Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การเจริญสมาธิด้วยการกำหนดรู้และละอารมณ์

การเจริญสมาธิด้วยการกำหนดรู้และละอารมณ์

Published by ชมรมกัลยาณธรรม, 2021-06-13 01:41:50

Description: การเจริญสมาธิด้วยการกำหนดรู้และละอารมณ์

Search

Read the Text Version

การเจริญสมาธิดว้ ยการกาํ หนดรูแ้ ละละอารมณ์ โดย พระราชวฒุ าจารย ์ (หลวงปู่ดูลย ์ อตโุ ล) ประกายธรรม รวบรวมและเรยี บเรียง ธรรมสภาจดั พิมพเ์ ผยแพร่ พุทธศกั ราช ๒๕๔๐

1 สารบญั คํานํา บทนํา ๑. จติ คอื พุทธะ ๒. แนวทางการทําสมาธภิ าวนา ๓. ปรยิ ตั -ิ ปฏบิ ตั ิ ๔. ศลี สมาธิ ปัญญา แตล่ ะระดบั ๕. สมาธอิ นั ใด ปัญญาอนั นัน้ ๖. วธิ เี จรญิ สมาธภิ าวนา ๗. อธบิ ายหลักธรรมสําคัญเกย่ี วกบั สมาธิ ๘. สมาธภิ าวนากบั นมิ ติ ๙. วปิ ัสสนูปกเิ ลส ๑๐. เรอ่ื งจติ เรอื่ งอทิ ธฤิ ทธิ์ ๑๑. บนั ทกึ ธรรมเทศนาเกยี่ วกบั สมาธิ ๑๒. ประสบการณ์ภาวนา บทธรรมสมาธจิ ากพระไตรปิ ฎก ๑. คณุ ของอานาปานสติ ๒. วธิ เี จรญิ อานาปานสตทิ มี่ ผี ลมาก ๓. ฌาน ๔. ผไู ้ ดฌ้ าน ๕. แสดงญาณความรู ้ อนั สําเร็จมาแตก่ ารเจรญิ สมาธิ ๖. มหาสตปิ ัฏฐานสตู ร

2 คาํ นาํ หนงั สือการทําสมาธิเร่ืองการเจริญสมาธิด้วยการกําหนดรู้และละอารมณ์ ของทา่ นเจ้าคณุ พระราชวฒุ าจารย์ หลวงป่ ดู ลู ย์ อตโุ ล เลม่ นี ้เป็ นการรวบรวมบทธรรมเทศนาเร่ืองสมาธิและวธิ ีฝึกสมาธิจากหนงั สือ ประวตั ิ ปฏิปทา และคาํ สอนของหลวงป่ ดู ลู ย์ อตโุ ล ซง่ึ รองศาสตราจารย์ ดร.ปฐม นิคมานนท์ ได้เรียบเรียงขนึ ้ จาก บนั ทกึ และความทรงจําของพระโพธินนั ทมนุ ี (สมศกั ด์ิ ป�ฺฑโิ ต) ธรรมสภาขอกราบขอบพระคณุ และระลกึ ถึงในคณุ ปู การของทา่ นเป็ นอย่างยง่ิ ที่ชว่ ยให้คาํ สอนอนั ทรงคณุ คา่ ทางด้านจิตใจของหลวงป่ ดู ลู ย์ ได้มีโอกาสเผยแพร่สสู่ าธชุ นผ้ใู ฝ่ ใจในธรรมปฏิบตั ติ ามแนวทางของท่าน ซง่ึ เป็น สมั มาปฏิบตั ิตามแนวทางขององค์สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า องคพ์ ระศาสดาแหง่ พระพทุ ธศาสนาผ้ทู รงเป็น แสงสวา่ งแหง่ โลก “สมาธิ” เป็นเรื่องของการฝึ กอบรมจิตในขนั้ ลกึ ซงึ ้ เป็นเรื่องละเอียดปราณีต ทงั้ ในแง่ท่ีเป็นเรื่องของจติ อนั เป็น ของละเอียด และในแงก่ ารปฏิบตั ทิ ี่มีรายละเอียดกว้างขวางซบั ซ้อน ลกั ษณะของจิตท่ีเป็นสมาธินนั้ มีองค์ประกอบสําคญั ๓ ประการ คอื มีความบริสทุ ธิ์ ๑ มีความตงั้ มน่ั ๑ มีความว่องไวควรแก่การงาน ๑ จิตที่มีองค์ประกอบเชน่ นีเ้หมาะแกก่ ารเอาไปใช้ได้ดที ี่สดุ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในการพจิ ารณาสภาวธรรม ให้เกิด ความรู้แจ้งตามความเป็นจริง จนหลดุ พ้นจากกิเลสและทกุ ข์ทงั้ ปวง อนั เป็นจดุ หมายสงู สดุ ในทาง พระพทุ ธศาสนา และสมาธิก็ยงั มีคณุ ประโยชน์อยา่ งอ่ืนอีกมากมาย ซง่ึ เป็นผลขนั้ ต้นในชีวิตประจําวนั อนั ได้แก่ ๑) เป็นเคร่ืองเสริมประสทิ ธิภาพในการทํางาน การเลา่ เรียนและการทํากิจทกุ อยา่ ง

3 ๒) ชว่ ยให้จิตใจผอ่ นคลายจากความเครียดและความกลดั กล้มุ วิตกกงั วลตา่ งๆ ๓) ชว่ ยพฒั นาสขุ ภาพจติ และบคุ ลิกภาพ ให้เป็นผ้ทู ่ีมีความมนั่ คงทางอารมณ์ และมีภมู ิค้มุ กนั โรคทางจิต ๔) ชว่ ยเสริมสขุ ภาพกายและใช้แก้โรค เหลา่ นีเ้ป็นต้น เมื่อสมาธิมีคณุ ประโยชน์นานปั การดงั กลา่ วแล้ว จงึ เป็ นเรื่องที่ทรงคณุ คา่ ควรแก่การศกึ ษาปฏิบตั เิ ป็นอยา่ งยิ่ง อนงึ่ ในการฝึกอบรมเจริญสมาธินนั้ มีวธิ ีการและรายละเอียดมากมาย ซง่ึ ผ้สู นใจพงึ ศกึ ษาและเลือกปฏิบตั ใิ ห้ สอดคล้องกบั อปุ นิสยั ของตน ก็จกั ประสบผลสําเร็จได้สมดงั ประสงค์ทกุ ประการ ดว้ ยความสจุ รติ และหวงั ดี ธรรมสภาปรารถนาใหโ้ ลกพบความสงบสขุ

4 บทนํา รตู ้ วั อยเู่ สมอ พระพทุ ธองค์ตรัสไว้ว่า “ภิกษุทงั้ หลาย ! เรากลา่ ววา่ สตมิ ีประโยชน์ในท่ีทงั้ ปวง” ในมฏุ ฐัสสตสิ ตู ร กลา่ วถงึ ประโยชน์ของสตไิ ว้วา่ ทําให้คนหลบั อยา่ งเป็นสขุ ต่นื อยกู่ ็เป็ นสขุ ไมฝ่ ันลามก เทวดา รักษา นํา้ อสจุ ิไมเ่ คล่ือน อีกแหง่ หนงึ่ พระพทุ ธองค์ตรัสไว้วา่ “ภิกษุผ้มู ีสตคิ ้มุ ครองตนแล้วยอ่ มอยเู่ ย็นเป็นสขุ ” พดู งา่ ยๆ ว่า มีสตเิ พียงอยา่ งเดียว สบายไปแปดอยา่ งวา่ งนั้ เถอะ พระสงฆ์องค์เจ้าโดยทว่ั ไปตา่ งเจริญสตกิ นั ทงั้ นนั้ อยา่ งหลวงป่ ดู ลู ย์ อตโุ ลทา่ นก็เป็นพระมหาเถระอีกรูปหนงึ่ ที่ ฝึกตนด้วยสตแิ ละสอนให้ผ้อู ่ืนใช้สติ ในการใช้ชีวิตประจําวนั ของคนเรา หลวงป่ ดู ลู ย์บอกให้เอาสตกิ ํากบั ให้เป็นอย่ดู ้วยสติ ไมว่ า่ จะอยใู่ นอิริยาบถ ไหน ให้รู้ตวั อยเู่ สมอ รู้อยเู่ ฉยๆ ไมต่ ้องไปจําแนกแยกแยะวา่ อะไรเป็นอะไร นนั่ เป็ นนนั่ นี่เป็นน่ี การฝึกครัง้ แรก คอ่ นข้างยากหนอ่ ย ทา่ นบอกวา่ เมื่อรักษาได้สกั ครู่ จิตจะคดิ แสไ่ ปในอารมณ์ตา่ งๆ โดยไมม่ ีทางรู้ทนั ก่อน ซง่ึ เป็น ธรรมดาของผ้ฝู ึกใหม่ ตอ่ เมื่อจิตแลน่ ไปคดิ ในอารมณ์นนั้ ๆ จนอิ่มแล้ว ก็จะรู้สกึ ตวั ขนึ ้ มาเอง เพราะฉะนนั้ ไมต่ ้องไปเคร่งเครียดอะไรมาก ขอให้รู้ตวั เอาไว้ ภายหลงั จติ ทอ่ งเท่ียวไปในอารมณ์ตา่ งๆ แล้ว เม่ือรู้สกึ ตวั ทว่ั พร้อม ให้พิจารณาเปรียบเทียบสภาวะของตน ใน ระหวา่ งท่ีจติ เท่ียวไปกบั ในระหวา่ งท่ีจิตมีความรู้ตวั วา่ มนั แตกตา่ งกนั อยา่ งไร รู้ไว้ทําไม ?

5 ก็เพื่อเป็นอบุ ายสอนใจตนให้รู้จกั จดจํา ขณะท่ีจิตเที่ยวไปจ้นุ จ้านอยทู่ ี่นน่ั ท่ีนี่ จิตจะไร้พลงั ประสบกบั ความกระวนกระวาย เหน็ดเหนื่อย เป็ นทกุ ข์ พอสมควร ขณะนนั้ เราไมร่ ู้ตวั แตข่ ณะท่ีจิตหยดุ อยู่ เพราะมีสตวิ งิ่ มานนั้ จิตจะสงบ รู้ตวั เยือกเยน็ สขุ สบาย ลองเปรียบเทียบขณะจิตทงั้ สองเวลานนั้ ก็จะรู้โทษของการแสไ่ ปตามอารมณ์กบั คณุ ของการรู้ตวั แล้วจะเกิด ความรู้สกึ วา่ อยากจะอยกู่ บั จิตชนิดไหน แนน่ อนท่ีสดุ ใครๆ ก็อยากจะอยกู่ บั จติ ท่ีมีสติ ทกุ ครัง้ ที่จิตว่ิงไปข้างนอก ให้พยายามรู้ตวั แล้วคอ่ ยๆ ดงึ กลบั มา คอ่ ยๆ รักษาจติ ให้อยใู่ นสภาวะรู้อยกู่ บั ท่ีตอ่ ไป เผลอออกไปดงึ กลบั มา อย่างนีเ้ร่ือยไป เม่ือถงึ จดุ อมิ่ ตวั ก็จะกลบั รู้ตวั ทวั่ พร้อมอยา่ งเดมิ อีก หลวงป่ ดู ลู ย์กลา่ ววา่ เมื่อรู้ตวั แล้ว ก็พจิ ารณาและรักษาจิตตอ่ ไป ด้วยอบุ ายอย่างนีไ้ มน่ านนกั ก็จะสามารถคมุ จติ ได้ และบรรลธุ รรม ในท่ีสดุ โดยไมต่ ้องไปปรึกษาหารือใคร ข้อห้าม ในเวลาจิตฟ้ งุ เตม็ ที่อยา่ ทํา เพราะไมม่ ีประโยชน์ และยงั ทําให้บน่ั ทอนพลงั ความเพียร ไมม่ ีกําลงั ใจใน การเจริญจติ ครัง้ ตอ่ ๆ ไป ในกรณีที่ไมส่ ามารถทําเชน่ นีไ้ ด้ ให้ลองนกึ คําวา่ “พทุ โธ” หรือคําอะไรก็ได้ท่ีไมเ่ ป็นเหตเุ ย้ายวน หรือเป็นเหตขุ ดั เคืองใจ นกึ ไปเรื่อยๆ แล้วสงั เกตวา่ คําท่ีนกึ นนั้ ชดั ที่สดุ ท่ีตรงไหน ท่ีตรงนนั้ แหละคือฐานของจิต หลวงป่ ดู ลู ย์ได้ให้ทางแก้ไว้ด้วยโดยใช้ “พทุ โธ” จะเป็นคําอื่นก็ได้ แตค่ าํ “พทุ โธ” ดีที่สดุ ฐานแหง่ จิตจะอยไู่ มค่ งที่ เปลี่ยนท่ีอยไู่ ปเร่ือย แตว่ า่ อยใู่ นกายแนน่ อน ไม่ต้องไปหานอกกาย

6 ทา่ นบอกว่าฐานแหง่ จิตที่นกึ “พทุ โธ” ปรากฏชดั ท่ีสดุ ย่อมไมม่ ีอยภู่ ายนอกกายแนน่ อน ต้องอยภู่ ายในกายแน่ แตเ่ มื่อพิจารณาดใู ห้ดีแล้ว จะเห็นวา่ ฐานนีจ้ ะวา่ อยทู่ ี่สว่ นไหนของร่างกายก็ไมถ่ กู ดงั นนั้ จะวา่ อยภู่ ายนอกก็ ไมใ่ ช่ จะวา่ อยภู่ ายในก็ไมเ่ ชิง เมื่อเป็นเชน่ นีแ้ สดงวา่ ได้กําหนดถกู ฐานแหง่ จิตแล้ว เมื่อกําหนดถกู และ “พทุ โธ” ปรากฏในมโนนกึ ชดั เจนดี ก็ให้กําหนดนกึ ไปเรื่อยๆ อยา่ ให้ขาดสายได้ ถ้าขาด สายเมื่อใด จิตก็จะแลน่ ไปสอู่ ารมณ์ทนั ที เม่ือเสวยอารมณ์อ่มิ แล้ว จงึ จะรู้สกึ ตวั เอง ก็คอ่ ยๆ นกึ พทุ โธตอ่ ไป ด้วยอบุ ายวธิ ีในทํานองเดยี วกบั ที่กลา่ วไว้ เบือ้ งต้น ในที่สดุ ก็จะคอ่ ยๆ ควบคมุ จิตให้อยใู่ นอํานาจได้เอง เมื่อคมุ จติ ให้มีอารมณ์เป็นหนงึ่ ได้ ให้ใช้สตจิ ดจอ่ อยทู่ ่ีฐานเดมิ นนั่ แหละ ตอ่ ไปก็ดวู ่า มีอารมณ์อะไรเกิดขนึ ้ บ้าง อะไรเกิดขนึ ้ ก็ช่าง ให้ละทงิ ้ ให้หมด โดยละทงิ ้ ทีละอยา่ ง อะไรเกิดก่อน ให้ ละกอ่ น อะไรเกิดหลงั ให้ละทีหลงั แล้วเอาสตมิ าดจู ิตตอ่ ไป กําหนดรู้อารมณ์ที่เกิดขนึ ้ และละอารมณ์นนั้ ๆ ให้หมด กําหนดรู้และละไปเทา่ นนั้ นี่เป็นวถิ ีแหง่ สมาธิของหลวงป่ ดู ลู ย์ อตโุ ล

7 ๑ จติ คอื พทุ ธะ ในหมผู่ ้ปู ฏิบตั ธิ รรมสายพระกมั มฏั ฐาน ทงั้ พระภิกษุและฆราวาส ให้การยอมรับวา่ “หลวงป่ ดู ลู ย์ อตโุ ล นบั เป็น พระองคท์ ่ีมีความรู้ลกึ ซงึ ้ ในเรื่องของจติ มาก จนกระทง่ั ได้รับสมญาวา่ เป็นบิดาแหง่ การภาวนาจิต” ประจกั ษ์พยานแหง่ สมญานามดงั กลา่ วจะเห็นได้จาก คําเทศน์ คาํ สอน และความสนใจของหลวงป่ ู อยใู่ นเร่ือง “จติ ” เพียงอยา่ งเดยี ว เรื่องอื่นนอกจากนนั้ หาได้อยใู่ นความสนใจของหลวงป่ ไู ม่ ด้วยความลึกซงึ ้ ในเร่ืองจิต จึงทําให้หลวงป่ ปู ระกาศหลกั ธรรม โดยใช้คําวา่ “จติ คือ พทุ ธะ” โดยเน้นสาระ เหลา่ นี ้เชน่ “พระพทุ ธเจ้าทงั้ ปวง และสตั ว์โลกทงั้ นนั้ ไมไ่ ด้เป็นอะไรเลย นอกจากเป็นเพียงจติ หนงึ่ นอกจากจิตหนงึ่ นีแ้ ล้ว ไมม่ ีอะไรตงั้ อยเู่ ลย” “จิตหนง่ึ ซง่ึ ปราศจากการตงั้ ต้นนี ้เป็นสง่ิ ท่ีมไิ ด้เกิดขนึ ้ และไมอ่ าจถกู ทําลายได้เลย” จิตหนง่ึ เทา่ นนั้ ที่เป็นพระพทุ ธะ ดงั คําตรัสที่ว่า “ผ้ใู ดเหน็ จิต ผ้นู นั้ เห็นเรา ผ้ใู ดเห็นปฏิจฺจสมปุ บฺ าท ผ้นู นั้ เห็นธรรม ผ้ใู ดเหน็ ธรรม ผ้นู นั้ เหน็ ตถาคต” ในการสอนของหลวงป่ ู ทา่ นจะเตอื นสตสิ านศุ ษิ ย์เสมอๆ วา่ “อยา่ สง่ จติ ออกนอก”

8 หลวงป่ ยู งั สอนแนวทางปฏิบตั ิ อีกวา่ “จงทําญาณให้เหน็ จิต เมื่อเห็นจิตได้ ก็จะสามารถแยกรูป ถอดด้วยวิชชา มรรคจติ เพื่อที่จะแยกรูปกบั กายให้อยคู่ นละสว่ น และจะเข้าใจพฤตขิ องจิตได้ในลําดบั ตอ่ ไป” คาํ สอนเก่ียวกบั เร่ืองจติ ของหลวงป่ ู ที่มีการบนั ทกึ ไว้ในที่อ่ืนๆ อีก ก็มีเชน่ :- “หลกั ธรรมที่แท้จริง คอื จิต จิตของเราทกุ คนนน่ั แหละ คือหลกั ธรรมสงู สดุ ในจิตใจเรา นอกจากนนั้ แล้ว ไมม่ ี หลกั ธรรมใดๆ เลย จติ นีแ้ หละ คอื หลกั ธรรม ซง่ึ นอกไปจากนนั้ แล้วก็ ไมใ่ ชจ่ ิต แตจ่ ติ นนั้ โดยตวั มนั เองก็ไมใ่ ชจ่ ิต ขอให้เลกิ ละการคิดและการอธิบายเสียให้หมดสนิ ้ เม่ือนนั้ เราอาจกลา่ วได้วา่ คลองแหง่ คําพดู ได้ถกู ตดั ทอนไป แล้ว พิษของจิตก็ได้ถกู ถอนขนึ ้ จนหมดสิน้ จติ ในจติ ก็จะเหลือแตค่ วามบริสทุ ธิ์ซงึ่ มีอยปู่ ระจําแล้วทกุ คน” ด้วยเหตนุ ี ้การสอนของหลวงป่ จู งึ ไมเ่ น้นที่การพดู การคดิ หรือการเทศนาสงั่ สอน แตท่ า่ นจะเน้นท่ีการ ภาวนา และให้ดลู งท่ีจิตใจของตนเอง อยา่ ไปดสู ิ่งอื่น เชน่ อยา่ ไปสนใจดสู วรรค์ ดนู รก หรือสง่ิ อ่ืนใด แตใ่ ห้ดทู ี่ จติ ของตนเอง ให้ดไู ปภายในตนเอง “อยา่ สง่ จิตออกนอก” จงึ เป็นคําที่หลวงป่ เู ตือนลกู ศษิ ย์อยเู่ สมอ

