แผนรวม เทอม 1-ส่วนหน้า

– The narrator woke up, got dressed, met her group for breakfast and went to join her guide. – The guide gave the group some instructions. – They set off in a jeep. – The group stopped to watch a heard of elephants bathing. – One of the biggest elephants started coming towards the jeep. – The narrator fell as she was getting into the jeep. – Two people helped her get into the jeep and the guide sped off. – The narrator sat in the jeep thinking how lucky she was. ใหน้ กั เรียนทาํ งานคู่แต่งตอนจบของเรื9องนOีใหม่ ครูใหน้ กั เรียนใชค้ วามคิดสร้างสรรคแ์ ละ จินตนาการ เพื9อทาํ ใหเ้ รื9องของนกั เรียนน่าสนใจ ครูติดตามการทาํ งานของนกั เรียน และใหค้ วาม ช่วยเหลือในกรณีที9จาํ เป็น เสร็จแลว้ ใหน้ กั เรียนออกมานาํ เสนอตอนจบท9ีนกั เรียนแต่งใหม่ท9ี หนา้ ชOนั เรียน และใหน้ กั เรียนในชOนั ลงคะแนนเสียงเลือกวา่ ตอนจบของใครดีท9ีสุด (Students’ own answers) 3. ใหน้ กั เรียนจบั คู่ทาํ Ex.4a (using linking words) ในหนงั สือเรียน หนา้ 27 โดยหาวา่ คาํ ท9ีพิมพ์ ตวั หนาในบทอ่านเป็นคาํ เชื9อมที9เชื9อมความคิดท9ีคลา้ ยกนั คาํ เช9ือมบอกเวลา หรือคาํ เช9ือมแสดง ความเป็นเหตุและผล เสร็จแลว้ ครูตรวจคาํ ตอบของนกั เรียน และถา้ มีเวลามากพอ ครูอาจให้ นกั เรียนแต่งประโยคโดยใชค้ าํ เช9ือมเหล่านOี Link similar ideas: and Show time: Show cause/effect: then, a few minutes later, as, while, soon, when, after, as soon as, suddenly so that 4. ใหน้ กั เรียนเชื9อมประโยค 1-5 ใน Ex.4b โดยใชค้ าํ เช9ือมในวงเลบ็ เสร็จแลว้ ใหน้ กั เรียนจบั คู่ เพื9อเปรียบเทียบคาํ ตอบกนั แลว้ จึงใหน้ กั เรียนรายงานคาํ ตอบท9ีตนเองแต่งใหเ้ พื9อนๆ ในหอ้ งฟัง

1. As soon as I got to my room, I started to unpack. 2. I changed my clothes and then I went out for the night. 3. I was excited because it was my first visit to Rome. 4. Before I ordered a taxi, I packed my suitcase. 5. When I realised I didn’t have my passport, I started to panic. 5. ครูอธิบายนกั เรียนวา่ ก่อนที9นกั เรียนจะเร9ิมแต่งเรื9อง นกั เรียนตอ้ งตดั สินใจก่อนวา่ จะเริ9มตน้ ท9ีฉาก ไหน บทเกริ9นนาํ ของเรื9องควรจะใหข้ อ้ มูลบางประการแก่ผอู้ ่าน เช่น who the main characters are, where they are, what the weather is like, when the story happens, what happens ขอ้ มูลเหล่านOี จะทาํ ใหน้ กั เรียนจดั โครงสร้างของเร9ืองท9ีนกั เรียนแต่งได้ และยงั ทาํ ใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจวา่ เรื9องที9นกั เรียน แต่งนOนั เป็นเร9ืองเก9ียวกบั อะไร จากนOนั ครูใหน้ กั เรียนดูภาพและขอ้ มูลที9กาํ หนดใหใ้ นคาํ สงั9 ในหนงั สือเรียน หนา้ 27 Ex.5 (setting the scene) และใหน้ กั เรียนแต่งเรื9องมา 1 ยอ่ หนา้ สOนั ๆ เพ9ืออธิบายวา่ เรื9องท9ีนกั เรียนแต่งมีฉากเป็น อะไร เช่น ระบุเรื9องนOนั เกิดขOึนที9ไหน เม9ือไร ตวั ละครคือใคร และเกิดอะไรขOึน เม9ือนกั เรียนเขียน เสร็จแลว้ ใหน้ กั เรียนตรวจทานวา่ มีขอ้ มูลครบถว้ นตามที9กาํ หนดใหห้ รือไม่ในยอ่ หนา้ ของนกั เรียน เมื9อตรวจทานเสร็จแลว้ ใหน้ กั เรียนสลบั ผลงานกนั เพ9ือประเมินการเขียนของเพื9อน Suggested answer key: It was a nice summer morning. My brother and I had been looking forward to this trip. We got on our ship and set sail. Your turn 1. ครูอ่านคาํ สงั9 การทาํ งานในหนงั สือเรียน หนา้ 27 Ex.6 (planning a narrative) และช่วยนกั เรียนใน การระบุคาํ สาํ คญั ท9ีอยใู่ นคาํ สงั9 แลว้ ใหน้ กั เรียนขีดเสน้ ใต้ The school magazine is having a short story competition. The story should be entitled: A holiday where everything went wrong. (100 – 120 words) จากนOนั ใหน้ กั เรียนวางแผนงานเขียนของตนเอง โดยครูอ่านคาํ ถามท9ีกาํ หนดใหใ้ นส่วนของ ‘Before you start writing’ และใหน้ กั เรียนช่วยกนั ระดมความคิดเพื9อตอบคาํ ถามเหล่านOี

Theme: A holiday where everything went wrong Main character: I, a teenager, very adventurous Setting: Italy, hot & sunny Problem: have passport stolen, hotel manager helps Resolution: I decide to keep my passport in the hotel safe, I feel relieved 2. ใหน้ กั เรียนเขียนโครงเร9ืองของเรื9องที9นกั เรียนจะแต่ง โดยใชข้ อ้ มูลจาก Plan ในหนงั สือเรียน หนา้ 27 เป็นตวั ช่วย จากนOนั ใหน้ กั เรียนแต่งเรื9องตามโครงเร9ืองที9วางไว้ เสร็จแลว้ ใหน้ กั เรียนสลบั ผลงานกนั และแกไ้ ขความถูกตอ้ งในงานเขียนของเพ9ือน Suggested answer key: Venice Adventure Arriving in Venice that scorching day in August with my classmates, I felt a great sense of freedom and adventure. I also was proud to have made my first ever trip abroad without my parents. My penfriend Bianca was there to meet us off the boat. I already knew that this was going to be a holiday to remember. As we passed through the centre of the city I was mesmerised by the unusual character of the buildings and the canals and couldn’t wait to explore it with my friend. First of all, though, we went to the hotel and left our luggage. After we had checked in, we had the most amazing lunch in the hotel courtyard. It was still so hot and so almost everyone decided to go for a short siesta to sleep it off - apart from me and Bianca. We tip-toed out of the hotel without telling the teacher and headed for Lido beach. The streets of Venice had become unusually empty and so we had no trouble getting the water taxi over to the island. Once there, we lay on the golden sand and chatted to each other as we sunbathed. Of course, we had to go for a swim and so we ran into the sea, shouting merrily as our feet touched the lovely cool water. We were having so much fun that we didn’t see the suspicious-looking figure approach our belongings. It all happened so fast - my bag with my passport had been stolen. Back at the hotel, I told my teacher what had happened. With the help of the hotel manager, she reported the incident to the police. You can’t imagine how relieved I felt when my passport was returned to me a few days later. We agreed to keep it in the hotel safe until the end of the trip. Since that day I have always been extremely careful with my belongings!

การวดั และประเมนิ ผล วธิ ีการวดั เคร-ืองมือ เกณฑ์ ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ ตรวจแบบทดสอบความรู้หลงั เรียน แบบทดสอบความรู้หลงั เรียน Unit Unit test 3 test 3 ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ ตรวจแบบฝึ กหดั แบบฝึกหดั (Workbook) ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ ประเมินการเขียนเร2ืองเล่า ประเมินพฤติกรรมบ่งช0ีดา้ นใฝ่ เรียนรู้ แบบประเมินการเขียน และมุ่งมนั2 ในการทาํ งาน แบบประเมินคุณลกั ษณะอนั พึง ประสงค์ 6.บนั ทกึ ผลหลังการสอน 6.1 ด3านความร3ู (K) นักเรียน ม.5/1 ท้ังหมดมีความเข3าใจในบทเรียนเปFนอยHางดี นักเรียนชั้น ม.5/2 สHวนใหญH มากกวHา 90% มีความเขา3 ใจในบทเรยี น นกั เรยี นชัน้ ม.5/7ประมาณ 70% มีความเข3าใจในบทเรียน และนักเรียนช้ัน ม.5/11 โดยประมาณ 60% มีความเข3าใจในบทเรียนโดยสามารถวัดจากผลของการทำกิจกรรม โดยวัดจาก คะแนนของแบบทดสอบทน่ี กั เรียนทำ ด3านทักษะกระบวนการ (P) นกั เรยี นในแตHละห3องมที ักษะการคดิ และการส่ือสาร โดยสามารถใชห3 ลักทางภาษาทเี่ รียนในการทำ กิจกรรมในหอ3 งเรยี นไดเ3 ปFนอยาH งดคี ดิ เปFนร3อยละ 60% สามารถใช3ภาษาสอ่ื สารในการทำกจิ กรรมตาH ง ๆ ใน ห3องเรียนได3เปนF อยHางดี ด3านคุณลกั ษณะ (A) นักเรยี นมีความรค3ู วามเขา3 ใจเกี่ยวกบั ความแตกตาH งทางด3านของภาษาหลกั ภาษาและวัฒนธรรมของ ภาษาอังกฤษรHวมมอื กนั คดิ วเิ คราะหกb ารแกไ3 ขปcญหาในกิจกรรมการเรียนร3ูที่ครูไดส3 อดแทรกวฒั นธรรมท่ี แตกตHางให3นักเรียนได3ฝกe และเรยี นรู3 6.2 ปcญหา/อุปสรรค/แนวทางแก3ไข นกั เรยี นบางคนท่ียังไมเH ขา3 ใจในบทเรยี นกHอนหน3าน้ีทำใหไ3 มสH ามารถทำกจิ กรรมไดอ3 ยHางราบรื่นเพราะมี ความไมเH ข3าใจในความสมั พันธรb ะหวHางบทเรยี นกHอนหน3าน้ี ท่สี Hงผลใหเ3 กิดความรูค3 วามเขา3 ใจในบทเรยี นใน ปจc จุบนั

6.3 ข3อเสนอแนะ ควรมกี ารสอนเสริมใหก3 บั นักเรียนทยี่ ังไมHเขา3 ใจในบทเรยี นกอH นหน3านห้ี รือบทเรียนในปจc จุบนั เพื่อจะทำ ใหน3 ักเรยี นเรยี นตามทันเพือ่ น ๆ ในห3องและการเรียนการสอนจะได3มีประสทิ ธภิ าพมากขึ้น ลงชือ่ .............................................ครูผ3ูสอน (นายทกั ษิณ ชูชัง่ ) 7. ข#อเสนอแนะของครูผ#ูนิเทศ/ผ#ทู ไี่ ด#รับมอบหมาย ข\"อคดิ เหน็ /ข\"อเสนอแนะ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………………………… …………………………………………………………............................................................................................................................................... ลงช่ือ.............................................ครูผนู# ิเทศ (..................................................) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………….......................................................................................................................................... ลงช่อื .............................................หัวหนา# กลมFุ สาระฯ ( นางมณั ตรณี ี ยงั ถิน ) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………........................................................................................................................................ ลงชอ่ื ............................................. รองผู#อำนวยการ กลมFุ บรหิ ารงานวิชาการ (นางเรณู รFมโพธ)์ิ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………….……………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………....................................................................................................................................... ลงชอ่ื ............................................. (นายชาครสิ ภFูงาม) ผ#ูอำนวยการโรงเรียนสงิ หบQ รุ ี

รหัสวชิ า อ32101 ชือ่ รายวิชา ภาษาอังกฤษพ้นื ฐาน กลม1ุ สาระการเรียนรภู8 าษาต่างประเทศ ภาคเรยี นท่ี 1 ป>การศกึ ษา 2565 จำนวน 10 ชัว่ โมง หนว1 ยการเรยี นรทู8 ่ี 4 เรือ่ ง Holidays & schooldays/ live and learn ครผู 8ูสอน นายทกั ษิณ ชชู ั่ง 1. มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชี3วดั มาตรฐาน ต 1.1: ต 1.1 ม.4-6/1-4 มาตรฐาน ต 1.2: ต 1.2 ม.4-6/1-2 มาตรฐาน ต 1.3: ต 1.3 ม.4-6/1-3 มาตรฐาน ต 2.1: ต 2.1 ม.4-6/1, ต 2.1 ม.4-6/3 มาตรฐาน ต 2.2: ต 2.2 ม.4-6/1-2 มาตรฐาน ต 3.1: ต 3.1 ม.4-6/1 มาตรฐาน ต 4.1: ต 4.1 ม.4-6/1 มาตรฐาน ต 4.2: ต 4.2 ม.4-6/2 2. สาระการเรียนรู้ • Language features and functions Grammar: reported statements/questions/commands/requests; using appropriate reporting verbs; reporting modal verbs; linking words Vocabulary: words associated with good/bad manners; words related to education; idioms related to education; phrasal verbs with down; nouns from verbs/nouns Function: telephone conversations; making polite requests • Language skills Listening: การฟังเกี-ยวกบั ชีวติ ในโรงเรียนของประเทศอ-ืน Speaking: การพดู บรรยายโรงเรียนของตนเอง, การเปรียบเทียบโรงเรียนของตนเองกบั โรงเรียนในประเทศอ-ืน, การแสดงบทสนทนาทางโทรศพั ท,์ การขอร้องอยา่ งสุภาพ

