ควาเมก่ยีเขวกา้ บั ใชจีวิต อ.วศิน อนิ ทสระ
ควาเมกยี่เขวกา้ บั ใชจวี ติ อ.วศิน อินทสระ
ความเขา้ ใจ เก่ียวกบั ชวี ติ อ.วศนิ อินทสระ FaFcaecbewobowokwok:.ruอ:eาWจnาdaรhsยain์วmศI.ินncodอmaนิ saทrสaระ ชมรมกัลยาณธรรม หนังสือดลี �ำดบั ที ่ ๓๒๔ พมิ พค์ ร้ังท่ี ๒ สิงหาคม ๒๕๕๘ จำ� นวนพิมพ ์ ๒,๐๐๐ เลม่ จัดพิมพโ์ ดย ชมรมกัลยาณธรรม ๑๐๐ ถนนประโคนชัย ตำ� บลปากนำ้� อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั สมทุ รปราการ ๑๐๒๗๐ โทรศพั ท ์ ๐-๒๗๐๒-๗๓๕๓ และ ๐-๒๗๐๒-๙๖๒๔ ออกแบบปก สุมลฑา ประดงจงเนตร ออกแบบรปู เลม่ คนขา้ งหลงั พสิ จู นอ์ กั ษร ปมุ๋ , ทมี งานกลั ยาณธรรม พมิ พท์ ี่ บริษทั ขมุ ทองอตุ สาหกรรมและการพิมพ์ จำ� กดั โทร. ๐-๒๘๘๕-๗๘๗๐-๓ พิมพ์คร้งั ท ี่ ๑ : สำ� นักพมิ พบ์ รรณาคาร พ.ศ.๒๕๓๓ สัพพทานัง ธมั มทานงั ชินาติ การใหธ้ รรมะเป็นทาน ยอ่ มชนะการใหท้ ัง้ ปวง www.kanlayanatam.com Facebook : Kanlayanatam
คํ า อ นุ โ ม ท น า ชมรมกัลยาณธรรมโดยทันตแพทย์หญิงอัจฉรา กลิ่นสุวรรณ์ ผู้เป็น ประธานชมรมฯ ไดข้ ออนญุ าตพมิ พห์ นงั สอื เรอื่ ง “ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั ชีวิต” ขา้ พเจา้ อนญุ าตดว้ ยความยนิ ดี เรอ่ื งทจ่ี ะพงึ กลา่ วถงึ ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั ชวี ติ ขา้ พเจา้ ไดเ้ ขยี นไว ้ พอสมควรแล้วในค�ำน�ำแห่งการพิมพ์คร้ังแรก ซ่ึงได้รวมพิมพ์ไว้ในท่ีน ้ี ด้วยแลว้ ขอเพมิ่ เตมิ คตธิ รรมบางอยา่ งในทน่ี ไ้ี วบ้ า้ งเพยี งเลก็ นอ้ ยวา่ ชวี ติ ของคนเราทกุ คนยอ่ มไดพ้ บกบั สง่ิ ทส่ี มหวงั บา้ งผดิ หวงั บา้ ง ดงั พระพทุ ธ- พจน์ท่ีว่า “สัตว์ผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา (เพราะยังมีกิเลสอยู่) มี ความแก ่ มคี วามเจบ็ มคี วามตายเปน็ ธรรมดา ยอ่ มตอ้ งเกดิ แก ่ เจบ็ และตายเปน็ ธรรมดา จะหวงั วา่ ขอเราอยา่ ไดเ้ กดิ อยา่ ไดแ้ ก ่ อยา่ ได ้ เจ็บ อยา่ ไดต้ าย เป็นตน้ ย่อมเป็นไปไม่ได้” พระสารีบุตรได้กล่าวสอนไว้ว่า “ชีวิตไม่มีเคร่ืองหมาย รู้ไม่ได ้ ว่าจะตายในวนั ใด ชวี ิตนี้ทงั้ น้อย ท้งั ฝืดเคือง ท้งั ประกอบด้วยทกุ ข”์ นอกจากนี้ ยังมีธรรมภาษิตอีกมากมาย ท่ีแสดงถึงความไม่ แน่นอนของความเป็นไปแห่งชีวิต ดังข้อความที่ว่า “ชีวิต ความเจ็บ ป่วย กาลเป็นท่ีตาย สถานที่ทอดทิ้งร่างกาย และคติซึ่งจะไปในภพ หน้า ๕ อย่างน้ี ไม่มีเคร่ืองหมาย อันใครๆ รู้ไม่ได้ (ยกเว้นท่านผู้ม ี ญาณพิเศษ เช่น สมเด็จพระสมั มาสมั พุทธเจ้า เปน็ ตน้ )” “ความตายมาพรอ้ มกบั ความเกดิ ความตายเทยี่ วตดิ ตามบคุ คล อยเู่ หมอื นผปู้ องรา้ ยมงุ่ จะฆา่ หาโอกาสอยตู่ ลอดเวลา บคุ คลบา่ ยหนา้ 3
ไปสู่ความตายตั้งแต่วันแรกท่ีถือปฏิสนธิในครรภ์มารดา บ่ายหน้าไป อยา่ งเดยี ว ไมม่ ยี ้อนกลับ” ความเปน็ หนมุ่ สาวจบลงดว้ ยชรา ชวี ติ จบลงดว้ ยความตาย ไมม่ ี ใครสามารถหลกี เลยี่ งได ้ พจิ ารณาชวี ติ อยา่ งนเี้ นอื งๆ แลว้ ทำ� ใหส้ งั เวช สลดใจในความเป็นไปของชีวิต ท�ำให้ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท มนษุ ยเ์ ราตายเสยี ในครรภก์ ม็ ี เมอ่ื เปน็ เดก็ ทารกกม็ ี เมอื่ เปน็ หนมุ่ สาว ก็มี แม้จะอยู่ไปได้ถึงชราก็ต้องตายเป็นแน่แท ้ ไม่เว้นใครไว้เลย ดัง พระพทุ ธพจน์ในปัพพโตปมสูตรว่า “เปรียบเหมือนภูเขาศิลาลว้ น กว้างใหญ่และสงู จรดฟ้า กล้ิงบดสตั วท์ ง้ั หลายมาทั้งสท่ี ิศ ไม่เว้นใครไวเ้ ลย ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย ์ พราหมณ์ ไวศยะ ศูทร จัณฑาลและคน ท้ิงขยะ จะเอาชนะดว้ ยกองทพั ใดๆ กไ็ มไ่ ด ้ บณั ฑติ พจิ ารณาอยา่ งนแี้ ลว้ มองเห็นประโยชน์ตนอยู่ ประพฤติธรรมในโลกน้ีแล้วย่อม บันเทิงในโลกหน้า” ขออนุโมทนาต่อชมรมกัลยาณธรรม ที่ได้ขวนขวายจัดพิมพ ์ หนังสือเร่ืองน้ีข้ึนใหม ่ เพ่ือเผยแผ่ให้แพร่หลายต่อไป ขอให้ทุกคนท่ีม ี ส่วนร่วมในการจัดพิมพ์หนังสือเรื่องนี้ ประสบความสุขความสมหวัง ตามสมควรแกเ่ หตุที่ประกอบ และขอให้เจรญิ ในธรรมยิ่งๆ ขน้ึ ไป ดว้ ยความปรารถนาดอี ยา่ งยง่ิ ๒๗ สงิ หาคม ๒๕๕๘ 4
คํ า นํ า ข อ ง ช ม ร ม กั ล ย า ณ ธ ร ร ม เราคงได้ยินประโยคท่ีว่า “ชีวิตคือการเรียนรู้” ทุกชีวิตต่างเกิดมา เพอ่ื เรยี นรู้ ในสังสารวฏั ท่ียาวไกลหาท่สี ุดแห่งเบ้ืองตน้ และเบ้ืองปลาย มิได้นี้ สรรพสัตว์ท้ังหลายต่างเวียนเกิดเวียนตายกันมานับภพนับชาต ิ ไม่ถ้วน ท่านว่า ถ้าเอากองกระดูกของใครสักคนมากองรวมกัน ใน ภพชาตติ า่ งๆ ทเ่ี ขาเคยเกดิ เคยตายมา กค็ งจะไดก้ ระดกู กองเทา่ ภเู ขา หากเอานำ้� ตาของใครสกั คนทเ่ี คยรอ้ งไห้ มารวมๆ กนั กค็ งมปี รมิ าณ น�้ำมากกว่าน�้ำในมหาสมุทรใหญ่ เพราะเหตุท่ีพวกเรายังมีอวิชชาเป็น ฝ้าบังจักษุ การเวียนว่ายตายเกิดจึงเป็นกระบวนการที่หลีกเลี่ยงไม่ได ้ แต่ละชีวิตยังเรียนรู้กันไม่เท่าไหร่ ก็ต้องจบฉากไป ด่ังพุทธพจน์ที่ว่า “ชีวติ ของสัตว์เหมือนภาชนะดิน ซง่ึ ลว้ นมีความสลายเปน็ ที่สุด” การเดนิ ทางไกลของชวี ติ ซงึ่ เตม็ ไปดว้ ยความยากลำ� บาก อปุ สรรค ปัญหา มีความทุกข์เป็นมิตรแท้รออยู่ตลอดการเดินทางซึ่งมีทิวทัศน์ แตกตา่ งกนั ไป แตส่ ง่ิ ทเี่ หมอื นกนั ทกุ ชวี ติ กค็ อื “ทกุ อยา่ งลว้ นชว่ั คราว” ไมม่ ผี ใู้ ดสามารถยดึ ถอื ครอบครอง เปน็ เจา้ ของอะไรไดเ้ ลย สงิ่ ใดกต็ าม ที่ผู้ใดยึดถือหมายม่ันแล้ว จะไม่ก่อโทษก่อทุกข์เป็นไม่มี หลายคน กล่าวว่าความผิดพลาด ไม่คาดฝัน ปัญหา ความไม่สมปรารถนาท้ัง หลาย ล้วนถือเป็นประสบการณ์ชีวิต ไม่ไร้ค่าไร้ประโยชน์เสียเลย ทเี ดยี ว แตค่ วามจรงิ แลว้ ประสบการณต์ า่ งๆ จะมคี ณุ คา่ กบั ชวี ติ ได ้ ก็ ตอ้ งขน้ึ อยกู่ บั วา่ เรารจู้ กั เรยี นรจู้ ากประสบการณน์ นั้ ๆ หรอื ไม ่ ตราบใด ที่เราไม่พิจารณาใครค่ รวญด้วยปญั ญา นำ� ประสบการณ์ตา่ งๆ ท่ีผ่าน 5
มาเป็นครูสอนใจ มาย่อยให้เป็นปุ๋ยบ�ำรุง เพื่อชีวิตท่ีมีพัฒนาการทาง จิตวิญญาณสูงขึ้นไปตามล�ำดับ ประสบการณ์นั้นๆ จะมีค่าอะไรมาก ไปกวา่ ความโงเ่ ขลาเบาปญั ญา ความทกุ ข ์ ความเจบ็ ปวดซำ้� ๆ ซากๆ ทอี่ าจจะบั่นทอนพลงั ชีวติ ลงไปเรือ่ ยๆ การประสบความส�ำเร็จทางโลก การมีการศึกษาทางโลกที่ดี แมก้ ระทงั่ จบระดบั เกยี รตนิ ยิ มปรญิ ญาเอก กไ็ มใ่ ชห่ ลกั ประกนั วา่ เราจะ มีความสุขหรือเข้าใจชีวิตได้ ปัญญาทางโลก วิชาการทางโลก ยิ่งม ี เกียรติ ยศ ต�ำแหน่ง ดีกรีสูง บางทีกลับยิ่งท�ำให้เรายึดมั่นในตัวตน ทงั้ อตั ตา มานะ ทฏิ ฐ ิ ยงิ่ สงู ตาม ทำ� ใหย้ งิ่ ไมเ่ ขา้ ใจโลก ไมเ่ ขา้ ใจชวี ติ หา่ งไกลชวี ติ แทๆ้ และความสขุ สงบในจติ ใจออกไปทกุ ท ี ตราบใดทเ่ี รา ไม่ได้เรียน ”วิชาชีวิต” ด้วยการน้อมน�ำธรรมมาประพฤติปฏิบัติเป็น หลักการด�ำเนินชีวิต “ความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิต” หรือ “วิชาชีวิต” เท่านั้น ท่ีจะช่วยให้เข้าใจโลกและชีวิต และใช้ชีวิตได้อย่างสงบเย็น เป็นประโยชน์ มีทัศนะที่ถูกต้อง มีจิตใจงดงาม สามารถด�ำเนินชีวิต อยใู่ นโลกอยา่ งมคี วามสขุ ได ้ ดงั่ ทพี่ ระพรหมคณุ าภรณ ์ (ป.อ. ปยตุ โฺ ต) ท่านกล่าวไว้ว่า “อยู่ใน ใจเหนือ เก้ือโลก” จนถึงกระทั่งวันหน่ึงที่ ประสบความส�ำเร็จสูงสุด ก็คงจะกล่าวธรรมอย่างพระสารีบุตร ได้บ้างว่า “ชีวิตเราก็มิได้ช่ืนชม ความตาย เราก็มิได้ชื่นชอบ เรา อยูเ่ หมอื นลกู จา้ งท่ที �ำงานเสรจ็ แลว้ รอรับค่าจ้าง ฉะนนั้ ” ความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตที่ว่า “ชีวิตเป็นของชั่วคราว” มิใช่ให้ เราปล่อยปละละเลยชีวิต แต่เตือนให้เราไม่ประมาท ให้ต้ังใจ ใครค่ รวญตระหนกั ถงึ ความไมแ่ นน่ อน เร่งขวนขวายพากเพยี รกระทำ� กิจที่ชอบ บริหารภายใต้ข้อจ�ำกัดให้เหมาะสมดีงาม อะไรควรรักษา อะไรควรทงิ้ อะไรควรแกไ้ ข ปรบั ปรงุ พฒั นา กต็ อ้ งใชป้ ญั ญาพจิ ารณา ใหเ้ หมาะสมทส่ี ดุ ดงั่ พทุ ธพจนต์ รสั วา่ “อายขุ องมนษุ ยม์ นี อ้ ย คนดพี งึ 6
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ดูถูกอายุน้ันเสีย พึงประพฤติดุจคนมีศีรษะถูกไฟใหม้ มฤตยู (ความ ตาย) จะไม่มาถึง ยอ่ มไมม่ ”ี หนังสือ “ความเข้าใจเก่ียวกับชีวิต” เล่มนี้ เป็นการรวบรวม ค�ำบรรยายในสถานท่ีต่างๆ ของท่านอาจารย์วศิน อินทสระ ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๓๑ ซ่ึงมีหลายหัวข้อบรรยายล้วนน่าสนใจศึกษา ด้วยความ คมชดั ในญาณปญั ญาทท่ี า่ นอาจารยเ์ มตตาถา่ ยทอดธรรมอยา่ งแจม่ แจง้ ตรงประเด็น รวมท้ังในส่วนของการตอบค�ำถามสดๆ ท่ีท่านตอบได้ ดมี าก ถอื วา่ เปน็ ปฏภิ าณปญั ญาทฉี่ บั ไว แมน่ ยำ� มสี มาธสิ งู มาก สมท่ี มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า “ในยุคน้ี ต้องอาจารย์วศิน อินทสระ คนเดียวน่ีแหละ ท่ีตอบค�ำถามข้อธรรมได้ดีที่สุด” หนังสือนี้เกิดจาก ความเมตตาของทา่ นอาจารยท์ ไี่ ดบ้ นั ทกึ แนวค�ำบรรยายไวท้ กุ ครงั้ (ใน การบรรยายแตล่ ะครงั้ ทา่ นกต็ งั้ ใจวางแผนการบรรยายเตรยี มตวั เตรยี ม ข้อมูลดีมากเพื่อให้ผู้ฟังได้รับประโยชน์คุ้มค่า) และมีคณะศิษย์ช่วย ถอดเทปประกอบ ทา่ นอาจารยน์ ำ� มาเรยี บเรยี งจดั พมิ พเ์ ปน็ หนงั สอื ซงึ่ สำ� นกั พิมพบ์ รรณาคารไดจ้ ัดพิมพ์ไว้ เมอ่ื ปี พ.ศ.๒๕๓๔ (บัดนีส้ ำ� นกั - พิมพ์ปิดตัวลงแล้ว) นับว่าหนังสือเล่มนี้เป็นคลังข้อมูลแห่งปัญญา ทางธรรม ดุจมหาสมุทรใหญ่ท่ีเป็นแหล่งของนานารัตนะอันมีคุณค่า ประมาณมไิ ด ้ ดว้ ยขอ้ ธรรม คำ� แนะนำ� คำ� ตอบ แนวคดิ และความเหน็ ต่างๆ ของท่านอาจารย์ ที่ได้รวบรวมพิมพ์ไว้แต่ละบทแต่ละตอนใน เล่มน้ี นับเป็นดวงประทีปส่องชีวิตของผู้คนที่ต้องการท�ำความเข้าใจ เกยี่ วกบั ชวี ติ ไดอ้ กี เปน็ จำ� นวนมาก ชมรมกลั ยาณธรรมเหน็ คณุ คา่ สาระ อนั ควรเผยแผต่ ่อไปในวงกวา้ ง จงึ ขออนญุ าตจดั พมิ พอ์ กี ครง้ั เนื่องในมงคลวาระ อายุวัฒนมงคล ครบรอบ ๘๑ ปี เพชร แห่งการเผยแผ่ธรรม ซ่ึงเวียนมาถึงวันคล้ายวันเกิดของท่านอาจารย์ วศนิ อนิ ทสระ อกี ครง้ั ในวนั พฤหสั บดที ี่ ๑๗ กนั ยายน ศกน ี้ ในนาม 7
ของคณะศิษย์และชมรมกัลยาณธรรม ขอเป็นตัวแทนพุทธศาสนิกชน และทุกท่านผู้ได้รับประโยชน์แห่งปัญญาธรรมของท่านอาจารย์วศิน อนิ ทสระ ผเู้ ปรยี บประดจุ “ธรรมเจดยี ”์ (ทต่ี ง้ั แหง่ พระธรรม) ขอนอ้ ม บูชาอาจริยคุณแทบเท้าท่านอาจารย์ด้วยธรรมทานน ้ี เพื่อแสดงความ ส�ำนึกแทนมาลาบูชาพระคุณและร่วมอนุโมทนาถึงอุดมคติทางธรรม และเจตนารมณ์แห่งการเผยแผ่ธรรมที่ท่านอาจารย์มีความตั้งใจและ อุทิศชีวิตเพ่ืองานธรรมอย่างอุกฤฏษ์มาตั้งแต่ยังเป็นสามเณรน้อย จนบัดน้ีในวัยบั้นปลายชีวิตที่ท่านควรได้พักผ่อน ท่านก็ยังรักงานนี้ มเี มตตาเสมอตน้ เสมอปลายตามอตั ภาพทท่ี ำ� ได ้ ขออานสิ งสแ์ หง่ ความ เสียสละต้ังใจอุทิศตนเพื่อทดแทนคุณพระศาสนา และอานิสงส์แห่ง การเปดิ ดวงตาธรรมแกเ่ พอื่ นรว่ มทกุ ขอ์ ยา่ งไมเ่ หน็ แกค่ วามเหนอ่ื ยยาก จงเป็นพลังแห่งวิวัฏฏคามินีกุศล น้อมน�ำให้ท่านอาจารย์ได้บรรลุถึง จุดหมายปลายทางแห่งอธิษฐานธรรม บรรลุธรรมสูงสุดในพระพุทธ- ศาสนาและมีชีวิตอย่างผู้เข้าใจชีวิต มีแต่ความสงบ เย็น ปราศจาก ทุกข์ โศก โรค ภัย อุปัทวันตรายใดๆ อย่ามากร้�ำกรายท่าน และ หวงั วา่ ทา่ นผอู้ า่ นทกุ ทา่ นจะไดร้ บั สาระประโยชนแ์ ละมคี วามเขา้ ใจชวี ติ มากข้ึน เพือ่ ชวี ิตท่มี คี ณุ คา่ พัฒนาศักยภาพของมนุษย์ยิง่ ๆ ข้นึ ไป กราบท่านอาจารยด์ ว้ ยสำ� นกึ ในพระคุณอยา่ งหาที่สดุ มไิ ด้ ทพญ.อจั ฉรา กลน่ิ สวุ รรณ์ ประธานชมรมกลั ยาณธรรม ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๘ 8