9 ๒ แนวทางการทําสมาธภิ าวนา สําหรับศษิ ยานศุ ิษย์ท่ีเป็นภิกษุสามเณร และปรารถนาจะเจริญงอกงามอย่ใู นบวรพทุ ธศาสนานนั้ หลวงป่ จู ะ ชีแ้ นะแนวทางดาํ เนินปฏิปทาไว้ ๒ แนวทาง ซง่ึ ทา่ นให้ความเหน็ วา่ ผ้ทู ่ีจะเป็นศาสนทายาทนนั้ ควร ทําการศกึ ษาทงั้ สองด้าน คอื ทงั้ ปริยตั แิ ละปฏิบตั ิ ดงั นนั้ หลวงป่ จู งึ แนะนําว่า ผ้ทู ี่อายยุ งั น้อยและมีแวว มีความสามารถในการศกึ ษาเลา่ เรียนก็ให้เลา่ เรียนพระ ปริยตั ธิ รรมไปก่อน ในเวลาที่วา่ งจากการศกึ ษา ก็ให้ฝึกฝนปฏิบตั สิ มาธิภาวนาไปด้วย เพราะจิตใจที่สงบ มี สมาธิ ยอ่ มอํานวยผลดีแกก่ ารเลา่ เรียน เมื่อมีผ้สู ามารถท่ีจะศกึ ษาเล่าเรียนตอ่ ไปในชนั้ สงู ๆ ได้ หลวงป่ กู ็จะจดั สง่ ให้ไปเรียนตอ่ ในสํานกั ตา่ งๆ ท่ี กรุงเทพฯ หรือท่ีอื่นที่เจริญด้วยการศกึ ษาด้านปริยตั ธิ รรม ศษิ ยานศุ ิษย์ของหลวงป่ จู งึ มีมากมายหลายรูปที่ศกึ ษาพระปริยตั ธิ รรมจบชนั้ สงู ๆ ถึงเปรียญ ๘ เปรียญ ๙ ประโยค หรือจบระดบั ปริญญาจากมหาวิทยาลยั สงฆ์ จนกระทง่ั ไปศกึ ษาตอ่ ยงั ตา่ งประเทศ เชน่ อินเดยี ออสเตรเลีย ฝร่ังเศส และสหรัฐอเมริกา สําหรับอีกแนวทางหนง่ึ นนั้ สําหรับผ้ทู ่ีมีอายมุ ากแล้วก็ดี ผ้ทู ี่รู้สกึ วา่ มนั สมองไมอ่ ํานวยตอ่ การศกึ ษาก็ดี ผ้ทู ่ี สนใจในธุดงค์กมั มฏั ฐานก็ดี หลวงป่ กู ็แนะนําให้ศกึ ษาพระธรรมวินยั ให้พอเข้าใจ ให้พอค้มุ ครองรักษาตวั เองให้ สมควรแก่สมณสารูป แล้วจงึ มงุ่ ปฏิบตั กิ มั มฏั ฐานตอ่ ไปให้จริงจงั ก็แลสําหรับผ้ทู ี่เลือกแนวทางที่สองนนั้ หลวงป่ ยู งั ได้ชีแ้ นะ ไว้อีก ๒ วธิ ี คอื ผ้ทู ่ีใฝ่ ในธุดงค์กมั มฏั ฐานตามแบบฉบบั ของพระอาจารย์ใหญ่มน่ั ภรู ิทตฺโต หลวงป่ กู ็จะแนะนําและสง่ ให้ไป อยรู่ ับการศกึ ษาอบรมกบั ครูบาอาจารย์จงั หวดั สกลนคร อดุ รธานี และหนองคาย

10 โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งท่ีสํานกั วดั ป่ าอดุ มสมพร และสํานกั ถํา้ ขามของทา่ นพระอาจารย์ฝัน้ อาจาโร หลวงป่ ไู ด้ฝาก ฝังไปอยมู่ ากที่สดุ และมาในระยะหลงั มีฝากไปที่สํานกั วดั ป่ าบ้านตาด ของทา่ นอาจารย์พระมหาบวั ญาณสมฺปนฺโน บ้าง เป็นที่สงั เกตวา่ ไมม่ ีลกู ศษิ ย์ลกู หาท่ีสนใจใฝ่ ในกิจธุดงคค์ นใดที่ หลวงป่ จู ะแนะนําให้ไปเอง หรือเที่ยวเสาะ แสวงหาเอาเอง หรือเดนิ ทางไปสํานกั นนั้ ๆ เอง ในเร่ืองนีท้ า่ นเจ้าคณุ พระโพธินนั ทมนุ ียืนยนั วา่ หลวงป่ เู คยใช้ให้ทา่ นเจ้าคณุ เองเป็นผ้นู ําพระไปฝากไว้ที่สํานกั ทา่ นพระอาจารย์ฝัน้ หลายเที่ยวหลายชดุ ด้วยกนั ศษิ ย์ท่ีได้รับการฝึกอบรมจากสํานกั ทา่ นอาจารย์ฝัน้ นนั้ ก็ได้ กลบั มาบําเพญ็ ประโยชน์แก่การพระศาสนา ด้านวิปัสสนาธุระที่จงั หวดั สรุ ินทร์และบรุ ีรัมย์หลายทา่ นด้วยกนั จนกระทง่ั มีไปเผยแพร่พระศาสนาในด้านนีถ้ งึ สหรัฐอเมริกาก็หลายรูป ในปัจจบุ นั นี ้ทงั้ นีก้ ็เป็นเพราะผลการ สงั เกตเห็นแววและสง่ เสริมสนบั สนนุ ของหลวงป่ นู น่ั เอง สว่ นอีกวธิ ีหนงึ่ นนั้ หลวงป่ ชู ีแ้ นะไว้สําหรับผ้ทู ่ีสนใจจะปฏิบตั ทิ างด้าน สมาธิวปิ ัสสนาเพียงอยา่ งเดียว ไมส่ นใจ ในธุดงคก์ มั มฏั ฐาน อาจเป็นด้วยไมช่ อบการนงุ่ หม่ แบบนนั้ หรือมีสขุ ภาพไมเ่ หมาะแก่การฉนั อาหาร มือ้ เดียว หรือเพราะเหตผุ ลอ่ืนใดก็ตาม หลวงป่ จู ะไมแ่ นะนําให้ไปท่ีไหน แตใ่ ห้อยกู่ บั ท่ีที่ตนยนิ ดีชอบใจในจงั หวดั สรุ ินทร์หรือบรุ ีรัมย์ อาจเป็นท่ีวดั บรู พา รามหรือวดั ไหน ก็ได้ท่ีรู้สึกวา่ อยสู่ บาย หลวงป่ ถู ือวา่ การปฏิบตั ธิ รรมอยา่ งนีไ้ มจ่ ําเป็นต้องเดนิ ทางไปท่ีไหนในเม่ือกายยาว ๑ วา หนา ๑ คืบ นีแ้ ล เป็ น ตวั ธรรม เป็นตวั โลก เป็นที่เกิดแหง่ ธรรม เป็ นท่ีดบั แหง่ ธรรม เป็นท่ีท่ีพระผ้มู ีพระภาคเจ้า ได้อาศยั บญั ญัตไิ ว้ซง่ึ ธรรมทงั้ ปวง แม้ใครใคร่จะปฏิบตั ธิ รรมก็ต้อง ปฏิบตั ิที่กายและใจเรานี ้หาได้ไปปฏิบตั ิที่อื่นไม่ ดงั นนั้ ไมจ่ ําเป็นต้องหอบสงั ขารไปท่ีไหน ถ้าตงั้ ใจจริงแล้ว นง่ั อย่ทู ่ีไหน ธรรมะก็เกิดท่ีตรงนนั้ นอนอยทู่ ี่ไหน ยืน อยทู่ ่ีไหน เดนิ อยทู่ ี่ไหน ธรรมะก็เกิดท่ีตรงนนั้ นน่ั แล ยิ่งกวา่ นนั้ หลวงป่ อู ธิบายวา่ ยิง่ ผ้ใู ดสามารถปฏิบตั ภิ าวนา ในทา่ มกลางความวนุ่ วายของบ้านเมืองท่ีมีแตค่ วาม

11 อกึ ทกึ ครึกโครม หรือแม้แตก่ ระทง่ั ในขณะท่ีรอบๆ ตวั มีแตค่ วามเอะอะวนุ่ วาย ก็สามารถกําหนดจิตตงั้ สมาธิได้ สมาธิท่ีผ้นู นั้ ทําให้เกิดได้ จงึ เป็นสมาธิที่เข้มแขง็ และมนั่ คงกวา่ ธรรมดา ด้วยเหตทุ ี่สามารถตอ่ ส้เู อาชนะสภาวะท่ี ไมเ่ ป็นสปั ปายะ คือ ไมอ่ ํานวยนน่ั เอง เพราะวา่ สถานที่ที่เปลี่ยววเิ วกนนั้ ยอ่ มเป็ นสปั ปายะ อํานวยให้เกิดความ สงบอยแู่ ล้ว จติ ใจยอ่ มจะหยงั่ ลงสสู่ มาธิได้งา่ ยเป็นธรรมดา หลวงป่ ยู งั เคยบอกด้วยว่า การเดนิ จงกรมจนกระทงั่ จิตหยง่ั ลงสคู่ วามสงบนนั้ จะเกิดสมาธิที่แขง็ แกร่งกวา่ สมาธิ ที่สําเร็จ จากการนง่ั หรือนอน หรือแม้แตก่ ารเข้าป่ ายง่ิ นกั ด้วยเหตนุ ีจ้ ะสงั เกตวา่ ในแถบจงั หวดั สรุ ินทร์ บรุ ีรัมย์ จะมีนกั ปฏิบตั หิ ลายทา่ นชอบไปนงั่ ทําสมาธิใกล้ๆ วงพณิ พาทย์ หรือใกล้ๆ ท่ีท่ีมีเสียงอึกทกึ ครึกโครมตา่ งๆ ยง่ิ ดงั เอะอะนา่ เวียนหวั เทา่ ไหร่ก็ยิ่งชอบ อยา่ งไรก็ตามแม้วา่ การทําสมาธินนั้ ตามความเป็นจริงแล้วยอ่ มไมเ่ ลือกสถานท่ีปฏิบตั กิ ็ตาม แตส่ ําหรับผ้ทู ี่มีจิต เบา วอกแวกง่าย หรือผ้ทู ี่ต้องการ “เครื่องทนุ่ แรง” จําเป็นต้องอาศยั สภาพแวดล้อมท่ีอํานวยความสงบ พงึ แสวงหาสถานที่ วเิ วกหรือออกธุดงค์กมั มฏั ฐานแสวงหาที่สงดั ท่ีเปลี่ยว เชน่ ถํา้ เขา ป่ าดงหรือป่ าช้าท่ีนา่ สพงึ กลวั จะได้เป็นเคร่ืองสงบจิต ไมใ่ ห้ฟ้ งุ ซา่ น และตกอยภู่ ายใต้การควบคมุ ของสตไิ ด้โดยงา่ ย ก็จะทําให้การ บําเพ็ญสมาธิภาวนาสําเร็จได้สะดวกยิง่ ขนึ ้

12 ๓ ปรยิ ตั -ิ ปฏบิ ัติ ในหมผู่ ้สู นใจศกึ ษาศาสนาจะมีข้อโต้แย้งกนั เสมอระหวา่ ง การศกึ ษาจากตาํ รา คือศกึ ษาด้านปริยตั ิ กบั อีกฝ่ าย หนงึ่ เน้นการปฏิบตั แิ ละไมเ่ น้นการศกึ ษาจากตาํ รา วา่ แนวทางใดจะให้ผลดกี วา่ กนั สําหรับหลวงป่ ดู ลู ย์ อตโุ ล ทา่ นเสนอแนะให้ดําเนนิ สายกลาง นน่ั คือถ้าเน้นเพียงด้านใดด้านหนง่ึ แล้วละเลยอีก ด้านหนงึ่ ก็เป็นการสดุ โตง่ ไป หลวงป่ ทู า่ นแนะนําลกู ศษิ ย์ลกู หาท่ีมงุ่ ปฏิบตั ธิ รรมวา่ ให้อา่ นตํารับตําราสว่ นที่เป็นพระวนิ ยั ให้เข้าใจ เพ่ือท่ีจะ ปฏิบตั ไิ มผ่ ดิ แตใ่ นสว่ นของพระธรรมนนั้ ให้ตงั้ ใจปฏิบตั เิ อา จากคาํ แนะนํานีแ้ สดงวา่ หลวงป่ ถู ือเร่ือง การปฏิบตั ใิ ห้ถกู ต้องตามพระวนิ ยั เป็นเร่ืองสําคญั และจะต้องมา กอ่ น ศกึ ษาให้เข้าใจ และปฏิบตั ิตนให้ถกู แล้วเรื่องคณุ ธรรมและปัญญาสามารถสร้างเสริมขนึ ้ ได้ถ้าตงั้ ใจ ยกตวั อย่างในกรณีของ หลวงตาแนน หลวงตาแนนไมเ่ คยเรียนหนงั สือ ทา่ นมาบวชพระเม่ือวยั เลย กลางคนไปแล้ว ทา่ นเป็นพระที่มีความตงั้ ใจดี ว่า งา่ ยสอนงา่ ย ขยนั ปฏิบตั กิ ิจวตั รไมข่ าดตกบกพร่อง เหน็ พระรูปอ่ืนเขาออกไปธดุ งค์ก็อยากไปด้วย จงึ ไปขอ อนญุ าตหลวงป่ ู เมื่อได้รับอนญุ าตแล้ว หลวงตาแนนก็ให้บงั เกิดความวิตกกงั วล ปรับทกุ ข์ขนึ ้ วา่ “กระผมไมร่ ู้หนงั สือ ไมร่ ู้ภาษา พดู เขา จะปฏิบตั กิ บั เขาได้อยา่ งไร” หลวงป่ จู งึ แนะนําด้วยเมตตาวา่ “การปฏิบตั ไิ มไ่ ด้เก่ียวกบั อกั ขระ พยญั ชนะ หรือคําพดู อะไรหรอก ท่ีรู้วา่ ตนไมร่ ู้ก็ดีแล้ว สําหรับวธิ ีปฏิบตั นิ นั้ ใน

13 สว่ นวนิ ยั ให้พยายาม ดแู บบเขา ดแู บบอยา่ งครูบาอาจารย์ผ้นู ํา อยา่ ทําให้ผิดแผกจากทา่ น ในสว่ นธรรมะนนั้ ให้ ดทู ี่จิตของตวั เอง ปฏิบตั ทิ ี่จติ เม่ือเข้าใจจิตแล้วอยา่ งอ่ืนก็เข้าใจได้เอง” เน่ืองจากหลวงป่ ไู ด้อบรมสง่ั สอนลกู ศษิ ย์ผ้ปู ฏิบตั มิ ามากตอ่ มาก ทา่ นจงึ ให้ข้อสงั เกตในการปฏิบตั ธิ รรมระหวา่ ง ผ้ทู ี่เรียนน้อยกบั ผ้ทู ี่เรียนมากมากอ่ นวา่ “ผ้ทู ี่ยงั ไมร่ ู้หวั ข้อธรรมอะไรเลย เม่ือปฏิบตั อิ ยา่ งจริงจงั มกั จะได้ผลเร็ว เมื่อเขาปฏิบตั จิ นเข้าใจจติ หมดสงสยั เร่ืองจิตแล้ว หนั มาศกึ ษาตริตรองข้อธรรมในภายหลงั ก็จะรู้แจ้งแทงตลอดแตกฉานนา่ อศั จรรย์” “สว่ นผ้ทู ี่ศกึ ษาเลา่ เรียนมาก่อน แล้วจงึ หนั มาปฏิบตั ติ อ่ ภายหลงั จิตจะสงบเป็นสมาธิยากกวา่ เพราะชอบใช้วิตก วจิ ารมาก เม่ือจิตวิตกวิจารมาก วจิ ิกิจฉาก็มาก จงึ ยากที่จะประสบผลสําเร็จ” อยา่ งไรก็ตามข้อสงั เกตดงั กลา่ ว หลวงป่ ยู ํา้ ว่า “แตท่ งั้ นีก้ ็ไมเ่ สมอไปทีเดยี ว” แล้วทา่ นให้ข้อแนะนําตอ่ ไปอีกวา่ “ผ้ทู ่ีศกึ ษาทางปริยตั จิ นแตกฉานมากอ่ นแล้ว เม่ือหนั มามงุ่ ปฏิบตั อิ ยา่ งจริงจงั จนถงึ ขนั้ อธิจติ อธิปัญญาแล้ว ผลสําเร็จก็จะยงิ่ วเิ ศษขนึ ้ ไปอีก เพราะเป็นการเดินตามแนวทางปริยตั ิ ปฏิบตั ิ ย่อมแตกฉาน ทงั้ อรรถะและ พยญั ชนะ ฉลาดในการชีแ้ จงแสดงธรรม” หลวงป่ ไู ด้ยกตวั อยา่ งพระเถระทงั้ ในอดีตและปัจจบุ นั เพื่อสนบั สนนุ ความคิดดงั กล่าว ก็มีทา่ นเจ้าคณุ พระอบุ าลี คณุ ปู มาจารย์ (สริ ิจนฺโท จนั ทร์) แหง่ วดั บวรนิวาส กรุงเทพฯ และทา่ นอาจารย์พระมหาบวั ณานสมฺปนฺโน แหง่ สํานกั วดั ป่ าบ้านตาด จงั หวดั อดุ รธานี เป็นต้น ทงั้ สององค์นี ้“ได้ทงั้ ปริยตั ิ ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ อาจหาญชาญฉลาดในการแสดงธรรม เป็นประโยชน์ใหญ่หลวงแก่ พระศาสนาเป็ นอยา่ งยงิ่ ” โดยสรุป หลวงป่ สู นบั สนนุ ทงั้ ตํารา คือ ปริยตั แิ ละปฏิบตั ติ ้องไปด้วยกนั และทา่ นยํา้ วา่ “ผ้ใู ดหลงใหลในตําราและอาจารย์ ผ้นู นั้ ไมอ่ าจพ้นทกุ ข์ได้ แตผ่ ้ทู ี่จะ พ้นทกุ ข์ได้ ต้องอาศยั ตําราและอาจารย์