Reading: การอ่านบทอ่านเก-ียวกบั โรงเรียนท-ีสอนมารยาท, การอ่านขอ้ ความที-ใชใ้ นการ ส-ือสารขนาดสHนั , การอ่านบทสนทนาทางโทรศพั ท,์ การอ่านเรียงความสHนั ๆ Writing: เกี-ยวกบั ขอ้ ดีและขอ้ เสียของการเรียนทางอินเทอร์เน็ต • Culture: การเขียนใบปลิวเก-ียวกบั มารยาทท-ีดีบนโตะ๊ อาหารในประเทศไทย, การเขียน 3. ทกั ษะการคดิ เรียงความเก-ียวกบั ขอ้ ดีและขอ้ เสีย มารยาทบนโตะ๊ อาหาร/มารยาทในการรับประทานอาหารค-าํ , มารยาทในการพดู โทรศพั ท์ 3.1 ทกั ษะการส-ือสาร 3.2 ทกั ษะการรวบรวมขอ้ มูล 3.3 ทกั ษะการนาํ ความรู้ไปใช้ 3.4 ทกั ษะการตีความ 3.5 ทกั ษะการเปรียบเทียบ 3.6 ทกั ษะการวเิ คราะห์ 4. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 4.2 มุ่งมนั- ในการทาํ งาน 4.1 ใฝ่ เรียนรู้ 4.3 รักความเป็นไทย

Unit 4a Live & learn 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชี3วดั มาตรฐาน ต 2.1: ต 2.1 ม.4-6/3 มาตรฐาน ต 1.1: ต 1.1 ม.4-6/4 มาตรฐาน ต 3.1: ต 3.1 ม.4-6/1 มาตรฐาน ต 2.2: ต 2.2 ม.4-6/2 มาตรฐาน ต 4.2: ต 4.2 ม.4-6/2 2. สาระการเรียนรู้ 2.1 ทกั ษะเฉพาะวชิ า • Language features and functions Vocabulary: คาํ ศพั ทท์ ี-เก-ียวขอ้ งกบั มารยาทที-ดีและไม่ดี • Language skills Reading: การอ่านบทอ่านเก-ียวกบั โรงเรียนที-สอนมารยาท (Skills – scanning reading for detailed comprehension) Writing: การเขียนใบปลิวเกี-ยวกบั มารยาทที-ดีบนโตะ๊ อาหารในประเทศไทย • Culture: มารยาทบนโตะ๊ อาหาร/มารยาทในการรับประทานอาหารค-าํ 3. ทกั ษะการคดิ 3.1 ทกั ษะการสืFอสาร – ฝึกทกั ษะการอ่านและการเขียนภาษาองั กฤษ 3.2 ทกั ษะการรวบรวมข้อมูล - คน้ ควา้ ขอ้ มูลเก-ียวกบั มารยาทท-ีดีบนโตะ๊ อาหารในประเทศไทย 4. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 4.2 มุ่งมน-ั ในการทาํ งาน 4.1 ใฝ่ เรียนรู้ 4.3 รักความเป็นไทย 5. กจิ กรรมการเรียนรู้

ใหน้ กั เรียนทาํ แบบทดสอบความรู้ก่อนเรียน โดยใช้ Unit test 4 ซ-ึงครูถ่ายเอกสารจากส่วนทา้ ยของ Unit นHี (ดูเฉลยภาคผนวก C) จากนHนั ครูแจง้ ใหน้ กั เรียนทราบวา่ ใน Unit 4a นHี นกั เรียนจะไดอ้ ่าน และเขียนเกี-ยวกบั มารยาทที-ดีและไม่ดี โดยเฉพาะมารยาทบนโตะ๊ อาหาร Lead-in ครูอ่านช-ือบท Live & learn แลว้ ใหน้ กั เรียนช่วยกนั บอกความหมาย (As long as a person lives, they continue to learn. This reminds us of the Greek Philosopher, Socrates’ words. The older I get, the more I learn.) จากนHนั ใหน้ กั เรียนอ่านวลีท-ีใหไ้ วใ้ นคาํ สงั- ในหนงั สือเรียน หนา้ 28 Ex.1 (identifying pictures) และใหน้ กั เรียนใชว้ ลีเหล่านHีบรรยายภาพ A-D ครูอธิบายวา่ มีวลีเกินมาท-ี นกั เรียนไม่จาํ เป็นตอ้ งใช้ เสร็จแลว้ ครูถามนกั เรียนวา่ มีอะไรท-ีเหมือนกนั เกี-ยวกบั การกระทาํ ในภาพ เหล่านHี (show people behaving rudely) ต่อมาครูใหน้ กั เรียนคิดถึงการกระทาํ อ-ืนๆ ท-ีน่าจะเป็นการกระทาํ ท-ีไม่สุภาพ เช่น picking one’s nose (แคะจมูก), biting one’s nails (กดั เลบ็ ), burping (เรอ), chewing with your mouth open (เคHียวอาหารขณะเปิ ดปาก), slurping your soup (กินเสียงดงั ), licking your fingers (เลียนิHว), interrupting sb while they’re talking (พดู แทรกขณะคนอื-นกาํ ลงั พดู ), pointing at sb (ใชน้ ิHวชHีท-ี บุคคลอื-น) เป็นตน้ ครูเขียนสิ-งเหล่านHีบนกระดาน เพื-อใหน้ กั เรียนลอกลงสมุด จากนHนั ครูชHีให้ นกั เรียนเห็นวา่ มารยาทท-ีดีเป็นการแสดงถึงความสุภาพ นกั เรียนไม่ควรสบั สนระหวา่ งมารยาทกบั กบั ขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น taking off shoes when entering a Japanese house (การถอด รองเทา้ เมื-อเขา้ บา้ นของคนญี-ป่ ุน) A Yawning without covering their mouth with their hand B Sneezing without covering their mouth C Talking with their mouth full D Talking loudly on the phone All these actions are impolite behaviour. ทกั ษะชีวติ (Life skills) การรู้จกั ปฏิบตั ิตนตามมารยาท ถือเป็นความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ อยา่ งหน-ึง เพราะนกั เรียน ตอ้ งทาํ งานและอยรู่ ่วมกบั ผอู้ -ืนในสงั คม จึงจาํ เป็นตอ้ งรู้จกั วธิ ีปฏิบตั ิตน รู้จกั การใชภ้ าษา วาจา ท่าทางใหเ้ หมาะสมกบั บุคคลและโอกาสตามมารยาทสงั คม Reading & Listening

1. ใหน้ กั เรียนสนใจท-ีชื-อเร-ืองและรูปภาพในบทอ่าน ในหนงั สือเรียน หนา้ 28 Ex.2a (predicting the content of a text) จากนHนั ใหน้ กั เรียนช่วยกนั อธิบายความหมายของชื-อเร-ือง เช่น It means that you should always remember to be polite. และเดาวา่ เนHือหาของบทอ่านน่าจะเก-ียวกบั อะไร ครูใหเ้ วลานกั เรียนอ่านบทอ่านแบบ scanning เพ-ือตรวจคาํ ตอบท-ีเดาไวว้ า่ ถูกตอ้ งหรือไม่ หรือครูอาจเปิ ด CD1/Track 23 ใหน้ กั เรียนฟังและอ่านเนHือเรื-องตาม เพื-อตรวจคาํ ตอบ An article about good and bad manners 2. ครูอธิบายภาระงานในหนงั สือเรียน หนา้ 29 Ex.2b (reading for specific information) โดยครู แนะนาํ วา่ คาํ ถามขอ้ 1 และ 5 ตอ้ งการความคิดเห็นที-มีต่อบทอ่านทHงั หมด เพราะคาํ ถามขอ้ ที- 1 นHนั มุ่งเนน้ ท-ีจุดมุ่งหมายของผเู้ ขียน ส่วนคาํ ถามขอ้ ที- 5 มุ่งเนน้ ที-ใจความสาํ คญั ของบทอ่าน จากนHนั จึง ใหน้ กั เรียนอ่านบทอ่านอีกครHัง และตอบคาํ ถามขอ้ 1-5 เสร็จแลว้ ใหน้ กั เรียนเปรียบเทียบคาํ ตอบกบั เพื-อน ครูตรวจคาํ ตอบของนกั เรียน พร้อมทHงั อธิบายวา่ ทาํ ไมตวั เลือกอ-ืนจึงไม่ถูกตอ้ ง 1. D 2. A 3. B 4. C 5. D 3. ใหน้ กั เรียนจบั คู่คาํ ในหนงั สือเรียน หนา้ 29 Ex.3 (using verb phrases) แลว้ จบั คู่เปรียบเทียบคาํ ตอบ กบั เพื-อน ครูเดินตรวจคาํ ตอบของนกั เรียน แลว้ จึงใหเ้ วลานกั เรียนแต่งประโยคโดยใชค้ าํ เหล่านHี ครูสุ่มเรียกนกั เรียนใหอ้ ่านประโยคที-ตนเองแต่งใหเ้ พ-ือนๆ ฟัง ครูแกไ้ ขจุดท-ีผดิ ของนกั เรียน เฉพาะจุดที-สาํ คญั ๆ จากนHนั ใหน้ กั เรียนจดจาํ วลีเหล่านHี 1. b 2. d 3. a 4. c Suggested answer key: 1. ‘I want to learn to ride a horse.’ ‘Why don’t you take lessons?’ 2. It takes a lot of work and patience to break bad habits such as biting your nails. 3. It is best to teach children good manners when they are young. 4. You should treat your parents with respect. They care for you and are the ones you can always turn to for help. 4. ใหเ้ วลานกั เรียน 2-3 นาที เติมคาํ บุพบทลงในประโยคในหนงั สือเรียน หนา้ 29 Ex.4 (working with prepositions) จากนHนั ใหน้ กั เรียนตรวจคาํ ตอบกบั บทอ่านเรื-อง Mind your manners! เสร็จแลว้ ครู เฉลยคาํ ตอบพร้อมกนั อีกครHัง

1. of 2. on 3. at 4. of 5. with 6. with 7. in 8. on 5. ใหน้ กั เรียนทาํ Ex.5 (explaining new vocabulary) โดยช่วยกนั อธิบายความหมายของศพั ทท์ -ีพิมพ์ ตวั หนาในบทอ่านเรื-อง Mind your manners! ดว้ ยการบอกคาํ จาํ กดั ความ หรือคาํ ที-มีความหมาย เหมือนกนั จากนHนั ใหน้ กั เรียนเลือกคาํ ศพั ท์ 2-3 คาํ มาแสดงท่าทางเพ-ือใบค้ าํ หรือวาดรูปภาพ เพื-อบอกความหมายของคาํ ศพั ท์ ในการทาํ งานครูพยายามใหน้ กั เรียนเดาความหมายของคาํ ศพั ทจ์ าก บริบท ก่อนที-จะเปิ ดพจนานุกรม เพื-อตรวจสอบการเดาของตนเอง ordinary (adj): normal, usual; break bad habits (phr): stop doing impolite or unhealthy actions; instructs (v): teaches; basic (adj): key, primary; well-behaved (adj): polite; proven (v): shown; noticed (v): become aware of; treating (v): behaving towards sb in a contain way; skills (n): talents; commented (v): gave an opinion or explanation; spill (v): accidentally flow over the side of a container; life- changing (phr): used to describe sth that alters one’s life; growing up (phr v): getting older; value (v): appreciate; remains (v): is left to กิจกรรมเพิFมเติม: ให้นกั เรียนฝึ กอ่านออกเสียงบทอ่านเร-ือง Mind your Manners! โดยครูเปิ ด CD1/Track 23 ใหน้ กั เรียนฟัง 1-2 ครHัง และฝึกอ่านบทอ่านตามไปดว้ ย 6. ครูแบ่งนกั เรียนเป็นทีม เพื-อเล่นเกมในหนงั สือเรียน หนา้ 29 ครูอธิบายวธิ ีการเล่นเกมตามคาํ สงั- ในหนงั สือเรียน และใหน้ กั เรียนใชว้ ลีจาก Ex.1 มาใชใ้ นการเล่นเกม ทีมท-ีทายคาํ ตอบไดถ้ ูกตอ้ ง มากที-สุดจะเป็ นทีมชนะ กจิ กรรมเพมFิ เตมิ : ครูอาจแบ่งนกั เรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3 คน และมอบหมายบทบาทใหก้ บั นกั เรียนแต่ละกลุ่มวา่ คนหน-ึงจะตอ้ งแสดงเป็น Ms O’Farrill (ผสู้ อนมารยาทจากบทอ่านเรื-อง Mind your manners!) ซ-ึงตอ้ งพดู กบั ผปู้ กครอง (parents) 2 คน เก-ียวกบั โรงเรียน (about the school) และ พดู เก-ียวกบั สิ-งที-นกั เรียนจะไดเ้ รียนรู้ที-โรงเรียนแห่งนHี (what pupils are taught)

