ขอมอบเป็นธรรมบรรณาการแด่ จาก
www.visalo.org ชมรมกัลยาณธรรม หนังสอื ดลี �ำดับท่ี ๒๙๙ ฉบบั ธรรมทานโดยชมรมกลั ยาณธรรม พิมพค์ รัง้ ท่ ี ๑ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๓ จ�ำนวนพิมพ ์ ๗,๐๐๐ เลม่ พิมพ์ครง้ั ท ่ี ๒ มถิ นุ ายน ๒๕๕๗ จ�ำนวนพมิ พ ์ ๕,๐๐๐ เล่ม จัดพิมพ์โดย ชมรมกลั ยาณธรรม ๑๐๐ ถนนประโคนชัย ตำ� บลปากน้�ำ อ�ำเภอเมอื ง จังหวัดสมทุ รปราการ ๑๐๒๗๐ โทรศพั ท์ ๐-๒๗๐๒-๗๓๕๓ และ ๐-๒๗๐๒-๙๖๒๔ ออกแบบปก / รปู เล่ม / ภาพประกอบ สวุ ด ี ผ่องโสภา รว่ มดว้ ยช่วยแจม คนข้างหลงั พสิ จู น์อักษร ทีมงานกัลยาณธรรม พิมพ์ท่ ี อมรินทรพ์ ร้นิ ติง้ แอนด์พบั ลชิ ชิง่ จ�ำกดั (มหาชน) ๖๕/๑๖ ถนนชยั พฤกษ ์ (บรมราชชนน)ี เขตตล่งิ ชนั กรงุ เทพฯ ๑๐๑๗๐ โทร. ๐-๒๔๒๒-๙๐๐๐ สพั พทานงั ธัมมทานงั ชนิ าติ การให้ธรรมะเปน็ ทาน ย่อมชนะการใหท้ ัง้ ปวง www.visalo.org www.kanlayanatam.com
สารบญั ค�ำ ปรารภ ๔ คำ�น�ำ ของชมรมกัลยาณธรรม ๗ ท�ำ ไมต้องปฏิบตั ธิ รรม ๑๑ มสี ติรกั ษาใจ ๒๕ ตน่ื รู้อยเู่ สมอ ๓๙ สตเิ ป็นธรรมใหญ่ ๕๕ ปล่อยวาง ๖๗ ความสงบจากกเิ ลส ๗๙ การวางใจในการเจรญิ สติ ๙๓ ไมเ่ ผลอไม่เพง่ ๑๐๗ เปน็ อยูด่ ้วยสติและปญั ญา ๑๑๙ อบุ ายแก้นวิ รณ์ ๑๓๓ ตน้ ทางพระนิพพาน ๑๔๕ ประวตั พิ ระไพศาล วสิ าโล ๑๕๖
ค�ำ ปรารภ ยอดปรารถนาอย่างหน่ึงของมนุษย์ คือการได้คนท่ีรู้ใจมาอยู่ ใกลต้ วั เชน่ ไดค้ คู่ รองทรี่ ใู้ จ ไดล้ กู นอ้ งทรี่ ใู้ จ หรอื ไดเ้ พอ่ื นรว่ มงานที ่ รใู้ จ ทง้ั นเี้ พราะเชอ่ื วา่ คนเหลา่ นจ้ี ะทำ� ใหช้ วี ติ มคี วามสขุ งานการประสบ ความสำ� เรจ็ แตค่ นเหลา่ นใ้ี ชว่ า่ จะหามาไดง้ า่ ยๆ ดงั นน้ั เราจงึ อดไมไ่ ด้ ที่จะเรียกร้องและคาดหวังให้ใครต่อใครมารู้ใจเรา ถ้าเขาไม่รู้ใจเรา เราก็จะหงดุ หงิด หวั เสยี และกราดเกรี้ยว แตใ่ นขณะทเ่ี ราเรยี กรอ้ งใหค้ นทงั้ โลกมารใู้ จเรานนั้ เราเองเคย คดิ ท่ีจะรู้ใจตัวเองบ้างหรือไม่ สังเกตไหมว่าวันหน่ึงๆ เราปล่อยให ้ อารมณต์ ่างๆ เขา้ มาย่�ำยบี ฑี าจติ ใจบ่อยครงั้ เพยี งใด วนั แลว้ วนั เลา่ ทเี่ ราปลอ่ ยใหค้ วามคดิ เตลดิ เปดิ เปงิ อยา่ งไมร่ เู้ นอื้ รตู้ วั จนกนิ ไมไ่ ดน้ อนไมห่ ลบั หาไมก่ ป็ ลอ่ ยใหค้ วามโกรธเกลยี ดบงการ ชีวิตจิตใจจนเผลอท�ำส่ิงท่ีต้องเสียใจในภายหลัง ยังไม่ต้องพูดถึง ความรู้สึกสับสนในตัวเอง ว่าในส่วนลึกของจิตใจเราต้องการอะไร
กันแน่ แม้จะมีชีวิตท่ีสะดวกสบาย มีบริษัทบริวารมากมาย แต่คน จ�ำนวนไม่น้อยก็ยังมีความทุกข์เพราะถูกหลอกล่อให้อยากได้ไม่รู้จัก พอ หรือพลัดจมอยู่กับเร่ืองราวในอดีต กังวลกับอนาคต ใช่หรือไม่ วา่ ความทกุ ขส์ ว่ นใหญเ่ กดิ ขนึ้ เพราะวา่ เราไมร่ ใู้ จตวั เองตา่ งหาก มใิ ช ่ เปน็ เพราะคนรอบข้างไมร่ ูใ้ จเรา ถึงแม้จะหาคนรู้ใจไม่ได้เลย แต่หากเรารู้ใจตัวเองอย่างลึกซ้ึง ชวี ติ กย็ อ่ มเปน็ สขุ หา่ งไกลจากความทกุ ข ์ เรารใู้ จตวั เองไดเ้ พราะมสี ติ ทำ� ใหร้ ทู้ นั ความรสู้ กึ นกึ คดิ ตา่ งๆ ไมต่ กอยใู่ นการครอบง�ำของอารมณ ์ ต่างๆ จึงสามารถทรงใจให้เป็นปกติ ไม่หว่ันไหวหรือข้ึนลงไปตาม แรงกระทบกระแทกของสงิ่ รอบตวั สตชิ ว่ ยใหร้ ะลกึ รใู้ นกายและใจ จงึ เกิดความรู้สึกตัวอย่างฉับไว และเห็นส่ิงต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับกายและ ใจอย่างทม่ี นั เป็น มิใช่เหน็ ว่ามันมีอยู่ตามสภาวะทพ่ี น้ จากความเปน็ บวกเป็นลบเท่านั้น หากยังสามารถเห็นไปถึงธรรมชาติหรือลักษณะ ทแ่ี ทข้ องมนั นนั่ คอื ความไมเ่ ทย่ี ง เปน็ ทกุ ข ์ และไมใ่ ชต่ วั ตน จงึ นำ� ไปสปู่ ญั ญาอนั เปน็ เครอื่ งไถถ่ อนความยดึ ตดิ ถอื มน่ั ในตวั ตน ท�ำใหจ้ ติ เป็นอสิ ระจากความทุกข์ได้ จะรู้ใจจนไกลทุกข์ได้ต้องอาศัยการปฏิบัติ หนังสือเป็นเพียง ส่วนประกอบเท่านั้น แต่ก็หวังว่าหนังสือเล่มนี้พอจะเป็นแนวทางให้ แก่การปฏิบัติได้บ้าง เน้ือหาในหนังสือเล่มนี้มาจากค�ำบรรยายของ ขา้ พเจา้ ณ วดั ปา่ สคุ ะโต จงั หวดั ชยั ภมู ิ ในชว่ งเขา้ พรรษาป ี ๒๕๔๙
คณุ อจั ฉรา กลน่ิ สวุ รรณ ์ ประธานชมรมกลั ยาณธรรม เหน็ วา่ มปี ระโยชน์ น่าเผยแพร่ จึงได้ร่วมกับมิตรสหายด�ำเนินการจัดท�ำเป็นหนังสือ รวมท้ังช่วยขัดเกลาให้น่าอ่านมากข้ึน เพ่ือพิมพ์แจกเป็นธรรมทาน เมอ่ื ป ี ๒๕๕๓ หนังสือเล่มน้ีได้ขาดตลาดไปนานแล้วแต่ยังมีผู้ต้องการอยู ่ ชมรมกัลยาณธรรมจึงขออนุญาตพิมพ์ซ้�ำ โดยจัดรูปเล่มให้สวยงาม นา่ อา่ นยง่ิ กวา่ เดมิ ขา้ พเจา้ ยนิ ดอี นญุ าตและขออนโุ มทนาในบญุ กริ ยิ า ของทุกท่านท่ีได้ร่วมบ�ำเพ็ญธรรมทานเพ่ือส่งเสริมสัมมาทัศนะและ สมั มาปฏบิ ตั ิ อนั เกอ้ื กลู ใหเ้ กดิ สนั ตสิ ขุ ทง้ั ในจติ ใจของผคู้ นและในบา้ น เมือง ขอให้ทกุ ทา่ นไดร้ บั อานสิ งส์แห่งบญุ กริ ยิ าดังกลา่ วโดยทัว่ กัน ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗
คำ�นำ�ของ ชมรมกลั ยาณธรรม โดยทวั่ ไปแลว้ จติ ใจของปถุ ชุ น มกั มองออกไปนอกตวั ไมค่ อ่ ย มองยอ้ นมาดูจิตใจตนเอง นี่คอื ทมี่ าและปญั หาใหญข่ องเร่ืองวุ่นวาย มากมายทตี่ ามมาทงั้ ในสว่ นเลก็ ๆ และสว่ นใหญ ่ การศกึ ษาพทุ ธศาสนา นั้นมีแก่นอยู่ท่ีการดูใจ และรู้ใจของตนเอง เพราะใจดวงนี้คือท่ีสถิต ของธรรมและกิเลส ด่ังคำ� ขององค์พระบูรพาจารย์ พระอาจารย์ม่ัน ภรู ทิ ตั โต แสดงธรรมไวว้ า่ “การบำ� รงุ รกั ษาสง่ิ ใดๆ ในโลก การบำ� รงุ รกั ษาตนคอื ใจเปน็ เยยี่ ม จดุ ทเ่ี ยยี่ มยอดของโลกคอื ใจ ควรบำ� รงุ รกั ษา ด้วยดี ได้ใจแล้วคือได้ธรรม เห็นใจแล้วคือเห็นธรรม รู้ใจแล้วคือรู้ ธรรมทงั้ มวล ถงึ ใจตนแลว้ คอื ถงึ นพิ พาน ใจนี้ คอื สมบตั อิ นั ลำ้� คา่ จงึ ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมองข้ามไป คนพลาดใจคือไม่สนใจปฏิบัติต่อใจ ดวงวเิ ศษในรา่ งน ้ี แมจ้ ะเกดิ สกั รอ้ ยชาตพิ นั ชาต ิ กค็ อื ผเู้ กดิ ผดิ พลาด อยนู่ น่ั เอง” ดง่ั นเี้ ปน็ ตวั อยา่ งเหน็ วา่ พระพทุ ธศาสนาสอนใหเ้ รารกั ษา ใจ ดูใจ รูใ้ จตนเอง
การเสยี เวลามากมายในชวี ติ ไปกบั สงิ่ ภายนอก จรงิ อยยู่ อ่ มเปน็ การเรยี นรโู้ ลกและชวี ติ ทคี่ วรยอ้ นทวนมาสจู่ ติ ใจของตนเอง โดยถอื วา่ เปน็ นกั ศกึ ษา อาศยั สงิ่ ตา่ งๆ เรอ่ื งราวและบคุ คลตา่ งๆ ทผี่ า่ นมาผา่ นไป ในชวี ติ อนั แสนสน้ั น ี้ เพอ่ื เรยี นรธู้ รรม และเขา้ ใจความเปน็ จรงิ ของโลก และชวี ติ อยา่ งรเู้ ทา่ ทนั ไมห่ ลงกระแสโลกจนลมื กระแสธรรรม ไมย่ ดึ ตดิ ถอื มนั่ กบั สงิ่ สมมตจิ นเสยี ทา่ ปลอ่ ยใหม้ ายาของโลกมาเฆย่ี นตบี ฑี า หัวใจให้บอบชำ้� ทุกครั้งที่พบทุกข์ ทุกคราท่ีพบปัญหาและอุปสรรค ขอใหไ้ ดก้ ำ� ไรทางใจ ไมเ่ สยี สองตอ่ สามตอ่ คอื เสยี ของ เสยี ใจ เสยี ความร้สู กึ เสยี อะไรตอ่ อะไรตามๆ มามากมาย ยากนักท่ีเราจะได้พบคนรู้ใจ หากตัวเราเองก็ยังไม่รู้ใจของเรา เอง เพราะการไม่รู้ใจของตัวเอง ก็คือการไม่รู้จักกิเลสของตัวเอง จึงเกิดความไม่เข้าใจ ความขัดแย้งหรือการคาดหวังผิดๆ จากผู้อ่ืน หรอื สง่ิ อนื่ อนั นำ� มาซงึ่ ความทกุ ข ์ และปญั หาตา่ งๆ มากมาย เพราะ ตา่ งคนตา่ งกไ็ มร่ ใู้ จตวั เอง ไมร่ จู้ กั กเิ ลสของตวั เอง เมอื่ คนทตี่ า่ งเปน็ เชน่ นนั้ มาเกยี่ วขอ้ งสมั พนั ธก์ นั กย็ งิ่ เพม่ิ ปญั หาเปน็ สองเทา่ ดงั นนั้ แตล่ ะคนจงึ ควรหนั มาดใู จ รจู้ กั ใจของตวั เองใหม้ าก กจ็ ะสามารถรใู้ จ คนอ่ืน เขา้ ใจคนอืน่ ไดไ้ ม่ยาก หนงั สอื รใู้ จ ไกลทกุ ข์ เลม่ น ี้ เรยี บเรยี งจากพระธรรมเทศนา ของพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ในช่วงพรรษาปี ๒๕๔๙ ชมรม กลั ยาณธรรมไดเ้ รยี บเรยี งจดั พมิ พเ์ ปน็ รปู เลม่ (โดยพระอาจารยเ์ มตตา
ตรวจทานให)้ โดยในครง้ั แรก จดั พมิ พท์ ส่ี ำ� นกั พมิ พธ์ รรมดา มาครง้ั นี้ ทีมงานธรรมทานของชมรมกัลยาณธรรมได้จัดรูปเล่มใหม่ สดใส นา่ อา่ นขน้ึ มภี าพประกอบสส่ี จี ากศลิ ปนิ จติ อาสา ตลอดจนผจู้ ดั รปู เลม่ กเ็ ปน็ มอื อาชพี ทอ่ี าสามาชว่ ยงานธรรม ทส่ี ำ� คญั อกี สว่ นคอื ขอกราบ ขอบพระคุณ คุณเมตตา อุทกะพันธุ์ และบริษัทอมรินทร์ พร้ินติ้ง แอนดพ์ บั ลชิ ชงิ่ จำ� กดั (มหาชน) ทใ่ี หค้ วามอนเุ คราะหใ์ นการจดั พมิ พ์ เปน็ ธรรมทานในครงั้ น ี้ จ�ำนวน ๕,๐๐๐ เลม่ เพอ่ื แจกสาธชุ นในงาน แสดงธรรมของชมรม ครั้งที่ ๒๙ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ ๒๗ กรกฎาคม ศกนี้ อานิสงส์แห่งธรรมทานน้ี ขอน้อมถวายบูชาอาจริยคุณ แด่ พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล พระปิยาจารย์ผู้เมตตา ถ่ายทอดธรรม แท้ท่ีหย่ังยากให้เป็น เรื่องง่าย เหมือนหงายของท่ีคว�่ำ ภาษาและ เรื่องราวท่ีพระอาจารย์ถ่ายทอดน้ันเข้าใจง่ายและมีตัวอย่างทันสมัย ชวนให้คนรุ่นใหม่ไม่กลัวหนังสือธรรมะ ขออานุภาพแห่งธรรมจง คุม้ ครองทุกท่าน ใหเ้ ป็นผรู้ ใู้ จตน จนไกลทุกข ์ ทวั่ กัน เทอญ ดว้ ยความปรารถนาดอี ยา่ งยิ่ง ทพญ.อจั ฉรา กล่ินสุวรรณ์ ประธานชมรมกลั ยาณธรรม