14 เหมือนกนั ” ท่ีผา่ นมาได้กล่าวถึงการสอนของหลวงป่ ดู ลู ย์ อตโุ ล วา่ ท่านไมท่ ิง้ ทงั้ ปริยตั แิ ละปฏิบตั ิ ต้องมีประกอบกนั ตอ่ ไปนีเ้ป็นตวั อยา่ งการสอนของหลวงป่ จู ากประสบการณ์ของหลวงพอ่ เพม่ิ กิตฺติวฒฺโน (พระมงคลวฒั นคณุ ) แหง่ วดั ถํา้ ไตรรัตน์ อําเภอปากชอ่ ง จงั หวดั นครราชสีมา ขอยกข้อความมาดงั นี ้ การศกึ ษาความรู้กบั หลวงป่ ดู ลู ย์เม่ือครัง้ ที่ทา่ น (หลวงพอ่ เพ่ิม) ยงั เป็นสามเณรน้อย ได้รับการชีแ้ นะอบรมพร่ํา สอนจากหลวงป่ ดู ลู ย์อยา่ งใกล้ชดิ โดยทา่ นจะเน้นให้ศษิ ย์ของทา่ นมีความสํานึกตรึกอยใู่ นจิตเสมอถึงสภาวะ ความเป็ นอย่ใู นปัจจบุ นั วา่ บดั นีเ้ราได้บวชกายบวชใจเข้ามาอยใู่ นบวรพทุ ธศาสนา เป็นสมณะท่ีชาวบ้านทงั้ หลายให้ความเคารพบชู า ทงั้ ยงั อปุ ัฏฐากอปุ ถมั ภ์คํา้ จนุ ด้วยปัจจยั ส่ี ควรท่ีจะกระทําตนให้สมกบั ที่เขาเคารพบชู า ถือประพฤติปฏิบตั ิตาม ศีลธรรมตามพระวินยั อยา่ งเคร่งครัด ไมฝ่ ่ าฝื นทงั้ ที่ลบั และท่ีแจ้ง พระเณรท่ีมาบวชกบั ทา่ น หลวงป่ จู งึ ให้ศกึ ษาทงั้ ในด้านปริยตั แิ ละปฏิบตั คิ วบคกู่ นั ไป ด้านปริยตั ิ ทา่ นให้เรียนนกั ธรรม บาลี ไวยากรณ์ ให้เรียนรู้ถงึ เร่ืองศลี ธรรม พระวินยั เพื่อจะได้จดจํานําไป ประพฤตปิ ฏิบตั ใิ ห้ถกู ต้อง ไม่ออกนอกล่นู อกทางท่ีพระพทุ ธองค์ทรงวางไว้ ซง่ึ จะทําให้สามารถดํารงตนอยไู่ ด้ อยา่ งเหมาะสมเยี่ยงผ้ถู ือบวช ที่ชาวบ้านเขาศรัทธากราบไหว้บชู า ด้านปฏิบตั ิ ทา่ นเน้นหนกั เป็ นพเิ ศษให้พระเณรทกุ รูปทกุ องคป์ ฏิบตั กิ มั มฏั ฐาน เพราะการปฏิบตั พิ ระธรรม กมั มฏั ฐานนี ้จะเป็นการฝึกกายฝึกจติ ให้ผ้ศู กึ ษาธรรม ได้รู้ได้เห็นของจริงโดยสภาพท่ีเป็ นจริง อนั เกิดจากการรู้ การเหน็ ของตนเอง ไมใ่ ชเ่ กิดจากการอา่ นจดจําจากตํารับตํารา ซง่ึ เป็นการรู้ด้วย สญั ญาแหง่ การจําได้หมายรู้ คือรู้แตย่ งั ไมเ่ ห็น ยงั ไมแ่ จ้ง แทงตลอดอยา่ งแท้จริง ข้อธรรมกมั มฏั ฐานที่หลวงป่ ดู ลู ย์ ท่านให้พจิ ารณาอยเู่ ป็นเนืองนิตย์ก็คือ หวั ข้อกมั มฏั ฐานท่ีวา่ สพฺเพ สงฺขารา สพฺพส�ฺญา อนตฺตา

15 การพจิ ารณาตามหวั ข้อธรรมกมั มฏั ฐานดงั กลา่ วนี ้หากได้พจิ ารณาทบทวนอยา่ งสมํ่าเสมอแล้ว ในเวลาตอ่ มาก็ จะ รู้แจ้งสวา่ งไสว เข้าใจได้ชดั วา่ สงั ขารทงั้ หลายทงั้ ปวง เป็นสง่ิ ที่ไมเ่ ท่ียงแท้ หาความจีรังยง่ั ยืนไมไ่ ด้ มีการเกิด ดบั - เกิดดบั อยตู่ ลอดเวลา เมื่อพิจารณาเห็นอยา่ งนีแ้ ล้ว จะทําให้เลกิ ละจากการยดึ ถือตวั ตนบคุ คลเราท่าน เพราะได้รู้ได้เห็นของจริงแล้ว วา่ สงั ขารที่เรารักหวงแหนนนั้ ไมช่ ้าไมน่ านมนั ก็ต้องเส่ือมสญู ดบั ไปตามสภาวะของมนั ไมอ่ าจท่ีจะฝ่ าฝื นได้ เม่ือสงั ขารดบั ได้แล้ว ความเป็นตวั เป็นตนก็จะไมม่ ี เพราะไมไ่ ด้เข้าไปเพ่ือปรุงแตง่ ครัน้ เม่ือความปรุงแตง่ ขาด หายไป ความทกุ ข์จะเกิดได้อยา่ งไร

16 ๔ ศลี สมาธิ ปัญญา แตล่ ะระดับ คาํ สอนของหลวงป่ ดู ลู ย์ อตโุ ล อีกประการหนงึ่ ท่ีทา่ นแนะนําพรํ่าสอน ตอ่ ผ้มู าขอแนวทางการปฏิบตั จิ ากทา่ น ไมว่ า่ จะเป็นพระภิกษุ สามเณร อบุ าสก อบุ าสิกา จะเป็นเดก็ หรือผ้ใู หญ่ก็ดี ทา่ นจะให้ปฏิบตั โิ ดยแนวทาง แหง่ ศลี สมาธิ ปัญญา เหมือนกนั หมด หลวงพอ่ เพิม่ ทา่ นได้เลา่ ว่า สมยั ที่ทา่ นยงั เป็นสามเณร และอยกู่ บั หลวงป่ ดู ลู ย์ ที่วดั บรู พาราม จงั หวดั สรุ ินทร์ มี คนเคยมาถามหลวงป่ ถู งึ คาํ สง่ั สอนดงั กลา่ วของทา่ นวา่ “สอนเด็ก ก็สอน ศีล สมาธิ ปัญญา สอนหนมุ่ สาว ก็สอน ศลี สมาธิ ปัญญา สอนผ้เู ฒา่ ผ้แู ก่ ก็สอน ศลี สมาธิ ปัญญา สอนพระเณร ก็สอน ศลี สมาธิ ปัญญา” “ศีล สมาธิ ปัญญา ในระดบั ตา่ งๆ กนั นนั้ เหมือนกนั หรือแตกตา่ งกนั อยา่ งไร ?” ขณะท่ีมีผ้ถู ามนนั้ ตอนนนั้ หลวงป่ ดู ลู ย์กําลงั ปะชนุ เย็บจีวรอยู่ เมื่อทา่ นฟังคําถามนนั้ จบลง ทา่ นก็ยกเข็มให้ดู แล้วกลา่ ววา่ “คณุ ลองดวู า่ เข็มนีแ้ หลมไหม ?” ผ้ถู ามก็ตอบวา่ “แหลมขอรับหลวงป่ ”ู หลวงป่ อู ธิบายวา่ :- “ความแหลมคมของสตปิ ัญญาในระดบั เด็ก ระดบั ผ้ใู หญ่ ก็มี ความแหลมคมไปคนละอยา่ ง แตใ่ นระดบั ความ

17 แหลมคมของสตปิ ัญญาพระอรหนั ตน์ นั้ อยเู่ หนือความแหลมคมทงั้ หลายทงั้ ปวง ความแหลมคมของเข็มนนั้ เกิดจากคนเราทําขนึ ้ แตส่ ตปิ ัญญาท่ีเกิดจากพระพทุ ธเจ้า และพระอรหนั ตท์ งั้ หลาย นนั้ เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา ระดบั โลกตุ รธรรม ท่ีไมม่ ีส่งิ ใดเสมอเหมือน มีความมนั่ คงไมแ่ ปรเปล่ียนอีกแล้ว สําหรับสตปิ ัญญาระดบั ปถุ ชุ นก็เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา เชน่ กนั แตเ่ ป็น ศีล สมาธิ ปัญญา ที่จะต้องระมดั ระวงั เพราะยงั อยใู่ นขนั้ โลกียธรรม ยงั คงมีความเปลี่ยนแปลงผนั แปรได้เสมอ” คาํ ตอบของหลวงป่ ดู ลู ย์ดงั กลา่ วนนั้ ชีใ้ ห้เหน็ ถงึ ไหวพริบและปฏิภาณในการอธิบายข้อธรรมที่ลมุ่ ลกึ ได้อยา่ งฉบั ไว โดยสามารถยกสิ่งเลก็ ๆ น้อยๆ ที่เราคดิ ไมถ่ งึ มาเป็นตวั อยา่ งประกอบ ชีใ้ ห้เห็นปัญหาท่ีไตถ่ ามได้อยา่ งแจม่ แจ้ง ซง่ึ นบั วา่ เป็ นการอธิบายข้อธรรมที่นา่ อศั จรรย์ยิ่ง

18 ๕ สมาธอิ ันใด ปัญญาอนั นัน้ มีเร่ืองเลา่ สมยั ที่หลวงป่ เู ดนิ ทางกลบั จากอบุ ลฯ มาสรุ ินทร์ เพ่ือโปรดญาติโยมในครัง้ แรก ทา่ นมาในรูปแบบของ พระธดุ งคก์ มั มฏั ฐาน และพํานกั โปรดญาตโิ ยมอยทู่ ี่สํานกั ป่ าบ้านหนองเสม็ด ตําบลเฉนียง อําเภอเมืองสรุ ินทร์ ในชว่ งนนั้ ได้มีชายหวั นกั เลงอนั ธพาลผ้หู นงึ่ มีความโหดร้ายระดบั เสือ เป็นที่กลวั เกรงแกป่ ระชาชนในละแวกนนั้ กลมุ่ ของชายผ้นู ีท้ อ่ งเท่ียวหากินแถบชายแดนไทยและกมั พชู า เมื่อได้ยนิ ขา่ วเลา่ ลือเก่ียวกบั พระธุดงคม์ าพํานกั ท่ีบ้านเสมด็ เขามน่ั ใจวา่ พระจะต้องเป็นผ้มู ีวิชาด้าน คาถาอาคมอนั ลํา้ เลิศอยา่ งแนน่ อน จงึ มีความประสงค์จะได้วตั ถมุ งคลเครื่องรางของขลงั ประเภทอยยู่ งคง กระพนั ยิงไมอ่ อกฟันไมเ่ ข้า ดงั นนั้ จงึ พาลกู สมนุ ตวั กลนั่ ๔ คน มีอาวธุ ครบครันแอบเข้าไปหาหลวงป่ อู ยา่ งเงียบๆ ขณะนนั้ เป็นเวลาประมาณ ๒ ทมุ่ แถวหมบู่ ้านป่ าถือวา่ ดกึ พอสมควรแล้ว ชาวบ้านที่มาฟังธรรม และมาบาํ เพญ็ สมาธิภาวนาพากนั กลบั หมดแล้ว กลมุ่ นกั เลงแสดงตนให้ประจกั ษ์ กล่าวอ้อนวอนหลวงป่ วู า่ พวกตนรักการดําเนนิ ชีวิตทา่ มกลางคมหอกคมดาบ และได้กอ่ ศตั รูไมน่ ้อย ที่มาครัง้ นีก้ ็เพราะมีความเล่ือมใสศรัทธา มีเจตนาจะมาขอวชิ าคาถาอาคมไว้ป้ องกนั ตวั ให้พ้นจากอนั ตราย ขอพระคณุ ทา่ นได้โปรดมีจติ เมตตา เหน็ แก่ความลําบากยากเข็ญของพวกกระผมท่ีต้องฟันฝ่ าอปุ สรรค หลบ ศตั รูมงั่ ร้ายหมายขวญั ได้โปรดถ่ายทอดวิชาอาคมให้พวกกระผมเถิด หลวงป่ กู ลา่ วกบั ชายกลมุ่ นนั้ วา่ “ข้อนีไ้ มย่ าก แตว่ ่าผ้ทู ี่จะรับวิชาอาคมของเราได้นนั้ จะต้องมีการปรับพืน้ ฐาน จติ ใจให้แขง็ แกร่ง เสียก่อน มิฉะนนั้ จะรองรับอาถรรพ์ไว้ไมอ่ ยู่ วชิ าก็จะย้อนเข้าตวั เกิดวิบตั ภิ ยั ร้ายแรงได้”

19 วา่ ดงั นนั้ แล้ว หลวงป่ กู ็แสดงพืน้ ฐานของวิชาอาคมของทา่ นวา่ “คาถาทกุ คาถา หรือวิชาอาคมที่ประสงคจ์ ะเรียน นนั้ จะต้องอาศยั พืน้ ฐานคือ พลงั จิต จิตจะมีพลงั ได้ก็ต้องมีสมาธิ สมาธินนั้ จะเกิดขึน้ ได้ก็แตจ่ ากการนงั่ ภาวนา ทําใจให้สงบ วชิ าท่ีจะ ร่ําเรียนไปจงึ จะบงั เกิดผลศกั ดสิ์ ิทธิ์ ไมม่ ีพิบตั ภิ ยั ตามมา” ฝ่ ายนกั เลงเหลา่ นนั้ เม่ือเห็นอากปั กิริยาอนั สงบเยน็ มนั่ คง มิได้รู้สกึ สะทกสะท้านตอ่ พวกเขา ประกอบกบั ปฏิปทาอนั งดงามของทา่ น ก็เกิดความเยน็ กาย เยน็ ใจ เล่ือมใสนบั ถือ อีกอยา่ งก็มีความอยากได้วิชาอาคม ดงั กลา่ ว จงึ ยินดีปฏิบตั ติ าม หลวงป่ ไู ด้แนะนําให้นงั่ สมาธิภาวนา แล้วบริกรรมภาวนาในใจวา่ พทุ โธ พทุ โธ ชวั่ เวลาประมาณ ๑๐ - ๒๐ นาที เทา่ นนั้ จอมนกั เลงก็รู้สกึ สงบเย็น ยงั ปี ตใิ ห้บงั เกิดซาบซา่ นขนึ ้ อยา่ งแรง เป็นปี ตชิ นิดโลดโผนเกิดอาการสะด้งุ สดุ ตวั ขนลกุ ขนชนั และร้องไห้ เห็นปรากฏชดั ในส่ิงที่ตนเคยกระทํามา เห็นววั ควายกําลงั ถกู ฆา่ เหน็ คนท่ีมีอาการทรุ นทรุ ายเนื่องจากถกู ทําร้าย เห็นความชวั่ ช้าเลวทรามตา่ งๆ ของตน ทําให้รู้สกึ สงั เวชสลดใจอยา่ งยงิ่ หลวงป่ กู ็ปลอบโยนให้การแนะนําวา่ “ให้ตงั้ สมาธิภาวนาตอ่ ไปอีก ทําตอ่ ไป ในไมช่ ้าก็จะพ้นจากภาวะนนั้ อยา่ ง แนน่ อน” นกั เลงเหลา่ นนั้ พากนั นง่ั สมาธิภาวนาอยกู่ บั หลวงป่ ไู ปจนตลอดคืน ครัน้ รุ่งเช้า อานภุ าพแหง่ ศีลและสมาธิที่ ได้รับการอบรมฝึกฝนมาตลอดทงั้ คืนก็ยงั ปัญญาให้เกิดแกน่ กั เลงเหลา่ นนั้ จติ ใจของพวกเขารู้สกึ อม่ิ เอบิ ด้วยธรรม เปี่ ยมไปด้วยศรัทธา บงั เกิดความเลื่อมใส จงึ เปล่ียนใจไปจากการอยาก ได้วชิ าอาคมขลงั ตลอดจนกลบั ใจเลกิ พฤตกิ รรมอนั ทําความเดอื ดร้อนทงั้ แก่ตนและแก่ผ้อู ื่นจนหมดสิน้ ปฏิญาณตนเป็นคําตายกบั หลวงป่ วู า่ จะไมท่ ํากรรมชวั่ ทจุ ริตอีกแล้ว เม่ือพิจารณาเหตกุ ารณ์ในครัง้ นี ้จะเหน็ วา่ ในขณะท่ีพวกเขาทงั้ ๕ อยตู่ อ่ หน้าหลวงป่ ู พวกเขามิได้กระทํากรรม ชวั่ อนั ใดลงไป สว่ นกรรมชว่ั ท่ีเขาเคยกระทํามาแล้วก็หยดุ ไว้ชวั่ ขณะ แฝงซอ่ นเร้นหลบ อยใู่ นขนั ธสนั ดานของ เขา

20 ในตอนนนั้ พวกเขาก็มีเพียงความรู้สกึ โลภ ด้วยการอยากได้คาถา อาคมจากหลวงป่ ู แตค่ วามโลภชว่ งนนั้ ได้ สร้างความศรัทธาให้เกิด ทําให้ตงั้ ใจปฏิบตั ติ ามคาํ สอน ในขณะจติ ที่ตงั้ ใจ ความชว่ั ทงั้ หลายก็หยดุ พกั ไว้ ศีลก็มีความสมบรู ณ์ พอท่ีจะเป็นบาทฐานของสมาธิภาวนาได้ เมื่อรักษาได้อยา่ งนนั้ ไมข่ าดสาย จติ ยอ่ มตงั้ มนั่ อย่ดู ้วยดี เรียกวา่ มีสมาธิจิตท่ีไมก่ ําเริบแปรปรวน เรียกวา่ จิตมี ศีล และอาการตงั้ มนั่ อยดู่ ้วยดีเรียกวา่ มีสมาธิ ยอ่ มมีความคลอ่ งแคลว่ แก่การงาน ควรแก่การพจิ ารณาปัญหา ตา่ งๆได้เป็ นอย่างดี เรียกวา่ สตปิ ัญญา ความรู้สกึ และอารมณ์ดงั กลา่ ว ตรงตามคําสอนของพระอาจารย์ใหญ่มน่ั ภรู ิทตฺโต ท่ีวา่ “ศลี อนั ใด สมาธิอนั นนั้ สมาธิใด ปัญญาอนั นนั้ ”

21 ๖ วธิ เี จรญิ สมาธภิ าวนา วิธีเจริญสมาธิภาวนาตามแนวการสอนของหลวงป่ ดู ลู ย์ อตโุ ล มีดงั ตอ่ ไปนี ้ ๑. เริ่มต้นด้วยอิริยาบถท่ีสบาย ยืน เดนิ นงั่ นอน ได้ตามสะดวก ทําความรู้ตวั เตม็ ที่ และ รู้อยกู่ บั ที่ โดยไมต่ ้องรู้อะไร คือ รู้ตวั หรือรู้ “ตวั ” อยา่ งเดยี ว รักษาจิตเชน่ นีไ้ ว้เร่ือยๆ ให้ “รู้อยเู่ ฉยๆ” ไมต่ ้องไปจําแนกแยกแยะ อยา่ บงั คบั อยา่ พยายาม อยา่ ปลอ่ ยล่องลอย ตามยถากรรม เม่ือรักษาได้สกั ครู่ จิตจะคดิ แสไ่ ปในอารมณ์ตา่ งๆ โดยไมม่ ีทางรู้ทนั ก่อน เป็ นธรรมดาสําหรับผ้ฝู ึกใหม่ ตอ่ เม่ือ จติ แลน่ ไป คิดไปในอารมณ์นนั้ ๆ จนอิ่มแล้ว ก็จะรู้สกึ ตวั ขนึ ้ มาเอง เมื่อรู้สกึ ตวั แล้วให้พิจารณาเปรียบเทียบ สภาวะของตนเอง ระหวา่ งท่ีมีความรู้อยกู่ บั ท่ี และระหวา่ งท่ีจิตคิดไปในอารมณ์ วา่ มีความแตกตา่ งกนั อย่างไร เพื่อเป็นอบุ ายสอนจิตให้จดจํา จากนนั้ คอ่ ยๆ รักษาจิตให้อย่ใู นสภาวะรู้อย่กู บั ที่ตอ่ ไป ครัน้ พลงั้ เผลอรักษาไมด่ พี อ จติ ก็จะแลน่ ไปเสวยอารมณ์ ข้างนอกอีกจนอิ่มแล้ว ก็จะกลบั รู้ตวั รู้ตวั แล้วก็พิจารณาและรักษาจิตตอ่ ไป ด้วยอบุ ายอยา่ งนี ้ไมน่ านนกั ก็จะสามารถควบคมุ จิตได้และบรรลสุ มาธิในที่สดุ และจะเป็นผ้ฉู ลาดใน “พฤติ แหง่ จติ ” โดยไมต่ ้องไปปรึกษาหารือใคร ข้อห้าม ในเวลาจิตฟ้ งุ เตม็ ท่ี อยา่ ทํา เพราะไมม่ ีประโยชน์และยงั ทําให้บนั่ ทอนพลงั ความเพียร ไมม่ ีกําลงั ใจใน การ เจริญจิตครัง้ ตอ่ ๆ ไป ในกรณีที่ไมส่ ามารทําเชน่ นีไ้ ด้ ให้ลองนกึ คําวา่ “พทุ โธ” หรือคําอะไรก็ได้ท่ีไมเ่ ป็นเหตเุ ย้ายวน หรือเป็นเหตขุ ดั