Suggested answer key: Ms O’Farrill: Welcome, Mr and Mrs Jones. Won’t you have a seat? Mrs Jones: Thank you. Ms O’Farrill: To start with, just let me say that I’m very pleased that you’re thinking of sending your son to the school. Mr Jones: We were wondering what it is that you actually teach at the school. Ms O’Farrill: Well, basically, we teach children how to be polite how to say please and thank you, how to behave in social situations. Mr Jones: What kind of social situations? Ms O’Farrill: Uhh, eating in restaurants, going to parties, visiting other people’s homes, things like that. Mrs Jones: Oh, I see. And do you think that your lessons really work? etc Writing ใหน้ กั เรียนอ่านคาํ สง-ั ในหนงั สือเรียน หนา้ 29 หวั ขอ้ Writing (making a leaflet) ครูตรวจสอบ ความเขา้ ใจของนกั เรียน ดว้ ยการถามคาํ ถาม ดงั นHี What are you going to write? (a leaflet) What will it be about? (dos and don’ts of good table manners) จากนHันให้นักเรียนระดมความคิดเกี-ยวกบั ขอ้ ท-ีควรปฏิบตั ิและไม่ควรปฏิบตั ิในการรับประทาน อาหารในประเทศไทย โดยครูเขียนสิ-งท-ีนกั เรียนบอกบนกระดาน ครูใหน้ กั เรียนช่วยกนั อธิบายลกั ษณะของใบปลิว (leaflet) ดว้ ยการถามคาํ ถาม ดงั นHี Should you write a title? (yes) Does a leaflet need a short introductory paragraph? Why? (Yes, in order to familiarise readers with theme) How will you present your information? Will you organise information under headings? (Yes – Dos – Don’ts) How will you end? (addressing the reader, expressing hope the info can help them, etc)

ครูเขียนโครงร่างของใบปลิวบนกระดาน จากนHนั ใหน้ กั เรียนลอกขอ้ มูลดงั กล่าวลงในสมุด ดงั นHี TITLE short introduction first heading – Dos points listed in bullet form second heading – Don’ts points listed in bullet form short conclusion เสร็จแลว้ ครูให้เวลานักเรียนทาํ งานเป็ นคู่ เขียนใบปลิวและตกแต่งให้สวยงาม ดว้ ยการติดรูปภาพ หรือวาดภาพประกอบ Suggested answer key: Eating out in … (students’ country) When you dine out in …, remember to follow these tips. Dos • Wait until all are seated • Say please and thank you when before starting to eat. asking for or receiving something. • Cut your food into bite-size • Take small sips when you drink. pieces. Don’ts • Put your elbows on the • Chew with your mouth open. table. • Slurp your soup. • Tip your chair back. • Pick up food with your fingers. • Talk with your mouth full. • Lick your fingers. Follow these tips, and enjoy your dining out. กจิ กรรมเพมิF เตมิ : แบ่งนกั เรียนเป็นกลุ่ม และใหแ้ ต่ละกลุ่มคน้ ควา้ หาขอ้ มูลเกี-ยวกบั ขอ้ ควรปฏิบตั ิ หรือไม่ควรปฏิบตั ิในการรับประทานอาหารขององั กฤษ จากนHนั ครูใหน้ กั เรียนอภิปรายเพ-ือ เปรียบเทียบความเหมือน/ความแตกต่างกบั ของไทย ครูอาจช่วยแนะนาํ แหล่งในการคน้ ควา้ ขอ้ มูล เช่น http://www.etiquettescholar.com/dining_etiquette/international_dining_etiquette.html

Culture: มารยาทในการรับประทานอาหารคาํF (dining etiquette) - เมื-อนงั- ลงที-โตะ๊ อาหารแลว้ ควรหยบิ ผา้ เชด็ ปากมาปูวางที-ตกั และเม-ือลุกออกจากโตะ๊ ควรวาง ผา้ เชด็ ปากไวบ้ นโตะ๊ อยา่ วางไวท้ ี-เกา้ อHี และหา้ มใชผ้ า้ นHีเพ-ือจุดประสงคอ์ -ืน เช่น เชด็ หนา้ หรือ เชด็ นHาํ มูก - ในขณะท-ีรับประทานอาหาร อยา่ วางขอ้ ศอกบนโตะ๊ - ใชม้ ือซา้ ยถือสอ้ ม ส่วนมือขวาถือมีดหรือชอ้ น - ควรเริ-มรับประทานอาหาร เม-ือทุกคนท-ีโตะ๊ อาหารไดร้ ับอาหารหมดแลว้ ทุกคน ยกเวน้ ในกรณี ที-เจา้ ภาพบอกวา่ ไม่ตอ้ งรอ (ที-มา: http://etiquette.about.com/od/TableManners/a/Table-Manners-And-Dining-Etiquette.htm) 6. การวดั และประเมนิ ผล วธิ ีการวดั เครื-องมือ เกณฑ์ ตรวจแบบทดสอบความรู้ก่อนเรียน Unit แบบทดสอบความรู้ก่อนเรียน ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ test 4 Unit test 4 แบบฝึกหดั (Workbook) ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ ตรวจแบบฝึ กหดั แบบประเมินชิJนงาน ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ ประเมินการเขียนใบปลิวเกีFยวกบั มารยาทใน การรับประทานอาหารในประเทศไทย แบบประเมินคุณลกั ษณะอนั พึง ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ ประเมินพฤติกรรมบ่งชJีดา้ นใฝ่ เรียนรู้, ประสงค์ มุ่งมนัF ในการทาํ งาน และรักความเป็นไทย ข้อมูลเพม*ิ เตมิ : • มารยาทในการรับประทานอาหาร (ไทย) การรับประทานอาหารในงานใด ๆ กต็ าม ถือเป็นมารยาทที:ตอ้ งปฏิบตั ิใหถ้ ูกตอ้ งและพึงระมดั ระวงั เพื:อสร้างบรรยากาศที:เป็นกนั เอง และเสริมบุคลิกภาพ การร่วมรับประทานอาหารในงานเลJียงควรปฏิบตั ิ ดงั ต่อไปนJี

การรับประทานอาหารแบบต:งั โต๊ะ ซ:ึงมี 2 แบบ คือ เลJียงแบบอาหารไทยที:มีอาหารตJงั บนโตะ๊ ไวเ้ รียบร้อยแลว้ และแบบที:ค่อย ๆ ทยอยส่งจนหมด เช่น อาหารจีน หรืออาหารฝรั:ง ควรปฏิบตั ิดงั ต่อไปนJี 1. ถา้ ไปในงานไม่ได้ กค็ วรแจง้ ใหเ้ จา้ ภาพทราบล่วงหนา้ เพ:ือเจา้ ภาพจะไดร้ ู้จาํ นวนแขก ท:ีมาในงาน แต่โดยทวั: ไปควรจะบอกก่อนวนั งานไม่วา่ จะไปไดห้ รือไม่กต็ าม 2. ตระเตรียมเครื:องแต่งตวั ไปในงานใหพ้ ร้อม 3. ควรจะไปก่อนงานเร:ิมสกั 10 นาที ไม่ควรไปเร็วหรือชา้ กวา่ นJนั เพราะจะทาํ ใหเ้ จา้ ภาพลาํ บากใจ 4. ควรทกั ทายพบปะกบั เจา้ ภาพเม:ือไปถึงในงาน แมเ้ จา้ ภาพจะยงุ่ อยกู่ บั การตอ้ นรับคนอ:ืน เรากค็ วร หาโอกาสไปทกั ทายในภายหลงั 5. ควรพยายามพดู คุยทกั ทายกบั แขกคนอ:ืนๆ ท:ีมาในงาน แมไ้ ม่ใช่เพื:อนของเรา ถา้ ถูกแนะนาํ ให้ รู้จกั กบั ใคร กค็ วรจะพดู คุยกบั คนนJนั หากไม่มีใครแนะนาํ กค็ วรพดู คุยกบั คนใกลเ้ ราที:สุด 6. เวลาที:นงั: โตะ๊ ควรใหแ้ ขกผใู้ หญ่นงั: ก่อน แลว้ เราค่อยนง:ั ตาม 7. เวลาเดินเขา้ ประจาํ โตะ๊ สุภาพบุรุษควรช่วยเหลือสุภาพสตรีท:ีนง:ั ขา้ งๆ ใหน้ ง:ั ก่อน โดยการยกเกา้ อJี เลื:อนใหเ้ ลก็ นอ้ ย สุภาพสตรีนงั: แลว้ สุภาพบุรุษจึงค่อยนง:ั ตาม โดยสุภาพสตรีตอ้ งนงั: ทางขวาของ สุภาพบุรุษ 8. ก่อนนง:ั โตะ๊ ควรงดสูบบุหรี: แมน้ งั: โตะ๊ เรียบร้อยแลว้ กไ็ ม่ควรสูบ เพราะมีสุภาพสตรีนงั: อยขู่ า้ ง ๆ 9. นง:ั โตะ๊ ตอ้ งนงั: ตวั ตรง อยา่ นง:ั พิงเกา้ อJี เอนหลงั หรือค่อมหลงั จนตวั งอ อยา่ นงั: ชิด หรือห่างจาก เกา้ อJี หรือเอาเทา้ วางบนเกา้ อJี เอาศอกวางบนโตะ๊ 10. อยา่ อ่านหนงั สือใดๆ บนโตะ๊ อาหาร นอกจากรายการอาหาร 11. ผา้ เชด็ มือคล:ีวางบนตกั 12. อยา่ เล่นชอ้ นสอ้ มหรือผา้ เชด็ มือ 13. อยา่ กางขอ้ ศอกในเวลารับประทานอาหาร ศอกตอ้ งแนบตวั 14. ถา้ มีส:ิงใดตก ไม่ตอ้ งเกบ็ ควรแจง้ ใหค้ นเสิร์ฟทราบ 15. เวลานงั: โตะ๊ คอยสงั เกตใหด้ ีวา่ อนั ไหนเป็นของเรา หรือเป็นของคนอื:น อยา่ หยบิ ผดิ 16. เวลารับประทานอาหารอยา่ จบั หรือแต่งผม ผดั หนา้ ทาปาก 17. ช่วยเหลือเพ:ือนร่วมโตะ๊ ตามสมควร 18. อยา่ เอJือมหยบิ ของผา่ นหนา้ ผอู้ ื:น แต่ถา้ เพื:อนร่วมโตะ๊ ส่งให้ กค็ วรขอบคุณในไมตรีจิตของเขา 19. อยา่ ทาํ อะไรตกจากโตะ๊ อาหาร แต่ถา้ ตกแลว้ กข็ อใหม่ อยา่ เกบ็ ของเก่า 20. หากทาํ อะไรผดิ กป็ ล่อยเลยตามเลย ไม่ตอ้ งแกต้ วั 21. ดื:มนJาํ ดว้ ยมือขวา 22. อยา่ จิJมฟันในขณะรับประทานอาหาร ถา้ จาํ เป็นควรใชม้ ือป้อง 23. รับประทานอาหารเสร็จควรรวบชอ้ นสอ้ มไวค้ ู่กนั เขาจะไดร้ ู้วา่ อิ:มแลว้ 24. ลุกจากโตะ๊ เมื:อคนอ:ืนๆ อ:ิมแลว้ การรับประทานอาหารแบบตกั เอง หรือที:เรียกวา่ บุฟเฟต์ ควรปฏิบตั ิดงั นJี

1. ไม่ควรตกั ก่อนที:เจา้ ภาพจะเชิญ 2. ไม่ควรตกั อาหารจนลน้ ชามแลว้ รับประทานไม่หมด 3. ไม่ควรตกั ของหวานหรือผลไมเ้ กินกวา่ ที:ตนจะรับประทานได้ 4. เมื:อตอ้ งการอาหารเพิ:มเติม ตอ้ งใชช้ อ้ นกลาง ไม่ควรใชช้ อ้ นของตนตกั อาหาร 5. เม:ือตนตกั อาหารชนิดใดแลว้ ตอ้ งใหโ้ อกาสคนอ:ืนไดต้ กั บา้ ง ไม่ควรยนื ปักหลกั อยทู่ ี:โตะ๊ 6. ไม่ควรลุกไปตกั อาหารพร:ําเพร:ือจนเกินควร 7. รับประทานอาหารที:ตกั มาใหห้ มด ไม่ควรเหลือทิJงไวบ้ นจานมาก 8. เมื:อรับประทานอาหารเสร็จ ควรรวบชอ้ นสอ้ มเขา้ คู่ดว้ ยกนั 9. เมื:อจะกลบั ควรลาเจา้ ภาพและกล่าวคาํ ขอบคุณ (ที:มา: http://www.khonthai.com/Vitithai/marayat10.htm)