11 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ทำ�ไมต้องปฏิบตั ธิ รรม เราคงพอจะเขา้ ใจเรอื่ งธรรมะกนั อยบู่ า้ ง แตเ่ ชอื่ วา่ ยงั มบี างคน ทสี่ งสยั วา่ เราจะเรยี นรธู้ รรมะไปทำ� ไม ในเมอื่ ชวี ติ ของเรากม็ คี วามสขุ สบายดอี ยแู่ ลว้ ถา้ จะตอบสนั้ ๆ วา่ ท�ำไมเราจงึ จ�ำเปน็ (ไมใ่ ชค่ วรนะ) ตอ้ งเรยี นรเู้ รอื่ งธรรมะ กค็ อื วา่ ถา้ ใครคดิ วา่ ฉนั จะไมม่ วี นั ทกุ ข ์ จะไมม่ ี วันพลัดพราก จะไม่มีวันสูญเสีย จะไม่เจ็บไม่ป่วย ไม่พลัดพราก ไมผ่ ดิ หวัง และจะไมต่ าย จะอยไู่ ปนิรนั ดร ก็ไม่จ�ำเปน็ ต้องมาศึกษา หรอื มาเรยี นรธู้ รรมะ แตถ่ า้ เราไมแ่ นใ่ จวา่ วนั ขา้ งหนา้ เราอาจจะตอ้ ง ประสบกบั ความพลดั พราก ผดิ หวงั อาจจะตอ้ งเจบ็ ปว่ ย และในทสี่ ดุ ก็ต้องละจากโลกน้ีไป ถ้าเราไม่แน่ใจในชีวิตข้างหน้าว่า อาจจะต้อง ผนั ผวนปรวนแปร ธรรมะกเ็ ปน็ เรอื่ งทเี่ ราหลกี หนไี มพ่ น้ ทจ่ี ะตอ้ งศกึ ษา ทำ� ความเข้าใจ และนำ� ไปปฏบิ ตั ิ แม้ว่าในวันน้ีเราอาจจะยังมีความสุขดีอยู่ โลกนี้อาจจะยัง สดสวย คนที่เรารักก็ยังอยู่กันพร้อมหน้า แต่น่ันเป็นเพียงของ ชั่วคราว ไม่ช้าก็เร็ว เราก็ต้องพบกับความพลัดพราก พบกับความ
ท ํ า ไ ม ต ้ อ ง 1 2 ป ฏ ิ บ ั ต ิ ธ ร ร ม ผดิ หวงั ความสขุ ทเี่ กดิ ขนึ้ กบั เราในวนั นมี้ นั เปน็ ของชว่ั คราว ไมแ่ นน่ อน ไม่ช้าก็เร็วความทุกข์ก็ต้องมาเยือนเรา อันนี้เป็นธรรมดาของโลก เปน็ ธรรมดาของชวี ติ เปรยี บเสมอื นกบั เหรยี ญ เหรยี ญนนั้ มสี องดา้ น สุขกับทกุ ขม์ นั เป็นสองดา้ นของชวี ติ เหมือนความสวา่ งกับความมดื ทมี่ าดว้ ยกนั ทไ่ี หนมคี วามสวา่ งแลว้ ไมม่ เี งามดื ยอ่ มเปน็ ไปไมไ่ ด ้ ชวี ติ เราตอนนอี้ าจจะเหมอื นกบั คนทอ่ี ยทู่ า่ มกลางแสงสวา่ ง มองไปทไ่ี หน มีความใสสว่างไปหมด แต่ลองสังเกตให้ดีเถอะ มันจะมีเงามืดอยู่ ไมม่ คี วามสวา่ งทไี่ หนทไ่ี มม่ เี งามดื ความมดื เกดิ ขนึ้ กเ็ พราะความสวา่ ง ในขณะนเ้ี ราอาจจะมคี วามสขุ นนั่ กเ็ พราะวา่ เรายงั ไมเ่ หน็ เงามดื ทจี่ ะมาทาบทบั ชวี ติ ของเรา คนทเี่ พลนิ กบั ความสขุ โดยเฉพาะพวกเรา ทย่ี งั เปน็ หนมุ่ เปน็ สาว อาจจะคดิ วา่ ความเจบ็ ปว่ ยหรอื ความตายยงั อยู่อีกไกล ถ้าคิดอย่างนี้แสดงว่าประมาท ประมาทน้ีไม่ได้หมายถึง ปล่อยปละละเลย ไม่ระมัดระวัง หรือคึกคะนองเหมือนคนที่ขับรถ โดยประมาทเทา่ นน้ั ทน่ี า่ กลวั กวา่ นน้ั กค็ อื การใชช้ วี ติ อยา่ งประมาท เพราะเพลนิ หรอื หลงใหลในความสขุ หลงใหลในความส�ำเรจ็ จนลมื ไปวา่ ความพลดั พรากสญู เสยี รวมทงั้ ความตาย จะมาถงึ เราเมอื่ ไหร ่ ก็ได้ ดงั น้ันเมื่อเวลานน้ั มาถงึ จึงทำ� ใจไมไ่ ด ้ ตอ้ งตอี กชกหัวตวั เอง หลายคนเมอื่ ประสบความพลดั พราก ผดิ หวงั มกั จะโอดครวญ ว่าท�ำไมต้องเป็นฉัน บางทีแค่กระเป๋าเงินหาย โทรศัพท์มือถือหาย ก็รำ�่ รอ้ งว่า ทำ� ไมถงึ ต้องเปน็ ฉัน บางคนหนกั กว่านน้ั เช่น ไปเท่ยี ว ผู้หญิงหรือมัวเมาส�ำส่อนทางเพศ เพราะคิดว่ายังเป็นหนุ่มเป็นสาว
13 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล กต็ อ้ งตกั ตวงความสขุ ทางโลกใหเ้ ตม็ ท ี่ พอพบวา่ ตวั เองตดิ เชอ้ื เอชไอวี ก็จะคร�่ำครวญหรือโวยวายว่า ทำ� ไมต้องเป็นฉัน แต่น้อยคนท่ีจะพูด ขน้ึ มาวา่ ท�ำไมจะเปน็ ฉนั ไมไ่ ด ้ เวลามเี หตรุ า้ ยเกดิ ขนึ้ กบั ตวั เราเคย ถามตวั เองบ้างไหมว่า ท�ำไมจะเป็นฉันไมไ่ ด้ เวลาของหาย เงินหาย เจ็บป่วย เวลาคนรัก เช่น พ่อ แม่ ลม้ หายตายจากไป เราเคยตระหนกั ไหมวา่ ท�ำไมถงึ จะเปน็ ฉนั ไมไ่ ด ้ ในเมอื่ คนอนื่ เขากเ็ ปน็ กนั ทง้ั นนั้ เรามกั จะโวยวา่ ท�ำไมจงึ ตอ้ งเปน็ ฉนั ทกุ ครงั้ ทเี่ ราพดู เชน่ น ้ี กข็ อใหร้ ะลกึ วา่ นนั่ เปน็ เพราะเราประมาทไปแลว้ เราไม่เคยตระหนักเลยว่า เหตุร้ายๆ แบบนี้สามารถเกิดข้ึนกับเรา เมอ่ื ไหรก่ ไ็ ด ้ ความเจบ็ ปว่ ย ความพลดั พรากสญู เสยี เปน็ เรอื่ งธรรมดา ของชีวิตที่เกดิ ขึ้นได้กบั ทุกคน โดยไมเ่ ลอื กเวลาและสถานที่ พระพุทธองค์ตรัสว่า ส่ิงที่บอกไม่ได้ ท�ำนายไม่ได้ เกี่ยวกับ ความตายกค็ อื ๑. ไมร่ วู้ า่ จะเกดิ ขนึ้ เมอื่ ไร ๒. ไมร่ วู้ า่ จะเกดิ ขน้ึ ทไ่ี หน ๓. ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นด้วยสาเหตุใด ๔. ไม่รู้ว่าเราจะอายุนานแค่ไหน ๕. เม่ือตายแล้วไม่รู้ว่าจะไปไหน ข้อ ๕ น้ันเว้นเอาไว้ก่อน แต่อีก ๔ ข้อ น้ันเป็นเร่ืองที่เราต้องระลึกไว้อยู่เสมอ บางคนใช้ชีวิตอย่าง ประมาท คอื สนกุ สนานเตม็ ท ี่ ราวกบั วา่ อยอู่ ยา่ งลมื ตาย คอื ลมื ไปวา่ ตวั เองตอ้ งตาย แตพ่ อความตายมาประชดิ ตวั กร็ อ้ งหม่ รอ้ งไหว้ า่ ทำ� ไม ตัวเองจึงอายสุ ้นั
ท ํ า ไ ม ต ้ อ ง 1 4 ป ฏ ิ บ ั ต ิ ธ ร ร ม ถ้าไม่อยากเจอแบบนี้ก็จ�ำเป็นต้องเข้าใจธรรมะ แล้วศึกษา ธรรมะให้ซึ้งแก่ใจ โดยเฉพาะในเรื่องความไม่เท่ียงของชีวิต ซึ่งเป็น ส่วนหนึ่งของ “กฎไตรลักษณ์” อันเป็นธรรมดาของชีวิตและโลก ความเป็นธรรมดาข้อหน่ึงคือ ความไม่เท่ียง ทุกอย่างไม่เที่ยง เมื่อ เกดิ แลว้ กด็ บั ขน้ึ แลว้ กล็ ง มาแลว้ กต็ อ้ งไป พบแลว้ กต็ อ้ งพราก นค่ี อื ความไมเ่ ทยี่ ง จรงิ ไหม ลองพจิ ารณาด ู นค่ี อื ความไมเ่ ทยี่ งของชวี ติ และโลก หรือพุทธศาสนาเรียกวา่ “อนิจจัง” อนั ทสี่ องคอื ความเปน็ ทกุ ข ์ ความทกุ ขแ์ ฝงไปกบั ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ ง ทุกขณะ ขณะท่ีน่ังอยู่ตอนนี้ อาจจะสังเกตว่า เม่ือ ๑๐ นาทีที่แล้ว ยังสบายอยู่ แต่ตอนน้ีชักจะไม่สบายแล้ว ท่าน่ังที่เราคิดว่าสบาย ผา่ นไปไมน่ านกช็ กั จะเมอื่ ย เรมิ่ จะไมส่ บาย นนั่ แหละแสดงวา่ ความ ทกุ ขม์ นั ปรากฏ ทจ่ี รงิ มนั ปรากฏอยตู่ ลอดเวลาแตเ่ รามองไมเ่ หน็ เอง บางคนตอนนอ้ี าจจะอยากนอน คดิ วา่ ทา่ นอนเปน็ ทา่ ทสี่ บายทส่ี ดุ ตอน นอนใหมๆ่ กส็ บาย แตห่ ากนอนไปสกั ๑๐ ชวั่ โมง หรอื นอนเปน็ วนั ๆ แลว้ ยงั จะรสู้ กึ วา่ ทา่ นอนเปน็ ทา่ ทสี่ บายอยหู่ รอื เปลา่ คงเรมิ่ จะไมส่ บาย แล้ว คงอยากจะลุกข้ึนมานั่ง จากน้ันลองน่ังในท่าที่สบายท่ีสุด จะ เอนหลังก็ได้ ดูซิว่าถ้านั่งไปนานๆ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น เอนหลังสัก ๔-๕ ชวั่ โมง จะยังรสู้ ึกสบายดีหรอื เปล่า มันทุกข์แลว้ นะ ลองนกึ ด ู อาหารอรอ่ ยๆ ทเ่ี ราอยากกนิ มากทส่ี ดุ จะเปน็ ไกย่ า่ ง ส้มต�ำ หูฉลาม ถ้าเรากินทุกวัน เช้าก็กิน กลางวันก็กิน เย็นก็กิน แล้วกินอย่างนี้ไปท้ังเดือน ยังจะรู้สึกว่ามันอร่อยอยู่หรือเปล่า ใครท่ี
15 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ไมเ่ บอื่ กถ็ อื วา่ เกง่ มากแลว้ ละ่ ตอนกนิ ใหมๆ่ เชน่ มอื้ แรกกอ็ รอ่ ยนะ แต่พอกินไปสักหน่ึงอาทิตย์ ความรู้สึกก็จะเปล่ียนไปจากที่เคยรู้สึก อรอ่ ยกเ็ ปลย่ี นเปน็ รสู้ กึ เฉยๆ และจากเฉยๆ ในทสี่ ดุ กเ็ รม่ิ จะรสู้ กึ เอยี น ถ้ากินนานกว่านี้ก็อาจจะอาเจียน ท่ีจริงไม่ต้องกินหรอก แค่เห็นก็ อยากจะอาเจยี นแลว้ นเี่ รยี กวา่ สขุ มนั แฝงไวด้ ว้ ยทกุ ข ์ ในความอรอ่ ย กม็ คี วามไมอ่ รอ่ ยแฝงอย ู่ ในความสบายกม็ คี วามไมส่ บายซอ่ นตวั อย่ ู ความทกุ ข ์ ความไมอ่ รอ่ ย ความไมส่ บาย มนั จะคอ่ ยๆ แสดงตวั เมอ่ื เวลาผ่านไป เพลงที่ไพเราะที่สุด ไม่ว่าจะเพลงของนักร้องคนไหน ลองฟังสักร้อยเที่ยว แล้วยังรู้สึกว่ามันไพเราะอยู่หรือเปล่า เร่ิมเบ่ือ แล้วใช่ไหม น่ีแหละที่เขาเรียกว่า ทุกข์มันแฝงอยู่ในสุข ท่าท่ีสบาย ท่ีสุดก็ไม่เคยสบายไปตลอด พออยู่ในท่านั้นนานๆ ก็จะเร่ิมตึง เริ่ม เครียด เริ่มเม่ือย และกระสับกระส่าย แล้วก็กลายเป็นทุกข์ข้ึนมา ในทสี่ ดุ อนั นพี้ ทุ ธศาสนาเรยี กวา่ “ทกุ ขงั ” กค็ อื สภาวะบบี คนั้ ความ ทุกข์แฝงอยู่ในทุกส่ิง ในทุกอิริยาบถ ในทุกรสชาติ ไม่ว่าจะอร่อย แค่ไหน ในทุกเสียงเพลง ไม่ว่าจะไพเราะเพียงใด เม่ือเสพมัน บ่อยเข้าๆ ความทุกข์จะเริ่มปรากฏ ความทุกข์ยังแฝงและเกิดกับ ร่างกายของเราดว้ ย จงึ ท�ำใหเ้ ราเจบ็ ป่วย และตายในทสี่ ดุ ความจรงิ อกี ประการหนง่ึ กค็ อื “อนตั ตา” ความไมใ่ ชต่ วั ไมใ่ ชต่ น หมายความวา่ บงั คบั บญั ชาไมไ่ ด ้ แมแ้ ตร่ า่ งกายของตวั เรา จะบอก ใหไ้ มป่ ว่ ยไดไ้ หม จะบอกใหไ้ มเ่ หย่ี วยน่ ไดไ้ หม จะบอกใหผ้ วิ สวย ผม สลวยยาวดำ� ขลบั ไมแ่ ตกปลาย บงั คบั ไดไ้ หม จะบงั คบั ใหใ้ ตว้ งแขน ขาวผุดผ่อง ท�ำได้ไหม ไม่ได้เลย แต่ว่าเราสามารถปรับปรุงมันได้
