียงแช่แห้งและพระธาตุ แช่แห้ง พญาผากอง เป็นผู้สร้างเมืองน่านปัจจุบัน พญาภูเข็ง เป็นผู้สร้างพระธาตุเขาน้อย วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหารและ วัดพญาภู พญางั่วลาฬผาสุม เป็นผู้สร้างพระพุทธรูปทองคำ ประทับยืน ปางลีลาส่วนสงู 146 ซม. ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ ณ กุฎิสงฆ์ วัดพระธาตุช้างค้ำ วรวิหารกับพระพุทธรูปทองสัมริดประทับยืนอีก 4 องค์ ปัจจุบัน ประดิษฐานอยู่ ณ วิหารหลวงวัดพระธาตุช้างค้ำวิหาร 2 องค์ ณ วิหารหลวงวัดพญาภู 2 องค์ เจ้าผู้ครองนครน่านสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกปราบดาภิเษกขึ้น เป็นพระมหากษัตริย์ทรงพระนามว่า “สมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลก” ปฐมบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อ พ.ศ.2325 แล้ว ขณะนั้น นครน่าน มีเจ้าเมืองครองนครน่านสองฝ่ายๆ หนึ่ง คือ พญา มงคลวรยศเป็นเจ้าเมืองครองนครน่าน ขึ้นต่อกรุงเทพมหานคร และอีกฝ่ายหนึ่ง คือ พญาอัตถวรปัญโญ (หลานพญามงคล- วรยศ) เป็นเจ้าเมืองครองเมืองเทิง (อ.เทิง) ตั้งมั่นเป็นอิสสระ ล่วงมาถึง พ.ศ.2329 พญาอัตถวรปัญโญ ได้ลงไปเฝ้าอ่อนน้อม สวามิภักดิ์ ต่อกรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงโปรดเกล้า แตง่ ตง้ั ใหเ้ ปน็ เจา้ ผคู้ รองนครนา่ นสบื แทนตอ่ จากพญามงคลวรยศ 33
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน ดังนั้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ พ.ศ.2325 ถึง พ.ศ.2474 เป็น เวลานาน 149 ปี นครน่านมีเจ้าผู้ครองนครน่านรวม 9 องค์ ดังต่อไปนี้ 1. พญามงคลวรยศ เป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน สมัย รัชกาลที่ 1 เมื่อ พ.ศ.2325 2. พญาอัตถวรปัญโญ เป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน สมัย รัชกาลที่ 1 เมื่อ พ.ศ.2329 ได้รับสถาปนาเป็นเจ้าฟ้า อตั ถวรปญั โญ (มฐี านนั ดรศกั ดเ์ิ ทยี บเทา่ เจา้ ตา่ งกรรม) เมื่อ พ.ศ.2347 3. พญาสุมนเทวราช เป็นเจ้าผู้ครองนคร สมัยรัชกาล ที่ 2 เมื่อ พ.ศ.2353 4. พญามหายศ เป็นเจ้าผู้ครองนคร สมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อ พ.ศ.2368 5. พญาอชิตวงศ์เป็นเจ้าผู้ครองนครสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อ พ.ศ.2379 6. พญามหาวงศ์ เป็นเจ้าผู้ครองนคร สมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อ พ.ศ.2381 7. พญาอนันตยศ เป็นเจ้าผู้ครองนคร สมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อ พ.ศ.2399 พร้อมด้วยได้รับสถาปนาเป็น เจ้าอนันตวรฤทธิเดช (มีฐานันดรศักดิ์เทียบเท่า พระองค์เจ้า) 8. เจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน สมัย รัชกาลที่ 5 เมื่อ พ.ศ.2436 และได้รับสถาปนาเป็น 34
บทวิเคราะห์ พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ พระเจ้านครน่าน (มี ฐานันดรเทียบเท่าเจ้าต่างกรม) เมื่อ พ.ศ.2446 9. เจ้ามหาพรหมสุรธาดาฯ (มีฐานันดรศักดิ์เทียบเท่า พระองค์เจ้า) เป็นเจ้าผู้ครองนครสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อ พ.ศ.2461 เมื่อเจ้ามหาพรหมสุรธาดาฯ ถึงแก่พิราลัย เมื่อ พ.ศ.2474 แล้ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครตั้งแต่บัดนั้น เป็นต้นมา เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ท่ีสำคัญ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 1. เจ้าอัตถวรปัญโญ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 57 เป็นเจ้าผู้ครองนครที่มีความสำคัญสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์หนึ่ง ขณะที่เป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน ในฐานะเมือง ประเทศราชขึ้นแก่กรุงเทพมหานครอยู่นั้น และสมัยนั้นมีศึก ติดพันกับพม่าอยู่เป็นประจำเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญได้แสดงความ จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 1 อย่าง ยอมมอบกายถวายชีวิต ในการศึกกับพม่าทุกครั้ง พระองค์ได้ ควบคุมกองทัพของนครน่านไปขัดตาทัพไม่เคยขาด จึงได้รับ การยกยอ่ งสถาปนาเปน็ เจา้ ฟา้ เมอ่ื พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั รัชกาลที่1เสด็จสวรรคต เมื่อมีการถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระองค์ได้พยายามเสด็จรอนแรมเดินทางอันแสนทุรกันดาร ในสมัยนั้นไปเฝ้าถวายพระเพลิงพระบรมศพจนได้ และได้ป่วย ถึงแก่พิราลัยที่กรุงเทพมหานครนั่นเอง 35