22 เคืองใจ นึกไปเรื่อยๆ แล้วสงั เกตดวู า่ คาํ ที่นกึ นนั้ ชดั ท่ีสดุ ท่ีตรงไหน ที่ตรงนนั้ แหละคือฐานแหง่ จิต พงึ สงั เกตวา่ ฐานนีไ้ ม่อยคู่ งท่ีตลอดกาล บางวนั อย่ทู ่ีหนง่ึ บางวนั อยอู่ ีกที่หนง่ึ ฐานแหง่ จิตที่คํานงึ พทุ โธปรากฏชดั ที่สดุ นี ้ย่อมไมอ่ ยภู่ ายนอกกายแนน่ อน ต้องอยภู่ ายในกายแน่ แตเ่ ม่ือ พจิ ารณาดใู ห้ดีแล้ว จะเห็นวา่ ฐานนีจ้ ะวา่ อยทู่ ่ีส่วนไหนของร่างกายก็ไมถ่ กู ดงั นนั้ จะว่าอยภู่ ายนอกก็ไมใ่ ช่ จะ วา่ อยภู่ ายในก็ไมเ่ ชงิ เมื่อเป็ นเชน่ นี ้แสดงว่าได้กําหนดถกู ฐานแหง่ จิตแล้ว เม่ือกําหนดถกู และพทุ โธปรากฏในมโนนึกชดั เจนดี ก็ให้กําหนดนกึ ไปเรื่อย อย่าให้ขาดสายได้ ถ้าขาดสายเมื่อใด จิตก็จะแลน่ ไปสอู่ ารมณ์ทนั ที เม่ือเสวยอารมณ์อมิ่ แล้ว จงึ จะรู้สกึ ตวั เอง ก็คอ่ ยๆ นกึ พทุ โธตอ่ ไป ด้วยอบุ ายวิธีในทํานองเดยี วกบั ที่กลา่ วไว้ เบือ้ งต้น ในที่สดุ ก็จะคอ่ ยๆ ควบคมุ จิตให้อยใู่ นอํานาจได้เอง ข้อควรจํา ในการกําหนดจิตนนั้ ต้องมีเจตจํานงแน่วแนใ่ นอนั ท่ีจะเจริญจิตให้อยใู่ นสภาวะที่ต้องการ เจตจํานงนี ้คอื ตวั “ศีล” การบริกรรม “พทุ โธ” เปลา่ ๆ โดยไร้เจตจํานงไมเ่ กิดประโยชน์อะไรเลย กลบั เป็นเคร่ืองบน่ั ทอนความเพียร ทําลายกําลงั ใจในการเจริญจิตในคราวตอ่ ๆ ไป แตถ่ ้าเจตจํานงมนั่ คง การเจริญจติ จะปรากฏผลทกุ ครัง้ ไมม่ ากก็น้อยอยา่ งแนน่ อน ดงั นนั้ ในการนกึ พทุ โธ การเพง่ เล็งสอดสอ่ งถงึ ความชดั เจนและความไมข่ าดสายของพทุ โธจะต้องเป็นไปด้วย ความไมล่ ดละ เจตจํานงท่ีมีอยอู่ ย่างไมล่ ดละนี ้หลวงป่ เู คยเปรียบไว้วา่ มีลกั ษณาการประหนง่ึ บรุ ุษผ้หู นงึ่ จดจ้องสายตาอยทู่ ี่คม

23 ดาบที่ข้าศกึ เงือ้ ขนึ ้ สดุ แขน พร้อมท่ีจะฟันลงมา บรุ ุษผ้นู นั้ จดจ้องคอยทีอย่วู า่ ถ้าคมดาบนนั้ ฟาดฟันลงมา ตนจะ หลบหนีประการใดจงึ จะพ้นอนั ตราย เจตจํานงต้องแนว่ แนเ่ หน็ ปานนี ้จงึ จะยงั สมาธิให้บงั เกิดได้ ไมเ่ ชน่ นนั้ อยา่ ทําให้เสียเวลาและบน่ั ทอนความ ศรัทธาของตนเองเลย เมื่อจิตคอ่ ยๆ หยงั่ ลงสคู่ วามสงบทีละน้อยๆ อาการที่จิตแลน่ ไปสอู่ ารมณ์ภายนอก ก็คอ่ ยๆ ลดความรุนแรงลง ถึงไปก็ไปประเด๋ยี วประดา๋ วก็รู้สกึ ตวั ได้เร็ว ถงึ ตอนนีค้ ําบริกรรมพทุ โธ ก็จะขาดไปเอง เพราะคําบริกรรมนนั้ เป็น อารมณ์หยาบ เม่ือจติ ลว่ งพ้นอารมณ์หยาบและคําบริกรรมขาดไปแล้ว ไมต่ ้องย้อนถอยมาบริกรรมอีก เพียง รักษาจิตไว้ในฐานที่กําหนดเดมิ ไปเร่ือยๆ และสงั เกตดคู วามรู้สกึ และ “พฤตแิ หง่ จิต” ท่ีฐานนนั้ ๆ บริกรรมเพ่ือรวมจติ ให้เป็นหนงึ่ สงั เกตดวู า่ ใครเป็ นผ้บู ริกรรมพทุ โธ ๒. ดจู ิตเม่ืออารมณ์สงบแล้ว ให้สตจิ ดจอ่ อยทู่ ่ีฐานเดมิ เชน่ นนั้ เมื่อมีอารมณ์อะไรเกิดขึน้ ก็ให้ละอารมณ์นนั้ ทงิ ้ ไป มาดทู ี่จิตตอ่ ไปอีก ไมต่ ้องกงั วลใจ พยายามประคบั ประคองรักษาให้จิตอยใู่ นฐานที่ตงั้ เสมอๆ สตคิ อย กําหนดควบคมุ อยอู่ ยา่ งเงียบๆ (รู้อย)ู่ ไม่ต้องวจิ ารณ์กิริยาจติ ใดๆ ท่ีเกิดขนึ ้ เพียงกําหนดรู้แล้วละไปเทา่ นนั้ เป็นไปเชน่ นีเ้ร่ือยๆ ก็จะคอ่ ยๆ เข้าใจกิริยาหรือพฤตแิ หง่ จติ ได้เอง (จิตปรุงกิเลส หรือกิเลสปรุงจติ ) ทําความเข้าใจในอารมณ์ความนกึ คิด สงั เกตอารมณ์ทงั้ สามคือ ราคะ โทสะ โมหะ ๓. อยา่ สง่ จิตออกนอก กําหนดรู้อยใู่ นอารมณ์เดียวเทา่ นนั้ อยา่ ให้ซดั สา่ ยไปในอารมณ์ภายนอก เมื่อจิตเผลอ คดิ ไป ก็ให้ตงั้ สตริ ะลกึ ถึงฐานกําหนดเดมิ รักษาสมั ปชญั ญะให้สมบรู ณ์อยเู่ สมอ (รูปนิมิต ให้ยกไว้ สว่ นนาม นมิ ิตทงั้ หลายอยา่ ได้ใสใ่ จกบั มนั ) ระวงั จิตไมใ่ ห้คิดถึงเร่ืองภายนอก สงั เกตการหวน่ั ไหวของจิตตามอารมณ์ที่รับมาทางอายตนะ ๖ ๔. จงทําญาณให้เห็นจติ เหมือนดง่ั ตาเห็นรูป เมื่อเราสงั เกตกิริยาจิตไปเรื่อยๆ จนเข้าใจถงึ เหตปุ ัจจยั ของ อารมณ์ความนกึ คดิ ตา่ งๆ ได้แล้ว จติ ก็จะคอ่ ยๆ รู้เทา่ ทนั การเกิดของอารมณ์ตา่ งๆ อารมณ์ความนกึ คดิ ตา่ งๆ ก็

24 จะคอ่ ยๆ ดบั ไปเร่ือยๆ จนจิตวา่ งจากอารมณ์ แล้วจิตก็จะเป็นอสิ ระ อยตู่ า่ งหากจากเวทนาของรูปกาย อยทู่ ี่ฐาน กําหนดเดมิ นนั่ เอง การเหน็ นีเ้ป็นการเห็นด้วยปัญญาจกั ษุ คดิ เท่าไหร่ก็ไมร่ ู้ ตอ่ เมื่อหยดุ คดิ จงึ รู้ แตต่ ้องอาศยั คดิ ๕. แยกรูปถอด ด้วยวิชชา มรรคจติ เม่ือสามารถเข้าใจได้วา่ จิต กบั กาย อยคู่ นละสว่ นได้แล้ว ให้ดทู ่ีจิตตอ่ ไป วา่ ยงั มีอะไรหลงเหลืออย่ทู ี่ฐานที่กําหนด (จติ ) อีกหรือไม่ พยายามใช้สติ สงั เกตดทู ี่จิต ทําความสงบอยใู่ นจติ ไป เร่ือยๆ จนสามารถเข้าใจ พฤตแิ หง่ จติ ได้อยา่ งละเอียดละออตามขนั้ ตอน เข้าใจในความเป็นเหตเุ ป็นผลกนั วา่ เกิดจากความคดิ นน่ั เอง และความคดิ มนั ออกไปจากจิตนี่เอง ไปหาปรุงหาแตง่ หาก่อหาเกิดไมม่ ีที่สนิ ้ สดุ มนั เป็นมายาหลอกลวงให้คนหลง แล้วจิตก็จะเพิกถอนส่ิงที่มีอยใู่ นจิตไปเรื่อยๆ จนหมด หมายถึงเจริญจิตจน สามารถเพิกรูปปรมาณูวญิ ญาณที่เลก็ ท่ีสดุ ภายในจิตได้ คําวา่ แยกรูปถอด นนั้ หมายความถึง แยกรูปวญิ ญาณ นนั่ เอง ๖. เหตตุ ้องละ ผลต้องละ เมื่อเจริญจติ จนปราศจากความคดิ ปรุงแตง่ ได้แล้ว (วา่ ง) ก็ไมต่ ้ององิ อาศยั กบั กฎเกณฑ์แหง่ ความเป็นเหตเุ ป็นผลใดๆ ทงั้ สนิ ้ จิตก็จะอยเู่ หนือภาวะแหง่ คลองความคิดนกึ ตา่ งๆ อยเู่ ป็ นอสิ ระ ปราศจากส่ิงใดๆ ครอบงําอําพรางทงั้ สนิ ้ เรียกวา่ “สมจุ เฉทธรรมทงั้ ปวง” ๗. ใช้หนีก้ ็หมด พ้นเหตเุ กิด เม่ือเพกิ รูปปรมาณทู ่ีเลก็ ที่สดุ เสียได้ กรรมชว่ั ที่ประทบั บรรจุ บนั ทกึ ถ่ายภาพ ตดิ อยู่ กบั รูปปรมาณนู นั้ ก็หมดโอกาสที่จะให้ผลตอ่ ไปในเบือ้ งหน้า การเพิ่มหนีก้ ็เป็นอนั สะดดุ หยดุ ลง เหตปุ ัจจยั ภายนอกภายในท่ีมากระทบ ก็เป็นสกั แตว่ ่ามากระทบ ไมม่ ีผลสืบเนื่องตอ่ ไป หนีก้ รรมชวั่ ท่ีได้ทําไว้ตงั้ แตช่ าติ แรก ก็เป็นอนั ได้รับการชดใช้หมดสนิ ้ หมดเรื่องหมดราวหมดพนั ธะผกู พนั ท่ีจะต้องเกิดมาใช้หนีก้ รรมกนั อีก เพราะ กรรมชว่ั อนั เป็นเหตใุ ห้ต้องเกิดอีกไมอ่ าจให้ผลตอ่ ไปได้ เรียกวา่ “พ้นเหตเุ กิด” ๘. ผ้ทู ี่ตรัสรู้แล้ว เขาไมพ่ ดู หรอกวา่ เขารู้อะไร

25 เม่ือธรรมทงั้ หลายได้ถกู ถ่ายทอดไปแล้ว สิง่ ท่ีเรียกวา่ ธรรม จะเป็นธรรมไปได้อยา่ งไร ส่ิงท่ีวา่ ไมม่ ีธรรมนน่ั แหละ มนั เป็นธรรมของมนั ในตวั (ผ้รู ู้นะ่ จริง แตส่ ง่ิ ที่ถกู รู้ทงั้ หลายนนั้ ไมจ่ ริง) เม่ือจิตวา่ งจาก “พฤติ” ตา่ งๆ แล้ว จิตก็จะถึง ความว่างที่แท้จริง ไมม่ ีอะไรให้สงั เกตได้อีกตอ่ ไป จงึ ทราบได้วา่ แท้ท่ีจริงแล้ว จิตนนั้ ไมม่ ีรูปร่าง มนั รวมอยกู่ บั ความวา่ ง ในความวา่ งนนั้ ไมม่ ีขอบเขต ไมม่ ีประมาณ ซมึ ซาบอยู่ ในสง่ิ ทกุ ๆ สง่ิ และจิตกบั ผ้รู ู้เป็นส่งิ เดยี วกนั เม่ือจิตกบั ผ้รู ู้เป็นสิ่งส่ิงเดียวกนั และเป็นความว่าง ก็ย่อมไมม่ ีอะไรที่จะให้อะไรหรือให้ใครรู้ถึง ไมม่ ีความเป็น อะไรจะไปรู้สภาวะของอะไร ไมม่ ีสภาวะของใครจะไปรู้ความมีความเป็ นของอะไร เม่ือเจริญจิตจนเข้าถงึ สภาวะเดมิ แท้ของมนั ได้ดงั นีแ้ ล้ว “จิตเห็นจติ อยา่ งแจม่ แจ้ง” จติ ก็จะอยเู่ หนือสภาวะ สมมตบิ ญั ญัตทิ งั้ ปวง เหนือความมีความเป็นทงั้ ปวง มนั อยเู่ หนือคาํ พดู และพ้นไปจากการกลา่ วอ้างใดๆ ทงั้ สิน้ เป็นธรรมชาตอิ นั บริสทุ ธ์ิและสวา่ ง รวมกนั เข้ากบั ความวา่ งอนั บริสทุ ธิ์และสวา่ งของจกั รวาลเดมิ เข้าเป็นหนง่ึ เรียกวา่ “นิพพาน” โดยปกติ คาํ สอนธรรมะของหลวงป่ ดู ลู ย์ อตโุ ล นนั้ เป็นแบบ “ปริศนาธรรม” มใิ ชเ่ ป็นการบรรยายธรรม ฉะนนั้ คํา สอนของท่านจงึ สนั้ จํากดั ในความหมายของธรรม เพื่อไมใ่ ห้เฝื อหรือฟ่ มุ เฟื อยมากนกั เพราะจะทําให้สบั สน เม่ือ ผ้ใู ดเป็นผ้ปู ฏิบตั ธิ รรม เขาย่อมเข้าใจได้เองวา่ กิริยาอาการของจิตที่เกิดขนึ ้ นนั้ มีมากมายหลายอย่าง ยากท่ีจะ อธิบายให้ได้หมด ด้วยเหตนุ นั้ หลวงป่ ทู ่านจงึ ใช้คําวา่ “พฤตขิ องจติ ”แทนกิริยาทงั้ หลายเหลา่ นนั้ คาํ วา่ “ดจู ิต อยา่ สง่ จิตออกนอก ทําญาณให้เห็นจติ ” เหล่านีย้ อ่ มมีความหมายครอบคลมุ ไปทงั้ หมดตลอดองค์ ภาวนา แตเ่ พื่ออธิบายให้เป็นขนั้ ตอน จงึ จดั เรียงให้ดงู า่ ย เข้าใจงา่ ยเทา่ นนั้ หาได้จดั เรียงไปตามลําดบั กระแส การเจริญจิตแตอ่ ยา่ งใดไม่ ทา่ นผ้มู ีจิตศรัทธาในทางปฏิบตั ิ เมื่อเจริญจติ ภาวนาตามคําสอนแล้ว ตามธรรมดาการปฏิบตั ใิ นแนวนี ้ผ้ปู ฏิบตั ิ จะคอ่ ยๆ มีความรู้ความเข้าใจได้ด้วยตนเองเป็นลําดบั ๆ ไป เพราะมีการใสใ่ จสงั เกตและกําหนดรู้”พฤตแิ หง่ จิต” อยตู่ ลอดเวลา แตถ่ ้าหากเกิดปัญหาในระหวา่ งการ ปฏิบตั ิ ควรรีบเข้าหาครูบาอาจารย์ฝ่ ายวปิ ัสสนาธรุ ะ โดยเร็ว หากประมาทแล้วอาจผดิ พลาดเป็นปัญหาตามมาภายหลงั เพราะคาํ วา่ “มรรคปฏิปทา” นนั้ จะต้องอยู่

26 ใน “มรรคจิต” เทา่ นนั้ มิใชม่ รรคภายนอกตา่ งๆ นานาเลย การเจริญจิตเข้าสทู่ ่ีสดุ แหง่ ทกุ ข์นนั้ จะต้องถงึ พร้อมด้วยวิสทุ ธิศลี วิสทุ ธิมรรค พร้อมทงั้ ๓ ทวาร คือ กาย วาจา ใจ จงึ จะยงั กิจให้ลลุ ว่ งถงึ ท่ีสดุ แหง่ ทกุ ข์ได้ อเหตกุ จิต ๓ ประการ ๑. ปัญจทวารวชั นจิต คือ กิริยาจติ ที่แฝงอยตู่ ามอายตนะหรือ ทวารทงั้ ๕ มีดงั นี ้ ตา ไปกระทบกบั รูป เกิด จกั ษุวญิ ญาณ คอื การเหน็ จะห้าม ไมใ่ ห้ตาเหน็ รูปไมไ่ ด้ หู ไปกระทบกบั เสียง เกิด โสตวิญญาณ คือ การได้ยิน จะห้าม ไมใ่ ห้หไู ด้ยนิ เสียงไมไ่ ด้ จมกู ไปกระทบกบั กลิ่น เกิด ฆานวิญญาณ คือ การได้กลิ่น จะห้ามไมใ่ ห้จมกู รับกล่นิ ไมไ่ ด้ ลนิ ้ ไปกระทบกบั รส เกิด ชิวหาวญิ ญาณ คือ การได้รส จะห้าม ไมใ่ ห้ลนิ ้ รับรู้รสไมไ่ ด้ กาย ไปกระทบกบั โผฏฐัพพะ เกิด กายวญิ ญาณ คอื กายสมั ผสั จะห้ามไมใ่ ห้กายรับสมั ผสั ไมไ่ ด้ วญิ ญาณทงั้ ๕ อยา่ งนี ้เป็นกิริยาแฝงอย่ใู นกายตามทวาร ทําหน้าที่รับรู้สงิ่ ตา่ งๆ ท่ีมากระทบ เป็ นสภาวะแหง่ ธรรมชาตขิ องมนั เป็นอยเู่ ชน่ นนั้ ก็แตว่ ่า เม่ือจิตอาศยั ทวารทงั้ ๕ เพื่อเช่ือมตอ่ รับรู้เหตกุ ารณ์ภายนอกที่เข้ามากระทบ แล้วสง่ ไปยงั สํานกั งานจิต กลางเพ่ือรับรู้ เราจะห้ามมิให้เกิด มี เป็น เชน่ นนั้ ย่อมกระทําไมไ่ ด้ การป้ องกนั ทกุ ข์ท่ีจะเกิดจากทวารทงั้ ๕ นนั้ เราจะต้องสํารวมอนิ ทรีย์ ทงั้ ๕ ไมเ่ พลดิ เพลินในอายตนะเหลา่ นนั้ หากจําเป็ นต้องอาศยั อายตนะทงั้ ๕ นนั้ ประกอบการงานทางกาย ก็ควรจะกําหนดจิตให้ตงั้ อย่ใู นจิต เชน่ เม่ือ