Unit 4b Take a break 1. มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชี3วดั มาตรฐาน ต 1.3: ต 1.3 ม.4-6/2 มาตรฐาน ต 1.1: ต 1.1 ม.4-6/3-4 มาตรฐาน ต 2.2: ต 2.2 ม.4-6/1-2 2. สาระการเรียนรู้ 2.1 ทกั ษะเฉพาะวชิ า • Language features and functions Vocabulary: คาํ ศพั ทแ์ ละสาํ นวนที-เกี-ยวขอ้ งกบั การศึกษา, phrasal verbs with down; nouns from verbs/nouns • Language skills Listening: การฟังเก-ียวกบั ชีวติ ในโรงเรียนของประเทศอ-ืน (note-taking) Speaking: การพดู บรรยายโรงเรียนของตนเอง, การเปรียบเทียบโรงเรียนของตนเองกบั โรงเรียนใน ประเทศอ:ืน Reading: การอ่านขอ้ ความท:ีใชใ้ นการส:ือสารขนาดสJนั (Skills – reading for specific information) 3. ทกั ษะการคดิ 3.1 ทกั ษะการสFือสาร - ฝึกทกั ษะการฟัง การพดู และการอ่านภาษาองั กฤษ 3.2 ทกั ษะการตคี วาม - ตีความขอ้ ความสHนั ๆ ที-ไดอ้ ่าน 3.3 ทกั ษะการเปรียบเทยี บ - เปรียบเทียบโรงเรียนของตนเองกบั ขอ้ มูลท-ีไดจ้ ากการฟัง 4. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 4.2 มุ่งมน-ั ในการทาํ งาน 4.1 ใฝ่ เรียนรู้ 5. กจิ กรรมการเรียนรู้ ครูแจง้ ใหน้ กั เรียนทราบวา่ ใน Unit 4b นHี นกั เรียนจะไดเ้ รียนรู้เก-ียวกบั การศึกษาและกิจกรรมใน โรงเรียน คาํ ศพั ทแ์ ละสาํ นวนท-ีเก-ียวขอ้ งกบั การศึกษา, phrasal verbs with down; nouns from verbs/nouns

Education 1. ใหน้ กั เรียนดูป้ายสญั ลกั ษณ์และหวั ขอ้ ยอ่ ยในหนงั สือเรียน หนา้ 30 Ex.1 (presenting words related to education) ครูชHีใหน้ กั เรียนเห็นวา่ กลุ่มคาํ ท-ีอยใู่ นหวั ขอ้ ยอ่ ยจะเก-ียวกบั หวั ขอ้ ใหญ่สุด ซ-ึงกค็ ือ school จากนHนั ใหน้ กั เรียนนาํ คาํ ที-กาํ หนดใหเ้ ติมลงหวั ขอ้ ยอ่ ยใหถ้ ูกตอ้ ง โดยนกั เรียนสามารถ เพิ-มเติมคาํ ศพั ทอ์ -ืนๆ ที-เกี-ยวขอ้ งได้ ต่อมาใหน้ กั เรียนจบั คู่กบั เพื-อนเพ-ือเปรียบเทียบคาํ ตอบกนั ครูตรวจคาํ ตอบของนกั เรียน พร้อมทHงั อธิบายความหมายของคาํ ศพั ทใ์ หม่ Types of school: primary, secondary, high, nursery, state, private School subjects: French, Maths, Art, Geography, Music, Science People in a school: head teacher, headmaster, pupil, librarian Further Education: university, college School facilities: library, lab, playing fields, classroom, playground, canteen, gym 2. ครูสุ่มเรียกนกั เรียนใหอ้ ่านคาํ ถามที-กาํ หนดใหใ้ นหนงั สือเรียน หนา้ 30 Ex.2 (personalising) คนละ 1 ขอ้ ครูอธิบายความหมายของคาํ ศพั ทใ์ หม่ จากนHนั ใหน้ กั เรียนจบั คู่กนั อภิปรายคาํ ถามท-ีใหม้ า ครูแนะนาํ วา่ นกั เรียนสามารถใชค้ าํ ศพั ทจ์ าก Ex.1 มาใชใ้ นการอภิปรายได้ ครูติดตามการทาํ งานของ นกั เรียน และใหค้ วามช่วยเหลือในกรณีท-ีจาํ เป็น ครูสุ่มเรียกนกั เรียน 3-5 คู่ ใหอ้ อกมานาํ เสนอ คาํ ตอบหนา้ ชHนั เรียน ครูตรวจคาํ ตอบของนกั เรียนอีกครHัง Suggested answer key: 1 A: What type of school do you attend? B: I go to a state school. You? A: I go to a private school. Is your school single-sex or co-educational? B: It’s co-educational. What about yours? A: Mine’s single-sex. 2 A: What’s your favourite school subject? B: Maths. Yours? A: French. What’s your least favourite school subject? B: Art. Yours? A: Geography.

3 A: How many days a week do you have school? B: Five. You? A: The same. What time do your classes start? B: They start at nine and end at three. What about yours? A: Mine start at eight thirty and end at three. etc 3. ใหน้ กั เรียนทาํ Ex.3 (note-taking) ในหนงั สือเรียน หนา้ 30 โดยครูอธิบายวา่ นกั เรียนจะไดฟ้ ัง เดก็ ผชู้ ายคนหน-ึงพดู เกี-ยวกบั โรงเรียนของเขา จากนHนั ครูเขียนหวั ขอ้ ต่อไปนHีบนกระดาน type of school, favourite/least favourite subject, days a week, hours, facilities, years compulsory, other ใหน้ กั เรียนลอกหวั ขอ้ เหล่านHีลงในสมุดของตนเอง ครูเปิ ด CD1/Track 24 ใหน้ กั เรียนฟัง 1-2 ครHัง ขณะที-นกั เรียนฟัง ใหน้ กั เรียนจดบนั ทึกยอ่ ตามหวั ขอ้ ที-กาํ หนดใหไ้ ปดว้ ย ครูเดินตรวจคาํ ตอบของ นกั เรียน type of school: co-educational favourite/least favourite subject: Literature/Mathematics days a week: five hours: 8:30-3:00 facilities: playground, Biology lab years compulsory: 6-15 years old other: blamed for cheating on an assignment/threatened by a boy/ threw all his books in the mud/stay away from him เสร็จแลว้ ใหน้ กั เรียนใชบ้ นั ทึกยอ่ ดงั กล่าวพดู เปรียบเทียบชีวติ ในโรงเรียนของตนเองกบั ของ Slava (Students’ own answers)

School activities 1. ใหน้ กั เรียนจบั คู่คาํ กริยา 1-7 กบั คาํ นาม a-g ในหนงั สือเรียน หนา้ 30 Ex.4a (practising phrases related to school activities) จากนHนั ใหน้ กั เรียนจบั คู่กบั เพ-ือนเพ-ือเปรียบเทียบคาํ ตอบกนั ครูเดิน ตรวจคาํ ตอบของนกั เรียน แลว้ จึงใหน้ กั เรียนจดจาํ วลีเหล่านHี 1. b 2. f 3. a 4. c 5. e 6. d 7. g 2. ครูอธิบายภาระงานในหนงั สือเรียน หนา้ 30 Ex.4b แลว้ จึงใหเ้ วลานกั เรียนนาํ คาํ กริยา 1-7 จาก Ex.4a มาเติมลงในช่องวา่ งใหถ้ ูกตอ้ ง โดยเปล-ียนคาํ กริยาใหอ้ ยใู่ นรูปที-เหมาะสม 1. pay 2. has 3. is doing 4. taking/retaking 5. enrol 3. ใหน้ กั เรียนจบั คู่ทาํ Ex.5 (learning words related to further education) ในหนงั สือเรียน หนา้ 30 โดยครูอธิบายภาระงาน และใหเ้ วลานกั เรียนอ่านประโยค 1-7 แลว้ ขีดเสน้ ใตค้ าํ ท-ีนกั เรียนคิดวา่ ถูกตอ้ ง ต่อมาใหน้ กั เรียนเปิ ดพจนานุกรมองั กฤษ-องั กฤษเพ-ือตรวจวา่ คาํ ตอบของนกั เรียนถูกตอ้ ง หรือไม่ ครูเฉลยคาํ ตอบพร้อมกนั อีกครHัง และอธิบายความหมายของตวั เลือกที-ไม่ใช่คาํ ตอบ 1. degree 2. tutor 3. lecture 4. course 5. student 6. graduated 7. deadline qualification (n) an exam that you have passed or a course of study that you have successfully degree (n) completed [คุณวฒุ ิ] teacher (n) the qualification obtained by students who successfully complete a university tutor (n) or college course [ปริญญา] lecture (n) a person whose job is teaching, especially in a school [ครู] a private teacher, especially one who teaches an individual student or a very seminar (n) small group [ครูสอน, ครูรับจา้ งสอนพเิ ศษ] a talk that is given to a group of people to teach them about a particular subject, often as part of a university or college course [การบรรยาย, การสอนโดยวธิ ีบรรยายในมหาวทิ ยาลยั ] (1) a class at a university or college when a small group of students and a teacher discuss or study a particular topic [ชEนั เรียนในมหาวทิ ยาลยั ทFีนกั ศึกษา กลุ่มเลก็ และอาจารยอ์ ภิปรายร่วมกนั ] (2) a meeting for discussion or training [การสมั มนา]

curriculum (n) the subjects that are included in a course of study or taught in a school, course (n) college, etc [หลกั สูตร] pupil (n) a series of lessons or lectures on a particular subject [รายวชิ า] student (n) a person who is being taught, especially a child in a school graduate (v) [นกั เรียน โดยเฉพาะในโรงเรียน] drop out (phr v) a person who is studying at a university or college [นกั ศึกษา] close (n) to get a degree, especially your first degree, from a university or college deadline (n) [ไดป้ ริญญา] to leave school, college, etc. without finishing your studies [ออกจากโรงเรียนหรือวทิ ยาลยั ขณะทFียงั เรียนไม่จบ] the end of a period of time or an activity [การจบ, การสิEนสุด] a point in time by which something must be done [วนั สิEนกาํ หนด] Idioms ครูอ่านคาํ สงั- ในหนงั สือเรียน หนา้ 30 Ex.6 (working with idioms) และใหเ้ วลานกั เรียนเติมประโยค 1-4 ดว้ ยสาํ นวนท-ีกาํ หนดให้ ครูอธิบายความหมายของสาํ นวนเหล่านHี live and learn = gain experience over time learn one’s lesson = learnt through a bad experience learn sth by heart = memorise read sb like a book = know someone very well จากนHนั ใหน้ กั เรียนช่วยกนั บอกวา่ มีสาํ นวนในภาษาไทยท-ีคลา้ ยกบั สาํ นวนเหล่านHีหรือไม่ 1. learnt … by heart 2. learnt his lesson 3. read … like a book 4. live and learn Phrasal verbs ครูอธิบายวา่ ใหน้ กั เรียนเติมประโยค 1-5 ในหนงั สือเรียน หนา้ 31 Ex.7 (practising phrasal verbs) ใหส้ มบูรณ์ ดว้ ยกริยาวลี (phrasal verbs) ในแผนผงั เม-ือนกั เรียนแต่ละคนทาํ งานเสร็จแลว้ ให้ นกั เรียนจบั คู่เปรียบเทียบคาํ ตอบกบั เพ-ือน ครูเฉลยคาํ ตอบพร้อมกนั อีกครHัง และใหน้ กั เรียนช่วยกนั อธิบายความหมายของกริยาวลีเหล่านHี let down = disappoint break down = become very upset take down = note go down = decrease, get worse settle down = prepare to concentrate on sth