นักการเมืองถิ่นจังหวัดน่าน ตามพงศาวดารเมืองน่านกล่าวว่า เจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ พระองค์นี้ เป็นผู้ที่ยึดมั่นเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา อย่างยิ่ง พระองค์ได้ทรงก่อสร้างบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม ในขณะที่พระองค์ดำรงค์พระชนชีพอยู่ไว้ในนครน่านมาก นับไม่ถ้วน ยกตัวอย่าง เช่น ได้ทรงสร้างวัดบุญยืน (อำเภอ เวียงสาปัจจุบัน) พระองค์ได้ทรงสร้างวิหารมีรูปทรงตามแบบ อย่างศิลปะลานนาโดยแท้อย่างประณีตสวยงาม โดยเฉพาะ บานประตูวิหารสลักลวดลายสวยงามหลายเชิงชั้น ไม่แพ ้ บานประตูโบสถ์วัดสุทัศน์เทพวรารามกรุงเทพมหานคร ยากที่ ช่างสมัยนี้จะทำได้ 2. เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 62 เป็นเจ้าผู้ครองนครน่านองค์สำคัญสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ อีกพระองค์หนึ่ง เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว รัชกาลที่ 4 เป็นอันมาก พระองค์ได้พยายามลงไปเฝ้า ถวายพุ่มดอกไม้เงินทองเครื่องราชบรรณาการถวายความจงรัก ภักดี ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นประจำปีมิได้ขาด ในฐานะเมืองประเทศราช แม้การเดินทางในสมัยนั้น แสนทุรกันดารเพียงใดก็ตามจึงเป็นที่สนิทสนม พึงพอพระราช หฤทัยเป็นอันมาก เมื่อ พ.ศ.2396 ขณะที่พระองค์ดำรงตำแหน่งเจ้าอุปราช นครน่าน ได้ตามเสด็จกรมหลวงวงศาธิราชสนิท พระราชโอรส รัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นแม่ทัพไปราชการทัพตีเมืองเชียงตุงของพม่า (รบกับพม่าครั้งสุดท้าย) โดยคุมทหารเมืองน่านสมทบไปด้วย ตีเมืองเชียงตุงไม่แตกเสบียงหมด ถอยทัพกลับเป็นกองระวัง 36
บทวิเคราะห์ หลัง รบพุ่มต้านทานป้องกันการตามตีของพม่าคุ้มกันแม่ทัพ ถอยออกมาได้โดยปลอดภัย รวมเวลาไปกลับ 7 เดือนเศษ เมื่อน้ำท่วมใหญ่สมัยพญาสุมนเทวราชเป็นเจ้าผู้ครอง นคร ระหว่าง พ.ศ.2353-2368 น้ำได้พัดเอาวัดวาอารามคุ้มหลวง กำแพงเมือง บ้านเรือนราษฎรเสียหายอย่างยับเยิน จึงได้ย้าย เมืองหนีน้ำท่วมไปอยู่ที่ดอนสร้างใหม่ชั่วคราวที่เวียงเหนือ (ใกล้กับบริเวณสนามบินปัจจุบัน) อยู่ที่นั่นนานถึง 36 ปี ต่อมา เมื่อพระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าผู้ครองนครน่านแล้ว จึงได้ขอพระบรมราชานุญาติย้ายเมืองกลับมาอยู่ที่เดิม โดย มาทำการบูรณะก่อสร้างวัดวาอารามในเขตเมืองที่ถูกน้ำพัดพัง เสียหายให้คืนดีดังเดิม และสร้างคุ้มหลวงขึ้นใหม่กับสร้าง กำแพงเมืองก่ออิฐถือปูนแทนกำแพงเมืองเก่าซึ่งทำด้วย ท่อนซุงปักเรียงเป็นพะเนียด ซึ่งถูกน้ำท่วมพัดพังทลายไปหมด กำแพงเมืองที่สร้างใหม่คงยังเหลือให้เห็นอยู่ในปัจจุบันทางด้าน ทิศเหนือบางส่วน การก่อสร้างเสร็จบริบูรณ์และย้ายกลับมา เมื่อ พ.ศ.2400 เจ้าอนันตวรฤทธิเดชเป็นเจ้าผู้ครองนครเมืองประเทศ ราชที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดแต่ผู้เดียว โดยตราพระราชกำหนด กฎหมายขึ้นใช้เองสำหรับความผิดทางอาญากำหนดโทษไว้ รุนแรงมากแม้แต่การลักทรัพย์สิ่งของที่มีชีวิต กำหนดโทษ ไว้สถานเดียวคือ ประหารชีวิต ตามกฎหมายอาณาจักร หลักคำซึ่งเป็นทั้งแพ่งและอาญารวมกัน ซึ่งพระองค์ได้ตราขึ้นใช้ บังคับ ได้กำหนดโทษในทางอาญาไว้ว่า “กันว่า(ถ้าว่า)บุคคล ผู้ใดไปลักเอาช้าง ม้า วัว ควาย ท่านมา จักเอาตัวใส่ราชวัตร 37
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189