27 เห็นก็สกั แตว่ า่ เห็น ไมค่ ดิ ปรุง ได้ยนิ ก็สกั แตว่ า่ ได้ยิน ไมค่ ิดปรุง ดงั นีเ้ป็นต้น (ไมค่ ดิ ปรุงหมายความวา่ ไมใ่ ห้จติ เอนเอียงไปในความเห็นดีชว่ั ) ๒. มโนทวารวชั นจิต คอื กิริยาจิตท่ีแฝงอยทู่ ่ีมโนทวาร มีหน้าที่ผลิตความคดิ นกึ ตา่ งๆ นานา คอยรับเหตกุ ารณ์ ภายในภายนอกที่มากระทบ จะดีหรือชว่ั ก็สะสมเอาไว้ จะห้ามจิตไมใ่ ห้คิดในทกุ ๆ กรณียอ่ มไมไ่ ด้ ก็แตว่ า่ เมื่อจติ คดิ ปรุงไปในเรื่องราวใดๆ ถึงวตั ถุ สิ่งของ บคุ คลอยา่ งไร ก็ให้กําหนดรู้วา่ จิตคดิ ถงึ เร่ืองเหลา่ นนั้ ก็ สกั แตว่ า่ ความคิด ไมใ่ ช่ สตั ว์บคุ คล เราเขา ไมย่ ดึ ถือวจิ ารณ์ความคดิ เหล่านนั้ ทําความเหน็ ให้เป็ นปกติ ไม่ยดึ ถือความเห็นใดๆ ทงั้ สนิ ้ จิตยอ่ มไมไ่ หลตามกระแสอารมณ์เหลา่ นนั้ ไมเ่ ป็นทกุ ข์ ๓. หสิตปุ บาท คอื กิริยาที่จิตยมิ ้ เอง โดยปราศจากเจตนาท่ีจะยิม้ หมายความวา่ ไมอ่ ยากยมิ ้ มนั ก็ยมิ ้ ของมนั เอง กิริยาจิตอนั นีม้ ีเฉพาะ เหลา่ พระอริยเจ้าเทา่ นนั้ ในสามญั ชนไมม่ ี สําหรับ อเหตกุ จิต ข้อ (๑) และ (๒) มีเทา่ กนั ในพระอริยเจ้าและในสามญั ชน นกั ปฏิบตั ธิ รรมทงั้ หลาย เมื่อตงั้ ใจ ปฏิบตั ิตนออกจากกองทกุ ข์ ควรพจิ ารณา อเหตกุ จิตนีใ้ ห้เข้าใจด้วย เพ่ือความไมผ่ ิดพลาดในการ บาํ เพญ็ ปฏิบตั ธิ รรม อเหตกุ จติ นี ้นกั ปฏิบตั ทิ งั้ หลายควรทําความเข้าใจให้ได้ เพราะถ้าไมเ่ ชน่ นนั้ แล้ว เราจะพยายามบงั คบั สงั ขารไป หมด ซง่ึ เป็นอนั ตรายตอ่ การปฏิบตั ธิ รรมมาก เพราะความไมเ่ ข้าใจในอเหตกุ จิต ข้อ (๑) และ (๒) นีเ้อง อเหตกุ จติ ข้อ (๓) เป็นกิริยาจิตที่ยมิ ้ เอง โดยปราศจากเจตนาท่ีจะยมิ ้ เกิดในจติ ของเหลา่ พระอริยเจ้าเทา่ นนั้ ใน สามญั ชนไมม่ ี เพราะกิริยาจิตนี ้เป็ นผลของการเจริญจติ จนอยเู่ หนือมายาสงั ขารได้แล้ว จิตไมต่ ้องตดิ ข้อง ใน โลกมายา เพราะความรู้เทา่ ทนั เหตปุ ัจจยั แหง่ การปรุงแตง่ ได้แล้ว เป็นอิสระด้วยตวั มนั เอง

28 ๗ อธบิ ายหลกั ธรรมสําคัญเกย่ี วกบั สมาธิ เมื่อสงั ขารขนั ธ์ดบั ได้แล้ว ความเป็นตวั ตนจกั มีไมไ่ ด้ เพราะไมไ่ ด้ เข้าไปเพ่ือปรุงแตง่ เม่ือความปรุงแตง่ ขาดไป ความทกุ ข์จะเกิดขนึ ้ ได้อยา่ งไร เม่ือความเป็นตวั ตนไมม่ ี ความทกุ ข์จะเกิดขึน้ แก่ใคร สรุปใจความ “อริยสจั แหง่ จิต” ได้วา่ จิตท่ีสง่ ออกนอกเพื่อรับสนองอารมณ์ทงั้ สิน้ เป็ นสมทุ ยั ผลของจติ ท่ีสง่ ออกนอกนนั้ เป็นทกุ ข์ จิตเหน็ จติ เป็นมรรค ผลอนั เกิดจากจิตเหน็ จิต เป็ นนิโรธ อธิบายเปรียบเทียบ อนั การปฏิบตั ธิ รรมนนั้ ได้แก่ การปฏิบตั สิ มถะและวปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน การปฏิบตั นิ นั้ ก็มงุ่ ความหลดุ พ้นเพียง อยา่ งเดียว กลา่ วโดยสรุป จติ คือ พทุ โธ จติ คือ ธรรม เป็ นสภาวะพิเศษที่ไมม่ ีการไปการมา เป็นความบริสทุ ธิ์ ล้วนๆ โดยไมต่ ้องมีตวั ผ้บู ริสทุ ธิ์หรือผ้รู ู้ว่าบริสทุ ธ์ิ อยเู่ หนือความดีและความชวั่ ทงั้ ปวง ไมอ่ าจจดั เข้าลกั ษณะว่า เป็นรูป หรือเป็นนามได้ เม่ือได้เข้าถึงสภาวะอยา่ งนีแ้ ล้ว อาการตา่ งๆ ของจิตท่ีเป็นไป หรือจะเรียกวา่ กิริยาจิตก็ ได้ ทงั้ ในภาคสมถะและวิปัสสนา เชน่ แสงสีตา่ งๆ เป็ นต้น ทา่ นยอ่ มต้องถือวา่ เป็นของภายนอก เป็น สง่ิ แปลกปลอมปรุงแตง่ ไมค่ วรใสใ่ จยดึ ถือเป็ นสาระแกน่ สารแม้แต่ “ฌานสมาบตั ”ิ ก็ยอ่ มเป็นของประจําโลก เทา่ นนั้ ไมใ่ ชห่ นทางวเิ ศษ ในกรณีนีแ้ ตอ่ ยา่ งใดเลย จะเหน็ ได้จากการบาํ เพญ็ เพียรของพระบรมศาสดา พระองค์ทรงละเสียซง่ึ ธรรมลกั ษณะเหลา่ นีโ้ ดยสิน้ เชิง กลา่ วคือ เม่ือพระองคอ์ อกจากจตตุ ถฌานและเวทนา ขาดสิน้ สภาวะจติ ถงึ การดบั รอบตวั เองแล้ว ภวงั คจิตขาดไปแล้ว ไมส่ ืบตอ่ อีกเลย เป็นอนั สนิ ้ สดุ สงั สารวฏั ณ ขณะนนั้ นน่ั เอง เรียกวา่ “นิพพาน”คอื การดบั สนทิ แหง่ สภาวธรรมทงั้ ปวง ดงั นนั้ ไมว่ า่ แสงสี ฌานสมาบตั ใิ ดๆ หรือแม้แตภ่ วงั คจิตเอง ก็ไมน่ า่ ท่ีจะไปกําหนดรู้เพ่ือการยดึ ถืออะไร เพราะ

29 เป็นของเกิดๆ ดบั ๆ เป็นของปรุงแตง่ ขนึ ้ เป็นของประจําโลก ก็แลจิตที่กลา่ วถึงนี ้แท้จริงก็มีการเกิดๆ ดบั ๆ อยรู่ ํ่า ไปเป็นธรรมดา จงึ กลา่ วได้วา่ แม้แตต่ วั จิตเองก็ไมค่ งทนถาวรอะไร ถึงซงึ่ การดบั รอบโดยสนิ ้ เชิงได้เชน่ เดียวกนั เม่ือกลา่ วกนั ให้เป็ นอดุ มธรรมปรมตั ถธรรมจริงๆแล้ว แม้แต่ พทุ โธ ธรรมโม สงั โฆ ก็ยงั เป็นสมมตบิ ญั ญตั อิ ย่ดู ี นนั่ เอง พระบรมศาสดาจงึ ตรัสวา่ พระองคไ์ ด้ทําลายเรือน คอื อาณาจกั รของตณั หาเสียแล้ว ตณั หาไมอ่ าจมา สร้างเหย้าเรือนให้เป็ นภพเป็นชาตไิ ด้อีกเลย ทรงเพกิ เสียซง่ึ ภพชาตสิ ิน้ แล้ว แม้แตต่ วั จิตเองก็คงสภาพเดมิ คือ ฐี ตจิ ิต ฐีตธิ รรมอนั เป็นธรรมดา ด้วยเหตนุ ีเ้อง ภิกษุทงั้ หลายจงึ พงึ สงั วรอยา่ งย่ิงยวด ไมพ่ งึ ปรับอาบตั ิ หรือโทษตา่ งๆแก่พระอรหนั ตเ์ ลย ก็อย่าวา่ แตค่ วามผิดบาปเลย แม้กระทงั่ ความดี พระอรหนั ตท์ า่ นก็ยงั ละเสียได้อยา่ งเดด็ ขาด ทา่ นอยเู่ หนือความดีความ ชวั่ ทงั้ หลายแล้วโดยสิน้ เชงิ อยา่ ได้ยึดถือพระสตู รบางเรื่องที่วา่ มีการปรับโทษพระอรหนั ต์ เชน่ ความผิดท่ีไมร่ ่วม สมาคม หรือสงั ฆกรรมกบั หมสู่ งฆ์ ดงั นีเ้ป็นอนั ขาด เมื่อจกั ปฏิบตั แิ ล้วก็ไมค่ วรไปวนุ่ วายกบั ชาดกนิทาน แปลกปลอมนนนั่ มงุ่ พิจารณาจิตอยา่ งเดียว ไมว่ า่ พบเห็นหรือได้ยินได้ฟังสง่ิ ใดอยา่ งไร ให้ย้อนเข้ามาในจิตให้ ได้ จนสามารถรู้จิตเห็นจติ เข้าถงึ สภาวะแหง่ ความรู้แจ้งแทงตลอดในธรรม ถึงความดบั รอบแหง่ จิตในขนั้ สดุ ท้าย การพ้นสมมตบิ ญั ญตั นิ นั้ ย่อมหมายรวมถงึ ธรรมด้วย เชน่ อายตนะทงั้ หลายซึ่งเป็นมายา หรือแม้แตต่ วั จิตเองก็ตามย่อมเป็นของบญั ญตั ขิ นึ ้ มา ไมว่ ่าจะพดู กนั ถึงอะไรครัง้ ใดก็ไมม่ ีพ้นสมมติบญั ญตั ไิ ปได้ การหยดุ คดิ หยดุ นกึ ก็คอื หยดุ พดู หยดุ เคลื่อนไหว หยดุ กิริยาแหง่ จิต หมายถงึ การหยดุ สงั สารวฏั นน่ั เอง เพราะไมว่ า่ เราจะ กําหนดจติ คิดถงึ สิง่ ใดๆ สิ่งนนั้ ๆ ก็ยงั เป็ นสิง่ ภายนอกอยดู่ ี เป็นของปรุงแตง่ ขนึ ้ มาในโลก การกําหนดรู้ ก็ยอ่ มจะ มีสง่ิ ท่ีถกู กําหนดรู้เป็นธรรมดา จะเป็นรูปก็ตาม เป็ นนามก็ตาม เม่ือสิ่งนนั้ ถกู กําหนดรู้ได้ ก็ยอ่ มจะมีสภาวะ เม่ือ มีสภาวะก็ยอ่ มมีอนั เสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา เพราะเป็นของปรุงแตง่ จากเหตปุ ัจจยั ทงั้ สิน้ ฉะนนั้ สภาวะแหง่ อเุ บกขาสมั โพชฌงคจ์ งึ เป็นของยากท่ีจะแสดงเป็น คําพดู ออกมาได้ จําใจต้องเรียกเป็น สภาวะ เพ่ือให้รู้ให้เข้าใจกนั แท้จริงสภาวะแหง่ อเุ บกขาสมั โพชฌงคน์ นั้ มีแตค่ วามสงบวางเฉย พร้อมกบั รู้ชดั เลยทีเดยี ววา่ สรรพสิ่งทงั้ หลายเสมอกนั สิน้ ไมว่ า่ สตั ว์ บคุ คล เราเขา หรือแม้แต่ พระพทุ ธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงั ฆเจ้า พระ โพธิสตั ว์ สามญั ชน และสตั ว์โลกทงั้ หลายก็มีสภาพพอนั เดยี วกนั เสมอกนั โดยประการทงั้ ปวง แตเ่ พราะเหตแุ หง่ การยึดถือสง่ิ ท่ีแตกตา่ งกนั คือผดิ ไปจากสจั ธรรมแท้เทา่ นนั้ เอง ความประพฤตปิ ฏิบตั แิ ละ

30 จริยธรรมจงึ แลดผู ิดแผกแตกตา่ งกนั ไปตา่ งๆ นานา การท่ีบคุ คลใดสามารถปฏิบตั เิ ข้าถงึ สภาวะท่ีจะตดั สนิ ได้วา่ สงิ่ แวดล้อม หรือสิง่ ภายนอกกบั ตวั ของเรานี ้แท้จริง เป็นของสง่ิ เดียวกนั โดยแท้สภาวะนีแ้ ล เรียกวา่ “ธรรม” จงึ กลา่ วโดยสรุปได้วา่ สภาวะความเป็นจริงหรือที่เรียกวา่ “สจั ธรรม” นนั้ มีอยตู่ ลอดกาล หากไมท่ ้อถอย หรือ ละความเพียรเสียก่อน ยอ่ มมี โอกาสเข้าถงึ สจั ธรรมได้อยา่ งแนน่ อน อนงึ่ เร่ืองพิธีกรรมหรือบญุ กิริยาวตั ถตุ า่ งๆ ทงั้ หลาย ก็ถือว่าเป็นเรื่องท่ียงั ให้เกิดกศุ ลได้อยู่ หากแตว่ า่ สําหรับนกั ปฏิบตั แิ ล้ว อาจถือได้วา่ เป็นไปเพื่อกศุ ล นดิ หน่อยเทา่ นนั้ เอง

31 ๘ สมาธภิ าวนากบั นมิ ติ หลวงพอ่ เพิม่ ได้เลา่ ถึงประสบการณ์ในการปฏิบตั กิ มั มฏั ฐานสมยั เริ่มต้นเม่ือครัง้ ยงั เป็ นสามเณรวา่ ตอนที่ฝึก กมั มฏั ฐานใหมๆ่ นนั้ ทา่ นยงั ไมป่ ระสีประสาอะไรเลย หลวงป่ ดู ลู ย์ได้แนะนําถึงวธิ ีการทําสมาธิวา่ ควรนง่ั อยา่ งไร ยืน เดนิ นอน ควรทําอยา่ งไร ในชนั้ ต้นหลวงป่ ใู ห้เร่ิมท่ีการนง่ั เม่ือนง่ั เข้าท่ีเข้าทางแล้วก็ให้หลบั ตา ภาวนา “พทุ โธ” ไว้ อยา่ สง่ ใจไปคดิ ถงึ สงิ่ อ่ืน ให้นกึ ถงึ แต่ พทุ โธ-พทุ โธ เพียงอยา่ งเดยี ว ก็จดจํานําไปปฏิบตั ติ ามท่ีหลวงป่ สู อน ปกตขิ องใจเป็นสิง่ ที่ไมห่ ยดุ น่ิง มกั จะคดิ ฟ้ งุ ซา่ นไปโนน่ ไปนี่เสมอ ในระยะ เริ่มต้นคนท่ีไม่เคยฝึกมาก่อน อย่ๆู จะ มาบงั คบั ให้มนั หยดุ น่งิ คดิ อยแู่ ต่ พทุ โธประการเดียวเป็นส่ิงที่ทําได้ยาก สามเณรเพ่มิ ก็เชน่ เดยี วกนั เมื่อภาวนาไปตามที่หลวงป่ สู อนได้ระยะหนง่ึ ก็ เกิดความสงสยั ขนึ ้ จงึ ถามหลวงป่ วู า่ “เมื่อหลบั ตาภาวนาแตพ่ ทุ โธแล้ว จะเหน็ อะไรครับหลวงป่ ”ู หลวงป่ บู อก “อยา่ ได้สงสยั อยา่ ได้ถามเลย ให้เร่งรีบภาวนาไปเถิด ให้ภาวนา พทุ โธไปเร่ือยๆ แล้วมนั จะรู้เอง เห็นเองแหละ” มีอยคู่ ราวหนง่ึ ขณะท่ีสามเณรเพ่ิมภาวนาไปได้ระยะหนง่ึ จติ เร่ิมสงบ ก็ปรากฏร่างพญางยู กั ษ์ดาํ มะเมื่อมขนึ ้ มา อยตู่ รงหน้า มนั จ้องมองทา่ นด้วยความประสงคร์ ้าย แผแ่ มเ่ บีย้ สง่ เสียงขฟู่ ่ อ-ฟ่ อ อยไู่ ปมา สามเณรเพิม่ ซง่ึ เพิ่งฝึกหดั ภาวนาใหมๆ่ เกิดความหวาดกลวั ผวาลืมตาขนึ ้ ก็ไมเ่ หน็ พญางยู กั ษ์ จงึ รู้ได้ทนั ทีวา่ สิง่ ที่ทา่ นเห็นนนั้ เป็นการเห็นด้วยสมาธิจติ ท่ีเรียกวา่ นิมิต นนั่ เอง จงึ ได้หลบั ตาลงภาวนาตอ่ พอหลบั ตาลงเทา่ นนั้ ก็พลนั เหน็ งยู กั ษ์แผ่แมเ่ บีย้ ส่งเสียงขทู่ ําทา่ จะฉกอีก แม้จะหวาดกลวั น้อยลงกวา่ ครัง้ แรก แตก่ ็กลวั มากพอท่ี จะต้องลืมตาขนึ ้ อีก