1. let 2. broke 3. took 4. gone 5. settled กิจกรรมเพิFมเติม: ให้นกั เรียนเลือกกริยาวลีมา 1 วลี แลว้ วาดรูปเพ-ืออธิบายความหมาย จากนHนั ครู แบ่งนกั เรียนเป็ นทีม ให้แต่ละทีมผลดั กนั ส่งตวั แทนออกมา และแสดงรูปวาดของตนเองให้อีกทีม หน-ึงทายวา่ คือกริยาวลีใด Reading 1. ใหน้ กั เรียนทาํ Ex.8a (predicting the content of a text) ในหนงั สือเรียน หนา้ 31 โดยระบุประเภท ของขอ้ ความ 1-4 พร้อมทHงั อธิบายเหตุผลประกอบ 1. note (sb wants to inform sb else of sth) 2. email (layout) 3. notice (explaining a rule) 4. advert (to inform people of a new club – gives contact) 2. ใหเ้ วลานกั เรียน 3-5 นาที อ่านขอ้ ความ 1-4 ใน Ex.8b (reading for specific information) จากนHนั ให้ นักเรียนจบั คู่กบั เพื-อนเพ-ือเปรียบเทียบคาํ ตอบกนั ครูเฉลยคาํ ตอบอีกครHัง และให้นักเรียนอธิบาย เหตุผลวา่ ทาํ ไมตวั เลือกดงั กล่าวจึงถูกตอ้ ง 1. C 2. B 3. A 4. A Word formation 1. ใหน้ กั เรียนอ่านขอ้ มูลที-ใหไ้ วใ้ นกรอบ ในหนงั สือเรียน หนา้ 31 Ex.9a (forming nouns from verbs/nouns) ครูอธิบายวา่ suffixes ที-กาํ หนดให้ สามารถนาํ ไปเติมที-หลงั คาํ กริยาหรือคาํ นามกไ็ ด้ เพื-อสร้างคาํ นาม จากนHนั ใหน้ กั เรียนเปรียบเทียบวา่ มีหลกั การใชภ้ าษาเช่นเดียวกนั นHีในภาษาไทย บา้ งหรือไม่ 2. ให้นักเรียนเติม suffix ทา้ ยคาํ ที-กาํ หนดให้ใน Ex.9b ในหนังสือเรียน หน้า 31 จากนHันให้นักเรียน เปิ ดพจนานุกรมเพ-ือตรวจคาํ ตอบของตนเอง ครูเฉลยคาํ ตอบอีกครHังบนกระดาน และให้เวลา นักเรียนแต่งประโยคโดยใช้คาํ ตอบดงั กล่าว ครูสุ่มเรียกนักเรียนหลายๆ คน ให้อ่านประโยคท-ี ตนเองแต่งใหเ้ พื-อนฟัง ครูแกไ้ ขจุดผดิ เฉพาะจุดที-สาํ คญั

dancer – She trained for ten years to be a ballet dancer. collector – John is a stamp collector. He’s got over a thousand. comedian – Steve Martin is one of the best comedians of all time. pianist – You have to practise a lot to become a good pianist. examiner – The examiner was very fair when he marked my paper. operator – My dad works at the factory as a machine operator. musician – My favourite musician is Mick Jagger. organiser – Do you know who the festival organiser is? performer – She is a famous circus performer. 3. ให้นักเรียนทาํ Ex.10 ทบทวนคาํ ศพั ท์ใหม่ท-ีนักเรียนได้เรียนในบทเรียนนHี และในสมุดจดของ ตนเอง จากนHนั ให้นกั เรียนเลือกคาํ ศพั ท์มา 10 คาํ ท-ีเก-ียวกบั การศึกษามาแต่งประโยค เมื-อนกั เรียน แต่งประโยคเสร็จแลว้ ใหน้ กั เรียนจบั คู่และอ่านประโยคที-ตนเองแต่งใหเ้ พ-ือนฟัง (Students’ own answers) กจิ กรรมเพมิF เตมิ : ครูใหน้ กั เรียนเขียนอีเมลถึง penfreind บอกเล่าเกี-ยวกบั ชีวติ ในโรงเรียนของ ตนเอง (school life) โดยครูเขียนโครงร่าง (layout) ของอีเมลบนกระดาน ดงั นHี Dear + your pen-friend’s first name, Para 1: reason for writing Para 2: - type of school - favourite subject – least favourite subject - how many days a week - time classes start/end Para 3: - school facilities - teachers – headmaster - classmates Para 4: ask penfriend to write back Yours, your first name โดยใหน้ กั เรียนเร-ิมเนHือหาของจดหมายดว้ ยประโยค You asked me about my school life. จากนHนั ให้ เวลานกั เรียนระดมความคิด เรียบเรียงประโยค และอ่านทบทวนคาํ ตอบจาก Ex.2 แลว้ นาํ ขอ้ มูล ดงั กล่าวมาใชใ้ นการเขียนอีเมล เสร็จแลว้ ครูสุ่มเรียกนกั เรียนใหอ้ ่านอีเมลของตนเองใหเ้ พื-อนฟัง

Suggested answer key: Dears Celia, Hope you are well. You asked me about my school life. Well, I go to a single-sex private school in London. My favourite subject is French and my least favourite subject is Geography. I go to school five days a week and my classes start at 8:30 and end at 3. I have a great school. It’s got a library, a playground and two large playing fields. I have some really good teachers, but the headmaster is very strict. All of my classmates are very nice. Write back and tell me all about your school. Bye for now, Maddie กจิ กรรมเพมFิ เติม: ใหน้ กั เรียนทาํ งานคู่ ช่วยกนั หาข่าวที-เก-ียวขอ้ งกบั การศึกษา นาํ มาติดใส่กระดาษ A4 พร้อมทHงั เขียนสรุปใจความสาํ คญั /แก่นสาระท-ีไดจ้ ากข่าว แบบฝึ กหัด หนา้ 23-24 Exs.1-8 (ดูเฉลยภาคผนวก C) 6. การวดั และประเมนิ ผล วธิ ีการวดั เครื-องมือ เกณฑ์ ตรวจแบบฝึ กหดั ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ ประเมินพฤติกรรมบ่งชJีดา้ นใฝ่ เรียนรู้ แบบฝึกหดั (Workbook) ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ และมุ่งมนัF ในการทาํ งาน แบบประเมินคุณลกั ษณะอนั พึง ประสงค์

Unit 4c Grammar in use 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชี3วดั มาตรฐาน ต 2.1: ต 2.1 ม.4-6/3 มาตรฐาน ต 1.1: ต 1.1 ม.4-6/1, ต 1.1 ม.4-6/3 2. สาระการเรียนรู้ 2.1 ทกั ษะเฉพาะวชิ า • Language features Grammar: reported statements/questions/commands/requests; using appropriate reporting verbs; reporting modal verbs 3. ทกั ษะการคดิ 3.1 ทกั ษะการนําความรู้ไปใช้ - นาํ โครงสร้างภาษาท-ีเรียนมาใชใ้ นการพดู /เขียน 4. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 4.2 มุ่งมนั- ในการทาํ งาน 4.1 ใฝ่ เรียนรู้ 5. กจิ กรรมการเรียนรู้ ครูแจง้ ใหน้ กั เรียนทราบวา่ ใน Unit 4c นHี นกั เรียนจะไดเ้ รียนรู้และฝึกฝนการใช้ reported speech Reported statement 1. ใหน้ กั เรียนปิ ดหนงั สือเรียน แลว้ ครูเขียน 2 ประโยคนHีบนกระดาน 1) “I want to play ball”, she said. 2) She said that she wanted to play ball. ครูอธิบายวา่ ประโยคท-ี 1 เป็นการเล่าโดยยกคาํ พดู จริงๆ ของผพู้ ดู (direct speech) ส่วนประโยคท-ี 2 ผเู้ ล่าถ่ายทอดคาํ พดู ของผอู้ -ืน โดยใชค้ าํ พดู ของผเู้ ล่าเอง (reported speech) จากนHนั ครูใหน้ กั เรียนสนใจการเปล-ียนแปลงท-ีเกิดขHึน เมื-อเรารายงานคาํ พดู ของผอู้ ื-น (เปลี-ยนจาก direct speech เป็น reported speech) โดยถามคาํ ถามนกั เรียนดงั นHี - When do we use inverted commas? (direct speech) *หมายเหตุ inverted commas หรือ quotation marks = เครื-องหมายคาํ พดู (“ ”)

- What happens to the verb tense? (goes one tense back) - What happens to the pronouns? (becomes he/she, etc) จากนHนั นกั เรียนเปิ ดหนงั สือเรียน หนา้ 32 Ex.1a (reviewing reported speech) โดยใหเ้ วลานกั เรียน อ่านขอ้ มูลในตาราง แลว้ ครูอ่านคาํ ถาม 1-4 และรวบรวมคาํ ตอบจากนกั เรียน ครูอาจใหน้ กั เรียน ศึกษารายละเอียดเพิ-มเติมจาก Grammar reference ในหนงั สือเรียน หนา้ 111-112 1. say/told – say 2. the tenses go back a tense 3. they change according to the meaning e.g. Sam said, “I bought a car.” (direct speech) but Sam said that he had bought a car. (indirect speech) 4. (students’ own answers) 2. ให้เวลานักเรียนอ่านการ์ตูนท-ีอยู่ดา้ นบนของหนังสือเรียน หน้า 32 ครูถามคาํ ถามเพ-ือตรวจสอบ ความเขา้ ใจในการอ่านของนกั เรียน จากนHนั ใหน้ กั เรียนตอบคาํ ถามท-ีใหไ้ วใ้ นคาํ สง-ั ใน Ex.1b The boy uses reported speech in pic 2. The actual words were: “I will give you £10 if you pass your exams.” 3. ครูอธิบายภาระงานในหนงั สือเรียน หนา้ 32 Ex.2 (practising using reported speech) และให้ นกั เรียนอ่านประโยคและตวั เลือกท-ีใหม้ า แลว้ ขีดเสน้ ใตค้ าํ กริยาทHงั หมด ครูยHาํ กบั นกั เรียนวา่ tenses ใน reported speech จะเป็นอดีตเพิ-มขHึนหน-ึงขHนั จากนHนั จึงใหเ้ วลานกั เรียนวงกลมเลือกคาํ ตอบวา่ ประโยค a หรือ b ประโยคใดเป็นคาํ พดู ท-ีผพู้ ดู พดู จริงๆ (direct speech) เสร็จแลว้ ใหน้ กั เรียนจบั คู่ กบั เพ-ือน เพื-อเปรียบเทียบคาํ ตอบกนั ครูเฉลยคาํ ตอบอีกครHัง พร้อมทHงั ใหน้ กั เรียนอธิบายวา่ ทาํ ไม ตวั เลือกอีกขอ้ หน-ึงจึงไม่ใช่คาํ ตอบที-ถูกตอ้ ง 1. a 2. b 3. b 4. a 4. ครูเขียนตวั อยา่ งประโยคต่อไปนHีบนกระดาน Direct speech Reported speech “He’ll be late,” Ann said. Ann said he would be late. “He’ll be late,” Ann said to Pete. Ann told Pete he would be late.

ครูถามนกั เรียนวา่ Which verb (said – told) can be used in both direct/reported speech? (said) และ Which takes to? (said) Which doesn’t take to? (told) ครูสุ่มเรียกนกั เรียน 2 คน ใหอ้ ่านประโยคในกรอบคาํ พดู ในหนงั สือเรียน หนา้ 32 Ex.3 (using ‘said’ or ‘told’) แลว้ ใหเ้ วลานกั เรียนเปลี-ยนคาํ พดู เหล่านHีใหเ้ ป็น reported speech โดยใช้ said หรือ told เสร็จแลว้ เฉลยคาํ ตอบพร้อมกนั 1. Nick said (that) he was amazed that Sue had passed the exam. Nick told Linda (that) he was amazed that Sue had passed the exam. 2. Linda said (that) Sue had been lucky because she had hardly studied at all. Linda told Nick (that) Sue had been lucky because she had hardly studied at all. 3. Nick said (that) Fran and Mike had failed. Nick told Linda (that) Fran and Mike had failed. 4. Linda said (that) she hadn’t known that. Linda told (Nick) that she hadn’t known that. 5. ให้นกั เรียนเปล-ียนประโยคท-ีกาํ หนดให้ในหนงั สือเรียน หนา้ 32 Ex.4 (practising reported speech) ใหเ้ ป็น reported speech เสร็จแลว้ ครูตรวจคาํ ตอบของนกั เรียน 1. Jimmy said (that) he didn’t want to go to school that day. 2. Kate told/said to her son (that) he could play outside when he finished his homework. 3. Jane said (that) she hadn’t finished her project yet. 4. Paul told/said to Lisa ( that) Tom had finished school the month before and that he was looking for a job. 5. Andy told Fran that Tony had been doing his homework the previous afternoon at 4:00. 6. Jack told/said to me (that) he would try to help me with my maths. กจิ กรรมเพมิF เตมิ : ครูแบ่งนกั เรียนเป็นทีมยอ่ ยๆ เพ-ือเล่นเกม ครูใหแ้ ต่ละทีมเตรียมคาํ พดู สHนั ๆ 2-3 ประโยค เช่น

Someone who … 1. has just passed an important exam. 2. has had an argument with his/her best friend. 3. is going on holiday tomorrow. 4. is having problems at school. 5. has just moved house. ครูใหต้ วั แทนจากแต่ละทีม ออกมาอ่านประโยคของทีมตนเองใหเ้ พื-อนๆ ในหอ้ งฟัง และให้ นกั เรียนจากทีมอ-ืนเปลี-ยนประโยคท-ีเพ-ือนพดู ใหเ้ ป็น reported speech ทีมที-เปล-ียนประโยคได้ ถูกตอ้ งมากที-สุดจะได้ 3 คะแนน (เช่น การใช้ tenses ถูกตอ้ ง หรือการใช้ pronouns) เมื-อทุกทีมได้ อ่านประโยคของทีมตนเองแลว้ ทีมใดไดค้ ะแนนมากท-ีสุดจะเป็นทีมท-ีชนะ Suggested answer key: Team A S1: “I can’t believe I’ve passed! I really didn’t expect to. I’m going out to celebrate tonight!” Team A S2: He said that he couldn’t believe he had passed and that he really hadn’t expected to. He also said that he was going out to celebrate that night. etc Reported questions/command/requests 1. ใหน้ กั เรียนปิ ดหนงั สือเรียน แลว้ ครูเขียนประโยคต่อไปนHีบนกระดาน 1) “Are you reading?” John asked me. 2) “When did he leave?” John asked me. จากนHนั ครูถามคาํ ถามนกั เรียนวา่ Which question starts with a question word? (the second - when) และใหน้ กั เรียนช่วยกนั บอกโครงสร้างของประโยคคาํ ถาม 1) auxiliary verb + subject + verb 2) question word + auxiliary verb + subject + verb ครูเขียนประโยคต่อไปนHีขา้ งๆ โครงสร้างของประโยคคาํ ถามดา้ นบน John asked me if/whether I was reading. John asked me when he had left. จากนHนั ครูถามคาํ ถามนกั เรียน ดงั นHี Which verb do we use to report a question? (asked) Which words do we use to report a question which doesn’t start with a question word? (if/whether) What is the word order in the reported question? (if/whether/when + subject + verb)