ท ํ า ไ ม ต ้ อ ง 1 6 ป ฏ ิ บ ั ต ิ ธ ร ร ม บ้างถ้ามีเหตุปัจจัยท่ีพร้อม แต่ก็ไม่สามารถท�ำให้เป็นไปตามใจได ้ ทุกอย่างแม้แต่ใจของเราก็ควบคุมไม่ได้ ใครบ้างท่ีสามารถควบคุม บงั คบั จติ ไมใ่ หค้ ดิ อะไรเลยภายในเวลาหนง่ึ นาท ี แมแ้ ตห่ นง่ึ นาทขี า้ ง หนา้ เรายงั ไมร่ วู้ า่ จะคดิ อะไรตอ่ ไป เราสามารถบอกไดไ้ หมวา่ อกี หนง่ึ นาทีข้างหน้าจะคิดเร่ืองอะไร บอกไม่ได้เลย เราอาจจะต้องการให ้ ใจสงบสักหนึ่งนาทีเพ่ือจะได้ฟังอาตมาพูดให้รู้เร่ือง แต่ลองดูเถิด เด๋ียวใจก็ผุดไปโน่น โผล่ไปที่บ้าน อาจจะคิดถึงเพ่ือน อาจจะนึกถึง อดีต นกึ ถงึ อนาคต นกึ ถึงอะไรรอ้ ยแปด โดยทเ่ี ราห้ามไมไ่ ด้เลย นค่ี อื ธรรมชาตขิ องใจ ซง่ึ เราบอกวา่ เปน็ ใจของเรา รา่ งกายก ็ ของเรา แตเ่ ราควบคมุ ไมไ่ ดเ้ ลยสกั อยา่ ง ดว้ ยเหตนุ เ้ี ราจงึ ไมส่ ามารถ ยดึ มน่ั วา่ เปน็ ตวั เราของเราได ้ นค้ี อื ความหมายของอนตั ตาอกี ขอ้ หนงึ่ ความหมายแรกคอื บงั คบั บญั ชาไมไ่ ด ้ ความหมายทสี่ องคอื ไมส่ ามารถ ยดึ เป็นตัวเราของเราได้ น่ีคือเหตุผลที่ท�ำให้เราต้องเข้าหาธรรมะ ไม่ใช่เพียงแค่ศึกษา ธรรมะอยา่ งเดยี ว ตอ้ งปฏบิ ตั ดิ ว้ ย เพอื่ จะไดฝ้ กึ ใจใหพ้ รอ้ มรบั มอื กบั “อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา” ซง่ึ เราไมส่ ามารถควบคมุ ได ้ เพอื่ ทจี่ ะรบั มอื กบั สง่ิ ตา่ งๆ ซงึ่ อาจจะเกดิ ขนึ้ โดยทไี่ มส่ ามารถจะควบคมุ บงั คบั บญั ชา ได้ แม้แต่เด็กหรือวัยรุ่นก็อาจจากโลกนี้ไปก่อนผู้ใหญ่ก็ได้ เพราะนี ่ คอื ความไมเ่ ทย่ี ง เพราะนค่ี อื ทกุ ข ์ เพราะนคี่ อื อนตั ตา เปน็ ความจรงิ ทเ่ี ราควบคมุ ไมไ่ ด ้ แตถ่ า้ เรามธี รรมะ เราจะสามารถเผชญิ กบั สง่ิ เหลา่ น ้ี ได้ ถ้าเราเข้าใจความจริงของชีวิตและโลก เราจะรับมือกับความ
17 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ผนั ผวนปรวนแปรในชวี ิตได้ดขี ้ึน มเี ดก็ คนหนงึ่ อาย ุ ๑๐ ขวบ เปน็ มะเรง็ ทเ่ี มด็ เลอื ด แมข่ องเดก็ เศรา้ ใจมาก ตวั เองสญู เสยี สามไี ปแลว้ และกำ� ลงั จะสญู เสยี ลกู อกี คน หนง่ึ ดว้ ยความทแ่ี มเ่ ป็นคนสนใจธรรมะ จงึ ชวนใหล้ กู ไดร้ จู้ กั ธรรมะ ด้วย เช่น พาไปสวนโมกข ์ ทำ� ให้ได้พบท่านอาจารย์พทุ ธทาสได้ฟัง ธรรมจากท่าน เพื่อเป็นการเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ ระหว่างนั้นก็ พยายามรกั ษาทกุ วธิ ี ไมว่ า่ ฉายแสงหรอื เคมบี ำ� บดั แตก่ ไ็ มด่ ขี นึ้ อาการ แยล่ งจนตอ้ งเขา้ โรงพยาบาล วนั สดุ ทา้ ยเดก็ อาเจยี นออกมาเปน็ เลอื ด เด็กกลวั มาก จึงถามพยาบาลว่า “นอ้ งอ๋องจะตายแลว้ หรือ” ปกติพยาบาลมักจะปลอบใจผู้ป่วยว่า คุณยังไม่ตาย แต่พยา- บาลรจู้ กั เดก็ คนนดี้ ี จงึ บอกความจรงิ วา่ “ใชจ่ ะ้ นอ้ งออ๋ งกำ� ลงั จะตาย แตน่ อ้ งออ๋ งอยา่ กลวั นะ นอ้ งออ๋ งเปน็ คนกลา้ ทา่ นอาจารยพ์ ทุ ธทาส รออยู่ข้างหน้าแล้ว น้องอ๋องก้าวไปข้างหน้า ไปหาท่านนะ เพื่อนๆ ของน้องอ๋องก็รออยู่ข้างหน้าแล้วด้วยเหมือนกัน ป้า (คือพยาบาล) และแมจ่ ะคอยชว่ ยน้องอ๋องนะจ๊ะ” พอพดู เชน่ นเ้ี ดก็ กไ็ ดส้ ตขิ น้ึ มาทนั ท ี เดก็ รจู้ กั ทา่ นอาจารยพ์ ทุ ธ- ทาส พอพยาบาลบอกว่าท่านอาจารย์พุทธทาสรออยู่ข้างหน้าแล้ว เด็กก็เกิดความกล้า หายกลัว ขณะเดียวกัน พอแม่ได้สติ ก็แนะให้ เดก็ ภาวนาหายใจเขา้ -พทุ หายใจออก-โธ ระหวา่ งนน้ั แมก่ ก็ มุ มอื ลกู ไว้ ในทีส่ ดุ เด็กกห็ ยุดอาการกระสับกระสา่ ย และจากไปอยา่ งสงบ
ท ํ า ไ ม ต ้ อ ง 1 8 ป ฏ ิ บ ั ต ิ ธ ร ร ม เราเคยเจอเด็กท่ีจากไปอย่างน้ีไหม อย่าว่าแต่เด็กเลย ผู้ใหญ ่ ทจี่ ากไปอยา่ งสงบ อยา่ งไมท่ รุ นทรุ ายกย็ งั หายาก แตเ่ ดก็ ๑๐ ขวบ ทำ� ได ้ อนั ทจ่ี รงิ เราทกุ คนกท็ �ำไดถ้ า้ เราฝกึ แตถ่ า้ เราไมฝ่ กึ เรากท็ �ำใจ อย่างเด็กคนนี้ไม่ได้ เพราะขนาดโทรศัพท์มือถือหายเรายังร้องไห ้ เงินหายพันบาทก็กระสับกระส่ายแล้ว แค่สร้อยหายสติก็แทบจะไม ่ อย่กู ับเนื้อกับตวั แล้ว อยา่ ว่าแต่ความตายเลย มีคนหน่ึงซ้ือโทรศัพท์มือถือมา ๒ หม่ืนบาท ใช้ได้ไม่กี่วันก ็ หาย เปน็ ทกุ ขม์ าก อยากไดค้ นื จงึ ไปหาหลวงพอ่ ซง่ึ เปน็ เกจอิ าจารย ์ หวังให้ท่านช่วยนั่งทางใน บอกเบาะแสว่าตอนน้ีโทรศัพท์อยู่ไหน แล้วจะได้คืนไหม พอไปถึง หลวงพ่อท่านไม่ถามเลยนะว่าโทรศัพท ์ ย่ีหอ้ อะไร หายท่ีไหน เม่อื ไร แตท่ า่ นถามวา่ มที องไหม ชายคนน้ี บอกวา่ มคี รบั หลวงพอ่ บอกวา่ “อกี ไมน่ านกห็ าย” มรี ถไหม มคี รบั “อีกไมน่ านก็ไป” มีแฟนไหม มีครบั “อีกไม่นานกไ็ ปเหมอื นกนั ” เจอแบบน้ีเข้า ชายคนน้ีเลยกราบลาหลวงพ่อ ไม่ถามต่อแล้ว เรอ่ื งโทรศพั ทม์ อื ถอื ไมใ่ ชเ่ พราะวา่ กลวั ถกู แชง่ แตเ่ พราะไดค้ ดิ ขนึ้ มา วา่ โทรศพั ทม์ อื ถอื หายยงั ไมเ่ ทา่ ไหร ่ ตอ่ ไปจะตอ้ งเสยี ทรพั ยม์ ากกวา่ นี้
19 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล เขาได้สติข้ึนมาเลยว่า โทรศัพท์มือถือหายเป็นเรื่องธรรมดา เพราะ สง่ิ ทจ่ี ะตอ้ งสญู เสยี พลดั พราก ยงั จะมอี กี เยอะ เขาเลยทำ� ใจได ้ นคี่ อื คุณประโยชนข์ องการท่ีเราเข้าใจความจรงิ ของชีวติ เมื่อเราเข้าใจความจริงเราก็ทำ� ใจได้ด้วย ถ้าเราระลึกอยู่เสมอ ว่าความพลัดพรากเป็นเรื่องธรรมดา เราก็จะไม่หลงยึดติดถือม่ัน ส่ิงต่างๆ ว่าจะต้องอยู่กับเราไปตลอด ดังนั้นเรามีอะไรก็ตาม ไม่ว่า จะเป็นโทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายรูป หรือรถยนต์ ลองนึกเผ่ือๆ ไว้ บ้างว่าของพวกน้ีแม้ว่าเราจะรักเพียงใดก็ตาม มันอาจจะอยู่กับเรา ไมไ่ ดน้ าน ทำ� ใจเผอ่ื ไวบ้ า้ งวา่ มนั อาจจะพลดั พรากจากเราไปเมอื่ ไหร่ ก็ได้ ถ้าทำ� ใจอย่างนี้ได้ เม่ือถึงเวลาท่ีต้องสูญเสียมันไป เราจะทุกข ์ นอ้ ยลง ตรงกนั ขา้ มกบั คนทร่ี อ้ งหม่ รอ้ งไห ้ ตโี พยตพี าย นนั่ เปน็ เพราะ เขาลืมไปว่าความพลัดพรากสูญเสียเป็นเร่ืองธรรมดา หรือถึงรู้แต่ก็ ไม่เคยเตรียมใจไวเ้ ลย พอสูญเสียจงึ ทำ� ใจไม่ได้ คนไหนท่ีของหายแล้วยังทุกข์แสดงว่าเสียสองต่อ เสียต่อแรก คือ เสียวัตถุ เสียทรัพย์สมบัติ เสียต่อท่ีสองคือ เสียใจ เรียกว่า ทุกข์สองช้ัน ก็ได้ แต่คนฉลาดเขาจะเสียต่อเดียวหรือทุกข์ชั้นเดียว คือ ของหายแต่ใจไม่ทุกข์ เพราะเขาเห็นเป็นเรื่องธรรมดา คนที่ ฉลาดกว่าน้ันยังจะได้ก�ำไรจากการสูญเสีย คือคนฉลาดจะมองว่า เหตุการณ์แบบนี้สอนใจเราว่า “ความพลัดพรากสูญเสียเป็นเร่ือง ธรรมดา” มนั ก�ำลังเตือนเราว่า “ตอ่ ไปจะต้องเจอหนักกวา่ น้”ี ตอ่ ไป ไม่ใช่แค่ของหายแต่ต่อไปแฟนก็จะไปจากเรา สักวันหนึ่งพ่อแม่ก็จะ
ท ํ า ไ ม ต ้ อ ง 2 0 ป ฏ ิ บ ั ต ิ ธ ร ร ม ไปจากเรา คนเราส่วนใหญ่ไม่เคยมองแบบนี้เท่าไหร่ เพราะมัวแต ่ เศร้าโศกเสียใจ เลยขาดทุน แต่ใครท่ีคิดแบบนี้ก็ถือว่าได้กำ� ไร คือ ท�ำให้ฉลาดข้ึนไม่ประมาท ไม่หลงเพลิดเพลินในส่ิงท่ีมีอยู่ อาตมา อยากใหพ้ วกเราได้กำ� ไรแบบนบ้ี า้ ง อย่ามวั เอาแตเ่ ศรา้ โศกเสยี ใจ ขอให้ระลึกเสมอว่า ทุกข์ไม่ได้มีไว้ให้คร่�ำครวญ ทุกข์มีไว้ให ้ ใครค่ รวญตา่ งหาก ครำ่� ครวญกบั ใครค่ รวญตา่ งกนั สว่ นใหญท่ กุ ขแ์ ลว้ คร่�ำครวญ แต่ถ้าคุณทุกข์ เช่น พลัดพรากสูญเสีย ของหายหรือ แมแ้ ตอ่ กหกั ลองมาใครค่ รวญดเู ถอะ กจ็ ะพบวา่ ทเ่ี ราทกุ ขก์ เ็ พราะไป หลงยึดว่าสมบัติท่ีเรามีน้ันมันเท่ียง จะอยู่กับเราไปชั่วฟ้าดินสลาย เราลืมไปว่าส่ิงท้ังหลายท้ังปวงไม่เท่ียง เมื่อใดก็ตามที่คุณลืมความ จรงิ ขอ้ น ี้ กเ็ ตรยี มทกุ ขไ์ ดเ้ ลย และความทกุ ขน์ แ้ี หละทสี่ อนใหเ้ รารจู้ กั ปลอ่ ยวาง และตงั้ อย่ใู นความไมป่ ระมาท ถ้านึกอย่างน้ีเมื่อไหร่จะได้ก�ำไร คือระลึกว่าเหตุร้ายทั้งหลาย มาเตือนเราไม่ให้ประมาท ให้เราเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ เพราะ ตอ่ ไปอาจจะตอ้ งเจอหนกั กวา่ น ้ี ถา้ หายรอ้ ยบาทยงั ทกุ ข ์ ยงั ทำ� ใจไมไ่ ด้ แลว้ จะทำ� ใจอยา่ งไรเมอ่ื หายพนั บาท ถา้ หมนื่ บาทหายไปยงั ท�ำใจไมไ่ ด ้ แล้วจะทำ� อยา่ งไรเม่ือพอ่ แมล่ ม้ หายตายจาก หรอื ตัวเองล้มปว่ ย ให ้ ระลึกว่า เวลาเราเจอความพลัดพรากสูญเสีย นี่คือการบ้านที่เราจะ ตอ้ งสอบใหผ้ า่ น ถา้ สอบไมผ่ า่ น เราจะรบั มอื กบั บททดสอบทห่ี นกั หนา สาหสั กวา่ นไี้ ดอ้ ยา่ งไร สำ� หรบั คนทมี่ ปี ญั ญา เมอ่ื เจอเชน่ นเี้ ขา้ เขาจะ ได้ก�ำไร เพราะเขารู้ว่าน่ีเป็นธรรมะที่มาสอนเขา น่ีคือแบบฝึกหัด