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ คํ า นํ า ใ น ก า ร พิ ม พ์ ค ร ้ั ง แ ร ก เรอื่ ง “ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั ชวี ติ ” น ้ี ไดร้ วบรวมคำ� บรรยายในทต่ี า่ งๆ บา้ ง ข้อคิดเห็นเล็กๆ น้อยๆ บ้าง มาไว้ในเล่มเดียวกัน วันเวลาและสถานท ี่ บรรยาย ไดบ้ อกไวใ้ นเร่อื งน้นั ๆ แล้ว ความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับเร่ืองชีวิตนั้น มีความส�ำคัญต่อชีวิต มนุษย์มาก เพราะท�ำให้ชีวิตด�ำเนินไปถูกต้อง มีผลเป็นการเพิ่มคุณภาพ ชีวติ พัฒนาชวี ติ ให้ขนึ้ สู่ระดับสงู อยูเ่ รอื่ ยๆ ไม่ถอยหลงั และไมห่ ยุดอยู่ วิทยาการที่ว่าด้วยชีวิต การด�ำเนินชีวิตและจุดหมายปลายทาง อันชีวิตควรดำ� เนินไปให้ถึงนนั้ เป็นวิทยาการอันสูงส่งยิง่ กว่าวิทยาการใดๆ เท่าท่ีมนุษย์ได้แสวงหา และท่ีสูงส่งอย่างย่ิงก็คือวิชาการอันท�ำให้มนุษย์ พ้นทุกข์โดยส้ินเชิง ไม่ต้องวนเวียนอยใู่ นทุกขอ์ ย่างนา่ เบอ่ื หนา่ ยโดยไมร่ ู้วา่ จะสิน้ สุดลงเมอ่ื ใด ชีวิตมีเงื่อนไขมาก ข้ึนอยู่กับเงื่อนไขและเหตุปัจจัยต่างๆ เป็น If- then-law หรือ Conditionality อยู่เสมอ การตอบปัญหาชีวิตจึงต้อง ตอบแบบ “วิภัชชวาท” คือ แยกตอบอย่างมีเงื่อนไขเสียเป็นส่วนมาก จึง จะท�ำให้ค�ำตอบนั้นค่อนข้างสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่น ถ้ามีปัญหาว่า ควรให้ นักศึกษามหาวิทยาลัยอยู่กับพ่อแม่ดี หรืออยู่หอพักดี ถ้าตอบยืนยัน ไปข้างใดข้างหนึ่ง ก็เป็นการตอบปัญหาชีวิตแบบ “เอกังสวาท” เป็น Unconditionality แตใ่ นชวี ติ จรงิ ของคนเรามเี งอื่ นไขมาก ตอ้ งมองปญั หา หลายด้าน และดูเหมือนว่าในโลกียวิสัยนี้ ไม่มีอะไรเป็นจริงโดยเด็ดขาด โดยไม่มีเง่ือนไข แม้ในสิ่งท่ีเรายอมรับว่าจริงแล้วก็ยังมีข้อยกเว้นอีก และ ข้อยกเว้นของส่ิงต่างๆ น้ีเองที่เราเรียนไม่รู้จบ เราจึงวินิจฉัยอะไรๆ ผิด พลาดอย่เู สมอ ประสบการณ์และความรู้ในชีวิตของแต่ละคนมีอยู่อย่างจ�ำกัด แต่ ความเปน็ ไปของชวี ติ มนษุ ยน์ นั้ กวา้ งใหญไ่ พศาล มคี วามวจิ ติ รพสิ ดารสดุ จะ พรรณนาได้ เพราะมนุษย์มีตัณหาอันวิจิตร (มากมายหลายหลาก) จึง 9
สรา้ งกรรมอนั วจิ ติ ร (มากมายหลายหลาก) กรรมอนั มากมายหลายหลาก นนั่ เอง สรา้ งสรรคใ์ หส้ ตั วท์ งั้ หลายเปน็ ไปตา่ งๆ ยากทจี่ ะร ู้ ยากทจ่ี ะเขา้ ใจ ผู้รู้แล้ว เข้าใจแล้วจะแสดงชี้แจงให้ผู้อ่ืนรู้ตาม เข้าใจตามก็แสนจะยาก เพราะสัตว์ทั้งหลายถูกคล้องไว้ด้วยเชือกอันเหนียวแน่นคือทิฏฐิ อันตน ปักใจเห็น ปักใจเชื่อ เพราะได้ฟังมา ได้ชอบใจมา ได้ถือสืบๆ กันมา เป็นต้นว่า “น้ีเท่าน้ันเป็นจริง อย่างอื่นเป็นเท็จหมด” สัจจาภินิเวส หรือ Dogmaticism จึงฝังแน่นอยู่ในจิตส�ำนึกของมนุษย์แต่ละคนอย่างยากท ี่ จะร้อื ถอนได้ ทำ� อยา่ งไรจงึ จะเขา้ ใจชวี ติ ไดพ้ อสมควร? เราตอ้ งเฝา้ สงั เกตพจิ ารณา ความเปน็ ไปแหง่ ชวี ติ ทงั้ ของตนเองและผอู้ นื่ อยา่ งรอบคอบ และดว้ ยใจเปน็ ธรรม รจู้ กั โยงเหตไุ ปหาผล และจบั ผลไดแ้ ลว้ สาวไปหาเหตอุ ยเู่ สมอ ลกึ ๆ แลว้ มนษุ ยเ์ รายอ่ มรอู้ ยบู่ า้ งเหมอื นกนั วา่ เขาเปน็ คนทำ� มนั ขน้ึ มาเอง ในสว่ น ไมด่ ี แต่ในส่วนดเี ขาจะรีบรบั และโฆษณา ทเี่ กนิ จริงไปก็มมี าก มนษุ ยเ์ ราจะเขา้ ใจชวี ติ ไดอ้ ยา่ งไร ถา้ เขามวั แตค่ รำ�่ ครวญเรยี กรอ้ ง หาแต่ผลดี ไม่ยอมรับ เบี่ยงเบน ผลักไสไล่ส่งผลร้าย แม้ที่จริงเขาก็ รวู้ า่ เขากอ่ เหตมุ นั ขน้ึ มาเอง ใจเขาจะสงบไดอ้ ยา่ งไร ในเมอื่ เขาอา้ รบั แต่ ผลดแี ละวงิ่ หนผี ลรา้ ย ใจจอ้ งแตจ่ ะตะครบุ เอาความสขุ เลย่ี งหนคี วามทกุ ข์ อยู่ร�่ำไป มิได้ตระหนักว่า สุขทุกข์เป็นฤดูกาลของชีวิต เพื่อให้เราได้ เรียนร้ชู วี ิตและเข้าใจชีวิตอยา่ งถกู ตอ้ งถ่องแทใ้ นท่สี ดุ หนังสือเล่มนี้พิมพ์เสร็จต้นปี พ.ศ. ๒๕๓๓ ข้าพเจ้าขอส่งความ เคารพรักและปรารถนาดีของข้าพเจ้ามายังท่านผู้อ่านทุกคนโดยผ่านทาง หนังสือน้ี ขอให้ท่านได้รับพรอันประเสริฐคือความเข้าใจในชีวิตอันถ่องแท ้ มีผลให้เกิดความมั่นคงในชีวิต มีใจไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรมและความ ขึ้นลงของชีวติ อันเปน็ กระแสธรรมดา ขอความสุข ความช่ืนบานอันสืบเน่ืองมาจากความเข้าใจเกี่ยวกับ ชวี ิตอันถกู ต้องน้ัน พึงมแี ก่ท่านตลอดไป ๑๕ มกราคม ๒๕๓๓ 10
ส า ร บั ญ ๑ การศึกษากับการพฒั นาสคู่ วามเปน็ กัลยาณชนและอรยิ ชน ๑๓ ๒ ความเข้าใจเกีย่ วกบั ชีวติ เรอ่ื งไตรลกั ษณ์ ๖๓ ๓ หลักกรรมกับการพ่ึงตนเอง ๙๓ ๔ ความทกุ ขแ์ ละการดับทกุ ข์ ๑๐๓ ๕ หลกั กรรมในพระพทุ ธศาสนา ๑๓๑ และการพึง่ ตนเอง ช่วยเหลือตนเอง ๖ ธรรมะสำ� หรับนักบรหิ าร ๑๔๓ ๗ พระพทุ ธศาสนากบั ค่านิยมของคนสมัยใหม่ ๑๕๙ ๘ ความเข้าใจเรื่องพระธรรมวนิ ัย ๑๗๑ ๙ คุณภาพชีวิต และสุขภาพจติ ๑๙๕ ๑๐ แนวทางเพิม่ คณุ ภาพชวี ติ ๒๑๓ ๑๑ ท�ำอยา่ งไรจงึ จะทุกข์นอ้ ย แก่ชา้ และอายุยนื ๒๓๑ 11
๑บ ท ที่ การศึกษากบั การพฒั นา สคู่ วามเปน็ กัลยาณชน และอริยชน นำ� เรือ่ ง ทา่ นอาจารย ์ และทา่ นผู้มีเกยี รตทิ ี่เคารพ วันน้ีจะพูดเร่ืองอุดมคติของชีวิต ตามนัยพุทธธรรม หัวข้อการ บรรยายส�ำหรับคราวน้ีก็คือ “การศึกษากับการพัฒนาสู่ความเป็น กัลยาณชนและอริยชน” พูดถึงเร่ืองการศึกษา ท่านท้ังหลายซึ่ง เก่ียวข้องกับการศึกษาก็คงจะทราบดีอยู่แล้วส�ำหรับการศึกษาท่ีเกี่ยว กบั ทางโลก หรอื ในระบบของโลกทที่ า่ นตอ้ งการจะทราบสำ� หรบั คราวนี ้ เรื่อง “การศึกษากับการพัฒนาสู่ความเป็นกัลยาณชนและอริยชนนี้” เป็นส่วนขยายของ หัวข้อ “อุดมคติของชีวิตตามนัยพุทธธรรม” ได้บรรยายพิเศษในการฝึกอบรมอาจารย์ เรื่อง สาระส�ำคญั ของพทุ ธธรรมทค่ี วรน�ำมาบรู ณาการในหลกั สตู รศกึ ษาศาสตร์ ในโครงการสง่ เสรมิ การสอนศึกษาศาสตร์และจิตวิทยาตามแนวพุทธศาสตร์ ณ อาคารอุบล เรียงสุวรรณ คณะ ศกึ ษาศาสตร ์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วนั ท ี่ ๒๐ เมษายน ๒๕๓๑ เวลา ๑๓.๐๐-๑๖.๓๐ น. 13
ก า ร ศ ึ ก ษ า ก ั บ ก า ร พ ั ฒ น า สู่ ค ว า ม เ ป ็ น ก ั ล ย า ณ ช น แ ล ะ อ ร ิ ย ช น ก็คือ การศึกษาที่จะน�ำไปสู่การพัฒนาหรือการศึกษาที่เป็นเคร่ืองมือ สำ� หรบั พฒั นาไปสคู่ วามเปน็ กลั ยาณชนและอรยิ ชน โดยผมจะเรม่ิ ดว้ ย หัวข้อที่ว่า การศึกษาในความหมายแห่งพุทธธรรมหรือในความหมาย ทางพุทธศาสนาน้ันคืออะไร ในความหมายทางพุทธธรรมหรือความ หมายทางพทุ ธศาสนานน้ั การศกึ ษากค็ อื การเรยี นร ู้ การทำ� ความเขา้ ใจ และการปฏิบัติให้ได้ผลตามจุดมุ่งหมายนั้นๆ คือว่าศึกษาในเร่ืองอะไร ก็ต้องท�ำความเข้าใจในเร่ืองนั้นให้แจ่มแจ้งชัดเจนและต้องปฏิบัติให้ ได้ผลตามจุดมุ่งหมาย หรือตามเป้าหมายท่ีวางไว้ในขอบเขตของการ ศกึ ษานน้ั ๆ ตวั อยา่ งเชน่ การศกึ ษาทแ่ี บง่ เปน็ ๓ ระดบั หรอื ๓ ประเภท ของพุทธศาสนา เช่น ศีลสิกขา การศึกษาเรื่องศีล ไม่หมายเพียงว่า เรียนรู้ว่าศีลคืออะไร ศีลมีเท่าไหร่ มีอะไรบ้าง แต่จะต้องเป็นการ ปฏิบัติในศีลนั้นๆ ตามท่ีได้ศึกษา ตามท่ีได้เรียนรู้ แล้วก็ศีลข้อใดม ี เป้าหมายอย่างไร ก็ต้องปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมายอันนั้น เพราะฉะน้ัน คำ� วา่ ศกึ ษา หรอื สกิ ขา ในความหมายทางพทุ ธศาสนานน้ั ไมไ่ ดห้ มาย เพียงการเรียน แต่จะหมายถึงการลงมือปฏิบัติด้วย ต้องควบคู่กันไป เรียนให้รู้ด้วย ปฏิบัติให้ได้ตามท่ีเรียนรู้ จึงจะได้รับผลที่ท่านเรียกว่า ปฏเิ วธ คือการได้บรรลผุ ล 14
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ปรยิ ัต ิ ๓ ปรยิ ตั ิ กค็ อื การศกึ ษาเลา่ เรยี นนนั่ เอง แตป่ รยิ ตั นิ กี้ ม็ อี ยหู่ ลาย ความมงุ่ หมาย สำ� หรบั ผเู้ รยี นแตล่ ะพวก แตล่ ะคน การศกึ ษาบางอยา่ ง หรือปริยัติบางอย่าง ก็เป็นพิษเป็นภัยแก่ผู้เรียนและเป็นพิษเป็นภัยแก ่ ผอู้ น่ื อนั นท้ี า่ นใชค้ ำ� Technical term วา่ อลคทั ทปู มปรยิ ตั ิ อลคทั ทะ แปลวา่ งพู ษิ แลว้ บวกดว้ ยคำ� วา่ อปุ มา อปุ มาคอื เปรยี บเทยี บ ปรยิ ตั กิ ็ คือการศึกษาเล่าเรียน การศึกษาเล่าเรียนท่ีเปรียบเหมือนงูพิษ คือว่า เรยี นแลว้ มนั ฉกเอาผเู้ รยี นใหถ้ งึ ตายหรอื ปางตาย พระพทุ ธเจา้ ทา่ นทรง เปรยี บวา่ เหมอื นคนๆ หนงึ่ เขา้ ไปในปา่ แลว้ กไ็ ปจบั งพู ษิ ตอ้ งการจะจบั งพู ษิ มาทำ� อะไรสกั อยา่ งหนง่ึ ตามทเ่ี ขาตอ้ งการทจ่ี ะทำ� แตท่ นี เ้ี นอื่ งจาก จบั ไมด่ ไี ปจบั งพู ษิ ขา้ งหาง ไปจบั เอาทางหาง แลว้ งพู ษิ มนั กเ็ อย้ี วตวั มา ฉกกดั ผจู้ บั อาจจะถงึ ตายหรอื ปางตาย ทา่ นบอกวา่ บางคนในโลกนี้ ได้ ศกึ ษาเลา่ เรยี นแลว้ กย็ กตนขม่ ผอู้ นื่ เพราะการศกึ ษาของตน มอี หงั การ มากขน้ึ มอี สั มมิ านะ มคี วามทะนงตนมากขน้ึ ดหู มน่ิ ผอู้ นื่ มากขนึ้ รสู้ กึ พองตัวข้ึน ไม่มีใครสู้ได้ ไม่มีใครท่ีจะต้านทานได้ อะไรอย่างนี้ การ ศึกษาเล่าเรียนของบุคคลประเภทน ี้ เป็นการศึกษาเพื่อท�ำลายตัวเอง และท�ำลายผู้อ่ืน ไม่เป็นไปเพ่ือประโยชน์การเรียนของเขา จึงเปรียบ เหมือนงูพิษ หรืออย่างที่ว่า ความรู้เกิดข้ึนแก่คนพาล เพ่ือท�ำลายเขา ทำ� ใหป้ ญั ญาของเขาตกไป ความรกู้ บั ปญั ญานเ้ี ปน็ คนละอยา่ ง ความร ู้ กเ็ รยี นเอา แต่ปญั ญานน้ั ต้องไดจ้ ากการฝึกฝนอบรมหลายๆ อยา่ ง ทนี มี้ ปี ญั ญาบางอยา่ งทม่ี นั มมี าแตก่ �ำเนดิ ทา่ นเรยี กวา่ สชาตกิ ปญั ญา ปญั ญาทตี่ ดิ มาแตก่ ำ� เนดิ ทส่ี มยั ใหมเ่ ขาเรยี กวา่ I.Q. หรอื คนท่ ี I.Q. สงู ทนี ถ้ี ามวา่ I.Q. พวกนม้ี าจากไหน ถา้ ตอบตามแนวของพทุ ธ 15