32 เม่ือนําเร่ืองนีไ้ ปถามหลวงป่ ู ได้รับคําอธิบายวา่ “อยา่ สง่ ใจไปดไู ปรู้ในสง่ิ อื่น การภาวนาทา่ นให้ดใู จของตนเองหรอก ทา่ นไมใ่ ห้ดสู ่งิ อ่ืน” “การบําเพญ็ กมั มฏั ฐานนี ้ไมว่ า่ สงิ่ หนงึ่ ส่งิ ใดจะเกิดขนึ ้ ไปรู้ไปเห็นอะไร เราอยา่ ไปดู ให้ดแู ตใ่ จ ให้ใจอยทู่ ่ีพทุ โธ เมื่อกําลงั ภาวนาอยู่ หากมีความกลวั เกิดขนึ ้ ก็อยา่ ไปคดิ ในสงิ่ ที่นา่ กลวั นนั้ อยา่ ไปดมู นั ดแู ตใ่ จของเราเพียง อยา่ งเดียวเทา่ นนั้ แล้วความกลวั มนั จะหายไปเอง” หลวงป่ ไู ด้ชีแ้ จงตอ่ ไปวา่ สง่ิ ท่ีเราไปรู้ไปเห็นนนั้ บางทีก็จริง บางทีก็ไมจ่ ริง เหมือนกบั วา่ คนที่ภาวนาแล้วไปรู้ไป เห็นสงิ่ ตา่ งๆ เข้า การที่เขาเห็นนนั้ เขาเหน็ จริง แตส่ ่งิ ท่ีเหน็ นนั้ มนั ไมจ่ ริง เหมือนอยา่ งที่เรา ดหู นงั เหน็ ภาพในจอ หนงั ก็เห็นภาพในจอจริงๆ แตส่ ิ่งที่เหน็ นนั้ ไมจ่ ริง เพราะความจริงนนั้ ภาพมนั ไปจากฟิ ล์มตา่ งหาก ฉะนนั้ ผ้ภู าวนาต้องดทู ่ีใจอยา่ งเดียว ส่ิงอ่ืนนอกจากนนั้ จะหายไปเอง ให้ใจมนั อยทู่ ี่ใจนนั้ แหละ อยา่ ไปสง่ ออก นอก ใจนีม้ นั ไมไ่ ด้อยจู่ ําเพาะท่ีว่า จะต้องอยตู่ รงนนั้ ตรงนี ้คาํ วา่ “ใจอยกู่ บั ใจ” นีค้ ือ คดิ ตรงไหนใจก็อยตู่ รงนนั้ แหละ ความคดิ นึกก็คอื ตวั จิตตวั ใจ หากจะเปรียบไปก็เหมือนเช่นรูปกบั ฟิล์ม จะวา่ รูปเป็นฟิล์มก็ได้ จะวา่ ฟิล์มเป็นรูปก็ได้ ใจอยกู่ บั ใจ จงึ เปรียบ เหมือนรูปกบั ฟิล์มนนั่ แหละ แตโ่ ดยหลกั ปฏิบตั แิ ล้ว ใจก็เป็นอยา่ งหนง่ึ สตกิ ็เป็นอย่างหนง่ึ แตท่ ่ีจริงแล้วมนั ก็เป็ นสิ่งเดียวกนั เหมือนหนง่ึ วา่ ไฟกบั กระแสไฟ ความสวา่ งกบั ไฟก็อนั หนงึ่ อนั เดียวกนั นนั่ แหละ แตเ่ รามาพดู ให้เป็นคนละอยา่ ง ใจอยกู่ บั ใจ จงึ หมายถึง ให้มีสตอิ ย่กู ํากบั มนั เอง ให้อยกู่ บั สติ แตส่ ตสิ ําหรับปถุ ชุ น หรือสติสําหรับผ้เู ร่ิมปฏิบตั ิ เป็นสตทิ ่ียงั ไมม่ น่ั คง มนั จงึ มีลกั ษณะขาดชว่ งเป็ นตอนๆ ถ้าเรา ปฏิบตั จิ นสตมิ นั ตอ่ กนั ได้เร็วจนเป็นอนั หนงึ่ อนั เดยี วกนั ให้เป็นแสงสวา่ งอยา่ งเดียวกนั

33 อยา่ งเชน่ สญั ญาณออด ซงึ่ ท่ีจริงมนั ไมไ่ ด้มีเสียงยาวตดิ ตอ่ กนั เลย แตเ่ สียงออด-ออด-ออด ถี่มาก จนความถ่ี เป็นอนั หนง่ึ อนั เดียวกนั เราจงึ ได้ยินเสียงออดนนั้ ยาว ในการปฏิบตั ทิ ี่วา่ ปฏิบตั จิ ิต ปฏิบตั ใิ จ โดยให้ใจอยกู่ บั ใจนีก้ ็คือ ให้มีสตกิ ํากบั ใจ ให้เป็ นสตถิ าวร ไมใ่ ชเ่ ป็นสติ คล้ายๆ หลอดไฟที่จวนจะขาด เดี๋ยวก็สวา่ งวาบ เดี๋ยวก็ดบั เด๋ียวก็สวา่ ง แตใ่ ห้มนั สวา่ งตอ่ กนั ไปตลอดเวลา เม่ือสตมิ นั ตดิ ตอ่ กนั ไปอยา่ งนีแ้ ล้ว ใจมนั ก็มีสตคิ วบคมุ อยตู่ ลอด เวลาเรียกอีกอยา่ งหนง่ึ วา่ “อยกู่ บั ตวั รู้ ตลอดเวลา” ตวั รู้ก็คอื สติ นนั่ เอง หรือจะเรียกวา่ “พทุ โธ” ก็ได้ พทุ โธที่วา่ รู้ ต่ืน เบกิ บาน ก็คือ ตวั สตนิ น่ั แหละ เม่ือมีสติ ความรู้สึกนกึ คดิ อะไรตา่ งๆ มนั ก็จะเป็ นไปได้โดยอตั โนมตั ขิ องมนั เอง เวลาดีใจก็จะไมด่ ใี จจนเกินไป สามารถพจิ ารณารู้ได้ โดยทนั ทีวา่ ส่ิงนีค้ ืออะไรเกิดขนึ ้ และเวลาเสียใจมนั ก็ไมเ่ สียใจจนเกินไป เพราะวา่ สตมิ นั รู้อยแู่ ล้ว คาํ ชมก็เป็ นคาํ ชนดิ หนง่ึ คําตกิ ็เป็นคาํ ชนิดหนง่ึ เม่ือจบั สิง่ เหลา่ นี ้มาถ่วงกนั แล้วจะเหน็ วา่ มนั ไมแ่ ตกตา่ งกนั จนเกินไป มนั เป็นเพียงภาษาคาํ พดู เท่านนั้ เอง ใจมนั ก็ไมร่ ับ เมื่อใจมนั ไมร่ ับ ก็รู้วา่ ใจมนั ไมม่ ีความกงั วล ความวติ กกงั วลใน เรื่องตา่ งๆ ก็ไมม่ ี ความกระเพ่ือมของจิตก็ไมม่ ี ก็ เหลือแตค่ วามรู้อยใู่ นใจ สามเณรเพิม่ จดจําคําแนะนําสง่ั สอนจากหลวงป่ ไู ปปฏิบตั ิตอ่ ปรากฏวา่ สิ่งท่ีนา่ สะพงึ กลวั ไมท่ ําให้ทา่ น หวาดหวนั่ ใจอีกเลย ทําให้ทา่ นสามารถโน้มน้าวใจสคู่ วามสงบ ค้นพบปัญญาท่ีจะนําสคู่ วามสขุ สงบในสมาธิธรรมตงั้ แตบ่ ดั นนั้ มา

34 ๙ วปิ ัสสนูปกเิ ลส ในการปฏิบตั พิ ระกมั มฏั ฐานนนั้ ในบางครัง้ ก็มีอปุ สรรคขดั ข้องตา่ งๆ รวมทงั้ เกิดการหลงผดิ บ้างก็มี ซง่ึ หลวงป่ ู ดลู ย์ อตโุ ล ก็ได้ให้ความชว่ ยเหลือแนะนําและช่วยแก้ไขแกล่ กู ศษิ ย์ลกู หาได้ทนั ทว่ งที ดงั ตวั อยา่ งที่ยกมานี ้ มีอยคู่ รัง้ หนง่ึ เกิดปัญหาเก่ียวกบั “วิปัสสนปู กิเลส” ซงึ่ หลวงป่ เู คยอธิบายเร่ืองนีว้ ่า เมื่อได้ทําสมาธิจนสมาธิ เกิดขนึ ้ และได้รับความสขุ อนั เกิดแตค่ วามสงบพอสมควรแล้ว จิตก็คอ่ ยๆ หยงั่ ลงสสู่ มาธิสว่ นลกึ นกั ปฏิบตั บิ าง คนจะพบอปุ สรรคสําคญั อยา่ งหนง่ึ เรียกว่า วิปัสสนปู กิเลส ซง่ึ มี ๑๖ อยา่ ง มี “โอภาส” คือ แสงสวา่ ง และ “อธิโมกข์” คือ ความน้อมใจเชื่อ เป็นต้น พลงั แหง่ โอภาสนนั้ สามารถนําจติ ไปสสู่ ภาวะตา่ งๆได้อยา่ งนา่ พิศวง เชน่ จิตอยากรู้อยากเหน็ อะไรก็ได้เห็นได้รู้ ในส่ิงนนั้ แม้แตก่ ระทง่ั ได้กราบได้สนทนากบั พระพทุ ธเจ้าก็มี เจ้าวิปัสสนปู กิเลสนีม้ ีอิทธิพลและอํานาจ จะทําให้เกิดความน้อมใจเช่ืออยา่ งรุนแรง โดยไมร่ ู้เทา่ ทนั วา่ เป็ นการ สําคญั ผิด ซง่ึ เป็นการสําคญั ผดิ อยา่ งสนิทสนมแนบเนียน และเกิดความภมู ใิ จในตวั เองอยเู่ งียบๆ บางคน ถงึ กบั สําคญั ตนวา่ เป็นพระพทุ ธเจ้าองคห์ นง่ึ ด้วยซํา้ บางรายสําคญั ผดิ อยา่ งมีจติ กําเริบยโสโอหงั ถึงขนาดที่เรียกว่า เป็ นบ้าวิกลจริตก็มี อยา่ งไรก็ตาม วิปัสสนปู กิเลสไมไ่ ด้เป็นการวิกลจริต แม้บางครัง้ จะมีอาการคล้ายคลงึ คนบ้าก็ตาม แตค่ งเป็ น เพียงสตวิ ิกล อนั เนื่องจากการท่ีจติ ตงั้ มน่ั อยกู่ บั อารมณ์ภายนอก แล้วสตติ ามควบคมุ ไมท่ นั ไมไ่ ด้สดั ไมไ่ ด้สว่ น กนั เทา่ นนั้ ถ้าสตติ งั้ ไว้ได้สดั ส่วนกนั จิตก็จะสงบเป็นสมาธิลกึ ลงไปอีก โดยยงั คงมีสงิ่ อนั เป็นภายนอกเป็น อารมณ์อยนู่ นั่ เอง เชน่ เดียวกบั การฝึกสมาธิของพวกฤาษีชีไพรท่ีใช้วิธีเพง่ กสณิ เพื่อให้เกิดสมาธิ ในขณะแหง่ สมาธิเชน่ นี ้เราเรียก อารมณ์นนั้ วา่ ปฏิภาคนิมติ และเมื่อเพิกอารมณ์นนั้ ออกโดยการย้อนกลบั ไปสู่ “ผ้เู หน็ นิมติ ” นนั้ นนั่ คอื ย้อนส่ตู ้น ตอคอื จติ นนั่ เอง จิตก็จะบรรลถุ ึงสมาธิขนั้ อปั ปนาสมาธิ อนั เป็นสมาธิจิตขนั้ สงู สดุ ได้ทนั ที

35 ในทางปฏิบตั ทิ ี่มนั่ คงและปลอดภยั นนั้ หลวงป่ ดู ลู ย์ทา่ นแนะนําวา่ “การปฏิบตั แิ บบจิตเหน็ จิต เป็นแนวทาง ปฏิบตั ทิ ่ีลดั สนั้ และบรรลเุ ป้ าหมายได้ฉบั พลนั ก้าวลว่ งภยนั ตรายได้สิน้ เชงิ ทนั ทีท่ีกําหนดจติ ใจได้ถกู ต้อง แม้ เพียงเริ่มต้น ผ้ปู ฏิบตั กิ ็จะเกิดความรู้ความเข้าใจได้ด้วยตนเองเป็นลําดบั ๆ ไป โดยไมจ่ ําเป็นต้องอาศยั ครูบา อาจารย์อีก” ในประวตั ขิ องหลวงป่ ดู ลู ย์ อตโุ ล พอจะเห็นตวั อย่างของวิปัสสนปู กิเลส ๒ ตวั อยา่ ง คือกรณีของทา่ นหลวงตา พวง และกรณีของทา่ นพระอาจารย์เสร็จ จะขอยกกรณีของหลวงตาพวงมาเลา่ เพ่ือประดบั ความรู้ตอ่ ไป ศษิ ย์ของหลวงป่ ชู ื่อ “หลวงตาพวง” ได้มาบวชตอนวยั ชรา นบั เป็ นผ้บู กุ เบกิ สํานกั ปฏิบตั ธิ รรมบนเขาพนมรุ้ง จงั หวดั บรุ ีรัมย์ หลวงตาพวงได้ทมุ่ เทชีวิตจิตใจให้แก่การประพฤตปิ ฏิบตั ิ เพราะทา่ นสํานกึ ตนวา่ มาบวชเมื่อแก่ มีเวลาแหง่ ชีวิต เหลือน้อย จงึ เร่งความเพียรตลอดวนั ตลอดคืน พอเร่ิมได้ผล เกิดความสงบ ก็เผชิญกบั วิปัสสนปู กิเลสอยา่ งร้ายแรง เกิดความสําคญั ผิดเช่ือมนั่ อยา่ งสนทิ วา่ ตนเองได้บรรลอุ รหตั ผล เป็นพระอรหนั ต์องค์หนงึ่ เป็นผ้สู ําเร็จผ้เู ป่ี ยมด้วยบญุ ญาธิการ ได้เล็งญาณ (คดิ เอง) ไป จนทวั่ สากลโลก เห็นวา่ ไมม่ ีใครรู้หรือเข้าถงึ ธรรมเสมอด้วยตน ดงั นนั้ หลวงตาพวงจงึ ได้เดนิ ทางด้วยเท้าเปลา่ มาจากเขาพนมรุ้ง เดนิ ทางข้ามจงั หวดั มาไมต่ ํ่ากวา่ ๘๐ กิโลเมตร มาจนถงึ วดั บรู พาราม หวงั จะแสดงธรรมให้ หลวงป่ ฟู ัง หลวงตาพวงมาถงึ วดั บรู พาราม เวลา ๖ ทมุ่ กวา่ กฏุ ิทกุ หลงั ปิดประตหู น้าตา่ ง หมดแล้ว พระเณรจําวดั กนั หมด หลวงป่ กู ็เข้าห้องไปแล้ว ทา่ นก็มาร้องเรียก หลวงป่ ดู ้วยเสียงอนั ดงั ตอนนนั้ ทา่ นเจ้าคณุ พระโพธินนั ทมนุ ียงั เป็นสามเณรอยู่ ได้ยินเสียงเรียกดงั ลน่ั วา่ “หลวงพอ่ หลวงพอ่ หลวงพอ่ ดลู ย์.....” ก็จําได้วา่ เป็ นเสียงของหลวงตาพวง จงึ ลกุ ไปเปิ ดประตรู ับ สงั เกตดอู ากปั กิริยาก็ไมเ่ ห็นมีอะไรผดิ แปลก เพียงแตร่ ู้สกึ แปลกใจวา่ ตาม ธรรมดาทา่ นหลวงตาพวงมีความ

36 เคารพออ่ นน้อมตอ่ หลวงป่ ู พดู เสียงเบา ไมบ่ งั อาจระบชุ ื่อของทา่ น แตค่ นื นีค้ อ่ นข้างจะพดู เสียงดงั และระบชุ ่ือ ด้วยวา่ “หลวงตาดลู ย์ ออกมาเด๋ียวนี ้พระอรหนั ตม์ าแล้ว” ครัน้ เม่ือหลวงป่ อู อกมาแล้ว ตามธรรมดาหลวงตาพวงจะต้องกราบหลวงป่ ู แตค่ ราวนีไ้ มก่ ราบ แถมยงั ตอ่ วา่ เสีย อีก “อ้าว ! ไมเ่ หน็ กราบทา่ นผ้สู ําเร็จมาแล้ว ไมเ่ ห็นกราบ” เข้าใจวา่ หลวงป่ ทู า่ นคงทราบโดยตลอดในทนั ทีนนั้ วา่ อะไรเป็นอะไร ทา่ นจงึ นง่ั เฉย ไมพ่ ดู อะไรแม้แตค่ าํ เดยี ว ปลอ่ ยให้หลวงตาพวงพดู ไปเร่ือยๆ หลวงตาพวงสําทบั วา่ “รู้ไหมวา่ เด๋ียวนีผ้ ้สู ําเร็จอบุ ตั ขิ นึ ้ แล้ว ที่มานี่ก็ด้วย เมตตา ต้องการจะมาโปรด ต้องการจะ มาชีแ้ จงแสดงธรรมปฏิบตั ใิ ห้เข้าใจ” หลวงป่ ยู งั คงวางเฉย ปล่อยให้ทา่ นพดู ไปเป็นชวั่ โมงทีเดียว สําหรับพวกเรา พระเณรที่ไมร่ ู้เร่ือง ไมเ่ ข้าใจ ก็พากนั ตกอกตกใจกนั ใหญ่ ด้วยไมร่ ู้วา่ มนั เป็นอะไรกนั แน่ ครัน้ ปลอ่ ยให้หลวงตาพวงพดู นานพอสมควรแล้ว หลวงป่ กู ็ซกั ถามเป็ นเชิง คล้อยตามเอาใจวา่ “ที่วา่ อยา่ งนนั้ ๆ เป็นอย่างไร และหมายความวา่ อยา่ งไร” หลวงตาพวงก็ตอบตะกกุ ตะกกั ผดิ ๆ ถกู ๆ แตก่ ็อตุ สา่ ห์ตอบ เมื่อหลวงป่ เู ห็นวา่ อาการรุนแรงมากเชน่ นนั้ จงึ สง่ั วา่ “เออ เณรพาหลวงตาไปพกั ผ่อนที่โบสถ์ ไปโนน่ ที่พระ อโุ บสถ” ทา่ นเณร (เจ้าคณุ พระโพธินนั ทมนุ ี) ก็พาหลวงตาไปที่โบสถ์ ไปเรียกพระ องค์นนั้ องค์นีท้ ่ีทา่ นรู้จกั ให้ลกุ ขนึ ้ มาฟัง เทศน์ฟังธรรม รบกวนพระเณรตลอดทงั้ คืน หลวงป่ พู ยายามแก้ไขหลวงตาพวงด้วยอบุ ายวิธีตา่ งๆ หลอกลอ่ ให้หลวงตา นงั่ สมาธิ ให้นงั่ สงบแล้วย้อนจติ มาดู ท่ีต้นตอ มใิ ห้จติ แลน่ ไปข้างหน้า จนกระทง่ั สองวนั ก็แล้ว สามวนั ก็แล้วไมส่ ําเร็จ