21 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล สอนให้เขารู้จักท�ำใจ หรือฝึกใจให้พร้อมรับมือกับความพลัดพราก สญู เสยี ท่ีหนกั กว่านั้นในอนาคต เพราะฉะน้ันนับแต่น้ีไป เวลาเงินหาย กล้องหาย โทรศัพท์ หายให้ตั้งสติเอาไว้ ทุกข์ได้ เสียใจได้ แต่อย่าทุกข์นาน อย่าเสียใจ นาน ให้ระลึกว่าถ้าแค่นี้ยังเสียใจ แล้วถ้าเจอเรื่องที่หนักกว่าน้ี เช่น พ่อแม่ล้มป่วย คนรักเกิดมีอันเป็นไปขึ้นมา เราจะไม่แย่กว่าหรือ ขอให้เอาความพลัดพรากสูญเสียเป็นครูสอนเราให้เข้าใจธรรมะหรือ ความจริงของชีวิต ถ้าเข้าใจธรรมะเราก็จะพบว่า ถึงท่ีสุดแล้วสิ่งท่ ี ทำ� ใหเ้ ราทกุ ขน์ นั้ อยทู่ ใ่ี จเราตา่ งหาก ไมใ่ ชเ่ พราะวา่ มเี หตกุ ารณท์ ไ่ี มด่ ี เกิดขึน้ กับเรา ไม่ใชเ่ พราะเรามเี คราะหก์ รรม คนบางคนเจอเคราะห ์ กรรมแต่ว่าเขาฝึกใจไว้ดี เขาก็ไม่ทุกข์ เคยได้ยินไหม บางคนบอก วา่ โชคดที ่เี ปน็ มะเรง็ มะเรง็ ถอื วา่ เปน็ เคราะหก์ รรมอยา่ งหนง่ึ เปน็ สง่ิ ทไ่ี มม่ ใี ครประสงค ์ แตม่ คี นจำ� นวนไมน่ อ้ ยทเ่ี คราะหก์ รรมทำ� อะไรเขาไมไ่ ดเ้ พราะเขาฝกึ ใจ ไว้ดี เป็นมะเร็งแล้วยังบอกว่าโชคดีท่ีเป็นมะเร็ง เพราะว่ามะเร็ง ท�ำให้เขาหันมาสนใจธรรมะ จนพบความสุขท่ีแท้ แต่ก่อนตอนที่ยัง ไม่เป็นมะเร็งก็มัวแต่สนุกสนาน เอาแต่ท�ำมาหากิน พอเป็นมะเร็ง กเ็ ลยเขา้ หาธรรมะ และเมอ่ื ไดค้ น้ พบธรรมะแลว้ ใจสบาย บางคนเปน็ มะเร็งแต่มีความสุขมากกว่าคนปกติธรรมดาเสียอีก คนเป็นมะเร็ง บางคนมีความสขุ มากกวา่ คนถกู ลอตเตอร ่ี ๒๐ ล้านอกี
22 ท ํ า ไ ม ต ้ อ ง ป ฏ ิ บ ั ต ิ ธ ร ร ม มีพ่อค้าเร่คนหน่ึงถูกลอตเตอรี่ได้เงิน ๒๐ ล้าน ตอนแรกก็ม ี ความสุขมาก แต่หลังจากผ่านไปได้หนึ่งเดือนก็เป็นข่าวหน้าหนึ่งใน ไทยรฐั วา่ กนิ ยาฆา่ ตวั ตายเพราะเครยี ด ทเี่ ขาเครยี ดกเ็ พราะใครตอ่ ใคร กม็ ารมุ ขอเงนิ พอไดเ้ งนิ นอ้ ยกต็ อ่ วา่ เขา มบี างคนถงึ กบั โทรมาขฆู่ า่ เขาเครียดมากจนกินยาฆ่าตัวตาย แต่ลูกสาวช่วยไว้ได้ทัน เขาพูด หลงั จากฟน้ื ขน้ึ มาวา่ “ตอนเปน็ พอ่ คา้ หาบเร ่ หาเชา้ กนิ คำ่� มคี วามสขุ กว่า (ตอนถกู ลอตเตอร่ี) เปน็ ไหนๆ” บางคนได้โชคแต่ทุกข์ แต่บางคนเจอเคราะห์แต่มีความสุข เพราะอะไร เพราะวางใจไว้ถูก สุขหรือทุกข์อยู่ทีใ่ จ ไมใ่ ช่เพราะเจอ โชคหรอื เคราะห ์ คนทเ่ี จอเคราะห ์ มสี ง่ิ ไมด่ มี ากระทบ ถา้ วางใจเปน็ กไ็ มท่ กุ ข ์ เปรยี บไปกเ็ หมอื นกบั เรามเี ศษแกว้ อยใู่ นมอื ทำ� อยา่ งไรถงึ ไมใ่ หเ้ ศษแกว้ บาดมอื วธิ กี ารคอื อยา่ ไปกำ� มนั ถา้ คณุ กำ� มนั แลว้ บบี มนั ก็บาดมือเรา คนส่วนใหญ่มีเศษแก้วอยู่ในมือแต่ไม่รู้ตัว ยังเผลอไป กำ� แลว้ บบี ไมห่ ยดุ กเ็ ลยมแี ผลทมี่ อื พอมแี ผล ถามวา่ จะโทษเศษแกว้ หรอื โทษตวั เองทไี่ ปก�ำแลว้ บบี มนั เอาไว ้ คนสว่ นใหญไ่ ปโทษเศษแกว้ แตค่ นฉลาดจะไมท่ ำ� อยา่ งนนั้ มเี ศษแกว้ อยใู่ นมอื กอ็ ยา่ ไปกำ� มนั มนั ก็ท�ำอะไรเราไม่ได้ ทกุ วนั นค้ี นสว่ นใหญพ่ อเจอเหตรุ า้ ยมากระทบแลว้ วางใจไมเ่ ปน็ ปลอ่ ยวางไมไ่ ดก้ ลบั ไปยดึ ตดิ ถอื มน่ั หรอื แบกมนั เอาไว ้ กเ็ ลยเปน็ ทกุ ข์ เป็นมะเร็งก็เอาแต่วิตกกังวล จมอยู่ในความทุกข์ มัวแต่ครำ�่ ครวญ เสยี ใจ นเ่ี ปรยี บเสมอื นคนทมี่ เี ศษแกว้ อยใู่ นมอื แลว้ ไปก�ำและบบี มนั
23 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล เอาไว้ เวลาถูกเพ่ือนต�ำหนิ เพื่อนไม่ทักทาย แฟนพูดไม่เพราะ ก็ เก็บเอามาคิด คิดซ�้ำแล้วซ้�ำเล่า อันน้ีแหละเหมือนคนท่ีก�ำเศษแก้ว แล้วบีบเอาไว้แน่นๆ ก็เลยเจ็บ เมื่อมีเศษแก้วอยู่ในมือ คุณไม่ต้องก�ำ แค่ปล่อยมันไว้เฉยๆ หรือดีกว่าน้ันก็คว�่ำมือลง เศษแก้วก็ตกจากมือใช่ไหม แต่ส่วนใหญ่ ไมท่ ำ� อยา่ งนน้ั หรอก เมอ่ื ไดย้ นิ ใครพดู ไมด่ ี พดู ไมเ่ พราะกบั เรา แทนที่ จะปล่อยให้มันผ่านเลยไป ก็เก็บเอามาคิด แล้วก็กินไม่ได้นอน ไมห่ ลบั ขอใหร้ ะลกึ วา่ รากเหงา้ ของความทกุ ขอ์ ยทู่ ใี่ จ ไมใ่ ชอ่ ยทู่ เ่ี คราะห ์ หรือโชค คนมีโชคแต่ทุกข์จนอยากฆ่าตัวตายก็มีเยอะ คนที่ประสบ เคราะห์แต่มีจิตใจผ่องแผ้ว ผ่องใสก็มีมากมาย เพราะฉะนั้น เวลา ที่คุณเจอความทุกข์ เจออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เล่นงาน เจ็บป่วย พลัดพรากสูญเสียคนรักไป หรือความตายเข้ามาประชิดตัว ถ้าคุณ เขา้ ใจความจรงิ มสี ตแิ ละปญั ญา เหตรุ า้ ยเหลา่ นนั้ จะทำ� อะไรคณุ ไมไ่ ด ้ จติ ใจยังเปน็ สุขได้ น้ีคือเหตุว่า ท�ำไมเราต้องมาศึกษาและปฏิบัติธรรม ก็เพ่ือให ้ เราสามารถจะเผชญิ ปญั หาและเอาชนะความพลดั พราก ความสญู เสยี ความผิดหวัง ความเจ็บป่วย รวมท้ังความตายไดใ้ นทสี่ ดุ
25 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล มีสติรักษาใจ สต ิ หมายถงึ ความระลกึ ได ้ ความจำ� ได ้ ตรงขา้ มกบั ความหลง ความลมื เรามคี วามระลกึ ไดอ้ ยแู่ ลว้ เปน็ ปกต ิ เชน่ จ�ำเบอรโ์ ทรศพั ท ์ ของเพ่ือนได้ จ�ำทางไปบ้านของญาติผู้ใหญ่ได้ จ�ำเหตุการณ์ประวัต ิ ศาสตร์ท่ีเคยร�่ำเรียนที่เก็บสะสมไว้ในความทรงจ�ำได้ น่ีคือสติ และ หน้าท่ีอย่างหน่ึงของสติ คือความระลึกได้ จ�ำได้ ไม่ลืม ถ้าก�ำลัง ทำ� งานอย ู่ แลว้ นกึ ขน้ึ มาไดว้ า่ เยน็ นต้ี อ้ งโทรศพั ทไ์ ปหาลกู ชาย กำ� ลงั รดี เสอื้ อยกู่ น็ กึ ไดว้ า่ เราตงั้ กาตม้ นำ�้ ไวใ้ นครวั นแ่ี หละคอื หนา้ ทขี่ องสติ จะเหน็ วา่ สตไิ มใ่ ชเ่ รอ่ื งลลี้ บั ซบั ซอ้ น แตเ่ ปน็ เรอื่ งทเ่ี รามอี ยแู่ ลว้ ตง้ั แตเ่ กดิ สตทิ ำ� ใหไ้ มล่ มื ขอ้ มลู ไมล่ มื นดั หมาย ไมล่ มื การงาน รวม ถึงไม่ลืมตัวด้วย มีส�ำนวนในภาษาไทยว่า ได้ดีแล้วไม่ลืมตัว ความ ไมล่ มื ตวั แบบนก้ี เ็ ปน็ หนา้ ทขี่ องสตเิ ชน่ กนั เชน่ คนทยี่ ากจนมากอ่ น พอไดด้ แี ลว้ ลมื เพอื่ น ลมื ผมู้ พี ระคณุ ตอ่ มามคี นมาเตอื นสตใิ หร้ ะลกึ วา่ สมยั กอ่ นเคยลำ� บากดว้ ยกนั มา ไมค่ วรลมื เพอื่ น ไมค่ วรลมื กำ� พดื ไม่ควรลืมพ่อแม่ ก็เป็นเร่ืองของสติเหมือนกัน ค�ำว่าเตือนสติ แปล ว่าท�ำให้ไม่ลมื ทำ� ให้ได้คดิ ขึ้นมา
ม ี ส ติ 2 6 รั ก ษ า ใ จ สติ บางคร้ังก็แปลว่า รู้ตัว ที่จริงค�ำว่า รู้ตัว คือความหมาย ของสัมปชัญญะ สติกับสัมปชัญญะน้ันเป็นเหมือนฝาแฝด ใกล้กัน มากแตบ่ อ่ ยครงั้ เรากพ็ ดู รวมๆ กนั วา่ สต ิ คนทนี่ อนสลบไสลอย ู่ หลงั จากที่ช่วยให้ฟื้นข้ึนมา เขาก็รู้ตัว รู้ตัวว่าอยู่ที่ไหน รวมทั้งจ�ำได้ว่า เกดิ อะไรขนึ้ อยา่ งนเ้ี รยี กวา่ เขามสี ตกิ ลบั มา คนทหี่ ลบั ใหลเพราะเมา พอเราช่วยให้เขาต่ืนข้ึน กลับมารู้ตวั ใหม ่ ก็เรยี กว่าทำ� ให้เขามสี ติ เรามีสติกันอยู่แล้วทุกคนคือ ระลึกได้ รู้ตัว รวมไปถึงความ ไม่ประมาทด้วย ความไม่ประมาท ในแง่หนึ่งหมายถึง ความระมัดระวังใส่ใจ เน่ืองจากระลึกได้ถึงอันตรายที่แฝงอยู่ เช่น ก�ำลังขับรถอยู่ ก็ระลึก ไดว้ า่ อาจเกดิ อนั ตรายขน้ึ ได ้ ดงั นนั้ จงึ ขบั รถอยา่ งระมดั ระวงั ไมช่ ะลา่ ใจ ไม่ดูแคลน อย่างน้ีเรียกว่าขับรถอย่างไม่ประมาท การระลึกได้ว่า อุบตั ิเหตุอาจจะเกดิ ขนึ้ เมื่อไหรก่ ็ได้ นี่กค็ อื งานของสติ ความไม่ประมาท ยังหมายถึงการไม่หลงใหลมัวเมาหรือลุ่ม หลงในความสุขความส�ำเร็จ นักกีฬาบางคนมีชัยชนะมาหลายครั้ง ก็หลงตัวลืมตน จึงดูแคลนคู่ต่อสู้ว่าไม่มีอะไร นี่ก็คือความประมาท และไมม่ สี ต ิ คนหนมุ่ คนสาวทมี่ สี ขุ ภาพแขง็ แรงกป็ ระมาทไดเ้ หมอื นกนั คอื ลมุ่ หลงหรอื เพลนิ ในความมสี ขุ ภาพด ี จนเขา้ ใจผดิ ไปวา่ ความตาย ยงั อยอู่ กี ไกล อยา่ งนกี้ เ็ รยี กวา่ ประมาทในสขุ ภาพ ในทางตรงขา้ มถงึ แม้ว่าชีวิตจะราบร่ืน ไม่ประสบเหตุร้าย แต่ระลึกอยู่เสมอว่า ความ
27 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ตายจะเกดิ ขน้ึ เมอ่ื ไหรก่ ไ็ ด ้ ดงั นนั้ จงึ ใชช้ วี ติ อยา่ งใสใ่ จ ไมป่ ลอ่ ยเวลา ใหผ้ า่ นไปโดยเปลา่ ประโยชน ์ อยา่ งนกี้ เ็ รยี กวา่ ไมป่ ระมาทในชวี ติ จะ ท�ำอย่างนี้ได้ก็ต้องมีสติ คือระลึกถึงความไม่เท่ียงของชีวิตอยู่ตลอด เวลา ความไมป่ ระมาทเปน็ อกี ชอ่ื หนงึ่ ของสต ิ เอามาใชก้ บั เหตกุ ารณ ์ ซงึ่ อาจจะเกดิ ขน้ึ หรอื ใชก้ บั เหตกุ ารณท์ จ่ี ะตอ้ งเกดิ ขน้ึ กไ็ ด ้ เชน่ การ ขบั รถ การแขง่ กฬี า อาจจะแพห้ รอื ชนะกไ็ ด ้ ถา้ เราไมป่ ระมาทกอ็ าจจะ ไมแ่ พ ้ แตบ่ างอยา่ งเปน็ สง่ิ ทต่ี อ้ งเกดิ ขน้ึ ไมม่ ที างหนพี น้ เชน่ ความ ตาย คนทไี่ มป่ ระมาทในชวี ติ เพราะระลกึ อยเู่ สมอวา่ สกั วนั หนง่ึ ฉนั จะ ตอ้ งตาย ความระลกึ ไดอ้ ยา่ งนเ้ี ปน็ หนา้ ทข่ี องสต ิ แตส่ ตแิ บบนไ้ี มใ่ ชว่ า่ จะเกดิ ขนึ้ งา่ ยๆ เพราะคนเราหลงลมื งา่ ย เวลามคี วามสขุ ความสบาย กล็ มื ไปวา่ สกั วนั หนง่ึ จะตอ้ งปว่ ยตอ้ งตาย คนหนมุ่ คนสาวทม่ี สี ขุ ภาพ พลานามยั ด ี มชี วี ติ ทสี่ ะดวกสบาย บอ่ ยครง้ั กน็ กึ ไมถ่ งึ วา่ จะมสี ง่ิ เลวรา้ ย เกิดข้ึนกับตัวเองได้ นี่ก็เพราะมัวเพลิดเพลินกับความสะดวกสบาย จนลืมตัว ทกุ คนมสี ตอิ ยแู่ ลว้ ไมใ่ ชต่ อ้ งมาสรา้ งกนั ทนี่ ่ี ทกุ วนั นเี้ รากใ็ ชส้ ต ิ ในชวี ติ ประจำ� วนั แทบจะตลอดเวลา เชน่ เวลาลา้ งจานกร็ ะลกึ ไดว้ า่ จะ วางจานชามชอ้ นสอ้ มไวต้ รงไหน รดี เสอ้ื อยกู่ ไ็ มล่ มื วา่ ตม้ น้�ำอยใู่ นครวั นดั เพอ่ื นไวก้ จ็ ำ� ไดแ้ ละไมเ่ คยผดิ นดั เพอ่ื น รวมทงั้ ใชช้ วี ติ โดยไมล่ มื วา่ สักวันจะต้องตาย เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ถามว่าแค่น้ีพอไหม บางคนคิดว่ามีสติแค่น้ีก็พอแล้ว ไม่จ�ำเป็นต้องมาฝึกสติหรือเข้าวัด