ก า ร ศ ึ ก ษ า ก ั บ ก า ร พ ั ฒ น า สู่ ค ว า ม เ ป ็ น ก ั ล ย า ณ ช น แ ล ะ อ ร ิ ย ช น ก็ตอบว่า เป็นปัญญาบารมีท่ีเขาได้สะสมมา สืบเน่ืองจากท่ีกล่าวไว้ เมอ่ื วานนเ้ี อง ไดส้ ะสมปญั ญา ไดส้ ะสมความดเี อาไว ้ แลว้ มนั กต็ อ่ เนอ่ื ง กันมาจนถึงชาติใหม่ อันน้ีก็เรื่องปริยัติ อีกพวกหนึ่ง ศึกษาเล่าเรียน เพ่ือจะสลัดตนออกจากทุกข์ ท่านใช้ค�ำว่า นิสสรณัตถปริยัติ ปริยัต ิ เพอื่ สลดั ตนออกจากทกุ ข ์ คอื วา่ เรยี นเพอ่ื จะรแู้ ละกเ็ รยี นเพอื่ จะปฏบิ ตั ิ เพอ่ื จะขดั เกลา เพอื่ จะนำ� ตนออกจากภพออกจากทกุ ขใ์ หไ้ ด ้ คนพวกนี้ มคี วามรสู้ กึ เหมอื นวา่ โลกน ี้ สงั สารวฏั น ้ี เหมอื นโรงพยาบาล มคี วาม รสู้ กึ วา่ ภพหรอื โลกเหมอื นโรงพยาบาลทเี่ ราจะตอ้ งรบี ออกไป ธรรมดา ว่าโรงพยาบาลน้ัน มันจะเป็นโรงพยาบาลท่ีดีวิเศษสักแค่ไหนเตียงด ี สกั เทา่ ไหร ่ หอ้ งราคาแพงสกั เทา่ ไหร ่ แอรค์ อนดชิ น่ั เยน็ สกั เทา่ ไร มคี น คอยบริการดีสักเท่าไรก็ตาม มันก็คือโรงพยาบาลน่ันเอง มีไว้สำ� หรับ รกั ษาคนปว่ ย เพราะฉะนน้ั บางคนมคี วามรสู้ กึ อยา่ งนวี้ า่ ภพ หรอื โลก หรอื ความเปน็ ไปในสงั สารวฏั กเ็ หมอื นโรงพยาบาล อยากทจี่ ะออกไป จากทกุ ข ์ อยากทจี่ ะออกไปจากโลก อยากทจ่ี ะออกไปจากสงั สารวฏั กม็ คี วามขวนขวายพยายามทจ่ี ะศกึ ษาเรยี นร ู้ เพอื่ ขดั เกลา เพอ่ื จะนำ� ตนออกไปเสยี จากทกุ ข ์ จากภพ หรอื วา่ เพอ่ื ความดบั ภพ พระพทุ ธเจา้ ทา่ นตรสั ไวว้ า่ ขนึ้ ชอื่ วา่ ภพแลว้ แมเ้ พยี งเลก็ นอ้ ยกใ็ หเ้ กดิ ทกุ ขไ์ ดเ้ สมอ ไมว่ า่ ภพใด ไมว่ า่ เปน็ ภพทดี่ สี กั เทา่ ใด ประณตี สกั เทา่ ใด กเ็ หมอื นโรง พยาบาล ทา่ นเปรยี บว่า อจุ จาระกต็ าม ปสั สาวะกต็ าม แมเ้ พยี งเลก็ น้อยก็มกี ล่ินเหมน็ ฉนั ใด ภพแมจ้ ะเพียงเล็กนอ้ ยกย็ ังเป็นมูลแหง่ ทกุ ข์ ฉันน้ัน เพราะฉะนั้นคนพวกน้ี ด้วยความรู้สึกอย่างน้ี จึงตั้งหน้า พยายามขวนขวายศกึ ษาปฏบิ ตั เิ พอ่ื ทจี่ ะสลดั ตนออกไปจากทกุ ข ์ จาก ภพ ไมม่ คี วามยนิ ดใี นภพ คอื ไมม่ ภี วตณั หา ภวตณั หากค็ อื ความยนิ ดี ความพอใจในภพ ตดิ อยู่ในภพ ในความเปน็ น่นั เป็นน่ี 16
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ อีกประการหน่งึ บางพวกบางทา่ น ศึกษาเลา่ เรียนเพียงเพอ่ื เปน็ เหมอื นขนุ คลงั เปน็ เหมอื นขนุ คลงั ส�ำหรบั รกั ษาของเอาไว้ อยา่ งวา่ คน ที่รักษาเรือนคลังเขาจะรักษาอะไรก็ตามที่เขาได้รับการมอบหมายให้ รักษาเองได้ เก็บสิ่งเหล่าน้ันเอาไว้ แต่ไม่ใช่เพ่ือตัวเอง แต่เพ่ือคน ทั้งหลายอื่น บางคนน้ันส�ำหรับตัวเองพอแล้วในด้านความรู้ ในด้านท่ี จะนำ� ความรนู้ น้ั มาใชป้ ระโยชนส์ ำ� หรบั ตน กเ็ รยี กวา่ เพยี งพอและเตม็ ท ่ี ไม่จ�ำเป็นส�ำหรับตนอีก แต่ก็ยังขวนขวายเรียนรู้ศึกษาอยู่ตลอดเวลา เพอื่ เปน็ ประโยชนแ์ กผ่ อู้ นื่ ไมใ่ ชเ่ พยี งเพอื่ ตวั การศกึ ษาเลา่ เรยี นแบบน ี้ เรียกว่า ภัณฑาคาริกปริยัติ ศึกษาเล่าเรียนในฐานะเป็น ภัณฑาคาร ในฐานะเป็นเรือนคลัง หรือเป็นขุนคลัง ตามนัยนี้จะพบว่า แม้พระ อรหนั ตก์ ย็ งั ตอ้ งศกึ ษาอย ู่ คอื ทา่ นเปน็ อเสขะ พระอรหนั ตเ์ รยี กวา่ เปน็ อเสขะ ผไู้ มต่ อ้ งศกึ ษา แตก่ ย็ งั ศกึ ษาอย ู่ เปน็ คำ� ทคี่ อ่ นขา้ งเปน็ พารา- ดอ๊ กซ ์ (Paradox) อยสู่ กั หนอ่ ย (พาราดอ๊ กซ ์ คอื คำ� ทม่ี นั มคี วามหมาย ตรงกนั ขา้ มกบั ภาษาทใี่ ช)้ พระอรหนั ตน์ นั้ แมจ้ ะเปน็ อเสขะ คอื แปลวา่ ผไู้ มต่ อ้ งศกึ ษาแลว้ แตท่ า่ นกย็ งั ตอ้ งศกึ ษาอย ู่ ทว่ี า่ ไมต่ อ้ งศกึ ษานน้ั คอื วา่ ไมต่ อ้ งศกึ ษาและปฏบิ ตั เิ พอื่ ตวั ทา่ นเอง เพอื่ ความสน้ิ ทกุ ข ์ เพอ่ื ความ สน้ิ กเิ ลส แตท่ นี ที้ า่ นยงั ตอ้ งศกึ ษาเพอ่ื ผอู้ นื่ ตอ้ งเลา่ เรยี นพระพทุ ธพจน์ ต้องศึกษาพระธรรมวินัย เพื่อเป็นประโยชน์แก่อนุชนรุ่นหลัง ท้ัง บรรพชิตและคฤหัสถ์ในรุ่นหลัง ท่านยังต้องท�ำ อาจจะมีท่านอาจารย ์ หลายคนในทน่ี ้ี ทยี่ งั ศกึ ษา ยงั ท�ำอะไรอย ู่ ในฐานะทเ่ี ปน็ ภณั ฑาคารกิ คอื วา่ ทำ� ไป เรยี นไป ศกึ ษาไป เพอื่ เปน็ ประโยชนแ์ กล่ กู ศษิ ย ์ เพอื่ เปน็ ประโยชน์แก่ผู้อื่น ถ้าส�ำหรับล�ำพังตัวเอง ก็เรียกว่า เพียงพอแล้ว พอสมควรแล้ว อย่างน้ีเรียกว่า ภัณฑาคาริกปริยัติ การศึกษาท่ีเป็น เหมือนขนุ คลัง 17
ก า ร ศ ึ ก ษ า ก ั บ ก า ร พ ั ฒ น า สู่ ค ว า ม เ ป ็ น ก ั ล ย า ณ ช น แ ล ะ อ ร ิ ย ช น ปฏิบตั ิ ๓ เพ่ือท�ำตนใหส้ มบรู ณ์ การปฏบิ ตั ิ กค็ อื การปฏบิ ตั ติ ามหลกั ศลี สมาธ ิ และปญั ญา หรอื มรรคมอี งค ์ ๘ นน่ั เอง นคี้ อื การปฏบิ ตั ติ ามแนวของพทุ ธศาสนา หรอื นัยแห่งพุทธศาสนา หรือนัยแห่งพุทธธรรม คือไม่ว่าจะศึกษาอะไร ไม่ว่าจะเรียนอะไรจะต้องอยู่ในกรอบอันน้ี อยู่ในกรอบของศีล สมาธิ ปัญญาน่ันเอง ทีนี้ถ้าท้ิงหลักอันน้ีหรือทิ้งกรอบอันนี้ การศึกษาวิชา ความรู้ต่างๆ ที่มันมีมากมายก่ายกองน้ัน ก็สักแต่ว่าเป็นความรู้ แล้ว กน็ ำ� ไปใชไ้ ดเ้ หมอื นกนั แตว่ า่ ไมท่ �ำใหค้ วามเปน็ มนษุ ยเ์ ตม็ ขน้ึ ไม ่ self fulfilment ไมท่ ำ� ใหต้ วั ตน หรอื บคุ คลผนู้ นั้ เตม็ บรบิ รู ณ ์ ไมเ่ ปน็ มนษุ ยท์ ี่ สมบรู ณ ์ หรอื วา่ อาจจะเปน็ คลา้ ยๆ เครอ่ื งจกั รทมี่ ปี ระสทิ ธภิ าพมากใน ดา้ นใดดา้ นหนง่ึ แตว่ า่ กม็ เี ทา่ นนั้ เอง ไมม่ อี ะไรมากไปกวา่ นน้ั แตม่ นษุ ย์ เราน้ันมีศักยภาพสูงในการที่จะพัฒนา เพ่ือความเป็นผู้สมบูรณ์ที่สุด เท่าท่จี ะเป็นได้ นแ่ี หละคือบุญกุศลอนั สูงสดุ ของมนุษย์ ปฏเิ วธ การบรรลุผล ปฏเิ วธ คำ� วา่ ปฏเิ วธนนั้ กค็ อื การบรรลผุ ล หรอื การดบั ความทกุ ข์ ความเดือดร้อนได้จริง ได้ศึกษาเรื่องใด ปฏิบัติเร่ืองใด แล้วได้ผลได ้ บรรลุผล สมตามความมุ่งหมาย สมตามความต้องการ อันน้ีเรียกว่า ปฏเิ วธ อนั นกี้ เ็ ปน็ เรอ่ื งของการศกึ ษา ซง่ึ กระผมไดก้ ลา่ วนำ� ขนึ้ มากอ่ น 18
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ความหมายของพัฒนา คราวน้ีเรามาพูดกันถึงเร่ืองการพัฒนา พัฒนานี้เป็นค�ำใหม่ ไมน่ านมานเ้ี อง ประมาณ ๒๐ ปมี านเี้ องทเี่ ราเรม่ิ ใชค้ �ำวา่ พฒั นา เมอื่ กอ่ นนถี้ า้ ในความหมายนเี้ ราใชค้ ำ� วา่ ภาวนา แปลวา่ อบรม หรอื ทำ� ให ้ เจรญิ ใชค้ ำ� วา่ ภาวนา ตอนหลงั นใ้ี ชค้ ำ� วา่ พฒั นา กใ็ ชไ้ ดเ้ หมอื นกนั ทนี ้ี มันมีบางทีที่ค�ำว่าพัฒนาน้ีมันจะมีความหมายไปในแง่ที่ไม่ดีก็ได้เช่นว่า ท�ำให้รก อย่างนก้ี ็พัฒนาเหมือนกัน ท�ำให้รก หรือทีพ่ ระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ อยา่ เปน็ คนรกโลก กใ็ ชค้ ำ� วา่ พฒั นาเหมอื นกนั น สยิ า โลกวฑฒฺ โน อยา่ เปน็ คนรกโลก โลกวฑฒฺ โน แปลวา่ เปน็ คนรกโลก คอื วา่ มนั เจรญิ ขนึ้ เจรญิ ขน้ึ เจรญิ ขนึ้ โดยทไี่ มม่ คี ณุ คา่ อะไร อยา่ งนก้ี เ็ ปน็ โลกวฑฒฺ โน โลกมคี นมากขน้ึ หนาแนน่ มากขนึ้ แลว้ กไ็ มม่ คี ณุ คา่ อะไร อยา่ งนเ้ี รยี ก วา่ โลกวฑฒฺ โน รกโลก พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ อยา่ เปน็ คนรกโลก กใ็ ช ้ คำ� ว่า พฒั นาเหมือนกัน แต่เอาเถอะครับ เวลาน้ีเราก็ใช้กันแล้ว ค�ำว่าพัฒนา ก็ม ี ความหมายท่ีเราเข้าใจกันดีแล้วว่า หมายตรงกับค�ำอังกฤษที่เรียกว่า Development นน่ั เอง ทำ� ใหเ้ จรญิ ขนึ้ ดขี นึ้ ในวนั นข้ี อใชค้ ำ� วา่ ภาวนา แทนค�ำว่าพัฒนาไปก่อน ขอให้ทราบว่า มีความหมายเหมือนกัน ในการทจี่ ะพฒั นาหรอื ภาวนานน้ั เราจะตอ้ งพฒั นาอะไรบา้ ง เพ่ือท่ีจะ ใหไ้ ปสูค่ วามเปน็ กลั ยาณชนและอรยิ ชน 19
ก า ร ศ ึ ก ษ า ก ั บ ก า ร พ ั ฒ น า สู่ ค ว า ม เ ป ็ น ก ั ล ย า ณ ช น แ ล ะ อ ร ิ ย ช น ภาวนา ๔ ประการที่ ๑ กายภาวนา กายภาวนา ก็คือ การอบรมกาย (ควรจะพัฒนาหรือภาวนา เป็นประการแรก) อันนี้ก็คือการเอาใจใส่ต่อร่างกายให้อยู่ในสภาพที่ พอใชก้ ารได้ตามวัตถุประสงค์ ทีส่ ำ� คญั ย่ิงกว่านัน้ ก็คือการใช้ปัจจยั ๔ เพราะวา่ ปจั จยั ๔ มนั เกย่ี วเนอ่ื งดว้ ยกายของเขา การใชป้ จั จยั ๔ ให้ ตรงตามจุดมุ่งหมาย การกินอาหาร การใช้เส้ือผ้า การมีที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ใหต้ รงตามจดุ ม่งุ หมาย หรอื ใหท้ ำ� ไปดว้ ยเหตผุ ลบรสิ ุทธิ์ เช่นว่า กินอาหารเพ่ือให้ร่างกายอยู่ได้ เพื่อจะได้ท�ำคุณงามความดี ไมไ่ ดก้ นิ เพอื่ เลน่ ไมไ่ ดก้ นิ เพอ่ื เมา ไมไ่ ดก้ นิ เพ่ือวัตถุประสงค์อย่างอื่น การที่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้พระพิจารณาก่อนที่จะลงมือฉันอาหาร วา่ เราฉนั อาหารมอ้ื นไ้ี มใ่ ชเ่ พอื่ เลน่ ไมใ่ ชเ่ พอื่ เมา ไมใ่ ชเ่ พอ่ื ความเปลง่ ปลงั่ ของสรรี ะ ไมใ่ ชเ่ พอื่ อยา่ งอนื่ แตว่ า่ เพอ่ื ใหส้ รรี ยนต ์ คอื รา่ งกายน้ ี นะ เปน็ ไปได ้ เพอ่ื อนเุ คราะหพ์ รหมจรรย ์ คอื การกระทำ� ความด ี อยไู่ ด ้ ทีนี้ท่านท้ังหลายลองพิจารณาดู ในความเป็นจริงในบ้านของเรา ใน เมอื งของเรา หรอื ในโลกของเราวา่ คนในสงั คม คนในโลกของเรานน้ั กนิ ดว้ ยวตั ถปุ ระสงคอ์ นั นก้ี เี่ ปอรเ์ ซน็ ต ์ มากนอ้ ยแคไ่ หน ไมไ่ ดห้ มายถงึ คนยากจนหรอื ไม่มอี นั จะกนิ นัน้ เขาตอ้ งกินดว้ ยวัตถุประสงคน์ ีอ้ ยแู่ ลว้ แต่คนท่ีมีอันจะกินหรือมีเหลือกิน ก็มักจะกินเล่น กินเมา กินท้ิงกิน ขว้าง สรวญเสเฮฮา อะไรท�ำนองน้ัน นัดกันไปกินนัดกันไปกินเล่น กม็ อี ยไู่ มใ่ ชน่ ้อย เพราะฉะน้ัน กายภาวนาหรือกายพัฒนา การอบรมหรือการ พัฒนาทางกายนั้น ก็ให้เอาใจใส่กับส่ิงที่เน่ืองด้วยกายท้ังหลายทั้งปวง 20
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ เสื้อผ้าอาหาร ที่อยู่อาศัยให้ตรงตามวัตถุประสงค์ว่าเพ่ือจุดมุ่งหมาย อันใดก็ท�ำไปด้วยจุดมุ่งหมายอันนั้น อันนี้ ถ้าท�ำได้แค่กายภาวนา ข้อเดียว ก็จะช่วยเศรษฐกิจของบ้านเมืองได้เยอะ เป็นการส�ำรวม อนิ ทรยี ไ์ ปในตวั ชว่ ยเศรษฐกจิ ของบา้ นเมอื งไดเ้ ยอะเลย ในดา้ นเครอ่ื ง ใชไ้ มส้ อยทเ่ี กย่ี วกบั ปจั จยั ๔ จะไมม่ อี ะไรสญู เปลา่ ไมม่ อี ะไรเสยี เปลา่ ทกุ อยา่ งทกุ ชน้ิ ทกุ อนั เปน็ ประโยชนห์ มดเลย สำ� หรบั ผทู้ ไ่ี ดเ้ จรญิ ภาวนา เก่ยี วกับเร่อื งนด้ี ีแลว้ ท่านท้ังหลายคงจะได้ยินเก่ียวกับเร่ืองพระอานนท์ก็เป็นเร่ือง เล่ากันแพร่หลาย พระอานนท์ท่านได้จีวรมา ๕๐๐ ผืน จากพระเจ้า แผน่ ดนิ พระเจา้ แผน่ ดนิ ถามวา่ ทา่ นรบั ไปทำ� ไมจวี รตงั้ ๕๐๐ ผนื เอาไป ทำ� อะไร จะไปตง้ั รา้ นขายจวี รหรอื อยา่ งไร พระอานนทต์ อบวา่ ไมห่ รอก มหาบพิตร ก็เอาไปให้พระท่ีจีวรเก่าแล้ว แล้วจีวรเก่าเอาไปท�ำอะไร กเ็ อาไปทำ� เพดาน การสรา้ งกฏุ ใิ นเวลานนั้ คงไมไ่ ดท้ ำ� ฝา้ ทสี่ วยงามหรอื แข็งแรงอย่างท่ีท�ำกันอยู่ในเวลานี้ ก็คงจะมุงหลังคาธรรมดา และก็ มีอะไรเป็นเพดานนิดหน่อย เช่นผ้าเก่าเอาไปท�ำเพดาน ไม่ให้พวก หยากไย่หล่นลงมา แล้วเพดานเก่าเอาไปท�ำอะไร พระเจ้าแผ่นดิน ถาม กเ็ อาไปท�ำผา้ เชด็ เทา้ แลว้ ผา้ เชด็ เทา้ เกา่ เอาไปท�ำอะไร กเ็ อาไป ขย�ำกบั โคลนแล้วกฉ็ าบฝา พระอานนท์วา่ แหม พระคุณเจ้าใช้ของไม่ให้เสียเลยแม้แต่นิดเดียว พระเจ้า แผ่นดินจึงยิ่งทรงศรัทธาเล่ือมใสมากขึ้น จึงถวายเพ่ิมอีก ๕๐๐ ผืน พระอานนท์ท่านท�ำอะไรด้วยความประหยัด ประหยัดนี้คือว่า ไม่ท�ำ อะไรใหส้ ญู เปลา่ ถา้ จำ� เปน็ จะตอ้ งใชอ้ ะไรใชใ้ หค้ มุ้ คา่ คมุ้ ประโยชนข์ อง มนั เรยี กวา่ ประหยดั มธั ยสั ถน์ น้ั อกี คำ� หนง่ึ หมายความวา่ ทา่ มกลาง ระหว่างความตระหน่ีกับความฟุ่มเฟือย เขาเรียกมัธยัสถ์ ท่ามกลาง 21