37 หลวงป่ จู งึ ใช้อีกวธิ ีหนงึ่ ซงึ่ คงเป็นวธิ ีของทา่ นเอง ด้วยการพดู แรงให้โกรธ หลายครัง้ ก็ไมไ่ ด้ผล ผา่ นมาอีกหลาย วนั ก็ยงั สงบลงไมไ่ ด้ หลวงป่ เู ลยพดู ให้โกรธด้วยการดา่ วา่ “เออ ! สตั ว์นรก สตั ว์นรก ไปเด๋ียวนี ้ออกจากกฏุ ิ เด๋ียวนี”้ ทําให้หลวงตาพวงโกรธอยา่ งแรง ลกุ พรวดพราดขนึ ้ ไปหยิบเอาบาตร จีวร และกลดของทา่ นลงจากกฏุ ิ มงุ่ หน้า ไปวดั ป่ าโยธาประสทิ ธ์ิซง่ึ อยหู่ า่ งจาก วดั บรู พารามไปทางใต้ประมาณ ๓ - ๔ กิโลเมตร ซง่ึ ขณะนนั้ ทา่ นเจ้าคณุ พระราชสทุ ธาจารย์ (โชติ คณุ สมฺปนฺโน) ยงั พํานกั อยทู่ ่ีนนั่ ที่เข้าใจวา่ หลวงตาพวงโกรธนนั้ เพราะเหน็ ทา่ นมือไม้สน่ั หยิบของผดิ ๆ ถกู ๆ คว้าเอาไต้ (สําหรับจดุ ไฟ) ด้นุ หนงึ่ นกึ วา่ เป็ นกลด และยงั เปลง่ วาจาออกมา อยา่ งน่าขําวา่ “เออ ! กจู ะไปเดี๋ยวนี ้หลวงตาดลู ย์ไมใ่ ชแ่ มก่ ”ู เสร็จแล้ว ก็คว้า เอาบาตร จีวร และหยิบเอาไต้ด้นุ ยาวขนึ ้ แบกไว้บนบา่ คงนกึ วา่ เป็นคนั กลด ของทา่ น แถมคว้าเอาไม้ กวาดไปด้ามหนงึ่ ด้วย ไมร่ ู้เอาไปทําไม ครัน้ หลวงตาพวงไปถึงวดั ป่ า ทนั ทีที่ยา่ งเท้าเข้าสบู่ ริเวณวดั ป่ านี่เอง อาการของจิตที่น้อมไปตดิ มนั่ อย่กู บั อารมณ์ ภายนอก โดยปราศจากการควบคมุ ของ สตทิ ่ีได้สดั สว่ นกนั ก็แตกทําลายลง เพราะถกู กระแทกด้วยอานภุ าพ แหง่ ความ โกรธ อนั เป็ นอารมณ์ท่ีรุนแรงกวา่ ยงั สตสิ มั ปชญั ญะให้บงั เกิดขนึ ้ ระลกึ ย้อนกลบั ได้วา่ ตนเองได้ทํา อะไรลงไปบ้าง ผิดถกู อยา่ งไร สําคญั ตนผิดอย่างไร และได้ พดู วาจาไมส่ มควรอยา่ งไรออกมาบ้าง เมื่อหลวงตาพวงได้สตสิ ํานึกแล้ว ก็ได้เข้าพบทา่ นเจ้าคณุ พระราชสทุ ธาจารย์ และเล่าเรื่องตา่ งๆ ให้ทา่ นทราบ ทา่ นเจ้าคณุ ฯ ก็ได้ชว่ ยแนะนําและเตือนสติ เพม่ิ เตมิ อีก ทําให้หลวงตาพวงได้สตคิ นื มาอยา่ งสมบรู ณ์ และ บงั เกิดความ ละอายใจเป็นอยา่ งย่ิง หลงั จากได้พกั ผอ่ นเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ก็ย้อนกลบั มาขอขมาหลวงป่ ู กราบเรียนว่าทา่ นจําคาํ พดู และการ กระทําทกุ อยา่ งได้หมด และรู้สกึ ละอายใจมากท่ีตนทําอยา่ งนนั้ หลวงป่ ไู ด้แนะทางปฏิบตั ใิ ห้ และบอกวา่ “สิง่ ที่เกิดขนึ ้ เหล่านี ้วา่ ถึงประโยชน์ ก็มีประโยชน์เหมือนกนั มีสว่ นดี อยเู่ หมือนกนั คือจะได้เป็นบรรทดั ฐาน เป็นเคร่ืองนําสตมิ ิให้ตกสภู่ าวะนีอ้ ีก เป็นแนวทางตรงท่ีจะได้นํามา ประกอบ การปฏิบตั ใิ ห้ดาํ เนินไปอยา่ งมนั่ คงในแนวทางตรงตอ่ ไป”

38 ๑๐ เรอ่ื งจติ เรอื่ งอทิ ธฤิ ทธิ์ เรื่องตอ่ ไปนีท้ า่ นเจ้าคณุ พระโพธินนั ทมนุ ี ได้เลา่ ให้ฟังเม่ือวนั ที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๓๘ เป็นการถอดคําพดู จาก การบนั ทกึ เทป ดงั นี ้ ถ้าพดู ไปแล้วนะอาจารย์ (หมายถึง อ.ปฐม - อ.ภทั รา นิคมานนท์) เรื่องของจิตหรืออิทธิฤทธิ์นี ้อาตมาก็ไม่ อยากจะใช้คําว่าอทิ ธิฤทธิ์ เพราะหลวงป่ ทู า่ นไมน่ ยิ ม และก็ไมท่ ํา ไมแ่ สร้งทํา ไมอ่ ะไรด้วยทงั้ นนั้ ก็เลยไมอ่ ยาก ใช้คาํ วา่ เร่ืองจติ เร่ืองอิทธิฤทธิ์ แตจ่ ิตนีห้ ลวงป่ ทู า่ นก็พดู ว่า “จติ ” แตถ่ ้าพดู เกี่ยวกบั หลวงป่ ู ก็มีเรื่องแปลกๆ หรือเรื่องท่ีน่าอศั จรรย์เหมือนกนั ในขณะท่ีเราอยกู่ บั ทา่ น ทา่ นก็ไมไ่ ด้ ปฏิเสธ ทา่ นก็ไมไ่ ด้ยกย่อง ท่านก็ไมไ่ ด้พดู เพื่ออะไรมากมายในเร่ืองเหล่านี ้แม้แตเ่ รื่องไสยศาสตร์ ก็พดู กนั วา่ ชาวสรุ ินทร์ เหน็ มีไสยศาสตร์กนั มาก สามารถใช้คาถาอาคมอะไรตา่ งๆ เหลา่ นี ้แม้มีคนถามทา่ น ทา่ นก็ไมค่ อ่ ย อธิบาย ทา่ นก็บอกเพียงวา่ ท่านเองก็ไมเ่ คยเหน็ เหมือนกนั อะไรทํานองนนั้ สําหรับเรื่อง “จิต” นนั้ ทา่ นพดู คือทา่ นพดู เร่ืองจิต ท่านไมค่ อ่ ยใช้คําวา่ อิทธิฤทธิ์อะไรหรอก จะใช้วา่ ” พลงั ” โดยมากทา่ นจะพดู วา่ “พลงั จิต” นนั้ มีอยู่ พลงั จติ จะมีได้ก็เกิดจากข้อเดียว คือ พลงั สมาธิ ถ้าผ้ใู ดสร้างสมาธิจิตไมไ่ ด้ ท่านวา่ พลงั จิตนนั้ เกิดขึน้ ไมไ่ ด้ ถึงเกิดขนึ ้ ก็เป็นพลงั จติ ที่เป็ นมจิ ฉาหรือไมม่ น่ั คง เชน่ วา่ คนบางคนเขาใช้พลงั จติ ในทางที่ผิด หรือนําไปใช้ในทางรักษาความเจ็บไข้ได้ป่ วย ก็อาจจะมีสว่ นของพลงั จติ เหมือนกนั พลงั จติ ที่เกิดจากสมาธิท่ีถกู ต้องนนั้ คือ เมื่อมีสมาธิเกิดขึน้ แล้วก็อาศยั พลงั แหง่ จติ เพราะสมาธินนั้ เกิดจากจิต รวม คือ จิตมนั ละอารมณ์ตา่ งๆ เมื่อมนั ไปแบกเอาอารมณ์ตา่ งๆ ไว้มาก จิตมนั ก็ไมม่ ีกําลงั ไมม่ ีพลงั อะไร ตอ่ เม่ือจิตสามารถตดั อารมณ์ตา่ งๆได้ ก็เกิดสมาธิ ก็ใช้คําว่า “จติ เดยี ว” ท่ีปราศจากอารมณ์มากเกินไป จิตก็จะเกิดมีพลงั ขนึ ้ มา

39 ถ้ามีพลงั แล้ว (ตามที่หลวงป่ เู คยอธิบาย) ระหวา่ งที่จิตเราเกิดมีพลงั สมาธิน่ีแหละ บคุ คลจะเอาไปใช้ทางไหนก็ ได้ผลในทางนนั้ แตเ่ ม่ือใช้ในทางท่ีเสียหายมนั ก็ทําให้ เสียหายได้ หรือใช้ไปในทางที่ให้ประโยชน์ให้เกิดพลงั ปัญญาก็ได้ หมายความวา่ อยา่ งท่ีถกู ในหลกั วิชาการเรียนทางศาสนาวา่ ศีล สมาธิ ปัญญา ท่ีวา่ ศีลทําให้เกิดการอบรม สมาธิ สมาธิอบรมปัญญา ฉะนนั้ พลงั จิตที่เกิดประโยชน์อยา่ งแท้จริงหลงั จากเกิดสมาธินนั้ หมายถึงวา่ จิตนนั้ จะยกสภาวธรรมขนึ ้ มาไตร่ตรอง ให้เกิดวิปัสสนาญาณเกิดปัญญาแล้วปัญญานนั้ ก็จะแจม่ แจ้ง ดีกวา่ จติ ท่ีไม่ เกิดสมาธิ หรือจิตท่ีไมม่ ีสมาธิ ฉะนนั้ หลวงป่ จู ะใช้ว่าพลงั จิตนนั้ สามารถยกระดบั ภาวะหรือป้ องกนั ความทกุ ข์ยาก อนั เน่ืองจากการท่ีจิต สง่ ออกไปเพ่ือรับอารมณ์ตา่ งๆได้ มีคนชอบถามหลวงป่ เู ก่ียวกบั เรื่องอิทธิฤทธิ์บ้าง หรือจิตที่มีฤทธิ์มีพลงั อยา่ งหนงึ่ อยา่ งใดบ้างนนั้ ก็เคยมี แต่ เน่ืองจากวา่ หลวงป่ ทู ่านไมส่ นใจในเร่ืองส่งิ มหศั จรรย์ หรือส่งิ อศั จรรย์ในอิทธิฤทธิ์ตา่ งๆเหลา่ นี ้ทา่ นจงึ ไมน่ ยิ ม พดู ให้ใครฟัง แตห่ ลวงป่ กู ็ยอมรับว่าจติ นนั้ ยอ่ มเป็นจิตท่ีมีพลงั เม่ือจิตมีพลงั แล้วมนั ก็จะเป็น คณุ ประโยชน์ได้หลายอยา่ ง แต่ ทา่ นก็จะขนึ ้ ต้นวา่ จติ จะมีพลงั ได้นนั้ ก็ต้องเม่ือ ได้สมาธิ เม่ือทําสมาธิได้หรือเกิดสมาธิ จิตมีอารมณ์เดยี ว จิตจงึ จะมีพลงั เมื่อจิตมีพลงั แล้วจะหนั ไปใช้ทางไหนก็ย่อมได้ แม้หนั ไปทางท่ีผิดทางพระพทุ ธ ศาสนาก็ยอ่ มจะได้ อยา่ งเชน่ ฤาษีชีไพร หรืออะไรๆ นนั้ ล้วนแตเ่ ป็นสมาธิซง่ึ นบั วา่ เป็ นมิจฉาสมาธิได้ สว่ น “สมั มาสมาธิ” นนั้ หมายถงึ จติ ที่เป็นสมาธิตามลําดบั ตงั้ แตข่ นั้ ต้นคือ ขณิกะสมาธิ จนกระทง่ั เข้าสอู่ ปั ปนา สมาธิ อะไรในกระแสนี ้แล้วจติ นนั้ ก็จะเป็ นพลงั สอ่ งทางไปให้เกิดปัญญา ในทางตรงข้าม ถ้าอาศยั พลงั จิตไปในเรื่องอ่ืน เรื่องอทิ ธิฤทธ์ิอะไรนนั้ ไมถ่ กู ต้อง หรือไมถ่ กู พทุ ธประสงค์ทงั้ หมด แตถ่ ้าใช้พลงั จิตนนั้ เพ่ือเป็ นเหตใุ ห้ปัญญาผดุ ขนึ ้ เพ่ือจะตดั กิเลสตณั หาและ ความชวั่ ร้ายตา่ งๆ เพื่อยกระดบั จิต ของเราให้พ้นทกุ ข์ จงึ จะเป็นพลงั จิตท่ีเป็นสมั มาทิฏฐิ และเป็นทางที่ถกู ต้องหลวงป่ มู กั จะอธิบายในแนวทางนี ้

40 สว่ นในทางที่วา่ เอาพลงั จติ ไปแสดงอิทธิฤทธิ์อยา่ งนนั้ อยา่ งนีแ้ ล้ว รู้สกึ วา่ หลวงป่ จู ะไมค่ อ่ ยกลา่ วถงึ หลวงป่ จู ะ ระมดั ระวงั ที่สดุ ในเร่ืองการปฏิบตั ิ ให้เป็นไปในทางที่ดีท่ีถกู ต้อง

41 ๑๑ บนั ทกึ ธรรมเทศนาเกยี่ วกบั สมาธิ ธรรมเทศนาหรือโอวาทของหลวงป่ ดู ลู ย์นนั้ เป็ นสงิ่ ที่หาได้ยากย่งิ ทงั้ นีเ้น่ืองจากทา่ นไม่เคยเทศน์เป็นกณั ฑ์ๆ หรือแสดงเป็นเรื่องยาวๆ เพียงแตเ่ ม่ือสอนภาวนา หรือกล่าวตกั เดือนลกู ศษิ ย์ หรือตอบคําถามตลอดถงึ สนทนา กบั พระเณรอื่นๆ หลวงป่ กู ็จะกลา่ วอยา่ งสนั้ ด้วยความระมดั ระวงั ยกข้อธรรมะมากลา่ วอยา่ งย่อๆ เทา่ นนั้ เอง นอกจากนีท้ า่ นไมเ่ คยแสดงในพธิ ีการงานใดๆ อีกเลยฯ กลา่ วกนั วา่ หลวงป่ มู ีปกตเิ ป็ นผ้ไู มพ่ ดู หรือพดู น้อยท่ีสดุ แตม่ ีปฏิภาณไหวพริบเร็วฉับไวมาก และไมม่ ีผิดพลาดพดู สนั้ ยอ่ แตอ่ มความหมายไว้อยา่ งสมบรู ณ์ คาํ พดู ของทา่ นแตล่ ะประโยคมีความหมายและเนือ้ หาจบลงโดย สิน้ เชงิ เหมือนหนง่ึ สะกดจิตผ้ฟู ังหรือผ้ถู าม ให้ฉกุ คิดอยเู่ ป็ นเวลานาน แล้วก็ต้องใช้ความตริตรองด้วยปัญญา อยา่ งลกึ ซงึ ้ ฯ บนั ทกึ ธรรมเทศนาเก่ียวกบั สมาธินี ้ได้รวบรวมและเรียบเรียงมาจากพระธรรมเทศนาที่พระโพธินนั ทมนุ ี (อดีต พระครูนนั ทปัญญาภรณ์) ผ้เุ คยไอย่กู บั หลวงป่ ดู ลู ย์มาเป็ นเวลานานตลอดอายขุ ยั ของทา่ น เขียนบนั ทึกขนึ ้ จาก ประสบการณ์ได้อยา่ งชวนอา่ นและเข้าใจงา่ ย นบั วา่ เป็นคณุ ปู การอยา่ งยง่ิ ตอ่ สาธุชนผ้สู นใจใฝ่ ทราบธรรม ปฏิบตั ิตามปฏิปทาของหลวงป่ ู ธรรมสภาขอนมสั การกราบขอบพระคณุ เป็ นอย่างสงู มา ณ ที่นีด้ ้วย ประสบการณ์ภาวนาของหลวงป่ ู วนั หนง่ึ หลวงป่ ดู ลู ย์นงั่ ภาวนาอยู่ ตงั้ แตห่ วั คํ่าจนดกึ มากแล้วนนั้ จิตก็คอ่ ยๆ หยงั่ ลงสคู่ วามสงบ และให้บงั เกิด นมิ ิตแปลกกวา่ ผ้อู ่ืนขึน้ มา คอื เห็นพระพทุ ธรูปปรากฏขนึ ้ ท่ีตวั ท่านท่ีตวั ทา่ นประหนงึ่ วา่ ตวั ทา่ นเองเป็นพระพทุ ธรูปองค์หนงึ่ ทา่ นพยายามพิจารณาดนู มิ ิตนนั้ ตอ่ ไปอีก แม้วา่ ขณะท่ีออกจากที่บําเพ็ญสมาธิภาวนาแล้ว และขณะออกเดนิ สู่

42 ละแวกบ้านของชาวบ้านป่ าเพื่อบณิ ฑบาต ก็เห็นปรากฏอยเู่ ชน่ นนั้ ตอ่ มา กอ่ นที่รูปนมิ ิตนนั้ หายไป ขณะเดนิ กลบั มาจากบณิ ฑบาต ทา่ นได้พิจารณาดตู นเอง ก็ได้ปรากฏเหน็ ชดั เจนวา่ เป็นโครงกระดกู ทกุ สว่ นสดั วนั หนงึ่ เกิดความรู้สกึ ไมอ่ ยากฉนั อาหาร จงึ อาศยั ความเอิบอ่มิ าของสมาธิจิตกระทําความเพียรตอ่ ไป เชน่ เดนิ จงกรมบ้าง นงั่ สมาธิบ้าง จนตลอดวนั ตลอดคืนและแล้วในขณะนนั้ เอง... แสงแหง่ พระธรรมก็บงั เกิดปรากฏแกจ่ ติ ของทา่ นอยา่ งแจ่มแจ้ง จนกระทง่ั ทา่ นสามารถแยกจิตกบั กิเลสออกจาก กนั ได้ รู้ชดั วา่ อะไรคือจิต อะไรคอื กิเลส จติ ปรุงกิเลส หรือกิเลสปรุงจิต และเข้าใจสภาพของจติ ที่แท้จริงได้ จนรู้วา่ กิเลสสว่ นไหนละได้แล้ว สว่ นไหนยงั ละไมไ่ ด้ ตอ่ มาภายหลงั หลวงป่ ไู ดให้คําอธิบายเกี่ยวกบั เรื่องนีไ้ ว้วา่ “จติ ปรุงกิเลส คือการท่ีจิตบงั คบั ให้กาย วาจา ใจ กระทําส่ิงภายนอก ให้มี ให้เป็ น ให้ดี ให้เลว ให้เกิดวิบากได้ แล้วยดึ ตดิ อย่วู า่ นนั่ เป็นตน ของเรา ของเขา กิเลสปรุงจิต คือการท่ีสง่ิ ภายนอกเข้ามาทําให้จิตเป็นไปตามอํานาจของมนั แล้วยดึ วา่ มีตวั มีตนอยู่ สําคญั ผดิ จากความเป็นจริงอยรู่ ่ําไป”