ม ี ส ติ 2 8 รั ก ษ า ใ จ เลย แตใ่ นความเปน็ จรงิ แลว้ ใชว่ า่ ชวี ติ เราจะราบเรยี บหรอื ราบรน่ื ไป หมดทุกอย่าง บางทีอาจมีส่ิงท่ีไม่คาดฝันเกิดข้ึนได้ เมื่อถึงตอนนั้น เราต้องมสี ตมิ ากพอทีจ่ ะรบั มือกบั สิง่ ทไ่ี มค่ าดฝนั ได้ สว่ นใหญ่แลว้ สติท่ีเรามีหรือใชใ้ นชวี ติ ประจ�ำวันนัน้ มักไมม่ าก พอทจ่ี ะเอามารบั มอื กบั เหตกุ ารณป์ จั จบุ นั ทนั ดว่ นหรอื เหตกุ ารณท์ ไี่ ม ่ คาดฝนั ได ้ หรอื ไมก่ เ็ อาสตมิ าใชไ้ มท่ นั การณ ์ ผลกค็ อื ลมื ตวั ท�ำสง่ิ ที่ ไม่สมควรออกมา หรือจมอยู่ในความทุกข์ แต่ถ้าเรามีสติที่พัฒนา ดแี ลว้ เมอ่ื เจอกบั เหตกุ ารณท์ ไ่ี มค่ าดฝนั กจ็ ะตง้ั หลกั ได ้ ไมต่ ระหนก ตกใจ ไม่โกรธเกร้ียว ไม่ปล่อยให้เหตุร้ายมาครอบง�ำจิต สามารถที่ จะสลดั ความร้สู กึ ต่ืนกลัวหรือตืน่ เตน้ ออกไปได้ ชีวิตคนเรามักมีเร่ืองปัจจุบันทันด่วนอยู่เสมอ แต่เหตุร้ายอาจ เกิดข้ึนไม่บ่อยนัก แม้กระนั้นก็ไม่ควรประมาท เพราะอาจจะมีเหต ุ การณต์ า่ งๆ มาทดสอบอยเู่ รอื่ ยๆ ในลกั ษณะตา่ งๆ กนั เคยไดย้ นิ ไหม วา่ พอเกิดไฟไหม้ข้ึนมา บางคนยกตุ่มน�้ำออกมาจากบ้าน ท้ังๆ ท่ ี ของทนี่ า่ ขนออกมามอี กี ตง้ั เยอะ เชน่ โฉนดทดี่ นิ เพชรนลิ จนิ ดา แต่ กไ็ มเ่ อาออกมา กลบั ขนตมุ่ น�้ำออกมาอยา่ งกระหดื กระหอบ อยา่ งนี้ เรียกว่าไม่มสี ต ิ ถ้ามสี ติก็คงจะท�ำอยา่ งอ่ืนทีส่ �ำคญั กวา่ น้ี สง่ิ หนง่ึ ทเ่ี ราตอ้ งพบอยเู่ สมอกค็ อื ความพลดั พรากสญู เสยี สว่ น ใหญเ่ มอ่ื เจอแลว้ กร็ บั มอื ไมท่ นั จติ พลดั จมอยใู่ นความโศกเศรา้ เสยี ใจ บางครง้ั เรากต็ อ้ งพบกบั ความผดิ หวงั เชน่ ผดิ หวงั ในคคู่ รอง ในการ
29 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล เรยี น ในการงาน เรอื่ งเหลา่ นไ้ี มม่ ใี ครปรารถนาจะประสบ แตก่ ต็ อ้ ง เจอแน่นอนไม่วันใดก็วันหน่ึง ถามว่าถ้าเราเจอส่ิงเหล่าน้ี สติที่มีอยู ่ มีคุณภาพพอไหมที่จะช่วยเราให้หายทุกข์ได้ ส่วนใหญ่ไม่พอหรอก บางคนเสยี อกเสยี ใจจนถงึ ขน้ั คดิ ฆา่ ตวั ตาย เปน็ ขา่ วใหเ้ ราไดย้ นิ เปน็ ประจำ� บางคนมุ่งมัน่ วา่ จะตอ้ งเรยี นใหจ้ บภายในสามปคี รึ่ง แต่พอร ู้ วา่ สอบไมผ่ า่ นวชิ าหนงึ่ กเ็ สยี อกเสยี ใจมาก จมอยกู่ บั ความเศรา้ ความ เสียใจ ในท่ีสุดกก็ ระโดดตกึ ฆา่ ตวั ตาย น่ีเปน็ เพราะขาดสติ มีนักศึกษาคนหน่ึงได้รับทุนเรียนดี จากโครงการหนึ่งอ�ำเภอ หนง่ึ ทนุ ไดไ้ ปเรยี นตอ่ ทปี่ ระเทศเยอรมนั แตไ่ ปถงึ แลว้ มปี ญั หาเรอื่ ง ภาษา ภาษาเยอรมันไม่แตกฉาน จึงเรียนไม่ทันเพื่อน การเรียน ตกต�่ำ โทรศัพท์บอกพ่อแม่ว่าอยากกลับเมืองไทย พ่อแม่ก็ท้วงว่า อย่ากลับมาเลยลูก ถ้ากลับมาแล้ว จะกลับไปเรียนต่อท่ีเยอรมันอีก ไมไ่ ด ้ นกั ศกึ ษาคนนน้ั จงึ กลมุ้ ใจมาก กนิ ยาพาราเซตามอลไป ๕๐ เมด็ พอฟื้นข้ึนมาก็ยังไม่หายกลุ้ม ภายหลังจึงกระโดดตึกฆ่าตัวตาย น่ีก ็ เป็นอีกตัวอย่างหน่ึงท่ีชี้ว่า สติที่เรามีในชีวิตประจ�ำวันน้ัน มักไม่ม ี กำ� ลงั เพยี งพอทจ่ี ะรบั มอื กบั ความพลดั พรากสญู เสยี หรอื ความผดิ หวงั หากเจอเหตุการณ์ที่ไม่สมหวังอย่างแรง ก็อาจทำ� ให้ตัดสินใจท�ำร้าย ตวั เองได้ ความผิดหวังของคนเรามีอยู ่ ๓ อย่าง คือ ๑. ประสบกับสิ่ง ท่ีไม่น่ารักไม่น่าพอใจ ๒. ความพลัดพรากจากส่ิงท่ีน่ารักน่าพอใจ ๓. ปรารถนาสง่ิ ใดแลว้ ไมไ่ ดส้ งิ่ นนั้ ถา้ ชวี ติ เราราบเรยี บกค็ งจะด ี แต ่
ม ี ส ติ 3 0 รั ก ษ า ใ จ ความเป็นจริง เส้นทางชีวิตคนเราล้วนมีหลุมมีบ่ออยู่ข้างหน้า มาก บา้ งนอ้ ยบา้ ง บางชว่ งกเ็ ปน็ หบุ เหวดว้ ยซ้�ำ สตทิ เ่ี รามนี น้ั ไมใ่ ชห่ ลกั ประกันท่ีจะช่วยให้ผ่านพ้นมันไปได้อย่างราบรื่น เวลาเจอเส้นทางท่ี ขรขุ ระกอ็ าจจะสะดดุ ลม้ หรอื โซซดั โซเซได ้ บางทจี ๆู่ กพ็ ลดั ลงคหู รอื ตกเหวไปเลยก็มี ก็เพราะสติของเรายังอ่อนแอ ไม่ฉับไว ดังนั้นจึง จ�ำเป็นท่เี ราจะต้องเจริญสติ เพื่อเพิ่มกำ� ลังสติของเราให้มากกว่าที่มี อยู่เดิมเพ่ือจะเผชิญและรับมือกับส่ิงท่ีไม่คาดฝัน ความพลัดพราก สูญเสียและสิ่งเลวร้ายไม่สมปรารถนาต่างๆ ท่ีผ่านเข้ามาในชีวิตได้ โดยไม่เสียผู้เสยี คน ที่จริงเราไม่ต้องรอว่าต้องให้มีวิกฤตในชีวิต ไม่ต้องรอให้เกิด ความพลัดพรากสูญเสยี กอ่ นแล้วจงึ จะมาเจริญสต ิ เราจะต้องเตรียม พร้อม ก่อนที่มันจะเกิดข้ึน ขณะเดียวกัน ถึงแม้เหตุร้ายยังไม่เกิด การเจรญิ สตกิ จ็ ะชว่ ยใหเ้ รามคี วามสขุ ไดม้ ากขนึ้ มชี วี ติ ทโ่ี ปรง่ เบากวา่ แต่ก่อน ท�ำงานได้ดีขึ้น เพราะไม่ลืมตัว หรือปล่อยใจไปกับความ ฟุ้งซ่าน ความเครียด หรือกังวลอย่กู ับอนาคต ที่พูดมาจะเห็นว่า สติมีหลายระดับ ต้ังแต่หยาบๆ ไปจนถึง ละเอียด มีตั้งแต่งุ่มง่ามไปจนถึงฉับไว คนที่ต่ืนจากสลบ พอมีสต ิ กลับมา สติแบบนี้เป็นสติแบบหยาบๆ เป็นการรู้แบบหยาบๆ ยังมี สติและความรู้ตัวที่ละเอียดกว่านั้น เช่น รู้ตัวว่าก�ำลังฟุ้งซ่าน ก�ำลัง หงดุ หงดิ รำ� คาญใจ กำ� ลงั เศรา้ กำ� ลงั ทกุ ขอ์ ยกู่ บั ความเจบ็ ปว่ ย นเ่ี ปน็ สติและความรูต้ วั ทลี่ ะเอียด ซึง่ คนสว่ นใหญไ่ มค่ อ่ ยมีกนั
31 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล การท่ีเราระลึกได้ถึงเบอร์โทรศัพท์ของลูก จ�ำได้ว่าก�ำหนดนัด หมายกับเพ่ือนไว้ จ�ำได้ถึงการงานท่ีคั่งค้างอยู่ นี่เป็นการระลึกได้ที ่ หยาบ มันยังมีความระลึกได้ท่ีละเอียดและไวกว่าน้ัน เช่น เมื่อเรา เผลอ ฟงุ้ ซา่ น แลว้ ระลกึ ไดว้ า่ กำ� ลงั ทำ� อะไรอย ู่ กำ� ลงั กนิ ขา้ ว อาบนำ�้ หรือเดินอย ู่ พอระลึกไดแ้ ลว้ จติ กลับมาอยกู่ บั ส่ิงท่ที �ำ อยูก่ บั ปัจจบุ นั สตทิ ที่ ำ� ใหร้ ะลกึ รกู้ ายและใจอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ไมค่ ลาดไปจากปจั จบุ นั คอื สตทิ ่ีฉบั ไว เป็น “สัมมาสต”ิ ท่เี ราควรสร้างขึ้นให้มากๆ ความระลกึ ไดแ้ ละรตู้ วั อยา่ งนมี้ ปี ระโยชน ์ คอื ท�ำใหเ้ ราไมเ่ ผลอ หรือพลดั หลงเขา้ ไปในความทกุ ข์ ไมท่ ำ� ใหค้ วามทุกขล์ ุกลามใหญ่โต คนทเี่ ศรา้ ทอ้ แท ้ ผดิ หวงั จนฆา่ ตวั ตาย กเ็ รมิ่ มาจากความผดิ หวงั ท ่ี สะสมทลี ะนอ้ ยจนมากขนึ้ เรอ่ื ยๆ มบี างคนทฆี่ า่ ตวั ตายเนอื่ งจากกลมุ้ ใจ เพราะมสี วิ ทใี่ บหนา้ ปญั หาของเขาเรม่ิ ตน้ มาจากจดุ เลก็ ๆ แรกๆ อาจ จะรู้สึกอับอายเล็กๆ ท่ีเพ่ือนล้อ แต่ตอนหลังก็ชักอับอายมากข้ึน รู้สึกน้อยเน้ือต�่ำใจ แล้วกลายเป็นกลุ้มใจอย่างหนัก อารมณ์เหล่านี้ สะสมและลุกลาม จนท�ำให้เราเป็นบ้าเป็นหลัง เรื่องเล็กก็กลายเป็น เรอ่ื งคอขาดบาดตาย จนกระทง่ั ทำ� รา้ ยตวั เอง หรอื ไมก่ ท็ ำ� รา้ ยคนอน่ื นี่เป็นเพราะเราลืมตัว ถ้าหากเรามีสติที่ฉับไว ความทุกข์ก็จะไม่ ลุกลามขยายตัว พอรตู้ ัวว่าทกุ ข ์ กห็ ายทกุ ขท์ นั ที เปน็ เพราะชวี ติ นน้ั ผนั ผวนไมแ่ นน่ อน ถา้ ไมอ่ ยากถกู ทกุ ขท์ ว่ มทบั เราก็จ�ำต้องมาฝึกสติกัน ใครท่ีปฏิบัติก็จะพบว่า ถ้าเรามีสติว่องไว ใจจะฟุ้งซ่านไปได้ไม่ไกล ประเด๋ียวเดียวก็จะกลับมาอยู่กับปัจจุบัน
32 ม ี ส ติ รั ก ษ า ใ จ กลบั มาอยกู่ บั กาย อยกู่ บั อริ ยิ าบถ อยกู่ บั งานทก่ี ำ� ลงั ทำ� อย ู่ บางครง้ั ความคิดหรืออารมณ์ความรู้สึกมันรุนแรงมาก เช่น พอไปครุ่นคิด เรอื่ งเกา่ ๆ ทเี่ คยทำ� ใหเ้ จบ็ ปวด ถา้ สตเิ ราไมไ่ วพอ กวา่ จะรตู้ วั กค็ ดิ ไป ไกลหรือตีอกชกตัวไปแล้ว แต่ถ้าสติไว ก็จะรู้ตัวไว หลุดจากความ ฟุ้งซา่ น ท�ำให้ใจเราโปรง่ เบาข้นึ ความระลกึ ได ้ ความรตู้ วั มเี ปน็ ลำ� ดบั ขนั้ แตล่ ะขนั้ จะละเอยี ด ออ่ นและฉบั ไวมากขนึ้ จะทำ� ใหเ้ ราระลกึ รใู้ นปจั จบุ นั ไดเ้ รว็ ทำ� ใหห้ ลดุ จากความทุกข์ได้เร็ว และเข้าถึงความสุขท่ีประณีตข้ึน อย่าไปดูถูก ความรู้ตัว ความระลึกได้ ความรู้ทัน ถ้าเราพัฒนาสติสัมปชัญญะ ไมห่ ลงไมล่ มื กจ็ ะเขา้ ใกลพ้ ระนพิ พานมาก เปน็ วถิ สี อู่ สิ ระอยา่ งแทจ้ รงิ หลวงปดู่ ลู ย ์ อตโุ ล เปน็ ศษิ ยร์ นุ่ แรกๆ ของพระอาจารยม์ น่ั ภรู -ิ ทตั โต หลายคนเชอื่ วา่ ทา่ นเปน็ พระอรหนั ต ์ วนั หนง่ึ มคี นถามทา่ นวา่ “หลวงปคู่ รบั ทำ� อยา่ งไรจงึ จะตดั ความโกรธใหข้ าดได”้ ทา่ นตอบสนั้ ๆ ว่า “ไมม่ ใี ครตดั ความโกรธใหข้ าดไดห้ รอก มแี ต่รู้ทัน เม่ือรทู้ ันมนั ก็ ดบั ไปเอง” จะรทู้ นั ไดก้ เ็ พราะมสี ตนิ นั่ เอง ตอ่ มากม็ คี นถามหลวงปวู่ า่ “หลวงปู่ยังมีความโกรธบ้างไหมครับ” หลวงปู่ตอบสั้นๆ ว่า “มี แต ่ ไม่เอา” ทำ� ไมหลวงปดู่ ลู ยจ์ งึ ไมเ่ อาความโกรธ กเ็ พราะรวู้ า่ มนั ไมน่ า่ เอา ความโกรธมนั ไมน่ า่ เอา แตเ่ ราไมม่ สี ต ิ พอความโกรธเกดิ ขนึ้ กวา่ จะ รทู้ นั มนั กค็ รอบใจเราไปเรยี บรอ้ ยแลว้ เพราะสตเิ ราออ่ น เหมอื นกบั