ก า ร ศ ึ ก ษ า ก ั บ ก า ร พ ั ฒ น า สู่ ค ว า ม เ ป ็ น ก ั ล ย า ณ ช น แ ล ะ อ ร ิ ย ช น มธั ยสั ถก์ ม็ ธั ยมนน่ั เอง ทา่ มกลางระหวา่ งความตระหนก่ี บั ความฟมุ่ เฟอื ย แตท่ นี ส้ี งิ่ ทจี่ ำ� เปน็ เรากต็ อ้ งใชก้ เ็ รยี กมธั ยสั ถ์ แตเ่ มอื่ จำ� เปน็ ทตี่ อ้ งใชแ้ ลว้ กใ็ ชใ้ หค้ มุ้ คา่ ของมนั คมุ้ ราคาของมนั ไมใ่ ชค้ รงึ่ เดยี วแลว้ กท็ ง้ิ ครง่ึ หนง่ึ คนท่ีมีกายภาวนาดีแล้วก็ย่อมจะใช้สิ่งท่ีเก่ียวเน่ืองด้วยกายให้เป็น ประโยชน์ได้มากท่ีสุด ประการท ่ี ๒ ศีลภาวนา ศีลภาวนา คือ การอบรมศีล ศีลภาวนา หรือศีลพฒั นา การ พฒั นาศลี หรอื อบรมศลี ในทนี่ ก้ี ห็ มายถงึ การพยายามทจ่ี ะเวน้ จากทจุ รติ ทางกาย ทางวาจา โดยประการทง้ั ปวง ทจุ รติ ทางกาย ทา่ นทง้ั หลาย ก็พอเห็นง่ายอยู่ มันเป็นของท่ีหยาบ แต่มีทุจริตทางวาจา ซ่ึงคน ส่วนมากมองไมค่ ่อยเห็น เปน็ ของละเอียด ทจุ รติ ทางวาจา ๔ ขอ้ การพดู เทจ็ การพดู สอ่ เสยี ด พดู คำ� หยาบ พดู เพอ้ เจอ้ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ขอ้ สดุ ทา้ ยการพดู เพอ้ เจอ้ คนไมค่ อ่ ย จะระวงั ตามสมควร มเี รอื่ งทน่ี า่ รำ� คาญ คนพวกหนงึ่ คอื คนทม่ี าคยุ เพอ้ เจอ้ มาพดู เพอ้ เจอ้ เวลาทเี่ ราก�ำลงั งานยงุ่ เวลาทเี่ รามงี านชกุ ซง่ึ กำ� ลงั จะรีบท�ำ เขาก็ไม่ค่อยจะมีงานเท่าไหร่ แต่เขาไม่ค่อยจะส�ำรวมวาจา ไมเ่ วน้ วจที จุ รติ มาพดู เพอ้ เจอ้ เลา่ เรอื่ งเพอ้ เจอ้ คยุ เพอ้ เจอ้ เปน็ บาป นะครบั เพราะมนั เปน็ วจที จุ รติ พดู คำ� หยาบ พดู สอ่ เสยี ด ยยุ งใหค้ นเขา แตกกนั น�ำความข้างนไี้ ปบอกข้างโนน้ นำ� ความขา้ งโน้นมาบอกขา้ งน ี้ เพราะฉะน้ันคนที่ได้รับการอบรมดีแล้ว เว้นทุจริตทางกาย แล้วก็เว้น ทจุ รติ ทางวาจา เวน้ การพดู เทจ็ เวน้ การพดู สอ่ เสยี ด เวน้ การพดู คำ� หยาบ เวน้ การพดู เพอ้ เจอ้ การนนิ ทาวา่ รา้ ยผอู้ นื่ อะไรดว้ ยเจตนารา้ ย อนั นนั้ กอ็ ยใู่ นพวกนเี้ หมอื นกนั กถ็ า้ เรามคี วามประสงคท์ จ่ี ะอบรมศลี กจ็ ะตอ้ ง สำ� รวมระวงั เรอื่ งเหลา่ นมี้ ากขนึ้ ท�ำใหเ้ ปน็ ผรู้ ะวงั ค�ำพดู ระวงั การกระท�ำ 22
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ต่างๆ แล้วไม่ใช่เพียงเท่าน้ัน ยังจะต้องภาวนาเก่ียวกับเร่ืองค�ำจริงท ่ี มันเป็นฝ่ายภาวนาที่จะต้องกระทำ� ค�ำจริง ค�ำอ่อนหวาน ค�ำประสาน สามัคคี และค�ำมีประโยชน์ พูดอะไรก็พูดมีประโยชน์ น่าฟัง น่าถือ เอาไวป้ ฏิบตั ิ ประการที ่ ๓ จิตตภาวนา จติ ตภาวนา คอื การอบรมจติ อบรมจติ ใหส้ งบ ใหผ้ อ่ งแผว้ ฝกึ จติ แลว้ กท็ ำ� ตนใหเ้ ปน็ คนมจี ติ ซง่ึ ไดร้ บั การอบรมฝกึ ดแี ลว้ อนั นมี้ ปี ระโยชน์ มากเหลอื เกนิ พระพทุ ธเจา้ ทา่ นตรสั บอกวา่ จติ ทอี่ บรมแลว้ มปี ระโยชน ์ เปน็ ไปเพอ่ื ประโยชนอ์ ยา่ งเหลอื ลน้ จติ ทไ่ี มไ่ ดร้ บั การอบรมนน้ั กเ็ ปน็ ไป เพอ่ื โทษอยา่ งเหลอื ลน้ เพราะเราผทู้ ต่ี อ้ งการจะพฒั นาตนขนึ้ ไปสคู่ วาม เปน็ กลั ยาณชน กต็ อ้ งมกี ารอบรมจติ ใหส้ งบ ใหผ้ อ่ งแผว้ พยายามฝกึ จิตอยู่เสมอ วิธีฝึกจิตมีมากมายหลายวิธี ตัวอย่างเช่นสมถกรรมฐาน วปิ สั สนากรรมฐาน อนั นน้ั กเ็ ปน็ เรอื่ งกรรมฐานอยา่ งทพ่ี ดู แลว้ เมอ่ื วานน ้ี นอกจากนย้ี งั มวี ธิ ฝี กึ เชน่ วา่ เราฝกึ จติ ไมใ่ หน้ ำ� ตนไปเทยี บกบั ผใู้ ด ไมน่ ำ� ผู้ใดมาเทียบกับตน คือต้องการจะลบท้ังปมด้อยและปมเขื่องเพ่ือ ความเป็นอยู่สุขสบายของเราในชีวิตปัจจุบันน้ี ในชีวิตประจ�ำวันน้ี มวี ธิ หี นงึ่ ทดี่ มี าก ไมต่ อ้ งน�ำตนไปเทยี บกบั ใคร ไมต่ อ้ งน�ำใครมาเทยี บ กับตน ก็จะเป็นผู้ท่ีไม่มีปมด้อยในเร่ืองใดๆ แล้วจะไม่มีปมเขื่อง ลบออกเสียทั้งสองปม ท้ังปมด้อยและปมเขื่อง คนที่มีปมเขื่องก็ไม่ด ี ท�ำให้ทะนงตนดูหม่ินผู้อ่ืน คนท่ีมีปมด้อยก็ไม่ดี ท�ำให้น้อยเน้ือต�่ำใจ รู้สึกว่าเราไม่เท่าเทียมเขา มีมานะ ความทะนงตนว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราต�่ำกว่าเขาไม่ดี จะท�ำอะไรก็ท�ำไปให้ดีที่สุดตาม ความสามารถของตน แล้วก็ไม่เคยคิดที่จะแข่งขันกับผู้ใด ไม่ว่าใน ด้านใดๆ ก็กลายเป็นผู้ที่มีความเยือกเย็น สงบ ไม่แพ้ ไม่ชนะ อยู ่ เป็นสุข พระพุทธเจ้าท่านตรัสบอกว่า ละความแพ้และความชนะ 23
ก า ร ศ ึ ก ษ า ก ั บ ก า ร พ ั ฒ น า สู่ ค ว า ม เ ป ็ น ก ั ล ย า ณ ช น แ ล ะ อ ร ิ ย ช น ได้แล้ว อยู่เป็นสุข มีวิธีที่เราจะไม่แพ้และไม่ชนะ ก็คือเราไม่แข่งกับ ผใู้ ด อนั นอี้ าจไมต่ รงกบั คำ� สอนในทางโลก ทเ่ี ขาบอกวา่ เราตอ้ งแขง่ ขนั อย่างท่ีท่านทั้งหลายทราบดีอยู่แล้ว เพราะอยู่ในโลกของการแข่งขัน เอาเถอะ เป็นเร่ืองของโลก ซึ่งเป็นกระแสร้อน คือถ้าวนว่ายลงไปใน กระแสน้ัน ท่านก็ต้องยอมรับความร้อนด้วย ถ้าท่านสมัครใจที่จะ กระโดดลงไปในสนามนั้น ซึ่งมันเป็นกระแสร้อน ท่านก็ต้องยอมรับ สิ่งท่มี ีอยใู่ นสนามนั้น คอื ความรอ้ น ทีน้ีถ้าท่านไม่ต้องการจะมีความร้อน ต้องการจะมีความสงบ เยือกเย็น เราก็ไม่กระโดดลงไปในสนามน้ันแม้จะอยู่ในโลกก็จริง อยู ่ ในสังคมน้ี อยู่ในโลกนี้ แต่ก็อยู่อย่างผู้อยู่เหนือโลก แม้จะอยู่ในโลก แตก่ ท็ ำ� จติ ใหอ้ ยเู่ หนอื โลกได ้ ทว่ี า่ อยเู่ หนอื โลกนนั้ ไมใ่ ชว่ า่ รา่ งกาย แต่ ว่าจิตอยู่เหนือวิสัยของโลกหรือธรรมดาของโลก อันน้ีก็เริ่มก้าวเข้าไป สู่แดนกัลยาณชนหรืออริยชนข้ึนมา ก้าวเข้าไปสู่แดนของอริยชนบ้าง แล้ว ลองเปิดประตูเข้าไปดูว่าอริยชนน้ันเขาอยู่กันอย่างไร เขาเป็น อย่างไร หรือว่าถ้าต้องการความเป็นเลิศ ก็เป็นเลิศตามหน้าที ่ ตาม ความสามารถของตน มิได้คิดสักนิดหนึ่งว่าเราเป็นเลิศกว่าผู้นั้นผู้น้ ี หรือกว่าคนน้ันคนน้ี จะไปท�ำอะไรที่ไหนก็ท�ำไปด้วยจิตใจสงบบริสุทธิ์ ไม่ต้องการช่ือเสียง ไม่ต้องการเกียรติ ไม่ต้องการความนับถือ ไม ่ ต้องการให้เขานิยมยกย่อง แต่ว่าต้องการท�ำงานให้ส�ำเร็จไป ให้มี ประสทิ ธภิ าพดที ส่ี ดุ เทา่ ทจี่ ะดไี ด้ คนประเภทนจี้ ติ ใจเขาสงบสขุ แลว้ ก็ เยอื กเยน็ หนกั แนน่ รสู้ กึ วา่ โลกทำ� อะไรเขาไมไ่ ดเ้ ทา่ ไหร ่ เพราะวา่ ปกติ ธรรมดาน้ี คนเรานั้นตกอยู่ภายใต้การย�่ำยีของโลกเป็นอันมากเลย จนบางคนถงึ กบั ทนไมไ่ หว ทนไมไ่ หวแลว้ แตท่ นี ก้ี เ็ มอื่ สมคั รมาเดนิ ตาม แนวทางของกัลยาณชนหรืออริยชนก็ต้อง แม้จะยังไม่เป็นเช่นนั้น ก็ จะต้องเดินตามรอยของท่าน สะกดรอยตามไปหารอยของท่านให้พบ 24
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ แลว้ กส็ ะกดรอยตามไป วนั หนง่ึ เราจะตอ้ งถงึ จดุ นนั้ อยา่ งแนน่ อน ไมม่ ี ปัญหาเลย ประการท ่ี ๔ ปญั ญาภาวนา ปญั ญาภาวนา คอื การอบรมปญั ญาให้ร้เู ห็นตามความเป็นจริง เช่นเห็น ไตรลักษณ์ แยกสมมติออกจากความจริงท่ีแท้จริงได ้ แล้วก ็ ท�ำให้จิตใจไม่ติดสมมติอย่างเหนียวแน่น คือรู้ว่าแม้จะรับส่ิงสมมต ิ แต่ก็รู้อยู่ว่าส่ิงน้ีเป็นสมมติ แล้วจิตก็จะไม่ไปติดอย่างเหนียวแน่น เขา เลา่ กนั วา่ สมเดจ็ พฒุ าจารย ์ (โต) มคี นไปกราบทา่ น ทา่ นถามวา่ มาหา ใคร ตอบว่ามากราบสมเด็จ ท่านก็ช้ีไปที่พัดยศของท่าน ท่านบอกว่า สมเด็จอยู่ที่ในตู้โน่น ท่ีนั่งอยู่ตรงน้ีไม่ใช่สมเด็จ เป็นขรัวโต สมเด็จ อยู่ที่พัดยศ ท่านแยกออกได้ว่าสมเด็จไม่ได้อยู่ท่ีท่านเพราะว่าพัดยศ นั้นเป็นเคร่ืองหมาย เป็นพัดยศที่แต่งต้ังกัน ท่านแยกออกได้ ทีน้ี ในชวี ติ สามญั ชนกเ็ หมอื นกนั ถา้ มจี ติ สำ� นกึ แลว้ กแ็ ยกออกได ้ แมจ้ ะเปน็ บางคร้ังบางคราวหรือส�ำนึกรู้ อย่างนี้ก็จะไม่ติดสมมติ จนจะต้องไป กระท�ำทุจริตคดโกงเกี่ยวกับเร่ืองส่ิงสมมติต่างๆ ท่ีท�ำให้เดือดร้อนกัน ท�ำนองนั้น จะไม่ทะยานอยากในส่ิงท่ีรู้ว่าเป็นสิ่งที่สมมติจนถึงกับจะ ตอ้ งไปลงมอื ทำ� ทจุ รติ คดโกงในสงิ่ ตา่ งๆ เหลา่ นน้ั กจ็ ะไมเ่ ดอื ดรอ้ นใน ภายหลัง เรอื่ งนี้ส�ำคญั มาก 25
ก า ร ศ ึ ก ษ า ก ั บ ก า ร พ ั ฒ น า สู่ ค ว า ม เ ป ็ น ก ั ล ย า ณ ช น แ ล ะ อ ร ิ ย ช น สจั จะ ๒ อย่าง ใครไม่เข้าใจสัจธรรมสองอย่างนี้จะเข้าใจพุทธธรรมไม่ได้เลย สัจจธรรม ๒ อย่างน้ันคือ สมมติสัจจะอย่างหนึ่งและปรมัตถสัจจะ อกี อยา่ งหนง่ึ สมมตสิ จั จะ คอื ความจรงิ อยา่ งสมมต ิ สมมตวิ า่ เปน็ นนั่ วา่ เป็นน่ี ว่าอย่างนั้นว่าอย่างน้ีเป็นของสมมติจึงไม่ใช่ของจริง ของจริง แทๆ้ กค็ อื ขนั ธ ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาต ุ ๑๘ อนิ ทรยี ์ ๒๒ ทา่ นกค็ งจะได ้ ฟงั มาบา้ งแลว้ นน้ั ละ่ ของจรงิ ทเ่ี ปน็ ปรมตั ถ ์ ไมว่ า่ โดยสมมตเิ ปลอื กนอก จะต่างกันอย่างไร แต่ว่าโดยปรมัตถ์แล้วเหมือนกันท้ังนั้น เราก็ท�ำ ความเข้าใจในเร่ืองปรมัตถ์สัจจะ สมมติสัจจะ ได้ความสบายใจข้ึน เยอะ รู้สึกใจมันโล่ง มันโปร่งมันปลอด แล้วก็มันจะลอยอยู่เหนือ ส่ิงต่างๆ ได้เยอะ ไม่ตกเป็นทาสของมายาธรรมทั้งหลาย มีแต่จะท�ำ ส่ิงเหล่านั้นให้เป็นทาส เป็นเคร่ืองมือเคร่ืองใช้สอย อย่างเงินนี้ก็ม ี ประโยชน์ตามฐานะของมัน กระดาษเปื้อนสีนี้มันก็มีประโยชน์ตาม ฐานะของมัน ถ้าเราไปเป็นทาสของมัน เราก็จะเดือดร้อนไม่น้อยเลย แต่ถา้ เราเป็นนายของมัน เราก็ใชม้ ันตามต้องการตามปรารถนา เรอื่ งอน่ื ๆ กจ็ ะมลี กั ษณะคลา้ ยๆ กนั อยทู่ จ่ี ติ ใจของเรา เพราะ การอบรมปัญญาให้รู้เห็นส่ิงต่างๆ ตามความเป็นจริง เพ่ือจะไม่ติด สมมติอย่างเหนียวแน่น หรือสลัดตนออกจากมิจฉาทิฏฐิเสียได้เป็น โชคลาภอันประเสริฐของมนุษย์ผู้น้ัน เป็นสิ่งจ�ำเป็นกับชีวิต จ�ำเป็น อยา่ งยง่ิ ทเี ดยี ว มนษุ ยเ์ ราสว่ นมากเกดิ มาเปน็ ปถุ ชุ นคนธรรมดา ทำ� ไม ผมจงึ ใชค้ ำ� วา่ สว่ นมาก ทำ� ไมจงึ ไมใ่ ชค้ ำ� วา่ ทกุ คน กค็ นเราทกุ คนเกดิ มา เปน็ ปถุ ชุ น แตใ่ ชค้ �ำวา่ มนุษยเ์ ราสว่ นมากเกิดมาเป็นปุถุชนคนธรรมดา เพราะว่ามีบุคคลบางคนที่เขาเกิดมาแล้วเป็นโสดาบันเลย เขาเป็น 26
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ สกทาคามีเลย คือ เป็นมาตั้งแต่เกิด เพราะเหตุใดเพราะว่าเขาเป็น อรยิ ชนมาตงั้ แตช่ าตกิ อ่ น แลว้ กค็ ณุ สมบตั เิ หลา่ นมี้ นั ไมเ่ สอ่ื ม แมจ้ ะไป เกดิ ในชาตใิ หม ่ เขากย็ งั เปน็ โสดาบนั อย ู่ ไปเกดิ เปน็ เทวดา เปน็ โสดาบนั แลว้ พอตายแลว้ ไปเกดิ เปน็ เทวดา กเ็ ปน็ เทวดาทเ่ี ปน็ โสดาบนั พอจาก เทวดากม็ าเกดิ เปน็ มนษุ ยอ์ กี ครง้ั หนง่ึ กเ็ ปน็ มนษุ ยท์ ยี่ งั เปน็ โสดาบนั อย่ ู คุณธรรมเหล่านี้ไม่เส่ือม เพราะฉะน้ันคนส่วนมากเกิดมาเป็นปุถุชน แตว่ า่ มคี นบางคนทเี่ กดิ มากเ็ ปน็ โสดาบนั เปน็ สกทาคาม ี เขาเปน็ มาแลว้ แมต้ วั เขาเองจะไมร่ วู้ า่ เปน็ แตธ่ รรมดาของเขาเปน็ อยา่ งนนั้ คอื สงิ่ ใดท ี่ พระโสดาบันท�ำไม่ได้ คนคนนั้นท�ำไม่ได้ ท�ำไม่ได้มาแต่เล็กแต่น้อย หรอื ไมท่ ำ� เขาเปน็ มาตง้ั แตเ่ กดิ เพราะฉะนน้ั การเปน็ โสดาบนั มาตง้ั แต ่ เกิดน้ันเป็นโชคดีมากทีเดียว เพราะว่าในชาติน้ีเกือบจะไม่ได้ท�ำบาป อะไรเลย ชีวิตของเขามีแต่จะรุ่งเรืองขึ้น พัฒนาข้ึนไปเร่ือยๆ ไม่ม ี ความตกต�ำ่ แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม มนษุ ยส์ ว่ นมากกเ็ กดิ มาเปน็ ปถุ ชุ นคนธรรมดา แทบท้ังน้ัน แต่ในฐานะที่เป็นชาวพุทธก็ควรจะมีอุดมคติในการพัฒนา ตนเพ่อื เปน็ คนดีในช้ันกลั ยาณชน ปุถชุ นมสี องพวก พวกหนึ่งเขาเรยี ก วา่ อนั ธปถุ ชุ น อนั ธะทแ่ี ปลวา่ บอด ปถุ ชุ นประเภทบอด ไมใ่ ชต่ านอก บอดแต่ตาในบอด ไม่รู้จักอะไรควรเว้น อะไรควรท�ำไม่ควรท�ำ อะไร ควรเสพ อะไรไมค่ วรเสพ อนั นพ้ี วกอนั ธปถุ ชุ น ซง่ึ กอ่ กวนสงั คมอยเู่ ปน็ จ�ำนวนไม่ใชน่ อ้ ยทีเดยี ว อกี พวกหนงึ่ คอื กลั ยาณปถุ ชุ น ปถุ ชุ นชน้ั ด ี รจู้ กั บาปบญุ คณุ โทษ ประโยชน์ไม่ใช่ประโยชน์ รู้จักเว้นสิ่งท่ีควรเว้น รู้จักท�ำสิ่งท่ีควรท�ำ ก ็ เปน็ กลั ยาณปถุ ชุ น ควรจะมอี ดุ มคตใิ หส้ งู ขน้ึ จนถงึ กบั เปน็ คนประเสรฐิ ปลอดจากความทุกข์โดยสน้ิ เชิง ท่ีเรียกว่า อริยชน 27