Do you use question marks when we report a question? (No, we use a full stop.) ต่อมาครูเขียนประโยคต่อไปนHีบนกระดาน “Go out!” John said to me. “Don’t move!” John said to me. ครูใหน้ กั เรียนช่วยกนั บอกโครงสร้างของประโยคคาํ สง-ั ทHงั ในรูปบอกเล่าและปฏิเสธ โดยครูเขียนประโยคต่อไปนHีบนกระดาน John asked me to go out. John told me not to move. ครูถามคาํ ถามนกั เรียนวา่ Which verbs do we use to report commands/requests? (asked, told) How do we report a positive command? (to-inf) How do we report a negative command? (not + to-inf) เสร็จแลว้ ใหน้ กั เรียนเปิ ดหนงั สือเรียน หนา้ 33 Ex.5a (reviewing reported questions/commands/ requests) อ่านคาํ พดู ในกรอบ และตอบคาํ ถามที-กาํ หนดให้ Are you coming to the party? (a question) What time will we go? (a question) Meet me at 8:00. (command) Don’t be late, please. (request) 2. ใหเ้ วลานกั เรียนอ่านประโยคท-ี Dan รายงานคาํ พดู ของ Frank ในหนงั สือเรียน หนา้ 33 Ex.5b จากนHนั ใหน้ กั เรียนตอบคาํ ถาม 1-3 1. asked 2. if/whether 3. positive command/ request: to- inf negative command/ request: not + to-inf asked/told (for both questions)

Reported verbs 1. ใหน้ กั เรียนปิ ดหนงั สือเรียน และช่วยกนั ยกตวั อยา่ งประโยคท-ีเป็นคาํ สญั ญา (promise) เช่น I’ll take you to the cinema. คาํ แนะนาํ (suggestion) เช่น Let’s have lunch. คาํ อธิบาย (explanation) เช่น Joe can’t come because he has an exam. การปฏิเสธ (denial) เช่น I did not hit him! ครูเขียนประโยคท-ี นกั เรียนบอกบนกระดาน จากนHนั ครูถามนกั เรียนวา่ จะเขียนประโยคเหล่านHี โดยใช้ reporting verbs อยา่ งไร Suggested Answers: She promised she would take me to the cinema. She suggested having lunch. She explained Joe couldn’t come because he had an exam. She denied that she had hit him. จากนHนั ครูชHีแนะนกั เรียน จนนกั เรียนไดข้ อ้ สรุปวา่ promised, explained และ denied จะตามดว้ ย that-clause ขณะท-ี suggested จะตามดว้ ย -ing ครูอาจใหน้ กั เรียนศึกษารายละเอียดเพิ-มเติมจาก Grammar reference ในหนงั สือเรียน หนา้ 113 เสร็จแลว้ ใหน้ กั เรียนเปิ ดหนงั สือเรียน หนา้ 33 Ex.6 (practising reported verbs) และใหเ้ วลา นกั เรียนเขียนประโยค 1-6 ใหม่ โดยใช้ reporting verbs ที-ใหม้ า เม-ือนกั เรียนทาํ เสร็จแลว้ ใหจ้ บั คู่กบั เพ-ือนเพื-อเปรียบเทียบคาํ ตอบกนั แลว้ ครูจึงตรวจคาํ ตอบของนกั เรียนอีกครHัง 1. Philip suggested going to the concert. 2. Kathy denied (that) she had taken my pencil case. 3. Alex promised (that) he would bring it back the next day. 4. Sam explained (that) Ian couldn’t play football today (that day) as he had detention. 5. He promised (that) he would help me study. 6. He suggested going to the library. 2. ใหเ้ วลานกั เรียนทาํ Ex.7 (consolidating reported speech) ในหนงั สือเรียน หนา้ 33 เสร็จแลว้ ให้ นกั เรียนจบั คู่กบั เพื-อนเพ-ือเปรียบเทียบคาํ ตอบกนั โดยครูตรวจคาํ ตอบของนกั เรียนอีกครHัง 1. Tom asked Jane how she was. 2. Bob asked Linda if/whether she could lend him £5. 3. Julia asked Sam what the exam had been like. 4. He asked me if/whether he could use my ruler.

5. She asked me what my favourite subject was. 6. She told me to give her my dictionary. 7. The teacher told us not to eat in the classroom. 8. She told Ann to stop arguing because she was tired. 9. Tom told Ian that he should make a plan before he started writing his essay. Reporting modal verbs ใหน้ กั เรียนอ่านขอ้ ความในกรอบ ในหนงั สือเรียน หนา้ 33 Ex.8 (reviewing reporting modal verbs) แลว้ ครูอธิบายสรุปอีกครHังวา่ กริยาช่วยจะเปล-ียนแปลงอยา่ งไร เมื-อนาํ มาใชใ้ น reported speech จากนHนั ครูอธิบายภาระงาน และใหเ้ วลานกั เรียนเปล-ียนประโยค 1-6 ใหอ้ ยใู่ นรูป reported speech 1. She said to/told me (that) I must/had to study harder. 2. She said to me/told me (that) David would be able to help me later. 3. The teacher said (that) we would go on an excursion. 4. Ann said (that) they would be able to come the next day. 5. He said to/ told Bill (that) he shouldn’t lie to her. 6. She said (that) he could speak French fluently. Sentence transformations ใหน้ กั เรียนทาํ Ex.9 (sentence transformations) ในหนงั สือเรียน หนา้ 33 ดว้ ยการเติมคาํ ลงใน ประโยคที- 2 ใหม้ ีความหมายเหมือนประโยคท-ี 1 โดยเติมคาํ ไดไ้ ม่เกิน 3 คาํ (ตวั ยอ่ นบั เป็น 2 คาํ ) เสร็จแลว้ เปรียบเทียบคาํ ตอบกบั เพื-อน และครูตรวจคาํ ตอบของนกั เรียนอีกครHัง 1. Emma suggested (our) studying together. 2. Molly asked if/whether I enjoyed the lessons. 3. The teacher asked John where his homework was. 4. She said she had failed the exam. 5. The headmaster asked us to give our reports to our parents to sign. เม-ือเรียนเสร็จแลว้ ครูอาจใหน้ กั เรียนเล่นเกมเพ-ือฝึกฝนสิ-งที-เรียนมาแลว้ ซ-ึงเป็นทHงั การทบทวนความรู้ และส่งเสริมผเู้ รียนใหม้ ีเจตคติที-ดีต่อการเรียนรู้ภาษาองั กฤษ เช่น ครูใหน้ กั เรียนทบทวนเกี-ยวกบั reported speech ดว้ ยการแบ่งนกั เรียนเป็นกลุ่ม จากนHนั ใหน้ ิตยสารดารากบั นกั เรียนแต่ละกลุ่ม

กลุ่มละ 1 เล่ม ครูกาํ หนดใหน้ กั เรียนช่วยกนั แต่งประโยค reported speech ใหไ้ ดม้ ากที-สุดจากข่าว ดาราที-นกั เรียนอ่าน เช่น Johnny Depp said he was officially engaged to his girlfriend. แบบฝึ กหัด หนา้ 25-26 Exs.1-6 และหนา้ 74 Exs.1-4 (ดูเฉลยภาคผนวก C) 6. การวดั และประเมนิ ผล วธิ ีการวดั เคร-ืองมือ เกณฑ์ ตรวจแบบฝึ กหดั ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ ประเมินพฤติกรรมบ่งชJีดา้ นใฝ่ เรียนรู้ แบบฝึกหดั (Workbook) ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ และมุ่งมนัF ในการทาํ งาน แบบประเมินคุณลกั ษณะอนั พึง ประสงค์ Grammar reference • Reported speech Reported speech จะมีความหมายเหมือนกบั ท-ีผพู้ ดู ไดพ้ ดู ไว้ แต่ไม่ไดใ้ ชค้ าํ พดู เดียวกนั จะไม่ ใส่เครื-องหมายคาํ พดู (quotation marks) และจะใส่หรือละ that หลงั กริยานาํ (introductory verb) เช่น say, tell, suggest กไ็ ด้ ตวั อยา่ งเช่น He said (that) he would post his letters today. Say - Tell - say + no personal object ตวั อยา่ งเช่น She said she was bored. - say + to + personal object ตวั อยา่ งเช่น He said to me (that) he was really surprised. - tell + personal object ตวั อยา่ งเช่น She told me (that) she was going out. วลีที-ใชร้ ่วมกบั say, tell และ ask Say hello, good morning/afternoon etc, something/nothing, so, a prayer, a few words, no more, for certain/sure, etc Tell the truth, a lie, a story, a secret, a joke, the time, the difference, one from another, somebody one’s name, somebody the way, somebody sth, someone’s fortune, etc Ask a question, a favour, the price, after somebody, the time, around, for something/somebody, etc

• Reported statements - ในประโยค reported speech จะมีการเปลี-ยนแปลงบุรุษสรรพนาม/สรรพนามแสดงความ เป็นเจา้ ของ (personal/possessive pronouns) และคาํ คุณศพั ทแ์ สดงความเป็นเจา้ ของ (possessive adjectives) ไปตามความหมายของประโยค ตวั อยา่ งเช่น Susan said, “I’m meeting my cousin after work.” Susan said (that) she was meeting her cousin after work. - เราสามารถถ่ายทอดคาํ พดู ของผอู้ -ืนหลงั จากที-เขาพดู นานแลว้ (เรียกวา่ out-of-date reporting) หรือหลงั จากท-ีเขาพดู เพียงระยะสHนั ๆ (เรียกวา่ up-to-date reporting) Up-to-date reporting Tense จะเปล-ียนแปลงหรือคงเดิมกไ็ ดใ้ นประโยค reported speech Direct speech: Lucy said, “I haven’t booked a ticket yet.” Reported speech: Lucy said (that) she hasn’t/hadn’t booked a ticket yet. Out-of-date reporting กริยานาํ (introductory verb) จะอยใู่ นรูป past simple และ tenses ในประโยคจะ เปล-ียนแปลงดงั ต่อไปนHี Directed speech Reported speech Present simple \" Past simple “The train arrives at 5 o’clock.” He said (that) the train arrived at 5 o’clock. Present continuous \" Past continuous “I am watching a football match.” He said (that) he was watching a football match. Present perfect \" Past perfect “I have made a pie.” He said (that) he had made a pie. Past simple \" Past simple or Past perfect “I bought a new sofa.” She said (that) she bought/had bought a new sofa. Past continuous \" Past continuous or Past perfect continuous “I was washing the dishes.” She said that she was/had been washing the dishes. Future (will) \" would “I will go to the bank tomorrow.” She said that she would go to the bank the next day. คาํ และวลบี ่งบอกเวลาบางคาํ /วลจี ะเปลยFี นแปลงไปตามความหมาย ดงั นี3 now \" then, immediately today \" that day

yesterday \" the day before, the previous day tomorrow \" the next/following day this week \" that week last week \" the week before, the previous week next week \" the week after, the following week ago \" earlier here \" there come \" go bring \" take - คาํ กริยาในประโยค reported speech จะไม่มีการเปลี-ยน tense เม-ือกริยานาํ (introductory) อยใู่ นรูป present simple, future simple หรือ present perfect ตวั อยา่ งเช่น Dad always says: “You mustn’t spend all your money.” Dad always says (that) you mustn’t spend all your money. - คาํ กริยาในประโยค reported speech จะเปลี-ยนแปลงหรือคงเดิมกไ็ ด้ เม-ือประโยคนHนั กล่าวถึงความจริงทวั- ๆ ไป (general truth) หรือกฎของธรรมชาติ (law of nature) ตวั อยา่ งเช่น The teacher said, “A tomato is a fruit.” The teacher said (that) a tomato is/was a fruit. • Reported questions - Reported questions โดยปกติแลว้ จะใชก้ ริยานาํ เช่น ask, inquire, wonder หรือวลี want to know - Direct question ที-ขHึนตน้ ดว้ ย question word เช่น who, where, how, when, what เมื-อเปล-ียนเป็น reported question จะใช้ question word คาํ เดียวกนั เป็นคาํ เช-ือมระหวา่ ง ประโยคนาํ กบั ประโยคตาม “How old are you?” (direct question) She asked me how old I was. (reported question) - Direct question ที-ขHึนตน้ ดว้ ย auxiliary ไดแ้ ก่ verb to be, verb to do และ verb to have หรือ ที-ขHึนตน้ ดว้ ย modal verb เช่น can, may เม-ือเปลี-ยนเป็น reported question จะใช้ if หรือ whether เป็นคาํ เชื-อมระหวา่ งประโยคนาํ กบั ประโยคตาม “Have you finished yet?” (direct question) She asked me if/whether I had finished yet. (reported question) - ใน reported questions คาํ กริยาจะอยใู่ นรูปบอกเล่า (affirmative) และจะละเครื-องหมาย คาํ ถาม และคาํ /วลี เช่น please, well, oh ส่วนการเปลี-ยนแปลง tense ของคาํ กริยา คาํ สรรพนาม และคาํ /วลีบ่งบอกเวลา จะใชห้ ลกั การเดียวกนั กบั การเปลี-ยนเป็น reported statements

“Can you tell me when the shops close, please?” (direct question) She asked me if I could tell her when the shops closed. (reported question) • Reported orders/commands การรายงานคาํ สง-ั ในประโยค reported speech เราจะใชก้ ริยานาํ order หรือ tell + sb + (not) to - infinitive ตวั อยา่ งเช่น “Stop!” (direct order) He ordered them to stop. (reported order) “Get out!” (direct order) She told us to get out. (reported order) Introductory verb Direct speech Reported speech + to infinitive agree “Yes, I’ll lend you £25.” He agreed to lend me £25. claim “I’m working on a top secret She claimed to be working on a demand project.” top secret project. offer “I want to be served He demanded to be served promise immediately.” immediately. refuse “Would you like me to help She offered to help me with my threaten you with your essay?” essay. + sb + to-infinitive “I promise I’ll do this for He promised to do that for me. advise you.” allow “No, I won’t do what they He refused to do what they ask want.” wanted. beg “Be quiet or I’ll punish you.” He threatened to punish us if we command weren’t quiet. encourage forbid “You should exercise more.” He advised me to exercise more. “You can watch the film on He allowed me to watch the film TV.” on TV. “Can you do me a favour?” He asked me to do him a favour. “Please, please, help me.” She begged me to help her. “Put the gun down.” He commanded her to put the gun down. “You should talk to her about He encouraged me to talk to her this.” about that. “You cannot listen to your He forbade me to listen to my music at this time of night.” music at that time of night.