33 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ยามเฝ้าประตูเมอื งทไี่ มต่ ื่นตัว ศตั รูจงึ จ่โู จมบกุ เมอื งไดอ้ ยา่ งฉบั พลนั ยามเฝา้ ประตเู มอื งกค็ อื สต ิ สตทิ เ่ี ฝา้ รกั ษาใจเอาไว ้ ความรเู้ ทา่ ทนั นน้ั มอี านสิ งสม์ ากทเี ดยี ว ถา้ เรารทู้ นั ไดไ้ วจะชว่ ยใหห้ ลดุ พน้ จากอารมณ์ อกศุ ลได ้ เชน่ ความโกรธ ใครๆ กร็ วู้ า่ มนั ไมน่ า่ เอา แตพ่ อเกดิ ขน้ึ ทไี ร ก็เผลอกอดความโกรธเอาไวท้ กุ ท ี น่ันก็เพราะลืมตวั สิ่งท่ีไม่น่าเอา เม่ือเกิดขึ้น สติเตือนให้เรารู้ทัน แต่ก็ไม่ใช่ แคน่ น้ั แมส้ งิ่ ทเี่ ราคดิ วา่ นา่ เอา สตกิ เ็ ตอื นเราเหมอื นกนั วา่ อยา่ ไปเอา นะ เพราะมันก็มีความทุกข์แฝงอยู่ ช่ือเสยี งเกยี รติยศ ทรัพย์สมบัต ิ ความสำ� เรจ็ หากไดม้ า ถา้ เรามสี ตไิ มไ่ วพอ เรากจ็ ะหลงใหลในสง่ิ เหลา่ น้ ี ทเี่ รยี กวา่ โลกธรรม โดยทเี่ ราไมร่ วู้ า่ ถา้ หลงใหลหรอื เพลดิ เพลนิ กบั มนั แลว้ ความทกุ ขจ์ ะตามมา เพราะเมอ่ื จติ ลอยฟอ่ งเพราะความเพลนิ ในสุขถึงเวลาสุขผันแปร จิตก็ถอยจมตกต่�ำ ยิ่งลอยสูง ตกลงมาก ็ ยิ่งเจ็บ สิ่งท่ีน่าเอาท้ังหลาย ล้วนไม่ย่ังยืน ไม่มีใครชนะได้ตลอด สักวันก็ต้องประสบกับความพ่ายแพ้ คนท่ีเป็นท่ีหนึ่งมาตลอด หาก เพลดิ เพลนิ ในความเปน็ เบอรห์ นึง่ เวลาพ่ายแพจ้ ะเป็นทกุ ข์มากกว่า คนทไี่ มเ่ คยชนะ สว่ นคนหลงั นน้ั หากจะแพอ้ กี ครง้ั กร็ สู้ กึ เฉยๆ แตถ่ า้ เรามีสติ หากเผลอไปหลงเพลินในชัยชนะและความส�ำเร็จ สติก็จะ ชว่ ยใหร้ ทู้ นั และกลบั มารตู้ วั ไมห่ ลงเพลดิ เพลนิ ไปไกล และถา้ มปี ญั ญา ดว้ ยแลว้ เรากจ็ ะไมห่ ลงยดึ มนั เพราะเรารวู้ า่ สง่ิ ทเี่ ปน็ บวกหรอื นา่ เอา เช่น ความสุข ความส�ำเร็จนั้น ไม่ต่างจากหางงู ถ้าจับเอาไว้แล้ว ปล่อยไมท่ ัน งกู อ็ าจจะแว้งมากัดเราได้
ม ี ส ติ 3 4 รั ก ษ า ใ จ ความส�ำเร็จ ชัยชนะ โชคลาภเปรียบเหมือนหางงู ถ้าจับแล้ว ปล่อยไม่ทัน งูก็แว้งมากัดเราจนได้ ดังน้ันต้องปล่อยให้ไว บางท ี ครูบาอาจารย์ก็เปรียบส่ิงเหล่านี้เหมือนกับเหย่ือท่ีมีเบ็ดซ่อนอยู่ พอ ปลาเห็นเหย่ือก็จะรีบเข้าไปฮุบ ตอนฮุบเหย่ือใหม่ๆ ก็จะรู้สึกอร่อย มีความสุข แต่สักพักก็จะรู้สึกเจ็บปวดเม่ือเบ็ดทะลุปาก ทรัพย์ ยศ สรรเสริญ สุข หรือท่ีเรียกว่าโลกธรรมฝ่ายบวก เป็นเช่นน้ี คือแฝง ไปดว้ ยทกุ ข์ ตอนไดเ้ สพหรอื ไดค้ รอบครองใหม่ๆ กจ็ ะมีความสุข มี ความเพลิดเพลิน แต่ไม่รู้หรอกกว่านั่นแหละคือที่มาแห่งความทุกข ์ เพราะมนั เปน็ ไปตามหลกั อนิจจงั มลี าภก็เสอื่ มลาภ มียศกเ็ สอื่ มยศ เมอื่ มสี รรเสรญิ กม็ นี นิ ทา ทกุ ครง้ั ทเ่ี ราดใี จเมอื่ ไดร้ บั คำ� สรรเสรญิ เวลา ถูกต�ำหนิหรือถูกด่า เราก็จะทุกข์ทันที ถ้าเราไม่อยากทุกข์เวลาถูก ตำ� หน ิ กอ็ ยา่ ดใี จเวลาไดร้ บั คำ� ชม ถา้ เราไมอ่ ยากทกุ ขเ์ วลาเสอื่ มลาภ เส่ือมยศ ก็อย่าดีใจเวลาท่ีได้ลาภได้ยศ ได้กับเสียเป็นของคู่กัน เชน่ เดียวกบั ฟแู ละแฟบ ยง่ิ ฟมู ากเท่าไหรก่ แ็ ฟบงา่ ยมากเท่านน้ั ความรสู้ กึ นนั้ ไมเ่ ทยี่ ง เพราะสงิ่ ทที่ ำ� ใหเ้ ปน็ สขุ นนั้ หาความแนน่ อน ไม่ได้ ทจ่ี ริงแม้ส่ิงเหล่านั้นบางคร้ังจะไม่เปล่ียนแปลงเลย อย่างเช่น ยศหรือทรัพย์ แม้จะยังไม่สูญหายเลย แค่มีเท่าเดิม เราก็ทุกข์แล้ว เพราะเราอยากจะได้มากขน้ึ หรือไม่กเ็ พราะรู้สกึ เบอ่ื เชน่ เวลาเรา กนิ อาหารอรอ่ ยๆ มอื้ แรกกร็ สู้ กึ วา่ อรอ่ ยด ี มคี วามสขุ ทไี่ ดก้ นิ แตถ่ า้ เรากนิ อาหารเหมอื นเดมิ ทกุ ๆ มอ้ื นานเปน็ เดอื น เรากจ็ ะรสู้ กึ วา่ มนั ไม่อร่อยแล้ว เริ่มเบื่อ เร่ิมเลี่ยน บางทีก็แทบอาเจียนออกมาทั้งที่ มันยังอร่อยเหมือนเดิม รสชาติเท่าเดิม แต่ถ้าเราเสพไปนานๆ เรา
35 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ก็ไม่มีความสุขหรอก อยากได้ของใหม่ เห็นไหมว่าไม่ต้องรอให้มัน แปรเปล่ียนหรือเสื่อมหรอก แค่มันอยู่คงที่หรือเท่าเดิม เราก็ทุกข์ แลว้ เพยี งแตว่ า่ ความทกุ ขม์ นั ไมไ่ ดเ้ กดิ ขน้ึ ทนั ท ี แตค่ อ่ ยๆ คบื คลาน ออกมาหรอื คอ่ ยๆ แสดงตวั ใหป้ รากฏ นค้ี อื ธรรมชาตขิ องทกุ ขท์ แ่ี ฝง มากับความสขุ หรืออยคู่ กู่ ับความสุข ถ้าเรามีสติหมั่นมองตนเสมอๆ ก็จะรู้ว่า ไม่ใช่แค่ความโกรธ ความเศร้าเท่าน้ัน แม้แต่ความเพลิดเพลิน ความดีใจ ความปีต ิ ความสำ� เรจ็ กไ็ มน่ า่ เอาเหมอื นกนั ถา้ มคี นถามหลวงปดู่ ลู ยว์ า่ ทา่ น เคยดีใจไหม ท่านก็คงตอบว่ามี แต่ไม่เอาเหมือนกัน บวกกับลบ ท่ีจริงก็ไม่ต่างกัน มันมีธรรมชาติเหมือนกัน เพียงแต่มันมาคนละ ลักษณะเท่าน้ันเอง สุดท้ายก็มีผลอย่างเดียวกัน คือถ้าไปยึดม่ันถือ มน่ั กเ็ ปน็ ทกุ ขเ์ ทา่ กนั ถา้ เรามสี ตคิ อยดใู จเสมอ กจ็ ะเหน็ วา่ ไมม่ อี ะไร เท่ียงเลย มันเป็นเช่นน้ันเอง วันนี้เราชนะ พรุ่งนี้ก็อาจจะแพ้ วันน ี้ เราสำ� เรจ็ พรุ่งน้ีเราก็อาจจะล้มเหลวได้ เราจึงไมค่ วรประมาท และ ไม่ควรดีใจมาก วันนี้เขาชมเราพรุ่งน้ีเขาอาจจะด่าเราก็ได้ ถ้าเห็น อย่างน้ีเราก็จะไม่ปลื้มกับค�ำชมมาก โลกธรรมมันก็เป็นเช่นนั้นเอง ถา้ ไปยึดมั่นก็ทำ� ใหท้ ุกข์ ดังน้ันเมื่อเจริญสติ ก็ให้เราเพียงแต่เห็นทุกอย่างที่เกิดข้ึนโดย ไม่ไปเพลิดเพลินยินดีหรือต่อต้านผลักไส คิดดีก็ช่าง คิดไม่ดีก็ช่าง ดีใจก็ช่าง เสียใจก็ช่าง เราเพียงแต่รู้เฉยๆ ดีใจก็รู้ว่าดีใจ เครียดก็ รู้วา่ เครียด อย่าไปผลักไสหรือไขว่คว้า และอย่าไปส�ำคัญมนั่ หมาย
ม ี ส ติ 3 6 รั ก ษ า ใ จ เคยมีคนถามหลวงพ่อค�ำเขียนว่า “ท�ำยังไงดี หนูเครียดเหลือ เกิน” หลวงพ่อไม่ตอบ ท่านบอกว่าถามไม่ถูกให้ถามใหม่ พอหยุด คิดสักพัก เขาก็เลยพูดใหม่ว่า “หนูเห็นความเครียดเกิดขึ้นในใจ” มนั แตกตา่ งกนั นะ ถา้ “หนเู ครยี ด” กท็ กุ ขเ์ ลย แตถ่ า้ “หนเู หน็ ความ เครยี ด” ความรสู้ กึ จะเบากวา่ ความดใี จหรอื ปตี กิ เ็ ชน่ กนั พอมนั เกดิ ขน้ึ ก็อย่าไปหลงเพลินว่าฉันดีใจ หรือรู้สึกว่าฉันดีใจ ให้เห็นความดีใจ เทา่ นน้ั กพ็ อ เหน็ ปตี ิ เหน็ ทกุ อยา่ งทเ่ี กดิ ขนึ้ โดยไมไ่ ปยดึ มนั วา่ เปน็ เรา เปน็ ของเรา นแี่ หละคอื หนา้ ทข่ี องสตทิ ฝ่ี กึ ฝนมาไวพอ ทำ� ใหเ้ ราเหน็ ทุกข์โดยไม่ทกุ ข์ จงึ อยากจะเชญิ ชวนใหเ้ ราฝกึ สตกิ นั ใหม้ าก แมว้ า่ จะมสี ตใิ นชวี ติ ประจำ� วนั ดอี ยแู่ ลว้ กอ็ ยา่ ประมาท เพราะเมอื่ ตอ้ งเจอเรอื่ งทพี่ ลกิ ผนั ไม่คาดฝัน เราอาจจะต้ังรับไม่ทัน จึงต้องฝึกสติเตรียมพร้อมไว้แต่ เน่ินๆ ถึงแม้เหตุร้ายจะยังไม่เกิด สติท่ีฝึกไว้ก็ไม่สูญเปล่าเพราะจะ ชว่ ยให้เราอยู่อย่างเป็นสุข โปร่งเบา
ถ้าเรามสี ติ หมั่นมองตน เสมอๆ ก็จะรู้ว่า ไมใ่ ชแ่ คค่ วามโกรธ ความเศรา้ เท่านั้น แมแ้ ต่ ความเพลดิ เพลนิ ความดีใจ ความปีติ ความส�ำ เรจ็ ก็ไมน่ ่าเอาเหมอื นกัน
39 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ต่ืนรู้อย่เู สมอ เวลาพระจะชักผ้าบังสุกุล ท่านจะสวดบท “พิจารณาสังขาร” โดยเร่ิมต้นว่า “อะนิจจา วะตะ สังขารา” แล้วลงท้ายว่า “เตสัง วูปะสะโม สุโข” ท่อนท้ายน้ีแปลว่า “ความเข้าไปสงบระงับสังขาร ทง้ั หลายเปน็ สขุ อยา่ งยง่ิ ” “สงั ขาร” ในทน่ี ไ้ี มไ่ ดห้ มายถงึ รา่ งกาย แต ่ หมายถงึ ความคดิ ปรงุ แตง่ ดว้ ยอำ� นาจกเิ ลส ความสงบระงบั สงั ขารคอื การไม่มีความนึกคิดปรุงแต่ง แปลให้ง่ายกว่านั้นว่า การปล่อยวาง ความคดิ ปรุงแต่ง สาเหตุท่ีเราไม่มีความสงบในจิตใจ ก็เพราะเราไปยึดความคิด ปรุงแต่งเอาไว้ ไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวาง เมื่อมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ซึ่ง ท�ำให้สูญเสียคนรักหรือของรัก คนเรามักเป็นทุกข์ก็เพราะยังยึดติด คนนั้นหรือสิ่งน้ันอยู่ ไม่ยอมปล่อยวาง แต่จะปล่อยวางได้ก็ต่อเม่ือ เห็นถึงความจริงของชีวิตว่า ไม่มีอะไรเท่ียงแท้ มีเกิดก็ต้องมีดับ มพี บกต็ อ้ งมพี ราก มเี จอกต็ อ้ งมจี าก ถา้ เขา้ ใจความไมเ่ ทย่ี งของชวี ติ ก็จะปล่อยวางได้ ท�ำให้หายทุกข์โศก ด้วยเหตุนี้ เม่ือคนเฒ่าคนแก่