ก า ร ศ ึ ก ษ า ก ั บ ก า ร พ ั ฒ น า สู่ ค ว า ม เ ป ็ น ก ั ล ย า ณ ช น แ ล ะ อ ร ิ ย ช น การด�ำเนนิ ชีวติ ท่ีถูกตอ้ งเพื่อการพัฒนา ถา้ เราด�ำเนนิ ชวี ติ ถกู ตอ้ ง กจ็ ะคอ่ ยๆ ววิ ฒั นาการไปเรอื่ ยๆ ไป ทลี ะนอ้ ย ทจ่ี รงิ ววิ ฒั นาการกค็ อื พฒั นาทคี่ อ่ ยๆ เปน็ คอ่ ยๆ ไปนน้ั เอง ก็เป็นวิวัฒนาการในลักษณะท่ีค่อยเป็นค่อยไปนี้ แม้จะยาวนานสัก เทา่ ไร แตเ่ ราตอ้ งมคี วามมน่ั ใจวา่ จะตอ้ งเดนิ ไปใหถ้ งึ จดุ นนั้ สกั วนั หนง่ึ ข้างหน้า และในระหว่างที่ก�ำลังวิวัฒนาการหรือเปล่ียนแปลงที่จะก้าว จากภาวะหน่ึงไปสู่อีกภาวะหน่ึง บางทีอาจจะท�ำให้เราเกิดความรู้สึก วา่ บางทมี คี วามขดั แยง้ หรอื เกดิ ความรสู้ กึ อะไรแปลกๆ ขนึ้ มาในความ ร้สู ึกนกึ คดิ ของเรากไ็ ด้ เพอ่ื จะใหเ้ รอื่ งนแ้ี จม่ แจง้ ขน้ึ ผมขอเลา่ นทิ านเปรยี บเทยี บสกั เรอ่ื ง หน่ึง แม้ว่าจะเป็นนิทานของฮินดูแต่ก็คิดว่าใช้ประโยชน์ได้ดีในการท ่ี จะน�ำมาประกอบตอนน้ี เร่ืองหนอนที่จะกลายเป็นผีเสื้อ หนอนดักแด้ หรอื ตวั แกว้ ทมี่ นั จะกลายเปน็ ผเี สอื้ ในชว่ งระยะเวลาทม่ี นั จะววิ ฒั นาการ เปล่ียนไปเป็นผีเส้ือ มันจะรู้สึกมึนงง แล้วก็มีอาการเหมือนป่วย มัน จะรู้สึกว่ามันจะต้องตาย ก็เลยจัดประชุมญาติท่ีเป็นหนอนด้วยกัน ทั้งหลาย บอกว่าฉันจะต้องตายภายในไม่ช้าน้ี ก็สั่งเสียมอบหมาย อะไรๆ เรียบร้อย พวกหนอนอื่นๆ รู้เรื่องก็ร้องห่มร้องไห้คิดว่าหนอน ตัวน้ีจะต้องตายจากไป แต่พอถึงระยะหนึ่งแทนที่มันจะตายอย่างที ่ เขา้ ใจมนั กลายเปน็ ผเี สอื้ ผเี สอื้ มปี กี สสี วยโผบนิ ไปไดใ้ นอากาศ สบาย กวา่ ตอนเป็นหนอนเยอะเลย คราวนี้ลองมาพิจารณาถึงกระบวนการวิวัฒนาการของมนุษย ์ เรา ท่ีจะเปล่ียนแปลงตัวจากความเป็นปุถุชนไปสู่อริยชน แม้ในระยะ 28
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ต้นที่จะก้าวจากเป็นอันธปุถุชนไปเป็นกัลยาณปุถุชน มันก็ยังมีอะไร เปล่ียนแปลงในลักษณะนอ้ี ยู่เหมือนกัน สมมตคิ นทเี่ คยตดิ เหลา้ กนิ เหลา้ กบั เพอื่ น เคยเลน่ ไพก่ บั เพอ่ื น อะไรตอ่ อะไรกบั เพอ่ื น อยา่ งโลกๆ มากอ่ นแลว้ ตอ่ มาอยากจะบม่ ตวั หรอื เปลย่ี นแปลงขน้ึ มา เพอ่ื นกจ็ ะพากนั แปลกใจ วา่ ทำ� ไมถงึ เปลย่ี นไป เปน็ อยา่ งนน้ั เสยี แลว้ เหลา้ กไ็ มก่ นิ อะไรทเี่ คยทำ� อยกู่ ไ็ มท่ ำ� แลว้ มนั จะ เปน็ ความสขุ ไดอ้ ยา่ งไร ตวั เขาเองกเ็ หมอื นกนั กร็ สู้ กึ วา่ เอะ๊ ในภาวะ ใหม่น้ีมันจะมีความสุขได้อย่างไร ผมขอยกตัวอย่างนิดหนึ่ง คนที่เคย ติดบหุ รอี่ าจจะมคี วามรู้สึกวา่ ถ้าเลกิ บหุ รี่แลว้ มนั จะเหงา เพราะเคยม ี บุหรี่เป็นเพ่ือน เม่ือรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาก็หยิบบุหร่ีมาสูบ อะไรก ็ คอ่ ยยงั ชวั่ ขน้ึ หนอ่ ย แตถ่ า้ จะเลกิ บหุ ร ี่ คงจะเหงาแยเ่ ลย แตพ่ อเอาเขา้ จริง พอเลิกบุหรี่ได้จริง กลับมีความรู้สึกว่าบุหรี่นั้นเป็นภาระอันหนัก เวลาน้ีเลิกบุหรี่ได้แล้วสบายมาก อย่างน้ีมีความสุขความสบายกว่ากัน เยอะเลย แตว่ า่ คนปถุ ชุ นธรรมดากม็ คี วามสงสยั กนั วา่ เอ...ถา้ เราไปเปน็ คนดมี ากๆ ไปเปน็ พระอรยิ ะแลว้ มนั จะสนกุ ตรงไหน อยเู่ งยี บๆ เหงาๆ สงบ อะไรท�ำนองน้ี อย่าไปกลัวอันนี้ ภาวะใหม่ ซ่ึงเป็นภาวะของ กลั ยาณปุถุชน หรือเป็นอริยชน มันจะมีเร่ืองสนุกใหม่ที่ไม่ใช่เรื่องเก่า เป็นเรื่องความสุขสบายใหม่ท่ีมันเข้ามาแทนที่ได้อย่างมากทีเดียว คล้ายๆ สมัยเด็กที่เคยเล่นทราย เคยเล่นโคลน เด็กๆ ใครไปห้าม ไมใ่ หไ้ ปเลน่ ทรายเลน่ โคลน เปน็ การขดั ความสขุ อยา่ งมากเลย แตพ่ อ ต่อมาเป็นผู้ใหญ่ข้ึนแล้ว จะเห็นเองว่าการเล่นทรายเล่นโคลนนั้นเป็น เรอื่ งเหลวไหลไรส้ าระ แตผ่ ใู้ หญเ่ องมเี รอ่ื งสนกุ ของผใู้ หญ ่ มเี รอื่ งใหเ้ กดิ ความสบายใจตามแบบของผู้ใหญ่ บางท่านอยู่กับต�ำรับต�ำรา อยู่กับ หนงั สอื พอแลว้ อยา่ งนม้ี นั กา้ วมาจากภาวะหนง่ึ ไปสภู่ าวะหนงึ่ ซงึ่ ดกี วา่ ประณีตกว่า สบายกว่า สงบกว่าต้ังเยอะ ถ้าเทียบกับการไปเที่ยว 29
ก า ร ศ ึ ก ษ า ก ั บ ก า ร พ ั ฒ น า สู่ ค ว า ม เ ป ็ น ก ั ล ย า ณ ช น แ ล ะ อ ร ิ ย ช น บางแสน ไปเทย่ี วหวั หนิ ทคี่ นเขาไปกนั เขาตอ้ งเตรยี มการ ตอ้ งวนุ่ วาย ต้องอะไรหลายอย่าง ต้ังแต่ยังไม่ได้ไป ระหว่างเดินทางก็เดือดร้อน ระหว่างไปถึงแล้วก็มีปัญหาเยอะแยะ ถ้าเปรียบเทียบกับการที่ท่าน มีความสุขกับการได้อ่านหนังสือธรรมะอยู่กับบ้าน ถ้าท่านมีความสุข กับเร่ืองน้ันได้ ท่านก็มีความสุขกว่าคนไปเที่ยวเป็นไหนๆ เพราะว่า ไม่ต้องเตรียมการอะไร และเป็นความสุขที่สงบเยือกเย็น ได้ความรู้ ได้ปัญญา แต่คนท่ีเขาเป็นนักเท่ียวเขามองไม่เห็นความสุขเช่นนั้น ของเราหรอก วา่ เรามคี วามสขุ ได้อยา่ งไร หลกั ธรรมอันเปน็ เครอื่ งมือในการพฒั นา ล�ำดับต่อไปน้ีก็จะกล่าวถึงธรรมอันเป็นเคร่ืองมือสำ� หรับพัฒนา หรือคุณสมบัติพื้นฐานที่จะก้าวไปสู่การเป็นกัลยาณชนและอริยชน โดยล�ำดับ ซ่ึงก็มีอยู่หลายอย่างด้วยกัน ในท่ีนี้จะขอยกมากล่าวเพียง ๕ อย่างก่อน ในฐานะที่เป็นเคร่ืองมือพัฒนา หรือคุณสมบัติพื้นฐาน ของผทู้ ่จี ะเป็นกัลยาณชนและอริยชน ๑. ศรทั ธา ประการท่ีหนึ่งก็คือ ศรัทธา มีความเชื่อตามพระไตรปิฎก ก็ กลา่ วถงึ ความเชอ่ื ในปญั ญาตรสั รขู้ องพระพทุ ธเจา้ วา่ พระพทุ ธเจา้ เปน็ ผตู้ รสั รจู้ รงิ รแู้ จง้ เหน็ จรงิ เมอื่ เชอ่ื ในพระปญั ญาตรสั รขู้ องพระพทุ ธ- เจ้าแล้ว ก็จะเชื่อเร่ืองอ่ืน ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนต่อไปอีก อย่างเช่น พระพทุ ธเจา้ เปน็ กรรมวาท ี แปลวา่ กลา่ วกรรม คอื เชอ่ื เรอ่ื งกรรมและ ผลของกรรม การทส่ี ตั วท์ งั้ หลายมกี รรมเปน็ ของตน ตลอดไปจนถงึ วา่ บคุ คลทำ� อยา่ งใดไดอ้ ยา่ งนน้ั อนั นกี้ จ็ ะเรมิ่ ตน้ ไปจาก ตถาคตโพธศิ รทั ธา ตถาคตะ แปลว่า ตถาคต โพธิ แปลว่า ปัญญา พระปัญญาของ 30
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ พระตถาคตว่าเป็นผู้ตรัสรู้จริง มีศรัทธาอย่างนั้นหนาแน่น มีศรัทธา หนักแน่น ก็จะแสดงออกว่าเป็นผู้มีศรัทธา อย่างเช่น อยากเห็น ผู้มีศีลมีธรรม อยากจะฟังธรรมของผู้มีศีลมีธรรม แล้วก็ไม่ตระหนี ่ อันนี้เป็นลักษณะการแสดงออกของผู้ที่มีศรัทธา แต่ศรัทธาที่ต้องการ ในพทุ ธศาสนาทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทา่ นตอ้ งการนนั้ เปน็ ศรทั ธาทปี่ ระกอบดว้ ย ปญั ญา ไมใ่ ชศ่ รทั ธาทปี่ ระกอบดว้ ยโมหะ หรอื ไมป่ ระกอบดว้ ยปญั ญา เป็นศรัทธาท่ีประกอบด้วยปัญญา แต่ถึงอย่างไรก็ตามแม้จะไม่กล่าว ในท่ีน้ี แต่ที่จะต้องกล่าวในหัวข้อต่อไปเพราะว่ามีปัญญาคุมอยู ่ คุม ท้ายอยู่ อันที่จริงศรัทธานั้นเป็นหลักฐานส�ำคัญของผู้ท่ีจะเป็นคนด ี และของผทู้ จี่ ะกา้ วขนึ้ ไปเปน็ ระดบั อรยิ ะ เพราะวา่ ถา้ ไมม่ คี วามเชอื่ อะไร เสยี เลย ไมม่ น่ั ใจอะไรเสยี เลย มนั กท็ ำ� อะไรไมไ่ ด้ แตต่ อ้ งเปน็ ศรทั ธา ทป่ี ระกอบดว้ ยญาณ ดว้ ยปญั ญา หรอื มคี วามเชอ่ื ในสง่ิ ทตี่ รองเหน็ ดว้ ย ปัญญาแล้ว วา่ เป็นสงิ่ ที่ควรเช่ือ เป็นส่งิ ท่ีควรจะตอ้ งให้มน่ั ใจ อย่างท ่ี ทา่ นวา่ ศรทั ธาตง้ั มนั่ แลว้ ยงั ประโยชนใ์ หส้ ำ� เรจ็ ทำ� อะไรสำ� เรจ็ อยา่ งนี ้ เพราะฉะน้ันคุณธรรมพ้ืนฐานประการแรก ก็คือศรัทธา อย่างน้อยก ็ ตอ้ งมคี วามม่นั ใจในพระรตั นตรยั ว่าเปน็ ประทปี สอ่ งทางชวี ติ ๒. ศีล คณุ สมบตั ขิ อ้ ทสี่ องคอื ศลี ซงึ่ หมายถงึ ความประพฤตเิ รยี บรอ้ ย ทางกาย ทางวาจา เวน้ จากการเบยี ดเบยี นทางกาย ทางวาจา มมี ารยาท ด ี มกี ริ ยิ าอาการงดงาม นกี้ อ็ ยใู่ นคณุ สมบตั ขิ องศลี ทส่ี ำ� คญั ทสี่ ดุ กค็ อื ศลี ทเ่ี ปน็ เบอื้ งตน้ ตามภมู ชิ นั้ ของตนเชน่ วา่ ศลี ๕ ศลี ๘ ศลี ๑๐ หรอื ศลี ๒๒๗ อะไรกแ็ ลว้ แตฐ่ านะ หรอื ภมู ชิ นั้ ของตน อนั นก้ี ไ็ มม่ อี ะไรจะ ตอ้ งพดู กนั มาก ถา้ จะพดู ใหล้ ะเอยี ดกต็ อ้ งพดู กนั ยาว แตว่ า่ เรอ่ื งนเ้ี ปน็ เรื่องที่เข้าใจได้ง่ายอยู่แล้ว ว่าจะต้องมีศีลเป็นพ้ืนฐานสำ� คัญ ทีนี้ผู้ท่ี จะทำ� สมาธ ิ หรอื เจรญิ ปญั ญานนั้ จะตอ้ งมศี ลี พอสมควร ไมใ่ ชไ่ มม่ เี ลย 31
ก า ร ศ ึ ก ษ า ก ั บ ก า ร พ ั ฒ น า สู่ ค ว า ม เ ป ็ น ก ั ล ย า ณ ช น แ ล ะ อ ร ิ ย ช น ถ้าไม่มีเสียเลยจะท�ำสมาธิหรือเจริญปัญญาไม่ได้ ถึงจะมีไม่บริบูรณ ์ ก็ตาม ถ้าจะคอยให้บริบูรณ์เสียก่อนก็ไม่มีโอกาสท่ีจะท�ำสมาธิและ อบรมปัญญาได้ เพราะว่าโดยความเป็นจริงแล้ว สมาธิน้ันจะมาช่วย ศีลให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์งดงาม เพราะว่าคนที่ใจสงบแล้วจะรักษาศีล ได้ง่าย ถ้าไม่มีสมาธิ การรักษาศีลก็ยาก ศีลมันจะคอยออกนอกทาง อยู่เร่ือยไป มันดิ้นขลุกขลัก ขลุกขลักอยู่ เพราะว่าใจของเราไม่สงบ ก็ต้องคอยระแวดระวัง เหมือนกับเราเอาสัตว์ที่ยังไม่เช่ืองมาขังเอาไว ้ มันก็จะดิ้นจะกระโดดออกจากคอกอยู่เร่ือยไป แต่ถ้าสัตว์ท่ีเช่ืองแล้ว เราท�ำแค่ปิดประตูขังเฉยๆ มันก็ไม่ไปไหน เพราะฉะน้ันกายกับวาจา มนั เปน็ ลกู นอ้ งของจติ ถ้าเราฝึกจติ ไดพ้ อสมควร ใหจ้ ติ สงบแล้ว การ คิดเบียดเบียนก็ไม่ม ี การท่ีจะล่วงศีลก็ไม่ม ี เพราะฉะน้ัน ท่านจะต้อง ท�ำพร้อมกันไป รักษาศีลไปด้วย เจริญสมาธิไปด้วย อบรมปัญญา ไปดว้ ย ใครเขาจะวา่ อยา่ งไรกช็ า่ งเถอะ เขาบอกวา่ แหม ศลี ยงั รกั ษา ไม่ครบเลย ไปท�ำสมาธิ ก็บอกเขาว่าฉันไปท�ำสมาธิเพ่ือรักษาศีลให ้ ครบนั่นแหละ ถ้าเผื่อไม่ท�ำสมาธิ ศีลฉันจะไม่ครบอยู่อย่างนี้ ต้องไป ทำ� สมาธชิ ว่ ยใจ จะไดส้ งบรกั ษาศลี ไดง้ า่ ย ไมก่ ระวนกระวาย ในขณะ เดียวกันท�ำปญั ญาไปดว้ ย และนี้อกี ขอ้ หนึ่ง ๓. สตุ ะ คณุ สมบตั ขิ อ้ ทสี่ าม เขาเรยี กวา่ สตุ ะ ทแ่ี ปลวา่ การสดบั ตรบั ฟงั แตใ่ นทนี่ เี้ ราจะตอ้ งจำ� กดั ใหแ้ คบเขา้ มา ไมไ่ ดห้ มายถงึ การสดบั ตรบั ฟงั ทั้งหมดท้ังปวงท้ังส้ิน อะไรมากมาย แต่ต้องได้สดับอริยธรรม คือ ธรรมของพระอริยะหรือธรรมที่ประเสริฐ สุตะ ในท่ีนี้เราหมายถึง คุณสมบัติพื้นฐานของผู้ท่ีจะก้าวขึ้นไปสู่กัลยาณชนและไปสู่อริยชน เพราะฉะนน้ั สตุ ะคอื การสดบั ตรบั ฟงั น ี้ กต็ อ้ งเปน็ การไดส้ ดบั อรยิ ธรรม ได้ยินเสียงกู่ของอริยธรรม หรือแว่วเสียงอริยธรรม ได้ยินเสียงอริย 32