Introductory verb Direct speech Reported speech invite “Will you come to my She invited me to go to her order birthday party?” birthday party. remind “Do thirty push ups at once!” He ordered me to do thirty push warn ups immediately. + -ing form “Don’t forget to call me when He reminded me to call him accuse sb of you get home.” when I got home. admit (to) “Be careful, don’t believe He warned me not to believe apologise for what she says.” what she says. boast about/ of complain (to sb) “He stole my bag.” She accused him of stealing her of/about “Yes, I dropped the vase.” bag. deny “I’m sorry I am late.” He admitted to dropping/ having insist on “I’m an excellent actor.” dropped the vase. suggest “I feel very tired.” She apologised for being late. + that clause “I didn’t tell her your He boasted of being an excellent explain secret!” actor. “I am going to give you a lift She complained (to me) of inform sb home.” feeling very tired. “Why don’t we play table He denied telling/having told tennis tomorrow?” her my secret. He insisted on giving me a lift home. He suggested playing table tennis the next day. “It is quicker to take the train He explained that it was quicker because the traffic is heavy.” to take the train because the traffic was heavy. “The flight has been She informed us that the flight cancelled due to bad had been cancelled due to bad weather conditions.” weather conditions.

Unit 4d Listening & Speaking Skills 1. มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชี3วดั มาตรฐาน ต 1.2: ต 1.2 ม.4-6/1-2 มาตรฐาน ต 1.1: ต 1.1 ม.4-6/2, ต 1.1 ม.4-6/4 มาตรฐาน ต 2.2: ต 2.2 ม.4-6/1-2 มาตรฐาน ต 2.1: ต 2.1 ม.4-6/1, ต 2.1 ม.4-6/3 มาตรฐาน ต 4.1: ต 4.1 ม.4-6/1 2. สาระการเรียนรู้ 2.1 ทกั ษะเฉพาะวชิ า • Language features and functions Function: telephone conversations; making polite requests • Language skills Speaking: การสนทนาทางโทรศพั ท,์ การขอร้องอยา่ งสุภาพ Reading: การอ่านบทสนทนาทางโทรศพั ท์ (Skill – reading for detailed comprehension) • Culture: มารยาทในการพดู โทรศพั ท์ 3. ทกั ษะการคดิ 3.1 ทกั ษะการสFือสาร - ฝึกทกั ษะการพดู และการอ่านภาษาองั กฤษ 3.2 ทกั ษะการนําความรู้ไปใช้ - การนาํ สาํ นวนภาษาท-ีเรียนมาใชใ้ นสถานการณ์ที-กาํ หนด 4. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 4.2 มุ่งมน-ั ในการทาํ งาน 4.1 ใฝ่ เรียนรู้ 5. กจิ กรรมการเรียนรู้ ครูชHีแจงใหน้ กั เรียนทราบวา่ ใน Unit 4d นHี นกั เรียนจะไดฝ้ ึกฟังและพดู ทางโทรศพั ท์ และพดู ขอร้อง อยา่ งสุภาพ

Telephone etiquette 1. ครูอ่านหวั ขอ้ telephone etiquette ในหนงั สือเรียน หนา้ 34 Ex.1 (completing a dialogue) และให้ นกั เรียนช่วยกนั อธิบายความหมาย etiquette (อ่านวา่ เอท-ทิแคท็ ) = the set of rules or customs which control accepted behaviour in particular social groups or social situations telephone etiquette = specific language used when talking on the phone จากนHนั ใหน้ กั เรียนอ่านประโยคในกรอบแรก และถามคาํ ถามนกั เรียนดงั นHี T: Who’s A? Ss: Maybe a secretary at Parklands Primary School. T: Who’s calling A? Ss: Maybe a student’s mother who wants to talk to a teacher, Miss Gibson. T: What could Mrs Watson be calling about? Ss: To check on her daughter’s/son’s progress, to tell the teacher her child is ill, etc ครูใหเ้ วลานกั เรียนเติมบทสนทนาในกรอบแรกใหส้ มบูรณ์ โดยใชป้ ระโยค A-H ในกรอบท-ี 2 เสร็จแลว้ ใหน้ กั เรียนเปรียบเทียบคาํ ตอบกบั เพ-ือน ครูเปิ ด CD1/Track 25 ใหน้ กั เรียนฟังเพื-อตรวจ คาํ ตอบ แลว้ จึงใหน้ กั เรียน 1-2 คู่ อ่านบทสนทนาที-สมบูรณ์แลว้ ใหเ้ พ-ือนฟังอีกครHัง 1. Hello – may I speak to Miss Gibson, please? 2. It’s Moira Watson, Alison Watson’s mother. 3. Thank you. 4. Yes, please. Could you tell her that Alison has a toothache and won’t be able to go on the school trip today? 5. Thanks. I’d appreciate it. 2. ครูอ่านประโยคในตาราง ในหนงั สือเรียน หนา้ 34 Ex.2a (presenting level of formality) และให้ นกั เรียนตอบวา่ ประโยคใดท-ีนกั เรียนจะไดย้ นิ ในบทสนทนาทางโทรศพั ทร์ ะหวา่ งเพ-ือน 2 คน และ ระหวา่ งเลขานุการกบั ลูกคา้ จากนHนั อธิบายวา่ ลกั ษณะของคาํ พดู ท-ีไม่เป็นทางการ (informal speech) คือ จะใชค้ าํ กริยาในรูปยอ่ (contracted verb forms) เช่น I’ve, ภาษาในชีวติ ประจาํ วนั (everyday language) เช่น Can you ...,

การละกริยาช่วย (omission of auxiliary verbs) เช่น Pat speaking, ใชก้ ริยาวลี (phrasal verbs) เช่น he’s out ในขณะที-คาํ พดู ที-เป็นทางการ (formal speech) จะมีลกั ษณะดงั นHี ใชค้ าํ กริยารูปเตม็ (full verb forms) เช่น who is speaking, ใชภ้ าษาที-เป็นทางการและนHาํ เสียงที-สุภาพ (more formal language and polite tone) เช่น May I …, ใชก้ ริยาวลีในระดบั สูง (more advanced phrasal verbs) เช่น put you through The first set of exchanges is formal. (a secretary and a customer) The second set is informal. (two friends) เสร็จแลว้ ครูให้นักเรียนในชHันร่วมกนั อภิปรายว่า นอกจากระดบั ภาษาที-ใช้แลว้ มารยาทในการ โทรศพั ทน์ ่าจะมีอะไรอีกบา้ ง Culture: มารยาทในการพูดโทรศัพท์ (telephone etiquette) - ควรแนะนาํ ตวั เองเสมอ เช่น ถา้ รับโทรศพั ทข์ องออฟฟิ ศ ใหพ้ ดู วา่ “Hello/Good Morning, Accounting Department, Syndi Seid speaking.” ถา้ รับโทรศพั ทม์ ือถือ ใหพ้ ดู วา่ Hello และบอกชื-อ เช่น Hello, Syndi Seid here. ถา้ เป็นฝ่ ายโทร ใหบ้ อกช-ือของตนเอง พร้อมทHงั บอกชื-อบุคคลท-ีจะโทรหาดว้ ย เช่น “Hello, my name is John Doe from XYZ Corporation. May I please speak with Ms. Jane Smith?” - ในขณะที-พดู โทรศพั ท์ อยา่ ใหม้ ีกิจกรรมอ-ืนมาสอดแทรก หรือถา้ จาํ เป็นจริงๆ ใหพ้ ดู วา่ “Please excuse me for a moment I’ll be right back.” และเมื-อกลบั มาพดู โทรศพั ทต์ ่อ ใหพ้ ดู วา่ “Thank you for holding.” - ในกรณีท-ีฝากขอ้ ความ ใหพ้ ดู ชา้ ๆ ชดั ๆ และควรบอกหมายเลขโทรศพั ทใ์ นการโทรกลบั เสมอ - ควรปิ ดโทรศพั ทเ์ สมอเม-ืออยใู่ นที-ประชุม โรงภาพยนตร์ ร้านอาหาร สถานท-ีอบรม หรือ สถานท-ีอื-นๆ ท-ีไม่ตอ้ งการเสียงรบกวน (ท-ีมา: http://www.advancedetiquette.com/newsletter/feb_issue.htm) 3. ครูอธิบายภาระงานในหนงั สือเรียน หนา้ 34 Ex.2b (identifying level of formality) และเปิ ด CD1/ Track 26 ใหน้ กั เรียนฟัง และตอบคาํ ถามที-กาํ หนดให้

The second exchange is formal. The speaker leaves a message in the first exchange. 4. ใหน้ กั เรียนจบั คู่ทาํ Ex.3 (using telephone etiquette) ในหนงั สือเรียน หนา้ 34 โดยใหน้ กั เรียน เตรียมบทสนทนาตามสถานการณ์ท-ีกาํ หนดให้ และใชบ้ ทสนทนาจาก Ex.1 เป็นตน้ แบบ ครูติดตาม การทาํ งานของนกั เรียน และใหน้ กั เรียนออกมาแสดงบทสนทนาของตนเองท-ีหนา้ ชHนั เรียน Suggested answer key: A: Good morning. Figaro’s Music Academy. How can I help you? B: Hello. May I speak to Ms Reynolds, please? A: Who is speaking, please? B: It’s Annie Lemux. I’m one of Ms Reynolds’ students. A: One moment, Annie. I’ll just call the staff room. B: Thank you. A: I’m afraid Ms Reynolds isn’t there right now. Would you like to leave a message? B: Yes, please. I’d like to change the time of my piano lesson. Could you get her to call me back, please? A: I’ll make sure Ms Reynolds gets the message. B: Great. I’d appreciate it. A: Good morning. A G Baillie Primary School. How can I help you? B: Hello. May I speak to Mr Branca, please? A: Who is speaking? B: It’s Janet Ferguson. I’m one of Mr Brancas’ students. A: One moment, Janet. I’ll just call the staff room. B: Thank you. A: I’m afraid Mr Branca isn’t there right now. Would you like to leave a message? B: Yes, please. I’m ill today so I won’t be coming to school. A: I’ll make sure Mr Branca gets the message. B: Great. I’d appreciate it. A: Matt speaking. B: Hi, Matt. It’s Steve. A: Oh, hi, Steve. How are you?