ต ื่ น รู้ 4 0 อ ยู่ เ ส ม อ ไดย้ นิ ขา่ วรา้ ย หรอื ไดย้ นิ วา่ มคี นตายกม็ กั จะอทุ านวา่ “อนจิ จา” คำ� น ี้ ก็มาจากบทสวดข้างต้น ซ่ึงแปลเต็มรูปว่า “สังขารท้ังหลายไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วเส่ือมไปเป็นธรรมดา ครั้นเกิดข้ึนแล้วย่อมดับไป ความ เขา้ ไปสงบระงบั สงั ขารทง้ั หลายเป็นสุขอยา่ งยิ่ง” ความหมายของบทสวดก็เพื่อให้เราตระหนักถึงความจริงของ ชวี ติ วา่ ไมม่ อี ะไรเทยี่ งแทย้ งั่ ยนื จะไดฝ้ กึ ทำ� ใจปลอ่ ยวาง เมอื่ ปลอ่ ยวาง ไดก้ จ็ ะไมท่ กุ ขไ์ มเ่ ศรา้ ไมเ่ สยี ใจ เคยสงั เกตบา้ งไหม ในบทสวด “ปจั ฉมิ โอวาท” ซ่ึงมีเน้ือหาเกี่ยวกับความไม่เท่ียงของสังขาร เร่ิมต้นด้วย ข้อความ “วะยะธัมมา สังขารา” แปลว่า “สังขารทั้งหลายมีความ เสื่อมไปเป็นธรรมดา” แต่แทนท่ีพระพุทธองค์จะตรัสแนะให้ปล่อย วาง กลบั เตอื นไปในอกี แงห่ นงึ่ วา่ “ทา่ นทง้ั หลาย จงทำ� ความไมป่ ระมาท ให้ถึงพร้อมเถิด” คือให้พากเพียรพยายามเต็มท่ี อย่าวางเฉยหรือ นง่ิ ดูดาย บทสวดมนต์ทั้งสองบทพูดเรื่องเดียวกัน คือความเส่ือมความ ไมเ่ ทยี่ งของสงั ขาร ในทห่ี นง่ึ บอกใหป้ ลอ่ ยวาง แตใ่ นอกี ทห่ี นง่ึ บอกวา่ ขอใหพ้ ากเพยี รพยายามอยา่ งเตม็ ท ่ี ขอ้ ความตา่ งกนั แตไ่ มข่ ดั แยง้ กนั ทจี่ รงิ เปน็ การเสรมิ กนั เพราะเหตกุ ารณบ์ างอยา่ ง เชน่ ความสญู เสยี พลดั พราก เมอ่ื เกดิ ขน้ึ แลว้ กต็ อ้ งยอมรบั ความจรงิ จะไปยดึ ไปอยาก ใหม้ นั คงท ี่ หรอื อยกู่ บั เราไปตลอดเหมอื นกบั อดตี ยอ่ มไมม่ ปี ระโยชน ์ มแี ตท่ กุ ขเ์ ปลา่ ๆ เราตอ้ งยอมรบั ความจรงิ พรอ้ มกบั ปลอ่ ยวางสง่ิ นนั้ ไปจากใจ
41 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ถา้ เหตรุ า้ ยยงั ไมเ่ กดิ ขน้ึ แตเ่ รารวู้ า่ มนั จะเกดิ ขนึ้ ในวนั ขา้ งหนา้ แน่นอน เช่น ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เราก็ต้องเตรียมตัว เอาไว้ อย่าน่ิงดูดาย เช่น เตรียมเก็บเงินไว้ใช้ในยามเจ็บป่วย หรือ เตรียมท�ำพินัยกรรม รวมทั้งเตรียมว่าจะตายท่ีไหน บางอย่างเรา ไมแ่ นใ่ จวา่ จะเกดิ ขนึ้ หรอื ไม ่ กต็ อ้ งไมป่ ระมาทหรอื ตายใจ ตอ้ งเตรยี มตวั ปอ้ งกนั ปอ้ งกนั อยา่ งเดยี วไมพ่ อ หากมนั เกดิ ขนึ้ จรงิ ๆ กต็ อ้ งเตรยี มตวั รบั มอื กบั มนั ดว้ ย การเตรยี มตวั ไมว่ า่ ปอ้ งกนั หรอื รบั มอื มที ง้ั ทเี่ ปน็ เรื่องนอกตัวและในตัว เช่น เราสร้างตึกสร้างอาคาร ก็อย่าคิดว่าจะ ไม่มีอุบัติเหตุหรือเหตุร้าย เช่น ไฟไหม้ แผ่นดินไหว โจรปล้นบ้าน ถ้าคิดแบบนั้นเรียกว่าประมาท ในเม่ืออะไรๆ ก็ไม่เที่ยง เราก็ต้อง เตรยี มตวั ปอ้ งกนั และรบั มอื มกี ารตดิ ตงั้ เครอ่ื งดบั เพลงิ ตดิ สญั ญาณ กนั ขโมย เวลาซ้อื รถก็ต้องมกี ารประกนั อุบตั ิเหตุ เวลาขบั รถ กต็ ้อง คาดสายรดั นริ ภยั อยา่ ไปคดิ วา่ ไมม่ ที างเกดิ กบั ฉนั หรอก ฉนั ขบั รถ ระวงั มาก รถฉนั ปลอดภยั รอ้ ยเปอรเ์ ซน็ ต ์ คดิ แบบนเ้ี รยี กวา่ ประมาท สขุ ภาพของเรากเ็ ชน่ กนั แม้ว่าตอนน้ียังแขง็ แรงอย ู่ แต่ก็อยา่ ได้ประมาท โรคภัยอาจจะเบียดเบียนเม่ือไหร่ก็ได้ จึงต้องเตรียม ปอ้ งกนั ไว ้ หมน่ั ดแู ลรกั ษาสขุ ภาพ หมนั่ ออกกำ� ลงั กาย แตถ่ งึ จะปอ้ งกนั อย่างไร อะไรๆ ก็อาจเกิดข้ึนได้ เช่นล้มป่วยเพราะเป็นมะเร็งหรือ เกิดไฟไหม้เกิดอุบัติเหตุ ก็ต้องเตรียมรับมือกับมัน พร้อมๆ ไปกับ การเตรยี มใจดว้ ย ถา้ เตรยี มแตเ่ รอ่ื งนอกตวั เชน่ เตรยี มเงนิ ทองเอา ไว้ ส่วนใจไมไ่ ด้เตรียม ก็ตอ้ งเปน็ ทกุ ข์อยา่ งแนน่ อน
ต ื่ น รู้ 4 2 อ ยู่ เ ส ม อ การเตรยี มใจนน้ั ไมใ่ ชม่ แี คก่ ารปลอ่ ยวางอยา่ งเดยี ว แตต่ อ้ งม ี การฝกึ ฝนจติ ใจใหเ้ ขม้ แขง็ ไมห่ วน่ั ไหวงา่ ยๆ รวมทง้ั ฝกึ ฝนใจใหม้ สี ติ และปัญญา ให้เข้าใจความเป็นจริงของชีวิตและโลก เมื่อมีเหตุร้าย เกดิ ขน้ึ เราจะไดไ้ มต่ นื่ ตระหนกตกใจ ยอมรบั ความพลดั พรากสญู เสยี ได ้ มสี ตริ กั ษาใจ ไมป่ ลอ่ ยใหค้ วามทกุ ขเ์ ขา้ มาคกุ คามถงึ จติ ใจ นก่ี ต็ อ้ ง อาศยั การฝกึ ฝน จะอยเู่ ฉยๆ ไมไ่ ด ้ ตอ้ งลงมอื ฝกึ ตอ้ งใชค้ วามเพยี ร ดว้ ยเหตนุ ้ ี เราจึงต้องทำ� ๒ อย่างคอื ท�ำจติ และทำ� กจิ ทำ� จติ คอื ทำ� ใจอยา่ งทพ่ี ดู มาขา้ งตน้ สว่ นทำ� กจิ นนั้ ไดแ้ กก่ าร เตรียมตัวปอ้ งกันและรบั มือ รวมถึงการท�ำหน้าทกี่ ารงานตา่ งๆ ใหด้ ี ส่วนใหญ่เป็นเรื่องนอกตัว ที่ต้องเก่ียวกับผู้อ่ืน หรือเกี่ยวกับทรัพย ์ สมบตั ติ า่ งๆ เราตอ้ งทำ� ทงั้ ๒ อยา่ ง จะขาดอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ไมไ่ ด ้ มีความเข้าใจในหมู่ชาวพุทธจ�ำนวนมาก ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้ท�ำ จติ ทำ� ใจอยา่ งเดยี ว อนั นน้ั ไมถ่ กู ตอ้ ง พระองคส์ อนใหท้ ำ� กจิ ดว้ ย เชน่ สอนฆราวาสใหข้ ยนั ขนั แขง็ ในการทำ� มาหากนิ รจู้ กั เกบ็ หอมรอมรบิ สว่ นพระสงฆ ์ พระองคก์ ส็ อนใหห้ มนั่ ทำ� กจิ ของสว่ นรวม อยา่ นง่ิ ดดู าย ตัวอย่างเช่น ถ้าหลังคากุฏิรั่วก็ต้องซ่อม นี่เป็นเรื่องท�ำกิจ จะท�ำใจ ปล่อยวาง เวลาเห็นฝนตกรั่วรดกุฏิอย่างเดียวไม่ได้ แต่ถ้าท�ำเต็มท ี่ แลว้ ซอ่ มไมไ่ ด ้ หรอื มพี ายพุ ดั จนกฏุ พิ งั กต็ อ้ งท�ำใจ จะไปทกุ ขร์ อ้ น เสยี ใจท�ำไม ไม่มปี ระโยชน์
43 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล เรอื่ งการฝกึ จติ ใหเ้ กดิ ปญั ญาและความเขา้ ใจความจรงิ ของชวี ติ และโลกนั้น ต้องอาศัยการฝึกฝน ท�ำให้เราต้องมาเจริญสติ มา ทำ� กรรมฐานไมไ่ ด ้ ท�ำกรรมฐานเพยี งเพอื่ ใหใ้ จเกดิ ความสงบเทา่ นน้ั เพราะความสงบเวลาอยใู่ นวดั เปน็ เพยี งความสงบชว่ั คราวทต่ี อ้ งอาศยั สง่ิ แวดลอ้ มมาชว่ ย หลายคนสงบใจไดเ้ วลาอยวู่ ดั เพราะไมม่ ใี ครมา วุ่นวายกับเรา ไม่มีงานการรัดตัวรัดใจให้ยุ่งเหยิง แต่ความจริงก็คือ เราไมอ่ าจอยวู่ ดั ไดจ้ นตลอดชวี ติ เราจำ� เปน็ ตอ้ งออกมาขา้ งนอก ตอ้ ง กลบั บา้ นกลบั เรอื น หรอื ถงึ แมจ้ ะอยวู่ ดั กย็ งั ตอ้ งเกยี่ วขอ้ งอยกู่ บั ผคู้ น สมัยนี้ไม่ต้องออกไปไหนหรอก แค่อยู่ในวัดเฉยๆ ความวุ่นวายจาก ขา้ งนอกมันก็รุกเขา้ มาถงึ ตวั ได้แล้ว เชน่ มเี สียงดังจากงานมหรสพ ในหมบู่ า้ นบา้ ง มเี สยี งรถสบิ ลอ้ ดงั เขา้ มาบา้ ง บางทกี ม็ คี นเขา้ มากอ่ ความวุ่นวายในวัด หรือไม่ก็มีคนมาปรึกษา มาขอความช่วยเหลือ ฯลฯ ดังน้ันเราจะหวังพ่ึงความสงบจากส่ิงแวดล้อมไม่ได้ เพราะมัน เปน็ เพยี งความสงบชวั่ คราว เราตอ้ งอาศยั ความสงบทเ่ี กดิ จากภายใน คอื จากใจเราเอง ซงึ่ ตอ้ งมธี รรมะเปน็ เครอ่ื งรกั ษา ธรรมทม่ี อี ปุ การะ มากคอื สตแิ ละสมั ปชญั ญะ ถา้ เรามสี ตแิ ละสมั ปชญั ญะ คอื ความระลกึ ได้และความรู้ตัว แม้มีเรื่องกระทบเข้ามาถึงตัว มันก็ไม่กระเทือน ถงึ ใจ เชน่ หไู ดย้ นิ เสยี งดงั ถา้ ใจมสี ต ิ เรากไ็ มท่ กุ ข ์ ความดงั มนั ไม่ ทะลไุ ปถงึ ใจ แตส่ ว่ นใหญเ่ ราไมค่ อ่ ยมสี ตกิ นั ความดงั มนั จงึ กระเทอื น มาถึงใจ เวลาเจ็บป่วย คนส่วนใหญ่ไม่ได้เจ็บแค่กายแต่เจ็บเข้าไป ถงึ ใจ ไมใ่ ชก่ ายปว่ ยอยา่ งเดยี ว ใจกป็ ว่ ยดว้ ย เวลาอากาศรอ้ น ไมใ่ ช่
ต ื่ น รู้ 4 4 อ ยู่ เ ส ม อ ร้อนแค่กาย แต่ใจก็ร้อนด้วย น่ีเพราะไม่มีสติและสัมปชัญญะเป็น เครือ่ งรกั ษาใจ พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบบุคคลทั่วไปที่ประสบทุกขเวทนา เหมอื นกบั โดนธนยู งิ เขา้ ไปสองดอก ดอกแรกเปน็ ทกุ ขท์ างกาย ดอก ที่สองเป็นทุกข์ทางใจ ดังน้ันถ้าหวังความสงบจากสิ่งแวดล้อมยัง ไม่เพียงพอ เพราะความสงบจากส่ิงแวดล้อมมันไม่เท่ียง ย่ิงมีธุระ ต้องออกไปข้างนอก พบปะผู้คน ต้องเจอส่ิงกระทบต่างๆ ท่ีไม่เป็น ไปดงั่ ใจ ไมว่ า่ จะเปน็ ฝนตก แดดรอ้ น รถตดิ เจอคนไมน่ า่ รกั แมแ้ ต่ ใจเราเอง ก็ไม่ยอมเป็นอย่างที่เราต้องการ ไม่อยากหงุดหงิด แต่ ใจมันก็หงุดหงิดไม่เลิก ดังน้ันจะไปหวังให้สิ่งรอบตัวเป็นไปตามใจ เราไดอ้ ย่างไร การเกบ็ ตวั หรอื ปดิ หปู ดิ ตาไมร่ บั รอู้ ะไรนน้ั เปน็ เรอื่ งทท่ี �ำไดย้ าก หรอื ใหผ้ ลไดแ้ คช่ ว่ั คราว การเกบ็ ตวั อยใู่ นหอ้ งหรอื ในกฏุ ิ ไมใ่ หอ้ ะไร เขา้ มากระทบใจใหร้ ำ� คาญ อาจจะทำ� ใหใ้ จสงบได ้ แตก่ เ็ ปน็ ความสงบ ทว่ี างใจไมไ่ ด ้ พงึ่ ไมไ่ ดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ เพราะมนั เปน็ ของชวั่ ครง้ั ชวั่ คราว การสงบด้วยการปิดหูปิดตา ไม่รับรู้อะไร เพราะหลบอยู่แต่ในห้อง ก็เปรียบเหมือนกับเอาหินมาทับหญ้า หญ้าไม่งอกก็จริง แต่พอยก หินออก หญ้าก็งอก ดังน้ันเราต้องเรียนรู้ท่ีจะรักษาใจให้สงบ สงบ จากสงิ่ ตา่ งๆ ทเ่ี ขา้ มากระทบทางตา ห ู จมกู ลน้ิ กาย ทง้ั รปู เสยี ง กลิ่น รส สัมผัส ท่ีไม่น่าพอใจ แม้จะเข้ามากระทบ แต่ก็หยุดอยู่ที่ ทวารเท่าน้ัน ไม่ลกุ ลามเข้ามาถงึ ใจ