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ธรรมแลว้ มนั กซ็ มึ ซาบเขา้ ไป ไดส้ ดบั ธรรมของพระอรยิ ะ ไมไ่ ดห้ มายถงึ คนใดคนหนง่ึ แตว่ า่ หมายถงึ พระธรรมของพระพทุ ธเจา้ ของพระอรหนั ต ์ ทปี่ รากฏอยใู่ นพระไตรปฎิ ก หรอื คนทนี่ ำ� มาเผยแพรน่ นั้ กเ็ ปน็ ธรรมของ พระอริยะท้ังนั้น แม้ผู้กล่าวจะไม่ได้เป็นอริยะ แต่ธรรมนั้นเป็นธรรม ของพระอริยะ คลา้ ยๆ ผู้ทถ่ี า่ ยทอดพระราชกระแสรับสง่ั ของพระเจา้ แผน่ ดนิ แมผ้ นู้ นั้ จะมไิ ดเ้ ปน็ พระเจา้ แผน่ ดนิ แตก่ ถ็ า่ ยทอดกระแสรบั สงั่ ของพระเจ้าแผ่นดิน ก็ถือว่าเป็นพระบรมราชโองการ เพราะฉะนั้น ธรรมของพระพุทธเจ้า ใครจะต้องนำ� มากล่าว เราก็ถือเป็นอริยธรรม เปน็ ธรรมของพระอรยิ ะทงั้ นน้ั ฟงั ไปเถอะไมเ่ ปน็ ไร ใครจะเปน็ คนกลา่ ว ก็ขยันฟังเอาไว้ไม่เสียหลาย คราวนผี้ ทู้ ไ่ี ดส้ ดบั ธรรมของพระอรยิ ะน ี้ ผมอยากจะใชค้ ำ� ศพั ทท์ ่ี สวยๆ สกั คำ� หนงึ่ เขาเรยี ก สตุ วาอรยิ สาวก อรยิ สาวกนแ้ี ปลได ้ ๒ อยา่ ง อย่างหน่ึงแปลว่า สาวกของพระอริยะ อีกอย่างหน่ึงแปลว่า สาวก ผู้เป็นอริยะ อริยะก็หมายถึง ตัวบุคคลนั้นเป็นอริยะเสียเอง ทีน้ีอีก ความหมายหน่ึงแปลว่า สาวกของพระอริยะ ตามความหมายนี้ท่าน ทงั้ หลายกเ็ ปน็ อรยิ สาวก ในความหมายวา่ เปน็ สาวกของพระอรยิ ะ คอื เปน็ ผฟู้ งั เปน็ ลกู ศษิ ยข์ องพระอรยิ ะมพี ระพทุ ธเจา้ เปน็ ตน้ คราวนอี้ รยิ - สาวกผไู้ ดส้ ดบั ธรรมผไู้ ดส้ ดบั อรยิ ธรรมแลว้ กบั ปถุ ชุ นผมู้ ไิ ดส้ ดบั ธรรม จะมีลักษณะผิดกัน ท่านท้ังหลายได้โปรดฟังข้อความต่อไปน้ีลักษณะ ผิดกัน ท่านทั้งหลายได้โปรดฟังข้อความต่อไปนี้จะเข้าใจชัดเจนใน พระสตู รหนง่ึ ทเ่ี รยี กวา่ โลกธรรมสตู ร ทวี่ า่ ดว้ ยโลกธรรม ๘ ลาภ เสอ่ื ม ลาภ ยศ เสอื่ มยศ นนิ ทา สรรเสรญิ สขุ ทกุ ข์ โลกธรรม ๘ แบง่ เปน็ ฝา่ ยทนี่ า่ ปรารถนา ๔ และไมน่ า่ ปรารถนา ๔ โลกธรรมนจ้ี ะตอ้ งเกดิ ขนึ้ ทงั้ แกส่ าวกของพระอรยิ ะผไู้ ดส้ ดบั สตุ วาอรยิ สาวก และจะเกดิ ขน้ึ แก่ ปุถุชนผู้มิได้สดับ คือ ท้ังสาวกของพระอริยะ ทั้งปุถุชนผู้มิได้สดับ 33
ก า ร ศ ึ ก ษ า ก ั บ ก า ร พ ั ฒ น า สู่ ค ว า ม เ ป ็ น ก ั ล ย า ณ ช น แ ล ะ อ ร ิ ย ช น ธรรมของพระอรยิ ะ ยอ่ มจะไดร้ บั โลกธรรมทัง้ แปดนี้ด้วยกัน คราวน้ีพระพุทธเจ้าท่านทรงต้ังปัญหาว่า อะไรคือข้อแตกต่าง ระหว่างอริยสาวกผู้ได้สดับกับปุถุชนผู้ไม่ได้สดับเม่ือประสบกับโลก- ธรรมนี้แล้ว ท่านก็ตอบว่า เม่ือลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เส่ือมลาภ เสอ่ื มยศ นนิ ทา ทกุ ข ์ เกดิ ขนึ้ แกป่ ถุ ชุ นผมู้ ไิ ดส้ ดบั เขาไมไ่ ดส้ ำ� เหนยี ก ให้รู้ตามความเป็นจริงว่าส่ิงนี้เกิดข้ึนแล้วแก่เรา เขาจะมีความรู้สึก ยนิ ด ี ตดิ ใจ พอใจในลาภ ยศ สรรเสรญิ สขุ และถา้ เสอ่ื มลาภ เสอื่ ม ยศ นนิ ทา ทกุ ข ์ เขาจะเสยี ใจ เขาจะโทมนสั เขาจะเศรา้ โศก เขาจะ มีอาการฟุบลง แต่ส�ำหรับอริยสาวกแล้ว เมื่อลาภยศ สรรเสริญ สุข เกดิ ขนึ้ กส็ ำ� เหนยี กรตู้ ามความเปน็ จรงิ วา่ สง่ิ นเี้ กดิ ขน้ึ แลว้ แกเ่ รา แตว่ า่ มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เมื่อเส่ือมลาภ เสอื่ มยศ ไดร้ บั คำ� นนิ ทา ประสบทกุ ข ์ กส็ ำ� เหนยี กรตู้ ามความเปน็ จรงิ วา่ มนั ไมเ่ ทย่ี ง เปน็ ทกุ ข ์ มคี วามแปรปรวนเปน็ ธรรมดา เธอกไ็ มเ่ สยี ใจ เม่ือต้องสูญเสียสิ่งเหล่าน้ัน และเธอก็ไม่มีจิตที่ฟูขึ้นเม่ือได้ประสบส่ิง ทน่ี า่ พอใจและนา่ ปรารถนา เชน่ ลาภ ยศ เปน็ ตน้ นคี่ อื ความแตกตา่ ง ระหว่างปุถุชนผู้มิได้สดับธรรมของพระอริยะ กับสุตวาอริยสาวกผู้ได้ สดบั แลว้ ผมมคี นทเ่ี กยี่ วขอ้ งตดิ ตอ่ คนุ้ เคยอยหู่ ลายอาชพี แลว้ เขากป็ ระกอบ อาชพี ดว้ ยความระทมขมขน่ื เปน็ อนั มาก แมเ้ งนิ เดอื นจะแพง แตค่ วาม ทุกข์ก็แรงด้วย ก็มีความรู้สึกว่าการประกอบอาชีพเหล่าน้ันเป็นสิ่งท ่ี สรา้ งความทกุ ขท์ รมานใหแ้ กต่ วั เองเปน็ อยา่ งมาก ถามวา่ มนั เรอ่ื งอะไร กัน เขาบอกว่าส่วนใหญ่มันเกิดจากเพ่ือนร่วมงาน ไม่ได้เกิดจากงาน หนกั เทา่ ไหร่ จะทำ� คำ่� มดื ดกึ ดน่ื อยา่ งไรกไ็ มเ่ ปน็ ไร แตส่ ำ� คญั คอื เพอ่ื น ร่วมงานไม่เข้าใจกัน คอยเสียดสีกัน คอยกระทบกระท่ังกันมากมาย 34
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ก็ท�ำให้เกิดความทุกข์ขึ้น ผมก็บอกว่านี่แหละ เราไปอยู่ร่วมกับปุถุชน ผู้มิได้สดับ ไม่ได้สดับธรรมของพระอริยะ ไม่ได้แว่วเสียงธรรมของ พระอริยะ ไม่ได้ยินเสียงกู่ของพระอริยะเลยแม้แต่น้อย มืดสนิทเลย ดบั สนทิ เลย ถามวา่ เคยคยุ กนั บา้ งไหมเรอื่ งธรรมะ ไมเ่ คย เคยปรารภ เรอ่ื งปญั หาชวี ติ วา่ เราจะแกป้ ญั หาชวี ติ อยา่ งไร เคยมไี หมในทที่ ำ� งาน ไมม่ เี ลย คยุ กนั แตเ่ รอ่ื งอนื่ ทงั้ นนั้ เลย สว่ นมากคอื เพอ้ เจอ้ คยุ เพอ้ เจอ้ เม่ือเป็นเช่นนี้เขาจะมีชีวิตอยู่ด้วยความทรมาน แม้เงินเดือนจะแพง แตม่ นั ไมค่ มุ้ กบั สขุ ภาพจติ ทจี่ ะตอ้ งเสอ่ื มลง ทรดุ ลง เพราะไดร้ บั ความ เดอื ดรอ้ นเหลอื เกนิ ทนี ถ้ี า้ เราสามารถจะสรา้ งสตุ วาอรยิ สาวกขน้ึ ไดใ้ น ที่ท�ำงานต่างๆ เราจะสามารถสร้างโลกทิพย์ (divine world) ขึ้น ในที่ท�ำงาน ในสังคมของเราได้ เป็นโลกทิพย์ในสังคมมนุษย์ แต่ผม ก็ทราบว่าค่อนข้างจะยาก แต่ก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่บ้างในท่ีบางแห่ง ทเ่ี ขาอยกู่ นั ดว้ ยอยา่ งมคี วามสงบสขุ เมตตาปราน ี เขา้ ใจกนั ไมม่ กี าร นนิ ทาวา่ รา้ ย ไม่มอี ะไรเลย มีแตค่ วามเอือ้ เฟอื้ ต่อกันเพราะว่าในกลมุ่ ของบุคคลเหล่าน้ันมีแต่สุตวาอริยสาวกคือเป็นสาวกของพระอริยะที่ ไดส้ ดบั ธรรมของพระอรยิ ะแลว้ คดิ แตจ่ ะขดั เกลาตวั เอง จบั ผดิ ตวั เอง ไม่ค่อยไปจับผิดผู้อ่ืนมากจนเกินไป จนเกินเหตุ ก็ท�ำให้ที่ท�ำงานน้ัน น่าอยู่ น่าท�ำ น่าไป อันนี้เร่ืองของสุตะ การได้สดับ การสดับนี้เรา จำ� กดั ลงมาในเรอื่ งวา่ การสดบั ธรรมของพระอรยิ ะหรอื อรยิ ธรรม แลว้ ก็ท�ำให้มคี วามรสู้ กึ วา่ เราจะตอ้ งเดนิ ตามรอยของพระอรยิ ะใหไ้ ด้ หรอื ก�ำลงั เดนิ ตามรอยอยู่ สะกดรอยอยู่ ว่าท่านเดินไปทางไหน ท่านจึง ถึงจุดหมายอันน้ัน ก็พยายามเดินตามไป แม้จะยังไม่ถึงก็ตาม แต่ก็ ร้วู ่ารอยนี้แหละ ก็ยงั พอตามไปได้ 35
ก า ร ศ ึ ก ษ า ก ั บ ก า ร พ ั ฒ น า สู่ ค ว า ม เ ป ็ น ก ั ล ย า ณ ช น แ ล ะ อ ร ิ ย ช น ๔. จาคะ พน้ จากมจั ฉรยิ ะ ประการต่อมา จาคะ ความเสียสละ ในพระบาลีหรือในพระ พทุ ธพจนท์ วั่ ไป กม็ กั จะกลา่ วถงึ วา่ ปราศจากความตระหน่ี มมี อื ชมุ่ อย ู่ เสมอ คอื พรอ้ มจะให ้ แลว้ กเ็ ปน็ ผคู้ วรแกก่ ารขอ แลว้ กร็ คู้ ำ� ของยาจก ผขู้ อ ปราศจากความตระหน ี่ อยคู่ รองเรอื นโดยปราศจากความตระหนี ่ อันนี้เอาไว้กล่าวในรายละเอียดข้างหน้า อาจจะต้องขยายไปอีกบ้าง อยา่ งนอ้ ยทส่ี ดุ ทา่ นกจ็ ะพน้ จากความตระหน ี่ ๕ อยา่ ง เชน่ วา่ ตระหนี่ ทอี่ ย ู่ เรียกว่า อาวาสมจั ฉรยิ ะ คือ ตระหนที่ ีอ่ ยู่ กีดกันท่ีอย่ ู ตระหน ่ี ลาภ พ้นจากความตระหนี่ลาภ ไม่กีดกันลาภของผู้ใด มีความพอใจ ต่อการได้ลาภของผู้อื่นเหมือนกับลาภน้ันเกิดขึ้นแก่ตน อย่างนี้ใคร เงินเดอื นขนึ้ กอ็ นุโมทนาไม่ว่าอะไร เราจะไดข้ น้ึ บา้ ง ไม่ไดข้ ึน้ บา้ ง ถ้า หากพอกินแล้วก็แล้วไป ก็ไม่เป็นไร ถึงเงินเดือนไม่ข้ึนก็พอกินแล้ว อยู่ได้แล้วก็ไม่เป็นไร ให้คนอื่นเขาขึ้นไป แล้วก็ควรจะสงสารคนท่ีข้ึน ๒ ขน้ั บอ่ ยๆ คนทเี่ งนิ เดอื นขนึ้ ๒ ขน้ั บอ่ ยๆ เปน็ คนทนี่ า่ สงสาร เพราะ ว่าเขาจะได้รับอะไรที่นอกเหนือจากเงินเดือน ซ่ึงมันไม่ใช่เป็นส่ิงท่ีดี เขาไดร้ บั ในสง่ิ ทไี่ มด่ หี ลายอยา่ ง ทไ่ี มใ่ ชเ่ งนิ เดอื น บางทกี อ็ ยใู่ นหมเู่ พอื่ น ฝงู เงนิ เดอื นขน้ึ ๒ ขน้ั เพอื่ นกช็ วนไปเลย้ี งทเี ดยี วกห็ มดแลว้ ทง้ั ป ี ฉลอง เงนิ เดอื น ๒ ขน้ั เอาไปเลย้ี งกนั หมดแลว้ ๒ ขนั้ คดิ แลว้ ไดแ้ คน่ ี้ เอาไป เลย้ี งทเี ดยี วหมด หลงั จากนน้ั กม็ แี ตเ่ พอื่ นกระแนะกระแหน เพอื่ นเขมน่ เพื่อนมองในสายตาท่ีไม่ดี นี่หรือ ๒ ข้ัน ท�ำอะไรผิดพลาดนิดหน่อย ก็ถูกโจมตี ถูกกระแนะกระแหน เพราะฉะนั้นก็ต้องมองให้เห็นตาม ความเปน็ จรงิ ถงึ โทษของสงิ่ ทเี่ ราไดม้ าวา่ ถงึ จะมคี ณุ อยบู่ า้ ง แตก่ ม็ โี ทษ อยู่ด้วย ต้องมองด้วยสายตาแห่งปัญญาว่าสิ่งที่เราได้มาน้ัน ถึงแม้จะ เป็นคุณแต่ก็มีโทษติดมาด้วยเหมือนกัน เมื่อเรามีสายตาแห่งปัญญา แบบนแ้ี ลว้ กท็ ำ� ใหเ้ รารสู้ กึ วา่ ไดห้ รอื ไมไ่ ดก้ เ็ ทา่ กนั ไมเ่ ปน็ ไร เพราะวา่ 36
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ สิ่งท่ีเราได้มามีส่วนเสียติดมาด้วยท�ำนองนี้ ผมเคยแนะน�ำพวกเด็กๆ ลูกศิษย์ท่ีเขาตอ้ งเดอื ดร้อนกบั เร่ืองที่ครู่ ัก หรือแฟนเขาตีจากไป ผม ถามวา่ เวลาตดิ ตอ่ กบั เขา เปน็ ครู่ กั กบั เขา ไปๆ มาๆ กบั เขาอย ู่ มนั มี ความเดือดร้อนอะไรอยู่บ้างหรือเปล่า เขาก็บอกว่ามีความเดือดร้อน เยอะ เชน่ ตอ้ งเสยี เวลาบา้ ง ตอ้ งเอาใจเขาบา้ ง สารพดั อยา่ ง ใหท้ ำ� บัญชีมาว่ามคี วามเดือดร้อนอะไรบา้ ง เขาก็ทำ� บญั ชีมาเรยี บร้อย ทนี ี้ พอเขาจากไปแล้ว ผมถามว่า ความเดือดร้อนมันจากไปด้วยใช่ไหม เขาจงึ นกึ ไดว้ า่ ออ้ จรงิ ความเดอื ดรอ้ นเหลา่ นม้ี นั หายไปดว้ ย พอเขา จากไปแลว้ ตอนทเ่ี ราไดเ้ ขามาเปน็ แฟน ความเดอื ดรอ้ นตา่ งๆ เหลา่ น้ี ก็ตามมาด้วย แม้จะมีส่วนด ี ส่วนเสียมันก็ติดมาด้วย ทีนี้พอเขาจาก ไปส่วนดีก็หายไป ส่วนเสียก็หายไป ตกลงก็เท่ากัน มันไม่ได้ไม่เสีย ท�ำใจให้สบายเถอะ ไม่เป็นไร ท�ำนองนี้ เพราะฉะนั้นสาวกของ พระอริยะผู้ได้สดับแล้ว เวลาได้ลาภ ท่านก็ก�ำหนดรู้ว่าส่ิงนี้เป็น ความทุกข์ ไม่เที่ยง มีความทุกข์ติดมาด้วย มีความแปรปรวนเป็น ธรรมดา พอท่านก�ำหนดไว้อย่างนี้แล้ว ท่านก็ไม่เพลิดเพลินในสิ่งน้ัน พอมันเสียไป ท่านก็ก�ำหนดรู้ตามความเป็นจริงว่าเมื่อมันเสียไป โทษ ของมนั กห็ ายไปดว้ ย มนั คดิ กนั อยา่ งนนั้ ทงั้ คณุ ทง้ั โทษ กร็ สู้ กึ วา่ เทา่ เดมิ ไมไ่ ด้ไมเ่ สยี ก็คงสบายใจอยไู่ ด้ ต่อไป กุลมัจฉริยะ ตระหน่ีตระกูล จะขอยกตัวอย่างทางพระ กอ่ นนะครบั บางทพี ระสนทิ สนมกบั ตระกลู นน้ั ตระกลู นี้ และกห็ วงแหน ไม่อยากให้พระด้วยกันมาสนิทด้วยในตระกูลนั้น เช่นว่าหวงตระกูล ของโยมอปุ ฏั ฐาก ทา่ นผนู้ ้ี คณุ หญงิ คนน ี้ คณุ นายคนน ้ี ทา่ นผนู้ เ้ี ปน็ โยม ของเรา พระองคอ์ นื่ จะไปเกย่ี วขอ้ งดว้ ยไมไ่ ด้ ตระหนต่ี ระกลู ทำ� ใหเ้ กดิ การหมองใจกนั ทะเลาะเบาะแวง้ กนั กม็ ี นใ้ี นทางพระ ในทางฆราวาส ก็คล้ายๆ กัน บางทีก็อาจจะเกิดในตระกูลใหญ่ แล้วก็ไม่อยากจะให ้ 37
ก า ร ศ ึ ก ษ า ก ั บ ก า ร พ ั ฒ น า สู่ ค ว า ม เ ป ็ น ก ั ล ย า ณ ช น แ ล ะ อ ร ิ ย ช น ใครมาร่วมตระกูลด้วย หรือถ้าใครมาร่วมตระกูลก็ต้องคัดแล้วคัด อีก อะไรอย่างน้ี ทีนี้คนท่ีจะพามาเข้าตระกูลน้ีเขาก็พอใจแล้ว แต่ว่า เจ้าของตระกูลซึ่งเป็นคนใหญ่ยังไม่พอใจก็เกิดขัดแย้งกันขึ้น ว่าคน อย่างน้ีมาร่วมตระกูลเราไม่ได้ หรือว่า ถ้าในสมัยก่อนก็ยิ่งชัดขึ้น อย่างเช่นว่าพวกถือโคตร ถือวงศ์ ถือเหล่า ถือกอ แล้วก็หวงแหน เหนียวแน่น ไม่อยากให้ใครมาเก่ียวข้องกับเหล่ากอของตน อย่างนี้ก ็ เรียกว่า กลุ มัจฉริยะ ตระหน่ตี ระกลู อีกอันหน่ึง วรรณมัจฉริยะ ตระหนี่วรรณะ ถ้าอธิบายแบบ อินเดียมันก็ง่าย อินเดียเขาแบ่งเป็นวรรณะน้ัน วรรณะนี้ ต่างคน ตา่ งอย่ ู ใครอยา่ มายงุ่ กบั ฉนั ไมไ่ ด้ มายงุ่ กบั วรรณะเราไมไ่ ด้ แตถ่ า้ ใน สังคมที่ไม่มีวรรณะเช่นน้ัน วรรณะนี้ มันแปลว่า เกียรติคุณก็ได้ ค�ำ สรรเสรญิ กไ็ ด ้ ตระหนเ่ี กยี รตคิ ณุ คำ� สรรเสรญิ อยากใหเ้ ขาสรรเสรญิ เราเท่าน้ัน อย่าไปสรรเสริญคนอื่น ถ้าเขาสรรเสริญคนอ่ืนแล้วก็ต้อง พยายามหาทางท่จี ะพูดลบลา้ ง หรือหาอะไรทไี่ มค่ อ่ ยดี หรอื “แตว่ า่ ” ใส่เอาไว้สักหน่อย คนนั้นก็ดีหรอกนะดี๊ดี คนนี้ก็มาสรรเสริญให้ฟัง เราก็ทนไม่ได้ “แต่ว่า” มีอะไรๆ ก็ว่าไป แต่ว่าเขาสรรเสริญตัวเอง ก็ไม่มี “แต่ว่า” รับไว้ท้ังหมดเลย ถ้าเขาสรรเสริญคนอื่นก็เกิดความ ริษยาก็ “แต่ว่า” เอาไว้หน่อย อันน้ันไม่ดี อะไรก็แล้วแต่ ถือว่าเป็น วรรณมจั ฉรยิ ะ ตระหน่วี รรณะ ตระหนเี่ กยี รติคณุ ค�ำสรรเสรญิ ประการสดุ ทา้ ยเขาเรยี ก ธรรมมจั ฉรยิ ะ ตระหนธี่ รรม ตระหน ี่ ความรู้ รู้ส่ิงใดแล้วไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ แบบนี้ในหมู่เด็กก็มีมาก กลัว เพอ่ื นจะสอบไดค้ ะแนนมากกวา่ รสู้ ง่ิ นแี้ ลว้ ตอ้ งปดิ เอาไว ้ ใครมาดหู นงั สอื ไมไ่ ดม้ าหยบิ สมดุ ไมไ่ ด้ กลวั คนอน่ื จะไดค้ ะแนนมากกวา่ จะรสู้ ง่ิ ทตี่ วั ร ู้ และเราไม่รู้สิ่งที่เขารู้ ซ่ึงเป็นลักษณะของคนที่ยังมีมัจฉริยะอยู่มาก 38