B: Fine, thanks! There’s ... on at the Rex tonight. Do you fancy going together? A: Sure. What time? B: How about 7:30 outside the cinema? A: I’ll be there. B: See you later. Polite requests 1. ครูอธิบายภาระงานในหนังสือเรียน หน้า 34 Ex.4a (making polite requests) และให้เวลานักเรียน เติมวลี 1-7 ใหส้ มบูรณ์ โดยใชค้ าํ ท-ีใหม้ า เสร็จแลว้ ครูตรวจคาํ ตอบของนกั เรียน 1. borrow 2. lend 3. help 4. give 5. hand in 6. write 7. hand out 2. ใหน้ กั เรียนศึกษาสาํ นวนภาษาในตาราง Ex.4b ในหนงั สือเรียน หนา้ 34 และเติมสาํ นวนภาษา ดงั กล่าวใหส้ มบูรณ์ เช่น Could/Can you lend me your dictionary, please? จากนHนั ครูอธิบาย ภาระงาน และสุ่มเรียกนกั เรียน 2 คน ใหอ้ ่านตวั อยา่ งบทสนทนาท-ีใหม้ า แลว้ จึงใหเ้ วลานกั เรียน ทาํ กิจกรรมคู่ แต่งบทสนทนาโดยใชส้ าํ นวนภาษาที-ใหม้ า ครูติดตามการทาํ งานของนกั เรียน เสร็จแลว้ ใหน้ กั เรียนแต่ละคู่ออกมาแสดงบทสนทนาที-ตนเองแต่งท-ีหนา้ ชHนั เรียน Suggested answer key: A: Would you lend me some money? B: Actually, I don’t have any on me right now. A: Do you mind helping me with my school project? B: I’m sorry, but I can’t right now. etc ทกั ษะชีวติ (Life skills) มารยาทในการพดู โทรศพั ทแ์ ละการขอร้องอยา่ งสุภาพ ถือเป็นความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ อยา่ งหน-ึง เพราะนกั เรียนตอ้ งทาํ งานและอยรู่ ่วมกบั ผอู้ ื-นในสงั คม จึงจาํ เป็นตอ้ งรู้จกั วธิ ีปฏิบตั ิตน รู้จกั การใชภ้ าษา วาจา ท่าทางใหเ้ หมาะสมกบั บุคคลและโอกาสตามมารยาทสงั คม

กจิ กรรมเพมFิ เตมิ : ใหน้ กั เรียนอภิปรายเกี-ยวกบั มารยาทในการพดู โทรศพั ทข์ องไทย เช่น ถา้ รับ โทรศพั ทท์ -ีบา้ น ที-ทาํ งาน จะพดู วา่ อยา่ งไร หรือมารยาทขHนั พHืนฐานอื-นๆ เช่น อยา่ เคHียวอาหารใน ขณะท-ีพดู โทรศพั ท์ จากนHนั แบ่งนกั เรียนเป็นกลุ่ม ใหแ้ ต่ละกลุ่มคน้ ควา้ หาขอ้ มูลเกี-ยวกบั มารยาทใน การพดู โทรศพั ทข์ องเจา้ ของภาษา แลว้ ทาํ ตารางเปรียบเทียบขอ้ มูล ครูอาจแนะนาํ วธิ ีการคน้ ควา้ ขอ้ มูลใหก้ บั นกั เรียน เช่น เขา้ ไปท-ี www.google.com หรือ www.youtube.com และในช่อง search พิมพ์ Telephone Etiquette and Manners กจิ กรรมเพมFิ เตมิ : ครูใหน้ กั เรียนฝึกฝนการออกเสียงภาษาองั กฤษที-มกั จะมีปัญหาสาํ หรับคนไทย เช่น เสียง w กบั เสียง v โดยครูออกเสียงใหน้ กั เรียนดูเป็นตวั อยา่ ง พร้อมทHงั พดู แนะนาํ วธิ ีการ ออกเสียง และใหน้ กั เรียนฝึกพดู ตาม visor veil vest viper verse wiser whale west wiper worse rowing grew roving groove ครูอาจเปิ ดคลิปวดิ ีโอใหน้ กั เรียนดูหรือใหน้ กั เรียนไปฝึกฝนดว้ ยตวั เองนอกเวลาเรียน โดยเขา้ ไปท-ี www.engvid.com และในช่อง search พิมพ์ pronunciation-v-w แบบฝึ กหัด หนา้ 27 Exs.1-3 (ดูเฉลยภาคผนวก C) 6. การวดั และประเมนิ ผล วธิ ีการวดั เคร-ืองมือ เกณฑ์ แบบฝึกหดั (Workbook) ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ ตรวจแบบฝึ กหดั แบบประเมินการแสดงบทสนทนา/ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ บทบาทสมมติ การแสดงบทสนทนาทางโทรศพั ท์ ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ และการแสดงบทสนทนาเกีFยวกบั การ แบบประเมินคุณลกั ษณะอนั พึง ขอร้องอยา่ งสุภาพ ประสงค์ ประเมินพฤติกรรมบ่งชJีดา้ นใฝ่ เรียนรู้ และมุ่งมนFั ในการทาํ งาน

Unit 4e Writing 1. มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชี3วดั มาตรฐาน ต 1.3: ต 1.3 ม.4-6/1, ต 1.3 ม.4-6/3 มาตรฐาน ต 1.1: ต 1.1 ม.4-6/4 2. สาระการเรียนรู้ 2.1 ทกั ษะเฉพาะวชิ า • Language features Grammar: การใชค้ าํ เชื-อม • Language skills Reading: การอ่านเรียงความสJนั ๆ เก:ียวกบั ขอ้ ดีและขอ้ เสียของการเรียนทางอินเทอร์เน็ต (Skills – scanning, reading for specific information) Writing: การเขียนเรียงความเก:ียวกบั ขอ้ ดีและขอ้ เสีย 3. ทกั ษะการคดิ 3.1 ทกั ษะการสFือสาร - ฝึกทกั ษะการอ่านและการเขียนภาษาองั กฤษ 3.2 ทกั ษะการวเิ คราะห์ - วเิ คราะห์เร-ืองท-ีอ่านและวเิ คราะห์ขอ้ มูลท-ีเป็นขอ้ ดีและขอ้ เสีย 3.3 ทกั ษะการนําความรู้ไปใช้ - นาํ หลกั การเขียนท-ีเรียนมาใชใ้ นการเขียนเรียงความ 4. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 4.2 มุ่งมนั- ในการทาํ งาน 4.1 ใฝ่ เรียนรู้ 5. กจิ กรรมการเรียนรู้ ครูแจง้ ใหน้ กั เรียนทราบวา่ ใน Unit 4e นHี นกั เรียนจะไดเ้ รียนรู้เกี-ยวกบั การอภิปรายสนบั สนุนและ คดั คา้ น การใช้ linking words การเขียนประโยคใจความหลกั (topic sentence) และเขียนเรียงความ เก-ียวกบั ขอ้ ดีและขอ้ เสีย

Getting started ครูอธิบายความหมายของวลี studying online (studying using a computer - having no classmates) และใหเ้ วลานกั เรียนคิดเหตุผลที-สนบั สนุนและคดั คา้ นการเรียนผา่ นทางอินเทอร์เน็ต Suggested answer key: For: increases knowledge of IT, flexible study Against: no interaction with classmates or a teacher, Internet expensive Let’s look closer 1. ใหเ้ วลานกั เรียนอ่านเรียงความในหนงั สือเรียน หนา้ 35 Ex.2a (reading for specific information) และเปรียบเทียบเหตุผลที-นกั เรียนคิดใน Ex.1 กบั เหตุผลท-ีใหไ้ วใ้ นเรียงความ For: • You can study anywhere and anytime at your convenience. • You can find a wealth of information on the Internet. • Teachers can give students more personal attention. Against: • Students cannot share ideas and interests with peers. • Computers/Internet are expensive. • Information on Internet is not always accurate. • Working on you own requires a lot of self-discipline. 2. ครูอธิบายภาระงาน Ex.2b (analysing text organisation) และใหเ้ วลานกั เรียนอ่านเรียงความอีกครHัง และตอบคาํ ถามท-ีกาํ หนดใหใ้ นคาํ สง-ั Which paragraph states the topic? (ยอ่ หนา้ ใดระบุหวั ขอ้ ) Which paragraph presents the arguments for? (ยอ่ หนา้ ใดนาํ เสนอขอ้ สนบั สนุน) Which paragraph presents the arguments against? (ยอ่ หนา้ ใดนาํ เสนอขอ้ คดั คา้ น) Which paragraph concludes and gives the writer’s opinion?(ยอ่ หน้าใดให้ขอ้ มูลสรุปและ ความคิดเห็นของผเู้ ขียน) States the topic: Para 1 Presents arguments for: Para 2 Presents arguments against: Para 3 Concludes and gives the writer’s opinion: Para 4

Linking words ใหเ้ วลานกั เรียนทาํ Ex.3 (using linking words) ในหนงั สือเรียน หนา้ 35 โดยแทนท-ีคาํ เช-ือมใน เรียงความดว้ ยคาํ เชื-อมท-ีกาํ หนดให้ เสร็จแลว้ จึงเฉลยคาํ ตอบพร้อมกนั One: To start with, Firstly And: In addition, Furthermore, What is more So: As a result, Consequently But: On the other hand, However To begin with: To start with, Firstly Also: In addition, Furthermore, What is more Finally: Lastly In conclusion: To conclude, To sum up even if: although Study skills: topic sentences 1. ครูและนกั เรียนศึกษา Study skills ในหนงั สือเรียน หนา้ 35 ร่วมกนั จากนHนั ใหน้ กั เรียนทาํ Ex.4a (reviewing topic sentences) โดยครูใหน้ กั เรียนช่วยกนั บอกวา่ เนHือความ (main body) ของเรื-อง The Pros and Cons of Studying Online คือยอ่ หนา้ ใด เม-ือไดค้ าํ ตอบวา่ ยอ่ หนา้ ท-ี 2-3 แลว้ ใหน้ กั เรียนขีดเสน้ ใตป้ ระโยคใจความหลกั (topic sentences) เสร็จแลว้ จึงเฉลยคาํ ตอบพร้อมกนั 2. It is true that there are a number of advantages to learning online. 3. But, there are a number of disadvantages. จากนHนั ใหเ้ วลานกั เรียนคิดประโยคใจความหลกั ใหม่ Suggested answer key: 2. Learning online has a number of advantages. 3. Learning online does have its problems, though. 2. อธิบายภาระงาน Ex.4b (paragraph coherence) และใหน้ กั เรียนจบั คู่ประโยคใจความหลกั (1-2) กบั ประโยคสนบั สนุนที-กาํ หนดให้ (a-b) เสร็จแลว้ จึงตรวจคาํ ตอบของนกั เรียน 1. a 2. b

Your turn 1. ใหน้ กั เรียนอ่านคาํ สง-ั และขอ้ มูลในตารางในหนงั สือเรียน หนา้ 35 Ex.5 (supporting arguments with reasons) จากนHนั ใหเ้ วลานกั เรียนคิดประโยคใจความหลกั และประโยคสนบั สนุนในแต่ละประเดน็ ที- กาํ หนดให้ Suggested answer key: There are a number of advantages to wearing school uniforms. Encourage discipline, students concentrate better – students will get better grades. Help identify intruders in the school – the school will be a safer place for both students and teachers. Help students resist peer pressure to buy trendy clothes – parents will save a lot of money. However, there are some disadvantages. Are useless outside school – students need other clothes for out-of-school activities. Limit freedom of expression – all the students look the same. 2. ใหน้ กั เรียนตอบคาํ ถามใน Plan ในหนงั สือเรียน หนา้ 35 Ex.6 (writing a for-and-against essay) จากนHนั เขียนเรียงความเก-ียวกบั ขอ้ ดีและขอ้ เสียของการสวมเคร-ืองแบบนกั เรียนในโรงเรียน ความยาว 100-160 คาํ เป็นคู่ หรือเขียนร่วมกนั ทHงั หอ้ งบนกระดาน Suggested answer key: Many schools expect their students to wear school uniforms. It is thought that wearing school uniforms is very beneficial. There are a number of advantages to wearing school uniforms. First of all, wearing school uniforms encourages discipline so that students will concentrate better. Consequently, students will get better grades. In addition, uniforms can help identify intruders in the school. As a result, the school will be a safer place for both students and teachers. Lastly, when students wear uniforms it is easier for them to resist peer pressure to buy trendy clothes so parents save a lot of money. However, there are some disadvantages. To start with, uniforms are useless outside school and students need other clothes for out-of-school activities. Furthermore, wearing uniforms limits freedom of expression and all the students look the same. In conclusion, wearing school uniforms has its pros and cons but I believe the benefits outweigh the problems and help students get a better education.

6. การวดั และประเมนิ ผล วธิ ีการวดั เคร-ืองมือ เกณฑ์ แบบทดสอบความรู้หลงั เรียน Unit ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ ตรวจแบบทดสอบความรู้หลงั เรียน test 4 Unit test 4 แบบฝึกหดั (Workbook) ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ แบบประเมินการเขียน ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ ตรวจแบบฝึ กหดั ประเมินการเขียนเรียงความเกีFยวกบั แบบประเมินคุณลกั ษณะอนั พึง ระดบั คุณภาพ 2 ผา่ นเกณฑ์ ขอ้ ดีและขอ้ เสียของการสวม ประสงค์ เครืFองแบบนกั เรียน ประเมินพฤติกรรมบ่งชJีดา้ นใฝ่ เรียนรู้ และมุ่งมนFั ในการทาํ งาน บันทึกผลหลงั สอน ผลการสอน .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ปัญหาอุปสรรค .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. แนวทางการแก้ไข .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงช่ือ ........................................................ ครผู สู้ อน ( นายทักษณิ ชชู งั่ )

ขอ้ เสนอแนะของครผู ู้นิเทศ/ผทู้ ่ไี ด้รบั มอบหมาย ข้อคดิ เห็น/ขอ้ เสนอแนะ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอ่ื .................................................... ครูผนู้ ิเทศ ( ....................................... ) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงชื่อ .................................................... ( นางมณั ตรณี ี ยังถิน ) หวั หน้ากลุม่ สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่อื .................................................... ( นางเรณู รม่ โพธ์ิ ) รองผอู้ ํานวยการ กลมุ่ บริหารงานวชิ าการ