45 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล ดงั นน้ั อยา่ พอใจหรอื ประมาท เวลาใจเราสงบ เพราะอาจเปน็ ความสงบชั่วคราวเนื่องจากสิ่งแวดล้อมช่วย และเม่ือส่ิงแวดล้อม มันไม่สงบขึ้นมา ใจก็พลอยไม่สงบตามไปด้วย ทีนี้จะไปบังคับให้ ใจเราสงบก็ไม่ได้ เราจึงต้องมีสติสัมปชัญญะเป็นเครื่องรักษาใจ ศีลน้ันเป็นก�ำแพงด่านแรก เม่ือมีศีลก็มีทุกข์ภัยมากระทบน้อย แต ่ กย็ งั มที ห่ี ลดุ รอดมาถงึ ตวั เราได ้ จงึ ตอ้ งมสี ตสิ มั ปชญั ญะเปน็ ดา่ นทส่ี อง สติสมั ปชญั ญะเกิดไดจ้ ากการฝึกปฏิบตั ิใหม้ ีความรูต้ ัวอยู่บอ่ ยๆ เหน็ อาการทกุ อยา่ งทเ่ี กดิ ขน้ึ กบั ใจ ไมเ่ วน้ แมแ้ ตค่ วามคดิ นกึ หรอื อารมณ์ อกุศล การเห็นมันบ่อยๆ ทำ� ให้รู้เท่าทันมัน และปล่อยวางมันได้ใน ทสี่ ดุ ถ้าใจสงบน่ิง ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดออกมาเลย ก็ไม่ดี เพราะไม่มีการบ้านให้จิตท�ำ จิตต้องท�ำการบ้านบ่อยๆ จึงจะมีสต ิ จิตจะรู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดได้ไว ก็เพราะเห็นมันบ่อยๆ เม่ือรู้ทันมันแล้ว พอมันเกิดข้ึนอีก ก็ไม่หลงตามมัน ไม่ปรุงแต่งไป ตามอ�ำนาจมัน มันก็ดับไป เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า ปล่อยวาง ก็ได้ คอื ไมแ่ บกมนั เอาไวใ้ หห้ นกั อกหนกั ใจ การทใี่ จไมห่ ลงปรงุ ตามอารมณ ์ ความรู้สึกนึกคิด น่ีเรียกว่าเกิดความรู้ตัวขึ้นมา อันน้ีเรียกว่าสัมป- ชัญญะแต่จะเกิดข้ึนได้ก็เม่ือระลึกได้ว่าก�ำลังท�ำอะไรอยู่ในปัจจุบัน อันน้ีคือสติ ความระลึกได้อย่างสามัญธรรมดา ก็คือระลึกได้ว่า เราเกิด วนั น ี้ เดอื นน ี้ ปนี ้ี ระลกึ ไดว้ า่ เยน็ นเ้ี รามนี ดั กบั ใครไว ้ ระลกึ ไดว้ า่ กฏุ ิ
ต ่ื น รู้ 4 6 อ ยู่ เ ส ม อ ของเราอยู่ตรงไหน น่ีเป็นสติท่ัวๆ ไป เป็นการระลึกได้ในส่ิงนอก ตัวแต่ถ้าเป็นสัมมาสติ ก็คือการระลึกได้เม่ือเผลอเข้าไปในอารมณ ์ เพราะเม่ือเผลอเข้าไปในอารมณ์ ก็จะหลุดจากปัจจุบันไปอยู่ในโลก แหง่ ความคดิ ไปอยใู่ นโลกแหง่ อดตี หรอื โลกแหง่ อนาคต เมอ่ื ระลกึ ไดว้ า่ เรากำ� ลงั ทำ� อะไรอย ู่ จติ กจ็ ะกลบั มาสปู่ จั จบุ นั สกู่ ารงานทกี่ ำ� ลงั ทำ� อย ู่ เชน่ กำ� ลงั ทำ� วตั รอย ู่ แตใ่ จกลบั ลอยฟงุ้ ไปทอ่ี น่ื สกั พกั กร็ ะลกึ ได้วา่ กำ� ลงั ท�ำวตั รอย ู่ พอระลกึ ไดเ้ ชน่ น้ี จิตกห็ ลุดจากเร่ืองท่ฟี ุ้งซ่าน กลับมาอยู่กับการท�ำวัตร การระลึกได้เช่นนี้เป็นสัมมาสติ เป็นการ ระลึกได้ในเรื่องกายและใจของตัวเอง ไม่ใช่ระลึกได้ในเร่ืองนอกตัว หรือเรื่องของคนอนื่ เมอ่ื ระลกึ ไดว้ า่ กำ� ลงั ทำ� วตั รอย ู่ จติ กห็ ายฟงุ้ ซา่ น กลบั มาอยกู่ บั การท�ำวัตร ท�ำให้การสาธยายบทสวดมนต์ถูกต้อง ไม่สวดสลับกัน หรอื สวดผดิ ๆ ถกู ๆ เชน่ แทนทจ่ี ะเปน็ พทุ ธงั กส็ วดสงั ฆงั อนั นก้ี เ็ รยี ก วา่ มคี วามรตู้ วั เกดิ สมั ปชญั ญะขน้ึ มา ทำ� ใหท้ ำ� อะไรไดถ้ กู ตอ้ ง ไมห่ ลง ไมป่ ำ้� ๆ เปอ๋ ๆ สตกิ บั สมั ปชญั ญะจงึ มาคกู่ นั สตคิ อื ไมล่ มื สมั ปชญั ญะ คอื ไมห่ ลง สตจิ ะเกดิ ขนึ้ ได ้ สว่ นหนงึ่ กเ็ พราะจำ� อารมณท์ เี่ กดิ ขนึ้ ได ้ คอื พอ ความโกรธเกดิ ขนึ้ กจ็ ำ� ไดว้ า่ นโี่ กรธ นหี่ งดุ หงดิ นรี่ ำ� คาญ นฟ่ี งุ้ ซา่ น เมอื่ จำ� ได ้ กร็ เู้ ทา่ ทนั มนั ไมถ่ กู มนั หลอกลอ่ ตอ่ ไปอกี แตก่ อ่ นจำ� ไมไ่ ด้ กเ็ ลยลมื ตวั หลงเขา้ ไปในอารมณเ์ หลา่ นนั้ จนปรงุ แตง่ ใหเ้ กดิ ทกุ ขแ์ ต ่ เมอ่ื จำ� ได ้ รทู้ นั และเหน็ มนั ดว้ ยสต ิ อารมณค์ วามรสู้ กึ เหลา่ นน้ั กเ็ ขา้
47 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล มาครองใจไมไ่ ด ้ มันเหมอื นความมดื ท่ีหายไปเมอื่ โดนแสงสวา่ งสาด สอ่ ง ดว้ ยเหตนุ คี้ วามสงบจงึ เกดิ ขนึ้ ได ้ เพราะมคี วามระลกึ หรอื ความ รู้ตวั อย่างนี้อยบู่ อ่ ยๆ การเจรญิ สต ิ เปรยี บเหมอื นกบั การเตมิ นำ�้ ลงในหมอ้ ดนิ นำ้� จะ เตม็ ได ้ ดว้ ยเหตปุ จั จยั สองอยา่ ง คอื ๑. เตมิ นำ้� อยเู่ สมอ ๒. หมอ้ ตอ้ ง ไมร่ ่ัว หรือไมป่ ลอ่ ยใหน้ �ำ้ ซมึ ออกไป การเจรญิ สตใิ นรปู แบบ เชน่ การเดนิ จงกรม การสรา้ งจงั หวะ การตามลมหายใจ หรือการเก็บอารมณ์ เปรียบเหมือนการเติมน�้ำ ใสห่ มอ้ อยเู่ สมอ รแู้ ตล่ ะครงั้ ๆ รกู้ าย รใู้ จ รกู้ ายเคลอ่ื นไหว เวลายกมอื ก็รู้ เวลาใจลอย ใจฟุ้งก็รู้ กายเคล่ือนไหวใจนึกคิดก็รู้ รู้แต่ละครั้ง กเ็ หมือนการเตมิ น�ำ้ เข้าไปทลี ะหยด แตถ่ า้ เราไมร่ กั ษา ไมค่ อยระมดั ระวงั กเ็ หมอื นกบั การปลอ่ ยให ้ น�้ำซึมออกไปเร่ือยๆ เติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็มหรอก เพราะมันซึมออก ตลอดเวลา บางทีไม่ใช่แค่ซึมเฉยๆ แต่ร่ัวเลย เพราะหม้อที่มีรอย แตก ทเี่ ปน็ เชน่ นนั้ กเ็ พราะพอเลกิ ปฏบิ ตั ิ ลกุ จากทน่ี งั่ หรอื ออกจาก ทางจงกรมกป็ ลอ่ ยตวั ปลอ่ ยใจไปตามอารมณ ์ เวลาอาบนำ�้ แปรงฟนั นงั่ พกั กไ็ มม่ สี ต ิ ไมห่ มนั่ ดใู จ ปลอ่ ยใจฟงุ้ ซา่ น เวลากนิ ขา้ วกป็ ลอ่ ย ใจให้เพลินอยู่กับรสชาติของอาหาร หรือเผลอคิดอะไรไปเร่ือยเปื่อย เวลาคุยกับคนก็ฟุ้ง คุยเสร็จไม่พอ กลับมาก็ฟุ้งต่ออีก อย่างนี้เรียก วา่ นำ้� ในหมอ้ ซมึ ออกหรือรั่วไหล แมจ้ ะปฏบิ ตั ิในรปู แบบอยา่ งจริงจงั
ต ื่ น รู้ 4 8 อ ยู่ เ ส ม อ แต่พอเลิกปฏิบัติ ก็ปล่อยใจลอยอีก อย่างน้ีก็ยากท่ีสติจะเจริญ ก้าวหน้าได้ ดงั นนั้ การปฏบิ ตั จิ งึ ตอ้ งท�ำ ๒ อยา่ ง คอื ๑. ปฏบิ ตั ใิ นรปู แบบ ๒. ปฏบิ ตั นิ อกรปู แบบ การปฏบิ ัตใิ นรปู แบบ เปรียบเหมือนการเติม นำ้� เขา้ ไป สว่ นการปฏบิ ตั นิ อกรปู แบบ เปรยี บเหมอื นการเกบ็ นำ�้ เอาไว ้ คอื คอยเกบ็ สตเิ อาไว ้ ไมใ่ หม้ นั ตกหลน่ เรย่ี ราด การปฏบิ ตั ติ อ้ งท�ำ ๒ อย่าง อย่าไปเน้นเฉพาะว่าต้องท�ำแต่ในรูปแบบ บางคนก็คิดแต่จะ ปฏบิ ตั ใิ นรปู แบบ โดยมกี ำ� หนดเวลา ตงั้ แต ่ ๐๙.๐๐-๑๖.๐๐ น. เหมอื น กบั เวลาราชการเลย หลงั ๔ โมงเยน็ เลกิ ปฏบิ ตั ิ กป็ ลอ่ ยตวั ปลอ่ ยใจ ไปตามอารมณ ์ เหมอื นกบั เลกิ งานแลว้ กไ็ ปเทย่ี ว ไปฟงั เพลง หากทำ� อยา่ งนกี้ ห็ มดกนั สตไิ มเ่ ตม็ สกั ท ี เหมอื นกบั นำ�้ ทไ่ี มเ่ ตม็ หมอ้ เมอ่ื สต ิ ไมเ่ จรญิ กไ็ มเ่ กดิ ผลเปลย่ี นแปลงในทางจติ ใจ ใจกก็ ลบั ไปเหมอื นเดมิ อกี ดงั นน้ั จงึ ตอ้ งระลกึ อยเู่ สมอวา่ การเจรญิ สต ิ ไมใ่ ชม่ แี ตใ่ นรปู แบบ อย่างเดียว ต้องให้การปฏิบัติกลมกลืนเข้าไปเป็นหน่ึงเดียวกับชีวิต ประจำ� วนั ผสานกบั อริ ยิ าบถตา่ งๆ ไมว่ า่ จะเปน็ การกนิ การเดนิ การ ห่ันผัก การอาบน�้ำ แปรงฟัน ให้ถือว่าท�ำงานไปด้วย เจริญสติไป ด้วยให้มันกลมกลืนไปกับชีวิตประจ�ำวัน ต้ังแต่ต่ืนข้ึนมาจนหลับไป ขณะเดียวกันควรระลึกว่า การปฏิบัติไม่ใช่อยู่ที่วัดเท่านั้น ออกไป ขา้ งนอกกต็ ้องปฏบิ ตั ดิ ว้ ย
49 พ ร ะ ไ พ ศ า ล วิ ส า โ ล การปฏบิ ตั นิ อกวดั เปน็ เรอื่ งสำ� คญั การปฏบิ ตั ใิ นวดั เปรยี บเหมอื น การฝกึ ซอ้ ม แตน่ อกวดั คอื การลงสนามจรงิ บางคนปฏบิ ตั ดิ มี าก เวลา อยู่ในวัด จิตสงบ รู้ตัวได้ไว แต่พอออกไปข้างนอก ใจกลับกระเจิด กระเจงิ นแี่ สดงวา่ สอบตกแลว้ แตไ่ มเ่ ปน็ ไร ทำ� ใหมเ่ รมิ่ ตน้ ใหม ่ ถอื วา่ เปน็ บททดสอบ ทำ� ใหร้ วู้ า่ เราพลาดตรงไหน จะไดม้ ปี ระสบการณม์ าก ขึน้ วา่ เราเผลอเพราะอะไร แมว้ า่ จะสอบตกบา้ งก็มีประโยชนเ์ หมือนกัน ท�ำให้เรารวู้ ่าตอ้ ง ปรบั ปรงุ หรอื ตอ้ งแกไ้ ขตรงไหนบา้ ง จดุ ไหนทตี่ อ้ งระวงั ดกี วา่ ไมร่ เู้ ลย เหมือนกับคนท่ีไม่มีความรู้หรือรู้น้อย เมื่อไม่ได้ไปสอบ ก็ย่อมไม่รู้ ตัวเองโง่ตรงไหนบ้าง ทั้งๆ ที่โง่ แต่ก็ไม่รู้ตัว แถมอาจหลงคิดว่า ตัวเองฉลาดก็ได้ แต่ถ้าเราออกไปเจอกับโลกภายนอกบ้าง เจอกับ ผู้คนและส่ิงแวดล้อมอ่ืนๆ มากมาย แล้วพบว่าฟุ้งซ่านวุ่นวายเหลือ เกิน ก็แสดงวา่ สอบตก ก็มาฝึกกนั ใหม่ การปฏิบัติในวัดหรือในสถานที่ที่สงบสงัด ให้รู้ว่านี่เป็นการ ฝึกซ้อม เหมือนกับการชกมวย ต้องมีการซ้อม แต่สนามซ้อมกับ สนามจรงิ ไมเ่ หมอื นกนั การปฏบิ ตั ใิ นกฏุ หิ รอื ในวดั เปน็ เพยี งการซอ้ ม เท่านั้น ยังไม่ใช่การลงสนามจริง สนามจริงก็คือโลกภายนอกที่เรา ต้องข้องเกี่ยวในชีวิตจริง เป็นโลกท่ีเราควบคุมไม่ได้ ไม่อาจบังคับ ให้เป็นไปตามใจของเรา เต็มไปด้วยความวุ่นวายยุ่งเหยิง มีทั้งส่ิงที่ ชอบและไม่ชอบ น่ีแหละคือชีวิตจริงท่ีเราปฏิเสธไม่ได้ การปฏิบัติท ่ี ต้องอยู่คนเดียวถือว่าเป็นการซ้อม ถ้าซ้อมแล้วไม่ลงสนามเลย มัน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162