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ กี่ ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ถ้าคนพยายามลบเร่ืองมัจฉริยะแล้วจะไม่มีลักษณะหวงแหนสิ่งเหล่านี้ แต่รู้ส่ิงใดแล้วพยายามเผยแพร่พยายามบอก พยายามกล่าว ใครยัง ไมร่ กู้ บ็ อกใหร้ ู้ ใครยงั ไมเ่ หน็ กช็ ใี้ หเ้ หน็ ดว้ ยจติ ใจทเ่ี ปดิ เผยกว้างขวาง อย่างน้ี อย่างน้ีเรียกว่า ไม่มีธรรมมัจฉริยะ คุณสมบัติพื้นฐานของ ผู้เป็นกัลยาณชนและอริยชนข้อท่ี ๔ คือ จาคะ ความเสียสละความ ไมเ่ หน็ แกต่ วั และปราศจากความตระหนใ่ี น ๕ เรอื่ ง ดงั กลา่ วมาโดย ย่อนี้ ๕. ปัญญา ประการสดุ ทา้ ย คอื ปญั ญา อนั นคี้ วามหมายโดยทว่ั ไปกก็ วา้ ง ขวางมาก แต่ในที่นี้จ�ำกัดวงลงมาให้แคบเข้า รู้อริยสัจ รู้ปฏิจจสมุป- บาท แลว้ กร็ ไู้ ตรลกั ษณ ์ พอทจ่ี ะสลดั มจิ ฉาทฏิ ฐอิ อกไปได ้ อนั นเี้ ปน็ การ จำ� กดั ค�ำวา่ ปญั ญาแคบเขา้ มาในวงของผทู้ จี่ ะกา้ วไปสคู่ วามเปน็ อรยิ ชน แตโ่ ดยความหมายทวั่ ๆ ไป กจ็ ะมคี วามหมายกวา้ งขวางมากสำ� หรบั คำ� วา่ ปญั ญาน ้ี ธรรมทง้ั ๕ ขอ้ น ี้ ๕ ประการน ้ี บางทที า่ นเรยี กวา่ สารธรรม ธรรมที่เป็นสาระ เป็นแก่นสาร บางทีก็เรียกว่า อารยวัฑฒิ แปลว่า ความเจรญิ อย่างประเสรฐิ หรอื หลักเพ่ือก้าวไปสคู่ วามเป็นอริยชน ความเป็นไปได้ของอรยิ ชน ทนี ขี้ อพดู ถงึ ตอ่ ไปอกี สกั นดิ หนง่ึ กอ่ นทจี่ ะหยดุ ในชว่ งน ้ี จะกลา่ ว ในเร่ืองความเป็นไปได้ของอริยชน แม้ในปัจจุบัน คนสมัยน้ีบางคน บางพวกน้ันไม่เชื่อว่าในสมัยนี้จะมีพระอริยะหรือมีคนท่ีเป็นอริยชนอยู ่ คิดว่าหมดแล้วเวลาน้ี เสียเวลาที่จะไปพยายาม ที่จะปฏิบัติ ท่ีจะเป็น อริยะ ปัจจุบันน้ีเป็นโลกของวิทยาศาสตร์ เป็นอริยะไม่ได้ มีแต่สมัย 39
ก า ร ศ ึ ก ษ า ก ั บ ก า ร พ ั ฒ น า สู่ ค ว า ม เ ป ็ น ก ั ล ย า ณ ช น แ ล ะ อ ร ิ ย ช น พทุ ธกาล อนั นไี้ มน่ า่ เชอ่ื และเปน็ ไปไมไ่ ด้ คอื พระธรรมของพระพทุ ธ- เจา้ นเี้ ปน็ ของสากล และเปน็ สจั ธรรมทย่ี งั่ ยนื ทำ� เมอ่ื ใด ประพฤตเิ มอื่ ใด ปฏบิ ตั เิ มอ่ื ใด กส็ ามารถทจ่ี ะบรรลผุ ลไดเ้ มอ่ื นน้ั สงิ่ ทเี่ ปน็ จรงิ แทแ้ นน่ อน นั้น ท�ำไมเล่าจะต้องเป็นจริงเฉพาะในสมัยพุทธกาลเท่าน้ัน ท�ำไมจึง จะเปน็ จรงิ ในเวลานดี้ ว้ ยไมไ่ ด ้ ตอ้ งมอี ยจู่ รงิ และเปน็ ไปไดจ้ รงิ อยา่ งเชน่ การทดลองทางวิทยาศาสตร์น้ี ถ้าสิ่งนั้นเป็นส่ิงแท้จริงแล้ว ทดลอง เม่ือไหร่ก็ย่อมจะเห็นผลและได้ผลเม่ือน้ัน เห็นจริงเมื่อนั้น ทีนี้ในทาง ธรรมซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตนี้ก็เหมือนกัน ทดลองเม่ือไหร่ ลอง ปฏบิ ตั เิ มอ่ื ไหรก่ จ็ ะไดผ้ ลทแี่ ทจ้ รงิ เมอื่ นน้ั เหมอื นกนั ไมม่ ที างทจี่ ะเปน็ ได้ ว่าสัจธรรมน้ันมีอยู่เฉพาะสมัยพุทธกาล แล้วก็ไม่ทราบว่าใครท่ีพูดขัด กบั ธรรมนูญของพระพุทธเจ้าเขา้ พระพุทธเจ้านั้นเคยตรัสเม่ือก่อนจะ นพิ พานวา่ เมอื่ ภกิ ษทุ ง้ั หลายเปน็ อยโู่ ดยชอบ ซง่ึ รวมทงั้ อบุ าสก อบุ าสกิ า ด้วย ถ้าเป็นอย่โู ดยชอบ โลกก็จะไมว่ า่ งจากพระอรหนั ต์ ทีนี้เวลานี้คนที่เป็นอยู่โดยชอบ ก็ย่อมจะมีอยู่ เป็นอยู่โดยชอบ ประพฤตโิ ดยชอบ ปฏบิ ตั โิ ดยชอบยอ่ มจะมอี ยู่ เมอ่ื เปน็ เชน่ นผ้ี ลกย็ อ่ ม จะต้องมี มีปริยัติ มีปฏิบัติ ต้องมีปฏิเวธ ต้องมีผลแห่งการปฏิบัต ิ ผลแหง่ การกระท�ำอยเู่ สมอ ทนี ใ้ี ครกไ็ มท่ ราบทบี่ อกวา่ ใน ๑,๐๐๐ ป ี แรก เปน็ ระยะของพระอรหนั ต ์ ทส่ี มบรู ณด์ ว้ ยปฏสิ มั ภทิ า สมบรู ณด์ ว้ ย อภญิ ญาต่างๆ พอพนั ปที ่ี ๒ กเ็ ปน็ ของ พระอรหันต์สุกขวิปสั สก พอ พนั ปที ่ี ๓ กเ็ ปน็ พระอนาคาม ี พอพนั ปที ่ี ๔ กเ็ ปน็ ของ พระสกทาคามี พนั ปที ่ี ๕ เปน็ ของ พระโสดาบนั พอเลยหา้ พนั ปกี ห็ มดแลว้ ไมม่ พี ระ อรยิ บคุ คลแลว้ อะไรนแี่ หละ กเ็ ปน็ เพยี งอาจจะเปน็ ค�ำของใครคนหนงึ่ ซึ่งไปขัดกับพระพุทธวจนะเข้า เพราะว่าพระพุทธวจนะน้ันยืนยันว่า เมื่อเป็นอยู่โดยชอบ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ และก็ขอเรียนว่า พระอรหนั ตน์ น้ั เปน็ ไดแ้ มแ้ ตฆ่ ราวาส ฆราวาสกเ็ ปน็ ได ้ ฆราวาสทเี่ ปน็ 40
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ผู้หญิงก็เป็นได้ ฆราวาสท่ีเป็นผู้ชายก็เป็นได้ เป็นท้ังๆ ที่เป็นฆราวาส นแี้ หละกเ็ ปน็ ได ้ ไมต่ อ้ งกลา่ วถงึ วา่ พระโสดาบนั ซง่ึ เปน็ พระอรยิ ะขน้ั ตน้ แม้พระอริยะขั้นสูงสุด คือพระอรหันต์ ฆราวาสก็เป็นได้ ถ้าฆราวาส ผู้น้ันเป็นอยู่โดยชอบ เหมือนกับเราต้มน�้ำ จะเป็นศาสตราจารย์ทาง ฟิสิกส์มาต้มน้�ำ หรือจะเป็นชาวบ้านธรรมดามาต้มน้�ำ ถ้าให้ร้อนถึง ๑๐๐ องศาในอุณหภูมิธรรมดาแล้ว มันจะเดือดเหมือนกันไม่ว่าใคร จะเปน็ คนตม้ นำ�้ จะเดอื ดเหมอื นกนั ถา้ ใหเ้ ยน็ ถงึ ๐ องศา นำ�้ จะเปน็ น�้ำแข็งเหมือนกัน ไม่ว่าใครเอาน้�ำน้ันเข้าตู้เย็น ไม่จ�ำเป็นจะต้องเป็น ผู้ท่ีมีความรู้เรื่องตู้เย็นเรื่องอะไรเลย แต่เม่ือปฏิบัติถูกต้องตามหลัก เกณฑ์แล้ว จะได้รับผลของส่ิงน้ันอย่างแน่นอนไม่ว่าจะเป็นใคร ผู้ใด เรอ่ื งนขี้ อใหม้ คี วามมน่ั ใจ ในเรอื่ งทวี่ า่ สามารถจะไดร้ บั ผล ในเมอ่ื ปฏบิ ตั ิ ครบถว้ นบรบิ รู ณอ์ ยา่ งทค่ี นในสมยั โบราณไดเ้ คยรบั มาแลว้ ไมว่ า่ จะเปน็ ผหู้ ญิง หรอื ผู้ชาย เปน็ เด็ก หรอื ผู้ใหญก่ ต็ าม ความประเสรฐิ ของพระโสดาบนั ในช่วงน้ีผมขอพูดต่ออีกสักนิดหนึ่ง แล้วก็จะเปิดโอกาสให้ ท่านทัง้ หลายไดแ้ สดงความคิดเห็น หรอื ได้ถามขอ้ ขอ้ งอกขอ้ งใจต่างๆ พระพุทธเจ้า พระองค์ท่านได้ตรัสกับภิกษุท้ังหลาย ให้ชักชวนผู้ที ่ ตนพึงจะอนุเคราะห์ ใครก็ตามท่ีภิกษุพึงอนุเคราะห์ ให้ด�ำรงอยู่ใน องคคุณแห่งความเป็นโสดาบัน ซึ่งท่านเรียกว่า โสตาปัตติยังคะ คือ องคคุณของความเป็นโสดาบัน หรือองค์แห่งพระโสดาบัน ซึ่งมีอยู่ ๔ ประการดว้ ยกนั ๔ ประการกค็ อื ม ี ศรทั ธามน่ั คง ในพระพทุ ธ ใน พระธรรม ในพระสงฆ ์ นบั เปน็ ๓ แลว้ กม็ ศี ลี บรสิ ทุ ธ ิ์ ไมข่ าด ไมท่ ะล ุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นศีลท่ีเป็นไท คือไม่เป็นทาสของกิเลส วิญญูชน 41
ก า ร ศ ึ ก ษ า ก ั บ ก า ร พ ั ฒ น า สู่ ค ว า ม เ ป ็ น ก ั ล ย า ณ ช น แ ล ะ อ ร ิ ย ช น สรรเสริญ ไม่เกี่ยวด้วยตัณหาและทิฏฐิ แล้วก็เป็นไปเพ่ือสมาธิ ศีล อยา่ งนเ้ี ปน็ ศลี ทเ่ี ขาเรยี กวา่ เปน็ องคคณุ ของพระโสดาบนั มรี ายละเอยี ด พอสมควรแตจ่ ะขอผ่านไปก่อน ส�ำหรับภาระชีวิต และการด�ำเนินชีวิตของพระอริยะหรืออริย ชน ต้ังแต่โสดาบันขึ้นไป ตั้งแต่ในอดีตและปัจจุบันนั้น กล่าวได้ว่าม ี ความทกุ ขเ์ หลอื อยเู่ พยี งเลก็ นอ้ ยเทา่ นนั้ แมจ้ ะมคี วามทกุ ขอ์ ยบู่ า้ ง แต่ ก็มีความทุกข์เหลืออยู่เพียงเล็กน้อย พระพุทธเจ้าท่านเปรียบให้ฟังว่า เหมือนกับน้�ำบนใบหญ้าเพียงเล็กน้อย เม่ือเทียบกับน้�ำในสระใหญ่ ถ้าเราเปรียบความทุกข์ท้ังหมดของคนทั้งหมด เหมือนกับน้�ำในสระ ใหญ่ ความทุกข์ของอริยชนมีพระโสดาบันเป็นต้นน ้ี ก็มีอยู่เพียงเล็ก นอ้ ย เหมอื นกบั นำ�้ บนใบหญา้ เพยี งเลก็ นอ้ ย และความทกุ ขข์ องทา่ นนนั้ ก็มีขอบเขตจำ� กัด คือเป็นความทุกข์ท่ีไม่กว้างใหญ่ไพศาล เหมือนกับ ความทุกข์ของคนทั่วไปซึ่งมีมาก ตัวอย่างของบุคคลที่เป็นโสดาบัน ในพุทธกาล เช่น พระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งยังครองราชย์อยู่ หมอชีวกก ็ ประกอบอาชีพเปน็ แพทย ์ รักษาพระเจ้าพิมพสิ ารและรักษาพระพุทธ- เจา้ รกั ษาภกิ ษสุ งฆเ์ ปน็ อนั มาก อนาถบณิ ฑกิ เศรษฐกี ป็ ระกอบการคา้ นางวิสาขาซ่ึงมีลูกเป็นจ�ำนวนมากถึง ๒๐ คน ก็ประกอบอาชีพตาม ปกติ ร้กู ันว่าเปน็ พระอริยบุคคลระดับโสดาบนั ชวี ติ แหง่ พระโสดาบนั นนั้ เปน็ ชวี ติ ทนี่ า่ พอใจอยา่ งยงิ่ ไวใ้ จไดใ้ น คณุ ธรรม คอื มคี ณุ ธรรมทม่ี นั่ คง ไดพ้ บกบั ความสขุ อยา่ งใหมท่ ลี่ ะเอยี ด กวา่ ลำ้� ลกึ กวา่ แลว้ กป็ ระจกั ษแ์ กต่ นวา่ มคี ณุ คา่ สงู แมจ้ ะยงั เสวยกามสขุ โลกียสุขอยู่บ้าง แต่ก็ได้ลิ้มรสของโลกุตตรสุขไปด้วย พระโสดาบัน ถือได้ว่าเป็นชุมชนชุดแรกของพระอริยะ แล้วก็เป็น ชุมชนท่ีเป็น แม่พิมพ์ซึ่งพระพุทธศาสนาต้องการใช้เป็นแบบหล่อหลอมมนุษยชาติ 42
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ ความเป็นพระอริยะหรือความเป็นโสดาบัน ถือว่าเป็นสมาชิกชุดแรก ของชมุ ชนอรยิ ะซงึ่ มอี ยหู่ ลายระดบั แตท่ า่ นเปน็ ชดุ แรกแลว้ กถ็ อื วา่ เปน็ แม่พิมพ ์ เป็นชุมชนที่พระพุทธศาสนาต้องการ ใช้เป็นแบบหล่อหลอม มนษุ ยชาต ิ พระโสดาบนั กบั พระสกทาคาม ี ซงึ่ เปน็ พระอรยิ บคุ คลระดบั ต้นนี้ ยังเก่ียวข้องกับกามสุขอย ู่ ยังมีครอบครัว ยังมีเหย้าเรือน ยังมี ลกู แตใ่ นขณะเดยี วกนั กไ็ ดล้ ม้ิ รสของโลกตุ ตรสขุ ไปดว้ ย ไดล้ ม้ิ รสของ ความสขุ อกี แบบหนง่ึ ไดด้ ว้ ย กเ็ ปน็ เรอ่ื งแปลกสำ� หรบั ขอ้ นท้ี ค่ี นสว่ นมาก จะไม่เข้าใจว่าท�ำไมเมื่อได้ล้ิมรสโลกุตตรสุขแล้ว จึงไม่พ้นไปเสียจาก โลกียสุขโดยประการท้ังปวง อันนี้ก็จะเป็นเพราะว่าท่านยังมีอินทรีย ์ ไม่พร้อม อินทรีย์ยังไม่พอท่ีจะก้าวข้ึนไปให้สูงกว่าน้ัน อินทรีย์ที่กล่าว ถึงนี้มีวิริยะ มีปัญญา มีสิ่งเหล่าน้ี วิริยะ ปัญญา ยังไม่พอ สติก็ยัง ไมพ่ อ ศรทั ธานนั้ มเี พยี งพอ แตว่ ริ ยิ ะ ปญั ญา และสตยิ งั มไี มพ่ อ ทา่ น ลองคดิ ด ู พระอานนทน์ น้ั เปน็ โสดาบนั ตง้ั แตร่ ะยะแรกๆ ทบี่ วช แตก่ เ็ ปน็ โสดาบนั ตลอดพระชนมชพี ของพระพทุ ธเจา้ ซงึ่ เปน็ เวลาตง้ั ๔๐ กวา่ ปี พระอานนทก์ เ็ ปน็ โสดาบนั อยชู่ นั้ เดยี ว ไมไ่ ดเ้ ลอ่ื นชน้ั เปน็ พระสกทาคามี พระอนาคาม ี หรอื เปน็ พระอรหนั ต์ มาไดเ้ ปน็ เอาตอนเมอ่ื พระพทุ ธเจา้ นิพพานแล้ว ตอนท่ีเขาท�ำสังคายนากันนั้นก็เป็นโสดาบันอยู่ นาน เหลือเกิน ท้ังๆ ที่พระอานนท์ก็มีความรู้ในทางธรรมมากมาย อันนี้ ก็ขอฝากไวใ้ หท้ ่านทง้ั หลายคิดด้วยก็แลว้ กัน ทีน้ีก็ความประเสริฐอีกอันหน่ึงของความเป็นอริยชนหรือ พระโสดาบัน ตามพระพุทธพจน์ที่ว่า โสดาปัตติผลน้ันประเสริฐกว่า ความเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ประเสริฐกว่าการไปสวรรค์ ประเสริฐกว่า ความเปน็ ใหญใ่ นโลกทงั้ ปวง โสดาปตั ตผิ ล สำ� หรบั ผทู้ ม่ี จี ดุ มงุ่ หมายมา ทางน้ีแล้ว ให้แลกระหว่างความเป็นโสดาบันกับความเป็นราชาธิราช เขาจะเลอื กเอาความเปน็ โสดาบนั ไมเ่ ลอื กเปน็ ราชาธริ าช และไมเ่ ลอื ก 43