43 หลกั ธรรมที่แท้จริงคือจิต หลกั ธรรมที่แท้จริงคอื จิต จิตของเราทกุ คนนนั่ แหละคือลกั ธรรมสงู สดุ ที่อยใู่ นจติ ใจเรา นอกจากนนั้ แล้วมนั ไมม่ ี หลกั ธรรมใดๆ เลย จติ นีแ้ หละคอื หลกั ธรรม ซง่ึ นอกไปจากนนั้ แล้วก็ไมใ่ ชจ่ ิต แตจ่ ิตนนั้ โดยตวั มนั เองก็ไมใ่ ชจ่ ติ ขอให้เลกละการคดิ และการอธิบายเสียให้หมดสนิ ้ เม่ือนนั้ เราอาจกลา่ วได้วา่ คลองแหง่ คาํ พดู ได้ถกู ตดั ขาดไป แล้ว พิษของจติ ก็ได้ถกู ถอนขึน้ จนหมดสนิ ้ จิตในจิตก็จะเหลือแตค่ วามบริสทุ ธิ์ ซงึ่ มีอยปู่ ระจําแล้วในทกุ คน เชน่ นีแ้ ล้ว บทบาทและความหมายของจิตตลอดจน จิตเดิมแท้ก็คือความไมม่ ี เป็นความวา่ งอยา่ งสนิ ้ เชิง เมื่อเป็นความวา่ ง เป็นความไมม่ ีประโยชน์อะไรท่ีจะเตมิ ให้เตม็ เนื่องเพราะทกุ อยา่ งล้วนเตม็ เปี่ ยมอย่แู ล้วในความวา่ งในความไมม่ ี นกั ปฏิบตั ลิ งั เลใจ ปัจจบุ นั นี ้ศาสนิกชนผ้สู นใจในการปฏิบตั ฝิ ่ ายวิปัสสนามีความงวยงงสงสยั อยา่ งยิง่ ในแนวทางปฏิบตั ิ โดยเฉพาะผ้เู ร่ิมต้นสนใจ เนื่องจากคณาจารย์ฝ่ ายวิปัสสนาแนะแนวปฏิบตั ไิ มต่ รงกนั ยิง่ กวา่ นนั้ แทนที่จะ อธิบายให้เขาเข้าใจโดยความเป็นธรรม ก็กลบั ทําเหมือนไมอ่ ยากจะยอมรับคณาจารย์อ่ืน สํานกั อ่ืน วา่ เป็นการ ถกู ต้อง หรือถงึ ขนั้ ดหู มนิ่ สํานกั อ่ืนไปแล้วก็เคยมีไมน่ ้อย

44 ดงั นนั้ เมื่อมีผ้สู งสยั ทํานองนีม้ าก และเรียนถามหลวงป่ อู ยบู่ อ่ ยๆ จงึ ได้ยินหลวงป้ อู ธิบายให้ฟังอยเู่ สมอวา่ “การเร่ิมต้นปฏิบตั วิ ิปัสสนาภาวนานนั้ จะเริ่มต้นโดยวธิ ีไหนก็ได้ เพราะผลมนั เป็ นอนั เดียวกนั อยแู่ ล้ว ท่ีทา่ นสอน แนวปฏิบตั ไิ ว้หลายแนวนนั้ เพราะจริตของคนไมเ่ หมือนกนั จงึ ต้องมีวตั ถุ สี แสง และคําสําหรับบริกรรม เชน่ พทุ โธ อรหงั เป็นต้น เพื่อหาจดุ ใดจดุ หนงึ่ ให้จิตรวมอยกู่ ่อน เม่ือจติ รวม สงบ แล้วคําบริกรรมนนั้ ก็หลดุ หายไป เอง แล้วก็ถึงรอยเดยี วกนั รสเดยี วกนั คอื มีวตั ถเุ ป็นแกน่ มีปัญญาเป็นยง่ิ ” ตื่นอาจารย์ นกั ปฏิบตั ธิ รรมสมยั นีม้ ีสงประเภท ประเภทหนง่ึ เม่ือได้รับข้อปฏิบตั ิ หรือข้อแนะนําจากอาจารย์ พอเข้าใจ แนวทางแล้ว ก็ตงั้ ใจเพียรพยายามปฏิบตั ไิ ปจนสดุ ความสามารถ อีกประเภทหนงึ่ ทงั้ ท่ีมีอาจารย์แนะนําดีแล้ว ได้ข้อปฏิบตั ถิ กู ต้องดแี ล้ว แตก่ ็ไมต่ งั้ ใจทําอยา่ งจริงจงั มีความเพียรตาํ่ ขณะเดียวกนั ก็ชอบเท่ียวแสวงหา อาจารย์ไปในสํานกั ตา่ ง ๆ ได้ยนิ วา่ สํานกั ไนดีก็ไปทกุ แหง่ ซง่ึ ลกั ษณะนีม้ ีอยอู่ ยา่ งมากฯ หลวงป่ เู คยแนะนําลกู ศษิ ย์ว่า “การไปหลายสํานกั หลายอาจารย์ การปฏิบตั จิ ะไมไ่ ด้ผล เพราะการเดนิ หลายสํานกั นี ้คล้ายกบั การเริ่มต้น ปฏิบตั ใิ หมไ่ ปเรื่อย เราก็ไมไ่ ด้หลกั ธรรมที่แนน่ อน บางทีก็เกิดความลงั เล งวยงง จิตก็ไมม่ น่ั คง การปฏิบตั กิ ็เสื่อม ไมเ่ จริญคบื หน้าตอ่ ไป” จบั กบั วาง นกั ศกึ ษาธรรมะ หรือนกั ปฏิบตั ธิ รรมะ มีสองประเภทประเภทหนงึ่ ศกึ ษาปฏิบตั เิ พ่ือเข้าถึงความพ้นทกุ ข์อยา่ ง แท้จริง ประเภทสง ศกึ ษาปฏิบตั เิ พ่ือจะอวดภมู กิ นั ถกเถียงกนั ไปวนั หนงึ่ ๆ เทา่ นนั้ ใครจําตาํ ราหรืออ้างครูบา อาจารย์ได้มาก ก็ถือวา่ ตนเป็ นคนสําคญั บาททีเข้าหาหลวงป่ ู แทนท่ีจะภามธรรมะข้อปฏิบตั จิ ากทา่ น ก็กลบั

45 พน่ ความรุ้ความจําของตนให้ทา่ นฟังอยา่ งวิจิตรพสิ ดารก็เคยมีไมน่ ้อยฯ แตส่ ําหรับหลวงป่ นู นั้ ทนฟังได้เสมอ เมื่อเขาจบลงแล้วยงั ชว่ ยตอ่ ให้หนอ่ ยหนง่ึ วา่ “ผ้ใู ดหลงใหลในคาํ ราและอาจารย์ ผ้นู นั้ ไมอ่ าจพ้นทกุ ข์ได้ แตผ่ ้ทู ่ีจะพ้นทกุ ข์ได้ต้องอาศยั ตําราและอาจารย์ เหมือนกนั ” ทําจติ ให้สงบได้ยาก การปฏิบตั ภิ าวนาสมาธินนั้ จะให้ได้ผลเร็วช้าเทา่ เทียมกนั เป็นไปไมไ่ ด้ บางคนได้ผลเร็ว บางคนก็ช้าหรือยงั ไม่ ได้ผลลิม้ รสแหง่ ความสงบเลยก็มี แตก่ ็ไมค่ วรท้อถอยก็ช่ือวา่ เป็นผ้ไู ด้ประกบความเพียรทางใจ ย่อมเป็นบญุ เป็น กศุ ลขนั้ สงู ตอจากการบริจารทาน รักษาศลิ เคยมีลกู ศษิ ย์เป็นจํานวนมากเรียนถามหลวงป่ วู า่ อตุ ส่าห์พยายาม ภาวนาสมาธินานมาแล้ว แตจ่ ติ ไมเ่ คยสงบเลย แสอ่ อกไปข้างนอกอยเู่ รื่อย มีวธิ ีอื่นใดบ้างท่ีพอจะปฏิบตั ไิ ด้ฯ หลวงป่ เู คยแนะนําวธิ ีอีกอยา่ งหนง่ึ วา่ “ถงึ จติ ไมส่ งบก็ไมค่ วรให้มนั ออกไปไกล ใช้สติระลกึ ไปแตใ่ นกายนี ้ดใู ห้เห็น อนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา อสภุ สญั ญา หาสาระแกน่ สารไมไ่ ด้ เมื่อจิตมองเหน็ ชดั แล้ว จิตก็เกิดความสลดสงั เวช เกินนิพพทิ า ความหนา่ ย คลายกําหนดั ยอ่ มตดั อปุ ทานขนั ธ์ได้เชน่ เดียวกนั ” อบุ ายคลายความยึด เม่ือกระผมทําความสงบให้เกิดขนึ ้ แล้ว ก็พยายามรักษาจิตให้ดํารงอย่ใู นความสงบนนั้ ด้วยดี แตค่ รัน้ กระทบกระทงั่ กบั อารมณ์อย่างใดอยา่ งหนงึ่ จิตก็มกั จะสญู เสียสถานะที่พยายามธํารงไว้นนั้ รํ่าไป หลวงป่ วู า่

46 “ถ้าเชน่ นนั้ แสดงวา่ สมาธิของตนเองยงั ไมแ่ ขง็ แกร่งเพียงพอ ถ้าเป็นอารมณ์แรงกล้าเป็นพิเศษ โดยเฉพาะ อารมณ์ท่ีเป็ นจดุ ออ่ นของเราแล้ว ต้องแก้ด้วยวิปัสสนาวิธีจงเร่ิมต้นด้วยการพจิ ารณาสภาวธรรมท่ีหยาบท่ีสดุ คือกายแยกให้ละเอียด พิจารณาให้แจม่ แจ้ง ขยบั ถงึ พิจารณานามธรรม อะไรก็ได้ทีละคู่ ท่ีเราเคยแยกพิจารณา มาก็มีความดาํ ความขาว ความมือความสวา่ ง เป็นต้น” ความหลงั ยงั ฝังใจ ครัง้ หนง่ึ หลวงป่ ไู ปพกั ผอ่ นที่วดั โยธาประสทิ ธิ์ พระเณรจํานวนมากมากราบนมสั การหลวงป่ ู ฟังโอวาทาของ หลวงป่ แู ล้ว หลวงตาพลอย ผ้บู วชเม่ือแก่ แตส่ ํารวมดี ได้ปรารภถงึ ตนเองวา่ กระผมบวชมาก็นานพอสมควร แล้ว ยงั ไมอ่ าจตดั หว่ งอาลยั ในอดีตได้ แม้จะตงั้ ใจอยา่ งไรก็เผลอจนได้ ขอทราบอบุ ายวิธีอยา่ งอ่ืนเพื่อปฏิบตั ิ ตามแนวนีต้ อ่ ไปด้วยครับกระผมฯ หลวงป่ วู า่ “อยา่ ให้จิตแลน่ ไปสอู่ ารมณ์ภายนอก ถ้าเผลอ เม่ือรู้ตวั ให้รีบดงึ กลบั มา อยา่ งปลอ่ ยให้มนั รู้อารมณีหรือชวั่ สขุ หรือทกุ ข์ ไมค่ ล้อยตาม และไมห่ กั หาญ” หยดุ ต้องหยดุ ให้เป็น นกั ปฏิบตั กิ ราบเรียนหลวงป่ วู า่ กระผมพยายามหยดุ คดิ หยดุ นกึ ให้ได้ตามที่หลวงป่ เู คยสอน แตไ่ มเ่ ป็นผลสําเร็จ สกั ที ซํา้ ยงั เกิดความอึดอดั แนน่ ใจ สมองมนึ งง แตก่ ระผมก็ยงั ศรัทธาวา่ ท่ีหลวงป่ สู อนไว้ยอ่ มไมผ่ ดิ พลาดแน่ ขอ ทราบอบุ ายวิธีตอ่ ไปด้วย หลวงป่ บู อกว่า

47 “ก็แสดงถึงความผดิ พลาดอย่แู ล้ว เพราะบอกให้หยดุ คดิ หยดุ นกึ ก็กลบั ไปคดิ ที่จะหยดุ คดิ เสียอีกเล่า แล้วอาการ หยดุ จะอบุ ตั ขิ นึ ้ ได้อยา่ งไร จงกําจดั อวิชชาแหง่ กรหยดุ คิดหยดุ นึกเสียให้สิน้ เลกิ ล้มความคดิ ท่ีจะหยดุ คดิ เสียก็ สนิ ้ เร่ือง” หยดุ เพื่อรู้ เม่ือเดือนมีนาคม 2507 มีพระสงฆ์หลายรูป ทงั้ ฝ่ ายปริยตั แิ ละฝ่ ายปฏิบตั ิ ได้เข้ากราบหลวงป่ เู พื่อรับโอวาทและ รับฟังการแนะแนวทางธรรมะที่จะพากนั ออกเผยแพร่ธรรมทตู ครัง้ แรก หลวงป่ แู นะวธิ ีอธิบายธรรมะขนั้ ปรมตั ถ์ ทงั้ เพื่อสอนผ้อู ื่นและเพ่ือปฏิบตั ติ นเอง ให้เข้าถงึ สจั จธรรมนนั้ ด้วย ลงท้ายหลวงป่ ไู ด้กลา่ วปรัชญาธรรมไว้ให้คิด ด้วยว่า “คดิ เท่าไรๆ ก็ไมร่ ู้ ตอ่ เม่ือหยดุ คดิ ได้จงึ รู้ แตต่ ้องอาศยั ความคดิ นนั่ แหละจงึ รู้” ละอยา่ งหนงึ่ คดิ อีกอยา่ งหนึ่ง ลกู ศษิ ย์ฝ่ ายคฤหสั ถ์ผ้ปู ฏิบตั ิธรรมคนหนงึ่ เข้านมสั การหลวงป่ ู รายงานผลการปฏิบตั ใิ ห้ลวงป่ ฟู ังด้วยความ ภาคภมู ใิ จวา่ ปลืม้ ใจอยา่ งย่ิงที่ได้พลหลวงป่ วู นั นีด้ ้วยกระผมปฏิบตั ิตามที่หลวงป่ เู คยแนะนําก็ได้ผลไป ตามลําดบั คือ เม่ือลงมือนง่ั ภาวนาก็เริ่มละสญั ญาอารมณ์ภายนอกหมด จิตก็หมดความวนุ่ จติ รวม จิตสงบ จติ ดง่ิ สสู่ มาธิ หมดอารมณ์อ่ืน เหลือแตค่ วามสขุ สขุ อยา่ งยง่ิ เย็นสบาย แม้จะให้อยตู่ รงนีน้ านเทา่ ไรก็ได้ หลวงป่ ยู มิ ้ แล้วพดู “เออ ก็ดีแล้วที่ได้ผล พดู ถงึ ความสขุ ในสมาธิมนั ก็สขุ จริง ๆ จะเอาอะไรมาเปรียบไมไ่ ด้ แตถ่ ้าติดอยแู่ คน่ นั้ มนั ก็ ได้แคน่ นั้ แหละ ยงั ไมเ่ กิดปัญญาอริยมรรคที่จะตดั ภพ ชาตติ ณั หา อปุ าทานได้ ให้ละสขุ นนั้ เสียก่อน แล้ว

48 พิจารณาขนั ธ์ห้าให้แจม่ แจ้งตอ่ ไป” รู้จากการเรียนกบั รู้จากการปฏิบตั ิ ศีล สมาธิ ปัญญา วมิ ตุ ิ ท่ีกระผมจําจากตําราและฟังครูสอนนนั้ จะตรงกบั เนือ้ หาตามที่หลวงป่ เู ข้าใจหรือ หลวงป่ อู ธิบายวา่ “ศีล คือ ปกตจิ ิตท่ีอย่ปู ราศจากโทษ เป็นจิตท่ีมีเกราะกําบงั ป้ องกนั การกระทําชว่ั ทกุ อยา่ ง สมาธิ ผลสืบ เน่ืองมาจากการรักษาศลี คือจติ ท่ีมีความมน่ั คง มีความสงบเป็นพลงั ท่ีจะสง่ ตอ่ ไปอีก ปัญญา ผ้รู ู้ คือจติ ท่ีวา่ ง เบาสบายรู้แจ้งแทงตลอดตามความเป็นจริง วิมตุ ิ คือละความสบาย เหลือแตค่ วามไมม่ ี ไมเ่ ป็น ไมม่ ีความคดิ เหลืออยเู่ ลย” เดนิ ทางลดั หลงั จากท่ีหลวงป่ หู ายจากอาพาธ นายแพทย์และนางพยาบาลจํานวนหนงึ่ เข้าไปกราบนมสั การหลวงป่ ู แสดง ความดีใจท่ีหลวงป่ หู ายจากาพาธครัง้ นี ้พร้อมทงั้ กล่าวปิ ยวาจาวา่ “หลวงป่ มู ีสขุ ภาพอนามยั แข็งแรงดี หน้าตา สดใสเหมือนบั ไมไ่ ด้ผา่ นการอาพาธมา คงจะเป็นผลจากท่ีหลวงป่ มู ีภาวนาสมาธิจติ ดี พวกกระผมมีเวลาน้อย หาโอกาสเพียรภาวนาสมาธิได้ยาก มีวิธีใดบ้างที่จะปฏิบตั ิให้ง่ายๆ หรือโดยยอ่ ที่สดุ หลวงป่ ตู อบวา่ “มีเวลาเม่ือไร ให้ปฏิบตั เิ มื่อนนั้ การฝึ กจติ การพจิ ารณาจติ เป็นวธิ ีลดั ที่สดุ ” คนละเรื่อง

49 แม้จะมีคนเป็นกลมุ่ อยากฟังความคดิ เห็นของหลวงป่ เู รื่องเวียนวา่ ยตายเกิด ยกบคุ คลมาอ้างวา่ ทา่ นผ้นู นั้ ผ้นู ี ้ สามารถระลกึ ชาตยิ ้อนหลงั ได้หลายชาตวิ า่ ตนเคยเกิดเป็ นอะไรบ้าง และใครเคยเป็นแมเ่ ป็นญาติกนั บ้าง หลวงป่ วู า่ “เราไมเ่ คยสนใจเร่ืองอยา่ งนี ้แคอ่ ปุ จารสมาธิก็เป็นได้แล้ว ทกุ อย่างมนั ออกไปจากจิตทงั้ หมด อยากรู้อยากเหน็ อะไร จติ มนั บนั ดาลให้รู้ให้เห็นได้ทงั้ นนั้ และรู้ได้เร็วเสียด้วย หากพอใจเพียงแคน่ ี ้ผลดีท่ีได้ก็คือ ทําให้กลวั การ เวียนวา่ ยตายเกิดในภพท่ีตกตาํ่ แล้วก็ตงั้ จิตทําดี บริจาคทาน รักษาศลิ แล้วก็ไมเ่ บียดเบยี นกนั พากนั กระหย่มิ ยมิ ้ ยอ่ งในผลบญุ ของตน สว่ นการที่จะขจดั กิเลสเพ่ือทําลายอวิชชา ตณั หา อปุ าทาน เข้าถงึ ความพ้นทกุ ข์อยา่ ง สิน้ เชิงนนั้ อีกอยา่ งหนง่ึ ตา่ งหาก” อยากได้ของดี ยงั มีสภุ าพสตรีทา่ นหนง่ึ ถือโอกาสพิเศษกราบหลวงป่ วู า่ ดฉิ นั ขอของดจี ากหลวงป่ ดู ้วยเถอะเจ้าคะ่ หลวงป่ จู งึ เจริญพรวา่ “ของดีก็ต้องภาวนาเอาจงึ จะได้เมื่อภาวนาแล้ว ใจก็สงบ กายวาจาก็สงบ แล้วกายก็ดี วาจาใจก็ดี เราก็อย่ดู มี ีสขุ เท่านนั้ เอง” “ดฉิ นั มีภาระมาก ไมม่ ีเวลาจะสง่ั ภาวนา งานราชการเด๋ียวนีร้ ัดตวั มากเหลือเกิน มีเวลาที่ไหนมาภาวนาได้คะ” หลวงป่ จู งึ ต้องอธิบายให้ฟังว่า “ถ้ามีเวลาสําหรับหายใจ ก็ต้องมีเวลาสําหรับภาวนา” เหน็ จริงไมจ่ ริง