ก า ร ศ ึ ก ษ า ก ั บ ก า ร พ ั ฒ น า สู่ ค ว า ม เ ป ็ น ก ั ล ย า ณ ช น แ ล ะ อ ร ิ ย ช น ไปสวรรค์ นอกจากว่าเป็นโสดาบันด้วย ไปสวรรค์ด้วยก็เอา แต่ถ้า ไม่ให้ไปสวรรค์แต่ให้เลือกเป็นโสดาบัน ก็เลือกเป็นโสดาบันไม่ต้อง ไปสวรรค์ก็ได้ เพราะว่าประเสริฐกว่า ท�ำไมจึงเป็นอย่างน้ัน เพราะ วา่ เป็นราชาธริ าชก็ด ี เปน็ ใหญใ่ นแผ่นดินก็ดี ไปสวรรค์ก็ดี ยงั มีการ เปลี่ยนแปลงได้ จากสวรรค์ลงนรกก็มี เป็นราชาธิราชแล้วตายไปตก นรกกม็ เี ยอะ อยา่ งนแี้ ลว้ กย็ งั มคี วามทกุ ขท์ ว่ มทน้ อยมู่ ากมายเหลอื เกนิ แต่พอเป็นโสดาบันแล้วความทุกข์เหลือนิดเดียว เหมือนกับน�้ำบน ใบหญ้ากบั น้�ำในสระใหญ่ พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเร่ืองน้ีเอาไว้ถึง ๑๐ ประการด้วยกัน เช่นว่าเหมือนกับฝุ่นในมหาปฐพีทั้งหมดกับฝุ่นท่ีปลายเล็บ อันไหน มากกวา่ ฝนุ่ ทป่ี ลายเลบ็ นอ้ ยนดิ เดยี วฉนั ใด ความทกุ ขข์ องพระโสดาบนั ก็มีเพยี งเลก็ นอ้ ยเท่านน้ั มไี มม่ าก สภาวะท่ีปลอดทุกขห์ รอื ไม่มีทุกขน์ ั้น เป็นสิ่งที่เราต้องการกันทุกคน ไม่มีทุกข์ หรือมีทุกข์น้อยดับทุกข์ได ้ ทั้งน้ีถึงอย่างไรเม่ือถึงขั้นอริยชนเป็นโสดาบันแล้วน้ี ก็มีสิ่งส�ำคัญอีก ประการหน่ึง คอื ไมต่ กต�่ำ เปน็ การแนน่ อนว่า ได้รูส้ ัจธรรมหรอื เป็น พระอรหันต์ในภายหน้าอย่างแน่นอน ความที่ตกต่�ำไปกว่านั้นเป็นอัน ไม่มี มันเป็นความปล้ืมใจและเป็นความภูมิใจ อีกประการหน่ึงก็เป็น การพ้นจากอบาย ๔ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เป็นอัน ไม่ต้องพูดถึงกัน พระโสดาบันจะไม่เก่ียวข้องอีกแล้ว แม้จะเคยท�ำ ความผิดมาอย่างไร เคยท�ำความชั่วมาอย่างไร สักเท่าไหร่ก็ตามแต ่ พอได้บรรลุเป็นโสดาบันแล้ว เป็นการปิดก้ันสิ่งเหล่านั้นได้หมด เคย ฆ่าคนมาเท่าไหร่ เคยประพฤติชั่วมาอย่างไรก็ตาม แต่พอได้บรรล ุ โสดาบันแล้วเป็นอันว่าสิ่งเหล่าน้ันถูกกีดกันออกไปท้ังหมด ท่านพ้น จากอบาย ไม่ต้องตกนรก ไม่ต้องไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่เป็นเปรต ไมเ่ ปน็ อสรุ กาย คตขิ องทา่ นมแี ตจ่ ะสงู ขน้ึ ไป สงู ขน้ึ ไป แลว้ กจ็ ะเกดิ อกี 44
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ อย่างมาก เพียงแค่ ๗ ชาติเท่าน้ัน อย่างน้อยอีกชาติเดียว มีพระ โสดาบนั กม็ ีอยู่ ๓ ประเภท ประเภทที่หน่ึงเรียกว่าผู้มีพืชอีกหนเดียว เรยี กวา่ เอกพชี โี สดาบนั มพี ชื อกี หนเดยี ว คอื จะตอ้ งเกดิ อกี ครง้ั เดยี ว แลว้ กจ็ ะนพิ พานเปน็ พระอรหนั ตไ์ ปเลย อกี พวกหนงึ่ กม็ ปี ญั ญานอ้ ยหนอ่ ย กอ็ าจจะเวยี นวา่ ยตายเกดิ อยอู่ กี เพยี ง ๒-๓ ชาต ิ เรยี กวา่ โกลงั โกล- โสดาบนั อกี พวกหนง่ึ กม็ ปี ญั ญานอ้ ย ลงมาอกี กจ็ ะเกดิ อกี ๗ ชาตเิ ปน็ อยา่ งยงิ่ จะไมเ่ กดิ มากกวา่ นนั้ เรยี กวา่ สตั ตกั ขตั ตปุ รมโสดาบนั กร็ สู้ กึ วา่ เป็นภาวะน่าภูมิใจคือ มันมีคติแน่นอน รู้แน่ว่าเราจะต้องเป็นอย่างนั้น แน่ๆ ไม่มีอะไรสงสัยอยู่เลย ก็เป็นความภูมิใจและปลาบปลื้มอย่างย่ิง ผมคิดว่าท่านท้ังหลายก็คงมีความหวังเก่ียวกับเร่ืองน้ี มันเป็นเรื่อง นา่ ปลมื้ ใจและเปน็ เรอื่ งทน่ี า่ ชนื่ ใจ วา่ ถงึ อยา่ งไรเรากจ็ ะตอ้ งไดถ้ งึ สภาพ อันนั้นอย่างแน่นอน (ถึงตอนนี้...ผู้พูดเกิดปีติจนพูดไม่ออก หยุดนิ่งไปประมาณ ๕ นาที) นา่ ปลมื้ ใจสำ� หรบั คนทกุ คนทค่ี ดิ วา่ เรามหี วงั ทจี่ ะเปน็ หรอื มหี วงั ท่ีจะได้ คล้ายๆ กับผู้ท่ีเกิดในราชตระกูลหรือเป็นรัชทายาท แล้วก็มี ความประพฤตดิ ี มโี อกาส มคี วามแนใ่ จวา่ ตอ่ ไปภายหนา้ ตวั จะไดค้ รอง ราชย์แน่นอน ไม่มีข้อสงสัยอะไร พอได้ยินได้ฟังว่าคนน้ันคนน้ีเขาได ้ ครองราชย์ ตัวเองก็มีความหวังขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยมว่าวันหน่ึงเราก็ จะได้ครองราชย์เช่นน้ันด้วย เพราะฉะน้ันผู้ท่ีด�ำเนินอยู่ในทางของ พระอรยิ ะ เดนิ ตามรอยของพระอรยิ ะอยนู่ นั้ กม็ คี วามหวงั อยา่ งเตม็ ท่ ี วา่ สกั วนั หนง่ึ เขาจะตอ้ งไดแ้ นน่ อน กเ็ กดิ ความปตี ิ อมิ่ ใจ และภาคภมู ใิ จ เปน็ อยา่ งมาก เพราะฉะนนั้ ผมคดิ วา่ ชาวพทุ ธทมี่ คี วามสนใจในเรอ่ื งนี้ ควรจะสรา้ งความหวังในเรื่องนข้ี ้ึนใหเ้ ต็มท ี่ ไม่ต้องลงั เลอกี ตอ่ ไป เรา 45
ก า ร ศ ึ ก ษ า ก ั บ ก า ร พ ั ฒ น า สู่ ค ว า ม เ ป ็ น ก ั ล ย า ณ ช น แ ล ะ อ ร ิ ย ช น สร้างความหวังในเรื่องน้ีข้ึนมา ว่าเราจะพัฒนาตนไปสู่กัลยาณชน แล้วก็สู่ความเป็นอริยชนให้ได้ แม้อาจจะพลาดหวังจากชาตินี้ ก ็ เพยี งอกี สกั สองสามชาตติ อ่ ไปอกี ขา้ งหนา้ กน็ า่ พอใจ เพราะวา่ ถา้ ไมไ่ ด้ สงิ่ เหลา่ นแ้ี ลว้ จบั พลดั จบั ผลไู ปเกดิ ในนรก ไปเปน็ ชาวนรก ไปเปน็ สตั ว์ เดรัจฉาน เกิดเป็นเปรต อสุรกาย ซ่ึงต้องเกิดทุกขเวทนาแสนสาหัส อยู่เป็นเวลานาน มันน่าเสียดายเวลาของชีวิตที่ก้าวเดินมาถึงขนาดนี ้ แล้วจะต้องถอยหลังกลับไปในสภาพเช่นน้ัน น่าเสียดาย เพราะฉะน้ัน ก็ความเป็นอริยบุคคลหรือพระโสดาบันเป็นต้นน้ีนะครับ เป็นส่ิงที่ม ี ความประเสริฐอยู่ในตัวอย่างย่ิง ท่ีส�ำคัญก็คือมีทุกข์น้อยและมีความ ปีติปราโมทย์มาก แม้แต่เพียงได้พูดถึงก็มีปีติปราโมทย์ เหมือนกับ เราได้พูดถึงในส่ิงท่ีเรารัก ส่ิงที่เราต้องการ แล้วเราก็เคยหวังสิ่งน้ัน แลว้ เราร้สู กึ ว่ามีโอกาสจะได้หรือไดแ้ ล้ว ก็เกดิ ความรู้สึกพอใจ ผมขอเพิ่มเติมอีกนิดหน่ึงนะครับ เพ่ือเป็นก�ำลังใจกับท่าน ท้ังหลาย จะเล่าเร่ืองท้าวมหานามให้ฟังนิดหน่ึง ท้าวมหานามซึ่งเป็น พระญาติของพระพุทธเจ้า ท่านได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและก็กราบทูล วา่ นครกบลิ พสั ดข์ุ องทา่ นนนั้ มงั่ คง่ั มปี ระชาชนหนาแนน่ ทนี เี้ มอ่ื ทา่ น มาเข้าเฝา้ พระผ้มู พี ระภาคเจ้า ได้นั่งใกลก้ ร็ ูส้ ึกรน่ื รมยใ์ จ แต่เวลาเย็น เมอื่ เดนิ ทางกลบั ยอ่ มผา่ นความสบั สน ขวกั ไขว ่ แออดั ยดั เยยี ด เพราะ วา่ ยวดยานเยอะแยะ สตทิ ปี่ รารภพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ปรารภพระธรรม ปรารภพระสงฆเ์ ผลอไปบา้ ง ทา่ นกก็ ราบทลู วา่ หมอ่ มฉนั ไดด้ ำ� รวิ า่ ถา้ สนิ้ ชวี ติ ลงในเวลาน้ี คตขิ องเราจะเปน็ เชน่ ไร ตอนนน้ั ทา้ วมหานามเปน็ โสดาบันแลว้ พระพทุ ธเจ้าก็ตรัสตอบวา่ อย่ากลวั เลยมหาบพติ ร ผ้ใู ด มีจิตที่ได้อบรมแล้วด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญา มาเป็น เวลานาน แม้ร่างกายของเขาจะแตกท�ำลายไป เป็นเหยื่อของแร้งกา เป็นต้น แต่จิตของเขาจะต้องไปสูงไปวิเศษโดยแท้ ไม่ต้องกลัว ท้าว 46
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ มหานามยังประหวั่นพรั่นพรึงว่า ขณะที่สติมันเผลอไป ถ้าสิ้นชีวิตลง ไปในเวลาน้ีคติจะเป็นเช่นไร พระพุทธเจ้าท่านตรัสบอกว่าไม่ต้องกลัว เปน็ โสดาบนั แลว้ ไมต่ อ้ งกลวั ถงึ อยา่ งไรคตกิ ต็ อ้ งไปสงู แนน่ อน กเ็ หน็ จะ ขอกล่าวส�ำหรับคราวน้ีเพียงเท่านี้ก่อนนะครับ ผ่านๆ ไปบ้าง เหลือ เวลาไว้ส�ำหรับท่านได้ซักถามบางอย่างเท่าท่ีควรจะรู้ ควรจะน�ำมา สนทนากัน ขอเชญิ เลยนะครบั ... 47
ก า ร ศ ึ ก ษ า ก ั บ ก า ร พ ั ฒ น า สู่ ค ว า ม เ ป ็ น ก ั ล ย า ณ ช น แ ล ะ อ ร ิ ย ช น ตอบค�ำถามจากการบรรยาย เรื่องการศกึ ษาเพื่อการพฒั นา สคู่ วามเป็นกัลยาณชนและอรยิ ชน กอ่ นอน่ื ดฉิ นั ตอ้ งขอกราบขอบพระคณุ ทา่ นอาจารยว์ ศนิ เป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ให้ความเข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง คำ� ถามของดฉิ นั มีว่า คนท่ีได้ยินได้ฟังอะไรเยอะๆ แล้ว มันชักจะฟุ้งซ่านหรือเปล่า ไม่ทราบ ฟังแล้วมีความรู้สึกว่าหลักพุทธธรรมหรือส่ิงที่เราเพ่ิงได้ฟัง มา ๓ วัน หรือว่าหลายๆ ท่านได้ศึกษามาแล้ว มีลักษณะอยู่ว่าเรา พยายามท�ำให้เกิดข้ึนกับตัวเรา เป็นลักษณะของการที่จะปฏิบัติให้ เกดิ การดำ� รงชวี ติ ทดี่ ใี นโลกนน้ี นั้ เปน็ หลกั ในการควบคมุ ตวั เองได ้ ทนี ี ้ ถ้าหากเป็นเช่นน้ีน้ันในหัวข้อท่ีพูดเก่ียวกับอุดมคติของชีวิตนั้น ก็เป็น แนวความคิดเก่ียวกับอุดมคติของคนแต่ละคน ทีน้ีถ้าเราจะพูดถึง ปรชั ญาการศกึ ษา และเรามานงั่ ประชมุ กนั น ี้ เราตอ้ งการทจ่ี ะใหเ้ ขา้ ไป อยู่ในหลักสูตรศึกษาศาสตร ์ หรือแม้แต่ในสภาวะของการที่เป็นสังคม ในเวลาน้ีน้ัน ดิฉันจึงอยากจะกราบเรียนถามอาจารย์หรือให้อาจารย์ ช่วยช้ีแนะเชื่อมโยงนะคะว่า ถ้าหากว่าไม่ได้เป็นเพียงอุดมคติของ ชีวิตของแต่ละคน แต่ถ้าจะต้องเป็นอุดมคติของสังคมในปัจจุบันนี้ เราจะใช้แนวพุทธศาสนาหรือหลักพุทธธรรมนี้สร้างสังคมและวัฒน- ธรรมใหเ้ หมาะสมกับชวี ิตในปจั จบุ ันได้อยา่ งไรบา้ ง ดิฉันก็อยากจะขอให้อาจารย์ช่วยเชื่อมโยง หรือแสดงเป็น แนวคดิ ใหพ้ อมองออกวา่ เราจะทำ� อยา่ งไรตอ่ ไป อกี ประการหนงึ่ สงั คม และวัฒนธรรมไทยน้ัน ที่เราบอกว่าผูกติดอยู่กับพุทธศาสนาน้ัน 48
ค ว า ม เ ข้ า ใ จ เ ก่ี ย ว กั บ ชี วิ ต อ . ว ศิ น อิ น ท ส ร ะ จริงหรือไม่ หรือว่า วัฒนธรรมของเราน้ัน ผูกติดอยู่กับพิธีกรรมทาง ศาสนาเพยี งอย่างเดียว ขอบคุณท่านคณบดี (ดร.ยุพา วีระไวทยะ) นะครับที่ กรณุ าถามนำ� ขน้ึ เปน็ อนั ดบั แรก ปญั หาสำ� คญั กค็ อื วา่ ในสงั คมของเรา เวลาน ้ี การเนน้ เรอื่ งวนิ ยั ในตวั เองมนี อ้ ย เรามกั จะไปเนน้ วนิ ยั ภายนอก กฎเกณฑ์ข้อบังคับภายนอก แล้วคนก็มักจะเป็นอย่างน้ัน คือกลัวสิ่ง ภายนอก กฎขอ้ บงั คบั ภายนอก ไมท่ ำ� อะไรผดิ กเ็ พราะกลวั ถกู ตำ� รวจจบั คอื วา่ ไมใ่ ชเ่ วน้ เพราะละอายหรอื วา่ เกรงกลวั ผลรา้ ยของมนั ทจี่ ะเกดิ ขนึ้ กบั ใจของตวั ไมไ่ ดเ้ กรงเสยี งเรยี กรอ้ งของมโนธรรมภายในตน แตว่ า่ ไปเกรงกลัวกฎข้อบังคับภายนอก ทีนี้ถ้าแน่ใจว่าปลอดจากข้อบังคับ ภายนอก หรือผู้รักษากฎข้อบังคับภายนอกนั้นจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ก็ไม ่ เปน็ ไร คดิ วา่ ไมเ่ ปน็ ไรกท็ ำ� สภาพทท่ี ำ� อยอู่ ยา่ งนเี้ ปน็ สภาพทท่ี ำ� ใหส้ งั คม ยงุ่ เหยงิ สบั สน ยงุ่ เหมอื นกบั ดา้ ยทขี่ อดเปน็ ปม ยากทจ่ี ะสางได ้ เพราะ วา่ แต่ละเสน้ ไม่ได้สางตัวเองใหเ้ รยี บรอ้ ย ใหด้ ี คล้ายๆ กับเราเอากระเบื้องมามุงหลังคา ถ้ากระเบื้องแต่ละ แผ่นรักษาตัวเองไว้ได้ไม่ให้แตก ไม่ให้ร้าว หลังคาของตึกทั้งหลังนั้น ก็จะปลอดภัยจากฝน แปลว่าหลังคาไม่ร่ัว เหมือนคนแต่ละคนซ่ึงเป็น ส่วนของสังคม ถ้าแต่ละคนสะสางตัวเองให้ได้ว่าภัยจะไม่มาจากเรา โดยสร้างวินัยในตัวเองข้ึน ว่าภัยในสังคมจะไม่มีจากเรา อย่างน้ีแล้ว ทกุ สงั คม ทกุ คนก็จะสงบเรยี บรอ้ ย การเป็นสมาชิกในสังคมแต่ละคน ก็เหมือนกับน๊อตแต่ละตัว ในเรอื ใหญ ่ ถา้ นอ๊ ตแตล่ ะตวั ทำ� หนา้ ทขี่ องมนั อยา่ งด ี ไมห่ ลวม ไมห่ ลดุ เรือนั้นกจ็ ะไมม่ โี อกาสจมเพราะนอ๊ ตเหลา่ นนั้ ทุกอย่างก็เรยี บรอ้ ย 49
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258